Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
17 June 2025, 10:15:15

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
27,268 Posts in 13,296 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Recent Posts

Recent Posts

Pages: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 10
51
กรมประชาสัมพันธ์ : นกจับแมลงสีน้ำตาล




ย้อนกลับไปในช่วงสงกรานต์ เราไปตามหาแต้วแร้วนางฟ้า
ที่พุทธมณฑลแต่ว่าไม่เจอ แผนสำรองคือไปที่กรมประชาสัมพันธ์
ซึ่งมีข่าวว่ามีคนถ่ายนกจับแมลงหลังเขียวได้
 
เคยมีบุญวาสนาได้เจอนกจับแมลงตะโพกเหลือง
เมื่อมีนกจับแมลงที่ยังไม่เคยได้มา ต้องอยากไปแน่ๆ
 
จากสถานี BTS อารีย์ เดินฝ่าแดดยามเที่ยงของเดือนเมษายน
จนไปถึงสวนสาธารณะกรมประชาสัมพันธ์ ดูแล้วมีขนาดเล็กมาก
สอดส่องมองหา มีแต่นกธรรมดาอยู่นิดหน่อย ถอดใจเลยทีนี้
ไม่รู้จริงจุดที่เค้าถ่ายได้มันอยู่ที่ไหน แห้วซ้ำซ้อนเลย
 
เมื่อเปิดดูรูปที่โหลดออกจากกล้อง ตอนที่ถ่ายมาคิดว่าเป็นปรอดสวน
เพราะเห็นนกสีน้ำตาลทั้งตัว แต่สังเกตุใต้ปากเป็นสีส้มที่ไม่คุ้นตา
จนซึ่งปัญญาเข้าไปโพสต์ถามในกลุ่มที่เค้าเชี่ยวชาญสายนกสีน้ำตาล
ก็ได้รับคำตอบที่พอชื่นใจ เป็นนกอพยพมาจากไซบีเรีย
ชื่อว่า นกจับแมลงสีน้ำตาล
 
แต่สงสัยว่าทำไมภาษาอังกฤษเรียกว่า asian brown flycatcher ล่ะ
แปลว่าต้องพบครั้งแรกในเอเชียเป็นแน่ ซึ่งเราไม่ควรเป็นคนขี้สงสัย
เพราะเรื่องนี้จะพาลงไปในความลึกลับของนกสีน้ำตาล
ที่แสนจะธรรมดาตัวนี้ อย่างยาวนานเป็นสัปดาห์



ชื่อนกวงศ์ (family) Muscicapidae ตั้งขึ้นโดย John Flemming
นักธรรมชาติวิทยาชาวสกอต ในปี 1822 มาจากภาษาละตินสองคำ
Musca ที่แปลว่า แมลง และ capere ที่แปลว่า จับ
โดยขยายให้ครอบคลุมสกุล (genus) Muscicapa เดิมที่ตั้งโดย
Mathurin Jacques Brisson นักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศสในปี 1760
 
ปัจจุบันแยกออกเป็น 3 sub spp. ได้แก่ Muscicapa dauurica dauurica
มีแหล่งผสมพันธ์ในไซบีเรียตะวันออก มองโกเลียเหนือ จีนตะวันออก
เกาหลี และญี่ปุ่น และอพยพหนีหนาวลงมาพบได้ตั้งแต่
จีนตอนใต้ เกาะไหหลำ ไต้หวันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จนถึงพม่าตะวันตก ฟิลิบปินส์ และเขตซุนดราใหญ่
 
นอกจากนี้ยังมีนกประจำถิ่นอีกสองชนิด M. d. poonensis 
อาศัยอยู่ในปากีสถานตอนเหนือ ภูฐาน และอินเดีย
และ M. d. siamensis อาศัยอยู่ในแถบตะนาวศรีของพม่า
ภาคเหนือและตะวันตกของไทย พบใต้สุดที่เพชรบุรี และตอนใต้ของเวียดนาม
 
ปัจจุบันชื่อของนกจับแมลงสีน้ำตาลกลุ่มหลักนั้นยังไม่เป็นที่ยุติ
ส่วนใหญ่ใช้ Muscicapidae dauurrica dauurrica, Pallas 1811
และยังมีส่วนน้อยที่ใช้คำว่า Muscicapidae latiostis, Raffles 1822


31/1/2568 กาญจนบุรี

Peter Simon Pallas เกิดในปี 1741 เป็นบุตรชายของศัลยแพทย์ในเบอร์ลิน
อายุเพียง 19 ปี ก็เรียนจบแพทยศาสตร์ แต่ในอีกด้านเค้าก็มีความสนใจ
ในด้านธรรมชาติวิทยาปี 1767 ได้รับเชิญจากพระนางแคทเธอลีนที่สอง
แห่งรัสเซีย ให้ไปเป็น Professor ที่มหาวิทยาลัย St. Pertersburg
 
