Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 22:00:41

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง ศัตรูของเจ้าหล่อน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 3-4
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง ศัตรูของเจ้าหล่อน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 3-4  (Read 67 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 28 October 2025, 17:18:52 »

นวนิยายเรื่อง ศัตรูของเจ้าหล่อน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 3-4




​อาทิตย์หนึ่งหลังจากเวลาที่ได้กล่าวแล้ว เวลาเย็นมีชายคนหนึ่ง นุ่งผ้าม่วงสีน้ำเงินสวมเสื้อขาว มือถือกระเป๋าลงจากรถม้าเช่าที่ตรงประตูบ้าน ที่มีกำแพงทาสีน้ำเงินล้อมรอบอยู่ เขาหยุดยืนทอดสายตามองดูรอบตัว แล้วก็เปิดประตูเล็กของบ้านนั้น เดินเข้าไปภายใน ที่หน้าตึกมิมีใครอยู่ แต่ได้ยินเสียงพูดแลเสียงหัวเราะมาจากทางหลังบ้าน ชายแปลกหน้านั้นเดินตรงไปที่บันไดหน้ามุข วางกระเป๋าและหมวกลงแล้วนั่งอยู่เงียบๆ

​ประมาณห้านาทีจึงได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมาทางในห้อง แล้วเปิดบังตาออกมาข้างนอก ชายกลางคนรูปร่างค่อนข้างอ้วนแต่ภาคภูมิ ใช้สายตาซึ่งอยู่ภายในกระจกจ้องดูชายหนุ่มเป็นที่ถามอย่างประหลาดใจ ส่วนเขากราบลงกับบันไดแล้วควักจดหมายฉบับหนึ่งออกส่งให้ท่าน

“อ้อ! พ่อเห็นจะมาจากสวรรคโลกกระมัง” เจ้าคุณว่าขณะที่รับจดหมาย

“ขอรับกระผม”

“หาบ้านฉันยากไหม ?”

“กระผมเคยรู้จักมาก่อนแล้ว”

“อ้อ! - เอ๊ะ ทำไมฉันไม่รู้จักพ่อล่ะ”

“กระผมรู้จักบ้านใต้เท้าเพราะเคยอยู่”

“ยังงั้นหรือ ! เมื่อไหร่น่ะ ?”

“เมื่อใต้เท้าอยู่อเมริกา และเจ้าคุณบำรุงมา​อาศัยอยู่ที่นี่”

“อ้อ ๆ เข้าใจละ ไปอาบน้ำอาบท่าเสียให้สบาย แล้วกลับมาหาฉันที่นี่-เฮ้ย ! อ้ายแปลก! นี่มันหายไปไหนกันหมดนะ อ้ายแปลก! อ้ายแปลกโว้ย”

เสียงครับผมดังลั่น เสียงฝีเท้าวิ่ง แล้วเด็กหนุ่มหน้าตาคมคายออกมานั่งสำรวมอยู่

“พาคุณนี่ไปห้องที่ข้าจัดไว้ให้เขา แล้วเอ็งคอยรับใช้” เจ้าคุณสั่ง

นายแปลก พาชายหนุ่มไปยังเรือนสองชั้นไม้สักซึ่งเมื่อ ๑๐ ปีก่อนเคยเป็นที่อาศัยของแม่นมประสงค์ เรือนนี้เจ้าคุณบำรุงปลูกเอง ครั้นเมื่อท่านไปอยู่สวรรคโลก ก็เลยละไว้ให้เป็นสมบัติของเจ้าของบ้าน ชายหนุ่มมองดูที่ ๆ ตนจะอาศัยอยู่ชั่วคราว ซ่อนยิ้มไว้ภายใต้หนวดอันดกดำ ซึ่งทำให้ดวงหน้าเขาเค็มอย่างที่เรียกกันว่าใส่เกลือไว้เจ็ดไห เรือนนั้น​มีสามห้องด้วยกัน ห้องหนึ่งจัดเป็นห้องนอนอยู่ริมเปิดหน้าต่างเห็นโรงรถ หน้าต่างด้านหลังตรงหัวนอนเตียงนั้นมองเห็นทุ่งนา ห้องที่สองคือห้องกลาง มีตู้สำหรับใส่หนังสือแต่ไม่มีหนังสืออยู่ตู้หนึ่ง โต๊ะเขียนหนังสือกับเก้าอี้ ๒-๓ ตัว ห้องมุมติดกับเฉลียงไม่มีอะไรหมด นอกจากพรมปูไว้เฉย ๆ ส่วนที่เฉลียงมีเก้าอี้โยกกับเก้าอี้ยาวอย่างละตัว ชายหนุ่มเที่ยวเปิดโน่นเปิดนี่จนทั่วแล้ว ก็กลับเข้าห้องนอนจัดการผลัดเครื่องแต่งตัวแล้วก็อาบน้ำ เมื่อเสร็จแล้ว เขาถามแปลกว่า

“รู้ไหมฉันจะต้องกินข้าวที่ไหน ?” พูดแล้วเอามือลูบท้อง

เจ้าแปลกอ้อมแอ้มตอบได้ความว่า “ไม่ทราบ” แต่ถ้าหิวมันจะไปหาขนมปังให้รับประทาน

“ขอบใจแกมากไม่ต้องหรอก” ชายหนุ่มตอบ เขาฉวยเสื้อผ้ายัดเข้าตู้ใส่กุญแจ ใจมุ่งจะรีบไปพบกับเจ้าคุณ

​ท่านนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวที่สนาม จ้องดูเขาเดินมาแต่ไกล ท่วงทีที่เดินเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้มีสกุล ศีรษะตั้งตรง ก้าวเท้ามั่นคง พอถึงตรงที่ท่านนั่งอยู่ เขาลดตัวลงที่สนามแล้วนั่งตัวตรงอยู่

