Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 22:10:30

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Recent Posts

Recent Posts

Pages: 1 ... 7 8 [9] 10
81

๒๒

คืนที่สองแห่งการเดินทาง สุนทรีตื่นขึ้นในยามดึก พอรู้สึกตัวก็นึกได้ว่าตนนอนอยู่ในที่แห่งใด และพร้อมกันนั้น หล่อนก็มองไปยังร่างของดรุณีที่นอนอยู่เบื้องซ้ายของหล่อน

คืนนี้เดือนหงายกระจ่าง เข้าลักษณะที่ว่าอ่านลายมือได้ สุนทรีมองเห็นวงหน้าที่แนบอยู่กับหมอนใกล้หมอนของหล่อนเองได้อย่างถนัด เป็นหน้าของผู้ที่นอนหลับอย่างสงบและสนิทจริงสมกับวัยของผู้นอน มือซ้ายสอดไว้ใต้หมอน มือขวากอดผ้าห่มที่ซุกอยู่ตรงอก ริมฝีปากหุบสนิทจนเป็นเส้นเดียวกัน ถึงแม้กระนั้นก็ดูเหมือนมีร่องรอยอาการยิ้มอย่างเด็กที่กำลังฝันดีแฝงอยู่ที่ใดที่หนึ่งในวงหน้านั้น

สุนทรียิ้มน้อยๆ เมื่อใจของหล่อนนึกเอ็นดูต่อผู้ที่กำลังหลับ ​แล้วค่อยๆ ยกมือขึ้นบรรจงลูบเส้นผมเจ้าหล่อนผู้นั้นแต่เบาๆ แล้วนึกสงสัยว่าเจ้าหล่อนจะหนาวหรือไม่ ค่อยๆ จับมือหล่อนให้คลายจากผ้าห่ม ก็มีความรู้สึกเหมือนจับเนื้อเด็กเจ้าเนื้อ--เมื่อคลี่ผ้าห่มออกคลุมตัวให้ตั้งแต่เท้าถึงเหนือเอว สุนทรีก็รู้สึกมีความพอใจ เสมือนได้ปรนนิบัติเด็กที่หล่อนเคยรักมาเป็นเวลานาน

ทันใดนั้นสุนทรีนึกประหลาดตัวเองว่า เหตุใดจึงมีใจชอบงามพิศถึงเพียงนี้

“ชอบหรือสงสารกันแน่?” หล่อนถามตัวเองแล้วหล่อนก็ตอบตัวเองว่า งามพิศมีข้อที่น่าเมตตาอยู่หลายประการ

สุนทรีเห็นว่า งามพิศไม่มีจริตที่หล่อนดัดให้เป็นขึ้น เพื่อประกอบความเป็นสาวดังหญิงสาวอื่นๆ

สุนทรีเห็นว่างามพิศเป็นผู้เอางานเอาการอย่างแท้จริง ผู้ใดเริ่มจับงาน งามพิศต้องเข้าช่วย ผู้ใดทิ้งงาน งามพิศต้องเข้าต่อ ดังเช่นการรับประทานอาหารในเรือนี้ ผู้ใดหิวก่อนผู้นั้นเป็นผู้เริ่มตระเตรียม งามพิศก็เตรียมด้วย ครั้นเมื่ออิ่มแล้ว หาผู้เก็บได้ยาก งามพิศก็เป็นผู้เก็บทุกมื้อ

แต่สุนทรีเห็นต่อไปอีกด้วยว่า งามพิศไม่มีท่าเป็นจังหวะอันทำให้ดูงาม เมื่อจับต้องสิ่งใด แม้เป็นของเบางามพิศก็จับดังของหนัก เช่นในเวลาจับมีดโต๊ะตัดอาหารในจานข้าว งามพิศทำกิริยาดังหนึ่งหล่อนหั่นหมูที่อยู่บนเขียง

“ถ้ามีเวลาได้อยู่ใกล้ๆ กันนานๆ จะค่อยๆ สอนให้จนกว่าจะดี”

​คิดแล้วสุนทรีพลิกตัวจากท่าเดิม หันหน้าเข้าทางประทุน ตั้งใจจะหลับ แต่แสงเดือนที่ส่องจับไม้อันประกอบกันเป็นประทุนเรือนั้น ดูแจ่มแจ๋ว เป็นสีนวลยั่วอารมณ์ให้ตื่นอย่างไรพิกล

หล่อนพลิกกลับมาทางเดิม ทอดตามาทางปลายเท้าเห็นตลิ่งสีมัวๆ อยู่รำไร เหนือตลิ่งขึ้นไปนั้นเป็นที่คนอยู่ มีกระท่อมและไร่ซึ่งชาวพื้นเมืองทำพอสักว่าทำ หรืออย่างดีที่สุด ก็ทำแต่พอกินตามนิสัยของไทยแท้ ที่นั่นสุนทรีมองเห็นมิได้ แต่หล่อนรู้ว่าคนเรือที่ร่วมทางมากับหล่อนได้ขึ้นไปอาศัยนอนอยู่สี่คน

ทางท้ายเรือ มีแพเล็กๆ จอดอยู่สองหลัง ครอบครัวที่แพนั้นเป็นจีนเขยสู่อยู่ปนกับชาวไทย อาชีพของเขาคือการล่องแพไม้ไผ่ไปขายทางปลายน้ำ ที่แพนี้นายสวงปลัดอำเภอกับนายร้อยตำรวจได้อาศัยนอน

ทางหัวเรือคือทิศเบื้องซ้ายสุนทรี เรือยนต์ที่พ่วงเรือมาดมาจอดอยู่ แสงจันทร์จับลำเรือเป็นสีนวลในท่ามกลางความสงัดและวิเวกเช่นนี้ ดูเป็นภาพที่น่าชม กลางลำเรือเห็นภาพดำเป็นรูปคนนอนสลัวๆ ผู้ที่นอนคือตัวผู้ใหญ่บ้านเจ้าของเรือและคนเรืออีกสามนาย

นึกเบื่อต่อภาพที่หล่อนดูอยู่บัดนั้น สุนทรีก็เปลี่ยนท่าอีก พังพาบ มองดูไปตรงหน้า ครั้นแล้วก็ลุกขึ้นนั่งโดยที่อารมณ์ของหล่อนยิ่งสว่างและเบิกบานขึ้นเป็นลำดับ ตรงข้ามกับที่เรือจอด ตลิ่งเป็นเนินลาดหรือหาดทรายจรดขอบน้ำ และค่อยๆ สูงขึ้นจนเป็นฝั่งห่างจากน้ำประมาณสักสองเส้น

​ดูไปบนฝั่งที่กล่าวนี้ ดูเหมือนแสงจันทร์จะแจ่มจ้าขึ้นกว่าเก่า ต้นไม้ใหญ่น้อยเป็นรูปร่างชัดเจน เห็นกระจ่างกระทั่งใบ เสียงการ้องขึ้นสองครั้ง ชะรอยจะหลงว่าแสงจันทร์เป็นแสงทอง

สุนทรีนึกถึงหลวงชาญยนตรกิจ ถ้าเขามาด้วยได้เห็นลักษณะภูมิประเทศในเวลานี้ เขาคงจะกล่าวบทกลอนอันเหมาะแก่กาละให้หล่อนฟัง

ลดสายตาจากที่สูงเลื่อนลงต่ำจนจรดปลายหาด ทันใดนั้นสุนทรีกะพริบตา พร้อมกับที่ความตื่นเต้นเกิดขึ้นเป็นอย่างมาก อะไรนั่น ดำ ยาว ขึงเหยียดอยู่ริมน้ำขนาดสักเด็กอายุ ๑๕-๑๖ ปี “อุ๊ย! จระเข้” สุนทรีบอกกับตัวเอง จระเข้ขึ้นมานอนเกยหาด ! ความปิติที่ได้เห็นสิ่งประหลาดทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นทันที ความอยากเห็นเจ้าสัตว์น้ำโดยถนัดทำให้รู้สึกว่าแสงจันทร์อ่อนไปมาก ไม่สว่างพอกับที่หล่อนต้องการ

สุนทรีบรรจงหยิบไฟฉายที่ใต้หมอน ด้วยความพยายามอย่างยิ่งในอันที่จะไม่ให้เกิดเสียงกุกกักแม้สักนิด หล่อนจำได้คนที่แพเขาบอกไว้เมื่อตอนเย็นว่า จระเข้เคยขึ้นมานอนเล่นที่หาด และตราบเท่าที่ไม่มีเสียงสิ่งใดรบกวน ก็จะนอนให้ดูอยู่นาน สุนทรีก็มีความประสงค์ที่จะดูจระเข้ให้นานเท่าที่สัตว์นั้นจะยอมให้หล่อนดู

เล็งปลายท่อนไฟฉายไปทางเงาดำ แล้วสุนทรีก็ผลักไกแสงไฟพุ่งตรงไปยังศีรษะจระเข้พอดี อุ๊ย ! ตาวาวอะไรเช่นนั้นนั่นน่ะ ดูไม่ผิดกับตาสุนัขหรือวิฬารเมื่อไฟฉายไปต้อง แต่ตาจระเข้งามกว่าเพราะเป็นสีแดง ใสแจ๋วแวววาว มิได้ผิดกับแสงทับทิม

​ท่อนหางของเจ้าแห่งสัตว์น้ำชี้ตรงไปทางฝั่ง หัวหันลงทางริมหาด สุนทรีนึกถึงคำที่ชาวบ้านแถบนี้ว่าไว้เมื่อจระเข้ขึ้นเกยหาด หันศีรษะไปทางบกย่อมหมายความว่าตัว ‘เขา’ เป็นนักเลงโตในย่าน กล่าวคือไม่มีจระเข้ใดใหญ่กว่า ‘เขา’ หาก ‘เขา’ หันหัวลงทางน้ำ ย่อมแสดงว่า ‘เขา’ เป็นแต่ผู้น้อย ในย่านใกล้ยังมีนักเลงดีไปกว่า เจ้าจระเข้ที่สุนทรีเห็นก็มีท่วงทีเหมาะสมกับคำกล่าวนั้นไม่น้อย อาการของมันคล้ายกับมันมีความระแวงภัย และดวงตาที่แดงโพลงอยู่ ก็คล้ายกับว่ามันคอยจับจ้องสังเกตความเคลื่อนไหว ที่จะเกิดขึ้นในที่ใกล้ด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด

แต่สุนทรีจะดูอยู่แต่ผู้เดียวมิได้ มาเที่ยวไทรโยคอันเป็นถิ่นที่ลือนามว่าชุกชุมไปด้วยสัตว์ป่า ใครๆ ก็ต้องอยากเห็นสัตว์สำคัญในย่านน้ำ มือไวเท่าความคิด สุนทรีเอื้อมมือไปจับแขนงามพิศเบาๆ และกระซิบปลุก

“ลุกขึ้นดูจระเข้เร้ว” หล่อนบอกเมื่องามพิศลืมตา แล้วกำชับ “ค่อยๆ นะ อย่าทำเสียง เดี๋ยวจะหนีไปเสีย ไม่ต้องลุกขึ้น พังพาบก็เห็น”

งามพิศขยับตัวโดยมิได้ทำเสียงให้เกิดขึ้นแม้แต่น้อย แล้วสุนทรีได้ยินเสียงเจ้าหล่อนอุทานเบาๆ แสดงความตื่นเต้นหลายครั้ง

“ค่อยๆ ย่องไปปลุกคนอื่นมาดูด้วยถี” สุนทรีกระซิบ “ไม่ยังงั้นเขาจะอิจฉาเรา เร็วเข้า แล้วเบาๆ ด้วย”

แต่เมื่องามพิศยืดแขนยันตัวเพื่อจะลุกขึ้น จระเข้ก็เริ่มไหวตัวด้วย และในวินาทีนั้นเองก็เกิดเสียงวัตถุหนักกระทบน้ำดังโครม ! ​ซ่า ! จระเข้ฟาดหางสองครั้งแล้วก็ลงน้ำหายไป

“แล้วกัน !” งามพิศอุทาน วางตัวลงบนเสื่อที่นอนดังเดิม “แหม ! ขยับตัวนิดเดียวแหละนะคะทำไมมันถึงรู้ตัวได้”

“ไม่ใช่ลาภตาของคนอื่น” สุนทรีตอบแกมหัวเราะ ดับไฟฉายสอดเข้าไว้ที่ข้างหมอนดังเก่า “ลาภของเราสองคนเท่านั้น”

“เผื่อคุณไม่ปลุกดิฉันก็อดดูกัน” งามพิศกล่าวด้วยความรู้สึกบุญคุณอย่างจริงใจ

“ฉันไม่ปลุกเธอฉันก็ไม่มีพยานน่ะซี เวลาได้เห็นของแปลกต้องรีบหาเพื่อนดู ไม่ยังงั้นเล่าให้ใครฟัง เขาจะหาว่าเรากุ”

สีหน้างามพิศแสดงการคัดค้านที่เกิดขึ้นในใจ... ใครนะจะบังอาจคิดว่าคุณสุนทรีคนงามนี้กล่าวเท็จ?

งามพิศเกยคางลงบนมือทั้งสอง ซึ่งประสานกันอยู่บนหมอน มองดูภูมิประเทศเบื้องหน้า ภายหลังหล่อนปรารภขึ้นเบาๆ

“แหม ! เดือนหงายจริ๊ง ไม่น่านอนเลย”

แต่สุนทรีกำลังไม่ต้องการเพื่อนสนทนาอย่างเอก จึงพูดว่า

“แต่เธอควรจะนอนเสียดีกว่า เพราะพรุ่งนี้จะออกเรือแต่เช้า ถ้านอนกลางคืนไม่อิ่ม เดี๋ยวไปง่วงนอนกลางวันเลยหมดสนุก เขาว่าทางที่จะไปพรุ่งนี้จะงามกว่าทางที่ผ่านมาวันนี้อีก”

เมื่อสุนทรีพูด งามพิศตะแคงหน้ามาฟัง เมื่อพูดจบแล้วเจ้าหล่อนก็ยกคางขึ้นจากแขน วางศีรษะลงบนหมอนแล้วหลับตา แล้วในเวลาไม่ถึงสองนาทีก็หลับสนิท

หญิงสาวผู้อาวุโสกว่ามองดูด้วยความขำแกมพิศวง เมื่อ​ได้ยินเสียงหายใจดังเป็นระยะสม่ำเสมอที่ดังอยู่ที่ข้างตัว ขำในข้อที่คำแนะนำของตนช่างศักดิ์สิทธิ์เสียนี่กระไร พิศวงในข้อที่บุคคลคนหนึ่งสามารถหลับได้เร็วถึงเพียงนี้ แล้วปรารภในใจ “นี่แหละเขาว่าเด็กหลับง่ายหลับดาย !”

หล่อนพยายามจะหลับบ้าง แต่สมองของหล่อนกลับไปนึกถึงจระเข้และประจิตรขึ้นพร้อมกัน ถ้าเขามาด้วยหล่อนคงจะปลุกเขาให้ตื่นขึ้นดูด้วย ถ้าเผอิญโชคเขาดีกว่าคนอื่นจระเข้ไม่ชิงหนีไปเสีย เขากับหล่อนบางทีก็จะมีข้อวิวาททุ่มเถียงกันตามเคย เพราะเขานั้นเป็นนักยิงสัตว์ เมื่อมีจระเข้เป็นเป้าในระยะใกล้ๆ เขาหรือจะปล่อยให้โอกาสผ่านไปเปล่า ส่วนสุนทรีก็จะต้องขัดขวาง เพราะหล่อนสังเกตน้ำเสียงชาวบ้านแถวนี้ดูเหมือนจะพากันถือว่าจระเข้เป็น ‘เกลอ’ กับเขามากกว่าศัตรู เขาเล่าว่าจระเข้เคยลักปลาที่เขาตากไว้ตามริมแพไปเป็นอาหารเสียบ่อยๆ แต่มันมีคุณสมบัติในข้อที่ไม่เคยประทุษร้ายชาวถิ่นเดียวกับมัน แต่ย่อมจะไม่ละเหยื่อที่มาจากถิ่นอื่น สุนทรีย่อมจะไม่ปล่อยให้ผู้ที่ใกล้ชิดหล่อนกระทำการข่มเหงน้ำใจชาวบ้านแถบนี้ ผู้ซึ่งได้แสดงความอารีต่อคณะท่องเที่ยวอย่างดีที่สุด

ยุงตัวหนึ่งบินมาทำเสียงวี้ๆ อยู่ที่ข้างหูสุนทรี แล้วในที่สุดก็ไปเกาะนิ่งอยู่ที่แก้มของผู้ที่กำลังหลับ สุนทรีมองเห็นก็รีบปัดให้ แล้วนึกถึงว่ายุงมาเพราะลมสงัดกระมัง ถ้ากระนั้นหล่อนควรจะจัดกางมุ้งดีหรือไม่ ทั้งลำเรือนี้ก็มีแต่หล่อนกับงามพิศสองคนเท่านั้นที่พร้อมใจกันไม่ใช้มุ้ง เพราะต้องการความโล่งโถงยิ่งกว่าสิ่งอื่น

หล่อนตกลงใจว่าจะรอดูไปอีกสักครู่หนึ่ง แล้วอารมณ์ของ​หล่อนก็พาหล่อนย้อนกลับไปตามทางที่ได้ผ่านมาตลอดวัน....สุนทรีติดใจมากในหาดทรายอันใหญ่ยาวที่เรือจอด เพื่อให้ผู้โดยสารได้อาบน้ำ หาดนั้นลาด ทรายละเอียด น้ำลึกพอควรแก่การว่ายน้ำ บางตอนที่ใกล้ตลิ่ง หาดเป็นแอ่งมีก้อนกรวดขนาดใหญ่อยู่บนทราย น้ำใสแจ๋ว เห็นปลาตัวน้อยๆ ว่ายวนอยู่ระหว่างก้อนกรวด แม่สาวๆ พากันช้อนมาชมเล่นได้หลายตัว

นึกถึงแม่สาวๆ แล้วก็นึกไปถึงชายหนุ่มสองนายที่ร่วมทางมาด้วย นายร้อยตำรวจดูเหมือนจะเป็นคนช่างอายผู้หญิง ดังจะเห็นได้จากการที่เขาไม่ยอมร่วมวงรับประทานอาหารกับหมู่สตรีแม้แต่มื้อหนึ่งมื้อใด และในเวลาที่อาบน้ำ เขาก็เลี่ยงไปอาบให้ไกลที่สุด มิหนำซ้ำยังพยายามที่จะใช้เรือเป็นที่กำบังตัว

แต่ส่วนนายสวง เห็นจะเป็นผู้ที่เข้าไหนเข้าได้อยู่เสมอ และเข้าได้มากที่สุดกับธิดาข้าหลวง เมื่อตอนเย็นระหว่างที่กำลังอาบน้ำ นางสะอาดได้ปรารภกับสุนทรีว่า

“ต่อหน้าพ่อเขาน่ะ ตุกติกกันอย่างนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เดี๋ยวเกิดรักกันอีตรงที่มาเที่ยวกับเราละก็แย่ทีเดียว พ่อเขาด่าเราด้วย”

“พ่อเขาคงไม่ว่า ไม่ยังงั้นเขาคงไม่เจาะจงเลือกนายสวงมาให้ไปกับเรา”

แต่เมื่อพูดเช่นนั้นแล้ว สุนทรีก็มิใช่ว่าจะนอนใจ หล่อนได้ตั้งคำถามอย่างฉลาดเพื่อหาความจริงจากงามพิศ จนในที่สุดก็ได้ความพอที่จะช่วยครูสะอาดให้คลายความกังวล

 

82
นวนิยายเรื่อง อุบัติเหตุ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนหนึ่ง บทที่ 21-25 (จบตอนหนึ่ง)


๒๑

ยืนอยู่บนฝั่งซึ่งสูงพ้นน้ำประมาณ ๔๐ เมตร สุนทรีมองดูความชุลมุนในเรือสองลำที่จอดอยู่หน้าท่าด้วยความสนใจอย่างยิ่ง

เรือสองลำนั้น ลำหนึ่งเป็นเรือยนต์ อีกลำหนึ่งเป็นเรือมาดขนาดใหญ่ ท้องแบน ทั้งสองลำกินน้ำไม่เกิน ๓๐ เซ็นต์

หลวงเอนกประชากร ชี้แจงแก่ผู้ที่จะโดยสารเรือไปว่า เรือยนต์จะเป็นเรือพ่วงเรือมาด พร้อมกันนั้นจะได้บรรจุคน เรือที่จะต้องทำหน้าที่เข็น ถ่อ ฉุดเรือเมื่อถึงที่จำเป็นด้วย

ความชุลมุนที่ในเรือเกิดจากการขน และการจัดสิ่งของต่างๆ ของผู้โดยสารลงในท้องเรือให้เรียบร้อย เพื่อจะได้มีที่สำหรับผู้โดยสารได้นั่งนอนได้สบาย

คณะเที่ยวไทรโยค มาถึงจังหวัดนี้เมื่อสายจัดใกล้จะเที่ยง ​มีเวลาพอดีสำหรับพักร้อน รับประทานอาหารที่จวนข้าหลวงแล้ว และพักอิ่มก่อนที่จะมายังท่าเรือ

เขาเหล่านี้รู้สึกความผิดหวังค่อนข้างแรงมาก เมื่อได้ทราบว่าข้าหลวงติดความยุ่งยากเกี่ยวแก่การเทศบาลจังหวัด จะเดินทางไปด้วยไม่ได้ แต่เมื่อข้าหลวงได้รับรองความปลอดภัยของเขาพร้อมกับชี้แจงว่า ได้จัดให้มีผู้แทนตัวถึงสองนาย คือนายร้อยตำรวจกับปลัดอำเภอ กับทั้งได้เรียกเจ้าของเรือผู้เป็นทั้งผู้ใหญ่บ้าน และผู้ชำนาญในการเดินทางแถบนี้มาให้พบ เขาได้เห็นลักษณะเจ้าของเรือมีท่วงทีบึกบึน แต่สีหน้าแสดงความสุจริต เขาจึงค่อยโล่งใจขึ้น

อนึ่ง นางสะอาดผู้เป็นหัวหน้าในการเที่ยวครั้งนี้ เป็นผู้ที่มีความคุ้นเคยกับหลวงเอนกฯ เป็นอย่างดีอยู่แล้ว โดยที่หลวงเอนกฯ และสามีของนางสะอาด เป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทย ด้วยกัน นางสะอาดเล็งเห็นว่าการที่ธิดาของหลวงเอนกฯ ยังคงเป็นคนหนึ่งในจำนวนผู้ที่จะเดินทางไปด้วย ย่อมจะเป็นประจักษ์พยานแสดงให้เห็นชัดว่า หลวงเอนกฯ มีความแน่ใจในความปลอดภัยแห่งการเดินทางคราวนี้ดีอยู่

เฉพาะตัวสุนทรี หล่อนได้รับความผิดหวังมาแล้วครั้งหนึ่ง ประจิตรได้รับปากต่อหล่อน - โดยไม่กระตือรือร้น แต่โดยทันทีที่หล่อนออกปากชวน - ว่าเขาจะไปไทรโยคกับหล่อนด้วย แต่ครั้นใกล้วันที่จะออกเดินทาง เขาก็ปรารภถึงการแข่งขันกอล์ฟที่สนามหัวหิน มีน้ำเสียงแสดงว่าเขาใคร่ที่จะได้ใช้ความสามารถของเขา ในทางการกีฬาที่เขาจะใช้กำลังแขนกำลังขาของเขาได้มากกว่าที่จะนั่ง​งอมืองอเท้าไปในเรือเพื่อผจญกับความกันดาร ฝ่ายสุนทรีก็เป็นผู้ที่ไม่ชอบฝืนให้ผู้ใดทำสิ่งใดเพื่อตัว จึงกล่าวอย่างง่ายๆ ว่า “ยังงั้นก็อย่าไปไทรโยค” ประจิตรก็รับเอาคำของหล่อนด้วยน้ำเสียงแสดงความอิดออดแต่เพียงเล็กน้อย

แต่ภายหลังเขาบอกแก่หล่อนว่า เขาจะขึ้นรถไฟไปส่งหล่อนจนถึงต้นทางที่หล่อนจะลงเรือ เพื่อดูลาดเลาว่าเขาควรจะปล่อยให้หล่อนเดินทางไปโดยไม่มีเขาหรือไม่ หากเห็นว่าไม่ควร เขาก็จะลงเรือไปกับหล่อน แต่สุนทรีได้ตัดบทเสียว่า “ไม่จำเป็น” อธิบายว่าหล่อนไว้ใจผู้ที่เขาจัดการให้หล่อนไป ประจิตรก็รับเอาคำของหล่อนอีก โดยโต้แย้งแต่เพียงเล็กน้อย เช่นเดียวกับคราวก่อน

ก่อนที่สุนทรีจะขึ้นรถไฟเล็กน้อย ท่านบิดาได้ถามหล่อนเรียบๆ แต่ด้วยสีหน้าแสดงความประหลาดใจมากว่า “ไปกันเท่านี้แหละหรือ?” สุนทรีได้รีบตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงแสดงความั่นใจว่า “ผู้ชายคอยอยู่ทางโน้นเยอะค่ะ” พระวนศาสตร์ฯ ก็นิ่งไป แต่ท่านหันไปมองดูนายจี๊ด - ผู้ชายคนเดียวที่อยู่ในกระบวน - อย่างตรึกตรอง - ราวกับท่านจะหยั่งดูจิตใจของชายคนใช้ผู้นั้น ว่าจะช่วยเหลือนายสาวของเขาได้อย่างไรบ้างในเมื่อถึงคราวคับขัน

บัดนี้การตระเตรียมต่างๆ ได้ถึงที่สุดแล้ว เรือยนต์ก็ติดเครื่องเสร็จ ทอดเชือกจากท้ายเรือมาที่หัวเรือมาดและเตรียมค้ำเรือออกจากฝั่ง หลวงเอนกฯ นำสตรีลงมาตามตลิ่งอันสูง และคอยส่งให้ลงเรือจนครบทุกคนเสียงสั่งการค้ำเรือดังโหวกเหวกมาจากหมู่ผู้ชายที่อยู่ในเรือยนต์ เสียงวุ้ยว้ายด้วยความตื่นเต้นดังอยู่ในเรือมาด บุตรี​ข้าหลวงยืนเกาะเอวบิดาอยู่ไม่ห่าง หัวเราะมาก หวีดหวาดมาก ตื่นเต้นมากพูดมาก และเป็นผู้ที่ทุกๆ คนเอาใจใส่ห่วงใยมาก หล่อนเป็นคนสุดท้ายที่ลงเรือ

เรือยนต์เหหัวออกจากท่า มิช้าเรือมาดก็ถูกกระชากเบาๆ แล้วก็เหหัวออกตาม ข้าหลวงยืนโบกหมวกอยู่ริมฝั่ง ส่งศรีเต้นพลางโบกผ้าเช็ดหน้าพลางอยู่ที่ท้ายเรือ หญิงอื่นๆ ช่วยโบกแต่พอเป็นพิธี

นางสะอาดเป็นผู้ที่ค่อนข้างชินต่อการเดินทางทางเรือ และเคยเที่ยวในลำน้ำแถบนี้บ้างแล้ว และเจ้าหล่อนเป็นผู้ที่ได้ทำงานครูมาถึง ๑๒ ปี ย่อมเคยกับการต้องทำทุกๆ สิ่งให้เป็นระเบียบ ไม่ว่าในที่แห่งใด ฉะนั้นพอเรือยนต์ตั้งลำได้เรียบร้อยแทนที่จะตื่นเต้นต่อทางเดินแห่งเรือและภูมิประเทศดังคนอื่นๆ เจ้าหล่อนก็เริ่มคิดถึงสิ่งของและที่นั่งที่นอนในลำเรือ แล้วและไม่แต่เพียงคิดเท่านั้น ได้พาตัวมานั่งในประทุนกลางลำ เริ่มโยกย้ายสิ่งของที่ชาวเรือเขาจัดไว้ เพื่อจะจัดใหม่เป็นที่ถูกใจตน มิหนำซ้ำหมั่นตะโกนถามคนอื่นในปัญหาที่ว่า ใครจะนอนที่ใด และสิ่งของชิ้นนั้นชิ้นนี้เป็นของใครด้วย

สายใจกับฤดีได้เคยเป็นศิษย์ครูสะอาดในวิชาคำนวณ อยู่ตลอดเวลาสองปีที่หล่อนเรียนอยู่ในชั้นมัธยมปีที่ ๖ และมัธยมปีที่ ๗ แล้วยังได้ครูสะอาดเป็นครูประจำชั้นในปีที่แล้วมาอีกเล่า ย่อมจะเคยต่อการที่ต้องเคารพและต้องเกรงกลัวครูสะอาดเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นครูสะอาดออกกำลังยกนั่นขนนี่ก็เกิดความเกรงใจทำให้นั่งไม่เป็นสุข จึงต้องลุกจากที่มาช่วยครูด้วยกิริยาของเด็กที่ห่วงเล่นก็​ห่วง ส่วนงานก็จำใจต้องทำ

นางสาวบุญช่วยกับนางสาวฉลวย เป็นเพื่อนครูทำการสอนอยู่โรงเรียนเดียวกับครูสะอาด แต่เป็นครูที่มีนิสัยชอบมีครูเหนือตน คือชอบเป็นผู้ตามมากกว่าเป็นผู้นำ ก็เข้าช่วยครูสะอาดด้วยทั้งสองคน

สุนทรีนั่งพับเพียบอมยิ้มอยู่ที่หัวเรือ หันมาทางกลางลำเรือบ้าง ดูภูมิประเทศรอบข้างบ้าง ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนต่องานที่เพื่อนเร่งรีบโดยไม่จำเป็น ครั้นเมื่อความตื่นเต้นอันย่อมเกิดแก่ผู้เริ่มออกเดินทางได้คลายลงแล้ว สุนทรีก็เริ่มนึกถึงเพื่อนร่วมเรืออีกสองคน ซึ่งหล่อนพึ่งจะได้พบในวันนี้เป็นครั้งแรก

คนหนึ่งคือส่งศรี สุนทรีรู้เรื่องราวของส่งศรีอยู่แล้วตั้งแต่แรกเริ่มกะการเดินทาง และยังรู้ต่อไปอีกในชั่วเวลาที่หล่อนจับตาดูส่งศรีเพียงสองชั่วโมง ว่าส่งศรีเป็นลูกกำพร้าที่บิดารักอย่างตรงกับคำ ว่า ‘ทูลหัวทูลเกล้า’ แต่ไม่เลยไปถึงกับรักอย่างหลับตาเสียทีเดียว โดยเหตุนั้นการที่ส่งศรีเป็น ‘หนู’ หรือเสียงดังมาก หรือหัวเราะเกินกว่าเหตุ จึงไม่เป็นข้อประหลาดสำหรับสุนทรี....ซึ่งสุนทรีคิดถึงส่งศรีในขณะนี้ หล่อนคิดแต่เพียงว่าส่งศรีจะรู้จักอดทนต่อความลำบากซึ่งคอยอยู่เบื้องหน้าได้มากหรือน้อยเพียงใด

แต่คนที่สอง หญิงสาวรุ่นเดียวกับส่งศรี รูปร่างก็ขนาดเดียวกัน แต่ผิวขาวกว่าส่งศรีมาก ถึงแม้จะมีลักษณะแสดงว่าคร้ามแดดคร้ามฝนก็ตาม หญิงคนนี้ผู้ซึ่งสวมแว่นตานั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ริมประทุน ท่าทางเจียมตัว คล้ายกับว่าตนเป็นผู้ที่ไม่มีราคาเลย ​แม้แต่น้อยภายในเรือลำนี้ สุนทรียังไม่ทราบว่าหล่อนเป็นใคร

สุนทรีไม่ได้เห็นหล่อนที่จวนข้าหลวง ไม่ได้เห็นว่าหล่อนโผล่มาจากที่ใด พอเห็นครั้งแรกก็เห็นเจ้าหล่อนกำลังเดินก้มหลีกข้าหลวงมาลงเรือ แม้แต่มือของข้าหลวงที่ยื่นคอยพยุงสุภาพสตรี เจ้าหล่อนก็ดูเหมือนจะไม่เห็น แต่สุนทรีจำได้ว่าข้าหลวงตะโกนส่งหลังเจ้าหล่อนมาเป็นเชิงล้อ

“ระวังแว่นตาจะหลุดลงน้ำนะ”

มองดูเสื้อผ้าที่เจ้าหล่อนใส่อยู่ ผ้าถุงดำ เสื้อขาวคอปก หน้าอกและแขนก็ดูรัดรูปสมกับสมัย แต่เอวเสื้อนั้นดูหิ้วและอยู่ผิดที่มาก จะว่าหลวมก็ไม่ใช่ จวนจะคับก็ไม่เชิง สุนทรีดูด้วยตาของผู้ชำนาญอยู่ครู่หนึ่งก็จับความจริงได้ว่า เสื้อนั้นน่าจะตัดเมื่อขนาดตัวผู้ใส่ยังไม่เจริญขึ้นถึงเท่านี้

เสียงครูสะอาดตะโกนถามอยู่ข้างในประทุน

“จำนงพิทักษ์ราษฎร์ ! ใครเป็นขุนหลวงหรือนางจำนงพิทักษ์ราษฎร์ ที่นี่?”

ผู้ที่อยู่ทางหัวเรือหันไปทางที่เสียงมา พร้อมกับส่งศรีหัวเราะดัง และชี้มือไปทางหญิงสวมแว่นตาพร้อมกับพูดว่า

“นี่ค่ะ นี่ค่ะ คนนี้?”

