Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
17 June 2025, 01:19:39

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
27,264 Posts in 13,292 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Recent Posts

Recent Posts

Pages: 1 ... 7 8 [9] 10
81
Animals / 31 พค. วันนกแก้วโลก (World Parrot Day)
« Last post by ppsan on 31 May 2025, 18:08:10  »
31 พค. วันนกแก้วโลก (World Parrot Day)


วันนี้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์นกแก้วและถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมัน ซึ่งนกแก้วหลายสายพันธุ์ทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัญหา เช่น การสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย และการลักลอบค้าสัตว์ป่า
     
วันนกแก้วโลกเริ่มต้นขึ้นในปี 2004 โดยองค์กร World Parrot Trust เพื่อส่งเสริมให้คนทั่วโลกร่วมกันอนุรักษ์นกแก้วและสนับสนุนความพยายามในการวิจัยและฟื้นฟูประชากรนกแก้วในธรรมชาติ











.
ภาพจาก...
https://www.facebook.com/happybirdsday
https://www.facebook.com/profile.php?id=100064984033637
.




82
พุทธมณฑล : นกแต้วแร้วนางฟ้า




ช่วงสงกรานต์อาจะเป็นช่วงของความสนุกสนานของคนส่วนใหญ่
แต่กลับเป็นช่วงเวลาของความลำบากของคนที่ไม่อยากออกไปไหน
วันหยุดก็เยอะเสียด้วยสิ บล็อกก่อนก็เล่าว่าไปที่บางปูกับเดอะเกลือคาเฟ่
แต่วันหยุดนั้นก็ช่างยาวนานจนเบื่อ แต่แล้วก็มีข่าวนกใหม่แทรกเข้ามา
 
นกแต้วแร้วนางฟ้ามาพุทธมณฑล หูผึ่งเลยทันที
เพราะเป็นนกที่เราแห้วมาแล้วสองครั้ง ทั้งที่นี่และสวนรถไฟ
เช้าวันหนึ่งในช่วงสงกรานต์ 2567 ผมก็ออกเดินทางอีกครั้ง
ด้วยความมั่นใจเพราะรู้หมายจากครั้งก่อนว่า นกลงที่ตรงไหน
 
จากที่จอดรถเราเดินดุ่มๆ มุ่งหน้าไปยังป่าไผ่ในพุทธมณฑล
แดดยามสายนั้นไม่ปราณี นี่ขนาดมาเช้าต่างจากครั้งเก่าที่มาบ่าย
เราไม่พบใครเลย ในบริเวณที่เคยมีนกแต้วแร้วมาลง

จากบล็อกนกกระเบื้องคอขาว เราเคยเล่าแล้วว่า
ที่สวนเวฬุวันเป็นที่ๆ พบนกชนิดนี้เป็นครั้งแรกและหายไปนับสิบปี
ก่อนที่พบเจอพวกมันอีกครั้ง เราได้แต่ทำใจ
ถ่ายนกอย่างอื่นไปแก้เซ็ง เป็นการแห้วครั้งที่สาม



หลังสงกรานต์ก็เป็นการมาทำงานตามปรกติ
มีคนบอกว่า นกแต้วแร้วนางฟ้ามาพุทธมณฑล
เราก็เลยบอกไปว่า ไปมาแล้วไม่เจอ
เค้าเลยส่งหมายมา พบว่าเป็นในสวนอยู่ข้างองค์พระ
 
วันหยุดสัปดาห์ต่อมา เราก็ต้องออกเดินทางอีกครั้ง
ถึงจุดลงรถมีคนมาถามทาง เราก็บอกไป
แหม่ ที่ตอนเรามาครั้งก่อน ไม่เห็นมีใครให้เราถามบ้างเลย
ไปถึงก็เห็นเป็นมหกรรม ที่มีนักถ่ายภาพนั่งอยู่ราว 20 คน
 
วางกล้องยังไม่ได้นั่ง นกก็บินมาเกาะกิ่งไม้ และโผลงมายังพื้นดิน
เสียงชัตเตอร์ดังสนั่น เรากดภาพนิ่งมาราว 20 ภาพและ 1 วิดีโอ
เป็นมารยาทที่เราจะรอจนนกไป บางคนก็เก็บกล้องกลับเหมือนเรา
แต่คนส่วนใหญ่ก็นั่งต่อไปเพื่อต้องการภาพพิเศษ เช่น ตอนนกบิน



นกแต้วแร้วนางฟ้า (fairy pitta) คล้ายกับนกแต้วแร้วธรรมดา
(blue wing pitta) เพียงแต่ว่าแถบปีกสีฟ้านั้นบางกว่า
แต่ครั้งแรกที่ถูกพบที่ประเทศไทยนั้น
มันถูกคิดว่าเป็น นกแต้วแร้วอกเขียว (hooded pitta)

เป็นนกสีสันสดใสในสกุล Pitta ตั้งชื่อโดยนักปักษีวิทยาชาวฝรั่งเศส
Louis Pierre Vieillot ในปี 1816 ให้ชื่อแก่นก African pitta
นกแต้วแร้วนั้นกระจายพันธ์ไปในแนวเส้นศูนย์สูตร
ตั้งแต่เขตแอฟริกามาจนถึงทางตอนเหนือของออสเตรเลีย

หลังจากนั้น ก็มีการค้นพบนกกลุ่มนี้ราว 31 สายพันธ์
แต่ในปัจจุบัน ถูกแยกออกไปกลายเป็นสามสกุล
สกุล  Pitta เดิม เหลือเพื่อนอยู่ร่วมกัน 20 ชนิด



ในทุกๆ ปี นกแต้วแร้วนางฟ้า จะอยู่อาศัยและทำรังวางไข่
ตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนจนถึงกันยายน ในพื้นที่ของประเทศญี่ปุ่น
คาบสมุทรเกาหลี ประเทศจีนทางตะวันออก  จนถึงเกาะไต้หวัน 

หลังจากนั้นเมื่อประเทศดังกล่าว เข้าสู่ช่วงฤดูหนาว
พวกมันจะอพยพลงมา ยังแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ผ่านฮ่องกง ฟิลิปปินส์ อินโดจีน รวมถึงประเทศไทย
โดยเฉพาะเกาะมันในที่พบเห็นได้ทุกปี ไปยังตอนกลางของเกาะบอเนียว
 
ความสำคัญคือ จำนวนประชากรที่คาดว่ามีน้อยมาก
มีการประมาณประชากรนกชนิดนี้ทั้งโลกไว้ตั้งแต่ 100-10,000 ตัว
และจำนวนประมาณการ จากการอพยพที่ 50-1,000 ตัว เท่านั้น
สถานะในปัจจุบัน คือถูกคุกคามระดับเปราะบาง (vulnerable)


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=05-2024&date=13&group=22&gblog=116
.




