Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
17 December 2025, 15:25:56

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,541 Posts in 14,027 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Recent Posts

Recent Posts

Pages: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 10
51
ปืนใหญ่พระนารายณ์ในประวัติศาสตร์ ฝรั่งเศส


https://www.siammanussati.com/%e0%b8%9b%e0%b8%b7%e0%b8%99%e0%b9%83%e0%b8%ab%e0%b8%8d%e0%b9%88%e0%b8%9e%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b8%93%e0%b9%8c%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0/

https://www.siammanussati.com/ปืนใหญ่พระนารายณ์ในประ/

ปืนใหญ่พระนารายณ์ในประวัติศาสตร์ ฝรั่งเศส
พ.ย. 03, 2017





หนึ่งในเครื่องบรรณาการที่สมเด็จพระนารายณ์โปรดให้คณะทูตของโกษาปานนำไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศส มีปืนใหญ่อยู่ ๒ กระบอก ซึ่งถูกถึงอยู่ในรายการเครื่องบรรณาการที่ตีพิมพ์อยู่ใน ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๔๖ จดหมายเหตุของคณะพ่อค้าฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยา ตอนแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภาคที่ ๖ ความว่า

“ปืนใหญ่ ๒ กระบอกยาว ๖ ฟิต เปนปืนกลึงด้วยมือมิได้เอาเข้าไฟหล่อ มีปลอกเงิน ตั้งบนแท่นมีล้อ ฝังลายเงิน เปนปืนที่ทำในเมืองไทย”





ปืนใหญ่นี้ปรากฏอยู่ในภาพพิมพ์เหตุการณ์วันที่ ๑ กันยายน ค.ศ. ๑๖๘๖ (พ.ศ. ๒๒๒๙) ตอนที่คณะทูตของออกพระวิสุทสุนธร (ปาน) หรือ “โกษาปาน” ได้เข้าเฝ้าถวายพระราชสาส์นแด่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ โดยถูกวางกองรวมไว้กับเครื่องบรรณาการอื่นจำนวนมากด้วย

.

จากการศึกษาของ คุณไกรฤกษ์ นานา พบว่าปืนใหญ่ทั้งสองกระบอกนี้ถูกเก็บรักษาไว้ที่ “แองวาลิด” (Hôtel national des Invalides) ซึ่งพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ทรงสร้างให้เป็นโรงพยาบาลทหารผ่านศึก และยังทำหน้าที่เป็นคลังแสงเก็บอาวุธไปในตัวด้วย
.
จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสขึ้น ในวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๗๘๙ (พ.ศ. ๒๓๓๒) ประชาชนในปารีสได้เริ่มก่อการปฏิวัติด้วยการบุกไปทลายคุกบาสตีย์ (Bastille) ปืนใหญ่จากอยุทธยาทั้ง ๒ กระบอกนี้เป็นหนึ่งในอาวุธที่ถูกนำออกมาจากคลังแสงและใช้ทำลายประตูคุกด้วย
.
หลังจากนั้นปืนทั้งสองจึงถูกนำกลับไปเป็นรักษาที่แองวาลิด ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์การทหาร (Musée de l’Armée) และเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์อาวุธโบราณที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส โดยคุณไกรฤกษ์ นานา ได้เดินทางไปสำรวจเมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๗ จึงได้รับคำตอบจากภัณฑารักษ์ (หลายคน) ตอบแบบเดียวกันว่า “ปืนใหญ่ทั้ง ๒ กระบอกเคยอยู่ที่นี่จริง แต่ได้ถูกเคลื่อนย้ายออกไปอยู่ในห้องเก็บของมีค่าที่ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าชมแล้ว และก็ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหนในเวลา





ดูเหมือนปืนใหญ่ทั้งสองกระบอกจะหายสาบสูญไปแล้ว แต่ความเป็นจริงอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากปืนใหญ่ ๑ ใน ๒ กระบอกนั้นได้ถูกนำมาจัดแสดงในนิทรรศการ “Visitors to Versailles 1682-1789” ที่พระราชวังแวร์ซายส์ ประเทศฝรั่งเศสแล้วในเวลานี้
.

จากการศึกษาของ Antoine Leduc พบว่าปืนใหญ่กระบอกที่นำมาจัดแสดงนี้ เดิมเก็บรักษาไว้ที่ Garde-Meuble de la Couronne ซึ่งเป็นท้องพระคลังหลวงของราชสำนักฝรั่งเศส ซึ่งปัจจุบันคือ ออเตล เดอ ลา มารีน (Hôtel de la Marine) ที่จุตรัสปลาส เดอ ลา กงกอร์ด (Place de la Concorde) ซึ่งก็ปรากฏในเอกสารฝรั่งเศสระบุตรงกัน (ต่างจาก ไกรฤกษ์ นานา ที่ระบุว่าอยู่ที่แองวาลิดตั้งแต่แรก) ก่อนที่จะถูกชาวปารีสบุกเอาออกมาในวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๗๘๙ และนำไปใช้ยิงคุกบาสตีย์ในวันถัดมา หลังจากนั้นก็ถูกนำไปเก็บรักษาที่แองวาลิดซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่ (musée d’Artillerie) ในเวลานั้น

จนถึงฤดูร้อน ค.ศ. ๑๘๑๕ (พ.ศ. ๒๓๕๘) กองทัพปรัสเซียและอังกฤษบุกโจมตีกรุงปารีสและได้นำปืนใหญ่ทั้งสองกระบอกออกมาจากแองวาลิด โดยกระบอกหนึ่งถูกขนย้ายไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษซึ่ง Antoine Leduc ได้ค้นพบเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. ๒๐๑๔ (พ.ศ. ๒๕๕๗) ในพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งของประเทศอังกฤษที่ปิดทำการไปแล้ว จึงได้นำมาจัดแสดงที่แวร์ซายส์ในปัจจุบัน

ส่วนปืนอีกกระบอกยังหาไม่พบ แต่เชื่อไม่น่ายากเกินความพยายามครับ

.

เมื่อพิจารณาจากปืนใหญ่ที่นำมาจัดแสดง พบแต่ส่วนกระบอกปืน ส่วนฐานติดล้อหายไป ตัวกระบอกทำจากโลหะประดับลายคร่ำเงินแบบไทยตรงกับรายการเครื่องบรรณาการ จึงน่าเชื่อได้ว่าปืนกระบอกนี้ก็คือปืนใหญ่ที่สมเด็จพระนารายณ์พระราชทานมาให้พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ นั่นเอง

สำหรับผู้ที่อยากไปชมปืนใหญ่กระบอกนี้ของจริง จะถูกจัดแสดงอยู่ที่นิทรรศการในแวร์ซายส์จนถึงวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ปีหน้าครับ

—————————————————–

เอกสารอ้างอิง

– ไกรฤกษ์ นานา. ปืนใหญ่พระนารายณ์ใช้ยิงป้อมบาสตีย์. ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ ธันวาคม ๒๕๕๗
– ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๔๖ เรื่องจดหมายเหตุของคณะพ่อค้าฝรั่งเศส ซึ่งเข้ามาตั้งครั้งกรุงศรีอยุธยา ตอนแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภาคที่ ๖ นายพันโท หลวงเวชยันต์รังสฤต (มุนี มหาสันทนะ) พิมพ์ในงานปลงศพสนองคุณ นางแย้ม ภรรยาหมื่นพรหมวรานุรักษ์ กันนางสาวเยื้อน มหาสันทนะ เมื่อปีมะโรง พ.ศ.๒๔๗๑
https://www.facebook.com/antoine.leduc.5/posts/10212548254495021
.
ภาพประกอบ : ปืนใหญ่ของสมเด็จพระนารายณ์ซึ่งจัดแสดงอยู่ใน “Visitors to Versailles 1682-1789” ที่พระราชวังแวร์ซายส์ ประเทศฝรั่งเศส
.




52
'นภันต์ เสวิกุล' ผู้บันทึกย่างพระบาทที่ยาตรา


https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/723878

'นภันต์ เสวิกุล' ผู้บันทึกย่างพระบาทที่ยาตรา
By เรื่อง : ชุติมา ซุ้นเจริญ22 ต.ค. 2016 เวลา 5:59 น.





เรื่องเล่าจากหัวใจช่างภาพผู้ถวายงานการบันทึกภาพพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
.
เบื้องหลังภาพถ่ายหลายภาพที่ถูกแชร์ออกไปในโลกโซเชียล คือผลงานของผู้ชายคนนี้ ทว่า เหตุผลในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาแม้เพียงเล็กน้อยที่จะแสดงความเป็นเจ้าของภาพพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ความมุ่งหวังเพียงอย่างเดียวคือการเล่าถึงพระวิริยะอุตสาหะของพระองค์ที่ได้สัมผัสตลอดระยะเวลาของการทำงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท

“ผมเป็นคนทำโปรดักชั่น สมัยใหม่ก็ต้องบอกว่าเป็นโปรดักชั่นเฮาส์ และออแกไนเซอร์ เจ้าแรกของเมืองไทย ผมก็เป็นคนที่ทำสไลด์มัลติวิชั่นคนแรกที่เข้าไปสู่วงการโฆษณา ก็ทำให้ได้ไปทำงานให้กับคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติอยู่หลายปี จนกระทั่งในที่สุดตัวเองก็ได้เป็นคณะอนุกรรมการภาพนิ่งและภาพยนตร์ของสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ ร่วมกับผู้ใหญ่หลายคนที่ผมเคารพนับถือ”

นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ ‘นภันต์’ ช่างภาพหนุ่มในเวลานั้นได้มีโอกาสติดตามขบวนเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนราษฎร

.“ประมาณปี พ.ศ.2520 กรรมการก็มอบหมายให้ผมเป็นคนที่ทำงานเก็บข้อมูลเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ปีแรกทำเรื่องรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 9 ซึ่งในส่วนของรัชกาลที่ 9 ทำให้ผมต้องตามเสด็จฯ แล้วก็ตามอยู่หลายปี ประมาณ 6-7 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2522 เป็นต้นมา โดยช่วงปี พ.ศ.2522 -2525 เป็นช่วงเวลาที่ตามเสด็จฯเยอะ เพราะว่าเตรียมข้อมูลสำหรับงานฉลองกรุงเทพฯ 200 ปี ในปี พ.ศ.2525”

เขาว่า แม้ภารกิจการถ่ายภาพจะไม่ได้เกินความสามารถ แต่งานครั้งนี้ก็หนักหนาสาหัสกว่าทุกงานที่ผ่านมา

“ปีแรกนี่เหนื่อยเลยเพราะว่าเราอยู่ประมาณรถคันที่ 13,14,15 เมื่อพระองค์ท่านจอด... คือระหว่างเสด็จพระราชดำเนิน ถ้าพระองค์ท่านต้องพระประสงค์ พระองค์ท่านจะจอดก็จอด เพราะพระองค์ทรงขับรถเอง จอดปุ๊บเราก็วิ่งลงไป กว่าจะถึงเนี่ยบางทีพระองค์คุยจบแล้ว แล้วเราจะยืนคอยรถอยู่ก็ไม่ได้ ต้องวิ่งสุดชีวิตกลับมา ช่วงแรกมีผมคนเดียว ช่วงปีที่สองที่สามต่อมา คุณหญิงคณิตา เลขะกุล บ.ก.อนุสาร อสท.ในเวลานั้นตามไปด้วย เพราะท่านก็เป็นอนุกรรมการด้วย อีกคนที่มาหลังผมหน่อยก็คือคุณดวงดาว สุวรรณรังษี ที่เป็น บ.ก. อนุสาร อสท. รุ่นหลังๆ นั่นก็วิ่งกับผมมาเหมือนกัน”

ทุกเส้นทางที่พระองค์เสด็จฯ ไปทรงงาน เรื่องความยากลำบากไม่ต้องพูดถึง บางพื้นที่ต้องเดินเท้านานนับชั่วโมง

“เอาง่ายๆ อย่างไปแม่แจ่ม สมัยโน้นไม่ใช่ขึ้นไปอินทนนท์แล้วลงมามีถนนลาดยางลงถึง ไม่ใช่ ต้องไปอ้อมฮอดแล้ววกเข้ามาข้างใน ถนนไม่มี ทางลูกรังอย่างเดียว ก็แปลว่าจะไปแม่แจ่มนี่สิบชั่วโมงไม่ถึง ขับรถไม่ถึง ไม่ใช่ไม่ถึงสิบชั่วโมงนะ สิบชั่วโมงไม่ถึง ออกตีสามบ้าง ตีสองบ้าง

แต่เราว่าลำบากแล้วพระองค์ท่านลำบากกว่าเราอีก เพราะว่าบางทีเราได้รูปแล้วเราก็หยุด แต่พระองค์ท่านยังไม่ได้น้ำ น้ำหมายความว่า พระองค์ทรงไปหาน้ำให้ชาวเขา เสด็จพระราชดำเนินขึ้นเขาไปสามลูกสี่ลูก บางทีเราก็ไม่ตาม”

เมื่อมองย้อนกลับไป นภันต์ยอมรับว่า แม้ตัวเองจะเหนื่อย “แต่พระองค์ท่านเหนื่อยกว่าแน่ๆ แต่ไม่แสดงออก”

“อย่างที่เสด็จฯ ปลวกแดงเนี่ย วันนั้นทหารเป็นเจ้าภาพ เขาก็ไปปรับที่ เพราะราษฎรทั้งระยอง ทั้งปราจีนฯ มากันเต็ม ซุ้มรับเสด็จฯ นี่ยาวเป็นกิโล เขาก็เอาหินฝุ่นหยาบมาโรย สวยนะครับ แต่ร้อนนะฮะ ร้อนแบบสาหัสเลย แล้วมันก็คมด้วย เราเดินไปแป๊บเดียวก็จะเป็นลมแล้ว พระองค์ท่านประทับอยู่ถึงสี่ทุ่มกว่า”

พ้นจากอุปสรรคเรื่องการเดินทาง ภารกิจที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือการบันทึกภาพพระราชจริยวัตรให้สมพระเกียรติ

“สมัยนั้นสำนักพระราชวังค่อนข้างเข้มงวดในการถ่ายภาพพระราชอิริยาบถของเจ้านายทุกพระองค์ เช่น ก้าวเดินไม่ได้ ต้องให้พระองค์หยุดแล้วถึงถ่ายรูป ทำให้บางทีเราในฐานะคนทำสารคดีก็จะถูกเอ็ดประจำว่ารูปที่นำมาเผยแพร่เนี่ยพระองค์ไม่สวยในสายตาของผู้ใหญ่ แต่ผมคิดว่าการที่พระองค์ทรงมีพระเสโทเต็มพระพักตร์ ต่างๆ นานา สามารถถ่ายทอดสื่อความหมายได้ รุ่นผมก็จะกลายเป็นรุ่นหัวแข็ง ผู้ใหญ่ก็อาจจะโกรธ แต่ว่าเราก็ทำงานของเรา”