“อ้าวนั่งบนนี้สิ” เจ้าคุณไมตรี ฯ บอก พลางขยับที่ให้เขา “ใส่เสื้อชั้นนอกเข้าไว้ทำไมน่ะ ดูเกือกก็ไม่ใส่ แล้วไม่จำเป็นต้องนุ่งผ้า ทีหลังนุ่งกางเกงได้ ถนอมเขาเลี้ยงแกเหมือนลูก ฉันก็จะเลี้ยงเหมือนหลานสนิท แกชื่อประสมหรือในจดหมายถนอมบอกว่าดังนั้น”

“ครับผม”

“ทีหลังไม่ต้องมีคำว่า ‘ผม’ - ‘ครับ’ เฉย ๆ ก็พอ”

“ขอรับ”

“มานั่งด้วยกันบนนี้เถอะ อย่าเกรงใจเลย”

“ผมนั่งที่นี่สบายแล้วครับ” ประสมถนอม​เสียงตอบ

เจ้าคุณพอใจในมารยาทสงบเสงี่ยมของประสม ท่านถามเขาว่าเห็นห้องเป็นอย่างไร ถามถึงอายุ การศึกษา และลงท้ายถึงบิดามารดา

“เจ้าคุณและคุณหญิงบำรุงคือบิดามารดาที่นับถือของผมครับ”

เจ้าคุณอึ้งไม่กล้าถามต่อไป คำตอบของเขาคล้ายกับจะหมายความว่า เมื่อเจ้าคุณบำรุงรับเป็นลูกแล้ว จะต้องไปยุ่งกับบิดามารดาทำไมอีกเล่า

“พรุ่งนี้เช้าฉันจะพาแกไปที่ร้าน และแกจะได้เริ่มเรียนการงานทีเดียว”

ประสมไม่ตอบว่ากระไร ขณะนั้นพอดีเสียงแตรรถยนต์ดังขึ้น มีชายคนใช้วิ่งไปเปิดบานประตูเผยทางให้รถอาร์มสตรองค์สี่สูบแล่นเข้ามา

ผู้ที่นั่งในรถมีสตรีสาว หน้านวลเป็นใย ​แก้มทั้งสองข้างเต่งตั่ง ตาคม มองดูห่าง ๆ เห็นเป็นสีดำ ถ้าเข้าใกล้จะเห็นว่ามีสีน้ำเงินเจืออยู่ ผมดำมีสีน้ำตาลแกม ตัดสั้นเพียงคอนั้น หยิกเป็นคลื่น และมีลูกผมตกอยู่ตามหน้าผาก จมูกโด่ง ปากน่าเอ็นดู แต่ลักษณะแห่งรอยจีบบอกนิสัยข้างดื้อ เจ้าหล่อนลงจากรถยนต์ด้วยกิริยากระปรี้กระเปร่า วิ่งมาที่สนาม แขนทั้งสองโอบรอบคอบิดาแต่ตามองข้ามศีรษะหงอกประปรายของท่านไป

“อะไรกลับจนค่ำมืดมยุรี ไปคนเดียวควรจะกลับให้วันกว่านี้” เจ้าคุณพูดเสียงเชิงติเตียน

“ก็แหม คุยกันสนุกนี่คะ ! คุณละออจะมาส่งแล้ว แต่ลูกไม่ยอม ไม่อยากกวนเธอ ค่ำวันนี้ลูกจะไปดูหนังนะคะ”

“เออ ! กลับมาหยก ๆ พูดถึงไปอีกแล้ว นี่แน่เลขานุการคนใหม่ที่พ่อบอกเจ้า”

ท่านทอดสายตาลงต่ำเมื่อหันมาข้างหน้าหวัง​จะเห็นประสมนั่งพับเพียบเอียนละเมียนอยู่ แต่กลับได้เห็นแต่เท้าทั้งสองของเขา ท่านเงยหน้าขึ้นพูดว่า

“พ่อประสม นี่ลูกสาวฉัน มยุรีรู้จักกันไว้ เพราะจะต้องอยู่บ้านเดียวกัน” ท่านหวังที่ขณะพูด ว่าจะเห็นประสมโค้งตัวลงยกมือไหว้อย่างงามสมกิริยาอันละมุนละม่อมของเขา แต่ผิดคาดอีก ชายหนุ่มโค้งกายและก้มศีรษะ ประกอบด้วยผมหยักโศกเป็นมันลงเพียงเล็กน้อย มยุรีผงกศีรษะพอเป็นที

ขณะนั้นเป็นเวลาพลบ เจ้าคุณลุกไปแล้ว เดินไปทางมุมสนาม เมื่อเปิดไฟ มยุรีไขว่ห้าง เปิดกระเป๋าหยิบกลักบุหรี่ออกจุดพูดลอย ๆ ว่า

“อากาศที่สวรรคโลกเห็นจะดี”

ประสมพูดเสียงต่ำ “พอใช้”

มยุรีฉุนกึก นี่หรือเลขานุการคนใหม่ ? หัวสูงเหลือประมาณ พูดไม่มีหางเสียง หล่อน​สะกดใจพูดต่อไป วางน้ำเสียงเป็นสง่า “เห็นจะอยู่ที่นั่นมานาน”

“ใคร”

“นายประสมน่ะซี”

“นาน”

มยุรียังถือขันติ “เมื่ออยู่ที่โน่นมีหน้าที่ทำอะไร ?”

“ทุกอย่าง”

“อะไรเป็นต้น ?”

