Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
17 June 2025, 10:06:14

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
27,268 Posts in 13,296 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Recent Posts

Recent Posts

Pages: 1 ... 5 6 [7] 8 9 10
61
เล่าเรื่อง กวนเกษียรสมุทร (4) โดย กลม บางบาน


ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร

ตอนที่ 4 น้ำอมฤต

สิ่งที่ 13 และ 14 ที่ผุดขึ้นมาพร้อมๆ กันคือ ธันวันตริผู้เป็นแพทย์สวรรค์ ผุดขึ้นมาทูนหม้อน้ำทิพย์อมฤตซึ่งเป็นสิ่งวิเศษลำดับที่ 14 ขึ้นมาด้วยแล้วค่อยๆ ประคองวางลงบนแท่นบัวทองคำอันวิจิตรสถิตอยู่ริมฝั่งเกษียรสมุทร

ฝ่ายองค์พระวิษณุเห็นดังนั้น จึงออกกลอุบายในขณะที่เหล่าเทวดาและอสูรต่างแย่งชิงของวิเศษ 12 อย่างที่ผุดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ก็ทรงแบ่งอวตารพระกายเป็นสตรีรูปงามราวกับพระศรีลักษมี นามว่า “โมหิณี” ตรงมายั่วยวนยังเหล่าอสูร พวกอสูรเห็นดังนั้นต่างกรูกันไปโอบล้อมนางไว้หวังได้นางมาครอบครอง นางผู้เป็นอวตารของพระวิษณุจึงออกอุบาย ว่าพวกเทวดานั้นต่างเป็นพวกอ่อนแอ หาเข้มแข็งเท่าเหล่าอสูรไม่ เราจะรับอาสาแบ่งปันน้ำอมฤตตามส่วนให้ โดยอสูรนั้นจะได้ 3 ใน 4 ส่วน แต่เนื่องด้วยเหล่าอสูรเป็นผู้เข้มแข็งกว่า ให้ถือเสียว่าให้ทานพวกเทวดาได้ดื่มกินก่อนเถอะ เพื่อแสดงน้ำใจและความมีอำนาจอันยิ่งใหญ่ของเหล่าอสูร ด้วยเหล่าอสูรหลงในมนตร์เสน่ห์นางจำแลงพระวิษณุ นางว่าเช่นไรก็ว่าตามเช่นนั้น นางจึงนำน้ำอมฤตไปแบ่งปันให้เหล่าเทวดาก่อน โดยล่อเหล่าอสูรให้สนใจไปในอีกทางหนึ่ง


โมหินีขณะร่ายรำ (Vishnus form of Mohini)


โมหินี ร่างอวตารของพระวิษณุทรงถือหม้อน้ำอมฤต และทรงแบ่งปันให้แก่เหล่าเทวดา โดยไม่ประทานให้อสูร
.
         
ฝ่ายอสูรราหูนั้นเป็นแทตย์ที่มีเล่ห์เหลี่ยมสูง รู้ทันกลอุบายของพระวิษณุและด้วยความตั้งมั่นที่จะเป็นอมตะแต่อย่างเดียว แตกต่างกับอสูรทั้งหลายที่มุ่งมั่นแต่กามกิเลส ราหูจึงแปลงกลายเป็นพราหมณ์ชราเข้าไปปะปนในหมู่เทวดา ฤาษี เพื่อรับการปันน้ำอมฤตดื่มกิน เทวดาและเหล่ามหาฤาษีต่างก็ไม่ได้ระแวง ราหูจึงได้ดื่มกินน้ำอมฤตด้วยความยินดี น้ำอมฤตได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย หายเหนื่อยเมื่อยล้า เรี่ยวแรงก็เพิ่มขึ้นมากมายกลายเป็นทิพยภาวะอมตะบุคคลไปในทันที


(ซ้าย)พระราหู (ขวา)พระเกตุ ศิลปะอินเดีย


พระราหู ในคติอินเดีย ทรงกริช,โล่,หอก ทรงราชสีห์เป็นพาหนะ


พระอสุรินทราหู
.
         
ฝ่ายสุริยเทพและจันทรเทพนั้นอยู่บนที่สูง แลเห็นการแปลงกายของราหูโดยตลอดเนื่องด้วยปรากฏเงาแห่งอสูร ก็รีบทูลพระนารายณ์ให้ทราบโดยทันที พระนารายณ์จึงทรงขว้างจักรสุทรรศน์อันเป็นเทพศัสตราอันทรงฤทธิ์ประจำกายพระองค์ออกไปตัดร่างของราหูขาดออกเป็นสองท่อนๆ ล่างได้กลายเป็นพระเกตุไป ในขณะที่กำลังดื่มกินน้ำอมฤตอยู่ โลหิตของจอมอสูรราหูตกลงบนพื้นดินแดงฉาน แต่ราหูก็หาได้เสียชีวิตไม่ ด้วยได้ดื่มกินน้ำอมฤตเป็นอมตะไปแล้ว ขณะเดียวกันน้ำอมฤตที่ดื่มกินเข้าไปบางส่วนก็หยดลงบนพื้นดินด้วยกลายเป็นหอมขาว ส่วนเลือดของราหูที่หยดลงไปกลายเป็นหอมแดง พระวิษณุผู้เป็นเจ้าจึงมีเทวประกาศิตแก่ธันวันตรีแพทย์สวรรค์ว่า
           
“ธันวันตริ !!! เธอจงจารึกไว้ในคัมภีร์อายุรเวท (ว่าด้วยวิชาแพทย์)ของเธอ เพื่อสั่งสอนมนุษย์เป็นการสืบไปภายภาคหน้าว่า อันหอมแดงนั้นเป็นโทษเพราะมีกำเนิดจากโลหิตของอสุรินทร์ราหู ผู้ใดบริโภคหอมแดงจะเกิดโทษมีโรคภัยเบียดเบียน แต่ถ้าผู้ใดบริโภคหอมขาวอันกำเนิดจากน้ำอมฤต ผู้นั้นจะมีพลานามัยที่สมบูรณ์ มีชีวิตยืนยาว ด้วยคุณวิเศษแห่งน้ำอมฤตนั้น”
         
ตรัสจบพระวิษณุก็มอบหม้อน้ำอมฤตที่ยังเหลืออยู่ให้แก่พระอินทร์ แล้วรีบนำไปเก็บรักษายังสวรรค์ ห้ามผู้ใดได้แตะต้องอีก เหล่าเทวดาก็พากันโห่ร้องด้วยความดีใจ จนได้ยินมาถึงพวกอสูร เหล่าอสูรจึงหันกลับมาดู จึงรู้ว่าเสียรู้พวกเทวดาแล้ว จึงรีบกรูกันเข้ามาแย่งชิงน้ำอมฤตจากเหล่าเทวดาในทันที แต่ด้วยว่าเสียรู้เพราะเทวดาได้ดื่มกินน้ำอมฤตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งมีความเป็นอมตะไม่มีวันตายแล้ว พละกำลังก็เพิ่มมากขึ้นมากมาย ซ้ำเหล่าอสูรก็เพิ่งจะเหน็ดเหนื่อยหมดแรงมาจากการกวนเกษียรสมุทรด้วย เหล่าอสูรจึงพ่ายแพ้ จำใจต้องถอยทัพกลับ โดยที่ไม่ได้อะไรติดมือกลับไปเลย เหล่าเทวดาก็ได้กลับไปครอบครองสวรรค์ดังเดิม
         
