Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ... | Recent Posts
Pages: 1 ... 5 6 [7] 8 9 10
62
« Last post by ppsan on 14 November 2025, 17:00:45 »
"รักในสายพระเนตร" 10 เรื่องเล่าหลังภาพ ของในหลวงรัชกาลที่ 9
https://readthecloud.co/notenation-3/

รักในสายพระเนตร 10 เรื่องเล่าหลังภาพที่บันทึกความรักและความทรงจำในพระราชหฤทัยผ่านสายพระเนตรของในหลวงรัชกาลที่ 9
เรื่อง นักรบ มูลมานัส
.
Home /Art & Culture/จด *หมายเหตุ 17 ตุลาคม 2017
“We keep this love in this photograph”
ในยุคที่การถ่ายภาพทำได้ง่ายเพียงพริบตา ในมือถือของเรามีรูปเป็นหมื่นเป็นพันรูป คุณค่าของรูปถ่ายในฐานะสิ่งเสมือนความทรงจำและสิ่งดูต่างหน้าดูจะจางจืดไป กระนั้นท่อนหนึ่งจากเพลงดังของ Ed Sheeran ยังทำให้เรานึกถึงความสำคัญของการเก็บบันทึกความรู้สึกในห้วงต่างๆ ของชีวิต และนี่เองก็อาจเป็นคำตอบของคำถามที่ว่าในทุกวันนี้เราทุกคนถ่ายรูปกันไปเพื่ออะไร
“We made these memories for ourselves”
แม้เราอาจบันทึกภาพต่างๆ ไว้ในใจอยู่แล้ว แต่ภาพถ่ายนั้นเป็นรูปธรรมของความทรงจำ เป็นมุมมองที่บันทึกผ่านสายตาของผู้ถ่ายโดยตรง เป็นหลักฐานให้เราได้กลับไปมองย้อนหลังในเวลาที่เดินไปข้างหน้า จริงอยู่ที่เราเก็บความทรงจำเหล่านี้ไว้เพื่อตนเอง แต่ภาพถ่ายจำนวนมากก็เล่าเรื่องของทั้งผู้ถ่ายและผู้ถูกถ่าย เล่าเรื่องสิ่งที่เคยเกิดขึ้น เรื่องราวในภาพอาจกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น หรือกระทั่งภาพถ่ายอาจมีบทบาทในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้
ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็เป็นเช่นนั้น
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงคุ้นเคยกับการถ่ายภาพมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ด้วยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงชื่นชอบการถ่ายภาพ อีกทั้งที่ประทับแห่งแรกในเมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับร้านถ่ายรูปอะเตอลิเยร์ เดอ ฌอง (Atelier de Jong Photographie) สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงพาพระโอรสธิดาเสด็จฯ ไปฉายพระรูปตั้งแต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระชนมพรรษาเพียง 2 พรรษา (Atelier de Jong Photographie ยังคงดำเนินกิจการสืบมาถึงปัจจุบัน)

เมื่อทรงเจริญพระชนมพรรษา 8 พรรษา สมเด็จพระบรมราชชนนีพระราชทานกล้องถ่ายรูป Coconet Midgetเป็นกล้องส่วนพระองค์ตัวแรก กล้องรุ่นนี้มีจุดขายคือราคาประหยัดและขนาดที่เล็กเพียง 5 เซนติเมตร ถือเป็นกล้องที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกในเวลานั้น ใช้ฟิล์มขนาด 16 มม. ถ่ายได้ม้วนละ 6 ภาพ
จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในครั้งนั้นได้กลายมาเป็นจุดกำเนิดของงานอดิเรกสำคัญของพระองค์ ตลอดระยะเวลาแปดสิบกว่าปีที่ผ่านมาเรามักคุ้นตากับภาพของพระองค์ที่มีกล้องคู่พระทัยอยู่ในพระหัตถ์เสมอ ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์มีบทบาททั้งในการบันทึกชีวิตส่วนพระองค์และในฐานะอุปกรณ์ในการทรงงาน
ภาพถ่ายของในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่และจัดแสดงเป็นนิทรรศการหลายครั้งคราว รวมไปถึงนิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ครั้งล่าสุด ณ ชั้น 9 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) จัดแสดงภาพถ่ายฝีพระหัตถ์กว่า 200 ภาพ บันทึกห้วงเวลาตลอดรัชสมัยอันยาวนาน
ก่อนหน้านี้ใน พ.ศ. 2555 พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้จัดนิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ในชื่อ ‘รักในสายพระเนตร’ ผู้เขียนประทับใจชื่อนี้เพราะรู้สึกว่าภาพถ่ายของในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ถ่ายทอดทั้งความรัก ความทรงจำ ในพระราชหฤทัยผ่านสายพระเนตรของพระองค์โดยแท้จริง ผู้ชมภาพอาจสามารถร่วมรู้สึกถึงความรักเหล่านั้นได้ ในช่วงแห่งการรำลึกถึงนี้ เราจึงเลือกภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ที่เคยเผยแพร่ในที่ต่างๆ มา 10 ภาพ เพื่อบอกเล่าถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยหลังภาพนั้นๆ จึงขออัญเชิญชื่อนิทรรศการครั้งนั้นมาเป็นชื่อของบทความอีกครั้ง
“And time’s forever frozen still”
ปากน้ำ สมุทปราการ, 2489.

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรที่ปากน้ำเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขณะดำรงพระยศสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอทรงถ่ายภาพสมเด็จพระเชษฐาธิราชขณะมีพระราชดำรัสโดยใช้ไมโครโฟนถ่านคาร์บอน (Carbon Microphone) เครื่องขยายเสียงชิ้นนี้เป็นของทันสมัยในสมัยนั้น ดังที่ปรากฏในภาพยนตร์ออสการ์ The King’s Speech เล่าปัญหาการมีพระราชดำรัสของพระเจ้าจอร์จที่ 6 (George VI) พระบิดาของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบ็ธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร พระเจ้าจอร์จที่ 6 ครองราชย์หลังจากในหลวงรัชกาลที่ 8 ขึ้นครองราชย์เพียง 1 ปี

การเสด็จพระราชดำเนินของสองพระองค์อาจทำให้ผู้มาเฝ้าชมพระบารมีนึกไปถึงพระรามและพระลักษมณ์ กษัตริย์สองพี่น้องจากวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ ตอนหนึ่งของบทละคร รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 กล่าวถึงตัวละครเอกทั้งคู่ว่า
“พิศโฉมพระองค์ทรงศร งามลํ้าทินกรรังสรรค์
อันองค์ทรงพรตน้อยนั้น งามดั่งพระจันทร์อำไพ”
ความเปรียบพระรามประดุจพระอาทิตย์ พระลักษมณ์เปรียบดั่งพระจันทร์ บังเอิญตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของในหลวงรัชกาลที่ 8 ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ และในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งตรงกับวันจันทร์พอดิบพอดี
สำเพ็ง, 2489.

ก่อนสวรรคตเพียงไม่ถึงสัปดาห์ ในหลวงรัชกาลที่ 8 เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรที่สำเพ็ง ด้วยช่วงนั้นเกิดความบาดหมางและการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างรัฐบาลกับชาวไทยเชื้อสายจีน การเสด็จฯ ครั้งนั้นช่วยผสานรอยแผลของความขัดแย้งให้กลับสู่ความสมัครสมาน ภาพการเสด็จฯ ครั้งประวัติศาสตร์นี้ยังได้รับการบันทึกไว้หลังธนบัตร 20 บาท รุ่นในหลวงรัชกาลที่ 8 ในครั้งนั้นในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงบันทึกภาพใบหน้าอันแจ่มใสของประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จฯ เอาไว้ด้วย
จากกรุงเทพฯ ถึงโลซานน์, 2489.

“วันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๙
วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว…”
ข้อความจากพระราชบันทึก เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิทเซอร์แลนด์ บอกเล่าเหตุการณ์หลังจากในหลวงรัชกาลที่ 8 สวรรคต สมเด็จพระอนุชาผู้มีพระชนมพรรษาเพียง 18 พรรษา สืบราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระองค์จำเป็นต้องเสด็จกลับไปทรงศึกษาต่อยังสวิตเซอร์แลนด์ โดยทรงเปลี่ยนสายการศึกษาจากวิศวกรรมศาสตร์มาเป็นสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ซึ่งจำเป็นสำหรับพระราชฐานะประมุขของประเทศ
การเดินทางในวันนั้นเริ่มขึ้นจากการเสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งไปยังสนามบินดอนเมือง “ไปขึ้นรถยนต์ พอรถแล่นออกไปได้ไม่ถึง ๒๐๐ เมตร มีหญิงคนหนึ่งเข้ามาหยุดรถแล้วส่งกระป๋องให้เราคนละใบ ราชองครักษ์ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น บางทีจะเป็นลูกระเบิด! เมื่อมาเปิดดูภายหลังปรากฎว่าเป็นทอฟฟี่ที่อร่อยมาก”
การเสด็จฯครั้งนั้นเองที่เป็นที่มาของพระราชดำรัสอันเป็นอมตะ “ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆ ว่า ‘อย่าละทิ้งประชาชน’ อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะละทิ้งอย่างไรได้ แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้ว”
บนฟากฟ้าระหว่างทางมุ่งหน้าไปยังสวิตเซอร์แลนด์ ทรงถ่ายรูปจากหน้าต่างเครื่องบินพระที่นั่ง พร้อมกับทรงบันทึกไว้ว่า “แปลกดีเหมือนกันที่ใจหวนไปคิดว่า เพียงชั่วโมงเดียวที่ผ่านมาเมื่อตะกี้นี้เอง เรายังห้อมล้อมไปด้วยประชาชนชาวไทย แต่เดี๋ยวนี้เล่า เรากำลังเหาะอยู่เหนือท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล … การเดินทางในระยะต่อมาช่างเปล่าเปลี่ยวเสียจริงๆ สิ่งที่มองเห็นในเบื้องหน้าไม่มีอะไรเสียเลย นอกจากท้องทะเลเขียวครามอันแสนลึก”
ทั้งภาพและข้อความสื่อถึงความรู้สึกในพระราชหฤทัยในยามนั้นได้แสนลึกซึ้ง
โลซานน์, 249x.

