Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 22:10:13

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Recent Posts

Recent Posts

Pages: 1 ... 6 7 [8] 9 10
71




​ดูกรมหาราช...ธรรมดาเงาของญาติทั้งหลาย ย่อมมีความเย็นเป็นปกติ

 

เสียงน้ำที่ไหลจากก๊อกลงในโอ่งปากกว้างดังซู่ ๆ เป็นระยะสม่ำเสมอเปลี่ยนเป็นเสียง แฉ่ ! ซ่า! แฉ่ ! ซ่า! น้ำแตกกระจายมาโดนนางพวงอย่างเต็มหน้า และกระเด็นถูกศีรษะเด็กหญิงป่องซึ่งกำลังยืนให้นางพวงถูสบู่ตัวอยู่ นางพวงสะดุ้งและร้องด้วยความตกใจ เด็กหญิงหันขวับไปทางที่มาของน้ำ และร้องว่า “แหม ตาก้องนี่แหละ!” แต่ครั้นน้ำกระเซ็นมาอีก และนางพวงวางมือจากขาเด็กหญิง หลบสายน้ำและยกมือลูบหน้า เด็กหญิงเกิดนึกสนุกในการกระทำของพี่ชาย ก็ผละจากนางพวงวิ่งไปที่ก๊อก ใช้มือทั้งสองซ้อนเหนือมือพี่ปิดปากก๊อกไว้แล้วเปิดแล้วปิด แล้วเปิดอีก ทำให้สายน้ำแตกกระจายไปทุกทิศโดยแรง

​นางพวงเอ็ดด้วยเสียงอันดัง “ดูซี คุณก้อง ซนอะไรยังงั้น” และเอ็ดต่อไปอีกหลายคำ แต่เสียงของนางถูกกลบเสียด้วยเสียงน้ำและเสียงหัวเราะกิ๊กก๊ากของเด็กทั้งสอง

“คุณก้อง คุณป่อง!” นางพวงเอ็ดดังขึ้นอีก “เลิกนะ ไม่เลิกฉันตีขาลายเดี๋ยวนี้ คุณก้อง ดูซิ หวั่นไหวเสียเมื่อไหร่ นมบอกให้รออยู่ข้างนอกก่อนยังไงล่ะ มาประดังกัน ๒ คนละก็ยังงี้แหละ แม่บัว แม่บัว เอ นังนี่หายไปไหน ปล่อยให้พ่อเข้ามารังควานข้า หยุดนะ คุณก้อง คุณป่อง เอ ! ประเดี๋ยวนี้แหละ”

ตลอดเวลาที่นางเอ็ดอยู่นั้น เด็กทั้งสองก็แย่งกันปิดเปิดปากก๊อกอยู่เรื่อย ๆ พร้อมกันนั้นเด็กชายก้องก็ท่องประโยค “นังนม ขมขื่น นังนม ขมขื่น” ท่องอยู่ได้ ๒–๓ ครั้ง เด็กหญิงป่องก็รับ “นังนม ขมขื่น นังนม ขมขื่น” เสียงสองเสียงประสานกัน แล้วก็มีเสียงลูกขัดเพิ่มขึ้น

“นังนมขมขื่น นังนมขมขื่น เอาว่า นางนมขมขื่น” และส้นเท้าเล็ก ๆ สองส้น ก็กระแทกพื้นเป็นจังหวะเข้ากับลูกขัดด้วย

นางพวงเข้าไปถึงตัวเด็กทั้งสอง จับแขนเด็กชายเหวี่ยงตัวไปทางหนึ่งเบา ๆ พร้อมกับบ่นดุบ่นขู่ไปด้วย แล้วดึงตัว​เด็กหญิงป่องกลับมายังที่ ๆ อันวางสบู่อยู่ เพื่อทำการถูตัวต่อ ในระหว่างนั้นเอง เด็กชายก้องก็ตะโกนร้องบทใหม่ขึ้น “ยายป่อง หย็องกรอด ยายป่องหย็องกรอด เอาว่า ยายป่องหย็องกรอด”

เมื่อได้ยินแต่เพียงเสียงที่กล่าวบทเพลง เด็กหญิงก็ยังไม่แสดงความยินดียินร้าย เพราะมือนางนมที่บีบอยู่ออกจะเป็นมือที่หนัก ทำให้ผู้ถูกบีบเกิดความระวังตัว แต่ครั้นเหลียวไปเห็นผู้ท่องบทกำลังทำอาการยึดคอ ยักไหล่ขึ้นสูงจนเห็นซี่โครง เป็นลักษณะที่ตรงกับคำว่า ‘หย็องกรอด’ เด็กหญิงป่องก็ลืมความหนักแห่งมือของนมพวงเสียทีเดียว เบ่งท้องจนสุดกำลัง พลางแอ่นพุงออกไปเบื้องหน้า และร้องว่า “ตาก้องท้องเขียว เอาว่า ตาก้องท้องเขียว”

ด้วยความหมั่นไส้เป็นกำลังมือของนางพวงก็หนีบขาอันขาวเกลี้ยงเข้าครั้งหนึ่ง เป็นอาการหนีบที่ไม่หนักถึงกับจะทำให้เด็กร้องเอ็ดอึง แต่หนักพอที่จะทำให้เสียงที่เอ็ดอึงอยู่แล้วชะงักไป เด็กหญิงตกใจนึกโกรธ กำลังคิดจะออกฤทธิ์ตอบแทนการกระทำของผู้ใหญ่ ก็เห็นนางพวงผละจากตนตรงไปที่ ‘คู่ปรับ’ เกิดความอยากรู้มากกว่าอยากทำฤทธิ์จึงชะงักนิ่งอยู่

​นางพวงจับแขนเด็กชายจูงออกไปนอกห้องน้ำ บ่นว่าติเตียน กำชับว่า “อย่าเข้ามาอีกนะ ขืนเข้ามาละก็ ฉัน—” แล้วปล่อยมือเด็ก กลับเข้าในห้องและปิดประตูตามหลังตนเข้ามาด้วย

หลังจากนั้นประมาณสัก ๒๐ นาที ในระหว่างที่นางบัว ‘ผู้ช่วย’ ของนางพวง กำลังสู้รบกับเด็กชายก้องเพื่อจะหวีผมของเด็กให้เรียบ มีเด็กหญิงสวมเสื้อกระโปรงสีเขียว สวมรองเท้าเปิดสีเดียวกับเสื้อ วิ่งแผล็บออกมาจากห้องนอนของมุกดา แล้วเดินกรายทำท่าเป็นหญิงสาวเข้ามายืนอยู่หน้ากระจก

นางบัวมิได้เห็นสิ่งแปลกประหลาดในตัวเด็กหญิงนั้น แต่เด็กชายก้องร้องทักว่า

“อื๋อ อื๋อๆ แม่สาว–นางสาว—อื้ออีสาว—”

“เอ คุณก้องนี้” นางบัวดุ “ทำไมว่าคุณน้องอย่างนั้นนะ สาวเสอวอะไรที่ไหน–คุณป่อง เมื่อไหร่จะลงไปหาคุณป้าละคะ คุณป้าสั่งว่าอาบน้ำแล้วให้ลงไปข้างล่าง”

เด็กหญิงยื่นหน้าเข้าหากระจก ยกมือปัดผมตัวเอง ๒–๓ ครั้ง แล้วก็หยิบแป้งมาผัดหน้า ด้วยเหตุที่ผมของตนเปียกน้ำยังไม่แห้ง มือที่ปัดผมก็เปียกด้วย ครั้นมือนั้นถูกแป้งแล้วมาถูกหน้า หน้าก็กลับด่าง แต่เจ้าของมีความพอใจว่าได้ผัดหน้า​แล้ว ส่วนพื้นหน้าจะเป็นอย่างไรมิได้แยแส ป้ายมือเข้ากับหน้าอีก ๒–๓ ครั้ง พอที่จะทำให้สีแดงที่ทาปากไว้เลอะออกมาถึงแก้ม แล้วก็วิ่งปัง ๆ จะออกจากห้องไป

พอดีกับนางบัวปล่อยมือของหล่อนจากเด็กชายก้อง เด็กชายก็วิ่งปราดไปเพื่อจะแข่งน้อง และเมื่อจะขึ้นหน้าได้ก็ร้องว่า “ใครถึงก่อน เออใครถึงก่อน” ฝ่ายเด็กหญิงก็คว้าเสื้อที่เด็กชายสวมอยู่ไว้ได้ด้วยความไว ฝ่ายหนึ่งพยายามสะบัด อีกฝ่ายหนึ่งพยายามรั้ง ดึงกันอยู่เช่นนี้จนถึงประตู จึงปะทะกับนางพวงผู้ซึ่งสวนทางเข้ามา

“เออ” นางพวงร้องด้วยความตกใจและฉุนเฉียว “นี่อะไรกัน เดี๋ยวได้ปากคอแตก ดูเรอะเสื้อแสงยุ่งหมดยังไม่หยุดอีก เดี๋ยวนี้เอง—แม่บัว นั่นยังไงถึงปล่อยให้คุณเล็ก ๆ ไล่ตีกันเสียงออกขรมยังงี้ เดี๋ยวได้ยินไปถึงข้างล่างก็—”

ประโยคหลังของนางพวงทำให้นางบัวได้ความคิดดีจึงว่า “ฉันจะไปฟ้องคุณพ่อ....”

เด็กชายผู้ซึ่งกำลังสะบัดแขนเพื่อจะให้หลุดจากมือนางพวง มีอาการชะงัก แต่เด็กหญิงพยักหน้าตะโกนตอบนางบัวไปว่า

“จ้าง! จ้าง!–คุณพ่ออย่างอยู่นี่”

​“อ๊าว ไม่อยู่ ! คอยดูซีจะอยู่หรือไม่อยู่ ลองตีกันอีกซี บัวจะไปฟ้องให้ดู”

“อื๋อ ฟ้อง! คุณพ่ออย่างอยู่หรอก–” เด็กชายกล่าว และเด็กหญิงก็เสริมว่า “คุณพ่อไปบ้านคุณยายหนูก็รู้ เฮ่อว–”

“รู้ก็ลองไปดูซิ อยู่หรือไม่อยู่ คุณพ่อบอกกับคุณป้าว่าจะกลับมาให้ทันรับประทานน้ำชา คุณป่องลงไปยังงั้นซิ แป๊ปเปิ๊บ หลุดจนหมดยังงั้นน่ะ แล้วคุณก้องเสื้อออกมานอกกางเกง ลองลงไปอวดคุณพ่อหน่อยซีคะ”

เด็กทั้งสองทำท่าสงสัยอยู่ขณะหนึ่ง พอเป็นโอกาสให้นางบัวตรงเข้าจัดกระโปรงให้เด็กหญิง ให้นางพวงจัดเสื้อกางเกงให้เด็กชาย และพร้อมกันนั้นนางพวงก็ได้โอกาสที่จะบ่นไปด้วย

“อะไรถึงได้ซนไม่มีรู้จักหยุดรู้จักหย่อนยังงี้—นี่ แล้วพอลงไปถึงข้างล่างก็ลงไปปล้ำกันเสียอีกซี แล้วคุณพ่อจะได้เกลียดหน้าเสียทั้งคู่ อีกสักหน่อยเถอะ คุณพ่อไม่รัก คุณพ่อไปเที่ยวหาลูกใหม่ ตัวก็จะลำบาก ไม่รู้จักอะไร เดี๋ยวนี้คุณพ่อก็เบื่อเต็มทีอยู่แล้ว พอเห็นหน้าลูกก็ตาเขียวปั้ด ถึงทีเวลาพูดกับคนอื่นละก็ยิ้มได้แป้น ๆ”

​บ่นไปทำไปจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำชับอีกครั้งหนึ่งให้เด็กระวังตัว แล้วนางพวงก็นำเด็กทั้งสองลงบันไดไปส่งที่ประตูห้องรับแขก

ยืนอยู่ที่นั่นชั่วเวลาที่จะไม่เป็นการน่าเกลียด และเป็นเวลานานพอที่จะเห็นหญิงสาวที่ในห้องนั้นเกือบทั่วคน ตลอดจนมีเวลานึกเกลียดเจ้าหล่อนไว้ล่วงหน้า เพราะมีความยึดถือว่า เจ้าหล่อนเหล่านั้น คือผู้ที่จะมาชิงตำแหน่งมารดาเลี้ยงของเด็กชายก้องและเด็กหญิงป่องแล้วนางพวงก็เลยไปทางอื่น

เมื่อแรกที่เด็กทั้งสองเดินเข้าในห้อง ผู้ที่อยู่ภายในยังไม่มีใครเห็น เขาเหล่านั้นซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นหญิงมีจำนวน ๖ คนทั้งเจ้าของบ้าน กำลังสนใจอยู่กับรูปถ่าย ๓ รูปอันเป็นภาพของชาย ๓ คน สองภาพในจำนวนที่กล่าวนี้เป็นภาพของผู้ที่อยู่มัชฌิมวัย และบัดนี้ได้ล่วงลับไปแล้ว ภาพที่ ๓ เป็นภาพของชายหนุ่มกำลังฉกรรจ์ สวยเก๋ คมคาย เป็นภาพที่ฝ่ายผู้เป็นแขกเอาใจใส่ไม่น้อยอยู่แล้ว และยิ่งเพิ่มความเอาใจใส่มากขึ้น เมื่อถูกกระตุ้นเตือนโดยกำลังหนุนของฝ่ายเจ้าของบ้าน

เสียงถ้วยล้มกระทบจานดังแก๊ก ! และซ่อมตกจากโต๊ะกระทบพื้นห้องดังแกร๋ง ! เจ้าหล่อนทั้ง ๖ คนจึงหันมาดูพร้อมกัน ก็เห็นเด็กชายกำลังมองดูหญิงสาวด้วยสีหน้าแสดงความ​ตกใจ ส่วนเด็กหญิงกำลังถัดลงจากเก้าอี้เพื่อจะเก็บวัตถุที่ตกอยู่ขึ้นไว้ยังที่ ฝ่ายแขกหัวเราะกิริยาของเด็กทั้งสองนั้น ฝ่ายเจ้าของบ้านลุกขึ้นกระวีกระวาดเข้ามาใกล้เด็ก เพื่อดูว่ามีการเสียหายหนักเบาเพียงใด เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดบุบสลายก็บ่นแต่เพียงว่า

“ซุ่มซ่ามจริง จะกินจะอยู่ให้มันดีหน่อยก็ไม่ได้แล้วนี่คนไปไหนหมด เด็กจะกินไม่มีใครมาช่วยดูแล”

มีผู้ถามว่า “หลานหรือคะ ?” แล้วมีผู้ตอบ “แน่ละซี—ดูรูปซิเหมือนพ่อไหม” มีการถกเถียงกันเล็กน้อยในข้อปัญหานี้ ผู้ที่รู้จักกับเด็กดีแล้ว เข้ามาจับต้องตัวเด็กและกล่าวคำปราศรัย มีผู้ปรารภขึ้นว่าเค้าหน้าของเด็กไม่เหมือนเค้าหน้าของบิดาตามที่ปรากฏในภาพถ่าย แล้วทายต่อไปว่า เด็กคงจะเหมือนมารดามากกว่าเหมือน ‘คุณพ่อ’ กระมัง

“รูปมารดาแกมีไหม ? ขอดูหน่อยเถอะ”

“จริงแหละ มุกดา ฉันยังไม่เคยเห็นรูปน้องสะใภ้เธอเลยแหละ”

“ก็จะเห็นยังไงล่ะ เกิดมาเขาไม่เคยถ่ายสักที ฉันเคยชวนเขาถ่ายเหมือนกัน เขาว่าเขาอาย เลยไม่ได้ถ่ายจนตายไป”

​“โธ่ ! แล้วหนูสองคนนี้เลยไม่ได้เห็นหน้าแม่”

ในเวลานั้นเอง ชายผู้เป็นบิดาของเด็กก็เข้ามาในห้องโดยทางประตูด้านหน้า

มุกดามองเห็นเขาก่อนคนอื่น หล่อนทักขึ้นอย่างดีเนื้อดีใจ

“แหม นึกว่าลืมเมี่ยงจีนของพี่เสียแล้วละ ไหนว่าจะกลับมา ๔ โมง”

บันลือไม่มีความรีบร้อนที่จะตอบ เขากวาดตาไปทั่วห้องโดยรวดเร็ว ในใจเต็มไปด้วยความคิดถึงข้อขำต่าง ๆ สีหน้าของเขาจึงอยู่ในลักษณะอมยิ้ม เมื่อเห็นว่าหญิงที่อยู่ในห้องนั้นเป็นผู้ที่เขารู้จักแล้วถึงสามนาง และทั้งสามนางเป็นเพื่อนของพี่สาว ซึ่งเขาเคยยกไว้ในฐานะเช่นพี่ของเขาก็ทำความเคารพด้วยท่วงท่าของผู้ที่คุ้นเคยกัน ต่อจากนั้นจึงหันไปก้มศีรษะให้หญิงอีกสองนาง แล้วก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง

มุกดากล่าวแนะนำขึ้นว่า

“นี่สายสวาท นั่นบรรจง—นี่น้องชายฉันจ้ะ”

ชายหนุ่มขยับตัวขึ้นจากเก้าอี้แสดงคารวะตอบหญิงสาวทั้งสอง แล้วหันไปมองดูสายใจผู้ซึ่งพูดขึ้นว่า

“หนึ่งในสองนั้นเป็นน้องของฉัน”

​“ผมทราบแล้ว” เขาตอบ “ทราบจากชื่อที่เพราะเหมือนกัน”

“แล้วบรรจงล่ะ บรรจงก็เป็นน้องใครคนใดคนหนึ่งในที่นี้เหมือนกัน” สายใจว่า

เขาทำอาการคิด ฉวยโอกาสมองดูเจ้าหล่อนผู้นั้นเต็มตาเป็นทีว่าตนพยายามจะค้นหาเค้าหน้าของผู้ใดผู้หนึ่งในวงหน้าของเจ้าหล่อน แล้วก็สั่นศีรษะ และพูดว่า

“ชี้ตัวคุณพี่ไม่ถูก แต่หวังว่าจะไม่รังเกียจที่จะยอมเป็นน้องของทุกคนในที่นี้”

เจ้าหล่อนทุกคนพากันหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ สายใจอธิบายสืบไปว่า

“บรรจง เป็นน้องคุณบรรเจิด”

‘คุณบรรเจิด’ ในที่นี้หมายถึงขุนบรรเจิดวิทยาการสามีของสายใจนั่นเอง “แหม ผมคิดไปไม่ถึง” บันลือตอบพลางยิ้ม

มีการนิ่งเงียบเกิดขึ้นเมื่อต่างคนต่างคิดหาเรื่องพูดยังไม่ได้ เฉพาะบันลือ เขาไม่ได้นึกที่จะเป็นหัวหน้านำการสนทนา เพราะถือเสียว่าตนเองก็เท่ากับเป็นแขกคนหนึ่ง และผู้ที่ควรนับ​ได้ว่าเป็นฝ่ายเจ้าของบ้านเท่ากับตัวเขาเอง ก็คือสุภาพสตรีนางหนึ่งซึ่งเป็นผู้คุ้นเคยกับพี่สาวของเขาแล้วเป็นอย่างดีนั่นเอง

อนึ่ง บันลือสมัครใจจะเป็นผู้ฟังและผู้ดูมากกว่าที่จะเป็นผู้พูด และดึงความสนใจของคนทั้งหลายให้มาจับอยู่ที่ตัวเขา เขารู้ว่าสุภาพสตรีสีนางรวมทั้งพี่สาวของเขาด้วย ได้ชักพาเอาหญิงสาวสองคนมาให้เขาพบด้วยเจตนาที่จะยกหล่อนให้เขา เขาต้องการฟังและดูวิธีการที่หญิงทั้งสี่จะแสดง เพื่อจูงใจเขาให้เกิดความพอใจในหญิงที่เจ้าหล่อนชักนำมา นอกจากนั้นเขาอยากจะฟัง และดูท่วงทีของหญิงสาวทั้งสอง

ถึงแม้บันลือจะได้อยู่โดยไม่มีภรรยามาถึง ๕–๖ ปี แต่คราวนี้–หรือที่ถูกควรจะกล่าวว่าหมู่นี้–เป็นหมู่แรกที่เขาสังเกตเห็นว่าวงศ์ญาติของเขา ได้พากันเอาใจใส่ในการหาคู่ให้เขาอย่างออกหน้าออกตา เมื่อต้นเดือนก่อนนี้คือเมื่อเขากลับจากหัวเมืองมาพักอยู่กับคุณยาย น้องสาวคนกลางของเขาได้กล่าวขวัญถึงเพื่อนคนหนึ่งของหล่อนให้ฟังอย่างยืดยาว แรกทีเดียวบันลือนิ่งฟังน้องพูดโดยมีเจตนาแต่อย่างเดียว คือมิให้ตนเองเสียกิริยา บันลือเคยรู้จักและรู้เรื่องของหญิงสาวเป็นจำนวนมากหนักหนา แล้วจนเขาสิ้นความยินดียินร้ายที่จะรู้จักหรือฟังเรื่องของหญิงคนใหม่อีกคนหนึ่ง แต่ครั้นฟังไปๆ นานเข้า เขาสังเกตเห็นว่ามรกต​พยายามเน้นถึงคุณสมบัติของเจ้าหล่อนผู้นั้นมากขึ้น นึกสงสัยในเจตนาของหล่อน จึงซักถามไปมาเพื่อจะหาความจริง ก็ได้ความว่าน้องสาวของเขากำลังจะชักนำ ให้เขาเกิดความพอใจในหญิงที่เป็นเพื่อนของหล่อน

ต่อมาอีกไม่ช้า เขาได้พบเจตนาอย่างเดียวกันนี้อีกที่น้องสาวคนเล็ก ข้อที่ทำให้เขานึกขำมากก็เพราะว่าหญิงที่เป็นเพื่อนของไพฑูรย์นี้ ซึ่งเป็นคนละคนกับหญิงที่เป็นเพื่อนของมรกต มีคุณสมบัติเหมือนกับเพื่อนของมรกตทุกประการ กล่าวคือเป็นหญิงที่สวย ที่ได้รับการศึกษาดีมีเชื้อแถวดี มีบิดามารดาเป็นผู้มั่งคั่ง และในท้ายที่สุดข้อที่ทำให้เขานึกขำยิ่งขึ้นอีก “ถ้าพี่ปุ๊ได้เขาก็จะดี”

เขาอดมิได้ที่จะถามว่า “ดีสำหรับใคร ?” และน้องเล็กก็ตอบอย่างที่น้องกลางได้ตอบมาแล้ว “ดีสำหรับทุกคน”

ภายหลังจากนั้น เมื่อเขาพบกับน้องคนหนึ่งคนใด คำกล่าวขวัญถึง ‘เพื่อน’ ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติต่าง ๆ ก็เข้ามาปะปนอยู่ในคำสนทนาระหว่างน้องของเขากับตัวเขาด้วยทุกคราวไป

ไม่แต่เพียงน้อง แม้แต่คุณยายผู้ซึ่งรักความสงบเป็นอย่างยิ่ง ผู้ซึ่งไม่เคยสอดมือเข้าเกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวของลูกหลานคนใด เว้นแต่จะได้รับการขอร้องหรือได้รับข้อหารือ ผู้​ซึ่งมีความพอใจแล้วในการที่ได้เห็นหลานหนุ่มหลานสาวตั้งตัวอยู่ในฐานะอันควรและพากันมาให้ท่านชมเชยเป็นบางครั้งบางคราวเมื่อเขาระลึกถึงท่าน คุณยายผู้ซึ่งพอใจหาความสุขอยู่กับข้าเก่า ๒–๓ คนกับลูกหลานเล็ก ๆ ที่เป็นกำพร้าหรือมีบิดามารดาเป็นผู้ขัดสน หมู่นี้ก็เริ่มแสดงตัวเป็นผู้มีความกังวลอย่างแปลก ๆ ขึ้นบ้างเหมือนกัน

คุณยายปรารภกับหลานบันลือของท่านเรื่องน้องสาวร่วมบิดา แต่ต่างมารดาของท่านคนหนึ่ง น้องคนนี้มีหลานยาย—“มันจบแปดแล้ว” ท่านเล่า “เดี๋ยวนี้จะไปเอา ป.ก.ป.ส. อะไรของเขาต่อไปอีกก็ไม่รู้ ไอ้ตัวก็ไม่สมประกอบ เดี๋ยวเจ็บๆ จะเรียนอะไรกับเขาไหว แต่พ่อแม่ก็ลูกมากเหลือเกิน หาทางทำกินไว้ให้ลูกก็ไม่ได้ ไอ้เราจะห้ามไม่ให้เด็กเรียนก็ไม่ได้เหมือนกัน เงินก็ไม่มีวิชาก็ไม่มี ถ้าพ่อตายเสียแล้วจะเอาอะไรกินกันเข้าไป”

บันลือฟังคำปรารภของท่านด้วยความสนใจ เพราะการสนใจในคำพูดของคุณยาย ในความคิด ในความปรารถนาของคุณยายเป็นสิ่งที่มีประจำตัวบันลืออยู่เป็นนิจ เขาไม่ทันที่จะนึกไหวถึงเจตนาอันแท้จริงของท่าน จนกระทั่งท่านถามเขาว่า ​เขาได้พบหล่อนเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เขามีความเห็นอย่างใดบ้างในเรื่องรูปโฉมของหล่อน

เขากลั้นยิ้มไว้ได้ด้วยความลำบาก เมื่อเขาจับแนวความคิดของท่านได้ และตอบเรียบ ๆ ว่า “รู้สึกว่าแกไม่เปลี่ยนจากเมื่อเป็นเด็กรุ่น ๆ” “ยายว่าหน้าตาแกดีขึ้น” ท่านตอบ บันลือก็ย้อนถามท่านอย่างซื่อที่สุดว่า “ยังงั้นรึครับ ?”

ครั้นเมื่อวานนี้ คุณยายให้คนใช้มาตามตัวเขาไปหาท่าน แล้วขอร้องให้เขาขับรถพาหลานคนที่ท่านปรารภถึงนั้น ไปดูหอสมุดแห่งชาติในวันรุ่งขึ้น

ใช้ให้หลานชายพาหญิงที่ท่านอยากจะได้เป็นหลานสะใภ้ ไปดูหอสมุดแห่งชาติ ! คุณยายทำให้บันลือพิศวงและหัวเราะอยู่ในใจหลายนาที คุณยายได้ความคิดนี้มาอย่างไร ? หญิงชราอายุปูนท่าน สะกดชื่อตนเองก็ไม่ถูกเหตุไฉนจึงรู้ว่ามีสิ่งที่ได้ชื่อว่า ‘หอสมุดแห่งชาติ’ อยู่ในโลก ? อาจเป็นได้ที่คุณยายเคยได้ยินบันลือพูดถึงหอสมุดแห่งชาติบ้าง เพราะเขาเป็นผู้ที่เคยไปมาติดต่อกับสถานที่นี้บ่อยครั้งอยู่เหมือนกัน ถึงกระนั้นท่านก็ไม่น่าจะมีความรู้ไกลไปถึงกับรู้ว่า สถานที่นั้นมีประโยชน์แก่ผู้ที่กำลังเป็นนักศึกษา

​อย่างไรก็ตาม บันลือได้ปฏิบัติตามคำสั่งของท่านโดยเคารพ เขาโทรศัพท์นัดเวลากับเจ้าหล่อนผู้ซึ่งมีตำแหน่งเป็นน้องของเขา เขาสละเวลาเกือบ ๒ ชั่วโมงสำหรับสนทนากับหล่อนไปพลาง และช่วยดูช่วยค้นหนังสือต่าง ๆ ไปพลางที่ในหอสมุด ต่อจากนั้นเขาพาหล่อนไปรับประทานน้ำชาที่ร้านขายอาหารว่างอันเป็นที่โอ่โถงแต่สงัดและสบาย และตลอดเวลาที่กล่าวนั้น เขาระมัดระวังตัวอย่างเต็มที่ สงวนปากสงวนคำ ไม่ใช้สำนวนอันหวานแหลมและคม อย่างที่เขาเคยใช้ต่อหญิงสาวทั่วไป รักษากิริยามิให้มีลักษณะโอ้โลมอยู่ในที ดังที่เขาเคยแสดงต่อหญิงอื่น เพราะเหตุที่หล่อนเป็นหญิงที่คุณยายรักษาและเมตตา เขาเตรียมพร้อมที่จะรักและเมตตาหล่อนด้วย เขาชอบอัธยาศัยของหล่อนซึ่งมีลักษณะอ่อนโยนและไม่ฉูดฉาด สังเกตเห็นว่าหล่อนมีใจจดจ่ออยู่ที่เขาตลอดเวลาที่เขาอยู่กับหล่อน ออกนึกสงสัยว่าได้มีผู้หนึ่งผู้ใดนำความคิดความปรารถนาของคุณยาย มาปลูกไว้ในความคิดของหล่อนบ้างแล้วหรือหาไม่ ตามธรรมดาของผู้ใหญ่ที่รอบคอบ ย่อมจะไม่ชักจูงหญิงสาวที่ตนเมตตากรุณาให้ฝักใฝ่ในชายหนุ่มคนใด ก่อนที่ฝ่ายชายจะแสดงความฝักใฝ่ของเขาในตัวหล่อนให้ปรากฏโดยแน่นอน แต่ถึงกระนั้น เพื่อความปลอดภัย เพื่อกันความแสลงใจซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ในภาย​หน้า เขาเห็นว่าเป็นการจำเป็นที่จะต้องกันมิให้หล่อนมีความรู้สึกต่อเขาเกินกว่าที่ญาติจะพึงรู้สึกต่อญาติ โดยประการฉะนี้ เขาได้แสดงความเห็นสนับสนุนความตั้งใจของหล่อนในอันที่จะหาวิชาไว้เป็นเครื่องช่วยตัว และในการแสดงความเห็นนี้ เขาเลือกใช้ถ้อยคำสำนวนที่แสดงว่าเขานับหล่อน เสมอด้วยน้องคนหนึ่งของเขา ไม่ยิ่งไม่หย่อนไปกว่านั้น

เมื่อได้ไปส่งเจ้าหล่อน ณ ที่อยู่แล้ว ระหว่างที่นั่งรถจะกลับบ้านมายังบ้านของเขาเอง บันลือนึกถึงคำชวนอย่างคะยั้นคะยอของมุกดา “กลับมา ๔ โมงให้ได้นะเพื่อน ๆ พี่เขาบ่นเขาว่าเขาไม่ได้พบพ่อปุ๊นานแล้ว”

บันลืออดยิ้มมิได้ และคิดพิศวง เป็นด้วยเหตุผลกลใดหนอทั้งพี่ทั้งน้อง ทั้งยาย จึงเกิดมามีความตั้งใจที่จะ ‘จับ’ บันลือแต่งงานขึ้นพร้อมกันดังนี้ ?

ทันใดนั้นเขาคิดคำตอบขึ้นได้ เมื่อคำพูดประโยคหนึ่งของเจริญแล่นมาสู่ความจำ “ถ้าแกมีเมียเป็นฝั่งเป็นฝา—”

อ้อ ! เช่นนี้เอง ด้วยเหตุผลประการใดประการหนึ่งที่บันลือยังจับไม่ได้มั่น ทั้งพี่ ทั้งน้อง ทั้งยาย ทั้งเพื่อนต้องการจะล้มความคิดของบันลือที่จะออกไปทำไร่ทำสวนอยู่ในชนบท โดยประการฉะนี้ เขาพากันร้อนรนจะจัดหาภรรยาให้บันลือ–​เพื่อจะล่อให้บันลือ ‘ติด’ พระนครถึงกับลืมงานในชนบทกระนั้นหรือ—หรือเพื่อให้ภรรยาเป็นผู้ห้ามปรามทักท้วงบันลือมิให้ทำการงานนั้น—ราวกับว่าผู้หญิงคนเดียวจะมีอิทธิพลใหญ่ยิ่งถึงกับจะขวางความตั้งใจของนายบันลือไว้อยู่ !!!

บัดนี้ หลังจากที่ได้ใช้เวลา ๒–๓ อึดใจพิศดูรูปโฉมแห่งหญิงที่พี่สาวสรรค์มาให้เลือก บันลือยิ่งอยากหัวเราะมากขึ้นอีก ตลอดทั้งกายตัวของเจ้าหล่อนทั้งสอง ทั้งทรวดทรงรูปหน้า เค้าหน้า เครื่องหน้า ตลอดจนกระทั่งท่วงทีจริต กิริยา เป็นสามัญ เช่นเดียวกับหญิงทั้งร้อยทั้งพันที่ได้ผ่านตา ผ่านความสังเกตของบันลือมาแล้ว หญิงเช่นนี้แหละหรือที่พี่สาวของบันลือหวังว่าจะให้มาเป็นผู้สร้างความรัก ความพอใจให้เกิดแก่บันลือได้ ? คุณพี่ช่างเป็นพี่ที่ไม่รู้จักนิสัยของน้องชายเสียเลย !

มุกดาเอ่ยขึ้นว่า

“ฉนวนกับปราณีเขาอยากกินเมี่ยงจีนของพี่ สายใจน่ะเขาเป็นเจ้าของตำรา แล้วก็อยากมาดูว่าพี่ไปจำวิชาของเขามาแล้วทำได้ดีเหมือนต้นตำราไหม ? เลยพ่วงน้องมาด้วยอีก ๒ คน”

“บรรจงเขาชอบชิมของแปลก ๆ แล้วก็จำเอาไปทำ” สายใจเล่า “ลิ้นดีเหลือเกินเด็กคนนี้กินอะไรปั๊บต้องรู้ทีเดียวว่าเขาใส่อะไรมั่ง แล้วจำเอาไปทำเหมือนแบบไม่มีผิด”

​“อีกสักหน่อยเห็นจะเป็นช่างกับข้าวฝีมือเอกหาตัวจับไม่ได้” บันลือกล่าว แล้วมองหญิงสาวด้วยตาอันมีแววยิ้มปรากฏอยู่ “คิดจะทำการใหญ่มั่งไหมครับ ? พวกที่ไม่มีช่างอยู่กับบ้านจะได้ไปพึ่งบุญ”

หล่อนมองดูเขาอย่างสงสัย แต่ไม่กล้าพอที่จะออกปากถาม สายใจจึงถามแทน

“การใหญ่ยังไง ?”

“เช่นตั้งโรงเรียน หรือตั้งร้านขายอาหาร”

“แหม” เสียงอุทานมากกว่าหนึ่งเสียง และมีเสียงหัวเราะแซงด้วย สายใจตอบว่า “ยังไม่ไหวหรอกค่ะอย่างนั้นใหญ่เกินไป”

และมุกดาก็เสริม “แต่อย่างเรา ๆ อยากทำจะตายยังทำไม่ได้นะ”

“ก็เรามัวแต่อยาก ไม่ทำลงไปจริง ๆ ก็ทำไม่ได้น่ะซิ” ฉนวนว่า และปราณีก็พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย

เมื่อเพื่อนของมุกดาทั้งสองนี้ทำการสอนอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน ปราณีแต่งงานและมีบุตร ๓ คนแล้ว แต่ยังไม่ละอาชีพเดิมของหล่อน ฉนวนยังเป็นโสดและอาศัยรายได้จากงาน​อาชีพเป็นปัจจัยช่วยบิดามารดาให้การศึกษาแก่น้อง ซึ่งมีจำนวนหลายคน ทั้งสองเป็นหญิงมีนิสัยเด็ดขาด เมื่อคิดจะทำสิ่งใดก็ทำลงไปโดยไม่ลังเลดังนั้นจึงค่อนข้างจะมีความรู้สึกรำคาญมุกดาบ่อย ๆ ในข้อที่มุกดาเป็นผู้มีเรื่องบ่นถึงการขัดข้องต่าง ๆ เกี่ยวกับความปรารถนาของหล่อนอยู่เสมอ

บัดนี้อาหารว่างมาพร้อมทุกอย่างแล้ว มุกดาจัดแบ่งเมี่ยงให้น้องชายก่อน บันลือเคร่งในมรรยาทส่งจานอาหารต่อไปให้สายสวาท เจ้าหล่อนพยายามจะปฏิเสธมีอาการกระดากเจืออยู่ในกิริยาเป็นส่วนมาก แต่แล้วก็รับจานวางไว้ตรงหน้า เมื่อได้แบ่งเมี่ยงแจกกันทั่วไปและมีอาการปรารภถึงรสและวิธีทำเมี่ยงตามสมควรแล้ว หญิงรุ่นพี่ของบันลือก็ย้อนกลับไปพูดเรื่องการตั้งโรงเรียนการครัว และการตั้งร้านขายอาหาร เพราะบันลือได้ยอเพื่อนของพี่สาวว่า ช่างคิดชนิดอาหารขึ้นใหม่ มีรสแปลกดียิ่งนัก

ความจริงมุกดากับสายใจ มีนิสัยชอบในการคิดการทำอาหารเสมอกันทั้งคู่ และทั้งสองมีความปรารถนาต้องกันในข้อที่อยากจะใช้ความเป็นช่างของตนให้เป็นประโยชน์ยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในเวลานี้ แต่ที่มาแห่งความปรารถนานั้นต่างกันไกลมาก ความปรารถนานั้นจึงไม่เป็นสำเร็จขึ้นได้ กล่าวคือความปรารถนาของมุกดาเกิดจากความที่หล่อนเป็นผู้มั่งคั่ง มีผู้คน​รับใช้มากจนเกือบจะไม่เคยทำสิ่งใดด้วยมือตนเองเลย เวลาว่างของหล่อนเหลือเฟือ เป็นเหตุให้หล่อนคิดไปว่าชีวิตของหล่อนนั้นมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งขาดไป ทำให้เกิดความหงอยเหงา วันหนึ่ง ๆ มิรู้ที่จะทำสิ่งใดให้เพลิดเพลิน ก็บังเกิดความปรารถนาที่จะทำนั่นทำนี่ใหม่ ๆ แปลก ๆ ร่ำไป แต่ครั้นหล่อนปรารภความคิดที่จะทำการใหญ่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดฟังเป็นต้นว่าสามี หรือคุณยาย หรือน้อง ก็ได้ฟังคัดค้านซึ่งประกอบด้วยเหตุผลอันมาจากความมั่งคั่งของหล่อนอีก “ทำทำไมให้มันเหนื่อยแรง มิใช่ว่าจะต้องหาใส่ปากใส่ท้องเมื่อไหร่” แล้วมุกดาก็ไม่ฝ่าฝืนคำคัดค้านเหล่านั้นเพราะความเหนื่อยแรงและความลำบากใจเป็นสิ่งที่หล่อนไม่เคยรู้จัก ก็มีความกลัวนักที่จะต้องผจญกับสิ่งทั้งสองนี้ จึงล้มความคิดที่จะทำงานเป็นล่ำเป็นสันเสีย แต่ยังคงรักษาความปรารถนาที่จะทำไว้ในใจเสมอ

ส่วนสายใจนั้นความปรารถนาที่จะทำการใหญ่ เกิดจากความอัตคัดในเรื่องเงิน หล่อนผู้นี้กับสามีของหล่อนเป็นผู้ที่มีพี่น้องมากด้วยกันทั้งสองฝ่าย และทั้งสองฝ่ายเผอิญมีนิสัยไทยแท้อยู่ในสันดานด้วยกันอีกด้วย คือนิสัยเผื่อแผ่แก่วงศ์วาน เมื่อเห็นว่าญาติคนใดอัตคัดขัดสนมาขอพึ่ง ก็เลี้ยงดูให้ที่อยู่กิน เป็นเหตุให้หมดเปลืองรายจ่ายถึงกับเกิดการ ‘ชักหน้าไม่ถึงหลัง’ ​และคราวใดมีการป่วยไข้เกิดขึ้นในครอบครัว ก็เกิดการเป็นหนี้ เพราะต้องยืมเงินผู้อื่นมาใช้เป็นค่าหมอค่ายา เหตุเหล่านี้ทำให้สายใจคิดหางานที่จะนำรายได้มาสู่ครอบครัว แต่ขุนบรรเจิด ฯ เป็นผู้ได้เห็นโลกมากพอสมควรแล้ว ได้เห็นเพื่อนฝูงที่ประกอบการค้า ว่าจะเป็นการค้าแบบใดก็ตาม มีน้อยคนนักหน้าที่จะหาทรัพย์มาเพิ่มพูนครอบครัวได้สำเร็จ มีแต่จะทำรายจ่ายเพิ่มขึ้น แล้วหนี้สินก็ตามมา ในที่สุดการค้าก็ล้ม ผู้ค้าก็ยังคงเป็นหนี้เขาอยู่ ทั้งนี้จะเป็นด้วยเหตุใดขุนบรรเจิด ฯ ก็อ่านไม่ออก แต่ขุนบรรเจิด ฯ รู้ว่างานที่ภรรยาคิดจะทำ จะเป็นการเริ่มตั้งโรงเรียนก็ดี การเริ่มตั้งร้านขายอาหารก็ดี จะต้องมีเงินรองสำหรับขาดทุนเตรียมไว้ให้เพียงพอ เมื่อตนไม่มีทรัพย์ของตนเองเป็นก้อนเป็นกำ ทั้งภรรยาของตนก็เป็นผู้ที่ไม่มีทรัพย์สมบัติอันใด จะต้องยืมทรัพย์ผู้อื่นมาเป็นทุนรอน หากเกิดการพลั้งพลาด ผลของงานไม่งอกงามสมความคาดหมาย ความเดือดร้อนอันใหญ่หลวงก็จะตามมา งานที่ทำทั้งโดยทุนและโดยแรงเพื่อจะหนีการ ‘ชักหน้าไม่ถึงหลัง’ และหนีการเป็นหนี้ ก็จะกลายเป็นงานที่เสียทั้งทุนทั้งแรงเพื่อหาหนี้ใส่ตัว โดยนัยนี้อุปสรรคที่ขัดความปรารถนาของสายใจก็คือความอัตคัดในเรื่องทรัพย์ และโดยนัยนี้ สิ่งใดเป็นที่มาแห่งความปรารถนาของสายใจที่จะใช้ความเป็น​ช่างของตนใช้เป็นประโยชน์อย่างกว้างขวาง ก็สิ่งนั้นแหละเป็นที่มาแห่งอุปสรรคที่ขัดขวางความปรารถนาของสายใจไว้

ในระหว่างที่ ‘คุณป้า’ ทั้ง ๔ นางกำลังสนทนาโต้แย้งขัดคอหรือคล้อยตามกันเพลินอยู่ เด็กหญิงป่องฉวยโอกาสหยิบน้ำตาลปอนด์จากที่ใส่ลงในถ้วยน้ำชาของตนถึง ๕ ก้อน แล้วใช้ช้อนตักน้ำชาในถ้วยขึ้นเป่าแล้วซดแล้วเป่าแล้วซด แล้วแลบลิ้นเลียปากของตนเองอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อทำอยู่เช่นนี้ประมาณ ๗–๘ ครั้ง บันลือก็แลไปเห็น เขาขมวดคิ้วและนิ่งดูอยู่ก่อน แล้วพยายามจะจับสายตาเด็ก เพื่อจะใช้กิริยาสั่งให้เด็กยุติการกระทำเหล่านั้น บันลือชังผู้ที่เสียมารยาทในการรับประทานยิ่งนัก และถึงแม้ว่าธิดาของเขามีอายุเพียง ๖ ขวบ แต่เพราะเหตุที่เป็นธิดาของเขา เขาถือว่าแม่หนูควรจะได้รับการอบรมดีพอที่จะไม่ใช้ช้อนตักน้ำชาหรือเครื่องดื่มใด ๆ ขึ้นใส่ปากซด

เขาทนนั่งดูต่อไปไม่ได้นาน ก็ไอขึ้นเบา ๆ เพื่อเรียกความเอาใจใส่ของเด็กมาสู่ตัวเขา บุตรชายได้ยินเสียงเขาก่อนและเหลือบตามาดู บันลือพยักหน้าให้ลูกชายบอกลูกหญิงแต่เด็กชายก้องหาเข้าใจไม่ ก็มองดูเขาอย่างงง บันลือนึกไม่พอใจมากขึ้น สีหน้าก็มีลักษณะบึ้งตึง พอดีกับเด็กหญิงมองมาดู​เขา เขาก็เขม็งตามองดูเด็กพร้อมกับสั่นศีรษะเป็นอาการห้ามกิริยาที่เด็กทำอยู่ด้วย

ประจวบกับฉนวนก็แลมาทางบันลือเหมือนกัน เพื่อแก้ความสงสัย ที่เขาเห็นปรากฏขึ้นในสีหน้าฉนวน บันลือจึงพูดเรียบ ๆ ว่า “ยายป่องกินน้ำชาไม่เป็นเอาช้อนตักซดเสียอย่างสนุก”

ฉนวนหัวเราะ และกล่าวว่า “โถกับเด็กเท่านี้น้ำชามันร้อนกระมั้ง แกดื่มทั้งถ้วยไม่ได้แกก็ตักซดน่ะซี ใช่ไหมหนู ? เล็ก ๆ เท่านี้จะเป็นอะไรไป” แล้วหล่อนก็ลูบหลังเด็กอย่างรักใคร่และปรานี

ส่วน ‘คุณป้า’ อื่น ๆ ก็หันมาเอาใจใส่กับเด็กหญิงอีกครั้งหนึ่งและออกอุทานเป็นเชิงคัดค้านคำติเตียนของบันลือ เด็กหญิงป่องรู้สึกตัวว่าเป็นผู้ ‘เด่น’ ขึ้นในที่นั้นกำเริบเพราะเหตุที่มีผู้สนับสนุนมากคน จึงจีบปากพูดว่า

“คุณพ่อ พอเห็นหนูก็ตาเขียวปั้ด เมื่อพูดกับคนอื่นละก้อยิ้มแป้น ๆ”

ผู้ที่ได้ยินพากันหัวเราะด้วยความประหลาดใจและพิศวง รวมทั้งตัวบันลือเองด้วย เขาเหล่านั้นคิดไปไม่ถึงว่าเด็กได้จำคำของผู้ใหญ่มากล่าว ก็นึกชมว่าเด็กอายุเพียงเท่านี้ เหตุไฉนจึง​มีความฉลาดพูดจาเข้าเรื่องจนแทบไม่น่าเชื่อ มุกดานั้นเกรงใจน้องชายมาก กลัวน้องจะโกรธหลาน จึงฝืนใจดุไปตามควร

“ดู ทำแก่ไปว่าคุณพ่อเขา เดี๋ยวเขาโกรธเอาหรอก”

บันลือไม่ทันที่จะได้ตอบหรือแสดงความรู้สึกอย่างใด เขาต้องหันไปฟังคนใช้ซึ่งเข้ามาแจ้งแก่เขาว่า มีผู้ต้องการจะพูดโทรศัพท์ด้วย และผู้นั้นบอกนามของเขาว่า ‘เจริญ’

ชายหนุ่มกล่าวขออภัยต่อที่ประชุมแล้วก็ออกจากห้องไป

เมื่อเขายกโทรศัพท์ขึ้นและบอกนามของเขาไปแล้วก็ได้ยินเสียงจากอีกฝ่ายหนึ่งพูดมาว่า “เมียกันเขาใช้ให้บอกแกว่า เขายอมแพ้แกแล้ว”

“เอ๊ะ ยอมแพ้เรื่องอะไร ?”

