Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
01 November 2025, 06:14:53

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Recent Posts

Recent Posts

Pages: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 10
51

๒๕



​สหายเป็นมิตรของคน (ที่) มีธุระเกิดขึ้นเนือง ๆ

สหายทั้งหลาย เมื่อความต้องการเกิดขึ้น ย่อมนำมาซึ่งสุข (แก่สหายผู้ซึ่งมีความต้องการ)

 


อีกครั้งหนึ่งบันลือมาเดินเตร่อยู่บนชานสถานีคอยเวลาที่รถไฟจะมาถึง นายสถานีทักเขาว่า “หมู่นี้แขกมากจริงครับ” เขาหัวเราะและตอบ “แล้วยังจะมีมาอีกเรื่อย ๆ”

เมื่ออยู่แต่ลำพังคนเดียวแล้ว เขารำพึงว่าเขาได้รบกวนจิตราอย่างน่าที่จะให้หล่อนโกรธและติเตียนได้อย่างรุนแรง เขาได้ทำไปด้วยความความเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ เพราะฉะนั้นเขาเตรียมพร้อมที่จะรับคำติเตียนของจิตราอย่างหน้าชื่นทุก ๆ คำ เขาเคยล้อจิตราหลายครั้งในเรื่องความโอบอ้อมอารีของหล่อน เขาถามหล่อนว่าเมื่อหล่อนช่วยเหลือผู้หนึ่งผู้ใด หล่อนแน่ใจหรือว่าความกรุณาเป็นเครื่องชักจูงให้หล่อนช่วย มิใช่ความอยาก​ได้หน้าอันเกิดแก่สัญชาตญาณความอยากอวดเป็นเหตุกระตุ้นเตือนให้หล่อนทำ จิตราโกรธจัดทุกคราวที่ถูกเขาถามเช่นนี้ หล่อนว่าเขาว่าเป็นผู้หามนุษยธรรมมิได้ จึงไม่เชื่อในมนุษยธรรมที่มีในมนุษย์ทั้งหลาย มาคราวนี้เขาเองต้องเรียกร้องเอาความโอบอ้อมอารีของหล่อนมาเพื่อแก้ความยุ่งยากให้แก่ตัว

เขาเป็นชายที่เคยมีวิจารณญาณฉับไว และแม่นยำรวดเร็วในการตัดสินใจเด็ดขาดและถูกต้องตามทางที่ควร แล้วกระทำไปตามที่ตัดสินไว้ โดยปราศจากความพิทักพิพ่วนรีรอลังล การกระทำของเขาทุก ๆ อย่าง ทั้งในส่วนที่เกี่ยวแก่ตัวเองผู้เดียว ในส่วนที่เกี่ยวแก่วงศ์ญาติ ในส่วนที่เกี่ยวแก่สังคม ย่อมดำเนินไปในทางตรง ทางสะดวก ทางง่าย อันเป็นทางที่ผู้มีปัญญาเฉียบแหลมย่อมเลือกใช้ด้วยกันทุกคน มิใช่ทางที่วกวนขยักขย้อน อ้อมค้อม ยุ่งยาก อันเป็นทางที่ผู้มีปัญญาน้อย มีความสงสัยเป็นเจ้าเรือนมักจะเลือกนำมาใช้เสมอ แต่บัดนี้ เขาเริ่มจะต้องผจญกับความเคลือบแคลงในการตัดสินใจของตนเอง สิ่งหนึ่งในตัวเขากระซิบบอกเขาว่า การตัดสินใจของเขาในเรื่องทั้งหมดก็เหมาะเจาะถูกต้องดีดอก แต่ในเรื่องสตรี—บันลือรู้สึกความร้อนอย่างร้อนระอุเกิดขึ้นในตัว เป็นความร้อนด้วยฤทธิ์แห่งความโกรธและความอาย

​บันลือเคยผิดมาครั้งหนึ่งเมื่อเขารักส่องสีถึงขนาดแห่งความลุ่มหลง นั่นเป็นเรื่องที่ล่วงไปนานเต็มทีแล้ว นานจนเขาแกล้งทำลืมเสียได้บ่อย ๆ–ความลืมเป็นยาดับอายของผู้ที่มีนิสัยหยิ่ง ในทุก ๆ สิ่งที่มีอยู่ในตัว เช่นบันลือ—แต่เรื่องใหม่ที่เกิดขึ้นและเป็นอยู่ในระยะ ๒–๓ เดือนหลังนี่เล่า ? เมื่อเขาตัดสินใจจะแต่งงานกับภรณี เขายึดหลักความจริงเกี่ยวแก่การครองชีพโดยสุขสบาย เหมาะสมแก่ความต้องการแห่งธรรมชาติของชีวิต และถูกต้องตามความนิยมแห่งสังคมเป็นเครื่องประกอบแนวทางวินิจฉัย ครั้นเมื่อการเป็นไปตามที่เขาตกลงใจแล้ว เหตุไฉนเขาจึงไม่ปฏิบัติต่อภรณีและต่อตัวเองตามทางที่ตรงที่ถูกที่ง่ายอันเป็นทางที่เขาเคยใช้ในภรณีทั้งปวง ? เหตุไฉนเขาไม่ถือเอาหล่อนเป็นประโยชน์แก่เขาเท่าที่ควรจะเป็นได้ แล้วใช้หล่อนไปด้วยรักหล่อนไปด้วย ขันหล่อนไปด้วย สมเพชหล่อนไปด้วย เหมือนดังที่ชายธรรมดาพึงปฏิบัติต่อหญิงธรรมดาทั่วไป ? เหตุผลกลใดเขาจึงละโมบมาก ทะยานใจหวังจะผูกขาดตัดทอนเอาตัวของหล่อนใจของหล่อน รวมทั้งชีวิตและดวงจิตของหล่อนในปัจจุบัน ในอนาคต รวมทั้งในอดีตเป็นของเขาอย่างเด็ดขาดแต่ผู้เดียวโดยสิ้นเชิง ? เหตุผลกลใดเขาจึงปล่อย​ให้ความเชื่อในเหตุนิดเดียวซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจนักว่า มันเป็นความเชื่ออันแท้จริงหรือเป็นแต่เพียงความสงสัย มากีดกั้นเขาไว้จากประโยชน์ที่เขาควรจะได้จากหล่อน ?

เสียงหวูดรถไฟดังขึ้น บันลือถอนใจอย่างค่อยรู้สึกสบาย เขาต้องออกจากบ้านมาตั้งแต่ก่อนค่ำเพราะต้องการจะตรวจดูทางว่าเสียหายไปอย่างไรบ้าง เนื่องจากที่ฝนได้ตกลงมาอย่างขนานใหญ่เกือบตลอดวัน เป็นการจำเป็นอย่างยิ่งที่เขาจะต้องระมัดระวังมิให้จิตราได้รับความกระทบกระเทือน และตรากตรำเนื่องจากการเดินทาง แต่ความเบื่อและความเหนื่อยใจเพราะเหตุที่ต้องมาคอยหล่อนนานนักก็ทำให้เขาอดมิได้ที่จะกระสับกระส่ายด้วยความรู้สึกรำคาญ

รถจักรและรถนั่งชั้น ๓ รวม ๓ คัน ผ่านหน้าเขาไป บันลือโดดขึ้นรถคันที่ ๔ เดินย้อนหลังไปเล็กน้อย เขาพบห้องโดยสารชั้นสองและชั้นหนึ่ง จิตราอยู่ในรถคันนี้ เขาจำหล่อนได้แต่ไกล ทั้งที่เห็นหล่อนแต่เพียงส่วนหลัง เขารู้ว่าหล่อนยืนใจเต้นคอยมองหาผู้ที่หล่อนรู้จัก เด็กหญิงแดงยืนเกาะมือคนใช้ผู้หญิงอยู่ตรงทางเดิน บันลือฉวยตัวเด็กขึ้นใส่บ่า แล้วเรียกชื่อมารดาของเด็กค่อนข้างดัง

“จิตรา ผมอยู่บนนี้แล้ว เที่ยวมองหาใคร?”

​หล่อนหดตัวกลับเข้ามาในหน้าต่างโดยเร็ว ก่อนที่จะออกวาจาอย่างใด บันลือพูดขึ้นอีก

“ผมจะกอดคุณจนหายใจไม่ออก ถ้าไม่กลัวยายแดงจะเก็บเอาไปฟ้องพ่อ ตาตุ๊ล่ะ ไปไหน ? โยเยใหญ่หรือเปล่า?”

เขาจูบเด็กหญิงที่แก้มทั้งสองข้างโดยแรง พร้อมกับพูดว่า “จูบลูกถูกแม่ ! น้องอยู่ไหนหนู ?”

จิตราหัวเราะออกมาได้ ความหงุดหงิดตื่นเต้นวิตกหายไปราวกับปลิดทิ้ง เพราะคำพูดและกิริยาของบันลือ

“ใครเขาจะหอบเอาเด็กสองขวบมาด้วย น่ากลัวออกจะตาย” หล่อนว่า

ไม่ใช่เวลาที่ควรโต้แย้งกับหล่อน บันลือจึงวางตัวเด็กหญิงไว้ริมที่นั่ง พลางถามหาสิ่งของที่จะต้องขนลงจากรถ

เขาจัดการกับของเหล่านั้นโดยเร็ว หลังจากนั้นเพียง ๓ นาที จิตราก็ยืนอยู่กับเขาและลูกของหล่อนบนชานสถานี

“หายกลัวหรือยัง ?” เขาถามหล่อน “แปลกจริง ผมเห็นผู้หญิงทุกคนกลัวเรื่องนั่งรถไฟเวลากลางคืน”

หล่อนทำตาคว่ำ “ฉันไม่ได้กลัวรถไฟหรอกย่ะ ฉันกลัวอ้ายอะไรที่มันทำให้ฉันต้องมาหรอก”

​“พูดดี ๆ หน่อย คุณขอรับ ไอ้อะไรที่มันทำให้คุณต้องมาน่ะ คือผมไม่ใช่หรือ?”

หล่อนหัวเราะกิ๊ก และเอื้อมมือมาลูบและบีบแขนเขา “ฉันหมายความถึงไอ้สิ่งที่มันทำให้เธอเรียกฉันมาอีกต่อหนึ่ง” หล่อนบอก

“มันเป็นอีขอรับ ไม่ใช่ไอ้” บันลือตอบพลางทำหน้าขรึม

“บอกมานะ อย่าโยกโย้ อัดใจจะระเบิดเสียหลายหนแล้ว ยุ่งก็ยังกับอะไรดี”

“ส่องสี เวลานี้เขามาพักอยู่กับผม”

จิตราอ้าปากค้าง “อะไรกัน ?” หล่อนพูดได้เพียงเท่านั้น

“แล้วรู้ไหมใครพาเขามา ? ผมบอกไปในโทรเลขแล้ว สัตว์ประหลาดทำเหตุ เขามากับม้าตัวทองของคุณ มาพร้อมกับภัสดาของคุณเมื่อวานนี้”

“อ๊ะ ยังไงกัน !”

“นั่นน่ะซิ อะไรกัน ยังไงกัน ทำไมกัน ? ผมถามตัวเองมาพักหนึ่งแล้วยังตอบไม่ถูก แต่ว่าเมื่อคุณมาเสียอีกคนหนึ่งแล้วเรื่องมันก็กลายเป็นไม่มีอะไร เพราะยังงั้นเราไปพูดกันในรถก็ได้ ขืนยืนอยู่อย่างนี้ ยายแดงแกจะเมื่อยแย่ อ้อ รีบบอกเสียอีก​อย่างหนึ่ง เจริญไม่ได้เป็นคนชวนส่องสีมา เขาชวนตัวเขาเอง แล้วเจ้าหมอนั่นก็ไม่มีปัญญาจะห้าม เพราะหมอเองก็ไม่รู้ว่าเขาเคยเกี่ยวข้องกับผมอย่างไร”

เขาโอบตัวเด็กขึ้นอุ้มอีกและชวน “ไปเถอะคุณทางข้างหน้ามืดหน่อยแต่ผมมีไฟฉาย หรือคุณจะถือเองจะได้ตามถนัด” เขาส่งไต้ไฟฟ้าให้หล่อน “เวลานั่งไปในรถยนต์ยิ่งมืดใหญ่ แต่รับรองได้ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย นอกจากจะหวาดไปเอง ผมเตรียมที่นอนมาให้ตาตุ๊ด้วย คุณทิ้งแกไว้กับใคร”

“ฝากไว้กับคุณยาย” เขาร้องเอ๊ะ หล่อนจึงอธิบายต่อ “คุณยายน้อยน้องของคุณแม่”

บันลือตระเตรียมสำหรับความสะดวกสบายของจิตราอย่างรอบคอบ เขาจัดให้หล่อนนั่งบนพื้นรถ มีที่นอนทั้งอันเป็นที่รองและมีเบาะทั้งหนาทั้งใหญ่เป็นที่พิง เมื่อจิตรานั่งลงเรียบร้อยพร้อมกับร้องว่า “เอ๊ะ มันสบายเกินไปแล้ว” บันลือก็จับตัวเด็กหญิงให้นอนลงตรงหน้าหล่อน “อานั่งตรงนี้ หนูนอนกลาง” เขาบอกแก่เด็ก “หลับเลย หนูไม่ต้องกลัวอะไร” คนของจิตราอีกสองคนนั่งต่อไปทางท้ายรถ นายกับคนประจำรถอีกคนหนึ่งนั่งที่ข้างหน้า

​เมื่อรถแล่นอยู่ในทางเรียบร้อยแล้ว จิตราเริ่มเล่าถึงความฉุกละหุกและความลำบากต่าง ๆ ก่อนที่หล่อนจะขึ้นรถไฟมาได้ บันลือคอยระวังออกวาจาแสดงความปรานี่เห็นอกเห็นใจทุกคราวที่หล่อนเว้นระยะคำพูด เวลาล่วงไปเกือบครึ่งชั่วโมง จิตราจึงหยุดเล่า บันลืออดมิได้เต็มทีก็ถามออกไปว่า

“บ่นพอแล้วหรือขอรับ ?”

