Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
01 November 2025, 06:23:36

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง นิจ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 3-4
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง นิจ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 3-4  (Read 69 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 28 October 2025, 16:33:41 »

นวนิยายเรื่อง นิจ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 3-4




​วันที่ ๒๘ เดือนพฤษภาคม ตรงกับวันศุกร์ แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๖ ซึ่งเป็นวันศุภฤกษ์ พระยาสุรแสนสงครามได้เลือกวันนี้ เป็นวันวิวาหมงคลระหว่างบุตรีกับหลวงธนสารสมบัติ เวลา ๗ นาฬิกา ภายในห้องโถงสี่เหลี่ยม ทาสีน้ำเงินอ่อนตั้งแต่ฝาผนังตลอดจนเพดาน มีอาสนสูงไม่เกินหนึ่งศอก ตั้งติดกับด้านตะวันออกเฉียงเหนือ เครื่องใช้ตั้งแต่ผ้าปูอาสน หมอนสำหรับพิง ตลอดจนพานหมากแล้วถ้วยน้ำร้อน เป็นสีน้ำเงินแก่เข้าชุดกันทั้งสิ้น พระสงฆ์ซึ่งมีดวงหน้า​ผุดผ่องด้วยรัศมีคุณธรรม นั่งพับเพียบ สวดคาถา เสกน้ำพระพุทธมนต์ที่จะรดเจ้าบ่าวและเจ้าสาวในวันนั้น ติดกับฝาผนังด้านเหนือทางขวาแห่งอาสนสงฆ์ มีที่บูชาตั้งอยู่หมู่หนึ่ง โต๊ะหมู่ทำด้วยไม้จำหลักปิดทอง และประดับกระจกสีน้ำเงินแก่ เครื่องตั้งคือแจกันกระถางธูปและเชิงเทียน ล้วนเป็นแก้วเจียระไนสีน้ำเงินแก่ ทั้งชุดอากาศในขณะนี้แจ่มใส แสงแดดอ่อน ๆ ผ่านหน้าต่างเข้ามาต้องพระพุทธรูปซึ่งตั้งอยู่ ณ ที่บูชาเกิดแสงสีทองเป็นประกาย ช่อซ่อนกลิ่นซึ่งปักอยู่ในแจกันทั้งซ้ายและขวาแห่งองค์พระพุทธรูปนั้นเอนลงเล็กน้อย เหนือพระเกศคล้ายกับต้นไม้ที่มีกิ่งก้านสาขาน้อมต่ำลง ทำให้หวนระลึกถึงเมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ ณ ภายใต้ควงไม้ศรีมหาโพธิ์

ตรงกลางห้องมีพรมน้ำเงินแก่ผืนใหญ่ปูอยู่ ​สำหรับเป็นที่นั่งของเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าบ่าว นิจนั่งพับเพียบมือประสานกันอยู่บนตัก ริมประตูหลังฉากกั้น พร้อมด้วยเพื่อนสาวอีกด้านหนึ่ง ดวงหน้าของหล่อนผุดผาดเปรียบได้กับความบริสุทธิ์ของดอกซ่อนกลิ่นซึ่งประดับที่บูชา ดวงตาซึ่งตามปกติมีแววแจ่มใจและดูไม่เดียงสานั้น วันนี้มีความเคร่งขรึมเหมาะกับสีหน้าอันเต็มไปด้วยความสำรวมยิ่งนัก ไม่มีใครเลยที่ได้เห็นนิจในเวลานั้น จะห้ามมิให้มีความรู้สึกชนิดที่คล้ายกับความเลื่อมใสเกิดขึ้นได้ แม้หล่อนจะนั่งอยู่ในหมู่เดียวกับคนทั้งหลาย ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนหล่อนอยู่ห่างจากใคร ๆ ลิบลับ ดูเหมือนกับเทพธิดาที่ทรงเครื่องขาว ทั้งตัวมีรัศมีแห่งความบริสุทธิ์ฉายอยู่รอบกาย

ครั้นพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์จบลงถึงเวลาที่จ้าวบ่าวเจ้าสาวจะต้องทำกุศลร่วมกัน ทั้งสอง​คลานเข้าไปยังที่ ๆ มีบาตรตั้งเรียงรายอยู่เป็นแถว และมีเครื่องคาวและหวานตั้งอยู่พร้อมเจ้าบ่าวจับทัพพีตักข้าวซึ่งอยู่ในขันเชิงถม แล้วทำอาการรั้งรออยู่ครู่หนึ่ง ด้วยเป็นธรรมเนียมที่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวจะต้องตักข้าวพร้อมกัน และด้วยทัพพีเล่มเดียวกันด้วย นิจใช้มืออันขาวและเล็กจับปลายทัพพีเหนือมือหลวงธนสาร เจ้าบ่าวรู้สึกว่ามือของหล่อนที่กระทบมือเขาเย็นเฉียบและสั่นเล็กน้อย ทั้งสองช่วยกันบรรจงตักข้าวและใส่ของหวานของคาวลงในบาตร ทั่วทั้ง ๑๐ บาตร ตักบาตรข้าวพระพุทธด้วย แล้วกลับมานั่งที่เดิม

พระสงฆ์กระทำภัตตกิจเสร็จแล้ว เจ้าบ่าวกับเจ้าสาวถวายเครื่องไทยทาน มีจีวร ดอกไม้ธูปเทียน ฯลฯ พระสงฆ์ ๙ รูปสวดอนุโมทนาแล้วก็ลากลับเป็นอันเสร็จ​พิธีตอนเช้า