“เรื่องผัวเป็นม้า เมียเป็นคนขี่น่ะเขาว่ามันขืนโลก”

บันลือหัวเราะลั่นลงไปในเครื่องพูด “แล้วตัวเธอกับภัสดาของเธอล่ะ ?” เขาถาม

“ไม่รู้แฮะ ไม่เห็นเขาสั่งให้บอก—”

“แล้วไอ้ที่สั่งให้บอกน่ะอะไร ?”

“เขาให้บอกว่า เขายอมให้เด็กของเขาเป็นม้า แกเป็นคน—”

​คำพูดของเจริญขาดหายไป บันลือได้ยินเสียงอุบอับพึมพำมาแทนที่ นึกรู้ว่าจิตราคงมายืนอยู่ข้างสามีด้วยจึงพูดไปว่า “เกิดการทำร้ายร่างกายกันขึ้นรึ ? พูดอะไรไม่รู้เรื่อง”

เขาได้ยินเสียงแหลมแว่วมาเข้าหูว่า “ทำไมต้องมีการขี่การควบอะไรกัน” แล้วได้ยินเสียงเจริญพูดมาโดยชัดเจน

“เขาสั่งให้บอกว่า ทุกครอบครัว ชายต้องเป็นผู้นำ หญิงควรแต่เป็นผู้เตือนผู้เหนี่ยวรั้ง เมื่อเห็นผู้นำจะก้าวพลาด”

“เพราะจิ๊ง ! ทฤษฎีนี้ !” บันลือตอบไปพร้อมหัวเราะ “ทำไมเจ้าของทฤษฎีไม่พูดเองหนอไหน ๆ ก็ยืนอยู่ข้าง ๆ นั่นแล้ว”

ได้ยินเสียงเจริญพูดซ้ำคำที่เขาพูดนี้ทุกคำ แล้วได้ยินเสียงจิตราตอบแว่ว ๆ ฟังไม่ได้ความ ภายหลังได้ยินเสียงเจริญพูดมาโดยชัดเจนอีก

“เขาบอกว่าอย่าพูดเป็นเล่นเสียเวลา เขายอมให้แกเป็นผู้นำ ผู้หญิงจะวิ่งตาม แกจะต้องการเด็กของเขาไหมล่ะ ?”

บันลือทำเสียง จุ๊ ! จุ๊ ! แล้วพูดว่า “ฝากจูบให้คุณจิตราสักครึ่งโหลเถอะ ใจดีเป็นแก้วอะไรอย่างนี้”

ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงแหลม ฟังไม่ชัดนักแต่ได้ความว่า “มีอย่างรึ ฝากจูบเมียไปกับผัวของเขา”

​เขารีบถามต่อไปทันที “ผัวเขารังเกียจรึขอรับ ?” ก็ได้ยินเสียงเจริญตอบกลับมาว่า “มากนักบางทีก็เบื่อเหมือนกัน”

ทั้งสองฝ่ายหัวเราะ

“บอกคุณจิตราว่ากันขอบพระคุณเธออย่างยิ่ง แต่เวลานี้กระทันหันเหลือเกิน ตอบอะไรไม่ถูก อีกสักสองหรือสามวันกันจะไปตอบด้วยตัวเองได้ไหม ?”

ประมาณครึ่งนาทีเขาจึงได้รับคำตอบ

“ได้ แต่อย่าให้กลายเป็น ๒–๓ อาทิตย์ เขาเป็นโรคคอยอะไรแล้วอัดใจ จะอ้วกท่าเดียว”

“โอ๊ ไม่ต้องคอยถึงอาทิตย์เป็นอันขาด” บันลือกล่าว

“ตกลง เลิกกันนะ”

“เลิกกัน ขอบใจ” แล้วบันลือก็วางเครื่องโทรศัพท์ไว้ยังที่.

 

72



​โภคทรัพย์ย่อมฆ่าคนหาปัญญามิได้ —ผล (กล้วย) ฆ่าต้นกล้วย ขุย (ไผ่อ้อ) ฆ่าต้นไผ่ ต้นอ้อ ลูกม้าฆ่าแม่ม้าอัสสดรฉันใด ลาภผลก็ทำลายล้างคนถ่อยเสียฉันนั้น

 

บันลือ ขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกผิดคาด และพิศวงระคนกัน เมื่อแลไปเห็นหญิงคนหนึ่งเดินคู่มากับเพื่อนที่เขาคอยอยู่ เพื่อนผู้นั้น คือ นายเจริญ เมื่อตอนกลางวันนี้เอง ขอให้เจริญมารับประทานอาหารค่ำกับเขาที่ภัตตาคาร ถ้าแม้ว่าเจริญว่างและเป็นอิสระ

เจริญได้ตอบแก่บันลือว่า “ยิ่งกว่าว่าง ยิ่งกว่าอิสระ หมู่นี้กันกำลังจ๋อง ค่ำลงไม่รู้จะทำอะไร ไอ้มีเมียเป็นคนขี้แพ้ท้องนี่ไม่ดีเลย ลำบากพิลึก เผื่อแกจะมีเมียอีกละก็ระวังไอ้ข้อนี้ให้มาก”

​บันลือหัวเราะคำพูดของสหายแล้วว่า “ค่ำวันนี้เตรียมหามาเยอะ ๆ นะไอ้คำแนะนำชนิดนี้” และเมื่อกำหนดสถานที่และนัดเวลากันแม่นยำดีแล้ว บันลือวางหูโทรศัพท์ด้วยความยินดี บันลือมีความปรารถนาที่จะคุยกับเจริญ เขาโกรธเจริญที่ปรามาสเขา แต่ถึงกระนั้นก็ต้องการจะสนทนากับเจริญด้วยเรื่องนั้นอีกครั้งหนึ่ง

เจริญมีนิสัยลักษณะขวานผ่าซาก เมื่อจะกล่าวติเตียนผู้หนึ่งผู้ใด เขาไม่พักที่จะเสียเวลาหาคำหนักเบาเพื่อถนอมอารมณ์และน้ำใจของผู้ที่เขาติเตียน เขาคิดอย่างไร เขาพูดออกมาอย่างนั้น พูดแรงหรือพูดอ่อน แล้วแต่ความรู้สึกของเขา เกือบทุกคราวที่เจริญกับบันลือพูดคุยกันนาน ๆ ทั้งสองฝ่ายจะแยกจากกันไปด้วยความนึกชังหน้า และน้ำคำของอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นต่างฝ่ายต่างก็แสวงหาโอกาสที่จะพบปะสนทนากันบ่อย ๆ อยู่เสมอ

บันลือบอกไม่ถูก และไม่รู้ด้วยว่าตนรู้จักเจริญตั้งแต่เมื่อไรและที่ไหน เขารู้แต่ว่าครั้งแรกที่สุดเขาจำหน้าและชื่อของบุคคลผู้นี้ได้นั้น ตัวเขากำลังนั่งดื่มและสนทนาอยู่กับเพื่อนหนุ่มหลายคน ทั้งที่เป็นผู้คุ้นเคยกันในสโมสรแห่งหนึ่ง ในระหว่างการสนทนากันเซ็งแซ่ที่ดังไปรอบโต๊ะหมู่หลายหมู่นี้เจริญได้ชี้นิ้วมาที่​หน้าบันลือและพูดว่า “คนแบบนี้แหละที่ทำให้ตระกูลต่าง ๆ ในบ้านเมืองเราเจริญอยู่ไม่ได้นานเกินกว่า ๒ ชั่วคน”

ด้วยความที่ประหลาดใจ ในข้อที่ตนถูก ‘กาหน้า’ โดยผู้ที่ตนไม่เคยรู้จักชื่อเสียงมาแต่ก่อนเลยนี้เอง บันลือไม่ทันที่จะได้นึกโกรธ จึงได้กล่าวขอคำอธิบายจากเจริญด้วยกิริยาของชายผู้เคยแก่การสะกดอารมณ์ภายใน และเมื่อได้รับคำตอบซึ่งรวมได้ความว่า ‘ลูกคนมีเงิน ไม่รู้จักราคาของเงินจึงเป็นผู้ผลาญเงินของพ่อแม่’ บันลือก็ยังแย้งได้อย่างใจเย็น แล้วผู้ที่ร่วมวงสนทนาอยู่ด้วย ก็ช่วยกันกลบเกลื่อนกรณีอันค่อนไปข้างจะเกิดความไม่สงบนี้เสีย โดยนำเรื่องที่ชวนให้ขบขันมาพูดขึ้น การโต้เถียงระหว่างเจริญกับบันลือก็ระงับไป

ตั้งแต่นั้นมาเมื่อเจริญกับบันลือพบกัน เขาทักทายกันด้วยท่าทางและวาจาอันมีลักษณะท้าทายชวนวิวาท แต่แล้วก็หาได้วิวาทกันไม่ เพราะบันลือเป็นผู้ที่มีความสามารถในเชิงหาความจริงจากคำพูดของผู้ที่พูดอยู่กับเขาได้เสมอ และเจริญเป็นผู้ที่ไม่เคยกล่าวคำอันคลาดเคลื่อนไปจากหลักความจริง ในท้ายที่สุด ภายหลังที่ได้เคยโต้เถียงวิวาทกันอยู่ในที่หลายครั้งหลายคราว คนทั้งสองนี้ก็มีความรู้สึกต่อกันฉันมิตรโดยที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ทันรู้ตัว

​ต่อจากนั้นมาอีกวันหนึ่ง โดยบังเอิญ ได้มีผู้กล่าวเข้าหูบันลือว่าเจริญเป็นสามีของจิตรา หญิงที่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดในเหตุการณ์บางอย่างในชีวิตของบันลือ เขาผู้นี้จึงกล่าวแก่เจริญว่า “กันเพิ่งรู้ว่าแกเป็นผัวของผู้หญิงที่กันรู้จักอย่างดี” เจริญตอบแก่เขาว่า “กันรู้มานานแล้วว่าแกเป็นผู้ที่เมียกันเคยรักมาก แต่ไม่บ้าพอที่จะแต่งงานกับแก”

ชายหนุ่มทั้งสองได้โต้เถียงกันอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง เพราะคำตอบที่เจริญกล่าวแก่บันลือนี้ บันลือถือว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่จะแก้ความเข้าใจผิดของเจริญ เขากับจิตราเคยสนิทสนมกันมากจริง แต่ไม่เคยมีความรู้สึกต่อกันฉันชู้สาว เจริญกล่าวว่าบันลือเป็นบ้า เพราะเหตุที่พยายามจะดัดแปลงความจริงที่เกิดขึ้นแล้วให้เป็นอย่างอื่น ทั้งสองฝ่ายได้แยกทางกันไป โดยที่ต่างฝ่ายต่างแน่ใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งกวนโมโห แต่ครั้นแล้วหลังจากนั้นไปไม่กี่วัน เจริญก็เชิญบันลือไปรับประทานอาหารค่ำที่บ้านของเขา แล้วบันลือก็เชิญเจริญกับจิตรามารับประทานอาหารที่บ้านของบันลือ ต่างฝ่ายต่างได้ผลัดกันเชิญเช่นนี้เรื่อย ๆ มา

วันนี้เมื่อบันลือเห็นเจริญเดินเข้ามาพร้อมกับภรรยาของเขา บันลือนึกอยู่ในใจว่า “คนบ้า ไหนว่าเมียป่วย ดันเอาเมีย​มาด้วย” แต่เมื่อเขาเดินเข้าไปถึงตัวคนทั้งสองนี้ ความรู้สึกของเขามิได้ปรากฏในสีหน้า เขาโค้งตัวลงตรงหน้าภรรยาของเพื่อนอย่างงดงามแล้วกล่าวว่า

“ไม่ได้นึกเลยว่าโชคจะดีต่อผมอย่างกลับหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้”

จิตรายกมือทั้งสองขึ้นโบกไปมา และพูดขัดโดยเร็ว “ไม่จำเป็นเลย ไอ้คำเพราะ ๆ น่ะ ถามออกมาตรง ๆ ดีกว่าเขาไม่ได้เชิญตัวสักหน่อยเจ๋อมาด้วยทำไม ฉันจะได้ตอบว่า ก็คุณจะแย่งเอาสามีของดิฉันมาเสีย ฉันก็ต้องตามมาด้วย”

บันลือยิ้มแทนคำตอบ แล้วนำสามีภรรยาไปยังหมู่เก้าอี้ที่เขานั่งอยู่เมื่อครู่ก่อน

เลือกเก้าอี้ตัวที่นั่งสบายที่สุดให้จิตรานั่ง หยิบหมอนมาหนุนหลังให้หล่อน แล้วรอจนเห็นว่าหล่อนนั่งเรียบร้อยแล้ว เขาจึงนั่งลงบ้าง

ข้อศอกเท้าเข่าทั้งสองข้างชะโงกหน้าไปทางจิตรา เขาถามด้วยน้ำเสียงแสดงความเอาใจใส่อย่างยิ่ง

“มีอะไรที่ผมจะจัดหามาบำรุงความสำราญให้คุณได้ สมกับความกรุณาของคุณ โปรดบอกมา ถ้าไม่เหนือกว่าความสามารถของผู้จัดการโฮเต็ลละก็ผมจะรีบสั่งทันที”

​ฝ่ายหญิงหัวเราะเสียงแหลม “คุณนึกว่าดิฉันจะมาหาความสำราญทางไหนจากโฮเต็ล นอกจากเรื่องกิน ?”

“คุณจะดื่มอะไร จะรับประทานอาหารอย่างไหน” พูดแล้วบันลือก็กดกริ่งเรียกผู้รับใช้

“เพียงแต่จะถามว่า จะดื่มอะไรกินอะไรเท่านั้นเองก็อุตส่าห์พูดเสียออกเพราะ” จิตราว่า “เห็นได้ว่ากี่วันกี่เดือนกี่ปีก็ไม่ทิ้งนิสัยเดิม”

หล่อนหันไปมองดูผู้รับใช้ที่ยืนคอยรับคำสั่งอยู่แล้วพูดสืบไป

“อยากดื่มอะไรที่เมา ๆ แต่ต้องไม่เมามาก” มองไปทางสามีของหล่อน “ได้ไหม เจริญ วันนี้ขออนุญาตกินเหล้า ฉันถูกหมอห้ามไม่ให้กินเหล้า บันลือ แต่วันนี้ต้องขอขัดคำสั่งหมอหน่อย”

ฝ่ายเขาได้เสนอชื่อเครื่องดื่มชนิดที่อ่อนและเหมาะสำหรับผู้หญิงหลายชนิด ซึ่งจิตรารับว่าหล่อนเคยชอบทั้งนั้น แต่เฉพาะคืนนี้ หล่อนขอให้เจริญหรือบันลือเป็นผู้เลือกให้หล่อน ชายหนุ่มทั้งสองโต้แย้งกันอยู่ ๒–๓ คำแล้วบันลือก็เป็นผู้ชี้ขาด

เสร็จจากการเลือกเครื่องดื่มแล้ว จิตราเอ่ยขึ้นว่า “นี่​เสร็จพิธีต้อนรับอย่างน่าชื่นอกชื่นใจของคุณแล้ว เมื่อไรจะถามว่าทำไมฉันถึงมาด้วย ทั้งที่คุณไม่ได้เชื้อไม่ได้เชิญสักหน่อย”

“ถ้าคุณจะว่าผมในเรื่องเชิญไม่เชิญนี้ละก็ผมขอซัดว่าเป็นความผิดของเจริญ”

“ข้อนั้นฉันรู้แล้ว ไม่ติเตียนเธอเลย ฉันอยากจะให้เธอถามฉันว่า ก็เมื่อไม่สบายทำไมถึงเจ๋อมา”

“จะต้องถามทำไม ผมหาคำตอบได้จนเสร็จแล้ว”

เจ้าหล่อนกล่าวอย่างพิศวง “หาได้ว่ายังไง ?”

“อย่าให้ผมบอกเลย มันเป็นคำตอบที่ค่อนข้างจะยกตัวเองอยู่สักหน่อย”

“เอ๊ะ ยกยังไงนะ ลองบอกหน่อยเถอะ ฉันอยากรู้ว่าคุณยังเก่งพอที่จะอ่านฉันออกเหมือนแต่ก่อนไหม อีกอย่างหนึ่ง คำตอบที่คุณคิดขึ้นอาจจะผิดจากความจริงไปตั้งโยชน์ก็ได้”

“โอ๊ะ ข้อนั้นผมไม่แคร์ ผิดหรือถูกมันเป็นคำตอบที่ผมพอใจก็แล้วกัน”

“เอ๊ะ แต่ดิฉันแคร์นี่ ฉันไม่ชอบให้ใครเข้าใจอะไรไปอย่างหนึ่ง ในเมื่อใจจริงหรือความรู้สึกของฉันเป็นอีกอย่างหนึ่ง เป็นต้นว่าฉันมาที่นี่คืนวันนี้เพราะเหตุอย่างหนึ่งที่เป็นความเห็นแก่ตัวของฉัน แล้วคุณจะคิดว่าฉันมาเพราะฉันเห็นแก่คุณ ​อย่างนี้ฉันจะต้องรีบแก้ความเข้าใจผิดทันที เพราะฉันไม่ต้องการจะเอาหน้ากับคุณโดยที่ฉันไม่มีสิทธิ์”

บันลือตอบด้วยสีหน้าอันยิ้ม และเสียงอันหนักแน่น “สำหรับผม คุณจิตราไม่ใช่แต่เพียงมีสิทธิ์เอาหน้า ถึงจะเอาอะไร ๆ อย่างอื่นอีกกี่ร้อยกี่พันอย่างก็มีสิทธิ์ที่จะเอาได้”

แล้วบันลือหันมาทางเจริญ เพราะสังเกตเห็นว่าเพื่อนชายของเขายังมิได้พูดเลย แต่จิตราได้ถอนใจขึ้นโดยแรง และกล่าวอย่างเป็นงานเป็นการ

“นี่ บันลือ เมื่อไรคุณเอาความจริงใจขึ้นมาพูดบ้างคะ คุยกับเธอฉันเนื้อยเหนื่อย เหนื่อยอีตรงที่ต้องคอยค้นว่าความจริงอยู่ตรงไหน ตอนไหนเชื่อได้ตอนไหนเชื่อไม่ได้”

เขาถอนใจเลียนหล่อน ทำหน้าเศร้า และว่า “ก็คุณขอสิ่งที่ผมทำไม่ได้ ก็เหลือวิสัยที่ผมจะทำให้ถูกใจคุณ มีอย่างรึ คนสมัยเรา คนที่เรียกว่าเจริญแล้ว คิดอย่างไรพูดออกมาอย่างนั้น แบบนี้มันแบบของคนสมัยหินนี่ขอรับ สมัยนี้เราทำอย่างนั้นไม่ได้จริง ๆ ท่าเข้าโลกก็เห็นว่าเราเป็นคนป่าเถื่อนไม่รู้ขัดเกลากิริยาวาจาของตัว” หันไปทางเพื่อนชาย “จริงไหม เจริญ? แม้แต่คนอย่างแกที่ใคร ๆ ก็ยกย่องว่าเป็นคนตรงหนักหนา แกกล้าพูดความจริงกับคุณจิตราเสมอไหม ?”

​“แต่ฉันเชื่อแน่ว่าเจริญไม่เคยขี้ปดฉันเลย” จิตราค้านเสียงแหลม แล้วหันไปถามสามีด้วยสีหน้าเป็นงานเป็นการที่สุด “จริงไหมเธอ ? อย่างน้อยที่สุดถ้าเธอพูดตามตรงไม่ได้ เธอก็ไม่พูดเสียเลย จริงไหม ?”

เจริญไม่ทันจะได้ตอบ บันลือพูดขึ้นก่อนว่า “พูดอย่างนี้หมิ่นประมาทผมนะ คุณจิตรา”

“จะว่าหมิ่นประมาทก็ยอมละ เพราะฉันจะเอาความจริงให้ได้ ฉันรู้นี่นาคุณไม่ได้อยากให้ฉันมาเลย คุณต้องการจะได้เพื่อนของคุณมากินเหล้ากัน คุยกัน ด่าผู้หญิงกันให้สบาย”

“ไปใหญ่แล้ว คุณจิตรา” บันลือขัดพร้อมกับหัวเราะ

“ไม่ใหญ่หรอก” เจ้าหล่อนยืนยัน เรื่องนี้น่ะเธอ ๒ คนพอดีกันทั้งคู่ ผู้หญิงละเป็นขี้ปากของเธอทีเดียว –แล้วยังไง — จะพูดว่ากระไรลืมเสียแล้ว — อ้อ คุณไม่ได้อยากให้ฉันมา ฉันรู้ แต่ก็มาทั้งรู้ ๆ คุณควรจะไต่ถามให้มันเป็นเรื่องเป็นราวว่า ไหนว่าเจ็บไข้มาไม่ไหว ทำไมถึงมาได้ล่ะ มันจะได้ใกล้ความจริงเข้าหน่อย นี่กลับมาทำแป้นเป็นทีว่าปิติยินดีเสียเหลือเกิน”

“โธ่” บันลืออุทานเสียงอ่อนโยน “นั่นก็เป็นเพราะผมเต็มใจสละความอยากหรือความตั้งใจของผมไม่ว่ากี่อย่างกี่ชนิด สำหรับแลกกับความพอใจของคุณจิตราแต่อย่างเดียว”

​หล่อนทำท่ากลืนสิ่งใดลงในคอ แล้วยกถ้วยเหล้าขึ้นจิบ พลางมองดูเขาอย่างเพ่งเล็ง และเมื่อสายตาของหล่อนจับอยู่ที่หน้าอันคมสัน ประกอบด้วยลักษณะยิ้มอย่างคมคาย ไมตรีจิตแต่หนหลังก็เข้าครองใจหล่อนโดยเต็มเปี่ยม แต่ทั้งนี้มิได้ทำให้ความรู้สึกอยากเอาชนะระคนกับความรู้สึกหมั่นไส้สิ้นไปเสียทีเดียว วางถ้วยเหล้าลงดังกึก จิตราลงเสียงพูดว่า

“เดี๋ยวจะว่าให้แสบหรอก ถ้าคุณบันลือเป็นคนทำจริงเหมือนกับที่ปากพูดละก็ ป่านนี้ก็ไม่ต้องเป็นพ่อหม้ายไร้เมีย เอาลูกเที่ยวฝากเขาเลี้ยงเหมือนเดี๋ยวนี้หรอก”

บันลือเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย กัดริมฝีปากและยิ้มด้วย แล้วตอบช้า ๆ ว่า

“นั่นมันแล้วมาแล้ว นานแล้วขอรับ ผมพูดถึงเวลาปัจจุบันนี้”

เจริญเอ่ยขึ้นว่า “แล้วฉันล่ะเธอ ถ้าบันลือเป็นเหมือนอย่างเขาว่าฉันจะเป็นอย่างไร”

“เป็นอย่างไร ?” จิตราย้อนถาม “ไม่เกี่ยวกันนี่—”

“ก็ถ้าบันลือเขาทำตามความประสงค์ของเธอ แทนที่เขาจะทำตามความอยากของเขา ใครจะเป็นเมียที่อยู่กับเขาเดี๋ยวนี้”

​เมื่อพูดจบ เขาถูกค้อนวงใหญ่ด้วยดวงตาแห่งภรรยาของเขา พร้อมกันนั้นจิตราพูดว่า

“เอาอีกแล้ว เอาความเข้าใจเขว ๆ มาพูดอีกแล้ว—”

และบันลือก็เสริมว่า

“สามีคุณติดใจจะให้เกียรติยศผมเกินกว่าที่เคยได้รับจริงเสมอ — แก่โง่มากเหลือเกินเจริญ ที่ยังคิดอยู่ร่ำไปว่า จะมีผู้ชายคนไหนเฉยเมยต่อเกียรติเช่นนั้น ถ้าหากว่าคุณจิตราเป็นคนหยิบยื่นให้”

คราวนี้จิตราครางเสียงฮือ และบ่นว่า “แหม ฉันเวียนหัวผู้ชาย ๒ คนนี่เหลือเกิน พูดอะไรไม่เห็นเข้าหู — ใครจะเป็นเมียที่อยู่กับคุณเวลานี้ก็ตาม คุณบันลือ ใครคนนั้นต้องไม่ใช่ฉันเป็นแน่”

บันลือหันมาทางเจริญ แบมือและทำหน้าเศร้าแล้วหันกลับไปทางจิตราพูดว่า “ทำไปทำมาเคราะห์ร้ายมาตกอยู่ที่ผม เจริญเป็นคนพูดเหลวไหล แต่คุณจิตรากลับมาย้ำให้ผมช้ำใจ ไม่ไหว อย่างนี้ต้องเลิกพูด ไปกินกันดีกว่า”

แล้วบันลือกดกริ่งเรียกผู้รับใช้มาถามว่า อาหารพร้อมแล้วหรือยัง ได้รับคำตอบว่าพร้อมแล้ว เขาก็ชวนแขกของเขาให้ลุกขึ้นจากที่

​ระหว่างที่เดินจากห้องโถงไปยังห้องรับประทานอาหาร จิตราปรารภขึ้นว่า “ขอบใจคุณบันลือ ที่เตือนให้ไปกินเสียที ถ้าขืนนั่งต่อไปอีกฉันเล่นเจ้าค็อกเทลถ้วยที่ ๒ เข้าไปหมดถ้วยเห็นจะเดินไม่ไหว ต้องลากกันไปขึ้นรถแน่ ๆ ไอ้เหล้านี่แปลก ไม่ได้กินนาน ๆ พอแตะ ๆ เข้าไปหน่อยชักจะเมา”

บันลือตอบคำของหล่อนโดยเร็ว “แหม เสียดายไม่รู้เสียก่อน ! ไอ้แขนสองข้างของผมไม่เคยทำอะไรให้ผมชื่นใจเลย ถ้านั่งต่อไปอีกสักครึ่งชั่วโมง มันก็จะได้มีโอกาสอุ้มคุณไปใส่รถ ผมไม่ควรจะด่วนนึกถึงเรื่องกิน”

จิตราร้อง จุย๎ ! แล้วก็หัวเราะเพราะอดขันมิได้ แล้วจึงว่า “ร้ายกาจ บันลือนี่ร้ายมากพูดคำเกี้ยวคำไม่มีตกฟากเลย หายเข้าป่าเข้าดงไปเป็นปีสองปี นึกว่าจะกลับตัวได้ที่แท้ก็ยังอยู่อย่างนั้นเอง”

“ก็คนป่าน่ะมันต้องอดเล่นลิ้นนี่เธอ” เจริญว่า “ขืนไปใช้ภาษาอย่างนี้ พวกนั้นจะได้หาว่าบ้า พูดภาษาอะไรกันมนุษย์ฟังไม่เข้าใจ เพราะยังงั้นพอเข้ากรุงทีหนึ่ง ก็ต้องปล่อยเสียให้สะอยาก”

“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออยู่กับผู้หญิงอย่างคุณจิตรา” บันลือกล่าวพร้อมกับยิ้มในหน้า “ทำให้เกิดอารมณ์ประณีตต่าง ๆ ภาษาที่พูดก็เลยประณีตไปด้วย”

​เขาทั้งสามเดินมาถึงโต๊ะที่รับประทาน บันลือช่วยเลื่อนเก้าอี้ให้จิตรา เจริญเลือกที่นั่งตรงหน้าภรรยาของเขา บันลือจึงนั่งลงเบื้องซ้ายของหล่อน แล้วเขาส่งรายชื่ออาหารให้หล่อนดู พร้อมกับบอกชื่ออาหารที่เขาสั่งไว้เป็นพิเศษ และถามหล่อนต่อไปว่าจะต้องการอาหารนอกไปจากนั้นหรือไม่

หล่อนกล่าวปฏิเสธและกล่าวขอบใจเขา พร้อมกับหัวเราะอย่างชื่นบาน มีสตรีน้อยคนที่จะทำใจเฉยต่อท่วงทีวาจาของบันลืออยู่ได้นาน ข้อนี้จิตราย่อมรู้ดี แต่ทั้งที่รู้และตั้งใจจะทำตัวให้ผิดจากสตรีอื่น หล่อนก็หาทำให้สำเร็จตามความปรารถนาได้ไม่

เมื่อรับประทานซุปได้ ๒ ช้อน หล่อนเงยหน้าขึ้นสบตาเขาและบอกว่า “ซุปนี่ดี บันลือ”

เขายิ้มแทนคำตอบ แล้วหยิบช้อนของเขาขึ้นตักซุปรับประทานบ้าง แต่ไม่มีความรู้สึกสำหรับรสอาหารที่สัมผัสกับลิ้น บันลือกำลังเริ่มจะตกอยู่ในอาการคนใจลอย เพราะอารมณ์ชนิดหนึ่งแล่นมากระทบดวงจิต เป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นเพราะสิ่งที่แวดล้อมตัวเขาอยู่ในเวลาปัจจุบัน ชวนให้เขานึกถึงวัน ๆ หนึ่งในเวลาอดีต ภาพโต๊ะอาหารประจำภัตตาคาร จัดไว้เป็นระเบียบสะอาดสะอ้าน แต่ไม่งดงาม ประกอบด้วย ผ้าปูสีขาว ภาชนะ​ขาว ขวดปักดอกไม้ที่จัดไว้โดยฝีมือของผู้ชำนาญงาน แต่ขาดความประณีตบรรจง เหล่านี้รวมกับภาพของจิตรานั่งอยู่เบื้องขวาแห่งตัวเขา ช่างคล้ายคลึงยิ่งนัก กับวันที่เขาและจิตรารับประทานอาหารร่วมกัน พลางโต้เถียงด้วยเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง เมื่อเขาทั้งสองกำลังอยู่ในเรือเดินสมุทร กำลังเดินทางจากประเทศญี่ปุ่น กลับเข้าสู่ประเทศไทย

ระยะนั้นเป็นระยะที่จิตรากับบันลือได้รู้จักกันแล้วราว ๆ ๖ สัปดาห์ แต่ความงอกงามแห่งมิตรภาพได้ทำให้เขามีความรู้สึกต่อกันประดุจเขารู้จักกันมาแล้ว เป็นเวลานับปี และถ้าหากว่าจิตรามิใช่เป็นฝ่ายสูงอายุกว่าบันลือ ๓ ปี หรือถ้าหากว่าหล่อนเป็นหญิงที่คิดถึงชีวิตสมรสโดยถี่ถ้วน รอบคอบ และสุขุมน้อยกว่าที่จำเป็นสักหน่อย หล่อนกับบันลือคงจะได้เป็นคู่ร่วมชีวิตซึ่งกันและกัน แทนที่จะเป็นสหายที่รักต่อกันอย่างธรรมดา และในจิตใจของบันลือก็คงจะไม่มีที่ว่างเหลืออยู่สำหรับให้เสน่ห์รูปและเสน่ห์จริตของหญิงอีกคนหนึ่งเข้าครอบงำ จนถึงกับทำให้เขาตกเป็นทาสรักแก่หล่อนหลังจากที่ได้รู้จักกันเพียง ๒–๓ วัน

ค่ำวันนั้นในเรือเดินสมุทร จิตรากับบันลือได้โต้เถียงกันด้วยเรื่องหญิงผู้นี้ ด้วยความปรารถนาดีอันบริสุทธิ์ จิตราได้ท้วงบันลือถึงความสนิทสนมระหว่างบันลือกับเจ้าหล่อนผู้นั้น ซึ่งมี​ท่าทีเหมือนจะแปรรูปเป็นความสนิทสนมระหว่างหนุ่มกับสาวที่จะเข้าพิธีวิวาห์ด้วยกัน “ฉันรู้จักเขามาก่อนเธอ บันลือ เคยพบกันบ่อย ๆ เป็นเวลาถึง ๓ ปี เมื่อเขาอยู่ในฝรั่งเศส เขาเป็นคนที่จะรักใครเมื่อไหร่ก็รักได้ เพราะฉะนั้น เขาจะเลิกรักใครเสียเมื่อไหร่ก็ได้เหมือนกัน” แต่บันลือมองไม่เห็นว่าหญิงที่รักตัวเขาแล้วจะคลายรักจากเขาได้ด้วยอย่างไร เขาถือตัวว่าเขาเป็นบุคคลที่มีค่าสูงคนหนึ่ง เขาภูมิใจในวิชาของเขา กำเนิดของเขา ฐานะของเขา และภูมิใจในคุณลักษณะแห่งกายและใจของเขาด้วย ถ้า ‘เจ้าหล่อน’ ของเขาได้ผละรักจากชายหนุ่มมาแล้ว จะเป็นจำนวนกี่คนก็ตาม ก็ควรจะเป็นที่เข้าใจว่าชายหนุ่มเหล่านั้นมีความบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นเหตุให้ ‘เจ้าหล่อน’ เบื่อหน่าย ดังนี้ก็จัดว่าเป็นความผิดของฝ่ายชาย เหตุไฉนจะมาปรับเอาเป็นผิดแก่ฝ่ายหญิง ?

จิตราแย้ง บันลือก็แย้งตอบ ในท้ายที่สุดเขาชนะหล่อนด้วยโวหาร แต่หาได้ทำให้ความคิดเห็นของหล่อนเปลี่ยนไปจากเดิมไม่ และด้วยเหตุที่ความรักของผู้มีใจสูงนั้นแม้จะเป็นความรักชนิดที่เพื่อนรักเพื่อน ความรักชนิดที่ภรรยารักสามีหรือสามีรักภรรยา ชนิดที่บิดามารดารักบุตร หรือบุตรรักบิดามารดา ชนิดที่เจ้ารักข้า หรือข้ารักเจ้าก็ตาม ย่อมจะเป็นความรักที่มี​ความปรารถนาต่อความสุขของผู้ที่ตนรัก เป็นรากฐานลึกซึ้งยิ่งกว่าความปรารถนาอื่นใดทั้งสิ้น จิตราจึงได้ขอให้บันลือสัญญาแก่หล่อนว่า เขาจะไม่แต่งงานกับหญิงที่เขากำลังเริ่มรักก่อนที่เวลา ๖ เดือนหลังจากวันที่เขากลับถึงพระนครจะได้ล่วงไป บันลือไม่อาจที่จะปฏิเสธคำขอร้องนี้ แต่เขาก็มิได้ลั่นปากให้สัญญาแก่หล่อน อย่างไรก็ตามเขาได้แต่งงานในระยะ ๔ เดือนแรกที่เขากลับถึงบ้านเกิด

บันลือได้รับบทเรียนสนองความทะนงตนอย่างเจ็บแสบ และก็เป็นธรรมดา ความทะนงตนของเขามีขีดสูงเพียงไร บทเรียนที่เขาได้รับก็มีน้ำหนักรุนแรงอยู่ในความรู้สึกของเขาเพียงนั้น แล้วความรู้สึกนี้ซึ่งมีความเจ็บอาย ความอาฆาตเป็นเจ้าครองอยู่ ก็ทำให้ความคิดแปลก ๆ ต่าง ๆ เกิดขึ้นในจิตใจของเขา ซึ่งเป็นตำหนิติดตัวเขาอยู่จนทุกวันนี้

หลังจากที่ได้รับบทเรียนดังกล่าวแล้ว บันลือพยายามตัดการพบปะกับจิตรา จนดูราวกับว่าเขาเป็นผู้ที่ไม่เคยรู้จักมักคุ้นกับหล่อนมาแต่ก่อนเลย ตลอดจนกระทั่งในเวลาที่เขาต้องเผชิญหน้ากับหล่อนโดยบังเอิญ เช่น เวลาที่เขาพบกับหล่อนตามสมาคมต่าง ๆ เขาทักทายหล่อนด้วยกิริยาอันดี แต่เขาก็พยายามหลีกเลี่ยงการต่อปากคำกับหล่อนโดยตรง ตลอดเวลา ๓–๔ ปี ​เขาบำเพ็ญตัวเช่นนี้ต่อหล่อน ไม่เพียงแต่บำเพ็ญตัว เขาบำเพ็ญใจจะลืมหล่อนเสียทีเดียว ทั้ง ๆ ที่เขาระลึกถึงความน่ารักของหล่อนอยู่เป็นนิจ จนกระทั่งถึงวันที่เขาหลุดปากกล่าวนามหล่อนออกไปกับเจริญ ซึ่งเป็นเหตุให้สามีภรรยาคู่นี้เชิญเขารับประทานอาหาร การติดต่อระหว่างจิตรากับเขาจึงเริ่มต้นขึ้นอีก

เจริญได้ตัดกระแสความคิดของบันลือที่ล่องลอยอยู่ในกาลอดีตโดยพูดขึ้นว่า

“นี่แกจะอยู่ในเมืองไปอีกนานสักกี่วัน จึงจะกลับเข้าป่า ?”

“กันจะกลับราว ๆ ต้นเดือนหน้า”

“ต้นสักแค่ไหน ?”

“ก่อนวันที่ ๑๐”

“กลับ!” จิตราทวนคำ “พูดเหมือนกับป่าน่ะเป็นบ้าน ส่วนบ้านน่ะเป็นแต่เพียงที่ ๆ มาอาศัยพักชั่วคราว”

“ก็เกือบจะเป็นอย่างนั้น” บันลือตอบ

“เวลานี้ผมกำลังสร้างบ้านในป่า ตั้งใจจะให้เป็นที่อยู่ได้อย่างจริงจัง”

หล่อนเอียงคอมองดูเขาและว่า “และจะอยู่ได้หรืออย่างคุณน่ะ ?”

​“ทำไมจะไม่ได้” สามีของหล่อนกล่าว “อยู่พอเบื่อแล้วก็ทิ้ง แล้วก็ให้มันพังไปกับที่ แล้วก็ไปสร้างที่อื่นใหม่ เงินทองมีถมไป”

“แน่ละซี” บันลือตอบ “มีเงินไม่ใช่สำหรับหาความพอใจ จะมีไว้ทำไม”

“แต่เธอไม่ใช่มีแต่ตัวคนเดียว บันลือ พี่ล่ะ น้องล่ะ แล้วยังลูกอีก—”

“ส่วนพี่น้องก็พี่น้อง ส่วนผมก็ส่วนผม ลูก—ช่างหัวมันปะไร”

หล่อนเริ่มไหวทันว่า อารมณ์ชนิดใดเกิดขึ้นแก่เขา ก็หัวเราะและว่า “รั้นแล้ว นี่พูดด้วยรั้นแท้ๆ” ทำหน้าขรึม แต่ดูเป็นทีเล่นกลาย ๆ “คนนี้ลงจะทำอะไรแล้วไม่ชอบให้ใครห้าม ยิ่งห้ามยิ่งดัน”

บันลือได้สติ ด้วยความตั้งใจจะแก้ตัว เขายิ้มและพูดอย่างอ่อนโยน

“เพราะยังงั้น ผมถึงไม่กล้าเอาแผนการของผมไปปรึกษาคุณ กลัวคุณจะห้าม แล้วผมก็จะดื้อ แล้วก็จะต้องอายคุณเหมือนที่เคยอายมาแล้ว”

​จิตราขยับไหล่เล็กน้อย “ฉันไม่เคยนึกจะเอาความถูกของฉันไปข่มความผิดของเธอเลย” หล่อนว่า “แล้วยิ่งเรื่องการงานด้วยละก็ — ฉันไม่มีความรู้พอที่จะคัดค้าน หรือส่งเสริมแผนการของคุณเป็นอันขาด”

“แผนการน่ะดี” เจริญขัดขึ้น “พอได้ยินว่าจะไปหักร้างถางพง ทำป่าให้กลายเป็นไร่เป็นนาใคร ๆ ก็ต้องยกนิ้วว่า ฮ้อ แต่คนอย่างเขานี่น่ะทำไม่ได้”

บันลือทิ้งมีดกับซ่อมลงในจานดังกึก วางมือทั้งสองบนโต๊ะ แล้วถามว่า

“ไหนลองบอกมาทีเถอะ คนอย่างนี้น่ะ เป็นยังไง ? แล้วคนที่จะทำได้น่ะ จะต้องเป็นคนอย่างไหน ?”

“คนที่จะทำได้ต้องเป็นคนที่เกิดมาไม่เคยมีอะไรเลยนอกจากแขนสองข้าง กินข้าวกับเกลือกับพริก หรือไม่งั้นก็เจ้าเสื่อผืนหมอนใบ มาเรือตะเภา”

“ชะ ๆ — เอ้า อย่างเจ้าพวกหลังนี่ กันยอมให้ล่ะ เสื่อผืนหมอนใบมาเรือตะเภา กลายเป็นเจ้าสัวใหญ่เสียหลายพันคน แบบบรรพบุรุษทางย่าของมันตั้งแต่เริ่มสร้างรัตนโกสินทร์ แต่พวกเราน่ะ ใครคนไหนตระกูลไหน ที่ร่ำรวยขึ้นได้ด้วย​แขนสองข้างแท้ ๆ โดยไม่มีพ่อหรือปู่หรือยายหรือเจ้าขุนมูลนายอุ้มชู ลองชี้ตัวมาให้ดูสักคน”

“ไอ้ที่รวยขนาดเจ้าสัวน่ะอาจจะไม่มีจริง แต่พวกที่หาได้ปีละ ๕ ชั่ง ๑๐ ชั่ง เลี้ยงประเทศทั่วประเทศอยู่ทุกวันนี้ คือพวกที่มีแต่แขนสองข้าง”

“แล้วคนอย่างกันนี่น่ะ มีทั้งทุน ทั้งปัญญา ทั้งกำลังกาย จะไปทำไร่ทำนาหาเงินปีละ ๕ ชั่ง ๑๐ ชั่ง ไม่ได้ยังงั้นรึ?”

