Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
15 December 2025, 17:59:31

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,529 Posts in 14,020 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Recent Posts

Recent Posts

Pages: [1] 2 3 ... 10
1
โรมันตะวันตก, โรมันตะวันออก, โรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ต่างกันยังไง?





โรมันตะวันตก, โรมันตะวันออก, โรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ต่างกันยังไง?
-----
แอดมินเชื่อเลยว่า ใครที่ติดตามหรือศึกษาเรื่องราวของประวัติศาสตร์ยุโรป จะต้องรู้จักกับจักรวรรดิโรมัน (Roman Empire) หนึ่งในจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคโบราณอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ เราก็จะรู้ว่าในยุคสมัยที่จักรวรรดิโรมันมีอาณาเขตที่กว้างใหญ่เกินว่าที่จักรพรรดิองค์หนึ่งจะปกครองได้ ก็ได้มีแบ่งจักรวรรดิโรมันออกเป็นสองส่วนด้วยกัน คือโรมันตะวันตก (Western Roman Empire) กับโรมันตะวันออก (Eastern Roman Empire)
แต่พอมาดูยุโรปในยุคกลาง ก็อาจจะได้เคยได้ยินชื่อของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) ที่เป็นมหาจักรวรรดิอันประกอบไปด้วยดินแดนของคนหลากหลายเชื้อชาติในยุโรปตอนกลาง คำถามคือแล้วโรมันทั้งสามนี้ มีความแตกต่างกันอย่างไร?
เริ่มต้นที่การแบ่งจักรวรรดิโรมันออกเป็นสองส่วนกันก่อน โดยถูกแบ่งครั้งแรกในปี 286 ในสมัยจักรพรรดิไดโอคลีเซียน (Diocletian)
เมื่อถึงปี 293 ไดโอคลีเซียนกระจายอำนาจการปกครองมากกว่านั้น โดยแบ่งจักรวรรดิเพิ่มเป็นสี่ส่วน หรือที่เรียกว่า จตุราธิปไตย (Tetrarchy การปกครองโดยผู้นำสี่คน) โดยทั้งโรมันตะวันตกและโรมันตะวันออก จะมีจักรพรรดิอาวุโส (หรือเอากุสตุส Augustus) และจักรพรรดิรอง (หรือซีซาร์ Caesar)
ในระยะแรก จักรวรรดิโรมันทั้งสองส่วนยังถือว่าตนเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไป ความแตกต่างของทั้งสองส่วนมีความแตกต่างเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งทางการเมืองและวัฒนธรรม (โรมันตะวันตกใช้ภาษาละติน โรมันตะวันออกใช้ภาษากรีก)
ในบางช่วงเวลา จักรวรรดิโรมันทั้งสองส่วนได้กลับมารวมกันอีกครั้ง โดยครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี 324 ในสมัยจักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช (Constantine the Great) พระองค์สถาปนาเมืองหลวงแห่งใหม่คือนครคอนสแตนติโนเปิล (Constantine) หรือชื่อเดิมคือ ไบแซนทิอุม (Byzantium) ที่ต่อมาจะกลายเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมันตะวันออก หรือที่รู้จักกันในชื่อจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine Empire) นั่นเอง
แต่ท้ายที่สุดในปี 395 หลังสมัยจักรพรรดิธีโอโดเซียสที่ 1 (Theodosius I) จักรวรรดิโรมันทั้งสองส่วนก็ถูกแบ่งแยกอย่างถาวร จักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายในปี 476 ขณะที่โรมันตะวันออกหรือจักรวรรดิไบแซนไทน์ จะดำรงอยู่จนล่มสลายในปี 1453 หลังนครคอนสแตนติโนเปิลถูกพิชิตโดยจักรวรรดิออตโตมัน
ส่วนจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์นั้น เชื่อมโยงกับการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก เพราะการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตก ทำให้ยุโรปเกิดสภาวะสูญญากาศทางอำนาจขึ้น เปิดโอกาสให้อนารยชนเผ่าต่าง ๆ [หรือที่โรมันเรียกว่าพวกป่าเถื่อน] สร้างอาณาจักรของตนขึ้นมา
ซึ่งอาณาจักรที่ถือว่าแข็งแกร่งที่สุด ก็คืออาณาจักรของหนึ่งในชนเผ่าเยอรมัน (Germanic Tribes) ที่เรียกว่าชาวแฟรงก์ (Frank)
ในช่วงศตวรรษที่ 8 อาณาจักรแฟรงก์ในยุคกษัตริย์ที่ชื่อ ชาร์เลอมาญ (Charlemagne) ได้พิชิตดินแดนในยุโรปโดยครอบครองพื้นที่ของฝรั่งเศส เยอรมนีและตอนเหนือของอิตาลี ทำให้ยุโรปมีความเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง
ความยิ่งใหญ่ของชาวแฟรงก์ ประกอบกับการทำสงครามกับคนนอกศาสนา และช่วยฟื้นฟูอำนาจของศาสนจักร ในปี 800 พระสันตะปาปาลีโอที่ 3 (Leo III) จึงสวมมงกุฎแต่งตั้งชาร์เลอมาญเป็นจักรพรรดิของชาวโรมัน (Emperor of the Romans) เป็นสัญลักษณ์ของการสืบทอดความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิโรมันในอดีต
หลังจากชาร์เลอมาญสิ้นพระชนม์ในปี 814 เกิดการแย่งชิงอำนาจในทายาทของพระองค์ จนในปี 843 อาณาจักรแฟรงก์ได้ถูกแบ่งเป็นสามส่วน แฟรงก์ตะวันตก (West Francia) ต่อมาจะกลายเป็นฝรั่งเศส ที่สถาปนาเป็นอาณาจักรในปี 987
ส่วนแฟรงก์ตอนกลาง (Middle Francia) จะถูกผนวกโดยอีกสองแฟรงก์ และแฟรงก์ตะวันออก (East Francia) จะกลายเป็นจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในปี 962 หลังจากออทโทที่ 1 (Otto I) กษัตริย์ของแฟรงก์ตะวันออกได้รับสวมมงกุฎเป็นจักรพรรดิของชาวโรมัน
ในสมัยจักรพรรดิออทโทที่ 2 (Otto II ครองราชย์ 973-983) พระองค์เปลี่ยนมาเรียกตำแหน่งจักรพรรดิของพระองค์ว่า จักรพรรดิโรมัน (Roman Emperor) และในปี 1034 สมัยจักรพรรดิคอนราดที่ 2 (Conrad II) ชื่อของจักรวรรดิก็ถูกเรียกว่า จักรวรรดิโรมัน (Roman Empire หรือภาษาละติน romanum imperium)
พอถึงปี 1157 สมัยจักรพรรดิเฟรเดอริก บาร์บารอสซ่า (Frederick Barbarossa) ก็ได้ปรากฎชื่อจักรวรรดิอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Empire ภาษาละติน sacrum imperium) โดยคำว่าศักดิ์สิทธิ์แสดงถึงการครอบงำอิตาลีและพระสันตะปาปาของจักรพรรดิเฟรเดอริก และชื่อจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (sacrum romanum imperium) ก็ถูกใช้งานครั้งแรกตั้งแต่ปี 1254
-----
อ้างอิง
เอ็มมา แมริออตต์ (เขียน) สินีนาถ เศรษฐพิศาล (แปล). (2025). ประวัติศาสตร์โลก ฉบับย่อ. ยิปซี.
เจคอบ เอฟ. ฟีลด์ (เขียน) ณิชาภา ชีวะสุจินต์ (แปล). (2025). ประวัติศาสตร์ยุโรป ฉบับย่อ. ยิปซี.
อนันตชัย เลาหะพันธุ. สถานะของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในประวัติศาสตร์. วารสารอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีที่ 25 ฉบับที่ 1 มิถุนายน-พฤศจิกายน 2545
#HistofunDeluxe


..
ข้อมูลจาก facebook Histofun Deluxe
https://www.facebook.com/histofun2
https://www.facebook.com/photo?fbid=1467219622077149&set=a.439959808136474



2
"อารยธรรมเมโสโปเตเมีย" อักษรเฮียโรกลิฟิก (Hieroglyphic) [3]


คลังความรู้
4 มิ.ย. 2019 เวลา 18:56 • ประวัติศาสตร์


อักษรเฮียโรกลิฟิก (Hieroglyphic)

สวัสดีครับ ห่างหายกันไปนานกับซีรีย์เล่าประวัติศาสตร์ วันนี้มาต่อกันที่ อักษรโบราณอีกชนิดหนึ่ง ที่ได้ชื่อว่าเก่าเเก่ไม่เเพ้อักษรลิ่มของ
เมโสโปเตเมีย อักษรที่ว่าคือ"อักษรเฮียโรกลิฟิก" ของอียิปต์ ในบทความนี้เรามารู้จักกับอักษรชนิดนี้กันคร่าวๆกันเลยดีกว่าครับ ...





"อักษรเฮียโรกลิฟิก" (Hieroglyphic) เป็นอักษรภาพของอารยธรรมอียิปต์ที่เก่าเเก่ รองเเค่อักษรลิ่มเท่านั้น บันทึกที่ปรากฎอักษรเฮียโรกลิฟิก ที่เก่าเเก่ที่สุดที่ค้นพบอายุประมาณ 3,400 ปี

อักษรเฮียโรกลิฟิก ในความเชื่อของชาวอียิปต์ยุคนั้นเกิดจากการสร้างสรรค์ของ เทพธอธ (thoth) เทพเจ้าเเห่งปัญญา คนอียิปต์เรียกว่า"คำพูดของพระเจ้า" เเต่คำว่า "เฮียโรกลิฟิก" เป็นภาษากรีกโบราณที่เเปลว่า "จารึกศักดิ์สิทธิ์"



เทพธอธ


ชาวอียิปต์โบราณ สลักอักษรเฮียโรกลิฟิก ไว้ตามผนังหิน,ดิน เป็นรูป สัตว์ มนุษย์ เทพ เพื่อสื่อความหมายตามภาพ หรือการบันทึกในกระดาษที่ทำจาก"ต้นปาปิรุส"(papyrus)  เรียก"กระดาษปาปิรัส"

เพิ่มเติม การทำกระดาษเริ่มจากนำเปลือกของต้นปาปิรุสมาลอกเปลือก วางเป็นชั้นๆเเล้วทุบจนเป็นเเผ่นบางๆ
-ปากกาทำจากต้นอ้อที่ทำให้ปลายเเหลม
-หมึกทำจากยางไม้ชนิดหนึ่งนำมาผสมกับน้ำเล็กน้อย เเล้วคนให้ผสมกับเขม่าก้นหม้อ



กระดาษปาปิรัส


เเต่การจะค้นพบ"อักษรเฮียโรกลิฟิก"นั้นก็ยุคของนโปเลียน ซึ่งขยายอณาเขตมาถึงอียิปต์เเละค้นพบกับ"ศิลาโรเซตตา"(Rosetta stone) ซึ่งเป็นเเท่งศิลาที่ทำจากหินบะซอลต์



ศิลาโรเซตตา


ซึ่งตอนต้นจารึกด้วยอักษรของ "เฮียโรกลิฟิก" ตอนกลาง "อักษรเดมอติก" ตอนท้ายเป็น "อักษรกรีกโบราณ" ในประวัติศาสตร์เเล้ว อียิปต์ถูกพบมานานเเต่ไม่มีใครสามารถเเปล อักษรเฮียโรกลิฟิกได้ ซึ่งเพราะความยากของการเเปลความหมาย

ต่อมาปี ค.ศ. 1799 นักภาษาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส สามารถเเปลความหมายของ "อักษรเฮียโรกลิฟิก" ได้ผู้นั้นคือ "ฌอง-ฟองซัว ชองโปลิออง" เเละใช่เวลา 14 ปีในการรู้โครงสร้างไวยกรณ์ของ อักษรชนิดนี้

ในศิลาโรเซตตา ถูกสร้างในสมัยของฟาโรห์ ปโตเลมี ที่ 5

เเต่รู้หรือไม่...?อักษรเฮียโรกลิฟิก นั้นมีความยากทางโครงสร้างของภาษาเเละใช่ในราชวงศ์เป็นส่วนใหญ่ ทำให้คนปกติทั่วไปไม่สะดวกในการใช้ จึงได้ประยุกต์อักษรเฮียโรกลิฟิก ให้มีตัวอักษรน้อยลงเเล้วเปลี่ยนเป็นการผสมคำเเทน เพื่อสื่อความหมาย โดยมีอักษรจริง 66ตัว





เมื่อเปรียบเทียบกับอักษรเฮียโรกลิฟิก





โดยอักษรที่ว่านี้คือ "อักษรเฮียราติก" นั้นเอง


ซึ่งอารยธรรมความเจริญด้านภาษาของอารยธรรมอียิปต์ เจริญรุ่งเรืองถึงขึ้นขีดสุด อย่างการมี"อักษรเฮียโรกลิฟิก" ได้นั้นก็ด้วยปัจจัยอะไรๆหลายอย่างทั้ง ความอุดมสมบูรณ์ การค้า เเต่ตามหลักของกฎไตรลักษณ์ คือ ทุกสิ่งย่อมไม่เที่ยง ทำให้อักษรเฮียโรกลิฟิก มีการดัดเเปลงเป็นในรูปเเบบต่างๆ เเละในที่สุดก็สูญหายเเละไม่มีคนใช้ในที่สุด


.....

