Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
16 June 2025, 15:57:04

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
27,262 Posts in 13,290 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Recent Posts

Recent Posts

Pages: 1 ... 8 9 [10]
91
นกกระเบื้องคอขาว : พุทธมณฑล




ปีที่แล้วผมไปตามหาแต้วแร้วนางฟ้าที่สวนสมเด็จฯ ปรากฏว่าไม่เจอ
แต่ก็ยังไม่เข็ด ทุกครั้งที่ได้ยินข่าวคราวของนกตัวนี้ กลับรู้สึกดีทุกครั้ง

แต้วแร้วนางฟ้าเป็นชื่อลำลองของ failry pitta ที่มีชื่อทางการว่า
นกแต้วแร้วพันธุ์จีน พบครั้งแรกที่สวนเวฬุวัณ พุทธมณฑล
เมื่อปี  2552 โดยถูกเข้าใจว่าเป็นแต้วแร้วอกเขียว (hooded pitta)

หลังจากถูก identify ว่าคือ fairy pitta นักดูนกหลายคนจึงออกตามหา
และพบพวกมันในอีกหลายสถานที่ต่อมา
โดยเฉพาะแหล่งที่พบเป็นประจำทุกปี คือเกาะมันใน
แต่ที่สวนเวฬุวัณแทบจะไม่ได้ข่าวพวกมันอีกเลย

โดยในระยะเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมา น่าจะมีการพบไม่เกิน 3 ครั้ง

แต่ราวปลายเดือนเมษายน  2566 ก็มีคนพบนกแต้วแร้วนางฟ้า
ที่พุทธมณฑลอีกครั้ง ไม่กีjวันต่อมาก็ตรงกับวันหยุดสุดสัปดาห์
แม้ว่าพุทธมณฑลจะอยู่ไกล แต่ก็มีคนยุว่า ไม่ใช่นกที่หาได้ง่าย
ผมจึงสลัดความเกียจคร้านออกจากร่างกาย

และมุ่งหน้าไปยังพุทธมณฑลในยามบ่ายของวันเสาร์วันหนึ่ง



ปรกติได้แต่เพียงผ่าน แต่ไม่เคยเข้าไปดูนกด้านในเลยสักครั้ง
แต่ก็คิดในใจว่าเป็นสถานที่ที่รถเข้าถึงได้ง่าย ดูจากแผนที่แล้ว
ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมาก แค่ขับรถเข้าไปจอดริมถนน
เดินลงจากรถก็น่าจะเห็นหมายได้

แต่มันกลับไม่ใช่เช่นนั้น เมื่อปักหมุดและขับรถไปจนถึงองค์พระใหญ่
วนเข้าไปยังถนนที่มุ่งไปยังสวนเวฬุวัณ ปรากฏว่า
มีป้ายห้ามเข้า พร้อมกับมียามนั่งเฝ้า ไม่เป็นไร

เนื่องจากตามแผนที่ สามารถวนเข้าไปได้จากอีกด้าน
เพราะถนนด้านในเป็นวงกลมวนรอบบ่อน้ำ จึงขับวนไป
ราวกับปรากฏการณ์ dejavu เจอป้ายห้ามเข้าอีกแล้ว
คิดอะไรไม่ออก วนกลับที่เดิมเพื่อจอดรถ ถามยามที่ทางเข้า

อ้อ เค้าห้ามรถยนต์เข้าไป ไปได้แค่จักรยานกับการเดินเท้าเท่านั้น
พระเจ้า นี่มันต้องเดินราวหนึ่งกิโลกว่าจะถึงป่าไผ่
แถมยังใส่รองเท้าแตะมาอีก ทำอย่างไรได้มาถึงขั้นนี้แล้ว
ไปถึงตรงนั้นจะหาหมายนกเจอหรือเปล่าก็ยังไม่รู้
 
เอาเป้ขึ้นหลังออกเดินทางไกล  ในที่สุดหลังจากผ่านไป 15 นาที
เราก็เห็น blind ตั้งอยู่ทางขวาก่อนที่จะขึ้นสะพาน 
จากถนนเดินลงไปยังป่าไผ่ข้างทางที่ทิ้งใบยามหน้าแล้ง



มีคนไม่กาง blind หนึ่งคน ผมจึงเข้าไปประชิดด้านหลัง
และนั่งลงถามข่าว เค้าก็ยังไม่ได้นกเลย และตั้งแต่เช้าก็ยังไม่มีคนได้
นั่งลงและรอผ่านไปราว 10 นาที เสียง shutter ก็ดังขึ้น
คนข้างหน้าหันมา ชี้ตำแหน่งนกให้
 
ไม่รู้ว่านกอะไรเพราะพี่เค้าพูดเบามาก แต่ก็กดตามเค้าไปก่อนละกัน
นกกินหนอนและกระโดดไปมาอยู่นานมาก แล้วบินจากไป
ผมรอนกแต้วแร้วนางฟ้าอยู่ราว 30 นาทีก็ถอดใจ กลับดีกว่า
 
เดินออกมา สวนกับนักถ่ายนกที่เพิ่งจะเดินเข้าไป
ก็เลยส่งภาพในกล้องให้ดู พี่เค้าบอกว่า อ๋อ นกกระเบื้องคอขาวตัวผู้
ผมก็อือๆ ออๆ เพราะว่าก็ไม่เคยเห็น แต่ก็ดูนกมีสีสันสวยอยู่นะ

พอมาหาข้อมูลก็เป็นนกอพยพที่หายากระดับหนึ่ง
สรุปว่า ก็เป็นที่น่าผิดหวังที่ยังไม่ได้พบกับนางฟ้าสักที
 แต่หลังจากวันที่ผมไป ก็ไม่มีใครถ่ายได้เหมือนกัน
แปลว่า นกน่าบินกลับบ้านที่ประเทศจีนไปแล้ว   


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=05-2023&date=11&group=22&gblog=125
.



92
Animals / นกแก้วโม่ง : วัดมะเดื่อ
« Last post by ppsan on 26 May 2025, 20:37:12  »
นกแก้วโม่ง : วัดมะเดื่อ




Blog ที่แล้วเล่าถึงนกแก้วโม่งที่วัดสวนใหญ่ ซึ่งเค้ามีเพจที่ชื่อว่า
นกแก้วโม่งฝูงสุดท้าย คำถามคือจริงหรือไม่ คำตอบคืออาจจะไม่ใช่
เพราะคนดูนกจะรู้ว่า มีอีกอย่างน้อย 2-3 วัดที่มีนกแก้วโม่งเช่นกัน
เพียงแต่ฝูงใหญ่และเป็นที่รู้จักกันมากที่สุด คือที่วัดสวนใหญ่นั่นเอง
 
บ่ายวันหนึ่งที่หลงทาง ตอนกลับบ้านหลังจากหาซื้อเก้าอี้ที่ราชพฤกษ์
ก็เลยเลี้ยวรถเข้าซอยแคบๆ ในเขตอำเภอบางบัวทอง
วัดเล็กๆ ที่ไม่โด่งดัง แต่ได้ข่าวมาว่ามีนกแก้วโม่งอาศัยอยู่
ลงจากรถเดินวนรอบวัดเพื่อมองหา ปรากฏว่าไม่เจอ