“ไม่ได้”

“เพราะอะไร ?”

“เพราะปีหนึ่ง ๆ แกใช้เงินเกิน ๑๐ ชั่งหลายเท่า –”

“แล้วยังไง ?”

“ถ้าแกจะหาเงินให้ได้เท่านั้น แกจะใช้เงินมากกว่าที่ใช้ทุกวันนี้หลายเท่าตัว”

“แกหมายถึงว่ากันจะต้องเอาเงินไปลงทุนยังงั้นรึ ก็แน่ละ แต่—”

“หมายถึงเงินที่จะต้องเอาไปลงทุนด้วย แล้วก็หมายถึงค่าใช้จ่ายส่วนตัวของแกด้วย ไอ้ทุนน่ะมันไม่เท่าไหร่ แต่ว่าแกลองมองดูไอ้การอยู่การกินของแกทุกวันนี้ดูสักหน่อยเถอะ บ้านที่แกอยู่เป็นอย่างไร แกหาความสะดวกสบายไว้ให้ตัวทุกอย่าง​ใช่ไหม ? จะเอาอะไรสักนิดก็มีขี้ข้าคอยวิ่งรับใช้หัวสลอน จะกินอะไรก็ต้องกินให้อร่อยให้ถูกปาก แล้วแกยังต้องมีเครื่องหย่อนใจ ดูหนัง ดูละคร พบเพื่อน เล่นกีฬา กินเหล้า ไอ้พวกเหล่านี้น่ะแกซื้อหาเอาในกรุงเทพฯ ราคาเท่าไร ถ้าแกไปหาในป่า หรือหาไปจากที่นี่เอาไปใช้ในบ้านป่าของแก มันจะแพงขึ้นอีก ๓–๔ เท่า ทีนี้ลองรวมทุนที่แกลงไปในดินของแกเข้ากับรายจ่ายที่ว่านี่มันจะเป็นเงินเท่าไร แล้วแกจะทำไร่ทำนาชนิดไหนกันที่มันจะให้เงินแกคุ้มค่าใช้จ่ายทั้งหมด”

“ความเห็นของแกมันออกจะแปลก เจริญ มีอย่างที่ไหน อยู่หัวเมือง อยู่ป่า ใช้เงินเปลืองกว่าอยู่ในกรุงเทพฯ —”

“มันสองอย่าง เพื่อนเอ่ย พวกที่เขาเคยอยู่หัวเมืองเสมอ เช่นข้าราชการส่วนภูมิภาค เขาเคยกับการอยู่อย่างพออยู่ได้จนชินแล้ว พวกนี้ถ้าเทียบกับชาวกรุงเทพฯ ที่อยู่อย่างพออยู่ได้เหมือนเขา ก็แน่ละ พวกหัวเมืองใช้เงินน้อยกว่า แต่คนอย่างแกน่ะ จะอยู่อย่างพออยู่ได้ ได้ไหม ? กันว่าไม่ได้แฮะ อย่างหนึ่งละนะ อย่างที่สองคนที่ใช้เงินน้อยเวลาที่อยู่หัวเมืองน่ะ พอเข้ากรุงทีหนึ่งเขาก็ซื้อจ่ายกันอย่างขนานใหญ่ แล้วเขาก็หาว่าอยู่กรุงเทพฯ เปลืองเงิน ซึ่งแท้จริงน่ะ เวลาที่เขามากรุงเทพฯ เขาจ่ายเงินไปในทางที่ไม่จำเป็นทั้งนั้น ถ้าเขาจะไม่ซื้อไม่จ่าย​เขาก็ไม่ต้องใช้เงิน แต่ทำไมเขาถึงอดซื้ออดจ่ายไม่ได้ ก็เพราะเขาอั้นใจทนอยู่ทนกินอย่างคับแค้นมามาก พอเห็นทางที่จะฟุ่มเฟือยได้ก็โดดเข้าใส่ ทีนี้ว่าถึงคนอย่างแก ถ้าไปได้รับความลำบากอย่างเดียวกับเขา แกจะอึดอัดกว่าเขาหลายสิบเท่านัก พอถึงเวลาที่แกจะปล่อยตัวได้ แกก็จะปล่อยจัดยิ่งกว่าหลายสิบเท่าเหมือนกัน”

เมื่อเจริญหยุดพูดแล้ว บันลือนิ่งอยู่ขณะหนึ่ง ภายหลังจึงว่า

“สรุปแล้วก็คือ แกแน่ใจเหลือเกินว่ากันไม่มีปัญญาที่จะแก้ไขข้อเสียต่าง ๆ ที่แกอธิบายมาทั้งหมดนี้เป็นอันขาด ?”

“ไม่ใช่” สหายของเขาตอบ “ปัญญาน่ะมี แต่ความอดทนนั่นแหละ มันจะไม่พอกับปัญญา คนที่เคยสบายเสียแล้ว แล้วก็ยังมีหนทางที่จะหาความสบายได้ ไม่มีหรอกที่จะบังคับตัวให้ทนลำบากได้นาน แล้วคนที่มีนิสัยดันทุรังอย่างแกทำอะไรต้องทำให้ได้ด้วยละก็ พอพบอุปสรรคเข้าหน่อยแกก็จะหน้ามืดฮึดเข้าใส่ มีเงินเท่าไหร่แกจะทุ่มเทลงไปแก้อุปสรรคให้หมด ในที่สุดก็จะถลำลึกจนถอนไม่ไหว คนธรรมดาที่แส่ไปทำการค้าขายยังมีข้อเสียอีกอย่างหนึ่ง กันจะบอกให้ คือมักจะเอาเงินที่​ตัวขายของมาได้นั่นแหละ ไปใช้ในเรื่องการกินการอยู่เสียหมด ลืมคิดว่าไอ้นั่นเป็นเงินทุนที่ตัวเอาของไปแลกมา ถ้าตัวต้องการจะได้ของมาขายอีก ก็จะต้องเอาเงินทุนอันนั้นกลับไปแลกของ พูดสั้น ๆ ก็คือ นักการค้าโง่ ๆ พวกนี้มันจะเผลอกินทุนของตัวเองเสมอ ลงท้ายทุนหมด ไอ้งานก็ล้ม อย่างแกอาจจะฉลาดกว่านั้นนิดหน่อย เพราะแกก็เรียนเศรษฐศาสตร์มาออกหรูหรา แต่ไอ้โรคมุกับไอ้โรคสำรวยของแก มันก็เป็นโรคที่ร้ายไม่น้อยไปกว่าโรคโง่ของคนอื่น”

เจริญหยุดพูดแล้ว ก็ตั้งหน้าจิ้มปลาใส่ปากซ้อน ๆ กัน ๓–๔ คำอย่างรวดเร็ว คล้ายกับว่าเขาไม่แยแสเลยว่าจะมีผู้ใดเอาใจใส่ฟังคำพูดของเขาหรือไม่ บันลือถอนสายตาจากหน้าเขามามองดูจิตรา ก็เห็นเจ้าหล่อนกำลังถอนสายตาจากหน้าสามีมองมาทางบันลือเหมือนกัน ทั้งสองหัวเราะแล้วขยับปากจะพูด แต่แล้วก็ชะงักไปด้วยกัน และต่างฝ่ายต่างรับประทานอาหารต่อไปพร้อมกับที่อมยิ้มอยู่ในหน้า

การที่เขาทั้งสองทำอาการคล้ายคลึงกันเช่นนี้ก็เพราะเขามีความรู้สึกตรงกันอย่างอย่างไม่คลาดเคลื่อน กล่าวคือ เขามีความเห็นว่าคำพูดของเจริญเต็มไปด้วยเหตุผลอันควรแก่การ​พิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน แต่วิธีที่เจริญกล่าวเหตุผลเหล่านั้นแสดงความเชื่อมั่นเอาอย่างจริงจังว่า บันลือจะหลีกเลี่ยงจากทางเสียไปไม่พ้น ทำให้เป็นข้อที่น่าขันอยู่ไม่น้อย จิตราขัน เพราะว่าบุคคลที่มีนิสัยทิฐิดื้อดึงและถือดีเช่นบันลือ มานั่งฟังคำประมาทเช่นนี้อยู่ได้ ส่วนบันลือขันเพราะนึกถึงว่าจะหามนุษย์ที่เกรงใจมนุษย์ด้วยกันน้อยเหลือเกิน เช่นเจริญนี้ จะหาอีกไม่ได้เป็นแน่แท้

เมื่ออาหารที่ประกอบขึ้นด้วยปลาหมดไปแล้ว จิตราวางซ่อม จิบเหล้าองุ่น แล้วเช็ดปากพลางพิจารณาดูสามี เขาเป็นผู้ที่ทำให้หล่อนต้อง ‘ใจหายใจคว่ำ’ บ่อยอยู่สักหน่อย เพราะเหตุที่เขากล้าแสดงความเห็นของเขาในทางร้ายเกี่ยวแก่บุคคลทุกคนต่อหน้าต่อตาบุคคลผู้นั้น แต่เขาเป็นผู้ที่ไม่เป็นภัยแก่ผู้ใดเลย เขาเป็นชายที่ไม่มีรูปโฉมเป็นเสน่ห์แก่ตา หน้ากร้าน ผิวดำ—ถ้าจะเปรียบกับชายที่นั่งอยู่ข้างเขาแล้ว ก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน แต่เขาเป็นชายที่ซื่อและตรง และเปิดเผย ดูง่าย โดยนัยนี้เขาเป็นผู้ที่เอาใจง่ายอย่างที่สุด นิสัยเหล่านี้เป็นที่ต้องใจจิตรา หล่อนรักเขาก็เพราะเขามีนิสัยดังกล่าวนี้ และยิ่งรักมากถนอมน้ำใจมาก ห่วงใยเขามากยิ่งขึ้นทุก ๆ วันที่อยู่ร่วมกับเขา เพราะ​ว่าเขารักหล่อน ถนอมน้ำใจหล่อน ห่วงใยในหล่อนโดยไม่จืดจาง

“ดำแต่นอกในแผ้วผ่องเนื้อนพคุณ ?” กล่าวแล้วบันลือก็หัวเราะคัก ๆ อยู่ในคอ

จิตราหันมามองดูเขา หล่อนหัวเราะ และขมวดคิ้วและค้อนอยู่ในที “ว่าใคร ?” หล่อนถาม

“อะไรว่า ! สรรเสริญนะขอรับ”

“นั่นแหละ สรรเสริญใคร ?”

เขาหัวเราะหนักขึ้น ก่อนที่จะตอบว่า “มีอย่างรึนั่งจ้องอยู่ได้ ไม่นึกมั่งว่าคนอื่นเขาจะอิจฉา”

เจริญเงยหน้าขึ้นจากจานอาหาร และถามขึ้นอย่างไม่เอาใจใส่ต่อเรื่องที่สหายและภรรยาของตนพูดกันอยู่เลย แสดงให้เขาทั้งสองนี้รู้ว่า เจริญยังผูกใจในเรื่องที่เขาพูดจบไปเมื่อครู่ก่อน

“เวลาแกอยู่หัวเมืองแกเข้าป่าล่าสัตว์เดือนละกี่หน”

“ไม่แน่” บันลือตอบ “แต่บอกได้ว่าบ่อย”

“นั่นแหละ คือเหตุส่วนย่อยของความฉิบหาย –”

บันลือหัวเราะและขยับจะตอบ แต่จิตราชิงพูดขึ้นเสียก่อน หล่อนโบกมือไปมาและว่า

“เราฟังแต่เหตุของทางที่จะเสียมามากพอแล้ว เห็นจะต้องพูดถึงเหตุของทางจะได้บ้าง คุณบันลือเมื่อไหร่จะอธิบาย​โครงการของคุณให้เรารู้บ้าง ฉันเชื่อว่าเธอคงคิดเอาไว้ถี่ถ้วนหมดแล้ว”

“ในเรื่องของเขานี่น่ะ การคิดไม่สำคัญเท่าการทำ” เจริญกล่าว “แต่ไอ้ตรงจะทำนี่สิ –”

“ทำไม่ได้” บันลือต่อ แล้วหันไปทางจิตรา “ระวังนะ สักวันหนึ่งคุณจะกลายเป็นลูกสะใภ้ผม คุณภัสดาของคุณพนันกับผมไว้ว่า ถ้าใน ๓ ปีต่อไปจากนี้ การงานของผมใหญ่โตขึ้นเป็นผลดี เขาจะเรียกผมพ่อทุกคำ”

จิตราหัวเราะคิก แล้วว่า “โธ่ ! อะไรก็ไม่รู้ แต่ก็ดีเหมือนกันแหละ ได้บันลือเป็นพ่อผัวฉันเชื่อว่าเธอต้องรักลูกสะใภ้อย่างฉัน”

“โอ แน่นอน” เขาตอบเร็ว “คงจะรักเสียจนกระทั่งเกลียดลูกชาย”

จิตราทำหน้าอย่างหนึ่งแทนอุทานว่า “เอาอีกละ!” แล้วพูดต่อ “ไอ้ขอให้พูดน่ะไม่พูด ไถลไปไหนก็ไม่รู้ ช่างหวงแหนเสียจริง ๆ เทียวรึ ไอ้โครงการของคุณน่ะ ?”

เขาหัวเราะ แล้วตอบว่า “ไม่ใช่หวงหรอก แต่ถ้าคุยมากนัก ทีหลังทำไม่ได้เหมือนคุย ก็ขายหน้า อีกอย่างหนึ่งภัสดา​ของคุณยืนยันเอาเป็นนักหนาว่า โครงการนั้นจะเหลวในตอนปลาย ยิ่งทำให้ผมท้อถอยจนไม่อยากพูดถึงเสียเลย”

หล่อนเลิกคิ้วอย่างสงสัย พร้อมหัวเราะ แล้วว่า

“ถ้าฉันเชื่อคุณ ฉันก็โง่เต็มที มีรึ ใครห้ามอะไรคุณบันลือ แล้วทำให้คุณบันลือท้อ นิสัยของคุณน่ะใครยิ่งห้ามคุณก็ยิ่งอยากทำต่างหาก ถ้าเผื่อคุณท้อจริงคุณก็หาบอกให้ใครรู้ไม่ เพราะถ้าบอกก็เท่ากับคุณสารภาพว่าความคิดของคุณแพ้ความคิดคนอื่นเขา”

“นี่คือคุณสมบัติอีกอันหนึ่งที่คุณยกให้ผม ใช่ไหม ? ดื้อแล้วยังแถมหยิ่ง—”

“เพราะหยิ่งจึงดื้อ” จิตราแก้ “แต่คุณต้องเข้าใจว่าฉันไม่ได้ประมาทคุณว่าคุณจะทำงานไม่สำเร็จ ตรงกันข้าม ฉันเชื่อเหลือเกินว่าถ้าคุณตั้งใจแน่วแน่ลงไปแล้ว คุณจะต้องทำจนสำเร็จและสำเร็จอย่างดี อย่างรุ่งเรืองด้วย ความหยิ่งมักจะเป็นโทษแก่เราในเมื่อเรายังหนุ่มหรือยังสาวเกินไป เพราะเวลานั้นเรายังมีความรอบคอบไม่พอ แต่เมื่อเราอายุมากขึ้นแล้ว สายตาของเรายาวขึ้น ความรอบคอบของเราก็มากขึ้น ความหยิ่งของ​เราแปรรูปเป็นความรักหน้ารักถ้อยคำ แล้วก็ช่วยให้เรามั่นคงในความตั้งใจต่าง ๆ ของเรา”

เขายิ้มน้อย ๆ วางมือจากซ่อมและมีดพาดไว้กับขอบโต๊ะ แล้วถามหล่อนว่า

“คุณอายุเท่าไรแล้ว คุณจิตรา ?”

“นี่บันลือลืมอายุฉันหรือลืมอายุตัวเอง” หล่อนถาม

เขาตอบพร้อมกับหัวเราะ “คุณแก่กว่าผม ๓ ปี ถูกแล้ว ผมลืมอายุของผมเองจริงนะ นี่ผมอายุเท่าไรแน่ ?”

“คุณ ๓๑ เต็มเมื่อ ๑๑ กุมภาที่แล้วมา ฉันคิดถึงคุณตลอดวัน แต่ไม่รู้ว่าจะส่งความคิดถึงไปให้คุณได้ที่ไหน ถามถึงอายุของฉันทำไม ? จะชมว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ขึ้น หรือจะหาว่าฉันแก่เฒ่า”

“ถึงจะแก่ก็แก่ขึ้นขอรับ ไม่ใช่แก่ลง ผมเห็นว่าทุก ๆ สิ่งที่เป็นคุณ มีแต่จะขึ้นไม่มีวันลงเป็นอันขาด”

หล่อนหัวเราะแล้วนิ่วหน้า แล้วส่ายหน้าพลางว่า

“ทำไมถึงสามารถในทางหาเรื่องยอนักนะบันลือนี่ ฉันอยากรู้ว่าทำไมถึงไม่มีใครเขาจ้างเธอไปเป็นทูต จะได้—”

“คำอื่น ๆ” บันลือขัดขึ้น “คุณจะหาว่ายอก็ตามใจเถอะ แต่คำหลังนี้ผมขอร้องให้เชื่อว่าเป็นคำชม ไม่ใช่ยอมิได้ เป็น​ความจริง ตั้งแต่ผมรู้จักคุณมาอะไร ๆ ในตัวคุณมีแต่เจริญขึ้น ไม่มีเสื่อมทรามลงเลย — จริงไหม เจริญแกเห็นด้วยไหม”

“เห็นด้วย เห็นด้วยมาก ๆ” เจริญตอบ “อ้วนก็อ้วนขึ้น ตะกละตะกละขึ้น”

ทั้งบันลือและจิตราต่างหัวเราะ เจ้าหล่อนพูดว่า “ดีจริง สามีฉัน ! สามารถเหมือนกัน สามารถในทางเอาความจริงออกมาตีแผ่ให้มันน่าเกลียดยิ่งกว่าที่มันน่าเกลียดอยู่แล้ว เธออย่าไปเชื่อเขานะ บันลือ ที่ว่าฉันตะกละขึ้นน่ะ ฉันเพิ่งตะกละเมื่อ–เมื่อ ๒ เดือนมานี่แหละ แปลกเหลือเกิน คราวก่อนก็ไม่เคยเป็นอย่างนี้ แต่ไอ้เรื่องอ้วนนี่แหละช่วยไม่ได้ เจริญอยากเลี้ยงฉันดีเกินไปทำไมล่ะ ?”

“น่าชื่นใจแท้ ๆ” บันลือว่าพลางมองดูเจริญ “แต่ลูกคนใหม่นี่เห็นจะเป็นลูกพ่อมากกว่าลูกแม่”

“ทำไม ?” สามีภรรยาถามขึ้นพร้อมกัน

“เป็นนักกินน่ะซี”

“จริงด้วย” จิตรารับพลางหัวเราะ “มันช่างตะกละแท้ๆ อย่างวันนี้ฉันมีหน้าอุตส่าห์มากินเลี้ยงของคุณ ก็เพราะความที่อยากกินกับข้าวฝรั่งรสแปลก ๆ เสียเหลือเกิน แต่ให้ฉันถาม​หน่อยได้ไหม ถ้าฉันไม่มาขัดคอคุณเสีย คุณจะไปทำอะไรที่ไหนกัน ?”

“ไปไหน!” เจริญทวน “ก็คงนั่งแช่เหล้าอยู่จนกระทั่งบ๋อยมันมาไล่”

“แล้วจะพูดเรื่องอะไร ?” หล่อนซักอีก

“ใครจะไปรู้ไม่ได้คิดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้านี่”

“ถ้าโปรแกมมีอยู่แต่เพียงจะนั่งแช่เหล้าละก็ฉันเห็นจะไม่เป็นตัวนิวแซนที่ใหญ่นักหรอก จริงไหมบันลือ ?”

“สำหรับผมไม่มีปัญหา ผมบอกคุณตั้งแต่แรกแล้วว่าเพื่อคุณละก็ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งไปกว่า แต่สำหรับเจริญผมไม่ทราบ”

สามีของจิตราหัวเราะหึ ๆ “ทั้งล่อทั้งชนเทียวนะ” เขาว่า “เอาดีใส่ตัวแล้วอย่าเอาชั่วใส่คนอื่นเขาสิ เรื่องยังไม่ถึงคอขาดบาดตายสักทีนี่นา”

“ยังงั้นรึ?” บันลือถาม “กันนึกว่ามันถึงแล้วในโลกนี้แกกลัวใครยิ่งไปกว่าคนที่แกรัก ?”

“แต่เจริญไม่กลัวฉันหรอกค่ะ” จิตราตอบ “เราต่างคนต่างไม่กลัวกัน”

​“เป็นบุคคลตัวอย่างด้วยกันทั้งคู่หรือขอรับ ? เห็นจะเป็นคู่ที่เทวดาอุ้มสม ตั้งแต่แกเกิดมาแกทำกุศลอะไรมั่งเจริญ แกถึงมาได้คุณจิตราเป็นภรรยา”

“เขาได้กันต่างหากล่ะ” เจริญตอบ “กันได้เขาเมื่อไหร่”

จิตราทำท่าฉงน “เอ๊ะ มันผิดกันยังไง ?” หล่อนถาม

“แปลว่าเขาเป็นม้าตัวทองของคุณน่ะสิ คือเขาเกิดมาคู่บารมีคุณ ไม่ใช่คุณเกิดมาคู่บารมีเขา”

“อุ๊ยตาย !” เจ้าหล่อนอุทานเสียงแหลม “สามีฉันมีเม็ดมีก้านขึ้นมาก จนภรรยาตามไม่ทัน เห็นจะเป็นที่ได้อาจารย์ดี”

“อย่างน้อยที่สุดคุณต้องรับว่าเขาเป็นศิษย์ที่หัวไวพอใช้”

“อ๋อ รับซี ไวมาก จนภรรยาตามไม่ทันยังไงล่ะ แต่ครูก็ต้องดีด้วยลูกศิษย์ถึงได้ไปเร็ว น่าจะหาอะไรบูชาครูสักอย่างหนึ่ง”

“โอ ไม่ต้อง เพียงแต่หัดให้ผมเป็นม้าตัวทองเหมือนเขาก็พอแล้ว”

“แกมีคนขี่แล้วรึ ?” เจริญถาม

“เฮ้ย เปล่ายังไม่มี หัดเตรียมไว้ก่อน หัดดีแล้วถึงค่อยหาคนขี่ ให้คุณจิตราหาให้”

​“โอ๊ย อย่าเลย ฉันไม่รับประทานหรอก ม้าบันลือนี่น่ะ ใครจะเป็นคนขี่อยู่ จ้างให้—”

“โธ่” อีกฝ่ายหนึ่งทำเสียงออด “คุณช่างไม่เชื่อความสามารถของภัสดาคุณเสียเลยเทียวรึ”

“ไม่เชื่อ—” จิตราตอบ

เจริญพูดสวนขึ้นว่า

“กันจะหาคนขี่ให้เอง เอาไหม ? กันมองเห็นอยู่แล้ว”

บันลือทำท่าอึ้ง “เหมือนคุณจิตราไหม บอกมาก่อน –?” เขาถาม

“อุ๊ย !” จิตราอุทาน “ก็คุณน่ะเหมือนเจริญไหมล่ะ ?”

“ก็ผมจะตั้งใจหัดให้เหมือนเขายังไงล่ะ”

“จ้างก็เหมือนไม่ได้—ใครคะเจริญ ที่เธอมองเห็นอยู่แล้ว ?”

“เด็กของเธอยังไงล่ะ”

“เด็กคนไหน เด็กที่ไหน ?”

“ยายภรน่ะ”

“อ๋อ ! อุ้ยตาย ไม่ไหว ! แกเด็ก—แต่สวยนะ บันลือ เด็กคนนั้นสวยมากทีเดียว”

“อายุเท่าไหร่ ?” บันลือถาม

​สามีภรรยามองดูตากัน แล้วต่างฝ่ายต่างแสดงว่าจนต่อปัญหานี้ จิตราพูดว่า

“จำไม่ได้ แกเคยบอกนะ แกเกิดปีอะไร เดือนอะไร แต่ไอ้หัวของฉันน่ะมันมีแต่ขี้เลื่อย ท่าจะสัก ๑๘ กำลังสวยพริ้ง แต่กลัวจะขี่ม้าบันลือไม่ไหวเท่านั้น—ไม่ไหวหรอก ไม่ไหวแน่ ๆ—แหม ที่จริงเจริญคิดดีนะ ฉันรักของฉันเหลือเกินเด็กคนนี้”

“ฟังคุณจิตราพูดแล้วผมอยากรักด้วยจริง” บันลือกล่าว “คุณรับแกเป็นศิษย์เสียด้วยสิขอรับ ส่วนผมก็เป็นศิษย์เจริญ แล้วจะได้ไปกันได้ดี” แล้วเขาก็หัวเราะ

จิตราค้อนให้แล้วว่า “น้ำเสียงของคุณน่ะมันไม่ใช่เสียงของคนที่จะยอมเป็นศิษย์ มันบอกอาการท้าทายว่าลองมาหัดให้ได้หน่อยเถอะ ของฉัน ๆ ว่าฉันหัดได้จริง ๆ ด้วย แต่เธอน่ะ อย่าว่าแต่จะยอมให้ใครขี่ พอได้กลิ่นเธอก็เตะหน้าเตะหลังเสียก่อนแล้ว”

บันลือทำหน้าวิตก “ทำไมนะคุณถึงได้เห็นผมเป็นคนร้ายกาจเสียจริง ๆ” เขาพูดเสียงอ่อน “จนผมยอมเป็นศิษย์ภัสดาคุณแล้วนี่นา !—ถ้าคุณไม่เชื่อความสามารถของเจริญ กลับกันเสียเป็นยังไง แทนที่ผมจะเป็นม้า—”

​“ให้ผู้หญิงเป็น ?” จิตราต่อ “นี่ยังไง ! ใจจริงออกมาแล้วยังไง คนอย่างคุณบันลือน่ะรึ จะยอมเป็นม้าให้ใคร เรื่องของคุณบันลือ ก็ต้องขี่คนอื่นน่ะซีถึงจะถูก”

ชายหนุ่มส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง “คุณทำผมเหงื่อแตกเสียแล้ว คุณจิตรา” เขากล่าว “เราย้ายที่ออกไปกินกาแฟกันข้างนอกเถอะ ในนี้มันร้อน จะทำให้ผมเป็นลมเร็วเข้า”

หล่อนหัวเราะคิก ๆ หยิบผ้าเช็ดมือจากตักวางบนโต๊ะ บันลือก็รีบลุกจากที่เพื่อจะช่วยเลื่อนเก้าอี้ให้หล่อน

 
73



นรชนผู้เลี้ยงมารดาบิดา มีปกติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล กล่าวถ้อยคำไพเราะ อ่อนหวาน ละวาจาส่อเสียด ประกอบในอันทำจัดความตระหนี่ มีวาจาสัตย์ ข่มความโกรธได้—ชื่อว่าสัปบุรุษ

 


บันลือกลับมาถึงที่พัก คือที่บ้านคุณนายลำดวนผู้เป็นยาย เวลา ๑๔ นาฬิกาเศษ จอดรถไว้ในที่ร่ม หยิบของที่วางอยู่ข้างตัว มีหีบห่อและขวดล้วนแล้วแต่เป็นที่บรรจุยาและอาหารสำหรับคนป่วย แล้วลงจากรถเดินไปที่ตึก

แต่พอก้าวขึ้นบันได บันลือขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกสะดุดใจและฉุนเฉียว—เสียงฝีเท้าคนดังสนั่นหวั่นไหวอยู่เหนือศีรษะ แล้วเจ้าของฝีเท้าก็แสดงตัวให้รู้ว่าตัวเป็นใคร โดยวิธีส่งเสียงอันเต็มไปด้วยลักษณะโมโหดังเท่ากับเสียงฝีเท้า

“อีบ้า หาความเขา เขายังไม่เห็นสักหน่อย เฮ่อ”

อีกเสียงหนึ่งว่า “หนอย พ่น อย่ามาพ่นเลย เอาของหนูไป หนูรู้”

​เสียงแรกตอบ “อีผี มุกสะบั้นเลย—” เสียงส้นเท้ากระแทกพื้นและเสียงดิ้น “เอ บอกแล้วว่าไม่มี ๆ เดี๋ยวเตะให้หมาเฉือมเสียเลย”

บันลือแลไปทางห้องที่หญิงผู้เป็นยายนอนอยู่ เขารู้ว่าเสียงแสดงโทสะของเขาจะทำให้คุณยายอกสั่นหนักยิ่งกว่าเสียงอื่นใดในโลก เขายั้งปากไว้ไม่ใช้เสียง แต่จะยั้งมือยั้งเท้าพร้อมกับยั้งปากหาได้ไม่ วางของลงบนพื้นตรงหน้าด้วยกริยาแรงเกือบเท่าโยน แล้วสาวเท้าขึ้นบันไดไปชั้นบนโดยเร็ว

ในใจของเขากำลังมีความอยากที่จะจับคู่วิวาททั้งสองโยนลงไปจากตึกพร้อมกัน แต่เมื่อร่างกายของเขาปรากฏแก่เด็ก เด็กหญิงร้องขึ้นอย่างปิติยินดี “คุณพ่อมาแล้ว” ส่วนเด็กชายผู้กำลังชกและเตะหญิงผู้ใหญ่คนหนึ่งอยู่เป็นพัลวันก็หยุดชกหยุดเตะ สีหน้าแสดงความโมโหเปลี่ยนเป็นสีหน้าอันแจ่มใส โมโหในใจบันลือก็ดับลงไปสิ้น

อย่างไรก็ตาม เขาพูดด้วยเสียงกระด้าง “ลูกฉันรึ ทำไมถึงเลวอย่างนี้ กิริยาก็หยาบ ภาษาก็ต่ำ ใครพาแกมาที่นี่ ฉันไม่เห็นอยากได้เลยลูกเลว ๆ อย่างนี้”

หญิงผู้ใหญ่รีบจัดเสื้อผ้าที่ยุ่งไปเพราะเหตุที่ได้ปลุกปล้ำกับเด็กชาย ส่วนปากก็พูดอย่างร้อนรน

​“คุณก้องเธอว่านมหรอกนะคะ ไม่ได้ว่าคุณน้อง”

เห็นสายตาที่บันลือมองมายังตน ไม่คลายลักษณะขุ่นมัวลงบ้างเลย ทั้งบันลือได้หันหลังกลับลงบันไดไป โดยไม่ตอบว่ากระไรด้วย นางพวงก็นึกโกรธขึ้นบ้าง มองดูเด็กทั้งสอง พลางนินทาบิดาของเด็กอยู่ในใจ “เจ้าโมโหโทโสเหมือนใครล่ะ ก็เหมือนคุณพ่อน่ะเอง” ขยายชายพกแล้วนุ่งใหม่ให้กระชับขึ้น ใจก็นึกถึงมันถือเมื่อครั้งยังเล็กเท่ากับบุตรชายของเขาในเวลานี้ ในเวลาที่โมโหเพราะอยากได้สิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วไม่ได้ดังใจ บันลือก็เคยยื้อยุดผ้าห่มของนมพวง ทั้งยังอ้าปากตะโกนจนสุดเสียงให้นม “เอาผ้ามา หนูจะเอาผ้า หนูไม่ให้นมห่มผ้า” เมื่อเป็นเช่นนี้ ไฉนคุณบันลือจึงมาทำท่าโกรธลูกเพราะเหตุทำอำนาจด้วยความโมโหเล่า ?

บันลือสวนทางกับหญิงคนใช้ประจำตัวคุณนายลำดวนที่เชิงบันได หญิงนั้นแจ้งแก่บันลือว่า “ท่านให้ไปดูว่าใครทะเลาะกันข้างบน”

เขาตอบแก่คนใช้ว่า “ไม่ต้องไปดูหรอก ไปขนของหน้าตึกเข้าไปในห้องคุณยาย”

เมื่อเขาเข้าไปในห้องคุณนายลำดวน เจ้าของห้องต้อนรับเขาด้วยสีหน้าและแววตาแสดงความยินดี แล้วกล่าวเป็นเชิงถาม

​“มาพอดีได้ตัดสินความ ?”

เว้นระยะนิดหนึ่ง แล้วหญิงชราพูดสืบไป

“นังพวงมันเต็มที ไม่เป็นเรื่องเป็นราว ขัดใจไอ้ที่ไม่ควรขัด แล้วบทมันจะตามใจขึ้นมา ไม่ว่าจะเอาอะไร มันปล่อยให้เสียหมด เมื่อมันเลี้ยงพ่อปุ๊มันก็เป็นอย่างนี้ ถึงลูกพ่อปุ๊มันก็ไอ้อย่างนี้อีกน่ะแหละ”

บันลือรู้ว่าคำปรารภนี้ไม่ยุติธรรมแก่นางพวง และรู้ด้วยว่าบรรดาผู้ที่เคยตามใจเด็กมาแล้ว น่าจะไม่มีใครเคยตามใจเด็กคนไหน ยิ่งกว่าที่คุณยายของเขาเคยตามใจเขาผู้เป็นหลานรักอย่างสุดสวาทขาดใจของท่าน เหตุที่ทำให้เขารู้ความจริงอันนี้ได้นั้น เป็นเพราะว่าตั้งแต่เล็กจนรุ่นหนุ่ม เวลาแห่งการเติบโตของเขาได้แบ่งแยกออกเป็น ๒ ส่วน ตามความต้องการของคุณยายและคุณย่า กล่าวคือเด็กชายบันลือจะอยู่ในความเลี้ยงดูของคุณยายสัก ๒–๓ สัปดาห์ แล้วก็ย้ายไปอยู่ในความเลี้ยงดูของคุณย่า แล้วก็ย้ายกลับมาอยู่ในคุณยายเสียอีก ๒–๓ สัปดาห์ สลับกันดังนี้เรื่อย ๆ ไป และตลอดเวลาที่กล่าวแล้ว ทุกครั้งที่เด็กชายบันลือย้ายตัวเองจากผู้เลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งไปยังผู้เลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่ง เขาย่อมจะได้ยินฝ่ายที่เขาอยู่ด้วยนินทาฝ่ายที่เขาพึ่งละมาเป็นนิจ คุณย่ามักจะบ่นว่า “เจ้านี่มันโตขึ้นมันจะเป็นยังไง้ มันมิเหยียบ​คอคนหักหมดรึ แต่เดี๋ยวนี้มันยังเป็นยังงี้ เอาอะไรจะเอาให้ได้ทันใจ แม่ลำดวนแกตามใจหลานจนน่าหมั่นไส้” ส่วนคุณยายก็มักจะบ่นว่า “แม่อ่อนแก่หัดเด็กให้โมโหร้าย เวลามันจะเอาอะไรควรจะให้ได้ก็ไม่รีบให้ ๆ ไปเสีย ต้องให้โมโหเสียก่อนถึงจะให้ ทีนี้เด็กก็เคยตัว จะเอาอะไรสักนิดหนึ่งก็ต้องแผลงฤทธิ์ ไม่ยังงั้นกลัวจะไม่ได้” แต่ด้วยน้ำใสใจจริง บันลือรู้ว่า คุณย่าและคุณยายของเขาย่อมจะช่วยกันตามใจเขาไม่มากไม่น้อยกว่ากัน ท่านทั้ง ๒ นี้เป็นคู่มิตรที่รักใคร่สนิทสนม และเอาใจซึ่งกันและกันยิ่งนัก ความเห็นของท่านในเรื่องต่าง ๆ สอดคล้องต้องกันอยู่เสมอ เรื่องการเลี้ยงดูเด็กชายบันลือ เป็นเรื่องเดียวที่ทำให้ท่านติเตียนกันและกันในเวลาลับหลัง และตามความจริงนั้นแม้แต่ในเรื่องนี้เอง ความแตกต่างระหว่างท่านทั้งสองก็มีอยู่แต่เพียงว่า คุณย่าเคยตีบันลือบ้างเป็นการลงโทษ เพราะคุณย่าเป็นผู้ที่มีโมโหร้ายอยู่ ส่วนคุณยายนั้นไม่เคยลงโทษบันลือโดยวิธีหนึ่งวิธีใดเลย

โดยไม่ตอบคำปรารภของคุณยาย บันลือถามขึ้นว่า

“บ้านไหนเอาเด็กมาส่งไว้?”

​คำถามนี้มีความหมายว่า บุตรทั้งสองของผู้ถาม มาจากบ้านไหนในจำนวน ๓ บ้าน คือบ้านของบันลือเองซึ่งมีพี่สาวใหญ่ดูแลอยู่บ้านหนึ่ง หรือบ้านของมรกต กับบ้านของไพฑูรย์ ซึ่งเป็นน้องสาวของบันลืออีก ๒ บ้าน

คุณนายลำดวน ตอบว่า “ยายให้เขาเช่ารถไปรับมาเองแหละ พอมาถึงได้สักครู่ ยายไล่ให้แกขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเสียให้สบาย นางพวงไปทำท่าไหนกับแกก็ไม่รู้ เลยเอ็ดตะโรกันใหญ่”

“พี่น้องวิวาทกันน่ะครับ แล้วนมแกก็ไม่มีปัญญาจะห้ามคุณยายไปรับมาจากบ้านไหนครับ”

“เจ้าเส็งไปรับมาจากบ้านอาเล็ก ทำไมจ๊ะ ?”

“คือว่าผมไปแวะที่บ้านแม่กลางมา เขาว่าไพฑูรย์ไม่สบายเป็นไข้ ผมนึกถึงเด็ก ๆ อยู่แล้วกลัวจะกวนอาเขาเวลาที่เขาเจ็บไข้ คิดว่าเย็นวันนี้จะโทรศัพท์บอกพี่มุกดาให้ช่วยรับกลับไปไว้บ้านเสียที เมื่อคุณยายไปรับมาเสียก่อนก็ดีแล้ว”

ในเวลานั้นเอง คนใช้ผู้ได้รับคำสั่งจากบันลือให้ไปขนของที่เขากองไว้ ก็เข้ามาในห้อง มีลูกชายหญิงของบันลือแข่งหน้าแข่งหลังกันเข้ามาด้วย และพยายามจะแย่งของที่คนใช้ถืออยู่นั้น ต่อเมื่อมองสบตาบิดา อาการยื้อแย่งจึงค่อยเพลาลง แม้กระนั้น​เด็กชายก็ยังคว้าเอาหีบขนมปังไปถือไว้ได้ ส่วนเด็กหญิงนั้นปล่อยถุงหนึ่งในมือให้คนใช้ตามเดิม

บันลือเปิดหีบและแก้ห่อเพื่อให้คุณยายดูของที่อยู่ภายใน คุณยายแสดงความปิติยินดีตอบแทนความเอาใจใส่ของเขา แล้วท่านหยิบขนมปังอย่างดี ซึ่งบันลือซื้อมาสำหรับท่านโดยเฉพาะ ส่งให้แก่เหลนน้อย ๆ ของท่านคนละ ๒ ชิ้น และมองดูเด็กทั้งสองรับประทานอาหารอันมีราคาแพงนั้นด้วยสายตาแสดงความสุขใจ ภายหลังท่านเล่าอาการภายในของท่าน ตามที่ท่านรู้สึกเมื่อเวลาที่รับประทานอาหารแล้ว เล่าโดยละเอียดโดยถี่ถ้วน โดยยืดยาวตามอารมณ์ของท่าน ที่ต้องการความเห็นอกเห็นใจ และความพะเน้าพะนอจากหลานชายสุดที่รัก บันลือก็ฟังด้วยความตั้งใจอยากรู้อาการของท่านด้วย ฟังด้วยความตั้งใจจะเอาใจท่านด้วย แต่ถึงกระนั้นความตั้งใจของเขาก็ยังแพ้ต่อความเบื่อและความกังวลในเรื่องบางเรื่องในบางขณะ สมองของบันลือกำลังวุ่นอยู่ที่เด็กทั้งสอง และอาการที่เด็กเคี้ยวขนมพลางทำกิริยาหยุกหยิกและโต้เถียงกันไปพลางด้วยนั้นเป็นเครื่องรำคาญแก่ตาและแก่ใจบันลืออย่างที่สุด

​เด็กหญิงพูดว่า “คุณพ่อคะ ตาก้องน่ะนักจิกมือหนึ่งเลย—”

ยังไม่ทันจบประโยคเด็กชายก็ขัดขึ้น “ปล่าวครับ ปล่าว ผมปล่าวจริง ๆ ครับ คุณพ่อ มุกทั้งนั้นเลย ยายป่องน่ะ”

“อย่า อย่า อย่าเชื่อละ แกนะซีมุก เอาของเขาไปเขาเห็น”

“หยุดทีเถอะ” บันลือขัดเสียงแข็ง “ไอ้ภาษาที่แกพูดน่ะมันเหลือเกิน ฉันเป็นพ่อแกฉันยังฟังไม่เข้าใจ มนุษย์ที่ไหนเขาจะฟังแกรู้เรื่องฮะ”

“ยายป่องเขาว่าผมเอาดินสอเขาไปครับ—”

“ดินสออะไร ?” คุณยายลำดวนถาม “หนูเอาของน้องไปก็คืนให้น้องไปเสียซี”

“ผมปล่าวครับ ปล่าวจริง ๆ ยายป่องเอาไว้ที่ไหนไม่รู้แล้วมาว่าผม นมพวงเลยเล้งผมใหญ่”

“หนอยจีบ จีบอีกแล้ว อย่างเชื่อเสียนี่—”

บันลือร้องจุ๊ย๎อย่างแรงและว่า “เอ เด็กคู่นี้พูดอะไรอย่างที่คนธรรมดาเขาพูดกันไม่ยักเป็น ไปเรียนภาษาอะไรมาไม่ยักรู้” แล้วลุกจากที่นั่นไปยืนถอดเสื้อชั้นนอกอยู่ทางหนึ่ง

แต่สุภาพสตรีผู้เป็นยายของบันลือเข้าใจคำพูดของทั้งสองได้ดี ท่านค่อย ๆ ซักถามจนได้ความชัดว่าเด็กหญิงมีดินสอแท่ง​หนึ่ง ซึ่งเด็กชายบุตรของคนใช้ที่บ้านไพฑูรย์ได้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ บัดนี้ดินสอนั้นหายไป และเด็กชายก้องได้ถูกน้องสาวกล่าวหาว่าเป็นผู้ลักของนั้น

ในท้ายที่สุดเรื่องได้จบลงโดยคุณนายลำดวนสั่งให้คนใช้ไปซื้อดินสอดำมาให้แก่เหลนคนละแท่ง

แต่สำหรับบันลือ เรื่องนี้มิได้จบลงโดยง่าย เช่นที่กล่าวแล้ว แม้กระทั่งในเวลาบ่าย เมื่อบันลือนั่งอ่านหนังสือที่เกี่ยวด้วยวิชากสิกรรมอันเป็นวิชาที่เขากำลังสนใจเป็นพิเศษอยู่ในปัจจุบัน สมองของเขาก็หาได้แน่วแน่อยู่ในวิชานั้นไม่ ความคิดเรื่องลูกหญิงได้มารบกวนบ่อย ๆ ทำให้เกิดเป็นปัญหาขัดข้อง เป็นอริต่อความสงบและความเพ่งเล็งของเขาอย่างรุนแรง

คราวนี้มิใช่คราวแรกที่บันลือได้ถูกรบกวนโดยปัญหาเรื่องบุตรทั้งสอง แท้จริงบันลือได้ผจญกับปัญหานี้มาแล้วหลายครั้งหลายหน หากแต่ว่าเขายังไม่เคยรู้สึกถึงความสำคัญและความยากแห่งข้อปัญหาชัดเจนเหมือนคราวนี้เท่านั้นเอง