83
Animals / บางปู : นกกาบบัว
« Last post by ppsan on 31 May 2025, 08:49:31  »
บางปู : นกกาบบัว





เช้าวันหนึ่งในช่วงสงกรานต์ พ.ศ. 2567 ผมก็ออกเดินทางอีกครั้ง
มีคนรายงานว่าเห็นนกชายเลนปากช้อนที่เดอะเกลือคาเฟ่
มีความมั่นใจเป็นอย่างมาก เพราะว่าเป็นครั้งที่สองแล้วที่มาที่นี่
หลังจากมาสำรวจครั้งแรกอย่างไม่คาดหวัง ซึ่งก็ตามนั้นจริงๆ
 
จอดรถตรงคาเฟ่ สะพายขาตั้งกล้องพร้อมกล้องสองตาออกไป
ใช่แล้ว คราวนี้ผมแบกขาตั้งกล้องมาด้วย เดินไปตามคันดิน
ที่เห็นว่าน่าจะกินแห้วมากกว่าครั้งที่มาคราวก่อน
เพราะตอนนี้เป็นฤดูร้อน เค้ากำลังเก็บเกลือ แปลว่าน้ำแห้ง
 
สวนทางกับเพื่อนนักดูนก เลยถามข่าวก็ได้คำตอบว่า ไม่เจอ
เป็นอันว่าแบกขาตั้งกล้องมาฟรี ก็ไม่เป็นไร ถ่ายภาพนกน้ำ
ที่ยังคงหากินอยู่ แน่ๆ คือพวกนกยางโทน นกกาน้ำ
นกสตินท์ อะไรไป จนร้อนไม่ไหวเลยเดินกลับ

บนฟ้ามีนกตัวใหญ่บินผ่าน มองจากกล้องสองตา
เห็นว่าเป็นนกกาบบัว กว่าจะวางขาตั้ง ส่องหา
นกก็บินหายลับไปจากสายตา แบกขาตั้งต่อไป
จนใกล้จะถึงรถ ก็เห็นฝูงนกกลุ่มใหญ่



แวบแรกเยอะขนาดนี้คงเป็นนกปากห่างแน่ๆ
แต่ไหนๆ ก็ลองส่องสักหน่อย กลายเป็นนกกระทุง
น่าเสียดายที่ไม่ได้ถ่ายเค้าตอนอยู่บนดิน
ก่อนหน้านี้ก็เห็นว่าบินลงบ่อข้างๆ แต่ว่าข้ามทางไปไม่ได้
 
จากฉะเชิงเทราเพื่อไม่เป็นการเสียเที่ยว ก็เลยแวะบางปู
ที่ได้ข่าวว่ามีนกอพยพหลายตัวมาลง รวมถึงจับแมลงคิ้วเหลือง
เดินหาเรือนสกุณาก่อนเลย เพราะมาหลายครั้งก็ยังหาไม่เจอ
แต่คราวนี้ไม่ผิดหวังเพราะว่าได้เส้นทางมา มีบ่อน้ำอยู่ตรงหน้า
 
นกหลายชนิดพักอาศัย แต่ที่น่าสนใจคือนกที่เราแห้วมาจากเดอะเกลือ
นกกาบบัว 2 ตัว ตัวหนึ่งน่าจะเป็นผู้ใหญ่ ส่วนตัวขนโทรมๆ คงเป็นเด็ก
หลังจากนั้นก็เดินไปยังจุดเล่นน้ำนกจุดใหม่ ที่ย้ายมาจากหลังห้องน้ำ
ไม่ไกลกันมีจุดที่เค้ารอนกจับแมลงคิ้วเหลืองกับนกแซวสวรรค์มาลง
 
คนหนึ่งไปนั่งอยู่ใกล้มาก จนผมเชื่อว่า แห้วแน่นอน
แต่มาแล้วก็ลองสักหน่อย ราวครึ่งชั่วโมงผ่านไปก็ไร้วี่แวว
ได้เวลากลับบ้านเสียที   

 ท่ามกลางกระแสการปล่อยนกกระเรียนที่ห้วยจระเข้มาก
หรือโครงการล่าสุดอย่างนกกระสาคอขาวที่ป่าดงใหญ่
ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีก่อน นกกาบบัวเป็นนกที่หายาก
แหล่งอาศัยในธรรมชาติที่มีการทำรังแห่งสุดท้ายอยู่ที่ทะเลน้อย
ในขณะที่นกกระทุงนั้นไม่เคยพบในธรรมชาติมานานกว่านั้นมากแล้ว



ช่วงเวลานั้นผมได้มีโอกาสไปฝึกงานที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว
ทุกเช้าที่เดินลงไปจากบ้านพัก จะเห็นสระน้ำขนาดใหญ่
มีนกกระทุงและนกกาบบัวลอยคออยู่รวมกันเป็นฝูง
ถามว่ามาจากไหน ก็คือนกที่ปล่อยออกมาจากกรงเลี้ยง
 
ถามว่าต้นสายของนกพวกนี้มาจากไหน
ก็มาจากสวนสัตว์เขาดินที่มีมากอีกนั่นล่ะ
แปลว่านกพวกนี้ปรับตัวง่ายในการขยายพันธ์
 
ต่างจากนกระสาคอขาวที่มีที่มาจากอีกแหล่งหนึ่ง
จึงมีจำนวนเริ่มต้นน้อยกว่าและผสมพันธ์ยากในกรงเลี้ยง
โชคดีอย่างเดียวที่พวกมันมี คืออายุที่ยืนยาวมากพอ
ที่จะให้เจ้าหน้าที่มีประสบการณ์ในการขยายพันธ์พวกมันได้
 
นานวันผ่านไป นกกาบบัวและนกกระทุงที่อาศัยในสวนสัตว์เขาเขียว
ก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดการแย่งกันทำรังและหาอาหาร
นกกลุ่มหนึ่งจึงอพยพออกไป ยังแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้กัน
อ่างเก็บน้ำบางพระ กลายเป็นแหล่งดูนกน้ำหายากขนาดใหญ่   
จนในปัจจุบันก็ได้เพิ่มประชากรออกไปอาศัยในพื้นที่รอบๆ นั่นเอง


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=04-2024&date=19&group=22&gblog=117
.