สำหรับการถ่ายภาพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ช่างภาพคนนี้บอกว่า ความง่ายอยู่ตรง “พระองค์ประทับนิ่งและนาน” ส่วนความยากคือเรื่องสภาพแวดล้อม

“เรื่องที่พระองค์ท่านทรงคุยกับราษฎรก็จะเป็นเรื่องเดิมๆ ทรงรับสั่งถามว่า พอมีพอกินไหม อะไรคืออุปสรรคปัญหา น้ำมีไหม น้ำอยู่ที่ไหน ปีนี้ได้ข้าวเท่าไหร่ ต่างๆ นานา พระราชอิริยาบถของพระองค์นิ่งๆ เพราะฉะนั้นการถ่ายภาพก็ง่าย แต่เราอยู่ในตำแหน่งที่ถ่ายยาก เพราะว่าจะมีองครักษ์ เจ้าหน้าที่กองราชเลขาธิการ ถ้าเป็นปักษ์ใต้ก็จะมีล่าม ซึ่งจะบัง เราก็ต้องหลบ หลบเหลี่ยมให้พ้นแล้วก็ไม่ทำอะไรที่เป็นที่ผิดสังเกต เช่น ไม่ยุกยิก ต้องรู้ว่าถ่ายรูปแล้วต้องรีบลดกล้อง หลีกเลี่ยงการใช้แฟลช อันนี้เราก็จะรู้หน้าที่อยู่”

เมื่อถามถึงเบื้องหลังภาพพระบรมฉายาลักษณ์ที่พระองค์ประทับยืนถือแผนที่โดยมีฉากหลังเป็นภูเขา (ภาพปกเสาร์สวัสดีฉบับนี้) ซึ่งมีการแชร์กันเป็นจำนวนมาก นภันต์เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า

“รูปนั้นเป็นวันเสด็จฯ บ้านแกน้อย ที่จริงอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่เลย ขับรถชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงแล้ว แต่วันนั้นเราขับรถไปสี่ห้าชั่วโมงกว่าจะถึง พระองค์เสด็จฯ มากับเฮลิคอปเตอร์ เราไปยืนรอก่อน โอ้โห...ตัวละลาย เพราะว่าข้างหน้าคือฝุ่นแดงอันมหาศาล ทั้งภูเขาไม่มีต้นไม้เลย มีแต่ความแห้งแล้ง ตรงที่พระองค์เสด็จฯ เป็นบ้านมูเซอแดง แล้วก็เป็นโรงเรียน แล้วระหว่างที่พระองค์ท่านประทับกับราษฎร ผมยืนอยู่ห่างสักประมาณสิบเมตร ถ่ายรูปพระองค์เสร็จก็ยืนคอยอยู่เฉยๆ ปรากฏว่ามีลมหมุน ฟรืด…ดินแดงก็วนขึ้นมาแล้วก็ไปคลุมพระองค์ท่านจนกระทั่งแผนที่หลุดไปจากพระหัตถ์ข้างหนึ่ง พระองค์ก็ทรงตะปบ ก็เห็นว่าฝุ่นเข้าพระพักตร์ ทุกคนก็ตกใจ พอฝุ่นจางหน่อย ตอนนั้นพระองค์ท่านทรงถอดฉลองพระเนตรออกแล้วทรงเช็ดพระเนตร แล้วทรงกางแผนที่ใหม่ ทรงงานต่อ เราร้องไห้เลย ร้องไห้เพราะว่าพระองค์ไม่ต้องมาอย่างนี้ก็ได้ ก็เป็นภาพที่ตัวเองประทับใจมากๆ

หลังจากนั้นอีกสามสิบปีถัดมา ผมไปที่นั่นอีกครั้ง มันเป็นอะไรที่ช็อค เพราะว่าจากภูเขาหลายลูกที่เป็นทะเลทรายในวันนั้น วันนี้มันเขียวไปหมด บ้านแกน้อยก็เป็นโครงการหลวงที่ทำรายได้สูงมาก

ต่อมาเมื่อประมาณสามปีที่แล้ว เนื่องจากผมจบมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทางคณะสื่อสารมวลชนก็มาขอหนังสือผมเล่มหนึ่ง ชื่อ ‘ย่างพระบาทที่ยาตรา’ เอาไปเป็นคอนเซ็ปในการทำงานถวายฯ ผมก็เลือกรูปหนึ่งที่ชอบมากก็คือรูปนี้ แล้วให้เขาไปออกแบบมาอีกที ก็ทำออกมาเป็นอย่างที่เห็น เดิมรูปที่ผมถ่ายข้างหลังเป็นภูเขาก่อนทรงงาน แต่รูปที่ทำออกมา ใช้ภาพภูเขาหลังทรงงานเป็นฉากหลังแทน

หลังวันเสด็จสวรรคต เช้าวันที่ 14 ตุลาคม ผมก็โพสต์รูปนี้ ซึ่งเป็นรูปที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ เขียนเจ็ดบรรทัด เล่าให้ฟังว่าตัวเองเห็นอะไรวันนั้น ก็ไม่คิดว่ามันจะถูกแพร่หลายไปมากมาย แสดงว่าคนสมัยนี้เขาก็อยากที่จะเข้าใจอะไรที่สิบบรรทัด”

ในวันที่ทราบข่าวว่าพระองค์เสด็จสวรรคต เขาบอกว่าในความโศกเศร้าเสียใจคือคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองว่า จะทำงานเพื่อเผยแพร่พระราชกรณียกิจให้มากขึ้น

“รู้สึกเสียใจว่าเรามีเวลาตั้งมากมายที่น่าจะทำอย่างนี้ให้กับเด็กสมัยนี้ ผู้คนสมัยนี้ได้เข้าใจพระองค์ท่าน เพราะแม้กระทั่งลูกผมก็ไม่เคยเห็นพระเจ้าอยู่หัว นอกจากเห็นในโทรทัศน์ ผมก็สัญญากับตัวเองว่าจะทำมากขึ้น”

เหตุผลไม่ใช่เพราะพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ แต่ทรงเป็นยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์

“มีหลายครั้งที่ผมไปถ่ายภาพพระองค์ท่านแล้วเห็นพระองค์ประทับราบอยู่กับพื้น หัวเข่าเปื้อนทรายเต็มไปหมด ผมเคยยกกล้องขึ้นถ่ายรูปเมื่อพระองค์ประทับบนบัลลังก์ในวันฉัตรมงคล พอเห็นภาพอย่างนี้เมื่อไหร่ผมก็น้ำตาไหล คือทำไมพระองค์ต้องมาทำอย่างนี้ ทรงงานทุกวัน ตีสามตีสี่ พระองค์ก็ยังทรงงาน พระองค์เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทุกวัน 11 โมงเช้า กลับมาได้เสวยพระกระยาหารค่ำตอนสี่ทุ่ม เป็นเราก็อยู่ไม่ได้ ไม่มีทาง แต่พระองค์ทรงทำได้ด้วยความเต็มพระราชหฤทัย

โครงการของพระองค์สี่พันกว่าโครงการ ทรงติดตามความคืบหน้าทุกโครงการด้วยพระองค์เอง แล้วโครงการเหล่านั้นก็ได้เดินทางไปสู่ความสำเร็จทุกโครงการด้วยพระองค์เอง ทรงคิดได้อย่างไร ทรงทำได้อย่างไร คนธรรมดาทำไม่ได้ ไม่มีวัน

ในฐานะช่างภาพบางครั้งก็สงสัยว่าพระองค์ท่านทรงถ่ายอะไร บางทีแอบ แอบเลยล่ะ แอบไปยืนข้างหลังว่าพระองค์ทรงถ่ายอะไร คือพระองค์ท่านทรงยกกล้องมาแต่ละครั้งทรงถ่ายของไม่ดีทั้งนั้น ดินแดงแห้งผาก รากไม้ ต้นไม้ล้ม พระองค์ทรงถ่ายภาพเหล่านี้ แต่อีกสิบปีกลับไปดูสิ ตรงนั้นจะกลายเป็นอ่างเก็บน้ำใหญ่ พระองค์ท่านทรงถ่ายไปต้องคิดไปด้วยแน่ๆ ว่าจะเอาไปทำอะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้มาจากรูปของพระองค์ก็คือชีวิต”

ในฐานะช่างภาพที่มีโอกาสได้ตามเสด็จฯ และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ข่าวการเสด็จสวรรคตจึงเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตเช่นเดียวกับพสกนิกรทั่วไป

“ตั้งแต่เสด็จสววรคตก็ร้องไห้ใหญ่ๆ สักสองครั้ง มันเหมือนน้ำตาตกในมั้ง ทุกวันนี้ตื่นเช้ามาก็ยังถามตัวเองว่า จริงเหรอ แต่สุดท้ายก็คิดว่า พระองค์ท่านยังอยู่กับเรา ไม่เคยไปไหน พระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่รอบๆ ตัวเรา ในคอมพิวเตอร์ผมมีแต่รูปพระเจ้าอยู่หัว กล้องถ่ายรูปผมในฐานะช่างภาพ ผมไม่เคยถ่ายรูปคน ใครมาจ้างผมถ่ายรูปคนผมไม่รับงาน เพราะผมคิดว่ากล้องผมถ่ายรูปพระเจ้าอยู่หัว ถ่ายรูปสมเด็จพระนางเจ้าฯ ผมไม่อยากถ่ายรูปอื่นแล้ว ถึงไม่ทำงานก็ไม่อยากถ่ายรูปคนอื่นแล้ว ผมก็จะถ่ายใต้น้ำ ถ่ายภูเขา ไม่ถ่ายคน”

ในวาระแห่งความสูญเสียนี้ นภันต์มีความในใจที่ต้องการส่งถึงคนรุ่นใหม่หรือคนที่อาจจะยังไม่ได้รับรู้ในพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

“เราต้องมีพระเจ้าอยู่หัวอยู่ในหัวใจ อยู่ในจิตวิญญาณของความเป็นคนไทย คนไทยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ไม่ต้องพระองค์ไหน ไม่ต้องอะไร ขอให้มีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่กับคนไทย เราก็จะเป็นคนไทย ถ้าเราคิดว่าเรารักประเทศเรา เราก็ต้องเคารพเทิดทูนพระมหากษัตริย์โดยไม่ต้องมีเงื่อนไข รักแล้วไม่ต้องถาม ไม่ต้องสงสัย ผมไม่เคยสงสัยอะไรเลย...ผมรัก”

.




53
เบื้องหลังภาพของพ่อ - จากหัวใจช่างภาพ ผู้บันทึกย่างพระบาทที่ยาตรา


https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/52220-his-
Home > Knowledge > สังคมและวัฒนธรรม

เบื้องหลังภาพของพ่อ - จากหัวใจช่างภาพ ผู้บันทึกย่างพระบาทที่ยาตรา
Posted By ดาวแม่ไก่ | 28 ต.ค. 59


'นภันต์ เสวิกุล' ผู้บันทึกย่างพระบาทที่ยาตรา

เรื่องเล่าจากหัวใจช่างภาพผู้ถวายงานการบันทึกภาพพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

เบื้องหลังภาพถ่ายหลายภาพที่ถูกแชร์ออกไปในโลกโซเชียล คือผลงานของผู้ชายคนนี้ ทว่า เหตุผลในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาแม้เพียงเล็กน้อยที่จะแสดงความเป็นเจ้าของภาพพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ความมุ่งหวังเพียงอย่างเดียวคือการเล่าถึงพระวิริยะอุตสาหะของพระองค์ที่ได้สัมผัสตลอดระยะเวลาของการทำงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท

“ผมเป็นคนทำโปรดักชั่น สมัยใหม่ก็ต้องบอกว่าเป็นโปรดักชั่นเฮาส์ และออแกไนเซอร์ เจ้าแรกของเมืองไทย ผมก็เป็นคนที่ทำสไลด์มัลติวิชั่นคนแรกที่เข้าไปสู่วงการโฆษณา ก็ทำให้ได้ไปทำงานให้กับคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติอยู่หลายปี

จนกระทั่งในที่สุดตัวเองก็ได้เป็นคณะอนุกรรมการภาพนิ่งและภาพยนตร์ของสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ ร่วมกับผู้ใหญ่หลายคนที่ผมเคารพนับถือ”

นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ ‘นภันต์’ ช่างภาพหนุ่มในเวลานั้นได้มีโอกาสติดตามขบวนเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนราษฎร

“ประมาณปี พ.ศ.2520 กรรมการก็มอบหมายให้ผมเป็นคนที่ทำงานเก็บข้อมูลเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ ปีแรกทำเรื่องรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 9

ซึ่งในส่วนของรัชกาลที่ 9 ทำให้ผมต้องตามเสด็จฯ แล้วก็ตามอยู่หลายปี ประมาณ 6-7 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2522 เป็นต้นมา

โดยช่วงปี พ.ศ.2522 -2525 เป็นช่วงเวลาที่ตามเสด็จฯเยอะ เพราะว่าเตรียมข้อมูลสำหรับงานฉลองกรุงเทพฯ 200 ปี ในปี พ.ศ.2525”



ภาพ : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/723878
 

เขาว่า แม้ภารกิจการถ่ายภาพจะไม่ได้เกินความสามารถ แต่งานครั้งนี้ก็หนักหนาสาหัสกว่าทุกงานที่ผ่านมา

“ปีแรกนี่เหนื่อยเลยเพราะว่าเราอยู่ประมาณรถคันที่ 13,14,15 เมื่อพระองค์ท่านจอด... คือระหว่างเสด็จพระราชดำเนิน ถ้าพระองค์ท่านต้องพระประสงค์ พระองค์ท่านจะจอดก็จอด เพราะพระองค์ทรงขับรถเอง จอดปุ๊บเราก็วิ่งลงไป กว่าจะถึงเนี่ยบางทีพระองค์คุยจบแล้ว แล้วเราจะยืนคอยรถอยู่ก็ไม่ได้ ต้องวิ่งสุดชีวิตกลับมา