ถอดใจเดินกลับมาพักใต้ต้นไม้ตรงที่จอดรถ
มองไปที่ข้างวัด ก็เห็นนกแซงแซวหางบ่วงใหญ่ที่คุ้นตา
สำหรับคนดูนกก็ไม่ใช่นกหายาก เพียงแต่ตอนนี้ก็ไม่ไช่นกที่เห็นกันง่ายๆ
แต่โดยรวมก็ถือว่าสามารถพบได้ทั่วไป หากแถวนั้นยังเป็นสวนที่อุดมสมบูรณ์
ถ่ายได้แต่หางขาด ผมยังคงต้องพัฒนาความรู้การใช้กล้องอีกมากเลยทีเดียว

นี่ก็ว่าจะกลั้นใจขาย EOS RP ไปถอย R8 มา
ถ้าผ่านเวลาจนราคาลงต่ำกว่านี้หน่อย
แบบว่ากล้องรุ่นใหม่ไม่ต้องใช้ฝีมือมาก
มันมี AI ที่สามารถจับโฟกัสที่ตานกได้เลย

หมดปัญหาการได้ภาพนกเบลอๆ แบบที่ผ่านมาเสียที



วางกล้องลงเพราะสัมผัสอะไรบางอย่าง
เหมือนเรากำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่นี่นา
แน่นอนว่า ที่แบบนี้ล่ะคือที่อยู่ของนกแก้ว

เงยหน้าแหงนคอตั้งบ่า
ไม่พลาดที่จะเห็นนกตัวสีเขียวๆกำลังเกาะกิ่งไม้อยู่
แหงนหน้าอย่างสูงเพื่อถ่าย เพราะมุมต้นไม้นั้นชันกว่าที่วัดสวนใหญ่มาก
เดินไปรอบๆ ก็เจออีกตัวกำลังเข้าโพรง

สรุปว่า น่าจะมีราว 2-3 ตัว ได้
เพราะตอนนั้นก็บ่ายสี่โมงกว่า เป็นเวลาที่นกน่าจะกลับมานอนกันแล้ว
ระหว่างที่ถ่ายนกไป ก็มีชาวบ้านที่มางานศพเข้ามาร่วมดูด้วย
ก็ดูมีอายุอยู่นะ แต่เหมือนกับว่า เค้าก็ไม่เคยสังเกตว่ามีนกแบบนี้อยู่

วันสงกรานต์ที่ผ่านมา อุตส่าห์ฝ่าไอร้อนข้ามเรือไปเกาะเกร็ด
ที่เป็นพื้นที่สีเขียวหวังว่าอาจจะเจอนกแปลกๆ เป็นคนแรกบ้าง
เดินไปถึงวัดไผ่ล้อมส่ายส่องมองหาตามต้นไม้ใหญ่
น่าเสียดายไม่พบนกอะไรน่าสนใจเลย

สรุป ชีวิตยังต้องใช้หมายจากคนอื่นต่อไป
เพราะแค่ตามหานกตามลายแทงยังยากเลย


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=04-2023&date=25&group=22&gblog=126
.



93
สวนรถไฟ : นกเดินดงหัวสีส้ม



[

หลังจากถ่ายนกเทพที่มาแวะเมืองไทยช่วงขากลับไปเมื่อหกเดือนก่อน
ตอนนี้ก็ย่างเข้าสู่หน้าหนาวอีกแล้ว ถือเป็นช่วงแวะลงของนกจากซีกโลกเหนือ
ก็มีนกเทพมาแวะที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าเดิมอีกแล้ว แต่ผมก็ขี้เกียจไปซะงั้น
แต่ก็ยังไปเดินหาถ่ายที่สวนรถไฟอยู่หลายครั้ง เพราะใกล้มากกว่า
 
ราว 3 ครั้งได้หลังจากที่ถ่ายนกเทพมา แต่ทุกครั้งกล้องที่นำไปก็ได้แต่อยู่ในกระเป๋า
ไม่มีโอกาสได้หยิบเอาออกมาถ่าย นั่นก็เพราะไม่มีนกอะไรน่าสนใจมากพอ
ความจริงไม่น่ายาก เพราะเราก็รู้ตำแหน่งคร่าวๆ อยู่แล้ว
เช่น นกกระเต็นก็ต้องอยู่ตรงบ่อน้ำ ปัญหาคือ แล้วบ่อไหนกันล่ะ?
 
ถ้าทำเหมือนเดิม ก็ได้ผลลัพธ์เช่นเดิม ผมจึงมาคิดทบทวนใหม่ อะไรคือข้อผิดพลาด
และแล้วผมก็คิดออก หานกนั้นไม่ยาก ถ้าเราเห็นคนตั้งกล้องตรงไหนก็แค่เดินเข้าไป
ปัญหาคือทำไมผมไม่เคยเห็น และแล้วก็คิดออก ผมไปเช้าเกินไปนั่นเอง
ยังไม่มีคนมา เพราะผมจะไปราวเจ็ดโมง เก้าโมงกลับบ้านแล้ว เพราะเริ่มร้อน 
 
เป็นทฤษฎีที่เราได้ยินต่อๆ กันมาว่า เวลาที่ควรออกไปดูนกก็คือช่วงเช้าและเย็น
เพราะว่ากันว่านกจะ active ตอนเช้าและเย็นๆ ทำให้เราสามารถพบเห็นได้ง่าย
เมื่อซาโตริเช่นนั้น วันเสาร์หนึ่งผมจึงออกจากบ้านราวสิบโมง แหกกฎเดิมๆ ที่เคยทำ
เพื่อหวังจะได้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไป หลังจากไปเดินมือเปล่าๆ มาแล้วสามครั้งสามครา
 
ไม่นานก็มาถึงสวนรถไฟด้านหน้า เดินผ่านประตูเข้าไป มุ่งหน้าไปยังบ่อน้ำใกล้ๆ
ที่ไม่เคยเดินมาเลย ไม่ผิดหวังเห็นนักถ่ายนกแบกขาตั้งกล้องเดินอยู่ริมบ่อน้ำ
ผมดีใจวันนี้ต้องได้รูปกลับไปแน่ จะไปถามหาบ่อกระเต็นที่ยังเป็นปริศนาว่าบ่อไหน
แต่ราวกับรู้ทันความคิด ระหว่างที่ผมเดินเข้าไป นักถ่ายนกคนนั้นก็เดินไปเรื่อยๆ



เมื่อผมไปถึงริมบ่อก็พบว่าเค้าเดินไปไกลแล้ว ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
เดินวนรอบบ่อไปทิศทางนั้น โดยที่นักถ่ายนกท่านนั้นก็ไม่ได้หยุดถ่ายรูปสักที
เป็นผมเองที่หยุดเดินตาม เพราะไม่แน่ใจว่าเค้าจะรู้จักหมายนกหรือเปล่า
หางตามองไปที่กิ่งไม้ริมบ่อ สีน้ำเงินตัดกับสีขาวเกาะอยู่ตรงนั้น กระเต็นอกขาว
 