84
Animals / Re: นกโกโรโกโส (Carpococcyx renauldi)
« Last post by ppsan on 29 May 2025, 17:29:07  »
นกโกโรโกโส หรือที่รู้จักกันในชื่อสามัญว่า
Siamese Fireback Ground-Cuckoo
เป็นนกในวงศ์ นกคัคคู (Cuculidae)
.





เป็ด Call Duck By chopper
1 วัน  ·
นกโกโรโกโส (ชื่อวิทยาศาสตร์: Carpococcyx renauldi) หรือที่รู้จักกันในชื่อสามัญว่า Siamese Fireback Ground-Cuckoo เป็นนกในวงศ์ นกคัคคู (Cuculidae) โดยมีรายละเอียดดังนี้:

85
Animals / นกโกโรโกโส (Carpococcyx renauldi)
« Last post by ppsan on 29 May 2025, 17:15:15  »
นกโกโรโกโส (Carpococcyx renauldi)


เป็นนกที่มีลักษณะคล้ายไก่ฟ้า เดินหาอาหารบนพื้นป่าและมีอุปนิสัยขี้อายมาก มีลักษณะโดดเด่นไม่เหมือนนกชนิดอื่น ลำตัวด้านบนสีเทาอมฟ้า ลำตัวด้านล่างสีเทาอ่อน ปากและขาสีแดง ดวงตาสีอ่อนล้อมรอบด้วยหนังเปลือยสีฟ้าสด หัวและอกสีดำ หางยาวเป็นสีน้ำเงินเหลือบม่วง หากินบนพื้นหรือใกล้พื้นป่าที่รกทึบในป่าที่ราบและพื้นที่เชิงเขา พบเห็นตัวได้ยากมากแม้จะมีขนาดตัวที่ค่อนข้างใหญ่ เพศผู้ส่งเสียงร้องคล้ายเสียงผิวปากที่ดังลากยาวและดังกังวาล มีทำนองสูงขึ้นในช่วงกลางและค่อย ๆ ต่ำลงในช่วงท้าย









…..





























.
ที่มาของภาพและเรื่อง จาก
นกโกโรโกโส (Carpococcyx renauldi)
https://ebird.org/species/cbgcuc1?siteLanguage=th

.






86
สวนรถไฟ : นกจับแมลงตะโพกเหลือง




ผมเคยเขียนไว้ว่า วันเวลานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วแค่ไหน
ดูได้จากฤดูกาลของนกอพยพที่เราพบเจอได้ในแต่ละห้วงเวลา
ว่าแป๊บๆ ก็ผ่านไปปีนึงแล้ว

ในปีที่ผ่านมาก็มีนกอพยพที่น่าสนใจอยู่บ้าง
แต่ก็ไม่มากนัก เช่น ผมได้นกกะเบื้องผามาจากพุทธมณฑล
แต่ปีนี้ไม่มีข่าวนกตัวหายากอย่างแต้วแร้วนางฟ้า หรือว่ากระเต็นแดง
 
เข้าสู่ไตรมาสที่สองของปี พ.ศ. 2567 จะเป็นช่วงนกอพยพกลับ
นกจะอยู่ให้ถ่ายภาพไม่นาน เพราะตอนขามา นกจะผอมโซจากการบินมาไกล
เมื่อเจอแหล่งอาหารก็จะอยู่อาศัยหากินได้นาน
แต่ตอนนกอพยกลับนกจะมีพลังงาน
ที่เก็บสะสมมาตลอดฤดูหนาวอย่างเหลือเฟือ จีงไม่จำเป็นที่จะหยุดพักนาน

สายวันหนึ่งผมไปเดินสวนรถไฟอย่างไม่ได้คาดหวัง
แค่อยากจะไปถ่ายกระเต็นอะไรก็ได้ ที่ไม่ใช่กระเต็นอกขาว
มันเป็นปมฝังใจดังที่เคยเล่าไว้ว่า นกกระเต็นนั้นสายตาไวมาก
ยากที่จะตามหาและถ่ายภาพพวกมันกลับมาได้
 
เข้าสู่สวนรถไฟทางประตูทิศตะวันออก เดินไปหลังศูนย์กีฬา
เล่าลือกันว่า เป็นที่อยู่ของนกฮูกและนกกระเต็นใหญ่
อา ทำไมผมหามันไม่เจออีกแล้ว โชคไม่มีตลอดเลยเรา



เดินวนขอบบ่อไปเรื่อยๆ เผื่อจะเจอพวกมันบ้าง ก็ไม่พบอะไร
กลับมาบนถนน เดินวนจนถึงวงเวียนที่พักคนออกกำลังกาย
เห็นพี่คนหนึ่งถือเลนส์ยาวๆนั่งส่องอะไรอยู่
ก็เลยนั่งลงข้างๆ ก็เห็นว่าน่าจะถ่ายกระรอก

มองไปตรงหน้า เห็นว่ามีคนส่องกล้องสองตา ก็เลยเดินไปยืนดูบ้าง
พี่เค้าหันมาบอกว่า เห็นไหมตรงกิ่งไม้นั่น
แวบแรกที่เห็น เป็นนกที่คล้ายกับกางเขนบ้าน ตัวสีดำๆ แซมสีขาว
แต่ว่าเมือหันมา จะเห็นหน้าอกสีเหลืองสดใสราวกับเนื้อมะม่วงสุก

นกจับแมลงตะโพกเหลือง (yellow rump flycatcher)
คือนกอพยพที่ไม่ได้อยู่ในระดับหายากมาก
ช่วงนี้มีคนถ่ายภาพได้ที่บางปู แต่ผมเข็ดขยาดกับอากาศที่ร้อนจัด
เมื่อมาได้เจอเค้าที่นี่จึงนับเป็นวาสนา ก็เลยหยิบกล้องออกมาถ่ายสักหน่อย
พี่เค้าบอกไปถ่ายใกล้ๆ เลย เราก็เกรงใจ