ช่วงเวลาแห่งความสุขที่โลซานน์ปรากฏในภาพถ่ายฝีพระหัตถ์รูปนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงถ่ายภาพติโต (Tito) แมววิเชียรมาศ สัตว์เลี้ยงของสมเด็จพระบรมราชชนนี มีเรื่องเล่าว่าคุณติโตโปรดปรานการหนีเที่ยว กลับดึกดื่นจนเข้าพระตำหนักไม่ได้เป็นประจำ
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงตั้งชื่อภาพนี้ว่า ‘แมวผู้ใหญ่ลี’ สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของ Josip Broz Tito (ยอซีป บรอซ ติโต) ที่มาของชื่อ ‘Tito’ ซึ่งเป็นสมญานามของผู้นำทางการเมืองของยูโกสลาเวียผู้นี้ เส้นทางชีวิตของเขาเริ่มต้นชีวิตจากเป็นเด็กชายช่างกลลูกชาวนา (ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเรียกว่า ‘ทหารลูกทุ่ง’) สู่การเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ผู้หาญกล้าจนดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีผู้รวมชาติยูโกสลาเวียในที่สุด
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงประทับใจเรื่องราวชีวิตของยอซีป บรอซ ติโต ทรงแปลชีวประวัติและวีรกรรมของประธานาธิบดีผู้นี้เป็นพระราชนิพนธ์แปลเรื่อง ติโต
ประวัติของภาพนี้มิได้ระบุไว้ว่าติโตนั่งอยู่บนตักของสุภาพสตรีผู้ใด เมือผู้เขียนได้เห็นภาพถ่ายฝีพระหัตถ์อีกรูปหนึ่ง โดยเปรียบเทียบจากลวดลายของกระโปรง จึงทราบว่าติโตนั่งอยู่บนพระเพลา (ตัก) ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งยังทรงเป็นพระคู่หมั้น

วิลล่าวัฒนา, 2493

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพบรักกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาของเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส หลังจากที่ทรงพบกับครั้งแรกที่เมือง Fontainebleau (ฟงแตนโบล) ชานกรุงปารีส สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 พระราชทานสัมภาษณ์แก่สถานีโทรทัศน์ BBC เมื่อปี 2521 ถึงเหตุการณ์นั้นไว้ว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบมาก่อนว่าพระองค์ทรงรักข้าพเจ้า เพราะเวลานั้น อายุเพิ่งย่าง 15 ปี และตั้งใจไว้ว่าจะเป็นนักเปียโน เป็นนักเปียโนที่แสดงในงานคอนเสิร์ต”
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงถ่ายภาพนี้ไว้ขณะพระคู่หมั้นกำลังเล่นเปียโน ความรักของสองพระองค์คงจะผลิบานเพราะมีเสียงดนตรีเป็นเครื่องผูกสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น
หลายคนอาจจะคุ้นตาภาพในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเปียโนโดยมีติโตเฝ้าฯ อยู่ด้วย ภาพถ่ายชุดนั้นถ่ายโดย Dmitri Kessel (ดมิทรี เคสเซล) ช่างภาพนิตยสาร LIFE ที่เปียโนหลังเดียวกันกับในภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ภาพนี้
ไม่ปรากฏสถานที่, ไม่ปรากฏปีที่ถ่าย

ภาพถ่ายภาพนี้สะดุดตาด้วยองค์ประกอบทางศิลปะที่สวยงาม ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงถ่ายภาพสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ท่ามกลางป่าเขา ชวนให้นึกถึงบทกวีภาษาฝรั่งเศส ‘Le pas de mon Père’ พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หรือที่รู้จักกันแพร่หลายในภาคภาษาไทยที่ใช้ชื่อว่า ‘เดินตามรอยเท้าพ่อ’
ผู้พระราชนิพนธ์เล่าถึงแรงบันดาลใจในการแต่งว่าทรงได้รับแรงบันดาลใจจากการทอดพระเนตรการ์ตูนวอลท์ดิสนีย์เรื่อง Bambi เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ ตอนหนึ่งของบทกวีกล่าวอย่างไว้ว่า
“ลูกเอ๋ย…ในโลกนี้ไม่มีที่ไหนดอกที่มีความรื่นรมย์
และความสบายสำหรับเจ้า
ทางของเรามิได้ปูด้วยดอกไม้สวยสวย
จงไปเถิด แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่บีบคั้นหัวใจเจ้า
…
เพื่อมนุษยชาติ จงอย่าละความกล้า
เพื่อเผชิญกับความทุกข์ให้อดทนและสุขุม
และจงมีความสุขที่ได้ยึดอุดมการณ์ที่มีค่า
ไปเถิด…ถ้าเจ้าต้องการเดินตามรอยเท้าพ่อ”
บริเวณกรงลิง, 2542

ภาพถ่ายที่มองเห็นรองพระบาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยมีลิงเอื้อมมือมาแตะ ชวนให้นึกถึงความจงรักภักดีของเหล่าเสนาวานรที่มีต่อพระรามพระลักษมณ์ในวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงผูกพันกับลิงตั้งแต่ทรงพระเยาว์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงบันทึกไว้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพปีหนึ่ง เมื่อครั้งพระเยาว์ สมเด็จพระบรมราชชนนีได้ให้ละครลิงเข้ามาเล่นถวายให้พระโอรสธิดาทอดพระเนตรเป็นที่สำราญเริงใจยิ่ง
เมื่อในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ทรงมีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรละครลิงอีกครั้ง คณะแพทย์จึงติดต่อคณะศิษย์พระกาฬ ซึ่งเป็นละครลิงที่เหลืออยู่คณะสุดท้าย มาแสดงหน้าพระที่นั่งถวายให้ทอดพระเนตรอีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ. 2556
นอกจากนี้ ลิงยังเป็นแรงบันดาลพระราชหฤทัยให้ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระราชดำริโครงการบริหารจัดการน้ำในชื่อโครงการ ‘แก้มลิง’ อันมีที่มาจากการที่ทรงสังเกตวิธีการกินอาหารของลิงอีกด้วย
ปราสาทพระเทพบิดร, 2547

ปราสาทพระเทพบิดรตั้งอยู่ในเขตวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นที่ประดิษฐานร่วมกันของพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพกษัติยาธิราชเจ้าในราชวงศ์จักรี โดยปกติมิได้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าถวายสักการะ เว้นแต่วันสำคัญอย่างวันสงกรานต์ วันจักรี หรือวันปิยมหาราช ภายในปราสาทพระเทพบิดรนั้นไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป ภาพถ่ายภาพนี้จึงเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะองค์พระมหากษัตริย์เท่านั้น ควันจากเครื่องราชสักการะที่ทรงจุดยิ่งเพิ่มมนตร์ขลังให้กับภาพถ่ายนี้ยิ่งขึ้น
ทุ่งลาดพร้าว, 2526

พระอินทร์เป็นเทพผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ มีหน้าที่ปกปักษ์รักษาโลกและมนุษย์ พระองค์ประทับบนพระแท่นชื่อแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ แท่นนี้ทำจากหิน แต่ปกติแท่นนี้จะอ่อนนุ่ม เมื่อเกิดเหตุเภทภัยจึงจะแข็งกระด้างขึ้นมา เป็นสัญญาณให้พระอินทร์ลงมาช่วยมวลมนุษย์ ดังเช่นที่ในปรากฏในบทละครเรื่อง สังข์ทอง
“มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวสหัสนัยน์ตรัยตรึงศา ทิพอาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา กระด้างดังศิลาประหลาดใจ จะมีเหตุมั่นแม่นในแดนดิน อมรินทร์เร่งคิดสงสัย จึงสอดส่องทิพเนตรดูเหตุภัย ก็แจ้งใจในนางรจนา”
พระอินทร์มีฉายาหนึ่งว่า สหัสนัยน์ แปลว่า พันตา ด้วยทรงมีพระเนตรรอบพระวรกายจึงทรงมองเห็นเหตุความเดือดร้อนของผู้คนทั้งหลาย
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงถ่ายภาพนี้ทางอากาศในคราวน้ำท่วมที่เขตพระโขนงเมื่อปี 2526 เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วม กล้องถ่ายรูปของพระองค์ประดุจดั่งพระเนตรหนึ่งของพระอินทร์ที่ส่องให้เห็นความทุกข์ร้อนของราษฎร (ที่ประทับของในหลวงรัชกาลที่ 9 คือพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ก็มีที่มาจากตำนานพระอินทร์ ด้วยสวนจิตรลดาคือชื่ออุทยานของพระอินทร์)
วังไกลกังวล, 2542