ช่วงแรกมีผมคนเดียว ช่วงปีที่สองที่สามต่อมา คุณหญิงคณิตา เลขะกุล บ.ก.อนุสาร อสท.ในเวลานั้นตามไปด้วย เพราะท่านก็เป็นอนุกรรมการด้วย อีกคนที่มาหลังผมหน่อยก็คือคุณดวงดาว สุวรรณรังษี ที่เป็น บ.ก. อนุสาร อสท. รุ่นหลังๆ นั่นก็วิ่งกับผมมาเหมือนกัน”

ทุกเส้นทางที่พระองค์เสด็จฯ ไปทรงงาน เรื่องความยากลำบากไม่ต้องพูดถึง บางพื้นที่ต้องเดินเท้านานนับชั่วโมง

“เอาง่ายๆ อย่างไปแม่แจ่ม สมัยโน้นไม่ใช่ขึ้นไปอินทนนท์แล้วลงมามีถนนลาดยางลงถึง ไม่ใช่ ต้องไปอ้อมฮอดแล้ววกเข้ามาข้างใน ถนนไม่มี ทางลูกรังอย่างเดียว ก็แปลว่าจะไปแม่แจ่มนี่สิบชั่วโมงไม่ถึง ขับรถไม่ถึง ไม่ใช่ไม่ถึงสิบชั่วโมงนะ สิบชั่วโมงไม่ถึง ออกตีสามบ้าง ตีสองบ้าง

แต่เราว่าลำบากแล้วพระองค์ท่านลำบากกว่าเราอีก เพราะว่าบางทีเราได้รูปแล้วเราก็หยุด แต่พระองค์ท่านยังไม่ได้น้ำ น้ำหมายความว่า พระองค์ทรงไปหาน้ำให้ชาวเขา เสด็จพระราชดำเนินขึ้นเขาไปสามลูกสี่ลูก บางทีเราก็ไม่ตาม”

เมื่อมองย้อนกลับไป นภันต์ยอมรับว่า แม้ตัวเองจะเหนื่อย

“แต่พระองค์ท่านเหนื่อยกว่าแน่ๆ แต่ไม่แสดงออก”
 
“อย่างที่เสด็จฯ ปลวกแดงเนี่ย วันนั้นทหารเป็นเจ้าภาพ เขาก็ไปปรับที่ เพราะราษฎรทั้งระยอง ทั้งปราจีนฯ มากันเต็ม ซุ้มรับเสด็จฯ นี่ยาวเป็นกิโล เขาก็เอาหินฝุ่นหยาบมาโรย สวยนะครับ แต่ร้อนนะฮะ ร้อนแบบสาหัสเลย แล้วมันก็คมด้วย เราเดินไปแป๊บเดียวก็จะเป็นลมแล้ว พระองค์ท่านประทับอยู่ถึงสี่ทุ่มกว่า”

พ้นจากอุปสรรคเรื่องการเดินทาง ภารกิจที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือการบันทึกภาพพระราชจริยวัตรให้สมพระเกียรติ

“สมัยนั้นสำนักพระราชวังค่อนข้างเข้มงวดในการถ่ายภาพพระราชอิริยาบถของเจ้านายทุกพระองค์ เช่น ก้าวเดินไม่ได้ ต้องให้พระองค์หยุดแล้วถึงถ่ายรูป ทำให้บางทีเราในฐานะคนทำสารคดีก็จะถูกเอ็ดประจำว่ารูปที่นำมาเผยแพร่เนี่ยพระองค์ไม่สวยในสายตาของผู้ใหญ่

แต่ผมคิดว่าการที่พระองค์ทรงมีพระเสโทเต็มพระพักตร์ ต่างๆ นานา สามารถถ่ายทอดสื่อความหมายได้ รุ่นผมก็จะกลายเป็นรุ่นหัวแข็ง ผู้ใหญ่ก็อาจจะโกรธ แต่ว่าเราก็ทำงานของเรา”

สำหรับการถ่ายภาพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ช่างภาพคนนี้บอกว่า ความง่ายอยู่ตรง “พระองค์ประทับนิ่งและนาน” ส่วนความยากคือเรื่องสภาพแวดล้อม

“เรื่องที่พระองค์ท่านทรงคุยกับราษฎรก็จะเป็นเรื่องเดิมๆ ทรงรับสั่งถามว่า พอมีพอกินไหม อะไรคืออุปสรรคปัญหา น้ำมีไหม น้ำอยู่ที่ไหน ปีนี้ได้ข้าวเท่าไหร่ ต่างๆ นานา พระราชอิริยาบถของพระองค์นิ่งๆ เพราะฉะนั้นการถ่ายภาพก็ง่าย แต่เราอยู่ในตำแหน่งที่ถ่ายยาก เพราะว่าจะมีองครักษ์ เจ้าหน้าที่กองราชเลขาธิการ

ถ้าเป็นปักษ์ใต้ก็จะมีล่าม ซึ่งจะบัง เราก็ต้องหลบ หลบเหลี่ยมให้พ้นแล้วก็ไม่ทำอะไรที่เป็นที่ผิดสังเกต เช่น ไม่ยุกยิก ต้องรู้ว่าถ่ายรูปแล้วต้องรีบลดกล้อง หลีกเลี่ยงการใช้แฟลช อันนี้เราก็จะรู้หน้าที่อยู่”



ภาพ : เฟซบุ๊กคุณ Napan Sevikul
https://www.facebook.com/napan.sevikul
 

เมื่อถามถึงเบื้องหลังภาพพระบรมฉายาลักษณ์ที่พระองค์ประทับยืนถือแผนที่โดยมีฉากหลังเป็นภูเขา (ภาพปกเสาร์สวัสดีฉบับนี้) ซึ่งมีการแชร์กันเป็นจำนวนมาก

นภันต์เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า

“รูปนั้นเป็นวันเสด็จฯ บ้านแกน้อย ที่จริงอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่เลย ขับรถชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงแล้ว แต่วันนั้นเราขับรถไปสี่ห้าชั่วโมงกว่าจะถึง พระองค์เสด็จฯ มากับเฮลิคอปเตอร์ เราไปยืนรอก่อน โอ้โห...ตัวละลาย เพราะว่าข้างหน้าคือฝุ่นแดงอันมหาศาล ทั้งภูเขาไม่มีต้นไม้เลย มีแต่ความแห้งแล้ง ตรงที่พระองค์เสด็จฯ เป็นบ้านมูเซอแดง แล้วก็เป็นโรงเรียน



ภาพ : เฟซบุ๊กคุณ Napan Sevikul
ที่มา ; คุณนภันต์ เสวิกุล
"ภาพนี้ ถ่ายหลังจากเหตุการณ์ลมหมุนรอบพระองค์จนแผนที่หลุดจากพระหัตถ์ ประมาณ 10 นาที ..​ 
แต่ที่อยากให้เห็นคือขนาดของแผนที่ ที่พระเจ้าอยู่หัวของเราใช้ทรงงาน .. ทรงงานกลางแจ้งทุกวี่วัน "
 

แล้วระหว่างที่พระองค์ท่านประทับกับราษฎร ผมยืนอยู่ห่างสักประมาณสิบเมตร ถ่ายรูปพระองค์เสร็จก็ยืนคอยอยู่เฉยๆ ปรากฏว่ามีลมหมุน ฟรืด…ดินแดงก็วนขึ้นมาแล้วก็ไปคลุมพระองค์ท่านจนกระทั่งแผนที่หลุดไปจากพระหัตถ์ข้างหนึ่ง พระองค์ก็ทรงตะปบ ก็เห็นว่าฝุ่นเข้าพระพักตร์ ทุกคนก็ตกใจ พอฝุ่นจางหน่อย ตอนนั้นพระองค์ท่านทรงถอดฉลองพระเนตรออกแล้วทรงเช็ดพระเนตร แล้วทรงกางแผนที่ใหม่ ทรงงานต่อ

เราร้องไห้เลย ร้องไห้เพราะว่าพระองค์ไม่ต้องมาอย่างนี้ก็ได้ ก็เป็นภาพที่ตัวเองประทับใจมากๆ

หลังจากนั้นอีกสามสิบปีถัดมา ผมไปที่นั่นอีกครั้ง มันเป็นอะไรที่ช็อค
เพราะว่าจากภูเขาหลายลูกที่เป็นทะเลทรายในวันนั้น วันนี้มันเขียวไปหมด
บ้านแกน้อยก็เป็นโครงการหลวงที่ทำรายได้สูงมาก


ต่อมาเมื่อประมาณสามปีที่แล้ว เนื่องจากผมจบมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทางคณะสื่อสารมวลชนก็มาขอหนังสือผมเล่มหนึ่ง ชื่อ ‘ย่างพระบาทที่ยาตรา’ เอาไปเป็นคอนเซ็ปในการทำงานถวายฯ ผมก็เลือกรูปหนึ่งที่ชอบมากก็คือรูปนี้ แล้วให้เขาไปออกแบบมาอีกที ก็ทำออกมาเป็นอย่างที่เห็น เดิมรูปที่ผมถ่ายข้างหลังเป็นภูเขาก่อนทรงงาน แต่รูปที่ทำออกมา ใช้ภาพภูเขาหลังทรงงานเป็นฉากหลังแทน

หลังวันเสด็จสวรรคต เช้าวันที่ 14 ตุลาคม ผมก็โพสต์รูปนี้ ซึ่งเป็นรูปที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ เขียนเจ็ดบรรทัด เล่าให้ฟังว่าตัวเองเห็นอะไรวันนั้น ก็ไม่คิดว่ามันจะถูกแพร่หลายไปมากมาย แสดงว่าคนสมัยนี้เขาก็อยากที่จะเข้าใจอะไรที่สิบบรรทัด”

ในวันที่ทราบข่าวว่าพระองค์เสด็จสวรรคต เขาบอกว่าในความโศกเศร้าเสียใจคือคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองว่า จะทำงานเพื่อเผยแพร่พระราชกรณียกิจให้มากขึ้น

“รู้สึกเสียใจว่าเรามีเวลาตั้งมากมายที่น่าจะทำอย่างนี้ให้กับเด็กสมัยนี้ ผู้คนสมัยนี้ได้เข้าใจพระองค์ท่าน เพราะแม้กระทั่งลูกผมก็ไม่เคยเห็นพระเจ้าอยู่หัว นอกจากเห็นในโทรทัศน์ ผมก็สัญญากับตัวเองว่าจะทำมากขึ้น”

เหตุผลไม่ใช่เพราะพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ แต่ทรงเป็นยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์



ภาพ : เฟซบุ๊ก Napan Sevikul
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=10200665341774957&set=a.10200665340774932.1073741855.1203068694&type=3&theater

ที่มา : คุณนภันต์ เสวิกุล
"ตามภาพ จะเห็นสมเด็จพระนางเจ้าฯ ประทับราบกับพื้น ส่วนพระเจ้าอยู่หัว นั่งคุกเข่า
เห็นรูปอย่างนี้ ช่างภาพตอบได้ว่า เป็นการเยี่ยมราษฎรที่จังหวัด หรือทหารมาจัดเตรียมพื้นที่ไว้ให้ล่วงหน้า .. และดูเหมือนจะเรียบร้อยสบายดี
แต่ที่จริง พื้นแบบนี้แหละ สุดทรมาน เพราะเป็นหินฝุ่นแบบหยาบ เศษหินจะคม และฝุ่นจะอมความร้อน(มาก) ทั้งสองพระองค์ก็จะประทับแบบนี้แหละ วันละ 5-6 ชั่วโมง ปีละ 7 เดือน คิดเสียว่า 200 วัน ... และน่าจะเกิน 60 ปี"
 

“มีหลายครั้งที่ผมไปถ่ายภาพพระองค์ท่านแล้วเห็นพระองค์ประทับราบอยู่กับพื้น หัวเข่าเปื้อนทรายเต็มไปหมด ผมเคยยกกล้องขึ้นถ่ายรูปเมื่อพระองค์ประทับบนบัลลังก์ในวันฉัตรมงคล พอเห็นภาพอย่างนี้เมื่อไหร่ผมก็น้ำตาไหล คือ


ทำไมพระองค์ต้องมาทำอย่างนี้ ทรงงานทุกวัน
ตีสามตีสี่ พระองค์ก็ยังทรงงาน
พระองค์เสด็จฯ เยี่ยมราษฎรทุกวัน 11 โมงเช้า กลับมาได้เสวยพระกระยาหารค่ำตอนสี่ทุ่ม


เป็นเราก็อยู่ไม่ได้ ไม่มีทาง แต่พระองค์ทรงทำได้ด้วยความเต็มพระราชหฤทัย
 
โครงการของพระองค์สี่พันกว่าโครงการ ทรงติดตามความคืบหน้าทุกโครงการด้วยพระองค์เอง

แล้วโครงการเหล่านั้นก็ได้เดินทางไปสู่ความสำเร็จทุกโครงการด้วยพระองค์เอง

ทรงคิดได้อย่างไร ทรงทำได้อย่างไร คนธรรมดาทำไม่ได้ ไม่มีวัน


ในฐานะช่างภาพบางครั้งก็สงสัยว่าพระองค์ท่านทรงถ่ายอะไร

บางทีแอบ แอบเลยล่ะ แอบไปยืนข้างหลังว่าพระองค์ทรงถ่ายอะไร คือ พระองค์ท่านทรงยกกล้องมาแต่ละครั้งทรงถ่ายของไม่ดีทั้งนั้น ดินแดงแห้งผาก รากไม้ ต้นไม้ล้ม พระองค์ทรงถ่ายภาพเหล่านี้ แต่อีกสิบปีกลับไปดูสิ ตรงนั้นจะกลายเป็นอ่างเก็บน้ำใหญ่ พระองค์ท่านทรงถ่ายไปต้องคิดไปด้วยแน่ๆ ว่าจะเอาไปทำอะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้มาจากรูปของพระองค์ก็คือชีวิต”

ในฐานะช่างภาพที่มีโอกาสได้ตามเสด็จฯ และซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ข่าวการเสด็จสวรรคตจึงเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตเช่นเดียวกับพสกนิกรทั่วไป

“ตั้งแต่เสด็จสววรคตก็ร้องไห้ใหญ่ๆ สักสองครั้ง มันเหมือนน้ำตาตกในมั้ง ทุกวันนี้ตื่นเช้ามาก็ยังถามตัวเองว่า จริงเหรอ แต่สุดท้ายก็คิดว่า

พระองค์ท่านยังอยู่กับเรา ไม่เคยไปไหน
พระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่รอบ ๆ ตัวเรา
ในคอมพิวเตอร์ผม มีแต่รูปพระเจ้าอยู่หัว

กล้องถ่ายรูปผมในฐานะช่างภาพ ผมไม่เคยถ่ายรูปคน ใครมาจ้างผมถ่ายรูปคนผมไม่รับงาน

เพราะผมคิดว่ากล้องผมถ่ายรูปพระเจ้าอยู่หัว ถ่ายรูปสมเด็จพระนางเจ้าฯ ผมไม่อยากถ่ายรูปอื่นแล้ว

ถึงไม่ทำงานก็ไม่อยากถ่ายรูปคนอื่นแล้ว ผมก็จะถ่ายใต้น้ำ ถ่ายภูเขา ไม่ถ่ายคน”

ในวาระแห่งความสูญเสียนี้ นภันต์มีความในใจที่ต้องการส่งถึงคนรุ่นใหม่หรือคนที่อาจจะยังไม่ได้รับรู้ในพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช

“เราต้องมีพระเจ้าอยู่หัวอยู่ในหัวใจ อยู่ในจิตวิญญาณของความเป็นคนไทย คนไทยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ไม่ต้องพระองค์ไหน ไม่ต้องอะไร ขอให้มีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่กับคนไทย เราก็จะเป็นคนไทย ถ้าเราคิดว่าเรารักประเทศเรา เราก็ต้องเคารพเทิดทูนพระมหากษัตริย์โดยไม่ต้องมีเงื่อนไข รักแล้วไม่ต้องถาม ไม่ต้องสงสัย ผมไม่เคยสงสัยอะไรเลย...ผมรัก”

.

