Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
01 November 2025, 06:23:57

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง นิจ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 5-6
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง นิจ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 5-6  (Read 74 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 28 October 2025, 16:38:13 »

นวนิยายเรื่อง นิจ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 5-6




ในเรือมาลินี

วันที่ ๒๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๐

กราบเท้า คุณพ่อ

นิจตื่นขึ้นวันนี้มีความรู้สึกพิกล ตื่นเต้นและเบิกบาน สนุกแกมประหลาดใจ เมื่อเห็นตัวอยู่ในเรือ ซึ่งแล่นเทิ่งอยู่กลางทะเล คุณพ่อเป็นคนแรกที่นิจระลึกถึง หลังจากที่ได้รู้สึกตัวหายตื่นเต้นแล้ว ดังนั้นเมื่อแต่งตัวเสร็จ นิจจึงเริ่มเขียนจดหมายฉบับนี้ทีเดียว นิจอยากจะมี​ความสามารถในทางประพันธ์มากกว่านี้สักหน่อย จะได้เล่าถึงภาพที่ได้เห็นอยู่ตรงหน้านิจในเวลานี้ให้ชัดเจน ท้องฟ้ากระจ่างเมฆขาวบริสุทธิ์ ไม่ทราบว่าพระอาทิตย์เวลานี้แฝงอยู่ที่ใด ลมพัดเรื่อย ๆ นอกจากเสียงเครื่องยนต์แล้วเงียบสงัด เพราะยังไม่มีใครตื่น นิจนอนหลับสบายเมื่อคืนนี้ ไม่รู้สึกแปลกที่หรือร้อนแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับคุณหลวง บ่นออดแอดตลอดเวลา ลงท้ายนอนในเคบินไม่ได้ ต้องไปนอนหัวเรือ นิจนอนบนเตียงชั้นสูง เมื่อเวลาขึ้นบันไดและคลานขึ้นเตียงนั้น อดหัวเราะไม่ได้ รู้สึกคล้ายเมื่อเด็ก ๆ มุดใต้ถุนเล่นซ่อนหา ตอนเช้ามืด เราผ่านเกาะพงันมา แต่นิจไม่ได้เห็น เวลานี้เราอยู่ระหว่างฟ้ากับน้ำแท้ ๆ อากาศ​บริสุทธิ์ ทำให้นิจมีความสุขราวกับตัวจะลอยได้ นิจคิดถึงคุณพ่อและคุณแม่เหลือประมาณ เมื่อคืนนี้ตอนคุณพ่อลงจากเรือ นิจรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ กลั้นน้ำตาจะไม่อยู่เสียให้ได้ ถึงคุณพ่อกับคุณแม่ นิจก็เชื่อว่าเศร้าใจมากเหมือนกัน นิจแน่ใจว่าคุณพ่อมีน้ำตาคลอเมื่อกอดนิจเป็นครั้งสุดท้าย จดหมายฉบับนี้ดูไม่มีสาระอะไรเลย ถึงกระนั้นนิจก็แน่ใจว่า คุณพ่อคงดีใจเมื่อได้รับ นิจเรียนกับคุณพ่ออีกครั้งหนึ่งว่า นิจมีความสุขอย่างยิ่ง

นิจกราบ และจูบคุณพ่อคุณแม่ด้วย ความเคารพอย่างสูง

นิจ

.

​เรือมาลินี

วันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๐

กราบเท้า คุณพ่อยอดที่รักของลูก

วันนี้เป็นวันที่สองที่นิจจากกรุงเทพ ฯ มา นิจตื่นแต่ย่ำรุ่ง รู้สึกใจคอเบิกบานเอาจริงๆ คลื่นและลมสงบ น้ำในทะเลเรียบผิดกับเมื่อคืนนี้ ซึ่งเวลา ๒๒ นาฬิกาเศษ มีลมและคลื่นจัด เรือโคลงจนรู้สึก มีผู้โดยสารเรือที่เป็นผู้หญิงสองสามคน ตั้งต้นรับประทานมะม่วงและส้มกันท่าไว้แล้ว บางคนถึงคืนอาหารที่รับประทานแล้วให้กับปลา เคราะห์ดีที่นิจไม่เป็นอะไรสักนิดเดียว นิจรับประทานอาหาร ได้มาก และหิวบ่อยกว่าเมื่ออยู่บ้าน แม้อาหารในเรือมีถึง ๕ เวลา และไม่ห่างไกลกันเกิน ๓ ชั่วโมง ก็ยังมีเวลาหิวก่อนจน​ได้ คิดว่ากว่าจะกลับถึงบ้านนิจเห็นจะอ้วน และมุดเข้าห้องใต้บันไดไม่ได้อีกต่อไป นิจต้องสารภาพว่า แม้ระหว่างเดินทางนี้นิจรู้สึกใจคอเบิกบาน แต่บางคราวก็อดเหงาและคิดถึงคุณพ่อคุณแม่ไม่ ได้ คุณหลวงเป็นเพื่อนเดินทางที่เลวที่สุดที่จะหาได้ในโลกนี้ เพราะไม่พูดไม่คุยเสียเลย อ่านหนังสือตลอดวันตลอดคืน ถึงไม่อ่านก็นั่งสูบบุหรี่ขรึมอยู่เฉย ๆ นอกจากในเวลารับประทานอาหารเท่านั้น เพราะมีผู้นั่งร่วมโต๊ะหลายคน เขาชวนคุยจึงต้องพูดด้วย คุณหลวงพูดอังกฤษ เสียงเป็นฝรั่งมาก ส่วนนิจไม่กล้าพูดให้เธอได้ยิน เพราะกลัวจะพูดผิดขายหน้า เวลาที่นิจเขียนจดหมายนี้ นิจนั่งอยู่หน้าเคบินมองดูน้ำในทะเลสีน้ำเงินแก่ เป็น​มันระยับ คุณหลวงยังไม่ตื่น เมื่อคืนนอนที่หัวเรือตามเคย นิจตื่นขึ้นตอนดึก รู้สึกว่านอนอยู่คนเดียวออกใจหาย จากห้องนอนมองเห็นท้องฟ้าคล้ายกับเป็นพื้นเดียวกันกับทะเล ดูมืดตื้อและดำมะเมื่อมน่าหวาดเสียว คุณพ่อคงไม่เอ็ดนิจนะคะที่ขี้ขลาดเช่นนี้ เพราะนิจไม่เคยออกทะเล อย่างไรก็ดีใจนอนหลับเป็นปกติได้อีกจนเช้า

พรุ่งนี้นิจจะเขียนถึงคุณพ่ออีก ตั้งใจจะเขียนทุกวัน แต่คุณพ่อจะได้รับจดหมายทั้งหมดในคราวเดียวกัน เมื่อนิจไปถึงสิงคโปร์แล้ว

ลูกจูบคุณพ่อคุณแม่ ด้วยความรักอย่างยิ่ง

นิจ

.

