Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 07:15:30

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,290 Posts in 13,862 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Recent Posts

Recent Posts

Pages: [1] 2 3 ... 10
1

ภาคผนวก
“นพพร-กีรติ”

..

“นพพร-กีรติ”

​• เรื่อง “นพพร กีรติ” เป็นบทพิเศษของเรื่อง “ข้างหลังภาพ” เป็นจดหมาย ๒ ฉบับ ระหว่างนพพร กับ กีรติ ที่ “ศรีบูรพา” ประพันธ์ขึ้นใหม่ ซึ่งจัดพิมพ์เป็นครั้งแรกในหนังสือ “ผาสุก” โดยสำนักพิมพ์อุดม เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๔๘๖

• ตีพิมพ์เป็นครั้งที่สองใน “พิมพ์ไทยรายเดือน” ฉบับเดือน มิถุนายน ๒๕๕๒

• จัดพิมพ์เป็นครั้งที่สาม โดยสำนักพิมพ์สยาม ในหนังสือชื่อ มณีพรรณราย - รวมเรื่องสั้น ๑๒ นักประพันธ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖

• ตีพิมพ์ในนิตยสาร “โลกหนังสือ” ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ นับเป็นครั้งที่สี่

• จัดพิมพ์ครั้งที่ ๕ ในหนังสือเรื่อง “ศรีบูรพากับบทประพันธ์ ๔ เรื่อง” โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้าเมื่อเดือน มีนาคม ๒๕๒๘.

• จัดพิมพ์เป็นภาคผนวก ในเรื่อง ข้างหลังภาพ โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙. เป็นครั้งที่ ๖

----------------------------

 

​                                                                                                      โตเกียว

คุณหญิงที่รักของผม

ผมคอยจดหมายของคุณหญิง ด้วยความรู้สึกของคนเจ็บหนักเฝ้าคอยหมอ คุณหญิงเชื่อไหมว่ากลับจากมหาวิทยาลัยมาถึงบ้านในตอนบ่ายทุกวัน ผมเป็นต้องตรวจดูจดหมายที่ตู้รับจดหมายทุกครั้ง วันหนึ่งขณะนั่งถอดรองเท้าอยู่หน้าประตู ด้วยความเศร้าเหงาใจเป็นที่สุดนั้น โนบูโกะลูกสาวเจ้าบ้านได้วิ่งมาหา แล้วส่งซองจดหมายให้ผม พินิจลายมือหน้าซอง และถนัดแน่ว่าเป็นลายมือของใครแล้ว ผมสลัดรองเท้าออกไปจากเท้าโดยเร็วพลันและโดยไม่รู้สึกตัว จนแม่หนูโนบูโกะตะลึง แล้วผมก็วิ่งถลาเข้าไปในห้องของผม ปิดประตู ฉีกจดหมายด้วยมืออันสั่น และนอนอ่านจดหมายนั้นแต่ลำพัง ถ้าในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกกันว่าสวรรค์ชั้นดุสิตจริง ในเวลาที่อ่านจดหมายของคุณหญิง ผมก็ อยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิตกับพระอินทร์ พระพรหม หรือพระนารายณ์ก็ตาม.

ผมดีใจแท้ที่ได้ทราบว่าการพรรณนาถึงความรู้สึกของผม ที่มีต่อคุณหญิงในจดหมายสองฉบับแรกนั้นทำให้ผม “กลายเป็นชายหนุ่มที่ฉันจะต้องระมัดระวังในการติดต่อด้วย เธอไม่เป็นนพพรยอดยุวมิตรของฉันเสียแล้ว ความน่ารักน่าเอ็นดูอย่างเด็ก ๆ ของเธอเกือบสูญหายไปหมดแล้ว ดูเธอเป็นชายใหญ่ที่น่ากลัวพอใช้” ตามที่คุณหญิงได้เขียนมาในจดหมาย และผมยิ่งดีใจหนักขึ้นเมื่อได้ฟังคุณหญิงบ่นมาว่า คุณหญิงแทบจำนพพรคนที่คุณหญิงแรกพบไม่ได้.

ผมอยากให้เจ้าหนูนพพรมันตายไปเสียที ผมอยากเป็นชายหนุ่มใหญ่คนที่คุณหญิงได้รู้จักในจดหมายที่ผมได้เขียนไปถึงเพื่อว่าคุณหญิง​จะได้ไม่รู้สึกขบขันในความรักของเขา ไม่เล็งแลเห็นความรักของเขาไปในทางเหลวไหลไร้สติ.

ในจดหมายของคุณหญิง แม้ว่าจะล้วนแล้วไปด้วยคำเตือน คำขอ คำวอนให้ผมกลับคืนไปสู่ความเป็นเด็กเล็กแห่งมหาวิทยาลัยริคเคียว แต่ก็เต็มไปด้วยความกรุณาปรานีอย่างลึกซึ้ง และก็ในความกรุณาปรานีขนาดนั้น คุณหญิงจะให้ผมสิ้นหวังหรือว่าจะไม่มีความรักอันหวานฉ่ำระคนปนปรุงมาด้วย?

การที่จะให้ผมกลับไปที่หนังสือ และความใฝ่ฝันถึงชีวิตแห่งการงานอันเต็มไปด้วยเกียรติคุณอันรุ่งเรืองยิ่งนั้น ผมอาจที่จะรับคำขอนั้นด้วยความเต็มใจได้ แต่ที่คุณหญิงกล่าวว่า นพพรมีอนาคตงดงามน่าใฝ่ฝันยิ่งกว่าสตรีผู้นั้น ซึ่งเป็นแต่หลงเข้ามาในเส้นทางดำเนินชีวิตของเขาเพียงชั่วครู่ยามเดียวนั้น ผมจำต้องขอปฏิเสธอย่างรุนแรง.

ผมไม่คิดว่าจะมีความใฝ่ฝันใดในชีวิตของผมจะงดงามยิ่งไปกว่าความใฝ่ฝันถึงสตรีที่ผมลุ่มรักด้วยความรัก ซึ่งผมขอท้าทายไม่เลือกว่า ความรักของโรเมโอ หรือของใคร มาตรว่าผมยังเยาว์วัยอยู่ก็ตามที แต่ผมมีเลือดเนื้อพอที่จะรักสตรีซึ่งแสนที่จะน่ารักนั้นได้ ทั้งที่มีเจ้าของครอบครองอยู่แล้ว ผมไม่อาจจะช่วงชิงร่างกายของคุณหญิงจากเจ้าคุณอธิการบดีนั้นแน่นอน แต่ผมจะขอเป็นเจ้าของครอบครองดวงใจของคุณหญิงไว้อย่างเงียบ ๆ จะมิได้เจียวหรือ ถ้าเพียงแต่คุณหญิงจะออกปากยกให้สักคำเดียว.

คุณหญิงเชื่อไหมว่า หลังจากที่คุณหญิงจากโกเบไปได้สัปดาห์เดียว ผมได้เดินทางไปใช้เวลาในวันอาทิตย์ที่เขามิตาเกะอีกครั้งหนึ่ง ผมไปที่นั่นแต่ลำพัง ไปชมแดนดินถิ่นกำเนิดรักของเรา หรืออย่างน้อยก็ของผม ผมได้เดินทางไปถึงต้นทางน้ำตก กระแสน้ำในลำธารกว้าง​ใหญ่ยังคงไหลกระโชกกระชากไปบนก้อนหิน แล้วต่อไปก็ไหลแรงบ้างรวยรินบ้าง ผมเลาะลัดลงไปยืนอยู่บนก้อนหิน ซึ่งเท้าอวบงามของคุณหญิงได้เคยเหยียบลงที่นั่น คุณหญิงคงไม่ลืมดอกไม้ป่าสีม่วงที่ผมเก็บเสียบให้ที่เรือนผมของคุณหญิง และดอกไม้ป่าสีแดงที่คุณหญิงเก็บมาเสียบให้ที่รังดุมเสื้อของผม ณ ที่นั้นในกาลครั้งหนึ่ง เราพักผ่อนสำราญอยู่ด้วยกัน มีอิสระดังอาดัมและอีฟ ครั้นแล้วผมก็เดินทางต่อไปตามไหล่เขาจนขึ้นไปสู่ยอดเนินสูง แล้วผมก็หยุดยั้งอยู่ใต้ร่มไม้ซีดาร์ซึ่งแผ่กิ่งก้านแลสล้าง.

ผมพักผ่อนอยู่บนเขาลูกนั้นเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามชั่วโมง เพื่อจะสูดประทิ่นกลิ่นกายของคุณหญิง เพื่อจะสูดกลิ่นความรักของผมที่ได้ระเบิดออกมาบนเนินสูงนั้น เพื่อจะชื่นชมอนุสรณ์แห่งเหตุการณ์อันได้ประทับตรึงตราอยู่ในชีวิตของเรา ดูเหมือนว่ารอยเท้าและรอยร่องของคุณหญิงยังคงปรากฏอยู่ในที่ทุกแห่ง ซึ่งคุณหญิงได้เคยทอดเท้าและทอดร่างลงไป.

“นพพร, เธออย่ามองฉันด้วยแววตาเช่นนั้นซิ” เสียงสั่นน้อย ๆ ของคุณหญิงยังแว่วกังวานอยู่ในโสตของผม และในบัดดลนั้นผมก็รู้สึกเสมือนคนสิ้นสติ ประคองกอดคุณหญิงไว้แนบแน่น และจุมพิตด้วยสุดแสนเสน่หา.

“นพพร, เธอไม่รู้ว่าเธอได้ทำอะไรลงไป” เสียงของคุณหญิงยังคงสั่นสะเทือนอยู่.

“ผมรู้ว่า ผมรักคุณหญิง.”

“เป็นการสมควรหรือที่เธอจะแสดงความรักต่อฉันโดยวิธีเช่นนี้”

“ผมไม่ทราบว่า เป็นการสมควรหรือไม่ แต่ความรักมีอำนาจเหนือผม ความรักรัดรึงใจผมอย่างที่สุด ทำให้ผมหมดสติ”

​แล้วคุณหญิงมองดูผมด้วยแววตาโศก พลางพูดว่า “เธอแสดงความรักของเธอในเวลาที่ไร้สติ? เธอไม่รู้หรือว่า ไม่มีการกระทำอะไรที่เราจะต้องเสียใจในภายหลัง เท่าการที่เราได้กระทำไปในเวลาที่ไร้สติ”

แล้วผมก็จำนนต่อเทศนาอันหวานฉ่ำยืดยาวของคุณหญิง แต่เหตุข้อนั้นไม่มาบั่นทอนบรรเทาความรักของผม ความรักที่ดื่มด่ำอยู่ในดวงใจ ความรักที่ผสมกลมกลืนอยู่ในสายเลือด ความรักเช่นนั้นย่อมท้าทายศีลธรรมจรรยาที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์ขึ้น ความรักเช่นนั้นย่อมสถิตอยู่เหนือเหตุผล ความรักดำเนินไปในวิถีทางตามความบังคับของกฎธรรมชาติ.

ผมจำนนต่อเหตุผลของคุณหญิงก็จริง แต่ผมหาอาจบังคับความรักของผมให้คุกเข่าต่อเหตุผล และกฎเกณฑ์แห่งศีลธรรมจรรยาที่คุณหญิงยกขึ้นมากล่าวอ้างได้ไม่.

ผมยังจดจำภาพที่คุณหญิงได้ผลักดันผมโดยละม่อมออกห่างจากทรวงอกของคุณหญิง และภาพที่คุณหญิงยืนพิงต้นซีดาร์หายใจหอบระทวยอยู่ และมองดูผมด้วยสายตาซึ่งผมอ่านไม่ออกจนกระทั่งบัดนี้ ว่ามีความรู้สึกอะไรปรากฏอยู่ในดวงตานั้นบ้าง.

ผมได้ใช้เวลาในวันนั้นสูดกลิ่นเหตุการณ์ความสัมพันธ์ของเรา ด้วยความรู้สึกชื่นฉ่ำในทิพยรสจนผมเพลียไปด้วยเหตุนั้น ครั้นแล้วผมก็ทอดกายลงนอนพักอยู่ใต้ร่มซีตาร์ บนพื้นที่เดียวกับที่คุณหญิงได้เคยทอดร่างลงพักผ่อนมาแล้วครั้งหนึ่ง ไอดิน ณ ที่นั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นกายของสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งผมมีความรักภักดีอย่างแสนสุด.

ครั้นแล้ว ความรำลึกรำพึงของผมได้ย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์ที่หาดกามากูระ ไปสู่เหตุการณ์เมื่อเราไปลอยเรือกรรเชียงอยู่ในสวน​สาธารณะแต่ลำพังในราตรีเดือนหงาย ซึ่งคุณหญิงงามเฉิดฉายดังดอกคริสแซนติมัมที่มีชีวิตวิญญาณ ความรำลึกรำพึงของผมดำเนินต่อไปถึงเหตุการณ์ที่โอซากาโฮเต็ล ซึ่งผมยังมีเวลาจะอยู่ใกล้ชิดคุณหญิงเพียง ๖-๗ ชั่วโมงเท่านั้น.

“คุณหญิงรักผมไหม?” ผมถามเมื่อคุณหญิงเข้ามาเยี่ยมผมในห้องนอน.

“ฉันเป็นเพื่อนตายของเธอ” ตอบพลางคุณหญิงดึงผ้าไหมที่พันอยู่กับคอส่งให้ผม “โปรดรับสิ่งนี้ไว้เป็นที่ระลึกต่างตัวฉัน”

แล้วคุณหญิงยื่นมือมาให้ผมสัมผัส ผมก้มลงพิศดูมือที่ยื่นมานั้นด้วยความโศกและป่วนใจ จับและบีบแน่นด้วยความพิศวาส ครั้นแล้วผมยกหัตถ์อ่อนละมุนแดงเรื่อด้วยสายเลือดนั้นขึ้นจุมพิต คุณหญิงยืนก้มหน้าสงบ แล้วพูดให้สติผมว่า “โปรดบังคับใจให้ดี”

ตอนที่ผมจะผละจากเรือเดินสมุทรซึ่งจะพาคุณหญิงกลับคืนไปสู่ประเทศไทย และในชั่ววินาทีสุดท้ายที่เรากำลังจะจากกัน ผมได้กระซิบถามเป็นครั้งสุดท้ายว่า “คุณหญิงรักผมไหม?”

“รีบลงไปเสียเถิดนพพร” พูดแล้วคุณหญิงยกมือปิดหน้าชั่วขณะหนึ่ง “รีบไปเสีย ฉันแทบใจจะขาด”

คุณหญิงกัดริมฝีปากล่าง ผมทำเช่นเดียวกัน เรามีน้ำตาคลอตาด้วยกันทั้งสองคน.

“ลาก่อน” ผมกระซิบคำสุดท้าย และเมื่อปล่อยมือคุณหญิง ผมรู้สึกประหนึ่งว่าดวงใจของผมได้ติดไปกับอุ้งมืองามนั้น.

ผมได้ไปใช้เวลารำลึกรำพึงถึงคุณหญิง และเหตุการณ์ความสัมพันธ์อันรัดรึงใจเราอยู่บนเขามิตาเกะตลอดวัน ผมเดินทางกลับบ้าน​ในวันนั้นด้วยความรู้สึกเหมือนว่าคุณหญิงได้ออกเรือจากท่าเมืองโกเบไปเมื่อบ่ายวันวานนี่เอง.

ชั่วแต่เวลาที่ผมอาบน้ำเท่านั้น ที่ผ้าไหมผืนนั้นอยู่ห่างจากลำคอของผม มันอุ่นจิตอุ่นใจ มันรัดรึงใจผมให้จดจ่ออยู่ที่จะระลึกถึงคุณหญิงมิได้เว้นวาย ผมสูดกลิ่นผ้าไหมยังได้สูดกลิ่นกายของคุณหญิงฉะนั้น.

ผมขอกราบมาที่ตักของคุณหญิง ด้วยจะขอรับอภัยที่ได้คร่ำครวญรำพันถึงความรักมาอย่างยืดยาวในจดหมายฉบับนี้ ผมไม่ประสงค์จะละเมิดเสาวนีย์ของคุณหญิงเลย แต่ความรักของผมมันมีความสำนึกภาคภูมิและเย่อหยิ่งเกินกว่าที่ผมจะบังคับกดขี่มันได้ ขอได้โปรดอภัยผม.

ผมขอสารภาพว่า ผมไม่มีหัวคิดที่จะเขียนถึงคุณหญิงด้วยเรื่องอื่น นอกจากจะพร่ำพรรณนาถึงเรื่องความรักแต่อย่างเดียว เพราะว่าความรักท่วมท้นเนืองนองอยู่ในหัวใจผม คุณหญิงรักผมไหม?

                                                                     ผมรักคุณหญิงไม่จืดจาง

                                                                             นพพร.

----------------------------

 

​                                                                                                      กรุงเทพฯ

ยอดยุวมิตรของฉัน

เมื่อ ๒-๓ วันมานี้ ฉันได้รับจดหมายจากชายหนุ่มใหญ่คนหนึ่งในโตเกียว พรรณนาถึงความเสน่หาอันหนักต่อสตรีคนหนึ่ง ซึ่งเป็นสตรีที่ฉันเองมีความสมเพชเวทนาอย่างที่สุด ฉันขอว่าเธออย่ารับสมอ้างว่า ชายหนุ่มใหญ่คนนั้นเป็นตัวเธอ เพราะเธอเพิ่งมีอายุได้ ๒๐ ปีเศษ และกำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย ส่วนชายหนุ่มใหญ่คนนั้นเป็นผู้ที่ไม่มีหัวคิดจะทำอะไรเลย นอกจากจะพร่ำพูดถึงแต่ความเสน่หาอย่างเดียว ชายหนุ่มผู้นั้นไม่มีอะไรที่จะเหมือนกับยอดยุวมิตรของฉันเลย นอกจากจะมีนามว่า นพพร ซึ่งไปตรงกับนามของเธอเข้าเท่านั้น

แต่ถ้าในที่สุด เธอยังขัดขืนเป็นฝ่ายรับว่า ชายหนุ่มใหญ่คนนั้นเป็นคนเดียวกับเธอแล้ว เธอก็เป็นผู้ที่ก่อความพิศวงให้ฉันอย่างยิ่ง เธอทำให้ฉันรู้สึกไปว่า ในชั่วเวลาเดือนสองเดือนที่ฉันได้จากเธอมา เธอได้เติบโตเป็นชายหนุ่มใหญ่จนฉันจำไม่ได้ จนฉันคิดว่า ฉันกับเธอจะต้องตั้งต้นทำความรู้จักกันใหม่ โดยการแนะนำของใครสักคนหนึ่ง

เธอมาทำให้ฉันนึกถึงคำที่เวตาลพูดว่า แม้เทวดาก็ขืนใจคนหัวดื้อไม่ได้ ฉันดูเธอดื้อดึงนัก ในจดหมายฉบับหลังที่สุดนี้ ดูเธอไขหูต่อคำวอนของฉันเสียทุกข้อ เธอลืมที่ฉันสั่งไปหรือว่า ในเวลาที่เขียนถึงฉัน เธอควรจะเข้าไปเขียนในตู้น้ำแข็ง เพื่อว่าในจดหมายของเธอจะไม่เต็มไปด้วยความรู้สึกเร่าร้อนนัก ฉันคิดว่า ในเวลาที่เขียนถึงฉันครั้งหลังที่สุดนี้ เธออยู่ในฤดูเหมันต์ และกำลังจะได้เขียนในกองหิมะอยู่แล้ว แต่ไฉนเธอกลับไปไกลกว่าเก่าอีกเล่า?

​ยอดยุวมิตรของฉัน จดหมายของเธอมาทำให้ใจคอของฉันสั่นสะเทือนไปหมด เธอรู้ไหม? ฉันทั้งเศร้า ทั้งสงสารอย่างจับใจ และฉันนึกติตัวเองรุนแรงเพียงใด เธอรู้ไหม? เวรกรรมใดเล่าที่ส่งฉันไปโตเกียว และให้ได้ไปพบกับเธอ ครั้นแล้วเหตุการณ์ที่เศร้าสลดใจยิ่งก็อุบัติขึ้น ความรู้สึกบริสุทธิ์งามของเธอได้ถูกเผาไหม้เกรียมไป โดยความเป็นผู้หญิงของฉัน และโดยที่ฉันเป็นตัวของฉัน จิตใจหนุ่มแข็งแกร่งของเธอได้ตกสู่ความพิการไป ความละเอียดอ่อนแห่งชีวิตไร้เดียงสาของเธอ ถูกบดขยี้อย่างน่าเสียดายยิ่ง ฉันจะต้องชดใช้บาปกรรมอันนี้ไปอีกกี่ปีกี่ชาติกันเล่า จึงจะสิ้นเวรสิ้นกรรมกันที ถ้าเพียงแต่ฉันไม่ได้ไปโตเกียว และมิได้พบกับเธอเท่านั้นแล้ว เธอก็จะไม่ถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนแห่งความเสน่หาอันหนักถึงเพียงนี้ เธอก็จะไม่สูญเสียอาณาจักรแห่งความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเธอให้แก่สิ่งซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างสรรค์ขึ้นเป็นตัวตนของฉัน ถ้าเพียงแต่เธอกับฉันจะไม่ได้พบกันเท่านั้น แล้วเราทั้งสองก็จะไม่ตกสู่ความฝันร้ายถึงปานฉะนี้

แต่ในที่สุดเราก็ได้พบกันแล้ว เธอคงจะกลับเขียนมาเตือนสติฉันในจดหมายฉบับหลัง และก็จะมีประโยชน์อันใด ที่เรามัวมาคร่ำครวญวิงวอนให้สิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ให้กลับกลายไปสู่สภาพดุจที่ไม่เคยเกิดอีก นโปเลียนหรือซีซาร์ก็จะหมุนเข็มนาฬิกาของโลกกลับไปข้างหลังอีกไม่ได้ เธออาจจะเขียนตัดพ้อมาถึงฉันอย่างหัวเสียในฉบับหลัง

มิตรน้อยของฉัน ขอเธอจงมั่นใจเถิดว่า ฉันจะไม่พยายามกระทำและหวังในสิ่งที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดในโลกได้กระทำสำเร็จมาก่อน ฉันจะไม่พยายามหมุนเข็มนาฬิกาของโลกกลับไปข้างหลังเป็นอันขาด เราย่อมจะไม่พยายามทำเช่นนั้นตราบเท่าที่เรายังมีสติสัมปชัญญะดีอยู่

แต่ก็เป็นความจริงเหมือนกันมิใช่หรือว่า การที่เธอจะคงปล่อยใจ​ให้ผูกพันฝันใฝ่ในตัวฉันสืบต่อไปนั้น ก็เป็นการใฝ่ฝันในสิ่งที่ว่างเปล่าและเป็นไปไม่ได้ดุจเดียวกัน ฉะนั้นแล้ว เธอจะคงยึดถือความผูกพันอันนั้นไว้เพื่อประโยชน์อันใดเล่า นี่แหละเป็นข้อที่ฉันอยากจะขอให้เธอตั้งเป็นข้อถามขึ้นถามแก่ตัวเธอเอง

เธอย่อมทราบดีว่า ฉันมีความรักใคร่เอ็นดูเธอลึกซึ้งปานใด และด้วยความรักใคร่เอ็นดูอันนี้แหละที่จะสั่นสะเทือนใจฉันทุกครั้ง ที่เธอพรรณนาถึงความรู้สึกอันเร่าร้อนของเธอที่มีต่อฉัน ที่จะนำความเจ็บปวดด้วยพิษสงสารมาสู่ความรู้สึกของฉันอย่างเหลือที่จะพรรณนา

ฉันจึงใคร่ขอต่อเธออีกครั้ง ดังที่ได้เคยขอไปแล้วครั้งหนึ่งในจดหมายฉบับก่อน คือขอว่า เธอจงเงยหน้าขึ้นเผชิญกับของจริง ของจริงที่ว่า หน้าที่ของเธอในกาลปัจจุบันนี้มีอยู่อย่างไร และหน้าที่ของฉันมีอยู่อย่างไร ตลอดเวลาที่จะอยู่ต่อไปในโตเกียวนั้น หน้าที่ของเธอมีอยู่อย่างเดียวแต่ว่าจะต้องศึกษาเล่าเรียนจนบรรลุความสำเร็จตามความมุ่งหมายอันสูงของเธอ มิใช่ว่าจะมัวเอาเวลามาใช้ให้เปลืองไปในการรำพึงถึงสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งจะไม่มีคุณค่าสาระอะไรต่ออนาคตอันรุ่งเรืองของเธอเลย ส่วนหน้าที่ของฉันนั้นเล่า ก็มีอยู่ว่าจะต้องภักดีต่อท่านเจ้าคุณสามีด้วยข้อผูกพันแต่เพียงว่า ฉันเป็นภรรยาของท่าน โดยไม่จำต้องคำนึงถึงอุดมคติในทางความรักแต่ประการใด สิ่งทั้งสองนี้เป็นของที่จะต้องแยกออกจากกัน ในเมื่อเรายังครองตัวอยู่ในโลกที่ถูกร้อยรัดไว้ด้วยระเบียบแห่งศีลธรรมจรรยา