แหล่งข้อมูล
- บทความเรื่อง นภันต์ เสวิกุล ผู้บันทึกย่างพระบาทที่ยาตรา โดยชุติมา ซุ้นเจริญ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 22 ตุลาคม 59
- เฟซบุ๊กคุณ Napan Sevikul

.

Posted By ดาวแม่ไก่


.
ขอขอบคุณที่มาของเรื่อง
https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/52220-his-
.




54
เหตุผลที่ในหลวง ร.9 ไม่เสด็จต่างประเทศอีกเลย กว่า 49 ปี ที่ผ่านมา


https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/52209-his-
Home > Knowledge > สังคมและวัฒนธรรม





เหตุผลที่ในหลวง ร.9 ไม่เสด็จต่างประเทศอีกเลย กว่า 49 ปี ที่ผ่านมา
Posted By SataBhisha | 26 ต.ค. 59


คุณเคยรู้มั้ย ทำไมในหลวงทรงไม่ได้เสด็จพระราชดำเนินประทับค้างแรมนอกประเทศไทยมานานกว่า 49 ปี แล้ว ?

ทั้งๆ ที่กษัตริย์พระองค์อื่นๆ ทั่วโลก ก็มักจะทรงเสด็จเยือนต่างประเทศอยู่เป็นประจำ

หลังจากที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเสด็จพระราชดำเนินเยือนยุโรป สหรัฐอเมริกาและอีกหลายประเทศ ตามพระราชหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ หลังจากขึ้นครองราชย์ ในการเสด็จพระราชดำเนินไปเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาอารยะประเทศ



ภาพ : รวมภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
 

ซึ่งผลจากการเสด็จพระราชดำเนินเยือนนานาประเทศนั้น ก็ทำให้ชาวต่างชาติยอมรับพระปรีชาสามารถของในหลวง ซึ่งเป็นผลให้ชาวต่างชาติยอมรับคนไทยไปด้วย ทำให้เวลาคนไทยเดินทางไปในต่างประเทศก็ได้รับการยอมรับและให้เกียรติคนไทยมากขึ้น

แต่หลังจากพระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินเยือนแคนาดาเมื่อปีพ.ศ.2510 ในหลวงก็ทรงไม่เสด็จออกจากประเทศไทยอีก
(ยกเว้นครั้งเดียวเมื่อปีพ.ศ.2537 ที่ในหลวงเสด็จพระราชดำเนินเยือนลาวเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็เสด็จฯ กลับฝั่งไทย)



ภาพ ; พันทิพดอทคอม
 

ภาพการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อกาลเวลาล่วงไป ๒๗ ปี

นั่นก็คือ การเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงเป็นประเทศล่าสุด เมื่อวันที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๗ เพื่อทรงร่วมในพิธีเปิดสะพานมิตรภาพไทย - ลาว ที่จังหวัดหนองคาย และเพื่อทอดพระเนตรการดำเนินงานตามโครงการศูนย์พัฒนาและบริการด้านการเกษตรห้วยซอน - ห้วยซั้ว อันเป็นโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อจัดตั้งต้นแบบของการบูรณาการและเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้แก่ประเทศลาว

ซึ่งไม่เพียงแต่ประเทศลาวเท่านั้นแนวพระราชดำริที่เป็นองค์ความรู้และวิทยาการต่างๆ ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการพัฒนาชนบทยังเผยแพร่ไปยังประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ เช่น สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สหภาพพม่า รวมทั้งแนวพระราชดำริ ในการปลูกหญ้าแฝกก็ได้รับการเผยแพร่ไปสู่หลายประเทศทั้งราชอาณาจักรภูฏาน และอีกหลายประเทศในทวีปแอฟริกา เช่น ราชอาณาจักรเลโซโท ก็นำแนวพระราชดำริดังกล่าวไปปรับใช้ในประเทศของตน

ย้อนสาเหตุที่ทรงไม่เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอีก

ซึ่งการที่ในหลวงไม่เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอีก สืบเนื่องย้อนไปถึงวันที่ในหลวงต้องทรงเสด็จกลับไปศึกษาต่อที่สวิสเซอร์แลนด์

ตามพระราชนิพนธ์บันทึกประจำวันบางส่วนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างวันเสด็จฯจากสยามสู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

"วันที่ 19 สิงหาคม 2489 วันนี้ถึงวันที่เราจะต้องจากไปแล้ว พอถึงเวลาก็ลงจากพระที่นั่งพร้อมกับแม่ ลาเจ้านายฝ่ายใน ณ พระที่นั่งชั้นล่างนั้นแล้ว ก็ไปยังวัดพระแก้วเพื่อนมัสการลาพระแก้วมรกตและพระภิกษุสงฆ์ ลาเจ้านายฝ่ายหน้า ลาข้าราชการทั้งไทยและฝรั่ง แล้วก็ไปขึ้นรถยนต์

พอรถแล่นออกไปได้ไม่ถึง 200 เมตร มีหญิงคนหนึ่งเข้ามาหยุดรถแล้วส่งกระป๋องให้เราคนละใบ ราชองครักษ์ไม่แน่ใจว่าจะมีอะไรอยู่ในนั้น บางทีจะเป็นลูกระเบิด! เมื่อมาเปิดดูภายหลังปรากฏว่าเป็นท๊อฟฟี่ที่อร่อยมาก ตามถนนผู้คนช่างมากมายเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลาง ราษฎรเข้ามาใกล้จนชิดรถที่เรานั่ง

กลัวเหลือเกินว่าล้อรถของเราจะไปทับแข้งทับขาใครเข้าบ้าง รถแล่นฝ่าฝูงคนไปได้อย่างช้าที่สุด


ถึงวัดเบญจมบพิตร รถแล่นเร็วขึ้นได้บ้าง ตามทางที่ผ่านมา
ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆว่า

“ในหลวง อย่าละทิ้งประชาชน”

อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า

"ถ้าประชาชนไม่ “ทิ้ง” ข้าพเจ้า
แล้วข้าพเจ้าจะ “ละทิ้ง” อย่างไรได้
 
แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้ว…"


ด้วยเหตุนี้ หลังจากในหลวงทรงเสร็จสิ้นตามภารกิจตามหน้าที่ของพระมหากษัตริย์ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีแล้ว

พระองค์จึงทรงตั้งปณิธานว่าจะไม่เสด็จฯ จากประชาชนของพระองค์ไปที่ใดอีก..

 
คุณผู้อ่านลองนึกว่า ถ้าตัวเองเคยใช้ชีวิตและเรียนหนังสือในต่างประเทศมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนกระทั่งเป็นหนุ่ม แต่จู่ ๆ ต้องตัดสินใจว่า หลังจากนี้ทั้งชีวิตไปจนวันตาย คุณจะไม่ออกไปต่างประเทศอีก หรือไปค้างอ้างแรมนอกแผ่นดินไทยอีกเลย คุณผู้อ่านคิดว่า คุณจะทำได้หรือไม่ ?

แต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงตัดสินพระราชหฤทัยอย่างแน่วแน่ และทรงทำได้เพื่อพวกเราคนไทยครับ
 

.
แหล่งข้อมูล
บล็อกเกอร์ มุมมอง-ใหม่เมืองเอก
.
Posted By SataBhisha
.

.
ขอขอบคุณที่มาของเรื่อง
https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/52209-his-
.




55
ความทรงจำเมื่อครั้ง ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จเยือนฯ อเมริกาเมื่อปี 2503


https://readthecloud.co/collector-wijit-chaiwan/

ข้างหลังภาพ
เบื้องหลังภาพล้ำค่าที่พาย้อนความทรงจำไปยังเมื่อครั้งในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จเยือนฯ อเมริกาเมื่อปี 2503

เรื่อง คุณากร

.

Home /Art & Culture/The Collector
13 ตุลาคม 2018


“พอดีก็…เออ………….พอดี…ก็…….”

กระอักกระอ่วนใจอย่างบอกไม่ถูก ขณะที่เขายังขยับปากมุ่ยม่ายรีดเค้นคำตอบจากความทรงจำระยะสั้น 10 วินาทีของภาวะเงียบเชียบก่ออาการตรึงเครียด ผ่อนคลายและพ่ายแพ้ “…ถึงไหนแล้วนะ”

‘ความฉับไว’ เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของช่างภาพ เขากล่าวออกมาเช่นนั้น แต่สำหรับอดีตบรรณาธิการและช่างภาพเกษียณอายุวัย 95 ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรที่ห้วงคำนึงและถ้อยคำจะพลันหล่นหาย เขาตัดสินใจใช้ตัวช่วยด้วยการหยิบเหตุการณ์ออกมาวางกางลงเบื้องหน้า แล้วอธิบายกับเราว่า นอกจากความทรงจำ ภาพถ่ายเป็นเครื่องมือบันทึกเหตุการณ์สำคัญที่มั่นคงและยืนยาว จบประโยคเรื่องราวอันงดงามก็พรั่งพรูดังตาธารใน พ.ศ. 2503 เด่นชัดราวกับเพิ่งผ่านมาเมื่อไม่นาน







ช่วงชีวิตวัยหนุ่มที่หนักหนาเอาการและเอางานไม่เลือกของ วิจิตร ไชยวัณณ์ เริ่มต้นด้วยความฝันเป็นนักศึกษาแพทย์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พังทลาย เมื่อประสบเคราะห์กรรมรีไทร์เพียงเรียนได้ปี 2 ล้มเหลวจากการเป็นครูพิเศษประจำโรงเรียนปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัยที่ตนเรียนมาค่อนชีวิต ก่อนตัดสินใจกลับมาเมืองกรุงรับเงินเดือน 700 บาท ในตำแหน่งเสมียนประจำสำนักงานบริษัทคาลเท็กซ์ เมื่อประสบการณ์แน่นอนจึงขอย้ายไปประจำการเชียงใหม่ ไต่เต้าสู่ตำแหน่งผู้จัดการด้วยความสามารถผสมโรงกับดวง แต่อยู่ได้ไม่นานกิจการก็ล้มเลิก ถูกโยกไปรับตำแหน่งเดิมที่จังหวัดชลบุรี เงินเดือนสุดท้ายหรูหรา 3,000 บาท ทว่าแพ้พ่ายต่อความคิดถึงบ้าน ก่อนเดินทางกลับสู่มาตุภูมิ

แล้วเรื่องราวชีวิตของวิจิตรก็ดำเนินมาถึงจุดที่อาจเรียกได้ว่าพลิกผันอย่างน่าสนใจ เมื่อมีเหตุให้ได้รับโอกาสจาก คุณเรือง นิมมานเหมินท์ หุ้นส่วนใหญ่ และ คุณสงัด บรรจงศิลป์ บรรณาธิการคนแรกของ หนังสือพิมพ์คนเมือง อันเลื่องชื่อของเชียงใหม่ในยุคนั้น เขาคว้าโอกาสและอุตสาหะเรียนรู้งานไวจนกลายเป็นคุณสมบัติที่ทำให้ได้รับตำแหน่งหัวเรือใหญ่คนที่ 2  สิบปีผ่านไปกับการทำงานด้านสื่ออย่างโชกโชน จนในปลายฤดูร้อนของ พ.ศ. 2503 โชคที่คนข่าวตัวเล็กๆ คาดไม่ถึงก็เดินทางมาถึง พร้อมกับคำเชื้อเชิญจากสถานกงสุลใหญ่สหรัฐฯ เชียงใหม่ ที่มอบภาระหน้าที่ให้ไปแสวงหาประเด็นน่าสนใจในสหรัฐอเมริกามาเผยแพร่

“เขาออกตั๋วเครื่องบินชั้น First Class ให้ แต่เราขอเปลี่ยนเป็น Tourist Class เพราะสามารถที่จะ Extend ในยุโรปได้ แล้วก็ออกค่าเบี้ยเลี้ยงให้อีกวันละ 17 เหรียญฯ ตลอดระยะเวลา 3 เดือนที่เราเดินทาง รวมถึงค่าที่พักหรือค่ามัคคุเทศก์ก็สามารถเบิกจ่ายได้ บังเอิญในช่วงที่เราไปตรงกับช่วงที่ในหลวงและพระราชินีมีหมายกำหนดการจะเสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรกพอดี ก็เลยอยากจะติดตาม และขอล่วงหน้าไปก่อน 1 เดือนเพื่อไปดูลาดเลา”





เงินสดส่วนตัวจำนวน 10,000 ที่พกติดตัวมาจากเมืองไทยถูกควักจ่ายทันทีที่ถึงฮ่องกง หน้าตู้กระจกบานใหญ่ เขายืนกวาดสายตามองหากล้องคู่ใจตัวใหม่ที่ไว้ใจได้ว่าจะสามารถบันทึกภาพหลักฐานประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญของประเทศได้อย่างฉับไว ไร้บกพร่อง เขาชี้นิ้วไปยังกล้องตัวหนึ่งบนชั้นวางและอีกตัวหนึ่งที่แลดูกะทัดรัดกว่า พ่อค้าเลื่อนบานกระจกแล้วเอื้อมหยิบมันมาให้ทดสอบ เขารู้สึกถูกชะตากับ Yashica MG-1 เป็นพิเศษและวางแผนใช้มันกับฟิล์มสี และก็รอบคอบพอจะติด Olympus Pen EE-3 กล้อง Half Frame ที่ถ่ายได้กว่า 72 ภาพ อีกตัวไว้สำหรับสแนปเหตุการณ์ทันด่วนด้วยฟิล์มขาวดำ