จำนงพิทักษ์ราษฎร์ นามนี้สะกิดใจสุนทรีทันที ผู้ที่ส่งศรีชี้ได้เข้าไปคุกเข่าอยู่เบื้องหลังครูสะอาดแล้ว และนางสะอาดพูดพร้อมกับหัวเราะว่า

“เปล่าจ้ะ ไม่ว่ากระไรหรอก ถามสำหรับจะได้บอกให้เธอรู้ ​ว่าฉันเอากระเป๋าของเธอไว้ที่ไหนเท่านั้นแหละ เวลาเธอจะเอาของจะได้ไม่ต้องหา”

สุนทรีถามส่งศรีด้วยเสียงค่อนข้างเบา

“เจ้าของกระเป๋าน่ะแกชื่ออะไร?”

“ชื่องามพิศค่ะ เพื่อนหนู เป็นหลานคุณนายนายอำเภอที่นี่”

อาการเย็นวาบเกิดขึ้นในอกสุนทรี ความสมเพชเวทนาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พองามพิศโผล่ออกมานอกประทุน หล่อนก็พูดด้วยเสียงมีกังวานไม่เป็นปกติว่า

“มานั่งที่นี่แน่ะ” พร้อมกันนั้นสุนทรีตบพื้นกระดานที่ข้างตัว

แต่เมื่องามพิศได้นั่งลงแล้ว ห่างจากที่ๆ สุนทรีชี้ให้เพียงเล็กน้อย สุนทรีเห็นดวงตาอันดำและโตฉายแสงแห่งความสนเท่อยู่ในกระจกแว่น ความอึกอักอ้ำอึ้งเกิดขึ้นแก่สุนทรี มิรู้ที่จะต่อการปราศรัยอันค่อนข้างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นของตนโดยสถานใดดี ในที่สุดสุนทรีจึงพูดว่า

“เธอเป็นน้องนายประพันธ์ไม่ใช่หรือ? ฉันรู้จักกับพี่ชายของเธอ”

“ใช่ค่ะ” แล้วดวงตาอันใหญ่และวาวก็ตั้งคำถามเอาแก่สุนทรีอีก

“ประพันธ์กับฉันเคยพบกับหลายหน” สุนทรีชี้แจงต่อไป แล้วรู้ได้จากสายตาที่ยังคงจ้องดูหล่อนว่าผู้ฟังยังไม่หยุดตั้งคำถาม จึงเสริมความให้กะทัดรัดขึ้น “คนๆ หนึ่ง....เพื่อน....ผู้ชายเขาเป็นคน​ชักนำให้รู้จัก”

เห็นว่าผู้ฟังดูเหมือนจะพอใจแล้ว สุนทรีก็นึกอยากจะเป็นฝ่ายถามบ้าง แต่ก็ยังไม่อาจจะตัดสินใจลงไปทีเดียว จึงยังคงนิ่งอยู่

ครูสะอาดโผล่ออกมาจากประทุนเรือ ขาข้างหนึ่งพับขึ้นบนพื้นเรือ อีกข้างหนึ่งห้อยอยู่ที่ท้องเรือ ถามอย่างไม่มีพิธีรีตอง

“เป็นนักเรียนโรงเรียนไหน แม่คนนี้น่ะ?”

งามพิศบอกชื่อโรงเรียน พร้อมกับขยับตัวเพื่อละที่ให้แก่ผู้ถาม

“อ๋อ ! โรงเรียนเดียวกับส่งศรี รู้จักสงวนไหม สงวน วรประพาฬ?”

“รู้จักค่ะ”

“ปีนี้เขาจบ ๘ แล้ว จะเข้ามหาวิทยาลัยปีหน้า เราน่ะจบหรือเปล่า?”

“จบค่ะ”

สุนทรีคิดว่างามพิศคงรู้สึกเสียวปลาบในใจ พร้อมกับที่ตอบคำถามนั้น แล้วสุนทรีก็ช่วยเสียวด้วย ให้นึกใคร่ที่จะลูบหลังงามพิศ หรือมิฉะนั้นก็บีบมือเบาๆ เพื่อประเล้าประโลม

ส่งศรีพูดขึ้นว่า

“งามพิศก็เคยเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนหนูเหมือนกันแล้วก็ออกปีเดียวกัน แต่งามพิศออกเพราะพ่อเขาตายไม่มีใครออกค่าเรียนให้ หนูออกเพราะคุณพ่อไม่มีแม่บ้าน”

​เนื่องจากที่ผู้ฟังเคยรู้เรื่องของส่งศรีอยู่แล้ว ทุกคนจึงไม่เอาใจใส่ต่อคำพูดประโยคหลังของหล่อนนัก สายตาหลายคู่พุ่งตรงไปที่งามพิศ และสุนทรีสังเกตเห็นว่าลำคองามพิศนั้นเต้นแรง และริมฝีปากของเจ้าหล่อนก็สั่น

“คุณพ่อเป็นอะไรตาย?” ครูสะอาดถาม สีหน้าซึ่งสำแดงความเป็นผู้มีใจดีเป็นนิสัยอยู่แล้วนั้น ยิ่งสำแดงความปรานีเด่นชัดขึ้นอีก แต่สุนทรียกมือบีบขาสหายไว้และพูดว่า

“อย่าไปซักแกเลย สงสาร เดี๋ยวแกจะเศร้าใจเลยหมดสนุก ฉันรู้เรื่องของแกดี แล้วจะเล่าให้ฟัง” แล้วสุนทรีก็พยักหน้าอย่างมีความหมาย

นางสะอาดพิศดูงามพิศอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับถอนใจเบาๆ แล้วก็นิ่งอยู่ มิช้าก็มีผู้อื่นเริ่มคุยถึงสิ่งอื่นต่อไปใหม่ แล้วแม่สาวน้อยๆ ที่มิใช่ตัวเจ้าทุกข์ และมีสิ่งสำคัญคือวัยของหล่อนเอง เป็นเครื่องขับไล่ความเศร้าให้ปลาศนาการไปโดยง่าย ก็พากันลืมเรื่องงามพิศเสียสิ้น คงเหลือแต่ผู้ใหญ่ต้องทนความอยากรู้ต่อไปตามลำพัง

บัดนี้เรือแล่นไปตามลำแด่วน้อย ผ่านตลิ่งทราย ตลิ่งแดง ตลิ่งหิน สลับกันไป แลดูไม่เบื่อตา บางแห่งหาดใหญ่ขึ้นขวางอยู่ กลางลำแคว ปลายหาดมีสีดังทองแดง กลางหาดหนาแน่นด้วยต้นตะไคร่น้ำ มองดูแต่ไกลคิดว่าเกาะ น้ำใสจนมองเห็นกรวดทรายได้ถนัด กระแสเชี่ยว บางแห่งลึก บางแห่งตื้น และเมื่อถึงที่ตื้นลำเรือก็กระเทือนและสั่นเบาๆ พอทำให้ผู้โดยสารตกใจได้บ้างแล้ว​ก็พากันสรวลเสเฮฮาในความตื่นเต้นของตน

อีกเวลาหนึ่ง ตลิ่งเป็นศิลาสูง กลม ชะโงกง้ำออกมาเหนือน้ำ ต้นไม้ต่างชนิดขึ้นคลุมอยู่ระเกะระกะเหมือนเขาเล็กกระเด็นใสจากเขาใหญ่มาตกอยู่ริมธาร ครั้นมองไกลออกไป ก็เห็นเขาใหญ่ตั้งเป็นพืดสูงตระหง่าน ดูดังแม่เขาเขม้นมองดูลูกที่มาหลงเล่นอยู่ริมแคว

อีกเวลาหนึ่ง แควน้ำคดเคี้ยว เขาที่เห็นอยู่เบื้องขวาก็ย้ายมาอยู่เบื้องหลัง บางคราวดูเหมือนเขาขวางหน้า ครั้นเรือแล่นเข้าหา เขาก็แหวกช่องให้

อาศัยเหตุที่ภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงสลับซับซ้อนกันเป็นที่น่าดูเช่นนี้ ผู้โดยสารก็พากันเพลิดเพลินจนไม่รู้ว่าเวลาล่วงไปเท่าใด เมื่อสุนทรีเผอิญมองดูนาฬิกาข้อมือโดยมิได้ตั้งใจ หล่อนจึงอุทานด้วยความพิศวง ทั้งนี้เพราะเข็มนาฬิกาบอกเวลา ๑๗ นาฬิกำกับ ๔ นาที

ทันใดนั้นหล่อนรู้สึกทั้งหิวทั้งกระหาย ด้วยนึกขึ้นได้ว่า ถึงเวลาที่เคยรับประทานน้ำชา จึงลุกจากที่นั่งไปที่ท้ายเรือ

หล่อนกำลังพิจารณาถึงการที่จะหุงต้ม จะสะดวกดีหรือลำบากอย่างใดบ้าง นางสะอาดก็ตามมาด้วยอีกผู้หนึ่งและปรารภว่า

“นี่เราจะเตรียมการกินเดี๋ยวนี้ หรือจะรอให้เรือจอดเสียก่อน”

“อย่ารอดีกว่า” สุนทรีตอบ “ฉันได้ยินเจ้าของเรือแกบอกกับข้าหลวงว่า กว่าจะได้จอดก็ค่ำ เพราะต้องไปให้ถึงที่ที่เขากะไว้ สำหรับจะให้เหมาะกับโปรแกรมวันต่อๆ ไป”

​ผู้ถือท้ายเรือเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแปร่งอย่างชาวชนบท

“กว่าจะถึงบ้านตะเข้เผือกก็มืดมากเทียวครับ”

“แล้วคนเรือมิหิวข้าวแย่หรือ?” สุนทรีว่า

“หิวก็กิน” อีกฝ่ายหนึ่งตอบอย่างง่ายๆ พร้อมกับหัวเราะ

“ยังงั้นก็ดี” สุนทรีหันไปทางสหาย “ฉันก็หิวแล้ว หิวน้ำชา มีเวลาพอให้เขาติดไฟตั้งน้ำชาไหม แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร อดน้ำชาไม่ถึงกับตายหรอก”

“ก็ทำได้จะไปอดมันทำไม” นางสะอาดตอบแล้วหันไปทางคนใช้ที่ถูกเลือกมา “จี๊ดจัดแจงติดไฟซี”

“นายจี๊ดชงน้ำชาให้ฉันนะ” สุนทรีสั่งต่อ แล้วออกตัว “กินวันนี้แล้วต่อไปไม่กินทุกวันหรอก วันไหนเหมาะถึงจะกิน”

แล้วเจ้าหล่อนกับครูสะอาด ปรึกษากันต่อไปถึงเรื่องอาหารและการรับประทาน และเมื่อจบเรื่องแล้วครูสะอาดก็ถือโอกาส ‘จับตัว’ สุนทรีไว้ในประทุนเรือเพื่อถามถึงเรื่องราวของงามพิศ

ราวอีก ๑๕ นาทีต่อมา นายจี๊ดก็นำน้ำชาใส่ถ้วยเบเคอไลต์บ้าง ถ้วยแก้วบ้างเป็นจำนวน ๘ ถ้วย มาตั้งที่หัวเรือพร้อมด้วยผลไม้ ผู้ที่ไม่เคยต่ออาหารมื้อนี้ หรือผู้ที่เกรงใจเจ้าของอาหาร พากันปฏิเสธบ้าง แต่ครั้นเมื่อเจ้าของคะยั้นคะยออย่างจริงใจก็พากันรับด้วยความยินดี

สุนทรีนั่งพิงประทุนเรือ ขาขวาพับอยู่ ขาซ้ายยันกราบเรือ จิบน้ำชาด้วยท่าทีของผู้ที่เสพอาหารอันเป็นที่พึงพอใจอย่างยิ่ง และระหว่างนั้น หล่อนมีน้ำใส มีโขดเขาลำเนาไม้เป็นที่ดู และมีแสง​แดดอ่อนๆ ลมพัดเฉื่อยๆ เป็นเครื่องสบาย และเรือลำที่หล่อนนั่งนั้นแล่นไปโดยเรียบ ไม่มีเสียง ไม่มีกระเทือน ความสำราญกาย สบายใจก็เกิดขึ้นแก่หล่อนโดยเต็มเปี่ยม

 

83

๒๐

​“ไทรโยค ไทรโยค !” หลวงชาญยนตรกิจทวนคำสองครั้ง แล้วลดเสียงเบาลง “แหม ! ผมอิจฉาจริง”

“ก็ดิฉันชวนอยู่เดี๋ยวนี้ไงล่ะคะ” สุนทรีตอบ “คุณหลวงก็มีวันหยุดเหมือนกันนี่”

นายแพทย์สุทัศน์มองดูหลวงชาญฯ พลางนึกในใจว่า พูดนั้นง่าย แต่จะให้เป็นดังพูดนั้นยาก หลวงชาญฯ ตอบเรียบๆ

“ปีนี้ท่าผมจะไม่ได้ลา งานท่วมหัว นายกันท่าไว้ตั้งแต่ต้นปีว่า ปีนี้ให้ทนเอาหน่อย”

“๑๐ วันเท่านั้นแหละค่ะ อย่างช้าที่สุด ๑๕ วัน”

“ไทรโยค ! มีท่อธารน้ำพุดุดั่น ตลอดลั่นไหลลงแต่ยอดผา เป็นโปล่งปล่องช่องชั้นบรรพตา เซ็นซ่าดังสายสุหร่ายริน”

“แหม ! คุณหลวงนี่เจ้าบทเจ้ากลอนจริง” สุทัศน์กล่าวมอง​ดูผู้พูดอย่างทึ่งแกมนิยม “พูดกันห้าคำต้องมีบทกลอนเสียคำหนึ่งเสมอ”

หลวงชาญฯ หัวเราะ “ไม่ใช่นักแต่งบทกลอนหรอก” เขาตอบ “แต่ว่าชอบอ่าน แล้วมันเข้าไปติดอยู่ในหัวก็เลยพูดออกมา”

“อ่านแล้วจำได้ นี่ซีคะวิเศษนัก” สุนทรีว่า “แล้วยังไงอีกคะดิฉันอยากฟังไว้ เผื่อไปถึงจะได้ดูว่างามเหมือนกับที่ท่านกล่าวไว้หรือไม่เหมือน”

“บ้างเป็นท่อแถวทางหว่างบรรพต เลี้ยวลดไหลมาไม่รู้สิ้น น้ำใสไหลซอกศีขริน หวังถวิลถึงสวาสดิ์ไม่คลาดคลา”

“พระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๕ ใช่ไหมคะ?”

“รัชกาลที่ ๑ ทรงเมื่อคราวเสด็จไปรับทัพพม่า”

สุนทรีทำท่าฉงน ภายหลังจึงตอบ

“เอ ! ทำไมดิฉันถึงฝันว่าพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๕ ?”

“เพราะรัชกาลที่ ๕ ทรงเชิญพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ ๑ มาไว้ใน ‘ไดอรี่ซึมซาบ’ คุณคงได้อ่านเรื่องนี้แล้วก็เลยเอาไปปนกัน” แล้วหลวงชาญฯ ถามต่อไป “คุณจะไปกับใครมั่ง”

“ยังไม่ทราบแน่เลยค่ะ ทราบแต่ว่าขบวนจะใหญ่แล้วออกจะวิตถาร คือว่าไปกับผู้นำคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักกันมาแต่ก่อนเลย แต่เราก็ต้องพึ่งบารมีเขานั่นแหละถึงจะไปได้”

“ใครครับ?” สุทัศน์ถามน้ำเสียงแสดงความสนใจมาก

สุนทรีออกนามและตำแหน่งในราชการของหลวงเอนกประชากร สุทัศน์ก็ซักอีก

​“ไม่รู้จักทำไมไปติดต่อกับเขาได้” นักแสด

“ก็คือว่าดิฉันไม่ได้ติดต่อหรือทำอะไรกับใครเลย เพื่อนคนหนึ่งเขาเป็นครูที่รักอย่างยิ่งของศิษย์คนหนึ่ง ศิษย์คนนั้นมีลุงเขยเป็นหลวงเอนกฯ คนนี้แหละ เขาตั้งต้นคิดกันมาอย่างไรก็ไม่ทราบ ในที่สุดก็มาชวนดิฉันด้วยดิฉันก็ชอบอยู่แล้วนี้ การเที่ยวน่ะ พอเขาชวนก็ไม่รั้งรอเลย นอกจากนั้นยังเจ้าหน้า เที่ยวชวนคนอื่นอีก”

“เป็นต้นว่าใครบ้าง” สุทัศน์ถาม

“คุณประจิตรคนหนึ่ง คุณหลวงชาญฯ เป็นคนที่สอง แล้วก็กำลังจะชวนคุณเป็นคนที่สาม”

“ผมฝันมานานแล้ว ไทรโยคนี่” หลวงชาญฯ กล่าว “เพราะคุณพ่อท่านเอาใส่หัวผมไว้ตั้งแต่ผมตัวเล็กๆ ว่างามนักงามหนา แต่ว่ากันดารด้วยประการทั้งปวง ตัวท่านเองน่ะ ท่านเคยตามเสด็จรัชกาลที่ ๕ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๐ ก่อนผมเกิด ๒๗ ปี”

สุทัศน์มองดูหลวงชาญฯ อีกครั้งหนึ่ง ด้วยสายตาแสดงความทึ่งอย่างคราวก่อน แล้วออกปาก

“ช่างจดช่างจำอะไรต่างๆ”

“เพราะยังงั้นถึงคุยสนุก” สุนทรีเสริม แล้วพูดสืบไป “ดิฉันก็เคยได้ยินว่าไทรโยคนี่ไปลำบากมาก อันตรายก็มากด้วย แต่เมื่อเขาไปกันได้เราก็ไปได้เหมือนกัน แหม ! อยากให้คุณหลวงไปด้วยจริง คงสนุกอีกเยอะ”

หลวงชาญฯ ยิ้มน้อยๆ และตอบเรียบๆ

“หมู่นี้ผมกระดิกตัวไม่ได้จริงๆ” เบือนหน้าไปทางชายหนุ่ม​อีกนายหนึ่ง “คุณสุทัศน์ว่ายังไง ถ้าผมเป็นคุณละก็ผมไม่ละโอกาสเป็นแน่”

“โอกาสที่จะได้ร่วมทางไปกับคุณสุนทรี ผมก็ไม่อยากจะละเหมือนกัน แต่ว่า....ยังไม่เหมาะ ถ้าคุณหลวงไปด้วยบางทีผมก็จะ....จะ....พยายามไป”

หล่อนนึกขำคำของเขา จึงยิ้มและพูดเป็นเชิงงอน

“แปลว่าดิฉันเจียมตัวน้อยไปหน่อย ที่อาจหาญชวนคุณสุทัศน์”

สุทัศน์เห็นว่ายิ้มของหล่อนบาดตาเขา ทำให้นึกโกรธ จึงตอบด้วยสีหน้าอันส่อให้เห็นความตั้งใจที่จะ ‘กระแทก’ โดยแรง

“ผู้ชายโดยมากชอบผู้หญิงที่ไม่ค่อยเจียมตัว เพราะฉะนั้นไม่ใช่ความผิดของคุณ”

ด้วยความที่ไม่เคยคาดว่าเขาจะ ‘มาไม้นี้’ ต่อตนและมองไม่เห็นจนนิดเดียวว่าตนผิดสถานใด สุนทรีมิรู้ที่จะตอบว่ากระไรถูก และโลหิตในตัวก็ฉีดแรงจนหล่อนรู้สึกร้อนถึงใบหู

สุทัศน์พูดสืบไปทันที ด้วยสีหน้าและน้ำเสียงผิดจากประโยคก่อนอย่างตรงกันข้าม

“ผู้หญิงที่เจียมตัวเกินไปทำให้ผู้ชายลำบากมาก แล้วทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันบ่อยๆ คือผู้ชายไม่รู้ว่าหล่อนเจียมตัว หรืออาย หรือเป็นเพราะเกลียดหน้าไม่อยากพูดด้วยนั่นเอง ที่จริงอะไรๆ ก็สู้ตรงไปตรงมาไม่ได้ ขอบคุณคุณมากที่กรุณาชวนด้วยความหวังดี แต่ว่าผู้ชายกับผู้หญิงถึงจะถูกคอกันอย่างไรก็ต้องมีขีดคั่น ไม่​เหมือนผู้ชายด้วยกัน”

สุนทรีมองดูเขาอย่างสนเท่ เดาความคิดเขาไม่ถูกก็นึกในใจว่า “พิก๊ล”

“คุณจะออกเดินทางเมื่อไหร่?” หลวงชาญฯ ถาม

“ยังไม่มีกำหนดแน่เลยค่ะ ทราบแต่ว่าในระหว่างเดือนมีนา อย่างช้าก็ต้นเดือนเมษา ทางเจ้าของถิ่นเขาต้องกะเวลาให้ เพราะเขาต้องถือน้ำเป็นเกณฑ์ น้ำน้อยนักก็ไปไม่ได้ไกล น้ำมากนักก็จะไม่ได้เห็นของดีๆ ต้องเลือกตรงพอเหมาะ”

ประจิตรเดินเข้ามาในห้อง แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย สุนทรีจึงถามหลวงชาญฯ

“เราจะไปกันแต่เดี๋ยวนี้เทียวหรือคะ?”

“แล้วแต่เลดี้” หลวงชาญฯ ตอบ แล้วหันไปทางสุทัศน์ “ยังงั้นไม่ใช่หรือ?”

อีกฝ่ายหนึ่งตอบแกมหัวเราะ

“ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น” แล้วหันไปถามประจิตร “ยังงั้นไม่ใช่หรือ?”

“ก็ต้องยังงั้นเป็นธรรมดา” ประจิตรตอบและ ‘โค้ง’ ให้สุนทรีนิดหนึ่ง แล้วก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างตัวหล่อน

สุนทรียิ้มละไม “รับประทานเบียร์อีกคนละถ้วยก่อนแล้วถึงค่อยไป” หล่อนเชิญ มองไปทางขวดเบียร์ที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะเห็นพร่องมากเหลืออยู่ไม่ถึงครึ่ง หล่อนก็ลุกขึ้นจากที่ ประจิตรชิงลุกขึ้นด้วยพร้อมกับพูด

​“ฉันไปเอง”

“ไปไหน?” เจ้าหล่อนถาม

“ไปเรียกเบียร์น่ะซี”

“นั่งลงเถอะ ฉันมีธุระอื่นด้วย” หันไปทางแขกของหล่อน “ขอโทษนะคะ ขอเวลาประเดี๋ยว”

“ไปผัดหน้า !” ประจิตรทายพร้อมหัวเราะ

“ฮื้อ!” สุนทรีอุทาน ไม่ปฏิเสธ แต่แก้ว่า “ยังไม่ได้ใส่รองเท้า” แล้วหล่อนก็ออกจากห้องรับแขกไป

ราว ๑๕ นาทีภายหลัง หนุ่มสาวทั้งสี่ก็ออกจากที่เดิม ไปโดยรถซึ่งมีประจิตรเป็นคนขับ และสุทัศน์นั่งคู่คันหนึ่ง กับรถซึ่งหลวงชาญฯ เป็นผู้ขับ สุนทรีนั่งไปด้วยอีกคันหนึ่ง

เมื่อถึงร้านอาหารจีน ซึ่งเขาทั้งสี่ได้พร้อมใจกันเลือกแล้ว ขณะที่จะขึ้นบันไดไปยังชั้นบนอันเป็นชั้นที่สอง หลวงชาญฯ มองเห็น นายสิงห์ มุสิกกุล ยืนอยู่ในห้องใหญ่อันมิใช่เป็นห้องเฉพาะ จึงบอกแก่คณะของตนและชวนกันเพื่อเข้าไปปราศัย ประจิตรเดินอยู่หลังที่สุดทักขึ้นก่อนว่า

“แมวมาหรือเปล่าโว้ย ไอ้หนู”

นายสิงห์ทำหน้าอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อเป็นเครื่องหมายแจ้งให้สหายทราบแทนคำตอบ พร้อมกับหลวงชาญฯ หันมาบอกประจิตรว่า

“แมวนั่งอยู่นั่น”

ประจิตรแลบลิ้นยาวแล้วก็หัวเราะ สุนทรีตรงเข้าทักทายสหาย​หญิง ครั้นแล้ว เมื่อต่างฝ่ายต่างทราบว่าอีกฝ่ายหนึ่งมารับประทานโดยไม่มีเหตุการณ์อย่างใดพิเศษ นอกจากเพื่อเปลี่ยนรสอาหารและสนุกกันระหว่างเพื่อนฝูง กระแสและสามีของหล่อนก็ต้องย้ายจากที่เดิม เพราะผู้ที่มาใหม่ชวนให้ขึ้นไปรับประทานอาหารกับเขาในห้องชั้นบน

สุทัศน์และหญิงทั้งสองช่วยกันสั่งอาหาร ชายหนุ่มอีกสามนายจึงจับกลุ่มกันอยู่อีกทางหนึ่ง หลวงชาญฯ กล่าวแก่สิงห์ว่า

“กินแล้วไปดูหนังกันนะ” แล้วเขาบอกชื่อเรื่องภาพยนตร์แก่สหายด้วย

“ต้องถามหนู บางทีแกจะไปไม่ได้” สิงห์ตอบ

“ทำไม?” หลวงชาญฯ ถาม “กลัวดึกรึ?”

“ไม่ใช่ แต่ว่าแกลูกอ่อนนี่”

“ก็เวลานี้อยู่ได้ยังไง?” ประจิตรถาม

“ก็ลูกมันกินนม....”

“อ๋อ !” หลวงชาญฯ ว่าแล้วหัวเราะ “แม่ต้องกลับไปเปิดร้าน”

นายสิงห์มีกิริยาแสดงว่าปรารถนาจะร่วมสนุกกับเพื่อนให้นานเหมือนกัน รีบตรงเข้าไปหารือภรรยา

“ไปได้” กระแสตอบ “ตอนสี่ทุ่มนี่แกกินนมกระป๋องต่างหาก แต่เราไม่มีรถมานี่คะ กลับบ้านดึก รถ ๓ ล้อไปลำบาก”

“เรามีรถมาถึงสองคันนี่ครับ” สุทัศน์ตอบ

“ยังกะใครเขาจะดูดาย ให้กลับ ๓ ล้อกันสองคนผัวเมีย” ประจิตรกล่าว แต่หลวงชาญฯ ค้านว่า

​“ว่าไม่ได้ บางทีเราอาจนึกว่าหนูจะขี่สิงห์ไปได้สบาย”

“ตกลงดิฉันนี่เป็นหนูหรือเป็นแมวแน่?” กระแสถาม

“โดยนิตินัยเป็นหนู” หลวงชาญฯ ตอบ

“หนูหรือแมวก็เป็นเบี้ยบนนายสิงห์วันยังค่ำ” ประจิตรต่อ

มีเสียงหัวเราะอย่างเห็นด้วยประสานกันหลายเสียง กระแสหน้าแดง พยายามค้านด้วยเสียงอันดัง แต่ไม่เป็นประโยชน์อันใด เพราะสามีของหล่อนมิได้ช่วยหล่อนค้านด้วย

การรับประทาน ซึ่งดำเนินไปพร้อมกับการพูดคุยกันอย่างสนุกนั้น ถึงที่สุดลงแต่ยังไม่ถึง ๒๑ นาฬิกา จึงมีการปรึกษากันว่าจะใช้เวลาที่เหลืออยู่เกือบชั่วโมงให้หมดไปโดยสถานใด หลวงชาญฯ ว่าให้ทำลืมเสียประเดี๋ยว ก็จะถึงเวลาเข้าโรงภาพยนตร์ ประจิตรว่าเมื่ออิ่มแล้วเช่นนี้รู้สึกว่าสถานที่ๆ เขานั่งอยู่ร้อนและจอแจเป็นที่น่ารำคาญ เพราะฉะนั้นให้ไปคอยที่ในโรงภาพยนตร์ดีกว่า แม้ที่สุดภาพยนตร์ยังไม่หมดรอบ ต้องนั่งคอยอยู่ในรถ ก็ยังจะได้ชมโฉมนักดู สุนทรีแนะให้ไปนั่งรถตากอากาศ จนกว่าจะถึงเวลาควรเข้าโรงภาพยนตร์

“ผมเห็นด้วย” สุทัศน์กล่าว “สิงห์กับคุณกระแสว่ายังไง?”

“ดิฉันว่ายังงั้นดี” กระแสตอบ -

“ผมอย่างไหนก็ได้” สิงห์ตอบ

“สำคัญที่หนู” ประจิตรกล่าวว่า “สิงห์ของเรามันสิงห์เท้าหลังนี่”

กระแสฉวยผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นปนน้ำหอม ซึ่งหล่อนใช้เช็ด​มือแล้ว ปาลงไปที่ตักเขาพร้อมกันค้อนให้แล้วก็ลุกขึ้นจากที่

เมื่อออกจากร้านอาหาร ประจิตรจับแขนสิงห์และกระแสไขว้ไว้กับแขนของเขาข้างละคน พาไปยังรถที่เขาเป็นผู้ขับ หลวงชาญฯ พาสุนทรีไปยังรถอีกคันหนึ่ง สุทัศน์เป็นผู้ชำระค่าอาหาร จึงออก จากร้านทีหลังที่สุด เมื่อเขายืนรอรถที่แล่นผ่านไปมา เพื่อหาช่องข้ามฟากถนน สิงห์ก็เรียกเขาอยู่ทางหนึ่ง หลวงชาญฯ ก็เรียกอยู่อีกทางหนึ่ง ใจสุทัศน์อยากไปทางหลวงชาญฯ แต่แล้วเขาก็เดินไปในทางตรงกันข้าม

รถประจิตรออกก่อนและแล่นนำหน้า ตัดถนนที่ขวักไขว่ด้วยยวดยาน จะไปสู่ทางที่ปลอดโปร่งตามที่สุนทรีได้ขอร้องไว้ รถหลวงชาญฯ ตามไปเบื้องหลังในระยะห่างหน่อย เพื่อมิต้องรับละอองฝุ่นจากรถคันหน้ามากนัก

มาตามทางถนนแรกๆ จากร้านขายอาหารนั้น พบรถจักรยาน ๓ ล้อมากมายตรงกับคำว่า ‘ยุ่บยั่บ’ และมักจะมีคันที่แล่นแซงเพื่อนรถประเภทเดียวกัน เป็นเหตุให้เฉียดหรือตัดหน้ารถยนต์ไปในระยะอย่างน่ากลัวอันตราย ทำให้สุนทรีใจหายหลายครั้ง แต่ครั้นแล้วหล่อนก็นอนใจได้ เมื่อสังเกตเห็นว่าหลวงชาญฯ ขับรถเรียบและมีความระมัดระวังดีกว่าประจิตรหลายเท่า

อย่างไรก็ตาม ไม่ช้านักหล่อนได้เอ่ยขึ้นว่า

“รถ ๓ ล้อนี่งอกเร็วจริงนะคะ”

“เร็วมาก แล้วก็นิวแซนมากที่สุด” ผู้ที่นั่งข้างหล่อนเสริม “แล้วก็เกินต้องการด้วย ผมเคยนั่งนับรถว่างคิดเฉลี่ยแล้ว ๑๒ คัน​ถึงจะมีคนนั่งคันหนึ่ง”

“ก็ยังงั้นเขาทำไมถึงปล่อยให้งอกมากนักล่ะคะ? รกถนนโดยไม่มีประโยชน์”

“เพราะเป็นรายได้ส่วนหนึ่ง แล้วก็เฉลี่ยการหากินแล้ว ก็คนนั่งได้นั่งโดยราคาถูก”

“แล้วมันคุ้มกันไหมคะ กับค่าเครื่องอุปกรณ์รถที่เราต้องซื้อจากต่างประเทศ เพราะว่ารถว่างหรือรถที่มีคนนั่งก็สึกหรอเท่านั้น เพราะมันแล่นอยู่เรื่อย ต้องซ่อมมันเรื่อย ต้องซื้อของที่มาจากต่างประเทศเรื่อยๆ”

หลวงชาญฯ นึกชมความรู้ความคิดของคู่สนทนาอยู่ในใจ แล้วตอบว่า

“ผมเองก็ยังไม่เคยคิดถึงข้อนี้ ว่างๆ จะต้องถามคนที่เขามีความรู้ มีการติดต่อกับเรื่องนี้ดูสักทีเขาคิดยังไงกัน ผมเคยคิดแต่ว่าการที่มีมากนัก ทำให้คนที่ขยันหมั่นมาหากินต้องทำงานหนักมากเพราะถูกแย่งงาน แต่เจ้าพวกที่สุกเอาเผากินน่ะสบายดี เพราะวันหนึ่งถีบสัก ๓-๔ เที่ยวพอให้ได้ค่าเช่ารถ แล้วก็เหลือกินสัก ๑๕-๒๐ สตางค์ก็พอใจแล้ว นอนกอดรถหลับได้ บางทีหาได้เอาซื้อกินเสียก่อน แถมเล่นล้อต๊อกเสียด้วยซ้ำ ค่าเช่ารถไม่ต้องหามันแล้ว อุบเลย เจ้าของรถก็ไม่มีปัญญาจะทำอะไร”

สุนทรีใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พูดว่า

“ยาก ! พูดไปพูดมาก็มาถึงปัญหายุ่งยากตามเคย”

หลวงชาญฯ ยิ้มแทนคำตอบ

​ทั้งสองฝ่ายนิ่งเงียบไปด้วยกัน สุนทรีรู้สึกความสำราญซึ่งเกิดจากการได้รับลมแรง และได้อากาศบริสุทธิ์ดวงจิตของหล่อนกำลังรื่นรมย์ อยู่ในความสงบใจสบายกาย ส่วนหลวงชาญฯ ก็มีความรู้สึกไม่ต่างกับหล่อนมากนัก

เป็นครู่ สุนทรีนึกเกรงเพื่อนร่วมทางจะเหงา จึงเอ่ยขึ้นว่า

“เสียดายจริงคุณหลวงไม่ได้ไปไทรโยคด้วย ได้เพื่อนเดินทางอย่างคุณหลวงจะสนุกดีเหลือเกิน”

“ผมก็เสียใจจริงๆ ที่ไปไม่ได้”

“ดิฉันรู้สึกว่า ไปกับใครก็คงไม่เหมาะเหมือนคุณหลวง” สุนทรีกล่าวสืบไปตามใจจริง “ไปในเรือหลายๆ วันหลายๆ คืนอย่างที่ดิฉันจะไปนี่ หนึ่งทีเดียวต้องถูกชุดกัน แล้วต้องมีคนที่คุยสนุก รู้จักของขัน รู้จักสิ่งที่สวยงาม” หัวเราะๆ พอเป็นเสียง “มีบทมีกลอนประกอบนิดหน่อย ทำให้สิ่งที่เราเห็นว่างามอยู่แล้วน่ะงามขึ้นอีก”

หลวงชาญฯ ไม่ตอบ ทั้งที่ความคิดติดแน่วอยู่กับคำที่สุนทรีกล่าวแล้วนั้น

แล้วเขานึกประหลาดใจในคำที่สุนทรีกล่าวขวัญถึงตัวเขา เขาเคยรู้สึกว่าเพื่อนชายทั้งหลายมักพอใจเที่ยวเตร่กับเขา ไม่ว่าจะเป็นการเที่ยวในทางสูงหรือในทางทราม แต่สำหรับผู้หญิงเขาเชื่อแน่ว่า ตัวเขาไม่เคยเป็นผู้ที่ช่างพูดถูกใจผู้หญิงคนใดเลย

แม้แต่ภรรยาของเขาเอง เมื่อเขาพูดเรื่องธุระส่วนตัวระหว่างเขากับหล่อน เช่นแสดงความประสงค์อย่างนั้นอย่างนี้ ให้อย่างนั้น​เป็นนั่นให้อย่างนี้เป็นนี่ ฯลฯ หล่อนก็โต้ตอบหรือฟังตั้งใจดีอยู่ แต่ถ้าเมื่อใดเขาตั้งต้นคุยกับหล่อน เมื่อนั้นเขาก็เห็นหล่อนมีอาการนิ่งเหม่อลอยหาว แล้วก็เริ่มเปลี่ยนเรื่องใหม่ทันทีที่หล่อนมีโอกาส

ในบรรดาหญิงที่เป็นเพื่อนของภรรยาของเขาก็เหมือนกัน เมื่อหล่อนคุยกันอยู่ในหมู่ของหล่อน เขาเข้าไปร่วมวงด้วย เขาเป็นผู้ฟัง หล่อนก็คุยได้ ถ้าเมื่อใดเขาเริ่มคุยบ้าง เมื่อนั้นหล่อนก็พากันนิ่งเงียบ หรือเลี่ยงจากเขา มิโดยตรงก็โดยปริยาย....สุนทรีเป็นหญิงคนแรกที่แสดงตัวว่าหล่อนชอบฟังเขาพูด

รถคันหน้าซึ่งแล่นอยู่ในถนนใหญ่ เลี้ยวเข้าในถนนซอยเล็ก สุนทรีจึงทักด้วยความสงสัย

“เอ๊ะ ! นั่นเขาเลี้ยวไปไหนกัน?”

