Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
16 June 2025, 06:43:28

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
27,258 Posts in 13,286 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Recent Posts

Recent Posts

Pages: [1] 2 3 ... 10
1
บึงบอระเพ็ด : นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร




ในตอนแรกนั้นได้จบลงที่บล็อกก่อนหน้า แต่เรามีความคิดว่า
อยากจะเขียนถึงนกชนิดหนึ่ง ซึ่งคงไม่มีโอกาสได้เขียนถึงแน่ๆ
นกที่เป็นสัญลักษณ์ของบึงบอระเพ็ด เพราะพบเห็นได้ที่นี่เพียงแห่งเดียว

นกที่ลึกลับที่สุดในโลก เพราะหลังการพบไม่นาน
ก็หายสาบสูญไปอย่างรวดเร็ว นกนางแอ่นแม่น้ำที่หาได้ยากยิ่ง
นกที่สอนเราให้เรารู้ว่า การอนุรักษ์ต้องทำตั้งแต่วันนี้
เพราะเมื่อถึงวันพรุ่งนี้ ก็สายเกินไปเสียแล้ว
 
ในปี 1861 Gustav Hartlaub เป็นคนแรกที่ได้อธิบายถึง
นกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกา (African river martin)
โดยพบที่แม่น้ำคองโก ทางทิศตะวันตกของทวีปแอฟริกา
ครอบคลุมพื้นที่ 3 ประเทศ ได้แก่ กาบอง คองโก และซาอีร์

ถูกแยกจากนกนางแอ่นชนิดอื่น จากปากที่มีลักษณะอ้วนกว้าง
มีเท้าและนิ้วเท้าที่แข็งแรง แสดงให้เห็นว่า เป็นนกที่เกาะต้นไม้เป็นหลัก
แตกต่างจากนกนางแอ่นชนิดอื่น ที่ชอบบินไปบินมาในอากาศ

มีขนาดตัวราว 14 ซม. ชอบหากินกันเป็นกลุ่ม จับแมลงเป็นอาหาร
อาศัยทำรังวางไข่ ตามโพรงบนพื้นทรายที่แห้งของแม่น้ำ
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pseudochelidon eurystomina
อยู่ในวงศ์ย่อย Pseudochelidoninae ซึ่งมีนกอยู่เพียงชนิดเดียว



หนึ่งร้อยปีต่อมาที่บึงบอระเพ็ด กิตติ ทองลงยา นักสัตว์วิทยา
ผู้ค้นพบสัตว์ชนิดใหม่หลายชนิดเช่น ค้างคาวคุณกิตติ
อยู่ระหว่างภารกิจ ติดห่วงขานกอพยพในเวลากลางคืน
เพื่อเก็บตัวอย่างปรสิต สำหรับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์
 
วันที่ 28 ม.ค. 2511 ในจำนวนนกนางแอ่นหลายร้อยตัว
มีตัวหนึ่งที่ดูแปลกตา วันต่อมาก็สามารถจับได้อีกหนึ่งตัว
และวันที่ 10 ก.พ. ก็จับนกชนิดนี้ได้ถึง 7 ตัว
จากการสอบถาม ชาวบ้านเรียกนกชนิดนี้ว่า นกตาพอง
เพราะมีลักษณะเด่นบริเวณดวงตา ที่โตกว่านกนางแอ่นชนิดอื่น
 
ตัวอย่างถูกส่งไปให้ Herbert G. Deignan ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งเขาเป็นคนที่คุ้นเคยกับนกในเมืองไทย
เพราะเคยเข้ามาสำรวจนกในที่ราบภาคกลาง ตั้งแต่ในปี 1945
มีการพบนกหลายใหม่ชนิด เช่น นกจับแมลงเด็กแนน

Deignan ตรวจจสอบและยืนยันว่าเป็นนกชนิดใหม่ของโลก
จึงมีการขอพระราชทานชื่อนกชนิดนี้ในภาษาไทย
จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาว่า นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร
และชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Pseudochelidon sirintarae
 
นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรที่โตเต็มวัย เป็นนกนางแอ่นขนาดกลาง
มีสีดำออกเขียวเหลือบ ตะโพกขาว และหางมีขนคู่กลางที่มีแกนยื่นออกมา
เป็นเส้นเรียวแผ่ตรงปลาย วงรอบตาสีขาวหนา ปากสีเหลืองสดออกเขียว
นกทั้งสองเพศมีลักษณะคล้ายกัน นกวัยอ่อนไม่มีขนหางคู่กลาง
ที่มีแกนยื่นออกมา และสีขนออกสีน้ำตาลมากกว่านกโตเต็มวัย



จากการสอบถามชาวบ้าน พบว่านกชนิดนี้มีพฤติกรรมบินไล่จับแมลง
ร่วมกับนกนางแอ่นบ้านที่บริเวณเกาะพระ และบางครั้งก็เกาะพักบนกิ่งไม้สูง
 เมื่อ 15 ปีก่อน เริ่มมีการจับนกชนิดนี้มาขายเพื่อทดแทนรายได้ที่หายไป
จากประกาศห้ามการเก็บไข่จระเข้จากบึงบรเพ็ดมาเพาะเลี้ยง

ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ชาวบ้านพบว่านกมีจำนวนลดลงทุกปี
โดยนกจะปรากฏตัวในช่วงเดือน พ.ย. – ก.พ. ซึ่งเป็นฤดูกาลนกอพยพ
 
พ.ศ.2512 มีการขึ้นไปสำรวจแม่น้ำวัง ยม และน่านที่ไหลลงมารวมกัน
ที่บึงบอระเพ็ด เพื่อค้นหาภูมิประเทศที่เป็นหาดทรายในฤดูแล้ง
ที่เหมือนกับสถานที่ทำรังของนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกา
แต่ก็ไม่มีการพบลักษณะภูมิประเทศแบบดังกล่าว

นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรจึงน่าจะเป็นนกอพยพจากตอนเหนือของทวีปเอเชีย
 สอดคล้องกับข้อกล่าวอ้างว่า มีการพบภาพพิมพ์โบราณของจีน
ตั้งแต่สมัยชิงหรือก่อนหน้านั้น ที่มีภาพวาดที่เหมือนกับนกชนิดนี้
ขาดเพียงสีขาวที่สะโพก ข้อสันนิษฐานนี้ยังไม่ได้รับการยอมรับจากนักวิชาการ
เพราะภาพเขียนนั้นอาจจะเป็นนกชนิดอื่น ที่ปรากฏในจีนตอนใต้ก็เป็นไปได้

 3 ปีต่อมา มีการเก็บตัวอย่างนกชนิดนี้จากงานติดห่วงขาเพิ่มขึ้น
แต่นักดูนกทั่วโลกที่ต่างเดินทางมายังบึงบอระเพ็ด
โดยหวังที่จะได้เห็นนกชนิดใหม่ของโลกนี้ในธรรมชาติ
กลับไม่มีใครเคยประสบผลสำเร็จเลย

จนกระทั่ง ก.พ. 2520 จึงมีรายงานของนักปักษีวิทยาชาวอเมริกา
และนักดูนกชาวไทยว่า ในตอนเย็นได้พบเห็นนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร
ที่โตเต็มวัยจำนวน 6 ตัว กำลังบินเอยู่ในบึงกำลังมุ่งไปทางพงหญ้า



รายงานการพบเห็นนกชนิดนี้ในธรรมชาติครั้งที่สอง
เกิดขึ้นในเดือน ม.ค.2523 นักดูนกพบนกยังไม่โตเต็มวัย
เกาะอยู่บนกิ่งไม้บนเกาะแห่งหนึ่งในบึงบอระเพ็ด

หลังจากทั้งสองครั้งนี้ก็มีรายงานมาเป็นระยะ แต่ทั้งหมดก็ขาดความชัดเจน
เพราะนกชนิดนี้มีความคล้ายกับนก red-rumped swallow มาก
พ.ศ. 2529 ชาวบ้านคนหนึ่งจับนกชนิดนี้ได้ แต่ไม่นานก็ตายในกรง