หล่อนทำเสียงเขียวตอบมาในทันใด “ซักเขาเองแล้วก็หาว่าเขาบ่น แล้วในที่สุดฉันก็ยังไม่รู้จนเดี๋ยวนี้ว่าคุณทำให้ฉันตาเหลือกแล่นมาถึงนี้ทำไมกัน”

“ถ้าคุณไม่มีปัญญาจะรู้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมนึกได้อย่างเดียว หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง”

“แปลว่าทั้งนี้ทั้งนั้นเธอซัดเจริญคนเดียว ?”

“เปล่า เปล่า” ปฏิเสธอย่างแข็งขัน “ผมไม่ได้ซัดว่าเป็นความผิดของเจริญ” เขาเอกเขนกคร่อมขาทั้งสองของเด็กหญิงผู้ซึ่งหลับสนิทเพื่อให้ตัวเขาอยู่ใกล้จิตราพอจะพูดกันได้ยินแต่เพียงระหว่างหล่อนกับเขา “แม่โฉมยงหล่อนบอกว่าหล่อนจะมา เจริญไม่รู้จะคัดค้านอย่างไรเช่นเดียวกับผม เจ้าหล่อนบอกว่าจะมาอยู่ด้วยสักอาทิตย์หนึ่ง ผมก็ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธว่ายังไง”

​แล้วบันลือเล่าให้จิตราฟังถึงข้อความที่เขาได้สนทนากับเจริญในตอนก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะแยกกันไปนอนเมื่อคืนนี้ เจริญได้กล่าวถึงกิริยาที่ส่องสีได้ทอดท่าให้เขาทำความรู้จักกับหล่อน ด้วยสำนวนของชายที่รู้เชิงชั้นของหญิงเป็นอันดีแล้วก็ทำซื่อเดินไปตามเชิงของหล่อนโดยสุภาพ เพื่อจะดูให้เห็นเชิงที่ลึกล้ำไปกว่านั้น ทั้งนี้โดยไม่มีเจตนาอย่างอื่นนอกจากจะคิดถึงความสนุกชั่วคราวตามนิสัยของผู้ชาย “เผอิญพบเจ้าหล่อนชนิดส่องสี” บันลือเสริมพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ แล้วก็สารภาพโดยไม่ได้ตั้งใจ “แต่ผมเองก็นึกไม่ถึงว่าส่องสีจะจุ้นจ้านถึงแค่นี้”

“แปลกจริงเทียว เจริญไม่รู้จักกับส่องสี” จิตราปรารภ “ฉันเคยชี้ให้ดูไม่รู้ว่ากี่หน แล้วเวลารู้แล้วว่ายังไงมั่ง?”

“ผมเชื่อว่าจนเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่รู้ ผมไม่ได้บอกอยากเซ่อ ผมก็แกล้งปล่อยให้เซ่อต่อไป”

“แล้วภรล่ะรู้ไหม ? เขาว่ายังไงมั่ง?”

“คนนั้นผมเดาไม่ถูกว่าเขารู้หรือไม่รู้ ผมอยากจะถามคุณเหมือนกัน เขารู้เรื่องของผมที่เกี่ยวกับเรื่องเมียคนก่อน ๆ มากน้อยสักแค่ไหน”

“นั่นฉันก็ไม่รู้เขาเหมือนกัน เพราะเขาไม่เคยพูดกับฉันเลยสักคำเดียว ที่จริงฉันเห็นภรเป็นผู้หญิงที่แปลกคนหนึ่ง ​ผู้หญิงอื่น ๆ ที่ฉันเคยเห็นมาน่ะ เขาต้องอยากรู้อยากฟังเรื่องของผู้หญิงทุกคนที่เคยเกี่ยวกับตัวหรือกับคู่รักของเขามาก่อนตัวเขา บางคนเมียเขาตายแล้วยังหึงก็มี ส่วนแม่ภรไม่เห็นมีไอ้พรรค์นั้นเสียเลย เรื่องอื่นยังเคยถามเคยซัก เช่นเธอมีพี่น้องกี่คน ใครเป็นยังไง อยู่ที่ไหน และอะไรต่ออะไรอีก แต่เรื่องเมียคำเดียวไม่เคยออกจากปากเขา”

จิตราหยุด แล้วพูดต่อไปเมื่อเห็นบันลือนิ่งอยู่

“แต่แกจะรู้แล้วหรือยังไม่รู้ก็ตามเถอะ เราควรจะต้องบอกแกเสียมันเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจดีที่สุด”

“ความบริสุทธิ์ !” บันลือหัวเราะ แล้วพูดด้วยเสียงชนิดที่เรียกว่าทีเล่นทีจริง “พอคุณมาถึงเสียแล้ว อะไรที่มันดำ ๆ ด่าง ๆ อยู่มันก็กลายเป็นบริสุทธิ์ขึ้นมาได้เอง”

“แปลกนี่” จิตราตอบตามน้ำเสียงของเขา “ฉันเป็นพระเจ้าหรือจะเอาความบริสุทธิ์เที่ยวแจก” แล้วหล่อนนึกถึงความเหนื่อยที่ได้รับเมื่อตอนต้นแห่งวันนี้ ก็ปรารภด้วยความเคืองใจ “บ้าจริงเทียว คน ๆ หนึ่งเกิดอยากจะทำวิตถารแล้วก็มาเดือดร้อนถึงเรา อยากรู้นักแม่โฉมเอกเขานึกยังไง จะตามมาหึงเมียเธอยังงั้น ? บ้า ผัวของตัวก็มี ยังจะเที่ยวตามหวงผัวเก่า ฉันว่าเธอต้องพูดกับภรเสียให้เข้าใจนะ ไม่ยังงั้นจะ​เดือดร้อน คนอย่างยายภรแกจะเข้าใจวิธีของแม่ส่องสีได้ยังไง เดี๋ยวแกก็จะเกิดหึงขึ้นมามั่งเท่านั้น”

บันลือถอนตัวจากท่าเอกเขนก ความจริงอย่างหนึ่งที่แฝงอยู่ในใจปรากฏแก่ใจอย่างจะแจ้ง ถ้าเขาอาจจะบอกแก่ภรณีได้ด้วยอาการที่เขากอดหล่อนไว้ในวงแขน และกระซิบแก่หล่อนว่า “ภรจ๋า ส่องสีคือภรรยาของฉันที่เลิกกันไปหลายปีแล้ว ฉันไม่เข้าใจว่าเขามาที่นี่ทำไม แต่ฉันก็ไม่ต้องการจะเข้าใจอะไรของเขา เขามาอย่างแขกมาขอพัก เราก็รับเขาอย่างเราเป็นเจ้าของบ้าน” ถ้าเขาอาจทำดังนี้ การกระทำของส่องสีจะไม่เป็นความสะดุ้งสะเทือนหรือเป็นภาระแก่เขาเลย

“ตัวเขาเองน่ะ เขาเคยมีคู่รักมั่งหรือเปล่า ?” เขาถามขึ้นในเสียงหัวเราะเรื่อย ๆ พร้อมกับสะบัดแขน ๒–๓ ครั้งคล้ายกับว่าสนใจที่จะแก้เมื่อยให้ตัวเองมากกว่าอย่างอื่น

“อย่างที่เรียกว่าคู่รักจริง ๆ จัง ๆ น่ะเชื่อว่าไม่เคย ถ้าอย่างที่มาวอ ๆ แว ๆ กันประเดี๋ยวประด๋าวละก็ไม่ได้ ผู้หญิงทุกคนแหละพอรุ่นสาวขึ้นมาก็ต้องมีไอ้เรื่องพรรค์นี้”

“ถ้ายิ่งเป็นคนสวยอย่าง—”

“แม่ภร—”

“โอ๊ะ ไม่ใช่อย่างจิตรา—”

​“เธอพูดอะไรโดยไม่แขวะฉันมั่งได้ไหม บันลือ ? เมียของเธอสองคนสามคนสวยทั้งนั้นทำไมต้องมาเอาฉันเป็นตัวอย่าง ? คนที่หนึ่งเมื่อเธอจรดเข้าไปที่เขา เธอก็รู้ว่ามีคนเขาจ้องอยู่ก่อนเธอไม่รู้ว่ากี่สิบคน—”

“แต่พอเงาของผมผ่านเข้าไปเท่านั้น” บันลือต่อพร้อมกับหัวเราะด้วยเสียงค่อนข้างดัง “คนอื่น ๆ ก็เท่ากับไม่มีตัวอยู่ในโลก นี่เป็นความจริง คุณจะปฏิเสธไม่ได้เป็นอันขาด”

“โอ๊ย ใครจะไปปฏิเสธก็เพราะว่าเพียงแต่เงาของเธอเท่านั้น ก็ลบคนออกไปจากโลกได้หมด เธอถึงได้อยู่กับส่องสียืดยาวถึง ๓ เดือน—”

“แต่เราไม่ได้เลิกจากกันเพราะมีคนอื่นเข้ามาแทรกนะ—”

“ไม่มีก็เหมือนมี เพราะถ้าส่องสีไม่แน่ใจว่าเขาจะต้องการผู้ชายสักกี่ร้อยคนเขาก็หาได้ เขาก็คงไม่ทิ้งเธอง่าย ๆ เหมือนอย่างนั้น แล้วกี่วันต่อจากที่เขาโกรธกับเธอเขามีคนควงใหม่แล้ว เธอจำได้ไหมล่ะ ?”

น้ำเสียงจิตราแสดงความเคืองและหมั่นไส้อย่างรุนแรง เป็นเหตุให้บันลือหัวเราะด้วยความขันอย่างจริงใจ เขารู้ว่าจิตราไม่เคยลืมข้อที่เขาไม่เชื่อฟังคำตักเตือนของหล่อนในครั้งกระโน้น ​เช่นเดียวกับเขาไม่เคยลืมว่าเขาได้พ่ายแพ้แก่จิตราอย่างราบคาบ แต่เฉพาะคืนนี้ เขารู้สึกประหลาดใจตัวเองที่คำพูดของจิตราอันเกี่ยวกับความสัมพันธ์และความแตกแยกระหว่างเขากับส่องสี มิได้ทำความเคียดแค้นเจ็บอายให้แก่เขา เหมือนดังที่เคยเป็นในกาลก่อน

“ผมเสียใจเสียแล้วที่ผมโทรเลขเรียกคุณมาให้ลำบากลำบนเปล่า ๆ” เขาพูดอย่างสงบเสงี่ยม “ผมควรจะพาส่องสีหายเข้าป่าไปสักสามวัน แล้วก็เกณฑ์ให้ไปหย่ากับผัวภายในหนึ่งอาทิตย์มันถึงจะหายกันกับคราวที่แล้วมา”

หล่อนรู้ว่าเขาแกล้งพูดก็แกล้งตอบเพื่อให้พอกัน “ดีนักเชียว ฉันจะได้จัดการให้ยายภรฟ้องหย่าเอาสมบัติของเธอเสียสักหนึ่งในสาม”

“เพื่อว่าแม่ภรจะได้เอาสมบัติไปเลี้ยงคนรักเก่า ๆ ที่เงาของผมลบออกไปจากโลกยังงั้นหรือ ? ท่าไม่เลวนัก เขาว่าประวัติศาสตร์ต้องซ้ำรอยตัวเองเสมอ ผมเป็นคนอายุยังไม่ถึงสามรอบ ประวัติของผมจะซ้ำรอยอีกก็น่าสนุกดี”

จิตรารู้สึกสะดุดใจด้วยน้ำเสียงของเขาซึ่งเป็นเสียงหัวเราะ แต่ก็มีกังวานประหลาดพิกลอย่างไรอยู่ หล่อนสงสัยว่าเขาโกรธ​แต่ทายไม่ได้ว่าเรื่องอะไร ถึงกระนั้นหล่อนก็โกรธเขาขึ้นมาบ้างแล้ว และอยากจะแกล้งว่าเล่นให้พอใจหล่อน