จากฮ่องกง สู่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ต่อไปยังโฮโนลูลู เพียง 3 วันโบกมือลาเกาะสวรรค์หัวใจรัฐฮาวาย แล้วเข้ามาทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส ก่อนสิ้นสุดจุดหมายปลายทางที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประจวบกับที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จฯ เยือนประเทศสหรัฐอเมริกา ตามหมายกำหนดการระหว่างวันที่ 14 มิถุนายน – 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2503

เขาศึกษารายการเสด็จพระราชดำเนินและติดตามเสด็จเพื่อบันทึกเรื่องราวในทุกสถานที่ โดยในช่วงระหว่างติดตามเสด็จนั้น ทุกๆ วันวิจิตรจะต้องกลับมาเขียนรายงานบันทึกเหตุการณ์ประจำวัน พร้อมทั้งส่งรูปภาพกลับมายังเมืองไทยผ่านช่องทางขนส่งทางอากาศที่ใช้ระยะเวลารวดเร็วเพียง 3 วัน เพื่อให้ หนังสือพิมพ์คนเมือง ได้ตีพิมพ์รายงานพระราชกรณียกิจ และนี่ก็คือผลงานภาพถ่ายบางส่วนแห่งความภาคภูมิใจที่ตราตึงเด่นชัดในความทรงจำของนักหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเพียงหนึ่งเดียวของประเทศไทยที่ได้รับเกียรติในครั้งนี้





สนามบินแมทส์ (MATS : Military Air Transport Service Terminal) คือสถานที่แห่งแรกที่ในหลวงเสด็จฯ ภาพนี้ถ่ายทอดเรื่องราวที่ดูเป็นทางการด้วยพิธีต้อนรับจาก จอมพลดไวต์ เดวิด ไอก์ ไอเซนฮาวร์ (Dwight David “Ike” Eisenhower) ประธานาธิบดีคนที่ 34 ของสหรัฐอเมริกา และแถวทหารกองเกียรติยศสง่างาม ทว่าเบื้องหลังของภาพนี้ วิจิตรเล่าให้ฟังด้วยยิ้มร่าว่า เขาเป็นช่างภาพเพียงคนเดียวที่ได้รับอนุญาตให้วิ่งไปมาเพื่อจับภาพเหตุการณ์นี้อย่างใกล้ชิด พิเศษกว่านักข่าวรายอื่นๆ ที่จำต้องยืนอยู่บนสแตนด์ไม้เบื้องหลัง คอยบันทึกภาพจากเลนส์เทเลโฟโต้





“สมเด็จพระราชินีทรงสง่างามมาก” เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาเลือกภาพนี้เป็นอีกหนึ่งภาพในดวงใจ ณ สนามบินแมทส์ (MATS : Military Air Transport Service Terminal) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จอมพล ดไวต์ เดวิด ไอก์ ไอเซนฮาวร์ และ ดร.ถนัด คอมันตร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ขณะกำลังยืนทำความเคารพเพลงชาติสหรัฐอเมริกา





เหตุการณ์ที่ในหลวงพระราชทานเครื่องราชย์แก่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ณ ไวท์เฮาส์ ครั้งนี้เป็นที่จดจำของวิจิตรเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุผล 2 ประการ ประการแรก มาจากเกียรติอันหาได้ยากของนักหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่จะมีโอกาสได้เยือนถึงห้องประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประการสองคือ ก่อนที่ในหลวงจะเสด็จพระราชดำเนินออกจากห้องท่านได้ตรัสกับเขาว่า “อย่าคุยกัน” เพียง 3 คำสั้นๆ ซึ่งตักเตือนให้เขาได้สำรวมกิริยามารยาท เป็นทั้งเหตุการณ์ที่ชวนรู้สึกผิดในขณะนั้น และกลายเป็นเรื่องราวสุดพิเศษในชีวิตของเขา





ในวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2503 พระองค์ท่านได้เสด็จฯ มายังโรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์นในเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ซึ่งเป็นสถานที่พระบรมราชสมภพ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470





พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรทะเบียนพระบรมราชสมภพของพระองค์ ที่ทางโรงพยาบาลจัดเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ





รอยแย้มพระสรวลประทับใจของในหลวงเมื่อเสด็จฯ มายังห้องที่พระราชมารดามีพระประสูติกาล ซึ่งทางโรงพยาบาลได้เก็บรักษาไว้ให้เฉพาะพระองค์เท่านั้น





นางพยาบาล 4 คนซึ่งเป็นผู้ถวายการทำประสูติกาลพระองค์ท่าน มองตลับของที่ระลึกที่พระองค์พระราชทานให้ด้วยความปลื้มปีติ โดยมุมซ้ายสุดของภาพคือ ดร.สจวร์ต วิตมอร์ (Stewart Whittemore) แพทย์ผู้ถวายการทำประสูติกาล ท่านผู้นี้รู้สึกปลาบปลื้มใจไม่แพ้กัน เมื่อได้รับพระราชทานของขวัญอันล้ำค่าซึ่งมีถ้อยความเปี่ยมความหมายจารไว้ว่า “To Doctor Whittemore, My first friend in the world”  หรือ “แด่คุณหมอวิตมอร์ เพื่อนบนโลกคนแรกของฉัน”





บนจุดยอดสุดของตึกเอ็มไพร์สเตท สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ กำลังทรงสนทนากับ จอมพลดไวต์ เดวิด ไอก์ ไอเซนฮาวร์ ส่วนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทอดพระเนตรทิวทัศน์อันตระการตาของแมนฮัตตัน





วิจิตรในวัย 36 ปีเมื่อครั้งเดินทางไปยังอนุสาวรีย์ลินคอล์น อนุสรณ์สถานของรัฐบุรุษที่ชาวอเมริกันรักและเคารพ ภาพนี้ถ่ายโดยเพื่อนนักข่าวจากสื่ออื่นๆ ที่ทำหน้าที่ติดตามเสด็จ

เมื่อเสร็จภารกิจวิจิตรเลือกใช้โอกาสนี้แสวงหาประสบการณ์และเปิดมุมมองใหม่ๆ ต่อจนครบกำหนดวีซ่า 6 เดือนเต็ม เขาออกตระเวนไปทั่วทั้งสหรัฐอเมริกา สวีเดน เดนมาร์ก โคเปนเฮเกน ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมนี และกรุงโรม อิตาลี เป็นสถานที่สุดท้าย ก่อนเดินทางกลับมายังประเทศไทย พร้อมกับความทรงจำงดงามที่ยากจะลบลืม

.

“ชอบที่สุดคือ สวีเดน เดนมาร์ก โคเปนเฮเกน เพราะเมืองมันเงียบสงบดี” เขากล่าวเมื่อเราถามเกี่ยวกับเมืองประทับใจจากทริปในวัยหนุ่ม

ปัจจุบัน วิจิตร ไชยวัณณ์ ในวัย 95 ปี ย้ายมาพำนักในที่ดินส่วนตัวอำเภอดอยหล่อ เขาต่อเติมโรงครัวให้กลายเป็นบ้านพักขนาดย่อมเคียงมะขามต้นใหญ่ มีโต๊ะไม้หน้าบ้าน เก้าอี้ไม้สำหรับเอนหลังเรียบง่าย และเลือกที่จะอยู่อาศัยตัวคนเดียว แม้ว่าบ้านหลังใหม่ของลูกชายจะสะดวกสบายและอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักด้วยเหตุผลประการเดียวกัน

.

Writer
คุณากร
เป็นคนอ่านช้าที่อาศัยครูพักลักจำ จับพลัดจับผลูจนกลายมาเป็นคนเขียนช้า ที่อยากแบ่งปันเรื่องราวบันดาลใจให้อ่านกันช้าๆ เวลาว่างชอบวิ่งแต่ไม่ชอบแข่งขัน มีเจ้านายเป็นแมวโกญจาที่ชอบคลุกทราย นอนหงาย และกินได้ทั้งวัน


.
ขอขอบคุณที่มาของเรื่อง
https://readthecloud.co/collector-wijit-chaiwan/
.




56
พระราชนิพนธ์แห่งความรัก ของในหลวงรัชกาลที่ 9


https://readthecloud.co/scoop-21/

พระราชนิพนธ์แห่งความรัก
อ่าน 2 พระราชนิพนธ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งซ่อนความรักไว้ระหว่างบรรทัด

เรื่อง ดร.อาทิตย์ ชีรวณิชย์กุล

.

Home /Art & Culture/Scoop
25 ตุลาคม 2017

เมื่อคิดถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 เรามักนึกถึงพระองค์ในฐานะ ‘พ่อ’ ผู้ยิ่งใหญ่ อบอุ่น ภาพที่เราคุ้นตาคือภาพที่พระองค์เสด็จฯ ไปในท้องถิ่นทุรกันดาร ทรงงานหนักเพื่อประชาชน ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงมีพระอัจฉริยภาพในทุกๆ เรื่อง

เราไม่ค่อยได้นึกถึงพระองค์เมื่อครั้งยังเป็นยุวกษัตริย์ เมื่อกว่า 70 ปีก่อน ครั้งพระราชหฤทัยของพระองค์โถมทับด้วยความเศร้าจากการสูญเสีย ‘พี่ชาย’ ผู้เป็นที่รัก-พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 และต้องทรงสืบราชสมบัติ รับภาระแห่งแผ่นดินพร้อมทั้งความหวังของประชาชน เป็นภาระอันแสนยิ่งใหญ่และหน่วงหนักที่มาถึงพระองค์อย่างไม่เคยคิดฝันในพระชนมพรรษาเพียง 18 ย่าง 19 พรรษา

แต่ก็ทรงผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้นมาได้อย่างองอาจกล้าหาญด้วยขัตติยมานะ และด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ ทั้งความรักลึกซึ้งที่ทรงมีแด่ ‘พี่ชาย’ ผู้เป็นยิ่งกว่าพี่น้อง ยิ่งกว่าเพื่อนสนิท ประดุจดังเงาของกันและกัน

และความรักที่ทรงมีต่อประชาชนชาวไทยของพระองค์

นี่เป็นสิ่งที่เราจะได้รับจากการอ่านพระราชนิพนธ์ 2 เรื่องแรกที่ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ ได้แก่ พระราชานุกิจรัชชกาลที่ 8 และ เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิทเซอร์แลนด์

พระราชนิพนธ์ทั้งสองเรื่องจึงอาจเรียกได้ว่าเป็น ‘พระราชนิพนธ์แห่งความรัก เมื่อต้นรัชกาลที่ 9’

ที่ว่าเป็นพระราชนิพนธ์เมื่อต้นรัชกาลที่ 9 ก็เพราะว่าทั้งสองเรื่องนี้ทรงพระราชนิพนธ์ในเวลาไล่เลี่ยกันภายในช่วงเวลา 100 วันหลังจากเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 เรื่อง พระราชานุกิจรัชชกาลที่ 8 ทรงพระราชนิพนธ์เพื่อรวบรวมพิมพ์ในหนังสือ พระราชานุกิจกรุงรัตนโกสินทร์ พระราชทานในพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล 100 วันถวายพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล วันที่ 20 กันยายน 2489

ส่วน เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิทเซอร์แลนด์ เป็นบันทึกประจำวันส่วนพระองค์ ซึ่งทรงบันทึกไว้ระหว่างวันที่ 16 – 22 สิงหาคม 2489 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนและระหว่างวันที่เดินทางเสด็จกลับไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต่อมาได้พระราชทานให้นำบันทึกนี้ลงพิมพ์ใน วงวรรณคดี ฉบับเดือนสิงหาคม 2490







ความหมายของคำว่า ‘พระราชานุกิจ’ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายว่าหมายถึง “กิจส่วนน้อยอันพระเจ้าแผ่นดินพึงทรงประพฤติเป็นการส่วนพระองค์ ไม่เกี่ยวกับราชการแผ่นดิน เช่น เสด็จเข้าที่บรรทมเวลานั้น บรรทมตื่นเวลานั้น เสวยเวลานั้น เสด็จประพาสเวลานั้น เป็นต้น” พูดง่ายๆ ก็คือ กิจวัตรประจำวันนั่นเอง ต่างจากคำว่า ‘พระราชกิจ’ หรือ ‘พระราชกรณียกิจ’ ที่หมายถึง “กิจส่วนสำคัญอันพระเจ้าแผ่นดินพึงทรงประพฤติเพื่อประโยชน์แก่แผ่นดิน เช่นเสด็จออกว่าราชการแผ่นดิน ทรงปรึกษาราชการแผ่นดิน ทรงดำเนินพระบรมราโชบายในการบริหารราชการแผ่นดิน เป็นต้น” อย่างไรก็ตาม พระราชานุกิจกับพระราชกิจหรือพระราชกรณียกิจ แท้จริงแล้วก็แยกกันไม่ออก ต่างมีความสัมพันธ์เกี่ยวโยงถึงกันอยู่

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพยังทรงสันนิษฐานอีกว่า พระราชานุกิจที่กำหนดเวลาที่พระเจ้าแผ่นดินจะทรงประพฤติหรือปฏิบัติกิจต่างๆ นี้มีต้นเค้ามาจากคัมภีร์พระมนูธรรมศาสตร์ของอินเดีย ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีหลักฐานในกฎมณเฑียรบาลซึ่งตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ประมาณ พ.ศ. 2001 แสดงให้เห็นถึงพระราชานุกิจว่า “พระเจ้าแผ่นดินย่อมทรงประพฤติพระราชกิจต่างๆ เป็นระเบียบและตามกำหนดเวลาแน่นอน เช่น เสด็จออกขุนนางวันละ 3 ครั้ง คือ เวลาเช้า 10 นาฬิกาเสด็จออกพิพากษาคดี เวลาบ่าย 14 นาฬิกาเสด็จออกที่เฝ้ารโหฐาน เวลาค่ำ 20 นาฬิกาเสด็จออกว่าราชการแผ่นดิน เป็นต้น พระราชกิจอย่างอื่นก็จัดเข้าระเบียบประพฤติโดยมีกำหนดเวลาเป็นทำนองเดียวกัน ข้าราชการผู้มีหน้าที่ในราชกิจอย่างใดก็เข้าเฝ้าแหนตามกำหนดเวลาทรงปฏิบัติราชกิจนั้นเสมอไม่ต้องนัดหมาย…”

