Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
17 December 2025, 13:36:36

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,541 Posts in 14,027 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Recent Posts

Recent Posts

Pages: 1 ... 5 6 [7] 8 9 10
61
รถไฟของในหลวงภูมิพลฯ - เรื่องและภาพโดย วันวิสข์ เนียมปาน


https://readthecloud.co/rail-4/

รถไฟของในหลวงภูมิพลฯ
รถไฟพระที่นั่งในยุคต่างๆ สถานีรถไฟจิตรลดา และการเสด็จฯ ทางรถไฟ ของในหลวงร.9

เรื่องและภาพ วันวิสข์ เนียมปาน

.

Home /Travel/Along the Railroad
24 ตุลาคม 2017

“รถไฟนี้ได้ประโยชน์มาก ดีกว่าการคมนาคมทางถนนที่แพงมาก แต่ทางรถไฟถูกมาก หมายความว่า เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทย ถ้าทำได้สำเร็จ”

พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
27 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ณ โรงพยาบาลศิริราช

วันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553 เป็นวันแรกที่ผมได้เห็นรถไฟพระที่นั่งของจริง เนื่องจากเป็นการเฉลิมฉลองการก้าวเข้าสู่ปีมหามงคล 84 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช การรถไฟได้นำรถไฟพระที่นั่งจัดแสดงในสถานีกรุงเทพ



รถไฟพระที่นั่งชุดปัจจุบัน จัดแสดงที่สถานีกรุงเทพในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม

นี่น่ะหรือ รถไฟพระที่นั่งที่พาในหลวงรัชกาลที่ 9 ไปที่ต่างๆ มากมาย

ทำไมท่านถึงเสด็จพระราชดำเนินทางรถไฟ



รัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 (ขณะดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯ) ประทับรถไฟจำลองที่กรมรถไฟได้น้อมเกล้าฯ ถวายในวังสระปทุม

ในหนังสือ เจ้านายเล็กๆ – ยุวกษัตริย์ พระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ได้กล่าวไว้ว่า “หลวงถวิลเศรษฐพณิชยการ ซึ่งทำงานอยู่กรมรถไฟ เคยเป็นนักเรียนทุนรัฐบาล แต่ทูลหม่อมฯ (พระบรมราชชนก) ทรงช่วยเหลือมากเมื่อศึกษาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา แม่ (สมเด็จย่า) จึงขอให้ช่วยจัดให้ลูกชายทั้งสอง (รัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9) ได้ไปดูรถไฟ หลวงถวิลฯ และแหนน (พระพี่เลี้ยง) อุ้มสององค์ไปบนรถจักรซึ่งแล่นไปช้าๆ”





ในหลวงรัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งทรงพระเยาว์จากหนังสือ เจ้านายเล็กๆ – ยุวกษัตริย์

การเดินทางในยุคนั้นไม่ได้สะดวกสบาย ถนนหนทางยังไม่ทั่วถึงอย่างทุกวันนี้ การเดินทางที่สะดวกที่สุดก็ไม่พ้นรถไฟนี่แหละที่สามารถให้พระองค์ท่านทรงพักผ่อนพระอิริยาบถและบรรทมได้อย่างสบายพระวรกายที่สุด





รถไฟพระที่นั่ง จัดไว้เฉพาะสำหรับพระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ ปรากฏหลักฐานการใช้งานครั้งแรกวันที่ 26 มีนาคม 2439 (นับศักราชแบบเก่า) ในการเสด็จฯ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปิดเส้นทางรถไฟปฐมฤกษ์จากกรุงเทพ – บางปะอิน – กรุงเก่า

กรมรถไฟหลวงมีรถไฟพระที่นั่ง 3 คัน แบ่งเป็นรถไฟพระที่นั่งสำหรับใช้สำหรับทางกว้าง 1.435 เมตร 2 คัน และรถที่ใช้สำหรับทางขนาด 1.000 ในเส้นทางสายใต้ 1 คัน



รถไฟพระที่นั่ง คันสีขาวในภาพ เป็นของเส้นทางสายใต้ ใช้กับทางขนาดกว้าง 1.000 เมตร

ต่อมาในปี 2469 ในสมัยรัชกาลที่ 7 มีการจัดซื้อรถไฟพระที่นั่งเพิ่มอีก 2 คัน ใช้สำหรับทางกว้างขนาด 1.000 เมตร เป็นรถสำหรับบรรทม 1 คัน และรถประทับกลางวันอีก 1 คัน รถทั้ง 2 คันนั้น สร้างด้วยไม้อย่างวิจิตรประณีต ทาด้วยสีเหลืองนวล กรอบหน้าต่างเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีกรอบโค้งประดับด้วยโครงถักเหนือบานหน้าต่างทุกบาน สร้างโดยบริษัท The Metropolitan Carriage Wagon & Finance Company Limited เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ



พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วย สมเด็จพระราชาธิบดีเฟรเดริกที่ 9 แห่งเดนมาร์ค พร้อมสมเด็จพระราชินีอินกริด ในคราวเสด็จทรงเปิดฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ค เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2505 จากจิตรลดา – มวกเหล็ก



รถไฟพระที่นั่งรุ่นที่ 2 ที่ใช้มาตั้งแต่รัชกาลที่ 7 ถึงรัชกาลที่ 9

รถไฟพระที่นั่งรุ่นนี้ใช้งานตั้งแต่รัชกาลที่ 7 เรื่อยมาจนถึงวันที่ 7 ตุลาคม 2511 จึงเลิกใช้งาน รวมเวลาที่เป็นพระราชพาหนะทั้งสิ้น 52 ปี



การเสด็จพระราชดำเนินด้วยรถไฟพระที่นั่งรุ่นปัจจุบัน

ในปี 2503 รัฐบาลไทยมอบหมายให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดหารถไฟพระที่นั่งชุดใหม่เพื่อทดแทนรถรุ่นเดิมที่เตรียมจะปลดระวาง

รถไฟพระที่นั่งชุดใหม่นี้ประกอบด้วยรถจำนวน 3 คัน คือ

1. รถพระที่นั่งบรรทม (พนท.) เป็นรถสำหรับบรรทมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระราชินี
2. รถพระที่นั่งประทับกลางวัน (พนก.) สำหรับทรงพักผ่อนอิริยาบถ
3. รถพระที่นั่งกลางวันและบรรทม (พกท.) เป็นรถที่แบ่งห้องบรรทมไว้  4 ห้อง และมีพื้นที่ส่วนกลางสำหรับทรงพักผ่อนอิริยาบท









รถทั้ง 3 คัน สร้างโดยบริษัท Cravens ภายในตกแต่งอย่างงดงามแฝงด้วยความเรียบหรู ภายนอกทาด้วยสีเหลืองคัสตาร์ดสลับสีกากี ขลิบขอบมุมใต้หลังคาด้วยสีกรมท่า มีขลิบสีทองคาดกลางตู้ตลอดความยาว ข้างรถประดับครุฑพ่าห์สีทองประดับข้างรถทั้งหัวและท้ายคัน กรอบหน้าต่างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ได้นำมาถวายเป็นพระราชพาหนะครั้งแรกในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2510 ในการเสด็จฯ จากสถานีชุมทางทุ่งสง ถึงสถานีหัวหิน









เราได้เห็นภาพการเสด็จพระราชดำเนินหลายต่อหลายครั้ง ภาพที่เห็นอย่างชินตามักเป็นภาพที่พระองค์ประทับอยู่ที่หน้าต่างรถไฟ โบกพระหัตถ์ให้กับประชาชน หรือรับของที่ประชาชนทูลเกล้าฯ ถวาย

แล้วในหลวงเสด็จทางรถไฟกี่ครั้งกัน





วันที่ 29 เมษายน 2493 คือการเสด็จฯ ทางรถไฟครั้งแรก ขบวนรถไฟพระที่นั่งเดินทางจากสถานีรถไฟธนบุรี ถึงสถานีรถไฟหัวหิน ในการเสด็จฯ แปรพระราชฐาน ณ พระราชวังไกลกังวล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

ครั้งที่ 2 นับเป็นการปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างเป็นทางการ โดยเสด็จจากสถานีรถไฟหลวงจิตรลดา ไปที่สะพานพระรามหก เพื่อทรงทำพิธีเปิดสะพานพระรามหกหลังจากซ่อมสร้างเสร็จ ในวันที่ 12 ธันวาคม 2496 และหลังจากนั้นก็ได้ทรงเสด็จฯ ทางรถไฟอีกหลายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่ครั้งแรกถึงครั้งสุดท้ายรวมทั้งหมด 28 ครั้ง

โดยการเสด็จฯ ครั้งสุดท้าย คือวันที่ 5 กรกฎาคม 2531 เป็นการเสด็จฯ ไปทรงประกอบพิธีรัชมังคลาภิเษกที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เส้นทางเสด็จฯ ส่วนใหญ่นั้นเริ่มต้นจากสถานีรถไฟหลวงจิตรลดา







สถานีรถไฟหลวงจิตรลดา ตั้งอยู่บนกิโลเมตรที่ 3 บนเส้นทางรถไฟสายเหนือด้านข้างพระตำหนักจิตรลดารโหฐาร เป็นสถานีชั้นพิเศษไม่รับส่งผู้โดยสาร และเป็นสถานีเฉพาะสำหรับพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 เพื่อทดแทนสถานีรถไฟหลวงสามเสนที่ตั้งอยู่คอสะพานข้ามคลองสามเสนที่อยู่ห่างไปทางทิศเหนือ





อาคารสถานีรถไฟหลวงจิตรลดา ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาเลียนชื่อมาริโอ ตามัญโญ ผู้ออกแบบสถานีรถไฟกรุงเทพ พระที่นั่งอนันตสมาคม วังปารุสกวัน ฯลฯ

รูปแบบทางสถาปัตยกรรมมีรูปแบบคลาสสิคคล้ายโถงหน้าสถานีกรุงเทพ วางตัวในแนวเหนือ – ใต้ ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีมุขตรงกลางอาคารสำหรับใช้เทียบรถยนต์พระที่นั่ง ภายในตัวอาคารเป็นโถงโล่งประกอบชานชาลามีหลังคาคลุมไปตลอดชาน ลักษณะโดดเด่นของสถานีคือการใช้หลังคาตัดชั้นเดียว ประกอบด้วยโดมแบบคลาสสิคตั้งอยู่เหนือมุขกลางทางเข้า ภายในโดมประดับลายไว้อย่างวิจิตรและสวยงาม







แม้ว่าในยุคหลังๆ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 จะไม่ได้เสด็จฯ ทางรถไฟอีก แต่ตลอด 70 ปีที่ผ่านมามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นมากมายจากการเสด็จพระราชดำเนินทางรถไฟ ไม่ว่าจะเป็นความเจริญ อาชีพ โครงการในพระราชดำริ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าพระองค์ท่านทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เลี้ยงตัวเองได้ นำสิ่งที่พระองค์ท่านได้ทรงปฏิบัติ ปรับปรุงและต่อยอด มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันให้ดีที่สุด



ภาพ : เพจโรงเรียนวิศวกรรมรถไฟ และ การรถไฟแห่งประเทศไทย

.
.
อีกนิดอีกหน่อย
1. การเสด็จฯ ทางรถไฟของในหลวงจำนวน 28 ครั้งนั้น มีเพียง 1 ครั้งที่ทรงเสด็จฯ ด้วยตู้โดยสารแบบปกติประชาชนทั่วไป คือวันที่ 26 ตุลาคม 2506 จากสถานีหลวงจิตรลดา – กาญจนบุรี – น้ำตก ในการเสด็จฯ ถวายผ้าพระกฐิน ซึ่งในครั้งนั้นการรถไฟฯ ได้ถวายรถดีเซลรางรุ่นนิอิกาตะเป็นขบวนรถไฟพระที่นั่ง





2.สถานีรถไฟหลวงจิตรลดาไม่อนุญาตให้ประชาชนเข้าไปในพื้นที่สถานีเพราะเป็นเขตพระราชฐาน ประชาชนสามารถโดยสารรถไฟได้ที่ชานชาลาของที่หยุดรถโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่อยู่ติดกั

3.พระบรมวงศานุวงศ์ที่เสด็จฯ ทางรถไฟพระองค์ล่าสุดคือสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2558 จากสถานีรถไฟหลวงจิตรลดา ปลายทางที่หยุดสะพานแควใหญ่ โดยการรถไฟถวายรถไฟพระที่นั่งในริ้วขบวนด้วย

4.เราสามารถดูช่วงที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินได้จากหน้าต่างรถไฟพระที่นั่ง ถ้าหากเหนือหน้าต่างเป็นรูปโค้ง มีโครงถัก นั่นคือก่อน พ.ศ. 2510 ส่วนหากหน้าต่างรถไฟพระที่นั่งมีรูปร่างปกติเหมือนรถไฟรุ่นใหม่ๆ นั่นคือช่วงหลัง พ.ศ. 2510
.
.

Writer & Photographer
วันวิสข์ เนียมปาน
มนุษย์ผู้มีรถไฟไทยเป็นเพื่อนสนิท และอยากแนะนำเพื่อนให้ชาวบ้านสนิทด้วย รักการเดินทางและชอบเดินเป็นชีวิตจิตใจ

.


.
ขอขอบคุณที่มาของเรื่อง
https://readthecloud.co/rail-4/
.




62
"รักในสายพระเนตร" 10 เรื่องเล่าหลังภาพ ของในหลวงรัชกาลที่ 9


https://readthecloud.co/notenation-3/





รักในสายพระเนตร
10 เรื่องเล่าหลังภาพที่บันทึกความรักและความทรงจำในพระราชหฤทัยผ่านสายพระเนตรของในหลวงรัชกาลที่ 9

เรื่อง นักรบ มูลมานัส

.

Home /Art & Culture/จด *หมายเหตุ
17 ตุลาคม 2017

“We keep this love in this photograph”

ในยุคที่การถ่ายภาพทำได้ง่ายเพียงพริบตา ในมือถือของเรามีรูปเป็นหมื่นเป็นพันรูป คุณค่าของรูปถ่ายในฐานะสิ่งเสมือนความทรงจำและสิ่งดูต่างหน้าดูจะจางจืดไป กระนั้นท่อนหนึ่งจากเพลงดังของ Ed Sheeran ยังทำให้เรานึกถึงความสำคัญของการเก็บบันทึกความรู้สึกในห้วงต่างๆ ของชีวิต และนี่เองก็อาจเป็นคำตอบของคำถามที่ว่าในทุกวันนี้เราทุกคนถ่ายรูปกันไปเพื่ออะไร

“We made these memories for ourselves”

แม้เราอาจบันทึกภาพต่างๆ ไว้ในใจอยู่แล้ว แต่ภาพถ่ายนั้นเป็นรูปธรรมของความทรงจำ เป็นมุมมองที่บันทึกผ่านสายตาของผู้ถ่ายโดยตรง เป็นหลักฐานให้เราได้กลับไปมองย้อนหลังในเวลาที่เดินไปข้างหน้า จริงอยู่ที่เราเก็บความทรงจำเหล่านี้ไว้เพื่อตนเอง แต่ภาพถ่ายจำนวนมากก็เล่าเรื่องของทั้งผู้ถ่ายและผู้ถูกถ่าย เล่าเรื่องสิ่งที่เคยเกิดขึ้น เรื่องราวในภาพอาจกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น หรือกระทั่งภาพถ่ายอาจมีบทบาทในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้

ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็เป็นเช่นนั้น

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงคุ้นเคยกับการถ่ายภาพมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ด้วยสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงชื่นชอบการถ่ายภาพ อีกทั้งที่ประทับแห่งแรกในเมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับร้านถ่ายรูปอะเตอลิเยร์ เดอ ฌอง (Atelier de Jong Photographie) สมเด็จพระบรมราชชนนีทรงพาพระโอรสธิดาเสด็จฯ ไปฉายพระรูปตั้งแต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระชนมพรรษาเพียง 2 พรรษา (Atelier de Jong Photographie ยังคงดำเนินกิจการสืบมาถึงปัจจุบัน)





เมื่อทรงเจริญพระชนมพรรษา 8 พรรษา สมเด็จพระบรมราชชนนีพระราชทานกล้องถ่ายรูป Coconet Midgetเป็นกล้องส่วนพระองค์ตัวแรก กล้องรุ่นนี้มีจุดขายคือราคาประหยัดและขนาดที่เล็กเพียง 5 เซนติเมตร ถือเป็นกล้องที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกในเวลานั้น ใช้ฟิล์มขนาด 16 มม. ถ่ายได้ม้วนละ 6 ภาพ

จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในครั้งนั้นได้กลายมาเป็นจุดกำเนิดของงานอดิเรกสำคัญของพระองค์ ตลอดระยะเวลาแปดสิบกว่าปีที่ผ่านมาเรามักคุ้นตากับภาพของพระองค์ที่มีกล้องคู่พระทัยอยู่ในพระหัตถ์เสมอ ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์มีบทบาททั้งในการบันทึกชีวิตส่วนพระองค์และในฐานะอุปกรณ์ในการทรงงาน

ภาพถ่ายของในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่และจัดแสดงเป็นนิทรรศการหลายครั้งคราว รวมไปถึงนิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ครั้งล่าสุด ณ ชั้น 9 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) จัดแสดงภาพถ่ายฝีพระหัตถ์กว่า 200 ภาพ บันทึกห้วงเวลาตลอดรัชสมัยอันยาวนาน

ก่อนหน้านี้ใน พ.ศ. 2555 พิพิธภัณฑ์ผ้าในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้จัดนิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ในชื่อ ‘รักในสายพระเนตร’ ผู้เขียนประทับใจชื่อนี้เพราะรู้สึกว่าภาพถ่ายของในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ถ่ายทอดทั้งความรัก ความทรงจำ ในพระราชหฤทัยผ่านสายพระเนตรของพระองค์โดยแท้จริง ผู้ชมภาพอาจสามารถร่วมรู้สึกถึงความรักเหล่านั้นได้ ในช่วงแห่งการรำลึกถึงนี้ เราจึงเลือกภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ที่เคยเผยแพร่ในที่ต่างๆ มา 10 ภาพ เพื่อบอกเล่าถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยหลังภาพนั้นๆ จึงขออัญเชิญชื่อนิทรรศการครั้งนั้นมาเป็นชื่อของบทความอีกครั้ง

“And time’s forever frozen still”

ปากน้ำ สมุทปราการ, 2489.





พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรที่ปากน้ำเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขณะดำรงพระยศสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอทรงถ่ายภาพสมเด็จพระเชษฐาธิราชขณะมีพระราชดำรัสโดยใช้ไมโครโฟนถ่านคาร์บอน (Carbon Microphone) เครื่องขยายเสียงชิ้นนี้เป็นของทันสมัยในสมัยนั้น ดังที่ปรากฏในภาพยนตร์ออสการ์ The King’s Speech เล่าปัญหาการมีพระราชดำรัสของพระเจ้าจอร์จที่ 6 (George VI) พระบิดาของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบ็ธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร พระเจ้าจอร์จที่ 6 ครองราชย์หลังจากในหลวงรัชกาลที่ 8 ขึ้นครองราชย์เพียง 1 ปี





การเสด็จพระราชดำเนินของสองพระองค์อาจทำให้ผู้มาเฝ้าชมพระบารมีนึกไปถึงพระรามและพระลักษมณ์ กษัตริย์สองพี่น้องจากวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ ตอนหนึ่งของบทละคร รามเกียรติ์  พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 1 กล่าวถึงตัวละครเอกทั้งคู่ว่า

“พิศโฉมพระองค์ทรงศร งามลํ้าทินกรรังสรรค์

อันองค์ทรงพรตน้อยนั้น งามดั่งพระจันทร์อำไพ”

ความเปรียบพระรามประดุจพระอาทิตย์ พระลักษมณ์เปรียบดั่งพระจันทร์ บังเอิญตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของในหลวงรัชกาลที่ 8 ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ และในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งตรงกับวันจันทร์พอดิบพอดี

สำเพ็ง, 2489.