แต่สังเกตว่าเค้าใช้รีโมท ส่วนตัวกล้องนั้นวางอยู่ห่างจากขอนไม้
ที่นกลงเกาะไม่เกินสองเมตร นี่เอง คงเป็นเทคนิคที่เราเห็นภาพใน facebook
ว่าทำไมเค้าถึงได้ถ่ายนกออกมา คมชัดขนาดเห็นรายละเอียดถึงเส้นขนได้
เรียกได้ว่า ถ้าถ่ายระยะแค่นี้ ใช้เลนส์ 70-200 มม ยังได้เลย



เราเก็บรูปตามสภาพ จะบอกว่าตัวเองไม่ใช่สายอุปกรณ์ก็คงไม่ใช่
เพิ่งถอย gimbal Sirui PH-20 กับขา Leofoto LS-365C มาใหม่
ถามว่าหยิบมาใช้ไหม ก็ไม่เพราะมันหนักและไม่คิดว่าจะได้ใช้
มีกระเป๋ากล้องสี่ห้าพันก็ไม่ใช้ หยิบกล้องใส่ถุงผ้าแจกฟรีมาเดินแทน
 
นกจับแมลงตะโพกเหลือง แปลตรงตัวมาจาก yellow rump flycatcher
ความเสี่ยงในการสูญพันธ์ต่ำ ในสถานะระดับ less concern
มีถิ่นอาศัยทำรังอยู่ในประเทศจีนแถบตะวันออก แมนจูเรีย และเกาหลี
มีญาติที่หน้าตาคล้ายกัน แต่หายากกว่าอย่าง นกจับแมลงคิ้วเหลือง

เมื่อถึงฤดูหนาวจะอพยพลงใต้ มาอาศัยในประเทศเวียดนาม ลาว
กัมพูชา ไทย มาเลเซียตอนเหนือ พม่า และอินเดียฝั่งตะวันตก
นกจับแมลงส่วนใหญ่จะมีสีน้ำตาล ทำให้แยกได้ยาก
แม้กระทั่งจับนกแมลงตะโพกเหลืองตัวเมียนั้น ก็มีสีน้ำตาลเช่นกัน
 
ก็อย่างที่เล่า นี่เป็นฤดูกาลนกอพยพขากลับ เรายังได้ลุ้นนกใหม่ๆ
ไปได้ตลอดเดือนนี้ จนกระทั่งถึงต้นเดือนพฤษภาคม
แต่อยากจะบอกว่า ประเทศไทยร้อนมาก จนไม่อยากออกไปไหน
ไปได้แค่สวนรถไฟ เพราะเดินทางไม่ยากและต้นไม้ก็มากพอจะหลบร้อนได้
 
ทำไม ประเทศทางตอนเหนือเค้าไม่แบ่งความเย็นลงมาให้บ้าง
เราก็อยากจะออกไปเดินเล่นชิลล์ๆ ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์เลย


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=04-2024&date=09&group=22&gblog=118
.




87
นกกระเต็นปักหลัก : ครัวมะนาว




นกที่มีสีสันตระกูลหนึ่งของคนดูนกคือ กลุ่มนกกระเต็น
โดดเด่นด้วยสีสันที่ฉูดฉาด และลีลาการพุ่งจับปลาที่น่าตื่นเต้น
กระเต็นบางชนิดก็เป็นนกประจำถิ่น บางชนิดก็เป็นนกอพยพ
กระเต็นปักหลักเป็นนกประจำถิ่น หากินตามแหล่งน้ำธรรมชาติ
 
แน่นอนว่า แหล่งน้ำที่พบนกกระเต็นปักหลักนั้นคงมีอยู่หลายแห่ง
แต่คนที่ไม่ใช่ชาวบ้านตรงนั้น ก็คงไม่มีโอกาสเข้าไปถ่ายภาพ
ดังนั้นหมายที่เป็นสถานที่สาธารณะ จึงไม่ใช่สิ่งที่หาได้ง่ายนัก
แต่มีหมายหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี นั่นก็คือร้านอาหารครัวมะนาว
 
สายวันหนึ่งในต้นเดือนกรกฎาคม 2566 เราออกจากบ้าน
เดินทางไปยัง อ. บางบาล พระนครศรีอยุธยา เพื่อไปตามหาพวกมัน
เริ่มต้นจากการสั่งอาหารมาทาน ถือเป็นการอุดหนุนสถานที่
ที่ช่วยให้พวกเราได้มีหมายถ่ายนกกระเต็นปักหลักกันต่อไป
 
ในร้านมีรูปถ่ายนกกระเต็นปักหลักที่เป็นพระเอกของที่นี่ติดไว้
มีโต๊ะหนึ่งที่นั่งทานอาหารอยู่ก่อนหน้า กำลังเอารูปในกล้องมาอวดกัน
ฟังเสียงแล้วน่าจะเป็นคนจีน แต่ว่าจะเป็นประเทศไหน เราไม่ทราบได้
เห็นไหมว่า นี่เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวได้ ด้วยนกเพียงตัวเดียว



หลังจากอิ่มหนำสำราญ ก็ได้เวลาในการออกไปหานก
มีคนทำรีวิวเส้นทางเดินไว้ใน youtube ด้วยล่ะ
ก็ขอบคุณพระเจ้าที่ให้ผมมีชีวิตอยู่จนถึง
ในวันที่โลกนี้นั้นมีความสะดวกสบายขนาดนี้
 
ระหว่างทางเดินไปก็เห็นนกกระจาบทองกำลังทำรัง
เป็นนกที่หาไม่ยากและมีสีสันงดงาม แต่ทำรังไม่สวยเลย
11.30 น. ก็มาถึงริมน้ำเจ้าพระยาที่จะไหลไปสู่เกาะเมือง
มีนักถ่ายภาพท่านหนึ่งยืนอยู่ เราสอบถามข่าวสารตามประสา
 
พี่เค้าบอกว่า มารอเกือบชั่วโมงแล้ว นกยังไม่มาเลย
ผมกำลังจะไปแล้ว แฟนรออยู่ที่ร้านอาหาร
อ้าวๆๆๆ  อือ.. เข้าใจหัวอกพ่อบ้านด้วยกัน

แต่ว่าเราจะเอายังไง แน่นอน ต้องรอสิ ลุ้นหน่อย เพิ่งมา
แล้วพี่เค้าก็เดินจากไป เราก็หามุมว่า นกน่าจะมาจากทางไหน
ร้านเค้าช่วยอำนวยความสะดวก ด้วยการเอาตาข่ายสีเขียวมาพราง
เพราะเป็นที่รู้กันว่า นกกระเต็นนั้นสายตาดีมาก