“ถ้าจะแวะเข้าบ้านหมอสุทัศน์ละกระมัง” หลวงชาญฯ ตอบโดยเดา พร้อมกับมองดูนาฬิกา “ยังเหลือเวลาอีก ๒๐ นาที”

การเป็นจริงดังหลวงชาญฯ ว่า พอรถหลังหยุดต่อจากรถหน้า ประจิตรก็มายืนข้างสุนทรีและพูดแกมหัวเราะ พร้อมกับเปิดประตูรถให้หล่อน

“เลดี้ในรถเราบอกว่าใกล้เวลาลูกเคยหิว เพราะฉะนั้นถ้าขืนไปต่ออีก ๕ นาที แม่จะต้องแย่งเครื่องแต่งตัวนายสิงห์ เวลานี้เป็นแต่แย่งผ้าเช็ดหน้า”

สุนทรีอมยิ้มลงจากรถหลีกเขาไป พอดีกับกระแสเดินมารับอีกคนหนึ่ง จับข้อมือเพื่อนหญิงไว้ แล้วกระซิบกระซาบพลางหัวเราะคิกคัก

​เจ้าของบ้านพาหญิงสาวทั้งสองขึ้นไปชั้นบน เปิดไฟฟ้าให้เสร็จแล้วก็กลับไปเบื้องล่าง

กระแสเข้าในห้องหนึ่ง สุนทรีพบตัวเองอยู่ในห้องนอน เป็นห้องเล็กแต่ไม่คับแคบ มีเครื่องแต่งครบชุดงามและเป็นระเบียบ ความสะอาดเรียบร้อยปรากฏอยู่ทั่วไปในต่อม

สุนทรีผัดหน้าด้วยฝุ่นที่หล่อนมีประจำอยู่ในกระเป๋าถือ พร้อมกับพิจารณาดูห้องนี้โดยละเอียด แล้วรู้สึกพอใจที่ได้มาถึงบ้านที่หล่อนได้เคยมาเป็นครั้งแรกนี้

สุนทรีเป็นหญิงที่รู้จักชายหนุ่มๆ เป็นจำนวนมากที่สุด เพราะประจิตรผู้ซึ่งมีเพื่อนมากหน้าหลายตา เป็นผู้ที่ชอบให้ผู้ที่อยู่ร่วมเคหะกับเขา ได้รู้จักกับเพื่อนทุกคนของเขาด้วย แต่สุนทรีรู้เรื่องราวส่วนตัวของชายที่หล่อนรู้จักน้อยที่สุด เพราะนิสัยของหล่อนไม่มากไปด้วยความสอดรู้สอดเห็นก็อย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งนั้นเป็นเพราะประจิตรเป็นผู้ที่ไม่เล่าเรื่องของใครโดยละเอียด เมื่อเขากล่าวขวัญถึงเพื่อนๆ ของเขา เขากล่าวแต่เพียงสั้นๆ ตามอารมณ์ที่อยากพูดอยากปรารภ เมื่อสุนทรีนึกทึ่งซักถามต่อไป เขารู้สึกคร้านที่จะพูดเสียแล้ว ก็ตอบให้ฟังได้เค้าแต่เพียงเลือนๆ สุนทรี ไม่มีความพยายามที่จะซักก็ละความเอาใจใส่เสีย ไม่จดจำเรื่องที่ประจิตรเล่าแต่เพียงย่อๆ ไว้

สุนทรีรู้เรื่องของสุทัศน์ แต่เพียงว่าเขาได้ปริญญาแพทย์จากประเทศอังกฤษ เป็นผู้ที่มีพี่น้องหลายคน เป็นผู้ที่ท่านบิดาของหล่อนยกย่องว่าเป็นแพทย์ที่ดี และในระยะเวลาหลังๆ นี้ เป็นผู้​ที่ร่วมทางกับหลวงชาญฯ เป็นนิจ ดังที่หล่อนได้พบเขาบ่อยๆ ในที่ต่างๆ เช่นในโรงมหรสพ สนามม้า ร้านขายอาหาร ตลอดจนกระทั่งในที่อยู่ของหล่อนเอง

สุนทรีปิดฝาตลับแป้ง.....ประตูห้องอันมิใช่ประตูเดียวกับที่สุทัศน์พาหล่อนเข้ามา เปิดอยู่บ้านหนึ่ง มีแสงสว่างลอดออกมาด้วย แต่ในห้องเงียบสนิทปราศจากเสียงแว่วแม้แต่อย่างหนึ่งอย่างใด ความสอดรู้สอดเห็นเกิดขึ้นแก่สุนทรี หล่อนก็เดินไปประตูนั้น ชะโงกหน้าเข้าไปภายใน เห็นที่บูชาขนาดเล็กเหมาะกับขนาดของห้อง ประกอบด้วยพระพุทธรูปทององค์น้อยในครอบแก้ว แจกันมีดอกไม้ปักเต็มทั้งสองคู่ เชิงเทียนมีเทียนตั้ง กระถางธูปมีธูปเสียบอยู่

กลางฝาผนังทั้งสองด้านมีตู้หนังสือ บรรจุหนังสือที่มีปกงามเต็มอยู่ทั้งสองตู้ ตรงกลางห้องมีเก้าอี้นอนบุหนังตั้งไว้ บนเก้าอี้มีหนังสือปกแข็งเล่มใหญ่ถนัดวางอยู่ สุนทรีอยากเห็นหนังสือนั้นเป็นกำลัง หล่อนไม่อาจที่จะกระทำตามความสอดรู้สอดเห็น ให้มากกว่าที่ได้กระทำลงไปแล้ว

เมื่อสุนทรีกลับลงมาชั้นล่างพร้อมกับกระแส สุทัศน์กำลังรินน้ำเย็นแช่น้ำแข็งลงถ้วยแก้ว เพื่อให้แก่แขกของเขา สุนทรีกำลังมีความพิศวง ในสิ่งที่หล่อนเห็นเมื่อครู่ก่อนเปี่ยมอยู่ในใจ เกิดความพอใจและวิ่งในตัวเจ้าของบ้านเป็นอย่างมากขึ้นในครั้งแรก จึงมองดูเขาด้วยสายตาอันมีประกายผิดกับธรรมดา สุทัศน์เหลือบตาขึ้นมองดูหล่อนแว่บหนึ่ง แล้วก็ก้มลงทำงานต่อไป หลวงชาญฯ ยืนอยู่ข้างสุทัศน์ มองเห็นแววตาสุนทรีได้ถนัดที่สุด จิบน้ำในถ้วยแก้ว​พลางท่องนิพนธ์ของพระมหาราชครูอยู่ในใจว่า

“ตาสมรคือศรยิงยัน ทรวงสองโหยหรรษ์ และกามะเกิดในกมล”

 

84

๑๙

พื้นที่ตรงเงาไม้นี้ เป็นที่ดอน ดินปนทรายจึงเป็นสีแดง และร่วน เรียบงาม ไม่มีปุ่มปมขรุขระ เมื่อส่งศรีกับงามพิศช่วยกันคลี่กระดาษหนังสือพิมพ์ปูซ้อนกันดีแล้ว ก็ดูเป็นที่เรียบดังพื้นเรือน

นายป้านยกปิ่นโตอาหาร ตะกร้ามีฝาใส่เครื่องอุปกรณ์ในการบริโภค และหม้อน้ำแข็งส่งมาให้หญิงสาวทั้งสองช่วยกันจัดวางบนแผ่นกระดาษที่หล่อนปูไว้ ในระหว่างนั้นการสนทนาระหว่างหญิงทั้งสองก็ดำเนินเรื่อยไปไม่ขาดเสียง

“น้ำพริกส้มมะขาม” ส่งศรีกล่าว เอียงภาชนะที่ใส่น้ำพริกให้เพื่อนดูพร้อมกับทำท่ากลืนน้ำลาย “ฉันตำเอง เธอเชื่อไหม พริกสัก ๕๐ เม็ดเห็นจะได้ กำลังอยากเผ็ดๆ เปรี้ยวๆ”

“เรอะ ฉันก็เหมือนกัน” งามพิศตอบ แล้วเจ้าหล่อนก็​ปรารภกันต่อไปอีกครู่ใหญ่ ถึงเหตุที่ทำให้ร่างกายต้องการอาหารเผ็ดร้อนนั้น

“ปลัดจะกินได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้” ส่งศรีกล่าวย้อนมาหาเรื่องน้ำพริกอีก

“ท่าไม่ไหวหรอกเธอ ผู้ชายดูเหมือนจะกินเผ็ดไม่เก่งเหมือนเรา”

“อะไรได้ คุณพ่อฉันยังไงล่ะ ยิ่งกว่าฉันอีก ไอ้เรายังอยากเป็นพักๆ เท่านั้น คุณพ่อละเผ็ดอยู่ประจำเชียว”

“ไอ้นั่นก้อนอะไรของเธอ?”

“เขาเรียกว่าไอ้โม่ง ไม่ใช่ของฉันหรอก แม่ครัวเขาทำ นี่น้ำปลาแมงดา คุณน้าส่งมาจากกรุงเทพฯ คุณพ่อโปรดเหลือเกิน เธอกินเป็นไหม? เออ ! ปลัดอีกคนหนึ่งกินได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้”

ปลัดที่ส่งศรีกล่าวถึงนี้ คือปลัดอำเภอเมือง ธรรมศาสตร์บัณฑิต อายุ ๒๕ ปี ได้เป็นปลัดอำเภอมาปีครึ่งเป็นผู้ที่ข้าหลวง ‘มองดู’ ด้วยความสนใจในตอนแรก และบัดนี้มีความพอใจและหวังดีด้วยเป็นอันมาก

ในระหว่างนี้ ข้าหลวงกับปลัดอำเภอกำลังไปชมพระอารามที่อยู่ห่างจากที่ๆ หญิงสาวทั้งสองนั่งอยู่ราว ๒-๓ เส้น

จังหวัดที่หลวงเอนกฯ เป็นผู้ว่าราชการอยู่นี้ เกี่ยวเนื่องกับพงศาวดารอย่างสำคัญ แต่โดยเหตุที่เป็นเมืองชายแดน อีกนัยหนึ่งเป็นเมืองหน้าศึก จึงไม่มีโบราณวัตถุที่แท้จริงอันใด อารามที่ข้าหลวงและปลัดอำเภอพากันไปดูก็มิใช่ที่ๆ มีลักษณะแห่งฝีมือการ​ก่อสร้างวิจิตรบรรจงนัก เป็นแต่เพียงอารามที่เก่าแล้วยังงามเพราะความไม่ดูเก่า ทั้งอยู่ในภูมิประเทศที่สงบสงัดโล่งเตียนรื่นตาพอดู จึงได้เป็นที่หมายให้ข้าหลวงพาธิดามาสู่ เพื่อทดลองความเข้มแข็งในการขับขี่จักรยาน และเพื่อข้าหลวงเองได้แปลกที่รับประทานอาหารมื้อหนึ่งด้วย

“หมา ! ว้าย หมาขี้เรื้อน” ส่งศรีร้อง “ไป๊ ! ตายจริง หมาบ้าด้วยซี”

งามพิศมองดูสัตว์อันน่าสมเพช ด้วยสีหน้าแสดงความสงสารมากกว่าตื่นเต้น “ไป” หล่อนช่วยไล่ “ไปเสียก่อนประเดี๋ยวถึงค่อยกลับมากินเหลือคน”

แทนที่จะวิ่งหนี เจ้าสุนัขเป็นแต่เพียงหยุดชะงัก ส่งศรีว่าแก่เพื่อน

“แหม ! ช่างอุตส่าห์ผลัดผ่อน ราวกะมันจะรู้ภาษา”

“ผัด” งามพิศแก้ “ลืมเสียแล้วหรือ ผัดเจ้าหนี้ ผลัดผ้า”

“ผลัดหรือผัด หมามันก็ไม่รู้จักภาษา นอกจากจะตวาดมัน ว้าย ! ตาย ดูซี มาอีกแล้ว นายป้าน”

งามพิศหัวเราะ ฉวยหนังสือพิมพ์ทั้งฉบับเสื้อทำที่จะขว้าง เจ้าสุนัขสะดุ้ง หลบ แต่หาถอยไม่ งามพิศก็ผุดลุกจากที่พร้อมด้วยอาวุธกระดาษ เข้าไปกระโชกเจ้าสุนัขจนมันวิ่งหนีไป

งามพิศกลับมายังที่เดิม ส่งศรีบ่นพึมพำเรื่องสัตว์ที่ทำให้หล่อนกลัว เรื่องท่านบิดากับปลัดอำเภอยังไม่กลับมา เรื่องเวลาเย็นแล้ว น่ากลัวจะมืดก่อนรับประทานอาหารเสร็จ งามพิศได้ยิน​ข้อความเหล่านี้แต่เพียงเลือนๆ อำนาจความสงบชื่นบานแห่งธรรมชาติรอบข้างกำลังครอบงำจิตใจของหล่อนให้เกิดความสงบชื่นบานไปตาม.......ไม่มีสุนัข ไม่มีส่งศรี ไม่มีอาหาร ไม่มีข้าหลวง ไม่มีคุณป้า มีแต่แผ่นดินโล่งเตียน ต้นไม้ นก ฟ้า แดดอ่อนๆ ลมอ่อนๆ กับตัวงามพิศเอง....

งามพิศหลับตาลง อุทานแก่ตัวเองในใจ “แหม ! สบายจรี๊ง อยากอยู่อย่างนี้ตลอดชีวิต”

เมื่อหล่อนลืมตาขึ้น ก็แลไปเห็นรถจักรยาน ๔ คันตั้งรวมเป็นหมู่อยู่ห่างจากที่นั่นประมาณ ๑๐ วา เป็นจักรยานสำหรับสตรีสองคัน นอกจากนั้นเป็นจักรยานสำหรับบุรุษ กับจักรยาน ๓ ล้อ

หลังจากที่ต้องกระวนกระวายเพราะความทะยานอยากแล้ว และได้ประสบความสมหวังเพราะข้าหลวงกับธิดาเปิดช่องให้ แล้วต้องกลับกระวนกระวายอีกแล้วก็สมหวังอีก วกไปวนมาประมาณสัก ๑๐ ครั้ง วันหนึ่งงามพิศก็ได้ชื่อว่า ‘ถีบรถเป็น’ ได้รับการแสดงความยินดีจากข้าหลวงโดยจริงใจ และในขณะนี้ เมื่องามพิศหวนระลึกถึงความรู้สึกที่เกิดแก่ตัวระหว่างทางจากจวนข้าหลวง มาถึงที่หมายนี้ หล่อนรู้สึกว่าไม่มีถ้อยคำใดๆ ที่จะบรรยายความรู้สึกนั้นให้ถูกถ้วน นอกจากจะอิงประพันธ์ที่เป็นของเก่าเป็นความว่า ‘ยินดีดังได้โสฬศ’

งามพิศเกือบสะดุ้งเมื่อส่งศรีพูดว่า

“เออ ! มากันเสียที มัวแต่ทำอะไรกันไม่รู้ตั้งนาน”

พร้อมกันนั้น เสียงสุนัขเห่ากระโชกพร้อมกันหลายเสียง และ​เสียงคนตวาดเสียงสองชนิดนี้ดังมาจากที่ไกลคือ สุนัขเห่าข้าหลวง และปลัดอำเภอผู้เป็นคนแปลกหน้า และศิษย์วัดช่วยกันตวาดสุนัข

ส่งศรีเริ่มจับนั่นทำนี่ เพื่อทำสิ่งที่พร้อมอยู่แล้วให้พร้อมยิ่งแล้วลงมือตักข้าวใส่จาน งามพิศก็ช่วยด้วย นายป้านย้ายจากที่ๆ ไปเดินเกร่อยู่เมื่อครู่ก่อนเพื่อมารับใช้ อีก ๓-๔ นาทีภายหลัง ข้าหลวงกับปลัดอำเภอจึงมาถึง

“เปิดเบียร์เลี้ยงหน่อย” หลวงเอนกฯ กล่าว “อยากกินน้ำจัง”

“ตาป้าน เปิดเบียร์เร็ว ที่เปิดอยู่ในตะกร้า” ส่งศรีสั่งต่อ แล้วหันกลับมาทางบิดา “คุณพ่อนั่งตรงนี้ค่ะ คุณปลัดตรงนั้น”

“เดี๋ยวก่อน ขอผลัดประเดี๋ยว กินเบียร์ให้หายคอแห้งเสียก่อนถึงจะกินข้าวลง” พูดแล้วข้าหลวงมองดูรอบตัวเพื่อจะหาที่นั่ง ให้สบายสักหน่อย งามพิศเห็นดังนั้นก็หยิบหนังสือพิมพ์เดินเข้าไปใกล้และจัดแจงคลี่ปูให้ด้วย

“ขอบใจ” ข้าหลวงกล่าวเมื่อหญิงสาวทำที่ให้เรียบร้อยแล้ว “มีอีกไหม? ขอให้คุณสวงสักสองแผ่นซี”

“ไม่ต้องก็ได้ครับ” ปลัดอำเภอค้าน

แต่งามพิศก็มองหาสิ่งที่หลวงเอนกฯ ต้องการ ครั้นหาไม่ได้ หล่อนจึงหยิบแผ่นที่รองที่นั่งของหล่อนนั่งเองไปให้แก่ชายหนุ่ม

“หิวข้าวไหม?” ข้าหลวงถามมองดูหน้าหญิงสาวด้วยสายตาแสดงความกรุณา พลางปลดดุมเสื้อชั้นนอกตลอดทั้ง ๕ ดุม แล้วลงนั่ง

​“ไม่หิวค่ะ” หญิงสาวตอบพร้อมกับย่อตัวลง

“ไม่หิว” ข้าหลวงคำพร้อมกับหัวเราะ “ไม่หิว ไม่อยาก ไม่ง่วง ไม่เหนื่อย ไม่เสมอ ไปไหนด้วยก็สบายใจไม่ต้องเป็นห่วง สมเป็นคนหัวเมือง มาเป็นลูกฉันอีกคนหนึ่งเอาไหม?”

“เอาค่ะ” งามพิศตอบโดยไม่ได้ตั้งรอแม้แต่นิดเดียว

“เอาจริงๆ หรือ ขอผลัดให้ถูกลอตเตอรี่เสียก่อนเถอะ จะขอมาเลี้ยงเป็นลูกจริงๆ”

ส่งศรีเป็นผู้ที่ถูกท่านบิดามักตำหนิเป็นเชิงล้อ ในทำนองว่าหล่อนค่อนข้างมีความอดทนน้อยอยู่บ่อยๆ เมื่อได้ฟังคำโต้ตอบระหว่างบิดากับเพื่อนก็หงุดหงิดในใจ ครั้นหลวงเอนกฯ กล่าวประโยคหลังนี้ หล่อนก็เอ่ยขึ้นเพื่อประโยชน์ที่จะได้ ‘ขัดคอ’ งามพิศ หรือไม่ก็ท่านบิดาของหล่อนเอง

“คุณพ่อก็พูด ‘ผลัด’”

“ว่าไงนะ?” หลวงเอนกฯ ถาม ชะงักถ้วยเบียร์ที่กำลังจะยกขึ้นดื่มไว้กลางคัน

“คุณพ่อพูดขอ ‘ผลัด’ ค่ะ เมื่อตะกี้ลูกพูด งามพิศเขาว่าลูกพูดผิด”

“แล้วคนอื่นเขาพูดยังไงล่ะ?” ข้าหลวงหันมาถามผู้ที่ธิดากล่าวนาม

“เขาพูดเหมือนท่านค่ะ แต่มันผิด” งามพิศตอบหน้าตาเฉย “ที่ถูกต้องพูดผัด ผัดเวลา ผลัดเสื้อผ้าค่ะ”

หลวงเอนกฯ ดื่มเบียร์แล้วทวนคำ ‘ผลัด ผัด’ โดยใช้​ประโยคต่างๆ กันหลายประโยค ในที่สุดจึงว่า

“ถูกแฮะ ถูกของงามพิศ” แล้วหันไปทางปลัดอำเภอ “ผัดแปลว่าเลื่อน ผลัดแปลว่าเปลี่ยน ถูกไหมล่ะ?”

“ผมไม่ค่อยสันทัดทางภาษาครับ” นายสวงตอบพร้อมกับยิ้มน้อยๆ

“ถูกแล้ว” ข้าหลวงว่า “แต่เดี๋ยวนี้เรามันเผลอ แปลว่าใครๆ ก็พูดผิด จนคนที่เคยรู้ก็พลอยผิดไปกับพวกที่ไม่รู้ด้วย”

ลุกจากที่เก่ามานั่งใกล้ที่รับประทานอาหาร ถือถ้วยเบียร์มาด้วย ระหว่างนั้นพูดว่า

“ยังมีคำว่า ‘ถูก’ อยู่อีกคำหนึ่ง ที่สมัยนี้คนใช้กันเสียจนเลอะ ‘ถูก’ แต่ก่อนนี้เราใช้กับสำหรับถูกเตะ ถูกด่า แต่เดี๋ยวนี้ข้าวก็ถูกกิน รถก็ถูกนั่งถูกต้อนรับฟังแล้วอยากถามต่อว่า ‘ด้วยกำปั้นหรือด้วยเกือก’”

งามพิศผู้ซึ่งได้ถุงกระดาษกว้างยาวไม่ถึงสองฝ่ามือ เป็นเครื่องรองนั่งอยู่นั้น ลุกขึ้นไปหยิบกระดาษที่ปูอยู่เปล่ามาปูแทนถุง แล้วนั่งลงใกล้วงอาหาร นายสวงก็ลุกจากที่เก่ามานั่งที่ใหม่ และเมื่อนั่งลงแล้วก็ตอบคำปรารภของข้าหลวงว่า

“แต่มันเป็นความงอกเงยของภาษาไม่ใช่หรือครับ”

“มันไม่งอกน่ะซี มันหด แต่ก่อนคำว่า ‘ถูก’ เคยใช้ไปในทางเสีย เช่นเจ้าเมืองถูกย้าย ก็ต้องแปลว่ามีอะไรบูดๆ อย่างน้อยก็ต้องเหม็นสะไอ แต่เดี๋ยวนี้ นายอำเภอเลื่อนเป็นเจ้าเมือง ก็ใช้คำว่า ‘ถูก’ ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย นอกจากจะวิ่งเข้าหา​ไวยากรณ์ฝรั่ง หรือคุณเห็นว่ายังไง?”

นายสวงมองดูผู้พูดอย่างตรึกตรอง ในที่สุดก็ตอบอย่างไม่แน่ใจนัก

“ผมไม่เคยสังเกต”

เมื่อได้พูดถึงเรื่องภาษาแล้ว ก็พูดเลยต่อไปถึงอุปนิสัยแห่งเจ้าของภาษา รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวชนบทแต่ละภาคๆ นายสวงตั้งใจฟังด้วยถือเป็นบทเรียนส่วนหนึ่ง งามพิศฟังด้วยรู้สึกสนุกและทิ้งอย่างจริงจัง เป็นเหตุให้ข้าหลวงสังเกตเห็นแววตาของหล่อนวาวออกมานอกกระจกแว่นบ่อยครั้ง

ส่งศรีเริ่มเบื่อเรื่องที่ท่านบิดาพูด และกำลังนึกเสียใจในข้อที่ตนเองได้เป็นเหตุแห่งการสนทนาแนวนี้ ก็พอดีหลวงเอนกฯ คลี่หาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อพร้อมกับพูดว่า

“แหม ! น้ำพริกเผ็ดร้ายกาจ แต่อร่อยจริง”

“หนูตำเองค่ะ” ส่งศรีบอกอย่างภาคภูมิใจ

“แหม ! ลงมือเองเที่ยวหรือ?” ท่านบิดาย้อนถามน้ำเสียงแสดงความชื่นชม “แล้วทำอะไรเองอีกล่ะ? บอกมาอีกซี พ่อจะได้กินสิ่งนั้นมากๆ”

ส่งศรีหัวเราะ “หนูทำเองอย่างเดียวแหละค่ะ แต่อย่างอื่นหนูก็เป็นคนสั่งให้เขาทำ กับข้าวของหวานหมดนี่หนูเลือกทั้งนั้น”

“ไม่เลวอร่อยทุกอย่าง แต่น้ำพริกเป็นที่หนึ่ง”

ส่งศรีมองสบตานายสวงและถาม มีอาการสะทกสะเทิ้นเล็กน้อย

​“รับประทานแมงดาได้ไหมคะ?”

“ยังไม่เคยลองครับ” นายสวงตอบ

“กล้าลองไหมล่ะคะ? นี่ ถ้วยนี้”

งามพิศทำหน้าอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้หลวงเอนกฯ เห็นขัน และว่า

“ดูยายพิศทำหน้า ตัวเองท่าจะเกลียดแมงดาละซี”

“เปล่าค่ะ” แล้วงามพิศก็หัวเราะเพื่อกลบความอาย ที่ได้แสดงความรู้สึกให้ปรากฏแก่ตาข้าหลวง

“กลิ่นพิกล” นายสวงพูดภายหลังที่ได้ลิ้มรสน้ำปลาแมงดาแล้วนิดหนึ่ง

“เหม็นหรือหอม?” ข้าหลวงถาม “เจ้าอาหารพวกนี้มันมีลักษณะสองอย่างเสมอ ถ้าหอมก็แปลว่าชอบละยิ่งกินจะยิ่งติดใจ แต่ถ้าเหม็นละก็อย่าต่อไปเลย เดี๋ยวจะทำพิษ”

ชายหนุ่มหันไปจิบเบียร์ แล้วก็ตักน้ำปลาแมงดาใส่ลงกับข้าวในจานอีก เดี๋ยวอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้นพูดว่า

“ผมคิดว่าผมหอมครับ ถึงคำที่สองนี่รู้สึกไม่เหมือนคำแรก”

“ถ้าติดใจละก็ นึกอยากกินเมื่อไหร่ไปกินที่บ้านผมมีเสมอไม่ค่อยขาด เพราะผมชอบเสียจนใครๆ เขารู้กันหมด เขาก็คอยส่งมาให้เสมอ”

ต่อจากนั้นมา นายสวงไม่ได้แตะต้องกับข้าวอย่างอื่นเลย นอกไปจากน้ำปลาแมงดากับแกงจืด แล้วรับประทานข้าวได้อย่างที่ส่งศรีต้องมองดูเขาอย่างสงสัยระคนกับความรู้สึกพอใจ เมื่อถึง​ตอนของหวานเจ้าหล่อนเกือบจะลืมปฏิบัติบิดาด้วยความกังวลที่จะปฏิบัตินายสวง

ครั้นเสร็จการบริโภคแล้ว ข้าหลวงลุกจากที่นั่งไปทางหนึ่ง แล้วจุดบุหรี่สูบพลางเดินช้าๆ ห่างจากที่รับประทานออกไปทุกที ส่งศรีปรารภว่าจะหาที่นั่งใหม่แล้วก็แยกไปอีกทางหนึ่ง นายสวงรั้งรออยู่ก่อน แต่ภายหลังก็เดินตามไปห่างๆ มิช้าส่งศรีก็กลับมาเผชิญหน้ากับเขา ทั้งสองหยุดพูดกัน แล้วในที่สุดก็ออกเดินช้าๆ เคียงกันไป คงเหลือแต่งามพิศช่วยนายป้านรวบรวมสิ่งของต่างๆ

เมื่อทุกสิ่งได้เข้าอยู่ในที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเศษอาหารเมล็ดข้าวตกอยู่ในที่นั้น รวมทั้งกระดาษที่เป็นรอยยับและเปื้อน ทำให้เห็นเป็นที่รำคาญตางามพิศจึงต้องคิดหาที่นั่งใหม่เหมือนกัน แลไปทางขวาเห็นเพื่อนของตนนั่งอยู่บนขอนไม้ มีคู่สนทนายืนอยู่ตรงหน้า เพียงแต่มองดูท่าทางของเขาทั้งสองก็จะเกิดความคิดว่า หากมีบุคคลที่สามเข้าไปใกล้เขาจะรู้สึกว่าเขาถูกรบกวน แลไปทางซ้ายข้าหลวงยืนบ้างเดินบ้าง มีท่าทางเห็นได้ชัดว่ากำลังใช้ความคิดอย่างเพลิดเพลิน มองข้างหน้าเห็นนายป้านกำลังจัดของวางในจักรยาน ๓ ล้อ จำเป็นอยู่เองที่งามพิศจะต้องเลือกที่สบายจากแผ่นดินทางเบื้องหลัง งามพิศลุกขึ้นยืน หยิบกระดาษหนังสือพิมพ์ติดมือไว้ เพื่อจะได้รองนั่งในที่ใหม่ ถอนใจโดยไม่รู้สึกตัว เมื่อความเหงาและความเปล่าเปลี่ยวเกิดขึ้นภายใน ถุงกระดาษที่หล่อนใช้นั่ง เมื่อได้สละหนังสือพิมพ์ให้นายสวงเสียยังทิ้งอยู่ข้างตัว เป็นถุงที่ทำด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ฝรั่งมีภาพสีในยามไม่มีอะไรดีกว่า ภาพนั้น​ก็เป็นเครื่องชวนให้ตาดูได้ งามพิศหยิบถุงขึ้นมองดูทั้งสองด้าน เดินพลางพยายามลอกรอยผนึกให้หลุดจากกัน เพื่อจะดูภาพและอ่านข้อความประกอบให้ได้ชัด แล้วนำตัวไปเอกเขนกสำราญอยู่ทางหนึ่ง

เนื่องจากตัวอักษรที่ประกอบภาพเป็นภาษาฝรั่งเศสซึ่งงามพิศไม่มีความสันทัด หล่อนต้องใช้ความเพ่งเล็งมากในอันที่จะหาความเข้าใจ จึงไม่ได้ยินฝีเท้าที่ดังเข้ามาใกล้ จนกระทั่งข้าหลวงมายืนอยู่ข้างตัวและทักว่า

“ท่าทางน่าสบายจริง ดูรูปอะไร?”