ลูกชายลูกหญิงของบันลือเป็นลูกแฝด กำพร้ามารดาตั้งแต่อายุได้ ๑๘ เดือน และเติบโตขึ้นมาในความดูแลของพี่สาวและน้องสาวของบันลือ ซึ่งในเวลานั้นยังเป็นโสด และอยู่ในความปกครองของบิดาทั้ง ๓ นาง ต่อมาเมื่ออายุของเด็กทั้งคู่​อยู่ในระหว่าง ๒–๓ ขวบ อาทั้งสองได้แต่งงาน และออกไปจากบ้านเกิดในระยะเวลาห่างกันไม่ถึงปี เด็กก็ได้ชื่อว่าอยู่ในความปกครองของป้าแต่คนเดียว

ต่อมาอีกเมื่อเด็กมีอายุย่างเข้า ๔ ขวบ มุกดาพี่สาวของบันลือได้ออกเรือนไปอีกคนหนึ่ง ในตอนนี้บันลือเริ่มรู้สึกถึงความยุ่งยากที่ลูกทั้งสองของตนเป็นต้นเหตุ เพราะเมื่อมุกดาย้ายจากบ้านท่านบิดาไปแล้ว ตำแหน่งแม่บ้านประจำบ้านนี้ ซึ่งมุกดาเคยครอบครองอยู่ในฐานะเป็นลูกสาวคนโต ก็เป็นตำแหน่งว่างหามีเจ้าหน้าที่ประจำไม่ นางยิ้มภรรยาน้อยของท่านเจ้าบ้าน ต้องการจะได้ตำแหน่งนี้เป็นกำลัง ก็พยายามที่จะทำกิจทุกอย่างที่มุกดาเคยทำอยู่ก่อน รวมทั้งกิจอันเกี่ยวด้วยการดูแลลูกชายหญิงของนายบันลือผู้เป็นลูกชายคนเดียวของท่านเจ้าบ้านด้วย

แต่การพยายามของนางยิ้มได้ถูกกีดกันขัดขวางอย่างรุนแรงโดยธิดาทั้งสามของผู้เป็นพ่อบ้าน สตรีทั้งสามนี้เกลียดการที่จะเห็นแม่เลี้ยงผู้อ่อนอายุ และเคยเป็นผู้มีฐานะเป็นคนใช้มาเป็นผู้ครองตำแหน่งแม่บ้านในฐานะเท่าเทียมกับมารดาของตนได้เคยครองเมื่อมีชีวิตอยู่ ก็ไม่ละโอกาสที่จะติเตียนว่ากล่าวแม่เลี้ยงทั้งต่อหน้าและลับหลังในทำนองที่จะ ‘กด’ แม่เลี้ยงไว้ในฐานะเดิม และเพื่อเหตุนี้ พี่น้องทั้ง ๓ นางได้ถือเอาวิธีการที่​นางยิ้มปฏิบัติต่อบุตรธิดาของบันลือ มีการควบคุมพี่เลี้ยงของเด็กทั้งสอง การอบรมตักเตือนเด็ก เป็นต้น มาเป็นเหตุส่วนหนึ่งสำหรับที่จะใช้ติเตียนแม่เลี้ยงอย่างรุนแรง เจ้าหล่อนอ้างว่านางยิ้มเลี้ยงเด็ก ‘ให้เป็นไพร่’ เพราะท่วงทีกิริยาของนางยิ้มส่อถึงฐานะเดิมของนางอยู่เสมอ นอกจากนี้ยังมีนางพวงซึ่งเป็นนางนมของคุณบันลือ!—ข้าเก่าของคุณหญิงหรือจะทนดู ‘คุณนายใหม่’ ชี้นิ้วอยู่เหนือตนได้ ? และนางพวงจะนินทาว่ากล่าว ‘คุณนายใหม่’ ด้วยเรื่องใดก็ไม่ถนัดเท่ากับเรื่องวิธีเลี้ยง ‘ลูกคุณปุ๊ของฉัน’ นางพวงพยายามที่จะทำให้หญิงผู้มีหน้าที่เลี้ยงเด็กชายก้องและเด็กหญิงป่องอยู่ในอำนาจของตน ส่วนางยิ้มก็ตั้งความพยายามไปในทางนี้ด้วยทั้งป้าและอาของเด็กก็ออกปากอย่างเด็ดขาดว่า ถ้าจะละให้เด็กอยู่ในอำนาจของนางยิ้ม จะเป็นภัยแก่เด็กทั้งทางสุขภาพและทางคุณสมบัติ แล้วทั้ง ๓ ฝ่าย ก็ปรารภแก่บันลือด้วยถ้อยคำต่าง ๆ กัน ล้วนแล้วแต่มีความหมายไปในเชิงว่า เด็กทั้งสองกำลังตกอยู่ในทางแห่งความเสื่อมเพราะเหตุที่ขาดผู้ดูแลอันดี

ความยุ่งยากทั้งนี้เป็นที่รำคาญแก่บันลืออยู่บ้าง แต่เมื่อเกิดรู้สึกความรำคาญขึ้นแล้ว เขาก็พิจารณาให้เห็นเรื่องรำคาญเป็นเรื่องขันไปเสีย บันลือถือว่าเรื่องลูกของเขาเป็นแต่เพียง​เหตุที่คู่ปรับทั้ง ๒ ฝ่ายสมมติกันขึ้นเพื่อนินทาว่าร้ายกัน ความสำคัญอันแท้จริงจะมีอยู่ในเรื่องนี้ก็หาไม่

หลังจากนั้นประมาณปีเศษ ท่านบิดาของบันลือสิ้นชีพลง บ้านของตระกูลตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่บันลือแต่ผู้เดียว ส่วนลูกหญิงรวมทั้งภรรยาน้อยและวงศ์ญาติของท่านผู้ตายต่างได้รับมรดกอันเป็นทรัพย์ส่วนอื่น ซึ่งบันลือได้จัดการให้เป็นไปตามพินัยกรรมโดยเรียบร้อย ภายในเวลา ๒–๓ เดือน และในระยะเวลาการจัดงานศพและงานแบ่งทรัพย์มรดกนี้ บันลือได้สำนึกถึงความหนักแห่งภาระของชายผู้ซึ่งจะต้องเป็นทั้งพ่อบ้านและแม่บ้านให้แก่ตัวเอง จึงขอร้องพี่สาวให้กลับเข้ามาอยู่ในบ้านเดิม เพื่อดูแลการบ้านแทนตัวเขา มุกดายินยอมด้วยความเต็มใจและสามีของหล่อนก็ไม่ขัดขวาง เพราะหลวงสำรวจ ฯ สามีของมุกดาก็มิใช่ใครอื่น นอกจากญาติสนิทคนหนึ่งของมุกดานั่นเอง หน้าที่การดูแลบ้านของบันลือก็ตกอยู่แก่มุกดาโดยตลอด ทำให้ปัญหาเรื่องผู้ปกครองเด็กชายก้องและเด็กหญิงป่องถึงที่สุดลงคราวหนึ่ง

แต่ในระยะเวลาอันใกล้เคียงกันนี้เอง ความคิดใหม่ได้เกิดขึ้นแก่บันลือ คือความคิดที่จะออกหัวเมืองเพื่อ ‘หากิน’ ดังที่เขาได้บอกแก่เพื่อนฝูงของเขา ตลอดอายุของบันลือที่ล่วงแล้วมา เมื่อต้องการจะทำสิ่งใดเขาย่อมจะได้ทำทุกครั้ง คราวนี้​เขาต้องการจะออกหัวเมืองเพื่อ ‘หากิน’ เขาก็ได้ทำตามความต้องการอีก และทำโดยมิได้บอกกล่าวหรือปรึกษาหารือผู้หนึ่งผู้ใดเลย

ในตอนต้น ๆ บันลือเที่ยวไปตามจังหวัดเหล่านั้นแห่งละ ๓–๔ วันบ้าง ๑–๒ สัปดาห์บ้าง จนถึงตอนหลังเมื่อเขาเริ่มงานของเขาอย่างจริงจังแล้ว เขาจึงพักอยู่ต่างจังหวัดคราวละนาน ๆ กลับเข้ากรุงเทพฯ เพียงเดือนละครั้งชั่ววันสองวัน เพื่อจัดธุระเกี่ยวกับผลประโยชน์ของเขา และของพี่น้องซึ่งเขามีหน้าที่จัดการโดยตรงแต่ผู้เดียว ในตอนนี้เองเขาเริ่มสังเกตเห็นว่า ลูกหญิงและลูกชายของเขาเป็นเด็กที่ไม่มีระเบียบ และขาดมารยาทอันควรแก่ลักษณะของเด็กผู้ดีหลายประการ

คราวหลังสุด ที่บันลือเกิดความรู้สึกในเรื่องนี้แรงมาก ก็คือคราวที่เขากลับเข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อพยาบาลคุณยายนั่นเอง คุณนายลำดวนพอใจที่จะได้ชมเชยเหลนน้อย ๆ พร้อมกับหลานสุดที่รัก ก็ขอร้องให้เด็กทั้งสองมาที่บ้านของท่านบ่อย ๆ และให้พักอยู่คราวละหนึ่งคืนบ้าง สองคืนบ้าง เป็นเหตุให้บันลือได้เห็นมารยาท และนิสัยของเด็กถนัดกว่าเมื่อเวลา ๖–๗ เดือนที่แล้วมาเป็นอันมาก

 

74



โปตริยะ บุคคลที่จำนวนนี้คือ บุคคลจำพวกหนึ่งกล่าวติคนที่ควรติ—แต่ไม่กล่าวชมคนที่ควรชม—บุคคลจำพวกหนึ่งกล่าวชมคนที่ควรชม—แต่ไม่กล่าวติคนที่ควรติ บุคคลจำพวกหนึ่งไม่กล่าวที่คนที่ควรติ ทั้งไม่กล่าวชมคนที่ควรชม—บุคคลจำพวกหนึ่งกล่าวที่คนที่ควรติบ้าง.... กล่าวชมคนที่ควรชมบ้าง — สี่จำพวกนี้ บุคคลจำพวกที่กล่าวติคนที่ควรติบ้าง กล่าวชมคนที่ควรชมบ้าง ตามเรื่องที่จริงที่แท้ตามการอันควรนี้ ชอบใจเราว่าดีกว่าสูงกว่า (บุคคลสามจำพวก) เพราะเหตุอะไร เพราะความเป็นผู้รู้จักเวลาในสถานนั้น ๆ เป็นการดี

 

ในขณะที่บันลือเดินตามผู้รับใช้ประจำโรงแรมจะไปนั่งยังโต๊ะอาหาร เขามองกวาดไปรอบห้อง จึงสบสายตากับชายผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังจะลงมือรับประทานอาหารอยู่เหมือนกัน ทั้งสองฝ่ายต่างแสดงกิริยาทักทายกันด้วยความยินดี ฝ่ายผู้ที่นั่งอยู่แล้วพยักเรียกผู้ที่กำลังเดิน และบันลือก็เดินตรงไปหาผู้ที่เรียกเขา ด้วยท่าทางแสดงความเต็มใจ

“มากินเหมือนกันไม่ใช่หรือ?” ฝ่ายหนึ่งถาม “มากินด้วยกันเถอะ” แล้วพูดต่อไปโดยไม่รอฟังคำตอบ “ไหนใคร ๆ เขาลือกันว่าแกไปอยู่ป่าอยู่ดงไม่ได้มากรุงเทพฯ ตั้งร้อยปีแล้วยังไงล่ะ ?”

​บันลือนั่งตรงหน้าเพื่อน ยิ้มพลางตอบว่า

“นี่ ทำเนียมฟังเขาว่าต้องเอา ๕ หาร แล้วจะได้ความจริง แต่นี่เอา ๕๐ หารแล้วก็ยังผิดลึก ที่จริงกันหายหน้าไปจากเพื่อนฝูงสักปีครึ่งเห็นจะได้”

“แหม มันก็นานเอาการอยู่ เพราะยังงั้น ๆ ใคร ๆ เขาถึงว่า ๑๐๐ ปี กันเองรู้สึกว่าไม่ได้พบแกนานกว่านั้นไปอีกนะ แล้วนี่แกกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“เกือบเดือน”

“อุบ๊ะ ตั้งเดือน แล้วไม่มีใครได้พบได้เห็นแกเลย ยังงี้เอง ใคร ๆ เขาถึงว่านายบันลือเป็นคนลึกลับเสมอ”

“ที่จริงน่ะ บันลือไม่ใช่ฆ้องปากแตกเหมือนคนที่ว่าเท่านั้นเอง กันกลับมาเพราะถูกเรียกตัวให้กลับ คุณยายท่านเจ็บ กระเพาะอาหารเป็นพิษ กันมาถึงแล้วก็มาเฝ้าท่านอยู่ทั้งกลางวันกลางคืน ไม่ได้โผล่ไปไหนเลย”

“อ้อ แล้วนี่ท่านเป็นยังไงบ้าง ท่าเห็นจะหายดีแล้ว แกถึงได้ออกเวรได้”

“จะเรียกว่าหายก็ได้แล้ว แต่ใจท่านยังไม่ค่อยดี ที่จริงหมอว่าท่านพ้นอันตรายมาตั้งอาทิตย์แล้ว แต่ท่านไม่ยอมให้กันออกห่าง กลัวจะกลับไม่สบายเวลากันไม่อยู่ กันสงสารท่านก็​เลยไม่ขัดใจ นี่วันนี้ทำใจแข็ง ทิ้งท่านมา เพราะเสียอ้อนวอนเสน่ห์ไม่ได้ เขาจะเอารถของกันใช้ กันไม่มีคนจะขับรถให้เขา เลยต้องใช้ตัวเองขับรถด้วย”

“อ้อ นี่แกมากับเสน่ห์เขาหรือ แล้วเขาไปไหนเสียล่ะ ?”

“เชื่อว่ากำลังเพลินอยู่กับแม่ยอดเสน่ห์ของเขา” บันลือหัวเราะ แล้วเล่าเรื่องที่ตัวเขาทำหน้าที่ขับรถจากที่ใดไปยังที่ใดบ้าง “นี่พอกินเสร็จกันต้องรีบไปรับเขาอีก เพราะต้องรีบไปส่งเจ้าหล่อนที่ ๆ ทำงานให้ทันบ่ายโมงพอดี” เขากล่าวในตอนท้าย

“เจ้าเสน่ห์มันก็เป็นเจ้าเสน่ห์ตามเคย” สหายของบันลือกล่าว “เวลาทำงานเสือกไปเที่ยวซื้อผ้ากับผู้หญิง คนใหม่ของมันนี่ชื่ออะไร ?”

“เขาเรียกของเขาว่ารา–”

“อ้อ ยังอยู่กับแม่อินทิรานั่นเองรึ เอ๊ะ คราวนี้เกาะได้นานจริงนะ”

“นานที่ไหน เอ! แกนี่ก็อยู่ในกรุงเทพฯ นี่ตลอดเวลา ทำไมจึงไม่ฉลาดกว่ากันเลย อินทิราน่ะเขาแต่งงานไปแล้ว คนนี้เขาชื่อสุทธิรา”

​“เฮ้อ ก็ใครจะไปจำของมันได้ ราใหม่นี้เป็นยังไง แหม ชื่อเพราะจริงแฮะ”

“ชื่อเพราะ แต่รูปร่างท่าทางมันก็ไอ้เห็ดราดี ๆ นี่เอง”

“ไอ้บ้า!” อีกฝ่ายหนึ่งบ่น “เกิดมาไม่เคยเห็นใครบ้าเหมือนไอ้เจ้าเสน่ห์คนนี้เลย แล้วแกก็ช่างบ้าพอให้มันจูงหูมาขับรถให้มัน เวลางานก็ไม่เป็นงาน ดันเอามาบำเรอแม่เจ้าประคุณเสียนี่ กันหวั่น ๆ ว่าวันหนึ่งมันจะถูกไล่ออกเป็นแน่”

เขาหยุดพูดยกขวดเบียร์ขึ้นจะรินให้ตนเอง แล้วก็ชะงักถามเพื่อนว่า “แกจะดื่มอะไรฮึ บันลือ ไอ้ในถ้วยของแกน่ะมันอะไร ?”

“ยิน–บิตเตอร์” บันลือตอบ “กันดื่มพอแล้ว” หันไปทางผู้รับใช้ “ขอน้ำเย็นให้ฉัน”

รวมซ่อมและมีดปลาไว้ในจานอาหาร ที่เขารับประทานหมดไปแล้ว บันลือพูดขึ้นว่า “กันยังไม่ได้ถามถึงแหม่มของแกเลยเจริญ สบายดีดอกหรือ?”

“ไม่ค่อยสบาย ลงพุงเสียอีกแล้ว”

“อีกแล้ว!” บันลืออุทานพร้อมกับหัวเราะ “แหม แกนี่มันช่างดกจริงนะ คนหลังของแกน่ะมันได้กี่เดือน สักสี่เดือนได้กระมัง กันจำได้ดูเหมือนมันออกเมื่อวานซืนนี่เอง”

​“เฮ้อ บ้าจริงแฮะจนจะเต็ม ๒ ขวบเดือนหน้านี่แล้ว คิดดูง่าย ๆ มันออกก่อนที่แกจะหายหัวไปจากกรุงเทพฯ แล้วแกหายไปสักกี่เดือน จริงนะ บันลือ แกไปอยู่ทำไมไอ้ที่เมืองบ้าของแกน่ะฮะ”

“กันบอกแล้วว่ากันไปหากิน”

“หากินทางไหน ? ทำนาบนหลังคน ! ระวังเถอะ เรื่องมันจะตรงกันข้าม คนมักจะทำนาบนหลังแก”

บันลือหัวเราะด้วยความขันอย่างจริงใจ ในคำพูดของสหายนั้น และตอบเร็ว ๆ ว่า “กันไม่ได้ทำนา กันทำไร่ทำสวน”

“เออ นั่นแหละยิ่งดีนัก หน้าใหม่ ๆ ยังงี้ !—กันเคยเห็นมาหลายคนแล้ว เอาเงินไปลงทุนทำไร่จะให้ไร่มันเลี้ยงตัว ลงท้ายไม่แต่มันจะไม่เลี้ยงมันกินตัว แล้วซ้ำมันยังกินลูกกินเมียกินพ่อกินแม่เสียด้วย”

บันลือขมวดคิ้วแล้วถามด้วยเสียงค่อนข้างกระด้าง “แกลองชี้ตัวไอ้คนโง่ ๆ อย่างที่แกว่ามาให้กันดูสักคนถี”

จากกระแสเสียงนี้ เจริญรู้ว่าบันลือมีความรู้สึกไม่พอใจ เพราะเหตุที่ถูกขัดคอ แต่เจริญเป็นผู้ที่ไม่ครั่นคร้ามต่อความโกรธของใคร ในเมื่อตัวเขาอยู่ในอารมณ์ที่จะแสดงความคิดเห็น​อย่างจริงใจของเขา เขาออกนามบุคคลที่เคยประสบความล้มเหลวในเรื่องที่กล่าวนี้ ๓ คน และอธิบายต่อไปว่า

“คนหนึ่งใน ๓ คนนี่ตายไปแล้ว ตายอย่างไม่มีอะไรเหลือไว้ให้ลูกให้เมียเลย อีกคนหนึ่งหลวงจำนงฯ จวนจะหมดตัวเหมือนกัน ดีแต่ยายเมียแกเก่ง อีกคนหนึ่งเคราะห์ดีหน่อยที่ยังหนุ่มมากเวลานี้ประจำแผนกอยู่ในกองของกัน เจ้าคนนี้เมื่อแรกกลับจากนอกก็อวดดี หยิ่งเหมือนแกยังงี้แหละ เกลียดราชการทำไม่ได้ไม่ให้ใครบังคับบัญชาต้องทำงานอิสระ ลงท้ายก็หนีราชการไม่พ้น”

บันลือรู้สึกว่าตนกับสหายจะต้องขัดใจกัน ถ้าหากเขาทั้งสองจะพูดกันถึงเรื่องเหล่านี้ต่อไปอีก ก็มองดูนาฬิกาข้อมือ แล้วเตรียมจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา เจริญสังเกตเห็นกิริยานั้นก็รีบพูดขึ้นว่า

“อย่างแกน่ะเรอะแกเป็นคนมีทรัพย์สมบัติมาก แกจะเอาไปพล่าเล่นเสียสักเท่าไรก็ได้ เพราะฉะนั้นแกอาจจะทู่ซี้ไปได้นานกว่าคนอื่น ถึงยังงั้นกันก็จะทายไว้ว่า อย่างช้าที่สุด ภายใน ๓ ปีต่อจากวันนี้แกจะไม่พูดถึงเรื่องทำไร่ทำสวนอีกเลย แล้วถ้าใครมาชวนแกพูด แกก็จะพาลเตะเขาเข้าด้วย”

​“เพราะว่ากันจะอายความเฟเลียของกันยังงั้นรึ?” บันลือถาม “ดีละ กันจะจำคำของแกไว้ แล้วถ้าเผื่อภายในสามปีนี้การงานของกันเป็นผลดี แกจะใช้หนี้ไอ้การปรามาสหน้าคนของแกวันนี้ด้วยวิธีไหน”

“กันจะเรียกแกว่าพ่อทุกคำที่กันพูดกับแก”

คำตอบนั้น ทำให้บันลือเห็นขันจนคลายความฉุน ลักษณะยิ้มจึงปรากฏในวงหน้า เมื่อเขาหยิบผ้าเช็ดมือจากตักวางไว้บนโต๊ะพร้อมกับลุกขึ้นยืนและพูดว่า

“กันต้องไปละ ได้เวลาพอดี—บ๋อยเอาบัญชีมาเซ็นเร็ว”

“ไม่ต้อง กันจะเซ็นเอง” เจริญว่า “กันเรียกแกมานั่งที่นี่เพราะตั้งใจจะเลี้ยงแก”

“ขอบใจ” บันลือตอบ “ฝากความระลึกถึงให้แหม่มของแกด้วย”

“ขอบใจ” และเมื่อสหายออกเดินแล้ว เจริญก็เรียกไว้อีก “เดี๋ยวก่อน บันลือ ขอพูดอีกคำเถอะ ถ้าแกมีเมียเป็นฝั่งเป็นฝาเหมือนพวกเรา ๆ นะ ไอ้เรื่องทำไร่ทำนาบ้า ๆ บอ ๆ นี่ จะไม่เกิดขึ้นในหัวของแกเลย—”

“ตรงกันข้าม—”

​“เดี๋ยวก่อน แกไม่ต้องตอบ กันต้องการให้แกฟังความเห็นของกันให้ตลอด เมื่อแกลงทุนเข้าไปแล้ว กันจะบอกวิธีหาผลสำเร็จให้ แกต้องหัดกินข้าวต้มกับกรวดแช่เกลือขั้ว นอนกับเสื่อบนกระดานแทนนอนที่นอนบนเตียง ถ้าแกทำได้อย่างนี้ ๕ ปี บางทีแกจะเป็นเศรษฐีเพราะการทำไร่”

บันลือใช้นิ้วมือเคาะโต๊ะ ๒–๓ ครั้ง สีหน้าแสดงอาการใช้ความคิด เมื่อเจริญหยุดพูดแล้ว เขาจึงว่า

“นี่แปลว่าแกก็รับรู้ว่าการกสิกรรมน่ะ เป็นทางหากินได้เหมือนกัน แต่แกดูถูกว่าคนอย่างกันทำไม่ได้ ใช่ไหมล่ะ ดีละ วันหลังพบกัน เราลองคุยถึงเรื่องนี้ดูอีกสักที วันนี้เวลาหมดเสียแล้ว”

แล้วบันลือก็ละจากสหายเดินไปขึ้นรถ

 

75



​ชนใดเป็นนักเลงหญิง เป็นนักเลงสุรา เป็นนักเลงเล่นเบี้ย

ย่อมทำทรัพย์ที่ได้มาให้พินาศ ข้อนั้นเป็นเหตุแห่งผู้ฉิบหาย

 

เจ้าหล่อนเดินผ่านเขาไปจากข้างหลัง ไปทางข้างหน้า

๓ คนแล้วก็ผ่านไปอีก ๒ อีก ๔ เพราะเหตุที่รถของเขาจอดอยู่ที่ริมบาทวิถี และตัวเขานั่งอยู่บนรถ เขาไม่ทันที่จะได้เห็นหน้าเจ้าหล่อนถนัด แต่เท่าที่เขาเห็นเจ้าหล่อนทางเบื้องหลัง เขารู้สึกว่าเขากำลังนั่งดูภาพที่ไม่ทำให้เสียดายสายตา—เป็นความจริง หญิงสาวรุ่นใหม่นี้มีลักษณะชวนแลมากกว่าสาวในสมัยก่อน–สมัยที่เขากำลังใฝ่ฝันอยู่ว่า ความรักของเพศหญิงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเพศชาย

เจ้าหล่อนกำลังจะผ่านเขาจากทางข้างหน้าไปทางข้างหลัง เขามีโอกาสดูหล่อนได้เต็มตา เจ้าหล่อนเดินมาเป็นคู่ ๆ ๓ คน ในจำนวน ๔ คนของเจ้าหล่อนนั้นมองดูเขา จนกระทั่งเขามีเวลาพอที่จะประสานสายตากับเจ้าหล่อนได้ถนัดทั้ง ๓ คู่ รู้สึก​ว่าคู่หนึ่งมีลักษณะท้าทายอย่างอาจหาญยิ่งกว่าคู่อื่น ลักษณะแห่งสายตานี้ทำให้เขานึกเอาใจใส่ว่าหล่อนคือใคร อยู่ที่ไหน แต่–เจ้าหล่อนเดินผ่านพ้นไปแล้ว เพื่อนร่วมเพศร่วมการแข่งดีของเจ้าหล่อนกำลังตามหล่อนมาทางเบื้องหลัง รถเก๋งใหญ่ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของ ได้เป็นเป้าแห่งสายตา ๓ คู่ใหม่อีกซึ่งแข็งกล้าไม่แพ้คู่เก่า ความจำโดยเฉพาะเจาะจงก็จางจากสมองของเขาไปด้วย เขาจำได้แต่ว่าเขาได้เห็นหน้าขาว ๆ ประกอบด้วยคิ้วโก่ง ตาดำ ปากแดง หลายหน้า

เขามองดูนาฬิการถและรู้สึกว่านายเสน่ห์เพื่อนของเขาได้ผิดนัดไปถึง ๑๕ นาทีแล้ว—นึกถึงเพื่อนแล้วก็นึกขัน ขันทั้งเพื่อนขันทั้งตัวเขาเอง ขันเพื่อนเพราะเหตุที่ไม่มีความเกรงใจเพื่อนกันเสียบ้างเลย ขันตัวเองเพราะเหตุที่อ่อนแอต่อเพื่อนคนนี้ อ่อนแอจนไม่มีสติปัญญาที่จะขัดขวางหรือปฏิเสธคำขอร้องของเพื่อนไม่ว่าในกรณีใด ๆ เพราะเช่นนั้นจึงต้องมานั่งตากแดดเฝ้ารถ และดูสิ่งซึ่งตนไม่มีความสนใจจะดูเท่าใดนัก เป็นเวลาเกือบ ๓ ภาคนาฬิกา ในขณะที่เพื่อนไปเดินพะเน้าพะนอพธูแห่งดวงใจของเขา อยู่ตามห้างร้านอย่างเพลิดเพลิน

​แต่ไหนแต่ไรมา ทุก ๆ ระยะแห่งคราวที่เสน่ห์กับบันลือพบกันบ่อย ๆ บันลือมักจะต้องให้เสน่ห์ยืมรถของเขาไปใช้เสมอ เมื่อยังรุ่นหนุ่มเป็นนักเรียนอยู่ในต่างประเทศด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างมีรถจักรยานยนต์คนละคัน เสน่ห์ก็ต้องยืมรถจักรยานยนต์ของบันลือใช้ ครั้นเมื่อกลับเข้ามาอยู่ในประเทศที่เกิด พ้นจากฐานะนักเรียนแล้วต่างฝ่ายต่างมีรถยนต์เป็นสมบัติของตน เสน่ห์ก็ยังยืมรถบันลือใช้อีก ตลอดจนกระทั่งเสน่ห์มีทรัพย์อันเป็นสิทธิ์แก่ตนสามารถหาซื้อรถยนต์ได้ตามต้องการ และสามารถสับเปลี่ยนรถเก่าให้เป็นรถใหม่ได้บ่อย ๆ ในบางคราวเสน่ห์ก็ไม่วายที่จะยืมรถบันลือใช้อยู่นั่นเอง

ทั้งนี้ก็เพราะเสน่ห์ขับรถไม่เป็น และไม่รู้จุดอ่อนแอของตนเอง แท้จริงเสน่ห์ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เข้าลักษณะที่เรียกว่าทำเป็นเกือบจะไม่ได้เลย ตลอดชีวิตของเขาซึ่งมีอายุ ๒๘ ปีเศษ เขายังไม่เคยทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน แม้แต่การศึกษาของเขาก็หาได้เป็นการสำเร็จโดยบริบูรณ์เหมือนเพื่อนฝูงทั้งหลายที่ได้ชื่อว่าสำเร็จการศึกษาไม่ แต่เสน่ห์เป็นบุตรของคนมั่งคั่งอย่างยิ่งคนหนึ่งในประเทศ และเป็นผู้มีเสน่ห์อยู่ในตัวสมกับนามของเขา จำนวนบุคคลที่เกลียดเสน่ห์นั้นมีน้อย จำนวนที่​ชอบเขามีอยู่ค่อนข้างมาก ส่วนที่ชอบด้วยเกลียดด้วย รำคาญด้วยมีอยู่บ้าง เช่นบันลือเป็นต้น

ในระยะปีครึ่งที่ล่วงมา บันลือมีกิจส่วนตัวซึ่งทำให้เขาต้องอยู่ต่างจังหวัดคราวละหลาย ๆ สัปดาห์ เวลาที่เขาอยู่ในกรุงเทพฯ นั้นมีน้อย ครั้งหนึ่งเพียง ๒–๓ คืน ก็เป็นธรรมดาที่เสน่ห์กับบันลือไม่ได้พบกันเลย แต่เมื่อเดือนที่แล้วมานี้ คุณนายลำดวนผู้เป็นยายของบันลือป่วย มีอาการค่อนข้างมาก มีความต้องการอย่างจริงจังที่จะให้หลานชายมาอยู่ด้วย บันลือได้ มาเฝ้าพยาบาลคุณยายอยู่ ๓ สัปดาห์กว่า พอคุณยายค่อยยังชั่วมาก ลุกนั่งได้เอง บันลือก็พบกับเสน่ห์ ได้ฟังเสน่ห์เล่าว่า “กันโทรศัพท์เที่ยวตามหาตัวลือทั่วบ้านทั่วเมือง เพิ่งรู้เมื่อวานนี้เองว่าซื้อมาเฝ้าคุณยายอยู่ตั้งร้อยปีแล้ว” แล้วเสน่ห์ก็แจ้งเหตุสำคัญที่ทำให้เขาตามหาตัวเพื่อนทั่วบ้านทั่วเมืองนั้น “กันต้องได้รถใช้พรุ่งนี้ ๔ โมงเช้า กันต้องพาราไปซื้อดอกไม้ติดเสื้อ รถของกัน—”

“เข้าอู่” บันลือต่อ

“ไม่ช่าย” เสน่ห์ด้านอย่างเบื่อหน่าย “คืออย่างนี้ มันเข้าอู่จริง แต่กันไม่ได้เป็นฝ่ายชน มันชนเรา รถเราจอดอยู่​ข้างขวาถนน ที่นี้เราจะออกไอ้อีกคันหนึ่งมันซุ่มซ่ามมาจากไหนไม่รู้ มันก็ล่อเอาเรากร้วมเข้า—”

บันลือหัวเราะแล้วตอบว่า “ตั้งแต่ลื้อขับรถมากี่ปีๆ นี่น่ะ อั๊วไม่เคยได้ยินว่าลื้อเล่าว่าลื้อชนใครหรืออะไรสักที แต่ลื้อต้องเป็นฝ่ายเสียเงินให้เขา คนในโลกนี้เห็นจะไม่มีใครเคราะห์ร้ายเท่าลื้อนะ”

เสน่ห์จะเข้าใจคำพูดของสหายดีหรือไม่เพียงไรก็ตาม เขาแสร้งทำไม่เข้าใจได้อย่างสนิท ตอบว่า “ช่างมันเถอะ เรื่องเคราะห์แคระน่ะ พูดเรื่องรถกันดีกว่า กันมีธุระจริง ๆ รา—”

“รู้แล้ว ธุระของแกน่ะมันมีจริงเสมอ แต่เสียใจกันช่วยแกไม่ได้ คนขับรถของกันไม่อยู่ กันทิ้งเขาไว้ที่หัวเมือง”

“ก็ใครบอกว่าอั๊วต้องการคนขับ อั๊วต้องการรถต่างหาก”

“แล้วแกจะได้เอาไปให้เขาชนเสีย ไม่ได้ ๆ เวลานี้กันกำลังมีธุระมาก แล้วคุณยายก็ยังไม่หาย เผื่อกลางค่ำกลางคืนท่านเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ไม่มีรถรับหมอให้ท่านจะลำบาก”

“พิโธ่ อั๊วไม่ได้บอกเลยนาว่าจะเก็บรถของแกไว้จนกลางคืน อั๊วจะขอยืมสัก ๓–๔ ชั่วโมงเท่านั้นเอง”

​“ถูกแล้ว แกตั้งใจจะขอยืมเพียง ๓–๔ ชั่วโมง แต่พอแกเอาไปแล้ว แกจะไปทำให้คนอื่นเขาเอามันไปใส่อู่เสีย ๓–๔ เดือน กันก็แย่ กันให้แกไม่ได้จริง ๆ อ้อนวอนให้ปากหักก็ไม่ให้”

เสน่ห์ลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้อง ทำสีหน้าราวกับมีทุกข์ใหญ่ยิ่งนัก บันลือมองดูพลางต่อสู้กับความรำคาญที่เกิดขึ้นแก่ตัว ครั้นแล้วอดที่จะเห็นแก่หน้าสหายไม่ได้ จึงถามขึ้นเพื่อจะเอาใจเขา

“แม่ราของแกคนนี้ คือคนที่แกเคยพาไปด้วยเมื่อคราวที่ไปเที่ยวทะเลด้วยกันใช่ไหม ?”

“ไม่ช่าย” เสน่ห์ตอบเสียงแข็ง “นี่เขาชื่อสุทธิรา”

“ก็คนก่อนล่ะ อะไรรา ?”

“คนนั้นอินทิรา เขาแต่งงานไปแล้ว”

“อ้อ ตามเคย”

บันลือไม่ถามต่อไป เพราะเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่อง ‘ตามเคย’ ดังเขาได้กล่าวแล้วอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่ง เพราะเหตุว่า แม้จะถามก็ไม่ได้ความจริงอันละเอียด เพื่อนฝูงในสมาคมเดียวกับเสน่ห์ ย่อมเคยรู้เคยเห็นว่าเสน่ห์เป็นผู้ที่มีหญิงสาวเคียงคู่อยู่กับเขาในที่ต่าง ๆ อย่างน้อยก็คนหนึ่งเป็นนิจ และรู้ด้วยว่า​เจ้าหล่อนเหล่านั้น แต่ละคนย่อมจะได้รับความพะเน้าพะนอจากเสน่ห์เท่า–หรือมากกว่า–ที่หญิงสาวทั่วไปย่อมจะได้รับจากชายหนุ่มที่รักและบูชาหล่อนอย่างยิ่งยวด แต่เสน่ห์ก็ยังเป็นชายโสดอยู่จนบัดนี้ ทั้งเป็นโสดอยู่อย่างจริงจังเสียด้วย กล่าวคือแม้แต่คู่หมั้นก็ยังไม่มี ทุกคราวที่เพื่อนของเสน่ห์เห็นหญิงคู่ควงของเสน่ห์เปลี่ยนหน้าไป เกิดความอยากรู้ไต่ถามเขา ก็ได้รับคำตอบแต่เพียงว่า “เลิกกันแล้ว” หรือ “เขามีคู่รักใหม่” หรือ “ไม่รู้เขาหายไปไหน” หากมีผู้ซักต่อเป็นต้นว่าถามถึงเหตุที่ทำให้ ‘เลิก’ หรือเหตุที่ทำให้เจ้าหล่อน ‘มีคู่รักใหม่’ ก็จะได้รับคำ ตอบแต่เพียงว่า “ไม่รู้เขาเรอะ” หรือมิฉะนั้น “อยากรู้ไปถามเขาเองซี”

เสน่ห์ย้อนกลับมาพูดเรื่องเหตุสำคัญอีก

“แย่จริง!” เขาบ่น “เพื่อไม่ได้รถไปรับราพรุ่งนี้ แกโกรธตาย ยิ่งคอยแต่ใจน้อย หาว่าเราไม่รักไป” แล้วลงนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ก้มหน้า มือกุมศีรษะราวกับมีความกลัดกลุ้มเสียเหลือกำลัง

ภายหลังเขาเงยหน้าขึ้น และพูดอ่อย ๆ “กราบตีนน่าเพื่อน อย่าใจแข็งนักเลย ให้ตายต่อหน้าแดด ถ้าเกินไปกว่านั้น อั๊วยอมให้แกทำอะไร ๆ อั๊วได้ทุกอย่าง”

​เห็นบันลือยิ้มออกมาเล็กน้อย แต่ยังคงสั่นศีรษะ เสน่ห์ก็รีบพูดต่อไปอีก ทำสีหน้าให้น่าสงสารยิ่งขึ้น

“เอาน่า นึกว่าช่วยกู้หน้ากันไว้สักที กันสัญญาไว้แล้วเป็นมั่นเป็นเหมาะ ๔ โมงเช้าเป๋งจะไปรับเขาที่ ๆ ทำงานเผื่อไปไม่ได้เขาจะหาว่ากันเหลวไหล กันเกลียดเหลือเกินไอ้เรื่องผิดนัดกับผู้หญิง กราบตีนน่า ลื้อช่วยสงเคราะห์อีกทีเถอะ อย่าให้กันถูกด่าหน่อยเลย เมื่อหวงรถแกก็ขับไปเสียเองก็แล้วกัน”

และด้วยคำพูดหลาย ๆ ประโยคซึ่งคล้ายคลึงกันนี้ บันลือก็พ่ายแพ้แก่เสน่ห์ หรือที่ถูกพ่ายแพ้แก่ตัวเอง กล่าวคือทนความรำคาญและความอยากสงเคราะห์เพื่อนไม่ได้ เขาบอกแก่ตัวเองว่า เขาได้เฝ้าคุณยายผู้ซึ่งชราและเจ็บอย่างที่เรียกว่าไม่ได้กระดิกตัวไปไหนเลยเป็นเวลา ๓ สัปดาห์ นับว่าเขาได้ดูได้เห็นแต่สิ่งที่ชวนใจให้เหี่ยวแห้งเป็นเวลานานไม่น้อย เขาควรจะได้เห็นสิ่งที่ชวนตาชวนใจให้รื่นรมย์อยู่บ้าง การขับรถให้เพื่อนหนุ่มผู้ซึ่งจะไปหาความสุขกับหญิงสาว ก็ไม่เป็นการเหน็ดเหนื่อยนัก เขาควรจะทำได้ เพื่อความพอใจของเพื่อน และเพื่อความสนุกของเขาเอง

เสน่ห์ออกมาจากห้อง ๆ หนึ่งพร้อมกับเพื่อนสาวของเขา เขาเป็นชายขนาดสันทัด ร่างโปร่ง ผิวขาว ท่าทางคล่อง​แคล่วประเปรียว เขามีกิริยาอย่างหนึ่งในตัวเขาเอง ซึ่งทำให้ดูเขาเป็นผู้มีความอ่อนน้อม และดูพร้อมที่จะรับใช้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนมนุษย์ที่เป็นเพศอ่อนแอกว่า–ทุกขณะ

เวลานั้นเป็นเวลาสายจัดมากแล้ว เกือบจะใกล้เที่ยง ความร้อนและความเบื่อทำให้บันลือเกิดพื้นเสียขึ้นในใจ แต่เพื่อจะรักษามรรยาทของสุภาพบุรุษ เขารีบลงจากรถ และเปิดประตูให้เจ้าหล่อนด้วยสีหน้าปกติดี

เจ้าหล่อนขึ้นนั่งทางเบื้องขวา เสน่ห์ทิ้งห่อของใหญ่ ๆ ลงบนที่นั่งข้างตัวบันลือเป็นกองโต และนั่งลงข้างเจ้าหล่อนของเขา ชะโงกหน้ามาพูดกับเพื่อนว่า

“ต้องไปทางแถวบนอีกหน่อย รายังหาแพรทำเสื้อชั้นในไม่ได้ แถวนี้ไม่มีขายเลย” แล้วเขาบอกชื่อถนน ซึ่งห่างจากถนนที่เขาอยู่ในขณะนั้นไปอีก ๓ ถนนครึ่ง

บันลือคำนวณเวลาตั้งแต่ตนออกจากบ้านจนถึงเวลานี้ ปรากฏว่ายังไม่ครบ ๒ ชั่วโมงตามที่เพื่อนสัญญาไว้ ก็ออกรถโดยไม่ตอบว่ากระไรทั้งสิ้น

ระหว่างที่รถแล่นจาก ‘แถวล่าง’ ไปทาง ‘แถวบน’ บันลือสะกดใจนิ่งฟังเพื่อน กับหญิงของเพื่อนโต้ตอบกัน หญิง​สาวบ่นว่าสิ่งของสมัยนี้คุณภาพต่ำ และหาไม่ค่อยได้ตามต้องการ ไม่เหมือนสิ่งของในสมัยก่อน แม้ราคาจะค่อนข้างสูงแต่คุณภาพดี และมีให้เลือกตามใจนึก บันลือคิดอยู่ในใจว่า แต่อย่างเลือกไม่ได้ตามความต้อง ของที่ซื้อมายังเป็นกองสูงเกือบเท่าขนาดตัวคนนั่ง ถ้าเลือกได้ตามใจนึกเห็นที่จะต้องพังหลังคารถเป็นแน่แท้ และเมื่อได้ยินเพื่อนของเขากล่าวตอบเจ้าหล่อนด้วยเสียงอ่อนโยนราวกับจะเล้าโลมให้เจ้าหล่อนคลายทุกข์ อันเนื่องด้วยความเป็นความตายของบิดามารดา เขาก็ตัดสินใจว่า เพื่อนของเขาเป็นคนบ้าชนิดหนึ่งในจำนวน ๕๐๐ ชนิด

แล้วเขานึกสงสัยต่อไปว่า หญิงนี้เป็นผู้สูงอย่างไรในทางใดหนอ จึงสูงในความต้องการถึงกับเลือกหาของใช้อันคู่ควรแก่ตนมิได้ คะเนดูตามลักษณะการแต่งกายของหล่อน แน่ละเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะชม หรือติ ว่าหล่อนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอันงามหรือไม่งาม เพราะหล่อนแต่งเครื่องแบบสังกัดแห่งกรมกองที่หล่อนรับราชการอยู่ แต่วิธีการของผู้ที่แต่งตัวเพื่อความงามปนกับความเรียบร้อย กับวิธีการของผู้ที่แต่งตัวเพื่อจะให้งามตามใจตัวนั้นย่อมต่างกันเห็นได้ชัด กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้ที่รู้ว่าความงามกับความเรียบร้อยเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้ ย่อมจะรักษาความงามไว้ให้ปรากฏ แม้ในเครื่องแต่งกายอันเป็นแบบที่​หาความงามมิได้เลย แต่เพื่อนหญิงของเสน่ห์นี้มิได้ทำให้บันลือเห็นความสามารถในอันที่จะทำให้งามขึ้นได้ในเครื่องแบบที่หล่อนแต่งอยู่

เมื่อมาถึง ‘แถวบน’ ตามที่เสน่ห์เรียก เพื่อนหญิงของเสน่ห์บอกที่ ๆ หล่อนต้องการจะลงให้เสน่ห์รู้ แล้วเสน่ห์จึงบอกเพื่อนผู้ทำหน้าที่ขับรถให้เขาอีกต่อหนึ่ง บันลือหยุดรถตามความประสงค์ของเพื่อน และเมื่อเพื่อนเดินตามหญิงสาวเข้าไปในร้าน ๆ หนึ่งแล้ว เขาก็เลื่อนรถไปจอดในที่ ๆ ควร

มองดูสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในสายตาเป็นการแก้คำราญ ถนนแถบนี้กว้างกว่า ยาวกว่า โล่งกว่าถนนที่เขาละมาเมื่อ ๗–๘ นาทีก่อน ทั้งอยู่ในที่ค่อนข้างใกล้แม่น้ำ จึงมีลมพัดผ่านไปมาเรื่อย ๆ พอบรรเทาความร้อนอันเกิดจากไอแดดและไอถนน ความพื้นเสียของบันลือค่อยคลายไป เขาเริ่มสนใจในสิ่งของตามหน้าร้านซึ่งเขามองเห็นได้ และเริ่มมองดูผู้คนที่เดินผ่านเข้ามาในสายตาของเขาด้วยความสังเกตอีกพักหนึ่ง

เขารู้สึกว่าตามห้างและร้านในแถบนี้มีผู้คนหนาแน่นเท่ากับตามห้างร้านในถนนที่เขาเพิ่งละมา แต่ผู้ที่เดินอยู่ทางแถวนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เดินที่เป็นหญิง ดูเหมือนจะแตกต่างกับผู้ที่เดินอยู่แถวโน้นโดยวัย โดยสมัย โดยฐานะ โดยความโก้เก๋ ซึ่งจะเห็น​ได้จากท่าทางและเครื่องแต่งกายกล่าวโดยรวบรัดก็คือ หญิงที่เดินอยู่ในแถบโน้นเป็นหญิงที่แต่งกายถูกต้องตามสมัย หรือนำสมัยประมาณร้อยละ ๙๐ ส่วนหญิงที่เดินอยู่ตามแถบนี้ มีทั้งพวกที่ตามสมัย นำสมัย ไม่แยแสกับสมัย ปะปนกันอยู่เป็นจำนวนไล่เลี่ยกัน และมีหญิงที่คิดว่าตนกำลังนำสมัยอย่างเก่งที่สุดอยู่แล้ว แต่แท้จริงกำลังตามผิดอย่างน่าใจหายเป็นจำนวนมากขึ้นหน้ากว่าหญิงจำพวกอื่นที่กล่าวแล้วทั้งหมด

หญิงจำพวกสุดท้ายนี้หมู่หนึ่ง กำลังเดินไปทางเบื้องหน้าบันลือ สวนทางกับเจ้าหล่อนของเสน่ห์ผู้ซึ่งกำลังจะเดินมาขึ้นรถ ในระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายต่างเข้ามาใกล้กัน จนเรียกว่าปะปนกันนั้น บันลือมีความรู้สึกว่าเจ้าหล่อนของเสน่ห์ได้ถูกกลืนเข้าในหมู่หญิงที่เดินสวนมาอย่างสนิทสนมที่สุด

เสน่ห์พูดกับบันลืออย่างชื่นชมว่า “เสร็จธุระแล้ว ราซื้อของได้ตามความต้องการทุกอย่าง พอดีกับเวลาใช่ไหม ?”