ยอดยุวมิตรของฉัน ฉันขอวอนเธออีกครั้งหนึ่ง ขอเธอจงปฏิบัติหน้าที่ของเธอเพื่ออนาคตอันรุ่งเรืองของเธอเอง และขออย่าเรียกร้องให้ฉันต้องละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ของฉันเสียเลย หน้าที่ของแต่ละคนอาจมีได้ตรึงตราอยู่แต่อย่างหนึ่งอย่างเดียวจนชั่วชีวิต ประตูแห่งกาล​อนาคตย่อมเปิดอ้าไว้เสมอ สำหรับต้อนรับการเปลี่ยนแปลง และโอกาสอาจจะมีสักครั้งคราวหนึ่งที่ทุกคนจะกระทำตามความคิดความปรารถนาของเขาได้ เธอจงยับยั้งตรึกตรองและบังคับใจไว้ให้ดี

และ ณ บัดนี้ ฉันขอออกกฎหมายแก่เธอ ฉันขอห้ามเป็นเด็ดขาดมิให้เธอกล่าวถึงเหตุการณ์บนเนินเขามิตาเกะอีกเลย ฉันขอสั่งลบคำไม้ซีดาร์ออกจากปทานุกรมพฤกษศาสตร์ของเธอ เธอจะต้องไม่รู้จักพันธุ์ไม้พันธุ์นี้ตลอดไป ตราบเท่าที่ข้อบังคับของฉันยังคงใช้อยู่ ถ้าเธอละเมิดกฎหมายของฉันเมื่อใด เธอก็จะได้รับอาญาของฉันทันที ฉันจะลงโทษเธอโดยทอดทิ้งเธอไว้แต่ลำพัง โดยไม่เขียนถึงเธอมีกำหนดเวลา ๓ เดือน และถ้าเธอยังขืนกระทำความผิดซ้ำอีก เธอจะได้รับโทษเพิ่มเติมในฐานไม่เข็ดหลาบอีกด้วย ฉันขอเรียกร้องให้เธอเคารพต่อบทกฎหมายของฉันอย่างเคร่งครัด

ฉันไม่ขัดข้องที่เธอจะกล่าวถึงเหตุการณ์ที่หาดกามากูระ เหตุการณ์ในราตรีเดือนหงาย ณ สวนสาธารณะที่ตำบลอาโอยามาชิฮัง และเหตุการณ์อื่น ๆ ตลอดจนผ้าพันคอไหมผืนน้อยนั้น แต่เธอก็จะต้องกล่าวถึงแต่โดยสุภาพ และโดยปราศจากความรู้สึกเร่าร้อนรุนแรง

จงคิดถึงฉันเถิดคนดี คิดถึงแต่น้อย ๆ และนานเท่าใดก็ได้

ฉันคิดถึงและเอ็นดูเธอไม่จืดจาง จะคิดถึงและเอ็นดูเธอชั่วนิรันดร ขอลาก่อนมิตรน้อยของฉัน

                                                                       ด้วยใจจดจ่อในความผาสุกของเธอ

                                                                                       กีรติ

 



2

๑๙

ข้าพเจ้าไม่ได้คิดฝันไปเลยแม้แต่น้อยว่า การไปเยี่ยมหม่อมราชวงศ์กีรติในครั้งนั้น จะเป็นการเปิดฉากแห่งกาลอวสานของเธอ และร้ายกาจอะไรเช่นนั้นเล่าที่ฉากใหม่ได้ปิดลงในเวลาอันรวดเร็วนัก!

การแต่งงานระหว่างข้าพเจ้ากับปรีดิ์คู่หมั้น ได้กระทำลงตามวันเวลาที่ได้กำหนดไว้ ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวถึงว่าการแต่งงานของเราได้เป็นไปอย่างเอิกเกริกมโหฬาร เป็นที่ปลาบปลื้มยินดีแก่ตัวข้าพเจ้าและภรรยาของข้าพเจ้าเพียงใด. ข้อที่ข้าพเจ้านึกเสียดายอยู่ไม่วายก็คือ หม่อมราชวงศ์กีรติมิได้มาในวันแต่งงานของเรา เธอให้คนถือหนังสือมาให้ข้าพเจ้าในตอนบ่าย บอกว่าเธอป่วยไม่สามารถจะมาได้ และได้ประสาทพรมาในจดหมาย และได้บอกไว้ด้วยว่าจะมาเยี่ยมข้าพเจ้าเมื่อคลายป่วยแล้ว.

ข้าพเจ้าได้กะการไว้แล้วว่า จะพาภรรยาไปพักผ่อนที่หัวหินสักสองสัปดาห์. ก่อนจะลงไปหัวหิน ข้าพเจ้าได้พาภรรยาไปเยี่ยมหม่อมราชวงศ์กีรติที่บ้าน ซึ่งเป็นเวลาหลังจากแต่งงานแล้ว ๓ วัน. ​เธอบอกกับเราว่าค่อยคลายจากความป่วยไข้แล้ว และตั้งใจจะไปเยี่ยมเยียนเราในเร็ววัน. ข้าพเจ้าสังเกตเห็นได้ถนัดชัดเจนว่าเธอซูบเซียวลงไปกว่าปรกติ. เมื่อได้รับคำซักถามถึงอาการเจ็บป่วย เธอบอกว่ารู้สึกอ่อนเพลียและในวันแต่งงานของเรานั้นมีอาการเป็นไข้ด้วย. ในวันนั้นหม่อมราชวงศ์กีรติดเชื่อมซึมไป พูดน้อย. เธอขอให้เราเล่าถึงความเป็นไปในวันแต่งงาน แล้วเธอก็นิ่งฟัง และซักบ้างเป็นครั้งคราว และถามถึงความรู้สึกของปรีดิ์ในวันแต่งงาน. ข้าพเจ้าใช้เวลาเยี่ยมเธอในวันนั้นประมาณ ๑ ชั่วโมงก็ลากลับ ด้วยเกรงว่าเธอจะไม่มีความผาสุกเนื่องด้วยยังไม่สบายเป็นปรกติ.

ออกมาข้างนอก ปรีดิ์ออกความเห็นว่า “อ่อนหวานและยังสวย แต่ว่าดูเป็นคนลึกลับอยู่สักหน่อย.”

□ □ □

๒ เดือนผ่านไป. เหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยความอกสั่นขวัญหาย และเปิดเผยความลับทั้งมวลได้อุบัติขึ้นในเย็นวันหนึ่งของเดือนธันวาคม!

ในเย็นวันนั้น เมื่อข้าพเจ้ากลับจากที่ทำการมาถึงบ้าน และยังไม่ทันผลัดเครื่องแต่งกาย เด็กเข้ามาบอกว่ามีสุภาพสตรีผู้หนึ่งมาหา ต้องการพบข้าพเจ้าเป็นการด่วน ข้าพเจ้าจึงรีบไปพบในห้องรับแขก. สุภาพสตรีผู้นั้นคือน้าของหม่อมราชวงศ์กีรติ ซึ่งนั่งคอยข้าพเจ้าอยู่ด้วยสีหน้าท่าทีที่เต็มไปด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย.

“คุณหญิงต้องการพบผมเป็นการด่วนหรือครับ?” ข้าพเจ้าเริ่มคำปราศรัย

“คุณหญิงกำลังป่วยหนัก” หล่อนพูด.

“เมื่อผมไปพบครั้งหลังนั้น ก็กำลังสบายดีขึ้นแล้วไม่ใช่หรือครับ?” ​ข้าพเจ้าตั้งคำถามด้วยความตกใจและประหลาดใจระคนกัน “นี่ป่วยเป็นอะไรไปอีก.”

หล่อนเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า หม่อมราชวงศ์กีรติได้ป่วยเป็นวัณโรคอ่อน ๆ มาประมาณสองปี เดิมทีก็เป็นที่เข้าใจกันว่า ถ้าได้รับการรักษาพยาบาลเป็นอย่างดีแล้ว อาการของโรคก็จะไม่กำเริบรุนแรงจนถึงจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตโดยรวดเร็ว และมีหวังว่าจะหายได้ แต่ต่อมาเมื่อ ๒ เดือนล่วงแล้ว อาการของโรคได้ผันแปรไปในทางรุนแรงขึ้น และในระยะ ๒-๓ วันมานี้มีอาการหนักขึ้นอย่างเป็นที่น่าวิตกมาก มีไข้อย่างแรง มีอาการเพ้อเป็นครั้งคราว และในเวลาที่เพ้อนั้นมักจะพรรณนาถึงเมื่อครั้งไปเที่ยวญี่ปุ่นกับเจ้าคุณสามี และออกชื่อข้าพเจ้าเนือง ๆ.

“เวลามีคนไปเยี่ยม และยังไม่ทันจะออกนาม เธอมักจะถามทุกครั้งว่า ‘นพพรมาเยี่ยมฉันหรือ?’ เธอถามในเวลาที่มีสติ.” หล่อนเล่าให้ข้าพเจ้าฟังต่อไป “เมื่อตอบว่าไม่ใช่ เธอก็ถอนใจใหญ่และไม่พูดอะไร ครั้นดิฉันถามว่าต้องการพบคุณนพพรหรือ เธอก็ส่ายหน้าและซ้ำกำชับแข็งแรงว่า ‘อย่าไปตามนพพร อย่าไปรบกวนความสุขของเขาเป็นอันขาด’ แต่เมื่อมีคนมาเยี่ยมอีก เธอก็ถามถึงคุณอีก ดิฉันเชื่อแน่ว่าเธอต้องการพบคุณอย่างที่สุด แต่ดิฉันก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเธอจึงไม่ให้มาตาม. ดิฉันสงสารเธอเหลือเกิน และทนดูต่อไปไม่ได้ จึงได้ปลีกเวลามาพบคุณ. แต่ดิฉันไม่ได้บอกให้เธอทราบ ดิฉันหลอกเธอว่าหมอให้มาซื้อยา และหมอทราบความจริงดีว่าดิฉันจะไปไหน.”

ข้าพเจ้าแทบไม่เชื่อว่าการณ์จะเป็นไปจริงตามนั้น. เหตุใดหม่อมราชวงศ์กีรติจึงล้มเจ็บลงอย่างหนักโดยเร็วพลันนัก และเหตุใดเธอจึงเพ้อพูดออกนามข้าพเจ้ามิหยุดหย่อน แต่การณ์ก็เป็นไปจริงตามที่คุณน้าของเธอได้เล่าให้ฟังทุกประการ. ข้าพเจ้าไม่ได้ซักถามอะไรอีก​เมื่อผู้เล่าได้เล่าจบลง. ข้าพเจ้าตกใจและเป็นห่วงชีวิตของเธออย่างยิ่ง. เรารีบตรงไปบ้านหม่อมราชวงศ์กีรติทันที. ใกล้จะถึงบ้านข้าพเจ้าได้รับกำชับว่าอย่าได้แพร่งพรายให้เธอทราบเป็นอันขาดว่า ได้มีผู้มาตามข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้ารับคำอย่างมั่นคง.

คุณนายผู้นั้นนำข้าพเจ้าไปพักในห้องรับแขก สักครู่หนึ่งนายแพทย์ผู้ทำการรักษาพยาบาลหม่อมราชวงศ์กีรติ ได้เข้ามาสนทนากับข้าพเจ้า. ท่านนายแพทย์ได้บอกให้ข้าพเจ้าทราบว่า อาการของคนไข้อยู่ในที่หมดหวัง จะเร็วหรือช้าเท่านั้น. ข้าพเจ้าได้ทราบจากท่านนายแพทย์ด้วยว่า พวกญาติของหม่อมราชวงศ์กีรติทุกคนลงความเห็นว่า เราทั้งสองคงจะต้องมีความสัมพันธ์ต่อกันเป็นพิเศษ และโดยเหตุฉะนั้น หม่อมราชวงศ์กีรติก็ควรจะได้พบข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งก่อนจะตาย. ข้าพเจ้านั่งฟังอยู่โดยอาการสงบสำรวม ในใจเต็มตื้นไปด้วยความกำสรดโศกสุดที่จะพรรณนา.

ข้าพเจ้ารอคอยอยู่ประมาณ ๑๐ นาที คุณนายผู้นั้นจึงได้ออกมาพบและรายงานให้ทราบว่า ข้าพเจ้ามาเหมาะกับเวลา เพราะว่า​หม่อมราชวงศ์กีรติกำลังมีสติค่อนข้างเป็นปรกติ.

“คุณหญิงพร้อมที่จะให้ผมเข้าไปพบหรือยัง?” ข้าพเจ้าถาม.

“โปรดค่อยอีกสักครู่เถิดค่ะ เธอกำลังแต่งตัว.”

“เอ๊ะ! ทำไมต้องแต่งตัว?” ข้าพเจ้าอุทานด้วยความแปลกใจ “ก็คุณนายบอกผมว่าคุณหญิงเจ็บหนักไม่ใช่หรือครับ? ทั้งนายแพทย์ก็ยืนยันเช่นนั้น.”

คุณนายนั่งลงแล้วเล่าเรื่องให้เราฟัง.

“คุณหญิงกำลังเจ็บหนักถูกแล้วค่ะ และดิฉันก็ไม่ทราบว่าเหตุใดเธอจึงจะต้องแต่งตัว. ดิฉันได้ท้วงว่าคุณนพพรมิตรสนิทของเธอมาเยี่ยม ไม่จำเป็นจะต้องเอาใจใส่ในการแต่งตัวอะไร. เธอยิ้มตอบ. เป็นครั้งแรกที่ดิฉันเห็นเธอยิ้มอย่างมีชีวิตจิตใจ นับแต่เธอล้มเจ็บหนักเป็นต้นมา. เธอตอบคำท้วงของดิฉันว่า ‘เป็นการจำเป็นมากที่ฉันจะต้องแต่งตัวอย่างสะสวยเพื่อรับรองมิตรที่รักของฉัน. สุธารจงช่วยแต่งตัวให้พี่’ เธอหันไปพูดกับน้องสาวของเธอ ‘แต่งอย่างดีที่สุดตามที่เธอทราบแล้วว่าพี่พอใจอย่างไร. แต่งผมให้พี่ใหม่ และทาริมฝีปากตามแบบของพี่ แล้วไปขนเสื้องาม ๆ ในตู้มาให้พี่เลือกดู. สุธาร จงช่วยชุบพี่ให้งามอีกสักครั้งหนึ่งก่อนที่พี่จะตาย’ เธอยิ้มอย่างอ่อนแรง แต่ว่าดิฉันกับสุธารหน้าเศร้าและแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ด้วยความสงสารอย่างจับใจ. ในที่สุดเราก็จำต้องยอมผ่อนตามความประสงค์ของเธอ นี่สุธารกำลังแต่งตัวให้เธออยู่ค่ะ.”

ขณะที่เล่านั้น มีน้ำตาคลออยู่ในดวงตาของผู้เล่า และเห็นได้ว่า ได้พยายามกล้ำกลืนอาการสะอื้นไว้อย่างเต็มที่. ท่านนายแพทย์ก้มหน้าฟังด้วยกิริยาสงบ.

“เธอถามดิฉันว่า ‘ได้บอกหรือเปล่าว่าฉันเจ็บหนักใกล้จะตาย’” ​คุณนายเล่าต่อไป “ดิฉันจำต้องพูดเท็จเพื่อเอาใจเธอ เพราะรู้ดีว่าเธอไม่ประสงค์ให้คุณทราบว่าเธอเจ็บหนัก. แล้วเธอพูดด้วยความพอใจว่า ‘ดีมาก คุณน้า, ขอให้บอกนพพรเพียงว่า ฉันไม่ใคร่สบาย อย่าให้เขาตกอกตกใจ.’”

เมื่อคุณนายหยุดเล่า เราทั้งสามคนก็พากันนิ่งเงียบกริบ. ไออากาศในห้องรับแขกเต็มไปด้วยความโศกและวิเวกวังเวง. สักครู่คุณนายก็ลุกไป เพื่อไปดูว่าหม่อมราชวงศ์กีรติแต่งตัวพร้อมแล้วหรือยัง. ประมาณ ๑๐ นาทีต่อมา หล่อนมาบอกข้าพเจ้าว่าพร้อมแล้ว และนำข้าพเจ้าไปยังห้องคนเจ็บ. ระหว่างที่เดินไปนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าเหงาใจประหนึ่งว่ากำลังเดินไปเยี่ยมศพของคนที่รักที่สุดคนหนึ่ง มากกว่าจะไปเยี่ยมบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่.

หม่อมราชวงศ์กีรตินอนเจ็บอยู่ในห้องนอน. เมื่อข้าพเจ้าย่างเท้าก้าวล่วงธรณีประตูห้องเข้าไปนั้น ข้าพเจ้างงไปชั่วขณะหนึ่ง. ข้าพเจ้ามุ่งคิดไปแต่ว่า จะต้องเผชิญกับภาพของคนเจ็บที่ใกล้จะตาย นอนอยู่ในห้องที่ออกจะขมุกขมัวด้วยอับอากาศ เกลื่อนไปด้วยขวดยา และมีคนสองสามคนนั่งดูอาการอยู่ ฟูมฟายไปด้วยน้ำตา.

แต่มโนภาพของข้าพเจ้าคลาดจากความจริงไปหมด ภายในห้องนั้นเปล่งปลั่งไปด้วยแสงสว่างของยามเย็นเวลาประมาณ ๕ โมง ซึ่งสาดเข้ามาทางหน้าต่างทุกบานซึ่งเปิดอ้าออกเต็มที่. หม่อมราชวงศ์กีรตินั่งอยู่บนที่นอน หลังพิงหมอนด้านหัวเตียง เหยียดเท้าไปตามส่วนยาวของเตียง. มีผ้าขาวลวดลายศิลปะแบบจีนสีเขียวคลุมกายท่อนล่าง สวมเสื้อสีเดียวกับลวดลายของผ้าคลุมนั้น และยังมีเสื้อคลุมกำมะหยี่สีดำสวมอยู่อีกชั้นหนึ่ง เป็นการปกป้องกำบังมิให้ข้าพเจ้าได้แลเห็นส่วนต่าง ๆ แห่งร่างกาย ซึ่งจะชวนให้ลงความเห็นได้ว่า ร่างนั้นกำลังเคลื่อนเข้ามา​อยู่ใกล้แดนมรณะเต็มทีแล้ว. ทรงผมและดวงหน้าได้รับการตบแต่งอย่างประณีตบรรจง สามารถพรางความเหี่ยวแห้งทรุดโทรมอันแทบจะถึงซึ่งภินทนาการไว้ได้ในชั่วขณะที่ได้เหลือบดูไปแต่ผาด ๆ. รูปสามเหลี่ยมสีแดงสามรูปบนริมฝีปากงามคู่นั้น แทบจะทำให้ข้าพเจ้าหลงไปว่า หม่อมราชวงศ์กีรติมิได้ประสบความป่วยเจ็บแต่อย่างใดเลย.

บนโต๊ะเล็ก ๆ ข้างเตียงตั้งแจกันแก้วเจียระไน บรรจุช่อคริสต์มาสสีแดงสดชื่นระรื่นตา. ที่ริมหน้าตาข้างเตียงนอนมีกรงนกคีรีบูนแขวนอยู่สองกรง เจ้านกน้อยกำลังโลดเต้นและส่งเสียงร้องอยู่อย่างผาสุก. ทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องได้รับการตบแต่งจัดไว้อย่างสวยงาม ไม่มีร่องรอยว่าจะเป็นห้องของบุคคลที่กำลังเจ็บหนักใกล้ถึงกาลอวสานเลย. ข้าพเจ้าแทบจะสงสัยไปว่า นี่ถูกหลอกหรืออย่างไร.

เมื่อเหลือบเห็นข้าพเจ้าเข้ามายืนอยู่ในห้อง หม่อมราชวงศ์กีรติได้วางหนังสือที่ถืออยู่ในมือไว้ข้างกาย เพื่อจะแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นว่าหล่อนกำลังอ่านหนังสืออยู่ ก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าจะเข้าไป.

“นพพร, เชิญนั่งที่นี่” เธอชี้เก้าอี้ที่ตั้งไว้ริมเตียง “ฉันไม่สบายไปนิดหน่อย จึงต้อนรับเธอบนที่นอน.”

ได้สดับเสียงเธอ ข้าพเจ้าใจหายวาบ เพราะว่าเสียงนั้นแหบแห้งและแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินถนัด. ข้าพเจ้าเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยกิริยาสงบ.

“ผมมาเยี่ยมคุณหญิงด้วยความคิดถึง.”

“ขอบใจมาก. ฉันรู้ว่าเธอยังไม่ลืมฉันเสียทีเดียว.” เธอยิ้มอย่างชื่นใจ พลางเลี้ยวศีรษะไปทางสุภาพสตรีสาวผู้หนึ่ง ซึ่งยืนคอยระแวดระวังเธออยู่ทางด้านหัวเตียง “นี่สุธารน้องสาวของฉัน เป็นผู้ซึ่งประสบความรักและความสุขในการแต่งงานตามที่ฉันเคยพูดถึง.”

​ข้าพเจ้าก้มศีรษะให้สุธาร.

“ทุกคนจะออกไปพักข้างนอกก่อนก็ได้ และรวมทั้งสุธารด้วย” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดต่อไป “ปล่อยฉันไว้กับนพพรแต่ลำพัง.”

คนเหล่านั้นมองดูตากัน ส่วนข้าพเจ้าสงบนิ่ง.

“ขออย่าเป็นห่วง เพราะว่าฉันไม่ได้ป่วยเจ็บนักหนาอะไร.”

สุธารเดินมาปรึกษากับคุณน้า สักครู่หนึ่งท่านนายแพทย์เข้ามากระซิบบอกข้าพเจ้าว่า อย่าอยู่สนทนากับเธอนานนัก จะทำให้เธออ่อนเพลียมากเกินไป.

เมื่อทุกคนออกไปนอกห้องแล้ว หม่อมราชวงศ์กีรติทอดสายตามองมาทางข้าพเจ้าด้วยแววตาที่แสดงว่ามีความผาสุก ข้าพเจ้าลากเก้าอี้เข้าไปจนชิดเตียง.

“ฉันไม่คิดเลยว่าจะได้พบเธอในวันนี้ ฉันไม่คิดว่าจะได้พบเธออีกเลย แม้จะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของฉัน” นัยน์ตาเธอจ้องมองข้าพเจ้าอยู่ไม่วาง.

“เดี๋ยวนี้ผมก็ได้มาอยู่ต่อหน้าคุณหญิงแล้ว และผมจะอยู่ตลอดไป ตราบเท่าที่คุณหญิงต้องการ” ข้าพเจ้าตอบด้วยเสียงหนักแน่น.

“เป็นไปไม่ได้ดอกนพพร เพราะว่าเธอไม่ใช่ของฉัน.”

“ผมไม่เข้าใจว่า คุณหญิงหมายความว่ากระไร.”

“ถูกแล้วเธอไม่ควรจะเข้าใจ เพราะว่าเธอไม่เคยเข้าใจฉันเลย นับแต่วันแรกที่เราได้รู้จักกัน” ดูเหมือนความรู้สึกเย้ยหยันจะได้ปรากฏขึ้นในแววตาของเธอ.

“โปรดบอกผม ว่ามีอะไรอีกบ้างที่ผมยังไม่เข้าใจ.”

“เธอไม่เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง เธอไม่เข้าใจทั้งหมด. ไม่เข้าใจแม้แต่ตัวของเธอเอง.”

​ข้าพเจ้าแปลความหมายของเธอไม่ออก ข้าพเจ้ามองดูเธอด้วยความฉงนสนเท่ห์ใจ.

ขณะนั้นเธอสอดมือลงไปใต้หมอนอีกใบหนึ่ง และล้วงเอากระดาษภาพแผ่นหนึ่งมาถือไว้ในมือ.

“นี่เป็นภาพที่ฉันได้วาดขึ้นด้วยฝีมือของฉันเอง ภายหลังที่ฉันกลับจากญี่ปุ่น. ฉันขอมอบภาพนี้ให้เป็นของขวัญในการแต่งงานของเธอ.”