​เรือมาลินี

วันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๐

กราบเรียน คุณพ่อคุณแม่ที่รักยิ่งของนิจ

เช้าวันนี้ ทะเลยิ่งงดงามกว่าสองวันที่แล้วมาอีก พระอาทิตย์เริ่มโผล่จากขอบทะเลยังแลไม่เห็นดวง ส่วนก้อนเมฆที่บังดวงอาทิทย์อยู่นั้นเป็นสีน้ำเงินแก่ และดูเป็นปุยคล้ายสำลีที่ย้อมด้วยแสงสีเหลืองแก่ ถัดจากสีน้ำเงิน มีลักษณะคล้ายแสงไฟฉายจากถ้ำมืด น้ำในเวลานี้สีเขียวเปลือกแตงโม กับมีแสงขาวยิบ ๆ แกม ช่างงามแท้ๆ ขณะที่นิจมองดูธรรมชาติอันสดใสนี้ ใจช่างคิดถึงคุณพ่อเสียเหลือเกิน ถ้าใจได้มาเที่ยวกับคุณพ่อคุณแม่แทนที่จะเดินทางมากับชายผู้หนึ่ง ซึ่งนิจไม่เคยรู้จักมักคุ้นมาก่อน แต่เขาผู้​นั้นได้ชื่อว่าเป็นสามีของนิจ - นิจจะสนุกสนานกว่านี้มาก นิจอยากให้คุณพ่อยืนพิงลูกกรง ตรงที่นิจยืนอยู่เมื่อสักครู่ข้างหนึ่ง และคุณแม่ยืนอยู่อีกข้างหนึ่ง ส่วนนิจยืนตรงกลาง นิจจำสายตาของคุณแม่ที่มองดูคุณพ่อด้วยความรักอย่างบูชา และสายตาของคุณพ่อที่มองดูคุณแม่ด้วยความรักอย่างดูดดื่มได้ดี เป็นสายตาที่น่าดูน่าชมยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในโลก สำหรับนิจเมื่อสายตาทั้งสองฝ่ายนั้นรวมกันมองมาที่นิจ นิจรู้สึกตัวคล้ายถูกคลุมอยู่ด้วยแสงชนิดหนึ่งที่อบอุ่นและเป็นของวิเศษ สามารถป้องกันอันตรายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ในขณะนั้น นิจรู้สึกตัวเหมือนอยู่ห่างจากโลกมนุษย์ กล่าวคืออาจสามารถทำอะไรได้ตามใจ โดยไม่กลัวผิด และไม่หวาดกลัว​มนุษย์ใด โดยอาศัยแสงนั้นปกคลุมอยู่ แต่ในเวลาที่นิจห่างคุณพ่อคุณแม่มาน นิจ รู้สึกว้าเหว่ขึ้นทุกที นิจคิดเอาเองว่าคนที่ตาบอดเคยเดินได้โดยอาศัยคนจูง ครั้นผู้จูงปล่อยทิ้งเสียต้องเดินคลำไปแต่คนเดียว คงมีความรู้สึกชนิดเดียวกับที่นิจมีอยู่เดี๋ยวนี้ บางที่คุณพ่อคงจะโกรธนิจที่คิดอะไรเหลวไหลเช่นนี้ โปรดอย่าดุนิจเลยค่ะ นิจรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ และได้ห้ามใจแล้ว แต่ก็ไม่ไหว เช้าวันนี้มีอาการหนักกว่าทุกวัน

เมื่อวานนี้ตลอดวัน เราไม่ได้เห็นฝั่งหรือเกาะเลย เรือกำลังแล่นอยู่ในทะเลจีน ตกค่ำลมแรงและคลื่นก็จัด เสียงน้ำกระทบเรือดังซ่า ๆ มองดูไปข้างหน้ามืดตื้อไม่เห็นอะไร นอกจากแสงดาวยิบๆ ​กัปตันบอกเมื่อคืนนี้ว่า คืนนี้ราวเที่ยงคืน เราจะได้เห็นกระโจมไฟของเกาะสิงคโปร์ ดังนั้นพรุ่งนี้เช้านิจจะได้ขึ้นบก และภายใน ๕ วัน จากนี้คุณพ่อจะได้รับจดหมายของนิจ ที่นิจเขียนด้วยความกระหาย อยากพบ อยากเห็น คุณพ่อคุณแม่ของนิจ อยากอยู่ในวงแขนของคุณพ่อ อยากเห็นดวงตาอันเต็มไปด้วยความกรุณาที่เคยมองดูนิจ อยากจะเล่าอะไรๆ ในใจของนิจ ซึ่งเวลานี้นิจเล่าไม่ถูกให้คุณพ่อฟัง ในใจของนิจเวลานี้ เต็มไปด้วยความรักและคิดถึงคุณพ่อคุณแม่ทั้งนั้น

โดยความรักอย่างพรรณนาไม่ได้สมใจ ลูกกราบคุณพ่อคุณแม่ด้วยความเคารพ

นิจ

.

​จดหมายเหล่านี้นิจเขียนถึงพระยาสุรแสนสงคราม เป็นจดหมายเหตุประจำวันในเวลาเช้า เมื่อพับจดหมายสามฉบับสอดลงในซองเดียวกันแล้ว นิจขยับตัวพิงเก้าอี้ รวบเสื้อคลุมสำหรับใส่ในห้องนอนให้กระชับ พลางถอนหายใจยาวหล่อนทอดสายตาอันมีแววหวานซึ้ง มองดูน้ำซึ่งใบจักรพัดแหวกออกเป็นทาง ในสมองเต็มไปด้วยความคิดแปลก ๆ ร้อยแปดประการ ลมพัดต้องผมดำขลับของหล่อนปลิวไสว และตกลงมาปกคลุมหน้าผากอันขาวสะอาด นิจไม่นำพาหล่อนนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้น ปล่อยเวลาให้ผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นข้าง ๆ นิจสะดุ้ง เหลียวไปดูเห็นหลวงธนสาร มีผ้าห่มนอนพาดบ่า เขาหยุดยืนข้างหล่อนแล้วพูดห้วน ๆ ว่า

“สายแล้วยังไม่ได้แต่งตัวอีก จะแต่งก่อน​หรือจะให้ฉันแต่งก่อนล่ะ?”

นิจช้อนสายตาอันอ่อนหวานมองดูเขา แล้วตอบอย่างนุ่มนวล

“คุณหลวงแต่งก่อนเถิดค่ะ”

เขาหันหน้ากลับไปจากหล่อนโดยไม่พูดว่ากระไร นิจถอนหายใจยาวอีกครั้งหนึ่ง และมองตามร่างอันสูงโปร่งหายเข้าไปในห้อง จากใต้บังตา หล่อนมองเห็นเท้าเขาเดินไปเดินมา และได้ยินเสียงกุกกักอยู่นานราว ๑๐ นาที เขาก็เปิดบังตาออกมา ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่ง เขาพูดกับหล่อนห้วน ๆ ตามเคยว่า “เสร็จแล้ว” แล้วก็เดินไปทางหัวเรือ