พ.ศ. 2531 IUCN กำหนดให้มีสถานะ Endangered
พ.ศ. 2535 ประเทศไทยประกาศให้นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร เป็นสัตว์ป่าสงวน
ร่วมกับนกอีก 2 ชนิด คือนกกระเรียนไทย และนกแต้วแร้วท้องดำ
พ.ศ. 2537 มีสถานะ Critical Endangered 
พ.ศ. 2540 มีสถานะ Critically Endangered (Possibly Extinct)

ใน พ.ศ. 2573 นี้จะครบ 50 ปี ที่ไม่มีการพบเห็นนกชนิดนี้ในธรรมชาติ
และใน พ.ศ. 2579 จะครบ 50 ปี ที่ไม่มีการพบเห็นนกชนิดนี้ในกรงเลี้ยง
 IUCN จะปรับให้นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรมีสถานะ Extinct

หลายครั้งที่เราเขียนถึงตัวอย่างนก (specimen) นั้น
หลายคนคงรู้สึกว่า มันคือการทำบาปที่ต้องฆ่านกหลายตัวไป
ทางหนึ่งมันก็เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ ที่ต้องใช้ในการพิสูจน์ทราบว่า
นี่คือสิ่งชีวิตชนิดใหม่ ที่ไม่เคยมีใครเคยพบมาก่อน
 
ในอีกทางหนึ่ง มันคือประวัติศาสตร์ที่ทำให้นกชนิดต่างๆ
ยังคงอยู่ให้เราเรียนรู้ต่อไป โดยเฉพาะนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรนั้น
มีตัวอย่างที่เก็บอยู่ในเมืองไทย 5 ตัว และต่างประเทศอีก 4 ตัว
ทั่วโลกนี้จึงมีตัวอย่างนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรเหลืออยู่เพียง 9 ตัว เท่านั้น


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=04-2025&date=29&group=22&gblog=150
.




2
บึงบอระเพ็ด : เป็ดปากพลั่ว




ถึงตรงนี้ เราก็สู้แดดยามบ่ายไม่ไหวแล้ว หนีกลับมาขึ้นเรือ
เลยไม่รู้ว่ามีใครเห็นหรือเปล่า ส่วนเรามาเห็นตอนเปิดรูปในคอม
นอกจากภาพที่ถ่ายมาจากนาที่พบเป็ดดำหัวดำ
ยังติดภาพมาตั้งแต่นาที่พบห่านเทาปากชมพูเมื่อเช้าแล้วด้วย
 
เป็ดปากพลั่ว (northern shoveler) ลักษณะปากมีรูปทรงคล้ายช้อนขนาดใหญ่
เพศผู้ช่วงฤดูผสมพันธุ์ มีหัวสีเขียวเข้ม อกขาว ท้องและสีข้างสีน้ำตาลแดง
เพศเมียมีลำตัวสีน้ำตาลอมเหลือง ขนคลุมปีกด้วยบนสีเทาอมฟ้า
ตัวผู้นอกฤดูผสมพันธุ์ คล้ายตัวเมียแต่ปากดำ
 
หากถามเรา เชื่อว่าน่าจะเจอกันมานาน ตั้งแต่สมัยกำแพงแสนแล้ว
แต่หากจะนับที่เป็นภาพถ่าย ภาพแรกพบใน e-bird ปี 2545 ที่สงขลา
ส่วนรายงานแรกของสมาคมดูนก พบในปี 2546 ที่บึงบอระเพ็ด
หลังจากนั้นก็มีรายงานเป็นระยะ โดยเฉพาะในรอบสิบปีที่ผ่านมา
 
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Spatula clypeata (Linnaeus, 1758)
โดยมีชื่อแรกว่า Anas clypeata ซึ่งบทความ Phylogenetics of
wigeons and allies (Anatidae: Anas): the importance
of sampling multiple loci and multiple individuals

ได้มีการศึกษาพันธุกรรมนกในสกุลนี้
นำไปสู่การแยกออกมาเป็นสกุลใหม่หลายชนิด
 เป็ดปากพลั่วจึงถูกย้ายไปอยู่สกุล Spatula ที่ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 1822
เป็นภาษาละตินแปลว่า ช้อน โดยมีนกชนิดที่ใกล้ชิดกันคือ
Australasian shoveler

อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำ กระจายตัวอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ยูเรเซีย
ทางตะวันตกของอเมริกาเหนือ และทะเลสาบขนาดใหญ่ของอเมริกา
เมื่อถึงฤดูหนาวนกในอเมริกาเหนือ และในยูเรเซียจะบินลงใต้
ส่วนที่ใกล้กับยุโรปจะบินลงไปยุโรปทางใต้ และตะวันออกกลาง
ส่วนที่อยู่ทางไซบีเรียจะบินลงมายังอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้



ด้วยพื้นที่กระจายตัวอย่างกว้างขวาง และประชากรที่มีราว 4-5 ล้านตัว
IUCN จัดความเสี่ยงในการสูญพันธุ์อยู่ในระดับ Less concern
สถานะในคู่มือดูนกของไทยคือ uncommon Winter Visitor

ถึงตรงนี้น่าจะมีคำถามในใจ ว่าในพื้นที่เขตร้อนที่มันอพยพหนีหนาวมาอยู่นี้
มีอาหารให้กินได้ตลอดปี แล้วทำไมพวกมันไม่อยู่ที่นี่เสียเลยล่ะ
จะเสียพลังงานในการบินกลับบ้านไปทำไม

เหตุผลคือแม้ในเขตเส้นศูนย์สูตรจะมีอาหารที่อุดมสมบูรณ์หากินได้ตลอดปี
แต่ที่นี่ก็ความหลากหลายทางชีวภาพสูง นำมาซึ่งการแก่งแย่ง
ทั้งการหาอาหาร และพื้นที่ทำรัง นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยนักล่า

ในขณะที่เขตขั้วโลกเหนือที่มีอุณหภูมิบางช่วงเป็นน้ำแข็งนั้น
เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ มันก็คือสรวงสวรรค์
ที่เต็มไปด้วยแมลง พืชและสัตว์น้ำอันอุดมสมบูรณ์
ในพื้นที่กว้างขวางการแก่งแย่งจึงต่ำ และมีนักล่าตามธรรมชาติอาศัยน้อย

นั่นทำให้พวกมันเลือกที่จะบินกลับไป เพื่อจะทำรังวางไข่
ในบ้านที่พวกมันเติบโตขึ้นมานั่นเอง

และนี่ก็คือนก 10 ตัวที่เลือกมาว่าเป็นนกใหม่และน่าสนใจ
อาจจะเห็นว่าเป็น one day trip นี้ราคาอาจจะแพงเมื่อเทียบกับทริปอื่น
แต่สำหรับเรามันเป็นแบบที่ง่าย สะดวก และเหมาะสมกับตัวเรา
แม้จะไม่ได้รูปที่สวยงามแบบคนที่ไปกันเอง แต่ว่าเราก็พึงพอใจแล้ว


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=04-2025&date=23&group=22&gblog=149
.




3
Animals / บึงบอระเพ็ด : เป็ดหางแหลม
« Last post by ppsan on 15 June 2025, 08:15:23  »
บึงบอระเพ็ด : เป็ดหางแหลม




หากจะถามว่า เป็ดอะไรที่พบมากที่สุดในนาแปลงนี้
นั่นคือเป็ดลาย (Garganey) ที่น่าจะมีกันมากกว่าหลายร้อยตัว
ที่น้อยลงไปกว่านั้นคือ เป็ดหางแหลม ที่น่าจะมีอยู่หลายสิบตัว
 
เป็ดหางแหลมมีขนาดใหญ่กว่าเป็ดลาย คอยาว หางยาวตามชื่อ
เพศผู้มีหัวสีน้ำตาลเข้ม ตัดกับแถบสีขาว ที่ลากยาวขึ้นมาจากคอ
อกสีขาว ลำตัวโดยรวมสีเทา เพศเมียมีลำตัวสีน้ำตาลอ่อน
และมีลวดลายสีเข้มกระจายทั่วตัว
 
มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Northern Pintail มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า
Anas acuta ตั้งโดย Carl Linnaeus ในปี 1758
โดยชื่อ acuta แปลว่า แหลมขึ้น กระจายตัวในพื้นที่
แถบขั้วโลกเหนือ ตั้งแต่อเมริกาเหนือ สแกนดิเนเวีย และรัสเซีย
 