“เธอน่ะเป็นโรคนึกว่าคนในโลกนี้ชั่วชาติเหมือนกันทุกคน สำหรับเธอ ตัวอย่างของผู้หญิงก็คือแม่ส่องสี ตัวอย่างของผู้ชายก็คือตัวเธอ ฉันจะบอกให้ว่าเธอเข้าใจผิด ถ้าภรแกมีคู่รักของแกอย่าว่าแต่เธอเป็นแค่เธอ ต่อให้วิเศษกว่าเธออีกร้อยเท่าก็ไปเอาแกมาแต่งงานด้วยไม่ได้ เธอนึกว่าผู้หญิงทุกคนเขาเห็นแก่เงิน เห็นแก่ความโก้เก๋อย่างเดียวหรือ ? ความบริสุทธิ์ ความซื่อ ความสัตย์ผู้หญิงไม่รู้จักว่าเป็นยังไง ?—”

“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน” บันลือขัดอย่างวิงวอน “นี่คุณปรักปรำผมเปล่า ๆ แท้ ๆ ตัวอย่างของผู้หญิงคือจิตรา ผมเคยพูดอย่างนี้มากี่หนแล้ว แม้แต่จะหาเมียผมก็บอกว่าอยากได้อย่างคุณ สำหรับผม ส่องสีเป็นตัวอย่างของผู้หญิง !? นี่คุณเอาที่ไหนมาว่า แต่คนที่เป็นตัวอย่างของคนน่ะมันหาได้ง่าย ๆ หรือขอรับ อีตรงนี้ต่างหากเล่าที่มันเป็นปัญหา”

“เธอนึกว่าภรเป็นคนอย่างไร ?” จิตราถามเสียงขุ่น

เขาหัวเราะแล้วย้อนถาม “นี่เรากำลังพูดถึงใครกันแน่ ผมนึกว่าเรากำลังพูดกันถึงเรื่องผู้หญิงตัวอย่าง ไม่ได้พูดถึงคนธรรมดา”

​“พูดถึงใครก็ไม่รู้ละ รู้ไม่ได้เพราะว่าเธอน่ะหลายเหลี่ยมนัก เดี๋ยวก็มาท่านั้นเดี๋ยวก็มาท่านี้ เธอถามว่าภรมีคู่รักใหม่ใช่ไหมล่ะ ? แล้วพอฉันล้อเข้าหน่อยว่าจะให้ยายภรฟ้องหย่าเธอก็มาประชดประชันว่าแกจะได้เอาเงินไปเลี้ยงคู่รัก แล้วยังงี้หมายความว่ากระไร ? พูดถึงใครตอบมาถี?”

“ก็นั่นมันตอนหนึ่งนี่ขอรับ คุณมายั่วผม ผมก็ยั่วคุณไป ส่วนที่ผมถามว่าภรเคยมีคู่รักมั่งไหม ผมหมายถึงว่าถ้าเขาเคยผ่านเรื่องพรรค์นี้มาแล้วเขาอาจจะไม่ถือสาเรื่องส่องสีเลย เขาคงถือว่าใจกับตัวเป็นคนละส่วน ใจคิดตัวไม่ทำก็ไม่มีอะไรเสียหาย หรือตัวทำท่าน่าเสียวไส้ต่าง ๆ ใจไม่ได้คิดยังงั้นเลยก็ไม่มีบาป แต่ถ้าเขาไม่เคยผ่านเรื่องพรรค์นี้มาก่อน มันก็ยากที่จะไม่ให้เขา—ยุ่ง”

“ก็ทำไมเธอไม่ถามให้มันหมดจดออกมาอย่างงี้ล่ะ ?” เสียงจิตราอ่อนลง “พูดโยกไปโยกมาให้ฉันโมโห”

“ขอให้ผมแก้ว่านั่นเป็นเพราะคุณคอยจะโมโหผมอยู่แล้วใช่ไหม ? ตั้งแต่ได้รับโทรเลขแล้วก็โมโหเรื่อยมา”

หล่อนหัวเราะและรับ “จริง ตั้งแต่ได้รับโทรเลขแล้วก็โมโหเรื่อย มันก็น่าโมโหนี่มายุ่งจนตีนปัดทำอะไรก็ไม่ถูก ไอ้เวลาก็มีอยู่ ๒–๓ ชั่วโมงเท่านั้นเอง”

​หล่อนตั้งต้นเล่าถึงเรื่องความยุ่งยากลำบากอีกพักหนึ่ง บันลือก็ทำหน้าที่แสดงความเห็นอกเห็นใจเช่นเดียวกับคราวก่อน เขารู้สึกว่าอารมณ์ของเขาเย็นรื่น และอาจจะฟังจิตราพูดเรื่องๆ เดียวกับที่หล่อนพูดอยู่นั้นได้เป็นเวลาหลาย ๆ ชั่วโมงโดยไม่รู้สึกรำคาญเลย บางคราวความคิดของเขาเลื่อนลอยไปบ้าง จนไม่ได้ยินว่าหล่อนพูดถึงอะไร แต่เขาคอยระวังสนองคำของหล่อนได้เหมาะแก่เวลาเสมอ และความมืดเป็นฝ่ายเขาในข้อที่จิตราไม่อาจเห็นสีหน้าและแววตาของเขาได้

ภายหลังจิตราย้อนกลับมาพูดเรื่องส่องสีเรื่องเจริญและเรื่องที่อยู่ของบันลือ ตั้งคำถามต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับบุคคลและสถานที่นี่ มันถือให้คำตอบแก่หล่อนอย่างตรงไปตรงมาบ้าง ยั่วให้หล่อนขัดใจโดยการใช้โวหารอันยอกย้อนตอบแก่หล่อนบ้าง เป็นเหตุให้คู่สนทนาทั้งสองฝ่ายได้รับอารมณ์ร่าเริงในทางสนุก สลับกับอารมณ์คิดอันเป็นงานเป็นการ จนรถแล่นมาถึงที่หมายก่อนที่จิตราจะได้มีเวลานึกถึงความมืดความเปลี่ยวและความยาวแห่งระยะทาง

รถหยุดสนิทในที่ใกล้ต้นยางคู่ จิตราจึงเหลียวไปเห็นแสงไฟอันแจ่มจ้าที่บนเรือน หล่อนร้องด้วยความพิศวง “อ้าว ถึงแล้ว​หรือนี่ ? ไหนว่าเดินทางกันเป็นชั่วโมง ๆ ก็ไม่รู้จักถึง เตรียมเบื่อมาเสียออกแย่”

เจ้าของบ้านหัวเราะแล้วว่า “เตรียมมาล้วนแต่ดี ๆ ทั้งนั้น เตรียมโมโห เตรียมเบื่อ ถ้าผู้รับรองเส้นประสาทอ่อนหน่อยก็เสร็จกัน ทำอะไรไม่ถูกเลย”

พูดแล้วบันลือก็ลุกจากที่เดิม ขึ้นนั่งบนขอบริมรถเพื่อรอให้ผู้อยู่ที่ทางข้างท้ายลงจากรถเสียก่อน จิตราสวมรองเท้าซึ่งหล่อนได้ถอดออกเสียเพื่อความสะดวกแก่การพับขาขึ้นบนที่นอน บันลือพูดขึ้นอีกว่า “แน่ะ ภัสดาเดินอกตั้งมารับแล้ว”

หล่อนหันไปดู แล้วก็หันกลับมาทำธุระกับรองเท้าพลางว่า

“ฉันลืมถามไป พวกนี้เขาว่ายังไงกันมั่งเวลาเขารู้ว่าฉันจะมา”

“ผมเพิ่งบอกเจริญเมื่อผมจะขึ้นรถไปรับคุณนี่เอง บอกแล้วผมก็ออกรถไป ไม่ยอมให้คำอธิบายอะไรเลย เชื่อว่าคงด่าคลุ้งเทียว”

จิตราหัวเราะแล้วหันไปเรียกสามี “เจริญ! ทางนี้ ฮัลโหล!” เสียงของหล่อนมีกังวานแห่งความรักและความชื่นชม “ลูกก็อยู่ตรงนี้ หลับมาเรื่อยตลอดทาง”

​“เอามาทั้งสองคนรึ ?” เจริญถาม และเข้ามายืนเกาะรถอยู่ข้างภรรยา

“คนเดียว ยายแดง แล้วทำไงถึงจะอุ้มแกลงได้ละ แม้นไหวไหมแก?”

เจริญอ้อมไปทางท้ายรถแล้วขึ้นมาข้างบน เขาช้อนตัวลูกน้อยขึ้นได้อย่างง่ายดาย แล้วส่งให้แก่คนเลี้ยงผู้ยืนคอยอยู่ข้างล่าง บันลือสั่งต่อไปทันที

“ตรงไปที่เรือนนั่นแหละ—อ้าว!” เขาชะงักเมื่อเห็นภรณีเดินมาใกล้ “ไปหา...คนที่เดินมานั่นแน่ะ—ภร” เขาแข็งใจเรียกชื่อหล่อนออกไปได้ “ช่วยชี้ที่นอนให้หนูแดงหน่อย”

จิตราสอดแขนไขว้กับแขนของสามีกอดไว้ พลางถามว่า

“รู้ตัวแล้วหรือยัง เธอพาเอาอะไรมาให้บันลือเขา ทำให้เดือดร้อนถึงฉันต้องแล่นมาอีกคนหนึ่ง”

สามีของหล่อนหัวเราะ เขายังไม่เข้าใจการกระทำและความคิดของบันลือกับจิตราแจ่มแจ้งนัก แต่ความพอใจในการที่ภรรยามาถึง เป็นความรู้สึกเด่นอยู่เหนือความรู้สึกอื่น “ต้นร้ายปลายดีน่า” เขาตอบ แล้วพูดสืบไป “ใครจะไปรู้! ไม่เคยเห็นผู้หญิงวิตถารอย่างนี้”

“แล้วในที่สุดทำไมถึงรู้ล่ะ ?”

​“เขาบอกเอง นั่งเล่าให้ฟังอย่างสนุกสนาน เจ้าของบ้านมันโกง หายหัวไปทั้งวัน ถึงเวลากินทีหนึ่งถึงจะโผล่มา แม่คนนั้นแกไม่รู้จะทำอะไรแกก็เกาะเราแจ”

“แอ้ม !” จิตราทำเสียงเบา ๆ แล้วเอียงคอมองดูสามี

บันลือพูดแกมหัวเราะ “เห็นไหมว่ามันจำเป็นที่ผมจะต้องเชิญเอาคุณมา พวกเราผู้ชายไม่มีปัญญาที่จะป้องกันตัวเอง”

“อื้ม์ !” จิตราทำเสียงอีก แล้วก็หันกลับไปถามสามี “ภรล่ะ ภรเขาว่ายังไง ? เขารู้เรื่องไหม ?”

เจริญทำท่าคิด แล้วจึงตอบแกมหัวเราะ

“เดาไม่ถูก แม่นั่นก็หายตัวเก่งเหมือนกัน แกมีธุระวันยังค่ำ”

เขาทั้งสามเดินมาใกล้จะถึงเรือน ส่องสีผู้ซึ่งยืนอยู่บนระเบียงส่งเสียงแหลมต้อนรับไปว่า

“แหม พี่จิตร ! พี่จิตร ไม่นึกเลยว่าจะมาพบกันในที่อย่างนี้ มันแปลกแสนจะแปลก ฉันเพิ่งรู้เมื่อค่ำนี่เองว่าพี่จิตร​กับคุณเจริญ—บันลือทำอะไรเป็นความลับหมดเขาบอกแต่เมียเขาคนเดียวเท่านั้น คุณเจริญก็พึ่งรู้ว่าพี่จิตรจะมา”

จิตรานิ่งฟังคำพูดทั้งหมดนี้ด้วยอาการยิ้มน้อย ๆ หลายปีมาแล้ว ส่องสีกับหล่อนมิได้แลกเปลี่ยนคำพูดกันเกิน ๒–๓ คำ และเหตุที่ทำให้เจ้าหล่อนทั้งสองเกิดหมางใจกันขึ้น คือเหตุอันใดต่างฝ่ายต่างก็ไม่รู้แน่ ส่องสีจำได้ว่านับแต่เวลาที่หล่อนกับบันลือหย่าขาดจากกันแล้ว จิตราได้ทำเป็นไม่รู้จักหล่อน ส่วนจิตราก็จำได้ว่า นับแต่หย่าขาดจากบันลือ ส่องสีได้ทำท่าเป็นคนที่ไม่รู้จักกับจิตราไปด้วย

เมื่อส่องสีหยุดพูดแล้ว จิตรากล่าวด้วยกิริยาอันดี

“เดี๋ยว ขอโทษ ประเดี๋ยวคุยกันใหม่ ขอไปดูที่พักเสียก่อน อ้าว ! แม่บ้านยังไม่ได้พบกันเลย” หล่อนจับมือภรณีด้วยมือข้างซ้ายของหล่อน มือขวาโอบรอบบ่าภรณี “มาดูถี ให้พี่อยู่ยังไง”

เดินเคียงกันเข้ามาในห้อง จิตราตัดพ้อภรณีในข้อที่มิได้ส่งข่าวถึงหล่อน แล้วก็พูดถึงเรื่องอื่นต่อไปโดยไม่รอฟังคำตอบ เห็นมุ้งที่กางอยู่ริมฝาก็ทักมุ้ง เห็นตู้ก็ทักตู้ เห็นเตียงก็ทักเตียง เมื่อเดินไปที่หน้าต่างก็ทักภูมิประเทศและตัวเรือน ภรณีเดินตามและให้คำตอบไปตามเรื่อง ที่สุดจิตราหยุดยืนตรงหน้าเปียโนที่ตั้งอยู่ใกล้หน้าต่าง ๆ หนึ่งและกล่าวว่า

​“อ้าว นี่เปียโนนี่ ไหนบันลือเขาว่าเธอเล่นออแกน ?”