“โต้ตอบจดหมายแผนกต่างประเทศ”

“งานของ เรา ต้องการคนมีความชำนาญทางนั้น ถ้าขยันดี เรา จะให้เงินเดือนขึ้นโดยเร็ว”

หล่อนใส่น้ำหนักที่ตรง “เรา” ทุกทีเพื่อให้ลูกจ้างคนใหม่ รู้สึกว่าหล่อนกับบิดาเป็นคนเดียวกัน พ่อเป็นนายลูกก็เป็นด้วย

“เราทุกคนที่ทำงานบริษัทป่าไม้สวรรคโลก​ย่อมขยัน”

“ดีละ ขอเตือนว่า นายในบางกอกไม่เหมือนนายตามบ้านนอก บ้านเรายังมีจ้าว มีขุนนาง มีผู้ดี มีไพร่ มีบ่าว มีนาย”

“อ้อ เพิ่งทราบ

“ออกจะโง่ ถ้าเช่นนั้น ที่นี่ไม่ใช่อเมริกา จะได้ถือว่าเสมอกันได้หมด”

เคราะห์ดีที่เจ้าคุณไมตรีพิทักษ์เดินเข้ามาใกล้ มิฉะนั้นน่ากลัวหนุ่มสาวผู้เย่อหยิ่งทั้งสอง จะต้องวางมวยกันทั้ง ๆ ที่คนหนึ่งเป็นเพศอ่อนแอ ท่านพูดด้วยเสียงใจดีตามเคย “พ่อประสมคงหิวข้าว มยุรีจะอาบน้ำเสียก่อนไหมลูก อาบก็ไปเร็ว ๆ”

“ไม่อาบละค่ะ ลูกอาบเมื่อก่อนไปแล้ว รับประทานแล้วลูกจะแต่งตัวไปดูหนัง”

“ไปกับพยอมหรือ ?”

“ค่ะ”

​“พ่อละออเป็นคนขับตามเคย”

“ค่ะ” มยุรีตอบแล้วหัวเราะน้อย ๆ

“มยุรีชอบดูหนังมาก ชอบมาแต่เล็ก ๆ ทีเดียว” เจ้าคุณหันมาทางนายประสม ท่านแถมว่า “ฉันคิดว่ามยุรีกับแกคงจะชอบกันนะ”

“ชายที่รู้จักอ่อนน้อม ย่อมเป็นที่ชอบของคนทั่วไป” มยุรีไม่ได้แถมว่า “แต่คนที่เย่อหยิ่งย่อมเป็นที่รังเกียจ”

แต่ประสมเข้าใจความหมายของหล่อน เขาพูดคล้ายกับเจ้าคุณ

“หญิงที่มีมารยาท ละมุนละม่อมย่อมเป็นที่ชอบของคนทั่วไป” มยุรีเดาประโยคที่ซ่อนอยู่ได้เหมือนกัน แต่เจ้าคุณไมตรี ฯ คาดว่าทั้งสองกำลังยอกันอยู่ ท่านอมยิ้มสั่งให้มยุรีไปบอกคนใช้ให้ยกข้าว

ขณะที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งสำหรับแต่ง​ตัวเพื่อไปดูภาพยนตร์ มยุรีมีตาลอยแสดงว่ากำลังนึกถึงอะไรเพลินอยู่ และน่าประหลาดไหม ? หล่อนนึกถึงพ่อเลขานุการคนใหม่นั่นเอง ในเวลารับประทานอาหารเมื่อแสงไฟจับเขาเต็มหน้า หล่อนลอบพิศดูเขา เห็นว่าทั้งเครื่องหน้าและใบหน้าจะหาที่ติไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ตาก็ดำสนิท คิ้วก็โก่ง ผมหยักโศก ฟันดีปากดี แต่หนวด ! โอ ! มันทำให้หน้าเขาเค็มจนน่ากลัว หล่อนรำพึงว่า ถ้าเขาเอาหนวดออกเสียจะดีไม่น้อย แต่เขาไม่ยิ้มเสียเลย หน้าถมึงทึง แววตาไม่อ่อนหวาน ถ้าจะพูดที่จริงเขาเป็นคนกระด้างที่สุด อย่างไรก็ดี ถ้าเมื่อแรกถูกแนะนำ เขายกมือไหว้หล่อนสักนิด หล่อนกับเขาก็คงเป็นสหายกันเสียแล้ว แต่นี่เขาโค้งอย่างไว้ตัว เออ ! ชายทั้งหลายที่หล่อนได้พบมา ทั้งฝรั่งและไทยแรกแนะนำทุกคน​ก็โค้งให้หล่อนต่ำกว่านี้มาก ๆ ทีเดียว นี่เขาอวดดีอย่างไรจึงวางท่าเย่อหยิ่งดังนั้น หรือเขาจะแสดงให้หล่อนเห็นแต่แรกพบทีเดียวว่า เขายอมให้แต่บิดาเท่านั้น ส่วนหล่อนจะมีอำนาจเหนือเขาไม่ได้ ดีละ หล่อนจะไม่ยอมแพ้เหมือนกัน คืนนั้นหล่อนแต่งตัวอย่างประณีต เลือกซิ่นอย่างงามตัวที่หล่อนโปรด เสื้อสีเข้ากันเชี้ยบ ถุงเท้ารองเท้า ตลอดทั้งตุ้มหู อาภรณ์สิ่งเดียวที่หล่อนใช้ เป็นสีเนื้อเข้ากันหมด เมื่อแสงไฟจับทำให้เห็นเนื้อเป็นนวล น่ารักยิ่งนัก หล่อนมองดูเงาของตัวในกระจก สาวใช้ยืนพัดอยู่ข้าง ๆ หล่อนหันซ้ายขวาหน้าหลัง จนเป็นที่พอใจแล้ว ก็ขยี้แป้งผัดหน้าอีกแต่พอนวล มิให้ขาวออกมานอกผิวเนื้อ เสร็จแล้วมองดูกระจกเป็นครั้งสุดท้าย นวยนาดลงมายังห้องที่บิดากับประสมนั่งอยู่

​พอหล่อนย่างเข้าไป ประสมลุกจากที่นั่งไปยืนข้างตู้ หล่อนชำเลืองดูเขาและเสียใจที่หน้าของเขาบังเงาอยู่ หาเห็นดวงตาและสีหน้าของเขาไม่ หล่อนนั่งลงบนเก้าอี้ตรงกันข้ามกับเขานั่งอยู่ เมื่อครู่ก่อน แล้วมองดูนาฬิกา

“จะไปโรงไหนนะวันนี้ ถึงแต่งตัวเสียสวยเช้ง” ท่านบิดาถาม

“พัฒนากรค่ะ เอ๊ะ เมื่อคุณพ่อนั่งอยู่คนเดียวหรือคะ ?”