งามพิศเงยหน้าขึ้น หดขาเข้าหาตัว ยิ้มพลางตอบเสียงใสด้วยความที่กำลังพอใจในตัวเอง

“สวนหมาจิ้งจอกค่ะ เขาผสมในสวิตเซอร์แลนด์เอาขนมาสำหรับพันคอ”

“อ๊ะ ! ผิดเมืองละกระมัง อะไรผสมหมาจิ้งจอกในยุโรป.... ดูชื่อเมืองให้ดีๆ ถี....”

“ไม่ผิดค่ะ” งามพิศยืนยันอย่างมั่นคง ลุกขึ้นยื่นแผ่นภาพให้ข้าหลวงดูพร้อมกับชี้ชื่อประเทศให้ด้วย “นี่ไงคะ ในนี้เขาบอกว่าต้องเลี้ยงในที่ๆ เป็นภูเขาสูง ตั้งแต่พันเมตรขึ้นไป แรกทีเดียวเขาเอามาจากอาลาสกา ๑๐ คู่ ผสมอยู่ราว ๑๐ ปี เดี๋ยวนี้เป็นหมา ๒๐๐ ตัว”

ข้าหลวงมองดูด้วยความสนใจ และหันมาดูหน้าผู้แปลความอย่างยิ่ง “นี่อะไร?” ข้าหลวงถาม ชี้มือลงยังภาพแสดงกรงที่อยู่ของสุนัขจิ้งจอก ภาพชายฝรั่งถือเครื่องมือคล้ายซ่อมขนาดยักษ์กด​คอสุนัขจิ้งจอกเพื่อจะทำความสะอาดที่ตัวเจ้าสุนัขนั้น และภาพชายฝรั่งสองนายช่วยกันยึดจับตัวสุนัขและถอนขนสำหรับฤดูร้อนออกเสีย เพื่อจะให้ขนสำหรับฤดูหนาวตกงามดี งามพิศก็อธิบายความเรื่อยไปโดยตลอด

เมื่อจบแล้ว ข้าหลวงมองดูงามพิศอีก สีหน้าแสดงความพิศวงแกมสงสัย ถามแกมหัวเราะเป็นเชิงล้อ

“ที่แปลนี่น่ะถูกหมดไหม?”

“ที่แปลนะถูกหมดค่ะ” เด็กสาวตอบโดยซื่อ “แต่ที่ไม่เข้าใจก็เยอะ”

“พอใช้” ข้าหลวงกล่าว อาการล้อไม่มีเหลืออยู่แล้ว “รู้ภาษาฝรั่งเศสดีพอใช้ ภาษาอังกฤษรู้ถึงเท่านี้ไหม?”

“รู้มากกว่าซีคะ” งามพิศตอบหนักแน่น “ดิฉันเรียนอังกฤษเอก ฝรั่งเศสโท”

ข้าหลวงยิ่งสนใจยิ่งขึ้น “ไม่เลว !” ชมอย่างจริงใจ “ทุกวันนี้อ่านหนังสือฝรั่งเศสมั่งหรือเปล่า ควรจะหมั่นอ่านไว้นะ ไม่ยังงั้นอีก ๒-๓ ปีจะลืมหมด”

อาการที่งามพิศทิ้งมือลงข้างตัว พร้อมกับก้มหน้าไม่ตอบว่ากระไรนั้น แสดงถึงความเดือดร้อนภายในที่พลุ่งขึ้นโดยปัจจุบันทันด่วน

“แล้ววิชาครู ป.ป. นะไปถึงไหนแล้วล่ะ?”

“ไม่ค่อยมีเวลาได้เรียนค่ะ”

“คุณป้าใช้มากนักหรือ?” น้ำเสียงหลวงเอนกฯ คล้ายพูดเล่น

​“มีงานมากค่ะ” งามพิศตอบอย่างระวัง แต่ครั้นแล้วความคับแค้นที่สิงอยู่ในใจก็เกิดกำลังกล้า งามพิศเผลอตัวเสริมต่อไปอีก “ทั้งวันๆ ไม่มีเวลาได้เปิดหนังสือเลย พอจะเปิดท่านก็เรียกใช้”

“กลางคืนล่ะ คืนหนึ่งสัก ๒-๓ ชั่วโมงไม่พอหรือ?”

“กลางคืนก็....ไม่มีไฟค่ะ....เผื่อเปิดไฟไว้นานหน่อยก็....เปลืองไฟค่ะ”

“ปัญหายุ่งยาก !” หลวงเอนกฯ ปรารภอยู่ในใจ มองดูคู่สนทนาด้วยความเมตตายิ่ง ภายหลังจึงว่า

“ทำใจดีๆ ไว้ ถึงยังไงอย่าทิ้งความพยายาม ทีหลังจะได้พึ่งตัวเองได้ ฉันจะพูดกับคุณนายเอง.....”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นทันที ละล่ำละลักพูดว่า

“อย่าบอกคุณป้าว่าดิฉัน....”

หลวงเอนกฯ หัวเราะกล่าวว่า

“เขาเป็นผู้ใหญ่ เขารู้ดีอะไรควรพูดอะไรไม่ควร ว่าแต่ตัวเองถ้ามีเวลาว่างอย่าเถลไถล เดี๋ยวงานก็ไม่ทำเรียนก็ไม่เรียน” พูดแล้วหลวงเอนกฯ ก็ออกเดินบ่ายหน้าไปทางที่ส่งศรีนั่งอยู่

ในระหว่างเดินทางกลับ ข้าหลวงนั่งจักรยาน ๓ ล้อ มีนายป้านเป็นผู้ขับนำไปข้างหน้า หนุ่มสาวสามคนตามมาเบื้องหลัง ภายหลังส่งศรีมีความปรารถนาที่จะแสดงกำลังเร็วแห่งขาของหล่อน จึงเร่งรถหนักขึ้นจนขึ้นหน้ารถบิดา งามพิศเร่งตามไปด้วยเหมือนกัน อาศัยความคะนองรวมกับความรักในตัวข้าหลวง ผู้ซึ่งได้ทำให้หล่อนได้รับความเบิกบานและความหวังอย่างใหม่ เมื่องามพิศผ่านรถ​ข้าหลวง หล่อนมีความกล้าพอที่จะเบือนหน้าไปยิ้มกับท่านผู้นี้ในอาการคล้ายคลึงกับที่หล่อนเคยยิ้มกับบิดาของหล่อนเอง

 

85

๑๘

​ประจิตรกล่าวแก่สุนทรีด้วยน้ำเสียงประชดแกมล้อ

“คุณเพื่อนหนุ่มของเธอมาอีกแล้วไม่ใช่หรือ?”

สุนทรีไม่ติดใจในน้ำเสียงของเขา หัวเราะพลางย้อนถาม

“แล้วก็เผอิญสวนกับเธอตรงประตูบ้านอีกใช่ไหมล่ะ?”

“ใช่ฉันเกือบจะยกมือไหว้เทวดา ที่ดลใจให้ฉันมาถึงพอเหมาะพอดียังงั้น”

“พ่อน้องชายที่รักของพี่ เธอไม่ควรจะจงเกลียดจงชังคนที่เธอทำให้เขาเป็นทุกข์”

“สุนทรีที่รักของน้อง ใจของผมไม่มีที่ว่างพอสำหรับที่เกลียดใครเลย แต่ถ้าผมไม่ชอบหน้าใคร ผมไม่อยากจะเฉียดเข้าไปใกล้ ทำไม? เพราะว่าถ้าใกล้คนชนิดนั้นจะทำให้ผมต้องเสียเวลาไปเกลียด เพราะอย่างยิ่งคนที่ผมได้ทำให้เขาเดือดร้อน”

​“แต่เธอควรจะสงสารตาประพันธ์ แทนที่จะไม่ชอบหน้าแก”

“ฉันจะสงสารแกได้มาก ถ้าฉันไม่ได้พบแกเลย”

“ที่จริงเดี๋ยวนี้ท่าทางแกไม่บ้าเหมือนแต่ก่อนแล้ว พูดจาเป็นปกติ ไม่มีไอ้เจ้าหัวเราะไม่มีมูลอย่างแต่ก่อน”

“ด้วยอานุภาพของคุณครูสุนทรี ! พับผ่า เธอนี่เป็นมนุษย์พิเศษ ใครเข้าใกล้เธอแล้วเป็นต้องตกอยู่ในอิทธิพลทุกคน”

“เป็นต้นว่าใครบ้าง !” สุนทรีถามน้ำเสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย เนื่องจากเริ่มนึกโกรธขึ้นแล้ว

“ก็เป็นต้นว่านายประพันธ์ยังไงล่ะ”

“เธอรู้ได้ยังไงว่าแกเปลี่ยนไปเพราะฉัน ทำไมเธอไม่ลองนึกดูมั่งว่า ความประหม่าหรือตื่นอาจจะทำให้คนทำกิริยาบ้าๆ อะไรก็ได้ แต่ถ้าเมื่อไหร่เขาหายประหม่าใจคอเป็นปกติ เขาก็กลับเป็นคนธรรมดา ในระหว่าง ๓-๔ เดือนนี่ตาประพันธ์มาหาฉัน ๕ หน มันนานพอที่จะ.....”

ประจิตรไม่รอฟังให้จบประโยค อุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจจริงๆ

“๕ หน ! อีตานั่นเคยมาที่นี่ ๕ หนแล้ว !”

“๕ หนทั้งหนนี้” สุนทรีซ้ำ อดขันความตื่นเต้นของอีกฝ่ายหนึ่งมิได้ “แปลว่าเธอได้พบกับแกหนแรกกับหนหลังพอดี”

“๕ หน !” ประจิตรทวนอีก แล้วถามอย่างทึ่งที่สุด “แล้วมาทำไม? มาพูดเรื่องอะไรกันมั่ง? แล้วเธอทนนั่งอยู่ด้วยได้ยังไง?”

“ฉันนั่งอยู่ด้วยได้โดยไม่ต้องทนเลย” สุนทรีตอบอย่างเป็น​การเป็นงาน “เราผู้หญิง จำเป็นที่จะต้องทนอะไรต่ออะไรมากต้องหัดทนสิ่งเล็กๆ น้อยๆ จนชินจนไม่รู้สึกว่าต้องทน สำหรับว่าทีหลังเราจะได้ทนสิ่งที่ร้ายๆ กว่านี้ได้”

ประจิตรมองดูผู้พูดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าของเขามีลักษณะอันจะอธิบายได้ยาก ทั้งความนิยม ความทึ่ง ความรำคาญระคนกันอยู่

“ค่ำวันนี้เธอมีโปรแกรมอะไรไหม?” สุนทรีถามขึ้นภายหลังที่ได้นิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง

“มี อนุชาติเขารวยม้า เขาจะเลี้ยงกับข้าวเจ๊ก”

“แล้วเธอเป็นยังไงมั่งล่ะวันนี้”

“เฉยๆ ไม่ได้แทง ลืมไป มัวแต่ตีกอล์ฟเพลิน ถึงรอบเจ้าทองแดง ออกเมื่อไหร่ไม่ทันรู้ตัว ถ้าไม่ยังงั้นก็จะได้หลายบาทอยู่ มันมาที่สอง....อ้อ เมื่อตะกี้เธอถามถึงโปรแกรมของฉันทำไม หรือจะทำโปรแกรมอะไรมั่ง”

“จะไปเยี่ยมคุณพระ ท่านเป็นไข้มาห้าวันแล้ว”

“อ้าว” น้ำเสียงประจิตรแสดงความกังวลขึ้นทันที “เป็นไข้อะไร? แล้วทำไมเธอถึงพึ่งจะไปเยี่ยมวันนี้?”

“ก็พึ่งรู้วันนี้เอง แม่เลี้ยงเขาโทรศัพท์ไปบอกที่โรงเรียน”

“เออ แล้วฉันก็ติดนัดเสียแล้ว โธ่ถ้าเธอบอกเสียเร็วกว่านี้หน่อยก็ไปเยี่ยมเสียก่อนก็ทัน”

“วันหลังก็ได้” สุนทรีว่า “ท่านไม่เป็นมากหรอก ก็มาเลเรียตามเคยน่ะแหละ”

​“หมออะไรรักษา?”

“ไม่ทราบ ขี้เกียจถาม แม่เลี้ยงพูดโทรศัพท์เสียงราวกะหูจะแตก เลยรีบวางเสียเร็วๆ”

“เอ นี่หรือคนใจพระ” ประจิตรว่าพลางหัวเราะ “ไหนว่าเป็นช่างทน ทนฟังเสียงแม่เลี้ยงในโทรศัพท์เท่านั้นแหละไม่ได้”

สุนทรีไม่ตอบ หัวเราะแล้วลุกขึ้นจากที่ซึ่งหล่อนนั่งครึ่งนอนครึ่งอยู่ในท่าขี้เกียจ ประจิตรผู้ซึ่งนั่งอยู่เคียงหล่อนก็ลุกขึ้นด้วย พร้อมกับถามว่า

“เธอจะไปเดี๋ยวนี้หรือ”

“อาบน้ำแล้วไป”

“เรียนคุณอาด้วยนะ ฉันติดนัดเสียแล้ว เป็นความผิดของเธอเองแหละ”

สุนทรียิ้มแล้วว่า

“บอกคุณอนุชาติด้วยว่าฉันว่าใจดำ มันไม่กล้าเชิญเธอแน่ๆ เพราะมันรู้ตัวว่ามันจะเมาหัวราน้ำ มันกลัวเธอ” พูดแล้วประจิตรเดินไปที่ประตู แต่แล้วก็หันกลับมาถามว่า “แข่งกันไหม ใครจะแต่งตัวเสร็จก่อนกัน?”

“ต่อให้ฉัน ๑๐ นาทีซี” สุนทรีตอบ

“ได้ พนันเอาอะไรกันเล่า?”

“ก็เธอจะเอาอะไรล่ะ?”

“เอาจูบทีเดียวแหละ”

“อื้อ ฉันไม่อยากจูบเธอนี่ เธอโตเสียแล้ว”

​ประจิตรผิวปากดังวิ้ว ! “คุณย่า !” เขาว่าแล้วพูดต่อไป “ถ้าฉันแพ้ ฉันให้เธอหยิกเต็มเหนี่ยว ถ้าเธอแพ้ฉันจูบเธอเต็ม....เหมือนกัน”

สุนทรีนิ่วหน้า แล้วคิดเห็นว่าตนไม่มีทางที่จะเสียเปรียบ จึงตอบ

“ตกลง”

ประจิตรปลดสายนาฬิกาจากข้อมือ เรียกให้สุนทรีดูพร้อมกับพูดว่า

“เวลานี้ย่ำค่ำ ๕๔ นาทีนะ ทุ่ม ๑๐ นาทีเป๋งใครไม่เสร็จ คนนั้นแพ้ ถ้าเผื่อเสร็จก่อนนั้นใครเสร็จก่อนไปอีกก็ชนะ ฉันจะคอยจนทุ่มกับ ๕ นาที ถึงจะลงมืออาบน้ำ”

สุนทรีนิ่งคิดอีก ระแวงว่าประจิตรจะต้องหาทางโกงเป็นแน่ แต่ก็จับไม่ถนัดว่าจะโกงทางไหน ในที่สุดจึงว่า

“แล้วเธออย่าโกงนะ” พูดแล้วนึกถึงทางที่เขาอาจจะโกงได้ทางหนึ่ง “เดี๋ยวเธอก็หมุนนาฬิกาเสียเท่านั้น”

“ก็เอานาฬิกาของเธอมาเทียบไว้ซี”

สุนทรีหยิบนาฬิกาของหล่อนมาดู ก็เห็นว่าตรงกับนาฬิกาของประจิตร แม้กระนั้นก็ยังข้องใจ ประจิตรพูดอาการยิ้มอย่างขันที่สุดปรากฏในดวงตา

“ตกลงนะ ฉันไปละ” แล้วเขาก็ออกไปจากห้อง และปิดประตูห้องตามหลังเข้ามาด้วย

แต่เมื่อปิดประตูห้องแล้ว เขายังหาไปจากที่นั้นไม่ รออยู่​จนได้ยินเสียงสุนทรีลั่นกลอนห้องน้ำ เขาจึงผละจากที่สาวเท้าไปยังห้องเขา และเดินทะลุจากห้องนอนตรงเข้าห้องน้ำทีเดียว

สุนทรีแต่งตัวอย่างเร่งรีบ จนเหงื่อออกทั้งที่ผิวหนังถูกความเย็นมาใหม่ๆ เมื่อเสร็จแล้ว ยังขาดเครื่องหอมหล่อนรีบหยดน้ำอบลงในมือ แล้วออกจากห้องวิ่งไปยังห้องประจิตร

ประตูห้องนี้เปิดอยู่ สุนทรีมองเข้าไปเห็นชายหนุ่มนั่งไขว่ห้างสูบบุหรี่อยู่บนเก้าอี้ แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแม้แต่ขอสักคู่หนึ่งก็ไม่ลืมเกี่ยว เขามองดูหล่อนเข้าประตูมาอย่างใจเย็น และภาคภูมิใจ สีหน้าเต็มไปด้วยความสนุกอย่างยิ่ง

เมื่อเห็นสุนทรีชะงัก ทำหน้าพิกล เขาก็ผิวปากและทัก

“ครู ! อย่างรีบยังเช้งถึงปานนี้ ถ้าไม่รีบจะปานไหนดีน้อ ! ผมชนะคุณพี่แล้ว อย่ายักเยื้อง มาให้น้องจูบเสียดีๆ”

“โกง !” สุนทรีร้อง “เธอต้องโกงฉันแน่ๆ เทียว เธอไม่เคยแต่งตัวเร็วถึงยังงี้ ๕ นาที ทั้งอาบน้ำแต่งตัวเธอทำไม่ได้นี่นา”

“โกงยังไง พิสูจน์มาถี”

สุนทรีไม่มีความคิดไปว่าเขาจะโกงหล่อนอย่าง ‘ดื้อๆ’ ดังที่เขาได้ทำแล้ว มองไปรอบห้อง เห็นกางเกงเสื้อชั้นในผ้าเช็ดตัวกองทิ้งอยู่เกลื่อนกลาด และตู้เสื้อผ้ารวมทั้งลิ้นชักก็เปิดอยู่สิ้น

“เธอไม่ได้เรียกคนใช้หรอกหรือ?” หล่อนถาม

“ก็ไม่ได้ตกลงกันไว้อย่างนั้น จะเรียกมาก็กลัวเธอจะว่าโกง มาน่ะ แพ้เขาแล้ว มาให้เขาปรับตามสัญญา”

เมื่อไม่มีทางจะพิสูจน์ข้อหา สุนทรีก็ยอมจำนน แต่สีหน้า​ของหล่อนนั้นแสดงความพอใจยิ่ง ในความคิดที่จะ ‘บิด’ เอาเขาได้ ก้าวหน้าเข้าไป ๒ ก้าว ยื่นมือซ้ายให้ประจิตรจนชิดหน้าแล้วว่า “เชิญจูบให้พอใส่น้ำอบมาหอมๆ ด้วย”

“เอ้ย ! มือไม่เอา” ประจิตรค้าน จับมือหญิงสาวไว้และดึงจะให้หล่อนมาใกล้ตัว สุนทรียืนตัวไว้มั่นพลางว่า

“ไม่ได้สัญญากันนี่ว่าต้องจูบที่ตรงไหน”

“ก็ฝ่ายชนะต้องมีสิทธิ์เลือกได้ซี”

“ไม่ได้ ไม่ได้สัญญา” สุนทรีสั่นศีรษะประกอบคำพูด

“ไม่จูบก็ปล่อยมือเขาคืนมา”

ประจิตรลังเล จะยอมแพ้ หรือจะเอาชนะด้วยกำลัง ในที่สุดเขาปล่อยมืออันขาวและเรียวเสียจากมือของเขา แล้วก็หัวเราะด้วยเสียงอันดังและพูดว่า

“เกลือจิ้มเกลือ....ฝากไว้ก่อนเถอะ !”

หญิงสาวหัวเราะเบาๆ ดวงหน้าเป็นสีชมพู ก้มศีรษะให้เขานิดหนึ่ง แล้วว่า

“ลาไปก่อนนะจ๊ะ อีก ๒๔ ชั่วโมง พบกันใหม่” แล้วหล่อนก็ออกจากห้องไปทันที

ระหว่างที่รถแล่นพาตัวหล่อนห่างจากที่อยู่ เพื่อไปสู่บ้านท่านบิดา สุนทรีคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ก่อน สีหน้าของหล่อนจึงเปลี่ยนเป็นลักษณะต่างๆ บางวาระดูเป็นลักษณะสนุก บางวาระเป็นลักษณะขัน ครั้นอีกวาระหนึ่งดูอ่อนโยนเต็มไปด้วยความรัก และในท้ายที่สุดก็เป็นลักษณะขรึมและเศร้า นี่เป็นเรื่องธรรมดาใน​เมื่อสุนทรีนึกถึงชายหนุ่มผู้อยู่ร่วมเคหะเดียวกับหล่อน

รถแล่นมาจวนถึงปลายทาง สุนทรีเริ่มตื่นจากความครุ่นคิด เมื่อเห็นรถคันหนึ่งแล่นเรื่อยๆ ไปข้างหน้า สุนทรีแน่ใจว่าตนรู้จักรถคันนั้น แต่นึกไม่ออกว่าเป็นรถของใคร.... รถที่สุนทรีนั่งกำลังจะทันรถคันหน้า สุนทรีเริ่มจำเขาผู้ขับรถนั้นได้ พอทันกันแล้วสุนทรีก็ยิ้มและโบกมือทักเขาด้วยกิริยาแสดงความสนิทสนม

และเนื่องจากคนที่ขับรถของสุนทรีเป็นผู้มีอายุแล้ว พ้นจากวัย ‘เปรี้ยวปรูดปราด’ สุนทรีจึงมีเวลาเห็นหน้าหลวงชาญยนตรกิจได้ถนัดถนี่ ดูเหมือนเขาผู้นั้นจะขับรถไป ‘เปื่อย’ ไม่มีที่หมายว่าแห่งใด สุนทรีเกิดความประหลาดใจว่าทำไม เขาจึงไม่ไปหาหล่อน และเมื่อรู้สึกถึงความประหลาดใจของตนแล้ว สุนทรีก็นึกขำในการที่ใจของตนคิดไปเช่นนั้น

สุนทรีเคยคิดและกำลังคิดอยู่ว่า หลวงชาญฯ เคยชอบหล่อนมาก และมิใช่ชอบอย่างผิวๆ เผินๆ ในเวลาสนุกหรือเมาอย่างที่คนอื่นๆ บางคนเคยชอบ แล้วคิดต่อไปถึงประจิตร เมื่อเขาผู้นั้นพูดกับสุนทรีเรื่องหลวงชาญฯ ก็มักจะมีน้ำเสียงกระแนะกระแหนผู้ฟัง แต่ประจิตรกับหลวงชาญฯ ก็ยังชอบพอกันดีอยู่เสมอ และเท่าที่สุนทรีเคยพบเขาทั้งสองพร้อมกัน ยังไม่เคยเห็นว่าประจิตรได้แสดงกิริยาหรือวาจาต่อหลวงชาญฯ ไปในทางให้เห็นว่าเขามีความรังเกียจ หรือไม่ชอบหน้าหรือไม่ชอบอัธยาศัยหลวงชาญฯ แม้แต่อย่างหนึ่งอย่างใด ยิ่งกว่านั้นประจิตรไม่เคยล้อเลียนหลวงชาญฯ จนถึงกับทำให้สุนทรีใจหายหวาดหวั่นในบางครั้ง เหมือนดังที่เขา​เคยล้อเลียนสหายอื่นๆ หรือจะเป็นที่ประจิตรเคารพในวัยของหลวงชาญฯ ซึ่งสูงกว่าเขาครึ่งรอบกว่ากระมัง

ทั้งที่สุนทรีรู้ว่า ประจิตรอายุอ่อนกว่าหลวงชาญฯ หลายปี หล่อนก็อดปรารมภ์มิได้ว่า ทำไมหนอประจิตรจึงไม่มีความคิดความเห็นเหมือนหลวงชาญฯ บ้าง ทำไมเขาจึงไม่มีความครุ่นคิดฝักใฝ่ถึงการก้าวหน้าของตนเอง ความก้าวหน้าแห่งชาติ ความเจริญและความเสื่อมแห่งมนุษยชาติ ความเจริญและความเสื่อมแห่งมนุษยธรรม หรือว่าเขาก็คิดอยู่ และถือว่าได้ทำหน้าที่แห่งพลเมืองของชาติและของโลกเต็มกำลังดีอยู่ และก็ไม่ชอบที่จะนำความคิดออกพูดพร่ำเพรื่อ และเขาอาจมีความเห็นว่าผู้ที่หมั่นแสดงความคิดสูงต่างๆ นั้น เป็นผู้ที่ดีแต่พูดเพื่ออวดตัวเท่านั้นเอง ซึ่งสุนทรีก็หามีข้อที่ยืนยันคัดค้านความเห็นของเขาไม่ ทั้งนี้เพราะเท่าที่หล่อนรู้ หลวงชาญฯ ก็มิได้มีการกระทำใดที่ดีเป็นพิเศษ นอกเหนือไปจากที่ประจิตรทำอยู่ คือเป็นข้าราชการและทำงานไปตามหน้าที่....

แต่ถึงกระนั้น มีความจริงอยู่ข้อหนึ่งที่สุนทรียืนยันได้แน่นอน คือในเวลาที่หล่อนสนทนาอยู่กับหลวงชาญฯ หล่อนมักจะได้ความคิดว่า ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่น่ารู้น่าเรียน ควรรู้ควรเรียน ต้องรู้ต้องเรียน ยิ่งไปกว่าที่หล่อนเคยรู้เคยเรียนมาแล้วหลายเท่า จิตใจของหล่อนย่อมมีอาการพิเศษจากธรรมดา ดูเหมือนว่าใจดวงน้อยที่อยู่ในร่างกายขนาดวาเดียวนั้นได้ขยายตัวขึ้นอย่างใหญ่หลวง จนกว้างขวางพอที่จะรับรู้เรื่องราวของมนุษย์ทั้งชาติและทั้งโลกแล้ว และเกิดความเมตตาปรานี เห็นใจ ให้อภัยในสิ่งที่คนส่วนมากเห็น​เป็นความชั่วก็ได้ และจนถึงกับอาจที่จะเสียสละสิ่งใดๆ ได้หลายสิ่งหลายอย่างเพื่อความสุข ความเจริญของเพื่อนมนุษย์

และหลังจากที่ได้สนทนากับหลวงชาญฯ แล้ว สุนทรีก็มีความทะยานอยากในอันที่จะหาความรู้ใส่ตัว ในอันที่จะประกอบกรรมอันเลิศ เพื่อให้คุ้มกับกรรมชั่วของผู้ที่กระทำชั่วทั้งหลาย ในอันที่จะเพิ่มพูนความก้าวหน้าแห่งตน ในอันที่จะขยันหมั่นเพียรยิ่งขึ้นในกิจที่ตนกระทำอยู่ เพื่อให้กิจนั้นเป็นประโยชน์กิจแก่คนหมู่มาก ในอันที่จะบำรุงจิตใจของตนให้งามบริสุทธิ์ขึ้นเป็นนิจ

แต่ในการอยู่ใกล้ชิดกับประจิตร สุนทรีรู้สึกว่าใจของหล่อนแคบเข้า หล่อนคิดถึงสิ่งอื่น หรือผู้อื่นใดมิได้อีกนอกไปจากประจิตรและตัวหล่อนเอง หล่อนเป็นสุขมากชื่นบานมาก อิ่มเอิบมากในขณะนั้น แต่ภายหลังเมื่อหล่อนหวนกลับมาคิดถึงลักษณะแห่งจิตใจที่เปลี่ยนไป และพร้อมกับที่ประจิตรไปห่างจากหล่อน ความเศร้าก็เกิดขึ้น รู้สึกว่าชีวิตมนุษย์นี้หยาบและตื้นเป็นวัตถุอันหนึ่ง เช่นเดียวกับวัตถุทั้งหลาย ซึ่งมีธรรมชาติต้องแตกดับแล้วก็ปนไปกับแผ่นดิน ไม่มีความหมาย ไม่มีค่า ไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร มีแต่ความว่างเปล่าและความสูญ ซึ่งทั้งนี้ก็ไม่น่าที่มนุษย์จะมีความฝักใฝ่ไปในทางใด นอกจากการหาความสุขความสะดวกในการกิน การนอน การต่อพืชพันธุ์เช่นเดียวกับ ‘ชีวิต’ ทั้งปวงเป็นต้นว่าเดรัจฉาน....

สุนทรีรู้สึกตัวว่ามาถึงบ้านพระวนศาสตร์ฯ เมื่อได้ยินเสียงแหลมและเล็ก ๒-๓ เสียงร้องว่า “คุณพี่ คุณพี่มา”

​“เอาอะไรมาฝากหนูมั่ง?” เด็กหญิงอายุ ๕ ขวบถามก่อนที่สุนทรีจะได้ลงจากรถ

“แหม ทวงของฝากก่อนทีเดียว ยายน้อย” พี่สาวกล่าวพร้อมกับหัวเราะ “เสียใจวันนี้ไม่มีอะไรมาฝาก คุณพ่อเป็นยังไงมั่งจ๊ะ?”

“คุณพ่ออยู่กะหมอ” เด็กชายอายุ ๘ ขวบตอบแล้วถามต่อไปโดยเร็ว “คุณจิตรไม่มาหรือครับ?”

“คุณจิตรมีธุระ มาไม่ได้”

แล้วสุนทรีจูงมือน้องผ่านเฉลียงตึกขึ้นไปชั้นบน ในระหว่างนั้นหล่อนถามอีก

“คุณแม่ของหนูอยู่ไหน?”

“อยู่ในครัว” เด็กหญิงตอบ

“พี่หวินกับพี่นงล่ะ?”

“ไม่รู้เขานี่จ๊ะ”

เมื่อมาใกล้ห้องที่อยู่ของพระวนศาสตร์ฯ เด็กชายก็ปล่อยมือพี่สาวเสีย ชิงเข้าประตูก่อนพร้อมกับพูดอย่างดังและตื่นเต้น

“พ่อครับ คุณพี่มา”

ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ในห้องนี้ลุกขึ้นยืนเมื่อเห็นสุนทรี ฝ่ายเจ้าหล่อนก็มีสีหน้าแสดงความประหลาดใจ เมื่อเห็นว่าเขาผู้นั้นคือนายแพทย์สุทัศน์

“นี่หมอมาเยี่ยมหรือหมอรักษาคะ?” หล่อนถามทันทีพร้อมกับยิ้ม

​ในขณะที่หล่อนเข้าไปกราบท่านบิดาจนถึงตัว คุณพระตอบคำถามของหล่อนว่า

“ทั้งสองอย่าง แล้วยังแถมเป็นเพื่อนคุยอีกด้วย”

สุนทรีนั่งพับเพียบอยู่ตรงข้างเก้าอี้ที่บิดานอนนั่นเอง จึงเป็นเหตุให้นายแพทย์สุทัศน์ทำท่าอึดอัดเล็กน้อย แล้วในที่สุดก็ลดตัวลงนั่งบนพื้นกระดาน พระวนศาสตร์ฯ จึงว่า

“อ้าว แล้วกัน สุนทรี ลงไปนั่งแปะอยู่อย่างนั้น หมอเลยต้องหักแข้งหักขา”

สุทัศน์ค้านโดยเร็ว “ไม่ถึงกับหักหรอกครับ” แล้วเขาพยายามนั่งพับเพียบ ขาพับไม่สนิท ตัวเอนดังจะโค่นเขาจึงใช้เก้าอี้เป็นที่ยัน

สุนทรียิ้มในหน้า นึกในใจว่า “ดีแล้ว หัดเสียมั่ง” แต่หล่อนพูดว่า “ก็นั่งเสียข้างบนเก้าอี้ก็แล้วกัน”

“ไม่เป็นไร” เขาตอบ “นั่งอย่างนี้ดีแล้ว”

สุนทรีถามถึงอาการของท่านบิดา ได้รับคำตอบอันไม่ทำให้เป็นที่น่าตกใจ กับทั้งแสดงว่าคนไข้ทุเลาลงมากแล้วด้วย นายแพทย์ยังกำชับอยู่แต่ว่าให้ระวังอาหารและพักผ่อนมากที่สุด เพื่อให้ร่างกายได้กำลังแข็งแรงขึ้นจนเป็นปกติเท่านั้น

“แล้วทำยังไงถึงจะหายขาดได้คะ เจ้ามาเลเรียกับกระเพาะอาหารของคุณพ่อนี่น่ะ?” สุนทรีปรารภมองดูท่านบิดาก่อน แล้วมองไปทางนายแพทย์

สุทัศน์ยิ้มน้อยๆ มองไปทางคนไข้ของเขาแทนคำตอบ คุณ​พระจึงว่า

“หมอก็กำลังพยายามจะให้หายขาดให้ได้ แต่ตั้งข้อบังคับไว้ให้มากเหลือเกิน”

“อะไรมั่งคะ” หญิงสาวถามด้วยความเอาใจใส่อย่างยิ่ง

“ถามเขาดูซี” คุณพระตอบแล้วก็หัวเราะ

สุนทรีมองดูสุทัศน์ เขายิ้มอีกแล้วจึงว่า

“นอนหัวค่ำ ตื่นเช้า....”

“อุ๊ย !” เจ้าหล่อนอุทาน “มิน่าล่ะ คุณพ่อออกจะท้อแท้ แล้วอะไรอีกคะ?”