การบันทึกพระราชานุกิจของพระเจ้าแผ่นดินกรุงรัตนโกสินทร์ในแต่ละรัชกาลไม่ได้มีการทำอย่างเป็นระบบ มักจะเป็นการเรียบเรียงขึ้นหลังจากสิ้นรัชกาลแล้ว โดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเรียบเรียงพระราชานุกิจของรัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 2 รัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ส่วนของรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเรียบเรียง ทรงใช้วิธีสกัดเอาจากเอกสารหรือบันทึกต่างๆ รวมทั้งพระราชพงศาวดาร หรือมิฉะนั้นก็ทรงสอบถามจากผู้ถวายรับใช้ใกล้ชิด เช่น พระราชานุกิจในรัชกาลที่ 4 กรมหลวงสมรรัตนสิริเชษฐ์ ผู้เป็นพระราชธิดาทรงเล่าประทาน









ต่อมาเมื่อถึงรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7 ก็ไม่ได้มีการบันทึกพระราชานุกิจเอาไว้ จนเมื่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลสวรรคตลง จึงได้ไปขอต้นฉบับพระราชานุกิจที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเรียบเรียงไว้แล้วจากหม่อมเจ้าพูนพิศมัย ดิศกุล เพื่อจะนำมาจัดพิมพ์ หม่อมเจ้าพูนพิศมัยทรงแนะนำว่า ควรจะเรียบเรียงพระราชานุกิจให้ครบทั้ง 8 รัชกาล “เพื่อรักษาเรื่องราวอันเป็นส่วนหนึ่งแห่งประวัติศาสตร์ของชาติไว้ ถ้าช้าไปคนที่รู้เรื่องล่วงลับไปหมดแล้ว เรื่องก็จะศูนย์ไปเสีย” ดังนั้น การเรียบเรียงพระราชานุกิจในรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7 นั้น จึงได้ขอให้ผู้ที่ถวายการรับใช้ใกล้ชิด ได้แก่ พระยาอนิรุทธเทวา (ม.ล. ฟื้น พึ่งบุญ) จางวางมหาดเล็กในรัชกาลที่ 6 และหม่อมเจ้าอมรทัต กฤดากร สมุหราชองครักษ์และราชเลขานุการในพระองค์รัชกาลที่ 7 เป็นผู้เรียบเรียงตามลำดับ

ส่วนของรัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งเป็นพระราชอนุชาที่สนิทคู่พระทัยทรงเป็นผู้เรียบเรียง

ตรงนี้เองที่เป็นที่มาของคำว่า ‘พระราชนิพนธ์แห่งความรัก’ เพราะถ้าใครเคยได้อ่านหนังสือ เจ้านายเล็กๆ-ยุวกษัตริย์ พระนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ก็จะเห็นว่า ในหลวงรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 นั้นทรงเป็นพี่น้องที่รักและสนิทสนมกันมาก สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงนิพนธ์ไว้ว่า “ทรงเป็นมากกว่าพี่น้อง ทรงเป็นเหมือนแฝดกันเลย และทรงเป็นเพื่อนที่รักกันมากว่าเพื่อนอื่นๆ จะพอพระทัยในการเล่นด้วยกันมากกว่าเล่นกับผู้อื่น”

เพราะฉะนั้น ในการเรียบเรียง พระราชานุกิจรัชชกาลที่ 8 จึงไม่มีผู้ใดอื่นที่จะเหมาะสมยิ่งไปกว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงเป็น ‘น้องชาย’ ที่ติดตาม ‘พี่ชาย’ ไปทุกหนทุกแห่ง ในภาพเก่าๆ จะเห็นว่าทั้งสองพระองค์แทบจะไม่เคยแยกจากกันเลย จึงทรงทราบพระกิจวัตรประจำวันและรายละเอียดเกี่ยวกับพระราชกิจต่างๆ ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 อย่างดีที่สุด







ใน พระราชานุกิจรัชชกาลที่ 8 เป็นพระกิจวัตรประจำวันระหว่างที่ประทับอยู่ในประเทศไทยระหว่างวันที่ 5 ธันวาคม 2488 ถึงวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ตั้งแต่เวลาที่บรรทมตื่น คือเวลาประมาณ 08.30 – 09.00 น. เรื่องการเสวย ซึ่งได้บันทึกรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้ เช่นว่าไม่โปรดให้ห้องเครื่องจัดพระกระยาหารให้มากเกินไป โปรดให้จัดแต่พอดีๆ มีเวลาที่เสด็จลง ‘ปิกนิก’ ในสวนศิวาลัย ภายในพระบรมมหาราชวัง ทรงศึกษาภาษาไทยและพระพุทธศาสนาในเวลา 11.00 น. และ 15.00 น. ทั้งนี้เพราะประทับอยู่ในต่างประเทศเป็นเวลานานจึงต้องทรงศึกษาเพิ่มเติม นอกจากนี้ก็มีเวลาว่างที่ทรงพักผ่อน เช่น ทรงขับรถเล่น ทรงดนตรีกับพระราชอนุชาและแขกรับเชิญ ทอดพระเนตรภาพยนตร์ ทอดพระเนตรการชกมวย ฯลฯ

ส่วนการประกอบพระราชกรณียกิจต่างๆ มีทั้งในพระนครและนอกพระนคร ที่สำคัญ คือการเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรตามจังหวัดต่างๆ เช่น นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และฉะเชิงเทรา โดยมีในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเป็น “ช่างภาพที่ติดตามทุกหนทุกแห่งและฝึกอาชีพการเป็นกษัตริย์ไปโดยไม่รู้ตัว” ไม่ว่าจะเสด็จฯ ไปที่ใด ราษฎรก็จะพากันมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน ในหลวงรัชกาลที่ 8 จะโปรดเกล้าฯ ให้ราษฎรเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด และทรงปราศรัยกับราษฎรด้วย

นี่เองอาจเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการดำเนินตามรอยพระบาท ‘พี่ชาย’ ในการเยี่ยมเยียนราษฎรเพื่อทำความรู้จักและรับรู้ปัญหาที่แท้จริงของประชาชน

แม้ว่าจะทรงครองราชย์ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปี และเสด็จกลับประทับในประเทศไทยเพียงชั่วเวลาสั้นๆ เพียง 2 ครั้ง คือในปี 2481 ครั้งหนึ่ง และ 2488 – 2489 อีกครั้งหนึ่ง แต่ในหลวงรัชกาลที่ 8 ก็ทรงเป็นที่รักของประชาชนอย่างมาก ทรงพระเมตตาและมีพระราชจริยวัตรที่งดงามโดยการอบรมของสมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงสามารถผูกใจคนทั้งหลายไว้ได้ไม่ว่าจะเป็นชนชาติ ศาสนา หรือชั้นวรรณะใด ดังเช่นเมื่อครั้งที่เสด็จประพาสสำเพ็งให้ราษฎรชาวไทยเชื้อสายจีนได้เฝ้าฯ ชมพระบารมี ทำให้ความบาดหมางระหว่างไทย-จีนที่เคยมีมาก็หมดไป

พระราชานุกิจรัชชกาลที่ 8 จึงถือเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ที่สำคัญมาก เพราะอนุชนรุ่นหลังเช่นพวกเรามักไม่ค่อยทราบเรื่องราวเกี่ยวกับในหลวงรัชกาลที่ 8 เท่าใดนัก ทั้งที่พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่เป็น ‘ศูนย์รวมใจ’ ที่นำประเทศไทยผ่านช่วงเวลาสำคัญในรอยต่อของประวัติศาสตร์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มาจนถึงช่วงสมัยรัชกาลที่ 9 และที่สำคัญคือ พระราชานุกิจนี้บันทึกโดยในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นพระราชอนุชาที่รักพี่ชายดั่งดวงใจ ดังที่ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เขียนไว้ในหนังสือ ทำเป็นธรรม ว่า ทรงเป็นเสมือนอีกครึ่งหนึ่งของกันและกัน

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงในหลวงรัชกาลที่ 8 ไม่ว่าจะเป็นการถวายพระเกียรติยศต่างๆ รวมถึงการก่อตั้งทุนมูลนิธิอานันทมหิดลที่ให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาที่เรียนดีให้มีโอกาสไปศึกษาต่อต่างประเทศเพื่อนำความรู้มาพัฒนาประเทศชาติ การสร้างสะพานพระราม 8 และพระบรมราชานุสรณ์อื่นๆ ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้ใครลืมเลือน ‘พี่ชาย’ ของพระองค์

หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลสวรรคตประมาณ 2 เดือน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็เสด็จฯ กลับไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 19 สิงหาคม 2489







พระราชนิพนธ์เรื่อง เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิทเซอร์แลนด์ เป็นบันทึกประจำวันส่วนพระองค์ในช่วงเวลานั้น คือบันทึกระหว่างวันที่ 16 – 22 สิงหาคม 2489 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะเสด็จฯ ออกจากประเทศไทยและช่วงเวลาที่เสด็จฯ โดยเครื่องบินพระที่นั่งตามเส้นทางผ่านเมืองและประเทศต่างๆ ได้แก่ ประเทศศรีลังกา นครการาจี กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ จนไปถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต่อมาในเดือนสิงหาคม ปี 2490 วารสารวงวรรณคดี จึงได้เชิญบันทึกส่วนพระองค์ที่นี้มาตีพิมพ์

ที่ว่าพระราชนิพนธ์นี้เป็น ‘พระราชนิพนธ์แห่งความรัก’ อีกเรื่องหนึ่งก็เพราะว่า เมื่ออ่านดูแล้ว เราจะเห็นว่าทรงแสดงความรักความห่วงใย คำนึงถึงประชาชนชาวไทยอยู่ตลอดเวลา ทรงบันทึกภาพว่า ในตอนนั้นเวลาที่เสด็จฯ ไปในงานพระบรมศพในหลวงรัชกาลที่ 8 ราษฎรทั้งหลายต่างก็พากันมาเฝ้าฯ บางคนมาเป็นประจำจนทรงจำหน้าได้

ในวันที่ 19 สิงหาคม ทรงบันทึกว่า “เมื่อวานนี้เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาถามว่า จะอนุญาตให้ประชาชนเข้ามาหรือไม่ในขณะที่ไปถวายบังคมพระบรมศพ ตอบเขาว่า ‘ให้เข้ามาสิ’ เพราะเหตุว่า วันอาทิตย์เป็นวันสำหรับประชาชน เป็นวันของเขา จะไปห้ามเสียกระไรได้ และยิ่งกว่านั้นยังเป็นวันสุดท้ายก่อนที่เราจะจากบ้านเมืองไปด้วย ข้าพเจ้าก็อยากจะแลเห็นราษฎร เพราะกว่าจะได้กลับมาเห็นเช่นนี้ก็คงอีกนานมาก”

พระราชนิพนธ์ตอนที่น่าจะเป็นที่รู้จักและประทับใจพวกเราคนไทยเป็นอย่างดีก็คือ ในบันทึกวันที่ 19 สิงหาคม 2489 ซึ่งเป็นวันที่เสด็จฯ ออกจากประเทศไทย ทรงบันทึกว่า ผู้คนจำนวนมากมายมหาศาลไปรอส่งเสด็จตั้งแต่ที่พระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว เนืองแน่นไปจนถึงบริเวณวัดเบญจมบพิตร ในขณะที่รถแล่นไปตามทาง ทรงบันทึกว่า “…ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆ ว่า ‘อย่าละทิ้งประชาชน’ อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า ถ้าประชาชนไม่ ‘ทิ้ง’ ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะ ‘ละทิ้ง’ อย่างไรได้…”

ข้อความนี้ ใครที่ได้อ่านหรือได้ยินได้ฟังแล้ว ก็คงจะรู้สึกจับใจอย่างมาก เพราะเมื่อลองคิดดูว่าพระองค์ในเวลานั้นเป็นเพียงยุวกษัตริย์ พระชนมพรรษาเพียง 18 ย่าง 19 พรรษาเท่านั้น ซ้ำยังเสด็จขึ้นครองราชย์อย่างกะทันหันโดยไม่ได้คาดคิดมาก่อน ท่ามกลางความเศร้าเสียพระทัยที่สูญเสีย ‘พี่ชาย’ และต้องเป็นกำลังพระราชหฤทัยที่เข้มแข็งแก่แม่ที่กำลังทุกข์โทมนัสอย่างแสนสาหัส โดยไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ พระองค์ทรงเห็นความรักของประชาชนที่ส่งเป็นกระแสจิตมา ผ่านแววตาแห่งความหวังและปรารถนาจะยึดพระองค์เป็นที่พึ่ง และพระองค์ก็ทรงกล้าหาญเหลือเกินที่จะตอบว่า พระองค์จะไม่ทอดทิ้งประชาชน หากประชาชนไม่ทอดทิ้งพระองค์

ในหนังสือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙ และเจ้านายไทยในโลซานน์ บันทึกความทรงจำของครูส่วนพระองค์ในรัชกาลที่ ๙ รวบรวมโดย ลีซองดร์ เซ. เซไรดารีส ระบุว่า “พระองค์ทรงระลึกถึงคำของราษฎรผู้หนึ่งที่กราบบังคมทูลหลังจากขึ้นครองราชย์เมื่อปีที่ผ่านมาขณะกำลังจะเสด็จฯ กลับสวิตเซอร์แลนด์ว่า ‘ในหลวง อย่าทิ้งประชาชน’ ถ้อยคำนี้ติดอยู่ในพระราชหฤทัยมาก และถึงเวลาแล้วที่จะต้องทรงปฏิบัติพระองค์ตามที่ดวงพระชะตาลิขิตไว้”







เสียงร้องของชายคนหนึ่ง และความคิดที่อยู่ในพระราชหฤทัยในเวลานั้น เราคนไทยก็ได้เห็นแล้วว่า ไม่ใช่คำพูดหรือความคิดที่เลื่อนลอย ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ทรงครองราชย์ เราแจ้งประจักษ์ใจว่า ทรงไม่เคยทอดทิ้งประชาชน ทรงทำทุกอย่างเพื่อความอยู่ดีมีสุขของคนไทย และพระองค์เองก็ได้เปลี่ยนจากยุวกษัตริย์หนุ่มน้อย กลายเป็น ‘พ่อ’ หรือ ‘พ่อของแผ่นดิน’ ที่ประชาชนชาวไทยรักและเทิดทูนบูชา ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ และเศร้าอาลัยอย่างที่ไม่มีอะไรจะเปรียบได้เมื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย

ท่ามกลางหมู่เมฆที่ดูราวกับสวรรค์ ซึ่งทรงมองผ่านจากหน้าต่างเครื่องบินที่มุ่งหน้าตรงไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขณะประทับอยู่พระองค์เดียวลำพังกับสมเด็จพระบรมราชชนนีโดยไร้พี่ชายที่รัก ทรงบันทึกไว้ว่า “หวนกลับไปนึกดูเมื่อ ๙ เดือนที่แล้วมา เรากำลังบินไปในทิศทางตรงกันข้าม เพื่อจะเยี่ยมเยียนประเทศหนึ่ง เยี่ยมอาณาประชาชนที่เราต้องพลัดพรากจากมาถึง ๗ ปีเต็มๆ โดยที่เราเกือบไม่รู้เรื่องและข่าวคราวของบ้านเมืองและประชาชนของเราเลยแม้แต่น้อย… เดี๋ยวนี้เรากำลังบินจากประเทศนั้น จากประชาชนพลเมืองเหล่านั้นไปแล้ว การจากครั้งนี้มิได้เพียงแต่จากมาอย่างเดียวเท่านั้น ข้าพเจ้าได้จากเรื่องที่แล้วมาด้วย…”

ในวันนี้ที่พระองค์ทรง ‘จากสยาม’ ไปอย่างไม่มีวันกลับ หลังจากที่ทรงใช้เวลา 70 ปีเพื่อที่จะ ‘รู้เรื่องและข่าวคราวของบ้านเมืองและประชาชน’ ของพระองค์ในทุกหนทุกแห่ง ทุกตารางนิ้วบนแผนที่ ทุกขุนเขา ที่ราบ เกาะแก่ง ผืนดิน อากาศ และผืนน้ำ ด้วยสองพระบาท ด้วยพระเมตตา และด้วยความเพียรอันบริสุทธิ์ เวลานี้พระองค์คงประทับอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ ณ สรวงสวรรค์

แม้ทอดพระเนตรลงมา พระองค์ก็คงจะทรงได้ยินเสียงร้องและคำพูดเดิมจากหัวใจของอาณาประชาราษฎร์ที่ว่า “อย่าละทิ้งประชาชน”

แต่ก็อย่างที่พระองค์ได้ทรงตอบแล้วเมื่อ 71 ปีก่อนว่า “ถ้าประชาชนไม่ ‘ทิ้ง‘ ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะ ‘ละทิ้ง‘ อย่างไรได้”

คงอยู่ที่ความคิดและการกระทำของประชาชนชาวไทยนั้นเอง ว่าจะมี ‘ความรัก’ ของพระองค์ประทับอยู่ในดวงใจตลอดไปจนนิรันดร์หรือไม่

ภาพ : หอสมุดแห่งชาติ

.

Writer
ดร.อาทิตย์ ชีรวณิชย์กุล
เรียนจบและทำงานที่ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สนใจศึกษาและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับวรรณคดีไทย รวมถึงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 9

.


.
ขอขอบคุณที่มาของเรื่อง
https://readthecloud.co/scoop-21/
.




57
นายกรัฐมนตรี ชื่นชมน้องตินติน นักเขียนวัย ๘ ขวบ เจ้าของผลงาน “กราบพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙"


https://pantip.com/topic/40093238

29 กรกฎาคม 2020
นายกรัฐมนตรี ชื่นชมน้องตินติน นักเขียนวัย ๘ ขวบ เจ้าของผลงาน “กราบพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙"





นายกรัฐมนตรี ชื่นชมน้องตินติน นักเขียนวัย ๘ ขวบ
เจ้าของผลงาน “กราบพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙”

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวชื่นชมและให้กำลังใจ เด็กหญิง ติณณา แดนเขตต์ เด็กหญิงวัย ๑๒ ปี หรือน้องตินติน เจ้าของงานเขียน “กราบพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙” อันมีเนื้อหาที่สร้างสรรค์สร้างความประทับให้กับผู้อ่าน พร้อมยกย่องให้เป็นเด็ก เยาวชนตัวอย่างที่เห็นความสำคัญของการเขียนหนังสืออันเป็นพื้นฐานสำคัญของการเรียนรู้และพัฒนาการในด้านต่างๆ อันจะส่งผลให้เจริญเติบโตเป็นประชาชนที่มีคุณภาพเป็นพลังในการพัฒนาประเทศ
                   
(๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ทำเนียบรัฐบาล) นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้นำเด็กหญิงติณณา แดนเขตต์ หรือน้องตินติน นักเขียนรุ่นเยาว์ เข้าพบนายกรัฐมนตรี จากที่ประสบความสำเร็จจากผลงานเขียนหนังสือ เรื่อง กราบพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ จนทำให้ได้รับรางวัลหนังสือดีเด่น เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๐ (ในวัย ๘ ขวบ) จากกระทรวงศึกษาธิการ และผลงานของน้องตินติน ยังมีโอกาสได้เข้าร่วมโครงการวิธีสมุดบันทึก ที่กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ดำเนินการร่วมกับมูลนิธิวิชาหนังสือ มาเป็นเวลาถึง ๕ ปี วิธีสมุดบันทึกนี้ คือ การให้เด็กๆ เขียนบันทึกมาถึงคุณตาสมุดบันทึก หรือนายมกุฏ อรฤดี ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ เพื่อเป็นการส่งเสริมทักษะด้านการเขียน และติดตามพัฒนาการทางความคิดต่างๆ ของเด็กและเยาวชน



เด็กหญิงติณณา แดนเขตต์ หรือน้องตินติน

เด็กหญิงติณณา แดนเขตต์ หรือน้องตินติน เริ่มเขียนหนังสือตั้งแต่อายุ ๖ ขวบ ทั้งที่ยังสะกดคำไม่เป็น จึงเริ่มเล่าเรื่องด้วยการวาดรูป ซึ่งนายมกุฏ อรฤดี ศิลปินแห่งชาติ เห็นว่าน้องตินตินฝีมือดี จึงจ้างให้วาดรูปประกอบหนังสือ เป็นรูปวาดที่มีความพิเศษตรงที่มีภาพภูเขา ต้นไม้ และมีลูกตาเต็มไปหมด จากการสอบถาม น้องตินติน ตอบว่า
“หนูอยากให้ทุกสิ่งในโลกนี้มีชีวิต” ด้วยเหตุนี้เอง จึงทราบว่า น้องตินตินเป็นเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าเด็กอื่นๆ จึงมอบสมุดบันทึกขอบทองให้กับเด็ก ซึ่งผู้ที่ได้รับสมุดบันทึกขอบทองของสำนักพิมพ์ผีเสื้อแล้ว เสมือนเป็นประกาศนียบัตรแสดงว่าได้เป็นนักเขียนของสำนักพิมพ์ การให้เด็กเล็กๆ เขียนสมุดบันทึกมาส่งนี้ เป็นกุศโลบายส่งเสริมให้เด็กสนใจการเขียนหนังสืออันเป็นพื้นฐานสำคัญของพัฒนาการด้านต่างๆ

ผลงานเขียนหนังสือถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ น้องตินติน ได้เริ่มเขียนเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๙ เรื่องที่น้องเขียนนี้ นายมกุฏ อรฤดี ศิลปินแห่งชาติ ได้อ่านและเห็นความสามารถของเด็กจึงได้นำมาตีพิมพ์เผยแพร่
 
โครงการวิธีสมุดบันทึก โดยมูลนิธิวิชาหนังสือได้ดำเนินการร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม ทำให้พบว่า การให้เด็กเริ่มต้นด้วยการเขียนบันทึก ส่งให้ผลให้เด็กเป็นนักอ่านโดย จะทำให้ทราบว่าเด็กมีความสามารถด้านใด และจะสามารถพัฒนาศักยภาพต่อไปได้อย่างไร ซึ่งขณะนี้มีเด็กๆ ที่เป็นนักเขียนในสำนักพิมพ์จำนวน ๒๐ คน ผลงานเกือบทั้งหมด ยังได้รับรางวัลหนังสือแห่งชาติอีกด้วย
















.

.
ขอขอบคุณที่มาของเรื่อง
https://pantip.com/topic/40093238

.




58
หนังสือ กราบพระเจ้าอยู่หัวรัชกาล ที่ ๙


https://www.facebook.com/sayurithailand

สำนักพิมพ์ผีเสื้อ
13 ตุลาคม 2024
 ·
หนังสือ
กราบพระเจ้าอยู่หัวรัชกาล ที่ ๙
ช่วยน้ำท่วม
สำนักพิมพ์ผีเสื้อ






















.




59

ป.ล.

https://www.facebook.com/sayurithailand
สำนักพิมพ์ผีเสื้อเด็ก ๆ

.

https://www.facebook.com/sayurithailand/posts/เด็กหญิงติณณา-แดนเขตต์-ตินติน-อายุ-๑๐-ปีเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่-๔เป็นนักเขียนอา/1098376030346564/

.

สำนักพิมพ์ผีเสื้อเด็ก ๆ
8 มีนาคม 2019
 ·
เด็กหญิงติณณา แดนเขตต์ ’ตินติน’ อายุ ๑๐ ปี
เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔
เป็นนักเขียนอายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัล
การประกวดหนังสือดีเด่นประจำปี
ของกระทรวงศึกษาธิการ
ด้วยหนังสือทั้งหมดที่พิมพ์แล้ว จำนวน ๒ เล่ม
ในปี ๒๕๖๐ และปี ๒๕๖๒
คือหนังสือชื่อ
#กราบพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๙
ได้รับพระราชทานรางวัลเมื่ออายุ ๘ ปี
และ
#โลกดวงนี้ก็เป็นของหนอนด้วย
จะเข้ารับพระราชทานรางวัลหนังสือเล่มที่สอง
ในวันศุกร์ ที่ ๒๘ มีนาคม ศกนี้
ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ
#เด็กสมุดบันทึก
#วิธีสมุดบันทึก
#สำนักพิมพ์ผีเสื้อเด็กๆ

.










.




60
ก ร า บ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ - เรื่อง มกุฏ อรฤดี, ภาพ ตินติน-ติณณา แดนเขตต์


https://readthecloud.co/butterfly-3/





ข้างหลังปีกผีเสื้อ

ก ร า บ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙
เบื้องหลังการทำหนังสือที่เร็วที่สุดของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ คือต้นฉบับแสนบริสุทธิ์จากนักเขียนเด็ก

เรื่อง มกุฏ อรฤดี, ภาพ ตินติน-ติณณา แดนเขตต์

.

Home /Art & Culture/ข้างหลังปีกผีเสื้อ
14 ตุลาคม 2017


วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๙

ผมส่งข้อความถึงเด็กนักเขียนของสำนักพิมพ์ผีเสื้อเด็กๆ ทั้ง ๓ คน ว่า

“พระเจ้าอยู่หัวไม่สบายมาก เรา ในฐานะคนไทยและนักเขียนบันทึก จะคิดทำอะไรได้บ้าง”

วันรุ่งขึ้น ‘ตินติน’ เขียนบันทึก

ซายูริ เขียนบันทึกขณะอยู่แม่ฮ่องสอน

ในใจ ก็เขียนในวันรุ่งขึ้น

‘ตินติน’ เขียนในวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ ว่า





“ฉันเห็นรูปในหลวงบ่อยๆ  ทุกรูปแขวนที่สูงๆ ถ้ารูปในหลวงมีชีวิต ก็เหมือนในหลวงอยู่ทุกที่ของประเทศไทย ในหลวงเป็นเหมือนสมาชิกในครอบครัว เพราะพวกเราจะเอาเฉพาะรูปคนที่เรารักมาไว้ในบ้าน ถ้าบ้านที่ฉันไม่เคยเห็นว่ามีรูปในหลวงหรือเปล่า ฉันคิดว่า เขาต้องมีรูปในหลวงในใจแน่ๆ”

ในวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ ‘ตินติน’ เขียนว่า

“เก้าอี้ของพระราชาต้องสูญเสียพระราชามา ๘ พระองค์แล้ว และต้องเสียใจยิ่งนัก เพราะวันนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เป็นที่รักของผืนแผ่นดินไทย จากไปแล้ว ตอนนี้ฉันไม่เหลือความสุข”

วันเดียวกันนั้น เธอเขียนบันทึกอีกบทหนึ่งว่า





“ฉันเพิ่งได้รู้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีตาเพียงข้างเดียว ซึ่งเกิดจากอุบัติเหตุ ฉันสงสัยว่า ตอนที่ท่านทำงานโดยใช้ตาเพียงข้างเดียวมาตั้งหลายสิบปีอย่างไม่ลดละและทำอย่างเต็มที่ มันยากแค่ไหนนะ ฉันเลยลองเอามือปิดตาข้างหนึ่ง ก็เห็นเพียงแค่ครึ่งเดียวและต้องเพ่งมากเพราะเห็นไม่ชัด ฉันเลยได้รู้ว่ามันยากขนาดไหน”

และอีกบทหนึ่งในวันเดียวกันว่า

“ถ้าฉันตาย ฉันจะไปอยู่กับในหลวง หัวใจฉันมีแต่น้ำอันเศร้าโศก อยากให้หัวใจกลับมามีความสุข”





วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๙ ‘ตินติน’ เขียนบันทึกถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ มากถึง ๔ บท แต่ละบทมาจากความคิด ความรู้สึก และความปรารถนา มิได้เขียนด้วยข้อมูลค้นคว้าหรือเรื่องราวที่มีอยู่แล้วในประวัติศาสตร์และนำมาเรียบเรียงใหม่อย่างที่เห็นทั่วไปในข้อเขียนของผู้ใหญ่

ความรู้สึกใดๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อได้อ่านบันทึก จึงมาจากความนึกคิด อารมณ์ จิตใจ และหัวใจ ของเด็กวัย ๘ ขวบ

‘ตินติน’ เขียนในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ ว่า

“ฉันเห็นพระจันทร์เต็มดวงสง่างาม ถ้าพระจันทร์ที่เปล่งแสงนวลตาเปรียบเหมือนในหลวง ก็เพราะท่านอยากให้เราเห็นท่านด้วยตาของเราเอง และท่านก็อยากมองกลับมาที่เราว่าเราทำตามที่ท่านทำบ้างไหม”

ความคิดของเด็กอายุ ๘ ขวบ มีมากกว่าที่ผู้ใหญ่คิด ด้วยบันทึกในวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ ว่า

“ดวงจันทร์ เท่ากับ ในหลวง

ดวงดาว เท่ากับ ประชาชน

ดวงดาวอยู่ต่ำกว่าดวงจันทร์

ดวงจันทร์ให้ความอบอุ่นแก่ดวงดาว

ดวงดาวคอยปกป้องดวงจันทร์

ดวงจันทร์สอนให้ดวงดาวเปล่งแสง

ทำให้ท้องฟ้าสว่างไสว

และทำให้คนที่หลงทางเห็นทาง”







ผู้ใหญ่ส่วนมากลืมวัยเด็กไปหมดแล้ว จำสายตาและการเห็นอย่างเด็กไม่ได้ จำความคิดอันประณีต ละเอียดอ่อนไม่ได้ ลืมไปแล้วว่า เมื่อเห็นสิ่งใดหรือเกิดเรื่องราวใดจนถึงขั้นทำให้ร้องไห้ เคยมีความรู้สึกอะไรอยู่ในใจบ้าง และคิดอะไรบ้าง เส้นไหมอันอ่อนหวานบอบบางในชีวิตวัยเด็กของผู้ใหญ่ทั้งหลายละลายหายไปหมดแล้ว แม้ในความทรงจำ เพราะมิได้จด มิได้จำ จึงไม่อาจรื้อฟื้นได้ว่าเคยงดงามอย่างไร และชีวิตวัยเยาว์ของแต่ละคนช่างมีค่ามากเพียงไหนในขณะนั้น

โชคดี!