หากเป็นสมุดจดที่อยู่ในใจ ไม่ใช่นกที่ผมจะคาดหวังไว้ในทริปนี้
คนดูนกเห็นกระเต็นอกขาว มีค่าราวกับคนธรรมดาเห็นนกพิราบเดินอยู่นั่นล่ะ
แต่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมมีกล้องถ่ายภาพที่มีศักยภาพพอที่จะเก็บรูปไว้ได้
ไม่รอช้าก็ได้ภาพกระเต็นอกขาวเกาะกิ่งไม้มาเก็บไว้ใน memory card
 
ดูจากรูปหลังกล้อง แน่นอนว่าไม่ได้สวยงามเหมือนกับช่างภาพมืออาชีพท่านอื่น
แต่อย่างน้อยมันก็ควรจะได้ภาพนกโล่งๆ ผมจึงเริ่มเดินหามุมที่จะได้นกในทิศทางนั้น
วนไปอีกด้านของบ่อที่มองเห็นตัวนกเกาะอยู่ในมุมโล่งๆ ยกกล้องขึ้นมา พรึบ
เจ้านกบินจากไปอย่างระวังภัย สายตานกกระเต็นนี่ไวจริงๆ จบข่าว
 
จริงๆ นกกระเต็นที่หายากปานกลางและมีอยู่ในสวนรถไฟ ก็คือกระเต็นน้อยธรรมดา
ที่มีสถานภาพเป็นนกอพยพ และนกกระเต็นใหญ่ที่หายากกว่าแต่ว่าอยู่ประจำถิ่น
และมีนกกระเต็นอพยพที่หายากกว่ากระเต็นน้อยธรรมดา ก็คือกระเต็นหัวดำ
ผมเคยเห็นแล้ว แต่ว่าตอนนั้นยังไม่มีกล้องถ่ายรูปที่ติดเลนส์ยาวพอที่จะเก็บภาพได้
 
ไปหาบ่อต่อไปดีกว่า ก็น่าจะเป็นตรงที่เคยถ่ายกระเต็นแดง ไม่ผิดหวัง
เห็นคนนั่งอยู่สองคน ท่าทางข้างในน่าจะมีของดีอยู่ ก็จริงเช่นนั้น
ลองก้มลงไปนั่งคุยกับนักถ่ายภาพท่านหนึ่ง บอกว่า มีนกจับแมลงจุกดำ
แต่ว่าเปรียวมาก มีคนตั้งกล้องรอถ่ายภาพโดยใช้ รีโมทอยู่



รีโมท อาจจะนึกถึงสายลั่นใช่ไหม แต่ไม่ใช่หรอก เป็นการตั้งกล้องทิ้งไว้
แล้วออกจากพื้นที่ตรงนั้นทันที รอให้นกลงมาเกาะกิ่งที่ตั้งกล้องไว้
ซึ่งจะเห็นภาพได้จาก app ที่ส่งผ่าน blutooth กล้อง มายังมือถือ
จากอุปกรณ์ที่ตั้งอยู่ แสดงว่าเป็นกลุ่มมืออาชีพ ผมจึงไม่อยากเข้าไปทำให้นกตื่น
 
เดินต่อไปยังสะพานที่เชื่อมกับสวนสมเด็จ  คลองนั้นก็ยังไม่มีวี่แววของนกกระเต็น
รู้สึกถอดใจ เดินไปหาหมายที่ชัดเจนดีกว่า ตรงลานจราจรเค้าว่ามีนกเค้าจุด
ขนาดรู้จุดแน่นอนขนาดนั้น สามครั้งที่ผ่านมา ผมก็ยังหาตัวมันไม่เจอ
นกเค้าจุดต้องอยู่ในโพรง แต่ต้นไม้ต้นไหนล่ะ ?
 
เดินไปอย่างไม่คาดหวัง แต่ก็เจอนักถ่ายนกเดินสวนมา เค้าชี้จุดต้นไม้ให้ทันที
ตรงที่มีพี่คนหนึ่งตั้งกล้องอยู่ตรงนั้นล่ะ ผมกล่าวขอบคุณและเดินเข้าไป
คนนี้ก็ท่าทางจะมืออาชีพ เค้าตั้งกล้องและมองหาอิริยาบทที่ดีที่สุดของนก
ผมเดินเข้าไปขอถ่ายด้วย ไม่ต้องเล็งหรือรอะไร แค่เจอแล้วถ่ายได้ตัวก็พอ
 
อย่างที่บอกไป คนที่เค้าเป็นมืออาชีพไม่ใช่แค่ถ่ายรูปปรกติ เค้าต้องได้ภาพที่พิเศษ
เช่น ภาพนกกระเต็นโฉบลงมาคาบปลาตรงผิวน้ำ หรือภาพเค้าจุดกำลังบินร่อนลง
นั่นล่ะ เป็นเรื่องที่ต้องใช้กล้องและอุปกรณ์แพงๆ และที่สำคัญต้องรอเวลาอย่างอดทน
แต่ผมไม่มีทั้งสองสิ่งนั้น  ถือโอกาสถามเรื่องบ่อกระเต็น พี่เค้าก็เล่าให้ฟังว่าพวกมันมีกี่ตัว
 
เห็นไหมล่ะ บอกแล้วว่าพี่เค้ามืออาชีพ ดูแล้วน่าจะอยู่ในสวนรถไฟทั้งวันเป็นประจำ
ผมกล่าวขอบคุณและเดินไปตามหมายที่พี่เค้าบอก เช่นเคย ผมยังหามันไม่เจอ
แต่เห็นนกแปลกๆ กระโดดลงมาต่อหน้า สีสันสวยดี นกอพยพอีกชนิดหนึ่ง นกเดินดงหัวสีส้ม
ยังไม่เห็นใครลงภาพจากสวนรถไฟในปีนี้ แต่ก็ไม่แปลกอะไร เพราะไม่ใช่นกหายาก



 ความลำบากของถ่ายนกที่สวนรถไฟนอกจากที่รำคาญอีกาที่บินไปมาส่งเสียงดังแล้ว
ก็คือ ตัวเงินตัวทอง นักดูนกเดินไปก็มักจะมองแต่ที่สูงเพื่อหานก และต้องลงไปเดินตามขอบบ่อ
ซึ่งไม่ใช่ทางปรกติที่นักวิ่งหรือนักปั่นเค้าใช้กัน เราจึงจะตกใจเมื่อเจอพวกมันนอนขวางทาง
และจะตกใจวิ่งหนีไป แต่เราก็กลัวพวกมันเช่นกัน เพราะว่าตัวพวกนี้มีเยอะและตัวใหญ่มาก
 