ในวันเดียวกันเวลา ๑๔ นาฬิกาเศษ ภายใต้ต้นจามจุรีใหญ่หลังตึกบ้านพระยาวิชัย มีชายหนุ่ม คนหนึ่งนั่งกอดอกอยู่บนเก้าอี้ หน้าของชายผู้นี้ซีดและบึ้งตึง ตาจับอยู่ที่หญ้าตรงที่เขาเหยียบ เขานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้นมองดูที่หน้าต่างตึก แล้วก็มองไปที่ทางเดิน เขากำลังคอยใครคนหนึ่ง ครั้นนานเข้าไม่มาก็เริ่มกระสับกระส่าย และลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอยู่ใต้ต้นไม้ เมื่อเวลาเดินเอามือไขว้ไว้ข้างหลัง ก้าวเท้าหนัก หนัก และหนักขึ้นเป็นลำดับ ก้มหน้ามองดูรองเท้า ขณะนั้นมีอึ่งอ่างตัวหนึ่งกระโดดมาตรงหน้าเขา ชายผู้นั้นเห็นก็ยกเท้าเตะสัตว์นั้นโดยแรง จนมันกระเด็นไปไกลตั้ง ๒๐ ก้าว แล้วก็หัวเราะอย่างสมน้ำหน้า คล้ายกับว่าเจ้าสัตว์นั้นได้กระทำความ​เดือดร้อนให้กับใคร สมควรที่จะได้รับความทารุณเป็นเครื่องตอบแทน ครั้นแล้วก็ตั้งต้นเดินไปใหม่

ราว ๕ นาทีผ่านไป มีเสียงรองเท้าแตะดัง ขึ้นพร้อมกับร่างของสตรีสาวผู้หนึ่งโผล่มาทางมุมตึก หลวงธนสารรีบก้าวเท้าไปหาหญิงนั้นโดยเร็ว ผู้ที่เห็นสีหน้าและท่าทางของเขาในเวลานั้นอาจเข้าใจว่าเขาจะตรงเข้ากอดหล่อนอย่างเต็มรัก หรือจะหักคอหล่อนเสียก็ได้ แต่เขามิได้ทำทั้งสองอย่าง เป็นแต่ยืนประจันหน้าหล่อนเฉยอยู่

คุณพี่อยากพบดิฉันด้วยเรื่องอะไร?” ฝ่ายหญิงถามด้วยความชาเย็น

“ก็เธอโกรธฉันทำไม?” หลวงธนสารถามเสียงเกือบเป็นตวาด

หญิงสาวหัวเราะเสียงสั่น ๆ “ดิฉันไม่มีสิทธิที่จะโกรธคุณพี่ด้วยเรื่องอะไรทั้งนั้น?” หล่อนตอบ

​หลวงธนสารมองดูหน้าหญิงสาว และพยายามจะให้สบตาหล่อน แต่หล่อนไม่มองตอบเขาและเบือนหน้าไปเสียทางอื่นด้วยอาการไว้ยศ