เหล่าเทวดา ฤาษี เมื่อช่วยกันขับไล่อสูรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ตรงกลับมากราบสักการะพระศิวะ พระนารายณ์ และ พระศรีลักษมี แล้วขอให้พระเป็นเจ้าช่วยคุ้มครองช่วยเหลือ พระผู้เป็นเจ้าทั้งสามก็ยินดี แล้วพระศิวะก็เสด็จกลับไปยังไกรลาสในทันที ส่วนพระวิษณุก็ลงไสยาศน์เหนือทิพยอาสน์ของพญานาคเศษะ(อนันตนาคราช)กลางเกษียรสมุทรโดยมีพระลักษมีเทวีคอยปรนนิบัติพัดวีด้วยความรักในพระวิษณุเจ้า และแล้ว พระผู้มีพระเนตรเรียวงามราวกับกลีบดอกบัว ก็เข้าสู่นิทรารมณ์อีกครา

.

นารายณ์บรรทมสินธุ์
.


(พระพรหม ถือกำเนิดจากสะดือของ พระวิษณุ  ซึ่งรู้จักกันในงานศิลปที่เรียกว่า  ปางนารายณ์บรรทมสินธุ์- ภาพจากวิกิพีเดีย)

.
         
เมื่อพระเป็นเจ้าวิษณุบรรทมสินธุ์แล้ว สามโลกก็กลับร่มเย็นตามเดิมอีกคราหนึ่ง แต่ไฟแค้นของอสุรินทร์ราหูยังครุกรุ่นอยู่ ด้วยเพราะการที่สุริยเทพและจันทรเทพไปทูลพระวิษณุ จนตนนั้นถูกตัดขาดออกเป็น 2 ท่อน (ท่อนบนเรียกว่าราหู ส่วนท่อนล่างเรียกว่าเกตุ) ด้วยตนนั้นก็มีสิทธิ์ที่จะได้ดื่มกินน้ำอมฤตเช่นกันตามสัญญาที่ให้ไว้ต่อกัน แต่กลับต้องมาต้องอาญาด้วยประการฉะนี้ พระอาทิตย์และพระจันทร์ต้องชดใช้ในการกระทำครั้งนี้อย่างสาสม
         
ด้วยเหตุนี้ราหูจึงคอยหาโอกาสจับสุริยเทพและจันทรเทพมากลืนกินเสียด้วยความพยาบาท แต่พระอาทิตย์และพระจันทร์ก็ล่วงพ้นไปได้ในชั่วเวลาไม่นานนัก เพราะ ราหูนั้นมีกายเพียงครึ่งท่อน เทพทั้งสองจึงหลุดออกไปได้ การจองเวรเช่นนี้จึงเกิดคราสเรื่อยมา (จันทรุปราคา กับ สุริยุปราคา) ราหูนั้นจับพระจันทร์ได้บ่อยกว่า เพราะว่า อยู่ใกล้มากกว่า ส่วนพระอาทิตย์โคจรอยู่สูง จึงไม่ค่อยถูกจับเท่าไหร่
         
ราหูหลังจากนั้นก็มิได้เข้าร่วมทำสงครามแย่งสวรรค์จากเทวดาอีกเลย ด้วยเหลือกายเพียงครึ่งเดียว และ ราหูก็เป็นทิพย์เหมือนเทพไปแล้ว ก็เฝ้าแต่บำเพ็ญตบะเพิ่มฤทธิ์ตน และ คอยจับกลืนกินพระอาทิตย์และพระจันทร์เท่านั้น จนพระพรหมธาดาเสด็จมาประทานพรในผลตบะนั้น โดยมอบเกียรติยศให้ราหู-เกตุ ได้เป็นสมาชิกของเทวสภาด้วยผู้หนึ่ง นับว่าเป็นอสูรที่พิเศษกว่าอสูรทั้งปวง เป็นเพียงอสูรตนเดียวที่ได้รับเกียรติสูงส่งนี้ และ ยังเป็นอสูรเพียงตนเดียวที่ได้รับการสักการะบูชาโดยมีปฏิมาอยู่ในเทวลัยร่วมด้วยกับปฏิมาของเทพองค์อื่นๆ  ครั้งหนึ่งราหูเคยอาละวาดจนสวรรค์พังมาแล้ว แต่เมื่อเป็นเทพแล้วก็กลับใจได้ทำตนดีขึ้น ดังนั้นไม่ต้องกลัวราหู-เกตุเพราะในอีกมุม ราหู-เกตุก็ให้คุณได้ เช่น เป็นดวงที่ต้อง ค้าขายกับต่างชาติ  หรือมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุรา หรือสถานที่อโคจรทั้งหลายยามวิกาล
         
ในวิษณุปุราณะพรรณนาว่า พระราหู ทรงราชรถเทียมม้าดำ 8 ตัว สีกายดำหรือสีหมอก รถนี้มีไว้เพื่อเตรียมพร้อมในเวลาที่จับพระอาทิตย์และพระจันทร์ และเรียกจุดดักจับนี้ว่า “พารวัน” (node) ส่วนเวลาอื่นราหูจะทรงเสือโคร่ง หรือ สิงห์ดำเป็นพาหนะ มี 4 กร ถือโล่ ดาบ หอก ตรีศูล คทา ลูกศร ดอกบัว บ้าง ส่วนอีกกรประทานพร นามนั้นก็มีมากมายตามเหตุการณ์ต่างๆ เหมือนเทวดาทั่วๆ ไปคือ อัมพรปิศาจ(ปิศาจแห่งท้องฟ้า) ,ภารณีภู(กำเนิดในกลุ่มดาวฤกษ์ภรณี), ครหะ(ผู้จับ)
         
ส่วนพระเกตุ ทรงราชรถเทียมม้าสีแดง 8 ตัว มีกายสีทองแดงหรือสีแดงน้ำรัก บ้างก็ว่าทรงแร้ง บ้างก็ว่าไม่ทรงพาหนะแต่มีท่อนบนเป็นมนุษย์ใบหน้ามีสิวมาก ส่วนท่อนหางเป็นงูแทน บ้างก็ว่ามีเศียรเป็นงู กายเป็นมนุษย์ มี 4 กร ถือ คทา โล่ ดาบ ธง อีกกรประทานพร บางที่ก็ว่ามีแค่ 2 กร นามก็มีอีกเช่น กปันธะ(ผู้ปราศจากหัว) , อกะชะ(ไม่มีขน) , อเลศะ , ภาวะ(ถูกแบ่งออก) , มุนธะ
.