“รับประทานแต่อาหารที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกายจริงๆ แล้วก็ฝืนรับประทานให้มากหน่อย”

“แหม ตายเลย ! ล้วนแต่ยากๆ สำหรับคุณพ่อทั้งนั้น”

“แล้วยังเกณฑ์ให้ออกกำลังอย่างน้อยวันละชั่วโมง” พระวนศาสตร์ฯ เสริม “จะให้ออกกำลังทำอะไรพ่อ เทนนิสก็ไม่ไหวเสียแล้ว กอล์ฟก็ไม่เคยชอบเลย แล้วก็ชั่วโมงเดียวไม่พอสำหรับเล่นกอล์ฟ”

“เดินซีครับ” สุทัศน์ตอบสีหน้ายิ้ม “ตื่นแต่เช้าแล้วก็ออกเดินเสียชั่วโมงหนึ่ง หรือมิฉะนั้นก็เวลาเย็น”

“อื้อ !” พระวนศาสตร์ฯ อุทานอยู่ในคอ “แถวบ้านฉันมันก็ไม่ค่อยจะน่าเดินเสียด้วย ฝุ่นรถยนต์ให้คลุ้งไป”

“ขึ้นรถไปเดินแถวบ้านลูกซีคะ” สุนทรีเสนอ

พอขาดคำเด็กหญิงที่นั่งอิงแอบหล่อนอยู่ก็เอ่ยขึ้นว่า

​“เออ ดีๆ ! หนูไปด้วย”

สุนทรีก้มหน้าลงยิ้มกับน้อง แล้วพูดสืบไป

“ตื่นย่ำรุ่ง ก็แต่งตัวขึ้นรถ แล้วไปลงที่ถนนเงียบๆ เดินไปจนถึงบ้านลูก รับประทานอาหารเช้าเสียเลย แล้วก็ขึ้นรถกลับมาอาบน้ำ ไปกระทรวง หรือจะอาบที่บ้านโน่นแล้วรับประทานอาหารก็ได้”

คุณพระอมยิ้ม มองดูธิดา ในที่สุดก็ว่า

“อัตตะกิลมถานุโยค !”

สุทัศน์ไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน แต่เขาเดาได้ว่าน่าจะมีความหมายใกล้เคียงกับคำ “โยกโย้” ด้วยนิสัยของแพทย์ผู้ปรารถนาจะชนะโรคยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด ราวกับนิสัยของชายที่ทำอะไรทำจริง เขานึกอยากจะตำหนิคุณพระสักคำหรือสองคำให้หนักพอกับความออดแอดของท่าน หากเกรงต่อวัยวุฒิจึงยั้งปากไว้

ราวกับสุนทรีรู้ใจนายแพทย์ หล่อนพูดเป็นเชิงปรารภคล้ายจะแก้ตัวแทนบิดา

“เวลาเจ็บจะรักษาตัวให้หาย ใครๆ ก็หมั่นรักษาแต่พอหาย แล้วจะรักษาให้หายดีนี่โดยมากทำไม่ค่อยจะได้”

“จริง” พระวนศาสตร์ฯ รับทันที “เพราะยังงั้นฉันถึงต้องเปลี่ยนหมอบ่อยๆ เพราะว่าถ้าให้เขารักษาประจำเขาจะรู้แกวเสียแล้วเขาจะเบื่อ ทีหลังตามทีไรก็จะนินทาในใจ”

“ผมจะไม่เบื่อเป็นอันขาด” สุทัศน์เอ่ยขึ้นทันทีสีหน้าขรึมและขึงขัง แล้วนึกขำที่คนไข้รู้จักตัวของท่านดีก็หัวเราะพร้อมกับพูดสืบ​ไป “ถึงใต้เท้าจะอิดออดในการรักษาตัว แต่ใต้เท้ารับตรงๆ ผมพอใจแล้ว ดีกว่าคนที่คอยซัดหมอข้างเดียวหลายร้อยเท่า”

“ขอบใจ” พระวนศาสตร์ฯ ตอบพร้อมกับยิ้ม

สุนทรีปรารภกับตัวเอง ว่าวันนี้ท่านบิดาของหล่อนค่อนข้างจะช่างพูดผิดธรรมดา แล้วนึกได้ต่อไปว่าดูเหมือนท่านจะร่าเริงสนุกสนานไปพักหนึ่งๆ ทุกคราวที่รื้อไข้ ครั้นภาวะแห่งร่างกายเป็นปกติดีแล้ว ก็กลับเป็นผู้ที่เฉยๆ ขรึมๆ อย่างเดิม เมื่อรู้สึกว่าท่านกำลังมีอารมณ์สนุกดังนี้แล้ว สุนทรีจึงฉวยโอกาสนินทาตัวท่านเองต่อหน้าท่านโดยทางอ้อม

“คุณพ่อจะว่ารับประทานง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เกลียดของฝรั่งเกือบทุกอย่าง นม เนย ไข่ไก่ ไม่ชอบทั้งนั้น กับข้าวฝรั่งก็ไม่ชอบรับประทาน”

พระวนศาสตร์ฯ มองดูธิดาอย่างเห็นขัน แล้วเบือนหน้าไปทางนายแพทย์พร้อมกับพูดแกมหัวเราะ

“เขาว่ากันว่าคนที่ศิวิไลซ์มากยิ่งชอบกินมาก อย่างคนฝรั่งเศสคนจีน เขารู้จักทำอาหารดีที่หนึ่ง แปลว่าชาติของเขามีความศิวิไลซ์ก่อนชาติอื่นทั้งหมด ดังว่าคนศิวิไลซ์น่ะเขาเสพอาหาร คือเขารู้จักรสรู้จักชาติ แต่คนที่ป่าเถื่อนน่ะ กินอาหารสักแต่ว่ายัดๆ เข้าไปพออิ่มท้อง ฉันเองน่ะยังเป็นพวกป่าเถื่อนร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะดูเหมือนจะไม่รู้จักชอบกินอะไรเสียเลย”

“คุณพ่อชอบกล้วยยังไงคะ?” สุนทรีว่า

“นั่นแหละเป็นอาหารดีที่สุดเทียวครับ” สุทัศน์เอ่ยขึ้นทันที ​“กล้วยมีทุกอย่างที่ร่างกายต้องการ มีบริบูรณ์เสียยิ่งกว่าอาหารอื่นที่เรากิน กินกล้วยอย่างเดียวเท่ากับกินข้าว กินมัน กินผัก กินผลไม้หมดทุกอย่างรวมกัน ถ้าจะให้ดีก็รับประทานนมด้วย เพราะกล้วยมีธาตุปูนน้อยไปหน่อย”

“กินสุกหรือดิบ?” พระวนศาสตร์ฯ ถาม

“สุกครับ แต่ถ้าสุกไปละก็เสื่อมคุณภาพไปบ้าง”

“อ๋อ ก็แน่ ใครจะกินกล้วยเขียวๆ เข้าไปได้”

“ห่ามก็ไม่ดีครับ ทำให้ท้องผูก”

ในเวลานี้เอง นางวนศาสตร์โกศลเข้ามาในห้อง สีหน้าสุนทรีก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ถอยห่างจากเก้าอี้นอนท่านบิดา

“อ้อ ! แม่สุนทรี” ผู้ที่มาใหม่ทักเสียงดังก้องห้อง “มาเมื่อไหร่ไม่ยักรู้ คุณรับประทานข้าวหรือยังคะ? เกือบตี ๘ แล้ว คนเจ็บกินแล้วคนดีจะได้กินบ้าง ฉันทำซุปมักกาโรนีวันนี้ คุณหมออยู่รับประทานด้วยกันไหม? แม่สุนทรีล่ะ?”

“รับประทานค่ะ”

“อ้อ ! ตั้งใจมาแล้วหรือ แหม ! ยายน้อยนั่งเงียบจริง พอใจแล้วได้นั่งกอดคุณพี่ หมออยู่ด้วยนะ เออ ! เกือบลืมให้คุณรับประทานยาก่อนอาหาร นี่หมอยาจวนหมดแล้ว เหลืออีกไม่ถึงครึ่งขวด มะรืนนี้เอามาให้ใหม่นะ ยาเม็ดก็หมดไปเป็นกอง”

ในระหว่างพูด นางวนศาสตร์ฯ เดินไปมาด้วยกำลังจะรินยาและเตรียมน้ำให้สามี พร้อมทั้งหยิบขวดยาให้แพทย์ด้วย เมื่อส่งยาให้คุณพระก็ยังคงพูดเรื่อยต่อไป

​“ฉันสั่งให้เขายกมาแล้วละ ข้าวตุ๋นดูเหมือนจะแฉะไปหน่อย เต็มทีนางแดงทำอะไรที่กะจะให้ถูกส่วนเป็นไม่มี สั่งให้ตวงทั้งน้ำทั้งข้าวมันไม่มีวันเชื่อเสียเลย เชื่อตามันเองมากกว่า เอ้า พุทโธ่ ! คุณรับประทานยาก็ให้เหลือติดก้นถ้วย น่าล้างถ้วยให้ทานเสียอีกเหลือเกิน แม่สุนทรี พ่อจิตรเขาไม่ได้มาด้วยหรอกหรือ?”

สุนทรีเบือนหน้าไปทางบิดา พูดด้วยเสียงทั้งเบาทั้งช้า ผิดจากธรรมดาที่หล่อนเคยพูดเป็นอันมาก

“คุณประจิตรให้เรียนคุณพ่อว่า วันนี้มาไม่ได้เพราะติดนัดกับเพื่อนไว้เสียแล้ว ลูกบอกให้เธอทราบช้าไป เธอกลับตัวไม่ทัน”

นายแพทย์สุทัศน์มองดูหญิงสาว และสำเหนียกสำนวนที่หล่อนใช้ไว้ทุกคำ

 

86

๑๗

​“เบรค ! เบรคไว้ เบรคไว้ !”

งามพิศได้ยินเสียงที่ตะโกนตามหลังมา และเข้าใจความหมายดีแต่มือของหล่อนหาทำความเข้าใจไม่ รถจักรยานก็วิ่งเข้าใส่ต้นไม้ดังกึก ! แล้วก็ล้ม ตัวงามพิศลงไปนอนตะแคงกอดรถอยู่บนดิน

ส่งศรีวิ่งมาถึงตัวเพื่อน ตกใจด้วยขันด้วยหัวเราะพลางบ่น

“บอกให้เบรค ให้เบรค ไม่เบรคไว้นี่ เจ็บไหม?” แล้วพยายามยกรถขึ้นตั้ง

หลวงเอนกฯ เดินมาเบื้องหลังธิดา หัวเราะพลางถาม

“เจ็บไหม? หัวเข่าชนต้นไม้หรือเปล่า? จะวิ่งมาช่วยก็ไม่ทัน”

ก่อนอื่นงามพิศจับแว่นตาให้เข้าที่ แล้วจึงลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นตามตัว รู้สึกขัดที่สะโพกแต่ไม่เอาใจใส่ ตอบเสียงใสแกมหัวเราะ

​“ไม่เจ็บหรอกค่ะ”

“คุณพ่อกำลังชมว่าเก่ง....”

“นั่นซี พอออกได้ก็ไปปร๋อ ที่ไหนได้ วิ่งเข้าหาต้นไม้เสียแล้ว แต่ไม่เป็นไรถ้าใจกล้ายังงี้ละก็เดี๋ยวก็เป็น แล้วไอ้รถถีบนี่น่ะ ถ้าไม่เจ็บเสียมั่งก็ไม่เป็นหรอก”

ส่งศรีหันหน้าเข้าหารถ จับแฮนเดิ้ลหันไปมาพลางเล็งดู ทำท่าคล้ายผู้ชำนาญ ตามธรรมดาของผู้ที่ ‘พึ่งเป็น’

งามพิศถามด้วยเสียงแสดงความกังวล

“หักไหมเธอ? หรือถลอก? หรือบุบที่ไหนบ้างหรือเปล่า?”

“ไม่มี” ส่งศรีตอบ “แฮนเดิ้ลเอียงไปหน่อย ทีหลังพอขึ้นแล้วเธอจับเบรคไว้ให้แน่นซี พลาดท่าก็เบรคปี๊บ” พูดจบแล้วส่งศรีก็เหยียบเท้าซ้ายลงบันไดรถพร้อมกับขยับเท้าขวาตามไปด้วย ทำดังนั้น ๒-๓ ครั้ง แล้วก็ขึ้นนั่งบนอานได้และถีบรถวนไปในที่ใกล้

ข้าหลวงยืนมองดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พูดว่า

“พ่อไปละนะ แกจะหัดกันต่อไปก็เรียกนายป้านเขามา”

ข้าหลวงเดินไปทางเรือนที่อยู่ งามพิศมองตามตัวเพื่อนซึ่งเคลื่อนที่วกวนไปกับรถ แล้วแต่ทางที่ล้อจะพาไป โลหิตฉีดแรงด้วยความกระหาย ดวงตาก็วาวอยู่ในกระจกแว่น

ส่งศรีมาลงรถตรงหน้าเพื่อนแล้วอธิบาย

“มือต้องกุมเบรคไว้เสมอที่เธอ แล้วเวลาจะหลีกอะไรก็แฮนเดิ้ลนิดเดียว แล้วตัวก็หันไปตาม อย่าไปขึ้นมันไว้ ถ้าขืนมันก็ล้มกันเท่านั้นเอง”

​งามพิศถอนใจ ตรงเข้าลูบคลำรถ แล้วพารถเดินยิ่งเกิดความกระหายเป็นทวีคูณ นึกคอยว่าเมื่อไหร่เพื่อนของตนจึงจะเรียกนายป้าน แล้วหวังว่าข้าหลวงจะได้สั่งให้นายป้านมาต่องานที่ได้ตั้งต้นไว้ แล้วกลับนึกท้อใจว่าตนเห็นจะไม่มีโอกาสได้ ‘ถีบเป็น’

งามพิศรู้สึกตรงกับที่ว่า ‘ใจมาขึ้นเป็นกอง’ เมื่อเห็นนายป้านโผล่ออกมาจากเรือนใหญ่ แต่แล้วก็เห็นว่านายป้านเดินตรงไปตามทางที่จะออกไปนอกจวน ใจที่มาเป็นกองก็หายไป แต่ด้วยความที่มีความปรารถนาอย่างแรงกล้า หล่อนก็บอกแก่เพื่อน แต่บอกด้วยเสียงธรรมดาค่อนข้างจะเรื่อยๆ เฉยๆ เสียด้วยซ้ำ

“นายป้านกำลังจะไปไหน”

ส่งศรียกมือขึ้นป้องปากและตะโกนไปทันที

“ตาป้านไปไหน?”

ชายคนใช้ผู้ซึ่งยังขาดอายุสำหรับที่จะเป็นตาอีกหลายปีนั้นหยุดชะงัก แล้วก็บ่ายหน้ามาทางผู้ที่เรียกตน

“เห็นท่านบอกให้มาหัดรถถีบ ผมนึกว่าคุณอยู่แถวหน้าจวน”

“หัดหน้าจวนจะได้แขนขาหัก ไม่ใช่ฉันหรอกแม่นี่แน่ะ เขาอยากหัดมั่ง เมื่อตะกี้คุณพ่อท่านจับให้เขา”

เมื่อเข้าใจแล้วว่าผู้ที่ตนจะต้องช่วยนั้นไม่ใช่นายของตน นายป้านก็มีสีหน้าแสดงความไม่เต็มใจจนงามพิศมองเห็น ความเกรงใจเกิดขึ้นแก่งามพิศอย่างแรง แต่ความ ‘อยากเป็น’ ก็มีกำลังนักหนา

“จับพอให้ฉันนั่งแล้วก็ปล่อยเท่านั้นแหละจ้ะ” ในที่สุดหล่อน​พูดขึ้น ทั้งน้ำเสียง สีหน้า และแววตาเต็มไปด้วยความวิงวอนอย่างอ่อนน้อม

นายป้านค่อยๆ เดินเข้าใกล้รถ งามพิศก็จัดแจงหันตัวรถเสียเอง ให้หน้ารถหันไปทางที่มีเครื่องกีดขวางน้อยที่สุด แล้วก็เข้ายืนที่

“เบรคอยู่มือขวา เวลาหลีกไม่ขืนตัว” งามพิศท่องอยู่ในใจ พร้อมกับหัวใจเต้นแรงด้วยความ ‘อยากเป็น’ ความมานะและความตื่นเต้น ส่วนเท้าก็เหยียบบันไดขึ้นไปนั่งบนอาน

วื๊ด ! นายป้านเสือกรถด้วยกำลังแขนโดยแรง แซ้ก !....เท้างามพิศหลุดจากบันไดทั้งสองข้างแต่รถก็ยังทรงตัวอยู่....งามพิศแกว่งเท้าเบาๆ พอคลำหาบันได อ้า ! ได้แล้วข้างหนึ่ง อ้าว ! ได้อีกข้าง หนึ่งด้วย งามพิศถีบ ถีบ.....ตามหลักที่ท่านข้าหลวงสอนไว้ว่า “ถีบไว้เป็นไม่มีล้ม” ตัวคดไปข้างขวาทีหนึ่ง ข้างซ้ายทีหนึ่ง ข้างขวาอีกทีหนึ่ง ข้างซ้ายอีก ข้างขวาอีก....ตะโพกก็พลิกไปพลิกมา หน้ารถก็ส่ายว่อกแว่ก งามพิศก็ยังคงถีบๆๆ ได้ยินเสียงส่งศรีหัวเราะบ้าง ร้องว้ายบ้าง แต่เพียงแว่วๆ เอ๊ะ ! นั่นต้นไม้อีกแล้ว....เบรค งามพิศสั่งตัวเอง พยายามนึกว่ามือขวาอยู่ข้างไหน วื้ด ! ตัวเฉียดต้นไม้ไปเพราะงามพิศไม่ได้ห้ามล้อ รถโดนแล้วก็ตั้งตัวได้....เกิดความรู้สึกขึ้นว่า ตนพารถหลีกเครื่องกีดขวางมาอย่างหวุดหวิด ใจบานด้วยความปีติ ลองอีกทีก็ได้ หักรถอ้อมไปทางซ้าย.....เอ๊ะ.... เอ๊ะ ! นี่ยังไงจึงเร่มาทางขวา ต้นไม้อีกแล้ว เลยตามเลย เบนขวาให้หนักหน่อย ว้าย! ต้นไม้ ! หลีก กึก ! ซึ่ก ! งามพิศยืนอยู่บน​ดิน รถซวนแต่ไม่ถึงกับล้ม และอยู่ในบังคับแห่งข้อมือของงามพิศ

“นึกว่าอีกผางหนึ่งแล้ว” ส่งศรีกล่าวเมื่องามพิศจูงรถเข้ามาใกล้ “เธออย่าให้มันคดไปคดมาซี นั่งให้ตรงๆ”

งามพิศหัวเราะเรื่อย หน้าแดงตาเป็นประกายฟังคำแนะนำอย่างสนใจยิ่งพร้อมกับถูฝ่ามือเข้ากับตะโพก เพื่อเช็ดเหงื่อที่เปียกฝ่ามือจนทำให้มือลื่น พอเช็ดแล้วก็ตั้งรถใหม่ และทำท่าเตรียมพร้อมพลางดูนายป้าน

เมื่ออยู่บนจักรยานครั้งนี้ งามพิศตั้งสติได้ดีขึ้นหัวใจที่ยังคงเต้นแรงด้วยความตื่นเต้นนั้นก็หนักไปในทางปิติทะยานใจ และลำพองในสิ่งที่ประสบใหม่มากกว่าที่เป็นเพราะความกลัว รถยังคงส่ายไปส่ายมา ตัวก็ยังคงคดไปคดมา แต่งามพิศเกือบมั่นใจว่ารถไม่ล้ม หล่อนระดมกำลังขาเต็มที่ แข็งข้อมือไว้มั่น เมื่อใกล้จะถึงที่หมายก็ใช้ความพยายามหักแฮนเดิ้ลรถเอียงวูบ ดังจะคว่ำแต่ก็แล่นต่อไปได้ ว่อกแว่กไปอีกราวสัก ๒๐ ครั้ง ก็กลับมาถึงที่ๆ ส่งศรียืนอยู่ งามพิศหยุดรถและลงยืนได้โดยเรียบร้อย

เจ้าหล่อนหัวเราะ มองดูพื้น สีหน้าเต็มไปด้วยความปิติและภูมิใจ แต่สีหน้าของส่งศรีไม่แสดงความตื่นเต้น และอาการต้อนรับเหมือนเมื่อคราวก่อน งามพิศหัดถีบรถได้เร็วเกินไป ! ส่งศรีตรงเข้าจับแฮนเดิ้ลเหมือนจะเตือนให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ว่าใครเป็นเจ้าของรถนั้น

“แหม ! หวิดล้มหลายทีแต่ไม่ยักล้ม” งามพิศกล่าว “แต่ถึงยังไงไม่ชนต้นไม้อีกแน่ เบรคได้แล้ว อีทีนี้นึกได้ท่องเสียเกือบ​ตาย เบรคๆๆๆ ! อู๊ ! เหนื่อยพอใช้ แหม ! เหงื่อออก มือเหนียว หมด” แล้วงามพิศก็ถูฝ่ามือเข้ากับตะโพกดังคราวก่อน

“นายป้านเอารถไปเก็บ” ส่งศรีพูดตามองดูแผ่นดิน

นายป้านนั้นก็ไม่รู้สึกสนุกอยู่แล้ว ในข้อที่ต้องมาเฝ้าคอยช่วยบุคคลคนหนึ่ง ผู้ซึ่งมิได้มีอำนาจเหนือตัวเขาด้วยประการใดเลย เมื่อนายสาวสั่งดังนั้น ก็ย่อมมีความเต็มใจที่จะปฏิบัติตามในทันที แต่แม้กระนั้นก็ยังมองดูผู้สั่งด้วยความสงสัย และนึกฉงนสนเท่อยู่

ส่วนงามพิศ ความเบิกบานในวงหน้าละลายไปทันที ปล่อยมือจากรถมองดูเพื่อนคิ้วขมวดเข้าหากัน แล้วในที่สุดก็พูดขึ้น ช่วยเพื่อนหลอกตัวของตัวเอง

“เย็นแล้วนะ เธอยังไม่ได้อาบน้ำ เดี๋ยวมีแขกมารับประทานข้าวกับคุณพ่อ แล้วนายป้านก็จะต้องไปทำงานอย่างอื่นอีก”

ส่งศรีทำพื้นดินที่ตรงเท้าให้เป็นรูปรอยต่างๆ ซึ่งไม่มีความหมายอันใด งามพิศออกเดินก่อน ส่งศรีก็เดินตามลากรองเท้าแตะจนฝุ่นขึ้นข้างหลังเป็นควัน ทั้งสองไม่พูดอะไรกันเลย

มาใกล้จะถึงหน้าจวน พบสุนัขกับวิฬารคู่หนึ่งกำลังแสดงท่ามุ่งร้ายต่อกันอย่างเหี้ยมหาญ สุนัขเห่ากระโชกและกระโดดไปมาอยู่ตรงหน้าวิฬาร นางวิฬารยืนตัวสั่นขนพอง แต่อาการที่ย่อเท้าหลัง และย่อเท้าหน้าไว้ข้างหนึ่ง แสดงว่าเตรียมพร้อมที่จะป้องกันตัวจนสุดฤทธิ์ ด้วยความที่กลัวภัยจะเกิดแก่สัตว์รักของเพื่อนและของตัวเอง งามพิศลืมความขุ่นหมองในใจ ฉวยข้อมือส่งศรีบอกให้ดูภาพ ตรงหน้า แล้วทั้งสองก็คว้าท่อนไม้และก้อนดินที่ใกล้มือวิ่งเข้าตวาด​ขว้างปาจนเจ้าสุนัขหนีไป

“แต้ม มานี่มะ แต้ม ไอ้หมามันไปแล้ว” ส่งศรีเรียกวิฬาร ซึ่งขึ้นไปเกาะติดอยู่บนโคนต้นขนุนด้วยความตกใจ และเมื่อเจ้าของตรงเข้าจับตัว นางแต้มยังไม่คืนสติเล็บที่เกี่ยวกับเปลือกไม้จึงยังคงเกี่ยวแน่น จนงามพิศและส่งศรีต้องเข้าช่วยกันปลดให้ ส่งศรีอุ้มนางวิฬารงามพิศก็ลูบหลังวิฬารด้วยความปรานี

“ไอ้หมาบ้า” ส่งศรีบ่น แล้วเล่าแก่เพื่อน “ไม่รู้มันมาจากไหนเธอ มาวิ่งเล่นแล้วก็ทำเหม็นด้วย คอยไล่กันเท่าไรก็ไม่ฟัง ทีหลังเราชักสงสารให้ข้าวมันกิน มันยังไม่ว่าดีอีก ทะเล้นมารังแกแมวของเขา”

“ไม่เจียมตัวเลยนะ” งามพิศว่า

ส่งศรีปล่อยนางแต้มลง นางวิฬารเดินตามเคลียขามาได้สักหน่อย ครั้นแล้วก็มองเห็นสิ่งที่สบใจคือนกเอี้ยงสาริกาซึ่งโดดอยู่ใต้ต้นไม้ จึงผละจากทางเก่าทำท่าย่างเท้าเพียงเข้าไปใกล้นก

ดูเหมือนว่าพอนางแต้มห่างไปเสียแล้ว ความร่วมใจระหว่างเพื่อนหญิงทั้งสองก็ห่างตามไปด้วย งามพิศกลับนึกขึ้นได้ถึงความมึนตึงของเพื่อนจึงหยุดเดินแล้วพูดว่า

“ฉันไปละ ออกประตูนี้แล้วไปเลี้ยวทางโน้น”

“เดี่ยว” ส่งศรีรีบค้านโดยเร็ว “ยังวันอยู่เลยจะรีบไปไหน?”

“ไปบ้านน่ะซี”

“ไปทำไมกันนะบ้านน่ะ ไปทำงานไม่เห็นสนุกอะไรเลย ไปทำน้ำมะนาวกินกันดีกว่า” พูดแล้วส่งศรีก็ฉวยข้อมือเพื่อน และ​สาวเท้าเร็วขึ้น

รู้สึกสหายไม่กระตือรือร้นด้วยเหมือนอย่างเคย ส่งศรีก็หันมามองดูหน้าด้วยความสงสัย แล้วจึงนึกขึ้นได้ถึงเหตุการณ์เมื่อคราวก่อน ส่งศรีจึงถาม

“เธอโกรธฉันเหรอ?”

“เปล่า!” งามพิศตอบ ตามองไปข้างหน้าไม่ดูตาเพื่อน

“ขี้ปด”

“จริงๆ” แล้วงามพิศก็กัดริมฝีปากที่เริ่มสั่นด้วยความน้อยใจ

เว้นระยะอยู่ครู่หนึ่งส่งศรีจึงถามอีก

“ไม่โกรธทำไมจึงรีบกลับล่ะ?”

“เดี๋ยวคุณป้าจะคอย”

“ชี้ย !” ส่งศรีอุทาน “ไปน่ะไปทำน้ำมะนาวกินกันก่อน” ขณะนั้นเจ้าหล่อนถึงบันไดแล้ว จึงเลยเข้าไปในเรือน

ช่วยกันหามะนาวเกลือน้ำตาลภาชนะที่จะใช้กับน้ำแข็ง แล้วงามพิศก็เป็นผู้บีบน้ำมะนาวลงเหนือผ้ากรองที่พาดปากแก้ว พอได้ถ้วยหนึ่งแล้ว ส่งศรีเป็นผู้รับไปปรุง

“เธอได้หนังสือแล้วหรือยัง?” ส่งศรีถามในระหว่างนั้น

“ยัง”

“ที่สั่งไปก่อนล่ะ?”

“ทั้งก่อนทั้งหลัง” เสียงงามพิศที่กล่าวประโยคใหม่นี้ค่อนข้างห้วน แต่ส่งศรีไม่ได้สังเกต จึงพูดเรื่อยไป

“ของฉันมาแล้ว แต่เห็นเข้าแล้วเบื่อจัง เรียนซ้ำเรียนซาก ​จนหนังสือขาดแล้วก็ยังต้องเรียนอีก ใครไม่รู้เป็นคนสู่รู้ไปบอกคุณน้าว่าหนังสือเรียนของฉันอยู่ในตู้ ไอ้เราขอไปจะให้ท่านซื้อใหม่ๆ ส่งมา ท่านกลับเอาวจีวิพากษ์เล่มเก่าส่งมาให้”

งามพิศก็กำลังคิดอย่างขมขื่นอยู่ในใจว่า ‘รถถีบก็คงไม่ได้เป็น วิชาครูก็คงไม่ได้เรียน รถถีบก็คงไม่เป็น’ แล้วขัดใจตัวเอง ที่ได้ปล่อยให้ความปรารถนาสองประการนั้นเกิดขึ้นแก่ตัว

“คุณพ่อว่าเราควรจะสอบ ป.ป. ได้ปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ที่แท้เรายังไม่ได้ตั้งต้นจับอะไรเข้าเลย ฉันคอยเธอ เมื่อไหร่เธอได้หนังสือฉันถึงจะลงมือเรียน เราจะได้ผลัดกันเป็นครูเป็นนักเรียน คุณพ่อยังบอกว่าดี เออ ! นี่แล้วเธอรู้ไหม คุณพ่อท่านสบประมาทฉันนะ ท่านว่าถ้าฉันไม่มีเพื่อนเรียน เรียนเองคนเดียวยังไงๆ ก็คงไม่สำเร็จ”

งามพิศคิดถึงความในจดหมาย ที่ประพันธ์เขียนตอบจดหมายของหล่อนราว ๑๐ วัน หลังจากที่หล่อนได้ขอหนังสือเขา ประพันธ์บอกให้หล่อนขอเงินจากคุณป้าในนามของเขาเป็นจำนวน ๕๐ บาท และว่าเขาจะแบ่งเงินจำนวนนั้นซื้อหนังสือให้หล่อน จดหมายฉบับนี้สวนทางกับฉบับที่สอง ที่งามพิศเขียนขอหนังสืออีกชุดหนึ่ง งามพิศได้ฝ่าอันตรายในการถูกดุ แจ้งความต้องการของประพันธ์ แก่คุณป้า ผลลัพธ์ก็คือหล่อนได้ฟัง ‘เทศน์’ กันฑ์ใหญ่ยาวโดยไม่ได้สิ่งใดมากกว่านั้น

คิดถึงความลำบากในการหาสตางค์ ๓๓ สตางค์สำหรับเป็นค่าดวงตราไปรษณีย์แล้วยิ่งช้ำใจ จดหมายฉบับแรกทำให้งามพิศ​ต้องอดอาหาร ๑ มื้อครึ่ง และเสียคำมุสาไปหนึ่งคำ ทั้งนี้ยังต้องนับว่าโชคช่วยหล่อนอย่างเหลือเกินด้วย คือตามปกติงามพิศไม่เคยได้ถือสตางค์เลย แต่วันนั้นคุณป้ามีธุระด่วนอย่างหนึ่ง จึงรับประทานอาหารจาก ‘หาบ’ เสร็จก่อนที่งามพิศจะได้ลงมือรับประทาน ท่านส่งธนบัตร ๑ บาทให้งามพิศ เพื่อให้ชำระค่าอาหารของท่านและของหล่อนเอง แล้วท่านก็รีบไปธุระ งามพิศเคยรับประทานอาหารมื้อนี้เป็นมูลค่า ๘ สตางค์ หล่อนอดอาหารเสียแล้วก็ยักสตางค์ไว้เท่าจำนวนนั้น วันหลังหล่อนรวบรวมกำลังใจทั้งหมดที่มีอยู่รับประทานแต่เพียง ๕ สตางค์ แล้วก็ทำกุลีกุจอไปขอสตางค์คุณป้าเพื่อให้แม่ค้า คุณป้าถามว่าค่าอาหารของหล่อนนั้นกี่สตางค์ งามพิศตอบว่า ๘ สตางค์ คุณป้าส่งสตางค์ ๑๐ ให้สองอัน คือรวมทั้งค่าอาหารของท่านเอง ๑๐ สตางค์ด้วย งามพิศนำสตางค์ไปคืนให้ท่านเพียง ๒ สตางค์

สำหรับจดหมายฉบับที่สอง งามพิศได้ทำการลักทรัพย์มุสา และก่อความเดือดร้อนแก่คนทั้งบ้าน คือลอบหยิบเศษสตางค์จากเชี่ยนหมากคุณป้า ครั้นคุณป้ารู้สึกว่าสตางค์ขาดจำนวนไปไต่ถามงามพิศก็ตอบว่าไม่เห็น คุณป้าซักถามทุกๆ คนตลอดจนถึงคุณลุง ครั้นไม่ได้ความก็บ่นว่าด่าทอไปตลอดวัน เมื่อถึงฉบับที่สาม คือฉบับที่ตอบประพันธ์ว่าคุณป้าไม่ให้เงินนั้น งามพิศไม่มีกำลังใจพอที่จะทำกลมารยาอย่างใดอีก ก็ขอสตางค์จากคุณลุงลับหลังคุณป้า และเมื่อคุณลุงถามเหตุผลหล่อนก็แจ้งไปตามจริง แต่ข้อที่หล่อนได้ขอหนังสือประพันธ์นั้น งามพิศเว้นเสียไม่เล่าด้วย

​น้ำมะนาวหมดเกลี้ยงไปแล้ว ๔ ถ้วยแก้ว พร้อมกับที่การพูดจ้อไม่หยุดปากของส่งศรีกำลังจะหมดลง ด้วยงามพิศมองออกไปทางหน้าต่าง ไม่เห็นแสงแดดก็ตกใจรีบลุกขึ้นยืน และบอกแก่เพื่อน

“ต้องไปแล้ว ช้าไม่ได้ เดี๋ยวถูกดุอีก”

“เธอเคยถูกดุหรือเวลากลับจากที่นี่?” ส่งศรีถามโดยเร็ว

งามพิศเสียใจที่ได้พลั้งปากไปแล้ว แต่จำเป็นต้องปล่อยเลยตามเลย

“เวลาท่านข้าหลวงให้คนไปส่งละก็ไม่ถูก ถ้าไปคนเดียวโดยมากมักจะโดน”

“งั้นให้นายป้านไปส่งเถอะ” ส่งศรีกล่าวแล้วลุกขึ้น แต่งามพิศยึดข้อมือไว้และพูดว่า

“อย่าๆ ไม่ต้อง กวนเขาเปล่าๆ ฉันไปเองได้ไม่เป็นไรหรอก วันนี้ยังไม่เย็นมาก”

พูดแล้ว งามพิศหยิบผ้าเช็ดหน้าของหล่อนที่วางอยู่บนเก้าอี้ ยิ้มกับเพื่อนแล้วก็วิ่งไปที่บันได สวมรองเท้าแล้วก็วิ่งต่อไปโดยเร็วจนพ้นเขตจวนจึงเดิน

วิธีที่งามพิศกลับเข้าบ้านลักษณะเกือบคล้ายวิธีของนักย่องเบา หลบหลีกไปตามที่มีต้นไม้บังถึงบันไดได้ยินเสียงคุณป้าพูดอยู่กับคุณลุง หล่อนรีบผลุนเข้าในครัวลงมือจัดหาภาชนะสำหรับที่ตั้งที่รับประทาน เมื่อเช็ดภาชนะก็เลือกที่ๆ มีเครื่องกำบังตัวได้ พอเสร็จเรียบร้อยทุกอย่างจึงยกจานเดินออกมาจากครัว

​นางจำนงฯ นั่งอยู่ทางเฉลียงด้านหน้า เมื่อเห็นงามพิศก็มีสีหน้าแสดงความประหลาดใจ เพราะเหตุที่ยังมิได้นึกคอยหลานเลยจนนิดเดียว แต่น้ำเสียงที่ทักนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง

“อ้อ ! กลับละรึ มายังไงนั่นน่ะ?”