ในปี 1768 ถึงปี 1774 ได้เป็นหัวหน้าคณะสำรวจเดินทางไปยัง
ตอนกลางของรัสเซียเลยไปจนถึงแถบไซบีเรีย
ได้แก่เทือกเขาอูราล เทือกเขาอัลไตทะเลสาปไบคาล แม่น้ำอามูร์
และทรานส์ไบคาลที่เป็นเทือกเขาที่นับจาก
ทะเลสาปไบคาลไปจนถึงสุดขอบตะวันออกไกลของรัสเซีย
 
ส่วนหนึ่งของบริเวณนี้เป็นพื้นราบที่ชาวเมือง nomadic เรียกว่า Dauria
ความสวยงามของบริเวณนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
และเป็นที่มาของคำว่า Dauurrica ของชื่อสายพันธุ์นกชนิดนี้
เมื่อกลับมาที่รัสเซียเค้าเป็นที่โปรดปรานของพระนางแคทเธอรีน
โดยได้รับการแต่งตั้งเป็นอาจารย์ผู้สอนบุตรหลานในราชวงศ์รัสเซีย
 
ปี 1784 ได้เริ่มเขียนหนังสือเรื่อง Flora Rossica
ปี 1793 ถึงปี 1794 เค้าได้ออกเดินทางสำรวจอีกครั้ง
ไปยังแถบไครเมีย และทะเลดำ เมื่อกลับมาถึง St. Petersburg
เค้าได้ชื่นชมความงามให้พระนางแคทเธอลีนฟัง
พระองค์ได้พระราชทานบ้านอันใหญ่โตที่เมือง Simferopol ให้
 
ปี 1799-1801 เขียนหนังสือภาษาเยอรมัน Pallas's remarks
on a trip to the southern governorships of the Russian Empire
เค้าอาศัยอยู่กับภรรยาคนที่สองจนเธอเสียชีวิตลงในปี 1810
หลังจากเหตุการณ์นี้จึงได้รับการอนุญาตให้กลับไปบ้านเกิดที่เยอรมัน
และเสียชีวิตลงที่เมืองเบอร์ลินในปี 1811
 
จากการสำรวจที่ไซบีเรียได้มีการออกยังมีหนังสืออีกหนึ่งเล่มชื่อ
Zoographica Rosso-Asiatica ความหนา 600 หน้า ด้วยภาษาละติน
ที่ได้เขียนถึงนกที่ชื่อ Muscicapidae grisola ß variety dauurrica
โดยปีที่หนังสือนี้ออกมาคาดว่าอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1811-1831



15/9/2567 วัดเทียนถวาย

Alfred Russel Walalce นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ
ระหว่างปี 1854-1862 ได้เดินทางไปทั่วโลกเพื่อศึกษาธรรมชาติ
และเป็นต้นกำเนิดทฤษฏีที่เรียกว่า natural selection 
การเดินทางนี้รวมถึงพื้นที่มาลายา สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย
 
ตลอดการสำรวจสามารถเก็บตัวอย่างได้กว่าแสนรายการ
ส่งไปเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา ประเทศอังกฤษ
 
ในปี 2013 ศูนย์วิทยาศาสตร์สิงคโปร์จะจัดนิทรรศการชั่วคราว
เพื่อเป็นการให้เกียรติกับ Walllace และจะกลายเป็นส่วนการจัดแสดงถาวร
ของพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติแห่งใหม่ของสิงคโปร์ ในปี 2014

 ระหว่างการจัดเตรียมงานมีการค้นพบตัวอย่างนกสีน้ำตาล
ที่ Raffles Museum of Biodiversity Research
โดยตรงป้ายนั้นเขียนว่า Muscicapidae latiostis, Raffles 1822
เป็นลายมือที่สามารถระบุได้ว่า เขียนโดย Walllace

M. latiostis ตั้งชื่อโดย Sir Thomas Stamford Bingley Raffles
ผู้ว่าการบริษัทอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ในช่วงปี 1811-1816
เป็นรองผู้ว่าการเขตสุมาตราของอังกฤษ ในช่วงปี 1818-1822
และเป็นผู้ริเริ่มพัฒนาเกาะสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการค้าของอังกฤษ

ปริศนาของเรื่องนี้ก็คือ ไม่เคยมีหลักฐานว่า Wallace ได้มอบตัวอย่างใด
ให้พิพิธภัณฑ์ที่สิงคโปร์ การสืบค้นเรื่องราวนำมาซึ่งการคลีคลาย
การเดินทางอันแสนจะยาวนานของนกจับแมลงสีน้ำตาลดัวนี้
ที่สรุปได้ว่าในปี 1862 หลังจาก Wallace กลับไปถึงประเทศอังกฤษ