“เปียโนมันพึ่งมาก่อนหน้าคุณพี่ห้าวันเท่านั้นเองค่ะ”

“อ๋อ ก็แปลว่าบันลือพึ่งซื้อมาสำหรับเธอเมื่อไปกรุงเทพ ฯ คราวที่แล้วมานั่นเอง แล้วเป็นยังไงยังเล่นได้ดีไหมเธอน่ะ ?”

“ไม่เป็นเรื่อง” ภรณีตอบพร้อมกับยิ้มและส่ายหน้า “มือแข็งเสียหมดแล้ว ดูโน้ตก็ไม่ค่อยทัน”

“หัดเสีย หัดเสีย” จิตรากล่าวอย่างขึงขัง “พี่จะบอกให้ บันลือชอบดนตรีเหลือเกิน แล้วชอบอย่างคนเป็นเสียด้วย ถามเขาซีนักแต่งคนไหนเกิดเมื่อไหร่ ตายเมื่อไหร่ แต่งเพลงอะไรไว้มั่ง ตอบได้เป็นฉากเชียว”

“ก็—ภรรยา—ก็เก่งมากนี่คะ เมื่อเช้านี้เข้ามานั่งเล่นอยู่เป็นนาน แต่โน้ตเพลงที่นี่ไม่มีพอ เขาต้องเล่นเพลงของเขาที่เขาจำได้ขึ้นใจ”

สีหน้าจิตราขรึมไปเล็กน้อย หล่อนถาม

“ทำไมเธอถึงรู้ว่าส่องสี—?”

“มีคนเขาบอก—”

​“ใครบอก ? เจริญหรือ ?”

“ไม่ใช่ค่ะ แม่นมของ—คุณบันลือเอง แกจะตายเสียให้ได้ วันนี้ไม่ยอมขึ้นมาบนเรือนตลอดวัน แกว่าทนดูไม่ได้”

จิตรานิ่งไปอึดใจหนึ่งจึงพูดขึ้น

“อย่าไปฟังเสียงคนอย่างนมนั่น ภร แกอยู่ข้างหลังเรามา ๑๐๐ ปี บันลือเขาเป็นเยนเติลแมน เขาโทรเลขเรียกพี่มา เพราะส่องสีนี่แหละ เจ้าหล่อนแร่มาหาเขาเองเขาไม่ได้รู้ได้ชี้ด้วยเลย ผู้หญิงมาถึงบ้านเขา เขาก็ต้องรับรอง เธอต้องวางตัวของเธอให้เหมาะกับเรื่อง อย่าเอาแต่ความระแวงมาถือเป็นอารมณ์”

ภรณีมองไปในที่ซึ่งมิใช่วงหน้าหรือดวงตาของจิตรา มีความรู้สึกว่าก้อนอะไรก้อนหนึ่งแล่นขึ้นแล่นลงอยู่ตามลำคอ พยายามกลืนให้หายได้ด้วยความยากยิ่ง ในที่สุดหล่อนเดินไปที่เก้าอี้นวม แล้วหันกลับมากล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่ง

“คุณพี่จะนั่งที่นี่ไหมคะ ? หรือจะอาบน้ำ หรือจะรับประทานอาหาร ?” หล่อนหัวเราะ “คุณพี่จะทำอะไรก่อน ?”

“เรื่องกินน่ะ พี่กินมาแล้วเมื่อค่ำ แต่ให้กินอีกก็กิน พี่กินไม่รู้ว่าวันละกี่สิบหน ให้พี่อาบน้ำก่อนเถอะรู้สึกเย็น ๆ แต่เหนียวตัวพิลึก กระเป๋าของพี่อยู่ไหนล่ะ ? อ้อขอน้ำร้อนให้พี่​อาบหน่อยได้ไหม ? ลำบากไหมเธอ ? ถ้าลำบากก็ไม่ต้อง พี่จะลูบตัวเอา”

“ไม่ลำบากหรอกค่ะ แต่ต้องรอนิดหน่อยตกลงจะอาบน้ำก่อนอื่นหรือคะ ? เดี๋ยวดิฉันไปสั่งเอาน้ำร้อนเดี๋ยวนี้”

ภรณีออกจากห้อง สวนกับบันลือที่ประตู เขาผู้นี้เมื่อเห็นจิตรานั่งอยู่บนเก้าอี้นวม ก็เข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าและถาม

“หายเหนื่อยหรือยังขอรับ คนสวยของบันลือทำไมมานั่งอยู่คนเดียว ?”

“ก็เจ้าของห้องเขาเพิ่งออกไปไม่เห็นหรอกหรือ เขาออกไปหาน้ำร้อนให้ฉันอาบ ไปเรียกเอาคนโรคมาน่ะมันยุ่งยังงี้เห็นไหม–?” หล่อนลุกขึ้นยืนและมองไปรอบตัว “ห้องนี้ท่าสบาย หน้าต่างประตูมีมากเหลือเกิน เอ๊ะเมื่อตะกี้ภรบอกว่าประตูไหนไม่รู้เปิดทะลุถึงห้องน้ำ”

เขาจับมือหล่อนสอดเข้าไปในแขนของเขา “มา ผมจะบอกให้” เขาพาหล่อนเดินพลางชี้ “นี่ประตูห้องน้ำ นั่นประตูห้องหนังสือ ภัสดาของคุณนอนในนี้” เขาพยายามจะเปิดประตูแต่ไม่สำเร็จ “ติดกลอนทางโน้นเสียแล้ว ประเดี๋ยวต้องจัดการเปิด” เขาหัวเราะและมองดูหน้าหล่อน แล้วจับลูกบิดประตูหันไปมาเพื่อให้แน่ใจว่าประตูติดกลอนหรือติดกุญแจ

​“โน่นประตูห้องนอนผม” เขาพูดต่อไปโดยไม่วางมือจากลูกบิด “จำให้แม่น ๆ นะคุณ ประตูไหนห้องไหน เดี๋ยวผลัวะผละเข้าไปผิดห้องดึกๆ ดื่นๆ ผมไม่รับผิดชอบนะ”

จิตราจับเนื้อที่ปลายแขนเขาได้อย่างว่องไวและบิดโดยแรง เขาร้องโอ๊ย ! ด้วยความเจ็บและตกใจ ปล่อยมือจากลูกบิดในทันที ครั้นเมื่อเขาจะถอยหลังและหันหน้ามาทางหล่อน ส้นรองเท้าของเขาก็เหยียบเอาปลายรองเท้าของหล่อนเข้า เขายั้งตัวโดยแรงแล้วหมุนกลับ วางเท้าเฉียดเท้าจิตราไปนิดเดียว ส่วนแขนเขาก็โอบตัวจิตราไว้โดยแรงเพื่อยึดเป็นหลัก ครั้นเมื่อตั้งตัวได้ เขาหาปล่อยหล่อนไม่ กลับกอดไว้ด้วยแขนทั้งสองข้างและพูดเบา ๆ

“ทำเป็นชาววัง เดี๋ยวจะจูบแก้ลำเสียหรอก”

หล่อนผลักอกเขาพลางหัวเราะ แต่พูดอย่างเคือง

“เอ ! มาล่วงเกินคนแก่ เดี๋ยวยายภรแกจะ—แกเป็นเด็กโบราณร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม เธอรู้ไหม ?”

“ขอบคุณสวรรค์” บันลือกล่าวแกมหัวเราะ “ผมเอื้อมคนสมัยใหม่เต็มทน” เขาคลายวงแขนจากร่างหล่อนแล้วจับมือหล่อนขึ้นจูบ

เมื่อเงยหน้าขึ้นแล้ว เขาเห็นภรณียืนอยู่ตรงกลางห้อง เขาจึงว่า

​“เจ้าของห้องมาแล้ว ผมหมดหน้าที่ ต่อไปนี้จะคอยแต่ว่าเมื่อไหร่พระแม่เจ้าจะเสวย จะได้โดยเสด็จด้วย”

“อ้าว !” จิตราร้อง “มีใครคอยจะกินพร้อมกับฉันด้วยหรือ ? กินเสียก่อนเถอะนะ อย่าคอยฉันเลย เดี๋ยวหิวแย่”

บันลือสั่นศีรษะ “ไม่ถึงกับแย่” เขาตอบ “เชิญแต่งเนื้อแต่งตัวตามสบาย ขอแต่อย่ามัวคุยกันเสียสองคนจนลืมพวกเราหมดก็แล้วกัน” แล้วเขาก็ออกไปจากห้อง

 

52

๒๔



ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย—คนประมาณง่ายเป็นอย่างไร ? บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นคนหยิ่ง ยกตัวเอง หลุกหลิก ปากกล้า พูดพล่าม ลืมสติ ไม่มีสัมปชัญญะ ใจไม่มั่นคง ว่อกแว่ก มีอินทรีย์อันเปิดเผย นี่เรียกว่าคนประมาณง่าย


 


อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา บันลือยืนอยู่ข้างรถมองดูนายถีกับนายคิด รับและส่งกระเป๋า ชะลอมและปืนยาวของผู้เดินทางให้แก่กัน

คืนนี้เป็นคืนข้างแรมอ่อน ๆ ในเวลาใกล้จะดึก แสงจันทร์ก็เริ่มให้ความสว่างราง ๆ แก่พื้นพิภพ รถยนต์จอดอยู่ในที่ ๆ เคยจอด คือที่ห่างจากต้นยางคู่เล็กน้อย ทั้งนี้เนื่องจากบันลือไม่ชอบให้รถแล่นไปมาในที่ ๆ มิใช่ทางรถเดินทาง และเขายังมิได้ทำทางรถให้ถึงหน้าเรือนที่อยู่ของเขา ก็เพราะเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาสมควรที่จะเสียทรัพย์ส่วนหนึ่งในการทำถนน โรยกรวด หรือโรยอิฐ ส่วนถนนดินธรรมชาตินั้น ถ้าถูกรถบดซ้ำไปมา​ก็จะมีรอยหลุมรอยบ่อเป็นที่น่าเกลียด นอกจากนั้นฝุ่นในถนนเดินจะปลิวคลุ้ง เป็นเครื่องรบกวนผู้ที่อยู่บนเรือน

เมื่อนายคิดกับนายรวมทั้งนายนพ หิ้วสิ่งของต่าง ๆ ห่างไปแล้ว เจริญช่วยส่งให้ส่องสีลงจากรถ และบันลือก็ช่วยรับด้วยกิริยาอันสุภาพ ส่องสีส่งเสียง กี๊ก ก๊าก แสดงความตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่รถหยุด จนกระทั่งลงจากรถแล้ว บันลือไม่ได้ฟังว่าหล่อนพูดว่าอะไรบ้าง ใจของเขาพะวงอยู่กับหญิงที่ยืนอยู่บนระเบียงเรือน ทันใดนั้นเขาหันไปพูดกับเพื่อนชาย

“ตรงไปหาแม่บ้านซี ยืนคอยรับอยู่นั่นแน่ะ”

เจริญเดินห่างไปสองก้าว ส่องสีก็ถามขึ้นว่า “แล้วฉันล่ะจ๊ะ เธอจะพาฉันไปไหน!”

อีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ตอบ รออยู่จนเจริญไปไกลพอสมควรแล้วจึงว่า

“ผมยังไม่ทราบจะให้คำอธิบายกับแม่บ้านของผมว่ายังไง ในการที่ผมพาแขกมาให้เขาคนหนึ่ง โดยที่เขาไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว แล้วในเวลากลางคืนอย่างนี้ด้วย”

“อุ๊ยตาย!” ส่องสีร้อง “ช่างกลัวกันถึงแค่นี้เทียวรึ ? ตายแล้ว บันลือ เธอแปลกไปจนฉันไม่รู้จัก อย่าวิตกเลยเธอ ​ฉันจะอธิบายแทน ฉันทำอะไร ฉันไม่เคยต้องให้คำอธิบายแก่ใครเลย แต่คราวนี้ ฉันจะอุตส่าห์สักหน่อย เพราะสงสารเธอ เดี๋ยวจะถูกเมียเฆี่ยน”

“คุณเคยกับความประพฤติอย่างสัตว์ป่ามากเกินไปแล้วส่องสี” บันลือตอบ “ผมยังไม่เคยพบกับความป่าเถื่อนอย่างนั้น ผมกับแม่บ้านของผมอยู่กันอย่างมนุษย์ที่เจริญแล้ว ผมอยากจะถามคุณแต่เพียงว่า เมื่อผมแนะนำคุณกับ—ภรรยาของผมน่ะ จะให้ผมบอกเขาด้วยไหมว่า ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นผัวคุณ?”