ข้าพเจ้ารับมาพินิจดูด้วยความสนใจ ภาพนั้นวาดด้วยสีน้ำ แสดงถึงภาพลำธารที่ไหลผ่านเชิงเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หนาทึบตามลาดเขา อีกด้านหนึ่งของลำธารเป็นทางเดินเล็ก ๆ ผ่านไปบนชะง่อนหิน บางตอนก็สูงบางตอนก็ต่ำ ตะปุ่มตะป่ำไปด้วยก้อนหินใหญ่น้อย มีพรรณไม้เลื้อยและดอกไม้ป่าสีต่าง ๆ บนต้นเล็ก ๆ ขึ้นเรียงรายอยู่ตามหินผานั้น ไกลออกไปบนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง อยู่ต่ำลงไปจนเกือบติดลำธาร แสดงภาพของคนสองคนนั่งอยู่ ภาพนั้นเป็นภาพที่วาดให้เห็นในระยะไกล ตอนล่างของมุมหนึ่งเขียนไว้ด้วยตัวหนังสือเล็ก ๆ ว่า “มิตาเกะ”.

ข้าพเจ้าพยายามจะค้นคว้าความหมายของหม่อมราชวงศ์กีรติ ในการที่ให้ของเล็กน้อยสิ่งนั้นแก่ข้าพเจ้า.

“ฝีมือไม่ดีดอกนพพร แต่ว่ามีชีวิตและดวงใจอยู่ในภาพนั้น มันจึงสมที่จะเป็นของขวัญในวันแต่งงานของเธอ” เมื่อข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นสบตาเธอ เธอถามว่า “จำได้ไหม นพพร ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่นั่น.”

ข้าพเจ้าระลึกเห็นเหตุการณ์ที่เขามิตาเกะได้อย่างแจ่มกระจ่าง และข้าพเจ้ากำลังจะเข้าใจในความหมายของหม่อมราชวงศ์กีรติได้ราง ๆ.

“ความรักของผมเกิดที่นั่น” ข้าพเจ้าตอบ

​“ความรักของเรา, นพพร” พูดแล้วเธอหลับตา และพูดต่อไปอย่างแผ่วเบาเหลือเกิน “ความรักของเธอเกิดที่นั่น และก็ตายที่นั่น แต่ของอีกคนหนึ่งยังรุ่งโรจน์อยู่ในร่างที่กำลังจะแตกดับ.”

น้ำตาไหลซึมออกมาจากเปลือกตาที่ยังปิดอยู่. หม่อมราชวงศ์กีรตินั่งนิ่งสงบไปด้วยหมดแรง.

ข้าพเจ้าพินิจดูร่างนั้นด้วยความรักความอาลัยแทบใจจะขาด.

□ □ □

อีก ๗ วันต่อมา หม่อมราชวงศ์กีรติก็ถึงแก่กรรม. ข้าพเจ้าอยู่ต่อหน้าเธอ พร้อมด้วยบรรดาญาติของเธอในระหว่างชั่วโมงอันมืดครึ้มนั้น ก่อนหน้าจะสิ้นใจ เธอขอดินสอกับกระดาษ เธอต้องการจะพูด ประโยคสุดท้ายกับข้าพเจ้า แต่หมดเสียง หมดเรี่ยวแรง เธอจึงเขียนลงบนกระดาษว่า :

ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน.

แต่ฉันก็อิ่มใจว่า ฉันมีคนที่ฉันรัก.

 


3

๑๘

หลังจากวันนั้นแล้ว ข้าพเจ้ามิได้ไปเยี่ยนเยียนเธออีก เนื่องด้วยมีความหมกมุ่นอยู่ด้วยกิจธุระงานการ จนกระทั่งเวลาได้ล่วงไป ๒ เดือนเศษ และท่านบิดาได้บอกกล่าวให้ข้าพเจ้าทราบว่า ท่านได้กำหนดวันประกอบการพิธีวิวาหมงคลของข้าพเจ้าไว้แล้ว ซึ่งจะตกในเวลา ๓ เดือนข้างหน้า.

เมื่อได้ทราบกำหนดการแต่งงาน ข้าพเจ้าก็เห็นว่าเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะไปรายงานเรื่องราวให้หม่อมราชวงศ์กีรติทราบโดยคารวะ. ในการเยี่ยมครั้งที่สอง หม่อมราชวงศ์กีรติได้รับรองข้าพเจ้าในห้องรับแขก แต่ถึงกระนั้นก็ปราศจากผู้ที่จะมารบกวนขัดขวางการสนทนาของเรา.

จากการสนทนาปราศรัยในตอนแรก ๆ แม้ว่าหม่อมราชวงศ์กีรติจะมิได้ตั้งใจแสดงให้ทราบว่า เธอออกจะผิดหวังไม่น้อย ในการที่ข้าพเจ้าได้ทอดระยะเวลาการเยี่ยมครั้งแรกและครั้งที่สองห่างจากกันถึง ๒ เดือน แต่ข้าพเจ้าก็สังเกตเห็นได้ว่า เธอรู้สึกผิดหวังจริง ๆ และดูจะมีความ​เสียใจอยู่ที่ข้าพเจ้าได้วางตนผิดไปจากความคาดหมายของเธอ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเองไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า อะไรเป็นมูลเหตุก่อให้เธอเกิดความรู้สึกเช่นนั้น จะเป็นเพราะเธอมีความปรารถนาดีต่อข้าพเจ้า เกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะคาดหมายได้ หรือเพราะเหตุอันใดก็เหลือที่ข้าพเจ้าจะทราบได้.

แต่แม้จะได้สังเกตเห็นในน้ำใจของหม่อมราชวงศ์กีรติดังนั้น ข้าพเจ้าก็มิได้กล่าวความสังเกตออกมาให้เป็นที่แจ้งประจักษ์ เพราะว่าข้าพเจ้าไม่มีประสงค์จะแก้ว่า ต้องติดโน่นติดนี่ จึงมาเยี่ยมเธอไม่ได้บ่อย ๆ ด้วยถ้าจะแก้ดังนั้นแล้วก็อาจจะกลับเพิ่มความขมขื่นใจของเธอทับทวีขึ้น ข้าพเจ้าจึงเป็นแต่รับทราบความผิดหวังของเธอไว้เงียบ ๆ

ภายหลังที่ได้สนทนาด้วยเรื่องต่าง ๆ พอสมควรแล้ว ข้าพเจ้าก็เริ่มเรื่องที่ได้ตั้งใจจะมาบอกเล่าให้เธอทราบ

“ผมมีข่าวใหม่จะมาบอกคุณหญิง.”

“ฉันหวังว่าเป็นข่าวดีมากแก่ตัวเธอ และคงจะเป็นข่าวเกี่ยวกับ​ความก้าวหน้าในทางงานการของเธอเป็นแน่” เธอคอยฟังคำตอบจากข้าพเจ้าด้วยความสนใจ.

“หามิได้ เป็นข่าวดีจริง แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานการ คุณหญิงคงจะดีใจมากถ้าผมจะแต่งงานในไม่ช้านี้.”

ข้าพเจ้าสังเกตว่าคุณหญิงมีอาการสะดุ้งนิดหน่อย อาจเป็นด้วยข่าวใหม่นี้ไม่อยู่ในความคาดหมายของเธอ.

“นพพรจะแต่งงาน?” เธอทวนคำอย่างไม่แน่ใจ “เธอจะแต่งกับสุภาพสตรีที่ไปรับเธอในวันแรกที่ถึงกรุงเทพฯ ใช่ไหม?”

“คุณหญิงรู้เรื่องของเราตลอดแล้วหรือครับ?”

“เปล่า ฉันไม่รู้เลย ฉันเป็นแต่คาดคะเนเอา เธอมีการติดต่อกันมานานแล้วหรือ?”

“เธอเป็นคู่หมั้นของผม.”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” สีหน้าของหม่อมราชวงศ์กีรติแทนที่จะ​เปล่งปลั่งด้วยความยินดี กลับแสดงว่าเต็มไปด้วยความพิศวงสงสัย.

“ตั้ง ๗-๘ ปีมาแล้วครับ ก่อนหน้าผมออกไปญี่ปุ่นนิดหน่อย.”

“แต่ตลอดเวลาที่ฉันพบเธอในโตเกียว เธอไม่ได้บอกเรื่องคู่หมั้นของเธอให้ฉันทราบเลย” เสียงของเธอแสดงว่ามีความพิศวงสงสัยยิ่งขึ้น.

“อาจเป็นด้วยผมเองไม่ได้สนใจในเรื่องการหมั้นนั้นเลย.”

“และเดี๋ยวนี้เธอได้ตกลงปลงใจจะแต่งงานกับสตรีที่เธอไม่เคยสนใจมาก่อน.”

“เป็นความประสงค์ของคุณพ่อท่าน และผมก็ไม่มีข้อขัดข้องอะไร อันที่จริงเธอก็เป็นสตรีที่ได้รับการศึกษา และมีฐานะดีพอ. การแต่งงานคงจะช่วยให้ชีวิตของผมเป็นหลักฐานดีขึ้นกว่าเดี๋ยวนี้.”

หม่อมราชวงศ์กีรติจ้องมองข้าพเจ้าด้วยสายตาที่ยากจะเข้าใจในความหมายได้เป็นครู่หนึ่ง เธอจึงพูดขึ้นว่า “เธอยังไม่ได้บอกนามสตรีคู่หมั้นของเธอแก่ฉัน.”

“ชื่อปรีดิ์ครับ ปรีดิ์ บูรณวาท.”

“รูปงาม นามเพราะ” เธอยิ้มอย่างเลื่อนลอย อย่างไม่มีความแน่นอนใจ “ฉันขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งต่อเธอ.”

แล้วเธอยื่นมือมาให้ข้าพเจ้าสัมผัส ระหว่างนั้นข้าพเจ้าได้บอกกับเธอว่า “คุณหญิงเป็นคนแรกที่ได้แสดงความยินดีต่อผม”

“นับเป็นเกียรติยศอย่างสูงที่ฉันได้รับ” เธอตอบโดยกิริยาเสงี่ยม.

เรานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ระหว่างที่ข้าพเจ้ายังนึกไม่ออกว่า จะสนทนากับเธอด้วยเรื่องอะไรต่อไป หม่อมราชวงศ์กีรติได้พูดขึ้นก่อน.

“นพพร, เธอมีอุดมคติอย่างไรในการแต่งงาน?”

“ผมแทบจะจำนนคำตอบ ผมไม่ถนัดในการตอบปัญหาเช่นนี้.”

“เธอเคยถามปัญหาจุกจิกกับฉันมาก และฉันไม่เคยหลีกเลี่ยงเลย ​เมื่อถึงคราวฉันถามเธอบ้าง เธอก็จะหลีกเลี่ยงไม่ได้.”

“ผมไม่ตั้งใจจะหลีกเลี่ยง แต่ผมเกรงว่าผมไม่มีอุดมคติอะไรในการแต่งงานที่จะชี้แจง.”

“ประหลาดที่เธอบอกว่า เธอไม่มีอุดมคติในการแต่งงาน” พูดแล้วหม่อมราชวงศ์กีรติก็ถอนใจ

“ผู้ชายทุกคนเป็นอย่างเธอหรือ, นพพร?”

“ทุกคนคงจะไม่เหมือนกัน แต่ส่วนมากอาจเป็นเช่นผมก็เป็นได้” ข้าพเจ้าตอบไปตามความรู้สึก“ผู้ชายคงจะมีอุดมคติในเรื่องการงาน ยิ่งกว่าจะมีในเรื่องอื่นเช่นผมเป็นต้น.”

“นี่เธอรักคู่หมั้นของเธอหรือเปล่า?”

“เรามีเวลาพบปะกันน้อย เราต่างก็มีความพอใจในกันตามสมควร และผมหวังว่าเราจะรักกันได้เมื่อได้แต่งงานกันแล้ว.”

“สำหรับหนุ่มสาว ความรักไม่สู้จำเป็นนักดอกหรือ ก่อนที่จะได้ตกลงปลงใจแต่งงานกัน?” เป็นคำถามที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ฉันเคยได้ยินแต่ว่า รักกันไว้เถิดแต่อย่าแต่งงานกัน แต่นี่นพพรจะแต่งงาน และจะไปรักกันต่อภายหลัง.”

“ถ้ามีความรักต่อกันก่อนแต่งงานก็คงจะเป็นการดียิ่งขึ้น. อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่าความรักเป็นเรื่องยุ่งยากเหลือทน และเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน.”

“อะไรทำให้เธอมองเห็นความรักไปในแง่นั้น?”

“เพราะว่าครั้งหนึ่งผมเคยรัก.”

“โปรดเล่าเรื่องของเธอไปให้ตลอด” ความแจ่มใสปรากฏขึ้นในแววตาของหม่อมราชวงศ์กีรติ.

“คุณหญิงทราบเรื่องนั้นละเอียดลออดีอยู่แล้ว เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อคุณหญิงไปญี่ปุ่นและกระทั่งได้จากผมมา. ความรักให้ความชุ่มชื้นใน​เบื้องต้น แต่ได้จบลงด้วยทุกข์ทรมานอย่างแสนร้ายกาจ ผมได้คิดในตอนหลังว่า ผมได้ปล่อยตัวให้เตลิดเพริดไปอย่างไม่สมควรยิ่ง ผมควรจะรักและนับถือคุณหญิงดุจพี่สาวของผม ผมรู้ตัวว่าผมได้ทำผิดไปมากในระหว่างนั้น. ตั้งแต่นั้นมา ผมได้พยายามลืมเหตุการณ์ครั้งนั้นอย่างเด็ดขาด และก็ในครั้งนั้นเหมือนกันที่ผมได้เรียนรู้ด้วยตัวของผมเองว่า ความรักที่ร้อนเป็นไฟเช่นนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ทรมานเพียงไร ผมเชื่อว่าผมจะไม่มีความรักเช่นนั้นอีกแล้ว.”

หม่อมราชวงศ์กีรติมองอย่างเหม่อ ๆ ไปข้างหน้า ไม่ได้ตอบว่ากระไร.

“ผมไม่คิดจะพูดเรื่องนี้กับคุณหญิงอีกเลย” ข้าพเจ้ากล่าวต่อไป “มันทำให้ผมละอายและชังตัวเอง.”

“คนเรามีความคิดเห็นในเรื่องความรักแตกต่างกัน และฉันเห็นด้วยกับเธอ ในข้อที่ว่าความรักบีบคั้นทรมานใจเรามาก และในบางคราวก็เหลือที่จะทนทาน เธอทำถูกต้องอย่างคนทั้งหลายทั่วไปแล้ว ที่ปลีกตนออกมาพ้นจากความทรมานนั้นได้ และลืมความหลังเสียได้ แต่คนโง่ ๆ บางคนอาจปฏิบัติไม่ได้เช่นเธอ. ฉันขอแสดงความยินดีต่อเธออีกครั้งหนึ่ง” เธอหยุดนิ่งไปเป็นครู นัยน์ตาไม่ได้แลจับนัยน์ตาข้าพเจ้า และเมื่อเบือนหน้ากลับมาเผชิญหน้ากัน เธอถามว่า “นี่เธอกำหนดจะแต่งงานเมื่อไหร่?”

“คุณพ่อบอกกับผมว่าอีกประมาณ ๓ เดือน.”

“ฉันขออวยพรล่วงหน้าไว้ก่อน ฉันเป็นผู้ที่มีความเชื่อถือในความรัก ฉะนั้นฉันขออวยพรให้เธอทั้งสองได้รักกัน จะก่อนหรือหลังแต่งงานก็ตาม แต่ขอให้รักกันอย่างดีที่สุดและโดยเร็วที่สุด” เธอหยิบถ้วยน้ำชาซึ่งวางอยู่ตรงหน้าและชูขึ้นด้วยกิริยาการที่ค่อนข้างกระปรี้​กระเปร่า ยิ้มอย่างเปล่งปลั่งให้ข้าพเจ้าก่อนที่จะได้พูดต่อไป “ฉันขอดื่มให้เธอ มิตรที่รักของฉัน สำหรับความสุขและความรักของเธอทั้งสอง” จิบน้ำชาแล้วเธอวางถ้วยลงและพูดต่อไปว่า “ฉันเป็นคนแรกที่จะรับช่วยทุกสิ่งทุกอย่างในการแต่งงานของเธอ.”

เมื่อได้อยู่สนทนาต่อไปอีกครู่ใหญ่ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าเธอมีอาการไม่ใคร่สบาย แต่ดูเหมือนเธอพยายามจะซ่อนเร้นมิให้ปรากฏ เพื่อที่จะได้แสดงความชื่นชมยินดีต่อข้าพเจ้าได้เต็มที่ ข้าพเจ้าไม่ได้แสดงความสังเกตให้เธอทราบ เป็นแต่ได้รีบลาเธอกลับโดยอ้างว่ามีกิจที่จะต้องกระทำ ถึงกระนั้นก็ตาม ข้าพเจ้าก็ได้อยู่สนทนากับเธอเกือบสิ้นเวลาสองชั่วโมง ข้าพเจ้าเสียดายที่มาบอกข่าวสำคัญ ประจวบกับเวลาที่เธอไม่ใคร่สบาย ถ้าเป็นในเวลาปรกติแล้ว หม่อมราชวงศ์กีรติคงจะแสดงความตื่นเต้นยินดียิ่งกว่านั้นหลายเท่า และจะไม่ยอมให้ข้าพเจ้าลาจากมาโดยไวเป็นแน่. นี่เป็นความคิดเห็นของข้าพเจ้าในเวลานั้น.

 


4

๑๗

หลังจากได้มาถึงกรุงเทพฯ ประมาณ ๕ วัน ข้าพเจ้าจึงได้พบเวลาอันเหมาะที่จะไปเยี่ยมเยียนหม่อมราชวงศ์กีรติ ที่จริงก็ออกจะล่าไปสักหน่อย ข้าพเจ้าควรจะได้เยี่ยมเธอเร็วพลันกว่านี้ แต่ข้าพเจ้าก็มีกิจธุระด่วนหลายอย่าง ที่ควรทำให้เสร็จสิ้นไป และโดยมากก็เป็นกิจธุระที่เกี่ยวกับงานอาชีพ ซึ่งในเวลานั้นข้าพเจ้ามีความสนใจอยู่ยิ่งกว่ากิจอื่นใดทั้งหมด.

ข้าพเจ้าไปเยี่ยมเธอที่บ้านตำบลบางกะปิ ปลูกเป็นตึกย่อม ๆ ชั้นเดียว ในบริเวณอันกว้างใหญ่ประมาณ ๓ ไร่ โดยรอบมีรั้วต้นมอร์นิ่งกลอรี่ ซึ่งสะพรั่งไปด้วยใบสีเขียวและดอกสีม่วง แลดูหนาทึบ ตัวบ้านตั้งอยู่บนเนินลึกเข้าไปในบริเวณ ดูเด่นเห็นถนัด. บริเวณหน้าบ้าน ทำเป็นสนามสำหรับเดินเล่น ผ่านไปในสวนดอกไม้นานาชนิด มีสระใหญ่อยู่ทางด้านซ้ายของบริเวณ ใกล้กับริมประตูทางเข้า มีศาลาเล็ก ๆ ตั้งอยู่กลางสวนดอกไม้ ปกคลุมด้วยพรรณไม้เลื้อย ดูเป็นที่รื่นรมย์ใจ.

​ความรู้สึกอันแรกที่เกิดแก่ข้าพเจ้า เมื่อไปถึงบ้านหม่อมราชวงศ์กีรติ ก็คือรู้สึกว่า เป็นบ้านที่น่าอยู่ที่สุดหลังหนึ่งในตำบลบางกะปิ เมื่อได้เปรียบเทียบกับบ้านจำนวนสิบกว่าหลัง ที่ข้าพเจ้าได้ผ่านมาในระหว่างทาง บ้านเหล่านั้นล้วนเป็นบ้านที่สวยงามทุกบ้าน แต่ภูมิฐานการตบแต่งภายในบริเวณจะได้บรรจุเอาความสงบรื่นรมย์ใจไว้ เสมอด้วยบ้านของหม่อมราชวงศ์กีรตินั้นหามีไม่ เมื่อทอดทัศนาดูสวนดอกไม้ซึ่งมีหลายแห่ง ประกอบด้วยหินก้อนโต ๆ ก็ชวนให้ข้าพเจ้ารู้สึกประหนึ่งว่า ได้คุ้นเคยกับบ้านหลังนี้มานาน ทั้งนี้เนื่องแต่ลักษณะวิธีการตบแต่งสวน ซึ่งคล้ายคลึงกันมาก กับลักษณะวิธีของชาวญี่ปุ่น พรรณไม้ต่าง ๆ ไม่จัดสรรไว้เป็นหมวดหมู่อย่างมีกำหนดกฏเกณฑ์ หากตบแต่งปลูกขึ้น ไว้ปะปนกัน และแลดูหนาทึบคล้ายสวนธรรมชาติ มากกว่าจะเห็นเป็นการประดิษฐ์ขึ้น แม้ว่าความจริงจะได้ตั้งใจประดิษฐ์ขึ้นก็ตาม ดูเป็น​ธรรมชาติดังสวนพฤกษชาติอันกว้างใหญ่ไพศาลที่นิกโกซึ่งข้าพเจ้าได้เคยไปเที่ยวมาหลายครั้ง.

ประตูเปิดอยู่ก่อนแล้ว รถผ่านเข้าไปช้า ๆ และในขณะที่ทอดทัศนาไปในท่ามกลางสวนดอกไม้ ข้าพเจ้าแลเห็นศีรษะของสุภาพสตรี โผล่อยู่ข้างพุ่มต้นแก้ว ข้าพเจ้าจำทรงผมนั้นได้ จึงสั่งให้รถหยุด ก่อนที่จะแล่นไปเทียบถึงหน้าตึก เมื่อข้าพเจ้าลงมายืนอยู่บนถนน หม่อมราชวงศ์กีรติก็โผล่ออกมาจากหว่างซุ้มไม้ แลเห็นได้ถนัดเต็มตัว.

“นพพร” เธอร้องทักมาแต่ไกล.

ข้าพเจ้าเปิดหมวกให้เธอ และเดินตัดทางตรงไปพบกับเธอที่นั่น.

พอข้าพเจ้าถึงตัวหม่อมราชวงศ์กีรติ สุนัขพันธุ์แอลเซเชียนซึ่งวิ่งเล่นอยู่ในที่ใกล้ ๆ นั้น ได้วิ่งเข้ามายืนอยู่เคียงข้างเธอ และจ้องมองดูข้าพเจ้าอย่างน่ากลัว หม่อมราชวงศ์กีรติย่อกายลงเอามือตบศีรษะมันเบา ๆ และออกชื่อมันสองสามครั้ง มันก็หมอบลงแทบเท้าของเธอโดยอาการสงบ.

“คุณหญิงเลี้ยงสุนัขใหญ่โตน่ากลัวมาก” ข้าพเจ้าเริ่มคำปราศรัย “มันจ้องมองดูผมอย่างสงสัย.”

เธอยิ้ม.

“โตวัลด์เป็นองครักษ์ของฉัน เราอยู่ที่นี่ด้วยกันไม่กี่คน จึงต้องอาศัยโตวัลด์เป็นยามระวังคนร้าย. ถูกแล้วโตวัลด์มักจะสงสัยใคร ๆ ไว้ก่อนเสมอ เดี๋ยวนี้ฉันทำให้เขาเข้าใจแล้วว่า เธอเป็นมิตรของฉัน เธอมาดีมิใช่มาร้าย” พูดแล้วหม่อมราชวงศ์กีรติก็ย่อกายลงลูบศีรษะโตวัลด์ แล้วบอกให้ไปวิ่งเล่นที่อื่น มันก็ยินยอมไปโดยดี.

“ฉันควรจะต้อนรับเธอในบ้าน” เธอเงยหน้าขึ้นพูดต่อไป.

ขณะนั้น เรากำลังยืนอยู่ข้างโต๊ะเก้าอี้สนาม ซึ่งตั้งอยู่ในท่ามกลาง​สวนดอกไม้ และเป็นที่ซึ่งหม่อมราชวงศ์กีรติได้นั่งเล่นอยู่ก่อน.

“ผมออกจะพอใจที่นี่. ดูร่มเย็นสบายดี และจำเริญตาด้วยพรรณดอกไม้นานาชนิด” พูดพลางข้าพเจ้าวางหมวกลงบนโต๊ะ.

“ถ้าเธอพอใจ ฉันก็จะรับรองเธอที่นี่.”

เมื่อเราทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าได้พูดขึ้นว่า.

“ผมขอโทษคุณหญิง ที่มาเยี่ยมล่าไปหน่อย เป็นด้วยผมต้องไปพบท่านผู้ใหญ่หลายคน เกี่ยวด้วยการงานที่ผมจะเข้าทำ ผมไม่อยากจะทอดทิ้งเวลาให้หมดเปลืองไปเปล่า.”