เค้าได้รับซื้อรับซื้อตัวอย่าง Asian brown flycatcher ที่ถูกส่งมาทางเรือ
จากวิศวกรชาวอังกฤษที่เข้ามารับจ้างคุมการขุดเหมืองในมาลายา
หลังจากนั้นตัวอย่างนกตัวนี้ได้ถูกขายไปเป็นทอดๆ
จนในที่สุดก็ตกไปอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ในเยอรมันนี

ต่อมาในราวปี 1930 ได้มีการแลกเปลี่ยนตัวอย่างกับพิพิธภัณฑ์ราฟเฟิล
นำมาสู่การค้นพบตัวอย่างนกสีน้ำตาลตัวนี้ในปี 2012
เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ตัวอย่างนกตัวหนึ่งที่จากถิ่นฐานไปหลายสิบปี
ในที่สุดก็ได้กลับบ้าน



27/10/2567 วัดญานเวศกวัน

แม้งานสำรวจของ Pallas จะเก่ากว่าการพบตัวอย่างของ Raffles
แต่ความไม่แน่นอนของปีที่ตีพิมพ์หนังสือ Zoographia Rosso-Asiatica
ทำให้ตลอดมาเชื่อว่า นกจับแมลงสีน้ำตาลพบครั้งแรกที่สุมาตรา่
ในปี 1822 จึงใช้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของ Raffles เป็นหลัก

ปี 1909 มีผู้ยิงนกจับแมลงสีน้ำตาลได้ในอังกฤษ
เบื้องต้นถูกสันนิษฐานว่าเป็นนก pied flycatcher ชนิดที่ไม่เต็มวัย
ที่พบได้ทั่วไปในยุโรป แต่เมื่อส่งไปให้ผู้เชี่ยวชาญ มันถูกจำแนกว่า
เป็นนกจับแมลงสีน้ำตาล Muscicapa latirostris, Raffles
 
 ซึ่งสร้างความงุนงงให้กับวงการนักปักษีวิทยาว่า
เป็นไปได้อย่างไรที่จะพบ asian brown flycatcher ในยุโรป
เพราะสถานที่ที่พบนกชนิดนี้ ใกล้ที่สุดคืออนุทวีปอินเดีย

จากเหตุการณ์นี้เป็นไปได้ว่า มันอาจจะมาจากไซบีเรีย
หลังปี 1930 จึงจะมีผู้ที่เริ่มจะเชื่อว่า
ผู้ที่ค้นพบนกชนิดนี้คนแรกคือ Pallas ไม่ใช่ raffles
จึงมีการใช้ชื่อทางวิทยาศาสตร์สองชื่อคู่กันมาโดยตลอด
 
ปี 1985 มีการเก็บตัวอย่างนกจับแมลงสีน้ำตาลจากเกาะ Attu
หมู่เกาะอลูเชียนไปไว้ที่ museum of  Alsaka university
ให้เลขรหัสว่า UAM 5245 ในปี 1995 Banks and Browning
ใช้ตัวอย่างนี้เพื่อพิจารณาว่า นกชนิดนี้ในทางอนุกรมวิธาน
ตรงกับ Muscicapidae latirostis, Raffles 1822

จึงมีการยอมรับชื่อทางวิทยาศาสตร์ของนกจับแมลงสีน้ำตาล
ที่อาศัยยอยู่ทางไซบีเรียและอพยพลงใต้ในฤดูหนาวว่า
M. d. dauurrica, Pallas 1811
แต่ชื่อสามัญ Asian brown flycatcher ก็ยังคงเดิม

แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่เป็นยุติยังมีการ correction ชื่อนกตัวนี้
ในวารสารอนุกรรมวิธานและรายชื่อนกสากลในแต่ละภูมิภาค
จนกระทั่งถึงปัจจุบัน



https://flickr.com/photos/140734051@N08/41660215722

ในขณะที่เรื่องราวสายพันธ์หลักดูเป็นปริศนา
สายพันธ์ย่อย siamensis กลับมากยิ่งว่า
พบครั้งแรกโดยนักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดน
Nils Carl Gustaf Fersen Gyldenstolpe
ที่เข้ามาสำรวจนกในประเทศไทยในช่วงปี 1914-1915
 
กล่าวถึงการพบนกที่สถานีรถไฟ Bang Ho Pong จังหวัดลำปาง
ตัวอย่างถูกส่งไปเก็บรักษาและจำแนกที่พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยา Stockholm
ในปี 1916 ได้ตีพิมพ์บทความลงวารสาร Ornithologische Monatsberichte
เป็นภาษาเยอรมันว่า เป็นนกสายพันธ์ย่อยใหม่ Alseonas siamensis sp.n.
 