เป็นที่ทราบกับว่าบรรยากาศเมืองการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 7 นั้นตึงเครียดเพียงใด พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างที่ประทับแห่งใหม่ขึ้นที่ชายทะเลหัวหิน เพื่อเป็นที่ประทับพักผ่อนพระราชหฤทัยจากความวุ่นวายในพระนคร ทรงตั้งชื่อที่ประทับแห่งนี้ว่า ‘วังไกลกังวล’ โดยมีที่มาจากชื่อพระราชวังฤดูร้อนของพระเจ้า Frederick the Great แห่งรัสเซีย ชื่อพระราชวัง Sans Souci (ซ็องซูซี) เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลความว่า ไร้ความวิตกกังวล นอกจากนี้ยังทรงตั้งชื่อตำหนักต่างๆ ให้เพราะพริ้งคล้องจองกันด้วยถ้อยคำที่เกี่ยวกับความสุข ได้แก่พระตำหนักเปี่ยมสุข ปลุกเกษม เอิบเปรม และเอมปรีดิ์
ล่วงมาถึงสมัยรัชกาลที่ 9 วังไกลกังวลกลายเป็นพระราชฐานแห่งความสุขอีกครั้ง เมื่อในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ พร้อมสมเด็จนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มาประทับ ‘honeymoon’ ที่วังไกลกังวล หลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส
หลังจากที่สองพระองค์เสด็จฯ เยี่ยมเยียนราษฎรทุกถิ่นที่ ความไกลกังวลของในหลวงมิใช่ความเปี่ยมสุขส่วนพระองค์แต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป พระองค์ทรงทดลองโครงการฝนหลวงและตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงที่หัวหินเพื่อแก้ปัญหาความแห้งแล้งขาดแคลนน้ำของเกษตรกร
ครั้งหนึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงถ่ายภาพความสำเร็จของผลงานอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงรังสรรค์ขึ้น ณ ชายทะเลวังไกลกังวล
ใครจะเชื่อว่าพระราชาของประเทศไทยสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ประดุจดั่งผู้วิเศษในตำนาน สายฝนที่พระองค์ดลบันดาลสร้างความชุ่มฉ่ำไปทั้งทั่วผืนแผ่นดินและซาบซึมลงในใจของประชาชนด้วย
นอกจากภาพถ่ายฝีพระหัตถ์แล้ว ในหลวงรัชกาลที่ 9 ยังทรงเผยแผ่แรงบันดาลพระราชหฤทัยและความรักอันไพศาลของพระองค์ ผ่านโครงการพระราชดำริ เพลงพระราชนิพนธ์ งานศิลปะ หรือพระราชดำรัส อันหลากหลายตลอดระยะเวลาอันยาวนาน
“Where our eyes are never closing
Hearts were never broken
And time’s forever frozen still”
ในยามที่เรามองภาพถ่ายภาพใดก็ตาม ช่างแสนวิเศษที่ว่าแม้คนถ่ายภาพจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นให้เราเห็น แต่จากมุมมองจากใจที่ถ่ายทอดผ่านแววพริบตาของเขา รวมทั้งความรักและความรู้สึกทั้งหลายที่อัดแน่นอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมนั้นอาจจะยังถูกส่งต่อหรือเป็นที่จดจำไปแสนนาน
“We keep this love in this photograph”
ภาพ: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ และหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)
.
Writer นักรบ มูลมานัส นักคุ้ยของเก่าผู้เล่าเรื่องผ่านการสร้างภาพ (ประกอบ) ที่อยากจะลองเล่าเรื่องผ่านตัวอักษรดูบ้าง
.
. ขอขอบคุณที่มาของเรื่อง https://readthecloud.co/notenation-3/ .
64
« Last post by ppsan on 14 November 2025, 09:22:11 »
รอยยิ้มที่หายไปในภาพถ่ายเก่า โดย นักรบ มูลมานัส
https://readthecloud.co/siamese-with-photography/
จดหมายเหตุ
รอยยิ้มที่หายไปในภาพถ่ายเก่า ดูภาพถ่ายโบราณและฟังเหตุผลว่าทำไมบรรพบุรุษเรากลับไม่ค่อย Say Cheese เวลาชักภาพ
เรื่อง นักรบ มูลมานัส
.
Home /Art & Culture/จด *หมายเหตุ 7 กรกฎาคม 2020
ใน ค.ศ. 2017 Samsung เผยสถิติที่น่าสนใจว่า ในช่วงชีวิตหนึ่ง มนุษย์คนหนึ่งจะถ่ายภาพตนเองโดยเฉลี่ยเป็นจำนวนถึง 25,000 ภาพ และใน ค.ศ. 2014 Google Statistics เสนอว่าในปีนั้นมีภาพเซลฟี่เกิดขึ้นทั่วโลกประมาณวันละ 93 ล้านภาพ ถ้าหากเรายังใช้กล้องฟิล์มกันอยู่ล่ะก็ จะต้องใช้ฟิล์มถึง 2,583,333 ม้วนต่อวันเลยทีเดียว
ทุกวันนี้เมื่อเลื่อนปราดผ่านฟีดในสื่อโซเชียลทั้งหลาย เราเห็นภาพถ่ายบุคคลทั้งเซลฟี่บ้าง ไม่เซลฟี่บ้าง จำนวนนับไม่ถ้วน รูปเหล่านั้นล้วนเต็มไปด้วยการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ราวกับเป็นแบบปฏิบัติไปแล้วว่า เมื่อมีใครสักคนยกกล้องถ่ายรูปหรือโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพร้อมถ่ายภาพ ผู้ถูกถ่ายก็จะแย้มยิ้มขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าเขาหรือเธอจะอยู่ในสภาวะอารมณ์แบบไหนก็ตาม
ก่อนค่านิยม Say Chesse จะมาถึง เมื่อกลับไปสำรวจภาพถ่ายโบราณทั้งของไทยและเทศ เรากลับไม่ค่อยพบรอยยิ้มพิมพ์ใจเหล่านั้น บรรพบุรุษของเราในภาพขาวดำมักแสดงสีหน้าเรียบเฉย ใช่ว่าท่านเหล่านั้นจะไร้สุขทุกข์ตรมกว่าพวกเราเสียเมื่อไร ภายใต้ภาวะไร้รอยยิ้มและการค่อยๆ ปรากฏขึ้นของรอยยิ้มในภาพถ่ายจะพาเราไปสำรวจค่านิยมทางวัฒนธรรมที่กำกับการแสดงออกของสีหน้าท่าทางยามถ่ายรูป ตั้งแต่ยุคกำเนิดกล้องถ่ายภาพ จนกระทั่งยุคสมัยที่เราทั้งผลิตและเสพภาพเซลฟี่จำนวนมหาศาลในทุกวันนี้
กล้องถ่ายภาพที่ทำสำเนาสิ่งที่สายตามนุษย์แลเห็นออกมาเป็นภาพบนระนาบสองมิติได้เกิดขึ้นราว ค.ศ. 1820 (เทียบเป็น พ.ศ. คือราว พ.ศ. 2360) ในทศวรรษเดียวกันนั้นเองนวัตกรรมนี้ก็เข้ามายังสยาม ในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยบาทหลวงชาวฝรั่งเศส
ในเบื้องแรกการถ่ายรูปไม่เป็นที่นิยมชมชอบในหมู่ชาวไทย ด้วยความเชื่อเชิงมนตราอาถรรพ์ว่า การจำลองภาพของตนเองออกมาอาจเป็นการแยกวิญญาณออกมาจากร่าง (อาจจะคล้ายๆ กับการสร้าง Horcrux ของ Lord Voldemort ในวรรณกรรม Harry Potter) ทำให้อายุสั้นลง หรือรูปดังกล่าวจะเป็นสื่อแทนตนให้ผู้อื่นนำไปทำคุณไสยได้
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสว่า เมื่อการถ่ายรูปเริ่มเข้ามาในสยามนั้น “คนแก่ๆ ก็ยังมีความรังเกียจกันมาก” (จากพระราชนิพนธ์ พระราชพิธี 12 เดือน) เช่นเดียวกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวไว้ในพระหัตถเลขา (สาส์นสมเด็จ) “เมื่อแรกมีช่างถ่ายรูปฉายาลักษณ์เข้ามา มิใคร่มีใครยอมให้ถ่าย ด้วยเกรงว่าจะเอารูปไปใช้ทำร้ายด้วยกฤตยาคม… มีใครอีกคนหนึ่ง หม่อมฉันลืมชื่อไปเสียแล้ว ไปถ่ายรูปที่ร้านนายจิตร นายจิตรถ่ายเป็นรูปครึ่งตัว เจ้าของเห็นเข้าก็ตกใจตีโพยตีพายว่าจะตัดตัวให้เป็นอันตราย ทูลหม่อมไม่ทรงถือ ทั้งถ่ายรูปและปั้นรูปก่อนคนอื่น”
‘ทูลหม่อม’ ในพระหัตถเลขาหมายถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ผู้มีพระราชดำริก้าวหน้า พระองค์ทรงสนใจนวัตกรรมจากตะวันตกรวมไปถึงการถ่ายภาพ ในรัชกาลของพระองค์ได้โปรดให้ช่างภาพชาวตะวันตกเข้ามาฉายพระรูปหลายครั้ง
และพระองค์ยังทรงใช้ภาพถ่ายในการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของพระองค์เอง โดยส่งภาพถ่ายในระบบดาแกร์โรไทป์ (Daguerreotype-เทคนิคการถ่ายภาพในสมัยแรกเริ่ม เป็นการฉายภาพลงบนแผ่นโลหะ ไม่สามารถทำสำเนาอีก) ไปมอบให้ผู้นำประเทศมหาอำนาจในยุคนั้น อย่างสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ และประธานาธิบดี แฟรงคลิน เพียร์ซ (Franklin Pierce) แห่งสหรัฐอเมริกา เป็นการเผยโฉมหน้าที่แท้เที่ยงของผู้นำสยามเป็นครั้งแรก ซึ่งในยุคนั้นเปรียบได้กับโฉมหน้าของรัฐ การส่งภาพถ่ายไปเป็นของขวัญแสดงถึงความภาคภูมิในอารยธรรมของและอัตลักษณ์ตนเอง ในขณะเดียวกันก็แสดงถึงความสามารถในการเปิดรับและสรรหาประดิษฐกรรมใหม่เข้ามาใช้ในการนิยามความก้าวหน้าของประเทศอีกทางหนึ่ง
 พระบรมฉายาลักษณ์ที่ส่งไปถึงสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย ภาพ : Royal Collection Trust
.
 พระบรมฉายาลักษณ์ที่ส่งไปถึงประธานาธิบดี แฟรงคลิน เพียร์ซ Collection ของ National Museum of American History ภาพ : สถาบัน Smithsonian
เอนก นาวิกมูล ให้ข้อมูลเรื่องการถ่ายรูประบบดาแกร์โรไทป์ไว้ในหนังสือ ประวัติการถ่ายรูปยุคแรกของไทย ไว้ว่า “ความไวแสงยังด้อย เวลาจะถ่าย ต้องให้คนนิ่งๆ ทีละครึ่งชั่วโมง ในต่างประเทศมีแกนเหล็กให้พิงคอเอาไว้แก้เมื่อยและกันไม่ให้เคลื่อนไหว” หลายปีก่อนสำนักพิมพ์ River Books จัดนิทรรศการ “สยามผ่านมุมกล้องจอห์น ทอมสัน (John Thomson)” ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์ ในครั้งนั้นได้ขยายภาพจากฟิล์มกระจกต้นฉบับที่เก็บไว้ ณ Wellcome Collection ประเทศอังกฤษ ออกมาเป็นภาพขนาดใหญ่ เป็นที่น่าสังเกตว่าในภาพถ่ายบุคคลหลายๆ รูปจะเห็นแกนเหล็กสำหรับพิงคอตั้งอยู่ด้านหลังผู้เป็นแบบด้วย ทำให้เรารู้ว่าสิ่งประดิษฐ์นี้ได้นำเข้ามาใช้ในสยามเช่นกัน แม้ว่าจอห์น ทอมสัน จะไม่ได้ถ่ายภาพด้วยระบบดาแกร์โรไทป์แล้ว วิธีการถ่ายภาพฟิล์มกระจก ด้วยเทคนิค Wet Collodion Process On Glass ก็ยังต้องให้ผู้เป็นแบบนิ่งไว้เป็นเวลาหลายนาที เมื่อต้องค้างอากัปกริยาไว้ในท่าทางหนึ่งเป็นเวลานาน นี่เองอาจเป็นเหตุผลแรกที่ไม่เอื้อให้เกิดรอยยิ้มในภาพถ่ายยุคแรก