บันลือไม่มีโชคดีพอที่จะเห็นว่า คำพูดของเขาตั้งแต่ต้นจนปลายประโยคได้ทำให้สีหน้าของส่องสีแดงขึ้น แล้วก็เขียวลง แล้วก็แดงขึ้นอีก หลายครั้งส่องสีเป็นผู้ไม่เคยคำนึงว่าผู้ใดมีความคิดเห็นในเรื่องตัวหล่อนไปในแง่ใด เพราะเหตุอย่างไร แต่หล่อนมิใช่เป็นผู้ไม่รู้จักโกรธ เมื่อถูกประมาทต่อหน้า หรือเมื่อมีผู้เล่าคำครหานินทาที่มุ่งหมายมาถึงตัวหล่อนให้หล่อนฟัง อย่างไรก็ตามหล่อนสำนึกกันว่าการแสดงความโกรธออกไปบัดนี้ จะเป็นการสารภาพให้บันลือรู้ว่า เขาตีจุดอ่อนแอของหล่อนถูกอย่างถนัดที่สุด จึงตอบในเสียงหัวเราะอย่างท้าทาย

“บอกก็ได้ ถ้าไม่กลัวเขาหึง”

​“กลัวน่ะไม่กลัว แต่ถ้าเขาไม่หึงเขาก็ไม่ใช่เมียผม ก็อย่างเดียวกับผัวใหม่ของคุณ ถ้าเขารู้ว่าคุณมาอยู่กับผมที่นี่เขาไม่หึง เขาก็ไม่ใช่ผัวคุณ เว้นเสียแต่ว่า เขารู้แล้วว่าเมียของเขาน่ะเหลือขอ ก็อาจจะแกล้งทำเป็นวัวเป็นควายก็ได้กระมัง”

เขาหยุดเมื่อรู้สึกว่าได้พูดพอแก่ความต้องการและสมกับความกระหายแล้ว โดยความรู้สึกนี้เองความสลดใจเกิดขึ้นแก่เขา เหตุใดหญิงนี้จึงพาตัวของหล่อนมาที่นี่ และก่อกวนความคิดของเขาให้เป็นไปในทางหยาบและทางร้ายจนเขาเกือบจะลืมความเป็นสุภาพบุรุษในตัวเขาเสียสิ้น เขารู้สึกสังเวชหล่อน และสังเวชตัวเองด้วย

“ถึงยังไง” เขาพูดขึ้นอีก “ผมถือว่าคุณเป็นแขกของผม และแม่บ้านของผมก็จะถืออย่างนี้เหมือนกัน จนใจว่าคุณมาเขาไม่รู้ตัว อาจจะหาความสะดวกสบายให้ไม่พอ”

“ก็ฉันบอกคุณนั่นมาแล้วนี่นา” ส่องสีตอบ เสียงยังมีกังวานสั่นเล็กน้อยด้วยฤทธิ์โทสะที่หล่อนพยายามระงับไว้ “อะไรก็ได้ ขออย่างเดียวอย่าปล่อยให้เสือกินฉันเท่านั้น จะอนุญาตให้ฉันเหยียบหัวกระไดเรือนเธอได้หรือยังล่ะ ?”

“เชิญ” บันลือตอบ ทำท่ารอจะให้หล่อนออกเดิน

​ในระหว่างทางยาวไม่เกินหนึ่งเส้น ความคิดของบันลือแล่นไปอีกไกล แต่มิใช่ความคิดที่แล่นโดยรู้ที่หยุดที่พักที่หมาย ตรงกันข้าม เป็นความคิดที่วกวน ยอกย้อน มีลักษณะเป็นปัญหาที่ทำจิตใจของบันลือหงุดหงิดยิ่งขึ้น แต่เมื่อเขามาใกล้จะถึงบันไดเรือน พร้อมกับที่แสงไฟอันแจ่มจ้าส่องถึงตัวเขาและถึงหญิงที่เดินมากับเขาได้ถนัด ความคิดที่เป็นอุบายแยบยลดีข้อหนึ่งได้เกิดขึ้น และทำความพอใจให้เขาทันที

ภรณีนั่งหันหลังให้บันได ไม่ได้เหลียวซ้ายแลขวา จนบันลือพาส่องสีเข้าไปใกล้จะถึงตัวหล่อน และเจริญได้ลุกขึ้นยืนในท่าเกียจคร้านเล็กน้อย เช่นเดียวกับที่บันลือกำลังสงสัยว่า หล่อนจะแสดงกิริยาท่าทางอย่างใด เขายังไม่เคยเห็นท่าของหล่อนในเวลาที่ทำหน้าที่รับแขก ภรณีก็สงสัยว่าเขาจะแสดงท่าทางต่อหล่อนอย่างใด ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ภรณีจะพบกับผู้ที่อยู่ในวงสมาคมเดียวกับบันลือ ในฐานะที่ภรณีเป็นภรรยาของเขา

หล่อนขยับตัวช้า ๆ ในท่าเตรียมต้อนรับคอยที่อยู่ บันลือพูดว่า

“อาภร นี่คุณส่องสี—นี่ภรรยาผม”

​สายตาของหญิงทั้งสองประสานกันอยู่ขณะจิตหนึ่ง ในเชิงประมาณกำลังแห่งกันและกัน แล้วภรณีพูดพร้อมกับที่ลุกขึ้นพ้นเก้าอี้

“เชิญนั่งซีคะ”

หล่อนพูดสืบไปพร้อมกับนั่งบนเก้าอี้ตัวเก่าของหล่อนนั่นเอง เมื่อส่องสีได้นั่งลงบนเก้าอี้ที่บันลือเลื่อนให้แล้ว

“หนทางน่ากลัวหน่อยนะคะ เมื่อหัวค่ำรู้สึกว่ามืดเหลือเกิน เดือนเพิ่งขึ้นเมื่อครู่นี้เอง”

“มืดเป็นบ้าเลย แล้วประเดี๋ยว ๆ ก็ดูเหมือนจะลงดิ่ง รู้สึกว่าคอจะหักตายสักร้อยหน”

“แต่ที่จริง ไม่มีทางที่ลงมาก ๆ ยังงั้นเลย ไอ้เงาต่าง ๆ มันลวงตา” เจริญพูดแกมหัวเราะ “เข้าใจว่าเป็นนาทั้งนั้นไม่ใช่หรือ” เขาถามบันลือ

“เกือบตลอดทางที่มาเป็นนา เว้นแต่ตอน ๑๐ กิโลไปจากบ้านเรานั่นแหละ เราผ่านเข้ามาในป่าละเมาะมั่ง ป่าไผ่มั่ง เวลากลางวันที่ตรงนั้นงามน่าดูมาก”

“เก้งมีไหม ?”

“ไม่ค่อยชุม สู้ป่าลึกเข้าไปทางนี้ไม่ได้ แต่กระต่ายละก็ที่ไหน ๆ ก็มี”

​ภรณีลุกจากที่นั่ง ความรู้สึกต่อหน้าที่ ๆ หล่อนจะต้องรับผิดชอบ ทำให้หล่อนไม่เป็นสุข หล่อนพูดว่า

“ขอโทษนะคะ ดิฉันต้องไปดูอะไรทางโน้น คนใช้ที่นี่ยังไม่ค่อยจะคล่อง” หล่อนออกเดิน แต่แล้วก็หันมาทางส่องสี “คุณจะอาบน้ำเสียก่อนหรือรับประทานอาหารก่อน ? คุณพี่ ของอยู่ในห้อง—คุณผู้ชายแล้วค่ะ”

“ฉันน่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อะไรเมื่อไหร่ ยังไงก็ได้ ไม่ได้ตั้งใจมาเป็นแขก” เจริญตอบ

ส่องสีดูหน้าบันลือ และถามว่า

“ฉันจะต้องพูดซ้ำอีกไหมว่า อะไรไม่สำคัญทั้งนั้น ขออย่างเดียวอย่าให้เสือกิน ?”

“ที่นี่มีเสือปลาย่องเข้ามากินไก่บ่อย ๆ” ภรณีพูดพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ แล้วหล่อนก็เดินห่างไป

บันลือลุกขึ้นอีกคนหนึ่ง และกล่าวแก่แขกทั้งสอง

“ขอโทษนะ รับแขกกันเองก่อน”

เขาเดินมาทันภรณีโดยเร็ว และพูดทั้งที่หล่อนยังมิได้หันหน้ามาทางเขา

“จะให้ส่องสีนอนที่ไหน ?”

​“ในห้องใหญ่” หล่อนตอบเรียบ ๆ

“ห้องไหน ?” เสียงของเขาค่อนข้างห้วน

“ห้องที่ดิฉันนอน”

“ให้นอนในห้องเด็ก ๆ” เขาสั่งอย่างเด็ดขาดสีหน้าบึ้ง ทำให้ภรณีประหลาดใจ นี่เขามาโกรธหล่อนเรื่องอะไรกัน

“เด็ก ๆ แกหลับกันหมดแล้ว” หล่อนตอบ

“หลับก็อุ้ม ฝากเด็กนอนในห้องใหญ่ ให้ส่องสีอยู่ในห้องเด็ก จัดอะไรให้ดีขึ้นได้ก็จัด จัดไม่ได้ก็แล้วไป เราไม่ได้เชิญให้เขามา”

“ถ้าถึงพรุ่งนี้ ก็พอจะจัดได้ แต่คืนนี้ ถ้าดิฉันนอนเสียในมุ้งเด็ก ๆ กับแม่พวง ให้—นางสาวคนนั้น–”

“เขาไม่ใช่นางสาว เขาเป็นนาง” บันลือขัดขึ้น น้ำเสียงห้วนเกือบเท่ากระชาก แล้วจึงค่อยเรียบลง “เขาจะเดินทางไปเยี่ยมผัว แล้วเกิดวิตถารมาแวะเสียที่นี่ นึกว่าเจริญเล่าให้ฟังแล้วอีก”

“ยังไม่ทันได้พูดอะไรกันกี่คำ” ภรณีตอบ “มุ้ง ดิฉันกำลังจะพูดเรื่องคืนนี้ไม่มีมุ้ง—”

“ต้องมี มุ้งบ้ามุ้งบออะไรก็ต้องมี ไปถามที่นมเคยซื้อแจกคนงานไม่รู้ว่ากี่สิบหลัง บอกนมว่าให้หามุ้งมาหลังหนึ่งให้ได้”

​เขาเดินเฉียดหล่อนลงส้นปัง ๆ เข้าไปในประตูห้อง และกระชากกลอนประตูทางด้านที่เปิดออกทางห้องหนังสือโดยแรง โดยอาการดังนี้เขาทิ้งรอยรองเท้าไว้ในห้องนอนของภรณี เป็นปื้นสีดินยาว ๆ ไปตลอดทาง หล่อนมองตามเขาด้วยความ ๆ งงงวย นี่เป็นครั้งแรกที่หล่อนเห็นบันลือแสดงความฉุนเฉียวขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างไม่เข้าเรื่อง แต่หล่อนนึกขันมากกว่านึกเคือง ที่จริงหล่อนพอใจเห็นเขาในอาการเช่นนี้เสียดีกว่าที่จะต้องทนความสุภาพ แต่เคร่งเครียดห่างเหินเป็นคนอื่นต่อหล่อน เหมือนดังที่เคยต้องทนอยู่เป็นธรรมดาทุก ๆ วัน

ส่วนบันลือ เมื่อมาถึงโต๊ะเขียนหนังสือแล้ว ความพอใจปรากฏบนสีหน้า หยิบกระดาษและปากกาเขียนชื่อจิตราและตำบลที่อยู่ของหล่อนแล้วเขียนข้อความต่อไป

“ต้องมาทันที มิฉะนั้นจะเกิดยุ่ง” เขาขยับจะเขียนชื่อของเขาลงในท้ายความ แล้วนึกขึ้นได้ว่าจิตราอยู่ในภาวะที่ไม่ควรได้รับความตื่นเต้นในทางร้าย เนื้อความสั้น ๆ ดังที่เขาเขียนนี้ จะทำให้หล่อนเสียขวัญได้โดยง่าย จึงเพิ่ม “เจริญถึงเรียบร้อย ทุกคนสบาย แต่สัตว์ประหลาดทำเหตุ”

​เขาชั่งน้ำหนักแห่งข้อความเหล่านั้น จิตราจะตกใจบ้าง แต่หล่อนจะอุ่นใจพอในเรื่องความปลอดภัยของสามี และของคนอื่น ๆ แล้วความอยากรู้อย่างรุนแรงจะทำให้จิตราเร่งรีบจับรถไฟขบวนพรุ่งนี้มาแก้ความยุ่งให้บันลือได้ ตามที่เขาต้องการ