ก่อนสวรรคตเพียงไม่ถึงสัปดาห์ ในหลวงรัชกาลที่ 8 เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรที่สำเพ็ง ด้วยช่วงนั้นเกิดความบาดหมางและการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างรัฐบาลกับชาวไทยเชื้อสายจีน การเสด็จฯ ครั้งนั้นช่วยผสานรอยแผลของความขัดแย้งให้กลับสู่ความสมัครสมาน ภาพการเสด็จฯ ครั้งประวัติศาสตร์นี้ยังได้รับการบันทึกไว้หลังธนบัตร 20 บาท รุ่นในหลวงรัชกาลที่ 8 ในครั้งนั้นในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงบันทึกภาพใบหน้าอันแจ่มใสของประชาชนที่มาเฝ้ารับเสด็จฯ เอาไว้ด้วย

จากกรุงเทพฯ ถึงโลซานน์, 2489.





“วันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๙

วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว…”

ข้อความจากพระราชบันทึก เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิทเซอร์แลนด์ บอกเล่าเหตุการณ์หลังจากในหลวงรัชกาลที่ 8 สวรรคต สมเด็จพระอนุชาผู้มีพระชนมพรรษาเพียง 18 พรรษา สืบราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระองค์จำเป็นต้องเสด็จกลับไปทรงศึกษาต่อยังสวิตเซอร์แลนด์ โดยทรงเปลี่ยนสายการศึกษาจากวิศวกรรมศาสตร์มาเป็นสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ซึ่งจำเป็นสำหรับพระราชฐานะประมุขของประเทศ

การเดินทางในวันนั้นเริ่มขึ้นจากการเสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่งไปยังสนามบินดอนเมือง
“ไปขึ้นรถยนต์ พอรถแล่นออกไปได้ไม่ถึง ๒๐๐ เมตร มีหญิงคนหนึ่งเข้ามาหยุดรถแล้วส่งกระป๋องให้เราคนละใบ ราชองครักษ์ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น บางทีจะเป็นลูกระเบิด! เมื่อมาเปิดดูภายหลังปรากฎว่าเป็นทอฟฟี่ที่อร่อยมาก”

การเสด็จฯครั้งนั้นเองที่เป็นที่มาของพระราชดำรัสอันเป็นอมตะ “ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆ ว่า ‘อย่าละทิ้งประชาชน’ อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะละทิ้งอย่างไรได้ แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้ว”

บนฟากฟ้าระหว่างทางมุ่งหน้าไปยังสวิตเซอร์แลนด์ ทรงถ่ายรูปจากหน้าต่างเครื่องบินพระที่นั่ง พร้อมกับทรงบันทึกไว้ว่า “แปลกดีเหมือนกันที่ใจหวนไปคิดว่า เพียงชั่วโมงเดียวที่ผ่านมาเมื่อตะกี้นี้เอง เรายังห้อมล้อมไปด้วยประชาชนชาวไทย แต่เดี๋ยวนี้เล่า เรากำลังเหาะอยู่เหนือท้องทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล … การเดินทางในระยะต่อมาช่างเปล่าเปลี่ยวเสียจริงๆ สิ่งที่มองเห็นในเบื้องหน้าไม่มีอะไรเสียเลย นอกจากท้องทะเลเขียวครามอันแสนลึก”

ทั้งภาพและข้อความสื่อถึงความรู้สึกในพระราชหฤทัยในยามนั้นได้แสนลึกซึ้ง

โลซานน์, 249x.





ช่วงเวลาแห่งความสุขที่โลซานน์ปรากฏในภาพถ่ายฝีพระหัตถ์รูปนี้ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงถ่ายภาพติโต (Tito) แมววิเชียรมาศ สัตว์เลี้ยงของสมเด็จพระบรมราชชนนี มีเรื่องเล่าว่าคุณติโตโปรดปรานการหนีเที่ยว กลับดึกดื่นจนเข้าพระตำหนักไม่ได้เป็นประจำ

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงตั้งชื่อภาพนี้ว่า ‘แมวผู้ใหญ่ลี’ สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของ Josip Broz Tito (ยอซีป บรอซ ติโต) ที่มาของชื่อ ‘Tito’ ซึ่งเป็นสมญานามของผู้นำทางการเมืองของยูโกสลาเวียผู้นี้ เส้นทางชีวิตของเขาเริ่มต้นชีวิตจากเป็นเด็กชายช่างกลลูกชาวนา (ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเรียกว่า ‘ทหารลูกทุ่ง’) สู่การเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ผู้หาญกล้าจนดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีผู้รวมชาติยูโกสลาเวียในที่สุด

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงประทับใจเรื่องราวชีวิตของยอซีป บรอซ ติโต ทรงแปลชีวประวัติและวีรกรรมของประธานาธิบดีผู้นี้เป็นพระราชนิพนธ์แปลเรื่อง ติโต

ประวัติของภาพนี้มิได้ระบุไว้ว่าติโตนั่งอยู่บนตักของสุภาพสตรีผู้ใด เมือผู้เขียนได้เห็นภาพถ่ายฝีพระหัตถ์อีกรูปหนึ่ง โดยเปรียบเทียบจากลวดลายของกระโปรง จึงทราบว่าติโตนั่งอยู่บนพระเพลา (ตัก) ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งยังทรงเป็นพระคู่หมั้น





วิลล่าวัฒนา, 2493





ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพบรักกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ธิดาของเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส หลังจากที่ทรงพบกับครั้งแรกที่เมือง Fontainebleau (ฟงแตนโบล) ชานกรุงปารีส สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 พระราชทานสัมภาษณ์แก่สถานีโทรทัศน์ BBC เมื่อปี 2521 ถึงเหตุการณ์นั้นไว้ว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบมาก่อนว่าพระองค์ทรงรักข้าพเจ้า เพราะเวลานั้น อายุเพิ่งย่าง 15 ปี และตั้งใจไว้ว่าจะเป็นนักเปียโน เป็นนักเปียโนที่แสดงในงานคอนเสิร์ต”

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงถ่ายภาพนี้ไว้ขณะพระคู่หมั้นกำลังเล่นเปียโน ความรักของสองพระองค์คงจะผลิบานเพราะมีเสียงดนตรีเป็นเครื่องผูกสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น

หลายคนอาจจะคุ้นตาภาพในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเปียโนโดยมีติโตเฝ้าฯ อยู่ด้วย ภาพถ่ายชุดนั้นถ่ายโดย Dmitri Kessel (ดมิทรี เคสเซล) ช่างภาพนิตยสาร LIFE ที่เปียโนหลังเดียวกันกับในภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ภาพนี้

ไม่ปรากฏสถานที่, ไม่ปรากฏปีที่ถ่าย





ภาพถ่ายภาพนี้สะดุดตาด้วยองค์ประกอบทางศิลปะที่สวยงาม ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงถ่ายภาพสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ท่ามกลางป่าเขา ชวนให้นึกถึงบทกวีภาษาฝรั่งเศส ‘Le pas de mon Père’ พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี หรือที่รู้จักกันแพร่หลายในภาคภาษาไทยที่ใช้ชื่อว่า ‘เดินตามรอยเท้าพ่อ’

ผู้พระราชนิพนธ์เล่าถึงแรงบันดาลใจในการแต่งว่าทรงได้รับแรงบันดาลใจจากการทอดพระเนตรการ์ตูนวอลท์ดิสนีย์เรื่อง Bambi เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ ตอนหนึ่งของบทกวีกล่าวอย่างไว้ว่า

“ลูกเอ๋ย…ในโลกนี้ไม่มีที่ไหนดอกที่มีความรื่นรมย์

และความสบายสำหรับเจ้า

ทางของเรามิได้ปูด้วยดอกไม้สวยสวย

จงไปเถิด แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่บีบคั้นหัวใจเจ้า



เพื่อมนุษยชาติ จงอย่าละความกล้า

เพื่อเผชิญกับความทุกข์ให้อดทนและสุขุม

และจงมีความสุขที่ได้ยึดอุดมการณ์ที่มีค่า

ไปเถิด…ถ้าเจ้าต้องการเดินตามรอยเท้าพ่อ”

บริเวณกรงลิง, 2542





ภาพถ่ายที่มองเห็นรองพระบาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยมีลิงเอื้อมมือมาแตะ ชวนให้นึกถึงความจงรักภักดีของเหล่าเสนาวานรที่มีต่อพระรามพระลักษมณ์ในวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงผูกพันกับลิงตั้งแต่ทรงพระเยาว์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงบันทึกไว้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพปีหนึ่ง เมื่อครั้งพระเยาว์ สมเด็จพระบรมราชชนนีได้ให้ละครลิงเข้ามาเล่นถวายให้พระโอรสธิดาทอดพระเนตรเป็นที่สำราญเริงใจยิ่ง

เมื่อในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ทรงมีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรละครลิงอีกครั้ง คณะแพทย์จึงติดต่อคณะศิษย์พระกาฬ ซึ่งเป็นละครลิงที่เหลืออยู่คณะสุดท้าย มาแสดงหน้าพระที่นั่งถวายให้ทอดพระเนตรอีกครั้งหนึ่งใน พ.ศ. 2556

นอกจากนี้ ลิงยังเป็นแรงบันดาลพระราชหฤทัยให้ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระราชดำริโครงการบริหารจัดการน้ำในชื่อโครงการ ‘แก้มลิง’ อันมีที่มาจากการที่ทรงสังเกตวิธีการกินอาหารของลิงอีกด้วย

ปราสาทพระเทพบิดร, 2547





ปราสาทพระเทพบิดรตั้งอยู่ในเขตวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นที่ประดิษฐานร่วมกันของพระบรมรูปสมเด็จพระบูรพกษัติยาธิราชเจ้าในราชวงศ์จักรี โดยปกติมิได้เปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าถวายสักการะ เว้นแต่วันสำคัญอย่างวันสงกรานต์ วันจักรี หรือวันปิยมหาราช ภายในปราสาทพระเทพบิดรนั้นไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป ภาพถ่ายภาพนี้จึงเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะองค์พระมหากษัตริย์เท่านั้น ควันจากเครื่องราชสักการะที่ทรงจุดยิ่งเพิ่มมนตร์ขลังให้กับภาพถ่ายนี้ยิ่งขึ้น

ทุ่งลาดพร้าว, 2526





พระอินทร์เป็นเทพผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ มีหน้าที่ปกปักษ์รักษาโลกและมนุษย์ พระองค์ประทับบนพระแท่นชื่อแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ แท่นนี้ทำจากหิน แต่ปกติแท่นนี้จะอ่อนนุ่ม เมื่อเกิดเหตุเภทภัยจึงจะแข็งกระด้างขึ้นมา เป็นสัญญาณให้พระอินทร์ลงมาช่วยมวลมนุษย์ ดังเช่นที่ในปรากฏในบทละครเรื่อง สังข์ทอง

                                                         “มาจะกล่าวบทไป
ถึงท้าวสหัสนัยน์ตรัยตรึงศา
ทิพอาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา
                                                           กระด้างดังศิลาประหลาดใจ
จะมีเหตุมั่นแม่นในแดนดิน
อมรินทร์เร่งคิดสงสัย
จึงสอดส่องทิพเนตรดูเหตุภัย
ก็แจ้งใจในนางรจนา”

พระอินทร์มีฉายาหนึ่งว่า สหัสนัยน์ แปลว่า พันตา ด้วยทรงมีพระเนตรรอบพระวรกายจึงทรงมองเห็นเหตุความเดือดร้อนของผู้คนทั้งหลาย

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงถ่ายภาพนี้ทางอากาศในคราวน้ำท่วมที่เขตพระโขนงเมื่อปี 2526 เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการแก้ไขสถานการณ์น้ำท่วม กล้องถ่ายรูปของพระองค์ประดุจดั่งพระเนตรหนึ่งของพระอินทร์ที่ส่องให้เห็นความทุกข์ร้อนของราษฎร (ที่ประทับของในหลวงรัชกาลที่ 9 คือพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ก็มีที่มาจากตำนานพระอินทร์ ด้วยสวนจิตรลดาคือชื่ออุทยานของพระอินทร์)

วังไกลกังวล, 2542





เป็นที่ทราบกับว่าบรรยากาศเมืองการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 7 นั้นตึงเครียดเพียงใด พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างที่ประทับแห่งใหม่ขึ้นที่ชายทะเลหัวหิน เพื่อเป็นที่ประทับพักผ่อนพระราชหฤทัยจากความวุ่นวายในพระนคร ทรงตั้งชื่อที่ประทับแห่งนี้ว่า ‘วังไกลกังวล’ โดยมีที่มาจากชื่อพระราชวังฤดูร้อนของพระเจ้า Frederick the Great แห่งรัสเซีย ชื่อพระราชวัง Sans Souci (ซ็องซูซี) เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลความว่า ไร้ความวิตกกังวล นอกจากนี้ยังทรงตั้งชื่อตำหนักต่างๆ ให้เพราะพริ้งคล้องจองกันด้วยถ้อยคำที่เกี่ยวกับความสุข ได้แก่พระตำหนักเปี่ยมสุข ปลุกเกษม เอิบเปรม และเอมปรีดิ์

ล่วงมาถึงสมัยรัชกาลที่ 9 วังไกลกังวลกลายเป็นพระราชฐานแห่งความสุขอีกครั้ง เมื่อในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ พร้อมสมเด็จนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มาประทับ ‘honeymoon’ ที่วังไกลกังวล หลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส

หลังจากที่สองพระองค์เสด็จฯ เยี่ยมเยียนราษฎรทุกถิ่นที่ ความไกลกังวลของในหลวงมิใช่ความเปี่ยมสุขส่วนพระองค์แต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป พระองค์ทรงทดลองโครงการฝนหลวงและตั้งศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงที่หัวหินเพื่อแก้ปัญหาความแห้งแล้งขาดแคลนน้ำของเกษตรกร

ครั้งหนึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงถ่ายภาพความสำเร็จของผลงานอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงรังสรรค์ขึ้น ณ ชายทะเลวังไกลกังวล

ใครจะเชื่อว่าพระราชาของประเทศไทยสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ประดุจดั่งผู้วิเศษในตำนาน สายฝนที่พระองค์ดลบันดาลสร้างความชุ่มฉ่ำไปทั้งทั่วผืนแผ่นดินและซาบซึมลงในใจของประชาชนด้วย

นอกจากภาพถ่ายฝีพระหัตถ์แล้ว ในหลวงรัชกาลที่ 9 ยังทรงเผยแผ่แรงบันดาลพระราชหฤทัยและความรักอันไพศาลของพระองค์ ผ่านโครงการพระราชดำริ เพลงพระราชนิพนธ์ งานศิลปะ หรือพระราชดำรัส อันหลากหลายตลอดระยะเวลาอันยาวนาน

“Where our eyes are never closing

Hearts were never broken

And time’s forever frozen still”

ในยามที่เรามองภาพถ่ายภาพใดก็ตาม ช่างแสนวิเศษที่ว่าแม้คนถ่ายภาพจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นให้เราเห็น แต่จากมุมมองจากใจที่ถ่ายทอดผ่านแววพริบตาของเขา รวมทั้งความรักและความรู้สึกทั้งหลายที่อัดแน่นอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมนั้นอาจจะยังถูกส่งต่อหรือเป็นที่จดจำไปแสนนาน

“We keep this love in this photograph”

ภาพ: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ และหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC)

.

Writer
นักรบ มูลมานัส
นักคุ้ยของเก่าผู้เล่าเรื่องผ่านการสร้างภาพ (ประกอบ) ที่อยากจะลองเล่าเรื่องผ่านตัวอักษรดูบ้าง

.


.
ขอขอบคุณที่มาของเรื่อง
https://readthecloud.co/notenation-3/
.




63
บ้าน (คัน) นี้...รถบ้านพเนจร


https://readthecloud.co/retirement-motorhome/

บ้าน (คัน) นี้
รถบ้านพเนจร ออกแบบและก่อสร้างโดยลุงวิทย์ ครัวอลังการข้างรถของป้าเกียว และอิสระวัยเกษียณในแบบที่ทั้งคู่เลือกเอง

เรื่อง กมลรัตน์ อุทัยเสนภาพ วินัย งามผาติพงศ์

.

Home /Living/อยากอยู่อย่างอยาก
30 กันยายน 2023


‘บ้าน (คัน) นี้’
บ้าน 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำในตัว รอบบ้านมีสนามหญ้าเขียว ๆ ที่มีคนตัดให้แบบไม่ต้องจ้าง
บึงใหญ่ สบายตาก็ไม่ต้องจ้างใครขุด แถมโอบล้อมด้วยภูเขาลูกใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่ม และอากาศบริสุทธิ์ ไร้ฝุ่น PM ตลอดทั้งปี

‘บ้าน’ ความหมายตามวิกิพจนานุกรม (Wiktionary : พจนานุกรมเสรี) แปลว่า โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างสำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งมีเจ้าบ้านครอบครอง และหมายความรวมถึงแพหรือเรือซึ่งจอดเป็นประจำและใช้เป็นที่อยู่ประจำ หรือสถานที่หรือยานพาหนะอื่นซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัยประจำได้ด้วย

งั้น! สิ่งที่อยู่ตรงหน้าฉัน ก็เรียกว่า ‘บ้าน’ ได้สิ

ลุงวิทย์ ป้าเกียว รถบ้านพเนจร 

.




รถหรือบ้าน บ้านหรือรถ
จะเป็นอะไรก็ไม่สำคัญเท่าความสุขของป้า



รักออกแบบไม่ได้

ลุงวิทย์-วรวิทย์ และ ป้าเกียว-จิราวรรณ กิตติเกษมวงศ์ คู่สามีภรรยาวัย 74 ปี เริ่มต้นชีวิตคู่จากการที่คน 2 คนไม่รู้จักกันมาก่อน ไม่ได้ปลูกต้นรักร่วมกัน ไม่มีแม้กระทั่งการจับมือถือแขน ถามว่า “คุยกันกี่คำก่อนแต่งงาน” น่าจะเหมาะกว่า

“ผมกับเขาแต่งงานตอนอายุ 28 ปี เราอายุเท่ากัน ใช้วิธีคลุมถุงชน มีแม่สื่อประสานงานจัดการ ผมไปแอบดูเขา ดูแล้วหน้าตาดี หุ่นดี ก็ตอบตกลง” ลุงวิทย์เล่า “หมั้นกัน 4 เดือน ไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวหรือไปไหนมาไหนด้วยกันตามลำพัง ป้าเกียวเป็นผู้หญิงที่ระวังตัวมาก ถ้าเป็นเด็กสมัยนี้คงเรียกว่าหัวโบราณ”

วันนี้เข้าปีที่ 47 แล้ว คำว่า “อยู่ด้วยความเป็นเพื่อน” จากคุณลุง ดูเหมือนเป็นประโยคอินโทรของดีเจยุค 90 เพื่อเปิดเข้าเพลงนี้ (ถ้าไม่ใช่คนยุค 90 ก็ไปฟังได้จากพี่วง CLASH เอามาทำใหม่ได้นะเด็ก ๆ)

.