.
 United States Library of Congress แสดงภาพช่างภาพกำลังถ่ายภาพตนเอง ในรูปนี้นอกจากเราจะเห็นอารมณ์ขันและเทคนิคการตกแต่งภาพยุคแรกแล้ว ยังแลเห็นแกนเหล็กสำหรับพิงคอที่ใช้เป็นอุปกรณ์ประกอบในการถ่ายภาพยุคแรกอีกด้วย ภาพ : loc.gov
.
 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉายโดยจอห์น ทอมสัน ในภาพจะเห็นฐานของแกนเหล็กสำหรับพิงพระศออยู่ด้านหลังพระเก้าอี้ ภาพ : Wellcome Collection
.
 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงพระเยาว์ ฉายโดยจอห์น ทอมสัน ในภาพจะเห็นฐานของแกนเหล็กสำหรับพิงพระศออยู่ด้านหลังพระบาท ภาพ : Wellcome Collection
อีกหนึ่งเหตุผลที่มักจะหยิบยกมาพูดกันคือเรื่องสุขภาวะทันตกรรมที่ยังล้าหลัง ในสมัยนั้นผู้คนทุกชนชั้นมีปัญหาเรื่องฟัน จึงมีผู้สันนิษฐานว่าเมื่อต้องถ่ายภาพก็ไม่อยากจะแย้มยิ้มเผยให้เห็นฟันที่ขี้ริ้วขี้เหร่ (หรือความจริงที่ว่าไม่มีฟันหลงเหลืออยู่เลย) แต่นักประวัติศาสตร์จำนวนมากไม่เห็นด้วยกับเหตุผลข้อนี้
จริงอยู่ว่าเทคโนโลยีทันตกรรมที่พัฒนาขึ้นทำให้เกิดรอยยิ้มมากขึ้นทั้งในภาพถ่ายและในชีวิตประจำวัน แต่สุขภาวะทันตกรรมที่ไม่ก้าวหน้าก็มิได้เป็นเหตุผลสำคัญที่จะทำรอยยิ้มในภาพถ่ายไม่เกิดขึ้น สิ่งประประดิษฐ์ที่จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างฟันปลอมก็มีใช้มาอย่างยาวนาน
ชาวอีทรัสกัน (Etruscans) ประดิษฐ์ฟันปลอมขึ้นตั้งแต่ 2,700 ปีที่แล้ว บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์อเมริกาอย่างประธานธิบดีจอร์จ วอชิงตัน (George Washington) มีฟันปลอมอย่างน้อย 4 ชุด เขาเริ่มใช้ฟันปลอมตั้งแต่ ค.ศ. 1781 (เทียบได้กับ พ.ศ. 2324 ก่อนกำเนิดกรุงรัตนโกสินทร์ 1 ปี) โดยฟันปลอมเหล่านั้นทำมาจากเขี้ยวฮิปโป งาช้าง หรือแม้กระทั่งฟันจริงๆ ของทาส
.
 ฟันปลอมของประธานธิบดีจอร์จ วอชิงตัน ภาพ : Library of Congress
ข้ามมาที่ฝั่งไทย แหม่มแอนนา (Anna Leonowens) ผู้โด่งดังเขียนถึงความลับประการหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้ว่า “พระองค์สูญพระทนต์ทั้งปากตั้งแต่เด็ก และสวมใส่พระทนต์ปลอมทำจากไม้ฝาง อันเป็นความลับที่พระองค์เก็บไว้อย่างหวงแหนที่สุดตราบจนวันสวรรคต” (จากหนังสือ English governess at the Siamese court) เอนก นาวิกมูล ยังกล่าวในหนังสือ เรื่องประหลาดเมืองไทย ว่ารัชกาลที่ 4 ทรงมีพระทนต์ปลอมไม่ต่ำกว่า 3 ชุด
ก่อนจะมีรูปถ่าย มนุษย์พยายามถ่ายทอดภาพลักษณ์ของตัวเองออกมาด้วยการวาดภาพมานับร้อยนับพันปี เมื่อการถ่ายภาพมาถึง แบบแผนธรรมเนียมของการวาดภาพเหมือนก็ถูกนำมาใช้กับการถ่ายภาพด้วย และนี่เองคือคำอธิบายที่มีน้ำหนักที่สุดของคำถามที่ว่า ทำไมเราจึงไม่เห็นรอยยิ้มในภาพถ่ายยุคแรก
ในอดีตผู้มีอำนาจ (และมีทรัพย์) ว่าจ้างจิตรกรฝีมือดีมาวาดภาพเหมือนเพื่อประกาศอำนาจทางเศรษกิจ (งานศิลปะเป็นของฟุ่มเฟือยมีราคาค่างวดมาก ยิ่งถ้าได้ศิลปินดังค่าตัวสู่งลิ่วมาวาดให้ยิ่งการันตีอำนาจด้านนี้) วัฒนธรรม (ความรุ่มรวย มีอารยะ มีรสนิยม มีหน้ามีตา) และการเมือง (ภาพเหมือนสามารถตั้งไว้หรือส่งไปที่ต่างๆ เพื่อเป็นการโฆษณาชวนเชื่อคุณสมบัติอันพึงประสงค์ของผู้เป็นแบบ)
Portrait หรือภาพเหมือนจึงต้องส่งเสริมภาพลักษณ์ที่เป็นทางการของผู้ว่าจ้าง การวาดภาพเหมือนจึงเหมือนกับการบันทึกชีวิตทั้งชีวิตและเกียรติประวัติทั้งหมดทั้งมวลของผู้เป็นแบบให้อยู่ในภาพเดียว และภาพนั้นจะเป็นภาพแทนที่ผู้คนจะจดจำตลอดไป ผู้เป็นแบบจึงต้องอยู่ในท่าทางที่เป็นทางการที่สุด ผ่านการคิดและจัดแต่งอย่างพิถีพิถัน จิตรกรพร้อมปรับปรุงตกแต่งองค์ประกอบที่บกพร่องด้วยฝีแปรง ไม่ต่างอะไรกับการรีทัชใน Photoshop ในทุกวันนี้
รอยยิ้มไม่ปรากฏอยู่ในภาพเหมือน เพราะนอกจากถูกตีความว่าเป็นการแสดงออกที่ไม่เป็นทางการแล้ว ค่านิยมในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในยุโรปยังเห็นว่าการยิ้ม โดยเฉพาะยิ้มกว้างหรือยิ้มที่เผยให้เห็นฟันเป็นอากัปกริยาที่ต่ำช้า ยิ้มกว้างแสดงถึงความยากจน ความลามก ความยั่วยวน ความบ้า ความเมามาย ความไร้เดียงสา และความตลกไร้สาระ
Jean-Baptiste de La Salle นักบุญชาวฝรั่งเศสเขียนหนังสือทำนอง ‘สมบัติผู้ดี’ (The rules of christian decorum and civility) ตีพิมพ์เมื่องต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 มีเนื้อความตอนหนึ่งว่า “บางบุคคลนั้นเผยริมฝีปากบนขึ้นสูง… จนเกือบจะทำให้มองเห็นฟันได้ทั้งหมด นี่ช่างตรงข้ามกับสมบัติผู้ดีที่ไม่อนุญาตให้เราเผยฟันของเราออกมา ก็ด้วยเพราะธรรมชาตินั้นประทานริมฝีปากมาให้เราสำหรับปกปิดฟันเหล่านั้นอยู่แล้ว”
ด้วยค่านิยมนี้ ภาพวาดชื่อ Amor Vincit Omnia “Love Conquers All” ของ คาราวัจโจ (Caravaggio) จึงขึ้นชื่อว่าอื้อฉาวเพราะแหวกทั้งขนบการวาดภาพและขนบจริยธรรมอันดีงาม คิวปิดหนุ่มน้อยเปล่าเปลือยล่อนจ้อนกำลังส่งยิ้มจนเห็นฟัน
ศิลปินจงใจเล่นกับเส้นแบ่งของความไร้เดียงสาและการยั่วยวน นักประวัติศาสตร์ศิลปะตีความว่าภาพนี้เป็นการเฉลิมฉลองให้กับความรัก โดยเฉพาะกับความรักของเพศเดียวกันที่เป็นเรื่องผิดจารีตในสมัยนั้น อีกหนึ่งรอยยิ้มในภาพวาดที่แม้จะมิได้ยิ้มกว้างจนเห็นฟัน แต่ยิ้มกระหยิ่มน้อยๆ ของ Monalisa ก็สร้างความฉงนฉงายให้ผู้คนตีความกันไปต่างๆ นานามิรู้จบ อาจเป็นเพราะยิ้มน้อยๆ (ที่แหวกขนบ) ของเธอหรือไ่ม่ ที่ทำให้ภาพนี้แตกต่างและเป็นที่จดจำที่สุดในโลกศิลปะ
.
 “Amor Vincit Omnia” Michelangelo Merisi da Caravaggio ภาพ : www.arteworld.it
.
 Mona Lisa โดย Leonardo da Vinci สีในภาพนี้ถูกปรับแต่งตามข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ศิลปะให้คล้ายคลึงกับสีของภาพวาดเมื่อแรกวาด ภาพ : commons.wikimedia.org
เมื่อการถ่ายภาพเข้ามารับช่วงต่อจากการวาดภาพเหมือน แบบแผนความเป็นทางการและความเป็นพิธีการรวมถึงสุนทรียศาสตร์ของการวาดภาพเหมือนก็ถูกนำมาใช้กับการถ่ายภาพด้วย ไม่ว่าจะเป็นการจัดองค์ประกอบ ท่าโพส และแน่นอนที่สุด การแสดงออกถึงความรู้สึกทางสีหน้าท่าทาง ด้วยเหตุนี้รอยยิ้มจึงไม่ปรากฏในภาพถ่ายยุคแรก
ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉยและความเป็นทางการในท่าทาง ในแง่นี้ภาพถ่ายยุคแรก (หรือแม้กระทั่งภาพถ่ายในปัจจุบัน) จึงอาจจะไม่ได้แสดงตัวตนที่แท้จริงของผู้ถูกถ่าย เพราะมีขนบหรือค่านิยมมากกมายเข้ามากำกับเราไว้ (แม้กระทั่งค่านิยมการยิ้มเมื่อถูกถ่ายรูปในปัจจุบันด้วยใช่หรือไม่)
ดังที่โรล็องด์ บาร์ตส์ (Roland Barthes) นักทฤษฎีวรรณคดีและนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสเล่าถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในประสบการณ์การถ่ายรูปไว้ว่า เมื่อถูกเฝ้ามองโดนเลนส์ (Observed by the lens) เขาก็ได้สถาปนาตัวตนในกระบวนการของ ‘การโพส’ (Constitute myself in the process of ‘posing’) ซึ่งเป็นการสร้างอีกหนึ่งร่างขึ้นมาใหม่ (Make another body for myself) ในภาวะนั้นเขาได้เปลี่ยนแปลงตนเองให้กลายเป็นภาพโดยล่วงหน้าไปแล้ว (I transform myself in advance into an image ข้อเขียนจาก Camera lucida : Reflections on Photography)
เมื่อกลับมาพิจารณาภาพเก่าๆ ในประวัติศาสตร์ไทย จะเห็นว่าภาพถ่ายบุคคลที่ปรากฏในสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 5 ล้วนดำเนินไปตามขนบค่านิยมแบบตะวันตก ผู้คนในภาพถ่ายล้วนมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงอาการแย้มยิ้ม แต่ก็มีภาพถ่ายบุคคลจำนวนหนึ่งที่เราจะเห็นรอยยิ้มอยู่ในนั้น เช่นภาพของคนัง เงาะป่าที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวชุบเลี้ยงไว้ในวัง
รอยยิ้มในภาพถ่ายของคะนังอาจบอกได้ว่าเขาถูกมองอย่างไรในสายตาของราชสำนัก ข้อแรกคือแตกต่างจากไปจากภาพถ่ายเจ้านายทั้งหลายที่อยู่ในอิริยาบถงดงาม พระพักตร์เรียบเฉย อันเป็นแบบแผนปฏิบัติของผู้ดี ในรูปถ่ายของคนังเราจะเห็นว่ามีทั้งยิ้มน้อยๆ จนไปถึงยิ้มกว้างจนเห็นฟัน คนังอาจละเมิดแบบแผนในการถ่ายภาพได้ เพราะเขาไม่ได้ถูกนับรวมอยู่ในความเป็นผู้ดีนั้น อีกข้อหนึ่งคือการรับรู้เรื่องเงาะป่าในราชสำนักสยามผูกติดมากับภาพจำของ ‘เงาะป่าบ้าใบ้’ ในวรรณคดีเรื่อง สังข์ทอง ซึ่งเงาะป่าในเรื่องถูกมองว่ามีรูปลักษณ์ประหลาดมีกิริยาน่าขัน คนังจึงอาจถูกคาดหวังให้ยิ้มออกมาทั้งในภาพถ่ายและในชีวิตจริง มากกว่าที่จะทำสีหน้าเรียบเฉยด้วยซ้ำ
.