นางสาวรัศมีเป็นบุตรคนที่สามของขนปราบทุรพ่าย และนางชม นางชมเป็นน้องสาวต่างมารดาของคุณหญิงวิชัย ตั้งแต่เด็ก ๆ รัศมีเคยอยู่กับป้าและได้เรียนหนังสือที่โรงเรียนราชินี เรียนไปได้ถึงชั้นมัธยม ๔ ก็ต้องลาออก เพราะบิดาของหล่อนผู้เป็นนายตำรวจได้เสียขาไปข้างหนึ่งในหน้าที่ราชการ มารดาเกิดเป็นโรคเหน็บชากระเสาะกระแสะ พี่ชายคนใหญ่เป็นนายร้อยตำรวจ ต้องไปประจำการอยู่ที่ชลบุรี ส่วนคนที่สองพอเรียนหนังสือจบจะเข้ารับราชการก็พอดีเป็นไข้ถึงแก่กรรม เมื่อโรคภัยมาเกิดแก่ครอบครัวที่ซ้อนกันในพักเดียวถึงสองครั้ง ขุนปราบก็สิ้นอาลัยในความดี​ความงามของโลก กลายเป็นคนแฉะ ๆ คุ้มดีคุ้มร้าย คุณนายชมก็ไม่มีจิตใจจะเผชิญต่อความทุกข์ เพื่อทำหน้าที่ภรรยาและมารดา จึงร้องขอให้มีรัศมีไปอยู่บ้าน เพื่อจะได้ช่วยทำธุระและดูแลน้องเล็ก ๆ อีกสองคน เวลานี้รัศมีมีอายุเพียง ๑๕ กำลังมีใจเป็นเด็กครึ่งผู้ใหญ่ หล่อนต้องออกจากคฤหาสน์อันมโหฬารไปอยู่ยังบ้านเล็ก การงานใดที่ไม่เคยทำก็ต้องลงมือเองโดยเหตุที่ครอบครัวนี้ยังชีพอยู่ด้วยเบี้ยบำนาญ ที่ขุนปราบได้รับจากรัฐบาลเป็นจำนวนเล็กน้อย ไม่อาจที่จะจ้างคนไว้ใช้ให้พอกับความต้องการนอกจากการบ้านเรือนที่รัศมีแบกไว้นั้น มากจนเต็มแประแล้ว อารมณ์อันไม่ปกติของบิดายังทำความร้อนรำคาญใจให้อย่างยิ่ง ในสมัยนั้นเวลาที่รัศมีพอจะหาความสุขได้ มีอยู่แต่เพียงสองเวลาคือ เวลาที่หล่อนมาเยี่ยมคุณป้าที่บ้านและอยู่ที่นั่น ๒-๓ ชั่วโมง ​กับเวลาที่หล่อนมีหนังสืออ่านเล่นอยู่ในมือเป็นที่น่าเสียใจที่ความสุขทั้งสองประการนั้นกลับให้โทษแก่รัศมี กล่าวคือหนังสือที่หล่อนหาซื้อมาอ่านนั้น เป็นหนังสือชนิดที่ผู้เขียน ๆ ขึ้นโดยไม่ละอายแก่ใจ คิดเห็นแต่จะให้หนังสือนั้นขายคล่อง อันเป็นทางนำสตางค์มาเข้ากระเป๋าเท่านั้น ส่วนโทษหนังสือเป็นต้นเหตุที่ให้เกิดความชั่วร้ายขึ้น ในสันดานของเด็กหนุ่มสาวชาวไทยไม่พะวงถึงหนังสือเหล่านั้นเพียงแต่เห็นภาพหน้าปกก็เป็นอัปมงคลแก่สายตา ครั้นอ่านดูเรื่องก็ได้พบสิ่งที่เป็นอัปมงคลแก่ใจอีก กลับเป็นเครื่องเร้าราคะให้แก่กล้า ซึ่งหญิงสาวไม่ควรจะได้รู้ได้เห็นอย่างยิ่ง หนังสือเหล่านั้นมักอุปโหลกให้ผู้ถือความพยาบาทอาฆาตเป็นที่ตั้ง ซึ่ง มิสมควรกับชาวไทย ผู้ได้ชื่อว่าพุทธศาสนิกชนจะพึงประพฤติ-เป็นวีรบุรุษของเรื่อง และยกให้สตรีผู้ถือ​ความรักเป็นใหญ่กว่าเกียรติยศและพรหมจารีย์ของตัวเป็นวีรสตรี ก็หญิงและชายจำพวกนี้ปกติชนย่อมไม่นับถือ แต่ทว่าสำนวนของเรื่องนั้นกล่อมใจให้คนอ่าน เกิดความสงสารอุปทานจนเคลิบเคลิ้มเห็นดีไปด้วย เรา เคยเรียนรู้มาแต่เด็กว่า ความเคยชินเป็นเครื่องหัดนิสัย ดังนั้น รัศมี ผู้เคยชินกับพระเอกนางเอกชนิดที่ได้กล่าว ก็เริ่มเห็นดีเห็นงามตามไปด้วย ว่าถึงความสุขประการที่สอง คือ การได้มาสนทนาเล่นกับคุณป้า หรือที่ถูกฟังคุณป้าสนทนากับเพื่อนรุ่นเดียวกับท่าน ก็ให้โทษกับรัศมีเท่ากับการอ่านหนังสือ เหตุด้วยคุณหญิงวิชัยก็เหมือนกับคุณหญิงโดยมากของชาวเรา รักการนินทาเป็นสรณะ การได้เก็บเอาความผิดของผู้อื่นแม้น้อยและมาก มาก่อให้เป็นความชั่วเป็นความสุขสำคัญของท่านเหล่านี้ การสนทนาล้วนแล้วไปด้วยการขอดค่อน​และติเตียนเพื่อนร่วมเพศของตนเอง ที่จะกล่าวชมใครนั้นน้อยนัก ดั่งได้กล่าวแล้วว่า รัศมีต้องเลิกจากการเล่าเรียนเสียครึ่ง ๆ กลาง ๆ จรรยาที่รับจากโรงเรียนแต่เด็กก็หามีกำลังพอต้านทานความเคยชินที่ได้พบใหม่ได้ไม่ ท่านผู้อ่านคงจะเดาได้ว่าในเวลาต่อมารัศมีจะเป็นคนนิสัยเช่นไร

“เราไปนั่งพูดกันที่เก้าอี้เถอะ” หลวงธนสารเอ่ยขึ้น ภายหลังที่ได้ยืนจ้องดูกันอยู่พักใหญ่

“ไม่ต้องหรอก มีธุระอะไรก็พูดเสีย ดิฉันจะรีบกลับไปบนตึก”

“ไม่ได้! เธอจะกลับไปก่อนที่จะพูดกับพี่ให้รู้เรื่องไม่ได้เป็นอันขาด มา-” เขาจับมือหล่อนดึง “ถ้าไม่เดินตามมา พี่เป็นอุ้มแน่”

หญิงสาวสะบัดมือโดยแรง และมองดูฝ่ายชาย​อย่างไว้อำนาจ แววตาชนิดนี้รัศมีเคยใช้มองดูเขาเสมอ เมื่อหล่อนจะบังคับทำอะไรอย่างหนึ่ง “ปล่อย” หล่อนพูด “ดิฉันเดินไปเองก็ได้ ไม่ต้องจูง” ด้วยอาการยกศีรษะอย่างผยองเกียรติ รัศมีพาร่างอันระหงของหล่อนนวยนาดไปยังเก้าอี้ ถึงแล้วก็นั่งลง

หลวงธนสารนั่งลงชิดกับหล่อน แขนซ้ายโอบหลังแล้วพูดว่า

“บอกพี่ โกรธพี่ทำไม?”

“พิลึกจริง! ฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่ได้โกรธ ไม่มีเรื่องอะไรจะโกรธ”

“มี รัศมีต้องมี เวลากินข้าวเธอไม่มองดูหน้าพี่เลย เธอก็รู้แล้วว่าพี่กลุ้มใจแทบคลั่งเป็นบ้า แทนที่จะช่วยให้พี่หายทุกข์ เธอกลับทำให้พี่กลุ้มใจยิ่งขึ้น เพราะความมึนตึงของเธอ

“ทุกข์!” รัศมีหัวเราะ “ในวันแต่งงานเจ้าสาว​สวยราวกับนางฟ้า แล้วเจ้าบ่าวมาร้องว่าทุกข์ ใครเขาจะเชื่อ!”