“ฉันขออนุโมทนากับเธอ เป็นการถูกต้องแล้วนี่นพพร ที่เธอควรจะคิดถึงเรื่องการงานก่อนอะไรทั้งหมด.”

​“ผมต้องรับกับคุณหญิงว่า ในระหว่างสองสามปีมานี้ ผมออกจะหมกมุ่นครุ่นคิดถึงเรื่องการงานมาก มิใช่เพราะเหตุว่าอยากจะได้เงินมาบำรุงบำเรอความสุข ความปรารถนาข้อใหญ่อยู่ที่ต้องการทำงาน ผมเชื่อว่าผมจะมีความสุขอย่างยิ่งถ้าได้ทำงานตามวิชาความรู้ที่ผมได้เล่าเรียนมา ข้อนี้แหละที่อาจจะทำให้ผมบกพร่องในการอื่น ๆ เป็นต้นในทางการสมาคม เช่นในการมาเยี่ยมคุณหญิงนี้.”

“เป็นความบกพร่องที่กลับทำให้เธอน่าเอ็นดูยิ่งขึ้น.” เธอพูดยิ้ม ๆ เป็นยิ้มที่แสดงความกรุณา อ่อนโยนและมีความหวานเจือปนอยู่ครบครัน เป็นยิ้มที่ข้าพเจ้าได้รู้จักมานาน และสามารถที่จะระลึกถึงได้เมื่อได้มาพบอีกครั้งหนึ่ง “เธอเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ทีเดียว นพพร. เธอรู้ตัวไหมว่า เดี๋ยวนี้น่ะ กิริยาการอย่างเด็กหนุ่มของเธอเกือบไม่มีเหลืออยู่อีกแล้ว.”

“ผมคิดว่า ผมคงจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ผมยากที่จะทราบสำนึกได้ด้วยตนเอง.”

“เธอเป็นชายหนุ่มใหญ่เต็มที่ และดูเคร่งขรึมผิดกว่าแต่ก่อน.”

“ผมไม่รู้ตัวเลยข้อนั้น ในส่วนตัวคุณหญิง ผมแลเห็นความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย.”

“ฉันแก่ลงไปมาก.”

“ผมไม่เห็นดังนั้นเลย ประทานโทษ คุณหญิงอายุเท่าไหร่แล้ว”

“๔๐ เศษ.”

“ประทานโทษ คุณหญิงยังดูสาว....”

“อะไรกัน นพพร ประทานโทษไม่ได้หยุด” เธอพูดด้วยเสียงดุ ๆ “เธอพูดดังกับว่าฉันจะคอยเอาโทษเธอไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ดูเธอเปลี่ยนแปลงไปมากจริง ๆ.”

​“ผมเกรงว่า ผมจะพูดในสิ่งที่ไม่สมควร.”

“ถึงกระนั้นก็ไม่จำต้องขอโทษอะไร เมื่อได้พูดออกมาเสียแล้ว. เดี๋ยวนี้ฉันไม่ใช่สตรีคนที่เธอได้พบที่โตเกียวแล้ว เวลามันห่างกันเกือบ ๖ ปี ถ้าเธอไม่ตั้งใจจะยกยอฉันจนเกินไป เธอก็จะพูดว่า ฉันยังดูเป็นสาวต่อไปอีกไม่ได้.”

“แต่นั่นเป็นความรู้สึกจริงใจของผม.”

“เธอมีอุปาทานมากเกินไป. เชื่อฉันเถิด นพพร เดี๋ยวนี้ฉันมีอายุถึง ๔๐ เศษแล้ว ฉันรู้ตัวดีว่าฉันแก่ไปมาก.”

“ข้อนั้นอาจเป็นอุปาทานของคุณหญิงยิ่งกว่าของผมก็เป็นได้.” แล้วข้าพเจ้าก็เปลี่ยนหัวข้อเรื่องใหม่ “คุณหญิงคงจะอยู่เป็นสุขสบายดีในบ้านหลังนี้ มันสวยงามสมที่คุณหญิงจะอยู่ โปรดเล่าเรื่องราวของคุณหญิงให้ผมฟังบ้าง.”

เธอจ้องมองดูข้าพเจ้าอย่างไม่แน่ใจ.

“เธอเชื่อว่าเธอยังมีความสนใจโดยแท้จริงในความเป็นอยู่ของฉันอยู่อีกหรือ?”

“ผมมีความสนใจในความเป็นอยู่ของคุณหญิงตลอดมา.”

“เดี๋ยวนี้ เมื่อเธอได้กลับมาอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วเธอก็มีการงานและคนที่รู้จักมักคุ้นกับเธอเป็นอันมากที่เธอจะต้องติดต่อเอาใจใส่ ฉันเกรงว่าเธอจะมีเวลาน้อยเต็มที สำหรับที่จะมาเอาใจใส่ในความเป็นอยู่ของฉัน. ในเวลานี้เป็นเวลาที่ต่างกันมากกับเวลาที่เราได้พบกันในโตเกียวจริงไหม นพพร ?”

ข้าพเจ้าออกจะเห็นจริงตามคำของหม่อมราชวงศ์กีรติ ข้าพเจ้าไม่มีเวลาและความรู้สึกฟุ่มเฟือยที่จะคิดถึงเธอดังแต่กาลก่อน เหตุการณ์แต่ปางหลังได้เลือนไปจากความทรงจำของข้าพเจ้า แม้ที่สุดจนเหตุการณ์​บนยอดเขามิตาเกะ ซึ่งครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ได้พิมพ์ประทับลงไปอย่างแนบแน่นในชีวิต ข้าพเจ้าก็แทบจะมิได้ระลึกนึกไปถึง ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะผ่านพ้นไป ดุจว่าได้จากกาลสมัยของมันเสียแล้ว กาลสมัยที่ได้ตั้งต้นขึ้นใหม่ ในวิถีชีวิตของข้าพเจ้าบัดนี้คือกาลสมัยแห่งการงาน และความเป็นอยู่ที่จะเข้ามาปรากฏเฉพาะหน้า. เป็นความจริงว่า ข้าพเจ้าไม่ได้มีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งรุนแรง ดุจที่ได้เกิดขึ้นในกาลสมัยหนึ่งเมื่อ ๖ ปีล่วงแล้ว.

ในส่วนตัวหม่อมราชวงศ์กีรติเองนั้น ข้าพเจ้าไม่อาจจะคาดคะเนได้ว่า เธอกล่าวความเช่นนั้น ด้วยมีประสงค์เพียงแต่จะกล่าวตามที่เธอรู้สึกว่าเป็นความจริง หรืออาจเป็นด้วยเธอมีที่ประสงค์อย่างอื่นอีก. ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเธอจะมีกาลสมัยอันใหม่มาผลัดเปลี่ยนกาลสมัยเดิมของเธอหรือไม่.

“ผมรู้สึกว่าผมเอาใจใส่ต่อคุณหญิงพอเพียงที่จะฟังเรื่องราวของคุณหญิงได้” ข้าพเจ้าพูดไปตามที่เห็นว่าควรจะพูดอย่างไร.

“เอาเถิด ฉันจะเล่าให้เธอฟังในฐานที่เธอเป็นมิตรเก่าของฉัน โดยไม่ต้องคำนึงว่าเดี๋ยวนี้เธอจะเป็นอะไร.”

หม่อมราชวงศ์กีรติพูดอย่างค่อนข้างจริงจัง แล้วก็หยุดครู่หนึ่งเพื่อรำลึกเรื่องราวของเธอ.

“เรื่องราวตอนใหม่ของฉันควรจะตั้งต้นภายหลังที่เจ้าคุณได้ถึงแก่กรรมแล้ว การเล่าถึงการป่วยเจ็บของท่านนั้นออกจะเป็นเรื่องเศร้า และดูเหมือนฉันจะได้เคยเขียนเล่าไปให้เธอฟังบ้างแล้ว” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดช้า ๆ ด้วยความตรึกตรอง “ฉันเศร้าโศกอย่างไรภายหลังการตายของท่าน ก็ไม่น่าจะนำมาเล่าอีกเหมือนกัน ฉันจะเล่าแต่เหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ตัวฉัน. ในข้อแรกท่านทำให้ฉันเป็นคนมั่งมีขึ้น ​โดยแบ่งทรัพย์สมบัติของท่านประมาณหนึ่งในสามส่วนให้เป็นมรดกแก่ฉัน ทรัพย์สมบัติของท่านอีกสองส่วนตกได้แก่ลูกของท่านสองคน. แท้จริงฉันไม่ได้คาดหมายจะได้ส่วนแบ่งอะไรในกองทรัพย์สินของท่าน เพราะว่าฉันได้อยู่กินกับท่านมาก็เพียง ๒-๓ ปี ทั้งไม่ได้เกิดบุตรด้วยกัน การที่ท่านมีเมตตาต่อฉันถึงปานนี้ ทำให้ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า ฉันดีพอสมที่จะได้รับความเมตตาถึงปานนั้นเจียวหรือ. นพพร เธอเห็นว่าฉันเป็นคนโชคดีหรือโชคร้ายเล่า?”

“เป็นปัญหาที่ตอบยากอยู่ครับ” ข้าพเจ้าตอบอย่างค่อนข้างระมัดระวัง.

“นั่นซิ ฉันเองก็เห็นว่าเป็นปัญหาที่ตอบยาก.” เธอพูดนัยน์ตาเลื่อนลอยไปตามความคิดคำนึง “ฉันดำรงชีวิตแต่งงานไม่เกินสามปี แล้วสามีก็ตายจากไป แล้วฉันก็กลับกลายเป็นคนมั่งมีคนหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องดำรงชีวิตสันโดษเดี่ยว ดูเป็นชีวิตที่สับสนน่าประหลาด จริงไหม นพพร?”

“ก็ทำไมคุณหญิงไม่กลับไปอยู่กับท่านพ่อ?”

“ฉันอยู่กับท่านมา ๓๕ ปีแล้ว ฉันรักท่านพ่อของฉันอย่างที่สุด ฉันได้ไปเยี่ยมและพักอยู่กับท่านเป็นครั้งคราวบ่อย ๆ แต่ว่าฉันจะไม่กลับไปมีชีวิตเช่นนั้นอีก ชีวิตที่กดฉันไว้กับความอาภัพ แห้งแล้งและขมขื่น จนฉันไม่อาจลืมได้ตลอดชั่วชีวิตของฉัน.”

“ถ้าเช่นนั้นคุณหญิงก็คงจะเลือกข้างการใช้ชีวิตคบหาสมาคมกับคนทั่วไป”

“ที่จริงก็น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ฉันก็หาได้เลือกเช่นนั้นไม่” เธอพูดประหนึ่งว่ามีความพิศวงสงสัยในการตัดสินใจของเธอเอง “ฉันจะเล่าเรื่องของฉันโดยย่อต่อไป ภายหลังเจ้าคุณถึงแก่กรรม ฉันก็ย้ายมาอยู่​ที่นี่ บ้านเดิมของเราท่านยกให้ลูกชายคนโตเป็นผู้ครอบครองสืบต่อไป ฉันเองก็ไม่มีความประสงค์จะอยู่ต่อไปในบ้านหลังนั้น เพราะว่ามันใหญ่โตเกินไปประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง มันจะชวนให้ฉันคอยจดจำถึงการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของเจ้าคุณโดยไม่สุดสิ้น ที่ดินผืนนี้เจ้าคุณได้มาจับจองซื้อไว้ก่อนหน้าจะถึงแก่กรรมหลายปี และเราได้เคยปรารภกันไว้ก่อนแล้วว่าจะมาปลูกบ้านย่อม ๆ ไว้เป็นที่พักผ่อนที่นี่ ครั้นท่านถึงแก่กรรมลง ฉันก็ได้ลงมือดำเนินการตามความดำรินั้น ต่างกันก็ที่ว่า แทนที่จะถือเป็นบ้านพักชั่วคราว มันกลับเป็นบ้านอันถาวรของฉันเลยทีเดียว.”

“และควรจะเป็นบ้านที่ให้ความสุขอย่างยิ่งแก่ผู้เป็นเจ้าของด้วย” ข้าพเจ้ากล่าวต่อ เมื่อเธอจบระยะการเล่าลงตอนหนึ่ง.

“มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น” พูดพลางเธอทอดสายตาไปตามที่ต่าง ๆ ในบริเวณบ้านด้วยความพึงพอใจ “ใคร ๆ ที่มาที่นี่ มักจะออกปากว่า บ้านของฉันน่าอยู่ และอยากอิจฉาในความสุขของฉันนัก แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่า ความคิดเห็นเช่นนั้นเป็นการถูกต้องหรือไม่.”

“นอกจากบ้านที่น่าอยู่นี้แล้ว มีอะไรอีกบ้างที่ประกอบเป็นความสุขของคุณหญิง.”

“เธอยังอดเป็นนักตั้งกระทู้ไม่ได้” หม่อมราชวงศ์กีรติยิ้มด้วยรู้สึกมีเอ็นดู “นี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในนพพรที่ฉันได้พบในโตเกียว.”

“ผมถามล่วงเกินไปหรือครับ?” ข้าพเจ้าทวนถามโดยสุภาพ.

“ไม่ถึงกับล่วงเกินอะไรดอก แต่ก็มีน้อยคนนักที่จะตั้งกระทู้ถามกับฉันเช่นนี้ เธอช่างคิดตั้งคำถาม เพราะว่าดูเหมือนฉันเองก็ไม่เคยคิดไว้ก่อนว่า ความสุขของฉันประกอบด้วยอะไรบ้าง” เธอหยุดตรองครู่หนึ่ง ​แล้วพูดต่อไป “ฉันมาระลึกนึกดู ก็อดประหลาดใจในตัวเองไม่ได้ เพราะว่าส่วนสำคัญที่ประกอบเป็นความสุขของฉันในกาลที่ล่วงแล้วมา แทนที่จะเป็นของแท้ของจริงที่ได้บังเกิดแก่ตัวฉัน กลับกลายเป็นแต่ความหวังหรือความคาดคอยในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตกมาในบัดนี้วิถีชีวิตของฉันก็ยังไม่เปลี่ยนไปจากแนวทางเดิม ความสุขอันแท้จริงของฉันยังคงเลื่อนลอยอยู่ข้างหน้า ฉันเป็นแต่ไล่ไขว่คว้าติดตามและหวังในสิ่งนั้น และคอยอยู่.”

“ดูเป็นชีวิตที่น่าเหน็ดเหนื่อยแทน” ข้าพเจ้าปรารภขึ้นด้วยความสงสารเห็นใจ.

“จะทำอย่างไรได้. นพพร สิ่งที่เป็นใหญ่เป็นประธานในโลกได้กำหนดชีวิตของฉันไว้เช่นนั้น ฉันดิ้นรนเท่าใดก็ออกมาจากเส้นกำหนดไม่ได้ ก็จำต้องเผชิญชีวิตไปตามยถากรรม ชีวิตของเธอมีค่ากว่าของฉัน และดำเนินไปโดยสะดวกราบรื่นกว่าของฉัน. ในชีวิตของเธอมีแต่ของ​แท้ของจริง เธอได้รับความพอใจในเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอทุกขณะ และเมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไป เธอก็ลืมมันได้สนิท แล้วเธอก็เผชิญกับเหตุการณ์ใหม่ด้วยความพอใจอันใหม่ มันดำเนินไปและได้รับการผลัดเปลี่ยนอย่างมีระเบียบ. ส่วนชีวิตของฉันมันสับสนด้วยความเลือนราง ความคำนึงนึกฝันความสุขมีจริงในบางครั้งคราว แต่ว่าไม่เป็นของแจ่มแจ้งและแน่นอน มันเป็นคล้าย ๆ ความฝัน เป็นสิ่งที่ล่องลอยอยู่เหนือศีรษะ ฉันคว้ามันถูกบ้าง ผิดบ้าง บางคราวก็เพลิดเพลิน บางคราวก็เหน็ดเหนื่อยอ่อนใจ. นี่แหละเป็นสภาพชีวิตของฉันซึ่งฉันก็ตั้งใจจะเล่าให้เธอเข้าใจ แต่ก็คงเป็นการยากที่เธอจะเข้าใจได้.”

“เป็นชีวิตที่แปลกและน่าเห็นใจอย่างยิ่ง และเข้าใจยากด้วย.” ข้าพเจ้ารำพึงด้วยความรู้สึกจริงใจ และได้ตั้งข้อถามอีกว่า “เดี๋ยวนี้คุณหญิงก็ได้ชื่อว่าเป็นคนมั่งมีคนหนึ่ง เหตุใดไม่ใช้ความมั่งมีนั้นเปลี่ยนความหวังให้เป็นความจริงขึ้น คุณหญิงจะได้มีความสุขอย่างครบถ้วนสมบูรณ์.”

“เงินมีอำนาจจริง, นพพร แต่ก็ไม่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง. บังเอิญสิ่งที่ฉันหวังและคาดคอยอยู่นั้น ก็มักจะไม่ใช่สิ่งที่อาจได้มาด้วยอำนาจของเงิน. นี่เป็นเคราะห์ร้ายอย่างฉกรรจ์ของฉัน.”

พูดถึงตอนนี้หม่อมราชวงศ์กีรติลุกขึ้นยืน.

“นี่แน่ะ, นพพร ขอให้ฉันหยุดเล่าเรื่องของฉันเสียที มันน่ารำคาญมากกว่าจะน่าสนใจ. ฉันอยากจะฟังเรื่องราวของเธอบ้าง เราจะเดินเล่นกันนิดหน่อย และระหว่างนั้นขอให้เธอเล่าเรื่องของเธอไป แล้วเราจะขึ้นบ้าน และฉันขอให้เธออยู่รับประทานอาหารกับฉันในค่ำวันนี้ เพื่อว่าฉันจะได้มีโอกาสฟังเรื่องราวของเธอโดยละเอียด.”

ข้าพเจ้าปฏิบัติตามความประสงค์ของเธอ. เรามีเวลาเดินเล่นอยู่​ได้ไม่นานก็ถึงเวลาพลบค่ำ ในขณะที่เราเดินคลอเคียงสนทนากันไปในระหว่างทางที่ผ่านไปตามสวนไม้ดอกอันมีบริเวณกว้างขวางนั้น ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาขัดจังหวะเลย เราอยู่ด้วยกันแต่ลำพัง ในกลางความสงบ และภูมิฐานที่น่าจะเรียกร้องความรู้สึกรุนแรงแต่ปางหลังเมื่อ ๖ ปีก่อน ให้กลับคืนมาเสียเหลือเกิน แต่ประหลาดที่ความรู้สึกของข้าพเจ้าไม่ได้รับความกระทบกระเทือนให้หวั่นไหวไปแต่ประการใด ทั้งนี้มิใช่เพราะเหตุว่า หม่อมราชวงศ์กีรติได้สูญเสียความงามและเสน่ห์เก่าแก่ไปเสียแล้ว ข้าพเจ้ายังคงมองเห็นความงามและเสน่ห์ของเธอได้อย่างถนัดชัดเจน หากแต่ว่าข้าพเจ้าได้มองดูสิ่งนี้ด้วยความสรรเสริญยกย่อง และโดยมิได้รับเอามาปะปนกับอารมณ์ของข้าพเจ้าเลย.

ข้าพเจ้าได้อยู่รับประทานอาหาร และสนทนากับเธอจนถึง ๓ ทุ่ม​จึงได้ลากลับ. หม่อมราชวงศ์กีรติเล่าว่า เธออยู่กับน้าและหลานสาวคนหนึ่ง แต่บังเอิญในวันนั้นทั้งสองคนออกไปเยี่ยมญาติ แลอาจไปค้างแรมที่บ้านญาติ จึงเป็นอันว่าข้าพเจ้าได้ใช้เวลาอยู่กับหม่อมราชวงศ์กีรติแต่ลำพัง รวมเวลาราว ๔ ชั่วโมง ข้าพเจ้ามีความพอใจมากตลอดเวลาที่อยู่กับเธอ เล่าเรื่องของข้าพเจ้าให้เธอฟัง และฟังเรื่องของเธอโดยไม่เบื่อหน่าย.

ที่โต๊ะรับประทานอาหาร ภายใต้ดวงโคมอันมีแสงสว่างจ้า เราทั้งสองนั่งรับประทานไปพลางสนทนากันไปพลาง เป็นเวลานานไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง ข้าพเจ้าได้สังเกตว่าวัย ๔๐ ปีของหม่อมราชวงศ์กีรติ ได้ปรากฏออกให้เห็นเล็กน้อย จากริ้วรอยบางแห่งตามพื้นผิวอันงามของเธอ แต่ในส่วนกิริยาการและการพูดจาพาทีนั้น เธอมิได้เปลี่ยนแปลงไปจากหม่อมราชวงศ์กีรติคนเดิมเลย แช่มช้อยและหวานอย่างไรก็อย่างนั้น ในระหว่างที่เธอเป็นธุระตักโน่นตักนี่ให้รับประทาน ข้าพเจ้าก็อดระลึกไปถึงความกรุณาปรานีเก่าแก่ของเธอไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้ระลึกถึงเพียงว่า เธอนั้นเปรียบเหมือนพี่สาวคนหนึ่ง จิตใจของข้าพเจ้ามิได้เพ่นพ่านเตลิดเพริดไปในโลกอันร้อนแรงไปด้วยความรู้สึกดุจในกาลก่อน.

ตลอดเวลา ๔ ชั่วโมงนั้น ข้าพเจ้าอ่านไม่ออกว่าหม่อมราชวงศ์กีรติมีความมุ่งหมายในวิถีชีวิตอย่างไร.

 


5
นวนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพ บทประพันธ์ของ ศรีบูรพา ตอนที่ 16-19


๑๖

ที่ท่าเรือบริษัทมิตซุยบุยซันไกชา ในเช้าวันที่เรือเดินทะเลได้นำข้าพเจ้าจากประเทศญี่ปุ่นมาสู่กรุงเทพพระมหานครนั้น ไม่สู้มีผู้คนคับคั่งนัก เพราะว่าในเรือเที่ยวที่ข้าพเจ้าโดยสารมานั้น มีคนโดยสารไม่เกิน ๗-๘ คน และที่เป็นคนไทยก็มีแต่ข้าพเจ้าคนเดียว ฉะนั้นเมื่อเรือเทียบท่า ข้าพเจ้าก็สามารถแลเห็นกลุ่มคนที่มาคอยต้อนรับข้าพเจ้าได้โดยไม่ยาก.

ข้าพเจ้าแลเห็นท่านบิดาก่อนคนอื่น ท่านยืนอยู่หน้าแถวในหมู่ญาติสนิทของเราประมาณ ๑๐ กว่าคน และมีเพื่อนสนิทรุ่นราวคราวเดียวกับข้าพเจ้า ๔-๕ คนรวมอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย มีสุภาพสตรีคนหนึ่งยืนอยู่ในหมู่ญาติ ซึ่งข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่สังเกตกิริยาอาการดูแสดงว่า มีความเอาใจใส่ในตัวข้าพเจ้าไม่น้อยกว่าใคร ๆ.

ข้าพเจ้ามองไม่เห็นหม่อมราชวงศ์กีรติในหมู่คนเหล่านั้น ต่อเมื่อได้ทอดสายตาไปทั่วบริเวณนั้นข้าพเจ้าจึงแลเห็นร่างงามร่างหนึ่ง ในเสื้อผ้าชุดสีน้ำเงินยืนพิงประตูรถซาลูนคันใหญ่ แล้วได้เห็นมือน้อย ๆ ​โบกตรงมายังข้าพเจ้าช้า ๆ ข้าพเจ้าก็โบกตอบด้วยความปีติยินดีอย่างยิ่ง เพราะว่าแม้จะยืนอยู่ห่างไกลไปสักหน่อย ข้าพเจ้าก็จำได้ว่า เจ้าของร่างงามนั้นคือหม่อมราชวงศ์กีรติ.