“นั่งอยู่กับพ่อประสม อ้าว! แน่ะไปยืนแอบอยู่โน่นมานี่ซิ นั่งกับลูกสาวฉันเป็นอะไรไป มาเถอะพวกเราไม่ถือ”

ประสมค่อย ๆ เดินมานั่งที่เดิม มยุรีมองอย่างไม่แยแสแต่ในใจนึกว่า

“เขาจะจ้องดูไหมนะ คงจ้อง เขาจะนึกอย่างไรนะ ?”

​ท่านผู้อ่านที่รักของข้าพเจ้า ถ้าท่านเป็นเพศชายควรถามภรรยา หรือน้อง หรือพี่ที่เป็นหญิงดูว่า เรื่องที่ข้าพเจ้าจะบอกต่อไปนี้เป็นจริงหรือไม่ ถ้าท่านเป็นหญิงโปรดถามตัวท่านเองดู ข้าพเจ้าว่าหญิงสาวเกือบทุกคน และหญิงที่รู้ว่าตัวมีความสวยทุกคน หากว่ามีชายคนหนึ่งมาบังอาจดูถูกหล่อนด้วยตา ด้วยวาจา ด้วยท่า อย่างใดอย่างหนึ่ง กล่าวคือแสดงการไม่แยแส และเหยียดหล่อน ผู้นั้นอยาก - อยากที่สุด - ที่จะทำตัวให้เป็นที่ถูกใจเขาอยากให้เขานิยมในความงาม ความหรู ความน่ารัก หรืออะไรก็ตาม อยากให้เขากล่าวชม ถ้ายิ่งหลงรักหล่อนด้วยก็ยิ่งดี แล้วและหล่อนจะได้ปัดความรักของเขา ด้วยคำพูดและกิริยาว่า หล่อนเห็นเขาดีกว่าแมวที่ผอมโซนิดหน่อยเท่านั้น เพียงเป็นการแก้แค้นทดแทนการดูถูกของเขา

ความตั้งใจของมยุรีจะสำเร็จหรือไม่ก็ยาก​ที่จะเดา ประสมก็ไม่ได้แสดงกิริยาอย่างอื่นนอกจากนั่งประสานมือ ทอดสายตาข้ามศีรษะหล่อนไปจับจ้องอยู่กับอะไรสิ่งหนึ่ง อาการนี้ทำให้สีหน้าเบิกบานของหญิงสาวสลดลงเล็กน้อย แต่หล่อนฝืนให้แช่มชื่นด้วยความมานะ ขณะนั้นพอดีนาฬิกาตี ๘ ทีได้โอกาสที่จะปล่อยความฉุนออกมาได้หล่อนพูดว่า

“ตาย – พยอมผิดนัด ! เกลียดจริงไอ้เรื่องไม่ตรงเวลา !”

“ใจร้อนจริงลูก ! เขานัดสองทุ่มหรือ ?”

“ก็นี่มันสองทุ่มตรง ประเดี๋ยวก็มา หนังเรื่องดีหรือ ?”

“ลูกไม่ได้ดูโปรแกรมดอกค่ะแล้วไม่ได้กลัวดูไม่ทัน แต่เรื่องคอยละลูกเกลียดจริง.... อากาศมัน ร้อน ออกจะหงุดหงิด” หล่อนพูดยิ้มเก้อ ๆ อย่างที่​รู้สึกตัวว่าทำกิริยาไม่ดี

ประสมมองดูหล่อน แล้วมองดูพัดลมที่อยู่เหนือศีรษะ

“ผมยุ่ง” มยุรีพูดเฉย ๆ

ประสมเงยหน้า ทอดสายตาไปยังที่เดิม เสียงแตรรถดังขึ้นทันใด แล้วเสียงรถแล่นใกล้เข้ามาทุกที เสียงเปิดประตู มยุรีปราดออกไปรับ

ผู้ที่เข้ามาใหม่ เป็นหญิงคนหนึ่งชายคนหนึ่ง หญิงมีผิวเนื้อขาว จมูกดี แต่ปากเชิดสูงกว่ามยุรีเล็กน้อย ชายปากดีกว่าน้องสาวแต่ตาเล็กแลล่อกแล่ก จมูกค่อนข้างใหญ่แต่เมื่อดูรวม ๆ กัน เขาก็จัดว่าเป็นคนค่อนข้างสวย เขาสวมแว่นตากรอบกระขนาดเขื่องข่มจมูกให้ย่อมลงเล็กน้อย

ประสมใช้เงาบังตัว ยืนจับจ้องดูอิริยาบถของคนทั้งสี่คนด้วยเอาใจใส่ การทักทายรวมทั้ง ชมเชยเครื่องแต่งกาย และความงามของมยุรีกิน​เวลาสัก ๕ นาทีเศษ เจ้าคุณพิทักษ์ ฯ จึงนึกถึงเลขานุการขึ้นมาได้ ท่านเหลียวหาเขาพอพบก็พูดว่า

“พ่อประสม อะไรคอยหลบเข้าเงามานี่แน่ะ รู้จักกันไว้”

ประสมก้าวขาออกมาตามคำสั่ง ในวงหน้าอันคมขำมิได้มีอะไรเลยเฉยคล้ายหน้าหุ่น มยุรีมองดูด้วยใฝ่ใจ

“นี่นายละออ แพทย์ประกาศนียบัตร นี่แม่พยอมน้องสาว ทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักของมยุรี -- นี่ พ่อประสมหลานชายของฉัน”

ริมฝีปากภายใต้หนวดดกนั้นยิ้มเผยอนิดหนึ่ง เมื่อประสมยกมือพนมรับไหว้พยอมแล้ว หันมาทางละออ ประสมมองดูตัวแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้า เคราะห์ดีละออไม่ใช่คนช่างจับไหวพริบเขาก้มศีรษะลงทำความเคารพ ซึ่งประสมรับอย่างมึนชา