เขานึกสนุกจนต้องยิ้มกับตัวเอง วางกระดาษที่เขียนแล้วแอบไว้ก่อน และตั้งต้นเขียนจดหมายอีกฉบับหนึ่ง

เขาเขียนเร็วมาก เพราะรู้สึกเป็นห่วงแขกทั้งสองไม่น้อย แต่เขาจำเป็นต้องเขียนเดี๋ยวนั้น เพราะจะต้องมอบหมายกับนายนพให้เสร็จไปในคืนนี้ ก่อนที่นายนพจะนอนเสีย ผู้ที่จะรับจดหมายคือมุกดา เนื้อความในจดหมายเป็นเรื่องชวนให้มุกดามาเที่ยวพร้อมทั้งสามีและบุตร รวมทั้งน้องสาวและน้องเขยหรือใครอีกก็ตามที่มุกดาต้องการจะให้มาด้วย เขามิได้ให้เหตุผลที่ทำให้เขานึกอยากให้พี่น้องของเขามาเที่ยว บอกแต่เพียงว่าเขาคิดถึงและอยากให้มาเร็วที่สุด เท่าที่มุกดาและคนอื่นจะเตรียมตัวได้ทัน เพราะถ้าช้าไปกว่านี้เพียง ๒–๓ วันเท่านั้น ทางรถที่เขาใช้อยู่จะเป็นทางที่ใช้ไม่ได้ด้วยเหตุที่จะกลายเป็นทางเลนเมื่อฝนชุกขึ้น และผู้ที่ต้องการจะมาเยี่ยมบันลือ จะต้องรอไปจนถึงฤดูแล้ง ซึ่งหมายความว่ารอไปอีกถึง ๔–๕ เดือน

​เขาไม่สงสัยเลยว่า จดหมายของเขาจะไม่ทำให้ความปรารถนาของเขากลายเป็นความสำเร็จขึ้นโดยเร็ว ถึงแม้จะไม่เป็นความสำเร็จขึ้นโดยสมบูรณ์ ก็ต้องเป็นความสำเร็จส่วนหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรมา ความปรารถนาของบันลือมีน้ำหนักเกือบ ๆ จะเท่าอำนาจกฎหมายสำหรับพี่น้องของเขา นอกจากนี้การที่บันลือทำตัวเป็นผู้พอใจอยู่ในชนบท มากกว่าอยู่ในกรุงเทพฯ ได้เป็นเรื่องที่ทำให้วงศ์ญาติของเขาพิศวงนักหนา และที่อยู่ของเขา ความเป็นอยู่ของเขาในชนบท ก็เป็นเครื่องเร้าความอยากรู้อยากเห็นแห่งวงศ์ญาติเหล่านั้นยิ่งนัก

เมื่อบันลือถือร่างโทรเลข–และซองจดหมายที่มีตัวหนังสือแดงเขียนว่า ‘ด่วน’ กลับออกมาที่หน้าเรือน เขาเห็นเจริญและส่องสีรับประทานอาหารอยู่ด้วยกัน และภรณีนั่งอยู่ด้วย เขาถามเจ้าหล่อนผู้นี้ว่า “นมไปแล้วหรือยัง ?”

“ไปแล้ว แต่ประเดี๋ยวจะมา”

“ไปธุระเรื่องที่เราพูดกันน่ะรึ?”

“ค่ะ”

บันลือนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง เจริญพูดว่า

“กันกำลังบอกกับภรว่า อาหารที่นี่ดีเกินไปสำหรับบ้านป่า”

​“ที่ไหนมีปัญญา ที่นั่นก็มีสิ่งที่เราต้องการ”

บันลือตอบพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ

“แล้วก็ ที่ไหนมีความรัก ที่นั่นก็เป็นบ้าน” เจริญเสริม พร้อมกับมองมาทางภรณี

“อกจะเป็นลมตาย !” ส่องสีร้องขึ้น “ไอ้พรรค์นี้ฉันนึกว่ามันมีแต่ในหนังสือ”

“อ้าว ก็หนังสือเกิดจากอะไร ก็เกิดจากคนไม่ใช่รึ ?” เจริญถาม

“ถูกละ” บันลือกล่าว “แต่คนที่กร้านต่อชีวิตเสียแล้ว ก็เชื่อสิ่งที่ดี ๆ ในหนังสือไม่ได้ เห็นว่าเกินความจริงไป ส่วนคนที่ยังอ่อนต่อชีวิต ก็เชื่อสิ่งร้าย ๆ ที่พบในหนังสือไม่ลงเหมือนกัน กลับหาว่าที่เขียนหนังสืออย่างนั้นเป็นคนใจต่ำ เห็นแต่ส่วนที่ต่ำของมนุษย์”

หญิงทั้งสองนึกออกรับคำพูดของบันลือคนละครึ่งประโยค ภรณีออกรับแล้วก็เก็บความคิดไว้แต่ในใจ ส่วนส่องสีถามว่า

“ตัวคนที่พูดเองล่ะเป็นคนชนิดไหน ? ชนิดแรกหรือชนิดหลัง ?”

​“ไม่เป็นทั้งสองชนิด” บันลือตอบ “ผมยังไม่ใช่คนที่กร้านต่อชีวิตจนเหลือเกิน แต่ก็รู้จักโลกพอที่จะรู้ว่ามันอมเอาความเลวทรามร้ายกาจไว้มากต่อมาก”

“แล้วฉันล่ะ ฉันเป็นคนชนิดไหน ?”

“เอ๊ะ ! ข้อนั้นคุณควรจะรู้ดีกว่าผมนี่”

“ถ้าฟังตามเสียงที่คุณพูดเมื่อตะกี้ละก็ คุณเป็นคนชนิดแรก” เจริญกล่าวพร้อมกับหัวเราะ เขารู้สึกว่าส่องสีเป็นคนแปลกคนหนึ่งในจำนวนคนแปลก ๆ หลายคนที่เขาเคยพบ และนึกสนุกอยากดูความแปลกของหล่อนให้มากขึ้นอีก

เจ้าหล่อนตอบคำของเขาโดยทันที “ส่วนคุณก็เป็นคนชนิดหลัง” แล้วพูดต่อไปโดยเร็ว “อยากรู้จักภรรยาของคุณจริง แต่งงานแล้วไม่ใช่หรือคะ คุณน่ะ ? ถ้าจะแต่งใหม่ ๆ เสียด้วยซิ”

เจริญหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เขาบอกจำนวนปีและเดือนที่เขาแต่งงานแล้วแก่หล่อน และบอกจำนวนลูกที่เขามีอยู่แล้ว และกำลังจะมีอีกด้วย บันลือนึกขึ้นอยู่ในใจ โลกนี้จะว่าแคบก็แคบนักหนา แคบจนกระทั่งส่องสีกับเขาต้องมานั่งอยู่ห่างกันเพียงระยะไม่ถึงหนึ่งศอก แต่จะว่ากว้างก็กว้างเหลือเกิน ถึงกับส่องสีไม่รู้ว่าเจริญเป็นสามีของจิตรา

 







53

๒๓



​ภิกษุทั้งหลาย สตรี แม้เดินก็จับจิตบุรุษ แม้ยืน แม้นั่ง แม้นอน แม้หลับ แม้หัวเราะ แม้พูด แม้ขับร้อง แม้ร้องไห้ แม้แสดงอาการขึ้งโกรธ แม้ตายแล้วก็จับจิตบุรุษ

 


บันลือมีอาการจังจังด้วยความตกใจราวกับได้เห็นบุคคลที่ตายแล้วมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า! เขารู้ว่าหล่อนยังไม่ตาย ยังมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์เช่นเดียวกับตัวเอง เขาเห็นหล่อนบ่อย ๆ ในที่ทั่วไป และบางคราวเขาเห็นหล่อน ๆ ด้วยและพบหล่อนด้วย แต่เขาไม่เคยคาดเพราะคาดไม่ถึงว่าจะพบหล่อนในที่นี้

ในทันทีที่ตาแลเห็น หล่อนยืนอยู่ตรงทางขึ้นลงประจำรถ เขารู้สึกใจวาบ แต่สมองของเขาไม่ยอมรับรู้พร้อมกับใจ ครั้นเมื่อหล่อนก้าวลงมายืนคู่อยู่กับเจริญแล้ว อะไรอย่างหนึ่งในท่าของหล่อนแสดงว่าหล่อนไม่เพียงแต่จะมายืนให้เขาเห็นเท่านั้น ยังมีอย่างอื่นอีก ซึ่งปรากฏว่าตาและใจของบันลือเป็นฝ่ายถูก บันลือถึงกับตะลึง

​เจริญกับหญิงผู้นั้นเดินเข้ามาหาบันลือ สีหน้าเจริญมีลักษณะอันจะอธิบายได้ยาก มีทั้งความขัน ความงง ความแปลกใจ และความสนุก เขาเอ่ยขึ้นว่า

“นี่บันลือ คุณ—คุณ” หันไปทางเจ้าหล่อน “โปรดบอกชื่อของคุณเอง เพราะผม–”

เจ้าหล่อนหัวเราะเสียงดัง ก้าวหน้าออกมาก้าวหนึ่งแล้วว่า

“บันลือ ช่วยแนะนำให้เราสองคนรู้จักกันทีเถิด เวลาอยู่ด้วยกันแต่สองคน ไม่ต้องรู้ชื่อกันก็คุยกันได้ แต่พอมีคนที่สามเข้ามาชักจะเดือดร้อน”

“ถ้าเป็นเวลาอื่น” บันลือคิด “จะตอบให้สะใจ” แต่เวลานี้เป็นเวลาที่เข้าด้ายเข้าเข็ม เขาพูดเรียบ ๆ ว่า “รถจะออกเดี๋ยวนี้แล้ว”

หล่อนแบมือทั้งสองข้าง พร้อมกับขยับกายส่วนล่างทั้งท่อน ทำให้ผ้าถุงแบบสะเกิ๊ทของหล่อนกระพือน้อย ๆ และพูดว่า

“ของลงหมดแล้ว ลูกน้องเธอไวเหมือนลิง พึ่บเดียวขนเกลี้ยงเลย เสียแต่เขาวางกระเป๋าของฉันคว่ำ ฉันกลัวเครื่อง​แป้งของฉันจะแตกจัง—” หล่อนชะงักเพราะเจริญได้พูดขึ้นโดยเร็ว

“คืออย่างนี้ บันลือ คุณผู้หญิงคนนี้ เธอบอกว่าเธอกับแกเคยรักใคร่ชอบพอกันมาก เธอซื้อตั๋วรถไฟจะไปเยี่ยมสามีทางตะวันออก แต่พอรู้ว่ากันจะมาพักกับแก เธอก็เลยไม่เปลี่ยนรถที่ชุมทาง ซื้อตั๋วใหม่จะมาพักอยู่กับแกด้วย”

เป็นครั้งแรกในชีวิตของบันลือ ที่สมองของเขาสำแดงความทื่อ จนเขาไม่รู้จะออกวาจาหรือแสดงกิริยาอย่างใด รถจักรเคลื่อนที่ไปแล้ว และรถพ่วงก็เคลื่อนตามจนทวีความเร็วขึ้นทุกที เขาหัวเราะออกมาเพราะไม่รู้จะแสดงกิริยาอย่างใด นอกไปจากนี้ เจริญซึ่งไม่รู้ความนัย สำคัญว่าบันลือหัวเราะเพราะความขันเช่นเดียวกับที่ตนกำลังรู้สึกอยู่ ก็หัวเราะขึ้นด้วยและพูดสืบไป

“กันออกตัวแทนแกแล้วว่าที่พักของแกมันอาจจะยังไม่มีอะไรต่ออะไรอย่างบ้าน เธอก็บอกว่าไอ้นั่นไม่สำคัญ ขออย่างเดียวอย่าปล่อยให้เสือกินเธอเท่านั้น”

บันลือยกไหล่ มองเห็นว่าจะหนีจากความบังคับของเหตุการณ์หาได้ไม่ ก็ตัดสินใจว่าจะสู้อย่างใจเย็น

​“คนอย่างคุณส่องสี เสือไม่กิน” เขาพูดแกมหัวเราะ “ว่าแต่เธอจะกินเสือ—” เขามองไปข้าง ๆ เห็นนายคิดกับนายถียืนอยู่ในที่ใกล้จึงถาม “ของใส่รถเรียบร้อยแล้วรึ ?” หันกลับไปทางผู้เดินทางทั้งสอง “เชิญไปขึ้นรถ”

เมื่อออกมาพ้นสถานีทางหลัง ความมืดปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ บันลือฉายไฟส่องทางให้แขกของเขาอย่างระมัดระวังจนกระทั่งมาถึงที่รถจอด

“ถึงป่าแล้วหรือนี่ ?” ส่องสีถาม พร้อมกับที่ก้าวขึ้นบันไดรถ “มืดดีจริง สนุกพิลึก บันลือมานั่งใกล้กันนะ อยากจะเที่ยวป่า แต่ฉันกลัว”

“ป่านี้สัตว์ไม่ดุเท่าคน” บันลือตอบ พร้อมกับหลีกทางให้เจริญ เขาอยากจะชวนเพื่อนของเขาให้ไปนั่งที่หน้ารถด้วยกัน เพื่อจะซักถามปัญหาหลายข้อที่เขาอยากรู้ แต่ถ้าทำเช่นนั้นก็รู้สึกว่าขาดความเป็นสุภาพบุรุษมากไปสักหน่อย

เมื่อนายนพสตาร์ทเครื่องและใส่เกียร์หนึ่งแล้ว เสียงร้องของส่องสีทำให้เขาต้องถอนเท้าจากที่เร่งน้ำมันโดยเร็ว

“อ้าว บันลือล่ะ บันลือไปไหน ?”