เมื่อพนักงานในเรือทอดบันไดเรือเรียบร้อยแล้ว พวกญาติมิตรที่มาคอยรับก็พากันขึ้นมาบนเรือ ข้าพเจ้ายืนคอยรับรองอยู่ริมทางขึ้น ท่านบิดาเป็นคนแรกที่ได้แสดงความปีติยินดีต้อนรับข้าพเจ้า ท่านตรงเข้าสวมกอดบุตรชายคนโตของท่านด้วยความรักใคร่คิดถึง ที่อัดแน่นอยู่ในอกถึง ๘ ปี ข้าพเจ้าก็เข้าสวมกอดท่านด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกัน แล้วญาติและมิตรอื่น ๆ ก็รุมล้อมเข้ามา แสดงความรู้สึกในทำนองเดียวกัน ข้าพเจ้าสุดที่จะพรรณนาได้ว่า ในเช้าวันแรกถึงกรุงเทพฯ นั้น ข้าพเจ้ามีความอิ่มเอิบใจเพียงใด ระลึกถึงเหตุการณ์ในเช้าวันนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้แต่จะบันทึกลงไว้ว่า เป็นวันที่ข้าพเจ้าเป็นสุขเบิกบานที่สุดในชีวิต และจนกระทั่งบัดนี้ข้าพเจ้าก็ยังไม่พบความสุขความเบิกบานครั้งคราวใดจะมีค่ายิ่งไปกว่า.

ในขณะที่ข้าพเจ้าต้อนรับสุภาพสตรีคนหนึ่งด้วยความลังเลใจนั้น ท่านบิดาได้มาโอบไหล่ข้าพเจ้าไว้และบอกกับข้าพเจ้าว่า นี่แหละคือสตรีคู่หมั้นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงพอระลึกถึงเค้าหน้านั้นได้ เป็นดวงหน้าเรียบ ๆ ตามแบบธรรมดาสามัญ ไม่มีที่ติไม่มีที่ชม กิริยาการของเธอในขณะที่ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้ามากไปด้วยความสะเทิ้นขวยอาย ข้าพเจ้าเองก็มิใช่คนเก่งกล้านักในทางสนทนาพาที ประกอบกับความรู้จักมักคุ้นที่มีอยู่ต่อกันเพียงเล็กน้อย ข้าพเจ้าก็ได้แต่กล่าวคำปราศรัยออกไปเพียงสองสามประโยค แล้วเธอก็หลีกทางให้คนอื่น ๆ เข้ามาทักทายปราศรัยกับข้าพเจ้าต่อไป.

หม่อมราชวงศ์กีรติเป็นคนท้ายที่สุดที่ขึ้นมาพบข้าพเจ้า เธอ​แต่งกายด้วยเครื่องชุดสีน้ำเงินดารดาษด้วยดวงดอกขาว เป็นชุดเดียวกับที่ข้าพเจ้าแรกพบเธอในกรุงโตเกียวเมื่อ ๖ ปีล่วงแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเครื่องแต่งกายชุดนี้จะเป็นชุดที่ข้าพเจ้าได้จดจำฝังใจไว้ช้านานเมื่อแรกพบเธอ แต่ในเช้าวันนั้นข้าพเจ้าก็หาได้สังเกตพิเคราะห์ไม่ ซึ่งก็เป็นการประหลาดอยู่ และก็เป็นการประหลาดเช่นเดียวกันที่เหตุไฉนหม่อมราชวงศ์กีรติ จึงนำเอาเครื่องแต่งกายที่เธอได้เคยใช้มาแล้วเมื่อ ๕ ปีก่อน มาแต่งรับข้าพเจ้าในวันแรกถึงกรุงเทพฯ.

ท่วงทีกิริยาที่เข้ามาพบข้าพเจ้านั้น ยังดูสงบเสงี่ยมแช่มช้อยเหมือนเดิม จะแตกต่างไปบ้างก็ตรงที่ว่ามีอาการแช่มช้อยมากขึ้น ซึ่งประกอบเป็นความงามสง่าสมวัยของเธอ อันล่วงเข้ามาถึง ๔๐ ปีเศษแล้ว แม้ว่าจะคลายความเปล่งปลั่งลงไปบ้าง แต่เสน่ห์และความสวยงามอันมีค่ายิ่ง ก็ยังมิได้ทอดทิ้งเธอไป ยังเป็นที่จับตาจับใจแก่ผู้ได้ยลสรีรโฉมของเธออยู่.

​หม่อมราชวงศ์กีรติเข้ามาสัมผัสมือข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้บีบตอบแน่น ด้วยความตื่นเต้นยินดีดุจว่าข้าพเจ้าได้พบพี่สาวซึ่งได้จากกันไปนาน.

“คิดถึงคุณหญิงเหลือเกิน” ข้าพเจ้าปราศรัยเป็นประโยคแรก

“ฉันคิดถึงเธอเป็นเนืองนิตย์ คิดถึงเธอโดยสม่ำเสมอตลอดมานับแต่ได้จากกัน” เธอพูดช้า ๆ เรียบ ๆ ไม่ตื่นเต้นลุกลน แม้ว่าข้าพเจ้าอาจมองเห็นความปีติยินดีอย่างลึกซึ้งของเธอในดวงตาได้ถนัดชัดเจน คำพูดของเธอจับใจนัก และสะกิดใจให้นึกละอาย เมื่อได้ระลึกว่าความคิดถึงของข้าพเจ้าที่มีต่อเธอนั้น แม้ถึงหากจะรุนแรงปานใดในบางครั้งบางคราว ก็หาได้เป็นไปโดยสม่ำเสมอเนืองนิตย์ ดุจความคิดถึงของเธอที่มีต่อข้าพเจ้าไม่.

​“ผมดีใจเหลือเกินที่ได้กลับมาพบคุณหญิงอีกครั้งหนึ่ง” ข้าพเจ้าปราศรัยต่อไป.

“และฉันก็คอยเธออยู่ คอยอยู่ตลอดมา.”

“คุณหญิงดีต่อผมเป็นที่สุด.”

“ถ้าที่เธอพูดเป็นความจริง เธอก็สมควรที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นจากฉันมิใช่หรือ?”

“ผมเกรงว่าผมไม่สมควรเป็นแน่ คุณหญิงดีต่อผมเกินไป” พูดแล้วข้าพเจ้าก็หัวเราะ ข้าพเจ้าไม่นำพาว่า คำตอบนั้นจะสั่นสะเทือนความรู้สึกของหม่อมราชวงศ์กีรติอย่างไร อย่างไรก็ตาม เธอได้สงบนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง.

“เธอบีบมือฉันไว้แน่น” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน “เหตุการณ์ในวันนี้ไม่เหมือนกับวันที่เราจากกันที่ท่าเรือโกเบ.”

“โอ. ผมขอโทษ” ข้าพเจ้าร้องขึ้นและปล่อยมือเธอในทันที “ที่นี่เป็นกรุงเทพฯ และเราจะไม่ต้องจากกันอีกต่อไปแล้ว เราจะไม่ต้องพบความเศร้าเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว.”

“ใครจะรู้นพพร.” เธอท้วงเบา ๆ ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าแปลกใจนิดหน่อย.

“ก็ผมไม่คิดจะไปจากที่นี่อีกเลยในชีวิต”

“แต่นั่นไม่ใช่เหตุอันเดียวของการจากกัน และไม่ใช่บ่อเกิดอันเดียวของความเศร้า” พูดแล้วเธอเอามือแตะแขนข้าพเจ้า “แต่ว่าอย่าเพิ่งถกเถียงอะไรกันเลยเดี๋ยวนี้ ญาติของเธอกำลังกระหายต้องการตัวเธอด้วยกันทุกคน.”

“คุณหญิงก็เท่ากับญาติของผม.”

“ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ควรจะหน่วงเหนี่ยวเธอไว้แต่ลำพังในวันนี้ ​ไปเถิดคนดี ไปพบกับคุณพ่อของเธอ.”

ข้าพเจ้าก็ต้องออกเดินไปกับเธอ ตรงไปที่ห้องซาลูนซึ่งญาติมิตรส่วนมากได้มาชุมนุมรออยู่ที่นั่น แล้วญาติมิตรบางคนได้มาฉุดดึงข้าพเจ้าให้ไปที่ห้องซึ่งข้าพเจ้าได้ใช้รอนแรมมาในทะเล เพื่อดูว่าข้าพเจ้าได้เดินทางมาเป็นสุขสบายอย่างไร และเพื่อที่จะช่วยกันขนข้าวของลงจากเรือ ต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็ตกอยู่ในความกลุ้มรุมของคนทั้งหลาย และแทบไม่มีเวลาจะได้สนทนาวิสาสะกับหม่อมราชวงศ์กีรติอีกเลย.

ในขณะที่ละจากเรือ ข้าพเจ้าได้ออกปากชวนเธอให้ไปสนทนาด้วยกันที่บ้านต่อไป.

“ฉันต้องขอตัว, นพพร เธอควรจะได้ใช้เวลาในวันแรกอย่างเต็มที่กับญาติสนิทของเธอ.”

“ไม่มีญาติคนใดจะต้องการเวลาของผมตลอดทั้งวันเลย.”

“อย่างน้อยก็คุณพ่อของเธอ ท่านคงจะต้องการเวลาหลายชั่วโมงที่จะสนทนากับบุตรชายของท่านซึ่งจากไปนานตั้งแต่ ๗-๘ ปี แล้วก็ยังคนอื่น ๆ อีก.”

“คุณพ่อคงจะไม่รีบร้อนพูดทุกสิ่งทุกอย่างกับผมในวันเดียวจนหมดจนสิ้น” ข้าพเจ้าหัวเราะตอบ ถึงกระนั้นก็เป็นไปด้วยกิริยาค่อนข้างสำรวม.

“ขอให้เราได้พบกันในวันอื่นเถิด, นพพร.”

“ถ้าเช่นนั้นผมจะไปเยี่ยมคุณหญิงโดยเร็วที่สุดที่จะเร็วได้” ข้าพเจ้าอนุโลมตามความประสงค์ของเธอ

เหตุการณ์ในวันแรกพบกันในกรุงเทพฯ ระหว่างข้าพเจ้ากับหม่อมราชวงศ์กีรติ ได้ปิดฉากลงรวดเร็วและเป็นธรรมดาสามัญเกินไป.

ผ่านกลางวันอันจ้อกแจ้กจอแจด้วยการต้อนรับ และได้พักผ่อน​เล็กน้อยในตอนบ่าย ตกตอนค่ำ ภายหลังเวลารับประทานอาหารแล้ว ข้าพเจ้าได้สนทนาอยู่กับท่านบิดาในห้องนั่งเล่น ในระหว่างการสนทนาอันยืดยาวนั้น ได้มีเรื่องพาดพิงไปถึงหม่อมราชวงศ์กีรติตอนหนึ่ง.

“เธอคุ้นเคยสนิทสนมกันมากหรือ กับคุณหญิงอธิการ” ท่านถามขึ้นในขณะที่สนทนากันด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ และโดยไม่มีความหมายอะไร.

“คุณพ่อหมายถึงคุณหญิงกีรติ?” เมื่อท่านกล่าวรับรอง ข้าพเจ้าจึงพูดต่อไปว่า “ขอรับ ผมชอบพอสนิทสนมกันมาก เมื่อคราวคุณหญิงไปเที่ยวญี่ปุ่น ผมได้มารับใช้คลุกคลีอยู่กับเจ้าคุณอธิการและคุณหญิงแทบตลอดเวลา.”

“น่าเสียดาย ที่เจ้าคุณอธิการมาด่วนตายเร็วไปหน่อย” ท่านบิดากล่าวต่อ “เมื่อเจ้าคุณอธิการยังมีชีวิตอยู่ พ่อเคยได้ยินสรรเสริญภรรยาคนนี้มาก และเท่าที่พ่อได้พบ ภายหลังที่เจ้าคุณอธิการถึงแก่กรรมแล้ว ​พ่อก็เห็นว่าคุณหญิงอธิการ เป็นสตรีที่น่ารักสมจะได้รับสรรเสริญจริง ๆ.”

“ผมเป็นผู้ที่นับถือเลื่อมใสในตัวคุณหญิงมาก.” ข้าพเจ้าตอบสนอง “แม้ว่าผมได้พบคุณหญิงในชั่วเวลาไม่นาน แต่ผมก็รู้จักคุณหญิงดีมาก เป็นสตรีที่ฉลาดอย่างยิ่ง เท่ากับที่เป็นคนดี. ผมไม่เคยพบใครที่จะฉลาดหลักแหลมยิ่งไปกว่าคุณหญิงกีรติ ผมคิดว่า คุณหญิงควรจะแต่งงานอีกครั้งหนึ่ง และก็คงจะหลีกเลี่ยงความต้องการของใครคนใดคนหนึ่งไปไม่พ้น.”

“แต่พ่อไม่แน่ใจนัก เพราะว่าเมื่อสิ้นเจ้าคุณอธิการแล้ว พ่อได้ทราบว่า คุณหญิงดูไม่ใคร่จะยินดีในการสมาคม เธอครองชีวิตอย่างสงบเสงี่ยมเป็นที่สรรเสริญของบรรดาเพื่อนสนิท ของเจ้าคุณอธิการทั่วไป. เมื่อเร็ว ๆ นี้ พ่อได้ทราบว่ามีใครคนหนึ่งไปติดพัน และดูเหมือนถึงได้ทาบทามเรื่องการแต่งงาน แต่คุณหญิงปฏิเสธ มีผู้กล่าวกันว่าดูเธอจะเป็นผู้ที่มีความในใจอันเร้นลับอย่างใดอย่างหนึ่ง”

ข้าพเจ้านิ่งฟังด้วยกิริยาสงบ ครั้นแล้วท่านบิดาก็เปลี่ยนการสนทนาไปสู่เรื่องอื่น.

 


6

๑๕

หลังจากนั้น การติดต่อระหว่างข้าพเจ้ากับหม่อมราชวงศ์กีรติก็คงดำเนินต่อไปโดยการเขียนจดหมายไปมาถึงกัน. เวลาล่วงไปความคลั่งคิดถึงเธอก็ค่อยบรรเทาลง เนื่องด้วยเหตุหลายประการ ประการแรกก็คือ เมื่อลุ่มรักเธอเท่าใด เมื่อคลั่งคิดถึงเธอเท่าใด มันก็ไม่มีทางบำบัดได้ ในมิช้าความรู้สึกอันตึงเครียดนั้นก็หย่อนคลายลง และเมื่อถึงคราวที่ข้าพเจ้าจะต้องทุ่มเทเวลาในการศึกษาเล่าเรียน ข้าพเจ้าต้องใช้ความเพ่งเล็งอย่างเต็มที่ ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ได้มาเรียกร้องจิตใจของข้าพเจ้า ซึ่งได้ท่องเที่ยวไปในแดนอารมณ์พิศวาสอันเร่าร้อน ให้กลับคืนสู่สถานะเดิม.

เมื่อได้ควบคุมบังคับตนเองได้ครั้งหนึ่ง ก็ดูเหมือนว่า ข้าพเจ้าได้ควบคุมบังคับได้ตลอดมา ต่อจากจดหมายสองฉบับแรกที่อัดแน่นด้วยการแสดงความลุ่มรักและความคลั่งคิดถึงเธอแล้ว ในจดหมายฉบับต่อมาในระยะเวลาใกล้ ๆ กันนั้น ข้าพเจ้าก็ยังกล่าวพรรณนาถึงความคลั่งคิดถึงเธออยู่ แต่ครั้นแล้วเมื่อได้ตรึกตรองตามคำเตือนของ​หม่อมราชวงศ์กีรติ ประกอบกับความเหนื่อยอ่อนใจเป็นอย่างที่สุด ระหว่างเวลาแห่งการจากของเราในระยะแรก ความรู้สึกเร่าร้อนของข้าพเจ้าก็ได้รับการบำบัดให้บรรเทาเบาลงไปเอง ฉะนั้นในจดหมายฉบับต่อ ๆ มา จึงมิได้อัดเอาความคลั่งคิดถึงเธอลงไว้ดุจในตอนต้น ๆ และระยะเวลาแห่งการเขียนก็ได้ยืดห่างออกไป จนเมื่อจิตใจของข้าพเจ้ากลับคืนสู่สถานะเดิมแล้ว การเขียนถึงเธอก็เป็นการเขียนที่แทบจะปราศจากความเจ็บปวดใด ๆ และอาจเรียกได้ว่า เป็นการเขียนถึงมิตรที่รักคนหนึ่งเท่านั้น และนั่นก็เป็นการสมตามความปรารถนาของหม่อมราชวงศ์กีรติแล้ว ตามที่ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้ในเวลานั้น.

ข้าพเจ้าได้กล่าวพรรณนาความรัก และได้วิงวอนขอให้เธอกล่าวตอบข้าพเจ้าสักคำหนึ่งในจดหมายหลายฉบับ แม้ว่าหม่อมราชวงศ์กีรติได้เขียนตอบมาเป็นที่น่าชื่นใจเพียงใด แต่เธอไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องความรักเลย ข้อนี้เป็นเหตุสำคัญอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจไปว่า หม่อมราชวงศ์กีรติต้องการจะให้ข้าพเจ้าลืมเรื่องราวอันดูดดื่มใจของเราเสียจริง ๆ หรืออย่างน้อยก็เหตุการณ์บนเขามิตาเกะนั้น ซึ่งข้าพเจ้าได้ปล่อยให้ความในใจไหลพลั่งออกมาปรากฏแก่เธอและได้ประทับริมฝีปากของข้าพเจ้าลงบนริมฝีปากของเธอจูบนั้นยังร้อนผะผ่าวอยู่ในใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังไม่ลืม แต่ก็กำลังจะเลือนไปด้วยเหตุนานาประการดังกล่าวแล้ว

จนกระทั่งเวลาล่วงไป ๒ ปี การติดต่อระหว่างข้าพเจ้ากับหม่อมราชวงศ์กีรติก็ห่างไปมาก จนแทบจะไม่มีร่องรอยแห่งความหลังเหลืออยู่ในจิตใจของข้าพเจ้า จดหมายที่ข้าพเจ้าเคยเขียนถึงเธอไม่เว้นแต่ละเดือนก็ได้ยืดห่างออกไป และดูเหมือนว่า ในปีที่ ๒ นั้นข้าพเจ้าได้เขียนถึงเธอเพียง ๓ ครั้งเท่านั้น ที่จริงข้าพเจ้าก็มีภาระในการศึกษาเล่าเรียน​ทับทวีขึ้น และเมื่อจิตใจของข้าพเจ้าปลอดโปร่งจากความคลุ้มคลั่งแล้ว ข้าพเจ้าก็หมกมุ่นใส่ใจอยู่แต่ในการเล่าเรียนและแผนการงานแห่งชีวิตในอนาคต.

ข้าพเจ้าเอง เมื่อระลึกถึงความรู้สึกในเวลานั้นแล้วก็ยังประหลาดใจและตอบแก่ตัวเองไม่ได้ว่า เหตุใดหม่อมราชวงศ์กีรติจึงเสียความสลักสำคัญไปเร็วนัก ข้าพเจ้าผู้คลั่งคิดถึงเธอ และนับเธอว่าเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า เป็นสตรีที่จะแยกออกไปไม่ได้จากชีวิตของข้าพเจ้า เพราะว่าถ้าแยกไปแล้ว ชีวิตของข้าพเจ้าก็จะไม่เป็นสิ่งสมบูรณ์ ครั้นเวลา ๒ ปีผ่านไป ข้าพเจ้าก็รู้สึกในตัวเธอแต่เพียงว่า เธอเป็นคนหนึ่งในบรรดามิตรอีกหลายคนที่ข้าพเจ้ามีอยู่ในกรุงเทพฯ

ต่อมาอีกประมาณ ๖ เดือน ข้าพเจ้าได้รับข่าวจากหม่อมราชวงศ์กีรติว่า เจ้าคุณอธิการบดีได้ถึงแก่กรรมเสียแล้วด้วยโรคไตพิการ ข้าพเจ้ามีความเศร้าสลดใจด้วยเธอ ในชั่วขณะที่ได้รับทราบข่าวนั้น และได้รีบเขียนจดหมายแสดงความเศร้าสลดใจมายังเธอฉบับหนึ่ง แล้วเหตุการณ์ก็ดำเนินไปตามปรกติ. ความตายของท่านเจ้าคุณ ไม่ได้มาเป็นเครื่องสะกิดใจให้ข้าพเจ้าคาดคิดไปเลยว่า มันจะเกี่ยวข้องเป็นความสลักสำคัญอย่างยิ่งแก่ชีวิตของหม่อมราชวงศ์กีรติและแก่ชีวิตของข้าพเจ้าด้วย มันควรจะได้ทำให้ข้าพเจ้าเพ่งเล็งถึงความสัมพันธ์เก่าก่อนระหว่างหม่อมราชวงศ์กีรติกับข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง มันควรจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แต่ก็ไม่ทราบว่าภูตผีปีศาจตนใดมาปกป้องกีดกันไว้มิให้ข้าพเจ้าเพ่งเล็งไปเช่นนั้น มันเป็นสิ่งประหลาดมากที่ภายหลังได้ทราบข่าวการตายของเจ้าคุณอธิการดีแล้ว ข้าพเจ้าได้ปล่อยให้เหตุการณ์ในชีวิตดำเนินไปตามปรกติ ข้าพเจ้าหาเฉลียวใจไม่ว่า เหตุ​การณ์ที่ไม่สู้จะเป็นการสลักสำคัญสำหรับข้าพเจ้านั้นกลับเป็นสิ่งที่มีความหมายอย่างที่สุดสำหรับชีวิตของคนอีกคนหนึ่ง อนาถหนอ ชีวิต !

ข้าพเจ้าได้ใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนต่อไปอีก ๒ ปีก็บรรลุความสำเร็จ ในระยะเวลาที่ใกล้จะสำเร็จการศึกษานี้ ข้าพเจ้าได้มีการติดต่อกับครอบครัวของข้าพเจ้าในกรุงเทพฯ มากกว่าทางอื่น บรรดาพี่น้องที่ได้ทราบข่าวว่า ข้าพเจ้าเล่าเรียนเป็นผลดี และกำลังใกล้บรรลุความสำเร็จและใกล้เวลาที่จะได้กลับไปสู่บ้านเกิดเมืองมารดรได้แล้ว ต่างก็ได้มีจดหมายแสดงความชื่นชมโสมนัสมายังข้าพเจ้า และในบรรดาบุคคลเหล่านี้ได้มีสตรีคู่หมั้นของข้าพเจ้ารวมอยู่ด้วย คุณพ่อคงจะแนะนำให้เธอเขียนมาถึงข้าพเจ้าเป็นแน่ เพื่อเป็นเครื่องผูกมัดเตือนใจว่า มีสตรีอยู่พร้อมแล้วที่รอคอยการแต่งงานของข้าพเจ้าในกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าไม่พึงเกี่ยวข้องวุ่นวายกับสตรีอื่นใดในญี่ปุ่นเลย.

แท้ที่จริง ไม่ควรที่จะมีใครต้องมาเป็นห่วงกังวลถึงข้าพเจ้าในเรื่อง​เช่นนี้ดอก ในเวลานั้นข้าพเจ้ามีความหมกมุ่นสนใจในความเจริญก้าวหน้าของชีวิต ในทางงานการยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด ไม่มีเรื่องราวของสตรีคนใดมาพร่าเวลาของข้าพเจ้า แม้กระทั่งสตรีคู่หมั้นของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าก็ไม่ใส่ใจคิดถึงมาก่อน. ข้าพเจ้าไม่มีเวลาเหลือพอที่จะคิดคำนึงถึงเรื่องเช่นนี้.

ข้าพเจ้าได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้วจริง แต่ความเติบโตนั้นมิได้ชักนำให้ข้าพเจ้าเพิ่งคิดไปในทางเลือกคู่ครอง ดูเหมือนยิ่งเติบโตขึ้นข้าพเจ้ายิ่งออกห่างจากสตรีเพศมากขึ้น ความเติบโตเป็นผู้ใหญ่กลับชักนำให้ข้าพเจ้าปลีกตัวจากเหตุการณ์อื่น ๆ ทั้งหมด และเพ่งเล็งอยู่แต่การดำเนินชีวิตในด้านการงานด้านเดียว.