สีหน้าชายหนุ่มบึ้ง แสดงว่าชักฉุนบ้างแล้ว นิ่งสงบอารมณ์อยู่ครู่หนึ่งจึงตอบ

“ใครเขาไม่เชื่อก็ช่างเถอะ แต่เธอรู้อยู่แก่ใจจะไม่เชื่อไปด้วยหรือ ความกลุ่มของพี่นะร้ายแรงเหลือเกิน จะทำอย่างไรถึงจะหนีภัยมหาอุบาทว์นี้ไปพ้น พี่บอกแล้วมันจะทำให้พี่เป็นบ้า”

ตลอดเวลาที่หลวงธนสารพูด รัศมีไม่มองดูหน้าเลย เฉยทำเป็นทองไม่รู้ร้อน

“รัศมี” ชายหนุ่มพล่ามต่อไปด้วยเสียงอันสั่น พลางจับมือหล่อนมาบีบแน่น “เธอจะไม่พูดกับพี่หรือ? พูดอะไรสักคำเถอะเพื่อเป็นเครื่องเล้าโลมพี่ พอให้พี่มีกำลังต่อสู้กับความบ้าได้

รัศมีหันหน้ามาทางเขาช้า ๆ สายตาของหล่อนกระด้าง จ้องมองดูเขาราวกับผู้พิพากษามองดูนักโทษ​ที่ทำความผิดฐานฆาตกรรม ตาต่อตาสบกัน ฝ่ายชายเต็มไปด้วยความวิงวอนงอนง้อ รัศมีหัวเราะนิดหนึ่งจึงตอบ

“กำลังสำหรับต่อสู้ความบ้าของคุณพี่นั้น ไม่ได้มีมาตั้งแต่เช้าดอกหรือคะ เมื่อเวลาใส่บาตร์น่ะ”

“หมายความว่ากระไร”

“โอ๊ หมายความอย่างที่พูดนี่แหละ คุณพี่อย่ามาหลอกฉันเลย จะเป็นบ้า! กลุ้มใจ! เด็กอมมือมันก็รู้เท่า เจ้าสาวหรือสวยราวกับอะไรดีจะมานึกถึงอะไรกับคนอย่างเรา ฮึ! แหมบรรจงจับทัพพี่ข้าวน่ะ! แล้วยังบอกให้เจ้าสาวจับเหนือมือ แต่บ่าวสาวที่เขาเต็มใจจะแต่งงานกันแท้ ๆ เขายังเกี่ยงกันใครเขาจะยอมเป็นเบี้ยล่างผู้หญิง แต่คุณพี่ช่างเต็มใจหมอบราบคาบแก้วกับแม่ทูนหัวเสียเหลือเกิน แล้วยังมาพูดเอาหน้า”

​“อะไรกันรัศมี! เธอหยิบเอาของเหล่านั้นมาถือเป็นอารมณ์ เธอคลั่งพอที่จะริษยาเด็กคนนั้นเทียวหรือ”

รัศมีหันขวับมาทางเขา ดวงตาของหล่อนเวลานี้โตกว่าธรรมดาเป็นอันมาก หล่อนมองดูเขาด้วยอาการเคียดแค้น

“คลั่ง! คุณว่าฉันคลังเพราะริษยาเด็กคนนั้น! ก็เด็กคนนั้นมันไม่ใช่คนดอกหรือ มันไม่มีอวัยวะทุกส่วนเป็นผู้หญิงอย่างผู้หญิงดอกหรือ? อย่ามาทำมารยาสาไถยกับฉันหน่อยเลยฉันรู้เท่าหรอก นี่แหละเขาว่า สันดานผู้ชาย! เหมือนกันทุกคน! ปลิ้นปล้อน หลอกหลวง มีอยู่เท่านั้น

หลวงธนสารหน้าซีดด้วยความโกรธจนถึงขีดเสียงแหบสั่นจนเกือบเป็นเสียงคำราม

“หยุดทีรัศมี! ถ้าขึ้นพูดแต้มนี้อีกฉันอาจจะ​หักคอเธอเสียได้ ฉันเคยหลอกหลวงอะไรเธอ ฉันเคยโกหกเธอหรือสักครั้งหนึ่ง มันเป็นความผิดของฉันหรือที่ต้องแต่งงานกับเด็กคนนั้นในเมื่อฉันได้ขอให้เธอแต่งงานกับฉันแล้วจนนับหนไม่ถ้วน และเธอปฏิเสธเสมอ ครั้นเดี๋ยวนี้เธอมีสิทธิอะไรที่จะมาว่าฉันหลอกหลวง มีสิทธิอะไรที่จะหึงหวงเด็กคนนั้น? มีสิทธิอะไร”

คนที่ชอบอวดดีที่สุดน่ะแหละ คือคนที่ขี้ขลาดที่สุด รัศมีเมื่อเห็นหลวงธนสารเกรี้ยวกราดดังนั้นก็ลดเสียงให้อ่อนลง ตอบว่า

“สิทธิของดิฉัน ก็คือความรักอย่างรุนแรงที่มีต่อคุณพี่”

สีหน้าของหลวงธนสารคลายความบึ้งตึงลงทันที สายตาที่มองดูรัศมีนั้นเต็มไปด้วยความรักและสงสาร แต่ยังคงทำเสียงแข็งขณะที่พูด

“รักยังไง? รักยังไง? ถ้าเธอรักฉันทำไมจึง​ปฏิเสธไม่ยอมแต่งงานกับฉันเล่า?”