เช่นเดียวกับนกชนิดอื่น ในหน้าหนาวจะอพยพลงใต้
ลงมายังอเมริกากลาง ยุโรป แอฟริกา และเอเชีย ใต้แนวเขาหิมาลัย
เป็นหนึ่งในนกไม่กี่ชนิด ที่อพยพข้ามเทือกเขาหิมาลัย
นักวิจัยเคยติดตามด้วย GPS ได้ว่า มันบินสูงราว 6,000 ฟุต 
 
ด้วยพื้นที่อยู่อาศัยที่กว้างขวาง ประชากรที่เหลือราว 4-5 ล้านตัว
ความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของ IUCN จัดให้อยู่ใน Less concern
แต่มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะประชากรที่อาศัยอยู่ในยุโรปเหนือ



ในปี 1997 เกิดการระบาดของ avian botulism ที่ฆ่าประชากรนกน้ำ
ในทวีปอเมริกาเหนือไปราว 1.5 ล้านตัว ส่วนใหญ่เป็นเป็ดหางแหลม
Avian botulism เกิดจากเชื้อ Clostridium botulinum ที่เรารู้จักกัน
ปรกติเชื้อจะอยู่ในดิน เป็ดพวกนี้ได้รับเข้าไปจากการไซ้กินอาหารที่ปนเปื้อน
ซึ่งเชื้อตัวนี้นั้น หากมีออกชิเจนระดับปรกติ จะไม่มีความอันตราย
 
แต่เมื่อใดที่อุณหภูมิสูงขึ้น มากกว่า 25 องศาเซลเซียส ในสภาวะออกซิเจนต่ำ
และมีสารอาหารในสภาพแวดล้อมสูงขึ้น พวกมันจะสร้าง toxin ที่อันตราย
สามารถทำลายระบบประสาท ทำให้เกิดการเป็นอัมพาตของกล้ามเนื้อได้
ตายจากการที่ไม่สามารถเคลื่อนไหว รวมถึงการออกแรงหายใจที่ทำไม่ได้
 
ดูเหมือนเป็นเป็ดธรรมดาที่ไม่ได้หายาก และไม่ได้มีเรื่องราวที่น่าสนใจ
แต่สำหรับเรามีความประทับใจกับเป็ดตัวนี้ เพราะตอนที่แรกเริ่มดูนกนั้น
ในฤดูหนาว จะมีเป็ดสามชนิดที่มาลงจำนวนมาก ได้แก่ เป็ดลาย
เป็ดคับแค และเป็ดแดง ซึ่งแต่ละชนิด จะแยกกันหากินเป็นกลุ่ม
 
ท่ามกลางฝูงเป็ดลาย เราจะต้องค่อยๆ มองหา
เป็ดลายๆ ที่ตัวโตกว่า และมีหางแหลม
โดยทุกปีจะมีมาแค่ตัวเดียว ส่วนตัวผู้นั้นยังไม่เคยเห็น
และนี่ก็คือเรื่องราวของเป็ดหางแหลม ในความทรงจำ


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=04-2025&date=21&group=22&gblog=148
.




4
Animals / บึงบอระเพ็ด : เป็ดดำหัวดำ
« Last post by ppsan on 15 June 2025, 08:12:13  »
บึงบอระเพ็ด : เป็ดดำหัวดำ




ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนระอุ แต่ระยะห่างดีกว่าเมื่อเช้าหน่อย
เป็ดดำหัวดำ คือเป็ดสีน้ำตาลตัวที่สองจากทางซ้าย
ความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของ IUCN ของนกชนิดนี้อยู่ในสถานะ
Critical endangered เป็นนกตัวแรกในชีวิตที่เราเก็บได้
 
นอกจากหัวแล้ว ที่เหลือดูเหมือนเป็ดดำหัวสีน้ำตาลหมดทุกอย่าง
ที่สำคัญยังมายืนรวมกลุ่มอยู่ด้วยกันอีกด้วย
จากที่เราเล่ามาก่อนหน้าว่า เป็ดในสกุลนี้เป็น diving duck
จึงมารวมกับนกสีดำหน้าผากสีขาว ที่หากินโดยการดำเหมือนกัน
นั่นคือนกคู๊ต (Eurasian coot)
 
ในขณะยืน เราอาจจะแยกจากเป็ดดำหัวสีน้ำตาลได้ยาก
แต่ในขณะว่ายน้ำจะเห็นแถบขนสีขาวข้างลำตัวได้มากกว่า
ส่วนใน buird guide จะบอกว่าเป็ดดำหัวดำ หัวจะป้าน
ในขณะที่เป็ดดำหัวสีน้ำตาล หลังหัวจะเป็นโหนกสูงกว่า
 
แต่ถ้าเลยจากนี้เข้าสู่ช่วงฤดูผสมพันธุ์ ตัวผู้จะมีหัวสีเขียวเหลือบ
ในขณะที่เป็ดดำหัวสีน้ำตาลตัวผู้ เพียงแค่มีสีน้ำตาลเข้มขึ้นเท่านั้น
นั่นทำให้โดยธรรมชาติ มันจะไม่ผสมพันธุ์ข้ามชนิดกัน
แต่ด้วยจำนวนที่ลดลง ทำให้ปัจจุบันมีการพบนกลูกผสม
ที่เป็นลูกครึ่งเป็ดดำหัวดำกับเป็ดดำหัวสีน้ำตาล หรือก็เป็นเป็ดเปียบ้างก็มี

มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Baer's Pochard ถูกพบโดยนักธรรมชาติและปักษีวิทยา
ชาวเยอรมัน Gustav Radde ที่ได้เดินทางสำรวจสัตว์และพรรณพืชใน
รัสเซียตะวันออกและไซบีเรีย ได้พบกับนกชนิดนี้ที่ทะเลสาปไบคาล
ในปี 1863 Radde จึงตั้งชื่อเป็ดชนิดนี้ว่า Anas baeri
เพื่อเป็นเกียรติแก่ Karl Ernst von Baer นักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน

จากการศึกษาพันธุกรรม ปัจจุบันถูกย้ายจาก สกุล Anas
ไปเป็นสกุล Aythya มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Aythya baeri
โดยมีเป็ดร่วมสกุลกันอีกรวม 12 ชนิด



มีฤดูผสมพันธุ์ช่วงเดือนพฤษภาคม ในพื้นที่ชุ่มน้ำของไซบีเรีย
ได้แก่ Buryatia, Zabaykalsky Krai และ Amur
ต่อกับพื้นที่ในประเทศจีนทางตะวันออกเฉียงเหนือ
ได้แก่ Heilongjiang, Jilin, Liaoning และ Inner Mongolia

ในฤดูหนาวจะอพยพลงมายังจีน อินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สถานะของเป็ดสายพันธ์นี้ ใน IUCN red list นั้นก็น่าสนใจ
เริ่มจากในปี 1988: Threatened,  1994 : Vulnerable,
2008 : Endangered และ 2012 : Critically Endangered
เห็นได้ว่าใช้เวลาพียงไม่ถึง 20 ปี ที่สถานะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
 
สอดคล้องกับบันทึกในความทรงจำของนักดูนกเมืองไทย
ฟีลิปส์ ดี ราวด์ ได้เล่าไว้ว่าในปี 1988 พบเป็ดดำหัวดำที่บึงบอระเพ็ด
ราว 600 ตัว หลังจากนั้นก็มีรายงานลดลง เหลือเพียงจำนวนหลักสิบ
จนกระทั่งปัจจุบัน อาจจะมีรายงานการพบเพียง 1-2 ตัว ต่อปี
ได้แก่ หนองหลวง เชียงราย บึงบอระเพ็ด และหนองบงคาย