ภาพ : หนังสือบทละครเรื่องเงาะป่า จุฬาลงกรณ์ราชบรรณาลัย
 ภาพ : www.thaiglassnegative.com
ภาพถ่ายพร้อมรอยยิ้มของคนังเป็นที่ชื่นชอบในราชสำนักและเป็นที่ชื่นชอบของคนังเองด้วย ในปลาย พ.ศ. 2448 รัชกาลที่ 5 โปรดฯ ให้ถ่ายรูปคนังพิมพ์ขายที่ร้านถ่ายรูปหลวงในงานวัดเบญจมบพิตร โดยขายแผ่นละ 3 บาท ซึ่งเป็นราคาที่แพงมากในสมัยนั้น แต่ก็ปรากฏว่าขายดิบขายดี ผู้คนอยากได้กันมาก กระทั่งจบงานรูปคนังขายได้เกือบ 400 รูป รัชกาลที่ 5 ทรงแบ่งรายได้ออกเป็น 3 ส่วน ส่วนหนึ่งถวายวัด ส่วนหนึ่งเป็นค่ากระดาษน้ำยาพิมพ์รูป และคนังได้รับค่าตัวเกือบ 400 บาทในการเป็นนายแบบในงานนี้
คนังยังนึกถึงถิ่นที่จากมาและประสงค์จะส่งภาพถ่ายตนเองไปให้ญาติพี่น้อง รัชกาลที่ 5 ทรงรับเป็นธุระให้โดยมีพระราชหัตถเลขาไปถึงพระยาสุขุมนัยวินิต (ปั้น สุขุม) ว่า “ด้วยอ้ายคนังฝากรูปไปให้พี่น้อง ได้ส่งออกมาด้วยแล้ว ถ้ามีช่องทางที่ใครไปตรวจราชการที่นั้น ขอให้นำส่งให้มันด้วย”
.