และอย่างไรก็ตามการเป็นสถานที่สาธารณะในการถ่ายนก
ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะสามารถเข้าไป
รบกวนชีวิตที่อยู่ตามธรรมชาติของพวกเค้ามากได้



บางคนสงสัยว่า เช่นนั้นจะเปิดให้เป็นที่ถ่ายนกทำไม ไม่ปล่อยให้เค้าอยู่
ก็เป็นสิ่งที่คิดได้ แต่หากมองด้วยใจเป็นกลาง ใช่ว่าทุกคนจะสนใจชีวิตนก
บางคนอาจจะยิงมัน บางคนอาจจะทำลายรังมัน

แต่ที่ผู้ใหญ่บ้านท่านนี้ คอยดูแลให้พวกมันปลอดภัย
ให้โอกาสนักดูนกเข้ามาถ่าย และใช้เป็นจุดขายของร้านอาหาร
ผมมองว่า นี่คือ win-win–win suituation
 นก เจ้าของกิจการ และนักถ่ายภาพ

หยิบเก้าอี้สนามมานั่งรอ ผ่านไปราว 20 นาที นกก็บินมาจากริมน้ำ
เกาะอยู่บนกิ่งไม้ที่มีคนปักไว้ให้นกเกาะ เรายกกล้องขึ้นถ่ายภาพ
แน่นอนว่า ไม่มีอุปกรณ์ขั้นเทพๆ ใด และตัวเองก็ไร้ซึ่งผีมือ
แต่เราก็ได้รูปภาพมัวๆ เก็บไว้เป็นประสบการณ์ชีวิต
 
และอย่างน้อยก็โชคดีกว่าพี่ท่านเมื่อกี้
ซึ่งมาที่นี่จากกรุงเทพเพื่อมาถ่ายนกตัวเดียว
นี่ล่ะชีวิตของคนกลุ่มนี้ ไกลแค่ไหน ขอแค่ให้รู้ข่าว
แต่สุดท้ายก็ได้แต่ใช้โชคตัวเองว่าวันนั้นจะมีมากหรือน้อย

 นกกระเต็นจัดอยู่ใน order Alcedines โดยมี 3 suborder
Alcedininae เป็นกลุ่มนกกระเต็นน้อยทั้งหลาย
Halcyonidae เป็นกลุ่มใหญ่สุด เช่น กระเต็นอกขาว นกกินเปรี้ยว
Cerylidae ที่พบในไทยสองสายพันธุ์

1 กระเต็นปักหลัก(pied kingfisher)
2 กระเต็นขาวดำใหญ่ (crested kingfisher)



การตั้งชื่อในภาษาอังกฤษ
pied หมายถึงแถบสีขนขาวและดำสลับกันบนลำตัว
ถูกใช้กับกระเต็นปักหลัก เพราะมันน่าจะถูกค้นพบก่อน

เมื่อเจอกระเต็นขาวดำใหญ่ที่มีสีลำตัวคล้ายกัน
จึงใช้คำว่า crested ตามการตั้งขึ้นของขนบนหัวราวกับหงอน
แม้กระเต็นปักหลักจะมีหงอนบนหัวเหมือนกัน
แต่ก็ตัวเล็กกว่าหงอนบนหัวจึงไม่โดดเด่นเท่า

ในขณะที่การตั้งชื่อภาษาไทย pie kingfisher ว่ากระเต็นปักหลัก
นำมาจากพฤติกรรมการหากิน
ที่สามารถการกระพือปีกจนหยุดนิ่งกลางอากาศ
ก่อนที่จะพุ่งเป็นเส้นตรงเพื่อลงไปจับปลาในน้ำ
เป็นความสามารถพิเศษที่โดดเด่น แตกต่างจากนกกระเต็นชนิดอื่น
 
และนำสีขนและขนาดตัวของ crested kingfisher มาตั้งชื่อว่า
กระเต็นขาวดำใหญ่ เพราะกระเต็นปักหลักมีขนาดเพียง 25 ซม.
เมื่อเปรียบเทียบกับกระเต็นขาวดำใหญ่ที่มีขนาด 41-43 ซม.

 กระเต็นปักหลักนั้นเห็นได้ง่ายกว่า พบตามแหล่งน้ำพื้นที่ราบ
ในขณะที่กระเต็นขาวดำใหญ่ อาศัยอยู่ตามลำธารในป่า
ที่โดดเด่นและมีชื่อเสียงว่าถ่ายง่ายก็คือที่เมืองคอง เชียงใหม่



แม้ Wikipedia จะกล่าวว่ากระเต็นปักหลักเป็นกระเต็นที่มีจำนวนมาก
ร่วมกับอีกสองสายพันธุ์ ได้แก่ นกกระเต็นน้อยธรรมดา และนกกินเปี้ยว
แต่ในประเทศไทยกลับไม่ใช่นกที่พบได้ง่ายนัก เมื่อเทียบกับพวกอกขาว
กระเต็นปักหลักแบ่งย่อยออกเป็น 5 subspecies แยกตามพื้นที่
ตั้งแต่อียิปต์ ตุรกี อัฟกานิสถาน อินเดีย อินโดไชนา จนถึงจีนตอนใต้
 
หากเป็นคนที่มีเวลา เค้ามักจะรอถ่ายจังหวะการหาอาหารแบบ hop
เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ เมื่อเทียบกับพฤติกรรมการของนกฮัมมิ่งเบิร์ด
ที่ขนาดตัวที่เล็กกว่า และดื่มน้ำหวานที่แปลงเป็นพลังงานได้อย่างรวดเร็ว

กระเต็นปักหลักจึงต้องกินอาหารราวครึ่งหนึ่งของน้ำหนักตัวทุกวัน
เพื่อให้เพียงพอต่อการกระพือปีกราว 10 ครั้งต่อวินาทีในการลอยตัว
 
วิวัฒนาการที่น่าทึ่งนี้ มีเพื่อแย่งชิงพื้นที่หากินของนกกระเต็นชนิดอื่น
ที่ต้องเกาะรออยู่บนกิ่งไม้ ที่ไม่รู้ว่าจะขึ้นอยู่ตรงไหนของแหล่งน้ำ
ให้เหยื่อว่ายเข้ามาใกล้ ดังนั้นกระเต็นปักหลักจึงไม่มีขีดจำกัดนี้
 
กระเต็นปักหลักที่ผมถ่ายมาแบบไม่ค่อยชัดนี้เป็นตัวเมีย
สังเกตได้จากแผงขนสีดำใต้คอที่ขาดออกไม่ได้เชื่อมติดกัน
ในขณะที่ตัวผู้นั้นเชื่อมกันมองเห็นเป็นแผงสีดำสองแถบ

เรายังมีหมายกระเต็นปักหลักอยู่ใน list อีกหนึ่งรายการ
ภาวนาในใจ คราวหน้าหากมีโอกาสขอให้ภาพตัวผู้ละกัน
 

.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=10-2023&date=19&group=22&gblog=119
.