คาดการณ์ว่ามีประชากรในธรรมชาติเหลืออยู่น้อยกว่า 1,000 ตัว
ในจำนวนนี้มีตัวโตเต็มวัย ระหว่าง 150-700 ตัว
แต่มีการนำเข้าเป็ดชนิดนี้ไปยังประเทศต่างๆ ตั้งแต่หลังปี ค.ศ. 1900
ทำให้ปัจจุบัน สถาบันและสวนสัตว์ต่างๆ ทั่วโลก มีการครอบครองเป็ดชนิดนี้ 
โดยอยู่ในยุโรปราว 150 ตัว สหรัฐอเมริกา 150 ตัว และประเทศจีนอีก 54 ตัว
 
ในขณะที่การประเมินของสวนสัตว์มินนิโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา
ประมาณว่าในธรรมชาติอาจจะเหลือเพียง 300 ตัว นั่นจึงเป็นที่มา
โครงการอนุรักษ์ baer’s pochard โดยการขยายพันธุ์จากเป็ดในสวนสัตว์
ที่มีการตรวจสอบพันธุกรรม เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นเป็ดที่มีสายเลือดแท้

จุดประสงค์คือเพื่อเพิ่มจำนวนประชากรให้หลุดพ้นจากสถานะเสี่ยงสูญพันธุ์
นอกจากนี้ยังให้ทุนนักวิจัยเพื่อไปนับจำนวนนกอพยพในประเทศพม่า
เพื่อให้ได้ภาพรวมในการสร้างกลยุทธ์เพื่อการอนุรักษ์เป็ดสายพันธุ์นี้ไว้



ด้วยโลกที่แคบลงจากการสื่อสารออนไลน์ เกือบทุกปี
Facebook ของสำนักข่าวซินหัว จะมีรายงานข่าวจำนวนเป็ดดำหัวดำ
ที่พบในสถานที่ต่างๆ เช่น ในปี 2018 เจ้าหน้าที่เขตอนุรักษ์ธรรมชาติแห่งชาติ
ทะเลสาบเหิงสุ่ย มณฑลเหอเป่ย พบเป็ดดำหัวดำเกือบ 120 ตัว
ซึ่งมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา

แต่ข่าวที่น่ายินดีที่สุด คือในปี 2022 ที่ทะเลสาบตงผิงและแม่น้ำต้าเวิ่น
ใกล้กับภูเขาไท่ซาน พบจำนวนกว่า 1,500 ตัว
ทั้งหมดนี้เกิดจากความพยายามของทางการประเทศจีน
ที่จะอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ รวมถึงพื้นที่การเกษตรรอบข้าง
เช่น การชดเชยราคาพืชผลที่เสียหายจากนกน้ำต่างๆ เป็นต้น

เนื่องจากประเทศจีนเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ จึงมีพื้นที่ชุ่มน้ำจำนวนมาก
ทั้งที่เป็นแหล่งอาศัยหรือแหล่งอพยพผ่าน แต่ที่สำคัญที่สุดคือ
เป็นแหล่งผสมพันธุ์และวางไข่ ซึ่งมีอยู่ถึง 5 แห่ง ได้แก่ 

Dongping Hu, Tai’an, Shandong
Xinxiang Yellow River Wetland Birds Reserve, Henan
Qixing He Wetland Nature Reserve, Heilongjiang
Xingkai Hu Nature Reserve, Heilongjiang
และ Hengshui Hu, Hebei

บางแห่งเป็น Ramsar size บางแห่งเป็นเครือข่ายของ EAAF
(East Asian - Australasian Flyway Network Site)
ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นเส้นทางนกอพยพที่สำคัญของโลก
เริ่มต้นจากขั้วโลกเหนือ ผ่านเอเชีย ลงไปจนถึงออสเตรเลีย

สถานที่ชุ่มน้ำต่างๆ ที่อยู่ในเส้นทางอพยพนี้ จึงควรได้รับการอนุรักษ์ไว้
ในปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 มีเรื่องที่น่ายินดีว่า
EAAF ได้ประกาศให้สถานตากอากาศบางปูของประเทศไทย
เป็น EAAF หมายเลข 157 เนื่องจากเป็นสถานที่พักฤดูหนาว
ของนกนางนวลหลายชนิด รวมถึงนกน้ำหายากในระดับโลกอีกด้วย


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=04-2025&date=17&group=22&gblog=147
.




5
บึงบอระเพ็ด : เป็ดดำหัวสีน้ำตาล




ไกด์พาเราลงจากเรือไปยังทุ่งนา เพื่อถ่ายเป็ดหายากในลำดับต้นๆ
ตั้งสโคปแล้วส่องไปที่คันนา มีเป็ดสีน้ำตาลยืนกันอยู่ 4 ตัว
3 ใน 4 ตัวนั้น คือ เป็ดดำหัวสีน้ำตาล
 
ตัวผู้ หัว ลำคอ และอกสีน้ำตาลแดงเข้ม ลำตัวด้านบนสีน้ำตาลเข้ม
ท้องและขนคลุมหางด้านล่างสีขาว ตาสีขาว
ตัวเมียคล้ายตัวผู้ แต่สีจางกว่า ส่วนใหญ่ตาสีน้ำตาล
 
มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Ferruginous Pochard
แปลว่า เป็ดที่มีสีน้ำตาลแดงเหมือนกับสนิมเหล็ก
ตั้งชื่อโดย Güldenstädt ในปี 1770 ว่า Aythya nyroca
มีถิ่นอาศัยอย่างกว้างขวาง แต่ค่อนข้างกระจัดกระจาย
 
ฤดูผสมพันธุ์อยู่ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนกรกฏาคม
มีสถานที่รังแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกอยู่ในยุโรปกลางและยุโรปใต้
ตอนเหนือของแอฟริกา และคาบสมุทรอาระเบีย
กลุ่มที่สองทำรังในประเทศมองโกเลีย ซึ่งกลุ่มนี้ในฤดูหนาว
จะมีการอพยพลงมายังอนุทวีปอินเดีย จีนตอนใต้ และเลยมาถึงประเทศไทย

ประมาณว่ามีประชากรเหลือเพียง 25,000 ถึง 50,000 ตัว ทั่วโลก
เพราะถูกคุกคามโดยกิจกรรมของมนุษย์หลายอย่าง
เช่น การทำการประมง การล่าอย่างผิดกฎหมาย
การเปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ชุ่มน้ำ แม้กระทั่งการเกิดสภาวะโลกร้อน

ความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ของ IUCN จัดอยู่ในระดับ near treatened
เป็นนกตัวแรกของทริปนี้ ที่มีความหายากในระดับ NT



เป็ดชนิดนี้จึงได้รับการคุ้มครองตามสนธิสัญญา จำนวน 2 ฉบับ
ได้แก่ Agreement on the Conservation of African-Eurasian
Migratory Waterbirds และ Emerald Sites Network in Armenia
เพื่อคุ้มครองสภาพแวดล้อมในพื้นที่ที่ใช้ในการทำรังวางไข่
รวมถึงพื้นที่ต่างๆ ที่ใช้ระหว่างเส้นทางหรืออยู่อาศัยในฤดูกาลอพยพ
 
สิ่งที่น่ากังวลอีกอย่าง สำหรับนกที่ประชากรเหลืออยู่น้อยคือ
การผสมข้ามสายพันธ์ุกับเป็ดในสกุล Aythya อื่นๆ
เช่น เป็ดโปชาด (common pochard) เป็ดเปีย (tufted duck)
และเป็ดดำหลังขาว (Greater Scaup) เกิดเป็นเป็ดลูกผสมขึ้นมา

เป็ดกลุ่มอื่นๆ ที่เราเล่ามาก่อนหน้าเรียกว่า dabbing duck
เพราะใช้การไซ้ไปบนผิวน้ำหรือผิวดิน เพื่อกรองกินพิชและสัตว์น้ำ
เมื่ออาหารมีจำนวนจำกัด เป็ดกลุ่มหนึ่งจึงมีวิวัฒนาการลงไปหาอาหารข้างใต้
เป็ดในสกุล Aythya นี้ จึงถูกเรียกว่า diving duck เพราะหากินโดยการดำ

วิวัฒนาการโดยมีขาที่อยู่ค่อนไปทางด้านหลัง และมีผังพืดที่เท้าขนาดใหญ่
เพื่อใช้เคลื่อนไหวเปลี่ยนทิศทาง ในขณะที่อยู่ใต้น้ำได้อย่างว่องไว
เปลี่ยนลำตัวจากเดิมที่กว้างเพื่อใช้ในการลอยตัว ให้มีรูปร่างที่กะทัดรัด
มีปีกที่หดสั้นลงเพื่อช่วยในการดำ ทำให้เวลาขึ้นจากน้ำต้องใช้ระยะทางวิ่งขึ้น

เปลี่ยนจากปากกว้างเพื่อใช้กรองอาหาร มาเป็นแคบยาวเพื่อใช้ในการจับสัตว์
รวมถึงการปรับสรีระวิทยาของร่างกาย ให้สามารถใช้ออกซิเจนได้อย่างคุ้มค่า
ดังนั้นในขณะกลางวัน จึงมักจะเห็นเป็ดสองกลุ่มนี้อยู่ต่างสถานที่
แต่ในตอนเย็นนั้น พวกมันก็จะมารวมฝูงกันพักผ่อนเพื่อความปลอดภัย


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=04-2025&date=08&group=22&gblog=146
.