พระเกตุ ในคติอินเดีย ทรงคทา ทรงนกอินทรีเป็นพาหนะ


พระเกตุครึ่งนาคหัวขาดแบบฮินดู
.




62
เล่าเรื่อง กวนเกษียรสมุทร (3) -สิ่งวิเศษ 14 อย่าง- (3.9)


สิ่งที่ 13 และ 14 ที่ผุดขึ้นมาพร้อมๆ กันคือ พระธันวันตริ ผู้เป็นแพทย์สวรรค์ ผุดขึ้นมาทูนหม้อน้ำทิพย์อมฤตซึ่งเป็นสิ่งวิเศษลำดับที่ 14 ขึ้นมาด้วยแล้วค่อยๆ ประคองวางลงบนแท่นบัวทองคำอันวิจิตรสถิตอยู่ริมฝั่งเกษียรสมุทร

13. ธันวันตริ (Dhanvantari) แพทย์สวรรค์ ผู้ทูนหม้อน้ำอมฤต


พระธันวันตริ เทพเจ้าแห่งการแพทย์และอายุรเวทในศาสนาฮินดู






.
.....

14. น้ำอมฤต (Amrita)




.

พวกอสูรและเทวดาแย่งกัน พระนารายณ์เห็นเช่นนั้นจึงแปลงกายเป็นนางอัปสรชื่อ โมหิณี (Mohini) ไปล่อลวงอสูรให้หลงใหล พระอินทร์ก็รีบขโมยน้ำอมฤตกลับไปแบ่งปันกันในหมู่เทวดา




พระวิษณุเทพ อวตารรูปเป็นนางโมหิณี ใช้เสน่ห์ยั่วยวนหลอกล่อเหล่าอสูรจนสามารถนำน้ำอัมฤตมาคืนแก่เหล่าเทวดาได้สำเร็จ


ราหู (Rahu)
.

มีเพียงอสูรตนหนึ่งนามว่า ราหู (Rahu) ที่ไม่หลงกล ได้แปลงกายเป็นเทวดามาขอดื่มด้วย แต่สุริยะกับจันทรารู้เรื่อง จึงไปฟ้องพระนารายณ์ พระองค์จึงขว้างจักรสุทรรศน์ไปตัดอสูรราหูขาดออกเป็นสองท่อน ท่อนบนคือ อสูรราหู ไม่ตาย เพราะดื่มน้ำอมฤต จึงเป็นอมตะ ส่วนท่อนล่างที่ตาย กลายเป็น เกตุ (Ketu) ดาวพระเกตุ หรือ ดาวหาง ด้วยความโกรธแค้นพระอาทิตย์และพระจันทร์ จึงสาบานว่า เมื่อใดได้พบเทพทั้งสอง จะกลืนกินทุกคราไป แต่กลืนได้ครู่เดียวเทพทั้งสองก็หลุดออก เพราะราหูมีร่างกายเพียงครึ่งท่อน กลายเป็นที่มาของปรากฏการณ์ สุริยะคราส กับ จันทรคราส


ราหู (Rahu)
.

หลังจากเหล่าเทวดาได้ดื่มกินน้ำอมฤต ก็ถือว่าล้างคำสาปของฤษีทุรวาสได้สำเร็จ แถมยังเป็นอมตะไม่ตาย มีอิทธิฤทธิ์มากขึ้นหลายเท่า รบคราใดจะได้รับชัยชนะโดยตลอด
ส่วนเหล่าอสูรก็เก็บความคับแค้นไว้ มีการนำทัพมาแก้แค้นเทวดาอีกหลายครั้งหลายหนส่วนพระนารายณ์ ก็ทรงเสด็จกลับที่ประทับ เพื่อบรรทมสินธุ์ต่อไป....

เหล่าอสูรเสียรู้ พ่ายแพ้ไปตามระเบียบ รอวันชำระแค้นในกาลต่อไป จึงเกิดศึกอีกหลายครั้ง

.




63
เล่าเรื่อง กวนเกษียรสมุทร (3) -สิ่งวิเศษ 14 อย่าง- (3.8-แปด)


11. ปัญจชันยสังข์ (Pancajanya Sankha) เป็น 1 ใน 4 สัญลักษณ์ของพระวิษณุ ที่ทรงถืออาวุธสิ่งของต่างๆ ได้แก่

     สังข์ มีชื่อว่า ปัญจชันยะ (Panchajanya)
     จักร มีชื่อว่า สุทัศน์ (Sudarshana Chakra)
     คทา หรือ ตรีสั้น มีชื่อว่า เกาโมทกี (Kaumodaki)
     ธรณี มักทำเป็นดอกบัว มีชื่อว่า ปัทมะ (Padma)

นอกจากอาวุธ 4 อย่างแล้ว พระวิษณุยังมี ธนูและพระขรรค์อีก ซึ่งธนูและพระขรรค์จะปรากฎเฉพาะภาคพระวิษณุมี 6 กรเท่านั้น

ปัญจชันยะ คือ มหาสังข์ ของมหาวิษณุ หรือ พระนารายณ์ ตามตำนานเล่าว่า ยักษ์เคยขโมยพระเวทไปซ่อนไว้ในหอยสังข์ ทางใต้มหาสมุทรอินเดีย พระนารายณ์จึงทรงตามไปหา เมื่อพบหอยสังข์ จึงใช้พระหัตถ์บีบตรงปาก หอยจึงคายพระเวทคืน

ฉะนั้นหอยสังข์ จึงมีรอยนิ้วพระหัตถ์พระวิษณุ ถ้าใครมีลองพลิกดูและสอดนิ้วลงไปสี่นิ้ว จะลงร่องพอดี หอยสังข์จึงเป็นของพิเศษขึ้นมา

1. เมื่อเคยบรรจุพระเวท น้ำที่เทออกมา จึง น่าจะ บรรจุพลังความรู้ไว้ด้วย
2. ผ่านนิ้วพระหัตถ์มหาวิษณุ ย่อมประดุจทรงพลั่งน้ำจากพระดัชนี

ฉะนั้นจึงมีการนำมาใช้ในการ ‘หลั่งน้ำ’ พิธีสำคัญ และในกองทัพอินเดียโบราณ (มหาภารตะยุทธ) ใช้เป็นสัญญาณในการรบ จังหวะของการเป่าสังข์เป็นสัญญาณ (ไม่ใช่เป่าปุ๊นเฉยๆ)

และจำนวนนับ ไม่ใช่ ชิ้น อัน แต่ใช้ ขอน เหมือนปี่ ใช้ เลา

หากสังข์ ถ้าเป็นของทะเล น้ำตื้น ผิวจะบาง ขาว ใช้แค่เป็นของประดับ จะมาทำเป็นสังข์ สำหรับเป่าไม่ได้ ในการประโคมชั้นสูง จะเป่าสังข์เป่างา (ช้าง)ที่เวลาประกอบพิธีกรรมทางเทวาลัย จะใช้ สังข์ และงาด้วย (งาช้างก็เรียก ขอน ซึ่งมีการเจาะรู ใส่ลิ้น ของโบราณที่หายากแล้ว เหมือน มโหระทึก แต่ก่อนใช้ตามวัด เดี๋ยวนี้ไม่รู้หายไปไหนหมด)

.