#ทั้งหมดนี้เกิดจากการรวบรวมข้อมูลทั้งในตำราเรียน เเละจากเว็บไซต์ต่างๆหากมีข้อมูลใดผิดพลาดก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

เรียบเรียงโดย @ น๊อต

อ้างอิงข้อมูลเเละภาพจาก
-https://th.m.wikipedia.org/wiki
-http://amad02.blogspot.com/2015/11/hieroglyphic-2-600-hieratic-5-1799-3.html?m=1
-http://worldcivil14.blogspot.com/2014/12/hieroglyphics.html?m=1
-https://sites.google.com/site/phaquan44579/thxth-thoth
-https://sites.google.com/site/chattarikajomfoo/xarythrrm-xiyipt/4-khwam-rungreuxng-khxng-xarythrrm-xiyipt

.....


.
ที่มา : อักษรเฮียโรกลิฟิก (Hieroglyphic)
https://www.blockdit.com/posts/5cf65c7bb8f3801e542290a6?series=5d308910cd13572888e2bafc

.




3
"อารยธรรมเมโสโปเตเมีย" ตอนที่ 2 [2]


คลังความรู้
27 พ.ค. 2019 เวลา 20:43 • ประวัติศาสตร์


"อารยธรรมเมโสโปเตเมีย" ตอนที่ 2

มาต่อกันตอนที่ 2 นะครับ ในครั้งที่เเล้วผมกล่าวถึงการก่อตั้งยุคเเรกเริ่มของอารยธรรม รากเหง้าของภาษา ในตอนนี้เรามาดูกันต่อว่าพัฒนาการของเมโสโปเตเมีย จะเป็นอย่างไรต่อ....





หลังจากชาวสุเมเรียนครอบครองดินเเดน"พระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์" หรือที่ราบลุ่มเเม่น้ำ ไทกริส-ยูเฟรทีส ได้ชั่วระยะหนึ่ง ทำให้เกิดการเปลี่ยนเเปลงมากมาย ทั้งอักษรเขียน มาตราวัด คณิตศาสตร์ ปฏิทิน วรรณกรรม เป็นการเจริญขั้นสุดของมนุษย์ในยุคนั้นเลยก็ว่าได้ เเต่เเน่นอน ทุกสิ่งล้วนอนิจจัง ชาวสุเมเรียนอ่อนเเอลงจากการทำศึกสงครามกับเมืองรอบๆ รวมถึงศึกจากภายใน ยิ่งทำให้การเสื่อมสลายของอาณาจักรมาเร็วขึ้นทุกที

กลุ่มชนต่อมาที่เข้ามาเเทนที่ชาวสุเมเรียนคือ ชาว"อามอไรต์" (Amorite) เเละได้ตั้งอาณาจักรที่มีชื่อว่า บาบิโลเนีย (Babylonia)  เมืองหลวงอยู่ที่บาบิลอน ริมฝั่งของเเม่น้ำยูเฟรทีส

สิ่งที่ชาว อามอไรต์ทิ้งไว้ให้มนุษย์ยุคหลังคือ "ประมวลกฎหมายพระเจ้าฮัมมูราบี" (the code of hummurabi) ซึ่งถูกสร้างขึ้นในปี 1792-1750 ปีก่อนศริสต์ศักราช



พระเจ้าฮัมมูราบี





เป็นกฎหมายที่ได้ชื่อว่า "ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" มันคืออะไร มันคือ ใครทำอะไรกับใคร ผู้ที่โดนกระทำก็มีสิทธิ์ทำอย่างนั้นคืน เช่น " เราโดนตบหน้า เราก็สามารถตบหน้าคืนได้ " เเต่ต้องไปฟ้องร้องก่อนนะ...เเละตามหลักอนิจจังอีกเช่นเคย เวลาล่วงเลยไปความรุ่งเรืองย่อมเสื่อมลง เเละถูกชนชาติต่อมายึดครองดินเเดนไป

.....


ชนชาติที่ว่ามานั้นคือ "ชาวอัสซีเรียน" ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ชอบด้านสงครามมากกว่าเรื่องศาสนา หรือวรรณกรรม เป็นกลุ่มชนที่ทำอาวุธด้วยเหล็กทำให้ประสิทธิภาพการสู้รบมีมากเหนือดินเเดนอื่น ในช่วง 800 BC ชาวอัสซีเรียนยึดครองกรุงบาบิลอน เเละความชอบในการทำศึก ทำให้มีอาณาเขตที่กว้างขวาง จนเรียกว่า "จักรวรรดิอัสซีเรีย" เมืองหลวงคือนคร "นิเนเวห์" มีการเปรียบกษัตริย์เป็นตัวเเทนของเทวราช

เเต่หลังจากศึกสงครามเสร็จเรียบร้อย ชาวอัสซีเรียน ได้พัฒนาฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมขึ้นเเละเจริญมากในช่วงสมัยของพระเจ้า อัสซูร์บานิปาล ในสมัยนี้มีการจารึกต่างๆมากมาย ทั้งการเเพทย์ วรรณกรรม การเมือง อื่นๆ ไว้ในหอสมุดเมือง
นิเนเวห์ ว่ากันว่ามีจารึกดินเหนียวกว่า 22,000เเผ่น(โดยคาดการณ์)



ห้องสมุดเมืองนิเนเวห์


เเละงานศิลปะที่มีชื่อเสียงของชาว อัสซีเรียนคือ "ภาพเเกะสลักนูนต่ำ"




....


ต่อมาจักรวรรดิอัสซีเรียถูกกลุ่มชนที่มีฝีมือด้านการรบเช่นกันตีเเตก ในปี 612 BC หลังจากชาวคาลเดียนตีเมืองนิเนเวห์เเตก ชาวคาลเดียนได้ทำลายเมืองเเละหอสมุด (ว่ากันว่าตำรามากมาถูกทำลาย เหลือมาเพียงน้อยนิด ซึ่งปัจจุบันเรายังคงใช้ความรู้จากเเผ่นดินเหนียวนั้นอยู่)

ชาวคาลเดียนได้เปลี่ยนเมืองหลวงเป็น กรุงบาบิลอน เเละสร้างบาบิโลเนียขึ้นใหม่ อาณาจักรรุ่งเรืองมากในสมัยพระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ ถึงขนาดไปตีเมืองเยรูซาเลมสำเร็จ เเละกวาดต้อนชาวยิวหรือฮิบรูมาที่บาบิลอน

เเละสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนี้คงหนีไม่พ้น "สวนลอยฟ้าเเห่งบาบิลอน" ว่ากันว่าสร้างให้ราชินีของพระองค์ได้เดินเล่น ...





เเละที่น่าอัศจรรย์คือระบบชลประทานที่น่าทึ่ง จากการสามารถนำน้ำขึ้นไปถึงชั้น 3 ของสวนได้ โดยหลักการเเบบเดียวกับ "อาคิมีดีส"





นอกจากนี้ชาวอาณาจักบาบิโลเนีย ได้พัฒนาด้านเกษตรกรรม วิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะ สัปดาห์มี 7 วัน เเล้วเเบ่งเป็น 12 คาบ คาบละ 120 นาที นอกจากนี้สามารถพยากรณ์สุริยุปราคาได้ เเละเป็นชาติเเรกที่ทำนายดวงชะตาจากดวงดาว


.....


เเต่ถึงอย่างไรปี 539 BCบาบิโลเนีย ถูกตีเเตกโดยชาวเปอร์เซีย เเละผนวกอาณาจักเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเปอร์เซีย นับว่าในปีนี้ เป็นปีสิ้นสุดอารยธรรมเมโสโปเตเมีย




.....


เป็นอย่างไรกันบ้างครับ จะเห็นได้ว่าพัฒนาการของมนุษย์เริ่มจากการที่สามารถพัฒนาการเกษตร จนสามารถค้าขายเเละสร้างอารยธรรมมาตั้งเเต่นั้น เเละสิ่งหนึ่งที่สำคัญเเละลืมไม่ได้เลยคือ หากไม่มีตัวอักษรเขียน มนุษย์คงไม่ต่างกับวานรทั่วไป เพราะเราต้องเรียนรู้ใหม่ทั้งหมดตั้งเเต่เกิดมา เเต่อักษรคือการจดบันทึกความรู้ต่างๆของคนในอดีต ทำให้คนรุ่นถัดมาไม่ต้องหาความรู้ใหม่ทั้งหมด เพียงเเค่ทำความเข้าใจเเละต่อยอด ทำให้มนุษย์มีวิวัฒนาการเร็วกว่าสัตว์อื่นนั้นเอง


.....


เรียบเรียงเเละเขียนโดย @น๊อต

อ้างอิงข้อมูลเเละภาพประกอบจาก

-ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี
https://sites.google.com/site/ploywokk/ch/kh?tmpl=%2Fsystem%2Fapp%2Ftemplates%2Fprint%2F&showPrintDialog=1
-เมืองนิเนเวห์
http://worldcivil14.blogspot.com/2017/12/nineveh.html?m=1
-- หนังสือประวัติศาสตร์สากล ม. 4-6 ค้น (26/5/2562)


.
ที่มา : "อารยธรรมเมโสโปเตเมีย" ตอนที่ 2
https://www.blockdit.com/posts/5cebd4c6c20b3755464d1e2a?series=5d308910cd13572888e2bafc

.




4
"อารยธรรมเมโสโปเตเมีย" ปฐมบทเเห่งอารยธรรมยุคเเรกเริ่ม [1]


คลังความรู้
27 พ.ค. 2019 เวลา 06:44 • ประวัติศาสตร์


"อารยธรรมเมโสโปเตเมีย" ปฐมบทเเห่งอารยธรรมยุคเเรกเริ่ม

ขอต้อนรับสู่ "เล่าประวัติศาสตร์" ซึ่งเป็นการนำเสนอประวัติศาสตร์ศาตร์เเบบวิเคราะห์ เล่าเเบบเเซ่บๆไม่เหมือนเรียนวิชาประวัติศาสตร์เเน่นอน





ขอเกริ่นนำบิ๊วอารมณ์กันสักนิด หลายคนอาจเคยอ่านประวัติศาสตร์ที่เป็นตำราสารพัด หลายๆตำราก็จะบอกช่วงเวลา เหตุการณ์สำคัญ เเต่ในบทความซีรีย์เล่าประวัติศาสตร์ เป็นการนำ ความรู้ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งผมอ่านเเละรวมรวมจากหลายเว็บเเละหลายตำรา มาวิเคราะห์ถึงเหตุเเละผลที่ทำให้หน้าประวัติศาสตร์ ต้องจารึกเเบบนั้น ว่ามันมีที่มาเเละปัจจัยอะไรบ้าง ด้วยความรู้ทางภูมิศาสตร์ ถ้าพร้อมเเล้วติมตามได้เลยครับ...