จดหมายจากสตรีคู่หมั้น ได้ปลุกใจอันสงบของข้าพเจ้าให้ตื่นคิดถึงเรื่องการแต่งงานบ้าง แต่ก็มิได้คิดด้วยความตื่นเต้นวุ่นวายอะไรนัก ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าข้าพเจ้าจะรักเธอได้หรือไม่ เพราะว่าเรายังไม่คุ้นเคยสนิทสนมกันพอที่จะปลงใจในความรักได้ แต่การแต่งงานคืออะไรเล่า? ข้าพเจ้ายังไม่รู้แจ่มแจ้งนักในเวลานั้น ข้าพเจ้าคิดเลือน ๆ ไปในเวลานั้นว่า เธอคงจะเป็นสุภาพสตรีที่ดีพอ สมควรที่จะแต่งงานกับข้าพเจ้า มิฉะนั้นไหนเลยคุณพ่อจะเลือกเฟ้นเอามาเป็นคู่ครองของข้าพเจ้า เพราะว่าท่านก็เป็นคนฉลาด. เมื่อกลับเข้าไปกรุงเทพฯ และภายในเวลาอันควร ท่านคงจะจัดแจงให้เราทั้งสองได้แต่งงานกัน ข้าพเจ้าคงจะไม่รังเกียจเธอ แม้ว่าการแต่งงานนั้นจะไม่ได้มีขึ้นด้วยอาศัยความพิศวาสดูดดื่มในกันและกันเป็นมูลฐาน ข้าพเจ้าคงจะค่อยสนิทสนมกับเธอ จนเกิดความเอ็นดู ปรานี และรักใคร่เธอไปเองในไม่ช้า เธอก็จะดูแลบ้านช่องไป ข้าพเจ้าก็จะทำงานไป ฝ่าฟันความยากลำบากไปเพื่อความรุ่งเรืองยิ่งในการประกอบการงาน การแต่งงานก็ดูจะไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ​นี่เป็นความคิดอย่างเลือน ๆ ของข้าพเจ้าในเวลานั้น คิดอย่างไม่จริงจังนัก ข้าพเจ้าได้ตอบจดหมายเธอไปด้วยการแสดงความไมตรีไปเป็นอันดี.

เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว แทนที่จะเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองมารดรโดยทันที ข้าพเจ้าได้เข้าฝึกหัดงานในธนาคารแห่งหนึ่ง และในระยะเวลาตอนนั้น ข้าพเจ้าได้มีจดหมายส่งข่าวความเป็นไปมายังหม่อมราชวงศ์กีรติฉบับหนึ่ง ข้าพเจ้าเขียนไปไม่สู้ยืดยาวนัก และมันเป็นความจริงว่า ในตอนหลัง ๆ นี้ข้าพเจ้าไม่ใคร่จะถนัดในการเขียนถึงหม่อมราชวงศ์กีรติอย่างยาว ๆ ดังแต่ก่อน การเขียนจดหมายของข้าพเจ้าดูเป็นงานเป็นการมากกว่า เมื่อหมดใจความที่ประสงค์จะเขียนแล้ว ข้าพเจ้าก็คิดไม่ใคร่ออกว่า จะเขียนอะไรลงไปอีก เวลาช่างเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของคนเราอย่างน่าพิศวงอะไรเช่นนี้!

เพื่อที่จะให้ท่านทั้งหลายได้ทราบว่า หม่อมราชวงศ์กีรติคิดในตัวข้าพเจ้าอย่างไร ในเมื่อเวลาได้ล่วงไป ๔ ปีกว่าแล้วนับแต่เธอได้จากข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าขอเสนอจดหมายตอบของเธอในระยะนี้สักฉบับหนึ่ง

“นพพร, คนดีของฉัน” เธอขึ้นต้นจดหมายด้วยถ้อยคำเหล่านี้ตลอดมา โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย. เธอดำเนินเรื่องต่อไปว่า :

“ฉันได้รับจดหมายบอกข่าวความสำเร็จของเธอแล้ว นี่ฉันจะบอกเธออย่างไรเล่า เธอจึงจะเข้าใจถึงความปีติยินดีของฉันโดยครบถ้วน ถ้าเธอมีพี่สาวและพี่สาวของเธอเขาปีติยินดีด้วยความสำเร็จของเธออย่างไร ฉันก็แทบจะไม่ยอมให้เธอนำมาเปรียบเทียบกับความปีติยินดีของฉัน เธอรู้ดีว่า ฉันเอาใจจดจ่ออยู่กับความสำเร็จของเธอเพียงใดตลอดเวลาอันยืดยาวหลายปีที่ไม่ได้พบกันเลย ฉะนั้น ถ้าฉันจะอวดอ้างความปีติยินดีของฉันมากไปสักหน่อย ซึ่งก็ไม่เกินความจริงแล้ว เธอคงจะไม่นึกติเตียนฉันเป็นแน่.

“ฉันยินดียิ่งขึ้นไปอีก ที่ได้ทราบว่าเธอจะอยู่ทำงานที่นั่นต่อไปอีก​หนึ่งปี แล้วจึงจะกลับเมืองไทย ที่จริงนั่นมันเป็นกำหนดการดั้งเดิมของเธอ ซึ่งฉันเคยได้รับบอกเล่าตั้งแต่ระหว่างเวลาที่ฉันได้ไปอยู่ที่โตเกียวแล้ว และนั่นมันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เธอเป็นคนมั่นคงต่อความจำนงจงใจของเธอ เพียงใด เธอย่อมมีความมั่นคงในความจำนงจงใจทุกอย่าง มิใช่แต่เฉพาะในการศึกษาอย่างเดียว ความสำเร็จใด ๆ ที่บุรุษเช่นเธอจะได้รับ แม้จะดูเป็นการเกินวิสัยสำหรับคนอื่น แต่ก็จะไม่เป็นการเกินวิสัยสำหรับเธอเลย นี่เป็นคำยกย่องอันสุจริตจริงใจของฉัน.

“อีกหนึ่งปี และกว่าเธอจะเข้ามาเมืองไทยและได้พบกัน เธอก็คงจะไม่ใช่นพพรพ่อหนุ่มน้อยคนที่ฉันรู้จักเสียแล้ว กว่าจะถึงเวลานั้น รวมเวลาที่ฉันจากเธอมาก็เกือบ ๖ ปี จากอายุ ๒๒ ปี เธอจะมีอายุ ๒๘ ปี นพพร ของฉันจะเป็นชายหนุ่มใหญ่เต็มที่ มิใช่หนุ่มน้อยดังแต่ก่อน เธอคงจะแปลกไปมาก แต่แน่ละเป็นความแปลกในข้างเติบโตจำเริญงาม ตรงกันข้ามกับตัวฉันซึ่งเธอก็คงจะเห็นแปลกเช่นเดียวกัน แต่แปลกในข้างเหี่ยวแห้งร่วงโรยลงไป อย่างไรก็ตาม เราคงจะจำกันได้ เพราะว่าเรามีบางสิ่งที่จะจำกันได้ไม่รู้ลืม.

“น่าแปลกใจเหมือนกัน ที่การติดต่อระหว่างเราในตอนหลัง ๆ นี้ ห่างเหินไปมาก เมื่อ ๒ ปีที่แล้วฉันจำได้ว่า ฉันได้รับข่าวจากเธอไม่มากไปกว่าปีละ ๓ ครั้ง แต่ที่จริงก็เป็นความประสงค์ของฉันเองที่อยากให้เธอได้มีเวลาเล่าเรียนโดยเต็มที่ ไม่ต้องมัวมาพะวงถึงการเขียนจดหมายไปมาถึงกันอยู่เนือง ๆ และเธอก็ปฏิบัติไปถูกต้องแล้ว.

“เวลาเกือบ ๕ ปีก็ยังผ่านไปได้โดยไม่ยากเย็นเข็ญใจอะไรนัก หนึ่งปีย่อมจะผ่านไปโดยรวดเร็วและสะดวกกว่านั้นมาก เดี๋ยวนี้ฉันไม่มีอะไรที่จะแนะนำสั่งสอนเธออีกแล้ว เพราะว่าเธอเป็นผู้บังคับบัญชาของตัวเธอเองได้แล้ว และดูเหมือนว่าจะเป็นได้ดีเสียยิ่งกว่าฉันอีก.

​“ฉันคอยวันกลับของเธอ. คนดี คอยเพื่อได้รู้ได้เห็นด้วยตัวของฉันเอง ในความเจริญรุ่งเรืองแห่งชีวิตของเธอ ผู้เป็นมิตรน้อยของฉัน.

                                                                     คิดถึงคนดีของฉันเสมอ

                                                                               กีรติ”

ข้าพเจ้าอ่านจดหมายของเธอด้วยความรู้สึกอย่างปรกติธรรมดา แน่ละ ข้าพเจ้าย่อมรู้สึกมีกตัญญูในตัวเธอดุจว่าเธอเป็นพี่สาวของข้าพเจ้าคนหนึ่ง เธอเป็นผู้ให้คำแนะนำตักเตือน และคำปลุกใจที่มีค่ายิ่งแก่ข้าพเจ้าตลอดมา แต่ทว่าความรู้สึกที่ร้อนเป็นไฟได้มอดไปเสียแล้ว เวลาได้พาเอาความรู้สึกลุ่มรักในตัวเธอไปเสียจากข้าพเจ้า โดยที่ข้าพเจ้าไม่รู้สึกตัวเลย.

ข้าพเจ้าไม่ได้สังเกตเห็นและเฉลียวใจเลยว่า หม่อมราชวงศ์กีรติได้ซ่อนความรู้สึกลึกซึ้งอะไรมาบ้างในจดหมายฉบับนั้น ความประณีตและความลี้ลับในชีวิต เป็นสิ่งเกินปัญญาของข้าพเจ้าในเวลานั้นที่จะเข้าใจได้.

 


7

๑๔

ประมาณเดือนเศษ นับแต่หม่อมราชวงศ์กีรติได้จากไป ข้าพเจ้าก็ได้รับจดหมายจากเธอฉบับหนึ่ง ข้าพเจ้าคลุ้มคลั่งมาหลายวันก่อนหน้าได้รับจดหมาย กลับจากมหาวิทยาลัยในตอนบ่ายทุกวัน ข้าพเจ้าเป็นต้องตรวจดูจดหมายที่ตู้รับจดหมายทุกครั้ง และเมื่อไม่พบจดหมายที่ได้เฝ้าคอยอยู่ด้วยใจจดใจจ่อ ข้าพเจ้าเป็นต้องสอบถามคนในบ้านเสียอีกครั้งหนึ่งเสมอ ทำดังนี้มาเป็นกิจวัตรหลายวัน จนกระทั่งคนในบ้านออกจะประหลาดใจ และจนกระทั่งถึงวันที่ข้าพเจ้าได้รับจดหมายจากเธอ.

กำลังเศร้าใจว่า ไม่มีข่าวจากหม่อมราชวงศ์กีรติเช่นเคย และขณะที่นั่งลงถอดรองเท้าอยู่หน้าประตูด้วยกิริยาเหงาหงอยเป็นที่สุด โนบูโกะลูกสาวเจ้าบ้านได้วิ่งมาหา แล้วส่งซองจดหมายให้ข้าพเจ้า พินิจลายมือหน้าซอง และถนัดแน่ว่าเป็นลายมือของใครแล้ว ข้าพเจ้าสลัดรองเท้าออกไปจากเท้าโดยรวดเร็ว และโดยไม่รู้สึกตัว จนโนบูโกะตะลึง ความประสงค์ก็เพื่อจะรีบเข้าไปในห้องของข้าพเจ้า ปิดประตู​และนอนอ่านจดหมายนั้นแต่ลำพังด้วยความกระหายดีใจเป็นที่สุด ข้าพเจ้าพูดขอบใจโนบูโกะคำเดียว แล้วก็เข้าห้องด้วยหน้าบานไม่ต้องสงสัย จดหมายของหม่อมราชวงศ์กีรติ มีถ้อยความดังต่อไปนี้

“นพพรคนดีของฉัน

ฉันถึงบ้านได้ ๕ วันก็ได้รับจดหมายของเธอสองฉบับ เธอเขียนต่างวันกันก็จริง แต่มันมาถึงพร้อมกัน ที่จริงฉันควรจะเขียนถึงเธอ โดยไม่ต้องรอว่าจะมีจดหมายจากเธอมาหรือไม่ เพราะว่าฉันจำเป็นจะต้องรีบเขียนมาขอบใจในความเอื้อเฟื้ออารีอันมีค่ายิ่งของเธอที่มีต่อตัวฉัน ตลอดเวลาที่ได้ไปพักอยู่ในโตเกียว. ฉันจะไม่ชอบใจเธออย่างเดียว ก็ตรงที่เธอมาเอาใจใส่กับฉันมากเกินไป.

ฉันไม่คิดว่าจะได้จดหมายจากเธอเร็วพลันนัก นี่เธอจะติว่าฉันเขียนถึงเธอช้าไปเล่า. หรือเป็นด้วยเธอด่วนเขียนถึงฉันเร็วเกินไป ถ้าฉันเดิน แต่เธอเหาะ มันก็ยากที่จะนำมาเปรียบเทียบกันได้ไม่ใช่หรือ ฉันหวังว่าเธอจะไม่คิดตำหนิติโทษฉันเลย.

อย่างไรก็ตาม ฉันก็ได้ทำดีตอบแทนเธอแล้ว กล่าวคือ ฉันได้ลงมือเขียนจดหมายฉบับนี้ในวันรุ่งขึ้นจากที่ได้รับของเธอ นพพรคงไม่ใจร้อนเกินไปจนถึงจะว่า ฉันควรจะลงมือเขียนตอบเสียในวันเดียวกันนั้น ถ้าเธอออกจะใจร้อนใจเร็วในระหว่างนี้ ก็โปรดอย่าลืมความจริงข้อหนึ่งว่า ฉันไม่ฟรีเหมือนเธอ ที่บ้านในในกรุงเทพฯ ฉันมีกิจการเบ็ดเตล็ดที่จะทำอยู่ไม่น้อย ซึ่งเธออาจไม่ได้คาดหมายถึง.

ฉันรู้สึกความเร่าร้อนที่เธอแสดงมาในจดหมายราวกับว่า ความหนาวของปลายฤดูออทัมน์ไม่ได้สัมผัสกับจิตใจของเธอเลย ราวกับว่าเธอลอบมาเขียนจดหมายฉบับนั้นในกรุงเทพฯ ถ้าเธอยังไม่คลายความเร่าร้อนลงแล้ว ฉันต้องขอแนะนำเธอให้เข้าไปอยู่ในตู้น้ำแข็งในเวลาเขียนถึงฉัน ​หรือมิฉะนั้นก็รอไว้เขียนในฤดูหนาวในที่ที่มีหิมะตก.

ฉันพูดเช่นนี้มิใช่เห็นจดหมายของเธอเป็นของขบขัน ฉันเห็นใจและสงสารเธอเป็นอย่างยิ่ง สงสารเธอแทบใจจะขาด แต่ฉันก็รู้ว่าความคลุ้มคลั่งเช่นนั้นมันจะทำให้นพพรของฉันไร้ความสุข ฉันอยากให้เธอเป็นสุขจะด้วยอะไรก็ตาม.

ในระหว่างเดินทาง จิตใจของฉันค่อนข้างเป็นปรกติ ฉันไม่ได้นับชั่วโมงนับวันคอยเวลาถึงบ้านด้วยใจจดใจจ่อ ซึ่งมักเป็นธรรมดาของผู้ที่จากบ้านมาไม่กี่เดือน อีกอย่างหนึ่งก็ไม่มีใครในกรุงเทพฯที่ใจฉันจดจ่อถึง ทุกชั่วโมงทุกวันฉันคิดถึงท่านพ่อและน้อง ๆ แต่ก็มิใช่อย่างใจจดใจจ่อ หากเป็นความคิดถึงอย่างเรียบ ๆ.

แต่ว่าในการจากเธอมานั้น ฉันต้องยอมรับว่าจิตใจของฉันไม่สู้จะเรียบร้อยนัก ฉันรู้ว่าการจากของฉันจะทำให้เธอเหงาเศร้าใจไปหลายวัน ความรู้สึกที่เธอพรรณนามาในจดหมายไม่รู้เกินกว่าความเป็นห่วงกังวลของฉัน ข้อที่ฉันหวังก็มีอยู่ แต่ว่าเธอคงจะสะกดกลั้นลงได้บ้าง แล้วความรู้สึกในตัวฉันอย่างรุนแรงนั้นจะค่อยเลื่อนหายไปในเวลาอันควร แล้วในที่สุดฉันก็จะไม่เป็นอะไรที่สลักสำคัญในชีวิตของเธอ แล้วความผาสุกและความรู้สึกอันบริสุทธิ์งดงามและปราศจากพันธนาการของคนในวัยหนุ่ม ก็จะกลับคืนมาสู่จิตใจของนพพรเช่นเดิม ฉันภาวนาและคอยเวลาที่ว่านี้.

เธอรู้ไหมว่าในการพรรณนาถึงความรู้สึกของเธอในจดหมายสองฉบับนั้น ได้ทำให้เธอกลายเป็นชายหนุ่มที่ฉันจะต้องคอยระมัดระวังในการติดต่อด้วย. เธอไม่เป็นนพพรยอดยุวมิตรของฉันเสียแล้ว ความน่ารักน่าเอ็นดูอย่างเด็ก ๆ ของเธอเกือบสูญหายไปหมดแล้ว ดูเธอเป็นชายหนุ่มใหญ่ที่น่ากลัวพอใช้ ในจดหมายนั้นฉันแทบจำนพพรคนที่ฉันแรกพบไม่ได้.

​ฉันขอวิงวอนเธอ มิตรน้อยของฉัน เธอต้องพยายามเรียกสัมปชัญญะของเธอคืนมา เธอต้องควบคุมอารมณ์ของเธอไว้ให้มั่นคง เธอมีลักษณะแข็งแกร่งพอที่จะทำได้ ถ้าเธอไม่ปล่อยปละละเลยมันเสียทีเดียว. มันเป็นความสลดสังเวชใจเหลือเกินนักที่เธอจะร้องร่ำคร่ำครวญคิดถึงสตรีผู้นั้น ซึ่งเป็นคนอาภัพ เป็นคนที่โชคชะตาได้ทอดทิ้งไม่เหลียวแลมาช้านานแล้ว ทั้งในปัจจุบันนี้เล่าก็ไม่อยู่ในฐานะอันจะเป็นที่ใฝ่ฝันของใคร ๆ ได้เสียแล้ว.

แม้ว่าคนทั้งหลายจะยอมอภัยให้ในความลุ่มรักของเธอในสตรีผู้นั้น แต่เธอก็จะต้องรับรู้ในความเป็นจริงว่า ความคร่ำครวญคิดถึงนั่นเป็นสิ่งไร้สาระต่อตัวเธอโดยแท้ ประโยชน์อะไรที่เธอมาคร่ำครวญใฝ่ฝันในตัวฉัน ในเมื่อความปรารถนาของเธอไม่มีทางที่จะเป็นของจริงขึ้นได้ มหาสมุทรมากีดกั้นฉันไว้จากเธอหรือ ? เธอย่อมรู้ดีว่า การที่ฉันมีท่านเจ้าคุณต่างหาก ที่ได้แยกเธอกับฉันไว้คนละโลก เราไม่มีทางที่จะพบกันได้ เธอเข้าใจดีพอมิใช่หรือ ?

นพพร, เธอจะใฝ่ฝันถึงฉันสืบต่อไปทำไม ? ฉันช่วยเธอไม่ได้ ไม่มีใครในโลกจะช่วยเธอได้. ชีวิตมีทางดำเนินก็จริง แต่เทพยดาฟ้าดินได้กำหนดวิถีทางดำเนินของชีวิตมาก่อนแล้ว ฉันไม่ห้ามและไม่ขอที่เธอจะคิดถึงฉัน แต่ขอให้คิดถึงฉันอย่างเรียบ ๆ อย่างที่เธอจะพึงคิดถึงเพื่อนที่รักของเธอ หรือพี่สาวของเธอ ฉันขอไม่ให้เธอคิดถึงฉันด้วยความคิดถึงที่หักโหมเร่าร้อนรุนแรง ขออย่าคิดถึงด้วยความปรารถนาจะยึดเอาร่างกายและดวงใจของฉันไว้เป็นสมบัติของเธอ เธอรู้แล้วว่าเธอปรารถนาในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้.

โปรดกลับคืนไปที่เดิมของเธอ มิตรน้อยที่รัก กลับไปที่หนังสือ และความใฝ่ฝันถึงชีวิตแห่งงานการอันเต็มไปด้วยเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่ง เธอมีอนาคตงดงามน่าใฝ่ฝันยิ่งกว่าสตรีผู้นั้น ซึ่งเป็นแต่หลงเข้ามาใน​เส้นทางดำเนินชีวิตของเธอเพียงชั่วครู่ยามเดียว ขอให้ฉันมีหวังว่า คำเตือนของฉันจะยับยั้งรั้งใจเธอได้.

ขอเธอจงตั้งหน้าศึกษาเล่าเรียน นั่นเป็นจุดที่หมายอันเดียวของเธอในเวลานี้ ฉันคนหนึ่งที่จะคอยเอาใจจดจ่ออยู่กับความสำเร็จของเธอ เป็นคนหนึ่งและไม่เป็นรองใคร ในความปลาบปลื้มปีติที่จะแสดงออกต้อนรับในอนาคตอันเต็มไปด้วยเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งของเธอ ถ้าหากอายุของฉันจะไม่สั้นเกินไปนัก.

ฉันคอยเวลาที่จะมีข่าวมาถึงฉันว่า อารมณ์ของเธอได้เข้าสู่ความสงบเรียบร้อยดุจเดิม ด้วยใจจดใจจ่อ. ฉันหวังว่า เวลาที่ฉันคาดคอยอยู่นี้จะมาถึงไม่ช้านัก และนับแต่นั้น ฉันก็จะมีความปลอดโปร่งโล่งใจและผาสุก.

แม้ว่าในจดหมายฉบับนี้จะบรรจุล้วนแต่คำขอต่อเธอ แต่ฉันไม่ลืมเป็นอันขาดที่จะบอกกับเธอว่า ฉันต้อนรับความรู้สึกอันมีค่ายิ่งของเธอด้วยความชื่นชอบขอบใจอย่างลึกซึ้ง. ฉันรับไว้ครั้งหนึ่ง และจะจดจำไว้ชั่วกาลอวสาน เธอไม่จำต้องกล่าวซ้ำอีก. จงคิดถึงฉันเถิด, คนดี คิดถึงแต่น้อย ๆ และนานเท่าใดก็ได้.

ฉันเขียนถึงเธอยืดยาวนักแล้ว ฉะนั้นฉันขอเว้นไม่เล่าถึงความเป็นไปและเรื่องราวของคนอื่น ๆ ในจดหมายฉบับนี้ แต่ขอให้ฉันดุเธอสักหน่อยว่า ทำไมไม่เขียนถึงเจ้าคุณท่านบ้าง เธอรู้ไหมว่าเป็นการเลินเล่อเพียงใดที่เธอมัวมาสนใจแต่การเขียนถึงฉันคนเดียว ฉันแทบสะดุ้งเมื่อเจ้าคุณถามว่า เธอเขียนมาถึงฉันว่ากระไรบ้าง ถ้าเธอได้มาอยู่ด้วยในเวลาเช่นนั้น ฉันเชื่อแน่ว่าเธอจะตกใจมากทีเดียว เคราะห์ดีที่ท่านไม่ใช่คนขี้หึง และฉันก็ไม่ใช่คนที่ตื่นตกใจเอาง่าย ๆ.

ขออนุญาตให้ฉันจบเพียงเท่านี้ได้ไหมคนดี เจ้าคุณกำลังเตรียมตัว​เข้านอน และฉันไม่อยากจะให้ท่านถามอะไรฉันโดยไม่จำเป็น

ลาก่อนมิตรน้อยของฉัน ฉันคิดถึงและเอ็นดูเธอไม่จืดจาง จะคิดถึงและเอ็นดูเธอชั่วนิรันดร.

                                                                   ด้วยใจจดจ่อในความผาสุกของเธอ

                                                                                   กีรติ”

​จดหมายของหม่อมราชวงศ์กีรติฉบับแรกนี้ ได้มาดับความกระวนกระวายเร่าร้อนใจของข้าพเจ้าลงไปไม่น้อย น้ำคำของเธอทำให้ชุ่มชื่นใจนัก ราวกับว่าข้าพเจ้าได้พบและได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้จากปากของเธอเอง. ในชั้นต้น ข้าพเจ้ามองไม่เห็นประโยชน์ในคำตักเตือนของเธอ ข้าพเจ้าไม่เอาใจใส่ โดยถือเสียว่าเป็นแต่คำพูดปลอบโยนอย่างธรรมดาเท่านั้น หม่อมราชวงศ์กีรติคงมิได้ตั้งใจจริงอะไรที่จะให้ข้าพเจ้าเลิกใฝ่ฝันคิดถึงเธอ ด้วยความคิดถึงที่ร้อนเป็นไฟ. แต่ในเวลาต่อ ๆ มาเมื่อได้อ่านจดหมายของเธอทบทวนอีกและได้ตรึกตรองตามไป ข้าพเจ้าก็ออกจะเอนเอียงไปข้างเห็นว่า คำเตือนของเธอเป็นสิ่งน่าคิดอยู่ หม่อมราชวงศ์กีรติอาจมีความตั้งใจจริงจัง ในการที่ได้วิงวอนเตือนมาเช่นนั้นก็เป็นได้.