ปัญจชันยสังข์...สังข์แห่งชัยชนะ

พระกฤษณะเป่าปัญจชันยสังข์เริ่มการรบ ณ ทุ่งกุรุเกษตร ในมหากาพย์มหาภารตะ


.

มหาสังข์







..

















.

.....

12. อัปสรา (Apsaras) 35 ล้านตน

อัปสรา ถือเป็นนางฟ้าจำพวกหนึ่ง แต่ไม่ใช่เทวี บังเกิดขึ้นเมื่อครั้งกวนเกษียรสมุทร คำว่า "อัปสรา" หรือ "อัปสร" นั้น มาจากคำว่า "อัป" (หมายถึง น้ำ) และ "สร" (หมายถึง การเคลื่อนไป) อัปสร จึงหมายถึง ผู้ที่เคลื่อนไปในน้ำ อันเป็นกำเนิดของนาง ทว่าโดยทั่วไป ถือว่านางเป็นชาวสวรรค์

นางอัปสราเป็นผู้ที่มีทั้งความงามและความสามารถในการร้องรำทำเพลง แต่ความงามของพวกนางกลับไม่ได้รับความสนใจจากเหล่าเทวดา ที่มัวแต่จดจ้องรอแย่งชิงน้ำอมฤตกับเหล่าอสูร เมื่อไม่มีใครรับ นางอัปสร จึงกลายเป็นของกลางที่คอยบำเรอเหล่าเทวา เป็นดั่งโสเภณีแห่งสรวงสวรรค์ เหมือนในพระราชนิพนธ์เรื่องนารายณ์สิบปาง ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงบรรยายว่า (https://www.silpa-mag.com/culture/article_4267, ทำไม “นางอัปสร” ถูกเปรียบว่าเป็น “โสเภณีแห่งสรวงสวรรค์” ?)

ที่สี่ที่ขึ้นจาก   ชลา ลัยฤา             
คือคณาอัปสร   เฉิดแฉล้ม
รูปโฉมสุดโสภา   หาเปรียบ ไม่เลย
งามเนตรงามเกศแก้ม   ก่องฉวี
ท่วงทีมารยาทล้วน   ยวนใจ
เสียงเสนาะขับรำ   ร่ำร้อง
แต่หาสุรเทพใด   รับบ่ มีเลย
เหตุฉะนั้นจึงต้อง   อยู่ลอย
คอยบำเรอเทพไท้    เปรมปรีดิ์
ยามเทพใดมีทุกข์   ช่วยแก้
เปรียบโสภิณีนางในโลก   มนุษย์แล
เป็นแบบแต่นั่นแล้   สืบมา

หลังเหล่านางอัปสรถือกำเนิดขึ้น พระอินทร์ได้รับเอานางอัปสรไปเป็นนางบำเรอจำนวนมาก ราวกับจะตั้งตัว “พ่อเล้า” ที่นอกจากจะเอาไว้เชยชมเองแล้ว ยังใช้นางอัปสรเป็นเครื่องมือในการทำลายตบะของบรรดาฤาษีชีไพร ด้วย เพราะนางอัปสรมีอำนาจแปลงกายได้ ทั้งยังมีความสามารถในการขับร้องและเต้นรำเป็นอย่างยิ่ง แต่ละตนมีความสามารถในเชิงศิลปะต่าง ๆ กัน
 
ที่พระอินทร์แกต้องคอยทำลายตบะผู้ถือศีล เป็นเพราะกลัวว่าใครจะมาแย่งตำแหน่งของแกเข้า จึงต้องส่งนางอัปสรไปทำให้เขาตบะแตก

นั่นก็อาจจริง แต่ถ้าไปลองฟังคนที่เข้าข้างพระอินทร์ก็จะบอกว่า ที่ท่านทำไปก็เพื่อรักษา “ระเบียบ” แห่งไตรภูมิ จะปล่อยให้มนุษย์ธรรมดาๆ มีอิทธิฤทธิ์ถึงขั้นทำให้สามโลกต้องปั่นป่วนมิได้

พูดให้ง่ายก็คือ เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ก็จงใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์ เกิดเป็นนางอัปสรก็ต้องเชื่อฟังเทพผู้เป็นนาย นางอัปสรจึงต้องใช้เสน่ห์ทางเพศคอยยั่วยวนผู้ทรงศีลตามที่พระอินทร์ท่านต้องการ พวกเธอจึงต้องรับบาปเคราะห์จากสถานภาพที่เธอเลือกมิได้

ตัวอย่างมีในตำนานของฤาษีวิศวามิตรผู้เคร่งฌาน ที่ถูกพระอินทร์ส่งนางอัปสรชื่อ “เมนกา” มาฉอเลาะจนท่านฤาษีเคลิบเคลิ้ม สมสู่จนมีลูกด้วยกันนามว่าศกุนตลา

ภายหลังท่านฤาษีจึงบำเพ็ญฌานอย่างหนักจนตบะ “แข็งโป๊ก” กว่าเดิม ด้านพระอินทร์จึงแก้เกมด้วยการส่งนางอัปสรที่สวยที่สุดในสวรรค์ชื่อว่า “นางรัมภา” มาทำลายตบะของท่านฤาษีอีก แต่คราวนี้ท่านฤาษีไม่เอาด้วย

นางรัมภาจึงถูกฤาษีวิศวามิตรสาปให้กลายเป็นหินถึงหมื่นปี นางอัปสรคนงามจึงกลายเป็นแพะรับบาปของการชิงดีชิงเด่นระหว่างชายผู้มีอิทธิฤทธิ์สองท่านไป

.



นางอัปสรที่ปราสาทหินนครวัด (Angkor Wat)



วิศวามิตรมุนีกับนางเมนกา Vishvamitra and Menaka


นางรัมภาพยายามยั่วยวนผู้ทรงศีล (R. Varma, 1894. Credit: Wellcome Library, London.)

.