เดินไปเรื่อยๆ อย่างน้อยวันนี้ก็ได้ภาพนกสามตัวตุนไว้แล้ว ช่วงเวลาเที่ยงวันอากาศนั้นร้อนมาก
แทบไม่มีนักวิ่งทั่วไป แต่ยังเห็นป้ายบอกทางนักวิ่งถึงสามงาน แต่ที่น่าสนใจก็คือ 100K park run
งานแข่งวิ่งที่ผมได้แต่มอง แค่วิ่ง 10K นี่ก็ลากขาไม่ไหวแล้ว นี่ลงงาน ATMB ที่เลื่อนมาสองปี
แล้วไว้ยังอยากจะขอเปลี่ยนเป็น 5K เลย แบบว่า เป็นนักวิ่งสายรีวิวซุ้มอาหารงานวิ่งก็พอแล้ว 
 
ผ่านต้นไทรหมายตาว่า ปีนี้อยากจะลองมาเฝ้า แต่ต้องตามข่าวอย่างเข้มข้น
เพราะไม่รู้ว่าช่วงไหนลูกไทรจะสุก ที่คงดึงดูดนกมาหลายชนิด ตรงจุดนี้ท้องเริ่มร้อง
เหลือบดูนาฬิกาเป็นเวลาเที่ยงครึ่งแล้วนี่เอง ออกไปหาข้าวกินได้ ปรกติชอบกินเสต๊ก
ตรงร้านที่อยู่ทางออก แต่วันนี้ไปพลิกกเมนูดูไม่มีแล้ว เลยไปหาร้านที่ลานจอดรถกินดู

ก่อนที่จะประหยัดเงิน ด้วยการเดินอ้อมสวนไปขึ้นรถไฟ ที่สถานี MRT พหลโยธิน
 
บางที่เสาร์อาทิตย์มา เราก็อยากจะนอนพักอยู่กลับบ้าน
การออกไปตะลอนๆ อะไรแบบนี้ กลับมาก็ร้อนแสบหน้าเลยทีเดียว
มันจึงยากที่จะผลักดันให้ตัวเองออกไป ทำอะไรที่ลำบากต่อชีวิต 
แต่ก็นะ นี่ล่ะชีวิตมนุษย์ ที่หาสมดุลได้ยากเสียเหลือเกิน

.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=11-2022&date=24&group=22&gblog=128
.





94
Animals / Re: สวนรถไฟ :นกกระเต็นแดง
« Last post by ppsan on 25 May 2025, 16:53:09  »
สวนรถไฟ : กระเต็นแดง




เรามักจะพูดว่าปีๆ หนึ่งผ่านไปไวมาก
แต่ก็เป็นเพียงคำที่แผ่วเบา ออกไปในแนวคำคิดรำพึง
แต่สำหรับคนดูนกนั้น เราจะมีหนึ่งตัวชี้วัดในชีวิตที่ชัดเจนมาก
นั่นก็คือ การมาถึงของฤดูกาลแห่งนกอพยพ

เลื่อนลงไป blog ข้างล่าง
ผมได้เขียนเรื่องราวการไปถ่ายนกกระเต็นแดงเมื่อปีที่แล้ว
มาวันที่ 19 เมษายน 2566 เราก็ได้ไปถ่ายชนิดนี้อีกครั้ง 
นั่นแปลว่าวันเวลาแต่ละปีนั้น ผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ
 
สงกรานต์สำหรับคนที่ไม่ได้มีความสุขกับการเดินทางกลับบ้าน
หรือไปเล่นสาดน้ำตามสถานที่ท่องเที่ยวนั้น มันช่างแสนลำบาก
เพราะว่าการหาของกินนั้นยากเสียนี่กระไร ร้านค้าที่คุ้นนั้นปิดหมด
การเดินทางออกนอกบ้านเพื่อหาของใส่ปากใส่ท้องจึงเป็นสิ่งจำเป็น
 
ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ มีข่าวนกจับแมลงคิ้วเหลืองที่สวนสมเด็จฯ
แต่ผมก็เป็นคนขี้เกียจนี่ล่ะ เอาความสะดวกของตัวเอง ผลตอบแทนที่ได้
คือไปพบแต่ร่องรอยของนักถ่ายภาพ พบกับพี่ๆ ที่ยังคงมารอด้วยความหวัง
บอกว่านกน่าจะไปเมื่อสองวันก่อนแล้ว แต่มีกระเต็นแดงเพิ่งมาที่สวนรถไฟ
 
กล่าวคำขอบคุณ พร้อมกับถามหมาย พบว่าไม่ใช่สถานที่เดียวกับครั้งก่อน
เดินข้ามสะพานสีฟ้าไปก็เห็นกลุ่มนักถ่ายภาพกำลังรอ เข้าไปซุ่มอยู่ข้างๆ
ตัวนกอยู่ในป่ารกสูงกว่าตัวเมื่อปีก่อน แสงยังคงน้อยเหมือนเดิม



ปัญหาที่พบจากเมื่อปีที่แล้ว นอกจากภาพไม่คมชัด
เพราะว่าเรามีแค่เลนส์ถูกๆ สิ่งที่เราไม่ได้คำนึงก็คือ การคุม ISO
ภาพนกเมื่อปีที่แล้วจึงแตกพร่าเพราะ ISO พุ่งไปถึง 12800

ปีนี้เราจึงตั้ง ISO ไว้ที่ 3200 จากนั้นปล่อย speed shutter วิ่งไป
เท่าที่ยังถือไหว ขาตั้งกล้องก็มี แต่ว่าเป็นคนที่รักความสบาย
ก็เลยไม่เคยแบกไปด้วยสักที ไปถึงนกก็ลงพอดี กำลังจะถ่าย
ปรากฏว่า พี่เค้าเดินไปเติมอาหารนก

เอ่อ .. นกก็บินไป นั่งรอใหม่ .. จนกระทั่ง 15 นาทีผ่านไป
นกก็ลงมาเกาะ ถ่ายได้สามสี่ action ก็เก็บกล้อง
ไปซื้อกับข้าวที่ อตก ดีกว่า เพราะว่า ร้อนมาก
เดินกลับผ่านสวนสมเด็จฯ ข้ามถนนไปยังสถานี MRT จตุจักร
 
เป็นอันจบทริปตามนกอพยพประจำปี ไปอีกหนึ่งครั้ง


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=04-2023&date=21&group=22&gblog=127
.