มีความคล้ายกับ  Alseonas latirolris Raffl
แต่ส่วนหลังจะเป็นสีน้ำตาลเข้มแทนที่จะเป็นสีจาง
ปลายปีกปกคลุมด้วยสีน้ำตาลเข้มเช่นกัน
ปากมีลักษณะสั้นและหนากว่า A. latirotris
ถึงปัจจุบันก็ยังมีรายงานการพบนกชนิดย่อยนี้อยู่น้อยมาก
 
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่าง คือบางตัวมีส่วนอกขีดลาย
คล้ายกับนกจับแมลงสีน้ำตาลอกลาย Muscicapa williamsoni
ที่เป็นนกประจำถิ่นในคาบสมุทรมาลายา
พบเห็นได้ยากแต่ก็มีรายงานขึ้นมาได้ถึง จ. ชุมพร
แต่ M.d. siamensis จะพบได้ตั้งแต่ จ. เชียงใหม่ลงไปไม่เกิน จ. เพชรบุรี


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=06-2024&date=18&group=22&gblog=112
.




52
Animals / ลาดกระบัง : นกกระสาแดง
« Last post by ppsan on 07 June 2025, 09:54:24  »
ลาดกระบัง : นกกระสาแดง




การดูนกที่ลาดกระบังเป็นการดูนกในนาข้าวที่โล่งแจ้ง
การไปสายคือหายนะ แต่บางครั้งก็ไม่สามารถจะเลือกเวลาได้
เมื่อไม่เจอนกเป้าหมาย ก็ย้ายไปหาที่ร่มเพื่อดูนกน้ำกัน
ทางไปวัดอุทัยธรรมาราม ตอนนี้อยู่ระหว่างการสร้างถนน
 
ระหว่างทางก็ผ่านบ่อปลา ลองมองหานกกันไป
นกยาง ปากห่าง หรือกาน้ำ เป็นนกธรรมดาที่พบได้ตลอด
ส่องไปเรื่อยๆ จนเจอนกตัวใหญ่ตัวหนึ่งยืนอยู่ริมบ่อ
ท่าทางกำลังจะหาอาหารนั่นคือ นกกระสาแดง
 
บ้านเราเรียกนกกระสา (stork) เพราะว่าตัวใหญ่
แต่จริงๆ แล้วทางสากล จัดเป็นนกยาง (heron)
จุดที่ใช้ในการจำแนกความแตกต่างของนกสองกลุ่มนี้
คือในขณะบิน นกยางจะหดคอเหมือนตัว S

นกกระสาแท้ และหาดูง่ายคือ นกปากห่าง
นกกระสาแดง (purple heron) มีความสูง ราว 80-90 ซม
ตัวเล็กและผอมบางกว่านกกระสานวล (grey heron)
ซึ่งเป็นนกยางที่มีรูปร่างและใช้คำนำหน้าว่า นกกระสาเหมือนกัน

ชื่อภาษาอังกฤษนั้น ได้มาจากลำตัวที่มีสีอมม่วง
แต่ชื่อไทยนั้นตั้งตามขนสีแดงที่ยาวไปจากลำคอไปถึงหน้าอก
 ความหายากจัดอยู่ในสถานะไม่น่ากังวล (less concern)

ถูกตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ardea purpurea ในปี 1766
โดยนักธรรมชาติวิทยาชาวสวีเดน Carl Lineaus
บิดาแห่งอนุกรมวิธาน ที่เป็นรากฐานมาจนถึงปัจจุบัน



กำหนดชื่อสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดในทางวิทยาศาสตร์เป็นภาษาลาติน
เพราะเป็นภาษาที่ตายไปแล้ว แม้เวลาผ่านไปความหมายก็ยังคงเดิม
โดยนำหน้าด้วย genus (สกุล) ตามด้วย species (ชนิด)
Ardea คือนกยาง และ purpurea คือสีม่วงแดง

เมื่อเวลาผ่านไปมีการพบว่า สิ่งมีชีวิตแต่ละสายพันธุ์ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว
มีความต่างกันเล็กน้อยไปตามภูมิภาค ทำให้ต้องมีการเพิ่ม sub species
นกกระสาแดงในปัจจุบัน ถูกแบ่งออกจากกันเป็น 4 ชนิดย่อย

กลุ่มแรกเรียกว่า นกกลุ่มตะวันตก (A. p. purpurea)
พบนกในฤดูผสมพันธ์ในยุโรปไปจนถึงคาซักสถาน จนถึงฤดูหนาว
ก็จะบินลงมาทางใต้ หากินร่วมกับนกประจำถิ่นในทวีปแอฟริกาเหนือ
 