นางศกุนตลา ลูกสาวของ นางเมนกา กับ ฤาษีวิศวามิตร




64
เล่าเรื่อง กวนเกษียรสมุทร (3) -สิ่งวิเศษ 14 อย่าง- (3.7)


9. โคกามเธนุ (Kamadhenu) หรือ โคสุรภี (Surabhi) หมายถึง วัวของเทพเจ้า เป็นวัวที่สามารถทำพรให้เป็นจริงสมปรารถนา  คำว่า "กามะ" แปลว่า ความปรารถนา  และ "เธนุ" แปลว่า ผู้ให้ โคสุรภีเกิดมาจากการทำพิธีกวนเกษียรสมุทร ระหว่างฝ่ายยักษ์และฝ่ายเทพที่ต้องการน้ำอมฤตมาดื่มเพื่อให้มีพลังและความเป็นอมตะ กามเธนุมักปรากฎในรูปโคตัวเมียที่มีหน้าเป็นมนุษย์เพศหญิง มีหน้าอกแบบมนุษย์ มีหางเป็นนกยูงอยู่เหนือหางโค มีปีก และมีนมของโค

โดยพระกัศยปะมีความต้องการที่จะได้นางโคสุรภีมาเป็นพาหนะประจำองค์แต่ด้วยความจริงที่ว่า โคสุรภีนั้นเป็นโคเพศเมียจึงไม่เหมาะและต้องการโคเพศผู้มาเป็นพาหนะประจำตนมากกว่า พระกัศยปะจึงได้เนรมิตกายตนเองให้เป็นโคเพศผู้ไปผสมพันธุ์กับนางโคสุรภี จนตั้งครรภ์ และให้กำเนิดลูกโคออกมาเป็นตัวผู้ สีขาวบริสุทธิ์ มีลักษณะดีตรงตามตำรา จึงได้ตั้งชื่อว่า "นนทิ หรือ นันทิ" หรือ นันทิเกศวร หรือ โคอุสุภราช และถวายโอรสของตนให้กับพระศิวะเพื่อใช้เป็นพาหนะประจำองค์ และคอยรับใช้ท่าน

.













กามเธนุ ที่ถ้ำบาตู ประเทศมาเลเซีย
.

.....

10. หริธนู (Haridhanu) หมายถึง ธนูของพระหริ หรือ พระวิษณุ หรือ พระนารายณ์ เป็นธนูที่ยิงไปไม่มีวันพลาดเป้า (แหม นึกถึง..มีดบินลี้กิมฮวง เลย)

"หริ" แปลว่าผู้ดูแลแห่งจักรวาลถือเป็นเทพสูงสุด เพราะทุกอย่างเกิดจาก "หริ" โดย"หริ"ได้แบ่งตนเองออกเป็น 3 คือ

     พระพรหม มีหน้าที่สร้างและลิขิตสรรพสิ่งทั้งปวงในทั้งสามโลก 
     พระนารายณ์ หรือ พระหริ มีหน้าที่ดูแลทั้งสามโลกให้อยู่ในความเรียบร้อย และสมดุล
     พระศิวะ มีหน้าที่ทำลายสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายทั้งปวงในโลกทั้งสาม

ซึ่งพระวิษณุมี ๔ กร ทรงถืออาวุธสิ่งของต่างๆ ได้แก่
   
     1. สังข์ สังข์นี้ชื่อว่า “ปาญจะชันยะ”                   
     2. จักร มีชื่อว่า สุทรรศนะ หรือ วัชรนาภ                   
     3. คทา มีชื่อว่า เกโมทที                   
     4. ธรณี มักทำเป็นดอกบัว

นอกจากอาวุธ 4 อย่างแล้ว พระวิษณุยังมี ธนูและพระขรรค์อีก และอาวุธประจำที่ใช้ คือ สังข์ จักร คทา ธนู และพระขรรค์  ซึ่งธนูได้มาจากการกวนเกษียรสมุทรนั่นเอง
จะเห็นได้ว่าธนูและพระขรรค์จะปรากฎเฉพาะพระวิษณุมี 6 กรเท่านั้น

.

.








.





.




65
เล่าเรื่อง กวนเกษียรสมุทร (3) -สิ่งวิเศษ 14 อย่าง- (3.6)


8. ปาริชาต (Parijat) 1 ใน 5 ต้น เบญจพฤกษาสวรรค์ ได้แก่
     -ปาริชาต
     -กัลปพฤกษ์
     -มณฑารพ
     -หริจันทน์
     -สันตาน

ตามความเชื่อของพระพุทธศาสนาบอกว่า เป็นดอกไม้ที่เมื่อสูดกลิ่นของมันแล้ว จะทำให้สามารถจดจำเรื่องราวในอดีตชาติของตนได้

ปาริชาติ เป็นต้นไม้ที่วางอาสนะ แท่นศิลาอันหนึ่งชื่อว่า บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ยามเสด็จมาเยือนอุทายานของพระอินทร์บนสวรรค์

ต้นปาริชาต ซึ่งเป็นต้นไม้ทิพย์ นี้ 100 ปี ถึงจะออกดอก 1 ครั้ง เมื่อถึงคราวนั้น ดอกไม้ในสวรรค์นี้ก็ใกล้จะบานสะพรั่ง เหล่าเทพบุตร เและ เทพธิดา ก็จะพากันมารื่นเริง ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมาเฝ้าจนกว่าดอกไม้จะบาน

ครั้งเมื่อดอกไม้สวรรค์บานแล้ว จะปรากฏแสงรุ่งเรืองงดงามยิ่งนัก รัศมีดอกปาริชาติจะส่องรัศมีรุ่งเรืองไปไกลหลายหมื่นวา เมื่อลมรำเพยพัดพาไปในทิศใด ย่อมส่งกลิ่นหอมไปในทิศนั้น เป็นระยะไกลแสนไกล ดอกไม้นี้จะบานสะพรั่งไปทุกกิ่งก้านทั่วทั้งต้น


ดอกปาริชาต หรือ ทองหลาง
ถ้าดอกสีแดงจะเรียกว่า “มโนรมย์” ถ้าสีขาวหรือสีเหลืองจะเรียกว่า “สราญรมย์”


ต้นปาริชาต บนสวรรค์

ปาริชาต หรือปาริฉัตร เป็นต้นไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในไตรภูมิพระร่วง กล่าวไว้ว่า เมื่อต้นปาริชาติในดาวดึงส์บานเต็มที่แล้ว เทวดาชั้นดาวดึงส์ต่างพากันดีใจ เอิบอิ่มพรั่งพร้อมด้วย

-กามคุณทั้ง ๕ บำรุงบำเรออยู่ตลอดระยะ ๕ เดือนทิพย์ ณ ใต้ต้นปาริชาต ซึ่งเมื่อบานเต็มที่แล้ว แผ่รัศมีไปได้ ๕๐ โยชน์ ในบริเวณรอบๆ และจะส่งกลิ่นไปได้ ๑๐๐ โยชน์ตามลม

-และภายใต้ร่มปาริชาต จะมีแท่นศิลาอันหนึ่งชื่อว่า....... " บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ มีสีแดงดังดอกชบาและอ่อนนุ่มดังฟูกทิพย์ ".....ขณะที่พระอินทร์นั่งบนแผ่นศิลานี้จะอ่อนยุบลงเหมือนนั่งบนปุยนุ่น

..