เพื่อนไม่เคยไม่เคยทิ้งกัน
ไม่ว่าความฝันนั้นจะไกลสักเท่าไร
จะหกล้มซมซานเมื่อใด
เพื่อนจะปลอบใจ
ไม่มีคนที่จะรู้ใจ
ไม่มีใครรักและตามใจเหมือนเพื่อนเก่า
จะทำไงตามใจแต่เรา เพื่อนเรารักจริง

.

“พอแต่งงานปุ๊บ ผมก็พาเขาเที่ยวมาตลอด ทั้งนอนรีสอร์ต แคมปิง กางเต็นท์ ภูเขา น้ำตก”

คุณลุงพูดจนเห็นภาพ คุณป้าผู้นั่งบนเก้าอี้พลาสติกสีเทาตัวโปรดเล่าเสริม “เดิมป้าเคยอยู่บ้านที่มีบริเวณ บ้านเป็นโรงงาน ลูกคนจีนและเป็นคนโต ต้องทำงานก่อน จะไปเที่ยวได้อย่างไร พอแต่งงาน เขาชอบเที่ยว เราก็ได้ไปเที่ยวกับเขานี่แหละ”





การเดินทางท่องเที่ยวจึงเป็นกิจกรรมของคู่แต่งงานใหม่ที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

“ผมไปมาหมดทุกอุทยาน สมัยก่อนกางเต็นท์ยาก เหนื่อยกว่าตอนนี้เยอะ“ คุณลุงเล่า

“ถึงนอนเต็นท์ แต่เขาไม่ได้ให้ฉันนอนพื้นนะ เขาจะมีเตียงที่ต่อขึ้นมา เขาอยากให้นอนหลับ แล้วลุกได้สบายด้วย“ คุณป้าพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชมคุณลุงจากใจแม้จะเล่าเรื่องราวเหล่านี้มานับครั้งไม่ถ้วน

นั่นคือบริการเสริมจากใจแบบไม่ต้องรีเควสหรือจ่ายเพิ่ม

ฟังแล้วอยากจะติดแฮชแท็กให้กับคุณลุงวิทย์ว่า #ใจถึงพึ่งได้





เกิด แก่ เจ็บ หาย

เมื่อ 12 ปีก่อน คุณป้าเกียวตรวจพบโรคมะเร็งและได้เข้ารับการรักษา แต่กลับแพ้การรักษาด้วยคีโมอย่างหนัก จนต้องบอกคุณลุงวิทย์ว่าไม่ไหวแล้ว ปล่อยเธอไปเถอะ

“ถ้าปล่อยเอ็งไปแล้ว แล้วข้าจะอยู่กับใคร ห้ามไป เดี๋ยวจะไปมีกิ๊กนะ” คุณลุงว่า ก่อนเสียงหัวเราะจากทั้ง 2 คนรวมทั้งฉันและทีมงานทุกคนดังขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

หลังจากนั้น จุดเริ่มต้นใหม่ของชีวิตคน 2 คนในวัยเกษียณก็เกิดขึ้น ณ บ้าน (คัน) นี้

“ผมได้แบบจากนิตยสารรถของเยอรมนี แล้วก็มาปรับให้เหมาะกับบ้านเรา”

แต่เท่าที่ฉันได้สวมวิญญาณโคนันยอดนักสืบ เดินสำรวจ (เกือบ) ทุกตารางนิ้ว คุณลุงน่าจะพูดว่า …อะ แฮ่ม..แฮ่ม.. “ปรับให้เข้ากับผู้หญิงของข้า ใครอย่าแตะ”







ตั้งแต่เตียงนอนบนรถที่คุณป้านอนดิ้นได้ สบาย ๆ กรนได้ดัง ๆ (เรื่องจริงไม่จกตา) ชั้นเก็บของใช้จิปาถะบนรถ เครื่องสำอาง หรือกระจกแต่งหน้าปลายเตียง (เอาสิ) ราวแขวนเสื้อผ้าสวย ๆ ให้คุณป้าเลือกสะดวก บนผนังก็แขวนรูปภาพแต่งงานไว้ด้วยนะ ว่าไม่ได้ มีห้องน้ำใกล้กับที่นอนคุณป้า (ไกลจากที่นอนคุณลุง 555)

และส่วนเสริมด้านนอกข้างตัวรถที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าสร้างหรือเสก นั่นคือพื้นที่ครัวไทยเปิดโล่ง อุปกรณ์ครบ บนพื้นที่กว้างกว่าครัวในคอนโดยุคนี้หลายเท่าทีเดียว เอ่อ ถ้าฉันอิจฉาคุณป้า จะผิดมากมั้ย





ต้องใช้คำไหนระหว่าง ‘การท่องเที่ยว’ หรือ ‘การรักษา ฟื้นฟู’ หรือ ‘การสร้างบ้านหลังที่ 2’ หรือว่าจะเป็น ‘การทำอาชีพใหม่’ – ฉันถามอย่างคนขี้สงสัย

คุณลุงให้คำตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “รถคันนี้คือพาหนะที่พาเขาท่องเที่ยวได้ทั่วประเทศ ใต้สุดที่ผมไปคือปาดังเบซาร์ เหนือสุดคือดอยอินทนนท์ ถ้าบ้านเราอยู่ในหมู่บ้าน 100 หลังคาเรือน ถามว่าเราจะเดินไปบ้านโน้นบ้านนี้ รู้จักกันสักกี่หลัง เต็มที่ก็น่าจะ 4 หลัง แต่มาอยู่แบบนี้ เรามีเพื่อนบ้านทั่วประเทศ มีคนรู้จัก มีกัลยาณมิตรทั้งวัยรุ่นและผู้สูงวัย ที่คุยกันอายุมากที่สุดน่าจะ 88

“นี่คือการท่องเที่ยวที่ช่วยชุบชีวิต เรามีที่กรองอากาศบริสุทธิ์ในธรรมชาติที่ทุกคนมองไม่เห็น ป่าคือหม้อกรองที่ดีที่สุด” เอาล่ะ เครื่องกรองอากาศทุกยี่ห้อไม่ต้อง Tie-in นะ รู้ยัง

ทุกวันนี้คุณป้าไม่ต้องรับคีโมแล้ว มีค่าไตปกติ ไม่ต้องใช้วอล์กเกอร์ช่วยเดิน ค่อย ๆ ขึ้น-ลงรถด้วยตัวเองได้ และยังขี่จักรยานได้อีกด้วย สุขภาพแข็งแรงจนคุณหมอแปลกใจ

คงเพราะ “ฉันมีอาชีพท่องเที่ยว” ตามที่คุณป้าพูด คล้ายประโยคที่ใช้กรอกประวัติในช่อง Occupation


ครัวไทยสู่ครัวโล่ง




บ้านคันนี้มีพี้นที่ขนาด 2.50 x 5.00 ม. 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พร้อมเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานโซลาร์เซลล์เป็นตัวเก็บพลังงานจากแสงอาทิตย์ เราจึงมักเห็นรถบ้านคุณลุงคุณป้าจอดอยู่บนที่ที่มีแดด แต่ก็มีบริเวณที่ร่มรื่น นั่งสบาย ประหนึ่งเฉลียงหน้าบ้าน เป็นทั้งพื้นที่นั่งเล่นและครัวไทยเอาต์ดอร์ ขนาดใหญ่ครบเครื่อง (ปรุง)

“ใครแถวนี้ขาดอะไรก็มาขอที่นี่ได้” ฉันเชื่อด้วยหลักฐาน เมื่อคุณลุงถอดฝากล่องข้างรถออก จะพบกับชั้นเก็บสารพัดกระบวนเครื่องปรุงอาหารแบบที่หลายบ้านยังไม่ครบเท่านี้ เช่น น้ำมันงา เหล้าจีน หรือแม้แต่ผงกะหรี่ ก็ยังพบได้บนชั้นวางของข้างรถคันนี้

“ขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้ น้ำยาภาคกลาง กระเพาะปลา ขนมจีบ บ๊ะจ่าง ซาลาเปา ป้าก็นั่งปั้นตรงนี้ ของเราเยอะ เราก็จัดเต็มให้” ยืนยันด้วยการเปิดดูวัตถุดิบในตู้แช่แข็งที่ประกอบอยู่กับตัวรถอีกข้าง ซึ่งที่บ้านฉันก็ยังไม่เต็มแบบนี้ (อีกแล้ว)





“แต่ละคนมากิน ไม่ได้กินจานเดียว ถ้ากินได้เรายิ่งดีใจ เพราะส่วนนี้คือความสุขของเขา” คุณลุงยืนยันถึงความสุขของคุณป้า เจ้าของเสียงหวานที่ FC คุ้นเคย “อา ร้อย อา หร่อย”

เอ๊ะ! นี่ฉันนั่งอยู่ในเหลากลางกรุงหรือลานกางเต็นท์กันแน่ เริ่มไม่แน่ใจ

เมื่อพูดถึงเรื่องอาหารฝีมือคุณป้า คุณลุงอดไม่ได้ที่จะโม้ เอ้ย! ไม่ ได้ โม้ (กรุณาออกเสียงยาวและสูงแบบนักมวยชื่อดัง เพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่าน)

“ครั้งหนึ่งเราไปจอดนอนที่บางพระ ชลบุรี แล้วจะทำข้าวมันไก่ ก็บอกเพื่อน ๆ FC ไป แต่มีเงื่อนไขคือให้เอาหม้อข้าวมาหุงเอง เพราะหม้อหุงข้าวของเราใบเล็ก แต่เราซื้อไก่มา ทำข้าวมันไก่แจก

“สูตรเราไม่เหมือนใคร คนที่ชอบกินข้าวมันไก่ทุกคนมาเล่าให้ฟังว่ากินหมดหม้อ เพราะชอบข้าวมันไก่ป้าเกียวมาก ทำจนให้สูตรคนไปทำมาหากิน สร้างตัวกันได้ทีเดียว”

ฟังจบ ท้องของฉันร้องดังขึ้นมาแบบไม่ทันตั้งวอลุม เลยแก้เขินด้วยการเอื้อมตักข้าวเหนียวเปียกลำไยราดกะทิอบควันเทียนฝีมือคุณป้าเป็นถ้วยที่ 3 เสมือนรับประทานบุฟเฟต์ขนมหวานไม่อั้น ไม่จำกัดเวลายังไงอย่างงั้น





ต่อเรือนตามใจป้า ผูกอู่ตามใจลูก

นี่คือการสร้างบ้านที่ไม่ใช่ตึกสูง อาคารมินิมอล ทรงไทย หรือหลังคาจั่ว ไม่ต้องโบกปูน ไม่ได้ลงเสาเอก ลงแค่ใจ

“ใช้ใจนำทาง” วลีหวานนี้ยังใช้ได้เสมอ

บ้าน (คัน) นี้ สร้างขึ้นในแบบที่อยากให้คุณป้าสะดวกสบาย ผ่านการวางแผนทีละสเตป ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ปลูก สร้างบ้านและครอบครัวให้ดำเนินไปตามครรลองของวัน เวลา วาระที่ควรจะเป็นไป เมื่อถึงเวลา คงไม่ต้องเดาผลลัพธ์ที่ได้ให้เสียเวลา

เมื่อถึงเวลา ฤกษ์งามยามดี (12 ปีที่แล้ว) คุณลุงคุณป้าใช้ชีวิตกับรถบ้านบนผืนดินทั่วประเทศไทย ได้นอนหลับบนที่นอนอุ่น ๆ กินอิ่มกับอาหารฝีมือคุณป้า ย้ำว่า ‘ทุกมื้อ’ และบางมื้อก็แบ่งปันอาหารให้ผู้คน เพื่อนบ้าน รถคันอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ได้ออกกำลังกาย เดินเล่น สูดอากาศบริสุทธิ์ทุกเช้า กลางคืนได้สัมผัสอากาศ 20 องศาเซลเซียสในหน้าร้อนที่คนกรุงแทบจะเปิดแอร์ 3 เครื่องพร้อมกันในห้องเดียว

รถบ้านที่คุณลุงสร้างขึ้นมาให้เป็นแบบนี้ กับธรรมชาติในแบบที่เป็น ช่างลงตัวเหลือเกิน





(รถ) บ้านคันนี้ ไม่ใช่แค่สิ่งก่อสร้างหรือยานพาหนะที่ออกแบบมาเพื่อขับเคลื่อนเท่านั้น แต่นี่คือ พื้นที่ที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ความผูกพันที่สัมผัสได้เต็มหัวใจของครอบครัว

ซึ่งลูกทั้ง 3 คนก็ให้พ่อและแม่ใช้ชีวิตท่องเที่ยวอย่างอิสระ แต่ไม่ห่างเหินกัน

“เราแต่งงานอายุ 28 ลูกทั้ง 3 คนเรียนจบปริญญาตรีแล้วค่อยมาเรียนรู้จากพ่อ เราไม่ได้ผูกมัดลูกว่าต้องมาต่อยอดอาชีพจากพ่อแม่ เขาไปทำในสิ่งที่เขาถนัด เราไม่เคยหยุดอนาคตลูก

“พออายุ 58 เริ่มถอยทีละก้าว ปล่อยมือออกมาอยู่ข้างนอก ถ้ามีปัญหาลูกจะโทรถาม ให้เราเป็นที่ปรึกษา จนอายุ 62 ตั้งใจจะใช้ชีวิตแบบนี้ ไม่ยุ่งกับอะไร มาวันนี้อายุ 74 ก็เข้าปีที่ 12 แล้วที่อยู่ด้วยกันแบบนี้ ไปกันทั่วประเทศ”

ฉันรีบจดเลขเด็ดจากคุณลุง เพื่อเก็บกลับไปคิดวางแผนให้ชีวิตที่ก้าวเลย 5 แยกมาหลายปี

อีกไม่กี่ปีก็จะรับเบี้ยคนชราอย่างเต็มภาคภูมิ วางแผนและตั้งเป้าหมายไว้ ก่อนที่จะผ่านไปทีละเลข ทีละงวด ทีละเดือน ทีละปี เพราะไม่มีใครรู้ว่าเราจะผ่านและหยุดลงที่ตัวเลขใด

จงตั้งเป้าหมายไว้ที่ดวงจันทร์ เพราะถึงแม้คุณจะไปไม่ถึง คุณก็ยังได้อยู่ท่ามกลางหมู่ดาว – Les Brown





ไกลแค่ไหนคือใกล้

คุณลุงคุณป้าใช้ชีวิตวัยเกษียณกับบ้านที่อยู่บนผืนดินทุกอุทยานในประเทศไทย ใกล้ ไกล ทริปละ 1 – 2 สัปดาห์ หรือบางครั้งก็ยาวถึง 1 เดือน หรือ 7 เดือนก็เคย (ในช่วงโควิด)

ทั้งที่ว่าไกล ที่ว่ายาก อย่างปางอุ๋ง บ้านรักไทย ทั้งที่ต้องใช้ทักษะการขับรถก็ผ่านมาแล้ว จะกี่โค้ง ไม่ต้องนับ หนุ่ม ๆ สาว ๆ บางคู่ยังยอมแพ้ และคงไม่ต้องถามว่าคุณลุงได้พาคุณป้าไปอยู่หรือยัง น่าจะถามว่าอยู่ที่นั่นกี่เดือน

ความรักมักไม่แพ้ระยะทางเสมอไป (จำไว้นะลูกเอ้ย)

“ตอนนี้เขาไม่ได้กินยาเบาหวานแล้ว เหลือแค่ยาความดัน 1 เสี้ยว แต่ก่อนกินยาเป็นกำมือ ถ้า 3 ปีเอามารวมคงได้เป็นเข่ง เราจะไปไกลแค่ไหนก็มีวันที่กลับบ้าน คือไปหาหมอตามนัด กับวันที่ต้องไปไหว้บรรพบุรุษตามธรรมเนียมคนจีน เพราะเราเป็นบ้านหลักของญาติพี่น้อง”

“เราเลือกที่จะอยู่แบบนี้” คุณลุงยืนยัน





สุขภาพที่ดีคือสิ่งที่ได้รับจากการทำอาชีพท่องเที่ยวตามที่คุณป้าบอกไว้ ใครหลายคนอ่านมาถึงตรงนี้คงนึกอิจฉา แทบจะไปลาออกจากงานทันที แต่ แต่ อย่าเพิ่งใจร้อน

“ไม่ใช่ใครก็จะทำได้” คุณลุงให้ข้อคิด “ถ้าคุณยังปลดตัวเองไม่ได้ ยังยึดติดกับอะไรต่อมิอะไร การใช้ชีวิตลักษณะนี้ 100% ยังต้องขึ้นอยู่ที่กำลังและสุขภาพของเราด้วยว่าจะไปได้ยาวแค่ไหน สุขภาพดีก็ได้กำไรเยอะหน่อย ส่วนเงินก็สำคัญ เพียงแค่ว่าเวลาที่ออกมาคุณจะบริหารจัดการเงินอย่างไร แต่ทุกอย่างก็ไม่ใช่ว่าจะต้องใช้เงิน”

โอ้ว! คมกริบ บาดลึกกลางใจคนวัย 56 ย่าง 57 (ผู้เขียน) ฉันไปได้ไกลสักครึ่งหนึ่งของคุณลุงคุณป้าหรือไม่



#อยากอยู่กับเขา

เขาใหญ่คือทำเลที่คุณลุงคุณป้าเลือกมาบ่อยที่สุด เพราะอากาศบริสุทธิ์ที่เขาใหญ่เหมาะสำหรับคุณป้าที่ใช้ธรรมชาติบำบัดและฟื้นฟูร่างกาย ซึ่งทุกครั้งบ้านจะ (จอด) อยู่ตรงนี้ ที่ที่มีแสงแดด เพราะบ้านหลังนี้ใช้ระบบไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์

ฝนตก แดดออก คุณลุงคุณป้าจะนั่งอยู่บริเวณด้านข้างของรถ ใต้เต็นท์ผ้าใบคลุมเหมือนเป็นศาลาหย่อนใจหรือเป็นบ้านเล็ก ๆ อีกหลังที่ต่อเติม ตรงนี้เป็นที่นั่งทำกับข้าวสำหรับต้อนรับ แบ่งปัน แจกจ่าย พูดคุยกับเพื่อนเต็นท์ข้าง ๆ หรือเซลฟี่กับ FC จากทุกสารทิศที่ติดตามเพจแล้วตั้งใจเดินทางมาทักทายไม่เคยขาดสาย

คุณลุงบอกว่าสุขภาพดี ชีวิตยืนยาว ทำได้ด้วยหลัก 4 อ คืออาหาร อากาศ ออกกำลังกาย อารมณ์

ฉันขอเพิ่มให้คุณลุงคุณป้าอีก 4 ส

1. สุขได้แบ่งปัน

2. สนุกได้ท่องเที่ยว

3. สดชื่นด้วยอากาศบริสุทธิ์

และ 4. สุด สุด ที่ เขา เลือก





ยัง ยังไม่จบ! (เกือบลืม)

ในการพูดคุยวันนั้น คุณลุงหยั่งเชิงฉันว่า “ผมจะรอว่าคุณจะถามคำถามนั้นกับผมไหม”

ฉันไม่แน่ใจว่าหนึ่งคำถามนั้น คือคำถามนี้ที่ฉันกลั้นใจถามขึ้นมาเป็นคำถามสุดท้ายหรือไม่

ฉัน : ถ้าไม่มี ‘เขา’ คุณลุงจะยังอยู่แบบนี้อีกไหม

คุณลุง : รถคันนี้ออกแบบมาเพื่อ ‘เขา’ กว่าที่จะได้อยู่กันแบบนี้ เราผ่านความลำบาก ร้องไห้ด้วยกัน ต่อสู้กันมามาก มันเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้งทั้งที่ไม่ได้ผูกพันด้วยความรัก (ถ้าใครอ่านประโยคนี้แล้วไม่เข้าใจ แนะนำให้กลับไปอ่านบรรทัดแรกด้านบนอีกครั้ง)

ฉันลากลับโดยที่ทั้งฉันและคุณลุงไม่มีคำถามใดค้างคาซึ่งกันและกันอีกต่อไป

รถ – บ้าน – บ้าน – รถ – บ้าน – รถ – บ้าน – รถ – บ้าน – รถ – บ้าน – รถ – บ้าน – รถ – บ๊าย บาย





The Cloud Golden Week : Happy Young Old : (ถึง) คราวคึกคัก
ภาพ : ลุงวิทย์ป้าเกียวรถบ้านพเนจร

.