หญิงสาวรู้สึกว่าตันคอหอย และน้ำตาแล่นขึ้นมาคลอหน่วย โดยที่หล่อนเองก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุไรแน่ นับแต่วันแรกที่ได้แต่งงานแล้ว รู้สึกว่าความชื่นบานได้หายไปทีละเล็กละน้อย จนถึงเช้าวัน​นี้ไม่มีเหลืออยู่เลย มีแต่ความเศร้าสลดเข้าแทนที่ ทั้งนี้เพราะชายผู้เป็นสามีของหล่อนนั้น มิได้เคยพูดจาปราศรัยกับหล่อนด้วยวาจาอันอ่อนหวานสักครั้งเดียว เสียงของเขาที่พูดกับหล่อนมักแข็ง และแกมความฉุนเฉียวอยู่ด้วยเสมอ ทั้งสายตาที่มองดูหล่อนก็กระด้าง ไม่อ่อนโยน เขาพยายามตีห่างจากหล่อนจนออกนอกหน้า ในวันแรก ๆ นิจนึกบอกกับตัวเองว่าหล่อนเป็นเด็กที่ไม่ดี ปรารถนาในความพะเน้าพะนอเกินไปจึงได้เกิดน้อยใจไปต่างๆ และเดาเอาเองว่าสามีภรรยาทุกคู่ที่แต่งงานกันใหม่ ๆ คงเป็นเหมือนหลวงธนสารกับหล่อนฉะนี้ เมื่อคิดได้เช่นนั้นนิจรู้สึกสบายใจขึ้น แต่เวลาล่วงไป ๆ หลวงธนสารมิได้คลายความบึ้งตึงลงจนนิจสงสัยยิ่งขึ้น และตั้งต้นคิดค้นหาต้นเหตุทีเดียว ซ้ำร้ายที่หล่อนสังเกตเห็นว่าขณะที่เขาพูดกับคนอื่นๆ ​นอกจากตัวหล่อนเขามักมีสีหน้าเป็นปกติ และบางคราวก็ยิ้มแย้มดี มีเสียงหนึ่งเบาที่สุด อย่างเขลาที่สุด กระซิบว่า “เขาเกลียดเจ้า” นิจสะดุ้งแรง แต่พยายามทำไม่ได้ยินแล้วก็หัวเราะเยาะเสียงนั้นเสีย

บ่ายวันนั้น เมื่อรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ทุกคนพากันกลับขึ้นชั้นบน คงเหลือแต่กัปตันและนิจ กัปตันเรือมาลินีเป็นชายชาติเดนมาร์ค แกมีรูปร่างอ้วนใหญ่ แต่หน้าตาของแกอ่อนโยนแสดงว่าเป็นคนใจดี แกพานิจไปยืนที่หัวเรือ และพูดกับหล่อนอย่างผู้ใหญ่พูดกับเด็ก แกถามนิจว่าเป็นหลานหรือเป็นน้องของหลวงธนสาร

“เขาเป็นสามีของฉัน” นิจตอบพร้อมกับเลือดขึ้นหน้าจนแก้มเป็นสีชมพูอ่อน

“ยังงั้นหรือ?” กัปตันทวนถามพร้อมกับทำ​ตาโต “เธอมีอายุเท่าไรแล้ว?”

“๑๘ ปีกว่า!” นิจตอบ

“เธอแต่งงานนานแล้วหรือ” กัปตันถามอย่างสนใจ

“มิได้ เราเพิ่งแต่งกัน พอเสร็จพิธีก็เดินทางมานี่แหละ!”

ชายต่างชาติทำท่าพิศวงเป็นอันมาก แกมองดูหญิงสาวอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่สักครู่หนึ่งในที่สุดพูดเชิงสัพยอกว่า

“เธอเพิ่งแต่งงานกันใหม่ ๆ ถ้าฉันหน่วงเธอไว้ที่นี่นานนัก เห็นจะถูกต่อยหน้าเป็นแน่”

นิจยิ้มอย่างเศร้า มองผู้พูดแล้วตอบว่า

“บางทีท่าน จะต้องการไปทำธุระอะไรของท่าน เชิญเถอะไม่ต้องเกรงใจ ถ้าสำหรับสามีของฉันละก็ ท่านไม่ต้องวิตกเขาไม่หวงฉันนักหรอก โกออฟเต็น๑ ​กัปตัน”

ชายชาติเดนมาร์คก้มศีรษะคำนับ พลางหัวเราะอย่างล้อเลียน

“ไม่น่าเชื่อในข้อนั้น ถึงอย่างไรก็ดี ขออนุญาตให้ฉันนำเธอขึ้นไปส่งข้างบนเถอะ”

เมื่อนิจกับกัปตันขึ้นบันไดถึงชั้นบน เห็นหลวงธนสารยืนอยู่ที่กราบเรือข้างขวา เขากำลังส่องกล้องดูเกาะที่เห็นตะคุ่มๆอยู่ข้างหน้า เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเขาหันมองดู แล้วพยักหน้าพลางพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า

“หาดทราย”

กัปตันรับกล้องที่หลวงธนสารส่งให้มาดูบ้าง นิจยืนอยู่ข้างตัวแก ผู้เฒ่าจ้องภาพข้างหน้าอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่งกล้องให้กับนิจพูดว่า

“สวยจริงๆ ทีเดียวๆ สีแดดกับสีทรายเข้า​กันดูกี่หนไม่รู้จักเบื่อ” แล้วแกก้มศีรษะคำนับเดินห่างไป

นิจถือกล้องติดกับตาไว้ แต่หาเห็นสิ่งที่จะดูไม่ ด้วยใจกำลังมาจดจ่ออยู่เสียที่สามี ซึ่งอยู่ใกล้กับหล่อน ณ ที่นั้น หล่อนยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นนาน และหวังว่าเขาจะพูดกับหล่อนสักคำ ครั้นเห็นเขาไม่เอ่ยปากหล่อนก็ลดกล้องลงจากระดับตา หันหน้ามาทางเขา หลวงธนสารเอื้อมมือออกทำท่าจะรับกล้อง โดยไม่แลดูผู้ส่ง นิจรู้สึกว่าขณะนั้น ตาของหล่อนกำลังมีน้ำตาคลออยู่จึงเมินหน้าไปเสียทางอื่น และปล่อยกล้องลงในมือของสามีโดยแรง หลวงธนสารไม่ได้ระวังตัวรับไว้ไม่ทัน กล้องนั้นก็เลยหลุดลงน้ำไป

“อุ้ย! ตาย!” นิจร้องขึ้นเมื่อเห็นกล้องตกลงไปในทะเล หันหน้าเพื่อถามสามีว่าเหตุไรจึงปล่อยให้ตกลงไปเสียได้ พอเห็นหน้าของเขา​ตึงเครียด จ้องดูหล่อนราวกับจะกินเนื้อ ตาต่อตาเพ่งกัน นิจแข็งใจสู้ตาเขาได้ด้วยความมานะ ในที่สุดหลวงธนสารคำรามออกมาพร้อมกับเข่นเขี้ยวอย่างน่ากลัว

“ตัวมาร! ทำลายทุกสิ่งที่เรารัก!”

โอ๊ย! ตาย! คุณพระช่วย! คำพูดอะไรน่าเกลียดน่ากลัว และน่าเจ็บใจปานนั้น! เหลือทนพ้นวิสัยจะทนได้ นิจถอยหลังไปก้าวหนึ่ง มองดูผู้ที่เรียกหล่อนว่าตัวมารด้วยสายตาแสดงความตกใจและชอกช้ำอย่างที่สุด ครั้นแล้วหล่อนยกมือขึ้นปิดหน้าหันหลังให้เขา วิ่งไปห้องนอนซบหน้าลงกับหมอนร้องไห้

.