" การะลึกชาติ และ ต้นปาริชาติ "

เรื่องต้นปาริชาตและการระลึกชาติ นั้น ตามคัมภีร์อิงตามพุทธศาสนา นั้นได้กล่าวถึงความสำคัญของ “ปาริชาต” ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ของดอกไม้สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งประกอบด้วยปาริชาต กัลปพฤกษ์ มณฑารพ หริจันทน์ และสันตาน เมื่อต้นปาริชาตผลิดอกบานเต็มที่จะแผ่รัศมีไปได้ 50 โยชน์ และส่งกลิ่นตามลมไปไกล 100 โยชน์ เหล่าเทวดานางฟ้าทั้งหลายจะมาพักผ่อน เล่นสนุกสนานบริเวณใต้ต้นปาริชาต

หากกลิ่นดอกปาริชาตที่โชยมาต้องเทวดานางฟ้าองค์ใดจะสามารถระลึกชาติได้อย่างอัศจรรย์ ซึ่งใน "กามนิต-วาสิฏฐี” วรรณกรรมอิงพุทธประวัติก็ได้เล่าถึง “กามนิต” ผู้ได้ไปเกิดบนสวรรค์และสามารถระลึกชาติเมื่อครั้งที่เกิดเป็นมนุษย์เพราะได้กลิ่นหอมจากปาริชาต บนสวรรค์ จึงจดจำเรื่องราวครั้งยังเป็นมนุษย์อยู่ได้หลายร้อยชาติ จึงกล่าวว่า..

เรื่องราวในวรรณคดี อิงพุทธศาสนา มหากาพย์เทวภูมิ ชั้นที่ 2 ดาวดึงส์ ---

กามนิต - วาสิฏฐี (ภาคสวรรค์)

"นอกเมืองดาวดึงส์ออกไป ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีอุทยานใหญ่อีกแห่งหนึ่ง ชื่อว่า ปุณฑริกวัน มีกำแพงล้อมรอบทั้ง 4 ด้าน กลางสวนมีไม้ทองหลางใหญ่ต้นหนึ่ง เป็นไม้ทิพย์ชื่อว่า ปาริชาต ต้นปาริชาต นี้ จะมีดอกบานครั้งหนึ่งต่อเมื่อครบหนึ่งร้อยปี พูดง่าย ๆ ว่าร้อยปีจะดอกบานครั้งหนึ่ง และขณะที่ดอกปาริชาตนี้บานจะมีรัศมีเรืองไปไกลถึงแปดแสนวา และเมื่อลมพัดไปทางทิศใด ลมมีกลิ่นหอมฟุ้งไปทิศนั้นไกลแสนไกล
กลิ่นหอมนั้นจะตลบอบอวลอยู่ทั่วบริเวณสวรรค์ชั้นนี้นานเท่านาน กล่าวกันว่า ยามที่ดอกปาริชาตนี้บาน จะมีเหล่าเทพบุตรเทพธิดามาเล่นสนุกสนานใต้ต้นปาริชาตนี้เป็นจำนวนมากและกลิ่นปาริชาตที่โชยโรยรินมาต้องเทพบุตรเทพธิดาองค์ใด จะช่วยทำให้เทพบุตรเทพธิดาองค์นั้นระลึกชาติได้อย่างอัศจรรย์"



.




66
เล่าเรื่อง กวนเกษียรสมุทร (3) -สิ่งวิเศษ 14 อย่าง- (3.5)


7. ม้าอุจไฉศรวัส (Uchchaishravas) หรือ อุจไฉศรพะ คือ ม้าวิเศษ บ้างก็ว่ามีตัวเดียวแต่มี 7 หัว (บ้างก็ว่ามี 7 ตัว) มีสีขาวปลอด มีลักษณะงดงามมาก มีพละกำลังมากมายหาที่เปรียบไม่ได้ ม้าอุจไฉศรพเกิดจากการกวนเกษียรสมุทร  จัดว่าเป็นม้าแห่งยอดม้าทั้งปวง

ผู้ที่ครอบครองม้าวิเศษนี้ในแต่ละคัมภีร์กล่าวแตกต่างกันไป บ้างก็ว่าเป็นม้าของพระอินทร์ บ้างก็ว่าเป็นม้าของท้าวพลี (Bali) ราชาแห่งอสูรทั้งปวงที่เป็นผู้รุกรานสวรรคโลกจนเกิดพิธีกวนเกษียรสมุทร แต่ที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือ เป็นม้าเทียมราชรถของพระอาทิตย์ หรือ สุริยเทพ (Surya)

ในมหาภารตะกล่าวว่า ม้าอุจไฉศรพะ เป็นสาเหตุของความบาดหมางระหว่างนาค (Naga) และครุฑ (Garuda) เนื่องจากการพนันขันต่อระหว่างนางวินตา (Vinata - มารดาของครุฑ) และ นางกัทรุ (Kadru - มารดาของนาค) จนเกิดเป็นความแค้นระหว่างสองเผ่าพันธุ์ในที่สุด (โดยพนันกันว่า หางของม้าอุจไฉศรพนั้นมีสีดำหรือสีขาว นางวินตาเคยเห็นพระสุริยเทพขับราชรถผ่านไปจึงรู้ว่าม้าของพระองค์เป็นสีขาวปลอด จึงตอบว่าหางสีขาว แต่นางกัทรุบอกว่ามีสีดำ และด้วยกลโกงของนางกัทรุ ให้ลูกนาคทั้งพันของนาคแอบแทรกตัวในหางม้าจนดูเหมือนว่าม้ามีหางสีดำ ด้วยเหตุนี้นางวินตาจึงตกเป็นทาสของนางกัทรุ 500 ปีเพราะแพ้พนัน)

.


ภาพกวนเกษียรสมุทร ต้นกำเนิดม้าอุจไฉศรพและน้ำอมฤต

.


อุจไฉศรพ อาชาแห่งสุริยเทพ
.


“พระอาทิตย์ชักรถ” ภาพจิตรกรรมของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
.





67
เล่าเรื่อง กวนเกษียรสมุทร (3) -สิ่งวิเศษ 14 อย่าง- (3.4)


6. ไอราวัต (Airavata) หรือไอราพต หรือ เอราวัณ ซึ่งเป็นช้างผือกสีขาว มีสามเศียร อันเป็นเทพพาหนะของพระอินทร์

พระอิศวรได้ประทานช้างเอราวัณให้เป็นช้างทรงของพระอินทร์ บ้างก็ว่าช้างเอราวัณนั้นเป็นเทพบุตร อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เมื่อพระอินทร์จะเสด็จไปที่ใด เทพบุตรเอราวัณจะแปลงกายเป็นช้างเผือกสีขาว ชื่อว่า เอราวัณ

เอราวัณเป็นช้างที่รูปร่างสูงใหญ่เหมือนภูเขา ผิวกายเผือกผ่อง เป็นช้างที่มีพลังมาก ถือเป็นเจ้าแห่งช้างทั้งหลาย ในคัมภีร์มหาภารตะ กล่าวว่า “ช้างไอราวตะมีงา ๔ งา มี ๓ งวง รูปร่างใหญ่มหึมา และเป็นช้างเผือก ส่วนใน คัมภีร์ไตรภูมิกถา ได้พรรณนาความใหญ่โตโอฬารของช้างเอราวัณไว้อย่างละเอียดพิสดารมาก