มีคำกล่าวที่ว่า "ความเป็นอยู่ของมนุษย์ ทั้งความเชื่อ ความมั่งคั่ง การเเต่งกาย อาหารการกิน ภาษา ภูมิฐานความรู้ เเละอื่นๆล้วนเป็นผลมาจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์ " หากยังนึกภาพไม่ออก ลองคิดตามเช่นนี้ก่อนครับ

คนที่อยู่บนภูเขา มีความเป็นอยู่เเตกต่างกับคนที่อยู่ใกล้ทะเลหรือไม่...? ใช่เเล้วครับ มันต่างกัน ทั้งความเชื่อ สภาพร่างกาย การเเต่งกาย เป็นต้น

ทีนี้มาดูกันว่า ปัจจัยทางภูมิศาสตร์อะไรบ้างที่ส่งต่อ อารยธรรมเมโสโปเตเมีย ให้กลายเป็นอารยธรรมที่ได้ขึ้นชื่อว่า "เก่าเเก่ที่สุดในโลก"





ภาพด้านบนที่เเสดงเป็นภาพของเเม่น้ำ2สาย คือ ไทกริสเเละยูเฟรทีส ซึ่งการตั้งถิ่นฐานส่วนใหญ่ของมนุษย์นิยมบริเวณที่ราบลุ่มเเม่น้ำอยู่เเล้ว เพื่อใช้ประโยชน์ในด้าน อุปโภค บริโภค การค้า เเละการคมนาคม





เเละหากดูจากเเผนที่เเสดงลักษณะภูมิศาสตร์ จะเห็นว่า ด้านฝั่งตะวันออกจรดเหนือจะเป็นเทือกเขา ด้านใต้เป็นทะเลทราย ซึ่งเเน่นอนสถานที่ลุ่มน้ำนี้เปรียบเสมือน โอเอซิส อันอุดมสมบูรณ์ก็ว่าได้ นักภูมิศาสตร์จึงเรียกบริเวณนี้ว่า

"พระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์"(Fertile crescent)







หากท่านผู้อ่านสังเกตุดีๆจะเห็นอะไรบางอย่างที่สำคัญมากอีกประการ คือ บริเวณที่ราบลุ่มเเม่น้ำไทกริสเเละยูเฟรทีส เป็นจุดเชื่อมทั้ง 3 ทวีปคือ

-ตะวันตกเฉียงเหนือเป็นยุโรป
-ตะวันออกเป็นเอเชีย
-ตะวันตกเฉียงใต้เป็นเเอฟริกา 

สิ่งนี้ส่งผลให้ลุ่มน้ำไทกริส-ยูเฟรทีสเป็นที่หมายปองของเหล่ากลุ่มชนที่จะมาตั้งถิ่นฐานในอดีต

ซึ่งในอารยธรรมของเมโสโปเตเมีย มีความพิเศษนิดนึงตรงที่มีชนหลายกลุ่มพลัดกันมาครอบครอง เเละเสริมสร้างอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ซึ่งสามารถเเบ่งเป็นอาณาจักรย่อยได้ดังนี้

-3,500 BC -สุเมเรีย
-2,000 BC -บาบิโลน
-800 BC -อัสซีเรีย
-539 BC -คาลเดีย

เเละชนชาติที่เข้ามาครอบครองสำเร็จเเละสร้างอารยธรรมเมโสโปเตเมียยุคเเรกคือ "ชาวสุเมเรียน" ซึ่งเข้ามามีอิทธิพลต่อชนกลุ่มเดิมเเถบๆนั้น ชาวสุเมเรียน มีวัฒนธรรมเเละความเชื่อดั่งเดิม อย่างการนับถือเทพเจ้า นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มชนที่มีภูมิปัญญามาก ทำให้ชนกลุ่มดั่งเดิม

ยอมรับเเละรับวัฒนธรรมโดยง่าย ทำให้ชาวสุเมเรียนเป็นสามารถขยายวัฒนธรรมของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก...

จำได้ไหมจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์ด้านดินเเดน ที่ติดถึง3 ทวีป เป็นผลให้ดินเเดนของชาวสุเมเรียนเป็นทางผ่านของกองคาราวานค้าขาย เเละเป็นเเหล่งตลาดวัตถุดิบจากต่างเเดนอีกด้วย ลองคิดคงดูว่าจะเกิดอะไรต่อ เเน่นอนอีกว่าต้องมีการเก็บภาษีของพ่อค้าเเน่นอน เมื่อการติดต่อค้าขายมั่งคั่งจึงเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่สำคัญมากของมนุษย์ ถึงกับทำให้มนุษย์มีวิวัฒนาการรุดหน้าอย่างรวดเร็วกว่าสัตว์อื่น ลองเดาดูสักหน่อยไหมครับว่าเป็นอะไร....? ติ๊ก ต๊อกๆๆ

สิ่งที่ว่านั้นคือ "อักษรเขียน" หรือตัวหนังสือ นั่นเองครับ เป็นอย่างไรบ้างถูกบ้างไหม ซึ่งในตอนเเรกถูกประดิษฐ์ขึ้นมาใช้เพื่อจนบันทึกการเก็บภาษีเเละการค้าขาย (ไม่ได้่เอาไว้สื่อสาร) เรียกได้ว่ามนุษย์เราหัวพ่อค้ามาตั้งเเต่หลายพันปีที่เเล้วเลยนะเนี่ย(555เเอบหัวเราะ) การเขียนทำโดยการนำดินเหนียวมาปั้นให้เป็นเเผ่น เเล้วนำเเท่งเหล็กที่เรียกว่าลิ่มมาถิ่มเป็นลาย อย่างในรูปด้านล่าง จึงเรียกอักษรชนิดเเรกนี้ว่า

"อักษรรูปลิ่ม"(Cuneiform)





การประดิษฐ์อักษรในครั้งนี้ช่วยทำให้การค้ามีประสิทธิภาพมาก ไม่ต้องหลงไม่ต้องลืมเหมือนเเต่ก่อน ทำให้ได้รับความนิยมอย่างเเพร่หลายอย่างรวดเร็ว เเละการสร้างอักษรในครั้งนี้ถูกนำไปใช้ในหลายๆด้าน เช่นศาสนา วรรณกรรม ทำให้มีการประดิษฐ์คำมาใช้มากขึ้น จนสามารถสื่อความหมายที่ใกล้เคียงกับภาษาพูดมากขึ้น เรามาดูความหมายของมันสักนิดนึงดีกว่าครับ





งานวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงมากเรื่องหนึ่งของชาวสุเมเรียนคือ มหากาพย์กิลกาเมซ ซึ่งกิลกาเมซเป็นกษัตริย์องค์หนึ่งของชาวสุเมเรียน ในเรื่องเล่าว่าพระองทรงเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพ เเละในบันทึกกล่าวถึงมหาวิบัติครั้งใหญ่ของโลก (ขอเล่าโดยสังเขปก่อนนะครับ เดี๋ยวมาเล่าต่อในตอนถัดไปนะครับ) ซึ่งนักประวัติศาสตร์เชื่อว่า เป็นการทำให้ผู้คนศรัทธาต่อพระเจ้ามากขึ้นนั่นเอง



มหากาพย์กิลกาเมซ


ชาวสุเมเรียนนั้นได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มชนที่นับถือ พระเจ้าอย่างมาก ทำให้สร้างสถานที่บูชาอย่าง

"ซิกกูเเรต" (Ziggurat) เเละยังเป็นสถานที่ประชุมอีกด้วย โดยซิกกูเเรตจะสร้างในใจกลางเมืองเสมอเพื่อความเข้าถึงของทุกคน



Ziggurat


เเละไม่เพียงตัวอักษรเท่านั้นครับ อย่างอื่นที่ส่งผลต่อโลกนี้ก็มีอีกคือ คณิตศาสตร์ การชั่ง ตวง วัด เลขฐาน 12 24 60 90  ที่ใช้จนถึงปัจจุบันอย่าง เวลา เเละมุม  ปฏิทิน  จะสังเกตุได้ว่าสิ่งต่างๆที่ประดิษฐ์ขึ้นมา ล้วนเป็นผลมาจากการค้าทั้งสิ้น

นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของอารยธรรมมนุษย์เท่านั้น ยังมีเรื่องราวอีกมากที่ชาวเมโสโปเตเมียทิ้งไว้ให้เรา เรื่องราวของอารยธรรมเมโสโปเตเมียจะเป็นอย่างไรต่อนั้น ติดตามต่อในตอนที่ 2 นะครับ


.
เรียบเรียงโดย@น๊อต

อ้างอิงข้อมูลเเละรูปภาพประกอบ

- หนังสือประวัติศาสตร์สากล ม. 4-6 ค้น (26/5/2562)
-พระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์ https://th.m.wikipedia.org/wiki
-https://porprasit.wordpress.com
-https://mesopota.wordpress.com/2015/07/05/20/
-ซิกกูเเลต https://buntitakootok1234.wordpress.com
-อักษรลิ่ม https://board.postjung.com/646904
-เเปลอักษรลิ่ม https://yuttapoomsose.wordpress.com
-ลุ่มน้ำ ไทกริส-ยูเฟรติส http://thaigoodview.com/node/12338
-สภาพภูมิศาสตร์ https://sites.google.com/site/mesopotamiabythipakorn/kaneid-me-so-po-te-meiy
.


.
ที่มา : "อารยธรรมเมโสโปเตเมีย" ปฐมบทเเห่งอารยธรรมยุคเเรกเริ่ม
https://www.blockdit.com/posts/5ceaa539e964bd11772ead69?id=5ceaa539e964bd11772ead69&series=5d308910cd13572888e2bafc

.




5
ประวัติศาสตร์เมโสโปเตเมีย ฉบับไทม์ไลน์


Histofun Deluxe
17 ก.ย. เวลา 19:00 • ประวัติศาสตร์





• ประวัติศาสตร์เมโสโปเตเมีย ฉบับไทม์ไลน์


.....


• เนื้อหาของโพสต์ จะนำเสนอในรูปแบบของไทม์ไลน์เวลา ดังนั้นอาจมีบางหตุการณ์ ที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึงในโพสต์นี้


5,000 ปีก่อนคริสตกาล - อารยธรรมสุเมเรียน (Sumerian Civilization) อารยธรรมยุคแรกเริ่มของโลก ในพื้นที่ซูเมอร์ (Sumer) ทางตอนใต้ของดินแดนเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia มาจากภาษากรีกแปลว่า ดินแดนระหว่างสองแม่น้ำ หมายถึงแม่น้ำไทกริสและแม่น้ำยูเฟรติส)

4,000 ปีก่อนคริสตกาล - ชาวสุเมเรียนเริ่มต้นสร้างนครรัฐ

3,500 ปีก่อนคริสตกาล - ซูเมอร์เป็นที่ตั้งของนครรัฐหลายแห่ง อาทิ อูร์ (Ur) อูรุก (Uruk) เอริดู (Eridu) คิช (Kish) ลากาช (Lagash) และนิปปูร์ (Nippur)

3,300 ปีก่อนคริสตกาล - ชาวสุเมเรียนเริ่มประดิษฐ์การเขียน ระบบตัวอักษรภาพที่จะพัฒนากลายเป็นระบบตัวอักษรลิ่ม (คูนิฟอร์ม Cuneiform)

3,200 ปีก่อนคริสตกาล - ชาวสุเมเรียนเริ่มใช้ล้อบนยานพาหนะ หนึ่งในนวัตกรรมสำคัญของมนุษยชาติ

3,000 ปีก่อนคริสตกาล - ชาวสุเมเรียนพัฒนาระบบเลขฐาน 60 (Sexagesimal)

2,700 ปีก่อนคริสตกาล - ช่วงเวลาที่เชื่อว่า กิลกาเมช (Gilgamesh) กษัตริย์ผู้ปรากฏในมหากาพย์ของชาวสุเม เป็นกษัตริย์แห่งนครรัฐอูร์

2,400 ปีก่อนคริสตกาล - ภาษาสุเมเรียนถูกแทนที่ด้วยภาษาอัคคาเดียน (Akkadian) ในฐานะภาษาพูดหลักในเมโสโปเตเมีย

2,330 ปีก่อนคริสตกาล - กษัตริย์ซาร์กอนที่ 1 แห่งอัคคัด (Sargon I of Akkad) พิชิตนครรัฐส่วนใหญ่ของชาวสุเมเรียน กำเนิดจักรวรรดิอัคคาเดียน (Akkadian Empire) จักรวรรดิแห่งแรกของโลก

2,250 ปีก่อนคริสตกาล - จักรวรรดิอัคคาเดียนรุ่งเรืองในยุคของกษัตริย์นารัม-ซิน (Naram-Sin) ผู้ครองราชย์ยาวนานกว่า 50 ปี อาณาเขตของจักรวรรดิครอบคลุมตั้งแต่ซีเรียจนถึงอ่าวเปอร์เซีย

2,100 ปีก่อนคริสตกาล - จักรวรรดิอัคคาเดียนล่มสลาย ชาวสุเมเรียนกลับมามีอำนาจอีกครั้ง โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่นครรัฐอูร์ (ยุคราชวงศ์อูร์ที่สาม Ur III)

2,000 ปีก่อนคริสตกาล - ชาวเอลาไมต์ (Elamite ทางตะวันออกของซูเมอร์) พิชิตนครรัฐอูร์ จุดสิ้นสุดอำนาจของชาวสุเมเรียน ชาวอมอไรต์ (Amorite) เริ่มสร้างฐานอำนาจในนครบาบิโลน (Babylon)

1,900 ปีก่อนคริสตกาล - ชาวอัสซีเรียเริ่มมีอำนาจในเมโสโปเตเมียตอนเหนือ จักรวรรดิอัสซีเรียที่หนึ่ง (First Assyrian Empire)

1,795 ปีก่อนคริสตกาล - ฮัมมูราบี (Hammurabi) ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งบาบิโลน ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี จักรวรรดิบาบิโลเนียยุคแรก (Old Babylonian Empire)

1,781 ปีก่อนคริสตกาล - กษัตริย์ชัมชี-อาดัด (Shamshi-Adad) แห่งอัสซีเรียสิ้นพระชนม์ บาบิโลนพิชิตอัสซีเรีย

1,750 ปีก่อนคริสตกาล - กษัตริย์ฮัมมูราบีสิ้นพระชนม์ บาบิโลนเข้ายุคความเสื่อมถอย

1,595 ปีก่อนคริสตกาล - ชาวคัสไซต์ (Kassite) พิชิตบาบิโลน จักรวรรดิบาบิโลเนียยุคแรกล่มสลาย

1,360 ปีก่อนคริสตกาล - ชาวอัสซีเรียกลับมามีอำนาจอีกครั้ง หลังความเสื่อมของบาบิโลน