95
Animals / สวนรถไฟ :นกกระเต็นแดง
« Last post by ppsan on 25 May 2025, 16:50:28  »
สวนรถไฟ :นกกระเต็นแดง




อิ่มท้องและอิ่มใจจากร้านก๋วยเตี๋ยว เราเดินกลับมาที่สถานีกรุงธนบุรี
ขึ้น ฺBTS กลับมาที่สถานีหมอชิตอีกครั้ง จุดหมายคือสวนรถไฟ
จากสถานีรถไฟฟ้า ก่อนหน้าเคยลองเดินไปสวนสมเด็จฯ ปรากฏว่าหน้ามืด
วันนี้เลยถามวินมอเตอร์ไซค์ บอกว่าไปสวนรถไฟ ราคา 40 บาท
 
เอาก็เอา ตอนนี้ตะวันตรงหัวพอดี ท่าจะไม่ดีแน่ ไม่ถึง 10 นาทีก็มาถึง
ได้หมายที่ชัดเจนเพิ่มเติมมาจากคนที่ไปถ่ายนกแต้วแร้วร้านก๋วยเตี๋ยวมา
เค้าบอกว่าเดินไปตามทางจักรยานไม่นานก็เจอ บ่อน้ำหน้าสวนรถไฟ
มีคนกลุ่มหนึ่งยืนถ่ายภาพกันอยู่ ตอนแรกที่ได้ข่าวเค้าว่าต้องใช้ blind
 
แต่ที่เราเห็นคือนกเกาะอยู่บนกิ่งไม้โล่งๆ เลย ไม่มีความกลัวคนสักนิด
ตาดว่าคงชินกับนักดูนกไปแล้ว เรายกกล้องเหนือไหล่คนข้างหน้า
และกดภาพไป 4-5 ชุด ดูภาพขยายใน viewfinder ว่าชัดไหม OK กลับได้
เราเดินย้อนกลับมาที่ประตูเดิม และทำในสิ่งที่อยากรู้มานาน
 
นั่นก็คือจากสวนรถไฟเราจะเดินไป MRT ได้ไหม ก็เดินตาม goolge map ไป
อุปสรรคที่ทำให้แทบถอดใจสำหรับคนวัยชรา นั่นก็คือสะพานลอยข้ามถนนวิภาวดี
มาถึงนี่แล้ว ก็ต้องข้ามไป ลงจากสะพานด้วยความดีใจที่เห็นสถานีพหลโยธิน
ซ่อนตัวอยู่ในสวนสาธารณะขนาดเล็กที่เป็นทางยกระดับข้ามไปยังถนนลาดพร้าว



นกกระเต็นแดง (Ruddy kingfisher) สองเพศเหมือนกัน ดูเผินๆ มีสีแดงทั่วทั้งตัว
ปากสีแดงหรือสีแสด ม่านตาสีน้ำตาลเข้ม หนังรอบตาสีแดง หน้าผาก หัวตา แก้ม
และขนคลุมหูสีแดงอมน้ำตาลออกส้ม กระหม่อม ท้ายทอย
ส่วนที่เหลือของหัว หลัง ไหล่ ปีก และหางสีแดงอมน้ำตาลเหลือบสีม่วงเป็นมัน
 
นกกระเต็นแดงในเมืองไทยสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
 Halcyon coromanda minor เป็นนกประจำถิ่น
อาศัยป่าชายเลนและป่าที่ราบต่ำทางภาคใต้ของไทย
คาบสมุทรมาลายา เกาะชวา และเกาะบอร์เนียว 
 
Halcyon coromanda coromanda เป็นนกอพยพ
มีถิ่นอาศัยอยู่บริเวณตะวันออกของหิมาลัย จีนตอนใต้-เนปาล พม่า
ซึ่งจะอพยพผ่านประเทศไทยลงไปถึงสุมาตราและชวา
สามารถพบได้ตามสวนสาธารณะทางภาคกลางภาคตะวันออก
ในช่วงขาไปตอนเดือนตุลาคม และขากลับในเดือนพฤษภาคม
 
จุดจำแนกหลักคือ ชนิดย่อยประจำถิ่นมีลำตัวสีเข้มกว่า โดยเฉพาะบริเวณหัว
ซึ่งเป็นสีส้มอมแดงเฉดเดียวกับแผ่นหลัง ในขณะที่ชนิดย่อยอพยพมีหัวเป็นสีส้มอ่อนกว่า
และแถบตะโพกสีฟ้าอ่อนของชนิดย่อยประจำถิ่นนั้นกว้างกว่าชนิดย่อยอพยพ



สรุปความรู้ที่ได้จาก trip นี้ คือ

การถ่ายภาพนกสวยๆ ที่เราเห็นนั้นต้องใช้บังไพรถ่ายจากระยะใกล้มาก
นกที่เห็นใน blog นี้ใช้เลนส์ระยะ 600 mm ในระยะ 5 เมตร ไม่มีการ crop ภาพ
 
คนดูนกมักจะชินกับการบอกระยะของกล้องส่องทางไกล
เช่นกล้องสองตากำลังขยาย 8 เท่า แล้วจะเทียบกับเลนส์ tele ได้อย่างไร
มีคนบอกว่าจะได้ภาพประมาณจากเลนส์ 400 mm
ดังนั้นเลนส์ 600 mm ก็จะเทียบได้กับระยะ กล้องสองตา 12 เท่า 
 
ภาพทั้ง 2 ชุดนี้ หากเอาไปเปิดข้อมูลดูจะเห็นว่า ใช้ ISO 12800 เลยทีเดียว
ทั้งที่เวลาถ่ายนั้นอยู่ในช่วงเที่ยงถึงบ่าย เพียงแต่นกนั้นอยู่ในร่มไม้
ดูด้วยตาเปล่าก็ไม่ถือว่าแสงน้อย แต่เนื่องจากไม่ได้ใช้ขาตั้ง
ต้องใช้ speed สูงราว 1/250 เลนส์มีค่ารูรับแสง F 11 คงที่
จึงต้องปล่อยค่า ISO ไหล หาก zoom ดูจะเห็นว่าภาพแตก
 
ดังนั้นภาพนกสวยๆ ที่เราเห็นจึงมาจากกล้อง เลนส์ ขาตั้งกล้องที่แพงกว่านี้มาก
นอกจากนี้ การรอคอยจังหวะและประสบการณ์ของผู้ถ่ายภาพก็เป็นสิ่งสำคัญ
ไม่น่าแปลกอะไรที่เวลาเค้ามา post ภาพ แล้วจะได้คนมากด like จำนวนมาก
เพราะการถ่ายภาพนกนี่เป็นอะไรที่ลงทุนสูงมากทุกอย่างเลย   


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=05-2022&date=25&group=22&gblog=129
.





96
ร้านก๋วยเตี๋ยว : นกแต้วแร้วอกเขียว




จากประสบการณ์ครั้งก่อนที่ปล่อยเวลานานเนิ่นเกินไป
จนกระทั่งไม่ทันนกบินกลับบ้าน คราวนี้เมื่อได้ข่าวเราก็รีบออกเดินทางทันที
เช้าวันศุกร์สัปดาห์นี้เป็นวันหยุดวันพืชมงคลพอดี เราออกจากบ้านแต่เช้า
เป้าหมายในวันนี้คือ ร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่งใจกลางกรุงเทพที่มีรายงานนกเทพ
 
นั่นก็คือ นกแต้วแร้วอกเขียว ซึ่งในชีวิตผมก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
จาก  MRT มาโผล่ BTS ที่สถานีหมอชิตแล้วนึกได้ว่า ทำไมไม่นั่งเรือมาถูกกว่า
แต่ก็นะเบลอๆ นั่งไปจนถึงสยามแล้ว interchange ไปลงสถานีกรุงธนบุรี
เดินเข้าซอยไปไม่ไกล ก็ไปถึงร้านราว 11 โมง เห็นรถจอดเต็มลาน
 