6
Animals / บึงบอระเพ็ด : เป็ดปากสั้น
« Last post by ppsan on 14 June 2025, 09:17:16  »
บึงบอระเพ็ด : เป็ดปากสั้น




เรือยังคงแล่นต่อไปในบึงกว้าง สักพักเครื่องยนต์ก็หยุดลง
ลุงพนมชี้มือไปท่ามกลางกอสวะ เรายกกล้องสองตา ก็ไม่เห็นอะไร
ไกด์ตั้งสโคปส่องไปตำแหน่งนั้น แล้วเอ่ยกับพวกเราว่า เป็ดปากสั้น
ชื่อเสียงว่าแกเป็นมือหนึ่งในบึงบอระเพ็ด ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
 
นอกจากปากสั้นๆ ตามชื่อ ตัวผู้มีเส้นคาดสีขาวอมเหลืองบนหัว
ตัวเมียไม่มีเส้นนี้ ตัวผู้ข้างลำตัวสีเทา ตัวเมียโดยรวมมีสีน้ำตาล
สิ่งที่ชี้ขาดคือ ทั้งตัวผู้และตัวเมีย ปากเป็นสีเทา ปลายเป็นสีดำ
แตกต่างไปจากเป็ดชนิดอื่น แต่ถ้ามันอยู่ไกลๆ ในดงเป็ด น่าจะยาก
 
มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Eurasian wigeon หรือ European wigeon
ตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์โดย Carl linnaeuus ในปี 1758 ว่า Anas Penelope
แต่การศึกษาทางพันธุกรรมในปี 2019 มีการจัดกลุ่มเป็ดในสกุล Anas ใหม่
ทำให้ปัจจุบัน มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Mareca Penelope
 
Penelope เป็นชื่อสตรีที่เป็นภรรยาของ Odysseus เจ้าเมืองอิธากา
ที่ไปออกรบในสงครามกรุงทรอย ในตำนานมหากาพย์โอดีสซีย์
สงครามครั้งนี้กินเวลา 10 ปี และโอดีซีอุสใช้เวลาอีก 10 ปี
เพื่อเดินทางกลับบ้าน โดยต้องผ่านอุปสรรคนานับปการ



ระหว่างที่สามีเดินทางไปรบนั้น มีผู้ชายจำนวนมากมาขอเธอแต่งงาน
เพราะหวังในตำแหน่งกษัตริย์ของอิธากา เธอจึงออกอุบายว่า
จะเลือกสามีคนใหม่ ก็ต่อเมื่อได้ทอผ้าห่อศพพ่อของสามี
 Laertes ให้เสร็จเสียก่อน แต่พอตกกลางคืนเธอก็แอบมาแกะปมผ้า
งานจึงไม่เสร็จเสียที แต่แล้ววันหนึ่งสาวใช้ของเธอก็มาเปิดเผยความลับนี้
 
เรื่องยังมีต่ออีกยาว แต่ว่าไม่เกี่ยวกับที่เล่าไปหรอก
นกตัวนี้ได้ชื่อนี้มาจากตำนาน ว่าตอนเธอเป็นเด็กถูกโยนลงไปในทะเล
แต่มีฝูงนกมาช่วยเหลือไว้ เชื่อกันว่านกนั้นคือ Eurasian wigeon
นกชนิดนี้จึงได้ชื่อวิทยาศาสตร์ตามชื่อของเธอ
 
มีถิ่นทำรังอย่างกว้างขวาง ในเขตในภูมิอากาศแบบทุนดรา
เริ่มต้นตั้งแต่สแกนดิเนเวีย รัสเซีย มาจนจรดคาบสมุทรคัมชัตก้า
เมื่อถึงฤดูหนาวจะบินลงมายังยุโรปตอนใต้ เกาะอังกฤษ แอฟริกาเหนือ
อินเดีย จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลงไปได้ถึงออสเตรเลีย

ในประเทศไทยพบเห็นจำนวนไม่มากนักในแต่ละปี ฝูงที่เราเจอมีเพียง 5 ตัว
ประเมินว่ามีประชากรทั่วโลกราว 2 ล้านตัว แนวโน้มคงที่หรือลดลง
ความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ของ IUCN อยู่ในระดับ less concern


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=04-2025&date=03&group=22&gblog=145
.




7
Animals / บึงบอระเพ็ด : เป็ดพม่า
« Last post by ppsan on 14 June 2025, 09:15:27  »
บึงบอระเพ็ด : เป็ดพม่า




หลังจากตากแดดจนเกือบเป็นลม เราก็นั่งมอเตอร์ไซค์มากินข้าวเที่ยง
อิ่มแล้วก็นั่งเรือกลับ มาถึงไฮไลท์ตัวต่อไป ล่องลอยอยู่ใจกลางบึง
คือฝูงเป็ดพม่า 10 ตัว จำได้ว่า เห็นครั้งแรก ใน facebook ที่ทุ่งนาลำพูน
แต่ในหนังสือดูนกเมืองไทย ปี 2550 ก็มีรายชื่ออยู่ในหนังสือนี้แล้ว
 
ตัวเล็กกว่าห่านก่อนหน้านี้แน่นอน แต่ว่าเป็นการค่อยๆ ลอยเรือเข้าไป
ทำให้ได้ภาพถ่ายที่ชัดเจน รูปร่างเหมือนเป็ดบ้านนี่ล่ะ แต่ว่าสวยกว่ามาก
หัวสีขาว ตัวสีแดง ตัวผู้แยกจากตัวเมีย จากขนสีดำที่เป็นแหวนรอบคอ
มีชื่อภาษาอังกฤษว่า ruddy shelduck (Tadorna ferruginea)
 
รายงานใน e-birds พบได้ตั้งแต่เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน
บึงบอระเพ็ด รอบๆ กรุงเทพ เพชรบุรี ลงไปถึงประจวบฯ
ข้ามไปที่ขอนแก่น หนองคาย แต่รายงานที่ประหลาดที่สุด ก็คือ
การพบเป็ดพม่า 2 ครั้งใน 2 ปี ที่มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา
 
หากดูการกระจายพันธุ์ในแผนที่ ก็จะงงๆ หน่อย สรุปได้ว่า
เป็ดพม่ามี 2 กลุ่มหลัก หนึ่งคือกลุ่ม resident
อาศัยอยู่ในแอฟริกาทางตะวันตกเฉียงเหนือ อียิปต์ ซูดาน ตุรกี
และพบบ้างที่สเปน เป็นนกกลุ่มที่ไม่อพยพ หรืออพยพเพียงใกล้ๆ



กลุ่มที่สองคือ migration ที่มีถิ่นผสมพันธุ์ในเอเชียกลาง มองโกเลีย ธิเบต
พอถึงหน้าหนาวก็จะบินมายังจีนตอนใต้ เลยไปได้ถึงประเทศเกาหลี
ที่สำคัญคือ เป็นกลุ่มที่มีการบินข้ามหิมาลัยมายังอินเดีย เนปาล บังคลาเทศ
พม่า และไทย นี่อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เราเรียกเป็ดชนิดนี้ว่า เป็ดพม่า
เพราะก่อนหน้าที่จะมีรายงานในไทย พบนกชนิดนี้ที่ประเทศพม่ามาก่อน