“คุณหายไปไหนมา ผมมาที่นี่เกือบทุกวัน​ตั้งแต่กลับจากอเมริกาไม่เห็นพบ เราเห็นจะชอบกันได้ ผมกับมยุรีรักกันมาก ไม่ใช่ หมายความว่า พยอมกับมยุรีรักกันมาก และผมเป็นพี่พยอม”

ประสมไม่ปริปากตอบ นอกจากจับสายตาผู้พูดเฉยอยู่ อาการนั้นทำให้มยุรีฉุนแทน หล่อนฉวยข้อมือพยอมพลางพูดว่า

“ไปเถอะ เดี๋ยวจะดึก”

ละออหยุดอธิบาย หันมาคล้อยตาม

“จริงละ ผมลาคุณประสม วันหลังพบกันใหม่ แน่ะ ผ้าห่มของเธอมยุรี”

สามคนทำความเคารพเจ้าของบ้าน แล้วพากันไปขึ้นรถ พอรถออกจากบ้านสักหน่อยมยุรีพูดกับเพื่อนสาวว่า

“พยอม เธอไหว้ประสมทำไมนะ ?”

“อ้าว ! ก็เขาเป็นพี่ของเธอมิใช่หรือ ?”

​“พี่เพ่ออะไร ทีหลังอย่าไหว้นะ คุณพ่อท่านเลอะ ลูกใครก็ไม่รู้ หลาน หลาน”

ละออได้ยินเสียงพึมพำหันหน้ามาถาม

“พยอมค่ะ ไหว้กระทั่งเลขานุการ มืออ่อนจนเกินเหตุ”

“อ้าว! ก็เขาเป็นหลานคุณพ่อเธอไม่ใช่หรือ?”

“ไม่ใช่หลาน” มยุรกระแทกเสียงตอบ “เป็นแต่เจ้าคุณบำรุงเพื่อนของคุณพ่อเคยเลี้ยงอย่างลูกเท่านั้น”

“เอ้อเฮอ! ฉันเห็นท่าเขาราวกับพระองค์เจ้า”

มยุรีเค้นหัวเราะสั่น ๆ ออกมา

----------------------------



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #1 on: 28 October 2025, 17:19:53 »




​เดือนหนึ่งล่วงแล้ว นับตั้งแต่นายประสมได้ใช้หลังคาบ้านแห่งบิดาของมยุรีเป็นที่กำบังแดดและฝน เดือนหนึ่งนับตั้งแต่เขาได้ไปเยี่ยมโรงทอผ้าของพระยาไมตรีพิทักษ์ วันนี้ วันที่ ๒ ของเดือนสิงหาคมประสมได้รับเงินเดือนเป็นค่าแรง และค่ามันสมองที่ได้เปลืองไปในการบัญชีและจดหมายโต้ตอบ เมื่อเช้าวันนี้เจ้าคุณไมตรี ๆ ขณะที่ส่งเงิน ๖๐ บาทให้กับเขา ได้กล่าวด้วยดวงหน้ายิ้มแย้มว่า “นี่พ่อประสมเงินเดือน ๆ แรกของแก ฉันดีใจที่ได้แกไว้ใช้ ขออย่าให้มีอะไรมาทำให้แกไป​จากฉันเสียเลย” ประสมยิ้มน้อย ๆ เมื่อหวนนึกถึงคำพูดประโยคนี้ เขาก็เข้าใจว่าหมายความถึงอะไร ตั้งแต่ประสมได้พบกับลูกสาวของเจ้าของบ้าน ยังไม่เคยพูดกันฉันมิตรเลย ถ้าไม่จำเป็น หนุ่มสาวทั้งสองไม่พูดกัน แม้แต่ตาก็สบกันน้อยที่สุด เวลารับประทานอาหารทั้งเจ้าคุณ มยุรี และตัวเขารับประทานร่วมกัน นอกจากเวลากลางวันประสมรับประทานที่ ๆ ทำงาน แต่ตลอดเวลารับประทาน มยุรีกับประสมจะสนทนากันบ้างก็หาไม่ หล่อนไม่ยกโทษให้ที่เขาไม่เคารพหล่อนในวันแรก ส่วนเขาก็มีความคิดที่ได้ตกลงไว้เด็ดขาดว่าจะไม่ง้อ จนกว่าจะถึงเวลาที่เห็นควร ส่วนความในใจของทั้งสองจะเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบ เท่าที่มองด้วยตาใคร ๆ รวมทั้งเจ้าคุณก็เห็นว่าทั้งสองไม่เป็นมิตรต่อกัน ดวงหน้าของประสมขณะที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง คล้ายกับจะชมยวดยานที่ผ่านไปมานั้น เต็มไปด้วยความไตร่ตรอง ริมฝีปากเม้มแน่น คิ้วขมวด​เข้าหากัน ครู่หนึ่งเขาผละจากหน้าต่าง สวมรองเท้าแตะแล้วลงจากเรือนมาที่สนาม มยุรีแต่งตัวอย่างเก๋นั่งเพลินอยู่คนเดียว ประสมเดินทอดน่องมาเรื่อย ๆ พอใกล้หล่อนเขาเงยหน้าขึ้น ชะงักและทำท่าคล้ายจะหันหลังกลับ แต่ด้วยความประหลาดใจจริง เขาได้ยินมยุรีเรียกชื่อเขาขึ้น

“นายประสม !” และมีท่าทางกระดากนิดหน่อย แต่ยังงั้นก็ยังไว้สง่า

ประสมหยุดมองดูหน้าหล่อนเฉยอยู่

“จะวางท่ากับฉันให้เหมือนกับเราชอบกันสักหน่อยได้ไหม ?” หล่อนถาม

“วางท่า ! อ้อได้ แต่เพื่อประโยชน์อะไร เราไม่ได้ชอบกันไม่ใช่รึ ?”

“นายประสมเกลียดฉันเพราะเหตุไร ?”