“มาคนเดียวค่ะ”

“แล้วสั่งให้ไปเมื่อไหร่อีกล่ะ?”

“ไม่ได้สั่งค่ะ”

“อ้อ ! คราวนี้ไม่ได้สั่ง”

น้ำเสียงคุณป้าเป็นเสียงประชดชัดๆ แต่ประชดใครนั้นยากที่จะกล่าว อย่างไรก็ตาม งามพิศตอบว่า

“เมื่อมาไม่พบท่านข้าหลวงค่ะ”

“อ้าว ! ไปไหนเสียล่ะ?”

“ยังไงไม่ทราบค่ะ ดิฉันกลัวจะเย็นมากก็เลยรีบกลับมา”

คุณนายเชยนิ่งไปอึดใจหนึ่งแล้วก็ว่า

“อย่างรีบ !”

คืนนั้นงามพิศนอนไม่ค่อยหลับได้เลย จิตใจครุ่นคิดถึงจักรยานและหนังสือที่ต้องการใช้สำหรับเรียน แต่ดูเหมือนจะคิดหนักไปในทางจักรยานมากกว่าทางหนังสือ เวลา ๑๕ นาทีที่งามพิศนั่งอยู่บนรถและนำรถให้แล่นไปได้นั้น ได้ทำให้งามพิศมีความรู้สึกเป็นรสชาติพิเศษอย่างประหลาด ความสำนึกว่าขณะนั้นตนเป็นที่พึ่งของตน และด้วยตน เจ้ารถสองล้อซึ่งมีปกติยืนหรือวิ่งเองไม่ได้ ได้พาตนเคลื่อนที่ไปโดยระยะทางหลายว่า ความชื่นใจเมื่อ​ถูกลมปะทะหน้าโดยแรงขณะที่รถแล่น เหล่านี้ทำให้ความรู้สึกของงามพิศตื่นเต้นไปในทางปลาบปลื้มและทะยานใจ แต่ความสำนึกว่าตนเป็นผู้มีแต่ตัวและตัวคนเดียว เป็นผู้ไม่มีหวังที่จะได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งตามความปรารถนา ทำให้งามพิศตื่นเต้นไปในทางขมขื่นเดือดแค้นในโชคชะตาของตนเอง

ลุปลายปัจฉิมยาม งามพิศฝันเห็นตนเองถีบจักรยานอยู่ในจวนข้าหลวง แต่ผู้ที่จับรถให้หล่อนเมื่อหล่อนจะขึ้นนั่งหาใช่ข้าหลวงหรือนายป้านไม่ เป็นหลวงประเสริฐเวชศาสตร์ งามพิศเห็นบิดายืนมองดูหล่อนด้วยสีหน้าอันยิ้มแย้ม แล้วก็ตื่นจากหลับในขณะนั้นเอง

งามพิศลืมตาขึ้น เริ่มรู้สึกตัวว่าฝัน รอบตัวมีแต่ความมืด ส่วนในใจก็อ้างว้างเปล่า ทันใดนั้นงามพิศเกิดความคิดถึงบิดาเพียงใจขาด ข้อนๆ ในทรวงอกมากขึ้นทุกที ไม่ช้าหล่อนก็คว่ำหน้าลงกับหมอนและสะอื้นแรง

หล่อนตื่นสายมากในวันรุ่งขึ้น จึงถูกคุณป้าบ่นว่าหลายคำ

แต่เมื่อถึงตอนบ่าย งามพิศได้รับความประหลาดใจไปในแนวที่ดีจนไม่เชื่อความจริงที่ปรากฏแก่ตา

ขุนจำนงฯ กลับจากที่ว่าการอำเภอพร้อมด้วยหนังสือตั้งใหญ่ ที่นายมุ่ยเป็นผู้แบกตามหลังมา กับจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งท่านขุนใส่มาในกระเป๋า

ท่านขุนเรียกงามพิศมารับวัตถุสองอย่างนี้ ซึ่งมีผู้ส่งมาถึงหล่อนทางไปรษณีย์

​คุณป้าตกตะลึง ร้องว่า “นี่กระไร ใครส่งมาทำไมกัน?”

งามพิศจำลายมือประพันธ์ที่ปรากฏบนหลังซองได้ดี กลัวคุณป้าจะเรียกจดหมายไปอ่านก็เหลือที่จะกลัว ตื่นเต้นเพราะเห็นหนังสือก็แสนที่จะตื่นเต้น นึกขอบใจและสงสารพี่ชายก็หนักหนา

“จดหมายใคร?” คุณป้าถาม

“พี่ประพันธ์ค่ะ”

“เขียนมาว่ายังไง จะกวนเอาเงินอีกรึ?”

งามพิศฉีกซองจดหมายอย่างงกงัน จนริมกระดาษจดหมายขาดติดไปกับริมซองด้วย

อ่านดูอย่างเร่งร้อน ได้ความพอเป็นเลาๆ เพราะคุณป้าเวียนถามไม่หยุดปาก แล้วงามพิศตอบว่า

“เขาบอกว่าเขาส่งหนังสือมาให้เท่านั้นแหละค่ะ”

“หนังสืออะไร? ส่งมาทำไมกันเป็นกองสองกองอย่างนี้”

“ส่งมาให้ดิฉันเรียนค่ะ”

“เรียนอะไร เรียนไปไหนกันอีก ที่เรียนมาแล้วเป็นกองสองกอง ฉันไม่เห็นแกรู้ประสาอะไร ! ไปเอามาจากไหนกันนี่ เจ้าประพันธ์ไปเอามาจากไหน หนังสือใหม่ๆ ทั้งนั้น ก็ไปซื้อเขามานั่นแหละ แหมนี่มิตักเข้าไปตั้ง ๕-๖ บาทหรือนี่ แล้วก็มากวนจะเอาเงินที่ฉัน”

งามพิศนึกรักคุณลุงขึ้นอย่างมากมาย ในข้อที่ท่านนิ่งเฉยเสียไม่ปริปากว่ากระไรเลย ทั้งๆ ที่ท่านย่อมรู้ราคาหนังสือทั้งหมดดีแล้ว เพราะหล่อนได้พินิจดูทุกเล่มอย่างละเอียดลออ

 

87
นวนิยายเรื่อง อุบัติเหตุ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนหนึ่ง บทที่ 16-20


๑๖

​สุนทรีกำลังแต่งตัวเสร็จพอดี เมื่อคนใช้เข้ามาในห้อง แจ้งว่ามีผู้มาหา และเขาผู้นั้นชื่อประพันธ์ ได้ยินชื่อนี้ สีหน้าสุนทรีแสดงความสนใจมากขึ้นทันใดย้อนถาม

“ประพันธ์หรือ เวลานี้อยู่ที่ไหน?”

“อยู่ที่หน้าตึกเจ้าค่ะ เชิญเข้าห้องรับแขกก็ไม่เข้า”

หน้าหญิงสาวยิ้ม ถ้าเขาผู้นั้นคือบุตรชายหลวงประเสริฐฯ การที่เขาไม่รับเชิญเข้าในห้องรับแขก ก็ไม่เป็นสิ่งแปลกประหลาดอย่างใดเลย และถ้าผิดจากเขาคนใช้ของหล่อนก็จะไม่สนใจในการที่เขาไม่ยอมเข้าในห้องรับแขก จนถึงกับต้องนำมารายงานแก่ผู้เป็นนาย

มองดูกระจกอยู่เป็นครั้งสุดท้าย สุนทรีก็ออกจากห้อง

ประพันธ์ยืนอยู่หน้าบันไดตึก ถือหมวกไว้ในมือทั้งหมุนและ​บีบหมวกไปมา จนน่ากลัวว่าทรงหมวกจะหมดไปในขณะนั้น เมื่อมองเห็นสุนทรี เขาฟาดหมวกลงกับขาและหัวเราะจืดๆ

“เชิญขึ้นมาข้างบน” หญิงสาวกล่าว ยิ้มอย่างอ่อนหวาน เพื่อจะช่วยให้เขาคลายประหม่า

ประพันธ์หัวเราะแหะๆ ถอดรองเท้าไว้บนถนนแล้วจึงขึ้นบันได สุนทรีนำเขาตรงไปยังห้องรับแขกและชี้ที่นั่งให้ด้วย

“ดีใจที่เธอมา” สุนทรีพูด “สูบบุหรี่ไหม” พร้อมกันนั้นหล่อนยกหีบบุหรี่วางให้เขาตรงหน้า เปิดฝาหีบให้ด้วย แล้วจึงถอยไปนั่งยังเก้าอี้ยาวตัวหนึ่ง

“เป็นยังไงมั่ง” สุนทรีพูดอีก ใจคิดว่าถ้าตนไม่พูดอยู่เรื่อยๆ ไป ความเงียบก็จะเกิดเป็นเครื่องทำให้ผู้เป็นแขกเคอะเขินยิ่งขึ้น “ได้รับข่าวจากน้องสาวบ้างหรือเปล่า?”

“ได้เหมือนกัน”

“ตั้งแต่ฉันไปหาเธอที่บ้านหนนั้นน่ะ แล้วต่อมาเธอได้ข่าวจากน้องอีกหรือ?”

เขาหัวเราะ แล้วตอบพร้อมกับพยักหน้า

“ได้ครับ”

“อ้อ เขียนมาว่ายังไงบ้าง”

“เขียนมาขอหนังสือ”

“หนังสืออะไร?”

ประพันธ์บอกชื่อหนังสือเป็นจำนวน ๕ เล่ม สุนทรีฟังแล้วอุทานอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย

​“แหมหนังสือตำราทั้งนั้น เธอส่งไปให้แล้วหรือ?”

“เปล่า”

“อ้าว ! พุทโธ่ แล้วยังไง ! เธอได้รับจดหมายตั้งแต่เมื่อไหร่”

“เมื่อวันเสาร์ก่อน”

“ตาย ! ได้รับมาตั้งอาทิตย์แล้วยังไม่จัดการให้น้อง คุณพี่นี่ใจดำจัง” แล้วสุนทรีก็หัวเราะ

ประพันธ์จับกระดุมเสื้อชั้นนอกหมุน ส่วนตาก็จับอยู่ที่มือ สุนทรีมองเห็นความกระวนกระวายปรากฏชัดอยู่บนหน้าและกิริยาของเขา จึงช่วย

“เธอมาวันนี้เพราะมีธุระใช่ไหม บอกธุระของเธอมาเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ ฉันเคยรับไว้แล้วว่าฉันจะช่วยถ้าช่วยได้”

พร้อมกับที่พูด สุนทรีก็นึกสงสัยอยู่ในใจว่าธุระของประพันธ์อาจจะเป็นธุระเรื่องใดได้บ้าง แล้วหล่อนเห็นสีหน้าเด็กหนุ่มแดงขึ้นทันที พร้อมกันนั้นเขาพูดอย่างอ้อมแอ้มแต่เร็วปรื๋อ

“ผมไม่มีทรัพย์เลย”

“อือ !” หญิงสาวอุทานในใจแล้วถาม “เธอต้องการจะให้ฉันช่วยสักเท่าไหร่”

ชายหนุ่มอึกอัก มัวแต่สนเท่ว่าเงินนั้นเป็นสิ่งที่ตนอาจหาได้ง่ายถึงเพียงนี้เจียวหนอ ! แล้วเขาตอบว่า

“เท่าไหร่ๆ ก็ได้”

ฝ่ายสุนทรีเป็นผู้ที่มีความตั้งใจจริง จึงแย้ง

“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ต้องบอกให้ทราบด้วยว่า เธอต้องการทรัพย์​ไปทำอะไร?”

“ผมไม่ได้ให้ค่าเช่าบ้านเขามา ๓ เดือนแล้ว”

“เธอต้องให้เขาเดือนละเท่าไหร่?”

“๔ คนเฉลี่ยกันให้คนละ ๕ บาท”

“ก็แปลว่าส่วนของเธอที่จะต้องให้รวมเป็น ๑๕ บาทใช่ไหมล่ะ?”

ประพันธ์รีบตอบ

“แล้วก็หนังสือที่งามพิศจะเอา เล่มหนึ่งตั้ง....๓-๔ บาท”

“ถูกของเธอ ฉันรู้ราคาหนังสือพวกนี้ดี ไม่เป็นไรฉันจะช่วยเธอทั้งหมด”

นิ่งเงียบไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย ประพันธ์หยิบหมวกที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นหมุน สุนทรีเห็นว่าเสื้อเชิ้ตสีแดงที่เขาใส่อยู่ ซึ่งหล่อนเห็นได้จากช่องระหว่างอกเสื้อตอนบน เพราะเขามิได้ขัดกระดุมเสื้อนั้น เป็นสีเข้ากับกางเกงแพรที่เขานั่ง และผ้าเช็ดหน้าที่แลบขึ้นมาจากกระเป๋าบนก็เข้าสีกับเสื้อเชิ้ตและกางเกง แต่ด้ามปากกาที่ติดอยู่กับขอบกระเป๋าเสื้อตอนล่างเป็นสีเขียว ทำให้ผิดชุดไปเสียนิดหนึ่ง เห็นเช่นนั้นแล้วสุนทรีก็อมยิ้มมองต่อไป พบศีรษะที่ก้มลงต่ำทำให้เห็นผมเป็นลอน รับกับรูปศีรษะ ดูดังจัดวาง ทันใดนั้นสุนทรีถามขึ้นว่า

“น้องสาวเธอ เหมือนเธอไหม?”

“เมื่อเล็กๆ ใครๆ ว่าเหมือน แต่เดี๋ยวนี้แกใส่แว่นตา”

“อ้อ ! ตาสั้นหรือ?”

​“ครับ ตั้งแต่ ๗ ขวบ แกต้องใส่แว่นตาเรื่อย”

“เธอมีรูปน้องไว้มั่งหรือเปล่า ฉันอยากเห็นสักหน่อย”

“มีแต่รูปที่ถ่ายกับคุณพ่อคุณแม่ตั้ง ๕-๖ ปีมาแล้ว รูปผมซีมีเยอะ”

สุนทรีสังเกตเห็นว่าน้ำเสียงและท่าทางของประพันธ์ค่อนข้างจะไม่ผิดจากปกติของคนธรรมดา แล้วชะรอยจะกล้าขึ้น ตัวหล่อนก็พลอยกล้าไปตามเขาจึงพูดว่า

“ฉันเคยได้ยินว่า น้องสาวเธอเป็นคนเรียนเก่งมาก ทำไมเธอหรือคุณป้าถึงไม่พยายามให้แกได้เรียนต่อไป ถึงจะไม่เรียนถึงชั้นบัณฑิต ได้เพียงแต่วิชาครูมัธยมก็ยังดี ที่เธอว่าทางกรุงเทพฯ ไม่มีใครน่ะ ฟังไม่ขึ้นเป็นอันขาด เธอควรจะปกครองน้องได้ หรือจะฝากไว้กับผู้ใหญ่ที่ไหนสักคนก็ได้ บ้านของเธอก็มี”

“บ้านผมให้เขาเช่า เอาทรัพย์มาใช้ทางอื่น”

“นอกจากบ้านเธอ....ไม่มีอะไร....ไม่มีรายได้อะไรอีกหรือ มรดกของคุณพ่อล่ะ อย่างน้อยก็มีเงินสดเป็นก้อน....”

“คุณป้าเอาไปหมด” ประพันธ์สวนขึ้นก่อนที่สุนทรีจะพูดจบ

หญิงสาวออกอุทานอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงครึ่งคำ แล้วก็ชะงัก หล่อนนึกขึ้นได้ว่าเรื่องชนิดนี้เป็นเรื่องสามัญ มีและเป็นอยู่ดาษดื่น ฝ่ายเด็กเติบโตแต่โดยวัย ความรู้สึกในสิทธิและหน้าที่ของตนยังอ่อนอยู่ ฝ่ายผู้ใหญ่ไร้การศึกษาเป็นพื้นอยู่แล้ว ไม่รู้ถึงเขตจำกัดแห่งสิทธิและอำนาจของคนสองฝ่ายมาประสบกันเข้า หากผู้ใหญ่ไม่มีศีลขันธ์ไว้เป็นทุนเดิม ก็เป็นธรรมดาที่ว่าความอยุติธรรมจะต้องเกิดขึ้น

​สุนทรีจึงเว้นเสียซึ่งการออกความเห็น ถามถึงคุณป้าของประพันธ์ ในส่วนที่เกี่ยวกับอายุและความเป็นอยู่ เมื่อได้ความรู้เป็นที่พอใจแล้วก็ย้อนกลับมาพูดเรื่องงามพิศอีก

“ตามจดหมายที่แกเขียนมาน่ะ เธอสังเกตหรือไม่ว่า แกเป็นสุขดีหรืออึดอัดอย่างไรบ้าง”

“จดหมายไม่เห็นว่าอะไรนอกจากขอหนังสือ”

“ก็ฉบับก่อนขอหนังสือล่ะ?” น้ำเสียงสุนทรีแสดงความรำคาญเล็กน้อย

“แต่ก่อนไม่เคยเขียนมาเลย”

“อ้าว ! ก็ไหนเธอบอกว่าเคยได้รับข่าวเหมือนกัน?”

ประพันธ์ทำหน้าพิกล เขาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวันก่อนนั้น เขาได้กล่าวเท็จต่อสุนทรี ซึ่งเขาเองก็เข้าใจไม่ได้จนบัดนี้ว่า สิ่งใดชักนำตัวไปให้ทำเช่นนั้น อึกอักอยู่เป็นครู่จึงหาช่องแก้ตัวได้

“ผมได้จากทางอื่น”

สุนทรีนิ่งไป รู้สึกทั้งสนเท่และสมเพช จนมิรู้จะพูดว่ากระไรถูก อีกครู่หนึ่งหล่อนจึงทำลายความเงียบขึ้น

“น้องสาวเธอเคยสอบวิชา ป.ป. ได้ไว้หรือเปล่า?”

ประพันธ์ทำท่างง ภายหลังจึงตอบว่า

“ไม่ทราบ”

“ตามชื่อหนังสือที่แกขอมาน่ะ เป็นหนังสือสำหรับวิชา ป.ม. ทั้งนั้น แกบอกหรือเปล่าว่าแกจะต้องการเอาไปทำไม?”

“แกจะเอาไปเรียน”

​“อ้อ นึกแล้ว ! หวังใจว่าแกคงจะสอบถามคนที่เขารู้เรื่องการเรียนทางนี้เสียให้ดี เมื่อเรียนก็ควรจะเรียนให้เข้าหลัก เธอควรจะเตือนแกไปนะ ถ้าแกจะเรียนเอาประกาศนียบัตรครู ป.ม. แกต้องเรียน ป.ป. สอบได้เสียก่อน ถ้าไม่ยังงั้นก็เสียเวลา โถ ! แล้วแกจะต้องเรียนด้วยตัวเอง มันยากกว่าเรียนกับครูหลายเท่านัก เธอต้องช่วยหนุนให้แกมีมานะมากๆ”

พูดแล้วหล่อนมองดูประพันธ์ ไม่เห็นสีหน้าเขาแสดงความสนใจแม้แต่น้อย ก็เกิดความท้อใจ แล้วเศร้าใจแทนหญิงที่หล่อนปรารภถึง ในที่สุดก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดว่า

“ขอโทษนะต้องทิ้งเธอไว้คนเดียวประเดี๋ยว” แล้วก็ออกจากห้องรับแขก ขึ้นไปยังห้องนอน

เมื่อกลับมายังห้องรับแขก และส่งธนบัตรให้ประพันธ์แล้ว สุนทรีมิได้นั่ง ยืนเกาะเก้าอี้พูดว่า

“วันหลังเธอต้องมาอีกนะ มีธุระหรือไม่มีธุระก็ขอให้มา แล้วถ้าได้ข่าวอะไรจากน้องสาวอีกละก็เล่าให้ฉันฟังมั่ง ที่จริงถ้าฉันเป็นเธอ ฉันจะหมั่นเขียนจดหมายถึงน้องบ่อยๆ ฉันจะเป็นห่วงน้องมากที่สุด เพราะเธอก็มีอยู่ด้วยกันสองคนพี่น้องเท่านั้น”

สุนทรีหยุดพูดและยังคงยืนอยู่ ประพันธ์ขยับขา ๓-๔ ครั้ง ในที่สุดก็ลุกขึ้นยืนพูดว่า

“ยังงั้นผมลา” แล้วก็ยกมือไหว้

ฝ่ายเจ้าของบ้านเดินตามไปส่งถึงหน้าตึก แล้วเลยเข้าในห้องรับประทานอาหาร ออกทางหลังห้องนี้เลยไปที่ครัว

​“เข้าครัวเองเทียวรึวันนี้” ประจิตรกล่าวแก่สุนทรี และโดยไม่รอฟังคำตอบ “ใครมาหานะ แต่งแดงเช็ดทั้งตัว?”

“ใครที่ไหน?” สุนทรีถามอย่างงง “ไม่เห็นใครมาบอกฉันนี่”

“ยังงั้นรึ? ฉันสวนกับเขาที่ประตู เขากำลังจะออก ฉันกำลังจะเข้า กางเกงแดงเสื้อแดงผ้าเช็ดหน้าแดงเกือกแดง....”

“อ๋อ !” สุนทรีหัวเราะคิก “เอ๊ะ ! นี่เธอมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ นานแล้วรึ?”

“นาน เที่ยวหาเธอทั่วบ้านไม่พบ”

“อื๋อ !” หล่อนค้อนให้เพราะรู้ว่าเขาพูดเกินความจริง “แล้วเที่ยวหาฉันทำไม?”

“อยากรู้ว่าใครมาหาเธอ?”

“เพื่อนเขาน่ะซี ทำไมจะต้องอยากรู้ของเขาด้วย?”

ประจิตรทำท่าเหมือนขนลุกขณะที่พูดว่า

“น่ากลัว !”

แล้วเขาพูดสืบไป

“เข้ามาทำอะไรอยู่ที่นี่น่ะ? ไปคุยกับหลวงชาญฯ หน่อยเถอะ ฉันทิ้งเขาไว้ในห้องรับแขกคนเดียว”

“เอ๊ะ ! มาทำไมป่านนี้ ไหนว่าทุ่มหนึ่งยังไง?”

“ทุ่มหนึ่งน่ะอีกพวกหนึ่ง หลวงชาญฯ นี่ฉันลากมาจากสโมสร ที่จริงเมื่อวันก่อนฉันไม่ได้นัดเขาไว้หรอก ไม่เห็นตัวก็เลยไม่ทันนึกถึง วันนี้พบเข้าก็เลยชวนมาด้วย”

“ฉันยังไม่รู้จนเดี๋ยวนี้ว่า แขกของเธอหมดด้วยกันกี่คน” ​สุนทรีว่า

ประจิตรขยับไหล่ “รู้เอาเมื่อถึงเวลากินก็แล้วกัน” เขาตอบ

สุนทรีค้อนให้อีกพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ แล้วก็หลีกเขาจากประตูครัว เดินไปที่ห้องรับแขก

หล่อนเห็นหลวงชาญฯ นั่งอยู่บนเก้าอี้นวมใหญ่ศีรษะหงายพิงแขน ซึ่งเขาทำเป็นพนักซ้อนพนักเก้าอี้อีกชั้นหนึ่ง ท่าทางเต็มไปด้วยความครุ่นคิด หรือใฝ่ฝันถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งตามเคยของเขา เมื่อเขาเห็นหล่อนก็เปลี่ยนอิริยาบถ ลุกขึ้นยืนในทันทีพร้อมกับพูดว่า

“ประจิตรฉุดผมมา ต้องใช้คำว่าฉุดจริงๆ ให้มารับประทานข้าวที่นี่ บอกว่ามีใครๆ หลายคน ถามว่ามีงานอะไรกันก็ไม่บอก”

“ก็เพราะไม่มีอะไรจะบอกน่ะซีคะ” สุนทรีตอบ “ไม่มีงานอะไรนอกจากพวกผู้ชายเขานัดกันจะมากินเหล้าที่นี่ ดิฉันก็เลยขอโอกาสให้เขารับประทานข้าวเสียด้วย ก็อย่างที่เคยๆ กันบ่อยๆ นั่นแหละค่ะ”

“นายประจิตรไม่ให้คำอธิบายอะไรเลย”

สุนทรีหัวเราะ กล่าวชวนแขกให้นั่งพร้อมกับที่หล่อนเองนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง แล้วถามว่า

“คุณหลวงพบกับคุณประจิตรที่ไหนคะ ถึงได้มาด้วยกัน?”

“ที่สโมสร วันนี้ผมอยากเล่นการพนันเป็นกำลัง”

“อ้าว ! ตายจริง แล้วทำยังไงล่ะคะ เวลานี้หาขาก็ยังไม่ได้เสียด้วย ทุ่มหนึ่งเขาถึงจะมากัน”

​หลวงชาญฯ หัวเราะ แล้วพูดเรื่อยๆ เหมือนไม่มีความหมายอันใดเลย

“มาถึงนี่แล้วความอยากในทางเสื่อมก็หายหมด”

“แหม !” สุนทรีหัวเราะเสียงใส “ที่นี่เป็นอย่างไรคะ เป็นที่ชำระกิเลส หรือเป็นที่ๆ ไม่มีใครรู้จักความสนุกสนาน? ขอผลัดอีกสักครึ่งชั่วโมงเถิด”

“แขกของคุณมีหลายคนหรือ?”

“ระหว่างครึ่งโหลถึงโหลหนึ่ง ดิฉันเองก็ยังไม่ทราบว่ากี่คนแน่”

“เป็นแขกจริงๆ จังๆ หรือว่าอย่าง....ผมยังงี้แหละ?”

“ไม่มีใครนอกจากชุดที่คุณหลวงเคยมาพบที่นี่”

นิ่งเงียบไปด้วยกันทั้งสองฝ่าย หลวงชาญฯ ลูบคลำหนังสือเล่มใหญ่ที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า สุนทรีผู้มีนิสัยไม่ชอบปล่อยให้แขกของหล่อนเงียบเหงา กำลังคิดหาเรื่องที่จะพูดอีก พอตามองไปเห็นหีบบุหรี่ จึงฉวยโอกาสเลื่อนให้หลวงชาญฯ พร้อมกับพูดว่า

“สูบบุหรี่ซิคะ”

หลวงชาญฯ รับเชิญ ด้วยกิริยาที่เปิดฝาหีบบุหรี่ทันที พอจุดบุหรี่แล้วก็ยกหนังสือมาวางบนตัก พลิกหน้าหนังสือไปมาพร้อมกับพูดว่า

“ในนี้มีรูปอีริค เรอมาร์ค ผมจำได้ว่าคุณเคยทิ้งกับตาคนนี้”

“มีประวัติด้วยไหมคะ?”

“ยังไม่ทราบเลย เพราะยังไม่ได้อ่าน เพิ่งซื้อเมื่อก่อนไปสโมสรนี่เอง”

​เมื่อพลิกได้หน้าที่ต้องการแล้ว หลวงชาญฯ ก็ส่งหนังสือให้สุนทรี

เจ้าหล่อนรับมาดู อ่านข้อความในกระดาษนั้นแต่พอเลาๆ แล้ว

“หน้าตาเก๋จัง สมกับที่เป็นคนเขียนหนังสือได้รางวัลโนเบล ต๊าย ! หน้าตาเป็นพระเอกแท้ๆ”

“พระเอกของโลกทีเดียวนี่นา”

“อ้อ ! นี่ไอสไตน์ แหม ! แก่มากแล้วนะคะ ตายแล้วดูหน้าตาใจดี๊ใจดี แต่ก็สมเป็นนักปราชญ์อีกน่ะแหละ นี่เขาพูดถึงอะไรคะ ถึงมีรูปท่านพวกนี้?”

“พูดถึงนักปราชญ์เยอรมันที่โลกบูชา แต่ซึ่งชาติเยอรมันเองไม่ต้องการให้อยู่ในประเทศ เลยเนรเทศเสียดื้อๆ ไอสไตน์น่ะถูกริบด้วย เรอมาร์คโดนอะไรมั่งผมก็ลืมเสียแล้ว แต่หนังสือที่เรอมาร์คแต่งน่ะถูกเนรเทศเหมือนเจ้าของเหมือนกัน”

“ตาย ทำไมเป็นเอามากยังงั้น”

“โอ๊ย ! เป็นยิ่งกว่ามากอีก ในเยอรมันเดี๋ยวนี้น่ะมีการเผาหนังสือเก่าๆ ที่ฝ่ายตรงกันข้ามแต่งไว้แล้วนานตั้งหลายปี มันน่าเชื่อหรือว่า ไอ้ของพรรค์นี้จะเป็นไปได้ ในสมัยศตวรรษที่ ๒๐ นี่นะ คุณอ่านตอนที่ตัวหนังสือเป็นตัวเอนซี นักประพันธ์เยอรมันสองคนเขาเขียนตอบกัน คนหนึ่งเขียนว่าเหลือวิสัยที่จะทนอยู่ในชาติที่กำลังเป็นอยู่เวลานี้ ขอยอมเป็นคนไม่มีชาติ อีกคนหนึ่งตอบอย่างเห็นอกเห็นใจ แต่ชี้ความจริงไว้ว่าผลที่สุด คนแรกจะกลายเป็นคนไม่มีชาติเอาจริงๆ เพราะไปอยู่ในต่างประเทศ ไม่ว่าประเทศ​ไหน เขาก็จะถือว่าตัวเป็นคนต่างชาติอยู่ร่ำไป แล้วก็จะหาความสุขไม่ได้เพราะสัญชาติเป็นสิ่งที่ตัดไม่ขาด ส่วนพวกที่ก้มหน้าอยู่กับชาติน่ะ ถึงรู้ว่าชาติเดินทางผิด ก็ต้องกระเสือกกระสนตามไป แล้วจะเอาตัวรอดได้หรือฉิบหายไปเสียก็ตามเขาก็ยังมีพวก แต่คนที่ทิ้งชาติน่ะจะเป็นคนตัวคนเดียวตลอดชีวิต ผมอ่านแล้วละจุกคอหอย”

เมื่อหลวงชาญฯ บรรยายความเสียเองเช่นนี้ สุนทรีก็เป็นอันว่าไม่ต้องอ่านหนังสือ ตาจับอยู่ที่หน้าผู้พูด หูฟังด้วยความเอาใจใส่ เมื่อเขากล่าวประโยคหลังสุนทรีก็ถอนใจยาว

“แหม ! เห็นใจตาคนที่หนึ่งแกจริง” หล่อนกล่าวในที่สุด “โธ่ ! ความเห็นของคนนี่มันแรงนะคะ ลองไปมีความเห็นอะไรเข้าจริงๆ จังๆ แล้วละก็ พอต้องไปผจญกับสิ่งที่ตรงกันข้ามเข้า....มันน่าอกแตกจริงๆ แต่ตาคนที่สองแกเตือนสติก็ถูกอีกน่ะแหละ แหม! ยาก ยากแท้ๆ”

หลวงชาญฯ มองดูบุหรี่นิ่งอยู่ แต่การนิ่งของเขานั้นเป็นคำตอบอยู่ในตัว สุนทรีเข้าใจได้ว่าเขาครุ่นคิดถึงปัญหาที่กำลังปรารภกันอยู่นั่นเอง และบางทีจะคิดมากจนไม่อาจกล่าวออกเป็นคำพูดให้เข้าหูหล่อนได้ ดังนั้นหล่อนจึงปล่อยให้เขาคิดต่อไปตามสบาย

เป็นครู่ใหญ่ หลวงชาญฯ จึงเอ่ยขึ้น

“คนยิ่งมีความรู้ความคิดมากเท่าใด ยิ่งถือว่าเสรีภาพเป็นของจำเป็นสำหรับชีวิตยิ่งขึ้นเท่านั้น ทำไม? เพราะคนมีความรู้มากแล้วอยู่นิ่งไม่ได้ ต้องทำอะไรก็ตามที่ตัวมีความเห็นว่ามีประโยชน์แก่หมู่แก่คณะ แก่โลก นี่ผมพูดถึงคนที่มีความรู้อย่างบัณฑิตนะ ไม่ใช่​รู้อย่างอันธพาล บางทีก็ทำผิดเห็นผิด แต่ต้องได้เห็นความผิดพิสูจน์ตัวของมันเองเสียก่อนถึงจะเชื่อว่าผิด ทีนี้ถ้าถูกตัดเสรีภาพมากนัก.....ชาติก็ชาติเถอะไปตายเอาดาบหน้า”

“ได้แก่นักประพันธ์เยอรมันที่ลาออกจากชาติ”

หลวงชาญฯ พยักหน้านิดหนึ่งแล้วก็นิ่งไปอีก

“ทำไม หนังสือของเธอมาร์คถึงถูกห้ามไม่ให้มีในเยอรมนีล่ะคะ?”