88
ตามหานกแก้ว : วัดลำมหาเมฆ




.
เราไปมาแล้วสองวัดตั้งแต่อยุธยาถึงปทุมธานีก็ยังไม่เจอนกแก้วเลย
เหลือหมายสุดท้ายจาก comment ในคลิปนกแก้วโม่งที่วัดปะมุง
ซึ่งมีคนเขียนว่าที่วัดลำมหาเมฆ ปทุมธานีก็มีนกแก้วโม่ง
แล้วมีคนมาตอบความเห็นนี่ว่า ไม่ใช่ แต่เป็นนกแก้วคอแหวนสีกุหลาบ
 
แล้วนกแก้วทั้งสองชนิดนี้ต่างกันอย่างไร
 
นกแก้วโม่งมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Alexandrine parakeet
มีที่มาจากพระเจ้าอเล็กแซนเดอร์มหาราชได้นำพวกมันจากรัฐปัญจาบ
ในประเทศปากีสถานปัจจุบัน ไปยุโรปในคราวที่มาทำสงครามกับอินเดีย
ขณะเดียวกันพื้นที่ของอินเดียก็มีนกแก้วอีกหนึ่งชนิดที่มีความใกล้ชิดกัน

คือนกแก้วคอแหวนสีกุหลาบ (Rose-ringed parakeet)
ซึ่งปัจจุบันก็จะเห็นว่าอาศัยอยู่ร่วมกัน แต่นกแก้วคอแหวนสีกุหลาบนั้น
มีอีกแหล่งอาศัยคือแถบตอนกลางของทวีปแอฟริกา
ซึ่งทำให้ชาวยุโรปนำพวกมันไปเลี้ยงได้โดยอาจจะผ่านทางตุรกี
รวมถึงในยุคอาณานิคมอินเดียก็อาจมีการนำไปที่ยุโรป



.
แม้นกแก้วคอแหวนสีกุหลาบจะมีขนาดตัวเล็กว่านกแก้วโม่ง
แต่ที่น่าสนใจคือ นกที่เพาะเลี้ยงในกรงที่มีการผสมแบบ inbreed
พบว่ามันมีการกลายพันธ์เป็นนกแก้วสีต่างๆ เช่น สีเหลือง สีฟ้า เป็นต้น
มีแม้กระทั่งนำมาผสมกับนกแก้วโม่ง เพื่อให้มีขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้น
 
ทำให้กลายเป็นนกแก้วสวยงามที่นิยมเลี้ยงอย่างกว้างขวางในยุโรป
แน่นอนว่าก็ต้องมีคนสนใจนำเข้ามาเพื่อเลี้ยงในประเทศไทยแน่นอน
ในขณะที่นกแก้วโม่งในธรรมชาติเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง
แต่นกแก้วคอแหวนสีกุหลาบเป็นสัตว์สวยงามที่สามารถเลี้ยงได้

เมื่อมีคนซื้อไปแล้วไม่อยากเลี้ยง หรือหลุดจากกรงไปยังภายนอก
พวกมันสามารถปรับตัวให้กินอาหารได้หลากหลาย และมีความก้าวร้าวกว่า
ทำให้พบนกแก้วคอแหวนสีกุหลาบแพร่กระจายในธรรมชาติมากขึ้น
ในขณะที่นกแก้วโม่งมีจำนวนที่ลดลงจากแหล่งอาหารและการหาโพรงรัง
 
ทำให้เป็นไปได้มากว่า ในอนาคตจะเกิดการผสมข้ามสายพันธ์
ระหว่างนกสองสายพันธ์นี้ เช่นที่เกิดกับกรณีของนกกระสาปากเหลือง
ที่พบน้อยมากในธรรมชาติ ทำให้ต้องไปผสมกับนกกาบบัว
ที่ถูกปล่อยออกมาจากสวนสัตว์ และมีความสามารถในการแข่งขันสูง
ทำให้เกิดนกลูกผสมเป็นนกกระสาปากเหลืองสีประหลาด
นั่นอาจจะทำให้นกกระสาปากเหลืองสายเลือดแท้สูญพันธฺ์ไปในที่สุด



.
มาถึงตรงนี้ แล้วจะแยกพวกมันออกจากกันได้อย่างไร
ผมนี้มีความรู้ไม่มาก ก็เลยอาศัยแยกจากกันโดยพื้นที่
โดยก่อนหน้านี้ที่ถ่ายมา ก็น่าจะเป็นนกแก้วโม่งทั้งหมด
แต่ใน blog นี้ คงเป็นภาพนกแก้วคอแหวนสีกุหลาบชุดแรก
 
หากจะแยกด้วยขนาด นกแก้วโม่งจะตัวใหญ่กว่าที่ขนาด 56-62 ซม.
ในขณะที่นกแก้วคอแหวนสีกุหลาบตัวจะเล็กกว่าที่ขนาด 40 ซม.

นกแก้วโม่งตัวผู้มีแถบแหวนตรงคอสีดำหนา
โค้งไล่เป็นวงไปต้นคอเป็นแถบสีชมพูกว้าง
นกแก้วคอแหวนสีกุหลาบตัวผู้มีแถบแหวนสีดำตรงคอที่เล็กกว่า
โค้งไล่เป็นวงไปถึงต้นคอมีแถบสีชมพูเจืออยู่บางๆ
และนกแก้วโม่งนั้นมีแต้มสีชมพูเข้มที่บริเวณหัวใหล่อย่างชัดเจน

หากเห็นนกแก้วที่ไม่มีแหวนรอบคอแสดงว่าเป็นตัวเมีย
ต้องแยกโดยดูแต้มสีชมพูบนไหล่เข้มที่มีอยู่เฉพาะในนกแก้วโม่งแทน
แต่หากได้เห็นตัวจริงๆ ผมว่าแยกด้วยสีของตัวนกนี่ล่ะ
นกแก้วโม่งจะสีเขียวเข้มๆ นกแก้วคอแหวนสีกุหลาบจะสีเขียวอ่อนๆ

และนั่นก็เป็นเรื่องราวของนกที่ได้ชื่อว่าเป็น alien species ของไทย


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=10-2023&date=09&group=22&gblog=120
.