สั่งก๋วยเตี๋ยวแล้วไปนั่งสังเกตการณ์ ก็เห็นว่า ควรรีบไปแสดงเจตจำนงก่อนดีกว่า
ยกมือไหว้ท่านเจ้าของสถานที่เพื่อขอถ่ายนก ซึ่งก็เป็นโชคดีที่พี่เค้าบอกว่า
เหลือที่นั่งสุดท้ายพอดี จากอุปกรณ์ถ่ายรูปของเราบ่งชี้ว่าน่าจะเป็นมือสมัครเล่น
พี่เค้าจึงพูดต่อว่าไม่นานใช่ไหม  ใช่ครับ กลับนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอย่างไวที่สุดในชีวิต
 
แล้วพุ่งผ่านประตูรั้วเข้าไปในสวนอย่างเบาที่สุด พี่เจ้าของบอกเข้าไปได้เลย blind สีเขียว
ผมไม่เน้นภาพสวยงาม เน้นแค่ประสบการณ์ชีวิตเท่านั้น ใน blind ร้อนอบอ้าวพอตัว
ไม่ถึง 5 นาทีนกก็ลงกด shutter ไป 3-4 ชุด กด preview ดูรูปว่าชัด OK กลับได้
ออกมาเจอนักถ่ายภาพอีกท่าน กำลังยืนอยู่ ก็เลยบอกว่า เหลือที่นั่งอีกที่



แต้วแร้วอกเขียว  (Hooded Pitta)  ตัวผู้และตัวเมียเหมือนกัน หน้าผาก กระหม่อม
และท้ายทอยน้ำตาลเข้มเกือบดำ หน้า คอ และอกตอนบนดำ ขนลำตัวเขียว ตะโพกฟ้า
หัวไหล่มีแถบฟ้า ขนปีกบินดำมีแถบขาวเห็นชัดขณะบิน กลางท้องดำต่อด้วยสีแดงถึงก้น
 
ค้นพบโดย Philipp Statius Müller ในปีพ.ศ. 2319  เนื่องจากลักษณะ
การเดินหาอาหารอยู่ตามพื้นดิน จึงจัดถูกตั้งชื่อวิทยาศาสตร์
ให้อยู่ในสกุลเดียวกันกับนกเดินดงโดยให้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Turdus sordidus

จนกระทั่ง พ.ศ. 2359 นักปักษีวิทยาชาวฝรั่งเศส Louis Jean Pierre Vieillot
 ได้แยกออกมาเป็นสกุลใหม่คือ Pitta sordida มีชื่อสามัญว่า
Green-Breasted Pitta คนไทยจึงแปลว่า นกแต้วแร้วอกเขียว
 
นกชนิดนี้มีการกระจายตัวอยู่ในทวีปเอเชียตะวันออก คาบสมุทรมาลายาและหมู่เกาะ
แบ่งออกเป็น 12 ชนิดย่อย ที่พบในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มแรกเป็นนกประจำถิ่นทางภาคใต้ อีกกลุ่มเป็นนกที่อพยพมาจากมาเลเซีย

โดยจะขึ้นมาทำรังวางไข่ในแถบภาคกลางและภาคตะวันออกของประเทศไทย
ในราวช่วงเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนกรกฎาคม ความหายากของนกชนิดนี้
จัดอยู่ในระดับ less concern แปลว่า พบเห็นได้ง่าย



.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=05-2022&date=20&group=22&gblog=130
.




97
ซีรี่ย์จีน มหันตภัยแม่น้ำวิปโยค The Long River EP.1-40 จบ


ซีรี่ย์จีน มหันตภัยแม่น้ำวิปโยค The Long River EP.1-40 จบ






.
ขอขอบคุณ ที่มาของเรื่องและภาพ
https://upde.cc/titles/1262/ซีรี่ย์จีน-มหันตภัยแม่น้ำวิปโยค-the-long-river-ep1-40-จบ
.

https://upde.cc/titles/1262/%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%9B%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%84-the-long-river-ep1-40-%E0%B8%88%E0%B8%9A

.


98
มหันตภัยแม่น้ำวิปโยค The Long River


เรื่องย่อ มหันตภัยแม่น้ำวิปโยค The Long River
"The Long River มหันตภัยแม่น้ำวิปโยค" ซีรีส์จีนอิงประวัติศาสตร์ ถูกสร้างมาจากบันทึกมหาอุทกภัยแม่น้ำเหลืองที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของจักรพรรดิคังซี ที่เขียนขึ้นโดยเฉินหวงและจิ้นฝู่ สองวีรบุรุษที่สามารถควบคุมหายนะของแม่น้ำเหลืองได้สำเร็จ โดย "จางถิง" ผู้กำกับและผู้เขียนบท ได้ทำการปรับปรุงบทซีรีส์มานานถึง 10 ปี และเพื่อให้มั่นใจถึงความถูกต้องของข้อมูล ทีมงานซีรีส์ได้ทำการศึกษาเอกสารทางประวัติศาสตร์ ร่วมด้วยการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญมากมายจนในที่สุด ซีรีส์ก็ได้ฤกษ์ถ่ายทำในปี 2021 และออกฉายในปี 2022 และมีคะแนนพุ่งสูงสุดถึง 8.5 บน โต้วป้าน (Douban) เว็บไซต์วิจารณ์สื่อบันเทิงชื่อดัง โดยซีรีส์จะบอกเล่าเรื่องราวสมัยราชวงศ์ชิงในปีที่ 15 แห่งรัชสมัยของจักรพรรดิคังซี เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อเขื่อนแม่น้ำเหลืองแตก ทำให้ 9 มณฑล ตลอดจนเส้นทางหมื่นลี้ที่แม่น้ำไหลผ่านต้องพบกับความหายนะ ทำลายบ้านเมือง ทำลายพืชผล และคร่าชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วน เมื่อจักรพรรดิคังซี (หลัวจิ้น) ทราบข่าวจึงได้ประกาศให้เปิดการสอบราชการเพื่อค้นหาคนที่มีความสามารถในการควบคุมน้ำ และได้รับยอดฝีมืออย่าง เฉินหวง (อิ๋นฝ่าง) หนุ่มอัจฉริยะวัย 24 ปี ผู้รู้จักเส้นทางแม่น้ำเหลืองเป็นอย่างดี มาร่วมมือกับ จิ้นฝู่ (หวงจื่อจง) ข้าหลวงมณฑลอันฮุย ในการสยบแม่น้ำเหลือง ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมืองและความทุกข์ยากของประชาชน จักรพรรดิคังซีจะสามารถจัดการกับมหาอุทกภัยแม่น้ำเหลืองได้เช่นไร? ติดตามต่อได้ใน "The Long River มหันตภัยแม่น้ำวิปโยค"

มหันตภัยแม่น้ำวิปโยค ตอนที่ 01-40


.
https://www.monomax.me/title/104290-the-long-river.html

มหันตภัยแม่น้ำวิปโยค The Long River
.