 


8

๑๓

เมื่อได้คิดคำนึงไปว่า สุภาพสตรีที่ข้าพเจ้ารักสุดที่รัก และที่ข้าพเจ้าได้คลอเคลียอยู่กับเธอทุกวันคืน ได้จากไปไกล และมิใช่การจากไปอยู่คนละตำบลคนละเมือง ซึ่งข้าพเจ้าอาจขึ้นรถยนต์หรือรถไฟไปพบเธอได้ หากเป็นการจากไปสู่อีกประเทศหนึ่ง และข้าพเจ้าไม่อยู่ในฐานะที่จะตะเกียกตะกายไปพบเธอได้ก่อนที่เวลา ๕ ปีจะได้ผ่านไป ข้าพเจ้าเศร้าโศกปานใดเมื่อได้คิดคำนึงไปเช่นนั้น เป็นการสุดวิสัยที่จะพรรณนาออกมาได้.

ระหว่างทางที่นั่งรถไฟจากโกเบมาโตเกียว ข้าพเจ้ารู้สึกว่าได้รับความชอกช้ำด้วยความคิดคำนึงถึงหม่อมราชวงศ์กีรติอย่างแสนสาหัส ข้าพเจ้าเดินทางมาในเวลากลางคืน และในยามราตรีเช่นนั้น มันชวนให้ข้าพเจ้าคิดถึงเธอเสียนี่กระไร.

มาถึงโตเกียวในเช้ารุ่งขึ้น ข้าพเจ้าตรงไปที่ตำบลอาโอยามาชิฮัง ไปเยี่ยมบ้านของเธอ ความรู้สึกของข้าพเจ้าในเวลานั้น ราวกับว่าไปเยี่ยมสถานฝังศพของบุคคลที่ข้าพเจ้ารักแสนรัก ราวกับว่าหม่อม​ราชวงศ์กีรติได้ตายจากข้าพเจ้าไป. ประตูหน้าบ้านซึ่งต่ำแค่ราวอกปิดลงกลอน ข้าพเจ้าถอดกลอนออกเปิดประตูเดินไปตามถนนกรวดช้า ๆ ข้าพเจ้าเดินสำรวจตรวจดูตามบริเวณบ้านรอบนอกอย่างเงียบ ๆ รำลึกภาพที่เราได้เคยนั่งเล่นเดินเล่นอยู่ด้วยกัน ที่นี่และที่นั่น. บนบ้านประตูหน้าต่างทุกบ้านปิดสนิท เงียบสงัดปราศจากศัพท์สำเนียงใด.

ข้าพเจ้านั่งลงบนเนินหญ้าภายใต้ซุ้มต้นองุ่น ณ ที่นี้เราทั้งสองเคยมานั่งพักสนทนากันในเวลาค่ำคืนหลายครั้ง ก่อนที่หม่อมราชวงศ์กีรติจะเข้านอน ในราตรีอันผุดผ่องด้วยแสงเดือน ข้าพเจ้ายังจดจำดวงนัยนาที่ทั้งหวานและคมของเธอได้ ความรู้สึกซาบซ่านกระวนกระวายได้เกิดแก่ข้าพเจ้าเนือง ๆ ในเมื่อแลสบเนตรอันทรงมหาเสน่ห์คู่นั้น เจตสิกของข้าพเจ้าจมอยู่ในความคิดคำนึงถึงหม่อมราชวงศ์กีรตินานเท่าใด ก็เหลือที่จะจดจำ อากาศในเช้าวันนั้นครึ้มเยียบเย็นไม่เปลี่ยนแปลง และปราศจากแสงแดด เมื่อข้าพเจ้าพยุงกายลุกขึ้นจากเนินหญ้า และได้ทอดทัศนาไปโดยรอบบริเวณบ้านอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้ารู้สึกมีหยาดน้ำตาคลออยู่ในดวงตา ความเสน่หาอาลัยเกิดแก่ข้าพเจ้าแม้กระทั่งสิ่งที่เป็นเพียงนิวาสสถานของเธอ.

กลับมาถึงบ้านในวันนั้น และรับประทานอาหารค่ำแล้ว แทนที่จะเข้าไปนั่งเล่นในห้องรับแขก รวมกลุ่มกับคนอื่น ๆ ในครอบครัว อันเป็นกิจวัตรของเรา แล้วก็เปิดวิทยุฟังบ้าง ฟังเพลงจากจานเสียง บ้าง สนทนากันบ้างหรืออ่านหนังสือพิมพ์บ้าง ข้าพเจ้าต้องขอตัวคนเหล่านั้นอยู่ในห้องของข้าพเจ้าแต่ลำพัง ข้าพเจ้าไม่สามารถจะไปร่วมพักผ่อนกับคนเหล่านั้นได้ ด้วยเหตุที่ข้าพเจ้ารู้สึกแน่ในใจว่า ข้าพเจ้าจะไม่เป็นประโยชน์แก่เขาเลย. ประสาทของข้าพเจ้ามึนชาไปหมด ข้าพเจ้ามีความหมกมุ่นสนใจอยู่แต่ในเรื่อง ๆ เดียว.

​ข้าพเจ้าพยายามหาทางที่จะบรรเทาความคิดคำนึงฟุ้งซ่านถึงหม่อมราชวงศ์กีรติ ข้าพเจ้าจำต้องหาทางให้ความคิดคำนึงเหล่านั้นได้พลั่งออกมาเสียบ้าง แทนที่จะปล่อยให้อัดแน่นอยู่ในหัวอกจนเหลือที่จะทนทานได้. แต่ก็ไม่มีใครเลยที่ข้าพเจ้าเห็นสมควรระบายความรู้สึกของข้าพเจ้าให้เขาทราบ ข้าพเจ้ายังมีสติพอที่จะไม่แถลงเล่าแก่ใครคนหนึ่งว่า ข้าพเจ้ากำลังคลั่งรักหม่อมราชวงศ์กีรติ คลั่งรักสตรีผู้เป็นภริยาของบุคคลผู้เป็นมิตรของบิดาข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังมีสัมปชัญญะพอที่จะหยั่งทราบได้ว่า การแถลงเล่าเช่นนั้นจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ตัวและแก่สตรีที่ข้าพเจ้ารัก น้อยนักที่จะได้รับความปลอบโยนเห็นใจ.

ทางออกจึงเหลืออยู่แต่ทางเดียว คือระบายความรู้สึกคลุ้มคลั่งของข้าพเจ้าให้เธอทราบ ข้าพเจ้าจึงลงมือเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ถึงหม่อมราชวงศ์กีรติในค่ำวันนั้น ต่อไปนี้คือจดหมายฉบับแรกนั้น.

“คุณหญิงที่รักของผม

ผมแทบจะหมดสติด้วยความคลั่งคิดถึง เมื่อดวงหน้าของคุณหญิงห่างไกลออกไปจนผมไม่สามารถจะแลเห็นความงามในดวงหน้านั้นต่อไปได้. ผมแทบจะล้มฟุบลงไปที่ท่าเรือนั้น เมื่อมือน้อย ๆ หยุดโบกเพราะสุดกำลังที่จะโบกต่อไป. ผมไม่รู้ตัวว่าผมกลับมาโตเกียวได้อย่างไร ผมกลับโตเกียวในคืนวันเดียวกันนั้นด้วยความรู้สึกมึนงงเหมือนคนเมาเหล้าจัด.

ผมไม่สามารถจะผ่านราตรีที่สอง ซึ่งปราศจากคุณหญิงไปได้ ถ้าไม่ลงมือระเบิดความรู้สึกของผมให้ทลายออกมาจากหัวอกเสียบ้าง ผมแทบคลั่งเป็นบ้าด้วยความคิดถึง มันพลั่งอยู่ในหัวอก ผมต้องระเบิดระบายมันออกมา.

ผมว่ายน้ำข้ามทะเลมาหาคุณหญิงไม่ได้ แต่ผมก็ติดตามคุณหญิง​มาโดยทางจดหมายนี้แล้ว และขอให้ฟังผมอีกที นี่มันไม่ใช่จดหมายดอกคุณหญิง นี่เป็นคนแท้ทีเดียว เมื่อคุณหญิงไปถึงบ้านในกรุงเทพฯและได้ฉีกซองจดหมายฉบับนี้ และดึงมันออกมา คุณหญิงจงเข้าใจเถิด มันไม่ใช่อื่นไกลเลย มันคือนพพรของคุณหญิง ถ้าคุณหญิงจะกรุณาจูบมันสักครั้งหนึ่ง ผมคงสามารถรู้สึกความหวานซาบซ่านในจูบนั้นได้ แม้ว่าร่างกายของเราจะอยู่ห่างไกลกันนับตั้งหลายพันไมล์ก็ตาม

ขณะที่ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ คุณหญิงคงจะผ่านเมืองโมยu ออกนอกเขตแดนญี่ปุ่นไปแล้ว ผมพยายามจะเห็นคุณหญิงโดยทางมโนภาพ คุณหญิงอาจจะนั่งอยู่ในห้องซาลูน เพราะเพิ่งเสร็จการรับประทานอาหาร แต่ผมเกรงว่าคุณหญิงคงไม่ประสงค์จะอยู่ในหมู่คนมากนัก คุณหญิงคงจะปล่อยให้ท่านเจ้าคุณสนทนากับกัปตันและผู้โดยสารอื่น ๆ ส่วนตัว​คุณหญิงเองคงจะขึ้นมาพักอยู่แต่ลำพังเงียบ ๆ บนดาดฟ้าเรือแล้วก็เป็นได้ มโนภาพของผมออกจะทำให้ผมแลเห็นความเคลื่อนไหวของคุณหญิงเป็นไปในประการหลัง.

มีแสงเดือนอ่อน ๆ ในค่ำวันนี้ แต่ว่าในท่ามกลางท้องทะเลก็ไม่มีอะไรที่จะทอดทัศนา นอกจากระลอกคลื่นและดวงดาวบนท้องฟ้า โลกในกลางทะเลก็มีแต่ฟ้ากับน้ำเท่านั้น คุณหญิงจะขึ้นมาอยู่บนดาดฟ้าเรือเพื่ออะไรเล่า เพื่อที่จะคิดถึงผมอย่างเงียบ ๆ โดยปราศจากความรบกวนของคนอื่น หรือเพื่อที่จะคิดถึงบ้านในกรุงเทพฯ หรือเพื่อที่จะอาบแสงเดือนอ่อนและตากลมเย็น

โอ. ผมเขลาไปถนัด ! มโนภาพของผมมันช่างลำเอียงมาข้างความต้องการของผมมากเกินไป มันจะชวนให้ผมมองเห็นท่าที่อิริยาบถของคุณหญิงแต่ในทางยียวนป่วนใจ แต่แท้จริงมันออกจะเป็นไปไม่ได้ที่คุณหญิงจะมายืนตากลมอยู่บนดาดฟ้าเรือในราตรีเช่นนี้ และในขณะที่คุณหญิงยังอยู่ไม่ห่างไกลจากเกาะญี่ปุ่นเท่าใดนัก คุณหญิงคงจะหนาวเกินจะทนได้ และก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณหญิงจะมายืนทนหนาวอยู่เดียวดายเช่นนั้น.

ถ้าคุณหญิงไม่อยู่ในห้องซาลูน คุณหญิงก็คงจะเดินเล่นอยู่ตามกราบเรือตอนล่าง ในตอนที่ไม่ต้องปะทะกับลมเย็นอย่างรุนแรงเกินไป คุณหญิงอาจมายืนเกาะลูกกรงทางตอนท้ายเรือซึ่งมีที่กำบังลม แล้วมองลงไปในท้องทะเล แล้วก็คิดถึงผมนิดหน่อย หรือมากก็เป็นได้ นพพรของคุณหญิงได้ติดตามไปผุดขึ้นในที่ทุกแห่งที่คุณหญิงได้มองลงไป คุณหญิง มองเห็นผมในพื้นน้ำบ้างไหม ? ผมติดตามมาดุจระลอกคลื่นที่ไล่ตามเรือ ประกายคลื่นนั้นคือประกายตาของผมเอง คุณหญิงมองเห็นผมบ้างไหม ?

ถ้าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดอนุญาตให้ผมเลือกขอพรได้อันหนึ่ง ผมจะ​ขอว่าให้ผมสามารถจำแลงกายเข้าไปอยู่ในหัวใจของคุณหญิง เพื่อผมจะได้ทราบทุกเวลานาที ว่าคุณหญิงคิดคำนึงว่ากระไร คุณหญิงคิดถึงนพพรของคุณหญิงมากน้อยเพียงไร แต่คงไม่มีเป็นแน่มิใช่หรือที่คุณหญิงจะไม่คิดถึงผมเลย.

ผมเพิ่งนึกได้ว่า มีความจริงที่ร้ายกาจอยู่ข้อหนึ่งคือความจริงที่ว่า แม้ผมจะได้เพียรถามทั้งหลายครั้งหลายหนแล้ว คุณหญิงก็ไม่เคยตอบให้ผมได้ทราบเลยว่า คุณหญิงรักผมหรือไม่ ผมรู้ว่าการนิ่งเช่นนั้น ไม่ใช่เป็นการแสดงว่า คุณหญิงปฏิเสธความรักของผมดอก แต่ผมก็ปรารถนาและกระหายเป็นล้นพ้นที่จะได้ฟังคุณหญิงกล่าวออกมาให้แจ้งชัดแก่ใจ ถ้าคุณหญิงกล่าวความรักแก่ผมสักคำหนึ่ง ผมจะถือว่าเป็นพรอันประเสริฐสุดเท่าที่ผมจะพึงได้รับตลอดชั่วชีวิตของผม คุณหญิงจะกรุณาประสาทพรที่ผมวิงวอนขอมานี้ได้หรือไม่?

​คุณหญิงได้รับรองกับผมไว้แล้วว่า จะไม่ลืมคิดถึงผม แต่คุณหญิงก็ควรทราบว่า ผมไม่ประสงค์ให้คุณหญิงคิดถึงผมดุจว่าผมเป็นเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งที่น่าสงสารหรือน่าเล่นหัวด้วยก็ตาม ผมปรารถนาให้คุณหญิงคิดถึงผมอย่างว่า ผมเป็น--อ้า--ผมจะพูดว่าอะไรดี ผมจะพูดว่า ผมเป็นคนรักที่สุด หรือคนรักคนเดียวของคุณหญิงได้ไหม ?

คุณหญิงอาจกำลังสงสัยว่า ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยอาการเพ้อคลั่งไปบ้างหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ผู้ที่กำลังคิดถึงใครคนหนึ่ง ด้วยความรู้สึกทั้งมวลที่มีอยู่ในจิตใจของเขา แล้วก็พูดออกมาตามความสัตย์จริงใจ ฉะนี้จะว่าเป็นอาการเพ้อคลั่งได้หรือไม่.

ผมไม่อยากจะจบจดหมายนี้ลงเสียโดยเร็ว เพราะว่าในเวลาที่ผมเขียน ผมรู้สึกว่าผมได้นำจิตใจของผมไปอยู่ใกล้ชิดกับจิตใจของคุณหญิงอย่างที่สุด และนั่นมันทำให้ผมค่อยสบายใจขึ้น แม้ถึงว่าในเวลานี้คุณหญิงจะอยู่ห่างไกลจากผมเพียงใดก็ตาม.

แต่ผมก็ไม่รู้จะเขียนอะไรลงไปอีก เพราะว่ามันก็จะไม่พ้นไปจากการพรรณนาความรู้สึกคิดถึงอันใหญ่หลวง ความคิดถึงที่ไม่มีระยะเวลาเวลาสิ้นสุดลงได้.

ผมจึงควรจะจบจดหมายเสียที แล้วผมก็จะลาไปนอน-โอยาซูมินาไซ. คุณหญิงที่รักของผม. แม้หลับลงได้ก็เป็นบุญหนักหนา และคงจะฝันถึงคุณหญิงในยามหลับไม่ต้องสงสัย.

                                                                        รักคุณหญิงเหลือเกิน

                                                                               นพพร”

เมื่อได้เขียนจดหมายจบลงแล้ว ข้าพเจ้ายังได้อ่านทบทวนดูอีกหลายตลบ มิใช่เพื่อจะตรวจสอบดูว่าตัวเองเขียนได้ไพเราะเพราะพริ้งปานใด ข้าพเจ้าไม่มีความจำนงจงใจเลยที่จะเขียนจดหมายถึงหม่อม​ราชวงศ์กีรติด้วยถือเอาความไพเราะเพราะพริ้งเป็นสำคัญ การที่อ่านซ้ำอีกหลายตลบ ก็เพื่อจะดื่มรสหวานซาบซึ้งในความรู้สึกของตนเอง พอเป็นที่ชุ่มชื่นใจคลายโศก. จำได้ว่าข้าพเจ้าหลับไปได้ไม่ยากนักในคืนวันนั้น เนื่องด้วยความเหนื่อยอ่อนใจเป็นที่สุด ข้าพเจ้าฝันร้อยแปด แต่ก็เป็นภาพนิมิตร้อยแปดอย่างในเรื่อง ๆ เดียว หรือในคน ๆ เดียวนั้นเอง.

ข้าพเจ้าทนความเหงาเศร้าใจไปได้ไม่กี่วัน และเมื่อเหลือที่จะอดกลั้นได้ ข้าพเจ้าก็ได้เขียนจดหมายถึงหม่อมราชวงศ์กีรติอีกฉบับหนึ่ง ในระหว่างที่เธอยังเดินทางรอนแรมอยู่กลางทะเล.

 


9

๑๒

​วันที่เราพากันไปเที่ยวเขามิตาเกะนั้น เป็นวันในต้นสัปดาห์ที่ ๘. ตามกำหนดการเดิม เจ้าคุณกับหม่อมราชวงศ์กีรติจะได้เดินทางออกจากโตเกียว เพื่อกลับคืนประเทศสยามในวันใดวันหนึ่งของสัปดาห์นั้น แต่สองวันต่อมาหลังแต่นั้น ข้าพเจ้าได้ทราบจากหม่อมราชวงศ์กีรติว่า เจ้าคุณยินดีจะยืดเวลาอยู่โตเกียวออกไปอีกสองสัปดาห์. ในระหว่างเวลาที่ได้ยืดออกไปนั้น มีกำหนดการสำคัญอยู่สองอย่าง. อย่างหนึ่งเจ้าคุณกับหม่อมราชวงศ์กีรติจะได้ไปใช้วันที่อาตามิสักสองวัน เพื่ออาบน้ำร้อนและชมภูมิประเทศอันเป็นที่ขึ้นชื่อลือนามแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น. กำหนดการอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในระหว่างทางจากโตเกียวไปโกเบ ท่านทั้งสองจะหยุดยั้งที่เมืองโอซากาสักสองสามวัน เพื่อชมความเจริญของเมืองอุตสาหกรรมชั้นเอกของญี่ปุ่นและชมสำนักละครตาการะซูกะ ซึ่งเป็นสำนักละครสำนักใหญ่ที่สุดในประเทศนั้น.

ในระหว่างวันที่เหลืออยู่นี้ ข้าพเจ้าได้มาเยี่ยมเยียนและมีการติดต่อกับหม่อมราชวงศ์กีรติ และเจ้าคุณอธิการบดีเหมือนเช่นเคย. ข้าพเจ้า​จำต้องสารภาพว่า ในการติดต่อกับหม่อมราชวงศ์กีรติในครั้งหลัง ๆ นี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าสามีของเธอ ข้าพเจ้าหามีความปลอดโปร่งโล่งใจดังแต่ก่อนไม่ ข้าพเจ้าต้องใช้ความพยายามบังคับกิริยาของตนเองอยู่เสมอ เพื่อที่จะมิให้เป็นการผิดปรกติไป. ความหวาดหวั่นปั่นป่วนใจของข้าพเจ้าในเวลานั้น คงจะไม่ผิดแผกแตกต่างไปจากความรู้สึกของคนร้าย ที่ได้ลอบประกอบอาชญากรรมอันร้ายแรงและได้นำตนเข้ามาปะปนสมาคมอยู่ในหมู่ชนผู้บริสุทธิ์.

เป็นการประหลาดมากที่ข้าพเจ้าได้พบว่า หม่อมราชวงศ์กีรติมิได้มีกิริยาการเปลี่ยนแปลงผิดปรกติไปแม้แต่น้อยหนึ่ง. เธอคงประพฤติตนสนิทสนมกับข้าพเจ้าเหมือนเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นในเวลาลับหลังหรืออยู่ต่อหน้าเจ้าคุณสามี. เฉพาะความสนิทสนมที่เธอได้แสดงต่อข้าพเจ้าในเวลาที่อยู่ต่อหน้าท่านเจ้าคุณนั้น ได้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกใจหายบ่อย ๆ อย่างไรก็ตาม การที่เธอได้แสดงกิริยาเป็นปรกติกับข้าพเจ้าตลอดมานั้น ก็เป็นเครื่องอุ่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่า เธอยังคงเป็นหม่อมราชวงศ์กีรติคนเก่าของข้าพเจ้า เธอมิได้มีความชิงชังข้าพเจ้า ภายหลังที่ข้าพเจ้าได้สร้างเหตุการณ์อันกระเทือนใจที่สุดขึ้น ณ ที่เขามิตาเกะนั้นแล้ว.

เมื่อมีโอกาสครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง ข้าพเจ้าได้เพียรจะรื้อฟื้นเรื่องเดิมอีก แต่ก็ได้ถูกเธอตอบตัดบทเสีย. เย็นวันหนึ่งที่อาตามิ หม่อมราชวงศ์กีรติได้ชวนข้าพเจ้าออกไปเดินเล่นแต่ลำพัง.

“ยังเหลืออีก ๖ วันเท่านั้น” เรากำลังพูดถึงเรื่องที่จะต้องจากกัน.

“เธอคอยนับวันอยู่เสมอเทียวหรือ, นพพร?”

“ผมนับทุกชั่วโมง ทุกนาที หรือแทบจะว่าทุกลมหายใจเข้าออกก็ได้.”

“เธอจริงจังกับการจากของเรามากเกินไป. คนดี. ฉันขอเตือน​เธอ เธออาจจะไม่สบาย เธอต้องพยายามข่มใจ” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความปรานี น้ำเสียงเช่นนี้เป็นที่เสียดแทงใจข้าพเจ้ายิ่งขึ้น.

“ผมไม่อยากจะทำเช่นนั้น ผมมองไม่เห็นเหตุผลว่า ทำไมผมจะต้องข่มขู่ความรักที่เกิดเอง เป็นเองด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ความรักที่ไร้ความผิดที่น่าสงสาร น่าสมเพชเวทนา ผมทำดังนั้นแก่ความรักไม่ได้.”

หม่อมราชวงศ์กีรติถอนหายใจ.

“เราหลีกเลี่ยงความจริงไม่ได้, นพพร.”

“ความจริงอะไร?”

“ความจริงที่เราจะต้องจากกันใน ๖ วันต่อจากนี้ไป.”

“เป็นความจริงที่ร้ายกาจมาก!” ข้าพเจ้าพูดอย่างแค้น.

“เพราะเหตุนั้นน่ะสิ ฉันจึงขอให้เธอพยายามข่มใจ. โปรดเชื่อฉัน, คนดี.”

“ผมจะพยายาม แต่ผมคิดว่าไร้ประโยชน์.”

“เราไม่ควรจะได้มาพบกันเลย” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดเป็นเชิงรำพึงแก่ตนเองมากกว่าที่จะพูดกับข้าพเจ้า “การตั้งต้นของเราดีเหลือเกิน แต่การตั้งต้นเช่นนั้นกลับเป็นเครื่องทรมาทรกรรมเราในตอนท้าย.”

“มันทรมานคุณหญิงด้วยหรือ ?”

“ฉันปวดร้าวใจด้วยความสงสารเธอ สงสารเพราะว่าเธอมาจริงจังกับฉันเกินไป.”

“ผมคิดว่า ความจริงจังเป็นลักษณะสำคัญของความรักแท้” ข้าพเจ้าพูดด้วยเสียงกระด้างนิดหน่อย.

หม่อมราชวงศ์กีรติพูดต่อไป ด้วยการสำรวมกิริยาเป็นปรกติ.

“ถ้าฉันทำอย่างไรให้เธอไม่พอใจฉันเสียได้แต่ในชั้นต้น การณ์ก็จะไม่เป็นเช่นนี้.”

​“แต่ผมก็พอใจในฐานะของผมในเวลานี้อย่างที่สุดแล้ว. แม้ว่าความรักจะทรมานผมเพียงใด แต่ความรักก็เป็นพรอันประเสริฐสำหรับชีวิต ตามคำของคุณหญิงเอง. ผมไม่เข้าใจผิดไปมิใช่หรือ ว่าคุณหญิงก็รักผมด้วยลักษณะของความรัก เช่นเดียวกันที่ผมได้รักคุณหญิง รักด้วยชีวิตจิตใจ รักอย่างจริงจัง.”