89
ตามหานกแก้ว : วัดเทียนถวาย




.
ไม่กี่วันที่ผ่านมามีข่าวว่าวัดๆ หนึ่งใน จ. นนทบุรี
จะโค่นยางนาที่ยืนต้นตายมานาน จนน่ากลัวว่าจะล้มหากลมพายุ
แค่ต้นยางนานี้มีรังของนกแก้วโม่งอยู่
เมื่อเรื่องแพร่กระจายไปยังกลุ่มคนรักนกแก้วโม่ง
ทำให้มีการเข้าไปพูดคุยกับทางวัด
 
เฝ้ารอข่าวด้วยใจระทึก ไม่นานก็มีข่าวดีว่า
ทางวัดยินยอมที่จะไม่โค่นต้นยางนี้ลง
และชมรมคนรักนกแก้วโม่งจะเข้าไปทำการเสริมความแข็งแรง
พื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของนกแก้วโม่ง
ในพื้นที่โค้งแม่น้ำอ้อมของบางกรวยนี้ต่อไป
 
เมื่อสถานที่ในข่าวนี้เผยแพร่เป็นสาธารณะ
ผมจะเข้าไปแก้ไข blog เก่า โดยการเปิดเผยชื่อวัดนี้
ให้ทุกคนสามารถที่จะเข้าไปเยี่ยมเยือน
เพื่อทำให้วัดเห็นความสำคัญของการมีอยู่ของนกแก้วโม่งเหล่านี้
 
เป็นข่าวดีๆ ที่ทำให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจ
แต่งานของเรายังไม่หมดลง
เราจะยังคงออกเดินทางตามหานกแก้วเหล่านี้ต่อไป
และหนึ่งใน bucket list หนึ่งที่เรามี
ก็คือคลิปหนึ่งใน youtubeเมื่อ 6 ปีก่อน
ข่าวนกแก้วโม่งที่อยู่บนต้นยางหน้าโรงเรียนวัดปะมุง



.
ปลายเดือนกรกฎาคม 2566  เราออกเดินทางไป จ. พระนครศรีอยุธยา
หลังจากขับรถเลาะไปบนถนนชนบทเล็กๆ เลียบคลองชลประทาน
อันเป็นมาตรฐานของพื้นที่ในต่างจังหวัด
9.45 น เราก็มาถึงต้นยางมีชีวิตต้นใหญ่อยู่ที่ตรงนั้น
เราเดินเข้าไปในช่วงวันหยุดที่ไร้ซึ่งเด็กนักเรียน
 
เงียบผิดจากความคุ้นเคยของสถานที่ ที่จะมีนกแก้วโม่งอาศัยอยู่
ไม่มีเสียงกรีดแหลมของเหล่านกแก้วโม่ง เรามองโลกในแง่ดี
นี่อาจจะสายไปหน่อย พวกเค้าอาจะเหลือน้อยก็ได้
แต่ก็ไม่เห็นอะไร ถามคนแถวนั้น ก็ทำหน้างุนงง
มีนกแก้วอะไรด้วยหรือแถวนี้
 
จบลงด้วยความผิดหวัง
ด้วยในข่าวนั้นมีนกอาศัยอยู่จำนวนมาก
เป็นไปได้ยากที่จะไม่มีนกเหลืออยู่เลย
สิ่งเดียวที่เป็นไปได้ คือที่นี่ไม่มีนกแก้วโม่งอาศัยอยู่อีกแล้ว
หมุดหมายอีกหนึ่งแห่งปิดลง แต่เรายังคงไม่ละความพยายาม



.
เพียงหนึ่งวันหลังความผิดหวัง เราเลือกหมายที่เป็นปัจจุบันมากกว่า
มีคนเห็นนกแก้วที่นี่ไม่เกิน 1 ปี ที่วัดเทียนถวาย ปทุมธานี
เป็นหนึ่งในสถานที่ ที่เคยมีนกแก้วโม่งอาศัยเมื่อนานมาแล้ว

แต่หลังน้ำท่วมใหญ่ในปี 54 ต้นยางเหล่านี้ก็ตายลง
ทางวัดเลือกที่จะโค่นต้นไม้ทิ้งเพราะกลัวอันตราย
เมื่อไม่มีที่อยู่พวกมันก็เริ่มหายไป
ถูกแทนที่ด้วยนกแก้วสายพันธ์ที่มาจากต่างประเทศ

นกแก้วคอแหวนสีกุหลาบที่หลุดออกมาจากกรงเลี้ยง
มีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับพื้นที่ได้มากกว่านกแก้วโม่ง
ที่เป็นนกในธรรมชาติของไทย ทำให้เพิ่มจำนวนในทั่วไปมากขึ้น
รวมถึงที่นี่



.
ไปถึงในราว 8.00 น เดินไปด้านหลังโบสถ์เก่าที่เคยมีต้นยางนา
มีนกที่เราคุ้นเคยแต่สมัยก่อนเราไม่เคยมีกล้องบันทึกภาพมันได้
นกกระรางหัวขวานเดินอยู่บนพื้นหญ้าใต้ต้นยางนาที่หลงเหลืออยู่

เห็นนกสีเขียวบินอยู่ไหวๆ ได้ยินเสียงแล้วก็แทบถอดใจ
เหมือนคนคุยกัน นั่นเป็นสิ่งที่ identify ง่ายๆ ว่า
เป็นเสียงของนกแขกเต้า ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เราตามหา
ใช้กล้องสองตาเพื่อยินยัน นกสีเขียวที่มองเห็นนั้นมีรอบคอสีเทา

ไม่พบนกแก้วคอแหวนสีกุหลาบที่เราตามหา
แม้ไม่นานที่ผ่านมา ก็มียังคนถ่ายนกแก้วคอแหวนสีกุหลาบที่นี่ได้
เราอาจจะเป็นคนโชคร้าย แต่อย่างน้อยก็โชคร้ายเพียงครึ่งเดียว
ที่ยังได้เห็นนกแขกเต้า ที่ก็ยังจัดเป็นนกแก้วเช่นกัน
 