ซึ่งสรุปได้ว่า ช้างเอราวัณเป็นช้างที่มีขนาดใหญ่มาก ผิวกายสีขาว มีหัว 33 หัว แต่ละหัว มีงาเจ็ดงา แต่ละอันยาวสี่ล้านวา แต่ละงามีสระโบกขรณีเจ็ดสระ แต่ละสระมีกอบัวเจ็ดกอ แต่ละกอมีดอกบัวเจ็ดดอก แต่ละดอกมีกลีบเจ็ดกลีบ แต่ละกลีบมีธิดาฟ้อนรำอยู่เจ็ดองค์ แต่ละองค์มีบริวารอยู่อีกเจ็ดนาง รวมได้ว่า ช้างเอราวัณ มี 33 หัว มีงา 231 งา มีสระบัว 1,617 สระ มีกอบัว 11,319 กอ มีดอกบัว 79,233 ดอก กลีบบัว 554,631 กลีบ เทพธิดา 3,882,471 องค์ และบริวารของเทพธิดาอีก 27,176,919 นาง







บทบาทและหน้าที่อันสำคัญยิ่งของช้างเอราวัณ คือ เป็นพาหนะที่นำเสด็จพระอินทร์ไปยังสถานที่ต่าง ๆ ทั้งบนสวรรค์และมนุษย์โลก เพื่อดูแลทุกข์สุขของชาวโลก เป็นช้างศึกให้พระอินทร์ออกไปทำการรบกับพวกอสูร ทำหน้าที่ดูแลโลกทางด้านตะวันออกควบคู่กับพระอินทร์ และเนื่องจากพระอินทร์ทรงเป็นหัวหน้าเทพที่กำกับดูแลดินฟ้าอากาศ มีวัชระสายฟ้าเป็นอาวุธ เป็นศัตรูกับความแห้งแล้ง นำความอุดมสมบูร์และความชุ่มฉ่ำสู่โลกมนุษย์ ช้างเอราวัณจึงมีหน้าที่ดูดน้ำจากโลกขึ้นไปบนสวรรค์ ให้พระอินทร์บันดาลให้เกิดน้ำจากฟ้าตกลงสู่โลกมนุษย์ โดยเฉพาะประเทศทางเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงประทับใจและชื่นชมในตัวช้างเอราวัณที่ทำประโยชน์ให้แก่ชาวโลก


         
ช้างเอราวัณถือว่าเป็นเจ้าแห่งช้างทั้งปวงในสากลจักรวาล เป็นพาหนะคู่พระทัยของพระอินทร์ ด้วยเหตุนี้ช้างเอราวัณจึงเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของพระอินทร์ สัญลักษณ์ของการกระทำดี และสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ในงานศิลปกรรมต่าง ๆ จึงนิยมทำรูปช้างเอราวัณควบคู่ไปกับพระอินทร์ หรือบางทีก็ทำแต่เพียงรูปช้างสามเศียรอันเป็นสัญลักษณ์ของช้างเอราวัณเท่า นั้น เหตุที่ทำเป็นรูปช้างสามเศียรแทน ๓๓ เศียรนั้นคงเป็นเพราะรูปแบบทางด้านศิลปะน่าจะมีความงดงามลงตัวมากกว่า

.




68
เล่าเรื่อง กวนเกษียรสมุทร (3) -สิ่งวิเศษ 14 อย่าง- (3.3)


3. เกาสตุภะ (Kaustubha) คือ 1 ใน 4 แก้วมณีแห่งสรวงสวรรค์ ซึ่งประกอบด้วย

     -เกาสตุภมณี (Kaustubha Mani)
     -จินดามณี (Cinta Mani)
     -ศยามันตกมณี (Syamantak Mani)
     -รุทรมณี (Rudra Mani)

เพชรเกาสตุภมณี เป็นมณีที่มีค่าและงดงามที่สุดในสามโลก พระนารายณ์นำไปประดับไว้ที่พระอุระ(อก)
.





https://i.pinimg.com/1200x/c1/61/e1/c161e1d645b1e3f13a7195f9aa2f2de4.jpg





.

.....

4. ดอกบัวผุดขึ้นมาพร้อมพระลักษมี พระลักษมี (Lakshmi) เป็นเทพีแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย โชคชะตา ความรัก ความงาม ดอกบัว และความอุดมสมบูรณ์ เปรียบได้กับเทพีอะโฟรไดท์ (Aphrodite) ของกรีก

พระลักษมีเป็นชายาของพระวิษณุหรือพระนารายณ์ เมื่อพระนารายณ์อวตารลงมายังโลก นางก็จะอวตารลงมาช่วยพระสวามี เช่น

ตอนพระนารายณ์อวตารเป็นวามน (Vamana) นางก็ไปเป็นนางกมลา (Kamala)
ตอนพระนารายณ์อวตารเป็นปรศุราม (Parashurama) นางก็ไปเป็นพระแม่ธรณี (Bhudevi)
ตอนพระนารายณ์อวตารเป็นเป็นราม (Rama) นางก็ไปเป็นสีดา (Sita)
ตอนพระนารายณ์อวตารเป็นกฤษณะ (Krishna) นางก็ไปเป็นนางรุกมิณี (Rukmini)
ตอนพระนารายณ์อวตารเป็นสิทธัตถะ (Siddhartha) นางก็ไปเป็นนางยโสธรา (Yashodhara)

.









.

.....

5. วารุณี (Varuni) เทพีแห่งสุรา และความเป็นอมตะ เป็นชายาของเทพวรุณ (Varuna) เทพเจ้าแห่งน้ำ และความสัตย์

วารุณี เทวีแห่งสุรา เป็น 1 ใน 14 ของวิเศษที่เกิดจากการกวนเกษียรสมุทร ในขณะที่ผุดขึ้นมาจากฟองน้ำนม ในมือของนางถือคนโทเหล้าขึ้นมาด้วย

เหล่าอสูรซึ่งมีความทรงจำอันขมขื่นจากการถูกพระอินทร์แย่งดินแดน (สวรรค์)ด้วยการมอมเหล้าจนเมามายแล้วผลักตกสวรรค์ลงมา ไม่สนใจใยดีในตัวนางเลย จึงตกเป็นสมบัติของเทพ โดยนางมีหน้าที่สร้างความรื่นเริงด้วยน้ำเมาแด่เหล่าเทพต่างๆ

จากเหตุการณ์ในอดีตทำให้เหล่าเทวดาดั้งเดิมที่ถูกผลักตกสวรรค์สาบานตนจะไม่แตะต้องน้ำเมาอีกเลย จึงได้ชื่อว่า อสุรา หรือ อสูร ในขณะที่เทพรุ่นใหม่อย่างพระอินทร์พึงพอใจในน้ำชนิดนี้มาก จึงได้ชื่อว่า สุรา

.
(แทรก)
ในอดีต สังคมฮินดูเคยยกย่องสุราถึงขนาดมีเทวีประจำสิ่งมึนเมานี้ นั่นคือเทพี “วารุณี” หรือสุราเทวี