เออ! คำถามชนิดนี้รัศมีจะตอบออกไปอย่างไรได้

เมื่อหลวงธนสารกลับจากยุโรป รัศมีกำลังอยู่ในวัยสาวเต็มตัว มีผิวพรรณผุดผาดและมีความเก๋อยู่ในจริต เขากับหล่อนได้พบปะและพูดเล่นกันเสมอ รัศมีเป็นหญิงสาวคนแรกที่หลวงธนสารได้วิสาสะด้วยตั้งแต่เขากลับจากการศึกษา มิช้านานเขาก็มีความรักในตัวหล่อนขึ้น ความช่างสังเกตเป็นสมบัติประจำตัวของสตรีทุกคน รัศมีอ่านความรู้สึกของหลวงธนสารออกโดยเร็ว และแต่งจริตให้เขาหลงยิ่งขึ้น ผู้หญิงที่ไหนมีที่ไม่รู้สึกภูมิใจและหยิ่งในเมื่อรู้ตัวว่าชายคนหนึ่งหลงรัก หลวงธนสารคอยเอาใจพะเน้าพะนอรัศมีราวกับนางพญา เต็มใจรับใช้เหมือนดังทาสในเรือนเบี้ย และให้ความอุปการะจนถึงบิดามารดาและน้องของรัศมี แต่เขาเป็นคนไม่มี​นิสัยเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม กิริยาภายนอกขรึมและชาซ่อนความรู้สึกร้อนรนไว้ภายใน เวลาล่วงไปความรักยิ่งแก่กล้าขึ้น จนเขาทนนิ่งไว้ไม่ได้ จึงขอให้หล่อนแต่งงานกับเขา แทนที่จะรับรัศมีกลับปฏิเสธ โดยไม่ให้เหตุผลอย่างไรหมด ทั้งมิได้ลดกิริยายั่วยวนให้น้อยลง ถ้าจะพูดถึงเหตุผล รัศมีคงมีอยู่ในใจ แต่ทว่าไม่กล่าวออกมาให้เขาฟัง บางทีกิริยาเฉย ๆ เรียบ ๆ ไม่โก้ไม่เก๋และความไม่ช่างพูดของเขานั่นเองที่ทำให้หล่อนเห็นเขาไม่ดีพอใจสมกับที่ได้ใฝ่ฝันไว้ หลวงธนสารมิได้ละความเพียร อุตส่าห์ทำตัวเพื่อให้ถูกใจแม่เจ้าประคุณเสมอ นาน ๆ จึงพูดถึงความรักที่หนึ่ง รัศมีคงผัดเจ้าล่ออยู่เรื่อย คราวหลังที่สุดที่หลวงธนสารวิงวอนให้หล่อนแต่งงานกับเขา รัศมีปฏิเสธตามเคย จึงเกิดมีการตัดพ้อกันอย่าง​รุนแรง จนหล่อนพูดเป็นคำขาดว่า หล่อนไม่รักเขา และจะไม่แต่งงานกับเขาเป็นอันขาด ในระยะเวลาใกล้ ๆ กันนั้น เผอิญมีความจำเป็นอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแก่ครอบครัว คุณหญิงสงวนมีความเห็นว่า บุตรชายจะต้องแต่งงานกับบุตรีพระยาสุรแสนสงคราม เพื่อกู้ฐานะของตระกูลไว้ หลวงธนสารกำลังแค้นและเจ็บใจ จึงรับปาก โดยไม่รอเวลาตรึกตรอง หลังจากนั้นเองในคราวที่รัศมีรู้สึกว่าเขาจะตกไปเป็นของคนอื่นโดยแน่แท้ ก็บังเกิดความเสียดาย คนเป็นส่วนมากไม่รู้จักค่าของสิ่งที่ตนมีอยู่ ต่อสิ่งนั้นหลุดมือไปแล้วจึงได้คิด ตอนที่พระยาสุรแสนรับหมั้นของหลวงธนสารไว้นั่นเอง รัศมีเริ่มสำนึกว่าชายหนุ่มผู้นี้มีค่า และหล่อนไม่ควรจะปล่อยให้หลุดมือไปเสีย วัตถุสิ่งไหนมีคนนิยมอยู่แล้วก็ยิ่งมีผู้มารุมนิยมมากขึ้นอีก วัตถุสิ่งไหนที่เรารู้ว่าหลุดมือไปเสียแล้ว เรายิ่งรักและอยากได้มากกว่าเมื่อยังเป็นของเรา​อยู่อีก เหตุฉะนี้รัศมีจึงตั้งต้นปรุงจริตล่อตาล่อใจหลวงธนสารใหม่ แต่มันสายเสียแล้ว หลวงธนสารแม้จะมีนิสัยไม่ดีอยู่หลายอย่างหลายประการ ก็ยังมีเหลืออยู่บ้าง คือรักเกียรติยศและรักสัตย์ อย่างไรก็ดี มารยาสตรีมีอันตรายร้ายแรงนัก ถือกันมาแต่พุทธกัลป์จนทุกวันนี้ ประกอบกับความรักที่สุมอยู่ในอกเป็นเวลานาน หลวงธนสารไม่กล้าถอนหมั้นจากนิจ แต่เขาได้มอบความรักให้แก่รัศมีและประพฤติต่อกันฉันคู่รักเสมอมา



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #1 on: 28 October 2025, 16:34:52 »