๑. ภาษาเดนมาร์ค คล้ายกับคำ Good Afternoon ↩




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #1 on: 28 October 2025, 16:39:50 »




​บ่ายวันหนึ่งในเดือนกันยายน อากาศเย็นรื่นมาแต่เช้า ครั้นตกบ่าย ๑๗ นาฬิกาพระอาทิตย์กลับฉายแสงเหลืองจ้าลงจับต้นไม้ และพื้นดินสว่างไสว นางธนสารสมบัติยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าต่างในห้องนอน ข้อศอกเท้าอยู่บนกรอบหน้าต่าง ดวงตาดำมีแววโศกจ้องจับดูสนามสี่เหลี่ยมเล็กตรงหน้า ที่นั้นเป็นที่ๆ หล่อนเคยอาศัยนั่งเล่น และฆ่าเวลาให้หมดไปโดยการอ่านหนังสือ หรือรำพึงถึงสิ่งเศร้าใจอยู่คนเดียว เก้าอี้ไม้ยาวทาสีขาวตั้งหันหลังติดกับรั้วบ้านระหว่างต้นสาย​หยุดสองต้น ต่อจากต้นสายหยุดคือกระถางกุหลาบตั้งเป็นระยะไปรอบสนามจดเชิงบันได เงียบสงัดไม่มีศัพท์สำเนียงใด ๆ นอกจากเสียงนกร้องและเสียงกิ่งไม้ไหวราวกับทั้งบ้านอันรโหฐานนี้ไม่มีมนุษย์คนอื่นอยู่นอกจากสตรีสาว ผู้มีหน้าอันเศร้าแสนเศร้าแต่ผู้เดียว นิจถอนใจสะท้อนติดกันหลายครั้ง ความว้าเหว่เป็นความรู้สึกที่เคยชินกับหล่อนเสียแล้ว แต่เฉพาะวันที่ ๘ กันยายนนี้ ในปีก่อน ๆ ที่ล่วงแล้วมา เป็นวันที่ใจได้รับความเบิกบานสำราญใจเป็นที่สุด ความรู้สึกถึงความเป็นไปในกาลก่อนยกมาเทียบกับกาลปัจจุบันนั่นเอง ที่ทำให้หัวใจปวดร้าวราวจะแตกทำลาย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ในชั่วโมงเดียวกันนี้ นิจยังจำได้ติดตาว่าหล่อนกำลังยืนอยู่กลางสนามที่บ้านคุณพ่อ พี่น้องและเพื่อนที่รักล้อมอยู่รอบกาย ทุกคนพากันอวยชัย​ให้พรกับหล่อนสำหรับวารดิถีอันคล้ายวันเกิด ชั่วเวลา ๓๖๕ วันนี้ โลกหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก กรรมบันดาลให้ใจต้องมาเป็นนางธนสารสมบัติ และถูกทิ้งขว้างให้ว้าเหว่อยู่คนเดียว ในวันที่หล่อนต้องการความพะเน้าพะนอและความเอาใจใส่อย่างที่สุด สามีของหล่อนตลอดจนบิดามารดาของเขารู้ดีว่าวันนี้เป็นวันเกิดของนิจ เพราะในตอนกลางคืนวานนี้เอง หล่อนได้ลา คุณหญิงว่า จะไปใส่บาตรที่บ้านในตอนเช้าและบอกเหตุผลให้ทราบด้วย คุณหญิงดูทำท่าไม่พอใจ และไม่เข้าใจว่าเหตุใดจะต้องใส่บาตรในวันเกิด ท่านพูดเปรยๆ ว่า

“ดีนะแม่นิจ อุตส่าห์ทำบุญวันเกิด พวกฉันไม่มีใครมีวันเกิดสักคน เราไว้ทำบุญวันตาย”

คำพูดนี้เท็จแท้ๆ นิจจำได้ดีว่าเมื่อสองเดือน​ก่อน คราวที่หลวงธนสารมีอายุครบ ๓๐ ปีบริบูรณ์ เขาก็ได้ทำพิธีรื่นเริงฉลองเหมือนกัน วันนั้นเองเป็นวันที่หัวใจของนิจถูกกรีดออกเป็นริ้วเล็กริ้วน้อยแผลยังระบมเป็นหนองอยู่จนเดี๋ยวนี้ นิจสังเกตเห็นว่าสามีมีนิสัยชอบอ่านหนังสือทุกชนิด หล่อนจึงไปซื้อหนังสือพงศาวดารดึกดำบรรพ์มาให้เขาเป็นของขวัญ หล่อนส่งให้เขากับมือในตอนเช้า เมื่อเขาอ่านหนังสือที่ชิงช้าหลังบ้าน ครั้นตอนสายลง นิจเห็นหนังสือนั้นทิ้งอยู่ใต้ชิงช้า จึงเก็บไปไว้บนโต๊ะหนังสือในห้องเขา พอตอนเย็นก็กลับลงไปอยู่ในตะกร้าสำหรับทิ้งเศษกระดาษอีกแล้ว เมื่อนิจเห็นหนังสือนั้นปนอยู่กับเศษกระดาษ หล่อนรู้สึกสะดุ้งใจและไม่เห็นเหตุว่าทำไมเขาจึงต้องเกลียดชังถึงกับต้องขว้างทิ้งเสีย ต่อเมื่อปกหนังสือนั้นแบะออกเห็นลายเซ็นที่หล่อนเซ็นไว้เองจึงนึกขึ้นได้ ​คำที่เขียนไว้ว่า ‘ให้คุณหลวงผู้เป็นสามียอดที่รักของนิจในวันเกิด’ นี่เองเป็นเครื่องบาดใจเขา เขาทำกับของที่หล่อนให้เพียงนั้นยังไม่พอ ค่ำลงเขาเลี้ยงอาหารเพื่อนที่ห้อยเทียนเหลา โดยมิได้ชวนหล่อนสักคำ ตอนนี้ยังไม่เป็นไร มีข้ออ้างว่าเขาอยากสนุกกับเพื่อนผู้ชายล้วน แต่ตอนดึกเมื่อเขากลับมาบ้านมิได้มาคนเดียว พาเอาแม่รัศมีมาด้วย คำพูดของคนทั้งสองซึ่งแสดงว่า เขาได้เที่ยวกันมาพักใหญ่แล้วนั้น นิจยังจำได้ขึ้นใจ ดังจะกล่าวต่อไปนี้