กลุ่มที่สองเรียกว่า นกกลุ่มตะวันออก (A. p. manilensis)
พบนกในฤดูผสมพันธ์ทางตะวันออกของจีนไปถึงรัสเซีย จนถึงฤดูหนาว
ก็จะบินลงมาทางใต้ หากินร่วมกับนกประจำถิ่นในอินเดีย
ไปจนถึงเวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย

นกกระสาแดงที่พบในประเทศไทย จึงมี 2 สถานะ
uncommon resident ที่พบเห็นได้ทั้งปี
และ common winter visitor ที่พบได้เฉพาะในฤดูหนาวเท่านั้น

 กลุ่มที่สามเรียกว่า นกกลุ่มใต้ A. p. madagascariensis 
พบในเกาะมาดากัสการ์ ทางตะวันออกของแอฟริกา

 และนกกระสาแดงชนิดย่อยสุดท้าย A. p. bournei
พบเฉพาะที่หมู่เกาะ Cape Verde ทางตะวันตกของแอฟริกา
ปัจจุบันยังไม่ได้ข้อสรุปว่า จะยังเป็นนกกระสาแดงชนิดย่อย
หรือว่าจะถูกตั้งเป็นนกชนิดใหม่ว่า Bourne's heron (A. bournei)



15/2/2568

ปี 1951 Dr William Bourne แพทย์และนักปักษีวิทยาชาวอังกฤษ
เดินทางมาสำรวจนกที่หมู่เกาะ Cape Verde เมื่อถึงเกาะ Santiago
ได้สังเกตว่า นกกระสาแดงที่เกาะนี้แตกต่างไปจากที่แผ่นดินใหญ่
Bourne ส่งตัวอย่างนกไปยังปารีส

หนึ่งปีต่อมา René de Naurois นักบวชและนักปักษีวิทยาชาวฝรั่งเศส
ให้ความเห็นว่า นกตัวนี้สีจางกว่านกกระสาแดงที่พบโดยทั่วไป
ควรตั้งเป็นชนิดย่อยใหม่ A. p. bournei
และตั้งชื่อสามัญเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ค้นพบว่า Bourne's heron

เป็นการพบนกชนิดย่อยใหม่ครั้งแรกในชีวิตของ Bourne
แต่ยังมีการเรียกชื่อนกชนิดย่อยนี้ ตามสถานที่ค้นพบ
Cape Verde heron,  Santiago heron
หรือ Cape Verde purple heron อีกด้วย
 
ปัจจุบันมีประชากรเหลืออยู่เพียง 40 ตัว
จัดอยู่ในสถานะถูกคุมคามอย่างวิกฤติ (critically endangered)
ในฤดูผสมพันธุ์พวกมันจะมาทำรังบนต้นมะฮอกกานี
ที่หมู่บ้าน Banana บนเกาะ Santiago แห่งเดียวเท่านั้น
 
สมัยก่อนการแยกนกชนิดย่อยใหม่ใช้เพียงรูปร่างภายนอก
ปัจจุบันการตัดสินใจแยกนกชนิดใหม่หรือหรือนกชนิดย่อยใหม่
ใช้การเจาะเก็บเลือด เพื่อตรวจลึกลงไปในระดับ DNA
ซึ่งมีความจำเป็นมากในกลุ่มนกที่แยกจากกันได้ยากอย่างนกกลุ่ม LBJ
 
ปี 2021 Dr William Bourne ได้เสียชีวิตลง


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=05-2024&date=30&group=22&gblog=113
.




53


พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ (จิตรกรรมลายรดน้ำ วัดสุทัศนเทพวราราม)

.


พระอินทร์กับนางศจีประทับบนช้างเอราวัณ วาดขึ้นเมื่อราว ค.ศ. ๑๖๗๐-๑๖๘๐ ภาพจากวิกิพีเดีย


ในทางศิลปกรรม “ช้างเอราวัณ” ถึงมีเพียง 3 เศียร ไม่ใช่ 33 เศียรอย่างที่ปรากฏในตำนานหรือคัมภีร์ที่เล่าขานกันยาวนาน
เหตุที่ในทางศิลปกรรมนิยมทำรูปช้างเป็นสามเศียรแทนสามสิบสามเศียรนั้น เป็นการลดรูปทางศิลปะให้มีสัดส่วนที่สมดุลงดงามลงตัว




54
วัดคุณแม่จันทร์ : นกอีวาบตั๊กแตน




มีคนถ่ายกระแตหงอนได้แถวลาดกะบัง
ซึ่งก็เป็นสถานที่ที่เรายังไม่เคยไป
เลยได้โอกาสไปสำรวจแถวนั้นกันสักหน่อย