ฝ่ายชายเลิกคิ้วเป็นทีถาม

“จำไม่ได้ว่าได้เคยบอก”

“ไม่จำเป็นต้องบอกด้วยคำพูด ฉันสังเกตดู​ท่าก็พอจะรู้”

“ยินดีที่บุตรีของนายมีความฉลาดถึงเพียงนั้น มีเสียแรงที่ได้เคยศึกษาวิชาที่ประเทศอเมริกา”

“ไม่ต้องเล่นสำนวนประชด” มยุรีกล่าวพลางสะบัดหน้า “เชิญนั่งซีท่านเลขานุการ”

“ขอบคุณ นั่งที่นั่นยืนสบายกว่า” เขาชี้ที่ข้างตัวหล่อน

มยุรีรู้สึกหน้าร้อนฉี่ ประสมสังเกตเห็นแก้มเป็นพวงของหล่อนแดงเรื่อขึ้น

“ถูกแล้ว เราไม่ชอบกัน” หล่อนพูดเสียงสั่นเต็มไปด้วยความโกรธและถือตัว “ฉันเกลียดนายประสม บอกจริง ๆ ที่พูดเมื่อตะก็อย่านึกว่าง้อ ไม่มีวันเสียละในชาตินี้ แต่หากเป็นเพราะคุณพ่อ....”

“เจ้าคุณ อ้อ พอเข้าใจ โปรดต่อไปอีกสักหน่อยจะเป็นบุญคุณยิ่ง”

“แน่นอน ฉันจะต่อ จะเป็นบุญคุณหรือ​๕๕ ไม่ก็ช่าง คุณพ่อท่านต้องพึ่งนายประสม” เสียงของหล่อนเห็นชัดว่าประชด หล่อนใส่น้ำหนักตรงคำว่า พึ่ง “ท่านว่าท่านต้องพึ่งและท่านว่าฉันทำท่าปึ่ง....”

“ซึ่งเป็นการไม่จริง ?” ประสมขัด ยิ้มจนเห็นไรฟัน ซึ่งมยุรีนึกว่าไม่เคยเห็นใครยิ้มน่าเกลียดเท่า

“ธุระอะไรฉันจะว่าไม่จริง ฉันจะปึ่งกับใครก็ได้ ฉันเกลียดฉันก็ปึ่งใครจะทำไม”

“ถูกแล้ว โปรดต่อไปเถอะ”

ถ้าสายตาสามารถยิงมนุษย์ได้ ประสมก็คงจะหยุดหายใจเสียในที่นั้นแล้ว มยุรีพูดต่อไป

“ท่านสังเกตเห็นว่า ฉันไม่ชอบนายประสม เกรงว่า....”

“พอแล้ว ขอบคุณมาก” ประสมขัดพลางยกมือห้าม “เข้าใจความคิดของเจ้าคุณได้โปรดเรียน ท่านเถิดว่า ผมมิยอมให้คนอย่าง-โอ ! หมายความ​ว่า มิเคยมีหญิงใดจะมาขัดขวางความเป็นอยู่ของ ผม ได้” เขากล่าวคำ ผม ไม่ค่อยสนิท พอพูดจบเขาก้มศีรษะให้หล่อนนิดหนึ่งแล้วหันหลังกลับ เดินจากไป

มยุรีเดือดจนหัวหมุน หล่อนนั่งอยู่ที่เดิม ครุ่นคิดแต่คำสนทนาที่แล้วไปเมื่อครู่ ลมพัดมาเอื่อย ๆ ต้องกิ่งไม้โอนเอนไปมามยุรียังคงนั่งอยู่เช่นนั้นจนค่ำ

คืนนั้น เมื่อเจ้าคุณนั่งลงตรงหัวโต๊ะอาหาร ประสมขณะที่เลื่อนเก้าอี้ให้มยุรี พูดกับหล่อนว่า

“คิดว่าคุณจะไปเที่ยวอีกเย็นนี้ เพราะแต่งตัว”

มยุรีประหลาดใจจนหาคำโต้ตอบมิได้ เจ้าคุณจึงตอบแทน

“แต่งตัวเก้อน่ะซี นัดกับแม่พยอมว่าจะไปกินกาแฟนรสิงห์ไม่ใช่หรือ ?”

“ค่ะ แล้วคุณละออมีธุระเสียเลยไปไม่ได้ ​จนย่ำค่ำจึงโทรศัพท์มาบอก”

“ก็ทำไมไม่เอารถของเราไปรับเขาล่ะ ?”

“ลูกก็ออกขี้เกียจด้วยกันแหละค่ะ เพราะมันค่ำแล้ว”

“บิดาแม่พยอมเป็นเชื้อจีนไม่ใช่หรือครับ ?” ประสมถามเรื่อย ๆ มือทำหน้าที่ตักข้าว ถึงกระนั้น เขาก็ยังเห็นว่ามยุรีเงยหน้าขึ้นมองดูเขา

“ฮึ่ ! เป็นครึ่งจีน แต่เขาทำตัวเป็นไทย บุตรชายกับบุตรสาวก็เลยเป็นไทยแท้ ๆ ละออเป็นเด็กน่าคบ”

ต่างคนต่างเงียบกันไป ได้ยินแต่เสียงช้อนส้อมกระทบกับจาน ประสมเป็นคนพูดก่อน

“ผมอ่านหนังสือข่าววันนี้ ได้พบข่าวน่าสลดใจเหลือเกิน ชายคนหนึ่งหมั้นกับญาติของตัวแต่เล็ก ๆ ด้วยกัน เขารักคู่หมั้นซึ่งบิดามารดาเต็มใจให้ได้กันด้วยความรักอันลึกซึ้ง หญิงนั้นไม่รักตอบ ​เขาหนีตามผู้ชายคนหนึ่งไป คุณทายถีชายคู่หมั้นจะทำอย่างไร” ประโยคสุดท้ายเขาพูดกับมยุรี หล่อนสั่นศีรษะ เขาจึงพูดต่อไป สีหน้าและสายตาเปลี่ยนเป็นขึงขัง และยิ้มเป็นดูหมิ่น

“เจ้าสัตว์ขลาดบ้า มันกระโดดน้ำตาย”

คำพูดธรรมดาเหล่านี้หลุดจากปากประสม แต่มีอำนาจดุจสายอสุนี เจ้าคุณและบุตรสาวนั่งเงียบ....ทั้งสองกำลังนึกถึงอะไร ?