คืนวันนั้นความกระเทือนใจที่ได้รับในตอนเย็น ทำให้นิจนอนไม่หลับจนดึกราวเที่ยงคืน อากาศเผอิญร้อนอบอ้าวลมไม่พัดเสียเลย นิจจึงลุกขึ้นจากเตียง สวมเสื้อชั้นนอกแล้วลงจากตึกมาข้างล่าง ตั้งใจจะเดินเล่นอยู่ที่สนามพอให้เย็นใจ คนที่บ้านพระยาวิชัยนี้​เข้านอนแต่หัวค่ำเสมอ ราว ๑๑ นาฬิกาเศษทุกคนมักจะหลับเงียบหมด คืนนั้นเดือนหงายสว่างจ้า นิจเดินอ่อย ๆ ชมจันทร์อยู่สักครู่ เห็นรถคันหนึ่งแล่นเข้ามาทางประตูใหญ่ แน่ใจว่าเป็นรถของสามี ด้วยความไม่อยากประจันหน้ากับเขา นิจจึงหลบตัวเข้าบังเงาต้นไม้ข้างโรงรถ ซึ่งอยู่ห่างจากประตูใหญ่เพียงเล็กน้อย เข้าใจว่าเขาจะนำรถเข้าเก็บในโรง แต่เขาไม่ทำเช่นนั้น เพราะเขามิได้มาคนเดียว ข้างตัวเขามีสตรีผู้หนึ่งนั่งมาด้วย เจ้าหล่อนผู้นั้นห่มผ้า ซึ่งแสงจันทร์ไม่สว่างพอที่จะทำให้เห็นได้ว่าเป็นสีอะไรแน่ และสวมหมวกผู้ชาย ซึ่งน่าจะเป็นหมวกของหลวงธนสารนั่นเอง สามีของนิจเปิดประตูให้เพื่อนเดินทางลง แล้วเดินเคียงกันไปปลุกคนรถให้เอาน้ำมันมาเติม ระหว่างคอย เขาทั้งสองยืนอยู่ข้างต้นแก้วที่นิจซ่อนอยู่นั่นเอง นิจรู้สึกว่าเขาทั้งสองอยู่ใกล้กับหล่อนมาก เพียง​ต้นไม้คั่นอยู่เท่านั้น ใกล้จนหล่อนกลัวว่าหัวใจของหล่อนซึ่งกำลังเต้นแรงนั้นจะดังออกมานอกทรวงอก อันจะเป็นเหตุให้เขาทั้งสองได้ยิน จึงรีบตัวบังกอไม้ และพยายามผ่อนหายใจให้เบาลงอีก ได้ยินเสียงกิ่งแก้ว ทางด้านที่หนุ่มสาวยืนอยู่ไหวแกรกกรากครู่หนึ่ง และได้ยินเสียงผู้ชายพูดแผ่วๆ ว่า

“เธอใส่น้ำหอมอะไรนะ ช่างหอมชื่นใจเสีย จริงๆ”

เสียงหัวเราะเบา ๆ ของฝ่ายหญิง “ยังได้กลิ่นอีกหรือคะ ดิฉันคิดว่ามันระเหยตามลมไปหมดแล้วอีก”

“ยังอยู่จ้ะ อยู่ที่ผม ที่หน้าน่ะหมดไปแล้ว”

“อุ้ย! ก็คุณพี่น่ะซีขโมยเขาไปหมด”

ไม่มีเสียงตอบ เสียงฝ่ายหญิงดังขึ้นอีก

​“อุ้ย! อะไรก็ไม่รู้ละ ว่าอยู่หยก ๆ น้ำหอมที่คุณพี่ให้ดิฉันยังไงล่ะคะ น้ำไวโอเล็ตน่ะ เกือบหมดหีบแล้ว เหลืออีกขวดเดียวเท่านั้น”

“หนาวไหมจ๊ะ ยอดรักของพี่?”

“ยังงี้จะหนาวยังไงได้คะ ไอตัวคุณพี่นี่ร้อนจริง”

“ไม่ใช่หรอก เธอเข้าใจผิด ไอของความรักน่ะ มันร้อนกรุ่นอยู่ในหัวอกด้วยความไม่สมปรารถนาเมื่ออยู่ชิดกับเธอเช่นนี้ ยิ่งลุกฮือจนลามไปเผาเธอเข้าด้วย”

“ต๊าย! ตาย! หมั่นไส้ ช่างพูดนัก ปากละหวานเสียเหลือเกิน”

“ยังไม่หวานเท่าปากเธอ”

เสียงลมพัดกระโชกฮือใหญ่ พายุฝนเกิดขึ้นในทันทีทันใด และฟ้าแลบ

​“ฝนจะตกก็ไม่รู้ น่ากลัวเธอจะไม่ได้กินไอสกรีม”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ตกลงมาเวลานี้ก็ไม่กลัว แหม! ถ้าตกลงมาเวลาที่เราอยู่บางซื่อละแย่ทีเดียว”

“จะแย่ทำไม ผ้าบังฝนของเราก็มี”

“ดิฉันกลัวฟ้า”

“อยู่กับพี่สองคนแล้วยังกลัวอีกหรือ?”

ฝ่ายหญิงไม่ตอบด้วยคำพูด แต่คงตอบด้วยกิริยา ด้วยนิจได้ยินเสียงฝ่ายชายถอนใจยาว

เงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง

“นี่ถ้าเธอไปถึงบ้าน พบน้าชมยังตื่นอยู่จะว่าอย่างไร?”

“อุ้ย จะเป็นอะไรไปคะ แม่แกไม่ว่าหรอก ก็ดิฉันไปเที่ยวกับคุณพี่กลับดึก ๆ น่ะแกรู้ทุกทีแหละ ​ว่าแต่คุณพี่เถอะ กลับมาหม่อมเขายังตื่นอยู่จะว่าอย่างไร”

“ไม่ตื่นหรอก เด็กคนนั้นนอนหัวค่ำเสมอ ถึงตื่นก็จะมาทำอะไรพี่ ทั้งเขาไม่เคยถามสักทีว่าพี่ไปไหนมาบ้าง”

“เด็กดี๊ดีนะคะ!”

ฝ่ายชายหัวเราะหึๆ “ถึงถามก็ไม่บอก ธุระอะไรจะต้องมาเซ้าซี้จุกจิก ไม่ได้เป็นแม่ของพี่นี่”

“อ่านหนังสือที่เขาให้เป็นของขวัญแล้วหรือคะ?” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย ประชดประชันแกมถือดี

ผู้ชายตอบห้วนๆ “เปล่า ทิ้งตะกร้าไปแล้ว”

“โถ! น่าสงสาร! เดี๋ยวเขาโกรธขึ้นมา หนีไปอยู่เสียกับพ่อ จะว่าอย่างไร?”

เสียงหัวเราะหัวนๆ “ถ้าเป็นได้เช่นนั้นจริง​เธอไม่ดีใจหรือ เธอไม่นึกหรือว่าพี่จะได้ความอิสรภาพคืนมา เป็นอิสระ เป็นคนโสดอีกครั้งหนึ่ง แทนที่จะยืนอยู่เช่นนี้ เราจะได้อยู่ด้วยกันในห้องโน้น นั่น! ห้องของเขาและห้องของพี่ เราจะรื้อฝาออกเสียทำให้เป็นห้องเดียวกัน เธอไม่นึกบ้างดอกหรือว่าเราจะมีความสุขเพียงไร เธอไม่ได้คอยชั่วโมงเหล่านั้นอยู่ดอกหรือ เออ! รัศมีของพี่ คิดแล้วแค้นใจนัก เธอรักพี่เสมอ เหตุไรจึงไม่...”