“โปรดเชื่อฉัน, นพพร. เธอต้องพยายามข่มใจ.”

ในที่สุดข้าพเจ้าก็ไม่ได้รับคำตอบอันแจ้งชัดจากปากคำของเธอ ในการที่ได้ไปใช้วันคืนร่วมกันที่อาตามินั้น.

□ □ □

เราพักที่โอซากาโฮเต็ลสองวัน หม่อมราชวงศ์กีรติกับข้าพเจ้า​แทบจะไม่มีโอกาสได้สนทนาล่ำลาไว้อาลัยกันแต่ลำพังเลย. เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันที่เราจะออกเดินทางไปโกเบ หม่อมราชวงศ์กีรติมาเคาะประตูห้องพักของข้าพเจ้า. เมื่อข้าพเจ้าถอดกลอนเปิดประตูออก และเธอเห็นข้าพเจ้าอยู่ในเครื่องสักหลาดชุดสีน้ำเงิน สวมกั๊กและผูกเน็กไทเรียบร้อย แทนที่จะอยู่ในเครื่องนอน เธอก็แสดงความประหลาดใจ.

“ฉันคิดว่าเธอยังไม่ตื่นนอน เพราะว่าเมื่อคืนนี้เราก็เข้านอนดึก. และนี่เธอจะแต่งตัวไปไหน ? เราจะไม่ออกเดินทางก่อน ๓ โมงเช้า”

“ผมทราบแล้ว แต่ว่าผมนอนไม่หลับ ก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าแต่งตัว และคิดว่าประเดี๋ยวจะลงไปเดินเล่นข้างล่าง เพราะรู้สึกอึดอัดใจมาก.”

“วันนี้อากาศหนาวเย็นกว่าเคย และภายนอกมีหมอกลงจัด ฉันหวังว่าเธอจะยังไม่ออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้.”

​“เปล่า, ผมจะยังไม่ออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้.”

ข้าพเจ้าปิดประตูแล้ว ก็เดินตามหม่อมราชวงศ์กีรติมานั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เตียงนอน ส่วนหม่อมราชวงศ์กีรตินั่งลงที่ขอบเตียง ข้าพเจ้าดีใจเหลือประมาณที่ได้พบหน้าเธอแต่เช้าในวันนั้น แม้ว่าข้าพเจ้าจะมีความประหลาดใจนิดหน่อย ว่าเธอมีกิจธุระสำคัญอะไรหนอที่ต้องการจะพบข้าพเจ้าแต่เช้าตรู่.

อยู่ต่อหน้าหม่อมราชวงศ์กีรติในเช้าวันนั้น เช้าวันสุดท้ายที่เราจะจากกัน หัวใจของข้าพเจ้าเต้นแรง. ข้าพเจ้านั่งสำรวมกิริยาด้วยความสร้อยเศร้า และหม่อมราชวงศ์กีรติก็ไม่เอ่ยออกวาจาว่ากระไร เราปล่อยให้เวลาผ่านไปในความเงียบกว่า ๓๐ วินาที

ในที่สุด เธอได้พูดขึ้นอย่างแช่มช้าว่า

“เราจะออกจากโอซาการะหว่าง ๓ โมงครึ่งถึง ๔ โมง จะไปรับประทานอาหารกลางวันที่โกเบ โดยคำเชิญของสหายคนไทยที่นั่น กำหนดเรือออกจากท่าบ่าย ๒ โมง.”

ข้าพเจ้าใจหายวาบ เมื่อได้ฟังประโยคท้าย.

“เมื่อไปถึงโกเบ เราคงจะอยู่ในระเบียบการรับรองตลอดเวลา” เธอกล่าวต่อไปอย่างแช่มช้าเช่นเดียวกับในตอนต้น “เราคงไม่มีเวลาที่จะอยู่ด้วยกันแต่ลำพังอีกเลย.”

เธอหยุดครู่หนึ่ง ข้าพเจ้ากลืนน้ำลาย หลบนัยน์ตาเธอ และนัยน์ตาข้าพเจ้ากะพริบหลายครั้งในเวลานั้น.

“ฉันคิดว่าเธอคงต้องการเวลาอย่างน้อยก็สัก ๑๐ นาที เพื่อที่เราจะได้กล่าวคำอำลากันเป็นการพิเศษเฉพาะตัว ฉันจึงเข้ามาหาเธอแต่เช้าในวันนี้ ”

น้ำเสียงของเธอเยือกเย็น ทำให้ข้าพเจ้าตื้นตันใจเป็นแสนสุด.

​“ผมกระหายที่จะได้เวลาอย่างที่ว่าเหลือเกิน ผมขอบใจคุณหญิงอย่างที่สุดที่ให้โอกาสแก่ผม” ข้าพเจ้าพูดได้เท่านั้นก็นิ่งไป.

“เธอจงตั้งหน้าศึกษาเล่าเรียนให้สำเร็จสมความปรารถนา อยู่ทางเมืองไทย ฉันจะภาวนาเอาใจช่วยเธอ.”

“ขอให้คิดถึงผมตลอดเวลาด้วย ขอจงเห็นใจในความรักภักดีของผม.”

“ฉันขอรับรองว่าจะปฏิบัติตาม. แล้วมีอะไรอีก, นพพร ?”

“ผมมีคำพูดอีกตั้งล้านคำที่จะพูด แต่เวลามีไม่พอ ผมอยากจะเลือกสรรคำพูดเพียงร้อยคำ เพื่อที่จะให้คุณหญิงเข้าใจความทั้งล้านคำนั้น แต่ผมยังนึกหาคำไม่ออก.”

“เธอจงพูดเท่าที่จะพูดได้ ส่วนที่เหลืออยู่นั้นฉันจะอ่านจากดวงตาของเธอ.”

ข้าพเจ้าแลสบตาเธอ ด้วยความรู้สึกละห้อยสร้อยเศร้าทวีขึ้น.

“จงอ่านดูเถิด ผมยังไม่รู้ที่จะพูดว่ากระไร.”

เราถ้อยทีถ้อยแลสบตากันอยู่เป็นครู่ ในที่สุดหม่อมราชวงศ์กีรติลุกขึ้น และมายืนอยู่เคียงข้างข้าพเจ้า เอามือยึดไหล่ข้าพเจ้าไว้พลางพูดว่า

“คนดีของฉัน. ขอได้โปรดรับคำแนะนำของฉันเป็นครั้งสุดท้าย. เธอจากบ้านเกิดเมืองนอนมาญี่ปุ่นเพื่อการศึกษาเล่าเรียน มิใช่เพื่อจะมารักฉัน. จงจำจุดหมายปลายทางของเธอไว้ให้แม่น จงยึดไว้ให้มั่น. ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฉันในชั่วเวลา ๒ เดือนเศษนี้ เธอจงลืมเสีย จงนึกเสียว่ามันเป็นความฝัน”

ข้าพเจ้าเอื้อมมือไปจับมือเธอแล้วลูบคลำเบา ๆ

“นี่เป็นเลือดเนื้อโดยแท้ นี่เป็นคุณหญิงโดยแท้ มิใช่รูปภาพหรือ​เงาในฝันเลย จะให้ผมนึกไปว่าเป็นความฝันได้กระไร. ผมรักเลือดเนื้อนี้แทบใจจะขาด.”

หม่อมราชวงศ์กีรติค่อยดึงมือออกและเบือนหน้าไปทางอื่น.

“เจ้าคุณอาจจะตื่นในไม่ช้า ประเดี๋ยวฉันจะต้องกลับไปห้อง เวลาของเราเกือบหมดแล้ว, คนดี.”

ข้าพเจ้าลุกขึ้นยืน.

“คุณหญิงรักผมไหม ?” เสียงที่ถามนั้นเบาจนแทบเป็นกระซิบ.

“ฉันเป็นเพื่อนตายของเธอ” หม่อมราชวงศ์กีรติตอบ พลางดึงผ้าพันคอไหมที่พันอยู่กับคอเธอส่งให้ข้าพเจ้า “โปรดรับสิ่งนี้ไว้เป็นที่ระลึกต่างตัวฉัน.”

เธอยื่นมือมาให้ข้าพเจ้าสัมผัส ข้าพเจ้าสุดที่จะกล้ำกลืนความโศกไว้ได้. ด้วยน้ำตาคลอตา ข้าพเจ้ามองดูมือที่ยื่นมานั้น จับและบีบแน่นด้วยความพิศวาส แล้วข้าพเจ้ายกมือนั้นขึ้นจูบ เธอยินยอมโดยดี.

​หม่อมราชวงศ์กีรติยืนก้มหน้าสงบอยู่ครู่หนึ่ง.

“ฉันลาไปห้องก่อน ประเดี๋ยวเราจะได้พบกันอีกที่ห้องรับประทานอาหาร. โปรดบังคับใจให้ดี” จบประโยคท้าย เธอแลสบตาข้าพเจ้า แล้วก็หันหลังเดินตรงไปที่ประตูช้า ๆ.

□ □ □

บ่ายโมงครึ่งเรามาถึงท่าเรือ มีมิตรสหายทั้งชาวไทยและญี่ปุ่นมาส่งท่านเจ้าคุณและคุณหญิง ๑๐ กว่าคน. เรารวมกลุ่มสนทนากันอยู่ในห้องซาลูน ข้าพเจ้าไม่ได้เอาใจใส่กับผู้ใด ได้แต่ลอบชำเลืองดูหม่อมราชวงศ์กีรติ เพื่อที่จะถ่ายภาพดวงหน้านั้นยังลงไว้ในดวงใจของข้าพเจ้า.

เวลาสุดท้ายได้มาถึงแล้ว เรือเปิดหวูด และมีเสียงตีฆ้อง เตือนบรรดาผู้ที่มาส่งให้ละเรือขึ้นบก เจ้าคุณกับคุณหญิงจับมือล่ำลามิตรสหายโดยทั่วหน้าภายในห้องซาลูนนั้น. มาถึงข้าพเจ้า ท่านเจ้าคุณจับมือสั่นอยู่นาน และกล่าวคำขอบคุณข้าพเจ้ายืดยาว.

“ฉันจะไม่ลืมบุญคุณของเธอ, พ่อหลานชาย เธอทำประโยชน์ให้แก่เรามากมาย” ท่านพูดประโยคสุดท้าย. ข้าพเจ้าทั้งตื้นตันใจและเสียวใจจนไม่รู้ที่จะตอบไปว่ากระไร. ข้าพเจ้าเป็นคนสุดท้ายที่หม่อมราชวงศ์กีรติเข้ามาอำลา เธอยื่นมือมาให้ข้าพเจ้าสัมผัส

“ลาก่อน, คนดีของฉัน” เธอพูดเบามาก แม้กระนั้นเสียงของเธอยังสั่น แล้วก็หยุดนิ่งไป เธอเม้มริมฝีปากแน่น.

“โปรดคิดถึงผมเสมอ.”

“ฉันจะคิดถึงเธอเสมอ. ลาก่อน.”

“ลาก่อน” ข้าพเจ้ากัดกรามแน่น ข้าพเจ้าต้องพยายามที่จะไม่ให้น้ำตาหยดลงต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเกียรติยศของสตรีที่ข้าพเจ้ารักเป็นที่สุด.

​“ลาก่อน.”

เราเดินตามคนอื่น ๆ ออกมาจากห้องซาลูน. ตอนจะผละจากเรือเจ้าคุณต้องรับการล่ำลาอย่างชุลมุนอีกครั้งหนึ่ง. ในระหว่างความชุลมุนนั้น ข้าพเจ้ามีเวลาชั่ว ๑ นาทีที่อยู่ใกล้ชิดหม่อมราชวงศ์กีรติ และห่างจากคนอื่น ๆ.

เธอยื่นมือให้ข้าพเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย.

“คุณหญิงรักผมไหม ?” ข้าพเจ้ากระซิบถามเป็นครั้งสุดท้ายเช่นเดียวกัน.

“รีบลงไปเสียเถิด, นพพร” พูดแล้วเธอยกมือขึ้นปิดหน้าชั่วขณะหนึ่ง “รีบไปเสีย ฉันแทบใจจะขาด.”

เธอกัดริมฝีปากล่าง ข้าพเจ้าทำเช่นเดียวกัน เรามีน้ำตาคลอตาด้วยกันทั้งสองคน แต่ยังไม่หยาดหยดออกมา ด้วยความพยายามกล้ำกลืนฝืนไว้อย่างสุดกำลัง.

“ลาก่อน” ข้าพเจ้ากระซิบคำสุดท้าย.

เมื่อปล่อยมือเธอ ข้าพเจ้ารู้สึกประหนึ่งว่าดวงใจของข้าพเจ้าได้ติดไปกับอุ้งมืองามนั้น.

 


10
นวนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพ บทประพันธ์ของ ศรีบูรพา ตอนที่ 11-15


๑๑

ภายหลังที่ได้ลงรถไฟที่สถานีชินยูกุ ตามถนนหนทางสว่างไปด้วยแสงไฟแล้ว ระหว่างทางที่ขึ้นรถยนต์ตรงมาบ้าน หม่อมราชวงศ์กีรติได้กล่าวเตือนข้าพเจ้าว่า “นพพร, ดูเธอเชื่อมซึมไปนี่. เธอต้องระวังกิริยาของเธอไว้ให้ดีเมื่อไปถึงบ้าน และอย่าตกใจเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าคุณ เรากลับล่าไปหน่อย ถ้ากิริยาของเธอเปลี่ยนแปลงไป ท่านอาจจะคิด.”

“ท่านเจ้าคุณจะคิดว่ากระไร?” ข้าพเจ้าถามด้วยความตกใจนิดหน่อย.

“ท่านจะคิดว่ากระไรบ้าง ฉันก็คะเนไม่ได้ แต่เราอย่าทำอะไรผิดปรกติให้ท่านคิดเลยดีกว่า”

ข้าพเจ้ารับว่าจะพยายาม. เมื่อรถยนต์มาจอดที่หน้าบ้าน หม่อมราชวงศ์กีรติได้ก้าวลงจากรถอย่างกระปรี้กระเปร่า ใจข้าพเจ้าเต้นแรงนิดหน่อย.

เธอถามข้าพเจ้าเบา ๆ ว่า “เธอเรียบร้อยหรือนพพร?”

ข้าพเจ้าพยักหน้า พร้อมกับยิ้ม พยายามจะให้เธอเข้าใจว่าข้าพเจ้า​เป็นคนใจเย็นพอ. สาวใช้บอกกับเราว่า เจ้าคุณยังไม่กลับจากไปในงาน. ข้าพเจ้าถอนหายใจยาว ตอนนี้แหละที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าใจเย็นจริง ๆ.

คืนนั้นข้าพเจ้าลาจากหม่อมราชวงศ์กีรติมา เป็นเวลาราว ๓ ทุ่ม ข้าพเจ้าไม่ได้ตรงกลับบ้าน เพราะไม่รู้ว่าจะกลับมาบ้านทำไม ข้าพเจ้าไม่มีสมาธิพอที่จะดูหนังสือ หรือแม้แต่จะข่มใจให้นอนหลับก็คงจะทำไม่ได้ ในสมองของข้าพเจ้ามันสว่างโพลงไปด้วยความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะกลับบ้าน. จากบ้านหม่อมราชวงศ์กีรติ ข้าพเจ้าขึ้นรถย้อนกลับเข้ามาในเมืองอีก. โตเกียวสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ ลงรถที่หน้าสวนเวียนโน ข้าพเจ้านำตนเข้าไปเดินอยู่ในสวนอันกว้างใหญ่และงดงามนั้น.

​ข้าพเจ้าเดินไป โดยไม่ได้ใส่ใจว่าจะชมอะไร และไม่ได้ดูว่ามีใครได้เที่ยวเล่นอยู่ในที่นั้นบ้าง. สุดแต่ว่ามีทางให้เดิน ข้าพเจ้าก็เดินไป คิดคำนึงไป. เมื่อรู้สึกเมื่อย ข้าพเจ้าก็ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นสนามริมสระน้ำ. ข้าพเจ้าทอดกายเอกเขนกด้วยความเหนื่อยเมื่อยที่ได้เที่ยวมาตลอดทั้งวัน. พยายามรำลึกว่า ข้าพเจ้าได้ทำอะไรไปแก่หม่อมราชวงศ์กีรติในบ่ายวันนี้ที่บนเขามิตาเกะ. ข้าพเจ้าได้ประคองกอดและจุมพิตเธอด้วยสุดแสนเสน่หา ข้าพเจ้าได้พรรณนาความรักของข้าพเจ้าแก่เธอ. ข้าพเจ้าได้ทำไปถึงปานนั้นเจียวหรือ บังอาจบอกความรักและจุมพิตหม่อมราชวงศ์กีรติ ซึ่งเป็นภรรยาของเจ้าคุณอธิการบดี ผู้เป็นที่นับถืออย่างสูงของข้าพเจ้าเจียวหรือ ข้าพเจ้าได้ทำไปถึงปานนั้นแล้วจริง ๆ!

ข้าพเจ้าเสียใจหรือเป็นสุขที่ได้กระทำไปเช่นนั้น ข้าพเจ้าอึดอัดใจหรือปลอดโปร่งโล่งใจที่ได้พรรณนาความรักออกไปให้หม่อมราชวงศ์กีรติทราบ. ข้าพเจ้าตอบปัญหาเหล่านี้ให้เป็นที่เด็ดขาดออกไปไม่ได้ ข้าพเจ้าปรารถนาคำตอบอยู่เหมือนกัน ข้าพเจ้ารู้แน่แก่ใจอยู่อย่างเดียวว่า ข้าพเจ้ารักหม่อมราชวงศ์กีรติด้วยชีวิตจิตใจ รักอย่างจะกลืนกิน.

ลองตั้งปัญหาถามตัวเองว่า ข้าพเจ้าต้องการหม่อมราชวงศ์กีรติหรือไม่. ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ถ้าปราศจากหม่อมราชวงศ์กีรติแล้ว คงจะว้าเหว่หงอยเหงาและคิดถึงเธอเป็นที่สุด นี่จะเรียกว่าไม่ต้องการเธอได้หรือ? แต่ข้าพเจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะเรียกร้องต้องการตัวเธอ ในเมื่อเธอมีเจ้าของครอบครองอยู่แล้ว. ฉะนั้นข้าพเจ้าตั้งใจจะเข้ายื้อแย่งช่วงชิงเอาหรือ? ข้าพเจ้าไม่เคยมีความตั้งใจเช่นนั้นเลย ในข้อแรก ข้าพเจ้าไม่อยู่ในฐานะที่จะทำเช่นนั้นได้ ข้าพเจ้ายังอยู่ในระหว่างศึกษาเล่าเรียน อีกทั้งเจ้าคุณอธิการบดีก็เป็นที่เคารพนับถือของข้าพเจ้า นอกจากนั้นข้าพเจ้าไม่หาญพอที่จะเข้าใจเอาว่า หม่อมราชวงศ์กีรติจะ​ยอมพร่าเกียรติยศของเธอเพื่อเห็นแก่ความรัก ความต้องการของข้าพเจ้า หรืออาจจะรวมทั้งเพื่อเห็นแก่ความรักความต้องการของเธอด้วย.

ฉะนี้แหละ ข้าพเจ้าจึงยังตอบไม่ได้ว่า ข้าพเจ้าเสียใจหรือเป็นสุขที่ได้กระทำไปเช่นนั้น ที่ได้แสดงความรักต่อหม่อมราชวงศ์กีรติอย่างเปิดเผย. ในหัวของข้าพเจ้าพร่าพราวไปด้วยความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ซึ่งเลือนรางไม่แจ่มแจ้ง. ในที่สุดข้าพเจ้าก็ลงความเห็นว่า ไม่เป็นการสมควรที่จะหมกมุ่นครุ่นคิดถึงปัญหาร้อยแปด ในสถานที่อันสงบเงียบเช่นนั้นต่อไป. ออกจากสวนเวียนโน ข้าพเจ้าจับรถยนต์นั่งเรื่อยเปื่อยไปตามถนนที่ยังเกลื่อนกล่นด้วยฝูงชน ผ่านถนนนั้น ออกถนนนี้ โดยไม่มีที่หมายปลายทาง ในที่สุด ข้าพเจ้าให้รถมาหยุดส่งข้าพเจ้า ณ กาเฟสถานแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นกาเฟสถานชั้นกลาง ไม่ต่ำช้าจุ้นจ้านจนเกินไป.

ตามจริงข้าพเจ้าไม่คุ้นเคยกับสถานที่เช่นนี้นัก เคยมาเที่ยวที่กาเฟสถานนี้นาน ๆ ครั้งหนึ่งในฐานะของผู้นำทางท่านผู้อื่น. การที่ได้หาญนำตนเองแต่ลำพังเข้าไปในวันนั้น ก็เพราะว่าข้าพเจ้าต้องการความเปลี่ยนแปลง ต้องการความเอิกเกริกเฮฮา เพื่อที่จะบรรเทาความมึนงงในปัญหาร้อยแปดในหัวของข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าขึ้นบันไดไปชั้นบน แม่สาวหน้าตาแฉล้มนางหนึ่งวิ่งเหยาะออกมารับ. ข้าพเจ้าประหลาดใจที่หล่อนบอกว่าจำข้าพเจ้าได้ ทั้งที่นานแสนนานข้าพเจ้าจึงได้มาเหยียบสถานที่นี้สักครั้งหนึ่ง หล่อนชี้แจงว่าที่จำได้แม่นก็เพราะว่า ข้าพเจ้าพูดภาษาของหล่อนได้คล่องแคล่วกว่าคนไทยทุกคนที่มาที่นี่ นอกจากนั้นหล่อนว่าหล่อนจดจำความสุภาพเรียบร้อยของข้าพเจ้าได้แม่นยำเช่นเดียวกับภาษาของข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าก็กล่าววาจาขอบใจหล่อน.

เมื่อได้ดื่มเบียร์แก้วแรกไปได้ราว ๕ นาที และได้สนทนาหยอกเอิน​ตามสมควรกับแม่สาวคนนั้น ที่ตามมานั่งปรนนิบัติ คอยรินเบียร์และจุดบุหรี่ให้ข้าพเจ้าสูบ ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ค่อยคลายความมึนงง และปรากฏความแจ่มใสขึ้น ความคิดคำนึงก็เอนเอียงไปในทางบันเทิงเริงรมย์ใจ. ความรู้สึกในขณะที่ข้าพเจ้าได้ตระกองกอดและจุมพิตหม่อมราชวงศ์กีรติด้วยสุดแสนเสน่หา ได้มาปรากฏแก่ข้าพเจ้าอีก ข้าพเจ้าจิบเบียร์ไปพลาง และคิดคำนึงไปพลาง อา! ข้าพเจ้าเป็นสุขนี่กระไร เมื่อได้คิดเห็นไปว่า ข้าพเจ้าได้ชนะความรัก ได้ชนะดวงใจของสตรีที่ทรงเสน่ห์ และแสนฉลาดแสนดี ดังเช่นหม่อมราชวงศ์กีรติ. ข้าพเจ้าเพลิดเพลินด้วยความคิดคำนึง และสนทนาหยอกเอินอยู่กับแม่สาวผู้ปรนนิบัติข้าพเจ้า ราวชั่วโมงเศษ ข้าพเจ้าก็จากสถานที่นั้นมา และเดินทางกลับบ้านด้วย ความมึนครั้งนี้มิใช่ด้วยปัญหาร้อยแปด แต่ด้วยเบียร์ซึ่งช่วยให้ข้าพเจ้าเพลิดเพลินไปในความมึนนั้น.

กลับมาถึงบ้านแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังหาได้เข้านอนไม่ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยหนึ่งนาฬิกา ข้าพเจ้าจึงได้ล้มตัวลงนอน มีปัญหาข้อหนึ่งตามรบกวนข้าพเจ้าแม้ได้หลับตาลงแล้ว. ตามที่ข้าพเจ้าได้เข้าใจเอาว่า ข้าพเจ้าได้ชนะความรัก ได้ชนะดวงใจของหม่อมราชวงศ์กีรตินั้น เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วหรือ? หม่อมราชวงศ์กีรติได้บอกข้าพเจ้าดังนั้นหรือ? ข้าพเจ้าระลึกขึ้นได้ในบัดนั้นว่า หม่อมราชวงศ์กีรติยังมิได้ให้ถ้อยคำแก่ข้าพเจ้าเลย. อย่างไรก็ตาม ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้หลับไป ทั้งที่ยังมีความมืดมัวอยู่ในปัญหาบางข้อ.

 


Pages: [1] 2 3 ... 10
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.149 seconds with 12 queries.