 ภาพ : หนังสือบทละครเรื่อง เงาะป่า จุฬาลงกรณ์ราชบรรณาลัย
ท่ามกลางบรรดาภาพถ่ายเจ้านายในสมัยรัชกาลที่4 ถึงรัชกาลที่ 5 ที่แทบจะไม่ปรากฏรอยยิ้มโดยเฉพาะยิ้มกว้างจนเห็นฟันเลย หนึ่งรอยยิ้มที่ปรากฏคือรอยแย้มพระสรวลของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม พระราชโอรสในรัชกาลที่ 4 ซึ่งปรากฏทั้งภาพแย้มพระสรวลและภาพแลบพระชิวหา ซึ่งอาจจะบอกเล่าบุคลิกอัธยาศัยของพระองค์ได้
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบันทึกถึงเจ้านายพระองค์นี้ไว้ว่า “นิสัยกรมหลวงประจักษ์เปนคนชอบล้อคนอื่น และทำให้เขาถูกเยาะได้เปนพอใจ, ชอบแกล้งคนโดยวิธีต่างๆ อยู่เสมอๆ” ในพระราชนิพนธ์ ไกลบ้าน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็บันทึกไว้ว่า “กรมประจักษ์คลั่งล้อคนเรื่องเมียๆ”
เหตุการณ์ล้อเล่นที่หนักที่สุดเห็นจะเป็นที่รัชกาล 6 บันทึกไว้ว่า “ในระหว่างเวลาไปยุโรปได้ไปทำสกะปรกต่างๆ มาก, และที่จัญไรที่สุดคือได้ไถ่ปัสสาวะลงในแก้วน้ำเสวย” ทั้งรอยยิ้มในภาพถ่ายและการกระทำของเจ้านายพระองค์ละเมิดแบบแผนความเป็นเจ้านายในสมัยนั้น (รัชกาลที่ 6 ทรงมองว่าสิ่งเหล่านี้คือความชั่ว ถึงกับบันทึกเป็นหัวข้อชื่อ “ความชั่วต่างๆ ของกรมหลวงประจักษ์” ในพระราชนิพนธ์ ประวัติต้นรัชกาลที่ 6) ทำให้กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมทรงถูกลงโทษมิให้เข้าเฝ้าฯ รัชกาลที่ 5 เป็นการส่วนพระองค์อีก
.

 ภาพ : หนังสือประวัติการถ่ายรูปยุคแรกของไทย
ในโลกตะวันตก รอยยิ้มเริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้นในภาพถ่ายตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 1920 หลังจากที่กล้องถ่ายภาพถือกำเนิดขึ้นมา 1 ศตวรรษ เมื่อการถ่ายภาพเริ่มแพร่หลายขึ้น ด้วยต้นทุนที่ต่ำลงและถ่ายได้ในทุกสถานการณ์ ความเป็นทางการและบรรยากาศขึงขังของการถ่ายภาพในสตูดิโอเริ่มเสื่อมถอยลง ผู้คนเริ่มรู้สึกผ่อนคลายกับการถ่ายถาพมากขึ้น สังคมสยามก็เช่นเดียวกัน ในภาพถ่ายตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เป็นต้นมา เราจะเห็นรอยยิ้มมากขึ้นในภาพถ่าย
.
 ภาพถ่ายสมัยรัชกาลที่ 6 จากนิทรรศการฉัฐรัช : พัสตราภรณ์ – ย้อนมองอาภรณ์สตรีสยาม แลตามแฟชั่นโลก โดยกรมศิลปากร มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และมูลนิธิเพชรรัตน์-สุวัทนา ภาพ : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
.
 ภาพเจ้าพระยารามราฆพ ถ่ายในสมัยรัชกาลที่ 6 ภาพ : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้รอยยิ้มแพร่หลายในภาพถ่ายมากขึ้นที่เราอาจคาดไม่ถึงคือการทำการตลาด ใน ค.ศ. 1920 เช่นกันที่บรรดาผลิตภัณฑ์ห้างร้านตีพิมพ์โฆษณาภาพนางแบบนายแบบยิ้มกว้างกับผลิตภัณฑ์เพื่อสื่อถึงความพึงพอใจในสินค้า ผู้คนจึงเห็นแต่ภาพคนยิ้มในสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ประกอบกับการทำการตลาดอย่างหนักหน่วงของบริษัทกล้องถ่ายรูปและฟิล์มยักษ์ใหญ่อย่าง Kodak ที่พยายามเชื่อมโยงการถ่ายภาพกับความสุขและรอยยิ้ม เห็นได้จากภาพโฆษณามากมายที่ทำให้ผู้คนรับรู้ถึงการถ่ายภาพในฐานะกิจกรรมแสนสุข กิจกรรมที่ทำผู้คนได้ร่วมกันเก็บความสุขความทรงจำอันมีค่าไว้ร่วมกัน
.