“ยังเหลืออีก ๕ นาที” บันลือตอบ “ต่อจากนี้จะให้ไปส่งที่ไหน ?”

“ตรงไปนี่แหละ ไปหาอะไรกิน แล้วราแกจะกลับไปทำงาน”

​เมื่อรถออกแล่นแล้ว เสน่ห์เสนอให้เพื่อนหญิงของเขาเลือกที่รับประทานอาหาร เจ้าหล่อนเกี่ยงให้ฝ่ายเขาเป็นผู้เลือก ครั้นเขาออกชื่อร้านอาหาร ๒–๓ ร้านที่ใกล้จะถึงอยู่แล้ว เจ้าหล่อนก็อิดออด อ้างว่าเป็นสถานที่ ๆ รก และร้อน และหนวกหู เสน่ห์สั่งเพื่อนของเขาให้แล่นรถต่อไปจนถึง ‘แถวล่าง’ อีก จนกระทั่งถึงร้านอาหารที่กำลังอยู่ในสมัยนิยม เจ้าหล่อนก็ชี้ว่าร้านนี้ดี เพราะเหตุว่าใกล้ที่ทำงาน แต่เมื่อหล่อนออกปากเป็นคำแน่เช่นนั้น รถได้แล่นผ่านหน้าร้านไปแล้วเกือบ ๑ เส้น และในเวลานั้นยวดยานต่าง ๆ กำลังขวักไขว่สับสนยากแก่การที่จะจอดรถ หรือถอยหลังมายังที่ ๆ ต้องการจะลง บันลือก็ต้องพารถเลยไปทางแยก แล้วจึงวกกลับมาหยุดในที่ห่างจากจุดหมายไม่มากนัก

“วะ ! มันแน่นกันจริงวันนี้” เสน่ห์บ่น แล้วนี่ลื้อจะเอารถไปจอดที่ไหน ?”

“ช่างเถอะ ลื้อลงไปก่อนก็แล้วกัน” บันลือตอบ แล้วถามสืบต่อไป “อ้อ นี่อั๊วพ้นหน้าที่รับใช้แล้วหรือยัง ?”

เสน่ห์มีสีหน้าพิศวงอย่างจริงใจ “อ้าว จะไปกินอะไรด้วยกันยังไงล่ะ” เขาว่า แล้วเห็นเจ้าหล่อนของเขาทำท่าจะออกเดินข้ามถนน “เดี๋ยวรา ระวังรถ” พลางยืดข้อมือหล่อนไว้

​บันลือพูดว่า “กันมีธุระจะต้องไปที่อื่น จะให้กันมารับกี่โมง ?”

“ก่อนบ่ายโมงนิดหน่อยสัก ๕ หรือ ๑๐ นาที”

ตอบแล้วเสน่ห์ก็ปิดประตูรถโดยแรง แล้วประคองแขนเจ้าหล่อนของเขาออกเดินไปด้วยกัน

เมื่อสหายไปพ้นแล้ว บันลือก็ออกรถและขับไปทางหนึ่ง ในระหว่างนี้เขาหัวเราะอยู่ในใจ เมื่อนึกถึงภาพที่มีตัวเขากับเจ้าหล่อนของเสน่ห์นั่งรับประทานอาหารอยู่ด้วยกัน เขาเชื่อว่าตัวของเขาจะเป็นเหตุให้เจ้าหล่อนกลืนอาหารไม่ลงคอ แล้วฝ่ายเจ้าหล่อนก็จะเป็นเหตุให้เขารับประทานอาหารไม่ได้ เมื่อมีหล่อนนั่งอยู่ข้าง ๆ หรือตรงหน้า

เหตุที่ทำให้บันลือมีความเชื่อเช่นนั้น ก็เพราะว่าตัวเขากับเจ้าหล่อนของเสน่ห์ได้ร่วมทางกันไปมาอยู่เพียง ๒ ชั่วโมง โดยมิได้แลกเปลี่ยนคำทักทายปราศรัยแก่กันเลย แม้แต่สักหนึ่งคำ ทั้งนี้เขามิได้ตัดสินชี้ขาดลงไปว่าเป็นความผิดของหล่อน แต่ก็ไม่ยอมรับว่าเป็นความผิดของเขาเอง อย่างไรก็ตาม เขามีความรู้สึกดูถูกเจ้าหล่อนอยู่ในใจ และบันลือมีปกติเป็นผู้ที่คอยจะเกลียดบุคคลที่ทำให้เขาดูถูกได้อยู่เสมอ

เมื่อนั่งอยู่ในโรงแรมอันระโหฐานแห่งหนึ่ง มีเครื่องดื่มวางใกล้มือ หนังสือพิมพ์กางอยู่ใต้สายตา ใจของเขาหวนกลับ​ไปนึกถึงสหายอีก ดูเหมือนจะนานประมาณสัก ๓–๔ ปีได้แล้ว ที่เพื่อนฝูงของเสน่ห์ได้เลิกถามถึงเทือกเถาเหล่ากอแห่งบรรดาเจ้าหล่อนที่เสน่ห์พามาควงคู่ เพราะเหตุว่าถามแล้วก็หาได้เรื่องได้ราวเป็นแก่นสารอย่างใดไม่ อย่างไรก็ตาม เพื่อนเหล่านี้มีความหวั่นใจว่า ในที่สุดเข้าชีวิตของเสน่ห์ก็น่ากลัวจะต้องลงเอยด้วยการจดทะเบียนสมรสร่วมกับหญิงที่ญาติของเสน่ห์และเพื่อนของเสน่ห์จะต้องรับเข้าในสมาคมของเขาด้วยความฝืนใจ

นึกถึงความข้อหลังนี้แล้ว บันลือย้อนกลับไปนึกถึง ‘รา’ ของเสน่ห์ในปัจจุบัน เมื่อก่อนจะออกจากที่ทำงานเจ้าหล่อนได้ร่ำลาเพื่อนของเจ้าหล่อนด้วยจริตต่าง ๆ มีทั้งจริตงอน จริตอาย จริตปราโมทย์ จริตอาลัย บันลือเห็นจริตเหล่านั้นได้จากช่องหน้าต่าง ซึ่งสูงจากที่ ๆ รถของเขาจอดอยู่มากแต่ไม่ไกลเท่าใดนัก เมื่อเจ้าหล่อนลงบันไดใหญ่และเดินลงมาที่รถ จริตของเจ้าหล่อนก็ยิ่งปรากฏชัดขึ้น แต่ในระหว่างที่เสน่ห์แนะนำให้เจ้าหล่อนรู้จักกับบันลือแล้วและเชิญให้ขึ้นนั่งบนรถ กิริยาของเจ้าหล่อนได้เปลี่ยนไป หล่อนนิ่งเงียบไปหลายนาที จนกระทั่งเสน่ห์ชวนพูดขึ้น ๒–๓ ประโยค หล่อนจึงทำจริตงอนใส่เขา แล้วก็ทำจริตโกรธ จริตอาย ประกอบคำพูดของหล่อนที่มีข้อ​ความ กล่าวถึงชายหนุ่มเพื่อนร่วมงานของหล่อนคนหนึ่ง ผู้ซึ่งได้ล้อเลียนหล่อนด้วยถ้อยคำต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ท้าวความถึง ‘รูปหล่อ’ ‘แสงจันทร์’ ‘วิมานรัก’ ‘พระเอก’ ‘ความฝัน’ บันลือขมวดคิ้วประหลาดใจนักที่เพื่อนของเขาหาความสุขจากการควงคู่ และสนทนากับเจ้าหล่อนผู้นี้ได้ ….และความคิดของบันลือแล่นเข้าหาตัว เขาคิดถึงตัวของเขา และ และหญิงที่เขาเคยมี คิดอย่างลึก และขุ่นมัวจนลืมตัว ลืมเวลา ลืมสถานที่ ความพลุ่งพล่านเกิดขึ้นในใจ ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งโดยแรง

แต่ในชั่วอึดใจเดียวกันนั้นเอง บันลือกลับได้สติ จึงหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นพับ แล้วหยิบถ้วยเหล้าขึ้นถือไว้ และเดินไปยังห้องที่รับประทานอาหาร

 

76
นวนิยายเรื่อง นันทวัน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 1-5



https://vajirayana.org/%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99
https://vajirayana.org/นันทวัน





30 ตอนจบ



77
นวนิยายเรื่อง นันทวัน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด


https://www.mebmarket.com/?action=book_details&book_id=331506

นันทวัน...นวนิยายปรัชญารัก โดย ดอกไม้สด
สำนักพิมพ์สำนักพิมพ์ล้มลุกบุ๊ค
หมวดหมู่วรรณกรรมคลาสสิก/วรรณคดีไทย





"ภรณี" ดุจดรุณีแรกรุ่น บอบบาง งดงาม และเปี่ยมล้นด้วยอุดมการณ์ กลับต้องเผชิญกับบททดสอบชีวิตครั้งสำคัญ เมื่อโชคชะตาลิขิตให้เธอแต่งงานกับ "บันลือ" ชายหนุ่มผู้มีอดีตอันขมขื่น

รักครั้งใหม่... จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำ หรือจะพาเธอลงสู่ห้วงทุกข์

ร่วมเดินทางไปกับภรณี ในนวนิยายอมตะ "นันทวัน" ที่แฝงไว้ด้วยปรัชญาชีวิตอันลุ่มลึก สะท้อนความหมายของการมีชีวิตอยู่ และคุณค่าของความรักที่แท้จริง

---------------

พี่ชายนำหน้า น้องสาวตามหลัง ทั้งคู่ถือช่อดอกรักอันติดอยู่กับกิ่งยาว ทำท่ารำเข้ากับจังหวะเพลงที่เขาร้อง
"รักเอ๋ยรักป่า เจ้าตามลมมาแต่แห่งหนไหน รักพี่หน่อยรา หาไม่พี่จะลาเจ้าไป รักเอ๋ยบรรเจิดบรรจง เจ้างามระหงทั้งช่อทั้งใบ รักพี่ด้วยสักคน หาไม่พี่จะทนไม่ไหว รักเอ๋ยรักคอย ได้แล้วพี่จะร้อยเป็นมาลัย รักเอ๋ยรักดอน รักอาภรณ์นี่เหลือใจ"
ฟังเขาร้องกลับไปกลับมาอยู่สองเที่ยว ทั้งสองเที่ยวเมื่อนึกถึงวรรคท้าย เด็กหญิงป่องก็หันมาเอียงคอกับผู้ฟัง ภรณีเริ่มคิดพิศวง ในที่สุดหล่อนจึงเรียก
"หนู หนูจ๋า ก้อง ป่อง ใครสอนให้หนูร้องเพลงนี้?"
"คุณพ่อ" เด็กชายตอบ แล้วทำท่าจะร้องรำต่อไป...

---------------

..


https://www.mebmarket.com/ebook-264459-%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99

นันทวัน โดย ดอกไม้สด
สำนักพิมพ์Thai Classic Books
หมวดหมู่นิยายรัก





เมื่อใดนางจำนงฯ มีอารมณ์ขุ่นมัวในเรื่องการเงินเมื่อนั้น ภรณีก็ถูกบ่นว่าในฐานะผู้เป็นต้นเหตุให้ทรัพย์ของนางจำนงฯ สิ้นเปลืองไปโดยใช้เหตุ คือทรัพย์ที่นางจำนงฯ ต้องจ่ายไปให้สำหรับลูกหญิงคนที่สอง เมื่อถูกบ่นถูกว่าดังนี้ บางคราวภรณีก็ภูมิใจในข้อที่ตนกระทำความตั้งใจของตนให้เป็นผลสำเร็จได้

บางคราวภรณีก็น้อยใจแค้นใจ อยากจะตอบจะว่าให้สาสม แต่ถึงจะแค้นเพียงใด อยากเพียงใด ภรณีก็ไม่ทำให้มารดาเลี้ยงเกิดโมโหมากขึ้น เพราะวาจาของหล่อน ภรณีรู้ว่าหล่อนไม่อยู่ในฐานะที่จะชนะแม่เลี้ยงโดยเด็ดขาดได้ ตราบเท่าที่หล่อนยังไปไม่พ้นชายคาบ้านท่านบิดา และหล่อนจะไปให้พ้นบ้านนี้ได้ก็ต่อเมื่อหล่อนตัดรัก ตัดห่วง ตัดกังวลในบิดาและน้องใหญ่น้องเล็กได้แล้ว หรือมิฉะนั้นก็ต่อเมื่อความหวังของหล่อนเข้าสู่สภาพแห่งความเป็นจริงโดยสมบูรณ์

.

















.

ดอกไม้สด เป็นนามปากกาของ หม่อมหลวงบุปผา (กุญชร) นิมมานเหมินท์ (17 กุมภาพันธ์ 2448 - 17 มกราคม 2506) ธิดาเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว. หลาน กุญชร) และหม่อมมาลัย เกิด เมื่อวันศุกร์ ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2448 ปีมะเส็ง ที่วังบ้านหม้อ
เริ่มต้นอาชีพนักเขียน โดยเริ่มเขียนบทละคร "ดีฝ่อ" และเริ่มเขียนหนังสือในปี พ.ศ. 2472 เมื่ออายุ 20 ปี เรื่องแรก คือ "ศัตรูของเจ้าหล่อน" ลงพิมพ์ใน หนังสือพิมพ์ไทยเขษม ฉบับวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2472
งานเขียนของดอกไม้สดถือได้ว่าเป็นนิยายกึ่งพาฝันกึ่งสมจริงรุ่นบุกเบิก งานส่วนใหญ่ของท่านจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องความรักและการหาคู่ของคนหนุ่มสาว ท่านเป็นนักเขียนรุ่นแรกๆที่ให้ความสำคัญกับตัวละครฝ่ายหญิงมาก
ผลงานในระยะแรกของดอกไม้สดจะมีความเป็นโรมานซ์ แต่ในช่วงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตของท่านในฐานะที่เป็นราชตระกูลที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในวัง นวนิยายของท่านจะมีลักษณะเรียลลิสติกมากขึ้น เช่นเรื่อง ผู้ดี
ผลงานสร้างชื่อเสียง
ศัตรูของเจ้าหล่อน (2472)
นิจ (2472)
นันทวัน (2472)
ความผิดครั้งแรก (2473)
กรรมเก่า (2475)
สามชาย (2476) (เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาเรียนอยู่สมัยหนึ่ง)
หนึ่งในร้อย (2477) (อยู่ใน หนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่าน)
อุบัติเหตุ (2477)
ชัยชนะของหลวงนฤบาล (2478)
ผู้ดี (2480) (กระทรวงศึกษาธิการคัดเลือกเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาชั้นมัธยมศึกษาถึงปัจจุบัน)
นี่แหละโลก (2483) (ได้รับรางวัลนวนิยายของชาวเอเชีย แล้วได้ตีพิมพ์เป็นภาษาญี่ปุ่น)
วรรณกรรมชิ้นสุดท้าย (2492) (แต่งไม่จบ)
บุษบาบรรณ (รวมเรื่องสั้น สมาคมนักประพันธ์ออสเตรเลียนำเรื่องสั้นชื่อ "พลเมืองดี" ไปตีพิมพ์ในหนังสือเล่มพิเศษฃื่อ "SPAN" บางครั้งเรื่องนี้นำไปพิมพ์ในชุดพู่กลิ่น)
พู่กลิ่น (รวมเรื่องสั้น เดิมใช้ชื่อว่า "เรื่องย่อย")
ขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
 
ขอขอบคุณข้อมูลอันเลอค่าจากร้าน siambook.net














.




78

๒๕

สุนทรีพักอยู่ที่แหลมหินสามสัปดาห์กว่า ในสัปดาห์แรกหล่อนรู้สึกว่า สถานที่ๆ เคยให้ทั้งความเพลินใจและความสบายกายแก่หล่อนหลายคราวแล้วนั้น บัดนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นสถานที่ๆ หาคุณค่ามิได้ ท้องทะเลทำให้หล่อนอ้างว้าง เสียงคลื่นเป็นเสียงรกหู หาดทรายเป็นที่เปล่าเปลี่ยว แดดเป็นเครื่องรำคาญด้วยประการทั้งปวง หมู่คนที่เดินผ่านไปมาหน้าที่พักของหล่อนก็เป็นเครื่องระคายตา สุนทรีบ่นกับตัวเองว่าอยากกลับบ้าน แต่ครั้นแล้วก็บอกกับตัวเองว่า บ้านของตัวนั้นไม่มี จำเป็นที่จะต้องพักอยู่ที่หัวหินต่อไปอีก ! ! !

ในปีก่อนๆ เมื่อโรงเรียนปิดเทอมปลายปี สุนทรีก็มาเปิดบ้านที่หัวหิน คือบ้านของคุณเนื่อง ซึ่งตกเป็นมรดกแก่ประจิตร เพื่อนครูและนักเรียนก็มาพักอยู่กับหล่อนด้วย ประจิตรมาพัก​เหมือนกัน แต่มักจะพักเป็นเวลาอันสั้นระหว่างหนึ่งถึงสองสัปดาห์ แล้วก็มักจะเวียนขึ้นเวียนล่องระหว่างกรุงเทพฯ กับแหลมหิน เกือบจะทุกวันเสาร์วันอาทิตย์ แต่ปีนี้สุนทรีอ้างเหตุว่าหล่อนมาหัวหินล่ามาก ไม่จำเป็นที่จะเปิดบ้านให้ความลำบากต่างๆ ประการเกิดขึ้น หล่อนจึงพักอยู่ที่บ้านนางสาวอรุณเพื่อนครูได้เช่าไว้ และอยู่รวมกับเด็กสาวหลายคนที่ครูอรุณพามาด้วย

วันหนึ่งในปลายสัปดาห์แรก ได้มีการนัดเที่ยวเขาตะเกียบกันขึ้น รุ่งเช้าเมื่อสุนทรีตื่นนอน หล่อนไม่เห็นเพื่อนผู้อยู่ร่วมบ้านแม้แต่สักคน ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่หายไปสิ้น เห็นแต่อาหารมีรอยรับประทานแล้วเหลืออยู่ ถามคนใช้ ได้รับคำตอบสั้นๆ ว่า “ไปแล้ว” เท่านั้น สุนทรีก็ฉุนโกรธดังใครเอาไฟฟ้ามาจุดใจ กลับเข้าห้องปิดประตูใส่กลอนเสียทันที

ประมาณ ๑๕ นาที ภายหลัง หล่อนได้ยินเสียงนางสาวอรุณพูด และมีเสียงคนพยายามเปิดประตู แล้วได้ยินเสียงคนบ่นว่า

“นั่นทำอะไรอยู่นะ ประตูประต่างปิดหมด”

แล้วเสียงนั้นเรียกชื่อสุนทรี เจ้าหล่อนขานอย่างห้วนที่สุด ครูอรุณก็พูดว่า

“วันนี้เป็นยังไงถึงเกิดตื่นสาย เราไปซื้อของจนเกือบหมดตลาดแล้วยังไม่เสร็จอีกหรือ แต่งตัวแล้วหรือยังนั่นน่ะ”

สุนทรีคิดได้ในบัดนั้นว่าตนหุนหันพลันแล่นมาก แต่ไม่ยอมสารภาพความผิดแก่ตนเอง จึงตอบออกไปว่า

​“ฉันไม่ไปแล้ว ปวดหัว”

“อ้าว !” ครูอรุณอุทานเสียงดัง “ปวดถึงไปไม่ไหวเทียวหรือ ขึ้นรถไปก็ได้นี่นา”

“ไม่เอาละ” สุนทรีตอบอย่างรำคาญ ภายหลังจึงได้ยินเสียงรองเท้ากระทบขั้นบันได แล้วก็เงียบหายไป

สุนทรีนอนลืมตาดูเพดานมุ้งอยู่นาน ภายหลังก็รำพึงว่า “เรานี่บ้าเสียแล้ว”

หล่อนลุกจากที่ เร่งมือทำกิจที่จำเป็น เสร็จแล้วรับประทานอาหารอย่างเสียไม่ได้ แล้วจึงลงจากเรือน

เดินไปตามชายหาด โดยไม่มีความมุ่งหมายว่าจะไปแห่งใด เพียงครู่หนึ่ง ก็หยุดยืนมองดูคลื่นที่แล่นไล่กันอยู่ตรงหน้า สมองคิดเพลิน โดยที่เจ้าของสมองไม่รู้ว่าคิดอะไรบ้าง ครั้นแล้วก็หยุดกึก....สุนทรีก็ถอนใจยาว

หล่อนนึกขึ้นได้ว่า หล่อนรำพึงถึงประจิตรในข้อที่เขาริเริ่มมีภรรยานอกกฎหมายไว้ในบ้าน และเขาได้เริ่มทำการเช่นนั้น ในเวลาที่หล่อนไม่อยู่เสียเพียง ๑๒ วัน

หล่อนนึกขึ้นได้อีกว่า ตนได้รำพึงถึงเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว รำพึงอยู่เสมอทุกวัน ตั้งแต่ออกจากกรุงเทพฯ จนถึงวันนี้ ยิ่งกว่านั้น รำพึงเกือบทุกขณะที่สมองมีช่องที่จะรำพึง

ด้วยเหตุนี้ หล่อนได้หุนหันโกรธเพื่อนและเพิกถอนสัญญาที่จะไปเที่ยวกับเขาเสียโดยไม่มีเหตุผล

แล้วสุนทรีก็นึกละอายตัวเองเป็นอย่างยิ่ง !

​วันต่อๆ มา สุนทรีเฝ้าตรวจอารมณ์ตนเองบ่อยขึ้นก็จับได้ว่าความฉุนเฉียวได้เข้าเป็นเจ้าเรือนแห่งอารมณ์อย่างน่าพิศวง บันดาลให้หล่อน พูด ทำ คิดผิดจากที่หล่อนเห็นดีเห็นชอบ แต่ถ้าหากผู้อื่นเขาทำผิดใจตนแม้แต่สักนิด โทสะของตนก็พลุ่งขึ้นโดยเร็ว และเมื่อพลุ่งขึ้นเสียแล้ว กว่าจะดับให้หายได้ก็ต้องเสียเวลานาน

โดยประการฉะนี้ สุนทรีก็รู้ว่า ประสาทในสมองและในจิตใจของหล่อนนั้นป่วยเป็นโรคอย่างหนึ่งเสียแล้ว และรู้ด้วยว่า สมุฏฐานแห่งโรคนั้นคือสิ่งใด หล่อนแน่ใจว่าถ้าหล่อนเรียกนามแห่งสมุฏฐานนั้นให้ตรงกับลักษณะอันแท้จริงของมันก็จะปรากฏว่า มันคือกิเลสอย่างหยาบ อย่างมีอิทธิฤทธิ์สามารถบันดาลคนผู้อยู่ในอำนาจของมันให้มีอันเป็นไปในทางเสื่อมได้หลายสถาน

และสุนทรียังรู้ต่อไปอีกด้วยว่า การที่จะตัดรากแห่งสมุฏฐานแห่งโรคทิ้งเสียนั้น หล่อนจะทำเสร็จไม่ได้ในเวลาอันสั้น แต่หล่อนอาจจะสามารถระงับอาการของโรคให้ลดน้อยลงได้ ถ้าแม้ว่าหล่อนตั้งความพยายามให้มากกว่าที่เป็นอยู่บัดนี้สักหน่อย

สุนทรีจึงพยายามหาเครื่องล่อจากสิ่งนอกกาย ให้จิตใจและสมองไปเกาะเกี่ยวจนไม่มีเวลาว่างที่จะคำนึงถึงเรื่องส่วนตัว เครื่องล่อเหล่านั้นได้แก่บุคคลทั้งหลายทั้งชายและหญิงทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ที่สุนทรีได้พบปะวิสาสะด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่อยู่ใกล้สุนทรี

หล่อนพยายามเอาใจในเขาเหล่านี้มากที่สุด เขาพูดเรื่องใด หล่อนตั้งใจฟังและโต้ตอบกับเขา เขาเที่ยวหล่อนเที่ยวด้วย เขา​สนุก หล่อนสนุกด้วย บางคราวเขาเงียบเหงาไปบ้าง หล่อนก็หาเรื่องชักชวนทำให้ความครึกครื้นเกิดขึ้น

เมื่อผู้ที่อยู่ใกล้กับหล่อนมีการต้อนรับเพื่อนฝูง หล่อนก็ช่วยเขาต้อนรับด้วย ทางฝ่ายหล่อนก็ชักชวนเขาให้ต้อนรับเพื่อนของหล่อนบ้าง และเพื่อนของสุนทรีนั้นมีมากเมื่อหล่อนทำใจของหล่อนให้เอาใจใส่ในเขาทุกคน ใจดวงนี้ก็มีเวลาที่จะคำนึงถึงสิ่งที่มีและเป็นอยู่ภายในแต่เพียงส่วนน้อย

อนึ่งสุนทรีนั้นมีความช่างพูด ช่างเล่น และความมีกิริยางาม เป็นเสน่ห์ประจำตัวก็ย่อมจะเป็นผู้ที่บุคคลเป็นส่วนมากมีความยินดีที่จะพบปะด้วยเป็นนิจ โดยนัยนี้หล่อนก็เป็นหญิงที่มีผู้เอาใจใส่และพยายามเอาใจอยู่ไม่ขาด การเอาใจผู้อื่น ตอบแทนการเอาใจของผู้อื่นที่มีต่อตัวนี้ผู้ที่ไม่มีความเห็นแก่ตัวฝ่ายเดียวหนาแน่นนักย่อมจะทำได้โดยไม่ยาก ความพยายามของสุนทรีที่จะเอาใจเพื่อนฝูง จึงไม่เป็นงานที่ลำบากจนเหลือเกิน

เมื่อสุนทรีรู้สึกว่าอาการป่วยแห่งประสาททุเลาลงแล้ว แน่ใจว่าตนเข้มแข็งพอที่จะประจัญหน้ากับประจิตรพร้อมทั้ง ‘หญิงเก็บ’ ของเขาด้วย หล่อนก็เขียนจดหมายกำหนดวันที่หล่อนจะกลับกรุงเทพฯ ไปยังประจิตร

สุนทรีพร้อมแล้วที่จะกลับไปร่วมความเป็นอยู่กับประจิตร ดังเช่นสมัยที่แล้วมา....โดย....มีข้อขีดคั่นใหม่บ้างบางประการ หล่อนจะเป็นมิตรของประจิตรเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาแต่ก่อน....ยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาแต่ก่อนด้วยทั้งนี้หมายถึงการเสียสละทางใจ ซึ่งหล่อน​จะต้องใช้มากกว่าในเวลาที่ล่วงพ้นไปแล้ว

หล่อนพบเขาคอยรับหล่อนอยู่ที่สถานี มีสีหน้าผ่องใสแช่มชื่น ตรงกันข้ามกับหล่อนผู้ซึ่งฝืนยิ้มได้โดยยาก หล่อนไม่ได้ยื่นมือให้เขาจับเหมือนอย่างเมื่อคราวก่อน แต่ในทันทีที่หล่อนก้าวลงจากรถ ประจิตรจับข้อมือหล่อนทำท่าคล้ายช่วยพยุงแล้วก็ไม่ปล่อยมือหล่อนเลย กระทั่งเขาและหล่อนเดินมาถึงที่รถจอดแล้ว

“คิดถึงเหลือเกิน” เขากล่าวแก่หล่อนในระหว่างทาง “เวลาสามอาทิตย์ดูนานราวกับสามเดือน”

ความจริงใจหลุดจากปากสุนทรีออกมาว่า

“ฉันนึกว่าเธอจะไปหัวหินมั่ง....”

“ฉันก็จะคอยให้เธอชวน แต่เห็นเงียบหาย หนังสือสักตัวก็ไม่เขียนมา ก็เลยไม่ไป”

สุนทรีก็โกรธและนึกอยากจะว่าให้เจ็บ แต่ระงับใจไว้ได้ จึงตอบเรียบๆ

“ทำไมถึงจะต้องให้มีการชวน หัวหินใครนึกอยากจะไปเมื่อไหร่ก็ไปได้สะดวก”

เขาไม่ตอบคำนั้น ปรารภสืบไปว่า

“หมู่นี้มีหนังดีๆ แต่ไม่มีเพื่อนดูเลยชักจะเบื่อ”

สุนทรีอยากจะถามประชด แต่ก็ไม่ทำตามใจตัวเองพูดว่า

“เพื่อนๆ ของเธอไปอยู่หัวหินหมดน่ะซี ฉันพบเกือบทุกคน นอกจากหลวงชาญฯ กับคุณสุทัศน์”

“เพื่อนดูน่ะฉันหมายถึงเธอ” ประจิตรตอบ “คนอื่นๆ ไม่​สำคัญ ไอ้พวกนั้นมันเพื่อนเที่ยวดึก”

สุนทรีไม่ตอบ สายตาจับดูแต่ทางที่รถแล่นผ่านราวกับสนใจในสิ่งเหล่านั้นเสียเต็มที

“กลับมาเที่ยวนี้ดำไปอีกเยอะ” ประจิตรเอ่ยขึ้นอีก “ดำจนแดง แต่ก็อ้วนจนแปลกตา ดูแก้มยังกะจะย้อยอยู่แล้ว”

หล่อนเบือนหน้ามาทางเขา เห็นเขากำลังจ้องดูหล่อนอยู่ จึงว่า “มัวแต่มองดูในรถ เดี๋ยวก็ได้ไปชนอะไรเข้าหรอก”

เขาหันหน้ากลับไปดูทางดังเก่าแล้วก็นิ่งอยู่

เมื่อใกล้จะถึงบ้าน เขาถามหล่อนด้วยน้ำเสียงแสดงความภูมิใจ

“คืนนี้เรากินข้าวที่บ้านคุณอาใช่ไหม? ฉันจำมติของเธอได้ ว่ามาถึงวันไหนต้องหาคุณพ่อวันนั้นถึงจะถูก”

หล่อนควรจะชื่นชม แต่ใจของหล่อนมิได้เป็นดังนั้นก็ตอบเรียบๆ

“ไปหัวหินไม่สำคัญเหมือนไปไทรโยค ฉันอยากนอนหัวค่ำมากกว่า พอถึงบ้านแล้วก็นอนทีเดียว”

ประจิตรเริ่มรู้สึกว่าตั้งแต่แรกพบกันจนบัดนี้ สุนทรียังมิได้แสดงความพอใจในคำพูดและความตั้งใจดีของตนเลยแม้แต่สักครั้งเดียว ความยินดีของเขาที่ได้พบหล่อนก็เริ่มถอยลงบ้าง น้ำเสียงของเขาจึงเย็นชาไปเมื่อเขาตอบแก่หล่อนว่า “ข้าวที่บ้านไม่มีกินหรอก เพราะฉันเลิกเสียแล้ว ถ้าเธออยากนอนแต่หัวค่ำ ก็ไปหาอะไรกินตามร้านเจ๊กแล้วก็กลับบ้านก็แล้วกัน”

​สุนทรีตอบอย่างไม่เอาใจใส่

“ก็ได้”

หล่อนแต่งตัวอย่างขี้เกียจ สวมเสื้อผ้าตามสบายมากกว่าที่จะให้ดูงาม เพราะในเวลาที่เลือกเครื่องนุ่งห่มนั้นหล่อนคิดขึ้นว่า “แต่งไปทำไมกัน”

เมื่อถึงร้านอาหารจีน เผอิญพบหลวงชาญฯ กับสุทัศน์ เขาพากันแสดงความยินดีที่ได้เห็นหล่อน และเชิญให้หล่อนกับประจิตรเป็นแขกของเขา

สุนทรีรับเชิญโดยเต็มใจ มีความยินดีที่จะไม่ต้องรับประทานอาหารร่วมกับประจิตรเพียงสองต่อสอง เพราะเกรงว่าจะไม่มีเรื่องพูดกัน ! ! !

การบริโภค ซึ่งน่าจะเงียบเหงาจึงกลายเป็นครึกครื้นอย่างผิดพลาด

“ผมไปที่บ้านคุณ ๒-๓ หน มีคนบอกว่าคุณยังไม่กลับทุกที” หลวงชาญฯ กล่าว “ออกนึกแปลก เอ๊ะ ไปไทรโยคยังไงนานนัก จนเมื่ออาทิตย์ก่อน พบประจิตรที่สโมสรถึงได้รู้ว่าคุณไปหัวหิน”

สุนทรีถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

“ก่อนนั้นไม่ได้พบกันหรือคะ?”

“ไม่ได้ครับ เป็นอย่างไรไม่ทราบ”

“แล้วคุณหลวงไม่ได้กรายไปหัวหินเลยเทียวหรือคะ?”

“ผมไม่เคยไปหัวหิน ในฤดูที่ใครๆ เขาไปกันเลย ไปหนเดียวแล้วเข็ดเลย ไม่ไปอีก เวลาร้อนๆ เป็นบ้าแล้วก็สีต่างๆ บาด​ตามากนัก โดยมากผมไประหว่างกรกฎา-สิงหา เวลานั้นที่หัวหินสบาย อากาศดี”

“แต่ฝนตกนี่คะ แล้วเราก็เล่นน้ำทะเลก็ไม่ได้”

“ฝนตกก็ตกทุกวันเมื่อไหร่ บางปีดีกว่ากรุงเทพฯ อีก ไม่มีฝนเลย แล้วอาบน้ำทำไมจะอาบไม่ได้ ผมอาบทุกวัน คอยระวังๆ ตัวหน่อย อย่าให้เพลินนักก็แล้วกัน แล้วในฤดูนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่มีแมงกะพรุนเมื่อไหร่”

“ดิฉันก็เคยไปเหมือนกัน เวลาโรงเรียนหยุดเทอมต้น แล้วก็อาบน้ำได้เกือบทุกวันเหมือนกัน” สุนทรีสารภาพแกมหัวเราะ “ที่อาบน้ำไม่ได้น่ะเป็นส่วนน้อยหรอก”

แล้วหลวงชาญฯ ถามถึงไทรโยคว่าเป็นอย่างไรและซักถามถึงน้ำตก แก่งสำคัญ และน้ำเชี่ยวอย่างที่สุดตามที่เขาจำได้จากหนังสือพระราชนิพนธ์ สุนทรีก็ตอบตามที่หล่อนเห็นมา ครั้นแล้วมิช้า สุนทรีก็เพลิดเพลินไปในการสนทนานั้น เกิดความสนุกชื่นบานดังได้เห็นไทรโยคมาปรากฏที่หน้าเป็นครั้งที่สอง

ตอนหนึ่งหล่อนหยุดตอบคำถามของหลวงชาญฯ หันไปกล่าวกับประจิตรพร้อมกับหัวเราะ

“รายนี้ฟังเป็นครั้งที่สองแล้วเบื่อไหม?”

ประจิตรพอใจราวกับว่า หล่อนได้แสดงความปรานีต่อเขาเป็นพิเศษอย่างเอก รีบตอบในเสียงหัวเราะอย่างแช่มชื่น

“ไม่เบื่อหรอก ระวังอย่าเล่าให้ผิดกับหนที่หนึ่งก็แล้วกัน ฉันกำลังคอยจ้องจะขัดคอ”

​เจ้าหล่อนหัวเราะอย่างสดใส หลวงชาญฯ เสนอปัญหาขึ้นอีกว่า

“พอคุณออกเดินทางไปทางโน้น ผมไปนึกถึงบทร้องเขมรไทรโยคขึ้นได้ คุณเห็นจะร้องเป็นกระมัง?” แล้วหลวงชาญฯ ก็กล่าวถึงพระนามท่านผู้ทรงนิพนธ์บทนั้น

“อ๋อ ร้องได้ค่ะ” สุนทรีตอบ “เราร้องกันไปตลอดทาง แต่ไม่จบสักเที่ยวเดียว เพราะเรามัวแต่ตื่นเต้นกันมากเกินไป ภูมิประเทศตามทางมันเปลี่ยนเรื่อยนี่คะกำลังร้องๆ เห็นนั่นเห็นนี่ อ้าว หยุดร้องไปทักสิ่งที่เห็นเสียแล้วพอร้องใหม่ อ้าวเห็นของใหม่ อย่างคนอ่านหนังสือยังไงบางคนอ่านฟังเพลิน บางคนอ่านฟังไม่เป็นรส”

สุนทรีวางตะเกียบพาดไว้บนปากชาม ตามองไปดูสุทัศน์ผู้ซึ่งนั่งตรงกับหล่อน เห็นเขาจ้องดูหล่อนอย่างจริงจังก็นึกกระดาก จึงพูดตามตรงพร้อมกับหัวเราะ

“แหม อายแล้วละ ให้คุณหลวงชาญฯ ว่าเถอะ”

“ผมว่าก็ได้” หลวงชาญฯ รับอย่างอารมณ์ดี แล้วเขาก็ตั้งต้น

“บรรยายความตามไท้เสด็จยาตร ยังไทรโยคประพาสพนาสนฑ์ ไม้ไล่หลายพันธุ์คละขึ้นปะปน ที่ชายชลเขาชะโงกเป็นโตรกธาร น้ำพุฟุ้งซ่าน เสียงฉาดฉาดฉานเห็นตระการ มันไหลจ็อกโครมจ็อกโครม

น้ำใสไหลจนดูหมู่มัสยา เป็นเหล่าหลายว่ายมาก็เห็นโฉม ยินปักษาซ้องเสียงเพียงประโคม ยามเย็นพยับโพยมร้องเรียกรัง ​เสียงนกยูงทอง มันร้องโด่งดังหูเราฟัง มันดังก็อกๆ กระโต้งโห่ง”

หลวงชาญฯ หยุดว่าแล้ว สุนทรีเห็นสุทัศน์ยังก้มหน้าดูผ้าปูโต๊ะนิ่งอยู่ นึกเชื่อเอาเองว่าเขาคงจะไม่รู้รสแห่งความไพเราะในบทนั้นเลย จึงถามครึ่งเล่นครึ่งจริง

“รู้สึกว่าเพราะไหมคะ?”

เขาเงยหน้าขึ้นดูหล่อน แล้วตอบช้าๆ อย่างตรึกตรอง

“ยังต่อความไม่ค่อยติด”

“ท่านผู้นี้ เป็นโรคไม่เข้าใจภาษาที่เป็นบทกลอน” หลวงชาญฯ ว่า

“ผมก็ยอมแพ้” ประจิตรกล่าว “แต่ผมคุยได้ว่าผมเคยอ่านหนังสือมหาชาติจบ”

“มหาชาติอะไร?” หลวงชาญฯ ถาม

“เอ๊ะ เวสสันดรน่ะซี คุณหลวงจะแพ้ผมหรือนี่?”

สุนทรีหัวเราะแล้วชี้แจง

“คุณหลวงหมายถึงมหาชาติสำนวนไหน มหาชาติมีหลายสำนวน มหาชาติคำหลวง มหาชาติกลอนเทศน์ มหาชาติร่ายยาว แล้วยังมีอีกหลายอย่าง ที่เธออ่านน่ะแบบไหน?”

“โอ้โฮ ยังงั้นก็จนด้วยเกล้า ใครจะไปตอบถูก”

“ผมเชื่อว่ามีคนที่จะตอบถูก” สุทัศน์เสริม

“เห็นจะจริง” หลวงชาญฯ รับอย่างตรึกตรอง “พวกที่ไปเมืองฝรั่งแต่เด็กๆ มักจะไม่ค่อยรู้เรื่องหนังสือไทย”

“เอ๊ะ ผมรู้หลายเรื่องนะ” สุทัศน์อวดเพื่อนสนุก “พระ​อภัยมณี ขุนช้างขุนแผน รามเกียรติ์ ผมเคยอ่านทั้งนั้นแหละ”

“จบไหม?” หลวงชาญฯ ถามและหัวเราะ “ผมกลัวว่าจะอ่านแต่ที่หน้าปก”

“จบบางเรื่อง” อีกฝ่ายหนึ่งตอบและหัวเราะด้วย

“แล้วชอบไหมคะ?” สุนทรีถามด้วยความสนใจจริงๆ

“ชอบมั่งไม่ชอบมั่งครับ บางเรื่องอ่านเป็นเดือนๆ กว่าจะจบ คือว่าอ่านๆ แล้วก็ทิ้ง อีกนานถึงจะจับอ่านใหม่”

“ว่างๆ ขอแรงอ่านอิเหนาอีกสักเรื่องหนึ่งได้ไหมคะ?”

“โอแหมเวลานี้กำลังอ่านอยู่แล้วครับ น้องแกเอามาทิ้งไว้ให้” เบือนหน้าไปทางหลวงชาญฯ “น้องผมเป็นพวกคุณหลวง เจ้าบทเจ้ากลอนเป็นที่หนึ่ง แล้วถ้าแกพูดอะไรผมไม่รู้เรื่องละก็ แกโกรธเอาด้วย หาว่าหูป่าตาเถื่อน”

“หูป่าตาเทดน่ะ ไม่ใช่เถื่อนหรอก” หลวงชาญฯ แก้

“‘เทด’ ของคุณหลวงสะกดยังไงคะ?”

“ไม่ทราบครับ ผมเห็นเขาสะกดกันด้วยตัว ศ. แต่ถ้าให้ผมสะกดจะสะกดด้วยตัว ด. เพราะหลักของผมมีอยู่ว่ายังไงๆ ก็ยึด กน กก กด กบ กม เกยไว้ก่อน”

“แล้วมันผิดกันยังไง ‘เทด’ กับ ‘เทศ’ น่ะ?” ประจิตรถาม

“ความหมายอันเดียวกันแหละ แปลว่าไม่ใช่ไทย”

“ขอบใจคุณสุนทรี ที่ถามถึงตัวสะกดขึ้น” สุทัศน์ว่า “เมื่อตะกี้ผมไม่เข้าใจว่าหลวงชาญฯ ว่าอะไรผม”

“แต่ถึงเข้าใจแล้วก็ไม่โกรธไม่ใช่หรือคะ?”