เช้าวันหนึ่งเราออกเดินทาง
ก็ได้รับคลื่นความร้อน พร้อมกับความผิดหวังกลับมา
 
แถวนี้มีวัดหนึ่งที่น่าสนใจ ที่เปิดให้เข้าเฉพาะช่วงเช้า
เป็นวัดป่าวัดหนึ่งที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพ วัดคุณแม่จันทร์
น่าจะตั้งชื่อตามผู้บริจาค ประวัติข้ามไปเพราะเรามาถ่ายนก
ใครต้องการไปวัดที่ยังคงเป็นวัด สักครั้งหนึ่งควรจะแวะมา
 
สำรวจโดยรอบมีต้นไม้และกอไผ่ เป็นสถานที่ที่น่าสนใจมาก
มีนกสีน้ำตาลบินไปบินมาหลายตัว นกกลุ่มที่คนทั่วไปจะมองผ่าน
โดยเรียกนกกลุ่มนี้ว่า LBJ (little brown jobbies)
ที่มักจะบินผ่านตามสวนหน้าบ้านของคนยุโรปช่วงฤดูหนาว
 
น่าสนใจเพราะมีสีน้ำตาลตามชื่อ เลยทำให้นกกลุ่มนี้แยกได้ยาก
แต่ก็นั่นล่ะท่านผู้ชม ที่ของหายากมักจะปนอยู่ในสิ่งที่ดูธรรมดา
เราถ่ายมาหลายรูป เมื่อเปิดดูก็พบว่า เป็นนกปรอดสวนทั้งหมด
ไม่มีนกหายากปนมา แต่อย่างน้อยก็มีนกสีแปลกๆ หลงมาหนึ่งตัว



วัดเที่ยนถวาย

ผู้ใหญ่ในวันนี้ ย่อมเคยเป็นเด็กน้อยมาก่อน
เรายังจำเพลงที่ผู้ใหญ่ ใช้ร้องกล่อมนอนได้
แม่นกกาเหว่าเอยไข่ให้อีกาฟัก
แม่กาก็หลงรักนึกว่าลูกในอุธร
 
ไม่รู้ว่ามีอุทาหรณ์สอนใจอะไรในเพลงนี้
แต่ก็ถือว่าเป็นประโยคติดหู ธรรมชาติที่คนสมัยก่อนรู้ว่า
นกกาเหว่าเป็นนกที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ให้นิยามว่า
นกปาราสิต หรือนกที่เบียดเบียนการเลี้ยงลูกของนกอื่น
 
คนทั่วไปอาจจะไม่เคยเห็นนกกาเหว่า
แต่อย่างน้อยมันต้องมีเยอะแน่ๆ จากเสียงร้องน่ารำคาญ
ที่คอยปลุกผู้คนในยามเช้า สำหรับคนถ่ายภาพ
ถ้าเจอนกตัวดำๆ ตาสีแดงก็ใช่เลย
 
นกอีวาบตั๊กแตน น่าจะเป็นนกปาราสิตที่มีมากรองลงไป
ลองหาเสียงนกนี้มาเปิดดู เชื่อว่าทุกคนต้องเคยได้ยิน
แต่นี่เป็นเป็นครั้งแรกที่เราเห็น และถ่ายภาพมาได้
 
เล่ากันว่า ได้ชื่อมาแบบงงๆ เพราะนักดูนกที่ทุกคนรู้จักคือ
นพ. บุญส่ง เลขะกุล เห็นมันถูกวางขายที่ท้องสนามหลวง
คนขายก็ไม่รู้จักชื่อนกแต่นพ. บุญส่ง เห็นว่าเค้าป้อนตั๊กแตน
ก็เลยได้ชื่อนี้มา แต่ในชีวิตจริงจับบุ้งจับหนอนกินเป็นอาหาร



กำแพงแสน

นกอีวาบตั๊กแตน (plaintive cuckoo, Cacomantis merulinus)
หรือนกคัคคูที่มีเสียงร้องแสนเศร้า แต่เราว่าเหมือนคนผิวปากมากกว่า
มีขนาดตัว 21-23 ซม ครึ่งหนึ่งของนกกาเหว่าที่มีขนาดตัว 39-46 ซม
เมื่อนกอีวาบตั๊กแตนมีขนาดตัวเล็กกว่า จึงไปฝากไข่ไว้กับแม่อีกาไม่ได้
 