ครั้งแรกที่กล่าวคำว่า ‘โชคดี’ ก็เมื่อผมได้เห็นลายมือขยุกขยิกหรือตัวโตเท่าหม้อแกงสะกดผิดเกือบทุกคำในสมุดบันทึกเล่มเล็กซึ่งเด็กๆ ได้รับจากผมในนามคำมั่นสัญญาว่า จะเขียนบันทึกเสมอ ครั้งแรกนั้น ผมคิดเพียงว่า ผมโชคดีที่ได้อ่านความคิดผ่านลายมือของเด็กเหล่านั้น

ต่อมา ผมได้ความคิดว่า ในอนาคต เด็กทุกคนที่เขียนบันทึกเก็บไว้ในสมุดก็จะพูดเมื่อเป็นผู้ใหญ่ว่า

“โชคดี ที่ได้เขียนบันทึกเรื่องราวดีๆ ที่น่าจดจำไว้ในสมุด เพื่อระลึกถึง”

ข้อความในสมุดนั้นอาจกลายเป็นของมีค่า เป็นสมบัติล้ำค่าในชีวิต หากเจ้าของสมุดนั้นระลึกย้อนถึงความสำคัญในวันข้างหน้า หรือกระทั่งเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ที่ไม่มีนักประวัติศาสตร์คนใดมีโอกาสเขียนถึง

ต่อมาด้วยความหวัง อาจกล่าวได้ว่า การเขียนสมุดบันทึกของเด็ก คือโชคดีของประเทศไทย

เพราะบันทึกเหล่านั้นมีค่ามากพอจะเป็นเล่มหนังสือ

ผมเฝ้าดูสมุดบันทึก ถ้อยคำและข้อความที่เขียนถึงในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของ ‘ตินติน’ 

จนถึงวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๙

ผมตัดสินใจจะพิมพ์บันทึกลายมือยุ่งบ้าง เรียบร้อยบ้างของ ‘ตินติน’ เป็นหนังสือ!

‘ตินติน’ เขียนบันทึกในวันนี้ว่า

“พระเจ้าอยู่หัวสอนว่า ‘ทำดีเป็นเรื่องยาก ทำชั่วเป็นเรื่องง่าย ทำดีต้องเข้มแข็ง’ ฉันเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เพราะฉันเคยเห็นเวลาเพื่อนทำการบ้านไม่ได้ เขาจะขอลอกเพื่อน งานเสร็จ แต่ไม่ดี เพราะเราไม่ใช่คนคิด ถ้าเป็นฉัน จะพยายามด้วยความคิดของฉัน ถึงจะไม่มีใครรู้ แต่ฉันรู้”





ผมออกแบบหนังสือเล่มนี้ทุกคืน

ร่างในแผ่นกระดาษไม่มากนัก แต่ในหัวสมอง ความคิดทำงานต่อเนื่องมิได้หยุด นับจากวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๙

แท้จริงแล้ว ขณะนั้นอาร์ตเวิร์กรูปเล่มหนังสือ อยากให้ทุกสิ่งในโลกนี้มีชีวิต กำลังดำเนินไป

‘ตินติน’ เขียนต้นฉบับเพื่อพิมพ์หนังสือเล่มแรกของเธอไว้ตั้งแต่วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙

พร้อมจะพิมพ์เล่มเพื่อให้ทันเป็นของขวัญปีใหม่ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๙

ประวัติการทำงานของผม ล่าช้า เนิ่นนาน สำนักพิมพ์ผีเสื้อไม่เคยทำหนังสือเล่มใดเสร็จเร็ว ส่วนมาก หรือทั้งหมด นานกว่า ๔ ปี  ๑๐ ปี และถึง ๒๐ ปี  ๒๓ – ๒๔ ปี ก็มี

แต่หนังสือของนักเขียนเด็กเล่มแรกคือ บันทึกส่วนตัว ซายูริ ใช้เวลาไม่ถึงปี

เพราะเหตุใดหรือ

ก็เนื่องแต่ต้นฉบับของนักเขียนเด็กไม่มีอะไรต้องแก้ไข ทุกสิ่งบริสุทธิ์ผุดผ่องสมบูรณ์

ต้นฉบับของ ‘ตินติน’ ก็เช่นเดียวกัน

เราก็แน่ใจว่าจะใช้เวลาไม่เกิน ๒ เดือน

นักเขียนทำงานหนัก

ผมบอก ‘ตินติน’ ว่า เราจะพิมพ์หนังสือนี้ให้เสร็จก่อนสิ้นปี ‘ตินติน’ จึงต้องทำงานหนัก ดังนี้

หนึ่ง ต้องวาดรูปประกอบหรือภาพประดับบันทึกทุกบท และควรลงสีด้วย ‘ตินติน’ เห็นชอบและบอกว่า “หนูชอบระบายสี”

สอง อยากให้หนังสือนี้เป็นผลงานของนักเขียนทั้งหมด ทั้งข้อเขียน คือเนื้อเรื่องหรือบันทึก

และภาพประดับหรือรูปประกอบ ดังนั้น ‘ตินติน’ ต้องวาดรูปและออกแบบปกเองด้วย

การออกแบบปกเป็นเรื่องยากแม้สำหรับผู้ใหญ่ ‘ตินติน’ จึงต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นและนับเป็นงานหนักมาก เพราะเราตั้งใจว่าจะให้หนังสือนี้เสร็จก่อนสิ้นปี แต่เมื่องานของเธอทำด้วยหัวใจ ความยากและเหนื่อยยากก็มิใช่ปัญหา





‘ตินติน’ เขียนบันทึกวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ ว่า

“ฉันวาดรูปในหลวงในกระดาษ เสียไปตั้ง ๕ แผ่น เพราะยังไม่ถูกใจ แต่ฉันคิดว่าไม่เป็นไร ถ้าไม่ย่อท้อ วันใดวันหนึ่งก็จะวาดได้ดีอย่างที่ตัวเองต้องการ รูปสุดท้ายต้องเป็นรูปในหลวงที่สวยงามมากสำหรับฉันแน่ๆ”

ในเวลาเหล่านั้น เรามีงานมากขึ้น

รายการโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ขอสัมภาษณ์นักเขียนเด็กบ่อยๆ หลังจากได้เห็นข้อเขียนลายมือยุ่งๆ ของเด็กนักเขียนในสื่อออนไลน์ที่ผมนำมาเผยแพร่

‘ตินติน’ เขียนบันทึก วันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๙ ว่า

“พี่เขามาสัมภาษณ์ฉันครั้งที่ ๔ พอเขาพูดถึงในหลวงน้ำตาของฉันอยากจะออกจากดวงตา แต่ห้ามไว้ทัน น้ำตาที่อยากจะออกจากดวงตาเป็นเพราะความรู้สึกคิดถึงในหลวง ไม่มีใครรู้ เพราะอยู่ในใจ”

วันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๙  ‘ตินติน’ เขียนบันทึกว่า





“ฉันเห็นรูปในหลวงแทบทุกรูป ที่มีเหงื่อ ฉันคิดว่า เหงื่อของท่านทุกหยดสร้างแผ่นดินและสายน้ำได้ สายน้ำอาจไหลทั่วทั้งโลก ทำให้ต้นไม้ คือความดี เจริญงอกงาม”

ผมอ่านทวนบทนี้หลายครั้ง ผมรู้จักตัวหนังสือและถ้อยคำของ ‘ตินติน’ ตั้งแต่ยังเป็นรูปวาดและมีคำอธิบายรูปซึ่งแม่ของเธอช่วยสะกดให้ ขณะนั้น ‘ตินติน’ อายุเพียง ๕ ขวบเศษ เขียน ก – ฮ ยังไม่ครบและอ่านหนังสือไม่ออกสักคำ แต่ปรารถนาจะเล่าเรื่องด้วยรูปวาด มาบัดนี้ ภาษาของเธอดั่งถ้อยคำของกวี ไปไกลเกินกว่าที่ผมคาดหวังแต่แรกและสุกสกาวดั่งดอกไม้ไฟในคืนมืด

‘ตินติน’ เขียนคำนำสำหรับหนังสือเล่มแรกของเธอว่า

“ฉันเคยเห็นรูปในหลวงก้มลงเกี่ยวข้าว ถ้าในหลวงเป็นชาวนา ท้องนาก็ต้องเป็นประเทศไทย ต้นข้าวก็ต้องเป็นประชาชน—”

ผมอ่านท่อนนี้นับสิบครั้ง นับสิบครั้งที่อ่านแล้วหยุดเพียงบรรทัดที่ ๔ ไม่กล้าอ่านต่อ

ผมเคยอ่านต้นฉบับของนักเขียนผู้มีชื่อเสียงมาก็มาก กระทั่งนักเขียนผู้ที่โลกยกย่อง แต่ไม่เคยรู้สึกเหมือนบินไปในอวกาศและดำดิ่งลงใต้บาดาลได้มากเท่านี้

‘ตินติน’ เขียนคำนำในหนังสือของเธอต่อไปว่า

“ชาวนาปลูกข้าวด้วยความใส่ใจเพื่อหวังว่า ต้นข้าวที่ได้จากการปลูกจะสมบูรณ์ ฉันเป็นเมล็ดข้าวที่มีสมุดพกเล่มเล็กๆ”

ผมอ่านถึงตอนนี้ ก็น้ำตาเอ่อ ลมหายใจฟุ้ง ดั่งได้สูดอากาศภูเขาสูงยามอรุณรุ่ง นึกขอบคุณ ‘ตินติน’ ที่ช่วยให้สายใยแห่งความหวังในตัวเด็กไทยซึ่งเกือบจะขาดไปหมดแล้วจากความหวังอันยิ่งใหญ่และยาวนานของผมได้กลับคืนมาใหม่และแข็งแกร่ง





“เมล็ดข้าวจะพยายามให้ตัวเองงอกออกมาเป็นรวงข้าวเหมือนที่ชาวนาหวัง เวลาเขียนถึงในหลวง ฉันได้รู้ ได้คิด ได้เขียน สิ่งที่อยากบอก ฉันจะทำอย่างที่ในหลวงสอน”

‘ตินติน’ เขียนคำนำในวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๙ ขณะอายุ ๘ ปี ๔ เดือน

เธอเขียนอีกต่อมา

๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๙

“ในหลวงเคยสอนว่า จงปลูกต้นไม้ลงในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นจะปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดินและรักษาต้นไม้ด้วยตนเอง ฉันคิดว่า ‘ต้นไม้’ อาจเปลี่ยนเป็นความดีหรือความรักก็ได้ ถ้าเป็นความรัก—จงปลูกความรักลงในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นจะปลูกความรักลงบนแผ่นดินและรักษาความรักต่อไปด้วยตนเอง แค่นี้ก็หมายความว่า เรารักประเทศไทยแล้ว”







ก ร า บ  พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙

หนังสือเล่มแรกของ เด็กหญิงติณณา แดนเขตต์ ‘ตินติน’

รูปเล่มปกแข็งริมทอง เพื่อยกย่องให้เป็นหนังสือเล่มสำคัญแห่งยุคสมัยของสำนักพิมพ์ผีเสื้อเด็กๆ

‘ตินติน’ เข้ารับพระราชทานรางวัลจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ

เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๐ นับเป็นนักเขียนอายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลนี้ ตลอดเวลา ๔๕ ปี และเป็นนักเขียนเด็กคนที่ ๒ ของสำนักพิมพ์ผีเสื้อเด็กๆ ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ หนังสือดีเด่น

ในคืนของวันที่ได้รับพระราชทานรางวัล ก่อนนอน ‘ตินติน’ เขียนบันทึกว่า







“ตอนที่ฉันยื่นมือรับรางวัลเจ้าหญิงยิ้มให้ฉัน ฉันทั้งตื่นเต้น ดีใจ จนน้ำตาอยากจะไหลออกมา ฉันยิ้มตอบ หลังจากที่ทุกคนรับรางวัลแล้ว เจ้าหญิงเดินมาหาคนที่ได้หนังสือดีเด่น เจ้าหญิงถามฉันด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ว่า ‘หนูเขียนหนังสือเล่มไหน’ ฉันตอบว่า ‘กราบพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ค่ะ’ ฉันหยิบให้ท่านดู ท่านยิ้ม แล้วเปิดอ่านบางหน้า หัวใจฉันกำลังเต้นระบำ”

ภาพประกอบ: หนังสือพิมพ์ The Nation, สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายหนังสือฯ, อภิชัย วิจิตรปิยะกุล

.

Writer
มกุฏ อรฤดี
ทำหนังสือมาตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมจนเรียนจบวิทยาลัยครูสงขลา กระทั่งปัจจุบัน นับได้ 51 ปี เคยเป็นบรรณาธิการนิตยสาร 3 - 4 ฉบับ ปัจจุบันนับอาชีพของตนว่า บรรณาธิการ

Photographer
ตินติน-ติณณา แดนเขตต์
นักเขียนผู้เขียนหนังสือ ‘กราบ’ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เมื่ออายุ 8 ขวบ

.


.
ขอขอบคุณที่มาของเรื่อง
https://readthecloud.co/butterfly-3/
.




Pages: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 10
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.134 seconds with 17 queries.