“เพราะมันไม่ตรงกับความเห็นของคนที่มีอำนาจอยู่ในประเทศน่ะซี”

“เอ ! ก็จะเกณฑ์ให้ทุกคนมีความเห็นเหมือนกันอย่างไรได้ ความเห็นแปลกๆ ที่ควรจะได้รับฟัง”

“แต่ความเห็นของคนเปรียบเหมือนเงินเหรียญนี่ครับ มีหัวมีก้อย ใครจะว่าทางไหนเป็นหัว ทางไหนเป็นก้อยล่ะ ต่างคนก็ต่างว่าเอาตามใจ สมมติว่าผมถือว่าทางช้าง ๓ หัวเป็นก้อย คุณว่าเป็นหัว ที่จริงก็ไม่รู้แน่ว่าใครผิดใครถูก แต่ทีนี้หากว่ามีคนเกิดเชื่อคุณขึ้นมาล่ะพากันเฮโลว่าทางช้าง ๓ หัวเป็นหัวกันหมด อีตอนนี้ซีผมมีอำนาจผมก็อัปเปหิคุณเสียเท่านั้น”

“ก็แปลว่าคุณหลวงไม่มีนิสัยสปอร์ตเสียเลย แล้วไม่มีอารมณ์ขันด้วย”

“เวลานี้ผมมีทั้งสองอย่าง” หลวงชาญฯ ตอบแกมหัวเราะ “แต่ถ้าเมื่อไหร่ผมได้อำนาจ อำนาจผมมากขึ้นเท่าไร ไอ้สองอย่างนั้นก็น้อยลงเท่านั้น”

​มีการนิ่งเงียบกันไปอีก โดยที่ทั้งสองฝ่ายไม่รู้สึกตัว เพราะต่างฝ่ายต่างก็มัวคิดเพลินอยู่ด้วยกัน จนประจิตรเข้ามาในห้องแล้วทำลายความเงียบขึ้น

“แหม ! เงี้ยบเงียบ” เขาว่า “จนนึกว่าไม่มีใครอยู่”

หลวงชาญฯ เงยหน้าขึ้นดูโดยไม่พูดว่ากระไร สุนทรีตอบว่า

“เพิ่งเงียบนะ เมื่อตะกี้แย่งกันพูดเสียอีก” แล้วหล่อนก็หัวเราะ และพูดสืบไป “เธอไปหาอะไรมาเลี้ยงคุณหลวงหน่อยซี”

“สั่งแล้ว วิสกี้” ประจิตรตอบพลางนั่งลง

ในเวลานั้นเองก็ได้ยินเสียงรถแล่นมาข้างตึก ประจิตรชะเง้อตัวขึ้นดูไปทางช่องหน้าต่าง เห็นหลังคารถพูดว่า

“ไอ้หมอมาแล้ว เรียกมากินมันไม่ลืมมา แล้วมาก่อนเวลาด้วย”

หลวงชาญฯ ชักนาฬิกาพกออกดู

“ก่อน ๕ นาทีเท่านั้นเอง” แล้วมองไปยังสุนทรี “สู้ผมไม่ได้ ผมมาก่อนครึ่งชั่วโมง”

เสียงปิดประตูดังสนั่น แล้วรถผ่านหน้าต่างเป็นคันที่สอง ประจิตรผู้ซึ่งยืนขึ้นดูหัวเราะและว่า “ไอ้สามเกลอมาแล้ว” แล้วเขาก็เดินออกไปที่หน้ามุข

หล่อ เมื่อประจิตรพาเพื่อนๆ ของเขามาถึงประตูห้องรับแขก ก็พบคนใช้ผู้ยกถาดเครื่องดื่มมาถึงที่นั่นเหมือนกัน คนหนึ่งในหมู่สหายของประจิตรชี้ให้เพื่อนกันดูพลางว่า “นั่นๆ ดูนั่นของดี” แล้วเขากางแขนกันคนอื่นๆ ไว้ เพื่อปล่อยให้ ‘ถาด’ ผ่านเข้าไปก่อน

​หลวงชาญฯ พูดแก่สุนทรีด้วยน้ำเสียงแกมหัวเราะ

“ท่าทางดูเหมือนจะตั้งต้นเมากันแล้ว”

ฝ่ายผู้ที่มาถึงใหม่ เมื่อเห็นหลวงชาญฯ ก็ทักด้วยคำพูดบ้าง ด้วยกิริยาบ้าง ด้วยสีหน้าบ้าง อย่างง่ายๆ ตามวิสัยผู้ชายด้วยกัน แต่เมื่อเข้ามาใกล้ที่ๆ สุนทรีนั่งอยู่และทักทายกับหล่อนนั้น ต่างคนก็ทำท่าเรียบร้อยขึ้น ต่อจากนั้นห้องรับแขกก็ก้องไปด้วยเสียงพูดเสียงหัวเราะของบุคคลทั้งเจ็ด

อีกครู่หนึ่งต่อมา ในท่ามกลางเสียงพูดของคนอื่นๆ อนุชาติเอ่ยขึ้นว่า

“แหม ! นี่ วันนี้มีแต่พวกเราผู้ชายทั้งนั้นรึ?”

สุนทรีได้ยินก็ตอบแกมหัวเราะ

“ประทานโทษ มีผู้หญิงอยู่ที่นี่คนหนึ่งค่ะ” พร้อมกันนั้นหล่อนชูมือขึ้น

หลวงชาญยนตรกิจกับนายแพทย์สุทัศน์ ผู้ซึ่งกำลังสนทนากันอยู่สองคน หยุดพูดหันไปดูทางหมู่นั้น

อนุชาติพึมพำ “อ้อ !...อื้อ.... ประทานโทษ” แล้วจึงพูดดัง “ผมเหมาว่าคุณเป็นผู้ชายร่ำไป....คือว่า คุณช่างสนุกเหมือนพวกผู้ชายเราเหมือนกัน”

“กินเหล้าแข็งกว่าแกอีก เชื่อไหม?” ประจิตรว่า

“อ๋อ ! ไอ้กันน่ะมันเมาเสียก่อนกิน” อนุชาติตอบ

“คือไม่กินก็เมาได้หรือกินไม่เมาก็ได้” สุนทรีอธิบาย

“ไม่ช่าย ไม่ใช่แน่ๆ” นายแมนขัด “ไม่กินก็เมา กินแล้ว​ยิ่งเมาใหญ่”

“เอ๊ะ ! อั๊วนี่เห็นจะเสียคนเสียวันนี้เอง เพื่อนเรามันเผาเรือน”

“อย่ากลัวค่ะ ดิฉันไม่ใช่คนหูเบา”

“นั่นแหละยิ่งต้องระวังทางตาให้มาก” นายแมนพูด

“ว่าไงนะ?” อนุชาติถาม ไล่ความคิดของสหายไม่ทัน

“ไม่ใช่ตาลื้อ ตาคุณสุนทรี”

“แปลว่าแกต้องระวังกิริยาให้มาก” นายแสงอธิบาย “อย่าให้คุณสุนทรีเห็นว่าแกเมา”

“พิโธ่ !” หญิงสาวอุทาน “ดิฉันยิ่งได้รับเกียรติยศ คุณอนุชาตินับว่าดิฉันเป็นผู้ชายคนหนึ่งแล้ว ยังจะมาเกณฑ์ให้ดิฉันเป็นเครื่องกีดขวางอีกหรือคะ”

“นั่นซี ยังไงๆ ให้อภัยผมด้วยนะครับ” อนุชาติว่าน้ำเสียงวิงวอน

สุนทรีจึงตอบอย่างหนักแน่นเพื่อให้เหมาะกับเสียงของเขา

“อ๋อ ! แน่นอน อย่าเกรงใจดิฉันเลยค่ะ” แล้วหล่อนต่อแกมหัวเราะ “เผื่อยังไงห้องคุณประจิตรก็ใหญ่พอที่จะบรรจุคุณได้”

แล้วเจ้าหล่อนขยับตัวเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ จึงแลไปเห็นหลวงชาญฯ กับสุทัศน์ผู้ซึ่งนั่งเคียงกัน และเห็นว่าเขาทั้งสองกำลังจ้องดูหล่อนอยู่

และเนื่องจากที่สุทัศน์ขยับตัว และสีหน้าเปลี่ยนไปในทันทีที่หล่อนมองไปทางเขา สุนทรีจึงทายได้ว่าเขากำลังคิดถึงสิ่งที่เกี่ยวกับตัวหล่อนไกลไปจากเรื่องที่หล่อนพูดมากทีเดียว ด้วยนิสัยเป็น​ผู้ชอบสู้ไม่ชอบหนี สุนทรีก็ลุกจากที่เก่าเดินเข้าไปที่เขา

หลวงชาญฯ กับสุทัศน์ลุกขึ้นพร้อมกัน เพื่อจะยกที่นั่งของตนให้สุภาพสตรี สุนทรียังไม่นั่ง ยืนอยู่จนสุทัศน์ยกเก้าอี้มาตั้งอีกตัวหนึ่ง เจ้าหล่อนจึงเลือกนั่งตรงกลางระหว่างเขาทั้งสอง

“ดิฉันมาขัดคอหรือเปล่าคะ?” หล่อนถาม

“เปล่า ว่าแต่ทางโน้นจะขาดความเบิกบานไปมาก” สุทัศน์ตอบ

“อุ๊ย ! ไม่มีวันละ ดิฉันเชื่อว่าเวลาผู้ชายมีเหล้ากับเพื่อนอยู่แล้ว คงไม่ต้องการผู้หญิง”

“ไม่แน่นัก แต่ตามเหลาเขายังใช้ผู้หญิงปรนนิบัติ”

หลวงชาญฯ มองข้ามสุนทรีไปยังผู้พูด สีหน้าแสดงความฉงนและไม่พอใจ สุทัศน์พูดขึ้นอีกเสมือนต่อประโยคก่อน

“ถ้าไปในที่ๆ ต้องรักษาความเรียบร้อย เช่นบ้านเพื่อนฝูง ผู้หญิงเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้ผู้ชายเผลอตัวจนเหลวแหลกเกินไป ยังไงๆ ผู้ชายก็ยังต้องการผู้หญิงอยู่เสมอ”

แต่ความระแวงได้เกิดแก่สุนทรีเสียแล้ว หล่อนจึงนิ่งเสียไม่ตอบว่ากระไร

เสียงประจิตรปรารภอยู่ในหมู่สหายสามคน

“นายสิงห์ทำไมยังไม่มา”

“ไปติดตาข่ายอยู่เสียที่ไหนแล้วก็ไม่รู้” นายแมนว่า

“อี๊ ! ติดก็ไม่นาน วันนี้ ‘หนู’ จะมาด้วย”

“ก็เผื่อไปติดเสียก่อนถึงบ้าน อีตอนกลับจากทำงานล่ะ?”

​“โอ๊ย ! นายสิงห์ไม่เป็นหร็อกอย่างนั้น หนูปราบเสียอยู่”

“ถ้าอั๊วเป็นสิงห์อั๊วจะไม่เรียกเมียอั๊วว่าหนูเป็นอันขาด” นายแสงเอ่ยขึ้น

นายแมนหัวเราะสนับสนุน

“นั่นซี มันทำให้เสียศักดิ์ของสิงห์อื่นๆ ไปด้วย”

“อั๊วละเกลียดเหลือเกินไอ้เรื่องหนูนั้น หนูงี้ เมียของอั้วๆ จะไม่ยอมให้เรียกตัวเองว่าหนูเป็นอันขาด” อนุชาติกล่าว

เพื่อนๆ ของเขาทำหน้าพิกล เพราะเขาทุกๆ คนรู้อยู่ว่าภรรยาคนหนึ่งในจำนวนสามคนที่เขามีอยู่ในเวลานี้ ได้เคยเป็นพี่เลี้ยงของเขาเอง นายแมนจึงพูดไปเสียทางหนึ่งโดยเร็ว

“นายสิงห์มาวันนี้ก็ไม่กล้าสนุกเท่าไหร่หร็อก เพราะหนูมาด้วย”

สุทัศน์เอนตัวเข้าหาสุนทรี และพูดราวกับรายงานเรื่องสำคัญ

“คุณกระแสอาจจะไม่มาก็ได้ เพราะไม่สบาย”

“อ้าว ! เป็นอะไรไป?”

“เป็นหวัดอย่างแรง ติดลูก ลูกคนเล็กเป็นไข้หวัด เมื่อวานนี้ผมไปเยี่ยมลูกเลยไปพบแม่ บ่นว่าปวดศีรษะคัดจมูกใหญ่โต”

“แล้วยายหนูแกเป็นยังไงมั่งคะ?”

“จวนหายแล้ว ผมนัดไว้ว่าพรุ่งนี้จะไปเยี่ยมอีก เด็กแกน่าเอ็นดูมาก ตัวเบ้อเร่อ หน้าตาเป็นเด็กรู้ภาษา”

“ได้ยินว่าออกมาหนักตั้งเกือบ ๑๐ ปอนด์หรือคะ?”

“ไม่ถึง ๙ ปอนด์พอดีๆ ไม่สมกับร่างกายแม่เลย คุณกระแส​ผอมบาง”

“รูปร่างยังกะจะปลิวตามลม” หลวงชาญฯ เสริมพลางหัวเราะ “เมื่อก่อนแต่งงานเป็นคนท้วม นายสิงห์ยังเคยติว่าเจ้าเนื้อ พอแต่งงานแล้วยังไงถึงกลายเป็นเพรียวลมไปได้”

“ก็ดีแล้วยังไงคะ ถูกใจคุณสิงห์”

“ก็ไม่ถูกอีกน่ะแหละ” สุทัศน์ตอบ “สิงห์กลัวเมียจะเป็นวัณโรค แต่ผมตรวจแล้ว ไม่มีโรคอะไรเลยแล้วก็เห็นแกแข็งแรงดี เดินก็เก่ง”

ระหว่างนี้เอง นายสิงห์ มุสิกกุล ก็มาถึงพร้อมด้วยภรรยา

ก่อนที่จะลุกขึ้นไปรับเพื่อนหญิง สุนทรีถามผู้ที่อยู่ข้างหล่อนว่า

“รับประทานโทษ กี่ทุ่มแล้วคะ?”

หลวงชาญฯ ชักนาฬิกาจากกระเป๋าเสื้อ แต่สุทัศน์มีนาฬิกาอยู่ที่ข้อมือ จึงตอบได้ก่อน

“๑๙.๕๖”

“ได้เวลารับประทานแล้ว” สุนทรีกล่าว “ขอบคุณค่ะ” แล้วหล่อนก็เดินห่างไป

สุทัศน์มองตามหญิงสาว แล้วหันกลับมาทางหลวงชาญฯ พูดว่า

“ผมประหลาดใจว่า ทำไมเขาถึงไม่แต่งงานกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที?”

หลวงชาญฯ ขยับไหล่ แล้วพูดอย่างไม่สนใจนัก

​“เขาคงมีเหตุผล บางทีผู้หญิงจะฉลาดพอจะปล่อยให้ผู้ชายเที่ยวเสียให้สมอยากก่อน”

“ผมสงสัย”

“สงสัยว่ายังไง?” อีกฝ่ายหนึ่งถาม เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“ว่าจะแต่งหรือไม่แต่ง...?”

หลวงชาญฯ ขยับไหล่เป็นครั้งที่สองแล้วก็นิ่งอยู่

 

88

๑๕

วันนี้ได้ฤกษ์ คุณป้าจะพางามพิศไปเที่ยวจวนข้าหลวง ข่าวนี้คุณป้าแจ้งแก่งามพิศตั้งแต่เช้า และต่อจากนั้นมาไม่ว่างามพิศจะจับทำสิ่งใด คุณป้าก็จะเฝ้าเตือนว่า “เร่งมือเข้าหน่อยซียะ” “ให้มันไวๆ เข้าหน่อยเถอะย่ะ” “อย่าให้มันอืดนักซียะ”

งามพิศตั้งต้นทำงาน ด้วยการกวาดถูห้องที่หล่อนนอนแล้วตั้งที่รับประทาน แล้วเก็บที่รับประทาน แล้วจัดกวาดในห้องคุณลุง ห้องรับแขก และยกพื้นหน้าห้องทุกห้อง การที่เหล่านี้เป็นหน้าที่ของเด็กผู้ชาย-แล้วซักผ้า และทำความสะอาดในกรงนก และจีบพลู แล้วรีดผ้า แล้วเข้าครัวกับคุณป้า ประกอบอาหารที่จะนำไปบรรณาการแก่ข้าหลวงด้วยในตอนเย็น แล้วก็พอดีถึงเวลาคุณป้าสั่งให้อาบน้ำแต่งตัว แล้วคุณป้าก็นำสร้อยเหลียวหลังสอง​สายมาผูกข้อมือให้หล่อน

ข้าหลวงกำลังรับประทานอาหารว่างอยู่กับธิดา เมื่อนางจำนงฯ ไปถึง เพราะเหตุที่ฝ่ายเจ้าของบ้านนั่งอยู่บนเก้าอี้ก็คะยั้นคะยอ ‘คุณนายนายอำเภอ’ ให้นั่งเสียบนเก้าอี้ด้วย แต่นางจำนงฯ เป็น หญิงในแบบ ‘ทีใครทีใคร’ เมื่อเขาเป็นนายก็ยอมให้เต็มที่ด้วยใจศรัทธา เมื่อถึงทีที่ตนเป็นนาย ใครไม่ ‘ลง’ ก็ต้อง ‘กด’ ให้ ‘ลง’ จนได้

ดังนั้นนางจำนงฯ จึงยังคงนั่งอยู่บนพื้นกระดาน ห่างจากโต๊ะเล็ก อันเป็นที่ตั้งอาหารเล็กน้อย ข้าหลวงเรียกคนใช้ สั่งให้นำเสื่อมาปู แล้วเชิญคุณนายรับประทานอาหารว่างด้วยกัน เมื่อคุณนายปฏิเสธ ข้าหลวงไม่ว่ากระไร แต่เมื่อหันมาชวนงามพิศนั้น ข้าหลวงกล่าวเป็นเชิงบังคับอยู่ในที

“งามพิศต้องกิน เป็นธรรมเนียม ผู้ใหญ่เขาเรียกต้องกินเสียหน่อย มานี่ มานั่งที่นี่....” หันไปทางคนใช้

“ยกเก้าอี้ตัวนั้นมา”

งามพิศตกใจเป็นอย่างยิ่ง มิรู้จะปฏิบัติอย่างไรถูก ก็ค่อยๆ เหลือบมองคุณป้า นางจำนงฯ ทำตาเขียวบุ้ยใบ้และกระซิบกระซาบตอบโดยเร็ว

“ไปซี ท่านเรียกไม่ไปได้หรือ”

ส่งศรีพยักพเยิดอยู่ทางหนึ่ง เมื่อเพื่อนนั่งลงบนเก้าอี้ก็แอบหยิกเอาเป็นการแสดงความดีใจ

“ยังมีกับข้าวมาส่งตามเคยด้วยรึ?” ข้าหลวงถามตาจับอยู่ที่​ภาชนะอันตั้งอยู่ข้างนางจำนงฯ แล้วพูดสืบไป “เดชะบุญผมมาได้คุณนายเป็นอุปถาก ถ้าไม่ยังงั้นก็แย่ แต่ทีหลังเห็นจะหยุดส่งกับข้าวได้แล้ว เพราะแม่ครัวที่คุณนายหามาน่ะไม่เลวเลย ฝีมือไม่แพ้แม่ครัวที่กรุงเทพฯ”

“เขาเคยเป็นข้าหลวงในวังเจ้าค่ะ แล้วได้สามี ก็เลยติดตามกันมาอยู่ที่นี่ แล้วสามีเขาเสียเขาก็เลยค้าขายอยู่ที่ตลาดนั่นเอง”

“อ้อ ! มิน่าล่ะ ท่าทางกระฉับกระเฉงพอใช้”

นิ่งเงียบกันไปครู่หนึ่ง ข้าหลวงทำธุระกับอาหาร ภายหลังจึงถามขึ้นอีก

“ขุนจำนงฯ กลับจากพระแท่นแล้วเป็นยังไงมั่ง ยังไม่ได้ถามข่าวเลย พบกันก็พูดแต่เรื่องงาน”

“เมื่อยเจ้าค่ะ ปวดไปหมดทั้งตัว ต้องนวดกันพักใหญ่”

ข้าหลวงหัวเราะแล้วว่า

“ผมรอดตัว นั่งข้างหน้ากับคนขับ ชวนหนูนั่งด้วยแกไม่ยอม แกจะนั่งกับเพื่อนของแก จะชวนงามพิศนั่งข้างหน้าด้วยก็ไม่ไหว เบียดกัน แต่งามพิศแกเก่ง ไม่ได้ยินเสียงร้องสักทีเดียว” มองดูธิดา “แม่นี่ละไม่ไหว เสียงว้ายๆ ไม่หยุดเลย ถึงนวดเหมือนกันนี่”

“คุณหนูเห็นจะไม่ค่อยได้ออกหัวเมืองซีเจ้าคะ?”

“ออกทุกปี ก็เวลาโรงเรียนหยุด ผมอยู่ที่จังหวัดไหน แกก็ไปจังหวัดนั้น แต่ไม่ค่อยจะได้เดินทางกันดาร อันที่จริงผมคิดว่าทางไปพระแท่นนี่ไปได้สะดวกแล้วนะ ไม่ยังงั้นก็ไม่กล้าเอาลูกหนูไปด้วย”

​“นายอำเภอบอกว่าเป็นที่ฝนตกน่ะเจ้าค่ะ....”

“ถูกแล้ว แล้วหน้านี้ป่าก็รกกว่าหน้าแล้ง คุณนายเห็นจะไปมาหลายหนแล้วกระมัง?”

“สองหนเท่านั้นแหละเจ้าค่ะ”

“อ้อ ! แล้วเป็นยังไงเลื่อมใสไหมเวลาไปถึงแล้ว?”

“อุ้ย ! ใจมันโปร่งเจ้าค่ะ คิดถึงพระพุทธองค์ โถ ! ชื่นใจ ถึงไม่ได้เห็นพระองค์ก็ยังได้ชมพระแท่นที่ท่านเข้านิพพาน”

ข้าหลวงยิ้มในหน้า แล้วถามต่อไปอีก

“ขึ้นบนเขาถวายพระเพลิงหรือเปล่า?”

“ขึ้นเจ้าค่ะ” คุณนายลงเสียงตอบ “เขาว่ากันว่าสูงนัก ขึ้นกันไม่ค่อยไหว บางคนถึงกับไปหมดแรงกลางทาง ยิ่งขึ้นไปๆ ขั้นกระไดก็ยิ่งหนี ดิฉันไม่เห็นเป็นอะไรเลยเจ้าค่ะ พักเดียวก็ถึงพระมณฑป”

“นับกระไดได้กี่ขั้น”

“๙๖ ขั้นเจ้าค่ะ”

“อ้อ ! คุณนายจะอายุยืนใหญ่ ! แล้วเวลากลับลงมาแล้วเมื่อยไหม หรือไม่เมื่อยเลย?”

“ไม่มีเลยเจ้าค่ะ พิโธ่ ! ได้ขึ้นไปนมัสการที่ถวายพระเพลิงทั้งทีจะเมื่อยอะไรเจ้าคะ”

ข้าหลวงคิดอยู่ในใจว่า “ขุนจำนงฯ ไม่ใจบุญเหมือนเมีย ถึงได้เมื่อยจนถึงปวด” แล้วถามสืบไปว่า

“พระวิหารที่มีพระแท่นน่ะเป็นยังไง?”

​“งามเจ้าค่ะ ทำไว้ดี เตี้ยๆ ไม่ใหญ่โต ท่านผู้ที่สร้างเห็นจะได้บุญแรงจริงนะเจ้าคะ ไม่ยังงั้นพระแท่นก็ตากแดดตากฝน แล้วนกกาก็จะมาทำสกปรก”

“เอ ! ผมนึกว่านกกาแถวนั้นจะไม่ทำนะ แต่ต้นไม้ยังรู้ หญ้าก็ร้องไห้ ต้นรังก็โค้งเป็นพุ่ม นกกาทำไมจะไม่รู้ !”

ตอนนี้นางจำนงฯ มิรู้ที่จะตอบว่ากระไรจึงนิ่งอยู่

ข้าหลวงเลื่อนถ้วยกาแฟไปให้พ้นมือ พลางมองดูงามพิศ เห็นหล่อนนั่งก้มหน้าเฉยอยู่ก็ทักว่า

“ยังไม่ยอมกินอะไรจริงๆ แหละหรือ ขนมปังหน้าหมูเขาอร่อยดีนะ”

“รับประทานแล้วชิ้นหนึ่งค่ะ” ส่งศรีตอบแทน “เขาว่าเขาไม่หิว”

“ไม่กินของเค็มก็ลูกไม้ยังไงล่ะ ไอ้ลูกไม้น่ะถึงไม่หิวก็กินได้ไม่ใช่หรือ?”

ส่งศรีเอื้อมมือไปที่จานผลไม้ โดยไม่เงยหน้า งามพิศสะกิดขาเพื่อน พลางขยิบตาพร้อมกับสั่นศีรษะเชิงห้าม ส่งศรีก็ค้อนให้ แล้วหยิบเงาะสองผลยัดใส่ในมือเพื่อนที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะ

กิริยาเหล่านี้ข้าหลวงเห็นโดยตลอด เข้าใจไม่ได้ว่าเหตุใดงามพิศจึงขลาดหรืออายถึงเพียงนั้น รู้สึกรำคาญเล็กน้อย จึงเบือนหน้าไปเสียทางหนึ่ง แล้วก็ลุกจากที่เดิมไปยังที่ๆ หีบบุหรี่วางอยู่ ฝ่ายส่งศรีก็ว่าแก่เพื่อนว่า

“เสียแรงท่านอ้อนวอน ถึงไม่หิวก็กินเสียหน่อยไม่ได้หรือ ทำ​อายไปได้ บ้าจริง”

“ท่านลุกไปแล้วน่ะ” งามพิศตอบ วางผลเงาะที่อยู่ในมือลงในจานตามเดิม แล้วยกถ้วยน้ำขึ้นจิบ

ข้าหลวงได้นั่งลงบนเสื่อใกล้กับนางจำนงฯ ส่งศรีจึงชวนเพื่อนลุกจากโต๊ะ จูงมือไปนั่งบนพื้นห้องทางฝาด้านหนึ่ง ซึ่งไกลจากท่านผู้ใหญ่ทั้งสองเล็กน้อย

“หนังสือเรียนของฉันมาแล้วเธอ” ส่งศรีกล่าวเมื่อได้นั่งลงแล้ว “แหม ! ตะละเล่มเบ้อเร่อๆ ขี้เกียจอ่านจัง ยังไม่รู้เลยว่าจะเลือกสอบอะไรก่อน”

“อะไรยากก็เลือกเอานั่นก่อนซี” งามพิศแนะด้วยเสียงเบาอย่างที่สุด และในน้ำเสียงนั้นมีความสนใจอย่างแรงกล้า ระคนอยู่กับความระมัดระวังตัว

“ยากที่หนึ่งก็ภาษาไทย”

งามพิศนิ่วหน้านิดหนึ่งพลางค้าน

“อะไรภาษาไทยยาก?”

“หือ ! ก็อย่างเธอก็เห็นว่าไม่ยากน่ะซี เธอคนเก่งนี่”

ที่จริงคำพูดของส่งศรีก็เป็นโวหารตื้นๆ อย่างที่บุคคลรุ่นนักเรียนย่อมใช้ปากคำกับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน ถ้างามพิศยังอยู่กับบิดาเหมือนในกาลก่อน ได้ฟังคำเถียงนั้นก็จะไม่มีความรู้สึกแปลกอย่างใดเลย แต่ในเวลานี้....งามพิศไม่ทราบว่าจะตอบเพื่อนว่ากระไร

ระหว่างนั้น คนใช้กำลังเก็บภาชนะไปจากโต๊ะอาหาร ข้า​หลวงพูดขึ้นว่า

“เจ้านายป้านของคุณนายก็ใช้คล่องดีเหมือนกัน ดูเหมือนเคยอยู่กับข้าหลวงเก่าไม่ใช่หรือ เห็นขุนจำนงฯ ว่ายังงั้น”

“เจ้าค่ะ ท่านข้าหลวงเก่าก็ชอบมาก ท่านชวนเขาไปอยู่สมุทรสงครามด้วย แต่เขาไม่ไป เขาเป็นห่วงมารดาเขา”

“ลูกหนูชอบมาก ค่าที่เขาหัดรถถีบให้ เมื่อวานนี้หัดกันเท่าไรไม่ทราบ เจ้าป้านขาเว่อไปเป็นกอง”

คุณนายหัวเราะแทนคำตอบ ข้าหลวงพูดต่อไปเพื่อหาเรื่องสนทนากับแขกของตนมากกว่าอย่างอื่น

“เมื่อลูกหนูแกอยู่กับน้าที่กรุงเทพฯ แกมีเพื่อนเล่นมาก พี่น้องรุ่นๆ เดียวกันทั้งนั้นตั้ง ๔-๕ คน แล้วยังมีเพื่อนบ้านเพื่อนนักเรียนของแกอีกล่ะ แหม ! พอมาอยู่ที่นี่บ่นว่าเหงาทุกวัน ผมก็เห็นใจว่ามันเป็นอยู่หน่อยจริง ก็เลยตามใจให้แกหาเครื่องเล่นเครื่องเพลินต่างๆ ตามแต่แกจะชอบ ไอ้รถถีบๆ เป็นแล้วจะไปไหนๆ ได้สะดวก เช่นไปเล่นเทนนิสหรือแบดมินตันที่สโมสร นี่กำลังสั่งไปทางกรุงเทพฯ ให้เขาส่งไม้เทนนิสมาให้”

คุณนายนึกในใจว่า ข้าหลวงเลี้ยงลูกแบบนี้ถ้าตนมีลูกชายก็ไม่ขอปรารถนาจะเป็นทองแผ่นเดียวด้วย แล้วคุณนายก็มองไปทางหลานสาวพร้อมกับนึก “อย่างของเราไม่ให้ผัวหรือแม่ผัวติได้สักคำ”

ข้าหลวงมองไปทางที่บุตรีนั่งอยู่เหมือนกัน และถามเพื่อนของบุตรีว่า

​“งามพิศ เมื่อแรกมาอยู่กับคุณป้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?” เห็นหญิงสาวมีสีหน้าตื่น และงงจึงทำคำถามให้ชัดขึ้น “เหงาไหม?”

“เปล่าค่ะ”

ข้าหลวงหัวเราะ “อะไรเปล่า ! เหงาหรือไม่เหงาก็ว่ามาซี”

เหงา ! คำว่าเหงานั้นห่างไกลกับความรู้สึกของงามพิศมากเหลือเกิน จนหล่อนจะรับว่าเหงา หรือตอบว่าไม่เหงาก็ไม่ถูกทั้งนั้น งามพิศจึงก้มหน้าลงเสีย ไม่ตอบว่ากระไรทั้งสิ้น

ข้าหลวงมองดูหล่อน คิดในใจว่า “เด็กคนนี้พิลึก” เกิดความรู้สึกอย่างที่เรียกว่าขวาง แล้วนึกขึ้นได้ว่างามพิศเมื่อวันไปพระแท่นไม่มีอาการน่าเกลียดเช่นนี้ สงสัยว่าหล่อนจะเกรงขามคุณป้าเสียจนงกงัน ก็กลับสมเพชหันกลับมามองดูนางจำนงฯ พยายามจะ ‘อ่าน’ ให้ออกว่า หญิงกลางคนๆ นี้มีนิสัยอย่างใดแน่ ครั้น ‘อ่าน’ ไม่ออกดังใจ ก็หันไปทางงามพิศอีก

“อยู่บ้านทำอะไรมั่ง งามพิศ?”

“ทำงานค่ะ”

“งานอะไร?”