Writer
กมลรัตน์ อุทัยเสน
ตอนเป็น ด.ญ. ได้คะแนนเรียงความเต็ม 10 หรือเกือบเต็ม ไล่ล่ารางวัลประกวดเรียงความ คำขวัญ กลอนสี่สุภาพ กลอนเปล่า ทุกเทศกาล ทุกนิตยสาร พอโตขึ้น ก็เลยนึกว่าตัวเองเขียนเก่ง (ชอบกินชาเย็นสีส้มมาก)

Photographer
วินัย งามผาติพงศ์
ไม่อยากเรียกตัวเองว่าช่างภาพ แค่เป็นคนชอบถ่ายรูป และมีความสุขที่ได้บันทึกสิ่งที่น่าจดจำ

.


.
ขอขอบคุณที่มาของเรื่อง
https://readthecloud.co/retirement-motorhome/

.




64
รอยยิ้มที่หายไปในภาพถ่ายเก่า โดย นักรบ มูลมานัส


https://readthecloud.co/siamese-with-photography/

จดหมายเหตุ

รอยยิ้มที่หายไปในภาพถ่ายเก่า
ดูภาพถ่ายโบราณและฟังเหตุผลว่าทำไมบรรพบุรุษเรากลับไม่ค่อย Say Cheese เวลาชักภาพ

เรื่อง นักรบ มูลมานัส

.

Home /Art & Culture/จด *หมายเหตุ
7 กรกฎาคม 2020

ใน ค.ศ. 2017 Samsung เผยสถิติที่น่าสนใจว่า ในช่วงชีวิตหนึ่ง มนุษย์คนหนึ่งจะถ่ายภาพตนเองโดยเฉลี่ยเป็นจำนวนถึง 25,000 ภาพ และใน ค.ศ. 2014 Google Statistics เสนอว่าในปีนั้นมีภาพเซลฟี่เกิดขึ้นทั่วโลกประมาณวันละ 93 ล้านภาพ ถ้าหากเรายังใช้กล้องฟิล์มกันอยู่ล่ะก็ จะต้องใช้ฟิล์มถึง 2,583,333 ม้วนต่อวันเลยทีเดียว

ทุกวันนี้เมื่อเลื่อนปราดผ่านฟีดในสื่อโซเชียลทั้งหลาย เราเห็นภาพถ่ายบุคคลทั้งเซลฟี่บ้าง ไม่เซลฟี่บ้าง จำนวนนับไม่ถ้วน รูปเหล่านั้นล้วนเต็มไปด้วยการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ราวกับเป็นแบบปฏิบัติไปแล้วว่า เมื่อมีใครสักคนยกกล้องถ่ายรูปหรือโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพร้อมถ่ายภาพ ผู้ถูกถ่ายก็จะแย้มยิ้มขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าเขาหรือเธอจะอยู่ในสภาวะอารมณ์แบบไหนก็ตาม

ก่อนค่านิยม Say Chesse จะมาถึง เมื่อกลับไปสำรวจภาพถ่ายโบราณทั้งของไทยและเทศ เรากลับไม่ค่อยพบรอยยิ้มพิมพ์ใจเหล่านั้น บรรพบุรุษของเราในภาพขาวดำมักแสดงสีหน้าเรียบเฉย ใช่ว่าท่านเหล่านั้นจะไร้สุขทุกข์ตรมกว่าพวกเราเสียเมื่อไร ภายใต้ภาวะไร้รอยยิ้มและการค่อยๆ ปรากฏขึ้นของรอยยิ้มในภาพถ่ายจะพาเราไปสำรวจค่านิยมทางวัฒนธรรมที่กำกับการแสดงออกของสีหน้าท่าทางยามถ่ายรูป ตั้งแต่ยุคกำเนิดกล้องถ่ายภาพ จนกระทั่งยุคสมัยที่เราทั้งผลิตและเสพภาพเซลฟี่จำนวนมหาศาลในทุกวันนี้

กล้องถ่ายภาพที่ทำสำเนาสิ่งที่สายตามนุษย์แลเห็นออกมาเป็นภาพบนระนาบสองมิติได้เกิดขึ้นราว ค.ศ. 1820 (เทียบเป็น พ.ศ. คือราว พ.ศ. 2360) ในทศวรรษเดียวกันนั้นเองนวัตกรรมนี้ก็เข้ามายังสยาม ในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยบาทหลวงชาวฝรั่งเศส

ในเบื้องแรกการถ่ายรูปไม่เป็นที่นิยมชมชอบในหมู่ชาวไทย ด้วยความเชื่อเชิงมนตราอาถรรพ์ว่า การจำลองภาพของตนเองออกมาอาจเป็นการแยกวิญญาณออกมาจากร่าง (อาจจะคล้ายๆ กับการสร้าง Horcrux ของ Lord Voldemort ในวรรณกรรม Harry Potter) ทำให้อายุสั้นลง หรือรูปดังกล่าวจะเป็นสื่อแทนตนให้ผู้อื่นนำไปทำคุณไสยได้

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตรัสว่า เมื่อการถ่ายรูปเริ่มเข้ามาในสยามนั้น “คนแก่ๆ ก็ยังมีความรังเกียจกันมาก” (จากพระราชนิพนธ์ พระราชพิธี 12 เดือน) เช่นเดียวกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวไว้ในพระหัตถเลขา (สาส์นสมเด็จ) “เมื่อแรกมีช่างถ่ายรูปฉายาลักษณ์เข้ามา มิใคร่มีใครยอมให้ถ่าย ด้วยเกรงว่าจะเอารูปไปใช้ทำร้ายด้วยกฤตยาคม… มีใครอีกคนหนึ่ง หม่อมฉันลืมชื่อไปเสียแล้ว ไปถ่ายรูปที่ร้านนายจิตร นายจิตรถ่ายเป็นรูปครึ่งตัว เจ้าของเห็นเข้าก็ตกใจตีโพยตีพายว่าจะตัดตัวให้เป็นอันตราย ทูลหม่อมไม่ทรงถือ ทั้งถ่ายรูปและปั้นรูปก่อนคนอื่น”

‘ทูลหม่อม’ ในพระหัตถเลขาหมายถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ผู้มีพระราชดำริก้าวหน้า พระองค์ทรงสนใจนวัตกรรมจากตะวันตกรวมไปถึงการถ่ายภาพ ในรัชกาลของพระองค์ได้โปรดให้ช่างภาพชาวตะวันตกเข้ามาฉายพระรูปหลายครั้ง

และพระองค์ยังทรงใช้ภาพถ่ายในการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของพระองค์เอง โดยส่งภาพถ่ายในระบบดาแกร์โรไทป์ (Daguerreotype-เทคนิคการถ่ายภาพในสมัยแรกเริ่ม เป็นการฉายภาพลงบนแผ่นโลหะ ไม่สามารถทำสำเนาอีก)  ไปมอบให้ผู้นำประเทศมหาอำนาจในยุคนั้น อย่างสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียแห่งอังกฤษ และประธานาธิบดี แฟรงคลิน เพียร์ซ (Franklin Pierce) แห่งสหรัฐอเมริกา เป็นการเผยโฉมหน้าที่แท้เที่ยงของผู้นำสยามเป็นครั้งแรก ซึ่งในยุคนั้นเปรียบได้กับโฉมหน้าของรัฐ การส่งภาพถ่ายไปเป็นของขวัญแสดงถึงความภาคภูมิในอารยธรรมของและอัตลักษณ์ตนเอง ในขณะเดียวกันก็แสดงถึงความสามารถในการเปิดรับและสรรหาประดิษฐกรรมใหม่เข้ามาใช้ในการนิยามความก้าวหน้าของประเทศอีกทางหนึ่ง



พระบรมฉายาลักษณ์ที่ส่งไปถึงสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย
ภาพ : Royal Collection Trust

.


พระบรมฉายาลักษณ์ที่ส่งไปถึงประธานาธิบดี แฟรงคลิน เพียร์ซ
Collection ของ National Museum of American History
ภาพ : สถาบัน Smithsonian

เอนก นาวิกมูล ให้ข้อมูลเรื่องการถ่ายรูประบบดาแกร์โรไทป์ไว้ในหนังสือ ประวัติการถ่ายรูปยุคแรกของไทย ไว้ว่า “ความไวแสงยังด้อย เวลาจะถ่าย ต้องให้คนนิ่งๆ ทีละครึ่งชั่วโมง ในต่างประเทศมีแกนเหล็กให้พิงคอเอาไว้แก้เมื่อยและกันไม่ให้เคลื่อนไหว” หลายปีก่อนสำนักพิมพ์ River Books จัดนิทรรศการ “สยามผ่านมุมกล้องจอห์น ทอมสัน (John Thomson)” ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หอศิลป์ ในครั้งนั้นได้ขยายภาพจากฟิล์มกระจกต้นฉบับที่เก็บไว้ ณ Wellcome Collection ประเทศอังกฤษ ออกมาเป็นภาพขนาดใหญ่ เป็นที่น่าสังเกตว่าในภาพถ่ายบุคคลหลายๆ รูปจะเห็นแกนเหล็กสำหรับพิงคอตั้งอยู่ด้านหลังผู้เป็นแบบด้วย ทำให้เรารู้ว่าสิ่งประดิษฐ์นี้ได้นำเข้ามาใช้ในสยามเช่นกัน แม้ว่าจอห์น ทอมสัน จะไม่ได้ถ่ายภาพด้วยระบบดาแกร์โรไทป์แล้ว วิธีการถ่ายภาพฟิล์มกระจก ด้วยเทคนิค Wet Collodion Process On Glass ก็ยังต้องให้ผู้เป็นแบบนิ่งไว้เป็นเวลาหลายนาที เมื่อต้องค้างอากัปกริยาไว้ในท่าทางหนึ่งเป็นเวลานาน นี่เองอาจเป็นเหตุผลแรกที่ไม่เอื้อให้เกิดรอยยิ้มในภาพถ่ายยุคแรก

.


United States Library of Congress แสดงภาพช่างภาพกำลังถ่ายภาพตนเอง ในรูปนี้นอกจากเราจะเห็นอารมณ์ขันและเทคนิคการตกแต่งภาพยุคแรกแล้ว ยังแลเห็นแกนเหล็กสำหรับพิงคอที่ใช้เป็นอุปกรณ์ประกอบในการถ่ายภาพยุคแรกอีกด้วย
ภาพ : loc.gov

.


พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉายโดยจอห์น ทอมสัน ในภาพจะเห็นฐานของแกนเหล็กสำหรับพิงพระศออยู่ด้านหลังพระเก้าอี้
ภาพ :  Wellcome Collection

.


พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะทรงพระเยาว์ ฉายโดยจอห์น ทอมสัน ในภาพจะเห็นฐานของแกนเหล็กสำหรับพิงพระศออยู่ด้านหลังพระบาท
ภาพ : Wellcome Collection

อีกหนึ่งเหตุผลที่มักจะหยิบยกมาพูดกันคือเรื่องสุขภาวะทันตกรรมที่ยังล้าหลัง ในสมัยนั้นผู้คนทุกชนชั้นมีปัญหาเรื่องฟัน จึงมีผู้สันนิษฐานว่าเมื่อต้องถ่ายภาพก็ไม่อยากจะแย้มยิ้มเผยให้เห็นฟันที่ขี้ริ้วขี้เหร่ (หรือความจริงที่ว่าไม่มีฟันหลงเหลืออยู่เลย) แต่นักประวัติศาสตร์จำนวนมากไม่เห็นด้วยกับเหตุผลข้อนี้

จริงอยู่ว่าเทคโนโลยีทันตกรรมที่พัฒนาขึ้นทำให้เกิดรอยยิ้มมากขึ้นทั้งในภาพถ่ายและในชีวิตประจำวัน แต่สุขภาวะทันตกรรมที่ไม่ก้าวหน้าก็มิได้เป็นเหตุผลสำคัญที่จะทำรอยยิ้มในภาพถ่ายไม่เกิดขึ้น สิ่งประประดิษฐ์ที่จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างฟันปลอมก็มีใช้มาอย่างยาวนาน

ชาวอีทรัสกัน (Etruscans) ประดิษฐ์ฟันปลอมขึ้นตั้งแต่ 2,700 ปีที่แล้ว บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์อเมริกาอย่างประธานธิบดีจอร์จ วอชิงตัน (George Washington) มีฟันปลอมอย่างน้อย 4 ชุด เขาเริ่มใช้ฟันปลอมตั้งแต่ ค.ศ. 1781 (เทียบได้กับ พ.ศ. 2324 ก่อนกำเนิดกรุงรัตนโกสินทร์ 1 ปี) โดยฟันปลอมเหล่านั้นทำมาจากเขี้ยวฮิปโป งาช้าง หรือแม้กระทั่งฟันจริงๆ ของทาส

.


ฟันปลอมของประธานธิบดีจอร์จ วอชิงตัน
ภาพ : Library of Congress

ข้ามมาที่ฝั่งไทย แหม่มแอนนา (Anna Leonowens) ผู้โด่งดังเขียนถึงความลับประการหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไว้ว่า “พระองค์สูญพระทนต์ทั้งปากตั้งแต่เด็ก และสวมใส่พระทนต์ปลอมทำจากไม้ฝาง อันเป็นความลับที่พระองค์เก็บไว้อย่างหวงแหนที่สุดตราบจนวันสวรรคต” (จากหนังสือ English governess at the Siamese court)  เอนก นาวิกมูล ยังกล่าวในหนังสือ เรื่องประหลาดเมืองไทย ว่ารัชกาลที่ 4 ทรงมีพระทนต์ปลอมไม่ต่ำกว่า 3 ชุด

ก่อนจะมีรูปถ่าย มนุษย์พยายามถ่ายทอดภาพลักษณ์ของตัวเองออกมาด้วยการวาดภาพมานับร้อยนับพันปี เมื่อการถ่ายภาพมาถึง แบบแผนธรรมเนียมของการวาดภาพเหมือนก็ถูกนำมาใช้กับการถ่ายภาพด้วย และนี่เองคือคำอธิบายที่มีน้ำหนักที่สุดของคำถามที่ว่า ทำไมเราจึงไม่เห็นรอยยิ้มในภาพถ่ายยุคแรก

ในอดีตผู้มีอำนาจ (และมีทรัพย์) ว่าจ้างจิตรกรฝีมือดีมาวาดภาพเหมือนเพื่อประกาศอำนาจทางเศรษกิจ (งานศิลปะเป็นของฟุ่มเฟือยมีราคาค่างวดมาก ยิ่งถ้าได้ศิลปินดังค่าตัวสู่งลิ่วมาวาดให้ยิ่งการันตีอำนาจด้านนี้) วัฒนธรรม (ความรุ่มรวย มีอารยะ มีรสนิยม มีหน้ามีตา) และการเมือง (ภาพเหมือนสามารถตั้งไว้หรือส่งไปที่ต่างๆ เพื่อเป็นการโฆษณาชวนเชื่อคุณสมบัติอันพึงประสงค์ของผู้เป็นแบบ)

Portrait หรือภาพเหมือนจึงต้องส่งเสริมภาพลักษณ์ที่เป็นทางการของผู้ว่าจ้าง การวาดภาพเหมือนจึงเหมือนกับการบันทึกชีวิตทั้งชีวิตและเกียรติประวัติทั้งหมดทั้งมวลของผู้เป็นแบบให้อยู่ในภาพเดียว และภาพนั้นจะเป็นภาพแทนที่ผู้คนจะจดจำตลอดไป ผู้เป็นแบบจึงต้องอยู่ในท่าทางที่เป็นทางการที่สุด ผ่านการคิดและจัดแต่งอย่างพิถีพิถัน จิตรกรพร้อมปรับปรุงตกแต่งองค์ประกอบที่บกพร่องด้วยฝีแปรง ไม่ต่างอะไรกับการรีทัชใน Photoshop ในทุกวันนี้

รอยยิ้มไม่ปรากฏอยู่ในภาพเหมือน เพราะนอกจากถูกตีความว่าเป็นการแสดงออกที่ไม่เป็นทางการแล้ว
ค่านิยมในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในยุโรปยังเห็นว่าการยิ้ม โดยเฉพาะยิ้มกว้างหรือยิ้มที่เผยให้เห็นฟันเป็นอากัปกริยาที่ต่ำช้า ยิ้มกว้างแสดงถึงความยากจน ความลามก ความยั่วยวน ความบ้า ความเมามาย ความไร้เดียงสา และความตลกไร้สาระ

Jean-Baptiste de La Salle นักบุญชาวฝรั่งเศสเขียนหนังสือทำนอง ‘สมบัติผู้ดี’ (The rules of christian decorum and civility) ตีพิมพ์เมื่องต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 มีเนื้อความตอนหนึ่งว่า “บางบุคคลนั้นเผยริมฝีปากบนขึ้นสูง… จนเกือบจะทำให้มองเห็นฟันได้ทั้งหมด นี่ช่างตรงข้ามกับสมบัติผู้ดีที่ไม่อนุญาตให้เราเผยฟันของเราออกมา ก็ด้วยเพราะธรรมชาตินั้นประทานริมฝีปากมาให้เราสำหรับปกปิดฟันเหล่านั้นอยู่แล้ว”

ด้วยค่านิยมนี้ ภาพวาดชื่อ Amor Vincit Omnia “Love Conquers All” ของ คาราวัจโจ (Caravaggio) จึงขึ้นชื่อว่าอื้อฉาวเพราะแหวกทั้งขนบการวาดภาพและขนบจริยธรรมอันดีงาม คิวปิดหนุ่มน้อยเปล่าเปลือยล่อนจ้อนกำลังส่งยิ้มจนเห็นฟัน

ศิลปินจงใจเล่นกับเส้นแบ่งของความไร้เดียงสาและการยั่วยวน นักประวัติศาสตร์ศิลปะตีความว่าภาพนี้เป็นการเฉลิมฉลองให้กับความรัก โดยเฉพาะกับความรักของเพศเดียวกันที่เป็นเรื่องผิดจารีตในสมัยนั้น อีกหนึ่งรอยยิ้มในภาพวาดที่แม้จะมิได้ยิ้มกว้างจนเห็นฟัน แต่ยิ้มกระหยิ่มน้อยๆ ของ Monalisa ก็สร้างความฉงนฉงายให้ผู้คนตีความกันไปต่างๆ นานามิรู้จบ อาจเป็นเพราะยิ้มน้อยๆ (ที่แหวกขนบ) ของเธอหรือไ่ม่ ที่ทำให้ภาพนี้แตกต่างและเป็นที่จดจำที่สุดในโลกศิลปะ

.