โฆษณา Kodak ในยุคต่างๆ
ทุกวันนี้ภาพถ่ายส่วนหนึ่งกลายเป็นหลักฐานของการเข้าสังคม ในโซเชียลเน็ตเวิร์กเต็มไปด้วยภาพรอยยิ้ม ที่ทุกคนพยายามจะบอกตัวเองและผู้อื่นให้รู้ว่าฉันมีความสุข เราทั้งมองเห็นและมองไม่เห็นว่าใต้รอยยิ้มเหล่านั้นซ่อนอะไรอยู่ เช่นเดียวกับที่เราทั้งเห็นและไม่เห็นเหมือนกันว่าใต้ใบหน้าที่เรียบเฉยในภาพถ่ายโบราณนั้นมีอะไรซ่อนไว้ ภาพถ่ายถ่ายทอดความเป็นจริงได้มากน้อยแค่ไหนกัน?
.
ข้อมูลอ้างอิง
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. ไกลบ้าน. นนทบุรี : ศรีปัญญา, 2561. จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. พระราชพิธีสิบสองเดือน. กรุงเทพฯ : แสงดาว, 2556. ไพศาลย์ เปี่ยมเมตตาวัฒน์. สยาม ผ่านมุมกล้องจอห์น ทอมสัน 2408-9. กรุงเทพฯ : ริเวอร์บุ๊คส์. 2558 ราม วชิราวุธ (นามแผง). ประวัติต้นรัชกาลที่ 6. กรุงเทพฯ : มติชน. 2555 ลีโอโนเวนส์, แอนนา แฮร์เรียต. อ่านสยามตามแอนนา : การบ้านและการเมืองในราชสำนักคิงมงกุฎ. สุ. ภัตรา ภูมิประภาส และ สุภิดา แก้วสุขสมบัติ แปล. กรุงเทพฯ : มติชน, 2562.
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ, เฉลิมฟิล์มกระจก ฉลองมรดกความทรงจำแห่งโลก. กรุงเทพฯ : ไซเบอร์พริ้นท์กรุ๊ป, 2561.
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ฟิล์มกระจกจดหมายเหตุ หนึ่งพันภาพประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ : สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2559.ศักดา ศิริพันธุ์. กษัตริย์กับกล้อง วิวัฒนาการภาพถ่ายในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์. 2535.
เอนก นาวิกมูล. ประวัติการถ่ายรูปยุคแรกของไทย. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2548. เอนก นาวิกมูล. เรื่องประหลาดเมืองไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : แสงแดด, 2538. Bautze, Joachim K.. “Unseen Siam: Early Photography 1860-1910”.Bangkok:River Books.2016. Barthes, Roland. Camera Lucida: Reflections on Photography. Trans. Richard Howard. London: Vintage Classics. 2006. publicdomainreview.org/ sites.uni.edu/fabos/seminar/readings/cheese.pdf www.theguardian.com time.com/
.
Writer นักรบ มูลมานัส นักคุ้ยของเก่าผู้เล่าเรื่องผ่านการสร้างภาพ (ประกอบ) ที่อยากจะลองเล่าเรื่องผ่านตัวอักษรดูบ้าง
.
ขอขอบคุณที่มาของเรื่อง https://readthecloud.co/siamese-with-photography/
.
67
« Last post by ppsan on 08 November 2025, 19:34:09 »
โรคกลัวการอยู่คนเดียว (Autophobia)
https://www.blockdit.com/posts/62ab506d1efedd3c4ee4fde7
Wasabi 18 มิ.ย. 2022 เวลา 06:44 • สุขภาพ
โรคกลัวการอยู่คนเดียว (Autophobia)
โรคกลัวการอยู่คนเดียว หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Autophobia, Monophobia, Isolophobia หรือ Eremophobia โรคนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับคนไทย ทั้งอาการที่เป็นก็ดูเหมือนจะคล้ายอาการของคนขี้เหงาธรรมดา เพียงแต่โรคกลัวการอยู่คนเดียวยิ่งทำให้ไม่กล้าออกไปทำอะไรตามลำพัง
ความผิดปกติทางบุคลิกภาพที่ไม่สามารถควบคุม จัดการตัวเองได้ สำหรับคนที่กลัวการอยู่คนเดียวจะมีแนวโน้มไม่มั่นใจในตนเอง มีความเชื่อที่ว่า ตนเองไม่สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้โดยลำพัง และเชื่อว่าการอยู่คนเดียวนั้นไม่ปลอดภัย หรือบางทีอาจไม่เคยเรียนรู้ที่จะสบายใจเมื่ออยู่คนเดียว
 โรคกลัวการอยู่คนเดียว (Autophobia)
สาเหตุของโรคกลัวการอยู่คนเดียว
1.ปัจจัยภายนอก
โรคกลัวเกิดจากสาเหตุการณ์ภายนอกที่ส่งผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจ ซึ่งเกิดจากสาเหตุทางจิตวิทยาที่แตกต่างกัน ไม่อาจแบ่งสาเหตุทั่วไปได้ โดยส่วนใหญ่เกิดจากความเจ็บปวดในวัยเด็กและบาดแผลทางใจที่ได้รับตลอดชีวิต
2.ปัจจัยภายใน
เกิดจากความบกพร่องภายใน พันธุกรรม หรือสารเคมีในสมอง
พันธุกรรมและสารเคมีในสมองรวมกับประสบการณ์ในชีวิตมีบทบาทสำคัญที่ทำให้เกิดโรคกลัว
● ความกลัวที่จะอยู่คนเดียวในที่สาธารณะ อาจเชื่อมโยงกับความหวาดกลัวสังคม (Argoraphobia)
● ความกลัวที่จะอยู่ในบ้านของตัวเองคนเดียว ซึ่งเชื่อมโยงกับสถานการณ์ที่ทำให้วิตกกังวลร้ายแรง ที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก หรือเกิดขึ้นภายในบ้าน อาจเกิดจากความเหงาและอยากท้าทายตัวเองโดยการอยู่คนเดียว เพื่อควบคุมความรู้สึกของตัวเอง จนทำให้เกิดความวิตกกังวลรุ่นแรง
● ความกลัวที่จะเกิดอาชญากรรมเชื่อมโยงกับการอาศัยอยู่ใกล้แหล่งที่มีอาญชญากรรมสูง หรือได้ยินข่าวความน่ากลัวของอาญชกรรมที่เกิดขึ้นบ่อย ทำให้เกิดความกลัวที่จะอยู่คนเดียวเพราะกลัวที่จะไม่ปลอดภัย
อาการของโรคเป็นอย่างไร ?
● มีความกลัวที่ไม่มีเหตุผลหรือแสดงความกลัวมากกว่าที่ควรจะเป็น เมื่ออยู่ในเหตุการณ์หรือสถานการณ์เฉพาะ เช่น การอยู่คนเดียว
● รู้สึกกระวนกระวาย และกังวลมาก เพียงรู้ว่าต้องอยู่คนเดียว
● หายใจไม่สะดวกใจสั่น หน้ามืด เหงื่อออกมากผิดปกติ อาเจียน ตัวสั่น
● หากอยู่ในที่สาธารณะคนเดียวมักจะมีอาการประหม่า ไม่เป็นตัวของตัวเอง
● ไม่สามารถไปไหนคนเดียวได้ต้องมีเพื่อนไปด้วยตลอด ถึงจะเป็นสถานที่ตัวเองคุ้นเคยก็ตาม
● เกิดความกลัวจนกระทบกับชีวิตประจำวัน เช่น ไม่สามารถไปโรงเรียน หรือไปทำงานได้ มีปัญหาในการเข้าร่วมสังคม
● เกิดความกลัวนานกว่า 6 เดือน
วิธีการรักษา
โรคกลัวการอยู่คนเดียวสามารถเข้ารับการรักษาได้เหมือนกับโรคอื่นๆ เช่น โรคย้ำคิดย้ำทำ โรคเครียด แต่สำหรับการรักษาความกลัวการอยู่คนเดียวจะเน้นที่การลดความกลัว และความวิตกกังวล และค่อย ๆ สร้างความสมารถในการเป็นตัวของตัวเอง วิธีการที่แพทย์ใช้ในการรักษาก็มีหลายวิธีดังนี้
● การรักษาด้วยยา แพทย์อาจสั่งยาเพื่อช่วยควบคุมอาการของโรค ซึ่งอาจรวมถึงยาต้านความวิตกกังวล เช่น benzodiazepines หรือ beta-blockers หรือยากล่อมประสาท เช่น selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs)
● การทำจิตบำบัด การทำจิตบำบัดเป็นการรักษาโดยจิตแพทย์ หรือ นักจิตวิทยา โดยจะใช้แบบทดสอบโรคกลัวการอยู่คนเดียวเพื่อประเมินอาการและใช้เทคนิคการบำบัดความคิดและพฤติกรรม CBT(Cognitive Behavioral Therapy ) CBT ช่วยให้คุณเรียนรู้วิธีสังเกตและท้าทายความคิดอัตโนมัติที่เกี่ยวข้องกับความหวาดกลัวของคุณ สิ่งนี้อาจช่วยให้คุณระบุช่วงเวลาที่ความวิตกกังวลของคุณเกินสัดส่วนกับอันตรายที่แท้จริงของการอยู่คนเดียว
วิธีรับมือกับการอยู่คนเดียว
● ให้เวลากับตัวเอง โดยธรรมชาติแล้วเมื่อต้องอยู่คนเดียว เราจะเป็นนักคิด ที่ไม่หยุดนิ่ง ความคิดมากมายจะวิ่งเข้าหาเราเมื่อเราอยู่คนเดียว ดังนั้นการทำสมาธิจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเมื่อเรามีสมาธิ เราจะรับมือกับความคิดฟุ้งซ่านได้ดีขึ้น
การทำสมาธิอาจเป็นเรื่องยากสำหรับใครหลายคน ในช่วงแรกแนะนำให้เริ่มจากการทำสมาธิในระยะเวลาสั้น ๆ สัก 5-10 นาที
● ค้นหาความสุข ลองนึกภาพตอนที่คุณยังเด็ก อะไรทำให้คุณมีความสุข เมื่อเราต้องอยู่คนเดียว ให้ลองมองหากิจกรรมที่เราทำแล้วมีความสุข เพื่อต่อสู้กับความรู้สึกเหงา เช่น การออกกำลังกาย นอกจากจะทำให้รู้สึกดีแล้วยังช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีและดูดีด้วย การที่เรามีกิจกรรมให้ทำ และพยายามจดจ่อกับการทำบางสิ่งบางอย่าง ที่ทำให้มีความสุขจะช่วยลดความเหงา และความรู้สึกไม่ดีเมื่อต้องอยู่คนเดียวได้
● โทรหาเพื่อน หรือคนที่คุณไว้ใจ เมื่อคุณรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว ทุกข์ใจจากการอยู่คนเดียว ลองโทรหาเพื่อน หรือคนที่คุณไว้ใจ เพื่อพูดคุย แบ่งปันเรื่องราวความอึดอัดใจให้พวกเขาฟัง การได้ระบายความอึดอัดใจออกไปบ้างจะช่วยทำให้คุณรู้สึกเบา สบายขึ้น เราทุกคนต่างต้องการคนรับฟัง
● คุยกับคนแปลกหน้า การเปิดใจรับบุคคลภายนอกเข้ามาในชีวิตบ้าง สามารถทำให้คุณฝึกทักษะการเข้าสังคมได้เป็นอย่างดี ลองพูดคุยกับคนแปลกหน้าดูบ้าง อาจเริ่มจาก คนที่คุณพบเจอบ่อย ๆ เช่น พนักงานชงกาแฟร้านที่คุณซื้อประจำ หรือพี่ รปภ หน้าหมู่บ้าน หน้าบริษัท และค่อย ๆ พัฒนาไปเป็นบุคคลอื่นที่คุณอาจไม่คุ้นชิน
การเปิดใจรับบุคคลอื่นเข้ามาในชีวิตบ้าง นอกจากจะได้ฝึกทักษะการเข้าสังคมแล้ว อาจทำให้คุณได้พบเพื่อนใหม่ และไม่กลัวการอยู่คนเดียวอีกต่อไป
● พูดคุยกับจิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ หากความกลัวการอยู่คนเดียวของคุณรุนแรง หรือส่งผลต่อชีวิตประจำวันของคุณ วิธีที่ดีที่สุดคือไปปรึกษาจิตแพทย์ที่ไหนก็ได้คุณรู้สึกเชื่อใจ โรคกลัวคนเดียวเป็นภาวะที่รักษาได้ และการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตสามารถช่วยคุณจัดการกับความหวาดกลัวการอยู่คนเดียวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
#Wasabi ขอเพียงมีส่วนเล็ก ๆ ที่ช่วยให้คุณ! "เจริญเติบโต ก้าวหน้า สำเร็จ อย่างภาคภูมิใจ"
.
แหล่งที่มา / แหล่งอ้างอิง
https://www.pueasukkapab.com/ https://women.trueid.net/detail/oXYzgvDORBay https://www.catdumb.com/old/?p=739004 https://thestandard.co/autophobia/ https://www.eventpass.co/event/13l3fA
.
68
« Last post by ppsan on 08 November 2025, 19:32:31 »
โรคอารมณ์ตามฤดูกาล (S.A.D) คืออะไร?
https://www.blockdit.com/posts/60535740e3202301875ad339
Wasabi 19 มี.ค. 2021 เวลา 06:30 • สุขภาพ
โรคอารมณ์ตามฤดูกาล (S.A.D) คืออะไร?
โรคอารมณ์ตามฤดูกาล (Seasonal Affective Disorder ; S.A.D) เป็นโรคทางอารมณ์ชนิดหนึ่งที่มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันของแต่ละปี โดยส่วนใหญ่มักเกิดอาการขึ้นในฤดูหนาว ผู้ป่วยภาวะนี้จะมีอาการของโรคซึมเศร้าเป็นระยะ และจะดีขึ้นในฤดูร้อน
 โรคอารมณ์ตามฤดูกาล (S.A.D) คืออะไร?
อาการโรคอารมณ์ตามฤดูกาล?
ผู้ป่วย SAD มักแสดงอาการผิดปกติเช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าทั่วไป
- รู้สึกหมดหวัง ไร้ค่า หรือมีอารมณ์ซึมเศร้าต่อเนื่องเป็นเวลานาน
- หมดความสนใจในสิ่งที่ตนเองเคยสนใจ
- อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง หมดความกระตือรือร้นในการทำสิ่งต่าง ๆ
- อยากนอนตลอดเวลา หรือมีปัญหาในการนอนหลับ เช่น นอนไม่หลับ นอนหลับไม่สนิท เป็นต้น
- มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่เปลี่ยนไป เช่น รับประทานอาหารมากเกินไป หรืออยากรับประทานอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลมากกว่าปกติ เป็นต้น
- ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดได้นาน
- เก็บตัว ไม่ต้องการออกไปพบปะผู้อื่น
- หมกมุ่นกับเรื่องความตาย หรือคิดฆ่าตัวตาย
.
กลุ่มเสี่ยงสูงที่จะมีภาวะ SAD
- เพศหญิง เนื่องจากภาวะนี้มักพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
- อยู่ในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ซึ่งเป็นวัยที่พบภาวะ SAD ได้มากกว่าช่วงวัยอื่น
- ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า หรือโรคไบโพลาร์
- คนในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหรือมีภาวะ SAD
- อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ห่างจากเส้นศูนย์สูตร ซึ่งมีช่วงเวลากลางวันสั้นกว่าพื้นที่ที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร
.
คุณควรทำอย่างไรหากคิดว่ามีภาวะ SAD?
หากคุณคิดว่าคุณกำลังประสบปัญหา SAD และส่งผลต่อความสามารถในการใช้ชีวิตให้ผ่านพ้นวัน ให้คุณมุ่งเน้นไปที่การทำงาน และรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบตัว หรือคุณควรไปพบแพทย์ การบำบัดด้วยการพูดคุยกับนักบำบัดที่มีใบอนุญาตเป็นประจำจะมีประโยชน์มาก นอกเหนือจากการขอความช่วยเหลือจากแพทย์จิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตอื่น ๆ
.
การรักษาโรคอารมณ์ตามฤดูกาล?
- การรับประทานยา
แพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานยารักษาโรคซึมเศร้าอย่างฟลูออกซิทีนหรือบูโพรพิออนเพื่อบรรเทาอาการป่วย หรือรับประทานยาตั้งแต่ก่อนถึงช่วงฤดูที่ภาวะซึมเศร้าจะกำเริบเพื่อป้องกันอาการซึมเศร้า โดยผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษา
- การทำจิตบำบัด
แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยบางรายเข้ารับการบำบัดพฤติกรรมและความคิด ซึ่งเป็นการปรับวิธีคิดและพฤติกรรมเพื่อรับมือกับภาวะซึมเศร้าอย่างเหมาะสม โดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตจะชี้แนะให้ผู้ป่วยทราบถึงความคิดและพฤติกรรมที่ผิดปกตินั้น ควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้วิธีการรับมือกับภาวะซึมเศร้าได้ด้วยตนเอง
- การบำบัดด้วยแสง
เป็นการให้ผู้ป่วยเข้ารับการฉายแสงที่จำลองมาจากแสงอาทิตย์วันละประมาณ 1 ชั่วโมงหลังจากตื่นนอน เพื่อปรับระดับสารเคมีในสมองให้สมดุล โดยผู้ป่วยบางรายอาจฉายแสงด้วยตนเองที่บ้าน แต่วิธีนี้อาจส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายได้ ผู้ป่วยจึงควรปรึกษาแพทย์ถึงข้อดีข้อเสียของการฉายแสง และขอคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้เครื่องฉายแสงอย่างถูกต้อง
.
วิธีการดูแลสุขภาพใจในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง
- รับประทานอาหารสุขภาพ เช่น ผัก - หากิจกรรมที่ชื่นชอบทำ - หาโอกาสออกไปเดินเล่น - ออกกำลังกาย - ออกไปพบปะสังสรรค์หรือเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ทางสังคม - ฝึกใจให้ยอมรับต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพดินฟ้าอากาศว่าเป็นแค่เพียงปรากฏการณ์อย่างหนึ่ง - นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ - หมั่นสังเกตอาการ
#สาระจี๊ดจี๊ด ผู้ป่วยภาวะ SAD ที่ไม่รีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา อาจมีอาการซึมเศร้ารุนแรงยิ่งขึ้นจนส่งผลกระทบต่ออารมณ์ และพฤติกรรมได้
.
ผู้ป่วยภาวะ SAD ยังเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพ และปัญหาอื่น ๆ ได้แก่
- โรคอ้วนหรือมีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งอาจนำไปสู่โรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ด้วย <เนื่องจากผู้ป่วยอาจมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารในปริมาณมากขึ้น หรืออยากรับประทานแต่แป้งและไขมัน>
- โรควิตกกังวล โรคแพนิค และโรคกลัวการเข้าสังคม
- อาการปวดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
- ปัญหาด้านความสัมพันธ์หรือการเกิดความขัดแย้งกับคนรอบข้าง เช่น คนในครอบครัว เพื่อน เป็นต้น
- การทำร้ายตัวเอง การคิดฆ่าตัวตาย หรือการพยายามฆ่าตัวตาย
#สาระจี๊ดจี๊ด แสงแดดช่วยรักษาโรคอารมณ์ S.A.D การออกไปข้างนอกเพื่อรับแสงแดดอย่างน้อย 20 ถึง 30 นาทีต่อวันนั้นสมบูรณ์แบบ แต่หากที่ที่คุณอาศัยอยู่ไม่มีแสงแดดมากนัก หรือหากตารางเวลาของคุณส่วนใหญ่อยู่แต่ในบ้าน อุปกรณ์บำบัดด้วยแสงก็เป็นวิธีที่ไม่แพงนัก "การนั่งหน้ากล่องไฟที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับการบำบัดด้วยแสงเป็นเวลา 20 ถึง 90 นาที แสดงให้เห็นว่าได้ผลภายในไม่กี่สัปดาห์ แสงจะช่วยกระตุ้นระบบประสาทหรือสมองส่วนที่ควบคุมการนอนหลับและช่วยควบคุมอารมณ์”
.
#Wasabi ขอเพียงมีส่วนเล็ก ๆ ที่ช่วยให้คุณ! "เจริญเติบโต ก้าวหน้า สำเร็จ อย่างภาคภูมิใจ"
.
แหล่งที่มา / แหล่งอ้างอิง https://cutt.ly/dxe4e9q https://nph.go.th/?p=4792 https://cutt.ly/6xe4osC
.
69
« Last post by ppsan on 08 November 2025, 19:31:00 »
โรคสมองเสื่อม คืออะไร?
https://www.blockdit.com/posts/5f3a779a7b54741b6b943500
Wasabi 17 ส.ค. 2020 เวลา 19:27 • สุขภาพ
โรคสมองเสื่อม คืออะไร?
ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) คือ ความเสื่อมประสิทธิภาพของสมองลดลงเรื่อย ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางความคิด ความจำ การใช้เหตุผล และการสื่อสาร รวมถึงบุคคลิกภาพเปลี่ยนแปลงหรือผิดปกติ
ในบางกรณีอาจมีอารมณ์แปรปรวน เครียด ซึมเศร้า รู้สึกแปลกแยก ต่อต้าน และแยกตัวออกจากสังคม
โดยปกติมักเกิดในคนที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป
แต่อย่างไรก็ตามภาวะสมองเสื่อมก็สามารถเกิดในผู้อายุน้อยตั้งแต่ 30-65 ปี