เดินกลับมายังที่จอดรถ เหยี่ยวแดงบินวนอยู่บนฟ้า
ผมเคยเห็นครั้งแรกระหว่างการเดินทางไปเกาะลังกาวี
อันเป็นสัญลักษณ์ที่นั่น ดังนั้นก็เลยไม่ค่อยตื่นเต้น
เดินไปยังทางท่าริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่กว้างใหญ่



.
ผ่านบ่อน้ำที่ในหน้าหนาวจะเป็นหมาย
ถ่ายนกกระเต็นน้อยธรรมดาเกาะบนดอกบัว
วันนี้มีนกหลายตัวอาศัยอยู่
ที่น่าสนใจพอที่จะถ่ายกลับมาได้ก็คือนกแขวก

แม่น้ำเจ้าพระยาในเช้าวันนั้นเป็นช่วงน้ำลง
มีกลุ่มนกยางเดินหากินอยู่ ไม่มีสิ่งที่ทำให้น่าสนใจ
ในที่สุดเราก็กลับไปยังที่จอดรถ เพื่อไปวัดมะขาม

ที่เมื่อก่อนคนจะมาเดินหาของกิน
แต่ปัจจุบันกลายเป็นมาไหว้เซียนแปะโรงสี
แต่ที่เรามาในวันนี้คือ เป็นวันที่มีการแข่งเรือ

ก็นะ อะไรที่ไม่เคยทำก็ต้องทำ แต่ก็ไม่ง่ายนะในการถ่าย
นั่งดูถ่ายทอดทาง facebook live อยู่บ้าน สนุกกว่า


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=10-2023&date=05&group=22&gblog=121
.



90
Animals / นกชายเลน : สะพานแดง
« Last post by ppsan on 27 May 2025, 09:46:38  »
นกชายเลน : สะพานแดง




.
ต้นเดือนพฤษภาคมมีข่าวว่า มีนกสกัวหางข้อนหลงมาที่สะพานแดง
นกสกัวเป็นนกอพยพจากเขตอาร์กติกลงมายังแปซิฟิกตอนใต้
จึงเป็นไปได้ยากที่นกจะหลงเลยเข้ามาในพื้นที่ปิดอย่างอ่าวไทย

แต่ที่ยากไปกว่านั้น สกัวเป็นนกที่อาศัยอยู่กลางทะเล ไม่บินเข้าฝั่ง
หากินโดยการแย่งอาหารจากนกอื่น
คนที่จะถ่ายภาพนกชนิดนี้ได้นั้น
มักจะได้ภาพตอนล่องเรือออกไปดูวาฬแล้วเผอิญเจอ

การที่นกมาอยู่มานานตั้งแต่ช่วงสงกรานต์และเข้ามาถึงชายฝั่ง
ก็เลยมีคนสงสัยว่ามันน่าจะป่วย
เมื่อมีนกหายากมายังสถานที่ไม่ไกลนัก
เราจึงตัดสินใจที่จะออกไปตามหาดู

วันที่ 7 พ.ค. 2566 สะพานแดงในพื้นที่เปิดโล่ง
แดดยามสายแผดกล้า เรามองหาจุดที่นกน่าจะอยู่ทันที
ตามรูปที่ได้มาตำแหน่งนั้นหาไม่ยาก
นกอยู่ข้างๆ แรงงานพม่าที่มานั่งพักผ่อนริมเขื่อน

แต่ในวันนั้นพบว่า มันไม่ได้อยู่ตรงนั้น



.
ไม่เป็นไร มันอาจจะไปนอนอยู่ตรงอื่น
ค่อยๆ เดินไปตามสะพานที่ทางสีแดง
แต่ว่าเราแทบไม่ได้สนใจตัวสะพานเลย

เดินไปจนเจอกับช่างภาพอีก 2 ท่าน ที่แบกเลนส์อันโต
แสดงว่าเป็นคนถ่ายนก เราถามข่าวว่า พี่ได้ภาพมาหรือยัง
เค้าส่ายหน้า ว่าวันนี้ยังไม่มีคนเจอมันเลย

ผมบอกไปว่า ไม่น่าจะพลาดนะ
เมื่อวานตอนเช้ายังมีคนถ่ายภาพมันได้อยู่เลย
แต่เมื่อไม่เจอก็คือไม่เจอ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่า
ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเดินต่อไป
 
กลับมาที่กลางสะพาน เราเดินไปอีกทางของชายฝั่ง
ฝั่งที่เป็นศาลเจ้าแม่กวนอิม โดยไม่คาดหวัง
เราก็ใช้เวลาถ่ายนกที่บินผ่านตาเพราะว่าไม่เคยมาก่อน



.
นกธรรมดาก็เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้น
เพราะเมื่อก่อนเราได้แต่มองจากกล้องสองตา
นี่เป็นครั้งแรกที่มีความสามารถที่จะเก็บภาพพวกมันไว้เป็นหลักฐานได้
 
เดินไปไกลจนกระทั่งเจอช่างภาพอีกคน ก็ถามข่าว
เค้าก็บอกว่า ไม่ได้มาถ่ายสกัว แค่มาถ่ายนกชายเลนเท่านั้น
เอวัง ด้วยประการทั้งปวง สรุปว่า วันนี้ไม่ได้เจอนกเป้าหมาย

นกอาจจะบินไปหากินนอกฝั่งหรือเปล่า
ซึ่งจากตามข่าวก็พบว่า หลังจากนั้นก็ไม่มีคนพบตัวมันอีกเลย
สรุปว่า ผมน่าจะเป็นคนโชคร้ายที่สุดในสามโลก
เพราะตอนที่มันมาอยู่นั้นมันใกล้มาก ขนาดใช้มือถือถ่ายมาเลยทีเดียว

แต่ก่อนที่จะกลับเข้ากรุงเทพ เราอยากจะไปอีก 2 สถานที่
ซึ่งเคยเห็นแต่ในรูปภาพ นั่นก็คือแหล่งเรือจมพนมสุรินทร์
และวัดที่ใกล้ตัวมากแต่ก็ไม่เคยมีโอกาสแวะมา
นั่นก็คือ วัดโคกขามตำนานของพระพุทธสิงห์

แล้วพบกัน


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=07-2023&date=06&group=22&gblog=122
.



Pages: 1 ... 7 8 [9] 10
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 1.136 seconds with 12 queries.