“Amor Vincit Omnia” Michelangelo Merisi da Caravaggio
ภาพ : www.arteworld.it

.


Mona Lisa โดย Leonardo da Vinci สีในภาพนี้ถูกปรับแต่งตามข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ศิลปะให้คล้ายคลึงกับสีของภาพวาดเมื่อแรกวาด
ภาพ : commons.wikimedia.org

เมื่อการถ่ายภาพเข้ามารับช่วงต่อจากการวาดภาพเหมือน แบบแผนความเป็นทางการและความเป็นพิธีการรวมถึงสุนทรียศาสตร์ของการวาดภาพเหมือนก็ถูกนำมาใช้กับการถ่ายภาพด้วย ไม่ว่าจะเป็นการจัดองค์ประกอบ ท่าโพส และแน่นอนที่สุด การแสดงออกถึงความรู้สึกทางสีหน้าท่าทาง ด้วยเหตุนี้รอยยิ้มจึงไม่ปรากฏในภาพถ่ายยุคแรก

ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉยและความเป็นทางการในท่าทาง ในแง่นี้ภาพถ่ายยุคแรก (หรือแม้กระทั่งภาพถ่ายในปัจจุบัน) จึงอาจจะไม่ได้แสดงตัวตนที่แท้จริงของผู้ถูกถ่าย เพราะมีขนบหรือค่านิยมมากกมายเข้ามากำกับเราไว้ (แม้กระทั่งค่านิยมการยิ้มเมื่อถูกถ่ายรูปในปัจจุบันด้วยใช่หรือไม่)

ดังที่โรล็องด์ บาร์ตส์ (Roland Barthes) นักทฤษฎีวรรณคดีและนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสเล่าถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในประสบการณ์การถ่ายรูปไว้ว่า เมื่อถูกเฝ้ามองโดนเลนส์ (Observed by the lens) เขาก็ได้สถาปนาตัวตนในกระบวนการของ ‘การโพส’ (Constitute myself in the process of ‘posing’) ซึ่งเป็นการสร้างอีกหนึ่งร่างขึ้นมาใหม่ (Make another body for myself) ในภาวะนั้นเขาได้เปลี่ยนแปลงตนเองให้กลายเป็นภาพโดยล่วงหน้าไปแล้ว (I transform myself in advance into an image ข้อเขียนจาก Camera lucida : Reflections on Photography)

เมื่อกลับมาพิจารณาภาพเก่าๆ ในประวัติศาสตร์ไทย จะเห็นว่าภาพถ่ายบุคคลที่ปรากฏในสมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที่ 5 ล้วนดำเนินไปตามขนบค่านิยมแบบตะวันตก ผู้คนในภาพถ่ายล้วนมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงอาการแย้มยิ้ม แต่ก็มีภาพถ่ายบุคคลจำนวนหนึ่งที่เราจะเห็นรอยยิ้มอยู่ในนั้น เช่นภาพของคนัง เงาะป่าที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวชุบเลี้ยงไว้ในวัง

รอยยิ้มในภาพถ่ายของคะนังอาจบอกได้ว่าเขาถูกมองอย่างไรในสายตาของราชสำนัก ข้อแรกคือแตกต่างจากไปจากภาพถ่ายเจ้านายทั้งหลายที่อยู่ในอิริยาบถงดงาม พระพักตร์เรียบเฉย อันเป็นแบบแผนปฏิบัติของผู้ดี ในรูปถ่ายของคนังเราจะเห็นว่ามีทั้งยิ้มน้อยๆ จนไปถึงยิ้มกว้างจนเห็นฟัน คนังอาจละเมิดแบบแผนในการถ่ายภาพได้ เพราะเขาไม่ได้ถูกนับรวมอยู่ในความเป็นผู้ดีนั้น อีกข้อหนึ่งคือการรับรู้เรื่องเงาะป่าในราชสำนักสยามผูกติดมากับภาพจำของ ‘เงาะป่าบ้าใบ้’ ในวรรณคดีเรื่อง สังข์ทอง ซึ่งเงาะป่าในเรื่องถูกมองว่ามีรูปลักษณ์ประหลาดมีกิริยาน่าขัน คนังจึงอาจถูกคาดหวังให้ยิ้มออกมาทั้งในภาพถ่ายและในชีวิตจริง มากกว่าที่จะทำสีหน้าเรียบเฉยด้วยซ้ำ

.





ภาพ : หนังสือบทละครเรื่องเงาะป่า จุฬาลงกรณ์ราชบรรณาลัย


ภาพ : www.thaiglassnegative.com

ภาพถ่ายพร้อมรอยยิ้มของคนังเป็นที่ชื่นชอบในราชสำนักและเป็นที่ชื่นชอบของคนังเองด้วย ในปลาย พ.ศ. 2448 รัชกาลที่ 5 โปรดฯ ให้ถ่ายรูปคนังพิมพ์ขายที่ร้านถ่ายรูปหลวงในงานวัดเบญจมบพิตร โดยขายแผ่นละ 3 บาท ซึ่งเป็นราคาที่แพงมากในสมัยนั้น แต่ก็ปรากฏว่าขายดิบขายดี ผู้คนอยากได้กันมาก กระทั่งจบงานรูปคนังขายได้เกือบ 400 รูป รัชกาลที่ 5 ทรงแบ่งรายได้ออกเป็น 3 ส่วน ส่วนหนึ่งถวายวัด ส่วนหนึ่งเป็นค่ากระดาษน้ำยาพิมพ์รูป และคนังได้รับค่าตัวเกือบ 400 บาทในการเป็นนายแบบในงานนี้

คนังยังนึกถึงถิ่นที่จากมาและประสงค์จะส่งภาพถ่ายตนเองไปให้ญาติพี่น้อง รัชกาลที่ 5 ทรงรับเป็นธุระให้โดยมีพระราชหัตถเลขาไปถึงพระยาสุขุมนัยวินิต (ปั้น สุขุม) ว่า “ด้วยอ้ายคนังฝากรูปไปให้พี่น้อง ได้ส่งออกมาด้วยแล้ว ถ้ามีช่องทางที่ใครไปตรวจราชการที่นั้น ขอให้นำส่งให้มันด้วย”

.




ภาพ : หนังสือบทละครเรื่อง เงาะป่า จุฬาลงกรณ์ราชบรรณาลัย

ท่ามกลางบรรดาภาพถ่ายเจ้านายในสมัยรัชกาลที่4 ถึงรัชกาลที่ 5 ที่แทบจะไม่ปรากฏรอยยิ้มโดยเฉพาะยิ้มกว้างจนเห็นฟันเลย หนึ่งรอยยิ้มที่ปรากฏคือรอยแย้มพระสรวลของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม พระราชโอรสในรัชกาลที่ 4 ซึ่งปรากฏทั้งภาพแย้มพระสรวลและภาพแลบพระชิวหา ซึ่งอาจจะบอกเล่าบุคลิกอัธยาศัยของพระองค์ได้

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบันทึกถึงเจ้านายพระองค์นี้ไว้ว่า “นิสัยกรมหลวงประจักษ์เปนคนชอบล้อคนอื่น และทำให้เขาถูกเยาะได้เปนพอใจ, ชอบแกล้งคนโดยวิธีต่างๆ อยู่เสมอๆ” ในพระราชนิพนธ์ ไกลบ้าน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็บันทึกไว้ว่า “กรมประจักษ์คลั่งล้อคนเรื่องเมียๆ”

เหตุการณ์ล้อเล่นที่หนักที่สุดเห็นจะเป็นที่รัชกาล 6 บันทึกไว้ว่า “ในระหว่างเวลาไปยุโรปได้ไปทำสกะปรกต่างๆ มาก, และที่จัญไรที่สุดคือได้ไถ่ปัสสาวะลงในแก้วน้ำเสวย” ทั้งรอยยิ้มในภาพถ่ายและการกระทำของเจ้านายพระองค์ละเมิดแบบแผนความเป็นเจ้านายในสมัยนั้น (รัชกาลที่ 6 ทรงมองว่าสิ่งเหล่านี้คือความชั่ว ถึงกับบันทึกเป็นหัวข้อชื่อ “ความชั่วต่างๆ ของกรมหลวงประจักษ์” ในพระราชนิพนธ์ ประวัติต้นรัชกาลที่ 6) ทำให้กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคมทรงถูกลงโทษมิให้เข้าเฝ้าฯ รัชกาลที่ 5 เป็นการส่วนพระองค์อีก

.




ภาพ : หนังสือประวัติการถ่ายรูปยุคแรกของไทย

ในโลกตะวันตก รอยยิ้มเริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้นในภาพถ่ายตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 1920 หลังจากที่กล้องถ่ายภาพถือกำเนิดขึ้นมา 1 ศตวรรษ เมื่อการถ่ายภาพเริ่มแพร่หลายขึ้น ด้วยต้นทุนที่ต่ำลงและถ่ายได้ในทุกสถานการณ์ ความเป็นทางการและบรรยากาศขึงขังของการถ่ายภาพในสตูดิโอเริ่มเสื่อมถอยลง ผู้คนเริ่มรู้สึกผ่อนคลายกับการถ่ายถาพมากขึ้น สังคมสยามก็เช่นเดียวกัน ในภาพถ่ายตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เป็นต้นมา เราจะเห็นรอยยิ้มมากขึ้นในภาพถ่าย

.


ภาพถ่ายสมัยรัชกาลที่ 6 จากนิทรรศการฉัฐรัช : พัสตราภรณ์ – ย้อนมองอาภรณ์สตรีสยาม แลตามแฟชั่นโลก
โดยกรมศิลปากร มูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และมูลนิธิเพชรรัตน์-สุวัทนา
ภาพ : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ

.


ภาพเจ้าพระยารามราฆพ ถ่ายในสมัยรัชกาลที่ 6
ภาพ : สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ

อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้รอยยิ้มแพร่หลายในภาพถ่ายมากขึ้นที่เราอาจคาดไม่ถึงคือการทำการตลาด ใน ค.ศ. 1920 เช่นกันที่บรรดาผลิตภัณฑ์ห้างร้านตีพิมพ์โฆษณาภาพนางแบบนายแบบยิ้มกว้างกับผลิตภัณฑ์เพื่อสื่อถึงความพึงพอใจในสินค้า ผู้คนจึงเห็นแต่ภาพคนยิ้มในสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ ประกอบกับการทำการตลาดอย่างหนักหน่วงของบริษัทกล้องถ่ายรูปและฟิล์มยักษ์ใหญ่อย่าง Kodak ที่พยายามเชื่อมโยงการถ่ายภาพกับความสุขและรอยยิ้ม เห็นได้จากภาพโฆษณามากมายที่ทำให้ผู้คนรับรู้ถึงการถ่ายภาพในฐานะกิจกรรมแสนสุข กิจกรรมที่ทำผู้คนได้ร่วมกันเก็บความสุขความทรงจำอันมีค่าไว้ร่วมกัน

.









โฆษณา Kodak ในยุคต่างๆ

ทุกวันนี้ภาพถ่ายส่วนหนึ่งกลายเป็นหลักฐานของการเข้าสังคม ในโซเชียลเน็ตเวิร์กเต็มไปด้วยภาพรอยยิ้ม ที่ทุกคนพยายามจะบอกตัวเองและผู้อื่นให้รู้ว่าฉันมีความสุข เราทั้งมองเห็นและมองไม่เห็นว่าใต้รอยยิ้มเหล่านั้นซ่อนอะไรอยู่ เช่นเดียวกับที่เราทั้งเห็นและไม่เห็นเหมือนกันว่าใต้ใบหน้าที่เรียบเฉยในภาพถ่ายโบราณนั้นมีอะไรซ่อนไว้ ภาพถ่ายถ่ายทอดความเป็นจริงได้มากน้อยแค่ไหนกัน?

.


ข้อมูลอ้างอิง

จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. ไกลบ้าน. นนทบุรี : ศรีปัญญา, 2561.
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. พระราชพิธีสิบสองเดือน. กรุงเทพฯ : แสงดาว, 2556.
ไพศาลย์ เปี่ยมเมตตาวัฒน์. สยาม ผ่านมุมกล้องจอห์น ทอมสัน 2408-9. กรุงเทพฯ : ริเวอร์บุ๊คส์. 2558
ราม วชิราวุธ (นามแผง). ประวัติต้นรัชกาลที่ 6. กรุงเทพฯ : มติชน. 2555
ลีโอโนเวนส์, แอนนา แฮร์เรียต. อ่านสยามตามแอนนา : การบ้านและการเมืองในราชสำนักคิงมงกุฎ. สุ.
ภัตรา ภูมิประภาส และ สุภิดา แก้วสุขสมบัติ แปล. กรุงเทพฯ : มติชน, 2562.

สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ, เฉลิมฟิล์มกระจก ฉลองมรดกความทรงจำแห่งโลก. กรุงเทพฯ : ไซเบอร์พริ้นท์กรุ๊ป, 2561.

สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ. ฟิล์มกระจกจดหมายเหตุ หนึ่งพันภาพประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ : สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร, 2559.ศักดา ศิริพันธุ์. กษัตริย์กับกล้อง วิวัฒนาการภาพถ่ายในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์. 2535.

เอนก นาวิกมูล. ประวัติการถ่ายรูปยุคแรกของไทย. กรุงเทพฯ : สารคดี, 2548.
เอนก นาวิกมูล. เรื่องประหลาดเมืองไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : แสงแดด, 2538.
Bautze, Joachim K.. “Unseen Siam: Early Photography 1860-1910”.Bangkok:River Books.2016.
Barthes, Roland. Camera Lucida: Reflections on Photography. Trans. Richard Howard. London: Vintage Classics. 2006.
publicdomainreview.org/
sites.uni.edu/fabos/seminar/readings/cheese.pdf
www.theguardian.com
time.com/

.


Writer
นักรบ มูลมานัส
นักคุ้ยของเก่าผู้เล่าเรื่องผ่านการสร้างภาพ (ประกอบ) ที่อยากจะลองเล่าเรื่องผ่านตัวอักษรดูบ้าง

.


ขอขอบคุณที่มาของเรื่อง
https://readthecloud.co/siamese-with-photography/

.
 



65
บ้านแมว ที่เชียงใหม่ของ จูดี้-จุรีพร ไทยดำรงค์


Have a Nice Stay
บ้านแมว
Suan Meow Cat Garden Mae Wang : Airbnb ที่เป็นบ้านแมวจรจัด 63 ตัวกลางสวนส้มและป่า 300 ไร่ ที่เชียงใหม่ของ จูดี้-จุรีพร ไทยดำรงค์

เรื่อง ทรงกลด บางยี่ขัน, ภาพ กรินทร์ มงคลพันธ์

.

Home /Travel/Have a Nice Stay
12 พฤศจิกายน 2022


“มานอนค้างไหม”

“นอนตรงไหนพี่”

“นอนกับแมวได้”

“นอนในกรงแมวน่ะเหรอครับ”

นั่นคือบทสนทนาระหว่างผมกับ จูดี้-จุรีพร ไทยดำรงค์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายสร้างสรรค์ GREYnJ UNITED ถ้าแนะนำกันเร็ว ๆ เธอเป็นครีเอทีฟโฆษณาชื่อดังของโลก ผมโทรหาเธอเพราะได้ยินข่าวว่า เธอเพิ่งทำ ‘Suan Meow Mae Wang’ บ้านแมวสุดสวยเสร็จหมาด ๆ เป็นบ้านแมวในกรงขนาดใหญ่มาก อยู่กลางธรรมชาติที่อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ แล้วย้ายแมวจรจัด 63 ตัวที่เลี้ยงไว้ในบ้านที่สุขุมวิทไปอยู่ที่เชียงใหม่แทน

คุยไปคุยมา เธอเล่าเรื่องเบื้องหลังการตัดสินใจซื้อที่ดินขนาดเกือบ 200 ไร่ผืนนี้เมื่อ 5 ปีก่อน แล้วก็ลงมือปลูกต้นไม้อย่างจริงจังกว่า 50,000 ต้น จนเขาลูกนี้จากที่เคยแล้งก็กลับมามีน้ำอีกครั้ง แถมยังมีสัตว์อย่างหมาจิ้งจอก นกยูง ไก่ป่า กระต่ายป่า กลับคืนมาในพื้นที่ เธอเรียกงานนี้ว่า Mae Wang Project จากนั้นก็สร้างบ้านที่ Mae Wang Sanctuary ทำบ้าน ศาลา และบ้านแมว ตอนนี้เธอใช้เวลาอยู่ที่นี่เดือนละ 3 สัปดาห์ ทำสวนผลไม้อินทรีย์ ปลูกผักกินเอง ตอนนี้บ้านที่ออกแบบใหม่ยังไม่เสร็จ เธอเลยพักในบ้านไม้หลังเล็ก ๆ ซึ่งเป็นที่พักของคนงานสวนส้มเดิม

ไหน ๆ ก็ไปถึงเชียงใหม่ ผมเลยขอสัมภาษณ์เธอ 3 เรื่อง เพื่อลง 3 คอลัมน์

อย่างแรก พอดแคสต์ Coming of Age เล่าเรื่องจุดเปลี่ยนครั้งต่าง ๆ ในชีวิตวัย 56 ปี

อย่างที่สอง คอลัมน์ Cloud of Thoughts คุยเรื่องบ้าน 3 หลังของเธอ การเปลี่ยนจากคนทำโฆษณามาอยู่กับธรรมชาติ (รออ่านได้เดือนหน้า)

อย่างที่สาม เรื่องราวของบ้านแมวหลังนี้

เราน่าจะใช้เวลาคุยกันทั้งวัน พี่จูดี้เลยถามว่า แทนที่ผมจะบินไปเชียงใหม่แบบไปเช้าเย็นกลับ อยากพักที่นี่สักคืนไหม

“เอาสิพี่” ผมก็อยากมีประสบการณ์นอนในกรงแมวเหมือนกัน

.