ในบล็อกก่อนหน้า เรื่องห่านเทาปากชมพู เราได้ข้ามเรื่องการบินอพยพนี้ไป
การศึกษาพบว่า นกจะรอวันที่มีอากาศดีที่สุด เพื่อจะใช้เวลาบินเพียงข้ามคืน
ผ่านที่ความสูง 5,000 ถึง 6,800 ม. เหนือระดับน้ำทะเล
ให้มาถึงอนุทวีปอินเดีย ในเวลาเช้าของวันถัดไป

นั่นเพราะความสูงของเทือกเขาหิมาลัย มีออกซิเจนให้ใช้อย่างเบาบาง
ต้องมีปอดขนาดใหญ่ และระบบไหลเวียนโลหิตที่ใช้ออกซิเจนได้อย่างคุ้มค่า
อากาศที่ใช้พยุงปีกนั้นก็น้อยเช่นกัน ทำให้ต้องใช้พลังงานในการบินมาก
แต่พวกมันก็ไม่อาจหยุดพักได้

เพราะอุณหภูมิบนยอดเขานั้น ติดลบหลายสิบองศาเซลเซียส
ต้องใช้ประสบการณ์ผ่านเส้นทางที่บรรพบุรุษพวกมันเคยอพยพไปมา
เมื่อผ่านความยากลำบากมาได้ ที่ราบอันกว้างใหญ่ของอนุทวีปอินเดีย
จะให้พืชและสัตว์น้ำขนาดเล็กอันอุดมสมบูรณ์เป็นรางวัลของการเดินทางไกล



เป็ดและห่านอพยพที่ใช้เส้นทางนี้ ได้แก่ ห่านหัวลาย (bar-headed goose)
ห่านเทาปากชมพู เป็ดพม่า เป็ดหางแหลม (northern pintail)
เป็ดปีกเขียว (common teal) และเป็ดหัวเขียว (mallard)

 ซึ่งนกแต่ละชนิดก็ใช้เส้นทาง ที่มีความสูงแตกต่างกันออกไป
โดยห่านชึ่งมีตัวที่ใหญ่ สามารถบินข้ามเทือกเขาหิมาลัยได้โดยตรง
ส่วนเป็ดนั้นมีขนาดตัวเล็กว่า มักจะอาศัยช่องเขาที่มีความสูงต่ำกว่าแทน

โดยห่านหัวลายมีสถิติในการบินได้สูงที่สุดในโลก
จากการบันทึกของ GPS พบว่า จุดที่สูงที่สุดในการบินผ่านอยู่ที่ 8,850 ม.
หรือเทียบได้กับความสูงของยอดเอเวอเรสต์เลยทีเดียว

แต่อาจจะไม่เสมอไป ที่เป็ดและห่านทุกตัวจะบินข้ามเทือกเขาหิมาลัย
ยังมีเส้นทางเริ่มจาก ที่ราบสูงธิเบต
บินอ้อมเทือกเขาหิมาลัย มายังใจกลางของประเทศพม่า
หรืออ้อมไปอีกด้าน เพื่อไปยังคาบสมุทรอาหรับก็ได้

ประเมินว่า มีประชากรทั่วโลกราว 300,000 ถึง  600,000 ตัว
ความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ของ IUCN อยู่ในระดับ less concern


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=03-2025&date=31&group=22&gblog=144
.




8
บึงบอระเพ็ด : เหยี่ยวทุ่งพันธุ์เอเซียตะวันออก, เหยี่ยวต่างดำขาว



Eastern marsh-harrier

เหนือผืนน้ำอันกว้างใหญ่ นอกจากเหยี่ยวดำที่เคยพาไปดูกันที่ปากพลี
ที่นี่เรายังพบเหยี่ยวอีก 2 ชนิด ซึ่งมีความคล้ายกัน
ชนิดที่ว่าถ้าไม่มีไกด์บอกชื่อ เราก็แยกออกได้ยาก ด้วยว่ามันบินอยู่สูง
ที่สำคัญมักจะทันเห็นแค่ด้านหลังอีก ยิ่งเจอนกตัวเมียยิ่งแยกยากเข้าไปใหญ่
 
เหยี่ยวชนิดแรกที่เห็นตั้งแต่ออกเรือ คือเหยี่ยวทุ่งพันธุ์เอเซียตะวันออก
มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Eastern marsh-harrier (circus spilonotus)
ตัวที่เจอสีออกสีน้ำตาล ตรงข้อศอกมีแต้มขาว น่าจะเป็นตัวเมีย
 
เหยี่ยวชนิดที่สองที่เจอระหว่างทริปคือ เหยี่ยวด่างดำขาว
มีชื่อภาษาอังกฤษว่า pied harrier (circus melanoleucos)
 คำว่า pied หมายถึงขาวสลับดำ อันเป็นลักษณะของนกชนิดนี้
น่าจะเป็นตัวเมียเช่นกัน เพราะไม่เห็นความขาวดำเท่าไหร่
เห็นเพียงข้อศอกและโคนหางสีขาว
 
นอกจะพบเห็นในพื้นที่เดียวกัน ยังมีการหากินที่เหมือนกันอีกด้วย
โดยใช้ประโยชน์จากลมที่พัดเอื่อยๆ ใช้ปีกร่อนไปเรื่อยๆ ในระดับต่ำ
ฟังเสียงเคลื่อนไหวของเหยื่อ แล้วพุ่งลงไปจับอย่างแม่นยำ

เหยี่ยวทั้งสองชนิดอยู่ในสกุลเดียวกัน และมีถิ่นอาศัยที่ต่างกันเล็กน้อย
เหยี่ยวด่างดำขาว จะอาศัยอยู่ในพื้นที่ตอนใต้ของไซบีเรีย
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน และเกาหลีเหนือ
ในขณะที่เหยี่ยวทุ่งพันธุ์เอเชียตะวันออก จะอยู่ต่ำลงมาทางใต้
เลยไปทางตะวันออกถึงเกาหลีใต้ และเกาะฮอกไกโดของญี่ปุ่น
.


pied hariired

ในอดีตเหยี่ยวทุ่งยูเรเซียจัดว่ามีเพียงชนิดเดียว
แต่ด้วยการตรวจสอบพันธุกรรม ในปัจจุบันถูกแยกเป็น 2 ชนิด
คือ eastern และ western marsh harrier

โดย western marsh harrier (Circus aeruginosus)
จะอพยพลงมายังประเทศอินเดีย และตอนกลางของแอฟริกา
ในประเทศไทยก็สามารถพบได้ แต่มีโอกาสน้อยมาก

ในแต่ละปีจะมีเหยี่ยวทุ่งตะวันออกและเหยี่ยวด่างดำขาว
จำนวนไม่มากนัก ที่จะบินผ่านลงใต้ไปจนถึงคาบสมุทรมาลายา
ผ่านเขาดินสอที่ จ ชุมพร

โดยนกเหล่านี้ จะมีสัญชาตญาณที่ถ่ายทอดกันมา
ตั้งแต่พ่อแม่ของมัน เคยพาบินอพยพมายังที่ใดในฤดูหนาวแรก
เมื่อเติบโตขึ้น มันก็จะพาลูกๆ บินกลับมายังสถานที่นั้นเช่นกัน

ทางกลุ่ม Thai raptor research ได้ทำการติดอุปกรณ์ติดตาม
เหยี่ยวด่างดำขาวเพื่อศึกษาเส้นทางการอพยพกว่า 4,000 กม.
ใช้เวลา 24 วัน  เดินทางจากปางฮุ้ง ผ่านตอนเหนือของลาว
ไปยังจีนตอนกลาง และสิ้นสุดที่ตอนเหนือของประเทศจีน
ในขณะที่บางตัวอาจจะบินเลยขึ้นไปถึงตอนใต้ของไซบีเรีย


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=03-2025&date=26&group=22&gblog=143
.