เสียงของเขาขาดหายไปเหมือนมีอะไรมาปิดปากเสีย เสียงผู้หญิงดังขึ้นแทน

“จุ้ย๎ จุ้ย๎ คุณพี่ เอาอีกแล้ว ดิฉันอยู่กับคุณพี่เท่านี้ยังไม่พออีกหรือคะ เราต้องอดทนไปก่อน คอย ๆ ๆ โอกาสของเรา คงจะมาถึงสักวันหนึ่ง...ปล่อยทีค่ะ ตาอาบเดินมานั่นแน่ะ เห็นจะเติมน้ำมันเสร็จแล้ว”

​ทั้งหมดที่กล่าวมานี้กินเวลาไม่ถึง ๑๐ นาที แต่นิจรู้สึกคล้ายกับว่านานราวสัก ๑๐ ปีของนรก คืนวันนั้นหล่อนไม่ได้หลับตลอดคืน ใช้เวลา ๖ ชั่วโมงทำศึกในใจ ความโกรธกับความหยิ่งต่อสู้กับเหตุผลและความมานะอย่างรุนแรง มาลงเอยเอาตอนเช้าตรู่แสงอรุณขึ้น โดยฝ่ายเหตุผล ซึ่งเป็นฝ่ายถูกได้ชัยชนะ

นี่แหละคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันเกิดของหลวงธนสาร และคุณหญิงวิชัยได้พูดออกมาเต็มปากเต็มคอว่า พวกของท่านไม่เคยนึกถึงวันเกิด

นิจยืนรำพึงถึงสิ่งเหล่านี้อยู่นาน ต่อมาหล่อนได้ยินเสียงรถแล่นเข้ามาในบ้าน เสียงผู้หญิงหัวเราะแว่ว ๆ นิจยิ้มอย่างขมขื่น คงยืนนิ่งอยู่ในท่าเดิม หล่อนเดาเอาเองว่าคงเป็นหลวงธนสาร พร้อมด้วยบิดามารดาและน้องสาวของเขา กลับมาจากที่ใดที่หนึ่งที่เขาไป​มาด้วยกัน ช่างเขาปะไร ใครจะมาจะไปในบ้านนี้ไม่เกี่ยวกับหล่อน แขกของคุณหญิงที่มีมาไม่เว้นแต่ละวัน นิจไม่เคยได้พบ ความเหินห่างระหว่างหลวงธนสารกับนิจ ทำให้นิจไม่มีโอกาสรู้จักกับญาติของสามี และด้วยเหตุอันเดียวกันสามีก็ไม่รู้จักกับญาติของภรรยา นิจเคยถูกต่อว่าจากญาติทางฝ่ายหล่อนเสมอมา ไม่พาสามีไปให้รู้จักและไม่ไปมาหาสู่เหมือนแต่ก่อน นิจแก้ตัวไปตามแต่จะได้ ลงท้ายเมื่อหมดหนทางก็เลยเลี่ยงไม่อยากพบปะกับพี่น้องอีก เป็นเคราะห์ดีเมื่อกลับจากสิงคโปร์แล้ว เจ้าคุณสุรแสนได้สั่งให้บุตรเขยและบุตรสาวไปไหว้ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายนิจสองสามคน ซึ่งทำให้นิจหายหนักใจไปบ้าง สำหรับญาติผู้ใหญ่ฝ่ายสามี นิจได้ไปไหว้พระยากำแหงรณภพคนเดียว ท่านผู้นี้มีความกรุณานิจมาก เมื่อได้พบ​หลานชายน้องชาย หรือน้องสะใภ้ก็ถามข่าวถึงหลานสะไภ้ด้วย และสั่งเสียให้ไปหาเสมอ เมื่อวันขึ้นปีใหม่ยังได้ส่งนาฬิกาเรือนเพชรมาให้เป็นของขวัญ อ้างเหตุว่าเมื่อแต่งงานของรับไหว้ท่านให้กับฝ่ายชายแต่ฝ่ายเดียวไม่ยุติธรรม จึงให้นาฬิกาข้อมือมาแก้ตัว คุณหญิงสงวนไม่พอใจอย่างยิ่ง ที่เจ้าคุณโปรดปรานหลานสะใภ้ถึงเท่านั้น เพราะตัวท่านเองที่เคยประจบประแจงพี่ชายของสามีอยู่เสมอ ยังไม่เคยได้อะไรที่เป็นแก่นสารสักที หนหนึ่ง เจ้าคุณผู้นี้ไปหาเจ้าคุณสุรแสนที่บ้าน เผอิญพบกับนิจ ท่านถามหล่อนว่าท่านไปที่บ้านพระยาวิชัยถึงสองครั้งแล้ว เหตุไรไม่พบสักที นิจไม่ประหลาดใจเลยที่คุณหญิงวิชัยไม่ได้เรียกร้องเชิญหล่อนมาหาลุงของสามี เพราะเป็นของธรรมดาอย่างเอก ความเป็นไปในบ้านของท่านไม่เคยเกี่ยวถึงหล่อนมา​แต่ไร สิ่งเดียวที่ทำให้นิจจำได้ว่าหล่อนอยู่ในบ้านนั้น คือต้องรับประทานอาหารทั้งสามเวลาพร้อมกับพ่อบ้านแม่บ้านนั้นเอง

เสียงหัวเราะดังใกล้เข้ามาทุกที ฟังดูคล้ายหลายเสียงประสานกัน ชั่วครู่เดียวนิจเบิกตากว้างด้วยความประหลาด และแทบไม่เชื่อตาตนเองกำลังเลี้ยวจากมุมตึกตรงมาที่หล่อนยืนอยู่ คือเฉลาเพื่อนรักและเพื่อนสาวอื่น ๆ อีก ๔ คน

นิจผละจากหน้าต่างรีบลงบันไดมาทีละสองขั้นมาโดยเร็ว โผตัวเข้าในวงแขนของเฉลา น้ำตาที่คลอตาอยู่ตั้งครึ่งชั่วโมงนั้น จะหยดลงในเวลานี้เสียแล้ว ด้วยความมานะอย่างสุดกำลัง นิจกลั้นสะอื้นไว้ได้ ในดวงหน้าที่หันมาหาเฉลาคงเหลือแต่ความดีใจ

“เห็นไหมนิจ ว่าพวกเราไม่ลืมเธอในวันนี้ ดูซีครบชุดทีเดียว” เฉลาพูดพลางหันไปทาง​แม่สาว ๆ

นิจออกจากวงแขนเฉลา รีบตรงไปกอดรัดเพื่อนทีละคน ความปิติทำให้เสียงไม่ออกจากลำคอ จนเวลาแห่งความตื่นเต้นผ่านไปแล้วจึงพูดออกมาได้

“เชิญขึ้นไปบนเรือนฉันเถอะ ขออนุญาตรับในห้องนอน เราจะได้อยู่กันตามลำพัง…...แหม! ถวิลก็อุตส่าห์มาร่วมด้วยได้ ตั้งแต่เธอไปส่งฉันที่ท่าเรือแล้วไม่ได้พบกันอีกเลย”

“ก็ฉันไปไหนตามลำพังคนเดียวได้เมื่อไรล่ะ นี่หากว่าคุณเฉลากับจำนงไปรับ ถึงกับไปลาคุณแม่ให้ถึงมาได้ เธอสิแต่งงานแต่งการแล้วทำไมถึงไม่ไปเยี่ยมฉันบ้าง?”