​เวลา ๑๗ นาฬิกาเป็นเวลาได้ฤกษ์หลั่งน้ำพระพุทธมนต์เพื่อเป็นสิริมงคลแก่คู่บ่าวสาว นิจสวมเสื้อแต่งกายสีม่วงอ่อนทั้งชุด สวมถุงเท้าและรองเท้าสีเนื้อ หลวงธนสารนุ่งผ้าม่วงสีน้ำเงินแก่สวมเสื้อขาว ถุงเท้าขาวและรองเท้าดำ ทั้งสองหมอบเคียงกันอยู่บนเตียง ซึ่งทาทองและปูด้วยพรมนุ่มสีแดง บนศีรษะสวมมงคลแฝด ผู้ที่มาหลั่งน้ำพระพุทธมนต์มีจำนวนมากมายนักหนา จนห้องที่จัดไว้สำหรับแขกนั้นไม่มีอากาศพอสำหรับหายใจ เพราะฉะนั้นท่านสุภาพบุรุษและสตรี​เมื่อได้รดน้ำบ่าวสาวแล้วก็พากันไปนั่งที่สนาม ซึ่งได้จัดไว้เป็นที่รับแขกเหมือนกัน

สีหม่นแห่งเครื่องแต่งกายที่ท่านสุภาพสตรีสูงอายุแต่ง สีน้ำเงินแก่สดใสกับเสื้อสีขาวที่ท่านสุภาพบุรุษผู้มีบรรดาศักดิ์แต่ง สีเหล่านี้สลับกัน ดูเหมือนมีก้อนเมฆในท้องฟ้าในเวลาบ่ายที่ปราศจากฝน เด็ก ๆ ผู้หญิงหน้าตาน่าเอ็นดูท่าทางกระฉับกระเฉง สวมเครื่องแต่กายสีสด เดินตามกันเป็นแถว ขณะที่ยกพานหมากบุหรี่และน้ำมาเลี้ยงนั้นเปรียบเหมือนสายรุ้งที่ทอผ่านก้อนเมฆไปเป็นทางยาว เสียงส่ายแห่งซิ่นแพรเสียงแสกสากแห่งผ้าม่วงเสียงเดือยของนายทหารผู้มีเกียรติ เสียงปลายกระบี่กระทบพื้นเสียงเหล่านี้รวมกับกิริยาท่าทางอันภาคภูมิของท่านผู้เป็นแขก ทำความสง่างามให้แก่งานของพระยา​สุรแสนเป็นอันมาก ทั้งเป็นเกียรติยศยิ่งแก่คู่บ่าวสาวด้วย

แต่เจ้าบ่าวของเราไม่ค่อยมีความรู้สึกกับความหรูหราเหล่านี้เท่าใดนัก เพราะมัวพะวงอยู่แต่กับความเมื่อยชาซึ่งเกิดขึ้นทั่วสรรพางค์กายการที่ต้องหมอบนิ่งอยู่เช่นนั้นตลอดเวลา ๒-๓ ชั่วโมงมิใช่เป็นของสบาย ยิ่งสำหรับนิจผู้มีนิสัยอยู่ไม่สุขมาแต่กำเนิดแล้ว เท่ากับถูกทำโทษอย่างหนัก ความเมื่อยทำให้นิจตั้งสติไม่อยู่ จนไม่มีโอกาสจำคำอำนวยพรได้สักคำเดียว หล่อนพลิกขากลับมาหลายครั้ง และอยากจะรำพันความเมื่อยให้เจ้าบ่าวฟังเป็นที่สุด หากติดด้วยเขากับหล่อนยังไม่เคยได้สนทนากันมาแต่ก่อน ทั้งดูเขาไม่รู้สึกเดือดร้อนอย่างไรด้วย นิจชำเลืองดูเขาหลายครั้งก็เห็นหมอบอยู่เป็นปกติ ข้อศอกอยู่บนหมอนมือทั้งสองประสานกันอยู่ข้างหน้า นิจภาวนา​อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ขอให้ท่านที่กำลังหลั่งน้ำจากสังข์ลงบนศีรษะหล่อนนั้นเป็นคนสุดท้ายที่จะทำเช่นนั้นอีก เวลาล่วงไปอีกครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่ถึงที่สุด ในที่สุดถึงหลับตาทอดอาลัย พอดีได้ยินเสียงเจ้าบ่าวกระซิบว่า

“คนที่สุดแล้ว ถอดมงคลออกเสียซี”

แขนของนิจซึ่งงออยู่นาน ไม่สามารถเหยียดออกได้ทันที หลวงธนสารจึงยกมือของเขาขึ้น บรรจงถอดมงคลจากศีรษะเจ้าสาวอย่างระมัดระวัง ศีรษะของเขาชิดกับศีรษะของหล่อนความสัมผัสแห่งผมเส้นละเอียดซึ่งปลิวมาต้องหน้าเขายังให้เกิดความรู้สึกประหลาด นิจเบือนหน้ามาทางเขาและกล่าวคำขอบใจ ตาต่อตาสบกันอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มกลั้นหายใจ ถอดมงคลออกจากศีรษะของตัวเองแล้วลุกขึ้นยืน ใช้แขนอันล่ำสันพะยุงร่างอันบอบบางของนิจให้ลุกขึ้น