1,250 ปีก่อนคริสตกาล - ชาวอัสซีเรียเริ่มใช้อาวุธที่ทำจากเหล็กและรถม้าศึก

1,225 ปีก่อนคริสตกาล - ชาวอัสซีเรียพิชิตบาบิโลน

1,115 ปีก่อนคริสตกาล - อัสซีเรียเรืองอำนาจภายใต้การปกครองของกษัตริย์ทิกลัท-พิลีเซอร์ที่ 1 (Tiglath-Piliser I)

1,077 ปีก่อนคริสตกาล - ทิกลัท-พิลีเซอร์สิ้นพระชนม์ อัสซีเรียอ่อนแอลงชั่วระยะหนึ่ง

912 ปีก่อนคริสตกาล - จักรวรรดิอัสซีเรียใหม่ (Neo Assyrian Empire) ถือกำเนิด

744 ปีก่อนคริสตกาล - จักรวรรดิอัสซีเรียใหม่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าทิกลัท-พิลีเซอร์ที่ 3 (Tiglath-Piliser III)

721 ปีก่อนคริสตกาล - กษัตริย์ซาร์กอนที่ 2 (Sargon II) ครองอำนาจในอัสซีเรีย

709 ปีก่อนคริสตกาล - ซาร์กอนที่ 2 พิชิตบาบิโลนได้อีกครั้ง

705 ปีก่อนคริสตกาล - ซาร์กอนที่ 2 สิ้นพระชนม์ กษัตริย์เซนนาเคริบ (Sennacherib) ขึ้นครองราชย์ ย้ายเมืองหลวงไปยังนครนิเนเวห์ (Nineveh)

668 ปีก่อนคริสตกาล - อัชชูร์บานิปัล (Ashurbanipal) กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่คนสุดท้ายของอัสซีเรียครองราชย์ ก่อสร้างหอสมุดแห่งนิเนเวห์

626 ปีก่อนคริสตกาล - อัชชูร์บานิปัลสิ้นพระชนม์ อัสซีเรียเข้าสู่การล่มสลาย

616 ปีก่อนคริสตกาล - นาโบโปลัสซาร์ (Nabopolassar) ปลดแอกบาบิโลนจากอัสซีเรียและสถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์ จักรวรรดิบาบิโลเนียใหม่ (Neo Babylonian Empire) กำเนิดขึ้น

604 ปีก่อนคริสตกาล - นาโบโปลัสซาร์สิ้นพระชนม์ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 (Nebuchadnezzar II) ขึ้นครองราชย์ จักรวรรดิบาบิโลเนียใหม่ขึ้นสู่จุดสูงสุด

550 ปีก่อนคริสตกาล - จักรวรรดิเปอร์เซีย (Persian Empire) ภายใต้ราชวงศ์อะคีมานิด (Achaemenid) สถาปนาขึ้นโดยกษัตริย์ไซรัสมหาราช (Cyrus the Great)

539 ปีก่อนคริสตกาล - จักรวรรดิบาบิโลเนียใหม่ล่มสลายจากการพิชิตของเปอร์เซีย

522 ปีก่อนคริสตกาล - จักรวรรดิเปอร์เซียในยุคกษัตริย์ดาริอัสที่ 1 (Darius I)

518 ปีก่อนคริสตกาล - ดาริอัสที่ 1 สถาปนาเมืองหลวงของจักรวรรดิเปอร์เซียที่เพอร์เซโปลิส (Persepolis)

490 ปีก่อนคริสตกาล - ดาริอัสที่ 1 ทำสงครามกับนครรัฐกรีก เปอร์เซียพ่ายแพ้ที่ยุทธการมาราธอน

480 ปีก่อนคริสตกาล - เซอร์ซิสที่ 1 (Xerxes I) พยายามพิชิตกรีกด้วยกองทัพขนาดมหึมา แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว

333 ปีก่อนคริสตกาล - เมโสโปเตเมียเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิของอเล็กซานเดอร์มหาราช

331 ปีก่อนคริสตกาล - จักรวรรดิเปอร์เซียล่มสลาย


.
อ้างอิง

• HISTORY. Mesopotamia.
https://www.history.com/articles/mesopotamia

• Britannica. history of Mesopotamia.
https://www.britannica.com/place/Mesopotamia-historical-region-Asia

• Ducksters. Ancient Mesopotamia
Timeline.
https://www.ducksters.com/history/mesopotamia/timeline.php.

#HistofunDeluxe


.
ที่มา : ประวัติศาสตร์เมโสโปเตเมีย ฉบับไทม์ไลน์
https://www.blockdit.com/posts/68ca4c1e002921ddb47a36a2

.




6
5 อารยธรรมโบราณที่เก่าแก่ที่สุดของโลก


Facts For Five
1 ก.ย. 2021 เวลา 13:26 • ประวัติศาสตร์

รุ่งอรุณแห่งความรุ่งเรือง!? เผย 5 อารยธรรมโบราณที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยรู้จักมา





1. อารยธรรมเมโสโปเตเมีย

อายุ : (3,500 – 500 ปีก่อนคริสตกาล)
ที่ตั้งเดิม : ทางตอนเหนือของเทือกเขาซากรอส และทางตะวันออกเฉียงใต้ที่ราบสูงอาหรับ
ที่ตั้งในปัจจุบัน : อิรัก, ซีเรีย และตุรกี
ความสำเร็จที่โดดเด่น : อารยธรรมแห่งของมวลมนุษยชาติ

นี่คืออารยธรรมแรกที่ได้รับการบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ไม่มีใครทราบต้นกำเนิดของอารยธรรมเมโสโปเตเมีย และไม่มีใครทราบว่าอารยธรรมกลุ่มแรกก่อนพวกเขาคืออารยธรรมใด ช่วงเวลาที่อารยธรรมเมโสโปเตเมียรุ่งเรืองเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 3,300 – 750 ปีก่อนคริสตกาล แต่โดยทั่วไปแล้ว อารยธรรมเมโสโปเตเมียได้รับการยกย่องว่าเป็นสถานที่แรกของสังคมมนุษย์ที่มีความเป็นอารยะเกิดขึ้นเมื่อ 8,000 ปีก่อนคริสตกาล เมื่อผู้คนในละแวกนี้รู้จักการทำการเกษตรและเลี้ยงสัตว์เพื่อเป็นอาหารและช่วยในการทำฟาร์ม

พวกเขาเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคอิรัก บางส่วนของซีเรียและตุรกีในปัจจุบัน ที่ภายหลังได้รู้จักกันในชื่อของชาวบาบีโลน สุเมเรียน และชาวอัสซีเรีย




.....


2. อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ

อายุ : 3,300 – 1,900 ปีก่อนคริสตกาล
ที่ตั้งเดิม : บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ
ที่ตั้งปัจจุบัน : ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอัฟกานิสถาน ปากีสถาน และทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย
ความสำเร็จที่โดดเด่น : หนึ่งในอารยธรรมโบราณของมนุษย์ที่ขยายอาณาเขตไว้กว้างไกลมากที่สุด

อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ คือหนึ่งในอารยธรรมโบราณยุคแรกเริ่มของมนุษย์ และพวกเขาขยายดินแดนครอบคลุมพื้นที่ประเทศอัฟกานิสถาน ปากีสถาน และอินเดีย โดยพวกเขาตั้งรกรากอยู่ในลุ่มแม่น้ำสินธุ ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญสายหนึ่งในทวีปเอเชีย รวมถึงแม่น้ำกัคการ์-ฮาครา ที่ครั้งหนึ่งเคยไหลผ่านทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียและปากีสถานทางทิศตะวันออก

นอกจากนี้ พวกเขายังเป็นที่รู้จักกันในชื่ออารยธรรมฮารัปปา และอารยธรรมโมเฮนโจดาโร ที่ถูกตั้งชื่อตามสถานที่ขุดพบซากอารยธรรม กล่าวกันว่าช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดของกลุ่มอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุเกิดขึ้นเมื่อ 2,600 – 1,900 ปีก่อนคริสตกาล จากซากโบราณสถานที่ถูกขุดพบ ทำให้นักโบราณคดีเชื่อว่าพวกเขามีความซับซ้อนและมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

กลุ่มอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ยังมีความแม่นยำในการวัดความยาว มวล และเวลา จากสิ่งประเทศที่ถูกค้นพบ ทำให้นักโบราณคดียังได้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า พวกเขามีความสามารถในด้านงานศิลปะและงานฝีมือเช่นเดียวกัน




.....


3. อารยธรรมอียิปต์โบราณ

อายุ : 3,150 – 30 ปีก่อนคริสตกาล
ที่ตั้งเดิม : ที่ราบลุ่มแม่น้ำไนล์
ที่ตั้งปัจจุบัน : ประเทศอียิปต์
ความสำเร็จที่โดดเด่น : สร้างมหาพีรามิด

อียิปต์โบราณคือหนึ่งในอารยธรรมโบราณที่ร่ำรวยไปด้วยวัฒนธรรม และสิ่งปลูกสร้างที่น่าทึ่งอย่างพีรามิด สฟิงซ์ จนทำให้พวกเขากลายเป็นอารยธรรมที่สง่างามแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์ อารยธรรมอียิปต์โบราณมีจุดเริ่มต้นเมื่อประมาณ 3,500 ปี เมื่อมีผู้คนมาตั้งถิ่นฐานบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไนล์ จนก่อให้เกิดเป็นสังคมใหญ่ และ 3,150 ปีก่อนคริสตกาล ได้มีการตั้งเป็นอาณาจักรโดยมีฟาโรห์พระองค์แรกขึ้นปกครองดินแดนแห่งนี้

ประวัติศาสตร์ของอียิปต์สามารถแบ่งออกเป็นยุคต่าง ๆ ซึ่งแยกออกจากกัน เช่น ยุคอาณาจักรเก่า ยุคอาณาจักรกลาง และยุคอาณาจักรใหม่ อารยธรรมอียิปต์ได้สร้างพีรามิด และมันเป็นสถานที่เก็บมัมมี่ของฟาโรห์ที่เคยปกครองดินแดนแห่งนี้ เช่น ฟาโรห์รามเสสมหาราช ผู้เคยปกครองอียิปต์โบราณ และทำใหอารยธรรมร่วมสมัยอีกแห่งอย่างนูเบียนยอมตกอยู่ภายใต้การปกครองของอียิปต์ในภายหลัง




.....


4. อารยธรรมมายา

อายุ : 2,600 - 900 ปีก่อนคริสตกาล
ที่ตั้งเดิม : ที่ราบลุ่มยูคาทานในปัจจุบัน
ที่ตั้งปัจจุบัน : เม็กซิโก, กัวเตมาลา, เอล ซัลวาดอร์ และฮอนดูรัส
ความสำเร็จที่โดดเด่น : ความเข้าใจในด้านดาราศาสตร์

อายธรรมมายาในทวีปอเมริกากลางเคยเจริญรุ่งเรืองเมื่อ 2,600  ก่อนคริสตกาล ในยุคที่รุ่งเรืองที่สุด อารยธรรมมายามีประชากรกว่า 19 ล้านคน ทั่วทวีปอเมริกากลาง พวกเขาเป็นที่รู้จักกันในฐานะผู้สร้างปฏิทินที่แกะสลักด้วยหิน และได้สร้างภาษาของตัวเองขึ้นมา โดยพวกเขาระบุว่าโลกที่พวกเขารู้จักถูกสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 3,114 ปี ก่อนคริสตกาล และมันคือวันที่อารยธรรมมายาถือกำเนิด โดยวันสุดท้ายของปฏิทินคือวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2012 ที่ใครหลายคนเคยกลัวว่า นี่คือวันที่โลกจะถึงกาลอวสานตามทฤษฎีสมคบคิดที่ถูกยกขึ้นมาถกเถียงกันในขณะนั้น

นอกจากนี้ ชาวมายาโบราณยังได้สร้างพีรามิดขึ้นมา เช่นเดียวกับที่ชาวแอซเท็ก โดยพีรามิดหลายแห่งมีขนาดใหญ่กว่าพีรามิดของอียิปต์ แต่ภายหลังอารยธรรมมายาได้ล่มสลายอย่างกะทันหัน ซึ่งกลายเป็นปริศนาที่นักโบราณคดีในปัจจุบันต่างหาคำตอบว่าทำไมอยู่ดี ๆ อารยธรรมที่เคยเจริญรุ่งเรืองมีและประชากรกว่า 19 ล้านคน ถึงได้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ในชั่วพริบตาแบบนั้น




.....