“อยู่นี่แล้ว” เจริญบอก “อยู่ทางข้างหน้านี่”

​“แหม บอกแล้วบอกให้มานั่งใกล้ ๆ กัน มืดน่ากลัวจะตาย”

บันลือสั่งคนของเขาเบา ๆ “ไปสิ นพ รออะไร” แล้วหันมาทางเบื้องหลัง “ออกมานั่งกับผมข้างหน้าไหมล่ะ ?” เขาถาม

“ไม่เอา ฉันกลัวตกรถ บอกให้มานั่งเป็นเพื่อนกันไม่มา”

เขานิ่งเสียไม่ตอบว่ากระไร ในใจเต็มไปด้วยความโกรธอย่างเดือดดาล “เจริญนี่มันบ้า หรือมันโง่ หรือมันแกล้ง พาตัวเปล๊กมาใส่กันได้ หรือมันไม่รู้จริง ๆ ? โง่ระยำ!”

เขาไม่เข้าใจความมุ่งหมายของส่องสี เดินทางจะไปหาผัวทางเมืองหนึ่ง แล้วกลับเชือนมาเสียอีกทางหนึ่งเพื่อจะพบคนที่เคยเป็นผัว นิสัยเช่นไร สันดานใด สัญชาตญาณอย่างไหนชักนำให้ทำดังนี้ หรือความใคร่ในเพศคู่ที่ตนเคยส้องเสพชักจูงให้ทำ ?

เขาไม่ต้องการจะเชื่อความคิดข้อหลังของเขา เพราะเป็นสิ่งโสมมเหลือที่จะเชื่อได้ แต่เขาไม่เสียใจที่ได้คิดถึงหล่อนในแง่อันหยาบช้าถึงป่านนี้

​เขานึกขอบใจเสียงลม เสียงเครื่องยนต์และเสียงความกระเทือนของรถที่ดังแข่งกันเป็นเสียงโครมครามซู่ซ่าเป็นเหตุขัดของแก่การสนทนาอันเป็นเรื่องติดต่อกัน ดังนั้นเขาก็มีโอกาสที่จะใช้ความคิดของเขาได้โดยอิสระเมื่อครู่แห่งความเดือดดาลได้ผ่านพ้นไปแล้ว บันลือมองเห็นการกระทำของส่องสีว่าคล้ายการกระทำของลิง ซึ่งเป็นสัตว์มีสันดานซุกซนและว่องไวยิ่งกว่าสัตว์ใดในโลก ในการที่จะทำตามความอยากของตัว ไม่ต้องสงสัยส่องสีได้ฟังเจริญเล่าว่าเขาจะมาพักอยู่กับบันลือ ก็เกิดความอยากที่จะมาบ้าง เป็นความอยากของผู้ที่ไม่เคยใคร่ครวญถึงการกระทำของตัว และผลที่จะเกิดจากการกระทำ ทั้งเป็นความอยากของผู้ที่ไม่เคยรู้แม้แต่สักครั้งว่าอยากด้วยเหตุใด เคยแต่ทำตามที่อยากส่วนเดียว สีหน้าบันลือเคร่งเครียดเมื่อนึกถึงเพียงนี้ มนุษย์อะไร หาความรู้ผิดรู้ชอบไม่ได้เสียเลย “นี่มันคนหรือมันลิงตัวเมียกันแน่!”

แต่ว่าคนหรือลิงก็ตาม ส่องสีกำลังก่อความยุ่งยากให้แก่สมองของบันลือ การมาของหล่อนครั้งนี้จะเป็นมลทินแก่ตัวหล่อน แก่สามีของหล่อนและแก่บันลือเอง นั่นก็ยังไม่เป็นข้อสำคัญเท่าไรนัก ถ้าชื่อเสียงของส่องสีมัวหมองและสามีของหล่อนได้รับความดูถูก เพราะการกระทำอย่างไม่มีความคิดของ​ภรรยา ก็สมน้ำหน้าด้วยกันทั้งคู่ เฉพาะตัวบันลือเองเขาไม่เคยหวั่นไหวต่อคำนินทาในเรื่องใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าหากเขาแน่ใจว่าตัวเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ในเรื่องนั้น แต่เหตุการณ์ครั้งนี้มีบุคคลอีกคนหนึ่งเป็นผู้จะถูกกระทบกระเทือนอย่างหนักด้วย ทั้งที่หล่อนไม่เคยได้มีกรรมอันเกี่ยวเนื่องกับความเป็นอยู่ในโลกของส่องสีเลย ข้อนี้เองทำให้บันลือเดือดร้อน

เขาจะทำอย่างไร จึงจะกันบุคคลนั้นให้พ้นจากความกระทบกระเทือนได้—ความคิดข้อหนึ่งมาสู่สมอง อย่าให้หล่อนรู้ว่าส่องสีเป็นผู้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องแก่บันลืออย่างไร ถ้าส่องสีไม่เคยพูดถึงความหลัง บันลือเองก็ไม่พูด และเจริญเองก็ไม่พูดอีกคนหนึ่ง ความคิดของบันลือที่มีรูปจะเป็นความสำเร็จขึ้น แต่—การปิดบังความจริงโดยเจตนาเพราะความกลัวหรือเกรงผู้หนึ่งผู้ใดเป็นสิ่งที่บันลือไม่เคยถ่อมตัวพอที่จะทำ และ—ยิ่งกว่านี้บันลือตรองพบอุปสรรคข้อใหม่ ภรณีอาจจะเคยได้ยินชื่อส่องสีแล้วจากปากจิตรา บันลือคาดไม่ถูกเลยว่าจิตราได้เคยเล่าเรื่องของเขาไว้แก่ภรณีอย่างไรบ้าง และ—โอ! เขาหัวเราะอยู่ในใจเมื่อนึกถึงอุปสรรคข้อใหม่ไปกว่านั้น นมพวง ! นมพวงจะถึงกับเป็นลมเมื่อเห็นส่องสี ! อย่าว่าแต่จะฝันให้นมพวงระงับปากระงับคำไม่โวยวาย เพียงแต่นมพวงไม่ออกเดินด้วย​เท้าทั้งสองของแกเองจากบ้านที่แกอยู่เดี๋ยวนี้ไปถึงกรุงเทพฯ เพื่อจะเล่าความให้คุณยายคุณพี่คุณน้องของบันลือฟัง ก็นับว่าเป็นเคราะห์ดีของบันลือนักหนาอยู่แล้ว

เสียงส่องสีตะโกนโหวกเหวกอยู่กับเจริญ ทำให้เขาเดือดดาลขึ้นอีก และนึกถึงหญิงที่คอยเขาอยู่เบื้องหน้าหนักมากขึ้น—เขารู้ว่าหล่อนคอยเขา เพราะเมื่อเขากลับจากกรุงเทพฯ คราวนี้ เขาพบหล่อนคอยเขาอยู่ เขารู้สึกตัวว่าเขาเบิกบานผิดกว่าทุกๆ คราว เมื่อเห็นหญิงสาวที่สวยและสะอาดยืนอยู่บนระเบียงเรือน แทนที่จะได้เห็นคนงานชาวพื้นเมือง นุ่งห่มอย่างขมุกขมอมยืนอ้าปากหาวคอยรับเขาดังเช่นคราวก่อน ๆ ที่แล้วมา

รถแล่นมาถึงทางโค้งและสูงเนิน นายนพมิได้เบาเครื่องแม้แต่น้อย เพราะเชื่อความชำนาญของตัวเองด้วยความแรงและเร็ว รถเอียงวาบดังจะคว่ำอยู่ขณะหนึ่ง เสียงส่องสีร้องหวีดทำให้บันลือยิ้มออกมาได้ด้วยความพอใจ นี่แหละ สันดานลิง! โฉดเขลา กลัวง่าย ตื่นง่าย แต่ไม่เคยรู้เลยว่าอะไรเป็นสิ่งควรกลัว !

“บันลือ ! ต๊าย ตาย บันลือ ฉันนึกว่าฉันตายแล้วอีก ยังมีอีกเยอะไหม ไอ้วาบ ๆ วูบ ๆ พรรค์นี้ ?”

​“ขวัญอ่อน !” เขาหันมาตอบแก่หล่อน “คนเราน่ะ เกิดมาทีหนึ่งแล้วมันไม่ตายง่าย ๆ หรอก ออกมานั่งกับผมไหมล่ะ ไม่มีวาบไม่มีวูบ แน่วแน่ สบาย”

เขาไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาพูดแก่หล่อนเช่นนี้ แต่รู้สึกว่าการพูดเช่นนี้แหละจึงจะสาสมแก่หล่อน

“ว่ากระไรนะ ?” หล่อนถามเพราะไม่ได้ยินคำของเขาถนัด

บันลือพูดซ้ำ แต่หล่อนก็ยังไม่ได้ยินอยู่นั่นเองเจริญจึงช่วยพูดแทนบันลือ

“ถามซิ ไม่ปล่อยให้ดิฉันตกรถแน่นะ” เจ้าหล่อนว่า “ดูมันโล่ง ๆ ไม่มีอะไรกันเสียเลยนี่”

“ไม่เชื่อว่าปลอดภัยก็อย่าออกมาเลย” บันลือตอบ และในขณะนั้นเองเขานึกขึ้นได้ว่าเมื่อประมาณสักสองปีที่แล้วมา เขาเคยรู้ว่าส่องสีถูกความกระทบกระเทือนอย่างหนึ่งทำให้ประสาทหูขวาของหล่อนเสียไป และมีเสียงโจษกันว่าเป็นการกระทบกระเทือน อันเกิดจากน้ำมือแห่งสามีของหล่อน บางทีหูของหล่อนคงจะพิการอยู่จนกระทั่งบัดนี้

​ทันใดนั้น เขาเปลี่ยนท่านั่ง หันหลังให้ริมรถและหันข้างมาทางเจริญ ด้วยอาการยืดตัวขึ้นเล็กน้อย เขาพูดดังพอสมควรให้เสียงของเขาตรงเข้าช่องหูของเจริญได้

“แกรู้จักส่องสีมาก่อนวันนี้หรือเปล่า?” เขาถาม

“เข้าใจว่าเคยเห็น แต่ไม่รู้ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ ?”

“รู้หรือเปล่าเขาเป็นใคร ?”

“รู้เมื่อมาในรถไฟนี่แหละ” เจริญหัวเราะ “เขาบอกถี่ถ้วน ผัวเขาทำอะไรอยู่ที่ไหน—”

“พูดดังอีกหน่อยก็ได้ มันไม่ไปถึงหูเขาหรอก ก้มตัวลงมาหน่อยซี บ้าจริง อยู่ใกล้กันแค่นี้พูดไม่ให้กันได้ยิน”

เจริญพูดซ้ำประโยคเดิมทั้งสองประโยค แล้วว่า

“ถึงบ้านถึงค่อยพูดกันไม่ได้หรือ อั๊ว—”

“ไม่ได้” บันลือตอบอย่างเด็ดขาด “เขาไม่รู้หรอกหรือว่ากันมีเมียอยู่ที่นี่”

“รู้ กันบอก เขาหัวเราะใหญ่ เขาว่าเขารู้แล้ว ที่จริงถ้าเขาไม่รู้ว่าแกมีเมีย ถึงยังไงคงไม่กล้ามา”

“แกเองน่ะแกรู้ไหม ผู้หญิงคนนี้กับกัน—?”

“ไม่ใช่คนตาบอดหรอกน่ะ กันน่ะ พอพูดถึงแก ๒–๓ คำก็รู้ว่าคงเป็นอะไรกันมามั่ง”

​“บ้าวายร้าย!” บันลือนึก “ออกไปนอกคอกไหน ๆ มิรู้”

“คุยอะไรกันคะ ไม่ให้ดิฉันได้ยินมั่งเลย คุณ—นี่ค่ะ คุณ—บันลือไม่แนะนำให้เรารู้จักกันจนแล้วจนรอด”

“ผมชื่อเจริญ” เจริญบอก “นั่งทางนี้ไหมครับ จะได้คุยกับบันลือ ?”