​“ก็มันจริงของเขา จะโกรธยังไง”

“อีกประการหนึ่ง มันถูก ‘ปมเขื่อง’ มันไม่ถูก ‘ปมด้อย’” ประจิตรว่า

“ไม่จริงเลย” สุทัศน์คัดค้าน “ผมถือว่าการไม่รู้ภาษาไทยนี่เป็นจุดอ่อนแอของผม เป็น ‘ปมด้อย’ ไม่ใช่ ‘ปมเขื่อง’ เป็นอันขาด”

“ก็ใครเขาว่าการไม่รู้ภาษาไทยเป็นปมเขื่องล่ะ” หลวงชาญฯ แย้ง “ความเขื่องมันอยู่ที่ว่าไม่รู้ เพราะเหตุว่าได้ไปเมืองฝรั่งเสียต่างหาก”

“ไม่จริง ไม่จริง” สุทัศน์ยืนยัน หน้าแดงขึ้นเมื่อเกิดความต้องการอย่างจริงจังที่จะพิสูจน์ตัวให้พ้นจากข้อหา “ผมไม่ได้ถือยังงั้น”

“ผมก็เชื่อ” หลวงชาญฯ ว่าพลางหัวเราะ “ประจิตรหาความคุณต่างหาก”

“แหม ! หลวงชาญฯ คนนี้ตลบแตลงจัง” ประจิตรเอ่ยขึ้นพร้อมกับหัวเราะดัง คนอื่นๆ ก็พลอยหัวเราะเพราะเห็นขึ้นไปกับเขาด้วย รวมทั้งตัวหลวงชาญฯ เอง

พอเสร็จการรับประทานสักครู่ สุนทรีก็พยักหน้ากับประจิตรเป็นความหมายว่า หล่อนต้องการจะกลับบ้านแล้ว หล่อนกล่าวขอบคุณหลวงชาญฯ กับสุทัศน์ และชวนให้เขาทั้งสองไปหาหล่อนยังที่อยู่ในเวลาหลัง

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ประจิตรส่งสุนทรีที่หน้าห้องของหล่อน ​กล่าวคำอวยพรสำหรับเวลากลางคืนแก่หล่อนที่ตรงนั้น แล้วก็ไปยังห้องของเขา

ต่อมาอีกสักครู่ สุนทรีได้ยินเสียงสองเสียงโต้ตอบกันเบาๆ เสียงหนึ่งเป็นเสียงหญิงผู้ใหญ่ อีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงประจิตรเอง เสียงหญิงดังอยู่เรื่อยๆ เป็นระยะนานๆ จึงมีเสียงชายสลับขึ้นครั้งหนึ่ง แต่ภายหลังได้ยินเสียงชายหัวเราะดังกั้กๆ อยู่ในลำคอ สุนทรีทิ้งหวีลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง และกล่าวในใจว่า

“คุยกับแม่ยาย !”

หล่อนเข้ามุ้ง สวดมนต์ด้วยจิตใจอันว่อกแว่กเกือบจะไม่รู้ตัวว่าทำสิ่งใดอยู่ เพราะเสียงพูดที่ยังได้ยินอยู่เรื่อยนั้นกวนหูหล่อนอย่างประหลาด ตอนหนึ่งหล่อนหยุดสวดคิดว่า “นังคนสาวหายไปไหนเสียล่ะ” ครั้นได้สติก็สวดพระคาถาต่อไปโดยเร็ว

เมื่อล้มตัวลงนอน สุนทรีบอกแก่ตัวเองว่าหล่อนถือเอาเสียงที่ได้ยินมาเป็นกังวล ก็เพราะว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่หล่อนไม่รู้เหตุการณ์ในบ้านที่หล่อนอยู่โดยประจักษ์ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่หล่อนไม่อาจไปยังห้องประจิตรเพื่อดูว่าเขาสนทนากับใคร หรือแม้แต่จะถามเขาหล่อนก็หาอาจถามไม่ เพราะฉะนั้นจึงเป็นธรรมดาที่หล่อนต้องนึกรำคาญ

เสียงที่ทำให้สุนทรีสวดมนต์วกวนในคืนวันหนึ่งนั้น ยังคงมีอยู่เรื่อยๆ เป็นระยะติดต่อกันหลายวันบ้างหรือเว้นวันสองวันสามวันบ้าง ในเวลาต่อมา

ตลอดเวลานี้ สุนทรีสังเกตเห็นว่าประจิตร ‘รู้อยู่’ ขึ้นกว่า​แต่ก่อน

เขายังคงติดสโมสร ติดเพื่อน และลืมเวลาอาหารบ่อยๆ แต่เวลาที่เขากลับมาถึงบ้านในตอนกลางคืนนั้นหัวค่ำขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก

บางหมู่เขารับประทานอาหารค่ำที่บ้านเป็นระยะติดๆ กันหลายวัน และเมื่อรับประทานแล้ว ดูเขาไม่มีความเดือดร้อนในการหาที่ไป หรือเดือดร้อนในการหาเรื่องฆ่าเวลาในทันทีที่สุนทรีออกปากว่าจะ ‘ทำงาน’ ดูเขาช่างเคารพต่อวาจาของหล่อนเสียเหลือเกิน เขามักจะเอออวย เดินตามมาส่งหล่อนเพียงแค่หน้าห้อง แทนที่จะเข้าข้างใน และนั่งลงออดอ้อนต่อหล่อนเหมือนเช่นเคย แล้วเขาก็เข้าในห้องของเขา และเสียงสนทนาและเสียงหัวเราะดังขึ้น

คืนใดที่โปรแกรมภาพยนตร์แสดงว่า จะฉายภาพยนตร์ชั้นดี ประจิตรยังคงชวนสุนทรีให้ไปดูด้วยกันกับเขาดังแต่ก่อน ซึ่งสุนทรีก็รับชวน แต่มีบางคืนที่เขาออกจากบ้านไปโดยไม่บอกกล่าวหล่อน ในคืนเช่นนั้นสุนทรีย่อมระวังเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่พาตัวไปยืนเยี่ยมหน้าต่าง ด้วยกลัวตัวเองจะเห็นว่าประจิตรนั่งรถไปกับใคร

แต่ถ้าแม้ว่าสุนทรีจะระวังตัวเป็นอย่างดี มิให้ตัวต้อง ‘ได้เห็น’ หล่อนก็จำเป็นที่จะต้อง ‘ได้รู้’ เพราะหล่อนมีเพื่อนผู้หญิงมาก และเพื่อนของหล่อนย่อมจะรู้จักประจิตรเกือบทุกคน เขามักจะรายงานแก่หล่อนว่า เขาเห็นประจิตรกับหญิงแปลกหน้า รูปร่างท้วมๆ ขาวๆ ที่นั่นบ้าง ที่นี่บ้าง หลายแห่ง และมากที่สุดเขาเห็นในโรงภาพยนตร์

สุนทรีไม่เคยประจัญหน้ากับประจิตรพร้อมกับนางลำเจียก​แม้แต่สักครั้งเดียว ถ้าหล่อนจะได้เห็นนางลำเจียกบ้างก็เป็นเวลาที่ประจิตรไม่อยู่ในที่นั้นด้วย และส่วนนางลำเจียกเมื่อเห็นสุนทรีก็พยายามจะหลบ บางคราวอาการหลบของนางเปิดเผยเกินไป ทำให้สุนทรีเกิดโมโห

แต่นางลำใยมารดานางลำเจียกนั้นตรงกันข้าม เมื่อเห็นสุนทรีอยู่ที่ใด ก็พยายามจะเข้าหา แต่เข้าไม่ติด ด้วยคุณผู้หญิงแห่งบ้านนี้เป็นที่ยำเกรงแก่คนในบ้านมาก นางลำใยเป็นคนใหม่มาก็พลอยเกรงไปด้วย บางคราวสุนทรีสังเกตเห็นทั้งสีหน้าและแววตาของนางเต็มไปด้วยความใคร่ที่จะประจบ ใจของหล่อนอ่อนลงด้วยความเมตตา ก็ยิ้มให้นางหรือปราศรัยด้วยสักคำหนึ่ง นางก็ยิ้ม ตรงกับคำที่ว่า ‘แก้มแทบปริ’ และเก็บคำที่สุนทรีพูดด้วยไป ‘คุย’ กับคนใช้ในบ้านอีกหลายวัน

ฝ่ายประจิตรเอง ในตอนต้นก็ไม่เคยเอ่ยนามลำเจียกแก่สุนทรี สุนทรีได้จัดห้องให้นางลำเจียกและมารดาอยู่บนตึก ทั้งจัดเครื่องเรือนให้ตามที่เห็นสมควรด้วย ประจิตรได้ทราบแล้วก็หาเอ่ยปากถึงเรื่องนี้แก่สุนทรีแม้แต่สักคำหนึ่งไม่ แต่ภายหลังเมื่อเขาสังเกตเห็นสุนทรีแสดงกิริยาอาการต่อเขาเหมือนดังในกาลก่อนไม่ผิดเพี้ยน เขาได้ใจก็เริ่มกล่าวขวัญถึงนางลำเจียกและมารดาของนาง ต่อหน้าสุนทรีบ้าง

ครั้งหนึ่งเขาเล่าให้สุนทรีฟังว่า นางลำเจียกชอบเครื่องอาภรณ์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นอาภรณ์ที่ทำด้วยทองคำหรือนาก หรือเพชร หรือพลอย “เห็นเข้าละตัวสั่น อยากได้”

​แล้วเขาก็หัวเราะ สุนทรีนึกถามตัวเองว่า ข้อขำของเรื่องนี้มีอยู่ที่ตอนใด?

อีกครั้งหนึ่งเขาเล่าว่า เขาได้แนะนำนางลำเจียกให้ดัดผมของนางเป็นแบบเดียวกับผมสุนทรี แต่นางไม่เชื่อเขา แล้วเขาจึงเสริมด้วยเจตนาจะยอผู้ฟัง “โง่เหลือเกินตัวอย่างดีๆ มีไม่ดู ไปเอาอย่างไอ้บ้าๆ อะไรก็ไม่รู้”

บางคราวเขาเล่าว่านางลำเจียกนั้นเปรียบเหมือนตุ๊กตา จับวางที่ไหนก็อยู่ที่นั่น “บอกให้นั่งก็นั่ง บอกให้นอนก็นอน ร้อยวันไม่พูดสักคำหนึ่ง สู้แม่ไม่ได้ แม่เก่งรอบตัว นวดก็ที่หนึ่ง จนเดี๋ยวนี้ฉันชักจะติดมือแก”

สุนทรีฟังแล้วก็คิดอยู่ในใจว่า “กำลังรักก็อยากพูดถึง ถ้าไม่พูดก็เห็นจะอกแตก” แล้วหล่อนก็ยิ้มเพราะไม่รู้ที่จะทำสิ่งใดดีไปกว่านั้น

แล้วภายหลังประจิตรก็พูดเรื่องบุคคลสองคนนี้บ่อยขึ้น เช่นเดียวกับที่เขาเคยพูดเรื่องต่างๆ ทั่วไปแก่สุนทรี

ครั้งหนึ่ง คำพูดของประจิตรเกือบจะทำให้สุนทรีระงับถ้อยคำ อันใกล้ไปในทางหมิ่นประมาทไว้ไม่อยู่

เรื่องมีอยู่ว่า สุนทรีกับประจิตรกลับจากดูภาพยนตร์ด้วยกัน ภาพยนตร์ที่เขาดูมาแล้วนั้น เป็นเรื่องหนักไปในทางความลำบากของหญิงหม้าย ที่จะต้องเลือกความรักระหว่างลูกชายและคู่รักของนาง มีคำพูดที่ซาบซึ้ง จับใจผู้ดู สุนทรีปรารภว่า

“แหม ! หนังยังงี้ไม่ไหว ดูแล้วปวดหัว จะปล่อยให้น้ำตา​ไหลออกมาก็อายเขา”

ประจิตรก็เอ่ยขึ้นว่า

“อะไรถึงกับยังงั้น ลำเจียกไม่เห็นแกเป็นอย่างนี้เลย ยิ่งกว่าเรื่องนี้แกก็ไม่เคยร้องไห้”

สุนทรีรู้สึกว่าใบหน้าของหล่อนร้อนผ่าว คำพูดอันรุนแรงแล่นขึ้นสู่ริมฝีปาก แต่พร้อมกันนั้นความนึกทุเรศในใจก็เกิดขึ้นด้วย “ผู้ชาย ! เขาไม่เคยลืมตาขึ้นประมาณคนรักของเขาเลยว่าแค่ไหน” คิดได้ดังนี้แล้วสุนทรีก็หัวเราะขึ้นด้วยเสียงอันดัง

 

79

๒๔

รถขบวนเพชรบุรี-กรุงเทพฯ ต้องเสียเวลาเป็นพิเศษระหว่างทางปลายระยะ จึงถึงปลายทางช้ากว่ากำหนด เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องสงสัยว่าผู้โดยสารจะไม่พากันบ่นแล้ว

บ่นอีกด้วยความเสียดายเวลาที่ต้องอยู่ในรถไฟนานกว่าที่ควรถึง ๑๐ นาที แต่ในที่สุดขบวนรถอันยืดยาวด้วยสินค้า ก็หยุดสนิทอยู่ในสถานีหัวลำโพง ผู้โดยสารที่มีของแต่พอมือพากันแย่งทางลง ส่วนผู้ที่มีของมากต้องหาผู้ช่วยขนหรือคอยรถเข็น ก็พากันแย่งช่องหน้าต่างเพื่อส่งของลง ทั้งนี้ด้วยความที่มีใจร้อนเป็นพื้นอยู่ด้วย และยังรำคาญด้วยพนักงานทำความสะอาดในรถ ซึ่งถือเครื่องมือเข้ามามีท่าทางคล้ายกับจะ ‘เชิญ’ ผู้โดยสารให้ไปพ้นเสียโดยเร็ว เพื่อเขาจะไม่ต้องเสียเวลารอ มิหนำซ้ำพนักงานบางนายยังลงมือปัดฝุ่นก่อนที่รถจะว่างคน

​คณะเที่ยวไทรโยคก็ใจร้อนไม่ผิดผู้โดยสารอื่นๆ และความอยากพูดก็มีอยู่ไม่น้อย ต่างคนรีบยกของส่งให้ผู้มารับบ้าง ยืนชี้ให้ฝ่ายเขาเป็นผู้ส่งให้คนอื่นอีกต่อหนึ่งบ้าง แล้วปากก็พูดจ้ออยู่กับผู้ที่มารับนั้นเอง โดยมิได้คำนึงว่าเขาจะมีเวลาฟังให้ตลอดหรือไม่

สุนทรีได้แจ้งกำหนดกลับอันแน่นอน ไว้แก่ผู้ที่อยู่ร่วมเคหะเดียวกับหล่อนทุกคน คือตั้งแต่ตัวประจิตรเองจนถึงคนใช้ ทั้งนี้เพื่อกันมิให้เขาพากันลืมส่งรถมารับหล่อน และเนื่องจากเวลารถควรถึงสถานีเป็นเวลาก่อนเที่ยง หล่อนไม่ได้คาดว่าจะได้พบประจิตรที่สถานีด้วย ครั้นเมื่อหล่อนเห็นเขาเดินตรงมายังหน้าต่างที่หล่อนยืนอยู่ หล่อนรู้สึกดีใจเป็นอันมาก ยื่นมือชะโงกหน้าออกไปหาเขา และพูดด้วยสีหน้าแสดงความปิติและประหลาดใจระคนกัน

“ทำไมถึงมารับได้ ไม่นึกเลยว่าเธอจะมา”

เขาจับมือหล่อนบีบแล้วก็ปล่อยในทันที หันไปสั่งคนใช้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังให้ขึ้นบนรถเพื่อขนของ

แล้วเขาหันกลับมาทางสุนทรี และพูดด้วยน้ำเสียงซึ่งฟังดูค่อนข้างจะห้วนสักหน่อย เพราะเป็นน้ำเสียงที่ไม่เหมาะแก่เวลาและโอกาส

“รถช้าตั้ง ๑๐ นาที เมื่อแรกคิดว่าจะพาเธอไปส่งบ้านแล้วเลยกินข้าวกลางวัน แต่นี่ไม่ทันเสียแล้วต้องรีบไปหาอะไรกินที่ใกล้ๆ แล้วกลับไปที่กระทรวง”

สุนทรียิ้มอย่างอารมณ์ดีเพราะเห็นขัน ด้วยคิดว่าเขาพื้นเสียเพราะต้องคอยรถนานเกินกว่าที่เขาคาดนั่นเอง แล้วหล่อนพูดว่า

​“ยังงั้นก็รีบไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง อีก ๓ ชั่วโมงพบกันใหม่”

หล่อนยิ้มให้เขาอีก เป็นยิ้มที่งามน่าดูเป็นหนึ่งจนประจิตรก้มหน้าลงเสีย แล้วหันหลังเดินจากหล่อนไปทันที

“ใจเร็วละเท่านั้นเสียเอง” สุนทรีปรารภในใจ รอยยิ้มยังปรากฏที่ริมฝีปาก

สิ่งของต่างๆ ขึ้นอยู่บนรถเข็นเรียบร้อยแล้ว มีผู้คุมรถไปข้างหน้า ผู้เป็นเจ้าของก็ออกเดินตามไปห่างๆ ห้อมล้อมด้วยผู้มารับ ซึ่งเป็นจำนวนมากกว่าผู้ที่กลับมาถึง ทั้งสองฝ่ายปราศรัยกัน ซักถามกัน กล่าวคำต้อนรับกันไม่หยุดปากจนเกือบจะถึงต้องแย่งกันพูด มารดาของฤดีจับแขนธิดาจูงไว้ไม่ห่าง ตาจับดูธิดาราวกับยังไม่เชื่อแน่ว่านั่นคือธิดาของตน คราวใดฤดีหยุดพูดเพื่อผ่อนลมหายใจ มารดาของหล่อนก็พูดสอดขึ้นว่า “แม่เป็นห่วงจะตาย” หรือมิฉะนั้นก็ “ถ้าผิดจากคุณครูสะอาดกับคุณครูสุนทรีแล้วละก็ แม่ไม่ปล่อยให้ไปเป็นอันขาด”

ครั้งที่สุด มารดาของสายใจผู้ซึ่งต้องเป็นฝ่ายที่ฟังอยู่นานแล้วเอ่ยขึ้นบ้างว่า

“ดิฉันก็เหมือนกัน ผิดจากคุณครูสองคนนี่แล้ว ไม่ปล่อยให้ลูกไปกับใครหรอก”

“แต่คุณนายยังดีนี่คะ เพราะมีญาติอยู่ทางโน้น กะว่าจะไปกับลุงแล้วยังจะต้องเป็นห่วงอะไรอีก แหม ! ของดิฉันน่ะพ่อเขารวนอยู่นั่นเอง จะไม่ยอมให้ไปท่าเดียว แม่ลูกสาวก็จะไปให้ได้” หันไปทางผู้เป็นครูธิดา “อยากนัก อยากไปเที่ยวกับคุณครูสะอาด”

​ส่วนดรุณีทั้งสองยังเยาว์นัก ไม่รู้จักเห็นอกท่านผู้บังเกิดเกล้าในความที่ท่านเป็นห่วง ก็หันไปปรารภแก่กันอย่างปลาบปลื้ม

“ที่แท้เราไปสนุกจะตายนะ”

“ไม่เห็นอะไรน่ากลัวสักหน่อย มีแต่ของสวยๆ งามๆ”

ด้วยประการดังกล่าวนี้ เขาพากันมาถึงหน้าสถานีแล้วก็ร่ำลาแยกทางกันไป

ฝ่ายสุนทรี เมื่อกลับถึงบ้าน รับประทานอาหารกลางวันแล้ว รู้สึกอ่อนเพลียและง่วงเป็นกำลัง จึงนอนหลับไปจนบ่าย

หล่อนตื่นขึ้นเมื่อ ๑๕ นาฬิกากว่า อาบน้ำแล้วก็รู้สึกสบายตัวและสดชื่นในใจ แล้วหล่อนเที่ยวเยี่ยมห้องต่างๆ บนตึกเพื่อตรวจความสะอาด ปราศรัยกับคนใช้คนละคำสองคำ ต่อจากนั้นก็ลงจากตึกไป ตรวจดูตามบริเวณอื่นต่อไป

หล่อนออกจากครัวเดินช้าๆ ไปยังที่ๆ คนในบ้านเรียกว่า ‘ที่โปรดของคุณ’ ก็มองเห็นคนแปลกหน้านั่งอยู่บนเตียงที่หล่อนเคยนั่งรับประทานน้ำชา เป็นหญิงสาวรูปร่างท้วม ผิวขาว มองเห็นถนัดได้แต่ไกล เมื่อเห็นสุนทรีเจ้าหล่อนมองดูอย่างทึ่งที่สุด แต่ครั้นสบตาอีกฝ่ายหนึ่งมองดูบ้าง เจ้าหล่อนก็ลุกขึ้นจากเตียง เดินอ้อมหลีกไปทางที่สุนทรีเพิ่งเดินออกมา

สุนทรีเดาว่าหญิงนั้นคงจะเป็นคนที่รู้จักกับคนใช้คนใดคนหนึ่งในบ้านของหล่อน มาเยี่ยมเยียนกันตามที่หล่อนเคยรู้และเห็นบ่อยๆ และเนื่องจากที่หญิงแปลกหน้ามีรูปโฉมพอดูได้ สุนทรีก็รู้สึกทึ่งเล็กน้อย และหมายใจไว้ว่าภายหลัง จะต้องถามคนใช้ดู​ให้รู้ว่าเจ้าหล่อนเป็นใคร มาหาผู้ใด

สุนทรีกลับขึ้นตึกได้สักครู่ใหญ่ ประจิตรก็มาถึงบ้าน

พอได้ยินเสียงรถ สุนทรีก็โผล่หน้าออกไปต้อนรับเขาที่หน้าต่าง ประจิตรกวักมือเรียกหล่อนให้ลงไปข้างล่าง หล่อนทำท่าสงสัยเล็กน้อยแล้วก็ทำตามโดยดี

เมื่อเห็นเขาอยู่ในห้องรับแขกมิได้นั่ง เดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าเก้าอี้ สุนทรีจึงถามพร้อมกับทำหน้านิ่วแต่พองาม

“จะมีแขกมาอีกหรือ?”

“เปล่า” ประจิตรลงเสียงตอบ “ทำไม?”

“วันนี้ยังไม่ต้องการแขกจนนิดเดียว อยากคุยกันสองคนมากกว่า แล้วเธอเป็นยังไงถึงต้องมาพักที่นี่?”

“ขี้เกียจขึ้นกระได” ตอบแล้วประจิตรทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นวมตัวหนึ่ง

ทันใดนั้น เขาเกิดความรู้สึกถึงน้ำหนักแห่งคำพูดของสุนทรีที่ว่า “อยากคุยกันสองคนมากกว่า” เขามองดูหล่อนคล้ายกับเขาพึ่งเห็นหล่อนเดี๋ยวนี้ แล้วเกิดความคิดว่าเขาควรจะสวมกอดหรือจุมพิตหล่อนได้ ในโอกาสที่เขากับหล่อนพึ่งจะได้พบกัน หลังจากที่จากกันไปเกือบสองสัปดาห์ เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วเขาก็อยากทำตามที่คิดเป็นกำลัง

“เธอดำไปมาก” เขาเอ่ยขึ้น “แต่สวยขึ้นเยอะ”

“ขอบใจ” สุนทรีตอบ ซ่อนความกระดากและปราโมทย์ไว้ในหน้า “เธอน่ะไม่เปลี่ยนเลยยังไงยังงั้น” หล่อนเน้นคำท้ายพร้อม​กับยิ้มและค้อนให้ด้วย

แล้วถามสืบไป

“ไปอยู่หัวหินกี่วัน?”

“สองคืน”

“เท่านั้นเองแหละ?”

“ไปสองหน หนละสองคืน พักโฮเต็ล ขี้เกียจเปิดบ้านเป็นการใหญ่แล้วก็ว้าเหว่”

หล่อนยิ้มรับคำหลังของเขา แล้วถาม

“ได้รับรางวัลอะไรมั่งไหม?”

“ได้อะไร ! เจ๊งไม่เป็นท่า หมู่นี้เรามัวแต่เท็นนิสออกเรื่อยๆ จะไปสู้ใครไหว เล่นสำหรับสนุกแปลกๆ ที่ อ้อ ต้องรีบบอกเดี๋ยวจะลืม พบคุณอรุณ....”

“อรุณไหนเพื่อนนักเรียนเก่า หรือเพื่อนครู?”

เขาหัวเราะและตอบว่า

“พบสองอรุณ ที่จะเล่าน่ะ อรุณเมียไอ้เทียมตาของผัวมีลูก ๓๐๐ คน เพื่อนนักเรียนหรือเพื่อนครูของเธอ ฉันก็เหลือที่จะจำ”

“อ๋อ! นั่นเพื่อนนักเรียนโรงเรียนเก่า พระยาวิจิตรสารการ ลูกเขาไม่ถึง ๓๐๐ คน หาว่าเขามีลูก ๓๐๐ !”

“ไม่รู้หรือ เห็นยั้วเยี้ยเหลือเกินนี่ แห่กันไปที่โฮเต็ลที่ละหลายโหลหนวกหู ซนยังกะลิง....”

หล่อนค้อนให้อีกพร้อมกับหัวเราะแล้วว่า

“เล่าเรื่องอรุณไปเถอะ”

​“เขาถามว่าเธอหายไปไหน”

“เพราะเขาพบเธอที่หัวหิน แล้วไม่ได้พบฉัน?”

“ไม่ใช่ เขาว่าเธอหายคล้ายๆ กับหายไปจากกรุงเทพฯ เพราะเขาไม่ได้พบเธอนมนานเต็มทีแล้ว ฉันบอกว่าเขาเองน่ะแหละเป็นคนหาย เธอน่ะไปไหนๆ บ่อยๆ ไม่ใช่ว่าเก็บตัวเป็นนางห้อง เขาตอบว่าเขามัวแต่เลี้ยงลูก มีลูก ๔ คนแล้ว ฉันก็เลยบอกว่าจะเตะไอ้เทียมให้ เขาสั่งบอกเธอว่าให้ไปหัวหินให้ได้จะได้พบกัน ไอ้เทียมซื้อที่ไว้กำลังปลูกบ้าน”

“แล้วอรุณอีกคนหนึ่งเล่า?”

“คนนี้สั่งให้เตือนเธอว่ากลับจากไทรโยค แล้วอย่าลืมไปหัวหิน เขาจะยังอยู่ที่นั่นอีกนาน จะกลับต่อเดือนพฤษภา แล้วก็....เขาจะเขียนจดหมายมาชวนเธออีก”

สุนทรียิ้มอย่างไม่สู้สนใจนัก ปัญหาเรื่องหัวหินนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนโรงเรียนปิดเทอม สุนทรีไม่แน่ใจว่าจะไปหัวหินอีกหรือไม่ หลังจากที่ได้ไปไทรโยคแล้ว แต่ในระยะสามวันก่อนที่จะถึงกรุงเทพฯ สุนทรีจึงตัดสินใจได้เด็ดขาด...ถ้าประจิตรจะไปหัวหินหล่อนจะไป ถ้าเขาอยู่ในกรุงเทพฯ หล่อนก็จะอยู่ด้วย

ดังนั้นหล่อนจึงถาม

“เธอจะไปอีกไหม?”

ประจิตรสั่นศีรษะ “เห็นจะไม่ แต่ก็เอาแน่ไม่ได้”

หล่อนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ด้วยเขาตอบไม่ตรงกับใจหล่อนปรารถนา แต่ไม่ยึดถือเอาไว้นาน ถามต่อไปว่า

​“กรุงเทพฯ ร้อนมากไหม? ทางที่ฉันไปร้อนแต่เวลากลางวัน ตกกลางคืนเย็นถึงกับต้องห่มผ้า ฉันนึกถึงเธอว่ากลางคืนจะคลั่งเรื่องร้อนยังไงมั่ง แต่แล้วก็นึกว่าเธอคงจะไปตากลมอยู่ทางหัวหินเหมือนกัน”

ประจิตรอึดอัด เป็นไฉนสุนทรีจึงปรานีต่อเขามากนัก น้ำเสียงของหล่อนฟังดูไม่มีแง่มีงอนเหมือนอย่างเคย ทำให้จิตใจของเขาอ่อนแอไป แล้วเขาตอบช้าๆ อย่างตริตรอง “ปีนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยร้อน เห็นจะเป็นที่มีฝนตกมั่ง” เว้นระยะเล็กน้อยแล้วจึงว่า “ไม่เห็นเล่า ไปเที่ยวสนุกยังไง ไทรโยควิเศษแค่ไหน”

หล่อนหัวเราะเบาๆ แล้วตอบ

“ฉันขี้เกียจฉายหนังซ้ำ เพราะตั้งใจว่าเย็นวันนี้จะไปหาคุณพระ มาถึงวันนี้ก็ควรจะไปวันนี้ ถูกไหม? แล้วก็หวังเอาอย่างแน่นอนว่าเธอจะไปด้วย เพราะฉะนั้นเล่าทีเดียวให้ได้ฟังกันทั่วๆ ดีกว่าเวลานี้ขอฟังเรื่องของเธอก่อน”

เขายิ้มอย่างไม่นึกสนุก อยากจะบอกแก่หล่อนว่า เขาก็มีเรื่องที่อยากจะเล่าให้หล่อนฟังเป็นอย่างยิ่งเหมือนกัน แต่คำพูดหาผ่านริมฝีปากเขาออกมาได้ไม่ เมื่อหล่อนอยู่ใกล้ไปจากเขา เขารู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งธรรมดา เขาอาจจะเล่าแก่หล่อนโดยไม่ต้องเลือกเฟ้นถ้อยคำอย่างใดเลย แต่ครั้นเมื่อวันกลับของหล่อนย่างเข้ามาใกล้ เขารู้สึกคล้ายกับว่าเรื่องนั้นแปรรูปเป็นเรื่องสำคัญมากขึ้นทุกที จนกระทั่งขณะนี้ เมื่อหล่อนนั่งอยู่ตรงหน้าเขา มีวงหน้างามผุดผ่อง ดวงตาหวานคม อ่อนโยนหยดย้อย เขาเกิดความรู้สึก​ว่าได้เป็นผู้กระทำผิดอย่างสำคัญ ทั้งนี้โดยไม่รู้แน่ว่าผิดในแง่ไหน แต่เขาก็กำลังพยายามยืดเวลาแห่งการเจรจาเรื่องที่ข้องอยู่ในใจเขา ให้นานออกไปมากที่สุดที่จะมากได้

“มาถึงบ้านพบอะไรแปลกมั่ง?” เขาถามขึ้น

“ไม่เห็นมีอะไรแปลก” สุนทรีตอบโดยซื่อแล้วถาม “อะไรแปลก เธอซื้อรถใหม่หรือ?”

“เปล่า” เขาลงเสียงตอบ “ถามดูเผื่อจะเห็นอะไรแปลก แม่บ้านไม่อยู่เสียหลายวัน”

สุนทรีนึกได้ถึงหญิงแปลกหน้าที่หล่อนเห็น จึงพูดแกมหัวเราะ

“อ้อ ! มีแปลกอยู่อย่างหนึ่ง ผู้หญิง สวยด้วย แต่ก่อนไม่เคยเห็นมา จะเป็นญาติหรือพวกพ้องใครใครไม่รู้ ยังไม่ได้ถาม”

สีหน้าประจิตรเปลี่ยนไปเล็กน้อย มองดูผู้พูดอย่างจะค้นหาความจริงอะไรสักสิ่งหนึ่ง ครั้นสบตาสุนทรีมองดูตนอย่างนึกฉงนขึ้นบ้าง ก็ลุกจากที่พร้อมกับพูดว่า

“จะไปหาคุณอาก็ไป ขอเวลาอาบน้ำ ๕ นาที เธอคอยอยู่ที่นี่นะ”

“เอ๊ะ ! ทำไมต้องกะเกณฑ์ให้คอยที่นี่ ฉันก็จะต้องแต่งตัวเหมือนกัน”

“ถ้างั้นก็ขึ้นไปพร้อมกัน พอเสร็จก็ไปทีเดียว”

“เสร็จแล้วต้องกินน้ำชาก่อน เธอเองน่ะไม่หิวหรือ?”

“ยังงั้นแต่งตัวเสร็จแล้วกลับลงมากินน้ำชาที่นี่ ฉันจะสั่งเขา​เอง”

สุนทรีนึกแปลกในใจ แต่หล่อนก็รู้อยู่ว่า ประจิตรเป็นบุคคลที่มี ‘ความแปลก’ แสดงต่อหล่อนบ่อยครั้ง จึงขึ้นบันไดไปกับเขาโดยไม่โต้แย้ง

เนื่องจากสุนทรีได้เสียเวลาไปเล็กน้อย ในการเจรจากับนางสาวใช้ เรื่องเสื้อผ้าที่หล่อนได้นำไปไทรโยคด้วย ประจิตรจึงแต่งตัวเสร็จก่อนหล่อน และได้มายืนคอยหล่อนอยู่บนเชิงบันไดเป็นครู่ พอหล่อนออกจากห้องเขาก็จับมือหล่อนจูง เดินเคียงกันไปจนถึงห้องรับแขก และนั่งลงรับประทานน้ำชาด้วยกัน

ระหว่างที่รถกำลังแล่น จะไปยังบ้านพระวนศาสตร์ฯ สุนทรีกับประจิตรสนทนากันถึงเรื่องเบ็ดเตล็ดต่างๆ ซึ่งเมื่อรวมกันเข้าแล้ว ก็ไม่มีเรื่องที่แปลกผิดจากเมื่อก่อนที่สุนทรีจะออกเดินทางเลย ทำให้สุนทรีนึกขำตัวเอง....ตนได้จากกรุงเทพฯ ไปเพียง ๑๒ วันเท่านั้น เหตุไฉนจึงสำคัญคิดว่าจะได้ฟังเรื่องใหม่ๆ ราวกับว่าตนได้จากที่เกิดไปอยู่ต่างประเทศเป็นปีๆ ทั้งนี้สุนทรีมิได้สำนึกว่า การอยู่ห่างไกลจากบุคคลผู้เป็นที่รักแม้เพียงเวลาอันสั้น ผู้ไปห่างมักจะรู้สึกเสมือนตนได้จากเขาไปนาน และโดยนัยนี้ก็ยึดถือเอาความนานแห่งเวลาในอารมณ์ของตนนั่นเอง เป็นปัจจัยให้คิดคาดว่าจะมีสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ เกิดขึ้นหลายประการ

ที่บ้านพระวนศาสตร์โกศล สุนทรีได้เป็นผู้พูด ที่ยึดความเอาใจใส่ของผู้ฟังไว้อย่างดียิ่ง หล่อนเล่าถึงระยะทางที่หล่อนผ่านบรรยายภูมิประเทศด้วยถ้อยคำสำนวน อันชวนให้ผู้ฟังเห็นงาม​ไปตามหล่อน เขาริมน้ำประปรายที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง บางแห่งเป็นหน้าผาชัน เกลี้ยงเกลาดังขัดด้วยมือคน บางแห่งขรุขระ เป็นช่องเป็นโพรงเป็นถ้ำ บางแห่งมีหินปูนจับเป็นช่อย้อยดูดังม่านหิน ลำธารบางแห่งแคบ บางแห่งคด บางแห่งกว้างเกือบสุดสายตา บางคราวน้ำเขียวนิ่งสนิท บางคราวน้ำใสดังกระจกเห็นก้อนกรวดโตถนัดอยู่ภายใต้ ที่บางแห่งเป็นที่เรียว น้ำไหลคว้าง ก้อนหินอยู่ระเกะระกะปริ่มพื้นน้ำ ต้องปลดเรือโยงใช้แรงคนลาก เพื่อประคองเรือให้อยู่ในร่อง บางคราวเมื่อถึงเรียวใหญ่ แรงคนหาพอกับแรงน้ำไม่ เรือกระทบแก่งจังๆ หลายครั้ง บางคราวก็จวนเจียนจะเสียท้ายขวางลำทำให้เป็นที่น่าหวาดเสียว

ในตอนท้าย หล่อนเล่าถึงการไปดูจระเข้ในยามดึก และการลงเรือไปดูจระเข้เจ้าในเวลาหัวค่ำ มารดาเลี้ยงของหล่อนทำท่าพรั่นพรึง น้องเล็กขยับตัวเข้าทับตักมารดา จับแขนมารดาไว้แน่น คล้ายกับว่าได้เห็นจระเข้ใหญ่ปรากฏอยู่ ณ ที่นั้น

ประจิตรเอ่ยขึ้นว่า “แหม ! เราไปด้วยก็ได้ยิง”

“ฉันนึกถึงเธอเหมือนกัน” สุนทรีตอบพร้อมกับยิ้ม “แต่นึกด้วยว่าไม่ยอมให้ยิ่งเป็นแน่ เพราะชาวบ้านแถบนั้นเขาถือกันมาก เขาไม่กลัวจระเข้ แต่เขากลัวคนจะทำร้ายจระเข้ เพราะถ้าทำเข้าแล้ว ทีหลังพวกเขาจะต้องลำบาก จระเข้ที่ไม่ดุ ก็กลายเป็นดุ เขาว่าผีสิง”

พระวนศาสตร์ฯ กับประจิตรยิ้มอย่างเห็นขัน แต่นางวนศาสตร์ฯ พยักพเยิดอย่างเห็นด้วย

​ราว ๒๒ นาฬิกา สุนทรีจึงลาจากท่านผู้บังเกิดเกล้า ประจิตรขับรถเร็วมากขึ้น และออกนอกทางไปไกล สุนทรีมีความแช่มชื่นเต็มเปี่ยมอยู่ ก็มิได้ทักท้วงไต่ถาม จนมาถึงที่สงัดไกลจากย่านแห่งยวดยานและชุมนุมขน ประจิตรจึงหยุดรถแอบเข้าที่ริมถนนแห่งหนึ่ง

เขาจุดบุหรี่ ดูดแล้วอัดโดยแรง ๒-๓ ครั้ง รวบรวมความกล้าให้มากขึ้น พอขยับจะพูดก็ได้ยินเสียงสุนทรีเอ่ยขึ้นว่า

“ฉันเก็บเรื่องการเดินทางไว้บางส่วน ไม่เล่าที่บ้านคุณพระ กลัวแม่เลี้ยงจะ....กรี๊ดกร๊าด....”

“เป็นยังไง” ประจิตรถาม น้ำเสียงปร่าพิกล ลืมเรื่องที่ข้องใจเสียทันที “ธิดาข้าหลวง....”

“ทำไม?” สุนทรีถามด้วยความพิศวง

เขากลับได้สติ จึงถอนใจแล้วพูดด้วยเสียงธรรมดา

“เปล่า....เธอว่าแกเป็นพ่อม่ายไม่ใช่หรือ?”

“น็อนเซ็นส์” สุนทรีอุทานพลางหัวเราะ “บอกแล้วว่าเขาไม่ได้ไปด้วย มีคนอีกคนหนึ่ง ฉันไม่ได้นึกไม่ได้ฝันเลยว่าเขาจะไปกับเราด้วย ลูกสาวหลวงประเสริฐฯ”

“ฉันก็มีเรื่องที่เกี่ยวกับหลวงประเสริฐฯ จะเล่าให้เธอฟัง” ประจิตรกล่าวด้วยไม่อาจจะทนนิ่งอยู่ได้อีกต่อไป

“ยังงั้นหรือ? เอ้าอยากเล่าก่อนก็เล่าไป”

ประจิตรเริ่มต้นเล่าเรื่องของเขา เรื่องที่ได้ทำให้เขาอึดอัดใจมาหลายชั่วโมงเต็มทีแล้ว

​ความมีอยู่ว่า เมื่อสุนทรีไปแล้วได้สองวัน มีหญิงกลางคนคนหนึ่งมาหาเขา แจ้งว่าเป็นแม่ยายหลวงประเสริฐฯ และชื่อลำไย หญิงนั้นปรับทุกข์ว่า ตั้งแต่หลวงประเสริฐฯ สิ้นชีวิตแล้ว นางก็ตกระกำลำบาก เพราะอัตคัดขาดแคลนเป็นอย่างยิ่ง นางเที่ยวสืบเสาะหาตัวบุตรชายหลวงประเสริฐฯ หาอยู่นานจึงได้พบตัว ได้ขอร้องให้เขาเกื้อกูลนางบ้าง แต่นางได้รับคำตอบจากนายประพันธ์ว่า เขาเองก็ขัดสนหนักหนา และแนะนำให้นางมาหาประจิตรเอง

ประจิตรได้รับปากจะจ่ายเงินให้ทันทีเป็นจำนวน ๕๐ บาท นางกราบไหว้ยกยอบุญคุณ แล้วพูดอ้อมค้อมไปมาทำให้เขางงอยู่นาน ในที่สุดจึงได้ความว่า อันเงินนั้นใช้เพียงครู่หนึ่งยามเดียวก็จะหมดไป นางต้องการที่พึ่งที่ยั่งยืน ให้แก่บุตรและตัวนางเอง กล่าวโดยสั้นก็คือนางขอยกบุตรีของนางให้แก่ประจิตร เป็นข้าช่วงใช้ดังที่นางได้ยกให้หลวงประเสริฐฯ มาแล้ว

“สาธุ !” สุนทรีอุทานแล้วหัวเราะ “แล้วเธอรับไหม?”

เขาดีใจที่หล่อนพูดอย่างสนุกเช่นนั้น จึงรีบตอบ

“คอยเถอะฉันกลัวหลวงประเสริฐฯ แกมาหักคอ” แล้วเขาเล่าเรื่องต่อไป

เขาชี้แจงแก่นางลำไยว่า นิสัยของเขานั้นรังเกียจหญิงม่าย เขาเป็นนักเที่ยว เจ้าชู้ อาจจะผ่านพบนางสาวที่สาวแต่ชื่อมามากก็จริง แต่นั่นเขายกให้ เพราะเป็นอาชีพของบุคคล ในที่สุดเขาได้ให้เงินแก่นาง ๕๐ บาทตามที่ว่าไว้ นางรับแล้วก็ลากลับไป

แต่ครั้นภายหลังจากนั้นอีกสองวัน นางมาหาเขาอีกพาบุตรี​มาด้วยคนหนึ่งและแจ้งแก่เขาว่า เจ้าหล่อนเป็นน้องของหญิงที่เป็นภรรยาหลวงประเสริฐฯ หลังจากที่ได้ฟังคำวิงวอนจนอ่อนหูแล้ว ประจิตรจึงจำใจรับหญิงนั้นไว้

“อ๋อ ! ถ้ายังงั้นก็คือหญิงที่ฉันเห็นเมื่อบ่ายน่ะซี แล้วเธอรับลูกของเขาไว้ยังไง จะเลี้ยงในฐานะอย่างไหน?”