5. อารยธรรมจีนโบราณ

อายุ : 1,600 – 1,046 ปีก่อนคริสตกาล
ที่ตั้งเดิม : ที่ราบลุ่มแม่น้ำเหลืองและแม่น้ำแยงซีเกียงในประเทศจีน
ที่ตั้งปัจจุบัน : ประเทศจีนในปัจจุบัน
ความสำเร็จที่โดดเด่น : การสร้างกระดาษและผ้าไหม, กำแพงเมืองจีน

อารยธรรมจีนโบราณ หรือที่หลายคนเรียกว่า อารยธรรมจีนฮั่น พวกเขาคืออารยธรรมโบราณที่มีอายุหลายพันปี โดยจุดเริ่มต้นของอารยธรรมจีนโบราณ เกิดขึ้นที่ลุ่มแม่น้ำเหลือง และสถานที่แห่งนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นราชวงศ์ที่เก่าแก่ที่สุดที่มีอายุประมาณ 2,700 ปีก่อนคริสตกาล และภายหลังได้มีราชวงศ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายเพื่อก้าวขึ้นมาปกครองแผ่นดินจีนในยุคสมัยต่าง ๆ

2,070 ปีก่อนคริสตกาล ราชวงศ์เซี่ยกลายเป็นราชวงศ์แรกที่ได้ปกครองประเทศจีนตามบันทึกพงศาวดารทางประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่นั้นก็มีราชวงศ์เกิดขึ้นตามมาอีกหลายราชวงศ์ จนกระทั่งมาถึงราชวงศ์ชิง ที่เป็นราชวงศ์สุดท้ายที่ได้ปกครองแผ่นดินจีน ในปี ค.ศ.1912 ได้เกิดปฏิวัติซินไฮ่ขึ้นมา และถือว่านี่คือจุดสิ้นสุดของอายธรรมจีนโบราณที่มีอายุกว่า 4,000 ปี

อย่างไรก็ตาม อารยธรรมจีนโบราณได้มอบสิ่งประดิษฐ์และผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์มากมายทิ้งไว้ให้กับชาวโลก ไม่ว่าจะเป็นการคิดค้นดินปืน กระดาษ การพิมพ์ เข็มทิศ แอลกอฮอล์ ปืนใหญ่ และอื่น ๆ อีกมากมาย




.

ข้อมูลจาก : ANCIENTHISTORYLISTS.COM, WIKIPEDIA

https://www.ancienthistorylists.com/
Ancient History Lists – Fascinating TOP 10 Lists


.
ที่มา : รุ่งอรุณแห่งความรุ่งเรือง!? เผย 5 อารยธรรมโบราณที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มนุษยชาติเคยรู้จักมา
https://www.blockdit.com/posts/612f1d07b91c3d0c899f7111

.




7
ทริปท่องวานูอาตู ชมโชว์จากธรรมชาติที่งดงามที่สุด ณ ยาซูร์ (Mount Yasur)


Travelogue

The Greatest Show on Earth

ทริปท่องวานูอาตู ชมโชว์จากธรรมชาติที่งดงามที่สุด ณ ยาซูร์ (Mount Yasur) ภูเขาไฟที่เป็นประภาคารแห่งมหาสมุทรแปซิฟิก

เรื่องและภาพโดย โลจน์ นันทิวัชรินทร์

.

Home /Travel/Travelogue
1 พฤศจิกายน 2025


คันบังคับอะไรต่อมิอะไรดูอีรุงตุงนังชวนงง จอทรงกลมทรงเหลี่ยมอีกสารพัดดูสับสน แถมยังมีปุ่มต่าง ๆ นานายุ่งเหยิงไปหมด ที่สำคัญ เก้าอี้ตัวนี้ควรจะเป็นที่นั่งของผู้ช่วยนักบินซึ่งไม่ใช่ผม แต่เพราะเครื่องบินขนาดเล็ก 12 ที่นั่งลำนี้ดันมีจำนวนผู้โดยสารทั้งสิ้น 13 คน ส่งผลให้ใครคนหนึ่งต้องระเห็จไปนั่งหน้าคู่กัปตัน และผู้โชคดีคนนั้นคือผมเอง

“เอ่อ กรุณานั่งเฉย ๆ นะครับ อย่าแตะต้องอะไรทั้งสิ้น นั่งสบาย ๆ เตรียมชมวิวสวย ๆ ได้เลยครับ” นิคกี้ กัปตันตัวจริงหันมาพูดพร้อมส่งยิ้มให้ ก่อนจะหันกลับไปปรับปุ่มนู่นนี่และโยกคันบังคับต่าง ๆ ไม่นานเขาก็สื่อสารกับหอควบคุมการจราจรทางอากาศเพื่อขออนุญาตนำเครื่องขึ้น ใจผมเต้นรัวเป็นกลองด้วยความตื่นเต้นขีดสุด เกิดมาไม่เคยนั่งเครื่องบินเล็กในตำแหน่งสุดพิเศษเช่นนี้มาก่อน





ไม่กี่นาทีต่อมา เครื่องบินเล็กก็เร่งเครื่องแผดเสียงสนั่น ก่อนจะวิ่งเร็วขึ้น เร็วขึ้น จนค่อย ๆ ลอยตัวไต่ระดับโบยบินสู่ท้องฟ้ากว้าง ใจที่เต้นรัวเร็วก็ค่อย ๆ ผ่อนคลาย แม้จะรู้สึกมึนหัวจากอาการโคลงเคลงอยู่บ้าง แต่ลมเย็น ๆ จากภายนอกที่เล็ดลอดเข้ามาสู่ห้องโดยสาร ทำให้รู้สึกสบายขึ้นมาก

ขณะนี้ผมกำลังเดินทางอยู่ในประเทศวานูอาตู (Vanuatu) ประเทศหมู่เกาะขนาดเล็กในมหาสมุทรแปซิฟิกที่ตั้งอยู่ระหว่างออสเตรเลียและฮาวาย ผมเดินทางจากเกาะเอฟาเต (Éfaté) ไปยังเกาะทานนา (Tanna) เพื่อไปชมภูเขาไฟยาซูร์ (Yasur) ที่ยังคงระเบิดและพ่นลาวาออกมาอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉลี่ยทุก ๆ 1 – 3 นาทีต่อ 1 ตูม และเป็นเช่นนี้มานานมาก ๆ นักธรณีวิทยาสันนิษฐานปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นติดต่อกันนานกว่า 870 ปี จนภูเขาไฟลูกนี้ได้รับฉายาว่า ‘ประภาคารแห่งมหาสมุทรแปซิฟิก’ (The Lighthouse of the Pacific)

วานูอาตูตั้งอยู่บนเขตวงแหวนแห่งไฟ (Ring of Fire) ซึ่งเป็นดินแดนที่มีเหตุแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดบ่อยครั้ง นอกจากนี้ยังอยู่ในเส้นทางพายุไซโคลนอีกด้วย ว่ากันว่าภูเขาไฟยาซูร์เป็นภูเขาไฟที่เดินเท้าเข้าถึงได้ง่ายที่สุดในโลก จึงเป็นหมุดหมายของนักผจญภัยหลายคน

เครื่องบินจิ๋วล่องลอยอยู่ใต้หมู่เมฆ เผยให้เห็นเกาะเล็กเกาะน้อยที่ค่อย ๆ ปรากฏตัวชัดขึ้นเป็นระยะ ๆ เหนือท้องทะเลกว้าง สีที่สาดใส่กันนั้นช่างจี๊ดจ๊าดจับใจ และนิคกี้บอกว่า ถ้าตาเราดีและมีโชคพอ เราอาจมองเห็นวาฬตัวใหญ่แหวกว่ายอยู่ในท้องทะเลสีครามเข้มเบื้องล่าง







ผมตื่นตาตื่นใจกับทิวทัศน์อันงดงามมหัศจรรย์อยู่นานนับชั่วโมง จนกระทั่ง

“ผู้โดยสารทุกคนครับ วันนี้อากาศดีมาก ๆ ผมคิดว่าจะบินโฉบให้ทุกคนได้เห็นภูเขาไฟยาซูร์กันชัด ๆ ก่อนนำเครื่องร่อนลงสู่สนามบินนะครับ” แน่นอนว่าเมื่อสิ้นสุดเสียงประกาศของกัปตันนิคกี้ ผู้โดยสารทั้งหมดก็กรีดร้องด้วยความดีใจ ต่างคนต่างหยิบอุปกรณ์ต่าง ๆ นานาสารพัดขึ้นมาเตรียมบันทึกภาพ

ภูเขาไฟสูงตระหง่านด้านหน้ากำลังปล่อยควันลอยคละคลุ้งขึ้นสู่มวลเมฆ และค่อย ๆ ปรากฏตัวชัดขึ้นเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ ทุก ๆ กิโลเมตรที่เครื่องบินบินเข้าใกล้ หัวใจผมกลับมาเต้นแรงเร็วขึ้นอีกครั้ง ผมพยายามใช้ไอโฟนบันทึกภาพอันงดงามเบื้องหน้าผ่านกระจกที่ค่อนข้างมัวไปทีละช็อต ๆ





ไม่กี่วินาทีต่อมา นิคกี้ก็บังคับเครื่องบินให้เอียง พร้อมรักษาความสูงในระยะอีกาบิน (Crow Fly) ปีกด้านขวาทำมุม 45 องศากับปล่องภูเขาไฟ พร้อมกับทำเซอร์กิตบินวน 1 รอบเต็ม ๆ ก่อนเลี้ยวกลับมาเพื่อหันปีกซ้ายทำมุม 45 องศากับปล่องภูเขาไฟอีกครั้ง และบินวนอีก 1 รอบเช่นกัน ผู้โดยสารที่นั่งทั้งด้านขวาและซ้ายจึงมีโอกาสบันทึกภาพอันงดงามโดยเท่าเทียมกัน เสียงหัวเราะเฮฮาด้วยความตื่นเต้นยินดีดังไม่ขาดสาย แข่งกับกับเสียงคำรามกึกก้องจากภูเขาไฟยาซูร์ที่ระเบิดอยู่เบื้องล่างติดต่อกันทุก ๆ นาที

เมื่อกัปตันนิคกี้นำเครื่องบินเล็กกลับมาลงสนามบินทานนาเป็นที่เรียบร้อย ผู้โดยสารทั้งหมดพากันปรบมือให้เขาราวกับวีรบุรุษ ผมเชื่อว่าทุกคนจะจดจำเที่ยวบินสุดพิเศษในวันนี้ไปตลอดชีวิต

“ต้องขอบคุณผู้ช่วยกัปตันคนนี้ด้วย เขานั่งตัวตรง กอดอกนิ่ง ๆ ได้ตลอดทั้งไฟลต์ ตามที่นิคกี้บอกทุกประการ” ผู้โดยสารอื่น ๆ พากันแซวจนผมยิ้มตาหยี



สนามบินทานนาเป็นเพียงลานบินเล็ก ๆ อย่างที่เห็น


เกาะทานนา

เสียงคำรามกึกก้องจากภูเขาไฟ รวมทั้งลาวาที่ปะทุออกมาไม่หยุดหย่อน ส่งแสงสีแสดส้มทาบทาท้องฟ้ายามราตรีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และเป็นดั่งดวงประทีปที่นำ กัปตันเจมส์ คุก ให้มาค้นพบเกาะสวยแห่งนี้เมื่อปี 1774 มีภาพลายเส้นที่บันทึกเหตุการณ์สำคัญครั้งนั้นไว้โดย John Keyse Sherwin ศิลปินชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงจากการวาดภาพเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ (History Painter)



กัปตันเจมส์ คุก ค้นพบเกาะทานนา จากการสังเกตท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีการระเบิดและลาวาพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเปล่งแสงสีแสดสว่างไสว
ภาพ : wellcomecollection.org/works


เกาะทานนามีพื้นที่ 550 ตารางกิโลเมตร ราว ๆ 3 ใน 4 เป็นพื้นที่ป่ารกชัฏ เวลาเดินทางบนเกาะ สังเกตเห็นไม้ป่านานาพรรณแน่นขนัด ต้นไทรขนาดใหญ่หลายคนโอบยืนต้นเรียงราย รวมทั้งเฟินป่าต้นสูงท่วมหัวดูราวกับฉากจากภาพยนตร์เรื่อง Jurassic Park ส่วนพื้นที่ 1 ใน 4 ที่เหลือคือบริเวณรอบ ๆ ภูเขาไฟยาซูร์ เป็นพื้นที่เปิดโล่ง เต็มไปด้วยฝุ่นเถ้าลาวาปกคลุมอยู่ พร้อมกองหินตะปุ่มตะป่ำหลากรูปทรง หินเหล่านี้เกิดจากลาวาที่เย็นตัว ชาวเกาะขนานนามดินแดนส่วนนี้ว่า ภูมิทัศน์ดวงจันทร์ หรือ Lunar Landscape

หลังจากเข้าที่พักและเก็บข้าวของเรียบร้อย เวลาบ่าย 3 โมง รถกระบะปรับแต่งพิเศษเพื่อเสริมความแข็งแรงก็มารับ และพาเราออกเดินทางจาก Tanna Lodge มุ่งหน้าสู่ภูเขาไฟยาซูร์ โดยมี โทนี่ เป็นทั้งคนขับและไกด์ ถนนลาดยางอย่างดีมีอยู่เพียงช่วงแรก ๆ จากนั้นเป็นทางดินโขยกเขยกไปเรื่อย ๆ

“เราควรไปถึงปากปล่องภูเขาไฟยาซูร์ราว ๆ 5 โมงครึ่ง เพื่อจะได้รอชมพระอาทิตย์ตกดินบนนั้น คราวนี้พอฟ้ามืดล่ะก็ เราจะได้เห็นลาวาชัดเจนมาก ๆ เลยครับ” โทนี่กล่าว