​ตอนค่ำมีการเลี้ยงอาหารที่บ้านเจ้าบ่าว ญาติสนิทของทั้งสองฝ่ายรวม ๒๘ คนได้รับเชิญมานั่งโต๊ะ การเลี้ยงได้รวบรัดให้เร็วที่สุด เพราะเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะต้องลงเรือก่อนเวลา ๒๒ นาฬิกาเจ้าคุณกำแหงรณภพ ลุงของเจ้าบ่าวเป็นผู้กล่าวอวยพรให้แก่หนุ่มสาวและกล่าวคำต้อนรับกับอวยพรให้เจ้าสาวเป็นพิเศษ เจ้าคุณสุรแสนสงครามพูดตอบตามธรรมเนียม การเลี้ยงเสร็จลงโดยไม่มีการดื่มเพื่อความสิริมงคลแห่งเจ้าบ่าวเจ้าสาว เจ้าคุณสุรแสนปฏิเสธอย่างแข็งแรง ไม่ยอมให้มีเหล้าตั้งโต๊ะ โดยอ้างว่าชาวไทยเป็นพุทธศาสนิกชน ไม่ควรเสพของเมาในพิธีการมงคล ท่านเสริมว่าถ้าอยากจะดื่มให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวขอให้ดื่มน้ำ เพราะน้ำเป็นสิ่งวิเศษสุดแล้วสำหรับเมืองไทยของเรานี้

เวลา ๒๑.๓๐ เป็นอันหมดพิธีเลี้ยง และถึงเวลาที่​จะต้องไปลงเรือ นิจไม่มีเวลาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว จึงต้องไปทั้งชุดสีส้มที่หล่อนแต่งในเวลานั่งโต๊ะ สีแดงแกมแสดของเครื่องแต่งกายกับสีผมดำสนิท รับกับผิวหน้าของนิจทำให้เปล่งปลั่งยิ่งขึ้น ก่อนขึ้นรถเจ้าคุณกำแหงรณภพตบบ่าหลานชายเป็นเชิงสัพยอกพลางกล่าวว่า

“ลุงไม่นึกเลยว่าตาเจ้าจะสำคัญถึงเท่านี้เลือกหลานสะใภ้ได้อย่างสวยเด็ดทีเดียว ท่าทางหรือก็น่ารัก อยู่ด้วยกันให้ยืดยาวนะ แล้วอย่าทิ้งเขาไปมีเมียใหม่เสียล่ะ”

ไม่มีใครบอกได้ว่าหลวงธนสารรู้สึกอย่างไรในคำชมนั้น เขายิ้มน้อย ๆ และไม่ตอบว่ากระไร นิจไปรถคันเดียวกับบิดาและมารดา ตลอดทางเจ้าคุณและคุณหญิงพรสั่งสอนในเรื่องหน้าที่ภรรยาที่ควรปฏิบัติต่อสามี “ข้อสำคัญที่สุด” เจ้าคุณเสริมในตอนท้าย “นิจจะต้องรักญาติของสามีเหมือนดั่งญาติของตัวเอง”

​นิจฟังคำสั่งสอนของท่านทั้งสองด้วยความเอาใจใส่ พร้อมกันนั้นได้ปฏิญาณในใจว่า จะพยายามทำตามให้ทุกข้อ แต่ในข้อสุดท้ายนี้นิจขนลุก เมื่อนึกถึงญาติคนสำคัญของสามี คุณหญิงวิชัย นางสาวรัศมี!!!

เรือมาลินีจอดอยู่ที่ท่าอิ๊สเอเชียติก เมื่อนิจไปถึงเห็นคนยืนอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ เข้าไปใกล้จึงเห็นว่าเพื่อนร่วมโรงเรียนของหล่อนน่ะเองรวมทั้งผู้ปกครองหรือผู้ควบคุมที่มาด้วย พอหล่อนลงจากรถเจ้าหล่อนเหล่านั้นก็พากันล้อมหน้าล้อมหลัง บ้างก็อวยพร บ้างแสดงความยินดี บ้างก็ล้อเลียน

“สมกันจัง!” คนหนึ่งกล่าวพลางจ้องดูเจ้าบ่าวซึ่งกำลังลงจากรถ

“เช้อ! พระเอกมีหนวด บอกให้โกนทิ้งทะเลเสียเถอะ”

​“เฮ้อ! กะอีหนวดจะสำคัญอะไร ให้เขาเป็นคนดีและรักเราก็แล้วกัน!”

“นี่แน่ เธอเคยบอกว่าไม่รู้จักความรักเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้รู้หรือยังล่ะ?”

“ขอให้อยู่ด้วยกันจนแก่จนเฒ่าถือไม้เท้ายอดทอง ถือกระบองยอดเพชรเถอะนะ มีลูกคราวละ ๕-๖ คน”

“โอ๊ยตาย! สุ่มเสียงไม่เป็นคนเลย! มีลูกทีละ ๕-๖ คน เหลือร้าย!”

หญิงสาวอีกคนหนึ่งมีดวงหน้า คมคาย และแววตาแสดงว่าเป็นคนช่างคิดช่างตรอง หล่อนเป็นเพื่อรคนอื่น เพราะเหตุที่มีอายุต่างกันหลายปี กับเมื่อนิจอยู่โรงเรียนและยังเป็นเด็กอยู่นั้น เคยอยู่ในความดูแลของหล่อนด้วย เจ้าหล่อนผู้ที่ไม่ได้เข้าหมู่ล้อเลียนนิจ ยืนอมยิ้มอยู่นิ่งๆ จนคนอื่นพูดจบลงจึงดึงตัวเจ้าสาวเข้ามา​กอดไว้ พิศดูเครื่องแต่งกายที่นิจแต่งอยู่และพูดว่า

“นิจของพี่สวยเหลือเกินวันนี้ ขอให้สวยอยู่เช่นนี้ เสมอนะ” เงยหน้าไปทางสะพานพาดจากท่าสำหรับให้คนเดินไปลงเรือ “ผู้หญิงคนนั้นที่แต่งตัวสีแดง ตามหลังคุณหลวงของเธอน่ะใครนะ?”