นกที่โดนอีวาบตั๊กแตนแอบให้เลี้ยงลูกคือนกที่มีขนาดไม่เกิน 15 ซม
นกกระจิบธรรมดา นกขมิ้นน้อยธรรมดา และนกกระจิบหญ้าสีเรียบ
กลยุทธิ์การขยายพันธุ์ที่ทำให้พวกมันประสบความสำเร็จนั้น
ไม่ได้มาโดยง่าย

 พ่อแม่นกปรสิตจะทำการเลือกรังเป้าหมายและคอยเฝ้าสังเกตพฤติกรรม
เมื่อนกเป้าหมายเริ่มผสมพันธ์ุ ปรกติก็จะใช้เวลา 24 ชั่วโมงในการออกไข่
โดยธรรมชาตินกปรสิตก็จะใช้เวลาในการฟักไข่ที่ใกล้เคียงกับ

แต่แม่นกปรสิตจะผสมพันธ์และเก็บไข่ไว้ก่อนแล้วในตัว
ซึ่งจะมีอุณหภูมิสูงกว่าการกกไข่โดยพ่อแม่นกในธรรมชาติ
เป็นการรับประกันว่าลูกนกปรสิตจะได้เกิดมาก่อนนกเจ้าบ้าน

ตัวเมียจะฉวยโอกาสตอนที่พ่อแม่นกออกไปหาอาหารแอบเข้าไปวางไข่
หากนกเจ้าของรังมีการเฝ้าระวัง ตัวผู้ก็จะเข้าไปล่อหลอกให้ออกไป
จากนั้นตัวเมียจะเข้าไป เขี่ยไข่ของนกเจ้าบ้านออก 1 ใบ
แล้วรีบวางไข่ของตัวเองแทนลงไป ในภายในเวลาเพียงไม่กี่วินาที



กระทรวงสาธารณสุข

เมื่อพ่อแม่นกกลับมาเห็นว่ามีไข่แปลกๆ ในรังพวกมันก็จะเขี่ยออกไป
ดังนั้นนกปรสิตจะต้องมีความสามารถพิเศษ ในการเลียนแบบทั้งสีและลวดลาย
ให้ใกล้เคียงกับไข่ของเหยื่อ เมื่อลูกนกปาราสิตบางสายพันธ์ฟักออกมา
จะมีพฤติกรรมทำลายไข่ การฆ่าหรือการเบียดลูกนกเจ้าบ้านให้ตกลงไป

แม้จะไม่มีพฤติกรรมกรรมที่โหดร้ายนี้ ลูกนกก็จะมีเพดานปากสีส้ม
ดึงดูดใจให้พ่อแม่บุญธรรมป้อนอาหารให้มันมากกว่าลูกนกเจ้าบ้านเอง
และโดยขนาดของนกปรสิต ก็จะใหญ่กว่านกเจ้าบ้านอยู่แล้ว
ทั้งหมดนี้ทำให้ลูกนกของเจ้าของรังที่แท้จริงตายไปในที่สุด
 
ในภาพจะเห็นนกอีวาบตั๊กแตนตัวเมียที่เป็นลายจุด
อันนี้ไม่มีคนเล่า แต่เราเดาว่าน่าจะเป็นการใช้พลางตัวเข้าไปวางไข่
เพราะนกตัวผู้ไม่ต้องใช้พฤติกรรมแอบพราง ก็เลยมีสีที่สดใสกว่า

 นกปรสิตสำหรับคนทั่วไป อาจจะมองว่าเป็นนกที่น่ารังเกียจ
แต่เพื่อนร่วมสายพันธ์อย่างนกคัคคูมรกตตัวผู้
เป็นหนึ่งในนกเทพสำหรับคนถ่ายภาพนกเลยทีเดียว
เคยมาสวนหลวง ร.9 ก็ทำนักถ่ายภาพต้องลากสังขารกันไป

อีกหนึ่งนกปรสิตที่จัดเป็นเทพในวงการคนถ่ายภาพคือ
นกคัคคูหงอนที่นักถ่ายภาพตั้งชื่อว่า นกในชุดทักซีโด้
ก็เคยมาสวนสมเด็จฯ อยู่หลายครั้ง


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=05-2024&date=27&group=22&gblog=114
.