1

เฉียดชั่วโมง เราก็เดินทางจากสนามบินเชียงใหม่มาถึงวัดถ้ำน้ำฮูซึ่งอยู่ด้านหน้า Mae Wang Sanctuary รถขับเคลื่อนสี่ล้อค่อย ๆ พาเราขึ้นเนินน้อย ๆ ไปตามทางลูกรัง วิวสองข้างทางเริ่มเปลี่ยนจากนาข้าวเป็นสวนส้มที่ครึ้มขึ้นเรื่อย ๆ แล้วพวกเราก็มาถึงบ้านของพี่จูดี้ที่เธอดัดแปลงบ้านไม้ซึ่งเป็นที่พักธรรมดา ๆ ของชาวสวน ให้ดูสวยอบอุ่นและมีเสน่ห์

เธอต้อนรับพวกเราด้วยเครื่องดื่มที่มีน้ำส้มจากสวนของเธอเป็นส่วนผสมหลัก พอจิบจบ พี่จูดี้ก็ชวนเราไปเดินชมพื้นที่รอบ ๆ บ้าน แล้วมาหยุดที่กำแพงไม้ไผ่ซึ่งเจาะช่องประตูเป็นวงกลม พอผลักด้านข้างของวงกลมให้ประตูหมุน เราก็เข้ามาสู่พื้นที่ของบ้านแมวที่ยังมีประตูด้านในอีกชั้นกันแมวออก









มุมหนึ่งในกรงแมวเป็นบ้านไม้ไผ่สองชั้นที่สร้างแบบโปร่งโล่งแต่เส้นสายสวยดีเหลือเกิน บ้านหลังนี้อยู่ติดกับต้นสัก ซึ่งมีนกฮูกแวะเวียนมาทำรัง พอขึ้นมาบนบ้าน เลยให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บนบ้านต้นไม้






.

2

“พี่ไม่ได้ชอบแมวมากสักเท่าไหร่นะ” พี่จูดี้หรี่เสียงเพลงแจ๊สจากลำโพง Marshall ลงก่อนเริ่มบทสนทนา เธอเล่าว่า เมื่อ พ.ศ. 2538 กรุงเทพฯ ยังเต็มไปด้วยหมาจรจัด เธออยากร่วมบรรเทาปัญหานี้ เลยเอาอาหารไปให้หมาจรจัดแถวออฟฟิศย่านทาวน์อินทาวน์ ให้ทุกวันจนหมาคุ้นเคย แล้วพาสัตวแพทย์ไปทำหมัน ป้องกันการเพิ่มจำนวน ทำแบบนี้อยู่เนิ่นนาน ต่อมามีหน่วยงานต่าง ๆ แก้ปัญหานี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายหมาจรจัดในกรุงเทพฯ ก็ลดจำนวนลง





“แต่แมวเพิ่มจำนวนขึ้น เห็นแล้วก็อยากไปช่วยให้เขาทุกข์น้อยลง” พ.ศ. 2554 พี่จูดี้เลยเริ่มออกให้อาหารแมวเพื่อสร้างความคุ้นเคยแถวบ้านย่านสุขุมวิทและแถวออฟฟิศย่านพระรามสี่ แล้วจับทำหมัน แต่หลายตัวก็ปล่อยไว้ที่เดิมไม่ได้เพราะป่วย ต้องเอามารักษา

แมวตัวแรกที่เธอนำมาเลี้ยงในบ้าน เป็นลูกแมวจากเกาะยาวน้อย ที่เจ้าของคะยั้นคะยอให้เธอช่วยรับไป ถ้าปล่อยไว้คงอดตาย เอามาเลี้ยงได้ไม่ทันไร และยังไม่ทันพาไปทำหมัน มันก็ท้องและคลอดลูกให้เธอเลี้ยงเพิ่ม





“แมวบางตัวที่เราไปให้อาหารโดนงูเหลือมรัดแล้วรอดมาได้ บางตัวติดกาวดักหนูมา แต่ละตัวโชกโชนมาก เราก็ต้องเอามาเลี้ยง อย่างตัวนี้ชื่อกะปู๋ โดนกัดไส้ทะลัก แม่บ้านไปเจอมา อุ้มกลับมามือข้างหนึ่งถือตัว อีกข้างถือไส้ เราก็ต้องพาไปรักษา” เธอพูดถึงแมวที่เดินมาคลอเลียที่แข้งขา ซึ่งดูเป็นแมวสุขภาพดีแบบไม่เหลือร่องรอยบาดแผลแล้ว พี่จูดี้จำชื่อแมวได้ทุกตัว เช่นเดียวกับจำได้แม่นว่า แต่ละตัวไปเอามาจากไหนในสภาพไหน

พวกมันก็เหมือนจะรู้ชื่อตัวเองเช่นกัน เพราะแค่พี่จูดี้เรียกชื่อ พวกมันก็พร้อมจะเดินมาหา




.

3

พี่จูดี้เก็บแมวมาเลี้ยงในบ้านย่านสุขุมวิทจนมีเกือบ 80 ตัว ทุกห้องมีแต่แมว แม่บ้าน 2 คนมีงานหลักคือทำความสะอาดกรงแมว แต่ถึงจะทำความสะอาดทั้งวัน การที่แมวจำนวนมากใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ร่วมกันในห้อง ก็ไม่ค่อยเป็นผลดีกับสุขภาพแมวและคนนัก

พ.ศ. 2564 พี่จูดี้จึงอยากย้ายแมวทั้งหมดออกไปอยู่ที่อื่น เธอตัดสินใจเปลี่ยนตึกแถว 4 ชั้น 2 คูหาย่านห้วยขวางของตัวเองให้กลายเป็นคาเฟ่แมว เพื่อให้แมวมีที่ทางมากขึ้น ออกแบบเสร็จและได้ผู้รับเหมาเรียบร้อย เธอก็เปลี่ยนใจ







“เราอยากให้แมวมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่อยู่บ้านยังมีสนามหญ้า ถ้าไปอยู่ตึก มีแค่ดาดฟ้าเล็ก ๆ ที่เหลือก็ต้องอยู่ในห้องแอร์เหมือนเดิม ก็เลยล้มโครงการนี้” พี่จูดี้เล่าถึงการตัดสินใจในช่วงการระบาดของโควิด-19 ซึ่งช่วงนั้นเธอย้ายไปอยู่เชียงใหม่เป็นหลัก ติดอินเทอร์เน็ตให้เร็วพอจะประชุมออนไลน์ได้ เมื่อได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาตินาน ๆ เธอก็สดชื่นขึ้น จึงอยากให้แมวได้สดชื่นแบบเธอบ้าง แต่พอคนใกล้ชิดของเธอทราบข่าวก็มีแต่เสียงคัดค้าน





“แมวเป็นนักล่า เขากลัวว่าพอเอาแมวจำนวนเยอะๆ ไปอยู่ป่า มันจะล่านกสูญพันธุ์หมด แต่เราไม่ได้ปล่อยแมว ไม่ได้เลี้ยงกระจัดกระจาย เราล้อมรั้วมิดชิด แต่เขายังได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ” พี่จูดี้พูดจบก็อุ้มแมวที่นอนอยู่ตรงเท้าขึ้นมาเล่น

.

4

โจทย์ในการออกแบบสิ่งปลูกสร้างใน Mae Wang Sanctuary ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นบ้านของเธอ ศาลา และบ้านแมว ต้องกลมกลืนกับธรรมชาติ มาพึ่งพาธรรมชาติ ไม่ใช่มาควบคุมธรรมชาติ จึงไม่มีการตัดต้นไม้ใหญ่แม้สักต้น สภาพพื้นที่ก็ยังรักษาไว้แบบเดิม ผู้ที่ออกแบบหลักคือ Bamboo Family ส่วนรายละเอียดของบ้านแมวเป็นงานออกแบบของ นัท-ณัฐวุฒิ มัชฌิมา เจ้าของ Mutchima Studio สถาปนิกผู้ที่เคยได้รับรางวัลในการออกแบบบ้านที่ทำให้แมวอยู่ด้วยได้อย่างมีความสุข นัทคือผู้ออกแบบคาเฟ่แมวย่านห้วยขวางของพี่จูดี้ที่ไม่ได้เกิดขึ้น เขาจึงนำแนวคิดหลายอย่างมาปรับให้เป็นบ้านแมว

“ถ้ามองลงมาจะเห็นภาพรวมของบ้านแมวเป็นรูปแมวนอนขด ครัวเป็นหู บ้านดินเป็นหาง” พี่จูดี้ชี้ให้ดูบ้านดินขนาดย่อม 3 หลัง หลังแรกสุดเป็นห้องพยาบาลให้น้ำเกลือแมวป่วย อีก 2 หลังเป็นที่อยู่ของแมว มีชั้น มีที่นอนให้นอน สบายเหมือนรีสอร์ต นอนได้หลังละ 20 ตัว







แล้วก็ยังมีลูกเล่นประเภทสะพานแมว เต็นท์แมว และที่นอนของแมวที่อยู่ตามชั้นตามตู้ ซึ่งกระจายอยู่ทุกที่







รวมถึงน้ำตกและระบบพ่นละอองน้ำที่จะช่วยดักฝุ่นควันที่เกิดขึ้นทุกปีในช่วงหน้าแล้งจากการเผานาและเผาป่าด้วย





ช่วงลิ้นจี่สุกตอนเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พี่จูดี้ย้ายแมวจำนวน 63 ตัวจากบ้านที่สุขุมวิทมาอยู่ที่นี่ เป็นการเอาแมวใส่กล่องแล้วใส่รถขนมา รอบแรก 36 ตัว มาถึงที่นี่ตอนกลางคืน

“มาถึงแมวทุกตัวแตกตื่นมาก วิ่ง ร้อง บางตัวขี้แตกมาในรถ เราก็ห่วงมาก คืนนั้นแทบไม่ได้นอน แต่พอเช้ามาทุกอย่างสงบ แมวนอนตามบ้านโน้นบ้านนี้สบายใจ บางตัวเป็นโรคผิวหนังมา ไม่กี่วันก็ดีขึ้นเลย” พี่จูดี้เล่าถึงพลังของธรรมชาติซึ่งแมวทุกตัวคุ้นเคยดี เพราะมันเป็นแมวที่เคยอยู่กับดินกับทรายข้างถนนมาก่อน

.

5

“ช่วงที่บ้านพี่ยังสร้างอยู่ เราก็อยากอยู่ในนี้ เลยสร้างบ้านขึ้นมาอีกหลัง จะได้อยู่ใกล้ ๆ แมว” พี่จูดี้พูดถึงบ้านไม้ที่เรากำลังนั่งคุยกันอยู่ ชั้นล่างสุดเป็นบ้านแมว เต็นท์แมว และโต๊ะยาวให้นั่งเล่นได้ ยกพื้นขึ้นมาเป็นลานไม้ท่ามกลางธรรมชาติ นั่งดูวิวเล่นกับแมวได้สบาย ปีนขึ้นไปอีกชั้นเป็นห้องนอน







ถ้าใครชอบแมวให้นอนเปิดมุ้งไว้ แมวจะเข้ามานอนด้วย







ส่วนห้องน้ำต้องเดินออกไปนอกกรงแมว จะเจอทั้งห้องน้ำและอ่างอาบน้ำกึ่งกลางแจ้งวิวธรรมชาติที่ชวนให้แช่น้ำจนไม่อยากลุก







นี่คือบ้านแมวและการนอนในกรงแมวที่พี่จูดี้ชวนผมมาลองพัก

.

6

ตอนนี้มีแมวอยู่ที่นี่ 63 ตัว ยังเหลือแมวที่เป็นโรคติดต่ออยู่ที่บ้านกรุงเทพฯ อีก 11 ตัว ใช้อาหารเม็ดวันละ 2 กิโลกรัม อาหารกระป๋องวันละ 4 กระป๋อง แค่ค่าอาหารก็หลายหมื่นบาทต่อเดือน ยังไม่รวมค่าจ้างคนดูแลที่เชียงใหม่อีก 4 คน กรุงเทพฯ อีก 2 คน นั่นทำให้พี่จูดี้เริ่มคิดถึงการเปลี่ยนบ้านหลังนี้เป็นที่พักแบบ Airbnb ให้คนได้มาพัก รวมถึงขายผลไม้ออร์แกนิกในสวนให้คนมาเที่ยว น่าจะช่วยค่าใช้จ่ายในการดูแลแมวได้บ้าง





“มาพักผ่อนได้ หนีความวุ่นวายมาทำงานที่นี่ก็ได้ มีอินเทอร์เน็ต ประชุมออนไลน์ได้ จะแวะมากินกาแฟอย่างเดียวก็ได้ ถ้ามาค้างเราก็มีอาหารเช้า ขนม ผลไม้ให้ ผลไม้เราเยอะอยู่แล้ว เอาแมวมาพักด้วยก็ได้”

เท่าที่ผมสังเกต แมวทุกตัวที่นี่สุขภาพดีมาก อ้วนท้วนสมบูรณ์ ขนสะอาดสะอ้าน และชอบรับแขก พร้อมที่จะเดินเข้ามาเล่นกับคนแปลกหน้า ผิดกับภาพแมวจรจัดที่กายและใจบอบช้ำในจินตนาการของหลายคน





พี่จูดี้บอกว่า พวกมันได้รับการดูแลสุขภาพกายสุขภาพใจอย่างดี ก็เลยน่าฟัดอย่างที่เห็น ส่วนนิสัยรับแขก และจะไม่ชวนแมวของแขกทะเลาะมาจาก

“พี่คุยกับแมวทุกตัว พวกเขารู้เรื่องนะ เราพยายามอธิบายให้เขาเข้าใจว่า เราตั้งใจทำให้เขาขนาดนี้ เวลามีคนมาก็ช่วยกันต้อนรับหน่อย เขาก็เข้าใจ” นั่นคือเหตุผลว่าทำไมแมวทั้งหมดถึงเล่นกับผู้แปลกหน้าอย่างเราราวกับเลี้ยงดูกันมาเนิ่นนาน

ใครอยากนอนในกรงแมว ท่ามกลางแมว 63 ตัว สวนส้ม และธรรมชาติร่วม 200 ไร่ จัดกระเป๋าแล้วกดจองผ่าน Airbnb ได้แล้วที่
คลิก https://bit.ly/3uvIsR7

https://th.airbnb.com/rooms/767926300747814027?adults=1&s=28&unique_share_id=AA68F9CA-533E-49E0-9416-75C214C936AD&source_impression_id=p3_1670307085_zxkheSKk03Nx6UsM&_set_bev_on_new_domain=1763046049_EAOGMwY2RmMjczZD&set_everest_cookie_on_new_domain=1763046049.EAZWFkNTliOWYzMzE3ZT.mBtrkwjt_1HTriyqVBSMDXfS8u3XatMOc00lnv8Velo




.

.
ขอขอบคุณที่มาของเรื่อง
https://readthecloud.co/mae-wang-sanctuary/

.




66
บ้านเฮียง


บ้านเฮียง
บ้านพัก Airbnb ท่ามกลางธรรมชาติ ของ ริก้า ดีล่า ที่รื้อบ้านไม้เก่า 100 ปีจากเชียงใหม่มาประกอบใหม่ที่ปากช่อง โคราช

เรื่อง สุทธิดา อุ่นจิต, ภาพ โตมร เช้าสาคร

.

Home /Travel/Have a Nice Stay
4 ตุลาคม 2025

ประตูบ้านบานสูงเปิดกว้าง รถคันใหญ่แล่นเข้าไปยังหมุดหมาย สองข้างทางเป็นต้นไม้หลายสายพันธุ์ราวกับป่าขนาดย่อม เราชื่นชมพื้นที่สีเขียวเพียงครู่ รถยนต์ก็จอดสนิทในซองจอดตีเส้นสีขาว

สถานที่ที่เราตั้งใจมา ชื่อ ‘บ้านเฮียง’ ที่พักสไตล์บ้านพักตากอากาศในจังหวัดนครราชสีมาที่เจ้าบ้านถอดประกอบทุกชิ้นส่วนจากบ้านไม้เก่า ในจังหวัดเชียงใหม่ มาประกอบเป็นบ้านไม้ในร่างโฉมใหม่ที่เหมือนบ้านเก่าแทบจะ 100%

เจ้าหมาตัวโตส่งเสียงเห่าต้อนรับ เขาว่ากันว่า หมาเห่าไม่กัด แถมงัดลูกอ้อนมาคลอเคลีย





พี่ริก้า ดีล่า เดินมาต้อนรับเราอย่างกันเอง เธอเป็นเจ้าบ้านและเป็นเจ้าของที่ดินผืนนี้ในพื้นที่นครราชสีมา ซึ่งเธอซื้อไว้ราว 30 กว่าปีก่อน เพื่อเป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจของครอบครัวและหลบหลีกความวุ่นวายในเมืองกรุงมาพักสายตาด้วยการมองธรรมชาติ ฟังเสียงหรีดหริ่งเรไร และธารน้ำไหล

จริง ๆ ทางเดินไปบ้านเฮียงอยู่ไม่ไกลจากลานจอดรถ แต่เจ้าบ้านชวนลัดเลาะและเดินชมพื้นที่รอบ ๆ เสียก่อน เริ่มจากพื้นที่ปลูกป่าขนาดเล็ก พี่ริก้าตั้งใจปลูกป่าแบบญี่ปุ่น หรือ มิยาวากิ (Miyawaki Method) การปลูกเลียนแบบโครงสร้างธรรมชาติของป่า โดยปลูกต้นไม้พื้นถิ่นหลากหลายพันธุ์






พี่ริก้าเดินนำ เราเดินตาม มี พี่เคน ปิดท้าย (ผู้ช่วยมือหนึ่งของพี่ริก้า) พวกเราต้องเดินขึ้นสลับเดินลง ตามความสูงต่ำของพื้นที่ ความร้อนระอุในตัวเริ่มคลายลงเมื่อลัดเลาะเข้าป่าธรรมชาติ มองซ้ายมองขวาก็เจอต้นไม้น้อยใหญ่ทั่วบริเวณ เดินไปอีกหน่อยมีลำธารสายเล็ก ๆ ตัดผ่าน พี่ริก้าว่า ป่าที่นี่สมบูรณ์ มีสัตว์แวะเวียนมาเยือนไม่ขาดสาย ขาประจำคงเป็นเจ้ากระรอก ส่วนผีเสื้อปีกสวยดูจะเป็นเจ้าถิ่นไปแล้ว

ฮึบ ฮึบ หายใจเข้าลึก ลึก ผ่อนลมหายใจออกยาว ยาว เดินต่อกันอีกหน่อยก็ถึงแล้ว

แต่ก่อนจะถึง ต้องข้ามสะพานไม้นี่เสียก่อน ใครหนอช่างสร้าง สวยงามและวิวดีจนอยากพาคุณไปเห็นด้วยตาตัวเอง เราเห็นบ้านไม้หลังใหญ่อยู่ลิบ ๆ ส่งแรงเชียร์ให้ขาซ้ายและขาขวารีบจ้ำจะได้ถึงไว ๆ

ว้าว เป็นใครก็ต้องอุทานคำนี้ เมื่อเห็นบ้านไม้ตระหง่านตาตรงหน้า






ความรู้สึกเหมือนขุดเจอขุมสมบัติล้ำค่าในป่าลึก บรรยากาศชวนนึกถึงอาศรมลับในดินแดนเวทมนตร์ ยอมรับวิธีเดินมาบ้านเฮียงด้วยเส้นทางพิเศษนี้ ไม่ง่าย แต่เชื่อเถอะว่า คุ้มเหนื่อยมาก ๆ

เอกเขนกสบาย ๆ จิบน้ำเย็น ๆ ลดอุณหภูมิในร่างกาย แล้วมาล้อมวงฟังเรื่องราว ‘บ้านเฮียง’ บ้านไม้เก่า 100 ปี ถอดประกอบใหม่ให้เหมือนเก่า พี่ริก้าบอกเราว่า บ้านหลังนี้เริ่มต้นจากโชคชะตาล้วน ๆ