นิจมีสีหน้าผิดปกติไปเล็กน้อย เมื่อมองตามสายตาเพื่อน

“ชื่อรัศมี เขาเป็นน้องคุณหลวง”

เจ้าคุณสุรแสน เดินเข้ามาปราศรัยเพื่อนของบุตรี และยืนพูดอยู่ด้วยครู่ใหญ่ แล้วก็เดินไปลงเรือ เพื่อพบกัปตันและเที่ยวชมเรือนั้น ท่านขึ้นไปบนดาดฟ้าก่อน แล้วลงไปดูห้องรับประทานอาหาร ทั่วแล้วจึงกลับขึ้นชั้นบน อันเป็นที่ของคนโดยสาร เสียงเครื่องยนต์ที่ตั้งอยู่ทางท้ายเรือทำให้ท่านอยากเห็นรูปร่างเครื่องจักร​เป็นอย่างไร เท้าพาร่างไปทางที่โสตกำลังได้ยินเสียง พอเดินเข้าใกล้ได้ยินเสียงอื่นที่ไม่ใช่เสียงเครื่องจักรอีกเสียงหนึ่ง เสียงนั้นเป็นเสียงผู้หญิง มีกังวานโอดครวญ และโศกเศร้าโดยที่เสียงเครื่องจักรดังอยู่ในที่ใต้ลมแม้คำพูดจาไม่เข้าหูท่านทุกคำก็พอจะเข้าใจเค้าเรื่องได้

“คุณพี่ต้องสัญญานะคะ...........................ไม่ใช่ภรรยาคุณพี่.............ไม่ได้เป็นอันขาดยอมตาย......................ยาพิษ….…….ผูกคอ……………..ไม่รักหล่อน….…….ต้องเป็นคนที่คุณพี่รัก สัญญาเมื่อก่อนหมั้น…………....ดิฉันคนเดียว”

เจ้าคุณสุรแสนหัวเราะในลำคอพลางรำพึงว่า “ใครหนอช่างมาฝากบำเรอกันในเรือ” ขยับเท้าจะเดินกลับ พอดีเสียงห้าว ๆ ของผู้ชายดังขึ้น เสียงนั้นแสดงความเร่าร้อน ความรักและความเวทนาเสียงนั้นสะกิดความ​ทรงจำของท่านให้ก้าวขาไม่ออก ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกว่าขาสั่น โลหิตของคนแก่ก็เย็นชามากแล้ว แต่โลหิตแห่งความเป็นทหารยังร้อนแรงอย่างประหลาด มันฉีดขึ้นลงรวดเร็วเต็มที

“อย่า! อย่าร้องไห้..................ดูไม่ได้................... ยอมตายเสียดีกว่า.............นิ่งที ……….พี่สัญญา................จ้ะ.............แต่ในนาม........... เชื่อพี่......... เป็นสัญญา............ของเธอคนเดียว………….ของพี่คนเดียว”

นายพลผู้เฒ่ายืดตัวขึ้น ยิ้มขรึมๆ อยู่ในหน้า ท่านก้าวเท้าหนักและลงส้นตรงไปชะโงกดูเครื่องจักรและขีดไม้ขีดไฟขึ้นจุดบุหรี่ ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นจนแน่ใจว่าชายหญิงทั้งสองคงเลี้ยวหายไปแล้ว จึงหันหน้าไปดูรอบบริเวณ

ที่ตรงนั้นมืด ตรงที่หญิงชายทั้งสองยืนอยู่เมื่อ​สักครู่นั้น คือหลังเคบินห้องชั้นที่หนึ่ง และเป็นทางเดินไปได้รอบบริเวณเรือ ห้องเครื่องอยู่ชั้นล่าง มีบันไดราวทองเหลืองสำหรับไต่ลงไปแต่ยืนอยู่ข้างบนชะโงกลงไปก็พอแลเห็นรูปร่างของเครื่องจักรมหึมานั้นได้ ขณะนั้น พอดีเสียงหวูดเรือดังขึ้น แสดงว่าจะออก มองลงไปที่ท่าเห็นนิจกำลังร่ำลาเพื่อนและพี่น้อง ท่านรีบลงบันไดลงมาข้างล่าง พบกับบุตรีตรงปลายสะพานก็ตรงเข้าสวมกอด หล่อนด้วยอาการแสดงความรักอย่างรุนเรง จนนิจตกใจ แล้วก้มศีรษะลงจูบกระหม่อมและซบอยู่กับบุตรี อึดใจหนึ่ง จึงเงยหน้าขึ้นพูดว่า

“จำไว้นิจ ไม่ว่าที่ใดและเวลาใด จงทำหน้าที่ของเจ้าด้วยความกล้าหาญ คนดี ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้”

วู้ด! กลาสีชักสะพานขึ้น เรือแล่นออกจากท่า​ช้า ๆ เบนหัวออกทีละน้อย นิจส่งจูบให้กับผู้ที่ยืนอยู่ที่ท่า และโบกมือจนเรือห่างออกไปสุดสายตาเหลียวดูรอบกาย หลวงธนสารไม่ได้ยืนอยู่ที่นั่นแล้ว ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากหล่อนเอง มองดูแสงไฟฟ้าตรงหน้า ความสว่างส่องให้เห็นกลุ่มคนยืนอยู่ๆ ที่นั้น ซึ่งกำลังโบกผ้าเช็ดหน้าอยู่ไหวๆ



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.045 seconds with 16 queries.