99



..


หลัวจิ้น รับบท จักรพรรดิคังซี


หวงจื่อจง รับบท จิ้นฝู่


อิ๋นฝ่าง รับบท เฉินหวง




























.
ขอขอบคุณ ที่มาของเรื่องและภาพ
https://mgronline.com/drama/detail/9660000047152
.




100
มหันตภัยแม่น้ำวิปโยค The Long River


Review ซีรีส์ : “มหันตภัยแม่น้ำวิปโยค” อิงประวัติศาสตร์ ดูสนุกกว่าที่คิด เรื่องจริงการต่อสู้ระหว่างคนกับสายน้ำ
เผยแพร่: 22 พ.ค. 2566 13:20   ปรับปรุง: 22 พ.ค. 2566 13:20   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ออกตัวก่อนว่าซีรีส์จีนเรื่องนี้อาจจะไม่ได้เหมาะกับคอซีรีส์สายตะมุตะมิ แต่ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจประวัติศาสตร์จีน โดยเฉพาะถ้าเคยมีประสบการณ์น้ำท่วม และอินกับเรื่องการเมืองไม่ควรพลาดซีรีส์จีนอิงประวัติศาสตร์สุดยิ่งใหญ่เรื่องนี้ กับ ‘มหันตภัยแม่น้ำวิปโยค’ (The Long River - 2022) เพราะถึงจะเป็นซีรีส์ที่ออกฉายเมื่อปีที่แล้วในจีน แต่สำหรับประเทศไทยเพิ่งนำมาลงจอเป็นครั้งแรกทางแพลตฟอร์ม MONOMAX เมื่อไม่นานนี้

ซีรีส์ที่สร้างจากเรื่องจริงจากบันทึกมหาอุทกภัยแม่น้ำเหลือง (หวงเหอ, ฮวงโห) ภายใต้การบริหารของจักรพรรดิคังซี (ครองราชย์ ค.ศ.1661-1722) ที่เขียนขึ้นโดยเฉินหวงและจิ้นฝู่ สองวีรบุรุษแห่งยุคสมัยราชวงศ์ชิง ผู้สามารถควบคุมหายนะของแม่น้ำเหลืองได้สำเร็จ โดย ‘จางถิง’ ผู้กำกับและผู้เขียนบท ได้นำมาพัฒนาเป็นบทซีรีส์ที่ใช้เวลานานถึง 10 ปี เพื่อให้มั่นใจได้ถึงความถูกต้อง ครบถ้วน และแม่นยำของข้อมูล

สุดยอดซีรีส์ที่ได้ทั้งรางวัลและคำวิจารณ์

ซีรีส์เรื่องนี้เกิดจากการรวบรวมข้อมูลและการศึกษาเอกสารทางประวัติศาสตร์ ร่วมด้วยการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญมากมาย จนในที่สุดซีรีส์ก็ได้ฤกษ์ถ่ายทำในปี 2021 และออกฉายในปี 2022 เพื่อถ่ายทอดออกมาเป็นซีรีส์ที่มีความสมจริง ถูกต้องตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมากที่สุด บอกเล่าความพยายามในการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับสายน้ำ โดยขณะออกฉายเรียลไทม์ตัวซีรีส์มีคะแนนพุ่งสูงสุดถึง 8.5 บนโต้วป้าน (Douban) เว็บไซต์วิจารณ์สื่อบันเทิงชื่อดัง ซึ่งถือว่าเป็นซีรีส์อิงประวัติศาสตร์ที่ได้เสียงตอบรับดีไม่น้อย (เพราะปกติซีรีส์อิงประวัติศาสตร์มักจะไม่ค่อยได้รับการตอบรับดีเท่าไร) อีกทั้งยังได้รับรางวัลซีรีส์ยอดเยี่ยมประจำปี 2023 ในงานเทศกาลโทรทัศน์นานาชาติยุคใหม่ ครั้งที่ 3 รวมถึงได้รับเลือกให้เป็นซีรีส์ยอดนิยมของสมาชิก Mango TV ในปี 2022

‘มหันตภัยแม่น้ำวิปโยค’ (The Long River - 2022) ซีรีส์บอกเล่าเรื่องราวสมัยราชวงศ์ชิงในปีที่ 15 แห่งรัชสมัยของจักรพรรดิคังซี เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อเขื่อนแม่น้ำเหลืองแตก ทำให้ 9 มณฑล ตลอดจนเส้นทางหมื่นลี้ที่แม่น้ำไหลผ่านต้องพบกับความหายนะ ทำลายบ้านเมือง ทำลายพืชผล และคร่าชีวิตผู้คนนับหมื่น สร้างความเดือนร้อนเหลือคณา เมื่อ ‘จักรพรรดิคังซี’ (หลัวจิ้น) ทราบข่าวจึงได้ประกาศให้เปิดการสอบราชการเพื่อค้นหาคนที่มีความสามารถในการควบคุมน้ำ และได้รับยอดฝีมืออย่าง ‘เฉินหวง’ (อิ๋นฝ่าง) หนุ่มอัจฉริยะวัย 24 ปี ผู้รู้จักเส้นทางแม่น้ำเหลืองเป็นอย่างดี มาร่วมมือกับ ‘จิ้นฝู่’ (หวงจื่อจง) ข้าหลวงมณฑลอันฮุย ในการสยบแม่น้ำเหลือง ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมืองและความทุกข์ยากของประชาชน

นักแสดงทุ่มเทสุดตัว พร้อมเนรมิตฉากอลังการ

ตัวซีรีส์ระดมนักแสดงสายดราม่านับสิบชีวิตร่วมประชันบทบาท นำโดย หลัวจิ้น (ความสุขของซิ่งฝู 2022, ยอดนักขายมือทอง 2020, ลํานํากระเรียนทอง 2019), อิ๋นฝ่าง (ยอดคุณหมอหัวใจเกินร้อย 2022, เพราะเรามีกัน 2020) หวงจื่อจง (ลํานํากระเรียนทอง 2019) โดยได้ ‘จางถิง’ ผู้กำกับที่มีชื่อเสียงจากงานเขียนบทและกำกับซีรีส์เรื่องดัง อาทิ เติบโตอย่างหญิงแกร่ง (Wild Bloom 2022), สัประยุทธ์ทะลุฟ้า (Fights Break Sphere - 2018), ราชวงศ์หมิง Ming Dynasty - 2019)

ทั้งนี้เหล่านักแสดงและทีมงานทุ่มเทสุดกำลัง เพื่อให้เข้าถึงบทบาทและเพื่อความสมจริงของฉาก ไม่ว่าจะเป็นอิ๋นฝ่างและหวงจื่อจง ที่มีการเตรียมตัวก่อนถ่ายทำด้วยการศึกษาประวัติศาสตร์การอนุรักษ์แม่น้ำ และการหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เพื่อให้เข้าถึงบทบาทบุคคลในประวัติศาสตร์ ตลอดจนการเซ็ตฉากที่มีการขุดแม่น้ำเพื่อจำลองแม่น้ำเหลืองบนพื้นที่กว่า 25.3 ไร่ ณ เหิงเตี้ยนสตูดิโอ (สถานที่ถ่ายทำ) และจำลองเขื่อนสูง 6 เมตร อีกทั้งยังยกกองไปถ่ายทำ ณ สถานที่จริง บริเวณริมแม่น้ำเหลืองอีกด้วย