“คนขายของเก่าส่งรูปมาให้ เราเปิดดูแล้วมัน เฮ้ย ถูกชะตามาก” เจ้าบ้านเปรย

ภาพนั้นเป็นภาพบ้านไม้เก่าสภาพสมบูรณ์ อายุราว 100 ปี ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองเชียงใหม่ เจ้าบ้านเดิมมีเหตุจำเป็นต้องขาย ประจวบเหมาะกับพี่ริก้าอยู่เชียงใหม่พอดี เลยตัดสินใจเดินทางไปดูถึงที่

“เขาส่งภาพมา 10 โมงเช้า บ่าย 2 เราเข้าไปดู พร้อมบอกราคาสุดท้าย 4 โมงเย็นเขาโทรกลับมาว่าคอนเฟิร์ม เราเลยไปซื้อพวงมาลัยและแวะไปคุยกับเจ้าของเดิม เราบอกเขาว่า เราจะพาเขา (บ้าน) ไปปากช่อง อะไรที่เคยอยู่ในบ้านนี้เราจะเอาไปด้วยทั้งหมด จะปลูกต้นชบาสีแดงและต้นละมุดให้ด้วย”

ใช่ค่ะ หน้าบ้านเฮียงปลูกต้นชบาจริง ๆ ส่วนต้นละมุดอยู่ในวัยกำลังโต







พี่ริก้าไม่แน่ใจว่าเจ้าของเดิมเป็นใคร แต่น่าจะเป็นคนมีสตางค์ เพราะของที่ทิ้งไว้ในบ้านเป็นของทันสมัย (ในยุคเก่านู้น) อย่างกระเป๋าเดินทางทรงโก้ กระทะวินเทจอย่างดีผลิตจากอิตาลี และไม้แร็กเกต

วิธีการย้าย-บ้าน จากเชียงใหม่มาโคราช จำเป็นต้องถอดรื้อและนำมาประกอบใหม่ พี่เคนต้องเขียนตัวเลขลงบนแผ่นไม้ทุกแผ่น เพื่อให้สะดวกต่อการนำมาประกอบใหม่โดยต้องใกล้เคียงกับของเดิมมากที่สุด แปลนบ้านยังคงเหมือนเดิม ต่างแค่ฟังก์ชันของห้องต่าง ๆ ที่ปรับใช้ตามความเหมาะสม

บ้านหลังนี้มี 4 ห้องนอน 5 เตียง พักได้สูงสุด 10 คน มีครัว มีชานบ้านให้นั่งกลิ้งนอนกลิ้ง (กระซิบว่า ลมโกรกดีมาก) มีห้องนั่งเล่นรับวิวธรรมชาติ มีเรือนฟิตเนส และบ้านหลังน้อย พี่ริก้าว่า กำลังรอคนไปนอนประเดิม เพราะบ้านหลังน้อยมีเพียงเตียง 1 หลัง คนชื่นชอบธรรมชาติสุดขีดน่าจะถูกใจหลังนี้







ส่วนที่มาของชื่อบ้านเฮียง มาจากไม้เฮียงที่เป็นโครงสร้างทั้งหมดของบ้าน แม้ผ่านเวลามากว่าร้อยปี แต่ไม้ยังคงสวยงามแข็งแรง เจ้าบ้านเสริมว่า ไม้เฮียงสีออกดำ ๆ คนไม่ค่อยชอบ แต่เธอชอบมาก

พี่ริก้าชอบสะสมของเก่า ตั้งแต่ของชิ้นเล็ก ๆ ยันของชิ้นใหญ่ ๆ (บ้านก็นับใช่ไหมคะ ฮ่า ๆ)

“มีแค่เก้าอี้บางส่วนที่เป็นของใหม่ นอกนั้นของเก่าค่ะ เพราะเราเป็นคนชอบสะสม ในชีวิตนี้ไม่เคยทิ้งอะไรเลย นอกจากมันจะพังจริง ๆ ถึงพังก็จะพยายามซ่อมก่อนทุกครั้ง” เธอเล่า ก่อนพาเราเดินสำรวจห้องนู้น ออกห้องนี้ พี่ริก้าเหมือนคิวเรเตอร์ที่พาผู้มาเยือนหน้าใหม่ชมพิพิธภัณฑ์ของสะสม

ของแต่ละชิ้นมีที่มาต่างกัน บ้างในไทย บ้างจากเทศ อย่างกรอบประตูไม้สีเขียวจากอินเดีย บอกเลยว่าสวยสลบ ประตูตู้เสื้อผ้าจากโรงแรมเก่าก็กลายมาเป็นบานประตูที่มีกระจก แปลกตาจนต้องถามที่มา แม้แต่เหล็กดัดหน้าต่างก็ยังนำมาดัดแปลงเป็นรั้วเลื่อนขนาดเล็กได้ เราว่าความสนุกของเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้ มันคือการมองข้ามข้อจำกัดของวัตถุ ลองปรับมุมมองว่ามันเป็นอะไรก็ได้สิ จะได้สิ่งใหม่อีกเพียบเลย ถ้าไม่เชื่อมาดูได้ที่บ้านเฮียง และเราคิดว่าพี่ริก้าก็คงสนุกกับการแปลงของเก่าให้เป็นของใหม่เหมือนกัน

“เราไม่สนใจว่ามันจะเข้ากันไหม แต่มั่นใจว่าของทุกชิ้นมีความทรงจำและมีความหมาย”







เราถามพี่ริก้าว่าบ้านสไตล์นี้เรียกว่าอะไร เธอเฉลยว่าคือสไตล์ Shabby Chic คล้าย ๆ ว่า เก่าแต่เก๋ ตกแต่งด้วยของเก่า ของวินเทจ หรือเฟอร์นิเจอร์ไม้ แซมสีสันลายดอกหรือผ้าลูกไม้ ดูอ่อนโยนแต่ไม่หวานเลี่ยน พื้นที่บ้านต้องมีแสงธรรมชาติส่องถึง และที่นี่แค่เปิดพัดลมก็เย็นสบายจนอยากจะเคลิ้มหลับ

พี่ริก้าพักที่บ้านเฮียงด้วย เธอมีห้องส่วนตัวอยู่ชั้นล่าง เทียวไปเทียวมาระหว่างกรุงเทพฯ-โคราช แถมมาทีไรต้องชวนแก๊งสี่ขาตัวจิ๋วสุดน่ารักมาพักผ่อนและรับพลังงานจากธรรมชาติด้วยกัน









หลังเดินชมบ้านไม้ 2 ชั้นพร้อมฟังเรื่องราวสุดสนุก เจ้าบ้านก็ชวนพักและนั่งคุยเล่นสบาย ๆ พี่ริก้ามีสารพันเรื่องเล่า เธอเปิดรับและฟังความคิดเห็นใหม่จากน้อง ๆ ต่างวัย เราชอบที่เธอสนุกกับการลองทำสิ่งใหม่ ๆ อย่างการเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในวัย 60 พี่ริก้ามีเพจ Facebook และช่อง TikTok นำเสนอไลฟ์สไตล์และทริกต่าง ๆ จากประสบการณ์ชีวิตของเธอ กดติดตามพี่ริก้าได้ที่ ตามใจวัยริก้า Rika Dila

คุยกันเพลินจนอาหารกลางวันมาเสิร์ฟเต็มโต๊ะ มีส้มตำสูตรเฉพาะบ้านเฮียง ลาบหมู ไก่ย่าง ไข่เจียว ทีเด็ดยกให้ส้มตำ แต่ทีเด็ดกว่ายกให้ข้าวสวยหุงร้อน ๆ พี่ริก้าบอกว่าข้าวนี้มาจากขอนแก่น เป็นข้าวพันธุ์เดียวกับที่เสิร์ฟใน ‘เฮือนคำนาง’ ร้านอาหารอีสานพื้นบ้านของ เชฟคำนาง-ณัฏฐภรณ์ คมจิต





เสียงพูดคุยยังคงดังสลับเบาจากห้องนั่งเล่นด้านล่าง หมู่มวลผีเสื้อนับสิบยังคงดอมดมและดื่มด่ำน้ำหวานจากดอกไม้สีสดใส แสงแดดอ่อน ๆ ยามบ่ายแก่พาดผ่านลงบนแผ่นไม้ เงาสั่นไหวระริกระรี้

ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ บทสนทนาก็ด้วย เราเผลอคิดในใจว่าอยากหยุดเวลา ณ ที่แห่งนี้เพราะมันผ่อนคลายเสียเหลือเกิน มิอยากคิดถึงยามค่ำคืนว่าดวงดาวจะพราวเต็มฟ้ามากมายขนาดไหน





เราถามเจ้าบ้านว่าที่นี่เหมาะกับใคร เธอว่าเหมาะกับทุกคนและทุกวัยที่ชอบธรรมชาติในแบบที่ธรรมชาติเป็น ดิบแท้ ทว่างดงาม จะชวนเพื่อนมาสังสรรค์หรือพักผ่อนกับครอบครัวก็ได้ แต่ถ้ากลัวแมลง-สัตว์เลื้อยคลานหรือขยาดฟ้าฝนในป่าเขตร้อนของไทย เธอบอกตามตรงว่าที่นี่คงไม่เหมาะเป็นแน่

สิทธิพิเศษของคนที่มาพักบ้านเฮียง คุณจะได้ครอบครองพื้นที่ป่าธรรมชาติรอบ ๆ บ้านเท่ากับจำนวนวันที่คุณเข้าพัก คุณจะสำรวจระบบนิเวศ เทรลระยะสั้น หรือจัดคลาสอาบแสงจันทร์ก็ทำได้

แถมที่นี่มีวงดนตรีจากธรรมชาติคอยบรรเลงและขับกล่อมไม่ว่าจะยามหลับหรือลืมตาตื่น ขอแค่คุณเงี่ยหูตั้งใจฟัง และใช้สายตาเพ่งพินิจไปตามพื้นที่สีเขียว คุณอาจจะเจอนักดนตรีที่เราว่าก็ได้





อย่างที่บอกว่าพี่ริก้าเทียวไปเทียวมาระหว่างโคราช-กรุงเทพฯ การมาพักที่บ้านเฮียงเหมือนเป็นการกลับมาให้ธรรมชาติบำบัด เท้าได้สัมผัสดิน มือได้สัมผัสหญ้า นี่คือสิ่งเรียบง่ายที่คนเมืองโหยหา ไม่ใช่เพราะเมืองใหญ่ไม่มี แต่เพราะเราไม่มีเวลามากพอที่จะกลับไปเชื่อมโยงกับธรรมชาติต่างหาก

บ้านไม้ 100 กว่าปีหลังนี้เลยเปิดประตูต้อนรับให้ผู้คนมารีชาร์จร่างกายและจิตใจ

เชื่อเถอะว่าการได้พักผ่อนแบบจริงแท้ มันเติมพลังกาย-พลังใจให้เราได้มากจริง ๆ





ว่าแล้วก็จงกดลางานไปเอกเขนกที่บ้านเฮียง จองบ้านพักได้ที่ airbnb.com/h/hiang


.

3 Things you should do
at บ้านเฮียง


01
ลองเดินไปบ้านเฮียงด้วยเส้นทางพิเศษ



02
ลองกินส้มตำสูตรเด็ดเฉพาะบ้านเฮียง



03
ลองเดินป่าและสำรวจธรรมชาติรอบบ้าน ๆ

 

.
ขอขอบคุณที่มาของเรื่อง
https://readthecloud.co/baan-hiang/

.




67
โรคกลัวการอยู่คนเดียว (Autophobia)


https://www.blockdit.com/posts/62ab506d1efedd3c4ee4fde7

Wasabi
18 มิ.ย. 2022 เวลา 06:44 • สุขภาพ


โรคกลัวการอยู่คนเดียว (Autophobia)

โรคกลัวการอยู่คนเดียว หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Autophobia, Monophobia, Isolophobia หรือ Eremophobia โรคนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับคนไทย ทั้งอาการที่เป็นก็ดูเหมือนจะคล้ายอาการของคนขี้เหงาธรรมดา เพียงแต่โรคกลัวการอยู่คนเดียวยิ่งทำให้ไม่กล้าออกไปทำอะไรตามลำพัง

ความผิดปกติทางบุคลิกภาพที่ไม่สามารถควบคุม จัดการตัวเองได้ สำหรับคนที่กลัวการอยู่คนเดียวจะมีแนวโน้มไม่มั่นใจในตนเอง มีความเชื่อที่ว่า ตนเองไม่สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้โดยลำพัง และเชื่อว่าการอยู่คนเดียวนั้นไม่ปลอดภัย หรือบางทีอาจไม่เคยเรียนรู้ที่จะสบายใจเมื่ออยู่คนเดียว



โรคกลัวการอยู่คนเดียว (Autophobia)


สาเหตุของโรคกลัวการอยู่คนเดียว

1.ปัจจัยภายนอก

โรคกลัวเกิดจากสาเหตุการณ์ภายนอกที่ส่งผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจ ซึ่งเกิดจากสาเหตุทางจิตวิทยาที่แตกต่างกัน ไม่อาจแบ่งสาเหตุทั่วไปได้ โดยส่วนใหญ่เกิดจากความเจ็บปวดในวัยเด็กและบาดแผลทางใจที่ได้รับตลอดชีวิต

2.ปัจจัยภายใน

เกิดจากความบกพร่องภายใน พันธุกรรม หรือสารเคมีในสมอง

พันธุกรรมและสารเคมีในสมองรวมกับประสบการณ์ในชีวิตมีบทบาทสำคัญที่ทำให้เกิดโรคกลัว

● ความกลัวที่จะอยู่คนเดียวในที่สาธารณะ อาจเชื่อมโยงกับความหวาดกลัวสังคม (Argoraphobia)

● ความกลัวที่จะอยู่ในบ้านของตัวเองคนเดียว ซึ่งเชื่อมโยงกับสถานการณ์ที่ทำให้วิตกกังวลร้ายแรง ที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก หรือเกิดขึ้นภายในบ้าน อาจเกิดจากความเหงาและอยากท้าทายตัวเองโดยการอยู่คนเดียว เพื่อควบคุมความรู้สึกของตัวเอง จนทำให้เกิดความวิตกกังวลรุ่นแรง

● ความกลัวที่จะเกิดอาชญากรรมเชื่อมโยงกับการอาศัยอยู่ใกล้แหล่งที่มีอาญชญากรรมสูง หรือได้ยินข่าวความน่ากลัวของอาญชกรรมที่เกิดขึ้นบ่อย ทำให้เกิดความกลัวที่จะอยู่คนเดียวเพราะกลัวที่จะไม่ปลอดภัย


อาการของโรคเป็นอย่างไร ?

● มีความกลัวที่ไม่มีเหตุผลหรือแสดงความกลัวมากกว่าที่ควรจะเป็น เมื่ออยู่ในเหตุการณ์หรือสถานการณ์เฉพาะ เช่น การอยู่คนเดียว

● รู้สึกกระวนกระวาย และกังวลมาก เพียงรู้ว่าต้องอยู่คนเดียว

● หายใจไม่สะดวกใจสั่น หน้ามืด เหงื่อออกมากผิดปกติ อาเจียน ตัวสั่น

● หากอยู่ในที่สาธารณะคนเดียวมักจะมีอาการประหม่า ไม่เป็นตัวของตัวเอง

● ไม่สามารถไปไหนคนเดียวได้ต้องมีเพื่อนไปด้วยตลอด ถึงจะเป็นสถานที่ตัวเองคุ้นเคยก็ตาม

● เกิดความกลัวจนกระทบกับชีวิตประจำวัน เช่น ไม่สามารถไปโรงเรียน หรือไปทำงานได้ มีปัญหาในการเข้าร่วมสังคม

● เกิดความกลัวนานกว่า 6 เดือน


วิธีการรักษา

โรคกลัวการอยู่คนเดียวสามารถเข้ารับการรักษาได้เหมือนกับโรคอื่นๆ เช่น โรคย้ำคิดย้ำทำ โรคเครียด แต่สำหรับการรักษาความกลัวการอยู่คนเดียวจะเน้นที่การลดความกลัว และความวิตกกังวล และค่อย ๆ สร้างความสมารถในการเป็นตัวของตัวเอง วิธีการที่แพทย์ใช้ในการรักษาก็มีหลายวิธีดังนี้

● การรักษาด้วยยา
แพทย์อาจสั่งยาเพื่อช่วยควบคุมอาการของโรค ซึ่งอาจรวมถึงยาต้านความวิตกกังวล เช่น benzodiazepines หรือ beta-blockers หรือยากล่อมประสาท เช่น selective serotonin reuptake inhibitors (SSRIs)

● การทำจิตบำบัด
การทำจิตบำบัดเป็นการรักษาโดยจิตแพทย์ หรือ นักจิตวิทยา โดยจะใช้แบบทดสอบโรคกลัวการอยู่คนเดียวเพื่อประเมินอาการและใช้เทคนิคการบำบัดความคิดและพฤติกรรม CBT(Cognitive Behavioral Therapy ) CBT ช่วยให้คุณเรียนรู้วิธีสังเกตและท้าทายความคิดอัตโนมัติที่เกี่ยวข้องกับความหวาดกลัวของคุณ สิ่งนี้อาจช่วยให้คุณระบุช่วงเวลาที่ความวิตกกังวลของคุณเกินสัดส่วนกับอันตรายที่แท้จริงของการอยู่คนเดียว


วิธีรับมือกับการอยู่คนเดียว

● ให้เวลากับตัวเอง
โดยธรรมชาติแล้วเมื่อต้องอยู่คนเดียว เราจะเป็นนักคิด ที่ไม่หยุดนิ่ง ความคิดมากมายจะวิ่งเข้าหาเราเมื่อเราอยู่คนเดียว ดังนั้นการทำสมาธิจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเมื่อเรามีสมาธิ เราจะรับมือกับความคิดฟุ้งซ่านได้ดีขึ้น

การทำสมาธิอาจเป็นเรื่องยากสำหรับใครหลายคน ในช่วงแรกแนะนำให้เริ่มจากการทำสมาธิในระยะเวลาสั้น ๆ สัก 5-10 นาที

● ค้นหาความสุข
ลองนึกภาพตอนที่คุณยังเด็ก อะไรทำให้คุณมีความสุข  เมื่อเราต้องอยู่คนเดียว ให้ลองมองหากิจกรรมที่เราทำแล้วมีความสุข เพื่อต่อสู้กับความรู้สึกเหงา เช่น การออกกำลังกาย นอกจากจะทำให้รู้สึกดีแล้วยังช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีและดูดีด้วย การที่เรามีกิจกรรมให้ทำ และพยายามจดจ่อกับการทำบางสิ่งบางอย่าง ที่ทำให้มีความสุขจะช่วยลดความเหงา และความรู้สึกไม่ดีเมื่อต้องอยู่คนเดียวได้

● โทรหาเพื่อน หรือคนที่คุณไว้ใจ
เมื่อคุณรู้สึกเหงา โดดเดี่ยว ทุกข์ใจจากการอยู่คนเดียว ลองโทรหาเพื่อน หรือคนที่คุณไว้ใจ เพื่อพูดคุย แบ่งปันเรื่องราวความอึดอัดใจให้พวกเขาฟัง การได้ระบายความอึดอัดใจออกไปบ้างจะช่วยทำให้คุณรู้สึกเบา สบายขึ้น เราทุกคนต่างต้องการคนรับฟัง

● คุยกับคนแปลกหน้า
การเปิดใจรับบุคคลภายนอกเข้ามาในชีวิตบ้าง สามารถทำให้คุณฝึกทักษะการเข้าสังคมได้เป็นอย่างดี ลองพูดคุยกับคนแปลกหน้าดูบ้าง อาจเริ่มจาก คนที่คุณพบเจอบ่อย ๆ เช่น พนักงานชงกาแฟร้านที่คุณซื้อประจำ หรือพี่ รปภ หน้าหมู่บ้าน หน้าบริษัท และค่อย ๆ พัฒนาไปเป็นบุคคลอื่นที่คุณอาจไม่คุ้นชิน

การเปิดใจรับบุคคลอื่นเข้ามาในชีวิตบ้าง นอกจากจะได้ฝึกทักษะการเข้าสังคมแล้ว อาจทำให้คุณได้พบเพื่อนใหม่ และไม่กลัวการอยู่คนเดียวอีกต่อไป

● พูดคุยกับจิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ
หากความกลัวการอยู่คนเดียวของคุณรุนแรง หรือส่งผลต่อชีวิตประจำวันของคุณ วิธีที่ดีที่สุดคือไปปรึกษาจิตแพทย์ที่ไหนก็ได้คุณรู้สึกเชื่อใจ โรคกลัวคนเดียวเป็นภาวะที่รักษาได้ และการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตสามารถช่วยคุณจัดการกับความหวาดกลัวการอยู่คนเดียวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

.