ภาวะสมองเสื่อมในคนอายุน้อย (Dementia in younger) เริ่มพบมากขึ้นถึง 6.9% ของจำนวนผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมทั้งหมด ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน จึงมักถูกมองว่าเป็นเพียงเรื่องของความเครียด หรือภาวะซึมเศร้าจากการทำงาน เลยไม่ได้สังเกตความผิดปกติ ละเลยคิดว่าไม่อันตราย จนกลายเป็นภัยเงียบที่ไม่รู้ตัว
#สาระจี๊ดจี๊ด ปัจจุบันภาวะสมองเสื่อมในคนอายุน้อยมักพบในผู้ป่วยวัยทำงาน สาเหตุมาจากความเครียดหรือภาวะซึมเศร้าจากการทำงาน มักคิดว่าไม่อันตรายจนกลายเป็นภัยเงียบที่ไม่รู้ตัว
.
สาเหตุของโรคสมองเสื่อมคืออะไร?
- คนในครอบครัวมีประวัติว่าเป็นภาวะสมองเสื่อมตอนอายุน้อย ๆ
- ภาวะเส้นเลือดสมองตีบ ซึ่งมักพบในผู้ป่วยอายุน้อยที่มีภาวะเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ทำให้เส้นเลือดฝอยในสมองตีบ ส่งผลให้เซลล์สมองตาย
- ฮอร์โมนผิดปกติ โดยเฉพาะฮอร์โมนไทรอยด์ที่มีระดับต่ำกว่าปกติ
- ภาวะร่างกายขาดวิตามินบี 12 หากขาดเป็นเวลานานอาจส่งผลให้เซลล์สมองเสื่อม
- สูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ซึ่งบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงของภาวะหลอดเลือดสมองตีบ ส่วนแอลกอฮอล์จะไปยับยั้งการดูดซึมของวิตามินบี12 ทั้งนี้การดื่มแอลกอฮอล์มาเป็นระยะเวลานานหรือดื่มในปริมาณมากอาจทำลายสมองส่วนต่าง ๆได้
- การติดเชื้อในสมอง เช่น เอชไอวี ซิฟิลิส และไวรัสอื่น ๆ
- ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ หรือเนื้องอกสมอง
.
อาการเบื้องต้นของโรคสมองเสื่อม?
- ลืมเรื่องง่าย ๆ เช่น วัน เดือน ปี สถานที่ที่เพิ่งไปมา ลืมนัดสำคัญหรือบางคนถึงขั้นลืมวันเกิดตัวเอง มักจะต้องใช้ตัวช่วย เช่น สมาร์ทโฟน หรือสมุดโน้ตมาช่วยจำ
- บุคลิกภาพเปลี่ยน เช่น พูดไม่ได้ใจความ บางครั้งพูดติด ๆ ขัด ๆ หรือพูดซ้ำ ๆ ทำให้ประสิทธิภาพในการสื่อสารกับคนรอบข้างถดถอยลง
- การตัดสินใจแย่ลง การตัดสินใจไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ หรือต้องใช้เวลานานในการตัดสินใจ
- มักเกิดความผิดพลาดในการกะระยะ การบอกสี บอกความแตกต่าง ซึ่งเป็นปัญหามากถ้าผู้ป่วยต้องขับรถ
- ภาวะเครียด ซึมเศร้า แยกตัวออกจากสังคม ไม่ว่าจะครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงาน
- ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ไม่มีสมาธิ กระวนกระวาย ย้ำคิดย้ำทำ
#สาระจี๊ดจี๊ด ผู้มีภาวะสมองเสื่อมอาจจะไม่ได้มีเพียงแค่การหลงลืมเท่านั้น จะต้องอาศัยอาการอื่น ๆ ตามที่กล่าวไปข้างต้นประกอบการวินิจฉัย
.
สำหรับผู้ที่ไม่แน่ใจว่ากำลังเผชิญภาวะสมองเสื่อมอยู่หรือไม่ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อทำการทดสอบและวินิจฉัย ซึ่งมีวิธีการตรวจหลายอย่างดังนี้
- ทำแบบทดสอบ เพื่อประเมินภาวะสมองเสื่อม และแบบประเมินภาวะทางอารมณ์และจิตใจ - ตรวจสมองด้วยเครื่องสแกนแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อดูความผิดปกติของเส้นเลือดในสมอง เนื้อสมองตายจากการขาดเลือดหรือเนื้องอกในสมอง - เจาะน้ำไขสันหลังไปตรวจ ในกรณีสงสัยการติดเชื้อเช่น เอชไอวี ไวรัส หรือซิฟิลิส - ตรวจวัดระดับวิตามินบี12 ในร่างกาย - ตรวจความผิดปกติของฮอร์โมนไทรอยด์
การรักษาโรคสมองเสื่อมในคนอายุน้อย จะเริ่มจากการรักษาสาเหตุของภาวะที่นำไปสู่ภาวะเซลล์สมองเสื่อมหรือตาย หากพบภาวะสมองเสื่อมจากสาเหตุขาดวิตามิน (B12) หรือจากปัญหาฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ แพทย์จะให้การรักษาโดยการให้วิตามินทดแทนหรือใช้ฮอร์โมนเสริม บางสาเหตุสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด เช่น เนื้องอกในสมองบางชนิด ควบคุมโรคประจำตัวที่ทำให้เส้นเลือดในสมองตีบ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง หรือรักษาภาวะติดเชื้อ หากตรวจพบเชื้อจากน้ำไขสันหลัง
การรักษาด้วยยา มักพิจารณาให้สำหรับผู้ป่วยในระยะเริ่มต้นของโรค เพื่อประคองระดับของอาการไม่ให้แย่ลงเร็ว หรือใช้วิธีการบำบัดทางจิตใจและพฤติกรรม โดยการส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้มีการพูดคุย ร่วมกิจกรรม หรือเข้าร่วมกลุ่มบำบัด (Group therapy) เป็นการพาผู้ป่วยกลับเข้าสังคมอีกครั้ง บำบัดด้วยศิลปะ การฝึกสมาธิ การเล่นดนตรี
#สาระจี๊ดจี๊ด การบำบัดด้วยศิลปะ การฝึกสมาธิ การเล่นดนตรีช่วยลดภาวะสมองเสื่อมลงได้
การลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เส้นเลือดในสมองตีบเช่น ควบคุมน้ำหนักเพื่อลดระดับความดันโลหิต ทานผักหลากชนิด ลดแป้ง ลดอาหาร fast food หรืออาหารที่มีไขมันทรานส์ ควบคุมโรคเบาหวาน รวมถึงงดสูบหรี่ ลดหรือเลิกดื่มแอลกอฮอล์ก็มีส่วนช่วยให้อาการของโรคดีขึ้นได้
ปัจจุบันแม้จะยังไม่สามารถรักษาโรคสมองเสื่อมให้หายขาดได้ ดังนั้นหากรู้สึกว่าตัวเองหรือคนใกล้ชิดมีภาวะสมองเสื่อม ควรพบแพทย์เพื่อปรึกษา โดยเฉพาะภาวะสมองเสื่อมที่เกิดจากโรคติดเชื้อเช่น HIV หรือซิฟิลิส หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงทีอาจส่งผลให้อาการแย่ลงหรือเกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนในระบบอื่น ๆ ของร่างกายซึ่งอาจเสียชีวิตได้
.
เรียบเรียง Wasabi ความรู้ขึ้นสมอง!
#Wasabi ขอเพียงมีส่วนเล็ก ๆ ที่ช่วยให้คุณ! "เจริญเติบโต ก้าวหน้า สำเร็จ อย่างภาคภูมิใจ"
พิสูจน์อักษรโดย วาลีพ
แหล่งที่มา / แหล่งอ้างอิง https://cutt.ly/5l8UZZp
.
70
« Last post by ppsan on 08 November 2025, 19:28:58 »
ภาวะสิ้นยินดี (Anhedonia)
https://www.blockdit.com/wasabi
https://www.blockdit.com/posts/63ce7c9b35f53427b5070fde
Wasabi 27 ม.ค. 2023 เวลา 23:41 • สุขภาพ
ภาวะสิ้นยินดี (Anhedonia)

ภาวะสิ้นยินดี (Anhedonia)
ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้ คือ เป็นเพศหญิง มากกว่าเพศชาย มีสมาชิกในครอบครัวป่วยด้วยโรคซึมเศร้า โรคจิตเภท โรคการกินผิดปกติ (Eating Disorder) เคยมีประวัติการใช้สารเสพติด เคยถูกทำร้าย หรือถูกทอดทิ้ง เพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่ตึงเครียด หรือกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง เจ็บป่วยด้วยโรคที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิต หรือป่วยด้วยโรคที่มีความรุนแรง
.
#Wasabi ขอเพียงมีส่วนเล็ก ๆ ที่ช่วยให้คุณ! "เจริญเติบโต ก้าวหน้า สำเร็จ อย่างภาคภูมิใจ"
.
แหล่งที่มา / แหล่งอ้างอิง
https://shorturl.asia/WsQJN
https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/health/527950
.
Pages: 1 ... 5 6 [7] 8 9 10
|