ตีแผ่กลยุทธ์การจัดการน้ำ ที่ต้องต่อสู้กับการคอร์รัปชั่น

ความน่าสนใจของซีรีส์เรื่องนี้คือการเล่าเรื่องที่แปลกใหม่ เพราะปกติเมื่อมีการหยิบยกซีรีส์อิงประวัติศาสตร์ในอดีตก็มักจะเล่าเรื่องผ่านสายตาของจักรพรรดิเป็นแกนหลัก หรือการเล่าการเปลี่ยนผ่านของราชวงศ์ ไม่ก็เล่าโฟกัสไปที่การแย่งชิงอำนาจ แต่ ‘มหันตภัยแม่น้ำวิปโยค’ กลับโฟกัสไปที่แนวทางการพยายามควบคุมน้ำ เพื่อหยุดมหาอุทกภัยที่สร้างความเดือนร้อนให้ชาวประชาในยุคคังชี

หากไปพลิกหน้าประวัติศาตร์จีนกันดีๆ กว่าครึ่งหนึ่งของประวัติศาสตร์จีนจะเท่ากับประวัติศาสตร์ฮวงโห การปกครองแม่น้ำฮวงโหจึงเป็นโครงการสำคัญมาตั้งแต่ยุคจีนโบราณ เพราะในอดีตแต่โบราณความยากลำบากในการปกครองแม่น้ำฮวงโห คือความยากลำบากในการปกครองเจ้าหน้าที่และประชาชนด้วย

แต่วงการภาพยนตร์หรือซีรีส์จีนกลับไม่เคยชูประเด็นนี้มาก่อนเลย ดังนั้นเนื้อหาของซีรีส์ ‘มหันตภัยแม่น้ำวิปโยค’ จึงถือเป็นพล็อตที่ค่อนข้างใหม่ ด้วยการนำเสนอมุมมองการบริหารจัดการน้ำผ่านสองตัวละครหลักอย่าง ‘จิ้นฝู่’ และ ‘เฉินหวง’ กับความพยายามเกินจะบรรยายในการคิดค้นกลยุทธ์และประดิษฐ์กรรม รวมถึงความทุ่มเทกำลังกายกำลังใจในการหาหนทางควบคุมและบริหารจัดการแม่น้ำเหลืองมาเป็นโครงหลักในการเล่าเรื่อง

ไม่เพียงดำเนินเรื่องเร็ว กระชับ ดูเข้าใจง่าย ยังแฝงข้อคิดเรื่องการรักชาติ การเสียสละ สะท้อนให้เห็นถึงระบบราชการในยุคราชวงศ์ชิง การคอร์รัปชั่น ระบบศักดินา ความขัดแย้งระหว่างขุนนางผู้ภักดีเห็นแก่ผลประโยชน์ของประชาชนและขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงที่ไม่สนสิ่งใดนอกจากเงินทอนใต้โต๊ะ ผ่านการยักยอกเงินค่าจ้างคนงานสร้างเขื่อน การโกงเงินสร้างเขื่อนไม่ได้คุณภาพ สร้างเรื่องเท็จใส่ร้ายขุนนางน้ำดี ส่งขุนนางที่ไม่มีความรู้เรื่องน้ำมาคุมบังเหียนเพียงเพราะเป็นพรรคพวกของตน การส่งส่วยโกงกินอย่างเป็นระบบตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำที่ดูแล้วชวนให้น่าหมั่นไส้

เนื้อเรื่องชวนติดตาม จัดหนักบทที่ยอดเยี่ยม

แม้หลายฉากในเรื่อง CG จะดูไม่เนียนอยู่บ้าง แต่อยู่ในเกณฑ์พอถ่ายทอดความร้ายกาจของแม่น้ำเหลืองแห่งนี้ได้อย่างน่าขนลุกสะเทือนอารมณ์อยู่ไม่น้อย โดยจุดที่ทำให้ซีรีส์แตกต่างไปจากซีรีส์อิงประวัติศาสตร์เรื่องอื่นๆ คือ การเพิ่มองค์ประกอบตลกและชั้นเชิงในการเล่าเรื่องให้ชวนติดตาม ให้จังหวะในการรับชมไม่ดูจริงจังและน่าเบื่อจนเกินไป ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่มักเกิดขึ้นกับซีรส์อิงประวัติศาสตร์ อีกทั้งจางถิงผู้กำกับพยายามเพิ่มประเด็นความร้ายแรงของอุทกภัยและการชิงดีชิงเด่นในวงขุนนางเข้ามาในเรื่อง ทำให้เนื้อหามีความตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น ตลอดจนตัวบทและฉากที่มีการลงลึกในเรื่องกลวิธีการบริหารจัดการน้ำ ฉากการสร้างเขื่อนสุดตระการ จนเรียกว่าต้องตบมือให้ในความทุ่มเทของทีมงาน

อีกหนึ่งจุดเด่นที่อดชื่นชมไม่ได้ คือ ทุกตัวละครในซีรีส์มีลักษณะนิสัยที่โดดเด่น มีการตีความตัวละครที่ชัดเจนแตกต่าง โดยเฉพาะชั้นเชิงการแสดงของ 3 นักแสดงนำอย่าง ‘หลัวจิ้น’ ที่ถ่ายทอดคาแร็กเตอร์ความเป็นจักรพรรดิคังซีที่มีความหลักแหลม เต็มไปด้วยศิลปะในการใช้คน และดูเป็นปุถุชนในมุมมองที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน รวมถึงหวงจื่อจงและอิ๋นฝ่าง ผู้มารับบทสองขุนนางผู้ต้องฟันฝ่าอุปสรรคนานาประการเพื่อไปถึงเป้าหมาย ซึ่งทั้งสองสามารถใช้ศัพท์แสงเกี่ยวกับการควบคุมแม่น้ำได้อย่างน่าประทับใจ ไปพร้อมๆ กับถ่ายทอดบทบาทของพวกเขาได้อย่างได้อย่างทรงพลัง

ท้ายสุดแล้ว หลังจากชมซีรีส์เรื่องนี้ คุณจะรู้สึกได้ถึงความกล้าหาญและความทุ่มเทของมวลมนุษย์ในการเอาชนะความยากลำบากของภัยพิบัติ โดยมีแบ็คกราวน์ของแม่น้ำฮวงโหเป็นจุดเริ่มต้น สามารถรับชมได้แล้วทาง MONOMAX จำนวน 40 ตอนจบ


.
ขอขอบคุณ ที่มาของเรื่องและภาพ
https://mgronline.com/drama/detail/9660000047152
.


Pages: 1 ... 8 9 [10]
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.085 seconds with 16 queries.