“ก็เขาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ต้องทำหน้าที่แม่บ้านจะหาเวลาว่างที่ไหนมา” เฉลาแก้แทน “...แต่นี่นิจ เราไปคุยกันที่ไหนที่ไม่ใช่ห้องนอนถึงจะได้ เพราะพี่มี​พี่ชายมาด้วย ทั้งแม่พี่สะใภ้ของพี่ก็มากับสามี”

“อ้อ!” นิจร้อง “แหมจำนงถึงกับหน่วงเอาคุณจำลองมาด้วยเทียวหรือ ถ้ายังงั้นไปที่ห้องรับแขกกันเถอะ…...พี่เฉลาคะ พี่ชายที่มาด้วยชื่ออะไร?”

“ชื่อฉลาด คนนี้เธอไม่เคยรู้จัก เพราะไปเป็นชาวป่าเสียหลายปี”

นิจนำหน้าพาเพื่อนไปยังห้องสี่เหลี่ยม ซึ่งจัดไว้เป็นห้องรับแขก แล้วจัดแจงเปิดหน้าต่างออกทุกบาน แม่เพื่อนสาวที่มานำของขวัญกระจุกกระจิกมาด้วยทุกคน นิจรับรองและกล่าวคำขอบใจแล้วก็เชิญให้นั่ง เฉลาเข้ามาทีหลังเพื่อนพาพี่ชายทั้งสองเข้ามาด้วย

“นิจ” หล่อนกล่าวแนะนำ “นี่พี่ฉลาด ... คุณพี่คะ นี่นางธนสารสมบัติ หรือ นิจ ที่ดิฉันเคยพูด ถึงเสมอ”

​“เชิญนั่งซีคะ” นิจพูดพลางประณมมือทำความเคารพ “ยินดีที่ได้รู้จักกับคุณซึ่งเป็นพี่ของเพื่อนที่รัก พี่เฉลาเป็นยิ่งกว่าเพื่อนของดิฉัน เพราะฉะนั้นดิฉันจึงเรียกว่าพี่”

“และพี่เห็นว่า พี่ฉลาดคงยินดีให้เธอเรียกว่าพี่ด้วยเหมือนกัน”

“แน่นอนทีเดียว และบางทีเธอจะไม่รังเกียจที่จะอนุญาตให้ฉันเรียกชื่อตัวสั้น ๆ นิจเป็นคำที่เพราะและน่าเอ็นดูอยู่ในตัว ถ้าทรงเครื่องเข้าไปเห็นจะรุ่มร่าม ฉันรู้จักชื่อเธอก่อนที่จะได้พบตัวหลายปี

นิจยิ้มอย่างแช่มช้อยตอบว่าหล่อนไม่รังเกียจ แล้วเชิญให้แขกของหล่อนนั่ง ตัวเองออกไปทางหลังห้อง หายไปสักครู่จึงกลับเข้ามา

คุณฉลาดนั่งคุยอยู่ราว ๒๐ นาที แล้วก็ลุกขึ้น​กล่าวคำขอโทษ ว่าจะต้องไปธุระที่อื่น เวลา ๑๙ นาฬิกา จึงกลับมารับน้องสาว

เพื่อนของนิจที่มาในวันนี้ ทุกคนเคยอยู่โรงเรียนกินนอนร่วมกันมา และออกจากโรงเรียนก็ไล่เลี่ยกัน เพราะฉะนั้นจึงมีความสนิทสนมกันมาก การสนทนาเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย นายจำลองเป็นผู้ชายคนเดียวที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้น แต่เขาไม่มีความกระดากกระเดื่อง เพราะเขารู้จักเพื่อนของภริยาดีพอที่จะรู้สึกเป็นคนกันเอง เจ้าของบ้านไม่ค่อยได้พูดกี่คำ ทำหน้าที่เป็นผู้ฟังอยู่เรื่อย คำพูดอันตลกคะนองของเพื่อน ร่วมกับความอารี ทำให้หัวใจของนิจชุ่มชื่นขึ้นบ้าง แต่ไม่พอที่จะทำให้หล่อนลืมฐานะอันแท้จริงของตนเสียได้

“นี่พระเอกของเธอไปไหนเสียนะ?” เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้น

​นิจกลืนน้ำลายอย่างฝืดเคืองก่อนที่จะตอบ

“เขามีธุระต้องไปกับคุณพ่อคุณแม่”

“อะไร ทิ้งเมียไว้คนเดียวในวันเกิดคุณของฉัน อย่างนี้ละก็ฮึ่ม!” แม่ลับร้องขึ้น หล่อนเพิ่งแต่งงานได้สองเดือนเท่านั้น และไม่ยอมเข้าใจว่าผู้ชายจะมีธุระอะไร ซึ่งสำคัญเหนือไปกว่าความรัก

“โถ ก็เขามีธุระนี่นะ” เฉลาค้อนพลางชำเลืองดูนิจ “เขามิทำมิ่งขวัญกันแต่เช้าแล้วหรือ เรามาเฉพาะเวลาที่เขาไม่อยู่ แล้วมาทำเจ้ากี้เจ้าการ”

คำพูดสองสามประโยคนี้กระแทกหัวใจนิจเข้าปังใหญ่ สุดที่จะฝืนสีหน้าให้เป็นปกติได้จึงลุกขึ้นกล่าวคำขอโทษ แล้วเดินออกจากห้องขณะที่จำนงกำลังพูดว่า

“ยังใหม่อยู่ ยังใหม่อยู่ รอให้ปีหนึ่งล่วงแล้ว​เสียก่อนเถอะ ลับ เธอจะเห็นว่าผู้ชายไม่จำวันเกิดภริยาได้เสมอไปหรอก” พูดแล้วชำเลืองค้อนสามีขวับใหญ่

“เข้าเรื่องเก่าละ จำนง” จำลองพูดแกมหัวเราะ “พี่ยังไม่เคยลืมวันเกิดเธอสักที เพิ่งหนเดียวเมื่อปีกลายนี้เท่านั้น”

“นั่นมันตรงกันไหมกับคำที่ว่าไม่เคยลืมสักที!” เฉลาถาม

พี่ชายโคลงศีรษะไปมาแล้วพูดว่า

“เอาแล้วเฉลา เป็นสัมพันธมิตรกับพี่สะใภ้ตามเคย ส่วนพี่ของตัวเองล่ะไม่ช่วยบ้างเลย”

เฉลากับจำนงมองดูกันแล้วก็หัวเราะ

ส่วนนิจเมื่อเดินออกจากห้องรับแขก ตั้งใจจะไปเตือนคนใช้ให้ยกน้ำชามาเลี้ยง ตามที่ได้สั่งไว้ พอพบกับละไมหญิงสาวใช้ประจำตัวพอดี สีหน้าของเด็กหญิง​บึ้งบูดแสดงว่าได้เกิดเรื่องกับคนใช้อื่นๆ มาแล้ว อาศัยความเคยชิน นิจเดาเรื่องได้ตลอดทันที โดยไม่ปล่อยโอกาสให้เด็กคนใช้มีเวลาพูดอะไรได้สักคำ นิจรีบหลีกทางเดินไปเสียบนห้อง หยิบธนบัตรได้สองบาทแล้วจึงรีบกลับลงไปครัว ที่นั่นหล่อนได้พบสิ่งที่นึกไว้แล้วโดยตลอด จริงดังคาด ยายแม่ครัวกำลังใช้ปากอันดำด้วยน้ำหมากบ่นพึมพำว่างานล้นมือทำไม่ไหว นายหรือก็มากคน เดี๋ยวคนนั้นจะเอานี่ เดี๋ยวคนนี้จะเอานั้น แท้ที่จริงงานซึ่งมากขึ้นตามที่แกบ่นนั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่าที่เด็กหญิงละไม่ได้ไปขอให้แกต้มน้ำให้กาหนึ่งเลย การเทศนาของแม่ครัวมีผู้ฟังคือ คนใช้ผู้ชายสองคน เมื่อนิจโผล่เข้าไปต่างทำหน้าเจื่อนไปตามกัน