ก่อนนำนักผจญภัยออกเดินทางขึ้นสู่ปากปล่องภูเขาไฟยาซูร์ได้นั้น เจ้าหน้าที่ต้องประเมินสถานการณ์จาก ‘ระบบตรวจจับความตื่นตัวของภูเขาไฟ (Volcanic Alert System)’ เสียก่อน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวส่งตรงมาจากศูนย์ที่มีชื่อว่า ‘Vanuatu Geohazards Observatory’ สร้างขึ้นเบริเวณเชิงภูเขาไฟยาซูร์ โดยงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลฝรั่งเศส และมีนักธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์ รวมทั้งนักวิจัยชาวฝรั่งเศสหลากสาขามาประจำการที่ศูนย์แห่งนี้ เพื่อทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับนักวิทยาศาสตร์และนักธรณีวิทยาท้องถิ่น

ระดับความตื่นตัวของภูเขาไฟแบ่งออกเป็น 5 ระดับ และที่พิจารณาว่าปลอดภัยพอที่จะนำคนขึ้นไปได้คือระดับที่ 1 และ 2 เท่านั้น หากเกินกว่านี้ก็ไม่อนุญาตให้ใครขึ้นไปยังปากปล่องโดยเด็ดขาด

ภูเขาไฟยาซูร์เคยระเบิดใหญ่หลายครั้ง เช่น เดือนพฤศจิกายน ปี 2013 หรือเดือนตุลาคม ปี 2021 ถ้าไปลองไล่ดูคลิปภาพเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดการปะทุรุนแรงมากกว่าปกติใน YouTube เราก็จะพบอยู่เป็นจำนวนมาก

ผมขอนำตัวอย่างมาให้ดูกันพอเห็นภาพสักหนึ่งคลิปนะครับ คลิปนี้นำขึ้นอัปโหลดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 นี้เอง หรือจะไปกดติดตาม YouTube ช่อง Extreme Pursuit ของพวกเขาก็ได้เช่นกันครับ

.

https://www.youtube.com/watch?v=L6c5vaXc5-w&t=280s

Our close eruption escape - Yasur Volcano Expedition
Extreme Pursuit

https://youtu.be/L6c5vaXc5-w?si=WpBcWpXiqhsINo_r

..


กลับมายังเหตุการณ์ในวันนั้นต่อ ขณะที่รถพาเรามุ่งไปยังภูเขาไฟยาซูร์ ผมสังเกตว่าชาวเกาะทานนาเป็นมิตรมาก เช่นเดียวกับชาววานูอาตูทั่ว ๆ ไป เวลารถผ่านไปที่ไหน ชาวเกาะต่างโบกไม้โบกมือและส่งยิ้มหวานให้ตลอด ราว ๆ บ่าย 4 โมง รถก็แวะตลาดท้องถิ่นเล็ก ๆ เพื่อให้เราลงไปเดินยืดเส้นยืดสายประมาณ 10 นาที

ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอยากซื้ออะไรเลยนะครับ แค่อยากเดินเล่นไปมาพอให้หายเมื่อย เลยเฉไฉไปดูปลาทอดที่แม่ค้าวางขายอยู่ และชวนคุยไปเรื่อย ๆ เปื่อย ๆ ว่าเป็นปลาชนิดไหน ทอดกับอะไร ฯลฯ

วานูอาตูเคยตกเป็นอาณานิคมของทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษ ชาวเกาะจึงสื่อสารภาษาเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี และแล้วเรื่องก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อคุณป้าคนหนึ่งเข้ามาถามว่าผมมาจากไหน และทันทีที่ผมตอบไปว่า “ผมมาจากเมืองไทยครับ”

“กรี๊ด เขามาจากเมืองไทย กรี๊ด เมืองไทยคือเมืองอุ๊งบัก” คุณป้าคนที่หนึ่งร้องออกมาอย่างลิงโลด พร้อมกับหันไปกวักมือเรียกคุณป้าคนที่ 2 3 4 5 ฯลฯ ให้เดินมา

ขออธิบายปรากฏการณ์ องค์บาก ที่ประเทศวานูอาตูหน่อยนะครับ ปรากฏการณ์นี้เป็นสิ่งที่ผมเจอเสมอระหว่างเดินทางไปตามเกาะต่าง ๆ ในประเทศนี้ ชาวเกาะแทบทุกเกาะติดภาพยนตร์เรื่อง องค์บาก อย่างงอมแงม พวกเขาดูจากแผ่นวีซีดีหรือดีวีดี ไม่ก็วิดีโอเทป เขาดูแล้วดูอีก ดูอีกดูแล้ว ผมเคยไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง พอตกเย็นหัวหน้าหมู่บ้านฉาย องค์บาก บนจอแบบหนังกลางแปลงให้ลูกบ้านดูแทบทุกวัน สลับกับภาพยนตร์เรื่อง ต้มยำกุ้ง โทนี่ จา หรือ จา พนม คือขวัญใจของทุกคน และคำว่า ‘องค์บาก’ เมื่อผ่านลิ้นของชาววานูอาตูแล้วก็จะกลายเป็น ‘อุ๊งบัก’ อย่างน่ารัก

“เขากำลังเลือกปลา มาช่วยเขาเร็ว เขามาจากประเทศไทยนะทุกคน เมืองอุ๊งบัก” คุณป้าเบอร์ 1 เอ่ยอีกครั้ง ผมอาจเป็นคนไทยคนแรกที่พวกเธอรู้จัก

“เขามาไกลมาก ๆ เราต้องเลือกปลาที่ดีที่สุดให้เขานะ” คุณป้าเบอร์อื่น ๆ สนับสนุน

“ปลาทอดพวกนี้ทอดมานานหรือยัง มันยังสดอยู่ใช่ไหม ถ้าของไม่ดีอย่าขายเขานะ” คุณป้าเบอร์ 5 และ 6 บอกแม่ค้า

วินาทีนั้นผมรู้สึกว่าผมเป็นทั้งตัวแทนดาราคนโปรดและตัวแทนประเทศไทย ผมคิดว่าผมต้องซื้อปลาตัวใดก็ตามที่คุณป้าเหล่านั้นช่วยกันเลือกให้ ความรู้สึกอีกอย่างคือความซาบซึ้งใจที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันทันใด ป้า ๆ ชาววานูอาตูกำลังทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจอย่างท่วมท้น ผมแอบหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมาบันทึกภาพเอาไว้ 2 ภาพนั้นอาจสั่นไหว แต่ความทรงจำของผมยังแจ่มชัดมาจนทุกวันนี้





วานูอาตูเป็นประเทศที่เคยครอบครองอันดับ 1 ดินแดนที่มีดัชนีความสุข (Happiness Index) สูงที่สุดในโลก วันนี้หลายคนอาจได้คำตอบแล้วว่าเป็นเพราะอะไร

ผมหิ้วปลาทอด 3 – 4 ตัวกลับไปและแบ่งให้เพื่อน ๆ ร่วมรถได้ลิ้มลอง พวกเขาทั้งหมดเป็นชาวฝรั่งเศสที่ชักเริ่มสงสัยแล้วว่าไอ้ตี๋คนนี้มันเป็นใครนะ ทำไมใคร ๆ ก็มาช่วยมันเลือกปลา

ส่วนปลาทอดเหล่านั้น ผมว่ามันอร่อยตั้งแต่ผมยังไม่ได้กิน


แวะไปดวงจันทร์

จากตลาด รถพาเราขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ ก่อนหยุดให้ชมทิวทัศน์สุดอลังการ ภาพภูเขาไฟยาซูร์ที่เคยมองลงมาจากเครื่องบินเมื่อสักครู่ ขณะนี้ปรากฏอยู่ตรงหน้า เสียงคำรามเหมือนฟ้าร้องดัง ๆ ลอยข้ามป่าเขียวชอุ่มมาถึงหูให้พอสะดุ้ง ลมเย็นพัดแรงจนแอบสะท้าน

“เดี๋ยวเราจะแวะไปดวงจันทร์กันนิดหนึ่งนะครับ แล้วคราวนี้เราก็จะไปถึงยาซูร์กันเสียที” โทนี่บอก



สบตาภูเขาไฟยาซูร์


รถยนต์วิ่งฝ่าป่าทึบผืนใหญ่อยู่ดี ๆ เราก็หลุดออกมายังลานกว้างเวิ้งว้าง ฝุ่นขี้เถ้าลาวาลอยคละคลุ้งเป็นทางยาวตามเส้นทางที่รถวิ่งตะบึงไปข้างหน้า ดูเป็นภูมิประเทศแปลกประหลาดเหมือนพื้นผิวดวงจันทร์อย่างที่เคยเห็นผ่านตามาบ้าง







รถวิ่งตะบึงไปเรื่อย ๆ สภาพภูมิอากาศบริเวณนี้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เดี๋ยวแดดออก เดี๋ยวเมฆทึบ เดี๋ยวฟ้าปิด เดี๋ยวมีฝน ทุกอย่างสลับไปมาจนสับสน ในที่สุดรถก็มาจอดอยู่หน้าภูเขาไฟทรงเหลี่ยมเกือบสมมาตร ทรายสีดำปกคลุมไปทั่วบริเวณกว้าง โทนี่ปล่อยให้ทุกคนลงมายืดเส้นยืดสาย ตอนนี้เราทั้งหมดยืนอยู่ที่ฐานภูเขาไฟยาซูร์เป็นที่เรียบร้อย

“ภูเขาไฟยาซูร์สูง 1,184 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล จากจุดนี้ เราค่อย ๆ เดินไต่สันทรายขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงปากปล่องเลยก็ได้ แต่เวลาเรามีจำกัด ผมจะขับรถพาไปอีกด้านให้เข้าใกล้ปล่องมากที่สุด แล้วเราค่อยปีนจากจุดนั้นขึ้นไปนะครับ ใครพร้อมปีนภูเขาไฟแล้วบ้าง ส่งเสียงหน่อยเร้วววว…”

โทนี่ปลุกเร้าให้เราฮึกเหิม ขณะนั้นเสียงภูเขาไฟระเบิดดังกึกก้องเป็นดั่งคำเชิญชวน





The Greatest Show on Earth

ขณะนี้ใกล้ 5 โมงครึ่งเต็มทน พวกเราต้องรีบทำเวลาด้วยการจ้ำ ๆๆ จากที่จอดรถขึ้นไปสู่ปากปล่อง ระยะทางไม่น่าเกิน 500 เมตร แต่ว่าแฮกเหมือนกันเพราะชันใช้ได้ สิ่งที่น่าตื่นเต้นสุด ๆ คือควันที่พวยพุ่งอยู่ตรงหน้า เสียงระเบิดที่ดังสนั่นจนบางครั้งก็ทำให้แผ่นดินสะเทือน เสียงฟู่ ๆ ของลาวาและแก๊สที่พ่นแหวกอากาศขึ้นมาจากปล่อง

การปะทุของภูเขาไฟยาซูร์จัดเป็นการปะทุแบบสตรอมโบเลียน (Strombolian) อธิบายได้ว่าเป็นการปะทุที่มีต้นกำเนิดมาจากภูเขาไฟสตรอมโบลี (Stromboli) ในประเทศอิตาลี มีลักษณะเด่นคือการพ่นลาวาที่หลอมเหลวออกมาเป็นระยะ ๆ แบบน้ำพุ โดยอาจมีความสูงตั้งแต่ 10 – 100 เมตร

แต่บางครั้งอาจมีการปะทุแบบวัลคาเนียน (Vulcanian) ซึ่งเกิดจากแก๊สในลาวาดันตัวขึ้นผ่านก้อนหินที่ปิดทับอยู่ด้านบน ทำให้เกิดการปะทุที่รุนแรงกว่า และดันเศษหินต่าง ๆ ให้ลอยขึ้นไปในอากาศ



ประเภทการปะทุของภูเขาไฟ
ภาพ : www.britannica.com/science/volcano/Six-types-of-eruptions


“เรามีกฎสำคัญ คือทุกคนต้องหันหน้าไปทางปล่องภูเขาไฟเสมอ ไม่ว่าจะเกิดเหตุอะไรก็ตาม เราจะไม่หันหลังให้ปล่องภูเขาไฟเด็ดขาด เพราะเราต้องเห็นว่าลาวาหรือเศษหินที่ปะทุออกมาว่าปลิวไปยังทิศทางใด การวิ่งโดยไม่รู้ทิศทางของลาวาอันตรายมาก และระหว่างที่เราอยู่บนยาซูร์ ผมขอให้ทุกคนเกาะกลุ่มไปด้วยกันกับผม อย่าแตกแถวเด็ดขาด เราจะใช้เวลาบนนั้นไม่เกิน 1 ชั่วโมงนะครับ” โทนี่เอ่ยเสียงดังฟังชัด