สุนทรีก็เป็นผู้ที่รู้จักโลกพอควรอยู่ แต่ด้วยเหตุที่จิตใจของหล่อนใฝ่ฝันไปแต่ในทางสูง ห้วงคิดมักจะเดินไกลจากความเป็นจริงในโลกไปบ้าง คำถามที่หล่อนถามนั้นจึงมีความหมายในทางดี แต่ประจิตรนั้นเป็นชายเคยแก่การเกลือกกลั้ว กับธรรมชาติแห่งสัตว์โลก คิดไกลไปจากความหมายอันแท้จริงแห่งคำถามที่เขาได้ฟังแล้ว ก็รีบตอบอย่างร้อนรน

“ก็รับๆ ไปยังงั้น เลี้ยงอย่างคนใช้ ไม่เอาออกหน้าออกตา ดูท่าทางก็เห็นเป็นคนซื่อ เห็นจะไม่มีพิษมีสงอะไร”

ประจิตรนิ่งไปแล้วเป็นครู่ สุนทรียังจับความจริงไม่ได้ถนัด แต่ในทันทีที่ความเข้าใจเกิดขึ้นแก่หล่อน สุนทรีรู้สึกเหมือนแผ่นดินใต้รถได้ยุบลง ทำตัวของหล่อนให้หล่นฮวบลงในที่ลึก

เมื่อรวบรวมสติได้แล้ว สุนทรียังมิรู้ที่จะพูดหรือแม้แต่คิดว่ากระไรต่อไป ครั้นแล้ว ดูเหมือนความรุ่มร้อนในใจหล่อน จะทำให้ร่างกายของประจิตรต้องความร้อนไปด้วย เขาบ่นขึ้นว่า

“แหม ! คืนนี้ร้อนจริง อ้าวฝนหรือไง”

“กลับบ้านเห็นจะดี” สุนทรีกล่าวเสียงต่ำและเบามาก

“ไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ ฉันหิว วันนี้กับข้าวบ้านคุณอา​ไม่มีอะไรถูกปากเลย”

“ถ้าเธอใจดีพอ พาฉันไปส่งบ้านเสียก่อน”

น้ำเสียงที่พูดชัดเจนและมีกังวานดีกว่าเก่า ด้วยเหตุที่ความรู้สึกของหล่อนกำลังแรงมาก สุนทรีได้พยายามอย่างดีที่สุด ที่จะมิให้อีกฝ่ายหนึ่งระแคะระคายในความรู้สึกนั้น

“พิโธ่ ! แล้วจะเกณฑ์ให้ฉันไปนั่งกินคนเดียวรึ? ไม่ไหวซี ไปด้วยกันหน่อยเถอะน่ะ เดี๋ยวเดียวแหละ”

สุนทรีมีความคิดอันแจ่มกระจ่างอยู่ในสมอง ว่าประจิตรกับหล่อนได้ขาดจากการเป็นผู้ที่จำเป็นแก่กันและกันในบัดนี้เป็นต้นไป ดังนั้น หล่อนจึงตอบอย่างเด็ดเดี่ยว

“ขอโทษ ฉันเพลียเหลือเกิน อยากนอนเร็วๆ”

“ไม่ไปก็ไม่ไปด้วยกันน่ะซี กลับบ้านนอนแต่หัวค่ำก็ดีเหมือนกัน”

พร้อมกับที่พูด ประจิตรนึกถึงการสัมผัสอันถูกอารมณ์ซึ่งเขาได้รับจากธิดานางลำไย........ฉะนี้เจ้าหล่อนคงตั้งตาคอยเขาอยู่ !

พอรถเลี้ยวเข้าประตูบ้าน สุนทรีก็เตรียมเปิดประตูรถไว้พร้อมแล้ว พอรถจอดยังไม่ทันนิ่งสนิท หล่อนก็ลงจากรถรีบสาวเท้าขึ้นบันได ตั้งใจจะให้ถึงห้องนอนและปิดประตูใส่กลอน ก่อนที่ประจิตรจะขึ้นถึงชั้นบน แต่ฝ่ายเขาก็มีความว่องไวไม่น้อย เดินตามมาทันหล่อนตรงช่องทางระหว่างหน้ามุขกับบันไดชั้นสอง จับข้อมือหล่อนไว้และพูดเสียงค่อนข้างเบา

​“เธอช่วยขยับขยายหาห้องบนตึกให้ลำเจียกอยู่หน่อยนะ ฉันรับปากกับเขาไว้ว่าจะให้แม่เขามาอยู่ด้วย เวลานี้หาที่ไม่ได้ ห้องไหนๆ ก็เต็มไปหมด”

สุนทรีมิได้ชักมือจากมือเขา แต่หล่อนรู้สึกว่าโลหิตที่มือแล่นขึ้นสู่หัวใจจนสิ้น อาศัยความคิดที่เกิดขึ้นในอึดใจนั้น ตอบเขาว่า

“เสียใจ ฉันจะไปหัวหินพรุ่งนี้” แล้วนึกเกรงเขาจะเดาความคิดของหล่อนถูกจึงเสริม “กลับมาแล้วจึงค่อยพูดกันใหม่”

“เอ๊ะ ! ไหนว่าจะไม่ไปยังไงล่ะ?” ประจิตรกล่าวด้วยความพิศวงจากใจจริง “เธอบอกว่าจะไม่ไปไม่ใช่หรือ?”

หล่อนฝืนหัวเราะแล้วตอบว่า

“ยังไม่ได้บอกว่ากระไรทั้งนั้น แต่ว่าจะไปพรุ่งนี้รถเช้า”

“มันก็มีอยู่รถเดียวเท่านั้นแหละ แต่ทำไมถึงรีบไปนักล่ะ กลับมาเห็นหน้ากันยังไม่ทันกี่ชั่วโมง พูดกันยังไม่กี่คำ”

ฟังน้ำเสียงของเขา ดูจริงใจมาก จึงทำให้สุนทรีเห็นใจมากขึ้น คิดอยู่ว่า “เท่าที่พูดมาแล้วน่ะพอเสียยิ่งกว่าพอ สำหรับที่จะไม่ต้องพูดอีกเลยตลอดชีวิต” แต่สุนทรีไม่ตอบว่ากระไรทั้งสิ้น ดึงมือจากมือเขาโดยละม่อมแล้วก็ขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอน

 

80

๒๓

คณะเที่ยวไทรโยค ถึงที่หมายในตอนบ่ายวันที่ ๖ แห่งการเดินทาง

ภูมิลำเนาแถบนี้มีลักษณะแปลกประหลาด บางแห่งเป็นป่าก็ป่าอย่างแท้จริง ทั้งลำน้ำ หาดทราย เขาใหญ่ ต้นไม้ มีลักษณะชวนให้คิดเห็นว่าหวงแหนความอิสระไม่ยอมขึ้นต่ออำนาจของมนุษย์เหล่าใด จระเข้ในแดนนี้ก็เป็นจระเข้เจ้า เป็นที่เกรงขามแก่ชาวเรือ ลิงก็เป็นลิงที่ขึ้นอยู่แก่เจ้าแห่งขุนเขา มนุษย์ไม่บังอาจที่จะกล้ำกราย ตลอดจนถึงนกก็มีนางไม้เป็นที่พึ่ง ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดในแถบนี้กล้าหาญพอที่จะทำร้าย

ในบางแห่งที่อยู่ห่างจากป่าไม่ถึงคุ้งน้ำ มีลักษณะเป็นบ้านก็เป็นบ้านอย่างแท้จริง เขาใหญ่กลายเป็นที่เที่ยว หาดทรายเป็นที่ลงเล่นน้ำ ต้นไม้เป็นที่ร่มเย็น และสัตว์ เช่น ปลาและจระเข้ ​ก็คุ้นเคยกับมนุษย์เป็นอันดี

ดังนี้ เรือเที่ยวทั้งสองลำจึงเลือกที่ใกล้หมู่บ้านเป็นที่จอดเพื่อความปลอดภัย แต่ที่นั้นก็ไม่ไกลจากป่านัก เพราะความงามแห่งภูมิประเทศอันเป็นป่าแท้ๆ ย่อมเป็นที่พึงปรารถนาของนักเที่ยว

ครั้นเลือกที่ได้แล้ว ผู้โดยสารก็ย้ายจากเรือมาดมาลงเรือยนต์ แล่นขึ้นไปทางเหนือเพื่อชมภูมิประเทศอันแปลกตาต่อไป และเพื่อจะได้อาบน้ำที่น้ำโจน อันเป็นที่ขึ้นชื่อลือนามว่างดงามน่าพิศวงที่สุดในถิ่นนี้

เรือยนต์แล่นช้าๆ ไปตามลำน้ำ ซึ่งมีกระแสนิ่งสนิทและดูใสแต่เขียวคล้ำดังหนึ่งน้ำทะเล ตลิ่งสองข้างทางทั้งซ้ายขวาเป็นเขาชันสูงลิ่วเกินขนาดคอตั้งบ่า ยอดตัดตรงดิ่งลงถึงใต้พื้นน้ำ เมื่อเรือแล่นไประหว่างกลาง ก็ดูประหนึ่งแล่นอยู่ระหว่างกำแพงเขา และโดยที่เขานั้นเป็นพืดต่อไปไม่สิ้นสุด และดูขึงขังตระหง่านพิลึกมหึมาและปราศจากพืชพันธุ์อันเขียวสด ก็ชวนให้ใจนึกหวาดไปว่า อาจมีมนุษย์หรือสัตว์ร้ายมายืนเด่นให้เห็นตัว ในขณะใดขณะหนึ่งก็ได้ บางแห่งหน้าผาชะโงกออกมาเป็นเพิงใหญ่ สูงจากน้ำในระยะท่วมศีรษะคน และกว้างพอที่จะบรรจุเรือลำเขื่องๆ ได้ทั้งลำ ที่นั้นคนเรือกล่าวว่าเป็นวังจระเข้ บางแห่งน้ำใสไหลรินออกมาตามช่องเขาแตก ทำพื้นหินใต้เพิงให้เป็นสีเขียวคล้ำด้วยตะไคร่น้ำที่จับอยู่จนหนา เหนือนั้นไม้ใหญ่แลดูไกลก็เห็นเป็นไม้เล็ก ฝูงลิงไต่เต้าตามยอดเขาโล้นแลดูขนาดเท่าตุ๊กแก ถึงกระนั้นก็ดูเห็นเป็นสัตว์ดง ซึ่งถ้ามนุษย์เข้าใกล้ก็จะเป็นภัยแก่ตัว

​เสียงเครื่องยนต์ อันเป็นสิ่งที่เป็นไปด้วยอำนาจมนุษย์ มิได้ทำให้ลักษณะความป่าเถื่อน แห่งภูมิประเทศลดถอยลง ตรงกันข้าม เมื่อเสียงเครื่องเรือกระทบขุนเขาทำให้เกิดเสียงก้องอยู่ไม่ขาด ก็ยิ่งทำให้เกิดความวังเวงเยือกเย็นเป็นทวีคูณ

สภาพแห่งภูมิประเทศเหล่านี้ ทำให้ใจคนตื่นเต้นอย่างแรงกล้า แต่ก็สภาวะเหล่านี้แหละมีอำนาจกดความตื่นเต้น ให้อยู่ในความเงียบเชียบ นักท่องเที่ยวทั้งหมดเก็บความรู้สึกไว้ในใจ หวาดหวั่นเสียงสะท้านอย่างไรพิกล

แล้วเรือก็ออกจากกำแพงเขา มาสู่ทางระหว่างตลิ่งหินอันมีรากอยู่ใต้พื้นน้ำ และส่วนบนที่สุดอยู่เสมอแผ่นดิน แถบนี้ใบไม้ต้นไม้เขียวสดขึ้น มีลิงซึ่งแสดงความทึ่งในมนุษย์ มีนกบินไปมาตามยอดไม้ ความมีชีวิตจิตใจปรากฏอยู่โดยทั่ว ทำใจคนให้คิดเห็นเป็นที่สำราญ

และแถบนี้มีเสียงก้องสนั่นหวั่นไหว เป็นเสียงน้ำกระทบน้ำกระทบหิน ไม่ช้าผู้โดยสารเรือก็พร้อมกันอุทานขึ้นด้วยความพิศวง เมื่อมองเห็นเขาน้ำโจนปรากฏเด่นอยู่ตรงหน้า

เป็นลูกเขาขนาดน่าเอ็นดู ขาวโพลน ปกคลุมด้วยกระแสน้ำที่โจนลงมาเป็นหน้ากระดาน ด้านข้างแยกย้ายไปตามแอ่งหินรูปกลม ซึ่งเรียงเป็นลดหลั่นดังขั้นบันได ด้านกลางตกลงบนเพิงผา อันมีลักษณะเป็นอ่างลึกขนาดใหญ่ ล้นจากอ่างกลางจึงหลั่งลงในอ่างย่อย ซึ่งเรียงแถวเป็นขั้นๆ ติดต่อกันไปอีก จากนั้นโจนลงในลำแคว หยดน้ำที่กระเด็นเป็นฝอยเป็นแสงแวววาวระยับมิได้ผิด​แสงแก้ว

ความงามแห่งน้ำตกนี้ ทำให้งามพิศผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง ชะโงกหน้าออกนอกเก๋งเรือ บีบมือตัวเองพลางร้องว่า

“ต๊ายตาย ! เกิดมาไม่เคยเห็นอะไรสวยอย่างนี้”

คนอื่นๆ หันมามองดูพร้อมกัน พิศวงด้วยเหตุที่เขาได้เห็นหล่อนแสดงความตื่นเต้นถึงขีดสุดเช่นนี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ออกเดินทางมา แล้วเขาก็พากันยิ้มบ้าง หัวเราะบ้างพร้อมกับสนับสนุนด้วยคำพูดหรือสีหน้า งามพิศเองมิได้รู้สึกตัว ทั้งดวงตาและจิตใจของหล่อนยังจับแน่วอยู่ที่น้ำพุนั่นเอง

เรือแล่นจากพุนี้ไปสู่พุที่สอง เป็นลูกเขาขนาดน่าเอ็นดูอีกเหมือนกัน แต่กลมกว่า กะทัดรัดกว่า กระแสน้ำพุ่งกระจายออกมาถึงกลางลำแคว........มีการโต้เถียงกันระหว่างผู้ดูว่า พุนี้กับพุแรกไหนจะงามกว่ากัน จนเรือเข้าเทียบริมตลิ่ง แล้วยังไม่เป็นที่ตกลงกันได้

เรือหยุดเพื่อให้ผู้โดยสารขึ้นดูต้นน้ำพุ ตลิ่งแถบนั้นรกด้วยพงหญ้า เถาวัลย์ และรากไม้ อีกทั้งเป็นตลิ่งชันยากแก่การปีนป่าย ผู้นำทางขึ้นไปก่อนมีมีดคู่มือตัดเถาวัลย์ และพงหนามที่เกะกะเป็นอันตรายแก่ผิวหนังและลูกตา นายสวงตามขึ้นไปเป็นคนที่สอง หาที่ยืนได้มั่นแล้ว มือหนึ่งจับกิ่งไม้ อีกมือหนึ่งเตรียมที่จะคอยช่วยรั้งตัวสตรีพยุงให้ขึ้นได้ สุนทรีเป็นคนคล่อง จึงถือเอาความช่วยเหลือของนายสวงเป็นประโยชน์ได้ก่อนใครโดยไม่ยากนัก งามพิศคล่องไปกว่าสุนทรีและใจกล้ากว่ามาก อีกนัยหนึ่งไม่​ทันนึกกลัวว่าถ้าล้มลง คนอื่นเขาจะหัวเราะให้ตัวอาย ก็หาทางขึ้นได้โดยไม่ต้องอาศัยลำข้อของนายสวง และขึ้นได้โดยสวัสดิภาพพร้อมกับสุนทรี ครูสะอาดอ้วนมาก จะปล้ำตัวขึ้นที่สูงได้ด้วยความยากยิ่ง ก็มองดูตลิ่งอย่างท้อแท้ และขอร้องว่าจะเป็นผู้ขึ้นทีหลังที่สุด ส่งศรีหวีดหวาดหลายครั้ง ไม่แน่ใจว่าจะวางเท้าลงแห่งใด ครั้นวางลงแล้วก็ลื่น ทำท่าจะล้มไม่หยุด นายสวงต้องละจากที่มั่น ประคองตัวไปส่งจนถึงบนตลิ่ง

ในระหว่างนั้น ครูฉลวยกับครูบุญช่วยเริ่มปรึกษากันว่า ต้นน้ำพุนั้นจะงดงามเพียงไหน คนเรือคนหนึ่งก็พูดเปรยๆ กับเพื่อนของเขาว่า

“ก็มีแต่ดินกับน้ำกับรากไม้” แล้วเขาก็หัวเราะ

ครูฉลวยกับครูบุญช่วยมองดูตากัน ครูสะอาดพูดว่า

“จริงๆ นะ มีเท่านี้แหละ ฉันเคยเห็นมาหลายแห่งแล้ว ไอ้ที่งามมันอยู่ตรงปลายน้ำต่างหาก”

“รึคะ?” ฤดีถามอย่างสนใจที่สุด แล้วหันไปทางสายใจ “ถ้าจะไม่คุ้มกับความลำบากเสียละกระมัง?”

แล้วทั้งสี่ก็สั่นศีรษะอย่างท้อแท้

เหตุฉะนั้น เมื่อนายสวงกลับมาถึงที่มั่นเดิม ครูสะอาดจึงตะโกนขึ้นไปว่า

“ไม่มีใครขึ้นอีกแล้ว ขี้เกียจคลาน ที่ขึ้นไปแล้วก็ไปกันเถอะ กลับเร็วๆ หน่อยก็แล้วกัน”

การปีนตลิ่งก็ยากอยู่แล้ว เพราะที่ชัน ครั้นพ้นตลิ่งมาถึงที่ราบ​ก็ยังยากไม่น้อยกว่า เพราะที่ลื่นที่แฉะ เบื้องต่ำรากไม้เกะกะขัดขวางการก้าวเท้า ก้าวไม่เหมาะก็ประทุษร้ายแข้งขา เบื้องสูงเถาวัลย์พันกิ่งไม้มีหนามระยะพอเหมาะกับคอและหน้า ผู้เดินต้องก้มที เงยที เหลียวที หลีกหลบเครื่องกีดขวาง และเท้าก็ต้องก้าววางอย่างระมัดระวัง เพราะที่ลื่นมีอยู่ทั่วไป

ผู้นำทางเดินนำไปข้างหน้า สุนทรีพยายามจะเดินให้ทันแต่ไม่เป็นผล เพราะเขาเดินเร็วเสียยิ่งกว่าที่สุนทรีจะเดินได้บนถนนลาดยางในพระนคร งามพิศจวนจะล้มหลายครั้งเพราะตาคอยมองจับอยู่ที่สุนทรี และใจก็คอยเป็นห่วงกลัวสุนทรีจะล้ม ขาของหล่อนจึงก้าวเร็วไม่ทันสายตา ตอนหนึ่งหล่อนหักห้ามความขลาดเสียได้กล่าวแก่สุนทรีว่า

“คุณคะ ให้ดิฉันไปหน้าเถอะ ดิฉันจะคอยช่วยคุณ”

สุนทรีหยุดเดิน หันมาดู แล้วหัวเราะพร้อมกับพูดว่า

“ฉันอยากรู้ว่าทำไมเธอถึงจะเก่งกว่าฉัน?”

งามพิศตอบอย่างหน้าตาเฉย

“เก่งกว่าค่ะ ดิฉันไม่กลัวล้ม”

สุนทรีมองไปตามทางที่หล่อนผ่านมาแล้ว เห็นนายสวงกับส่งศรีอยู่ห่างเกือบสี่วา เขาทั้งคู่จับมือกันอยู่ นายสวงเดินเยื้องมาข้างหน้า ทั้งนี้เห็นจะเป็นเพราะเขาต้องทำทั้งหน้าที่นำและหน้าที่จูง นายร้อยตำรวจกับคนเรืออีกสองคนเดินตามมาเบื้องหลัง คนเรือมองดูหนุ่มสาวคู่นี้อย่างเห็นสนุก

เหงื่อหยดตามหน้าสุนทรี ทั้งที่รู้สึกว่าความเปียกเย็น มีอยู่​ทั่วไปในบริเวณที่หล่อนยืนอยู่นี้ หล่อนใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อพลางปรารภว่า

“แหม ! ผู้ชายอยู่เปล่าๆ สามคน มาให้เราขอยืมคนละคนก็จะดีหรอก”

“ป่วยการค่ะ” งามพิศตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงอย่างเดิม “ลองให้เขามานำเราเดี๋ยวเดียวเขาก็จะหนีออกหน้าเราไป เหมือนอีตาคนโน้น”

สุนทรียังปรารมภ์ต่อไปอีก

“เสียดายไม่ได้เอานายจี๊ดของเรามาด้วย”

งามพิศมองดูผู้พูด ครั้นแล้วก็ตัดสินใจเด็ดขาด หลีกขึ้นหน้าสุนทรีพร้อมกับชวน “ไปเถอะค่ะ” แล้วออกเดินทันที

งามพิศมีวิธีช่วยสุนทรีได้จริงเหมือนว่า เมื่อหล่อนหาทางด้วยตาแล้ว ทั้งลำตัวลำขาของหล่อนก็ทำหน้าที่หลบหนาม และข้ามเครื่องกีดขวางได้ว่องไว จนมีเวลาเหลือพอที่จะให้คำเตือนแก่สุนทรี ในวิธีคล้ายบอกแถวทหาร กล่าวคือ เมื่อหล่อนลอดกิ่งไม้แล้ว หล่อนก็บอกว่า “ระวังที่เท้า” และในเมื่อไม่มีเสียงบอก สุนทรีก็ก้าวไปตามสบาย

เดินไปพอจะเต็มเหนื่อย ก็พบผู้นำทางยืนอยู่ เขามองดูหญิงทั้งสองอย่างเห็นขัน บอกแก่หล่อนว่า “ถึงแล้ว” พร้อมกับชี้มือไปเบื้องหน้า แล้วก็หัวเราะคล้ายจะถามว่า “วิเศษยังไงมั่ง?”

สุนทรีมองดูเขาอย่างฉงน แล้วเดินตามงามพิศไปอีก ๒-๓ ก้าว จึงเห็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่เกือบเท่าสระ มีน้ำใสท่วมท้นขึ้นพ้น​ขอบ ไหลบ่าไปทางริมตลิ่ง ที่ใกล้แอ่งนี้มีก่อไผ่ลำใหญ่ถนัด ขนาดโตกว่าไม้ไผ่บ้านจนเกือบจะจำไม่ได้ว่าเป็นพันธุ์เดียวกัน อีกทั้งมีใบใหญ่ดกหนา จึงทำที่ตามแถวธารให้ร่มมืดจากดวงตะวัน ในแอ่งน้ำมีไม้ใหญ่ รากยาวไขว้เขวเห็นร่ำไรอยู่ในน้ำ ลำต้นคดค้อม ใบบาง แต่ยิ่งใหญ่แยกจากคบน้อมลงจรดกลางธาร แอ่งน้ำนี้เองเป็นที่ส่งน้ำไปยังพุริมตลิ่ง แต่ที่เกิดอันแท้จริงแห่งน้ำในแอ่งนี้จะอยู่ที่ใดไม่มีผู้ยืนยัน

ด้วยความที่อยากรู้ อยากเห็น อยากสนุกมากกว่ากลัวอันตราย งามพิศรั้งชายซิ่นขึ้นเพียงเข่า ค่อยๆ หยั่งเท้าลงในแอ่ง แล้วใช้มือจับกิ่งไม้ ค่อยพยุงตัวบ้างโหนบ้าง ปีนบ้าง ไปจนถึงขอบแอ่งอีกฝั่งหนึ่ง ที่ตรงนั้นมีหินเป็นหย่อม งามพิศปีนข้ามหินไป มีช้าก็ถึงปลายทางแห่งลำธาร

งามพิศตบมือด้วยความปิติ หันกลับมาเรียกสุนทรี แต่เสียงน้ำตกดังกลบเสียงหล่อนเสีย ก็กวักมือพร้อมกับพยักเพยิด สุนทรีหัวเราะและส่ายหน้า งามพิศก็โดดจากชะง่อนหินกลับมาที่ริมแอ่ง

“มาซีคะ” หล่อนตะโกนสุดเสียง ใช้มือป้องปากไว้ด้วย “งามเหลือเกินค่ะ” สุนทรีสั่นศีรษะอีก งามพิศก็ก้าวลงในแอ่ง แล้วสาวเท้ามาตามทางเก่าอย่างว่องไว

หยุดยืนในที่นั้น ระยะใกล้สุนทรีพอพูดกันได้ยิน งามพิศกล่าวอย่างร้อนรน

“ไปเถอะค่ะ น่าดูเหลือเกิน มาถึงแล้วไม่ดูให้จบยังไงได้ ​เดินมาง่ายๆ นี่คะ ไม่ลำบากอะไรเลย”

สุนทรีมองดูผู้นำทางเป็นเชิงหารือ แต่ฝ่ายเขาหาเข้าใจไม่ก็ ก็ยืนยิ้มเฉยเสีย แล้วสุนทรีก็เกิดนึกสนุกขึ้นบ้าง จึงก้าวเท้าลงในแอ่งน้ำ

งามพิศเดินมารับ จับมือสุนทรีไว้มั่น ช่วยพยุงให้เดิน

พอหญิงสาวคู่นี้ขึ้นจากแอ่งได้ ก็เห็นส่งศรีกับนายสวงยืนอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม ใช้ภาษาใบ้ส่งมายังอีกฝ่ายหนึ่ง

งามพิศใช้ใบ้ตอบ ชวนให้เขาบุกน้ำมา เขาปรึกษากัน นายสวงต้องการจะไปให้ถึงที่สุด ส่งศรีไม่เต็มใจ เท้าข้างหนึ่งของนายสวงอยู่ในแอ่งแล้ว ส่งศรีถอยหลังไปยืนเกาะต้นไม้ งามพิศทำท่าคะยั้นคะยอยิ่งขึ้น ครั้นเห็นเพื่อนยังเฉย หล่อนก็หันไปพยักเพยิดกับนายสวง เป็นเชิงสนับสนุนความตั้งใจของเขา ครั้นแล้วก็ขึ้นไปยืนเคียงอยู่กับสุนทรีบนชะง่อนหิน

จากที่นั่น หญิงทั้งสองมองเห็นทางน้ำที่ไหลบ่าลงบนลูกเขาได้ถนัด ความแรงแห่งกระแสน้ำทำให้กอไม้อันใหญ่และหนาลู่ราบลงกับดิน น้ำจึงไหลข้ามและโจนลงบนเนิน ตกลงบนหย่อมเขาอีกทีหนึ่ง เสียงดังแห่งน้ำนั้นดังจริง ดังสะเทือนเลื่อนลั่น ความเร็วแห่งกระแสน้ำนั้นเล่า แม้ใบไม้ตกลงระหว่างริมทาง แล้วก็จะหายลับไปกับตาในขณะที่ไม่ถึงอึดใจ ชะง่อนหินที่หญิงสาวทั้งสองยืนอยู่นั้น มีอาการสะเทือนบ่อยๆ ด้วย ชวนให้สุนทรีคิดว่า ถ้าหินพลิกแม้แต่นิดเดียว ตัวของหล่อนก็จะไหลไปกับน้ำ และหล่นบนเนินเขา ก่อนที่หล่อนจะได้ใช้ความพยายามแม้แต่สักนิดเพื่อช่วยตัว

แต่ความงามแห่งธรรมชาติที่มีภัยเจือปนอยู่ด้วยนั้น เป็น​ความงามที่มีอำนาจตรึงใจอย่างแรงกล้า สุนทรีคิดถึงอันตรายก็จริงอยู่ แต่หล่อนหาคิดที่จะรีบหนีอันตรายไม่ คงยืนมองดูสายน้ำไหลกระทบหินอย่างเพลิดเพลิน

อีก ๑๕ นาทีภายหลัง หญิงสาวทั้งสามนางกับนายสวงจึงเดินทางกลับ งามพิศหิ้วรองเท้ายางไปด้วย เพราะรองเท้านั้นเมื่อเปียกเสียแล้วก็ทำให้ลื่นหนัก แต่เมื่อสุนทรีจะถอดบ้างเพราะรู้สึกลื่นอยู่เหมือนกัน งามพิศก็ห้ามไว้ กล่าวว่าหล่อนจะเป็นผู้จูงสุนทรี และรับรองจะมิให้ล้มเป็นอันขาด

ขาลงจากตลิ่งไปสู่เรือ ไม่มีความลำบากมากนัก ด้วยเจ้าของเรือนั่งอยู่เปล่าในเรือ ก็เกิดความคิดที่จะให้ความสะดวกแก่ผู้โดยสาร จึงจัดการสับดินที่ตลิ่งชันให้เป็นขั้นๆคล้ายบันได พอเท้าเหยียบได้ถนัด

ในทันทีที่สุนทรีนั่งอยู่ในเรือแล้ว หล่อนพูดแก่เพื่อนครูของหล่อนว่า

“ไม่เสียแรงที่ลำบากไปถึงที่ๆ น้ำตกทีเดียว น่าดูจริง แต่ก็น่าเสียวไส้จริงเหมือนกัน แล้วฉันเองถ้าไม่ได้งามพิศก็คงไม่ได้เห็นที่สำคัญ” ลดเสียงเบาลงมาก “คนนำทางใช้ไม่ได้ แกไม่เอื้อเราเลย ดูเหมือนจะเห็นเราเป็นบ้า ที่อุตส่าห์ปืนป่ายย่องแย่งไปดูที่พรรค์นั้น งามพิศนำเสร็จคนเดียว”

“ทำไมแกถึงนำถูกล่ะ?” ครูสะอาดถามขึ้นอย่างทึ่ง

“เพราะว่าแกเก่ง กล้า เหมือนเด็กผู้ชายไม่มีผิด” แล้วสุนทรีก็ทอดตาไปสบตางามพิศ พร้อมกับยิ้มอย่างชื่นชม

​“ถีบรถก็เก่งนะครับ คุณงามพิศน่ะ” นายสวงเสริม “เคยถีบไปเที่ยวทางไกลด้วยกัน ผมสู้แกไม่ได้” หันไปทางส่งศรี ด้วยเจตนาจะสัพยอก เพราะถือว่าเป็น ‘ของตน’ “ยิ่งคุณส่งศรีละยิ่งแล้วเลย ไม่ถึงครึ่งทางหรอกทิ้งรถขอนั่งสามล้อกับคุณพ่อ”

เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเห็นธิดาข้าหลวงหันข้างให้เขาเฉยอยู่ ไม่หันมาโต้ตอบกับเขาเหมือนเช่นเคย

สุนทรีเล่าถึงสิ่งที่หล่อนได้เห็นมาเมื่อครู่ก่อน ฤดีกับสายใจฟังอย่างทึ่ง แล้วก็นึกเสียใจในข้อที่ตนมีความอุตสาหะน้อยนัก สายใจอยากโทษฤดีที่เป็นต้นคิด ให้หล่อนล้มความตั้งใจเดิมเสีย ฤดีนักโทษสายใจที่ได้สนับสนุนความเกียจคร้านของหล่อน ในที่สุดก็บ่นว่า

“เราไม่ควรขี้เกียจเลยนะ ได้เห็นน้ำตกแต่ไม่รู้ว่ามันตกลงมายังไง คุยไม่ได้เต็มปาก”

“ฉันก็ไม่ได้เห็น” ส่งศรีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหัวเราะขื่นๆ “ไปกับเขาหรอก แต่ไม่ได้เห็นกับเขา”

“ทำไมล่ะ?” ฤดีถามโดยซื่อ

“ไม่ใช่คนเก่งเหมือนงามพิศ” แล้วส่งศรีก็ยิ้มและยักคอนิดหนึ่ง

พอดีกับเรือมาถึงพุต้น หมู่สตรีก็ขอให้บุรุษออกจากเก๋งเรือ ปลดม่านผ้าใบลง แล้วก็จัดแจงเตรียมตัวเพื่อจะไปอาบน้ำ

เมื่อเรือจอดได้ที่ เจ้าหล่อนทุกคนก็พร้อมที่จะขึ้นจากเรือเว้นแต่ส่งศรี เพื่อนๆ พากันท้วงว่าจะอาบน้ำทั้งเครื่องแต่งตัวอย่างนี้หรือว่าไร ก็ได้รับคำตอบอย่างห้วนๆ ว่า

​“ฉันไม่อาบ”

“อ้าว ! ทำไมล่ะ?” งามพิศถาม “พิโธ่ ! ที่น่าเล่นออกจะเมื่อไหร่จะได้มาอาบที่ๆ ยังงี้อีกสักที”

“ช่างฉันเถอะ” ส่งศรีตอบ “ฉันกลัวตกเขา ฉันไม่ใช่คนกล้า”

งามพิศมองดูเพื่อนด้วยความสนเท่ห์ ฉงนในน้ำเสียงที่ได้ฟังแล้วเป็นอย่างยิ่ง สายใจนั้นเป็นทั้งญาติ คือเป็นลูกของน้าของส่งศรี และเป็นทั้งผู้ที่เคยอยู่กินร่วมกับส่งศรีเป็นเวลานาน ก็ทายใจส่งศรีได้ จึงตัดบทขึ้น

“ทำบ้าไปได้ !”

ส่งศรีหันไปทำตาเขียวกับญาติ ฝ่ายฤดียังซื่ออยู่เช่นเดียวกับงามพิศ ก็บ่นว่า

“ที่ออกเบ่อเร่อ จะตกลงไปได้ยังไง หรือขี้เกียจปีนตลิ่งอีกเป็นครั้งที่สอง”

งามพิศก็เสริม

“อีทีนี้ถึงจะขี้เกียจก็ควรจะทน ไปเถอะน่ะ ไปอาบด้วยกัน ขาดเธอเสียคนหนึ่งก็ไม่สนุกเท่านั้นแหละ”

“เฮอะ ! ขาดฉันจะเป็นอะไรไป อย่ามาเซ้าซี้เลยน่ะ บอกแล้วว่าไม่แล้วก็ไม่มั่งซี” พูดแล้วส่งศรีก็หลีกเพื่อนไปเสียทางหนึ่ง

ท่านพวกผู้ใหญ่ยืนอยู่ที่ชายตลิ่งแล้วทั้งสี่คน ฤดีกับสายใจกำลังจะกระโดดจากหัวเรือ เมื่อโดดแล้วก็รีบแจ้งข่าวว่า ส่งศรีจะไม่ขึ้นอาบน้ำ งามพิศยังคงช้าอยู่ เพราะต้องหาที่วางแว่นตาให้พ้นมือพ้นเท้าคน แต่ในที่สุดก็ไม่เห็นที่ใดดีไปกว่าที่บนเสื้อของหล่อน​เอง ซึ่งวางอยู่ข้างที่ถือท้ายเรือ

ทางขึ้นตรงนี้ก้อนหินเป็นปุ่ป่ำพอเท้าเหยียบได้ถนัด อาศัยลำแขนของบุรุษช่วยด้วยเพียงเล็กน้อย แล้วสตรีทั้งเจ็ดนางก็ขึ้นไปถึงน้ำพุได้โดยไม่ยาก

ครูสะอาดลงนั่งสบายอยู่ในอ่างกลาง สุนทรีและคนอื่นๆ แยกกันไปตามอ่างย่อย ต่างคนส่งเสียงกิ๊กกั๊กประชันกับเสียงน้ำ น้ำนั้นเย็นเฉียบ อาบอยู่นิ่งๆ ก็ทำให้เกิดความหนาว และที่นั้นก็ชวนให้เกิดความตื่นเต้น จะยืนอยู่นิ่งมิได้ เขาจึงพากันย้ายที่ไปมา ออกจากอ่างใหญ่ไปอ่างเล็ก ออกจากอ่างเล็กลงในอ่างน้อย น้ำที่กระเซ็นก็กระจายเป็นฝอย ที่ไหลลงก็ลงแรง กระทบผิวหนังด้วยกำลังหนัก ทำให้รู้สึกดังถูกมือทุบ ยิ่งเพิ่มความสนุกขบขันให้เป็นอย่างยิ่ง

ผู้ชายที่มาในลำเรือขึ้นมาอาบด้วยหลายคน แต่นายสวงมิได้รวมอยู่ด้วย เมื่อเขาส่งสุภาพสตรีขึ้นบนแล้ว เห็นว่าขาดส่งครีไปคนหนึ่ง เขาก็ย้อนกลับไปที่เรือ

เขาถามหล่อนว่าเหตุใดจึงยังไม่ขึ้นบนฝั่ง หล่อนตอบว่าหล่อนจะไม่ขึ้น ถามว่าเป็นเพราะเหตุใด ได้รับคำตอบค่อนข้างกึกกักเล็กน้อยว่า “ขี้เกียจ” เขาจึงพูดวิงวอนเพื่อให้หล่อนเปลี่ยนใจ

“ผมไม่นึกเลยว่าคุณจะขี้เกียจอย่างนี้” เขาว่า “เพียงแต่จะผลัดเสื้อเสียก่อนก็ขี้เกียจได้ ทางขึ้นก็แสนที่จะสะดวก ไม่เหมือนกับทางโน้นเลย”

“กลัวตกเขาค่ะ ดิฉันไม่ใช่คนเก่ง”

เขาไม่รู้เท่าหล่อนจึงตอบว่า

​“ผมอยู่ด้วยทั้งคน คุณยังจะกลัวอีก ! หรือไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อความสามารถว่าจะช่วยอะไรคุณได้?”

“ไม่ใช่ไม่เชื่อหรอกค่ะ กลัวจะเป็นภาระสำหรับคุณ ดิฉันเป็นคนอ่อนแอ”

เขายังไม่ไหวอยู่นั่นเอง ตอบว่า

“สำหรับที่จะคอยดูแลคุณ ผมไม่ถือเป็นภาระเลย ผมถือว่าเป็นยาอายุวัฒนะมากกว่า มาเถอะครับ ผมจะคอยอยู่ที่นี่จนกว่าคุณจะเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเสร็จ”

ส่งศรีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พูดว่า

“เผื่อคุณเต็มใจคอย ดิฉันก็จะไป แต่ต้องคอยนานนะคะ”

“นานเท่าไรก็ไม่ว่า ขอแต่อย่าให้คอยเปล่าเท่านั้นแหละ”

ส่งศรีหลบตัวหายเข้าไปในม่าน ราว ๓ นาทีภายหลัง จึงกลับออกมายืนที่หัวเรือ

นายสวงยิ้มอย่างยินดี ยื่นมือส่งให้หล่อยยึดเป็นหลักเมื่อกระโดดจากเรือ แล้วประคองหล่อนขึ้นไปจนถึงที่อาบน้ำ

ฤดีกับสายใจ พยายามที่จะเย้ยเพื่อนในข้อที่เปลี่ยนใจ เจ้าหล่อนต้องตะโกนเกือบสุดเสียง ส่งศรียิ้มเยื้อน ถือเอาการก้องของน้ำเป็นเครื่องช่วยมิให้ต้องโต้ตอบ สีหน้าของหล่อนขณะนี้มีลักษณะแสดงความชื่นบาน ไหนจะชื่นด้วยธรรมชาติรอบข้าง ไหนจะชื่นด้วยบุคคลที่ช่างเอาใจ หล่อนลงเล่นในอ่างข้างเคียงกับสายใจและฤดี มีนายสวงนอนหงายอย่างสบายที่สุดอยู่ในที่ใกล้

ต่อจากนั้นสักครู่ งามพิศโผล่จากที่ใดที่หนึ่งมาเข้าหมู่เพื่อน​สาวๆ ใช้กิริยาแทนเสียงชวนให้เจ้าหล่อนเหล่านั้นไปยังที่ๆ หล่อนออกมา ที่นั้นคือเชิงผาชั้นบนที่สุด ยื่นล้ำออกมาจากแผ่นดินประมาณศอกครึ่ง เป็นที่ที่น้ำโจนออกไปสู่อ่างกลาง ดูดังม่านน้ำผืนใหญ่ทิ้งตัวลงจากหน้าผาลงมาบนเพิง เมื่อชวนเพื่อนแล้วงามพิศก็ผลุบหายเข้าไปในม่านนั้น

สุนทรีมองเห็นแล้วคิดอิจฉา ตัวหล่อนไม่อาจที่จะทำอย่างงามพิศ เพราะห่วงผมซึ่งหล่อนไว้ยาว กลัวจะเปียกปอนกระจุยกระจาย ทำให้หล่อนดูเร่อร่า มองดูหญิงสาวอื่นๆ ก็ล้วนแต่มีผมเป็นลอนเพราะดัดด้วยแรงไฟฟ้า ออกนึกสงสัยว่าจะมีใครทำอย่างงามพิศบ้าง

ฤดีทำท่าว่าทึ่งกับม่านน้ำไม่น้อย แต่เห็นส่งศรีกับสายใจยังเฉยอยู่ ก็เฉยบ้าง ภายหลังสายใจก็ปืนออกจากอ่าง วิ่งเข้าไปร่วมที่กับงามพิศ แล้วนายสวงก็ลุกขึ้นวิ่งตามไปด้วย

ส่งศรีมองตาม แล้วก็เบือนหน้ากลับเหมือนไม่เอาใจใส่ แต่ในไม่ช้าหล่อนก็จ้องมองดูอีก จึงเห็นมือหกข้างระดมทุบม่านน้ำเล่นอย่างขนานใหญ่ ครั้นแล้วเห็นตัวคนสามคนลงนั่ง เหยียดเท้าออกมาพอได้ระดับกับน้ำตกแล้วหดกลับเข้าไปโดยเร็ว แล้วเขาทั้งสามก็ลุกขึ้นยืนอีก นายสวงโผล่กลับออกมาภายนอก สีหน้ายังเต็มไปด้วยอาการหัวเราะ

คะเนดูว่าเขากำลังจะดูมาทางหล่อน ส่งศรีก็เบือนหน้าไปเสียทางหนึ่ง แล้วเดินไปยังริมพุอันเป็นทางที่จะลงไปสู่ทางเดินเบื้องล่าง นายสวงสาวเท้ามาที่หล่อนโดยด่วนตะโกนถาม

​“ขึ้นละหรือครับ?”

ส่งศรีพยักหน้าโดยไม่มองให้สบตาเขา นายสวงรีบหลีกทางไปก่อน ยืนยันเป็นหลักให้หล่อนเกาะไต่ไปสู่ทางเดิน

“ทำไมขึ้นเร็วนักล่ะครับ หนาวรึ?”