น้ำโสมของโสมเทพกับสุราของวารุณี มีความแตกต่างกันอย่างไร แต่ที่พอสังเกตได้ คือ สุราของวารุณีเป็นน้ำหมักสีใส ในขณะที่น้ำโสมของโสมเทพเป็นการหมักต้นโสมกับน้ำนมซึ่งมีสีขาวขุ่น

ในศาสนาฮินดู ยุคพระเวท พราหมณ์จะเสพ “น้ำโสม” (Soma) และคั้นถวายเทพเจ้า วิเคราะห์กันว่า น้ำโสมที่ว่าทำจากพืชเมา อาจจะเป็นหญ้าหรือเห็ดบางชนิด แต่ข้อสรุปที่ค่อนข้างแน่ชัดคือมันมีฤทธิ์ทำให้เมาแน่ ๆ

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะอธิบายมุมมองของคนสมัยโบราณต่อสุราว่าไม่ได้มองเป็นสิ่งน่ารังเกียจสถานเดียวมาแต่แรก ทั้งยังถือเป็นน้ำ “อมฤต” ด้วย แม้ทุกวันนี้ท่าทีของคนฮินดูต่อเครื่องดื่มมึนเมาจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงศาสนาพุทธที่ให้การละเว้นจากการดื่มสุราเป็นหนึ่งในศีลพื้นฐาน 5 ข้อเลยทีเดียว

ในอดีต นอกจากน้ำโสมแล้วคนฮินดูยังทำสุราประเภทอื่น ๆ ทั้งแบบกลั่นและหมัก ที่สำคัญคือมีเทวีประจำสุราคือ “วารุณี” หรือสุราเทวี โดยชื่อวารุณีนั้นแปลตรงตัวว่า ชายาของพระวรุณ (พระพิรุณ) เทพแห่งน้ำในศาสนาฮินดู

ตามเทวตำนาน วารุณีเทวีเกิดจากเหตุการณ์การกวนเกษียรสมุทรทะเลน้ำนมเพื่อสร้างน้ำอมฤตของเทพและอสูร พระนางอุบัติขึ้นพร้อมพระหัตถ์ถือโถสุรา เป็นลำดับที่ 11 ถัดจากพระลักษมี (ชายาพระวิษณุ) ก่อนจะสยุมพรหรือเลือกคู่กับพระวรุณ วารุณีเทวียังเป็นเทพีผู้อุปถัมภ์การพยากรณ์ ทั้งถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในคณะ 64 โยคินี ในศาสนาฮินดูอีกด้วย

เมื่อศาสนาฮินดูเปลี่ยนคติให้การดื่มสุรากลายเป็นบาป การบริโภคสุราในอินเดียจึงเป็นไปอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ แต่ยังคงใช้เหล้าอยู่ในพิธีกรรมในฐานะเครื่องบูชาเทพเจ้า พร้อมกับภาพลักษณ์ของสุราเทวีที่ค่อย ๆ เลือนหายไปหลบเร้นอยู่กับศาสนพิธีเป็นหลัก

.



นางวารุณี เทพีแห่งสุรา
.


ภาพนางวารุณี เทพีแห่งสุรา นั่งบนพาหนะ คือ มกร ซึ่งจัดเป็นสัตว์ประหลาดในทะเลชนิดหนึ่ง ปกติมักแสดงอยู่ในรูปของสัตว์ผสมที่มีส่วนหัวเป็นสัตว์บก และมีหางเป็นสัตว์น้ำ มีรูปร่างสวยงาม และใบหน้ายิ้มแย้ม มีดวงตาเปล่งประกายราวกับดอกบัว จากภาพเราจะเห็นลักษณะสิ่งของที่เป็นวงกลมอยู่ทางซ้ายนั้นคือ บ่วง และมือที่หักไปนั้นถือขวดสุรา ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของนางวารุณี
.


พระวรุณ หรือพระพิรุณ พระสวามีของนางวารุณี
.


ภาพเทวรูป พระวรุณประทับคู่กับนางวารุณี ที่ทรงนั่งมกร โดยมีนางนั่งอยู่ข้างกายและถือขวดสุราไว้ในมือ
.




69
เล่าเรื่อง กวนเกษียรสมุทร (3) -สิ่งวิเศษ 14 อย่าง- (3.2)


2. จันทรา (Chandra) เทพแห่งแสงสว่าง ในหนึ่งเทพนพเคราะห์ (Navagraha)

ของวิเศษอย่างแรกคือ ดวงจันทร์ เหล่าทวยเทพแลอสูรต่างสำนึกในบุญคุณแห่งการเสียสละของพระศิวะ จึงต่างเห็นพ้องกันว่าของวิเศษประการแรกควรถวายแด่องค์พระองค์ พระศิวะเป็นเจ้าจึงหยิบเอาดวงจันทร์นั้นมาทัดเป็นปิ่นปักผมทันที เทวดาและอสูรได้เห็นพระรัศมีที่งดงามของพระเป็นเจ้าศิวะและของดวงจันทร์คู่กันอย่างเหมาะสมลงตัว จึงต่างสรรเสริญพระนามให้ใหม่ในทันทีว่า จันทรเศขร (Chandrasekhar-จันทรเศกขรา, จันทราเศกขระ) คือ พระอิศวร ผู้มีพระจันทร์เป็นปิ่น

.







จันทรเศขร (Chandrasekhar-จันทรเศกขรา, จันทราเศกขระ) คือ พระอิศวร ผู้มีพระจันทร์เป็นปิ่น



.




70
เล่าเรื่อง กวนเกษียรสมุทร (3) -สิ่งวิเศษ 14 อย่าง- (3.1)


1. พิษหะลาหละ (Halahala) สิ่งแรกที่ได้จากการกวนเกษียรสมุทร คือน้ำพิษจำนวนมหาศาล อันเป็นพิษที่ร้ายแรงมากๆ หากตกลงยังมนุษยโลกก็จะบังเกิดเป็นเพลิงกรดเผาโลกให้เป็นจุลไปได้ พระศิวะมหาเทพทรงทราบด้วยทิพยญาณว่าพิษร้ายนี้ไม่มีใครจะกำจัดลงได้เว้นแต่ พระองค์เอง พระศิวะจึงดื่มพิษร้ายนั้นซะเอง พระแม่ปราวาตี เห็นเช่นนั้น จึงกดพระศอพระศิวะไว้เพื่อไม่ให้พิษนั้นลงสู่ท้อง ทำให้คอของพระศิวะเป็นสีดำ จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า "นิลกัณฐ์"

แล้วงานกวนเกษียรสมุทรก็เดินหน้าต่อ คราวนี้ก็เริ่มมีของดีๆ ผุดตามมา..







.
แล้วงานกวนเกษียรสมุทรก็เดินหน้าต่อ คราวนี้ก็เริ่มมีของดีๆ ผุดตามมา..
.




Pages: 1 ... 5 6 [7] 8 9 10
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.139 seconds with 12 queries.