9
บึงบอระเพ็ด : นกช้อนหอยขาว (นกกุลา)




ระหว่างที่มองหาเจ้า Baikal teal อย่างตั้งใจ มีใครคนหนึ่งพูดว่า นกกุลา
บนคันนาทางซ้าย ท่ามกลางกลุ่มนกยาง นกสีขาวคอสีดำ ยืนกันอยู่ 2 ตัว
เป็นนกน้ำขนาดปานกลาง สูงราว 65-75 ซ.ม. นกช้อนหอยขาว นั่นเอง
 
มีชื่อภาษาอังกฤษว่า black-head ibis ในอดีตเป็นนกประจำถิ่นของไทย
แต่หายไปเมื่อราว 50 ปีก่อน ปัจจุบันมีสถานะเป็นนกอพยพที่หายาก
สำหรับคนดูนกในเมือง พบบ่อยๆ เช่น สถานีวิจัยข้าวปทุมธานี และบางปู
ในต่างจังหวัด มีรายงานการพบตามท้องนา บ่อน้ำกระจายอยู่ทั่วประเทศ
 
บางทีเราก็สับสนกับพวก spoonbill หรือนกปากช้อน สรุปไว้ตรงนี้ว่า
นกช้อนหอยจะมีปากยาวตรง ในขณะที่นกปากช้อนปลายจะบาน
นกช้อนหอย จะหากินในดินเลนโดยการจิกหา
ในขณะที่นกปากช้อน จะใช้การส่ายปากไปมาในแหล่งน้ำตื้นๆ
 
นกช้อนหอย มักจะหากินเดี่ยวๆ
แต่นกปากช้อน จะมีพฤติกรรมรวมฝูงช่วยกันต้อนเหยื่อ
ในขณะบิน คอของนกช้อนหอยจะตรงเหมือนนกกระสา
ในขณะที่คอของนกปากช้อน จะหดเป็น S เหมือกลุ่มนกยาง
 
ตาม bird guide of Thailand มีนกช้อนหอยหรือ ibis อยู่ 4 ชนิด
นกช้อนหอยดำเหลือบ ที่เป็นนกประจำถิ่นไปแล้ว นกช้อนหอยขาวหรือนกกุลา
นกช้อนหอยดำ (white shouldered ibis) และนกช้อนหอยใหญ่ (giant ibis) 
สองชนิดหลัง มีสถานะสูญพันธุ์จากประเทศไทย แต่ยังมีอยู่ในประเทศกัมพูชา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนกช้อนหอยใหญ่ ที่ถูกใช้เป็นนกประจำชาติ



มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Threskiornis melanocephalus
แบ่งเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่ถิ่นอาศัยอยู่ในอนุทวีปอินเดีย พม่า กัมพูชา
เกาะสุมาตรา ชวา มีการโยกย้ายถิ่นฐานสั้นๆ ไปตามสภาพของพื้นที่หากิน
 
และกลุ่มที่อาศัยอยู่ในประเทศจีนแถบติดทะเล ตั้งแต่มณฑลเจ้อเจียง
ฟูเจี้ยน ไต้หวัน กวางตุ้ง ซึ่งอาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำต่างๆ ตลอดปี
ในขณะที่ในฤดูหนาว บางส่วนอาจมีการอพยพลงมายังเวียดนาม
ลาว กัมพูชา พม่าและไทย หรือกระทั่งที่ เกาะลูซอน ของฟิลิปปินส์
 
นกที่พบในประเทศไทย ยังไม่มีการศึกษาอย่างชัดเจนว่า
ว่านกที่พบทางภาคกลาง เป็นประชากรที่อพยพสั้นๆ
มาจากประเทศใกล้เคียงคือ พม่า กัมพูชา
หรือเป็นนกที่อพยพมา ในช่วงหน้าหนาวจากประเทศจีนกันแน่
 
ไม่ว่าจะอย่างไร ก็น่าสนใจทั้งสองอย่าง เพราะอย่างที่เคยเล่าไป
ถึงการกลับมาของนกน้ำที่เคยหายไปอย่างกรณีของ นกช้อนหอยดำเหลือบ
ที่เชื่อว่าเป็นกลุ่มที่อพยพมาจากประเทศจีนในฤดูหนาวแล้วไม่บินกลับไป
หรืออย่างกรณีของนกอ้ายงั่ว ที่เกิดจากประชากรที่ล้นมาจากฝั่งกัมพูชา   
 
 เราหวังว่าความอุดมสมบูรณ์ของบึงบอระเพ็ด
จะดึงดูดให้นกช้อนหอยขาวเหล่านี้ อาศัยอยู่ที่นี่ตลอดไป
แต่ยังมีเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นก็คือรายงานการพบเห็น
นกช้อนหอยขาวที่มีขนบริเวณก้นสีดำ และขณะบินเห็นขนปลายปีกสีดำ
หากินกระจายอยู่ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล มันคือนกช้อนหอยแอฟริกา
 
คำถามสำคัญก็คือ พวกมันทำรังวางไข่ได้หรือหรือเปล่า
หากคำตอบคือใช่ นั่นคือหายนะ เพราะวันหนึ่งอาจกระจายตัวไปทั่วประเทศ
มีการอพยพไปผสมพันธุ์ กับนกช้อนหอยขาวตามธรรมชาติ
ทำลายประชากรที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ ในประเทศข้างเคียง
จนกลายเป็นประชากรลูกผสม ที่ไม่อาจจะฟื้นฟูให้กลับคืนมาได้อีก

ประเมินว่ามีประชากรอยู่ราว 250,000 - 500,000 ตัว และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
IUCN จึงประเมินว่ามีความเสี่ยงในระดับ less concern


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=03-2025&date=24&group=22&gblog=142
.




10
บึงบอระเพ็ด : เป็ดเปียหน้าเหลือง




ไม่ได้อยู่ในรายชื่อนกที่คาดหวังในทริปนี้ ไกด์อาจจะส่องๆ ไปเจอ
ก็เลยเรียกไปดู โดยบอกว่า ให้มองหาเป็ดสีส้มๆ
ขนาดในสโคปยังเดายาก เพราะว่าตัวเล็กและอยู่ไกลกว่าห่านอีก
สารภาพเลยว่า ไม่เห็น แต่สิ่งที่ต้องทำคือสุ่มถ่ายตรงที่ชี้ๆ กันไปก่อน
 
มาเปิดดูภาพในคอม รูปห่านว่าแย่ ภาพนี้กลับแย่สุดๆ
กว่าจะแคะออกมาได้ ต้องอาศัยจินตนาการเป็นอย่างสูง
แต่สำหรับเรา เป็ดตัวนี้มีเรื่องราวที่ยาวนาน ย้อนกลับไปได้หลายสิบปี
พอได้ตัวนี้มา บอกเลยว่า คุ้มค่ากับการเดินทางมาทริปนี้แล้ว
 
เพราะเป็นนกหายากตัวแรก ที่เราเจอในการดูนก
จึงเป็นนกตัวเดียวที่ชอบเรียกชื่อภาษาอังกฤษ เพราะจำได้ขึ้นใจ
ในขณะที่ชื่อภาษาไทยนั้นจำยากมาก เป็ดเปียหน้าเหลือง

โชคดีที่วันนี้เจอตัวผู้ เพราะหากเป็นตัวเมีย ในระยะทางขนาดนี้
คงยากที่ไกด์จะหาเจอ พอเราเล่าว่า เคยเห็นเป็ดตัวนี้ที่เป็นตัวเมีย
ไกด์ยังถามเลย รู้ได้อย่างไรว่าเป็น Baikal teal มาๆ เราจะเล่าให้ฟัง



ย้อนกลับไปในสมัยก่อน เลนส์ที่มีระยะทางยาวๆ พอจะถ่ายนกได้นั้น
น่าจะมีไม่กี่คนที่จะซื้อได้ การสื่อสารสมัยนั้นก็ยังใช้โทรศัพท์บ้าน
ข่าวสารก็หาอ่านในนิตยสารเอา ช่วงนั้นหนังสือยังขายดี
ก็เลยมีนิตยสารเฉพาะทาง เกี่ยวกับเรื่องราวทางธรรมชาติอยู่หลายเล่ม
 
ในปี 2533 มีการพบ Baikal teal ตัวผู้ที่บึงบอระเพ็ดเป็นครั้งแรก
แต่ที่มีหลักฐานได้รับการยอมรับ จนบรรจุลงใน bird guide ของไทยนั้น
คือรายงานของ อ. สุธี ศุภรัฐวิกร ที่พบ Baikal teal ทั้งตัวผู้และตัวเมีย
ที่บ่อ 6 ม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2535
 