ประสมรวบช้อนส้อมชำเลืองดูผู้ฟังทั้งสอง สังเกตดูกิริยาจนเป็นที่พอใจแล้ว จึงกล่าวด้วยสำเนียงชนิดที่ผู้ฟังอธิบายไม่ได้

“ผมเสียใจแทนบิดามารดาของชายนั้น เออ ! ป่านนี้จะเศร้าโศกสักเพียงใด ส่วนพ่อแม่ของผู้หญิงเขาทั้งสองไม่ได้มีส่วนรับบาปด้วยดอกหรือ ? มโนธรรมน่าจะสะกิดใจเขาที่ได้ตกลงยอมรับหมั้นแทนบุตรีแล้วและไม่อบรมหล่อนให้อยู่ในโอวาท ส่วน​แม่หญิงคนนั้น....คุณคิดว่าจะรู้สึกอย่างไร ?” เขาพูดกับมยุรี

“ไม่ทราบเลย เดาไม่ถูก แต่โอ ! ร้ายกาจ น่าเวทนา” มยุรีพึมพำ

“เวทนาชายคนนั้นหรือคุณ ผิดกับผม สำหรับผมเห็นว่าสมน้ำหน้า ฆ่าตัวตายเพราะผู้หญิง เหตุใดไม่พยายามให้ได้หล่อนเป็นกรรมสิทธิ์เสียแต่ต้นมือ และถ้าพยายามแล้วไม่ได้ เหตุใดไม่รักษาชีวิตของตัวไว้เพื่อ....แหม ! ถ้าเป็นผม”

เจ้าคุณและบุตรีอิ่มข้าว และซ้ำกลืนของหวานก็ไม่ลง บิดาหยิบบุหรี่ออกจุดสูบแล้วตั้งใจฟังต่อไป มยุรีจ้องดูผู้พูดไม่วางตา

“ถ้าเป็นผม ฮึ่ม !”

“จะทำอย่างไร ?” หล่อนถามเสียงคล้ายหอบ

“ผมรึ ? สิ่งใดที่เป็นของผม ผมต้องเก็บต้องรักษา ต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผมตลอดกาล ​หญิงที่หมั้นกับผมแล้วต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผม ถ้าใครบังอาจมาแย่งผมก็ยิงเสียทั้งคู่เท่านั้น”

“พ่อประสม !” เจ้าคุณร้อง ส่วนมยุรีสะดุ้ง

“ทำไมครับ ? สามีเห็นภรรยาของตนมีชู้ จับได้กับตา เขาจะทำอย่างไร ถ้าเป็นผมฟันให้ขาดสองท่อน”

“นั่นมันมีชู้ ก็คู่หมั้นมันคนละอย่างนี่”

“สำหรับผมเห็นคล้ายกันมาก”

“สำหรับนายประสม แน่ละ แต่สำหรับกฎหมาย เขาจะได้ตัดสินประหารชีวิตเสียปะไรล่ะ”

“จะประหลาดอะไร เมื่อเราได้เห็นคนที่ทำให้เราเจ็บใจ ตายไปเพราะมือเราสมประสงค์แล้ว”

“เอาหนัก ๆ” เจ้าคุณบ่น ท่านไม่เคยเห็นประสมมีกิริยาเช่นนี้มาก่อน

ท่านลุกจากโต๊ะ ขณะที่มยุรีพูดว่า “เป็นความเห็นส่วนตัวของนายประสม ไม่มีใครจะโต้แย้ง​ได้ แต่ข้อที่หญิงมีคู่หมั้นแล้วไปได้กับชายอื่น ต้องหาว่ามีโทษเท่ากับมีชู้นั้น ฉันยังไม่เห็นด้วย”

“แล้วแต่จะโปรด ทุกคนย่อมมีความเห็นส่วนตัว”

คืนนั้นมยุรีนอนหลับน้อยที่สุด จิตใจฟุ้งซ่าน นอนๆ พอจะหลับก็เห็นภาพชายที่กระโดดน้ำตายมายืนอยู่ใกล้ กางมือออกเป็นเชิงวิงวอน หล่อนรู้สึกว่าเขาเป็นคนร่างสูง ดวงหน้าแสดงความเศร้าโศกอย่างลึกซึ้ง แต่หล่อนเห็นเขามีหนวดดำที่ริมฝีปากด้วย หล่อนพยายามจะลืมเรื่องเสีย ข่มใจให้หลับก็ไม่สำเร็จ หลับก็ผันตื่นก็เห็นไปเอง มันทรมานอยู่เช่นนั้นตลอดคืน เช้าวันรุ่งขึ้นเพียงเจ็ดนาฬิกากว่าๆ เท่านั้น ประสมซึ่งยืนอยู่ที่เฉลียงเรือน จึงได้เห็นหล่อนเดินมาที่สระใกล้ ๆ เรือนเขาด้วย อาการแช่มช้า หล่อนมิได้เหลียวมาทางที่เขายืนอยู่ เป็นแต่เดินไปยืนอยู่ที่สระครู่หนึ่ง แล้วนั่งลงบนขอบสระที่ก่อ​ด้วยคอนกรีต ประสมยืนนิ่งมองดูหล่อนอย่างเพลิดเพลิน ครั้นแล้วไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในสมองเขากระวีกระวาดลงจากเรือนแล้วค่อย ๆ นำตัวไปประดิษฐานอยู่ข้างหลังมยุรี โดยเจ้าหล่อนมิรู้สึกตัว เช้านี้เจ้าหล่อนสวมซิ่นสีน้ำเงินแก่ แลเสื้อผ้าขาวตัดเรียบ ผมซึ่งเกือบดำเมื่อต้องแสงแดดอ่อนก็มองดูสีเหลือบเป็นเงางาม หล่อนนั่งเท้าแขนขาพับอยู่ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งห้อยเหยียดอยู่บนถนน

“คุณกำลังนึกถึงเรื่องที่ได้ฟังเมื่อคืนนี้หรือ?”