55
กระทรวงสาธารณสุข : นกพญาไฟเล็ก




เรื่องนั้นมีอยู่ว่า เห็น facebook post หนึ่งมีคนถ่ายกระเต็นน้อย
โดยระบุสถานที่ว่า กระทรวงสาธารณสุข เราก็ตาร้อนเลย
เคยเห็นตัดหน้าครั้งหนึ่งในระยะประชิดตรงสวนในสนามกีฬา
แต่คิดว่าน่าจะหลงมา เพราะสถานที่นี้ไม่น่าจะอยู่อาศัยได้
 
นกกระเต็นน้อยจะอยู่ในที่เงียบๆ น้ำต้องใส มีกิ่งไม้เกาะ
นอนคิดอยู่หนึ่งคืนว่า น่าจะเป็นที่ไหน ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่า
ยังมีสวนอีกที่หนึ่ง ที่นใกล้เคียงกับแนวคิดที่ว่า
นั่นคือสวนตรงหอพักเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลศรีธัญญา
 
ให้ไปช่วงเย็นที่ยังมีคนยังวิ่งอยู่เยอะ เพราะต้องระวังหมาจรจัด
ที่นี่เป็นเขตหอพัก ควรเก็บกล้องไว้ในถุงผ้าถ้าไม่มีอะไรให้ถ่าย
พยายามเดินอยู่แถวริมคลอง ก็จะช่วยป้องกันยามเข้าใจผิดได้
ผลการดำเนินงานคาดเดาได้ไม่ยาก แห้วตลอด เป็นนกบอดต่อไป
 
เดินข้ามฝั่งมายังกระทรวงสาธารณสุข ได้ยินเสียงดังจ้อกแจ้ก
เคยไปดูนกที่วัดอุทธยาน และวัดเฉลิมพระเกียรติ
จึงเดาเสียงที่ได้ยินไม่ยาก  เสียงนกแขกเต้านั่นเอง
ไม่นึกว่าจะพบที่นี่ แถมยังมีฝูงใหญ่ราว 20 ตัวเลยทีเดียว



เดินไปเรื่อยๆ ตามแนวทางวิ่งออกกำลัง มีคนเอาสัตว์เลี้ยงมาเดิน
เงยหน้าไปมองบนกิ่งไม้ เห็นสีอะไรอะไรโดดเด่น ก็ถ่ายมาก่อน
คิดว่าเป็นนกสีชมพูสวนก็ยังดี แต่เมื่อมาเปิดภาพในคอมพิวเตอร์
เลยเห็นว่าเป็นนกที่แสนจะธรรมดา แต่ว่าเราไม่เคยเห็น นกพญาไฟเล็ก
 
กล่าวกันว่าเป็นนกประจำถิ่น ที่เห็นได้ทั่วไปตามสวนสาธารณะ
แต่แปลกตรงที่มีภาพจากสวนหลวง ร. 9 แต่ไม่เคยเห็นถ่ายนกนี้ที่สวนรถไฟ
นกพญาไฟมี 15 สายพันธ์ พบตั้งแต่อนุทวีปอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ
แถบริมฝั่งทะเล แผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปจนถึงตามหมู่เกาะ
 
นกพญาไฟเล็ก (small minivet, Pericrocotus cinnamomeus) 
ตาม e-bird เป็นนกที่พบตั้งแต่อินเดียมาทางตะวันออกจนถึงเวียดนาม
และลงมาถึงทางใต้ของไทย ก่อนที่จะข้ามไปเจออีกครั้งที่เกาะชวา 
Cinnamomeus เป็นภาษาละตินได้มาจากสีส้มตรงขอบกลางปีก
 
มักพบอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็กๆ
โดยตัวเมียนั้นจะมีหัวออกสีเทา และตรงที่เป็นสีส้มของตัวผู้นั้น
ในตัวเมียจะเป็นสีเหลืองแทน แม้จะเป็นนกที่แสนธรรมดา
แต่ว่าก็ไม่เคยเห็นมาก่อน รู้สึกตื่นเต้น จนอยากจะบันทึกไว้


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=05-2024&date=23&group=22&gblog=115
.




56


นั่งเอ๋งเอ๋ง กับ ไอ่ภูมิต่ำ ภูมิแพ้
ก่อนจะถูกนำไปนั่ง ฮ.ตำหนวด เป็นการลงโทษ

555..

.........................

7

ชัวร์

โคร..ตะระ.....


หรือ

7

โคร ตะ ระ

ชั่วร์...









57
ตัวเป็นไท?!? ..


ตัวเป็นไท?!? ..

แดกข้าวเน่า จึงเพี้ยน สมงสมองไปหมดแย้ยยว...เลยต้องโดน..ตรีนนนน





.



58

แต่..นี่สิ! โดนของจริง นะจ๊ะ โดนจริงๆ 555..
.










.



59

ของจริง มันต้องอย่างนี้(โว้ยยย)
.











.



60
ถุยสสส์...ไอเหมน!!!


ไอเหมน..มึงแกล้งโง่ หรือโง่จริง?!?
โดรนของเด็กเล่น ก็เอามากุข่าว
มีขายเกลื่อนไป ไอเวรรรรรร.......
(มึงไปหยิบมาจากตรงไหนก็ได้)
.











.



Pages: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 10
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.048 seconds with 16 queries.