การค้นพบ Baikal teal เป็นข่าวดัง แต่บ่อ 6 กำแพงแสนนั้น
เคยมีการพบนกน้ำหายากระดับตำนาน ไม่ว่าจะเป็นเป็ดหงส์ เป็ดเปีย
เป็ดดำหัวดำ เป็ดปากพลั่ว หรืออาจจะมีนกทื่เราไม่ได้ข่าว มาก่อนหน้านี้แล้ว
 
คำถามว่าในปี 2539 ที่เราเจอ Baikal teal ตัวเมียนั้น น่าเชื่อถือหรือไม่
คำตอบคือ มีนักดูนกจากกรุงเทพตามมาดู และยืนยัน
คำถามต่อไปคือ ตัวเมียตัวเดียวที่มีแต่สีน้ำตาล ไม่มีตัวผู้ให้สังเกตการณ์ร่วมนั้น
จะสามารถแยกออกจากเป็ดลายที่อยู่รวมกัน และคล้ายๆ กันได้อย่างไร

คำตอบนั้นมีอยู่ 3 ประการ


https://encrypted-tbn0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcStPMuzLLjr8Spsof94bLzARZbgsD3kjA7gbQ&s


หนึ่ง คือสภาพบ่อ 6 กำแพงแสนนั้น เป็นพื้นที่ที่เราสามารถจะแอบๆ
จากเขตที่เป็นต้นไม้ในสวนไปยังบริเวณขอบบ่อได้ โดยนกจะตื่นตัวน้อยมาก
สอง คือระยะทางจากขอบบ่อไปยังฝูงเป็ดนั้น ไม่น่าเกิน 20 กว่าเมตร
และสาม คือมุมที่เราอยู่นั้น สูงกว่าเป็ดที่หากินอยู่ในบ่อ
 
ท่ามกลางฝูงเป็ดลาย เราเห็นเป็ดที่ตัวใหญ่กว่าตัวอื่นเล็กน้อย
เมื่อมองผ่านกล้องส่องทางไกล ก็เห็นมาร์กสำคัญคือ มีจุดขาวที่มุมปาก
ที่ใช้แยกเป็ดชนิดนี้ออกจากนกน้ำชนิดอื่น โดยถูกระบุไว้ในหนังสือ
bird guide ซึ่งได้บรรจุมันเป็นนกชนิดใหม่ของประเทศไทยแล้ว

ทั้งหมดนี้คือคำตอบว่า เราเห็น Baikal teal ตัวเมียที่แยกยากได้อย่างไร

ย้อนกลับมาที่สถานการณ์ในวันนี้ ต่อให้มีเป็ดตัวเมียปะปนอยู่
เชื่อว่าไม่มีใครจะสังเกตออกมาได้ เพราะระยะทางมันไกลกว่าสนามฟุตบอล
มุมมองก็แทบเสมอกับฝูงเป็ด ที่สำคัญอากาศร้อนมาก ไม่มีใครจิตใจแน่วแน่พอ
ที่จะค่อยๆ ดูสโคป เพื่อแกะ Baikal teal ตัวเมียออกมาจากฝูงเป็ดลายแน่ๆ

ถูกตั้งชื่อโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน Johann Gottlieb Georgi
ที่ออกสำรวจไปยังไซบีเรียร่วมกับ Peter Simon Pallas
ในช่วงปี 1768-1774 เดิมมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Anas Formosa 
Anas เป็นภาษาละติน แปลว่า เป็ด
Formosa เป็นภาษาละติน แปลว่า สวยงาม
.


https://encrypted-tbn2.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRUrCDhkU2SqR2L3KlQM_BWOv1U8qwe-Z5QkFkYD4C4SQmu5gmbW_aeyintJK-rnid6k5e2A6xcLYMBlsq9kED5uw


มีถิ่นอาศัยอยู่ในทุ่งทุนดราของไซบีเรีย ซึ่งเป็นสถานที่ที่พบมันเป็นครั้งแรก
ในฤดูหนาวที่พื้นน้ำจับตัวเป็นน้ำแข็ง พวกมันจะอพยพลงมาหากิน
ยังคาบสมุทรเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน และชายฝั่งของเวียดนาม
การพบ Baikal teal ในประเทศไทยนั้น มีโอกาสไม่มากนัก
 
มีขนาดตัวราว 39-43 ซ.ม. ตัวผู้มีใบหน้าเป็นแถบสีเหลืองสลับเขียว
แตกต่างจากเป็ดชนิดอื่นอย่างชัดเจน ตัวเมียมีขนสีน้ำตาลหม่น
มีจุดสีขาวชัดเจนบริเวณโคนปาก มีลวดลายจาง ๆ บนใบหน้า

จากการจัดอันดับเป็ดที่สวยที่สุดในโลกนั้น Baikal teal
จัดอยู่ในลำดับ 3 รองจากเป็ดแมนดาริน และ Wood duck
 
ในปี 2009 มีการศึกษาในระดับพันธุกรรม
พบว่ามันเป็น Non-monophyletic
ในขณะที่สกุล Anas นั้น เป็น monophyletic
หรือมีสายวัฒนาการที่สามารถสืบย้อนกลับขึ้นไปได้ว่า มีต้นตระกูลร่วมกัน

 ดังนั้นการที่จัด Baikal teal ให้อยู่ในสกุล Anas ซึ่งเป็นเป็ดที่หากินบนผิวน้ำ
จะทำให้อนุกรมวิธานของเป็ดกลุ่มนี้มีปัญหา จึงถูกแยกออกมาเป็นสกุลใหม่
ปัจจุบันจึงมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Sibirionetta Formosa
ซึ่งมีเป็ดในสกุลนี้อีกเพียงหนึ่งชนิด ที่เป็นซากฟอสซิลจากยุคไพลโตซีน
.


ภาพบ่่อ 6 กำแพงแสน 23/3/68


จากการประเมินในช่วงปี 1980s ว่ามีประชากรอยู่เพียงราว 10,000 ตัว
IUCN จึงจัดให้มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธ์ อยู่ในระดับ VU
ในช่วงปี 2000s พบว่า ประชากรเพิ่มขึ้นเป็นราว 100,000 ตัว
และในปี 2010 พบว่า น่าจะมีประชากรมากกว่า 1,000,000 ตัว   
หลังปี 2011 IUCN จึงจัดให้ความเสี่ยงต่อการสูญพันธ์อยู่ในระดับ LC
 
การเพิ่มประชากรของ Baikal teal นั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ดี
แต่ในอีกมุมหนึ่ง เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2568 เกาหลีใต้ได้มีการแถลงข่าว
ถึงสาเหตุการตกของเครื่องบินของเจจูแอร์ เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2567
ว่าชิ้นส่วนของนกที่หลุดเข้าไปในเครื่องยนต์นั้น คือ Baikal teal
 
หลังปี พ.ศ. 2540 ผู้บริหารมหาวิทยาลัย มีความคิดในการพัฒนาสถานที่
โดยการปรับพื้นที่เพื่อสร้างสนามกอล์ฟ และขุดลอกบ่อ 6
ที่รกร้างไปด้วยวัชพืช ดูไม่เจริญหูเจริญตาออกไป
มีการประท้วงจากนิสิต การสร้างสนามกอล์ฟจึงหยุดลงหลังจากสร้างไป 3 หลุม

เหลือเพียงการขุดลอกบ่อ 6 ให้ลึกและกำจัดวัชพืชออก
 นั่นทำให้นกน้ำ ไม่มีสถานทื่หากินอีกต่อไป
ปัจจุบันที่นี่จึงเป็นเพียงตำนาน ว่าเคยเป็นสถานที่ดูนกน้ำอพยพจากไซบีเรีย
ที่ไม่ต้องจ้างเรือเพื่อออกไปดู และอยู่ใกล้กรุงเทพมากที่สุดไปตลอดกาล


ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=03-2025&date=20&group=22&gblog=141
.




Pages: [1] 2 3 ... 10
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.147 seconds with 16 queries.