เมื่อมาถึงบนสันเขาสูงสุด คนที่กลัวความสูงอาจต้องระวังให้ดีหน่อยนะครับ เพราะเป็นทางเดินแคบ ๆ ที่พาเราเดินวนไปรอบ ๆ ปล่องภูเขา ด้านหนึ่งเป็นผาทิ้งดิ่งลงไปค่อนข้างชัน ด้านล่างที่ลึกลงไปกว่า 400 เมตรนั้น คือปากปล่องที่ปล่อยควันลอยคละคลุ้งและลูกไฟลาวาที่พวยพุ่งขึ้นมาทุกครั้งที่เกิดการระเบิด ลาวามีปริมาณมากหรือน้อยขึ้นอยูกับแรงปะทุในแต่ละครั้ง แต่เสียงคำรามกึกก้องนั้นได้ยินอยู่ตลอด




เดินดี ๆ นะครับ ทางเดินรอบปากปล่องค่อนข้างชัน สังเกตเห็นคนตัวจิ๋วเดียว



บนปล่องภูเขาไฟยาซูร์
ภาพ : geologyscience.com/geology-branches/volcanology/mount-yasur-vanuatu


เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ลาวาที่พวยพุ่งขึ้นมาปล่อยแสงสีส้มจัดสะท้อนขึ้นท้องฟ้าและย้อมฟ้าให้เป็นสีส้มด้วยเช่นกัน วินาทีนั้นผมนึกถึงบทสนทนาที่ครั้งหนึ่งชาววานูอาตูเคยบอกผมว่า

“ภูเขาไฟยาซูร์คือการแสดงที่ยิ่งใหญ่ งดงาม และทรงพลังที่สุดบนพื้นโลกเท่าที่ธรรมชาติจะรังสรรค์ให้มนุษย์ตัวเล็ก ๆ อย่างเราได้ชื่นชมด้วยดวงตาของเราเอง ไม่มีการแสดงไหนจะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว”

เวลานี้การแสดงชุดนี้กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าผมแบบไม่หยุดหย่อน แม้ผมจะมีเวลาดื่มด่ำเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น แต่จะเป็น 1 ชั่วโมงที่ผมจะจำไปตลอดชีวิต




ลาวาพวยพุ่งขึ้นมา (ภาพก่อนพระอาทิตย์ตก)




ลาวาพวยพุ่งขึ้นมา (ภาพเมื่อพระอาทิตย์ตก)


“ขอบคุณธรรมชาติที่สร้างสรรค์การแสดงที่งดงามสุดพิเศษนี้ และขอบคุณโองการสวรรค์หรือโชควาสนาใด ๆ ก็ตามที่มอบที่นั่งสุดพิเศษข้าง ๆ กัปตันให้กับผม เพื่อให้ได้ชื่นชมยาซูร์แบบใกล้ชิดกว่าใครตั้งแต่บินมาถึง ก่อนปิดท้ายด้วยภาพที่ผมกำลังเห็นอยู่ขณะนี้” ผมเอ่ยขึ้นเบา ๆ ขณะเดินทางกลับโรงแรม พร้อมหันไปอำลาภูเขาไฟยาซูร์อีกครั้ง แสงสีส้มยังเต้นวิบวับบนท้องฟ้าที่มืดมิด ผมพิมพ์ภาพที่งดงามและยิ่งใหญ่ของประภาคารแห่งแปซิฟิกแห่งนี้อีกครั้ง




ภาพ : geologyscience.com/geology-branches/volcanology/mount-yasur-vanuatu


Write on The Cloud
Travelogue

ถ้าคุณมีประสบการณ์การเรียนรู้ใหม่ ๆ จากการไปใช้ชีวิตในทั่วทุกมุมโลก เชิญแบ่งปันเรื่องราวความรู้ของคุณพร้อมภาพถ่ายประกอบบทความ รูปถ่ายผู้เขียน ประวัติส่วนตัวผู้เขียน ที่อยู่ และเบอร์โทรติดต่อ มาที่อีเมล writethecloud@cloudandground.com ระบุหัวข้อว่า ‘ส่งต้นฉบับสำหรับคอลัมน์ Travelogue’ ถ้าผลงานของคุณได้ตีพิมพ์ลงในเว็บไซต์ เราจะส่งหมวกรุ่นพิเศษจาก Calm Outdoors แบรนด์แฟชั่นสายแคมป์แบรนด์แรกของไทยที่ทำเสื้อผ้าตอบโจทย์คนเมืองแต่ใจลอยไปอยู่ในป่า ซึ่งสกรีนลวดลายพิเศษที่ไม่มีจำหน่ายที่ไหนให้เป็นที่ระลึกด้วยนะ

.
Writer & Photographer
โลจน์ นันทิวัชรินทร์
หนุ่มเอเจนซี่โฆษณาผู้มีปรัชญาชีวิตว่า "ทำมาหาเที่ยว" เพราะเรื่องเที่ยวมาก่อนเรื่องกินเสมอ ชอบไปประเทศนอกแผนที่ที่ไม่ค่อยมีใครอยากไป เลยต้องเต็มใจเป็น solo backpacker Instagram : LODE_OAK
.


.
ที่มา : ทริปท่องวานูอาตู ชมโชว์จากธรรมชาติที่งดงามที่สุด ณ ยาซูร์ (Mount Yasur)
https://readthecloud.co/mount-yasur-tanna-island-vanuatu/

.




8
วิธีกดจุดแก้โรคแบบพื้นฐาน ทำเองได้ที่บ้าน แก้โรคอย่างง่ายไม่ต้องถึงมือหมอ


DIY Acupressure
วิธีกดจุดแก้โรคแบบพื้นฐาน ทำเองได้ที่บ้าน แก้โรคอย่างง่ายไม่ต้องถึงมือหมอ

เรื่องโดย นกอินทรีย์

.

Home /Living/มนุษย์อินทรีย์
25 ตุลาคม 2024


ทุกวันนี้ แต่ละครั้งที่ออกจากบ้านเราต้องเผชิญกับความเครียดจากหลายปัจจัย ไม่นับสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่แปรปรวนขึ้นทุกวัน ไม่น่าแปลกถ้าร่างกายเราจะเจ็บป่วยง่าย ต้องพึ่งยาพึ่งหมอกันบ่อย ๆ

แต่นอกจากกินยาและหาหมอ เรายังมีภูมิปัญญาที่ช่วยให้เราบรรเทาและแก้โรคเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง

คอลัมน์มนุษย์อินทรีย์ตอนนี้อยากชวนทุกคนมาฝึกฝนศาสตร์ที่เรียกว่าการ ‘กดจุดปรับสมดุล’ ด้วยท่าแบบง่าย ๆ ที่แนะนำโดยทีมหมอจาก ‘ณ สมดุลย์’ ศูนย์สร้างเสริมสุขภาวะและพัฒนาสมดุลชีวิตองค์รวม ลองอ่านและดูภาพ แล้วค่อย ๆ หัดเยียวยาตัวเองจากโลกรอบตัวที่เคร่งเครียดและสิ่งแวดล้อมที่แย่ลงทุกวันกัน


การกดจุดคืออะไร

อธิบายอย่างง่าย การกดจุดคือการใช้นิ้วมือหรือไม้นวดกดลงบนจุดสำคัญต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อคลายเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อที่แข็งเกร็ง ช่วยให้เลือดลมไฟไหลเวียนดี รวมถึงช่วยปรับธาตุต่าง ๆ ของเราให้กลับมาสมดุล (ตามหลักแพทย์แผนไทย ร่างกายของเราประกอบด้วยธาตุทั้ง 6 คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ ตัวอย่างเช่น ลมที่หมุนเวียนในร่างกายของเราก็คือส่วนหนึ่งของธาตุลม) หลายคนอาจไม่รู้ว่าโรคและอาการป่วยหลายอย่างที่เราเป็นกันก็มาจากเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ เลือดลม ความร้อน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธาตุต่าง ๆ ในร่างกายนี่เอง

โดยการกดจุดนี้จะแตกต่างกับการนวดผ่อนคลายที่เราคุ้นเคย เพราะการกดจุดปรับสมดุลจะเน้นใช้นิ้วมือกดลงบนจุดใดจุดหนึ่ง แล้วร้อยเรียงจุดต่อ ๆ ไปในแนวเส้นที่เหมาะสม เพื่อการปรับสมดุลอย่างเฉพาะบุคคลและเป็นองค์รวม ขณะที่การนวดผ่อนคลายจะใช้ทั้งมือ เท้า เข่า และศอก นวดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน


วิธีกดจุดอย่างง่าย

การกดจุดมีปรากฏอยู่ในหลายศาสตร์ เช่น แพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน แพทย์อายุรเวทอินเดีย และแพทย์แผนธิเบต ทั้งนี้ การกดจุดของทีมคุณหมอ ณ สมดุลย์ฯ จะบูรณาการจากหลักการของหลากหลายศาสตร์เข้าด้วยกัน (โดยมีรากฐานมาจากศาสตร์การแพทย์แผนไทยประยุกต์) โดยคุณหมอจะเน้นการปรับสมดุลธาตุเฉพาะบุคคลแบบองค์รวม ซึ่งไม่ได้กดจุดใดจุดเดียว แต่จะกดเป็นแนวเส้น ไล่ไปในแต่ละส่วนของร่างกาย ร้อยเรียงกันเป็นสูตรในการกดจุดปรับสมดุล ให้เหมาะสมกับแต่ละโรค และแต่ละคน

เทคนิค : การกดในแต่ละครั้งควรกดให้ลึก 1 – 2 ข้อนิ้ว (ยกเว้นการกดบริเวณศีรษะและจุดใกล้กระดูก) กดจุดละ 2 – 4 ครั้ง และกดค้างไว้อย่างน้อยครั้งละ 5 – 15 วินาที โดยเพิ่มเวลาค้างไว้ 30 – 45 วินาทีได้ ถ้าต้องการให้เลือดลมไฟกระจายได้ดีขึ้น (โดยเฉพาะจุดที่รู้สึกถึงชีพจรได้ชัดหรือจุดเปิดประตูลม)


แก้ท้องผูก ท้องอืด ปวดประจำเดือน ด้วยท่ากดจุดส่วนท้อง

1. นั่งห้อยเท้าจากเก้าอี้ นั่งบนโถชักโครก หรือนั่งขัดสมาธิ

2. เท้าสะเอวให้นิ้วชี้ทั้ง 2 ข้างชิดกับชายโครง แล้วเริ่มวัดระยะเพื่อเตรียมกดจุด โดยแนวเส้นที่กดเว้นห่างจากสะดือเป็นระยะ 2 ข้อนิ้ว

3. เริ่มกดจุดโดยใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อยของมือทั้ง 2 ข้าง กดแนวเส้นที่ด้านข้างสะดือ พร้อมกันทั้งซ้ายและขวา กดไล่จากด้านบนท้องลงมาด้านล่างจนสุดที่หัวหน่าว (ถ้าเพิ่งกินข้าวมาให้เว้นช่วงก่อนกดจุดอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง)

4. ถัดมาให้เท้าสะเอว วางนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง บริเวณกระดูกสะโพกด้านหน้า จากนั้นขยับมือให้เฉียงไปทางเป้ากางเกง แล้วกดไล่เลียงจุดแนวเฉียงไปจนสุดหัวหน่าว (แนวกดคล้ายขอบกางเกงใน) ถ้าอยากกดให้ลึกขึ้น ให้ก้มตัวเวลากดได้





5. สำหรับท่าต่อมา นำมือซ้ายทับบนมือขวา วางตำแหน่งเหนือสะดือ 2 ข้อนิ้ว แล้วกดนวดวนเป็นก้นหอย ไล่จุดไปรอบสะดือ กดวนประมาณ 2 – 4 ครั้งต่อจุด (ผู้หญิงให้กดวนไปทางซ้าย ผู้ชายให้กดวนไปทางขวา)





แก้ปวดหัวและช่วยผ่อนคลายสายตา ด้วยท่ากดจุดส่วนหัวและคอ

1. หาจุดกึ่งกลางศีรษะ โดยวางนิ้วโป้งทั้ง 2 ข้างบริเวณด้านบนสุดของใบหู แล้ววางนิ้วกลางซ้อนกัน และอีกแนวเส้นที่ตัดกันคือจุดที่ตัดกับเส้นกึ่งกลางศีรษะด้านหน้า โดยตรงกับแนวจมูกจะเจอจุดกึ่งกลางศีรษะพอดี จากนั้นให้คลึงจุดดังกล่าวเหมือนเรากำลังขันนอต แล้วกดค้างไว้ประมาณ 45 วินาที





2. ถัดมาให้หาจุดสำคัญของศีรษะทั้ง 4 ส่วน โดยหาจุดที่อยู่ห่างจากจุดกึ่งกลางศีรษะไป 2 ข้อนิ้ว ทั้งด้านซ้าย ด้านขวา ด้านหน้า และด้านหลัง (นึกภาพเครื่องหมายบวกที่มีจุดตัดคือจุดกึ่งกลางศีรษะ 4 จุดนี้คือจุดที่ปลายเครื่องหมายแต่ละด้าน) แล้วกดไล่ไปให้ครบทั้ง 4 จุด โดยผู้หญิงให้กดเวียนจากทางซ้าย ผู้ชายให้กดเวียนจากทางขวา