“ก็ไม่หนาวนัก แต่อยากขึ้น”

“ผมก็อยากขึ้นแล้วเหมือนกัน แต่ต้องคอยก่อนเดี๋ยวเกิดเอ็กซิเด็นท์ขึ้นทางโน้น ผมจะเข้าที่ลำบาก”

เมื่อส่งศรีลงเรือได้เรียบร้อยแล้ว นายสวงก็วิ่งกลับไปทางเก่า

ธิดาหลวงเอนกฯ คลี่ผ้าเช็ดตัวออกคลุมร่าง ตัวหล่อนกำลังหนาว แต่ใจของหล่อนกำลังร้อนดังถูกไฟลน คิดเคือง....ไม่รู้ว่า เคืองใคร....แล้วก็ปรารภ “ดีว่าได้เราถึงได้มา ไม่ยังงั้นก็....” จักษุประสาทไปกระทบกระจกแว่นที่วางอยู่ตรงนั้น โทสะจริตพลุ่งขึ้นโดยแรง มิทันได้ยั้งคิด ก็ฉวยแว่นตาเหวี่ยงออกไปตรงช่องม่านทันที

น้ำกลืนแว่นหายไปแล้ว ส่งศรียังไม่รู้ตัวว่าได้ทำสิ่งใดลงไป เป็นครู่หนึ่งความตกใจจึงปรากฏขึ้นบนสีหน้า แล้วความเสียใจปริวิตกก็เกิดขึ้นตาม ส่งศรีผลัดผ้าด้วยมือและแขนอันไม่มั่นคง คำถามเกิดขึ้นในใจ เจ้าหล่อนลังเลอยู่นาน ภายหลังจึงตอบได้ว่า

“ไม่รู้ไม่ชี้”

ส่งศรีรู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างประหลาด เมื่อหล่อนได้เห็นผู้ที่อยู่บนฝั่งเดินเป็นแถวเข้ามาใกล้จะถึงเรือ ตามองไปที่กองเสื้อผ้าของงามพิศ แล้วมองขึ้นไปบนฝั่ง แล้วกลับมาจับจ้องที่​กองเสื้อผ้าอีก ริมฝีปากเม้มสนิท ท่องอยู่ในใจว่า

“เราไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้ไปแตะต้อง ไม่ได้เฉียดเข้าไปที่นั่น”

เรื่องแว่นตาหายกลายเป็นเรื่องมีผลไปในทางขบขัน แทนที่จะเป็นผลในทางเดือดร้อนดังที่ผู้ต้นเหตุได้คาดไว้

มีการค้นหากันอย่างวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง พร้อมกับที่ทุกๆ คนพากันฉงนสนเท่ ว่าของนั้นหายไปได้อย่างไร สายใจกับฤดีเป็นพยานว่าได้เห็นงามพิศถอดแว่นตาออกไว้ก่อนที่จะขึ้นฝั่ง สวงก็ยืนยันว่า เมื่อเขารับงามพิศขึ้นจากเรือนั้น เขาเห็นงามพิศมิได้สวมแว่นตาอยู่

เจ้าของเรือตั้งปัญหาเป็นข้อแรก ว่าแว่นตานั้นมีกรอบทำด้วยโลหะชนิดใด ครั้นได้รับตอบว่าเป็นแว่นตากรอบกระ นายเรือก็พึมพำถ้อยคำที่แสดงว่า ถ้ากระนั้นลูกเรือของเขาคงจะบริสุทธิ์ปราศจากมลทินในเรื่องนี้ทุกคน

งามพิศจำได้แม่นยำว่าได้วางแว่นตาไว้บนเสื้อซึ่งพับซ้อนไว้บนซิ่น หล่อนไม่อาจที่จะเชื่อลงไปได้ว่าตนจำผิดราวกับฝันไปเช่นนั้น แต่เมื่อมองไม่เห็นเหตุที่จะทำให้ผู้หนึ่งผู้ใดมาโยกย้ายของนั้นไปเสีย ก็จำเป็นต้องทนนิ่งให้ผู้อื่นเขาคิดว่าตนเผลอเรอ

ข้อขำเรื่องนี้อยู่ที่ตรงว่า เมื่อมีผู้ปรารภแสดงความกังวลในข้อที่หล่อนจะมองเห็นสิ่งต่างๆ ไม่ได้ชัด เพราะขาดแว่นที่เคยใส่ประจำ หล่อนก็เล่าขึ้นอย่างหน้าตาเฉยเป็นความว่า หล่อนได้ให้นายแพทย์ตาตรวจตาหล่อนเมื่อก่อนที่บิดาจะสิ้นชีวิตราวสักปีเศษ นายแพทย์ได้แจ้งแก่หล่อนว่าสายตาของหล่อนใกล้ที่จะเป็นปกติสม​แก่อายุ แล้วได้เปลี่ยนกระจกแว่นให้ใหม่ และสั่งว่าอีก ๖ เดือนให้ไปตรวจอีกครั้ง บางทีจะถอดแว่นได้ทีเดียวใส่แต่เฉพาะเมื่อสายตาต้องใช้ความเพ่งเล็งอย่างจริงจัง จากวันนั้นมาถึงวันนี้ก็เกินกำหนดที่นายแพทย์นัดเป็นเวลานานแล้ว งามพิศก็ยังมิได้ไปหานายแพทย์ทางตาอีกเลย

“พิโธ่ เวรกรรม !” ครูสะอาดอุทานเสียดัง “ช่างทนให้ดั้งจมูกแบกแว่นอยู่ได้เป็นนมเป็นนาน ไอ้เราจำเป็นต้องใส่เวลาอ่านหนังสือหรือดูหนัง ยังเกลียดแทบตาย ถ้าไม่จำเป็นละไม่ใช้เสียเลย”

“ดิฉันใส่มาตั้งแต่เจ็ดขวบค่ะ” งามพิศอธิบายวางหน้าตาเฉยอยู่เช่นเดิม “เลยเคย ไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลก”

“แล้วเวลาถอดแล้วรู้สึกเป็นยังไง?” สุนทรีถาม

“รู้สึกเหมือนจมูกมันหายไปค่ะ”

ผู้ฟังหัวเราะขึ้นพร้อมกัน แล้วสุนทรีถามว่า

“ฉันถามถึงความรู้สึกที่ตาเธอน่ะ มันฟางหรือเห็นอะไรมัวไปบ้างไหม เอ้า ! อย่างเวลานี้แหละ เธอมองเห็นลิงบนยอดเขาหรือไม่เห็น มันมีกี่ตัว?”

งามพิศมองไปในที่ไกลครู่หนึ่ง แล้วก็ตอบว่า

“แปดตัวค่ะ”

“อะไรแปด !” สายใจท้วง “เห็นเกินตาคนดีไปอีก”

“แปดจริงๆ” งามพิศว่า “ที่ซอกหินสองก้อนนั่นน่ะสามตัว เห็นไหม บนยอดทีเดียวอีกสี่...”

​“ถูกแล้ว สามกับสี่เป็นแปดรึ?”

“ก็มันอยู่ในโพรงนิดนั่นอีกตัวหนึ่ง...........นั่นยังไงนั้นๆ เร็วเข้า เดี๋ยวเรือจะเลยไปเสีย แน่ะมันชะโงกดูทำหน้าพิก๊ล !”

มีการหัวเราะอย่างสนุก และตื่นเต้นเล็กน้อยอีกครั้งหนึ่ง เมื่อทุกคนเห็นเจ้าวานรตัวนิดยงโย่ขึ้นยักหน้าไปมาอยู่ในโพรงแล้วมันก็วิ่งบนยอดเขา และลับตาหายไป

เมื่อกลับมาถึงที่พัก นักเที่ยวต่างหิวจัดอยู่ด้วยกันจึงต่างถือเอากล้วยน้ำว้าที่ซื้อจากชาวบ้านเป็นอาหารสิ้นไปทั้งหวี สุนทรีสั่งงดน้ำชาเพราะเห็นว่าเย็นมาก แล้วไม่ช้าก็จะถึงเวลาอาหารค่ำ นางจิ๋วลงมือติดไฟจะตั้งหม้อข้าว ครูสะอาดตื่นเต้นอยู่กับปลานวลจันทร์ซึ่งชาวแพนำมาขาย เกี่ยงกันด้วยเรื่องราคาไม่ค่อยจะตกลงกันได้ ครั้นซื้อขายกันเสร็จก็ยังเป็นปัญหา ในข้อที่ยังมิรู้ว่าจะใช้ปลาประกอบเป็นกับข้าวชนิดใดดี

สุนทรีเป็นผู้ที่จะเข้าครัวก็ต่อเมื่อหล่อนเห็นแก่ลิ้นและกระเพาะของผู้อื่น นิสัยของหล่อนแท้ๆ ไม่ค่อยจะชอบทางนี้นัก เมื่อเดินทางมากับนางสะอาดผู้ซึ่งเป็นนักประกอบอาหารชั้นเอก และมีศรัทธาที่จะประกอบอยู่เป็นนิจ มิหนำซ้ำยังมีนางสาวบุญช่วย นางสาวฉลวยเป็นผู้ที่ชอบทำทุกๆ สิ่งตามครูสะอาด สุนทรีก็ทอดธุระเรื่องอาหารเสียทีเดียว

แล้วคณะเที่ยวก็พากันขึ้นฝั่งไปดูไร่ของชาวบ้าน และภูมิประเทศที่ติดต่อกับแถบนี้ แล้วเขาพักนั่งที่ริมตลิ่งไม่ห่างกับเรือนัก หญิงแปดชายหนึ่งคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ภายหลังจึงมีผู้เห็นว่า ​บัดนี้เขาทั้งหมดมีจำนวนเพียงแปดคนเท่านั้น คืองามพิศได้หายไปจากที่เดิมแล้ว

พอดีกับตะวันลับไม้ ความเยือกเย็นวังเวงเกิดขึ้นทีละน้อย เขาจึงพากันกลับมาลงเรือ

“เอ๊ะ ! นี่งามพิศหายไปไหน?” สุนทรีปรารภขึ้นทันที เมื่อไม่เห็นงามพิศอยู่ในเรือมาด แต่พอถามขาดคำหล่อนมองไปข้างหน้า ก็เห็นงามพิศอยู่ในเรือสำปั้นลำเล็กขนาดจุคนได้ไม่เกิน ๔ คน เรือลอยลำอยู่กลางน้ำงามพิศถือท้ายอย่างทะมัดทะแมง มีเด็กชายอายุสัก ๑๓-๑๔ ปีนั่งมาด้วย เรือน้อยนั้นเป็นหัวมาทางเรือใหญ่

เมื่องามพิศขึ้นอยู่บนเรือมาดแล้ว กำลังส่งพายคืนให้เด็ก สุนทรีพูดเป็นเชิงตำหนิแกมข้น

“เธอนี่ซนพอใช้ ซนอย่างนี้เสมอหรือเปล่านะ?”

งามพิศยิ้มมีลักษณะวิตกเจืออยู่ด้วย เพราะเกิดความเห็นขึ้นว่าตนค่อนข้างจะ ‘แผลง’ ไปหน่อยจริง สุนทรีถามซ้ำอีก

“ถามจริงๆ ซนยังงี้เสมอหรือเปล่า?”

“ไม่เสมอค่ะ” หญิงสาวตอบโดยสุจริต “อยู่กับคุณป้าไม่ซน กลัวท่านดุ อยู่กับคุณพ่อก็ไม่มีที่ซน นอกจากที่โรงเรียน”

“แล้วไปหัดพายเรือมาจากไหน?”

“เมื่อเล็กๆ ดิฉันเคยอยู่กับคุณยายที่บ้านในคลองบางกอกน้อยค่ะ เย็นๆ พายเรือเล่นทุกวัน”

“แล้วเดี๋ยวนี้คุณยายท่าจะเสียๆ แล้ว”

“ค่ะ ท่านเสียก่อนคุณแม่สองปี” แล้วงามพิศก็ถอนใจเบาๆ

​สุนทรีรู้สึกว่าความเศร้ากำลังจะเกิดขึ้นในใจคู่สนทนา ไม่มีความปรารถนาที่จะให้เป็นเช่นนั้น จึงเบือนหน้าไปพูดกับครูสะอาดถึงเรื่องอื่นต่อไป

ทุกๆ วันตลอดเวลาที่เดินทางมานี้ คณะเที่ยวรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายระหว่าง ๑๘ กับ ๑๙ นาฬิกา พอเสร็จการรับประทานแล้ว ต่างคนก็จัดที่นอนของตน ต่อจากนั้นผู้ใดสมัครจะนอนก็นอน ที่สมัครนั่งเล่นหรืออ่านหนังสือก็กระทำตามอัธยาศัย เฉพาะคืนนี้ เมื่อการบริโภคพ้นไปสักครู่ ครูสะอาดก็ตั้งต้นหาวอย่างเปิดเผย นายสวงจึงขยับจากที่ ทำอาการจะขึ้นจากเรือ ดรุณีทั้งสี่นางปรึกษากันจะตามเขาไปด้วยก็พอดีได้ยินเสียงคนโจษกันว่าจระเข้ขึ้น ทำให้ความเอาใจใส่ของผู้ที่อยู่ในเรือทุกคนไปรวมอยู่ในเรื่องนั้น

ชาวแพที่อยู่ฝั่งน้ำโน้น มาหานายท้ายเรือยนต์ซึ่งเป็นผู้คุ้นเคยกับเขา ระหว่างทางเขาเห็นจระเข้ลอยตัวอยู่กลางน้ำ จึงเล่าให้สหายของเขาฟัง

สาวชาวกรุงฯ ปรารภกันว่า จระเข้ขนาดใหญ่อาจหนุนเรือมาดให้ล่มได้หรือไม่ คนเรือที่อยู่บนฝั่งได้ยินก็หัวเราะ แล้วถือวิสาสะปลอบขวัญลงมาว่า “จระเข้แถวนี้ไม่ทำคนบนเรือ” มีเสียงหัวเราะอีก แล้วเสียงที่สองเสริม “แต่โดดลงไปหาละก็ฮุบเลย”

“แล้วทำยังไงเราถึงจะได้เห็นมั่งล่ะ?” ผู้ที่อยู่ในเรือมาดปรารภอีก

“ลงเรือไปดูก็ได้ครับ” เสียงหนึ่งตอบมาเป็นเหตุให้เกิดเสียงอุทานหลายเสียงประสานกันขึ้น

​“ตายละ ใครจะกล้า !”

เจ้าของเรือผู้ซึ่งนั่งอยู่ในเก๋งเรือยนต์ ลุกขึ้นมาที่ท้ายเรือ และพูดอย่างเป็นงานเป็นการ

“เอาไฟฟ้าฉายดูก็ได้ครับ”

สุนทรีลุกขึ้นจะไปหยิบไฟฉาย งามพิศรู้เท่าก็ลุกขึ้นวิ่งไปหยิบมาเสียก่อน สุนทรีได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็พูดแก่เจ้าของเรือว่า

“เชิญนายคนที่เขามาจากแพให้มาที่นี่หน่อยได้ไหมจ๊ะ ให้เขาช่วยฉายไฟให้หน่อย จระเข้อยู่ที่ตรงไหน”

พอหล่อนพูดจบ ก็มีผู้ฉายไฟจากเรือยนต์ พุ่งไปทางกลางน้ำ แล้วส่ายไฟไปมาเพื่อหาตัวจระเข้ สุนทรีก็ฉายไฟของหล่อนไปตามแนวนั้นด้วย ในที่สุดมีเสียงพูดมาจากเรือยนต์ว่า

“นั่นแน่ะ ตรงโน้น มองเห็นตาแดงๆ”

ข้างฝ่ายสุนทรีก็เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งแดงแว๊บๆ อยู่อีกทางหนึ่ง ผู้ที่อยู่ในเรือมาดก็เห็นเป็นพยานหล่อนด้วยเสียงจากทางเรือยนต์ว่าจระเข้ขึ้นสองตัว มีเสียงค้านว่าไม่ใช่ จุดแดงที่สองเป็นพรายน้ำ หรือมิฉะนั้นก็ตัวแมลง ทางเรือมาดสาวน้อยทั้งสี่นางยืนเขย่งบ้างก้มบ้าง ชวนกันดูไปตามทางไฟฉายทั้งสองทางมีเสียงร้องวุ้ยว้าย ฝ่ายผู้ใหญ่ก็เตือนให้ระวังตัวหน่อย จะพลัดลงน้ำเป็นเหยื่อจระเข้ เสียงสาวน้อยพอกันว่าอีกฝ่ายหนึ่งเบียดตนเกินไปจนยืนไม่อยู่ ทางเรือยนต์ก็ยังเถียงกันว่าจุดแดงสองจุดนั้นจุดใดเป็นตาจระเข้ เพราะไฟฉายต้องจุดนานเท่าไร ก็เห็นแต่เพียงจุดมิได้เห็นสิ่งใดมากไปกว่านั้น งามพิศผู้ซึ่งหมอบอยู่กับกราบเรือปรารภขึ้นว่า

​“นี่เราลงเรือไปดูก็หมดเรื่องกัน”

“โอ ! ฉันละไม่ขอไปด้วยละ” ส่งศรีเอ่ยขึ้นทันที

“ฉันก็ลา” ฤดีรับ “เดี๋ยวมีขาข้างเดียวเหลือกลับไปบ้าน”

สายใจกระหายอยากเห็นมาก แต่เป็นผู้ที่ไม่เคยผจญภัยอย่างใดเลย ก็พึมพำเบาๆ

“จะไม่เหลือเอาเลยน่ะซี สงสารคุณแม่”

“ก็คนเรือเขาพายเรือผ่านมา มันก็ไม่ทำอะไรนี่” งามพิศแย้ง “ทำไมจะต้องทำแต่จำเพาะเวลาเราไปกับเขาด้วย ชาวแพเขาบอกฉันว่าไม่ดุเท่าไหร่ นอกจากเราจะเอาเรือขึ้นไปเกยหลังมัน ยังงั้นก็เซ่อเต็มที่ควรให้จระเข้กินเสียให้เข็ด”

สุนทรีกำลังใคร่ครวญถึงคำพูดของงามพิศ เพราะความทิษฐิกำลังเริ่มเข้าจับใจหล่อน ขึ้นชื่อว่าจระเข้ใหญ่ทั้งที ได้เห็นแต่เพียงลูกตา มิหนำซ้ำยังมิรู้ว่าจระเข้แน่หรือมิใช่ ดูก็น่าอัดใจไม่น้อย

ครูสะอาดปรารภขึ้นว่า

“นี่ตาไหนมันตาจระเข้กันแน่นะ”

นายสวงได้ไปสนทนากับชาวแพ ที่มาจากฝั่งโน้นแล้ว เขากลับมาแจ้งแก่สุภาพสตรีว่า

“คนที่พายเรือมาเขาว่าเราจะไปดูก็ได้ เรือเขาจุคนห้าได้สบาย แต่ขอว่าพอเข้าไปใกล้จระเข้แล้วถึงจะตกใจอะไร ก็ขอให้อยู่นิ่งๆ ผมบอกเขาแล้วว่าผมจะไป”

“นิ่งซีคะ” งามพิศรับคำโดยเร็ว “ไปเร็ว ใครไปมั่ง?”

สุนทรีนึกในใจว่า กลางคืน มืดเช่นนี้ การที่จะลงเรือเล็ก​ออกไปกลางลำน้ำอันกว้างใหญ่ แม้ไม่มีสัตว์ร้ายก็น่ากลัวพออยู่แล้ว....ถึงกระนั้นหล่อนก็ลังเล !...

ครูสะอาดนึกพอใจ ในข้อที่ฤดีกับสายใจเบือนหน้าอย่างหวาดกลัว เพราะถ้าเจ้าหล่อนทั้งสองจะไป ครูสะอาดก็จำต้องขัดขวาง ส่งศรีกลัวแทนนายสวงเป็นกำลังแต่ไม่อาจทักท้วง

เมื่อเรือน้อยถอยมาถึงเรือใหญ่ งามพิศก็หันไปถามสุนทรีด้วยเสียงอ่อยๆ ว่า

“คุณไม่ไปหรือคะ?”

อีกฝ่ายหนึ่งถอนใจขณะที่ตอบ

“อยากไป....แต่.....”

“ดิฉันไปก่อน แล้วเผื่อไม่เห็นมีอันตรายจะกลับมารับ....”

“ฮึ ! ปล่อยให้เด็กนำเรื่อย” สุนทรีว่า แล้วหัวเราะเบาๆ “ออกขายหน้าเสียแล้ว ไปฉันไปกับเธอเดี๋ยวนี้แหละ”

ความยินดีปรากฏขึ้นในวงหน้างามพิศอย่างเด่นชัด ครูสะอาดถามสุนทรีอย่างพิศวง

“ไปจริงๆ แหละหรือ?” ครั้นเห็นสุนทรีเตรียมจะลงในเรือเล็ก ก็พูดอย่างหวาดเสียว “กล้าจริงแฮะ”

เรือเล็กมาไกลจากฝั่งเรือจอดราวเส้นเศษ นายสวงเป็นผู้ฉายไฟ เมื่อมองอยู่แค่ระยะไฟฉาย สุนทรีก็มีความรู้สึกเป็นปกติ แต่ครั้นมองไกลไปอีก เห็นแต่ความมืดและความว่างเปล่า หล่อนก็รู้สึกใจหายเยือกเย็นอย่างไรพิกล จะเป็นด้วยเรือน้อยมาไกลเรือใหญ่มาก หรือจะเป็นที่หล่อนต้องสำรวมใจมิให้ตื่นเต้น สุนทรี​รู้สึกคล้ายกับว่าเรือที่หล่อนนั่งอยู่ห่างจากมนุษย์ทั้งหลายสัก ๑๐๐ คุ้งน้ำ หูของหล่อนไม่ได้ยินเสียงสิ่งใดนอกจากเสียงพายกระทบพื้นน้ำดังจ๋อมๆ กับเสียงผู้ถือท้ายพูดพึมพำ

หล่อนสะดุ้งเมื่องามพิศสะกิดแขนหล่อนเบาๆ ชี้ให้ดูตรงไปที่แสงไฟฉาย....เจ้าแห่งสัตว์น้ำลอยเทิ่งอยู่เห็นชัดตั้งแต่ศีรษะไปจนตลอดตัว ขนาดเท่าลำพาหนะที่สุนทรีนั่งมา ลักษณะน่าเกรงขามสมกับที่เป็นเจ้าแห่งถิ่น คนเรือพายเรือเข้าไปใกล้อีก คัดท้ายให้เรือตั้งลำขนานกับตัวจระเข้ พอตั้งได้ ท่อนหางของจระเข้ก็จมลง....ท่อนหัวจมตาม น้ำกระเพื่อมฮวบ แล้วหมุนเป็นวงกลมใหญ่ถนัด สุนทรีใจหายวาบราวกับรู้สึกว่าเรือกำลังจะจม

ขากลับ สุนทรีค่อยหายใจสะดวกขึ้น ด้วยมองเห็นแสงไฟจากเรือใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้า และขากลับนี้ก็ดูเหมือนเรือแล่นเร็วมาก เพียงครู่เดียวก็ถึงปลายทาง

“เออ ! นึกๆ ไปแล้วอยากเป็นลิง !”

สุนทรีนั่งอยู่ในเรือสำปั้นเล็ก ซึ่งมีงามพิศเป็นผู้พายหัว และชาวแพเป็นผู้ถือท้าย เมื่อได้ฟังงามพิศกล่าวประโยคนั้น สุนทรีก็หัวเราะ พร้อมกับถามว่า

“ทำไม เห็นว่าตัวเองยังไม่คล่องพอยังงั้นหรือ? อยากจะปีนป่ายตามต้นไม้ได้เหมือนลิง?”

งามพิศราพายยกขึ้นวางพาดตัก ตาจับอยู่ที่ฝูงวานร ซึ่งไต่ยั้วเยี้ยอยู่ตามต้นไม้บนเนินเขา บางตัวกำลังยงโย่ทำเสียงขู่ตะคอก​เมื่อเห็นเรือพายเข้าใกล้ แล้วหล่อนถอนใจอีกพร้อมกับตอบว่า

“เป็นลิงดีกว่าสัตว์อื่น เพราะไม่มีประโยชน์อะไรกับมนุษย์ ไม่ถูกจับ ถูกฆ่า เป็นสัตว์อื่นถูกรังแกเรื่อย”

“ไม่มีสัตว์อะไรในโลกที่ไม่ถูกรังแก” สุนทรีตอบ “ชั่วแต่มากหรือน้อยเท่านั้น ว่าแต่เธอเป็นคนอยู่มิดีกว่าเป็นลิงอีกหรือ?”

“เป็นคนเบื่อค่ะ เดี๋ยวคิดยังงั้นเดี๋ยวคิดยังงี้ อยากเป็นนั่นเป็นนี่แล้วก็เป็นไม่ได้สักอย่าง เป็นลิงไม่มีหัวคิดไม่ต้องคิดถึงอะไร สบาย ขอแต่ให้ปืนไปปืนมาตามต้นไม้เท่านั้น”

ตั้งแต่ได้ร่วมทางกันมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่งามพิศรำพึงถึงตัวเองเป็นวาจาให้เข้าหูสุนทรี ดังนั้นจึงเป็นผลให้ผู้ฟังเกิดความสนใจเป็นอย่างยิ่ง

“เธออยากเป็นอะไร งามพิศ?” สุนทรีถาม

อีกฝ่ายหนึ่งนิ่งไปนาน จนผู้ถามคิดว่าเจ้าหล่อนใจลอยไปเสีย หรือมิฉะนั้นก็ไม่ได้ยิน จึงถามซ้ำ

“เธออยากเป็นอะไร งามพิศ?”

คราวนี้งามพิศหัวเราะ และเนื่องจากที่หล่อนหันหลังมาทางท้ายเรือ สุนทรีจึงไม่อาจเห็นความรันทดและความกระดากใจในสีหน้าของหล่อนได้ ในขณะที่หล่อนพูดว่า

“อยากไม่เป็นเรื่องค่ะ ล้วนแต่เป็นไปไม่ได้ทั้งนั้น”

“เถอะน่ะ” สุนทรีกระเซ้า “ถึงเป็นไปไม่ได้ก็บอกเถอะ ฉันอยากรู้”

งามพิศนิ่งไปอีก ขณะที่ใจของหล่อนกำลังต่อสู้อยู่กับความ​ใคร่ที่จะเปิดความคิดออกปรับทุกข์กับผู้ที่หล่อนรักและ ‘ติด’ อย่างที่เด็กสาวย่อมจะ ‘ติด’ บุคคลใดบุคคลหนึ่งด้วยเหตุผลบางประการ แต่ในที่สุดงามพิศก็ตอบอย่างเด็ดขาด พร้อมกับตั้งต้นพายเรืออย่างขนานใหญ่

“ป่วยการค่ะ เหลวๆ ทั้งนั้น....เอ๊ะ หาดนี่ตื้นจริง” หล่อนฉวยโอกาสออกอุทาน เมื่อพายกระทบสิ่งที่แข็งอยู่ใต้พื้นน้ำ “ท่าเราจะต้องขึ้นเสียที่ตรงนี้แล้วละ ยิ่งไปต่อไปก็จะไกลออกไปทุกที”

“ขึ้นก็ขึ้น” สุนทรีตอบ ติดใจในเรื่องที่พูดค้างมากกว่าที่จะนึกถึงจระเข้ใหญ่ที่ตนพยายามพายเรือมาคอยดู แล้วถามผู้ถือท้ายเรือ “ที่ๆ ลาดน้อยกว่านี้มีไหม ที่ไม่ต้องย่ำน้ำมากน่ะ ฉันเสียวไส้กลัวจะย่ำเอาเจ้าเข้า”

‘เจ้า’ ที่สุนทรีกล่าวนั้นหมายถึงจระเข้ สุนทรีทำตามลัทธิของชาวบ้านนี้ เขาถือกันว่าถ้าออกชื่อจระเข้ จระเข้อาจขึ้นได้ไม่ทันให้รู้ตัวและอาจหนุนเรือให้คว่ำไปได้

“ที่ตื้นเจ้าไม่อยู่หรอกครับ โน่น ! ต้องทางโน้นตรงปากน้ำกับลูกเขานั่นแน่ะ เห็นกันบ่อยๆ”

เขาคัดท้ายเรือเหหัวเข้าชนหาด งามพิศหยั่งน้ำด้วยใบพาย แล้วรั้งผ้าซิ่นขึ้นและก้าวออกจากเรือ สุนทรีจึงทำตาม แล้วคนเรือก็ไสเรือขึ้นเกยหาดแห้งไว้

เดินมาตามริมหาด เพื่อจะตัดทางตรงไปยังชะง่อนเขา พอถึงแง่หาดแง่หนึ่ง เห็นผีเสื้อฝูงใหญ่เป็นจำนวนพันบินว่อนอยู่ มองดูคล้ายทองใบถูกลมพัดปลิวไปมา ทั้งงามพิศและสุนทรีอุทานขึ้น​พร้อมกัน แล้วงามพิศก็แล่นเข้าในหมู่ผีเสื้อประกบมือเข้าด้วยกัน ช้อนเอาเจ้าสัตว์สีทองไว้ได้ตัวหนึ่ง ตัวอื่นๆ ในกลุ่มก็แตกกระจายขึ้นแล้วก็กลับมาบินล้อมรอบตัวหล่อน บ้างก็เกาะติดมากับเสื้อ บ้างก็ติดมากับผม งามพิศวิ่งกลับมาที่สุนทรี ประคองหยิบสัตว์ที่จับได้ขึ้นให้ดู

ชมเชยเจ้าสัตว์ตัวทองปีกทองอยู่พักหนึ่ง แล้วหล่อนก็ชูแขนข้างที่มือถือผีเสื้อขึ้น คลายนิ้วมือเพื่อปล่อยให้สัตว์น้อยเป็นอิสระ พร้อมกับพูดว่า

“กลับไปหาเพื่อนของเจ้าไป เราไม่ข่มเหงเจ้าหรอกเดี๋ยวชาติหน้าจะลำบากยิ่งกว่าชาตินี้”

น้ำเสียงเศร้าซึ่งผู้ฟังสังเกตได้ว่า หลุดจากปากโดยมิได้มีความตั้งใจเช่นนี้ กระเทือนใจสุนทรีไม่น้อย แต่เวลานี้มิใช่เวลาเหมาะแก่การสนทนาถึงเรื่องลึกซึ้ง เช่นเรื่องของจิตใจและทุกข์สุข สุนทรีจึงได้แต่มองงามพิศนิ่งอยู่

ถัดจากที่นั้นไปใกล้จะถึงชายเขา มีหย่อมหินอยู่ระเกะระกะ มีต้นไม้ต้นน้อยๆ ชนิดล้มลุกขึ้นอยู่เป็นพืด เกือบทุกต้นมีดอกกลีบแดงเกสรเหลืองลักษณะคล้ายดอกชบาหนูที่บานเต็มที่ แต่มีกลีบเพียง ๔ กลีบ และบางประดุจแพร ดอกไม้เหล่านี้เองเป็นเครื่องชักจูงผีเสื้อให้มาสู่ สุนทรีและงามพิศชี้ให้กันดูด้วยความตื่นเต้น แล้วเก็บดอกไม้เสียบผม และห่อผ้าเช็ดหน้าไว้คนละหลายดอก

แล้วผู้นำทางนำเจ้าหล่อนทั้งสองไปถึงเชิงเขา ต่อจากนั้นก็ปีนป่ายไปตามก้อนหินจนถึงชะง่อนหินเขาส่วนหนึ่งคนเรือชี้ที่จระเข้​เคยขึ้น แล้วเขาปีนต่อไปยังที่สูงและนั่งอย่างสบายอยู่ ณ ที่นั้น

จากที่ๆ สุนทรีกับงามพิศยืน มองไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ เห็นปากน้ำไทรโยคได้ถนัด ที่นั่นเป็นที่ๆ จระเข้เคยขึ้นบ่อยๆ เพราะเป็นทางที่ปลาไหลตามกระแสน้ำในลำน้ำน้อยมาสู่ลำน้ำใหญ่ มองไกลออกไปอีกเห็นที่ๆ เรือจอดเห็นแพที่อยู่ของผู้นำทาง ทางทิศใต้ หาดใหญ่ขนานกับลำน้ำ กำลังถูกแสงแดดฉายทำให้เห็นเป็นสีทองแดงต่อกันเป็นพืดสุดสายตา

เมื่อได้ยินชมภูมิประเทศอยู่ครู่หนึ่งแล้ว สุนทรีเลือกที่นั่งได้ตรงใต้ต้นไม้ งามพิศเลือกได้อีกที่หนึ่งอยู่บนยอดแห่งชะง่อนผาทีเดียว เท้าทั้งสองข้างยันไว้กับหินก้อนเล็ก หลังพิงกับหินก้อนใหญ่ ศีรษะหงายพิงหินก้อนเดียวกันนี้ งามพิศทำท่าสบายดังนั่งอยู่บนเก้าอี้นวม

เวลานั้นเป็นเวลาราวๆ ๑๕ นาฬิกา ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงกล้า แต่ลมพัดมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสายพอดับความร้อนให้หายได้ เสียงนกตีทองร้อง ป๊ก ป๊ก ป๊ก เป็นจังหวะ นกอื่นๆ อีกหลายพันธุ์เกาะอยู่ตามกิ่งไม้เจรจากันจู๋จี๋ เอียงคอดูมนุษย์อย่างทึ่ง มิได้แสดงความหวาดสะดุ้งอย่างไรเลย

สุนทรีมองดูภูมิประเทศรอบข้าง พลางนึกถึงเพื่อนเที่ยวอีก ๖ นางที่มิได้มากับหล่อนด้วย เนื่องจากเมื่อตอนเช้าคณะเที่ยวได้ไปในป่าโดยทางรถ เช่ารถยนต์ของกำนันตำบลนี้เป็นพาหนะ ทางนั้นเป็นทางลำบาก ข้ามห้วยข้ามธารหลายครั้ง รถกระเทือนกระแทกตรงกับคำที่ว่าฟัดผู้นั่งเสียจวนเจียนจะหายใจไม่ทัน จน​รู้สึกบอบช้ำปวดเมื่อยไปทั้งตัว เมื่อรับประทานอาหารกลางวันแล้ว สามครูจึงพากันนอนหลับอย่างสนิท

สุนทรีได้จัดการให้นายจี๊ดและนางจิ๋วไปดูน้ำโจน นายสวงกับนายร้อยตำรวจไปยิงปลาในลำน้ำไทรโยค กับเจ้าของเรือและผู้นำทางคนหนึ่ง เนื่องจากที่ลำน้ำนั้นตื้นมาก และน้ำใสมาก ชาวถิ่นนี้จึงใช้ปืนยิงปลาเล่นบางคราว แทนที่จะใช้เบ็ดหรือเครื่องดักอย่างอื่น

งามพิศเป็นผู้ริชวนให้สุนทรีมาเที่ยว ซึ่งสุนทรีก็รับด้วยความเต็มใจ เพราะนิสัยของหล่อนเป็นผู้ไม่ชอบหลับในเวลากลางวันอยู่แล้ว และการนั่งเปล่าอยู่ในเรือก็มิใช่สิ่งที่สนุกนัก

สุนทรีเพลินชมธรรมชาติจนลืมสิ่งใดๆ ในโลกรวมทั้งตัวเอง ภายหลังสายตาของหล่อนแลไปยังหญิงสาวเพื่อนร่วมทาง หล่อนก็ตื่นจากภวังค์ ด้วยเห็นเพื่อนร่วมทางของหล่อนนั้นปิดหน้าไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ดูท่าทางอ่อนระทวยเป็นอย่างยิ่ง สุนทรีจึงถามขึ้นว่า

“เหนื่อยหรือ งามพิศ? หรือง่วงนอน?”

อีกฝ่ายหนึ่งขยับตัว ยกมือจากวงหน้าช้าๆ สุนทรีรู้สึกว่าวงหน้าเจ้าหล่อนนั้นหม่นหมองผิดจากที่เคย อาการที่ยิ้มก็ดูแห้งแล้งดังยิ้มของคนเจ้าทุกข์ ก่อนที่สุนทรีจะได้ออกปากถามว่ากระไรต่อไป งามพิศพูดขึ้นว่า

“คุณรู้จักคนชื่อประจิตรไหมคะ? ผู้ชายค่ะ”

สุนทรีตกอยู่ในอาการลังเล ในที่สุดจึงตอบว่า

“คนชื่อประจิตรมีหลายคน ฉันก็คงต้องรู้จักเข้าสักคนหนึ่ง ​แหละ”

งามพิศหดขาเข้าหาตัว วางคางบนเข่า นิ่งอยู่อึดใจหนึ่งแล้วจึงว่า

“คนที่ชนรถคุณพ่อของดิฉันน่ะค่ะ เขาชื่อประจิตร?”

“แล้วยังไงล่ะ?”

“ดิฉันอยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงมั่ง” งามพิศตอบช้าๆ “ดิฉันอยากให้เขาตายเร็วๆ ดิฉันแช่งเขาทุกวัน”

โลหิตฉีดขึ้นหน้าสุนทรีโดยแรง ความฉุนโกรธก็แล่นขึ้นสมอง แต่เป็นอยู่เพียงขณะจิตเดียว แล้วหล่อนก็พูดแกมหัวเราะ

“ประจิตรคนนั้นแหละที่ฉันรู้จัก”

ดวงตางามพิศแสดงความประหลาดใจ และตกใจด้วยถามขึ้นทันที

“เขาเป็น....คุณรู้จัก...รู้จักกันมากหรือคะ?”

สุนทรีตอบแกมหัวเราะเช่นเดียวกับคราวก่อน

“ก็มากอยู่ แต่ไม่มากถึงกับทนฟังเธอนินทาเขาไม่ได้ ฉันถือตัวเป็นกลาง เธออยากจะว่าอะไรเขาอีกก็ว่ามาเถอะ”

งามพิศกัดริมฝีปาก ตาขุ่น เบือนหน้าไปทางหนึ่ง ภายหลังจึงหันกลับมาทางสุนทรีและพึมพำ

“ดิฉันไม่ได้นึก....เมื่อตะกี้ดิฉันไม่ทราบ”

“แล้วเมื่อทราบแล้วเป็นยังไงไปล่ะ?” น้ำเสียงสุนทรีมิได้แปลกไปจากเดิม “ถึงฉันจะเป็น....เพื่อนของ....นายประจิตร ฉันก็ยังเป็นเพื่อนของเธอได้ต่อไปไม่ใช่หรือ ฉันไม่เก็บคำที่เธอว่าไปบอกเขา​หรอก”

งามพิศนึกในใจว่า หล่อนอยากจะให้คำแช่งด่าของหล่อนได้เข้าหูประจิตร จะทำให้หล่อนดีใจเป็นอันมาก เว้นแต่ว่าหล่อนจะเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าสุนทรีนำความไปบอกเพราะหล่อนโกรธแทนเขา

หล่อนไม่พูดว่ากระไรอีก และสุนทรีก็ไม่ชักชวนให้พูด สุนทรีรำพึงอยู่ว่ามรณกรรมแห่งบิดาของงามพิศคงจะได้นำความทุกข์มาให้งามพิศอย่างมหันต์ ถ้ามิฉะนั้นไหนเลยเด็กหญิงผู้มีหน้าซื่อและบริสุทธิ์เช่นนี้ จะจองเวรจองกรรมมุ่งร้ายหมายขวัญต่อผู้เป็นต้นเหตุแห่งมรณกรรมของหลวงประเสริฐฯ ถึงปานนี้

เป็นครู่หนึ่งต่อมา งามพิศจึงเอ่ยขึ้น

“ดิฉันไม่อยากให้วันพรุ่งนี้มาถึงเลย”

“ทำไม?” สุนทรีถามน้ำเสียงอ่อนโยนด้วยความสงสารที่มีอยู่ในใจ

“ก็พรุ่งนี้เราจะออกเรือกลับนี่คะ” แล้วงามพิศก็ถอนใจยาว

“ฉันก็ยังไม่อยากกลับ แต่จำเป็น เรากะวันกันไว้เท่านี้ แล้วธุระทางบ้านก็มีอยู่ด้วย”

งามพิศนิ่งเงียบไปอีก สุนทรีเว้นระยะครู่หนึ่งแล้วก็พูดสืบไป กระแสเสียงอ่อนหวานยิ่งขึ้น

“ขอแนะนำอะไรเธอสักอย่าง ด้วยความหวังดีแท้ๆ ไม่ใช่อย่างอื่น เธออย่าไปผูกเวรกับคนที่เขาทำให้เธอเป็นทุกข์ คิดเสียว่าเขาไม่ได้แกล้ง เวรย่อมไม่ระงับด้วยเวร การผูกเวรจึงไม่ใช่ทาง​ที่คนฉลาดคนดีจะนำมาใช้ ตั้งหน้าอดทนทำความดีไว้ดีกว่าต่อไปภายหน้าจะเห็นผล การเรียนของเธอน่ะอย่าทิ้งเสีย อุตส่าห์พยายามแล้วเธอจะหาความสุขได้มาก เมื่อเวลาที่เธอทำงานหาเลี้ยงตัวของเธอได้เอง ฉันกลับไปกรุงเทพฯ แล้วจะคอยฟังข่าวจากเธอ ขัดข้องเรื่องหนังสือหรืออะไรละก็บอกไปทันทีทีเดียว สิ่งใดที่เกี่ยวกับเธอละก็ฉันช่วยได้ ฉันจะช่วยทั้งนั้น”

แทนคำตอบใดๆ งามพิศพนมมือขึ้นไหว้สุนทรีดวงตาของหล่อนมีน้ำตาคลอตา และริมฝีปากของหล่อนก็สั่นระริก

สุนทรีก็รู้สึกหายใจไม่สะดวกเหมือนกัน รีบเบือนหน้าไปเสียทางหนึ่ง แล้วก็ตะโกนถามผู้นำทางถึงเรื่องจระเข้

ได้รับคำตอบอย่างหัวเสียเล็กน้อย ว่าจระเข้ไม่ขึ้น และในเวลานั้นดวงตะวันกำลังต่ำลงทางทิศตะวันตกมาก แสงแดดลอดใต้พุ่มไม้เข้ามาทำให้เกิดความร้อน สุนทรีจึงชวนงามพิศกลับ

ขามานี้เรือทวนน้ำ ต้องใช้เวลานานกว่าจะถึงเรือใหญ่ ผู้โดยสารเรือทั้งสามคนมีเหงื่อโชกตัว ทางเรือมาดพอสายใจเห็นผู้ที่กลับมาถึงใหม่ก็ตะโกนพ้อ

“แหม คุณครูไปเที่ยวไม่ชวนหนูมั่งนี่คะ”

“ก็จะชวนยังไงล่ะ หนูนอนหลับออกปุ๋ย”

“สนุกไหม?” สายใจหันไปถามงามพิศ

สุนทรีเป็นผู้ตอบแทน “สนุก แต่ร้อนหน่อยอยากอาบน้ำจะตายอยู่แล้ว”

คนอื่นก็พากันปรารภถึงเรื่องอาบน้ำด้วย เจ้าของเรือสำปั้น​ผู้ซึ่งกำลังรับรางวัลจากสุนทรีจึงว่า

“แถวนี้อาบได้ แต่อย่าออกไปลึกนัก ไม่ดี”

“ทำไมจ๊ะ จระเข้หรือ !” สุนทรีถาม

คนเรือหัวเราะและพยักหน้าแทนคำตอบแล้วก็ออกเรือไป

ในเวลานั้น เรือที่พานายจี๊ดกับนางจิ๋วไปดูน้ำตกก็มาถึง สุนทรีร้องว่า

“แหมนายจี๊ดกลับมาพอดี ฉันกำลังจะหิวอยู่แล้ว”

งามพิศผลัดเสื้อผ้าอย่างว่องไว แล้วโดดโพล่งลงไปอยู่ในน้ำ

ฝูงปลาตะเพียนที่แหวกว่ายอยู่ริมเรือแตกกระจายไป แต่ในครู่เดียวก็กลับมาวนเวียนอยู่รอบตัวงามพิศอีก สีแดงเหลือบทองของปลาเป็นประกายไหวๆ อยู่ในน้ำอันใสแจ๋ว หญิงสาวนุ่งแดงใส่แดง มีข้าวสุกที่เตรียมไว้แล้วอยู่ในมือ แบมือไว้ใต้พื้นน้ำเจ้าปลาก็ว่ายลอยตัวฮุบเอา บางตัวฮุบจนเพลินชะล่าใจขึ้นก็ฮุบเอานิ้วมืองามพิศเข้าไปด้วย ขนาดของปลาใหญ่กว่าฝ่ามือของงามพิศ บางตัวขนาดเท่าพัดเท่าด้ามจิ้วเล็ก หางปลาโบกว่ายไหวๆ ทำให้น้ำเป็นจุดนิดๆ แววๆ เหมือนเศษแก้วที่แดดส่อง ตาปลาแจ๋วลอดความแจ๋วของผิวน้ำขึ้นมาให้เห็น ตาของดรุณีผู้ที่ให้อาหารปลาก็ออกแสงเป็นประกายด้วยความรื่นรมย์

ครั้นคนอื่นๆ พากันลงอาบน้ำ งามพิศก็กล้าขึ้นโผออกไปนอกแนวที่เรือจอด แล้วก็แหวกว่ายกระแสน้ำทวนกลับมายังที่ บางคราวก็ทอดตัวให้ลอยปล่อยให้สายน้ำพัดพาออกไปไกล แล้วจึงว่ายกลับมาที่หาด ท่าทางคล่องแคล่วแข็งแรงราวกับมีชีวิตอยู่ในน้ำ​มาเป็นเวลานาน

งามพิศขึ้นจากน้ำ ผลัดเสื้อผ้าออกซัก ครั้นแล้วก็หายเข้าไปในประทุนเรือ ทาแป้งและหวีผม เสร็จแล้วก็ออกมานั่งทางเรือ ตรงที่ๆ คนอื่นๆ อาบน้ำกันอยู่

สุนทรียืนฟอกสบู่อยู่ตรงชายฝั่ง มองเห็นหน้างามพิศขาวเป็นนวล มีริบิ้นสีดำคาดผมกันมิให้ลงมาปรกหน้า ดอกไม้ดอกหนึ่งเสียบอยู่กับบิ้นใกล้จอนหู มีลักษณะให้เห็นได้ว่าผู้เสียบๆ ไว้ด้วยความรักดอกไม้ มากกว่าคิดถึงความสวยงามของตัวเอง สุนทรีมองด้วยความทึ่ง เกิดความเห็นว่าดอกไม้ทำให้งามพิศเป็นสาวน่าเอ็นดูขึ้นอย่างประหลาด พิศต่อไปอย่างที่ไม่เคยพิศมาแต่ก่อน เห็นริมฝีปากสีแดงเกือบเท่าสีดอกไม้ที่เสียบผม ดวงตาสีดำดูเป็นเงา และอาการที่หัวเราะอยู่กับเพื่อนสาวๆ ก็เป็นอาการของเด็กสาวที่ยังอ่อนเดียงสาต่อวิถีของโลกเป็นอันมาก

 

Pages: 1 ... 6 7 [8] 9 10
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.15 seconds with 12 queries.