หญิงสาวแกะกระดาน หล่อนไม่ทราบจะยกงานตอนไหนขึ้นบรรยายก่อน คุณป้าจึงตอบแทนว่า

“ช่วยดิฉันเจ้าค่ะ งานบ้าน นั่นมั่งนี่มั่ง นิดๆ หน่อยๆ”

“ยังงั้นทำไมไม่ค่อยจะมาเที่ยวที่นี่มั่ง” ข้าหลวงว่า “ทีหลังหมั่นมาหน่อยนะ มาเองก็ได้นี่ ไม่ต้องกวนคุณป้าแล้วเวลาส่งศรีเขาถีบรถเป็นแล้ว เขาก็ถีบไปหามั่ง ผลัดกันต้องเอื้อเฟื้อกันหน่อย​ซี ดูแต่คุณป้ายังเอื้อเฟื้อฉันดีเบาหรือเป็นอุปถากแท้ๆ” แล้วข้าหลวงก็หันมาหัวเราะกับภรรยานายอำเภอ

 

89

๑๔

คณะเดินทางไปนมัสการพระแท่นกลับถึงจังหวัดเมื่อใกล้จะเย็น และขุนจำนงฯ กับหลานสาวถึงที่อยู่เมื่อเย็นมากแล้ว คุณลุงหน้าดำคล้ำด้วยความที่เมื่อยและเหนื่อย ส่วนหลานสาวถึงแม้จะมอมไปด้วยฝุ่นทั้งตัว สีหน้าก็สดอยู่ด้วยสายโลหิตอันเกิดจากความสนุก และความตื่นเต้นที่ได้รับตลอดทางที่ไป นอกจากนี้งามพิศได้ทราบรายละเอียดแห่งข่าวอันหนึ่ง ซึ่งทำให้หล่อนแช่มชื่นขึ้นอย่างประหลาด

นางจำนงฯ ซักถามสามีถึงเรื่องการเดินทาง ขุนจำนงฯ เล่าไปตามที่นึกได้ มีอุปสรรคเล็กน้อยเช่นรถ เรื่องติดหล่มตามทาง ต้องใช้แรงคนเป็น ๒-๓ ครั้ง เด็กๆ ลูกชาวบ้านพยายามที่จะปิดทางมิให้รถผ่าน เพราะถือว่าทางนั้นอยู่ในนาของเขา นายอำเภอต้องแสดงตัวพร้อมกับแสดงตำแหน่งหน้าที่ราชการ และในท้ายที่​สุด ท่านขุนเล่าว่าตอนหนึ่งเมื่อรถสะดุดรากไม้โดยแรง ตัวธิดาข้าหลวงได้กระดอนไปหมอบอยู่บนตักปลัดอำเภอ

ระหว่างนี้งามพิศอยู่ในห้อง เตรียมตัวจะไปอาบน้ำ หล่อนอดที่จะหยุดฟังลุงเขยพูดมิได้ สีหน้าของหล่อนเต็มไปด้วยความพลอยนึกสนุกในเรื่องที่ลุงเขยเล่านั้น และเป็นครั้งแรก-ครั้งแรกแท้ๆ นับแต่หล่อนมาอยู่กับคุณป้าคุณลุง-ที่งามพิศนึกอยากร่วมวงการสนทนากับท่านทั้งสอง

งามพิศออกจากห้อง เดินผ่านคุณป้าคุณลุงจะไปห้องน้ำ พอหล่อนคล้อยหลังก็ได้ยินเสียงคุณป้าพูดว่า

“แล้วแม่หลานสาวของเราเป็นยังไง? ไปทำเร่อร่าอะไรมั่งหรือเปล่า?”

งามพิศไม่มีโอกาสได้ฟังคำที่คุณลุงตอบ เพราะหล่อนไม่หาญพอที่จะหยุดฟัง

ขุนจำนงฯ ตอบว่า

“ก็ยังงั้นแหละ มีตื่นหน่อย ข้าหลวงชมว่าแข็งแรงค่าที่แกไม่มีเลย ดูเหมือนหัวกระแทกหลังคารถเข้าหลายที แต่แกไม่วี้ดว้ายเหมือน....อีกคนหนึ่ง”

“ใคร? ลูกสาวข้าหลวงน่ะรึ?”

ขุนจำนงฯ พยักหน้า แล้วพูดสืบไป

“ข้าหลวงสั่งแม่พิศว่า ให้หมั่นไปเยี่ยมเพื่อนบ่อยๆ หน่อย ต่อว่าฉันกับแม่เชย ไม่พาหลานไปหาลูกท่านมั่ง ว่าลูกสาวท่านมาถึงใหม่ๆ ไม่รู้จักใครเลยบ่นว่าเหงา รู้จักอยู่ก็แต่แม่พิศคนเดียว ท่าน​ว่าเขารักกันมากเมื่อเรียนหนังสืออยู่ด้วยกัน”

“แล้วคุณว่ายังไง?”

“ฉันจะว่ายังไง ท่านไม่เคยสั่งฉันนี่ ท่านสั่งแต่แม่เชยไม่ใช่หรือ?”

“ก็คุณไม่รู้จักแก้แทนฉันมั่งหรอกหรือ?”

“ก็ไม่รู้จะแก้ว่ายังไงนี่ ก็เราไม่เคยพาเด็กไปจริงๆ ของท่าน หรือจะว่าไปอีกทีหนึ่ง ก็หลานของเรา เด็กอยู่กับเรา เราไม่พาไปมันมีงานมีการเสียมั่ง อะไรเสียมั่ง ใครจะมาเป็นเจ้า เว้นแต่ว่า....ดูมันก็ใจจืดไปหน่อย”

คุณนายเชยมองดูสามีอย่างใช้ความคิด อันที่จริงข้าหลวงก็เคยถามถึงงามพิศต่อคุณนายมากกว่าสองครั้ง คุณนายก็ไม่เคยตอบให้เป็นกิจลักษณะ ครั้นข้าหลวงถามทางสามี คุณนายก็เกิดมีความคิดประหลาดใจที่สามีมิได้ให้คำอธิบายอย่างใดอย่างหนึ่งแก่ข้าหลวงเป็นการแก้แทนตน ทั้งนี้เป็นเพราะคุณนายเองก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่า การที่ตนทำเฉยเสียไม่พาหลานสาวไปหาส่งศรีนั้นเป็นด้วยเหตุใด และก็เพราะว่าคุณนายอธิบายไม่ถูกนี่แหละ จึงต้องการจะฟังคำอธิบายของสามี เพื่อจะได้ยึดถือไว้สำหรับเวลาข้างหน้า

ขุนจำนงฯ เหยียดขาออกเต็มที่ แล้วก็เหยียดแขนทั้งสองข้างออกจนตึง เป็นการแก้เมื่อย ครั้นแล้วก็ลุกขึ้นไปยืนที่กรงนกเขาอันแขวนอยู่ในที่ใกล้ มิช้าก็ปรารภขึ้นว่า

“เออ ! ไม่มีใครให้น้ำนก น้ำในโถเกือบเกลี้ยง”

คุณนายมีอาการ ‘พื้นไม่ดี’ อยู่แล้วได้โอกาสจึงขึ้นเสียงว่า

​“ก็แม่พนักงานมัวแต่ไปเที่ยวเสียนี่ อ้ายคนอื่นหรือมันก็งานท่วมหัวกันทุกคน”

ขุนจำนงฯ หยิบโถน้อยออกจากกรงนก นำไปใส่น้ำโดยไม่พูดว่ากระไร

พอดีกับงามพิศออกจากห้องน้ำ คุณป้าเห็นก็พูดว่า

“แหม ! แม่พิศ น้ำสักกี่โอ่ง ขมิ้นสักกี่โถ จนเราลืม ! แล้วแต่งตัวไวๆ เข้านะยะ งานการอะไรไม่ได้แตะต้องเลยเชียววันนี้”

งามพิศสาวเท้าเร็วขึ้นอีก เห็นด้วยกับคุณป้าในข้อที่ตนยังไม่ได้ทำงานสิ่งใดเลย แต่รู้สึกว่าความชื่นบานที่ได้จากการเที่ยวนั้นละลายไปทันใด แล้วนึกถามตนเองในใจว่า เมื่อเสร็จจากการผลัดผ้าจะจับงานส่วนใดก่อน

ในที่สุด เมื่อแต่งตัวเสร็จงามพิศก็กวาดห้องคุณป้า คือห้องที่หล่อนนอนนั่นเอง เสร็จแล้วก็เตรียมตั้งที่รับประทานอาหารไว้ ก็พอดีขุนจำนงฯ อาบน้ำเสร็จ และบ่นว่าหิว

งามพิศไปที่ครัว จับนั่นทำนี่ให้อาหารพร้อมเร็วเข้าแล้วก็ยกถาดอาหารมาตั้งที่

ระหว่างการบริโภค มีการสนทนากันน้อยที่สุดตามธรรมดาของสามีภรรยาคู่นี้ เพราะขุนจำนงฯ มีนิสัยไม่ชอบพูดเลยในเวลารับประทาน และนางจำนงก็อยู่กับขุนจำนงฯ มา ๒๐ กว่าปีแล้ว เป็นเวลานานพอที่จะติดนิสัยจากสามีบางประการ

งามพิศมีนิสัยรับประทานเร็วมาแต่ไหนแต่ไร เฉพาะวันนี้หล่อนยิ่งเร็วเป็นพิเศษ ด้วยกลัวคุณป้าจะตำหนิว่ามัวแต่ละเลียด ​แม้กระนั้น เมื่อหล่อนล้างมือพร้อมกับล้างจานข้าวของหล่อน ยังไม่ทันเสร็จดี คุณป้าก็เตือนว่า

“แล้วไปเอาพลูมาจีบเสียนะยะ เที่ยวกันเสียหมากพลูไม่มีติดก้นเชี่ยน”

เป็นอันว่าฝอยทองของหวานสำหรับมื้อนี้ จะไม่ได้เป็นของหวานสำหรับงามพิศด้วย แต่งามพิศชินเสียแล้วต่อการไม่ได้รับประทานของหวานหลังของคาว ตลอดเวลาที่งามพิศอยู่กับป้า หล่อนยังไม่เคยบังอาจที่จะแตะต้องขนมของคุณป้า โดยที่ท่านไม่ได้บอกให้ก่อนเลยแม้แต่สักครั้งเดียว จึงเป็นธรรมดาที่ว่าวันใดที่คุณป้าลืมหรือแสร้งทำลืมที่จะสั่งอนุญาต วันนั้นงามพิศก็ไม่ได้ลิ้มรสขนมหรือ ‘ของกินเล่น’ อันเป็นของชอบของเด็กสาวๆ ทั่วไปแม้แต่สักนิดเดียว

ก่อนที่งามพิศจะจีบพลูเสร็จ ขุนจำนงฯ ก็เข้าห้องนอน คุณป้าคอยให้งามพิศปลดสร้อยข้อมือสองสายที่ท่านให้หล่อน ‘แต่ง’ ไปเที่ยวพระแท่น ได้สายสร้อยแล้วก็ตามสามีเข้าในห้อง เพื่อทำการนวดให้แก่สามี เป็นการปรนนิบัติอันควรแก่เวลา ต่อนั้นงามพิศก็ได้ทำงานพลางปล่อยใจให้คิดถึงสิ่งต่างๆ ตามอารมณ์โดยสะดวก

พอแรกเริ่มงามพิศก็นึกถึงข้าหลวงบิดาของสหายก่อน ดูท่านช่างกรุณา น่าชมเสียนี่กระไร ท่านปราศรัยกับงามพิศหลายครั้ง ด้วยน้ำเสียงแสดงความเมตตาบ้าง ล้อเลียนบ้าง ห่วงใยบ้าง งามพิศนึกพิศวงในใจ....ผู้ที่มีตำแหน่งสูงที่สุดในถิ่นที่หล่อนอยู่นี้ ได้เป็นคนแรกที่เคยแสดงความเอาใจใส่ต่อหล่อน !

แล้วนึกถึงส่งศรี ผู้เป็นเนื้อแท้ของข่าวที่ทำให้งามพิศแช่มชื่น​....เป็นความจริงแท้แล้ว ส่งศรีจะไม่กลับกรุงเทพฯ จะอยู่ในจังหวัดนี้ต่อไป !

ส่งศรีลาออกจากมหาวิทยาลัย ด้วยพ่ายแพ้ต่อเหตุผลของบิดา รวมทั้งการรบเร้าของท่านด้วย นางเอนกประชากร มารดาส่งศรีได้ถึงแก่กรรมในระยะใกล้เคียงกับเวลาที่งามพิศเป็นกำพร้ามารดา และหลวงเอนกฯ ก็ยังครองตัวเป็นหม้าย ด้วยเหตุผลอันเดียวกับที่หลวงประเสริฐฯ เคยพะวงถึง คือเกรงว่าบุตรธิดาจะได้รับความเดือดร้อนจากแม่เลี้ยง

แต่ในฐานะแห่งการเป็นหม้ายของหลวงประเสริฐฯ กับหลวงเอนกฯ นั้นต่างกันโดยการครองชีพของแต่ละฝ่าย หลวงประเสริฐฯ เป็นแพทย์ การติดต่อกับบุคคลทั่วไปย่อมคล้ายคลึงกับการติดต่อระหว่างพ่อค้ากับลูกค้า ตราบเท่าที่หลวงประเสริฐฯ รักษาไข้ดี คนไข้ทั้งหลายย่อมมาสู่เพื่อประโยชน์แก่เขาเอง ส่วนหลวงเอนกฯ เป็นข้าราชการประจำจังหวัด ความเจริญในหน้าที่ของคุณหลวงขึ้นอยู่แก่การต้องติดต่อกับบุคคลทุกจำพวกเป็นนิจศีล ทั้งในทางราชการโดยตรงและทางกึ่งราชการ ทั้งในทางกึ่งราชการและกึ่งส่วนตัว เมื่อคุณหลวงมีแต่ตัวผู้เดียว ไม่มีผู้ต่างหูต่างตา ไม่มีผู้เป็นแรงคอยช่วย ก็นับว่าคุณหลวงต้องรับภาระหนักเกินสมควรอยู่

เมื่อส่งศรีเรียนจบหลักการสูตรสามัญศึกษา หล่อนแสดงความปรารถนาจะศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย คุณหลวงก็อิดออด แต่ด้วยเหตุที่ส่งศรีอยู่ห่างจากบิดา อาศัยแต่จดหมายเป็นเครื่องติดต่อแสดงความคิดเห็นต่อกัน ส่งศรีไม่เล็งเห็นน้ำหนักแห่งการอิดออดที่เป็น​แต่เพียงตัวอักษร ถือความ ‘อยากจะทำตามอย่างเพื่อน’ เป็นที่ตั้ง ประกอบกับมี ‘คุณน้า’ ผู้อยู่ใกล้เป็นผู้สนับสนุน จึงได้เข้าสอบแข่งขันเพื่อเป็นนิสิตหญิงในมหาวิทยาลัย แล้วและได้รับเลือกโดยคะแนนที่สอบแข่งขันนั้น

เมื่อได้ทราบข่าวความสำเร็จในขั้นนี้ หลวงเอนกฯ อดที่จะภูมิใจในความสามารถของธิดาเสียมิได้ จึงมิได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก แต่เมื่อเวลาล่วงไปนานวันเข้า หลวงเอนกฯ มีความรู้สึกในความลำบากและความขัดข้องบางประการทวีขึ้น จึงเริ่มเจรจากับธิดาอีกครั้งหนึ่ง

หลวงเอนกฯ ชี้แจงว่า คุณหลวงก็พอใจที่จะให้ธิดาเป็นผู้มีวิทยฐานะชั้นสูง เพื่อเป็นที่ชื่นใจแก่คุณหลวงด้วย และเพื่อเป็นเครื่องมือแก่ธิดาสำหรับหาเลี้ยงชีพในภายหน้าด้วย แต่คุณหลวงต้องอยู่โดยไม่มีแม่บ้าน ได้รับความเหน็ดเหนื่อยและลำบากใจหลายประการ ทั้งน้องเล็กสองคนของส่งศรี ก็มีอายุมากเกินสมควรที่จะปล่อยให้ได้รับการอบรมจากนางพี่เลี้ยงแต่ฝ่ายเดียวแล้ว คุณหลวงไม่มีเวลาที่จะได้คอยเฝ้าอบรมเด็กเล็กๆ สองคนนั้น ซึ่งคุณหลวงสังเกตเห็นว่า ความเจริญในทางจรรยามิได้คู่มากับความเจริญทางกาย หากส่งศรีรักที่จะได้ปริญญามากกว่าห่วงความสุขของบิดาและของน้อง คุณหลวงก็จะแต่งงานใหม่ หากส่งศรีจะสละการศึกษาทางมหาวิทยาลัยเสีย มาอยู่กับบิดา ส่งศรีก็ยังมีทางที่จะเล่าเรียนให้ถึงขั้นประกาศนียบัตรวิชาครูมัธยม เพราะวิชาขั้นนี้บุคคลผู้มีความพยายามมากหน่อยอาจสามารถจะเรียนเองได้ดี และตราบ​เท่าที่ส่งศรียังอยู่เป็นแม่บ้านต่างหูต่างตาบิดา และลูกน้อยทั้งสองยังไม่โตพอที่จะรักษาตัวเองให้พ้นจากการกดขี่ หลวงเอนกฯ จะยังไม่แต่งงาน

 

90

๑๓

สองสามครั้งแล้ว คุณป้าบอกแก่งามพิศว่าธิดาข้าหลวงถามถึง

ทุกครั้งงามพิศนิ่งฟังโดยดุษณีภาพ เสมือนหล่อนไม่มีความรู้สึกต่อข่าวนั้นอย่างใดเลย

การนิ่งของงามพิศก็คือ การพยายามกดพายุแห่งความคะนึงนึกภายใน เพื่อมิให้ประจักษ์แก่ผู้ใดรวมทั้งตัวหล่อนเองด้วย

แท้จริงนั้นนับแต่งามพิศได้พบส่งศรี คือธิดาข้าหลวงแล้ว ความคับแค้นใจซึ่งมีอาการเสมือนได้ ‘ด้าน’ ไปพักหนึ่งจนไม่ออกฤทธิ์ให้เป็นที่เดือดร้อนแก่ผู้เจ้าทุกข์ ก็กลับไหวตัวดิ้นรนขึ้นใหม่โดยแรง งามพิศเคยทำลืมเสียว่าตนเป็นธิดาของผู้มีอันจะกินคนหนึ่ง และเคยได้รับความสุขสมควรแก่ฐานะครบถ้วน ครั้นได้พบส่งศรีเพื่อนหญิงที่มีฐานะคล้ายคลึงกับตนในสมัยก่อนทุกประการ เนื้อ​ความที่ทำลืมเสียนั้น ก็กลับมาเป็นภาพล่ออยู่ในสมองงามพิศอีก เจ้าหล่อนเคยทำลืมว่าตนเป็นผู้มีการเล่าเรียนสำเร็จบริบูรณ์ ครั้นได้พบส่งศรีเพื่อนร่วมโรงเรียนและร่วมชั้น เนื้อความที่ทำลืมเสียนั้น ก็กลับมาก่อกวนความจำอีก ในท้ายที่สุดข้อที่สำคัญเหนือความสำคัญทั้งหลาย ข้อที่ลืมยากยิ่งกว่าสิ่งอื่นๆ ทั้งหมด งามพิศพยายามลืมว่าตนได้เคยเป็นนักศึกษาแล้ว และต้องละทิ้งมาเสียกลางคัน ทั้งสุดสิ้นหวังที่จะได้กลับเข้าศึกษาอีก ครั้นได้พบส่งศรีเพื่อนนักศึกษาร่วมห้องร่วมปี ความพยายามซึ่งดูเหมือนจะมีทีท่าว่าจะสำเร็จผล ก็กลับถอยหลังไปสู่ความห่างไกลจากผลสำเร็จเท่ากับเมื่อครั้งที่งามพิศตั้งต้นพยายาม

ใจหนึ่งกลัวคุณป้าจะสั่งให้ไปหาธิดาข้าหลวง ใจหนึ่งนึกคอยว่าเมื่อไรคุณป้าจะสั่งให้ไป ใจหนึ่งไม่อยากพบ ไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยินได้ฟังแม้แต่ชื่อหรือเรื่องราวของเพื่อนคนนี้ ใจหนึ่งอยากให้เพื่อนใช้อำนาจของบิดาสั่งคุณป้าให้พาตนไปพบ ใจหนึ่งอยากให้เวลาที่มหาวิทยาลัยเปิดเทอมมาถึงในวันในพรุ่ง ใจหนึ่งกลัวว่าเวลานั้นจะมาถึงเสียก่อนที่ตนจะได้พบกับเพื่อนอีก

วันล่วงไปอีกหลายวัน ความลังเลในใจงามพิศจึงถึงที่สุดลง

วันนั้นเป็นวันธรรมสวนะในพรรษา งามพิศได้ไปสู่พระอารามกับคุณป้าในตอนเช้า และคุณป้าสมาทานอุโบสถศีล รับประทานอาหารเพลที่วัด งามพิศก็ได้รับประทานด้วย เสร็จจากนั้นแล้ว งามพิศก็เก็บภาชนะที่ใส่อาหารไปนั้นกลับบ้านพร้อมกับเด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเด็กในบ้านเหมือนกัน ส่วนคุณป้ายังอยู่ฟังธรรม​เทศนา จะกลับบ้านก็ต่อใกล้ค่ำ

ครึ่งวันเต็มๆ งามพิศทำงานโดยไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดคอยคุ้ยเขี่ยติโน่นตินี่ ทั้งยังมีเวลาได้นั่งเงียบๆ ตามลำพังหลายสิบนาที เมื่อรู้แน่ว่าตนจะสบายใจตลอดเวลาเย็นอีกด้วย เพราะลุงเขยมีปกติกลับบ้านล่าช้ามากในวันที่ภรรยาไปอยู่วัด งามพิศก็อาบน้ำแต่วัน แล้วก็นั่งฟังนกเขาขันบ้าง ลงไปเดินเล่นดูสิ่งต่างๆ ริมน้ำบ้าง พร้อมกับคิดถึงเรื่องราวแห่งชีวิตของตนไปพลาง

เมื่อแดดลบ อากาศครึ้ม และเสียงนกเสียงการวมทั้งธรรมชาติรอบข้างเริ่มจะมีอาการวังเวง เยือกเย็น ความคิดต่างๆ ก็เริ่มชวนให้เกิดความเศร้าสลดในใจ งามพิศก็ต้องรีบหนีสิ่งที่ชวนให้เศร้า ทั้งที่เกิดจากเหตุภายนอก ทั้งที่เกิดจากเหตุภายใน งานที่จะต้องทำในวันนี้ยังมีเหลืออีกอย่างหนึ่ง คือปูที่นอนไว้สำหรับคุณป้าและสำหรับตัวเองด้วย งามพิศกลับขึ้นเรือนและลงมือทำงานนั้น

พอปูที่นอนเสร็จ กำลังคลี่มุ่ง มีเสียงแปลกหูแว่วมาจากทางหน้าห้อง แต่งามพิศมิได้เอาใจใส่ ยกเก้าอี้มาต่อตัวเพื่อจะผูกมุ้งสายที่หนึ่ง พอเอื้อมมือถึงตะปู ก็ได้ยินเสียงหัวเราะในที่ใกล้ พร้อมกับได้ยินชื่อของตนเอง.....ส่งศรีมายืนเรียกงามพิศอยู่ตรงหน้าห้อง

งามพิศโดดลงจากเก้าอี้ ก้าวเท้าสองที่ถึงตัวเพื่อนแล้วก็หยุดชะงัก พูดไม่ออก ทำอะไรไม่ถูกอีกต่อไป

“แหม ! ใจดำยังกะหมึกจีน” ส่งศรีกล่าวพร้อมกับค้อนให้อย่างงอนจัด “สั่งคุณนายเชยมาตั้งร้อยหนแล้วว่าคิดถึง ไม่เห็นสั่งตอบไปว่ากระไร บอกให้ไปหามั่งก็ไม่โผล่ไปเลย”

​แทนคำตอบ งามพิศกลับถามว่า

“นี่เธอมาคนเดียวหรือ?”

“มากะคุณพ่อ คุณพ่อคอยอยู่ในรถ”

อีกฝ่ายหนึ่งถอนใจแล้วถาม

“เธอจะกลับกรุงเทพฯ เมื่อไหร่?”

ส่งศรีหัวเราะก๊ก แล้วว่า

“ไม่กลับแล้ว จะมาอยู่เป็นเพื่อนเธอที่นี่ยังไงล่ะ” เห็นสหายทำหน้าตื่นและพึมพำอยู่ในคอ เจ้าหล่อนก็หัวเราะอีกและถาม “มหาวิทยาลัย? ฉันลาออกแล้วเหมือนเธอเหมือนกัน....อุ๊ย เรื่องมากยืดยาว เล่าวันนี้ไม่ทัน บอกแล้วว่าคุณพ่อคอยอยู่ในรถ ฉันบอกท่านว่าจะพูดกับเธอ ๒-๓ คำเท่านั้นแล้วก็จะไป ฉันมาชวนเธอไปไหว้พระแท่นด้วยกัน”

“ไปไหนนะ?” งามพิศถาม ความอยากสนุกปรากฏในแววตาแว่บหนึ่งแล้วก็ดับไป

“ไปพระแท่นยังไงล่ะ พระแท่นศักดิ์สิทธิ์ ใครไปไหว้แล้วไม่ตกนรก พรุ่งนี้โมงเช้าเขาจะออกกัน”

งามพิศสั่นศีรษะช้าๆ มองไม่เห็นทางว่าตนจะไปได้อย่างไร ส่งศรีขึ้นเสียงดังอีก

“แหม ! เหลือเกิน จะไปเป็นเพื่อนกันหน่อยก็ไม่ได้ คนที่จะไปน่ะล้วนแต่ผู้ชายทั้งนั้น แล้วเราไม่รู้จักใครสักคนมันจะสนุกยังไง เปิ่นตายเลย ถึงเธอจะเคยไปแล้วก็ไปเป็นเพื่อนกันอีกหนหนึ่งไม่ได้เทียวหรือ? เสียแรงมาชวน คุณพ่อก็อุตส่าห์มาด้วย รู้​ยังงี้ไม่มาหรอก เสียเวลาเปล่าๆ....”

พูดยังไม่ทันขาดคำดี ธิดาข้าหลวงสังเกตเห็นสีหน้าเพื่อนมีลักษณะพิกล ฉุกใจจึงเปลี่ยนเสียงถามว่า

“เป็นอะไรน่ะ เธอน่ะ ฮะ? เป็นยังไง? เป็นบ้าเรอะ จะพูดอะไรก็ไม่พูดออกมา”

งามพิศรู้ดีว่าเป็นการน่าละอายที่จะบอกแก่เพื่อน ว่าตนไม่อาจที่จะออกปากลาคุณป้า แต่ความจริงข้อนี้ก็หลุดจากปากหล่อนจนได้

“แหม ! อะไรกลัวคุณป้าจนยังงั้นเทียวหรือ?” ส่งศรีย้อนถามอย่างทึ่งที่สุด “ดุมากหรือเธอ? เคยตีเธอไหม?”

งามพิศรู้สึกหน้าชา ดูเหมือนจะเกิดความคิดขึ้นเป็นครั้งแรกเดี๋ยวนี้เอง ว่าคุณป้าอาจถืออำนาจที่หล่อนได้ และแล้วหล่อนก็จะไม่มีความกล้าพอที่จะป้องกันตัวหรือหลบหลีกจากอำนาจท่าน ส่งศรีเห็นเพื่อนยังไม่ตอบในทันที ก็กระเซ้าถามต่อไป

“เธอเคยถูกตีบ่อยๆ หรือ ตั้งแต่มาอยู่กับคุณป้า?”

“ยังไม่เคย” งามพิศตอบ

“เอ๊ะ แล้วทำไมถึงกลัวมาก! ตกลงพรุ่งนี้เธอไปไม่ได้เรอะ? ตาย ! แล้วทำยังไงเธอถึงจะไปได้ล่ะ?.... เออ ! นายอำเภอก็ไปด้วยนี่นา ฉันบอกนายอำเภอให้เอาเธอไปด้วยได้ไหม? หรือให้คุณพ่อบอกก็ได้ เผื่อได้เธอไปนะ”

งามพิศคิดอยู่ในใจว่า ถ้าเรื่องเป็นไปเช่นนั้นตนก็คงจะถูกคุณป้าเกรี้ยวกราดอย่างที่ตนเป็นผู้ผิด เพราะสิ่งใดที่งามพิศกระทำลง​ก่อนที่คุณป้าจะนึกขึ้นเองแล้ว และสั่งให้กระทำสิ่งนั้นได้ เคยเป็นเหตุให้งามพิศถูกตำหนิอย่างแรงมาแล้วทั้งสิ้น แต่งามพิศไม่อาจออกปากแจ้งความจริงแก่เพื่อน จึงต้องพยักหน้ารับ เพื่อ ‘ขอไปที’

ส่งศรีแสดงกิริยาดีใจ ซึ่งเกือบจะกล่าวได้ว่าอย่างลิงโลด จับมือเพื่อนเขย่าแขนไปมา แล้วนึกขึ้นได้ว่าบิดาคอยตนอยู่ ก็ทำท่าจะออกวิ่ง แต่แล้วก็กลับชะงัก เมื่อความอยากรู้เกิดขึ้นใหม่อีกข้อหนึ่งและถาม

“นี่ห้องเธอรึ?”

“ไม่ใช่ ห้องคุณป้า”

“แล้วห้องเธออยู่ที่ไหน?”

“ไม่มี มีแต่ของอยู่ในห้องนี้”

“แล้วเธอนอนที่ไหน?”

“นอนที่นี่”

“อ้อ ! นั่นที่นอนเธอรึ? แล้วอันโน้นล่ะ”

“ที่นอนคุณป้า”

“อุ๊ยตาย ! นอนกับคุณป้าด้วยรึ? เดี๋ยวดิ้นไปถูกเข้าหน่อยแม่ทุบตาย เออ ! แล้วไหนเธอเคยบอกว่านอนมุ้งเดียวกับใครไม่ ได้ เธอนอนไม่หลับยังไงล่ะ?”

งามพิศยิ้มมีลักษณะน่าสมเพชที่สุด ภายหลังจึงตอบว่า

“วันพระทีถึงจะนอนด้วยกันที”

“เอ๊ะ ! ทำไมยังงั้น แล้วเผื่อไม่ใช่วันพระเธอนอนที่ไหน?”

“นอนที่นี่แหละ คุณป้าท่านนอนในห้องคุณลุง”

​“เอ๊ะ ! พิลึก แล้วทำไมที่นอนคุณป้าถึงแบนแต๊ดแต๋?”

“ที่นอนคุณป้าไม่มีนุ่นนี่เธอ วันพระในพรรษาท่านรับศีล นอนที่นอนยัดนุ่นไม่ได้”

“อ้อ !” ส่งศรีอุทานอย่างยืดยาวแล้วก็พูดอย่างร้อนรนสืบไป “แล้วเผื่อฉันมาหาเธอที่นี่ เราเข้ามาทำลิงกันในห้องเหมือนที่กรุงเทพฯ ได้ไหม?”

งามพิศสั่นศีรษะแทนคำตอบ

“แล้วยังงั้นเราจะไปคุยกันที่ไหนล่ะ?” ถามอย่างวิตก

“ไม่รู้นี่”

ชะรอยความคับแค้นของงามพิศ ซึ่งปรากฏเจืออยู่ในถ้อยคำและน้ำเสียง ตลอดจนถึงสีหน้าของหล่อนนั้นจะมีฤทธิ์แรงล่วงเกินไปกล้ำกรายถึงความรู้สึกของส่งศรีด้วย ทำให้เจ้าหล่อนผู้นี้ถอนใจโดยปราศจากเจตนา ครั้นแล้วจึงว่า

“คุณพ่อบ่นแย่แล้วป่านนี้ ไปละ พรุ่งนี้พบกันใหม่ เตรียมตัวไว้นะ อย่าลืม”

พูดแล้วส่งศรีละจากประตูห้อง วิ่งตัดยกพื้นไป แต่เมื่อลงบันไดสองขั้นแล้ว หล่อนก็ชะงัก หันกลับมาบอกงามพิศผู้ซึ่งยังยืนอยู่ที่ประตู

“คุณป้าเธอมาแล้วซี ยืนอยู่กะคุณพ่อ นายอำเภอก็อยู่ด้วย ดีไป คุณพ่อท่าจะไม่ได้บ่นถึงฉันเลย รู้ยังงี้เราไม่ยักรีบ ฉันเลยลาคุณป้าให้เธอเลยนะ”

งามพิศพยักหน้า ความปิติเกิดขึ้นในใจอย่างที่ไม่เคยมีเช่น​นี้มานานนักหนาแล้ว ตอบเพื่อนว่า

“ไปเถอะเธอ เดี๋ยวคุณพ่อจะว่า” แล้วกำชับ “ลาคุณป้านะเธอ ถ้าลาคุณลุงละก้อ...ไม่ดีหรอก”

“ได้กัน” ส่งศรีรับ แล้วมองไปเห็นรอยรองเท้าของตนปรากฏบนพื้นกระดานสองแห่ง ก็อุทานว่า “ต๊ายจริง ! นั่นรอยเกือกฉันทั้งนั้น เดี๋ยวคุณป้าเทศน์แย่”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันเช็ดเอง”

“เรอะ? ขอบใจ ขอโทษนะ”

แล้วส่งศรีก็ลงบันไดไปอย่างแช่มช้า ผิดกับกิริยาที่ลงมาคราวแรก

 

Pages: 1 ... 7 8 [9] 10
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.112 seconds with 12 queries.