3. ท่าถัดมาให้วางมือ 2 ข้างศีรษะด้านหลัง โดยให้ปลายนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อย กดจุดด้วยท่าเหมือนเรากำลังแหวกเส้นผมออก เริ่มจากกึ่งกลางหัว ไล่ไปทางใบหูทั้ง 2 ข้าง แล้วกดวนมาจบที่บริเวณหัวคิ้ว





4. ท่าต่อมาคือการกดตามแนวของข้อ 3 แต่เปลี่ยนจากการใช้ 4 นิ้วเป็นการใช้ทั้ง 5 นิ้ว (เหมือนกำลังขยุมหัวตัวเอง)

5. ท่าถัดมาเหมาะสำหรับคนปวดไมเกรน โดยให้ใช้นิ้วชี้หรือนิ้วกลางของมือทั้ง 2 ข้าง กดลึกค้างไว้ที่หัวคิ้วทั้ง 2 ข้างประมาณ 45 วินาที แล้วกดไล่ลงไปทางใบหู





6. ต่อมาเป็นท่าสำหรับคลายกล้ามเนื้อส่วนคอและช่วยให้น้ำเหลืองไหลเวียนดี เริ่มจากประสานมือทั้ง 2 ข้างเข้าด้วยกันที่คอด้านหน้า ใช้นิ้วโป้งทั้ง 2 ข้างเข้าด้วยกันที่คอด้านหน้า จากนั้นใช้นิ้วโป้งแต่ละข้างกดรีดจากใต้คางไล่ไปจนถึงใบหูทั้ง 2 ข้าง


แก้ออฟฟิศซินโดรมและหายใจติดขัด ด้วยท่ากดจุดส่วนคอและบ่า

1. ไขว้แขนข้างตรงข้ามกับฝั่งที่จะนวด ใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อยวางทาบบ่า แล้วกดไล่จากแกนกลางลำตัวออกมาด้านนอก





2. ประสานมือตรงท้ายทอย ใช้นิ้วโป้งทั้ง 2 ข้าง กดไล่บริเวณกล้ามเนื้อจากฐานคอขึ้นไปจนถึงฐานกะโหลก





3. ปล่อยมือที่ประสานออก ใช้นิ้วโป้งกดไล่จากฐานกะโหลกไปถึงกกหู โดยกดไล่ทีละข้าง ใช้มือข้างที่ไม่ได้กดประคองศีรษะอีกด้านไว้





4. อีกท่าที่เหมาะสำหรับคนมีปัญหาทางเดินหายใจ ไขว้มือบริเวณไหปลาร้า แล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางกดรีดไขว้กันจากกึ่งกลางไหปลาร้าทั้ง 2 ข้างไล่ไปจนสุดหัวไหล่ (แนะนำให้ใช้ยาหม่องทาก่อนเริ่มกด)





แก้อาการปวดแขน ปวดข้อมือ และนิ้วล็อก ด้วยท่ากดจุดส่วนหัวไหล่ แขน และมือ

1. ท่าสำหรับแก้อาการไหล่ติด เริ่มจากปล่อยแขนให้อยู่ในท่าสบาย ๆ แล้วใช้นิ้วโป้งของมือข้างตรงข้ามกับฝั่งที่จะกดจุดกดที่กึ่งกลางรักแร้

2. สำหรับท่าต่อมา เริ่มจากใช้นิ้วโป้งของมือข้างตรงข้ามกับฝั่งที่จะกดจุด กดตรงกึ่งกลางระหว่างไหล่กับข้อพับ บริเวณกึ่งกลางของแขนด้านใน ถ้ากดถูกจะสัมผัสได้ถึงชีพจรเต้น หรือเรียกว่าจุดเปิดประตูลมแขน กดค้างไว้นานประมาณ 30 – 45 วินาที (กดนานขึ้นเพื่อให้เลือดลมไฟ กระจายได้ดีขึ้น) เมื่อปล่อยนิ้วมือที่กด อาจรู้สึกร้อนผ่าว เหมือนมีลมไฟวิ่งถึงปลายนิ้วมือ

3. ถัดมาวางมือลงบนโต๊ะ ใช้นิ้วโป้งของมือข้างตรงข้ามกับฝั่งที่จะกดจุด กดลงบนกึ่งกลางข้อมือด้านในแล้วค้างไว้ประมาณ 30 – 45 วินาที

4. ยังคงวางมือไว้ที่เดิม ใช้นิ้วโป้งของมือข้างตรงข้ามกับฝั่งที่จะกดจุด กดคลึงลงที่กึ่งกลางฝ่ามือเหมือนควงสว่าน แล้วค้างไว้อย่างน้อย 15 วินาที

5. จากนั้น ใช้นิ้วโป้งของมือข้างตรงข้ามกับฝั่งที่จะกดจุด กดรีดจากกลางฝ่ามือออกไปยังปลายนิ้วแต่ละนิ้ว

6. ใช้นิ้วโป้งกด 5 จุดของนิ้วที่มีอาการนิ้วล็อก เริ่มจากฝั่งซ้ายบน ซ้ายล่าง และขวาบน ขวาล่าง ของข้อนิ้ว ต่อด้วยจุดกึ่งกลางข้อของนิ้วด้านหน้า โดยกดค้างไว้จุดละ 15 วินาที





แก้อาการปวดขา ปวดน่อง และปวดฝ่าเท้า ด้วยท่ากดจุดส่วนขาและฝ่าเท้า

1. ใช้นิ้วโป้งเริ่มกดที่จุดชื่อว่านาคบาศ ซึ่งอยู่ใต้หัวเข่าด้านหน้า บริเวณข้างหน้าแข้ง ลงไปประมาณ 2 นิ้ว ไล่ลงไปอีก 2 – 3 จุด (ถ้ากดถูกจุด จะรู้สึกได้ว่ามีเลือดลมวิ่งลงไปทางหน้าแข้ง)





2. ใช้นิ้วโป้งมือข้างเดียวกับขาข้างที่จะกด กดไล่จากต้นขาด้านนอกลงไปถึงบริเวณหัวเข่า โดยกดไล่จากด้านบนลงด้านล่าง

3. จากนั้นชันขาขึ้น ใช้นิ้วโป้ง 2 ข้างประกบกัน แล้วกดจากกึ่งกลางใต้เข่า ไล่ลงไปกึ่งกลางน่อง จนถึงข้อเท้า





4. ต่อด้วยการเปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิ แล้วกางขาข้างที่จะกดจุดออกไปเล็กน้อย คลำหาขอบหน้าแข้งด้านใน แล้วใช้นิ้วโป้งกดไล่จากบนลงล่าง





5. ถัดมาเป็นการกดส่วนเท้า เริ่มจากกดจุดที่ด้านข้างของสันเท้า ไล่ไปยังนิ้วหัวแม่โป้ง

6. ต่อด้วยการใช้นิ้วโป้งกดนวดคลึงส้นเท้าวนแบบก้นหอย แล้วไล่ขึ้นไปจนถึงปลายนิ้วเท้าแต่ละนิ้ว (ถ้ากดแล้วเจ็บ ให้ทายาหม่องก่อนกด)





แก้ปวดหลัง ด้วยท่ากดจุดบริเวณหลังส่วนล่าง

1. เท้าสะเอวบริเวณใต้ชายโครง ใช้นิ้วโป้งทั้ง 2 ข้างกดแล้วลากขวางแนวกล้ามเนื้อ ไล่จากบนลงล่างจนถึงปุ่มกระดูกสะโพก





2. กำมือ แล้วใช้ส่วนบนของกำปั้นคลึงไล่จากด้านบนของก้นกบลงไป





ทั้งหมดนี้คือวิธีการกดจุดอย่างง่ายที่เราลองทำได้เอง ใครมีเวลานานก็อาจทำครบทุกท่า แต่ใครเวลาน้อยก็เลือกเฉพาะท่าที่เหมาะกับตัวเองได้ การกดจุดจะช่วยให้ร่างกายเรากลับมาสมดุล ไม่ต้องเอะอะกินยาหรือแบกอาการอย่างการปวดหัวปวดไหล่ไปหาหมอ แต่ทั้งนี้ ถ้าใครอาการหนักมาก ก็แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อรักษาเต็มรูปแบบนะ

.

คลินิกรักษาโรคด้วยการกดจุดที่เราแนะนำ
ณ สมดุลย์ ศูนย์สร้างเสริมสุขภาวะและพัฒนาสมดุลชีวิตองค์รวม
ที่อยู่ : 194/9 ซอย เพชรเกษม 16 แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ (แผนที่)
06 1965 5659
@nasomdul
ณ สมดุลย์ ศูนย์สร้างเสริมสุขภาวะและพัฒนาสมดุลชีวิตองค์รวม
ณ สมดุลย์ ศูนย์สร้างเสริมสุขภาวะและพัฒนาสมดุลชีวิตองค์รวม
Na Somdul Life Balancing and Holistic Well-being Center

อาจารย์หยาง (ติดต่อหรือติดตามกิจกรรมได้ที่เฟซบุ๊ก)
08 9998 5928
yangtaifu
Thasanai Phutthasarn

คลินิกการแพทย์แผนไทยหม่อมราชวงศ์สอาด ทินกร
27 ซอย ลาดพร้าว 74 แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ
02 933 9048
page.line.me/yahomthai
yahomthai.com

สัปปายะ คลินิกการแพทย์แผนไทย
ถ.พระราม 3 ตรงข้ามวัดดอกไม้ (แผนที่)
08 6111 5522 หรือ 02 358 0050
@cheewaherb
Nuttapon Wasigdilok (หมอนัท สัปปายะ)
NosickHandup ใครไม่ป่วยยกมือขึ้น

.

Writer
นกอินทรีย์
เรื่องกินเรื่องใหญ่ ถ้าเลือกได้ขอปลอดภัยไว้ก่อน อยากรู้จักกัน แค่แบ่งของกินให้ อะไรก็ยอมได้ทุกอย่าง


.
ที่มา : วิธีกดจุดแก้โรคแบบพื้นฐาน ทำเองได้ที่บ้าน แก้โรคอย่างง่ายไม่ต้องถึงมือหมอ
https://readthecloud.co/acupressure/

.



10

“เฮงซวย” (兴衰) แปลว่า อะไร?

Silpawattanatham - ศิลปวัฒนธรรม
 
8 พฤศจิกายน เวลา 14:00 น.
 ·

“เฮงซวย” (兴衰) มาจาก “เฮง” แปลว่า โชคดี “ซวย” แปลว่า เคราะห์ร้าย
เฮงซวยจึงแปลว่า ไม่แน่นอน เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ คุณภาพต่ำ ไม่ดี
เช่น “คนเฮงซวย ของเฮงซวย เรื่องเฮงซวย”

.

.

ผู้เขียน
Silpawattanatham - ศิลปวัฒนธรรม
อ่านบทความเต็มได้ที่นี่ : https://www.silpa-mag.com/culture/article_34647
เฮงซวย มาจากไหน? อิทธิพลจีนย้ายถิ่น สู่คำติดปากในไทย

SILPA-MAG.COM
เฮงซวย มาจากไหน? อิทธิพลจีนย้ายถิ่น สู่คำติดปากในไทย

.
ลายคราม ตามเพลง
ถ้าในภาษาไทย จะเรียกว่า..“ฟาดเคราะห์”
คือ แม้จะโชคไม่ดี แต่ก็ยังคงรอดพ้นมาได้
ไม่ถึงกับร้ายแรง จนถึงขั้นเสียชีวิต.

.
Pakkapoom Limmanasathaporn
ผมว่าอย่าเพิ่งด่วนสรุปเลยครับ อาจจะมาจากคำว่า"เฮ้ง 刑" ที่แปลว่า การลงโทษ ก็ได้ครับ

.
Phisid Teasidtiworaphong
เฮงไล้ซวยขื่อ ดีมาร้ายไป

.
Wiroj Charoen
แปล ว่า อนิจจัง ไม่เที่ยงแท้

.
Manatchai Prashyanusorn
Silpawattanatham - ศิลปวัฒนธรรม
เดี๋ยวนี้แอดมินเอาคำศัพท์ภาษาจีนมาลงด้วย ดีมากเลยครับ

.
สุดชีวี ดีเหลือ
คงคล้ายๆครึ่งบ้าครึ่งดี แต่เฮงซวยมันสั้นกว่า พูดง่ายกว่า

.
Heng Chill
เฮงซวยก็เปรียบเหมือนโครงการคนละครึ่ง ครึ่งหนึ่งเฮงครึ่งหนึ่งซวย โครงการ เฮง ซวย ต้องหามาจ่ายอีกครึ่งนึง

.

.
ที่มา : “เฮงซวย” (兴衰) แปลว่า อะไร?
https://www.facebook.com/SilpaWattanatham/posts/pfbid02y3mBUXT8BoAikpL4RegArYoU9RSRfDjnk8cv72yRQDgvYN8p2YaouPb8MPtDQRyPl
.


Pages: [1] 2 3 ... 10
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.068 seconds with 12 queries.