นิจกลืนความรู้สึกอันเดือดพล่านไว้ภายในแล้วส่งเงินให้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่ พลางสั่งว่า

​“เอ้า! เอาไปแบ่งกันทั้งสามคน รีบพัดไฟให้น้ำเดือดเร็ว ๆ ถ้วยน้ำชาเอาไป ๗ ถ้วย แล้วบอกละไมไปเอาขนมปังหวานของฉันมาเปิดใส่ถาดไปทั้งหีบ ไวๆ มือเข้าหน่อย”

๕ นาทีภายหลัง ของรับประทานก็ตามนิจเข้าไปในห้องรับแขก เจ้าของบ้านสาวทำหน้าที่ปรุงน้ำชาแจกคนละถ้วย พอครบก็พอดีทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง เห็นรถสีแดงกำลังแล่นวงรอบสนามช้า ๆ เลือดขึ้นหน้านิจจนร้อนผ่าวกาจะหลุดจากมือเสียให้ได้ พยายามข่มสติเต็มกำลัง และพูดออกมาด้วยเสียงเกือบเป็นปกติ

“คุณหลวงกลับมาแล้ว -แปลกแกไปเรียนที่เถอะว่าฉันเชิญมาที่นี่กับแม่รัศมีด้วย แล้วแกไปเอาถ้วยน้ำชามาอีกสองถ้วย

หัวใจนิจเต้นระรัวเป็นตีกลอง เมื่อเห็นรัศมีนวยนาดเคียงข้างมากับหลวงธนสาร สามีของหล่อน​ยิ้มจืด ๆ ขณะที่รับไหว้แม่สาว ๆ คุณจำลองลุกขึ้นยืนหัวเราะพลางพูดว่า

“คุณหลวงมัวไปไหนเสีย สุภาพสตรีเหล่านั้นกำลังนินทาว่า ทำผิดหน้าที่ในการที่ทั้งภริยาไว้บ้านคนเดียวในวันเกิด”

“แฮะๆ” เป็นอุทานตอบของหลวงธนสาร

“ถ้าคุณหลวงพานิจไปเสียด้วย” เฉลาตอบคำของพี่ชาย “พวกเรามิได้พบแต่บ้านเท่านั้นหรือ ที่ไหนจะได้พบคน”

อีกครั้งหนึ่งหลวงธนสารหัวเราะแก้เก้อ

นิจมองดูรัศมี เห็นกำลังยืนคออ่อนคุยอยู่กับถวิล จึงพูดว่า

“แม่รัศมี มานั่งใกล้ขนมนี่แน่ะ ขึ้นรถกระเทือนมาใหม่ ๆ น่าจะหิว”

รัศมีเยื้องกรายมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ นาง​ธนสารปรุงน้ำชาแล้วส่งให้ รัศมียิ้มแล้วเบือนหน้ามือผลักมือนิจที่กำลังถือถ้วยอยู่ ปากพูดว่า

“ฉันไม่กินหรอกน้ำชา ไปหาน้ำเย็นมาเลี้ยงหน่อยซี”

ไม่มีใครเห็นดวงตาภายใต้ขนอันงอนยาวได้ว่ามีแววอย่างไร วินาทีหนึ่งล่วงไป นิจจึงเงยหน้าขึ้นพูดแกมหัวเราะว่า

“ดูเอาทีหรือ น้องผัวบังอาจใช้พี่สะใภ้ ถ้าจะเหน็ดเหนื่อยและกระหายมาเต็มที” เบือนหน้าอันงามแต่ซีดไปทางสามี “คุณหลวงคะไปหาน้ำเย็นให้น้องรับประทานหน่อยเถอะ”

แววตาของหลวงธนสารอุ่นด้วยฤทธิ์โกรธ โกรธใคร? เพราะอะไร?- เขาเองก็บอกไม่ถูก ลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยแรง จนเก้าอี้เกือบล้ม ครั้นนึกได้ว่าได้แสดงมารยาทอันไม่สมควรต่อหน้าแขกก็ฝืนยิ้มแก้เก้อนิดหนึ่ง แล้วออกจากห้องไป

​เมื่อเขากลับมาอีกทีหนึ่ง รัศมีย้ายไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ยาวนอกวง แล้วหล่อนใช้สายตาอันคมและเต็มไปด้วยเสน่ห์เรียกเขา คล้ายถูกมนต์สะกด หลวงธนสารเดินทื่อเข้าไปนั่งลงข้างหล่อนทันที

นิจกำลังนั่งอยู่บนม้าหน้าปีอาโน ถูกเพื่อนฝูงรุมโหวตให้ร้องเพลงและเล่นปีอาโนคลอไปด้วย นิจหัวเราะอย่างรื่นเริง แต่ไม่ยอมทำตามที่เพื่อนขอและแก้ตัววนไปเวียนมา ครั้นเห็นแก้ตัวไม่หลุดก็คิดจะหนีดื้อ ๆ จึงหันตัวจะลงจากม้า พอเห็นภาพอันบาดตาเข้าอย่างจัง

หลวงธนสารนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้ พาดแขนอยู่บนพนัก รัศมีนั่งครึ่งนอนครึ่ง ศีรษะทับแขนเขาอีกทีหนึ่ง ความอายมีอำนาจเหนือความแค้น นิจหันหน้ากลับเปิดฝาปีอาโนทันที เพื่อยึดความเอาใจใส่ของเพื่อนมิให้วอกแวกไปอื่น สมองในเวลานั้นตื้นตัน ไม่ทราบจะขึ้นต้น​เพลงอะไร พอความคิดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น นิจจึงขึ้นเพลงฉุยฉาย พร้อมกับเล่นปีอาโนคลอเสียงไปด้วย

“ฉุยฉายเอย จะไปไหนหน่อยเจ้าก็ลอยชาย เยื้องย่างเจ้าช่างกรีดกราย นุ่งผ้าลายดอกลอย ทุกข์อะไรของสตรี ไม่เท่าผัวมีเมียน้อย”

จะมีใครบ้างที่ไหวว่าเนื้อเพลงนั้นซึ่งหลุดจากปากของนิจเป็นเสียงร้องทุกข์-เสียงของความรู้สึกอันแท้จริงจากหัวใจของหญิงสาวผู้ได้รับความทรมารอย่างหนัก! ทุกคนพากันตบมือกราวใหญ่ และหันไปมองดูแม่จำนงและคุณจำลองอย่างล้อเลียน หลวงธนสารสะดุ้งทั้งตัวเหมือนคนตื่นจากหลับ ชักแขนออกจากศีรษะรัศมี แล้วผุดลุกขึ้นมายืนกลางห้อง



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.064 seconds with 17 queries.