มยุรีสะดุ้งเยือกทั้งตัว หล่อนประหลาดใจและออกฉุน ที่เขามาทายความคิดถูก หันขวับมาดู ประสมจึงเห็นว่าตาหล่อนลอยและหน้าเซียว

“นอนดึกมากกระมัง สังเกตดูคุณไม่ค่อยสบาย” ประสมพูดด้วยน้ำเสียงที่มยุรีไม่เคยได้ยินมาแต่ก่อน

“ฉันนอนไม่ใคร่หลับ” หล่อนบอกตรงๆ ​เกือบจะเล่าว่านึกเห็นแต่ร่างคนที่โดดน้ำตายแต่ได้สติจึงยั้งไว้

“เสียใจที่ผมเป็นคนก่อเรื่องให้กวนใจ แต่ไม่ได้นึกว่าคุณจะเก็บเอาไปข้องถึงกับทำให้หน้าซีดไปเพียงนั้น ผมนอนหลับเหมือนตุ๊กตา”

มยุรีถอนใจอย่างกระสับกระส่าย เหตุใดชายนี้จึงเดาความคิดของหล่อนถูก รู้สึกเพลียทั้งกายและใจ ไม่มีแรงที่จะแสดงอาการไว้ตัวอย่างเคย ประสมพูดต่อไป

“ป่านนี้ หญิงคู่หมั้นของเขาคงคลอเคลียกับสามีได้สบายใจ เมื่อหล่อนพบข่าวตายของเขา หล่อนคงสะดุ้ง ครั้นสามีหล่อนถาม หล่อนคงชี้หนังสือพิมพ์ให้เขาดู พลางถอนใจนิด ๆ แต่พองาม แล้วยิ้มอย่างเศร้าเป็นเชิงสงสาร แต่ในสายตาของหล่อนที่มองดูสามีนั้นคล้ายจะบอกว่า ‘แกควรจะต้องบูชาฉัน ดูถี ฉันเป็นคนมีราคาแพงเพียงใดฉันทำ​ให้คนตายเพราะฉันยังได้’....”

“หยุด! นายประสมพอที ! อวดดียังไง” มยุรีร้องผลุดลุกขึ้นยืน ประสมถอยหลังแสดงอาการตกใจเป็นล้นพ้น มยุรีไม่สามารถเห็นได้ว่า ภายใต้สีหน้าแสดงความพิศวงนั้น เขาซ่อนความยินดีไว้

“รับประทานโทษ เหตุไรคุณจึงมีอาการเช่นนั้น” เขาพูดอย่างไม่เดียงสา “เป็นความผิดที่รู้แล้วว่าคุณไม่สบายใจ กลับเอาเรื่องที่ไม่ชอบมาพูดให้ฟัง เสียใจมาก โปรดยกโทษให้ด้วย”

มยุรีกลับนั่งลงดังเดิม “ก็หล่อนไม่รักเขานี่นา เหตุไรเขาจึงรักเล่า” หล่อนพูดคล้ายกับพูดกับตัวเอง ดวงตาจ้องจับอยู่กับเงาในน้ำ หล่อนเห็นเงาของประสมซึ่งยืนอยู่ข้างหล่อน เยื้องไปทางหลังเล็กน้อย ทันใดดูเหมือนเงานั้นแสดงอาการกางมือกางเท้า แล้วทะลึ่งสุดตัว มยุรีหลับตาแน่นหันหน้า​มาก็พบประสมยืนอยู่เป็นปกติ เขาก้มมองดูหล่อนแล้วพูดว่า

“วันนี้ที่พญาไทมีเต้นรำไม่ใช่หรือ”

“จ้ะ ฉันจะไปเหมือนกัน นัดพบกับพยอมและคุณละออที่นั่น”

ประสมกัดริมฝีปาก “คุณจะไปคนเดียวรึ ?”

“แน่ละ ฉันจะไปกะใครละ ฉันไม่มีพี่น้องสักคนเดียว”

“ก็เจ้าคุณ”

“โอ๊ คุณพ่อ เมื่อท่านกลับมาใหม่ ๆ ยังพาฉันไปเที่ยวดินเนอร์บ้างเต้นรำบ้าง บางทีชวนเพื่อน มาดินเนอร์ที่บ้าน ตั้งแต่ออกจากราชการแล้ว ไม่ไปไหนเอาเลยทีเดียว”

“คุณก็เลยไปคนเดียว”

“ก็ยังงั้นซี วันนี้นายประสมไปกับฉันไหมล่ะ?”

​“ผมน่ะ นั่งรถไปกับคุณหรือ ตายละผมยังหนุ่มอยู่แท้ ๆ นั่งรถไปกับหญิงอย่างคุณ ผมจะได้ถูกนินทาตาย”

“ทำไมล่ะ ฉันไม่เห็นประหลาดอะไรเลย เมื่อฉันอยู่ในอเมริกา ก็ไปเที่ยวกับเลขานุการสถานทูตเสมอ ไม่เห็นเป็นอะไร”

“นั่นหรือความเห็นของคุณ ที่นี่ไม่ใช่อเมริกาและผมต้องรักษาความบริสุทธิ์แลชื่อของผม”

มยุรีนิ่งอึ้ง มีความรู้สึกอย่างที่บอกไม่ถูก โกรธจัดแกมสงสัย หล่อนไม่รู้จะพูดอะไร จึงสะบัดหน้าลุกขึ้นเดินจากเขาไป ประสมมองตามจนสุดสายตา แล้วหัวเราะเบา ๆ

----------------------------



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.049 seconds with 16 queries.