#Wasabi ขอเพียงมีส่วนเล็ก ๆ ที่ช่วยให้คุณ!
"เจริญเติบโต ก้าวหน้า สำเร็จ อย่างภาคภูมิใจ"

.

แหล่งที่มา / แหล่งอ้างอิง

https://www.pueasukkapab.com/
https://women.trueid.net/detail/oXYzgvDORBay
https://www.catdumb.com/old/?p=739004
https://thestandard.co/autophobia/
https://www.eventpass.co/event/13l3fA

.




68
โรคอารมณ์ตามฤดูกาล (S.A.D) คืออะไร?


https://www.blockdit.com/posts/60535740e3202301875ad339

Wasabi
19 มี.ค. 2021 เวลา 06:30 • สุขภาพ

โรคอารมณ์ตามฤดูกาล (S.A.D) คืออะไร?

โรคอารมณ์ตามฤดูกาล (Seasonal Affective Disorder ; S.A.D) เป็นโรคทางอารมณ์ชนิดหนึ่งที่มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันของแต่ละปี โดยส่วนใหญ่มักเกิดอาการขึ้นในฤดูหนาว ผู้ป่วยภาวะนี้จะมีอาการของโรคซึมเศร้าเป็นระยะ และจะดีขึ้นในฤดูร้อน



โรคอารมณ์ตามฤดูกาล (S.A.D) คืออะไร?


อาการโรคอารมณ์ตามฤดูกาล?

ผู้ป่วย SAD มักแสดงอาการผิดปกติเช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าทั่วไป

- รู้สึกหมดหวัง ไร้ค่า หรือมีอารมณ์ซึมเศร้าต่อเนื่องเป็นเวลานาน

- หมดความสนใจในสิ่งที่ตนเองเคยสนใจ

- อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง หมดความกระตือรือร้นในการทำสิ่งต่าง ๆ

- อยากนอนตลอดเวลา หรือมีปัญหาในการนอนหลับ เช่น นอนไม่หลับ นอนหลับไม่สนิท เป็นต้น

- มีพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่เปลี่ยนไป เช่น รับประทานอาหารมากเกินไป หรืออยากรับประทานอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลมากกว่าปกติ เป็นต้น

- ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดได้นาน

- เก็บตัว ไม่ต้องการออกไปพบปะผู้อื่น

- หมกมุ่นกับเรื่องความตาย หรือคิดฆ่าตัวตาย

.

กลุ่มเสี่ยงสูงที่จะมีภาวะ SAD

- เพศหญิง เนื่องจากภาวะนี้มักพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

- อยู่ในวัยผู้ใหญ่ตอนต้น ซึ่งเป็นวัยที่พบภาวะ SAD ได้มากกว่าช่วงวัยอื่น

- ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า หรือโรคไบโพลาร์

- คนในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหรือมีภาวะ SAD

- อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ห่างจากเส้นศูนย์สูตร ซึ่งมีช่วงเวลากลางวันสั้นกว่าพื้นที่ที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร

.

คุณควรทำอย่างไรหากคิดว่ามีภาวะ SAD?

หากคุณคิดว่าคุณกำลังประสบปัญหา SAD และส่งผลต่อความสามารถในการใช้ชีวิตให้ผ่านพ้นวัน ให้คุณมุ่งเน้นไปที่การทำงาน และรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบตัว หรือคุณควรไปพบแพทย์ การบำบัดด้วยการพูดคุยกับนักบำบัดที่มีใบอนุญาตเป็นประจำจะมีประโยชน์มาก นอกเหนือจากการขอความช่วยเหลือจากแพทย์จิตแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตอื่น ๆ

.

การรักษาโรคอารมณ์ตามฤดูกาล?


- การรับประทานยา

แพทย์มักแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานยารักษาโรคซึมเศร้าอย่างฟลูออกซิทีนหรือบูโพรพิออนเพื่อบรรเทาอาการป่วย หรือรับประทานยาตั้งแต่ก่อนถึงช่วงฤดูที่ภาวะซึมเศร้าจะกำเริบเพื่อป้องกันอาการซึมเศร้า โดยผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษา


- การทำจิตบำบัด

แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยบางรายเข้ารับการบำบัดพฤติกรรมและความคิด ซึ่งเป็นการปรับวิธีคิดและพฤติกรรมเพื่อรับมือกับภาวะซึมเศร้าอย่างเหมาะสม โดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตจะชี้แนะให้ผู้ป่วยทราบถึงความคิดและพฤติกรรมที่ผิดปกตินั้น ควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้วิธีการรับมือกับภาวะซึมเศร้าได้ด้วยตนเอง


- การบำบัดด้วยแสง

เป็นการให้ผู้ป่วยเข้ารับการฉายแสงที่จำลองมาจากแสงอาทิตย์วันละประมาณ 1 ชั่วโมงหลังจากตื่นนอน เพื่อปรับระดับสารเคมีในสมองให้สมดุล โดยผู้ป่วยบางรายอาจฉายแสงด้วยตนเองที่บ้าน แต่วิธีนี้อาจส่งผลข้างเคียงต่อร่างกายได้ ผู้ป่วยจึงควรปรึกษาแพทย์ถึงข้อดีข้อเสียของการฉายแสง และขอคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้เครื่องฉายแสงอย่างถูกต้อง

.

วิธีการดูแลสุขภาพใจในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง

- รับประทานอาหารสุขภาพ เช่น ผัก
- หากิจกรรมที่ชื่นชอบทำ
- หาโอกาสออกไปเดินเล่น
- ออกกำลังกาย
- ออกไปพบปะสังสรรค์หรือเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ทางสังคม
- ฝึกใจให้ยอมรับต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพดินฟ้าอากาศว่าเป็นแค่เพียงปรากฏการณ์อย่างหนึ่ง
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- หมั่นสังเกตอาการ


#สาระจี๊ดจี๊ด
ผู้ป่วยภาวะ SAD ที่ไม่รีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา อาจมีอาการซึมเศร้ารุนแรงยิ่งขึ้นจนส่งผลกระทบต่ออารมณ์ และพฤติกรรมได้

.

ผู้ป่วยภาวะ SAD ยังเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพ และปัญหาอื่น ๆ  ได้แก่

- โรคอ้วนหรือมีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งอาจนำไปสู่โรคเบาหวานและโรคหัวใจได้ด้วย <เนื่องจากผู้ป่วยอาจมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารในปริมาณมากขึ้น หรืออยากรับประทานแต่แป้งและไขมัน>

- โรควิตกกังวล โรคแพนิค และโรคกลัวการเข้าสังคม

- อาการปวดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

- ปัญหาด้านความสัมพันธ์หรือการเกิดความขัดแย้งกับคนรอบข้าง เช่น คนในครอบครัว เพื่อน เป็นต้น

- การทำร้ายตัวเอง การคิดฆ่าตัวตาย หรือการพยายามฆ่าตัวตาย


#สาระจี๊ดจี๊ด
แสงแดดช่วยรักษาโรคอารมณ์ S.A.D การออกไปข้างนอกเพื่อรับแสงแดดอย่างน้อย 20 ถึง 30 นาทีต่อวันนั้นสมบูรณ์แบบ แต่หากที่ที่คุณอาศัยอยู่ไม่มีแสงแดดมากนัก หรือหากตารางเวลาของคุณส่วนใหญ่อยู่แต่ในบ้าน อุปกรณ์บำบัดด้วยแสงก็เป็นวิธีที่ไม่แพงนัก "การนั่งหน้ากล่องไฟที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับการบำบัดด้วยแสงเป็นเวลา 20 ถึง 90 นาที แสดงให้เห็นว่าได้ผลภายในไม่กี่สัปดาห์ แสงจะช่วยกระตุ้นระบบประสาทหรือสมองส่วนที่ควบคุมการนอนหลับและช่วยควบคุมอารมณ์”

.

#Wasabi ขอเพียงมีส่วนเล็ก ๆ ที่ช่วยให้คุณ!
"เจริญเติบโต ก้าวหน้า สำเร็จ อย่างภาคภูมิใจ"

.

แหล่งที่มา / แหล่งอ้างอิง
https://cutt.ly/dxe4e9q
https://nph.go.th/?p=4792
https://cutt.ly/6xe4osC

.




69
โรคสมองเสื่อม คืออะไร?


https://www.blockdit.com/posts/5f3a779a7b54741b6b943500

Wasabi
17 ส.ค. 2020 เวลา 19:27 • สุขภาพ


โรคสมองเสื่อม คืออะไร?

ภาวะสมองเสื่อม (Dementia) คือ ความเสื่อมประสิทธิภาพของสมองลดลงเรื่อย ๆ
อย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่งผลให้เกิดความผิดปกติทางความคิด ความจำ การใช้เหตุผล และการสื่อสาร รวมถึงบุคคลิกภาพเปลี่ยนแปลงหรือผิดปกติ

ในบางกรณีอาจมีอารมณ์แปรปรวน เครียด ซึมเศร้า รู้สึกแปลกแยก ต่อต้าน และแยกตัวออกจากสังคม

โดยปกติมักเกิดในคนที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป

แต่อย่างไรก็ตามภาวะสมองเสื่อมก็สามารถเกิดในผู้อายุน้อยตั้งแต่ 30-65 ปี





ภาวะสมองเสื่อมในคนอายุน้อย (Dementia in younger) เริ่มพบมากขึ้นถึง 6.9% ของจำนวนผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมทั้งหมด ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน จึงมักถูกมองว่าเป็นเพียงเรื่องของความเครียด หรือภาวะซึมเศร้าจากการทำงาน เลยไม่ได้สังเกตความผิดปกติ ละเลยคิดว่าไม่อันตราย จนกลายเป็นภัยเงียบที่ไม่รู้ตัว

#สาระจี๊ดจี๊ด
ปัจจุบันภาวะสมองเสื่อมในคนอายุน้อยมักพบในผู้ป่วยวัยทำงาน สาเหตุมาจากความเครียดหรือภาวะซึมเศร้าจากการทำงาน มักคิดว่าไม่อันตรายจนกลายเป็นภัยเงียบที่ไม่รู้ตัว

.

สาเหตุของโรคสมองเสื่อมคืออะไร?

- คนในครอบครัวมีประวัติว่าเป็นภาวะสมองเสื่อมตอนอายุน้อย ๆ

- ภาวะเส้นเลือดสมองตีบ ซึ่งมักพบในผู้ป่วยอายุน้อยที่มีภาวะเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ทำให้เส้นเลือดฝอยในสมองตีบ ส่งผลให้เซลล์สมองตาย

- ฮอร์โมนผิดปกติ โดยเฉพาะฮอร์โมนไทรอยด์ที่มีระดับต่ำกว่าปกติ

- ภาวะร่างกายขาดวิตามินบี 12 หากขาดเป็นเวลานานอาจส่งผลให้เซลล์สมองเสื่อม

- สูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ซึ่งบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงของภาวะหลอดเลือดสมองตีบ ส่วนแอลกอฮอล์จะไปยับยั้งการดูดซึมของวิตามินบี12 ทั้งนี้การดื่มแอลกอฮอล์มาเป็นระยะเวลานานหรือดื่มในปริมาณมากอาจทำลายสมองส่วนต่าง ๆได้

- การติดเชื้อในสมอง เช่น เอชไอวี ซิฟิลิส และไวรัสอื่น ๆ

- ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ หรือเนื้องอกสมอง

.

อาการเบื้องต้นของโรคสมองเสื่อม?

- ลืมเรื่องง่าย ๆ เช่น วัน เดือน ปี สถานที่ที่เพิ่งไปมา ลืมนัดสำคัญหรือบางคนถึงขั้นลืมวันเกิดตัวเอง มักจะต้องใช้ตัวช่วย เช่น สมาร์ทโฟน หรือสมุดโน้ตมาช่วยจำ

- บุคลิกภาพเปลี่ยน เช่น พูดไม่ได้ใจความ บางครั้งพูดติด ๆ ขัด ๆ หรือพูดซ้ำ ๆ ทำให้ประสิทธิภาพในการสื่อสารกับคนรอบข้างถดถอยลง

- การตัดสินใจแย่ลง การตัดสินใจไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ หรือต้องใช้เวลานานในการตัดสินใจ

- มักเกิดความผิดพลาดในการกะระยะ การบอกสี บอกความแตกต่าง ซึ่งเป็นปัญหามากถ้าผู้ป่วยต้องขับรถ

- ภาวะเครียด ซึมเศร้า แยกตัวออกจากสังคม ไม่ว่าจะครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงาน

- ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ไม่มีสมาธิ กระวนกระวาย ย้ำคิดย้ำทำ

#สาระจี๊ดจี๊ด
ผู้มีภาวะสมองเสื่อมอาจจะไม่ได้มีเพียงแค่การหลงลืมเท่านั้น จะต้องอาศัยอาการอื่น ๆ ตามที่กล่าวไปข้างต้นประกอบการวินิจฉัย

.

สำหรับผู้ที่ไม่แน่ใจว่ากำลังเผชิญภาวะสมองเสื่อมอยู่หรือไม่ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อทำการทดสอบและวินิจฉัย ซึ่งมีวิธีการตรวจหลายอย่างดังนี้

- ทำแบบทดสอบ เพื่อประเมินภาวะสมองเสื่อม และแบบประเมินภาวะทางอารมณ์และจิตใจ
-  ตรวจสมองด้วยเครื่องสแกนแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อดูความผิดปกติของเส้นเลือดในสมอง เนื้อสมองตายจากการขาดเลือดหรือเนื้องอกในสมอง
 - เจาะน้ำไขสันหลังไปตรวจ ในกรณีสงสัยการติดเชื้อเช่น เอชไอวี ไวรัส หรือซิฟิลิส
- ตรวจวัดระดับวิตามินบี12 ในร่างกาย
- ตรวจความผิดปกติของฮอร์โมนไทรอยด์

การรักษาโรคสมองเสื่อมในคนอายุน้อย จะเริ่มจากการรักษาสาเหตุของภาวะที่นำไปสู่ภาวะเซลล์สมองเสื่อมหรือตาย หากพบภาวะสมองเสื่อมจากสาเหตุขาดวิตามิน (B12) หรือจากปัญหาฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ แพทย์จะให้การรักษาโดยการให้วิตามินทดแทนหรือใช้ฮอร์โมนเสริม บางสาเหตุสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด เช่น เนื้องอกในสมองบางชนิด ควบคุมโรคประจำตัวที่ทำให้เส้นเลือดในสมองตีบ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง หรือรักษาภาวะติดเชื้อ หากตรวจพบเชื้อจากน้ำไขสันหลัง

การรักษาด้วยยา มักพิจารณาให้สำหรับผู้ป่วยในระยะเริ่มต้นของโรค เพื่อประคองระดับของอาการไม่ให้แย่ลงเร็ว หรือใช้วิธีการบำบัดทางจิตใจและพฤติกรรม โดยการส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้มีการพูดคุย ร่วมกิจกรรม หรือเข้าร่วมกลุ่มบำบัด (Group therapy) เป็นการพาผู้ป่วยกลับเข้าสังคมอีกครั้ง บำบัดด้วยศิลปะ การฝึกสมาธิ การเล่นดนตรี

#สาระจี๊ดจี๊ด
การบำบัดด้วยศิลปะ การฝึกสมาธิ การเล่นดนตรีช่วยลดภาวะสมองเสื่อมลงได้

การลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เส้นเลือดในสมองตีบเช่น ควบคุมน้ำหนักเพื่อลดระดับความดันโลหิต ทานผักหลากชนิด ลดแป้ง ลดอาหาร fast food หรืออาหารที่มีไขมันทรานส์ ควบคุมโรคเบาหวาน รวมถึงงดสูบหรี่ ลดหรือเลิกดื่มแอลกอฮอล์ก็มีส่วนช่วยให้อาการของโรคดีขึ้นได้

ปัจจุบันแม้จะยังไม่สามารถรักษาโรคสมองเสื่อมให้หายขาดได้ ดังนั้นหากรู้สึกว่าตัวเองหรือคนใกล้ชิดมีภาวะสมองเสื่อม ควรพบแพทย์เพื่อปรึกษา โดยเฉพาะภาวะสมองเสื่อมที่เกิดจากโรคติดเชื้อเช่น HIV หรือซิฟิลิส หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงทีอาจส่งผลให้อาการแย่ลงหรือเกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนในระบบอื่น ๆ ของร่างกายซึ่งอาจเสียชีวิตได้

.

เรียบเรียง Wasabi ความรู้ขึ้นสมอง!

#Wasabi ขอเพียงมีส่วนเล็ก ๆ ที่ช่วยให้คุณ!
"เจริญเติบโต ก้าวหน้า สำเร็จ อย่างภาคภูมิใจ"

พิสูจน์อักษรโดย วาลีพ

แหล่งที่มา / แหล่งอ้างอิง
https://cutt.ly/5l8UZZp

.




70
ภาวะสิ้นยินดี (Anhedonia)


https://www.blockdit.com/wasabi

https://www.blockdit.com/posts/63ce7c9b35f53427b5070fde

Wasabi
27 ม.ค. 2023 เวลา 23:41 • สุขภาพ

ภาวะสิ้นยินดี (Anhedonia)





ภาวะสิ้นยินดี (Anhedonia)

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้ คือ เป็นเพศหญิง มากกว่าเพศชาย มีสมาชิกในครอบครัวป่วยด้วยโรคซึมเศร้า โรคจิตเภท โรคการกินผิดปกติ (Eating Disorder) เคยมีประวัติการใช้สารเสพติด เคยถูกทำร้าย หรือถูกทอดทิ้ง เพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่ตึงเครียด หรือกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง เจ็บป่วยด้วยโรคที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิต หรือป่วยด้วยโรคที่มีความรุนแรง

.

#Wasabi ขอเพียงมีส่วนเล็ก ๆ ที่ช่วยให้คุณ!
"เจริญเติบโต ก้าวหน้า สำเร็จ อย่างภาคภูมิใจ"

.

แหล่งที่มา / แหล่งอ้างอิง

https://shorturl.asia/WsQJN

https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/health/527950

.




Pages: 1 ... 5 6 [7] 8 9 10
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.104 seconds with 14 queries.