“ทางนั้นคุยได้ยินดีหรือคะ แหม ฉันชอบชื่อเจริญง่ายๆ ดี เอาซีคะ เปลี่ยนที่กันก็เอา—อุ๊ย แหม รถโยกนักนี่ คุณขับเบาหน่อย ฉันจะเปลี่ยนที่”

บันลือเคืองเจริญยิ่งนัก แต่เมื่อนึกถึงความไม่รู้ของเขาแล้วก็อดขันมิได้ “ดีมาก เมียเป็นคนก่อ ผัวจะมาเป็นคนรื้อ” เขานึก

“อีกนานไหมจ๊ะ กว่าจะถึงบ้านเธอ ?” หล่อนถามทันทีที่ได้นั่งเรียบร้อยแล้ว “สนุกดีหรอก แต่มันมืดมากไปหน่อย ดูอะไร ๆ มันดำ ๆ แล้ววิ่งได้ทั้งนั้น ที่บ้านเธอใช้ไฟอะไร ?”

“ตะเกียงน้ำมันมะพร้าว” บันลือตอบ

“ต๊าย ตาย มิมืดแย่หรือ ท่าเห็นจะอยู่กันอย่างนกหมดแสงแดดก็นอนเลย เมียเขาไม่เบื่อหรืออย่างนี้?”

“เบื่อเขาก็เป็นเมียผมไม่ได้”

​“อ้อ เขารู้จักพอใจกับความรักในกระท่อม รู้อยู่ รู้อด รู้ทน แต่ถ้าเผื่อเป็นคนที่เคยทนมาก่อนแล้ว เขาก็ไม่เดือดร้อนใช่ไหม เขาลือกันว่าสวยนักนี่ ใจดำเหลือเกินเธอน่ะ มีงานออกใหญ่โตไม่บอกกล่าวกันให้รู้มั่ง มิหนำซ้ำยังพาเมียมาซ่อนเสียในป่าในดง ใครอยากเห็นก็ไม่ได้เห็น ดูซี ฉันยังต้องพยายามมาดูจนถึงที่”

บันลือเสียดายนักที่มีคนอยู่ในรถนี้ นอกไปจากส่องสีกับตัวเขาเอง เป็นเหตุให้เขาไม่อาจโต้ตอบส่องสีได้ตามที่เขาปรารถนา

“อีกนานไหมกว่าจะถึง ?” ส่องสีตั้งคำถามใหม่และคราวนี้หล่อนนั่งคอยฟังคำตอบ

“ราวอีกครึ่งชั่วโมง”

แล้วบันลือควักนาฬิกาพกในกระเป๋ากางเกงออกดู เขาเองก็เริ่มนึกอยากให้ถึงที่โดยเร็ว เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรก็จะได้เป็นเสียให้รู้ไป แล้วเขาก็เริ่มคิดถึงความขัดข้องในเรื่องสถานที่ ภรณีกับเขาตกลงกันไว้ว่าจะจัดที่ให้เจริญนอนในห้องหนังสือ แต่เมื่อมีแขกเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง– “ยุ่ง ยุ่งอย่างบ้าที่สุด” เขานึกด้วยความระอาใจ

“บ้านเธอมีชื่อไหมจ๊ะ ?” ส่องสีถามขึ้นอีก

​“มี คนแถบนั้นเขาเรียกว่าบ้านยางคู่”

“ตาย ไม่เพราะ นึกว่าจะชื่ออะไรหรู ๆ นกยางรูปร่างมันสวยเมื่อไหร่ เอาชื่อมันมาตั้งชื่อบ้าน ให้ฉันตั้งให้ใหม่เถอะ เอาอะไรที่เป็นแสง ๆ รัก ๆ อย่างบ้านแสงเสน่ห์เอาไหม ?”

“ขอบใจ แต่ว่าของแท้มีอยู่ที่ไหนแล้ว ที่นั่นไม่ต้องยกป้ายโฆษณาก็ได้ ไปถึงเสียก่อน แล้วจะได้เห็นทั้งแสงทั้งเสน่ห์” เขาไม่บอกหล่อนว่า ‘ยางคู่’ หมายถึงต้นยาง เขาพอใจที่จะให้หล่อนเขลาอยู่เช่นเดิม

“แสงตะเกียงน้ำมันมะพร้าวมันสว่างมากหรือจ๊ะ แล้วก็เสน่ห์นางในกระท่อม !” หล่อนหัวเราะ “น่าเอ็นดู พ่อหนุ่ม เธอเป็นหนุ่มยิ่งกว่าเมื่อเธออายุ ๒๒ อีก บันลือ”

เขานิ่งไปด้วยความโกรธ และขัดใจที่ไม่สามารถจะตอบแทนวาจาเยาะเย้ยของหล่อนได้ หล่อนเยาะเขาโดยเจตนา เมื่อหล่อนท้าวความถึงเขาในสมัยที่มีอายุ ๒๒ ปี เพราะในสมัยนั้นทุก ๆ สิ่งที่เป็นตัวเขาได้ตกอยู่ในเงื้อมมือหล่อน เมื่อเขากับหล่อนมีความรักต่อกัน เขาลืมทุก ๆ สิ่งในโลก นอกจากความรักระหว่างหล่อนกับเขา และเมื่อเขากับหล่อนต้องแยกจากกัน เขาก็ลืมทุก ๆ สิ่งในโลก นอกจากความแค้นและความขมขื่นที่หล่อนเป็นผู้ก่อและละไว้ให้

 

54

๒๒



ดูก่อนกุมารทั้งหลาย เจ้าทั้งหลายพึงสำเหนียกเรียกอย่างนี้ว่า–คนเหล่าใดเป็นอันโตชน (คนภายใน) ของสามี เช่นบ่าว คนงาน ฯลฯ เราจักรู้งานที่คนเหล่านั้นทำแล้วและยังไม่ทำอย่างไร รู้จักอาการหนักเบาแห่งคนเหล่านั้น ที่เจ็บไข้ และจักแจกจ่ายอาหารให้ตามส่วนที่เขาควรได้

 


“เรือเอ๋ย เรือมนุษย์ ใหญ่ยาวสุด เพียงแค่วา ตัณหาพาเจ้ามา รู้หรือเจ้าจะไปไหน

เห็นฝั่ง อยู่กับตา พายเข้าหา ฝั่งหนีไกล ตัณหาพาเจ้าไป เรือก็ล่ม จมคงคา เห่ เห่ เห่—”

เสียงนั้นเล็ก เสียงนั้นอ่อน เสียงนั้นใส เป็นเสียงทารกไร้เดียงสา ช่างตรงกันข้ามกับบทความที่เสียงนั้นขับร้องจนน่าขัน

และสิ่งที่เป็นเครื่องเล่นของเจ้าของเสียง สิ่งที่เจ้าของเสียงพยายามจะวางไว้บนตัก และบังคับให้นิ่งอยู่กับที่ ก็เป็นสิ่ง​ที่มีชีวิตอันอ่อนขนาดทารก เช่นเดียวกับตัวผู้เป็นเจ้าของเสียงเหมือนกัน ตัวของมันยังเล็กมากขนาดพอดีกับมืออันเล็ก และขนาดความมั่นคงในการจับถือของผู้ที่กำลังเล่นมันอยู่ เมื่อตัวของมันถูกกดให้นอนลงบนตัก มันก็นอนนิ่งชั่วขณะที่ถูกกด ครั้นมือนั้นยกไปจับเชือกแขวนชิงช้า มันก็ลุกขึ้นหมุนไปหมุนมาอยู่บนตักขนาดเล็กที่รองตัวมัน แล้วก็หล่นตุ้บลงบนพื้นดิน เป็นเหตุให้ผู้ที่ต้องการจะเล่นมันด้วยความรัก ประสาทารกต้องลงจากชิงช้า วิ่งไล่ไปจับมันอีก

ชิงช้าไม้ขนาดเล็กและเบา สูงจากพื้นดินไม่เกิน ๑ ศอกนี้ แขวนอยู่กับกิ่งยางใหญ่อันมีลำต้นขนาดเท่าอ้อมแขน ต้นไม้นี้มีคู่ซึ่งขึ้นอยู่ห่างจากกันราว ๆ ๓ เมตร เมื่อเทียบโดยสายตาจะเห็นว่าขนาดเท่ากันพอดี พิเคราะห์ความมหึมาแห่งต้นไม้ทั้งสอง แล้วมองกลับมาดูมนุษย์ทารกที่ปลุกปล้ำลูกแมวอยู่ข้าง ๆ นั้น ก็เห็นสิ่งที่ผิดกันอย่างตรงกันข้ามน่าพิศวงอีกคู่หนึ่ง

ตะวันกำลังยอแสง แสงสว่างที่สองจับใบไม้และพื้นแผ่นดิน เป็นสีเหลืองหม่น ๆ แต่ก็ยังดูงาม พืชพันธุ์อันเขียวสดซึ่งมองเห็นเป็นพืดไปจนสุดสายตา ทั้งที่เป็นพันธุ์ไม้ในไร่ ทั้งที่เป็นพันธุ์ไม้ในป่า ทั้งที่มีขนาดต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ทั้งที่มีขนาดสูง​เยี่ยมเทียมฟ้า อยู่ในลักษณะเงียบสงบปาน ๆ กันนาน ๆ ครั้งหนึ่งมีเสียงกระดึงวัวถูกลมพามาแต่ไกล และมีเสียงตะโกนโหวกเหวกดังแว่ว ๆ เป็นเครื่องเตือนว่า มีมือมนุษย์มายุ่งเกี่ยวกับธรรมชาติ ลมเย็นสม่ำเสมอพัดมาจากทุกทิศทุกทาง ความบริสุทธิ์แห่งอากาศอันเกิดแต่ธรรมชาติอันบริสุทธิ์ เป็นคุณวิเศษแห่งภูมิประเทศแถบนี้ เป็นเครื่องฟอกมลทินแห่งใจของผู้ที่รู้จักความแตกต่างระหว่างความบริสุทธิ์ และความแปดเปื้อนเป็นอย่างดี

ลูกแมวหล่นตุ้บลงมาจากชิงช้าเป็นครั้งที่ ๔ แล้วก็วิ่งหยอยๆ ไปที่บันได ที่นั่นนางแม่นอนให้ลูกอีก ๒ ตัวกินนมอยู่อย่างใจเย็น ดูเหมือนจะไม่ได้นึกถึงลูกตัวที่ ๓ เสียเลย แต่ครั้นลูกตัวนี้วิ่งมาถึงก็ทักด้วยเสียงแหงวเบา ๆ และเมื่อลูกเบียดเสียดพี่น้องจะยื่นปากเข้าไปให้ถึงเต้านม นางแม่ก็ผงกหัวขึ้นเลียหัวลูกอย่างเป็นงานเป็นการ

ลูกมนุษย์โดดลงจากชิงช้า ทำท่าจะวิ่งตามลูกแมว แต่ครั้นแล้วก็นึกเบื่อ ก็ตั้งท่าจะยกก้นวางบนกระดานชิงช้าอีก แต่กระดานนั้นกำลังแกว่งด้วยเหตุที่ผู้นั่งอีกคนหนึ่งโยกตัวโดยแรง กิติเอาก้นผู้ที่จะขึ้นนั่งจนตัวถลำไปข้างหน้า เท้า ๒ เท้าเตะกัน​เองทำให้ตัวเฉ หากแต่ว่าถลาไปปะทะกับขาของผู้ที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนั้น เจ้าหล่อนยกแขนออกรับไว้พอดี ร่างที่เซมาจึงไม่ล้ม

ความไม่สงบกำลังจะเกิด เจ้าหล่อนรีบตัดต้นไฟ

“คุณป่องคนเก่ง คุณป่องไม่เจ็บ ไม่ร้องไห้ ไม่โกรธ คุณป่องสัญญากับอาภรแล้ว คุณป่องจะไม่โยเย ตลอดเวลาที่คุณพ่อไม่อยู่ ไป ไปนั่งชิงช้าใหม่ ร้องเพลงให้อาภรฟัง เอ้า คุณก้องหยุดเดี๋ยวซีจ๊ะ หยุดให้นิ่งเสียก่อน คุณก้องสัญญาแล้ว สุภาพบุรุษเขาต้องช่วยเหลือสุภาพสตรี ไป ไป๊” หล่อนผลักตัวเด็กหญิงเบา ๆ “ไปนั่งชิงช้า แล้วร้องเพลงใหม่ อาภรชอบฟัง”

นานอยู่หน่อยกว่าเด็กชายจะทำให้ชิงช้าหยุดสนิท กว่าเด็กหญิงจะค่อย ๆ เดินไปยังชิงช้าอย่างไม่เต็มใจ กว่าเด็กชายจะเลิกทำคิ้วขมวดมองดูน้อง กว่าเด็กหญิงจะเลิกค้อนควักจนตาคว่ำ กว่าชิงช้าจะเริ่มไกวไปมาค่อย ๆ แล้วทวีความแรงขึ้นเป็นลำดับ แต่ความชักช้าเช่นนี้ ก็ทำความพอใจให้แก่หญิงสาวอยู่ไม่น้อยแล้ว เพราะเป็นเครื่องแสดงถึงความที่เด็ก เริ่มรู้จักอดกลั้นความฉุนเฉียว ที่มีประจำสันดาน ที่จริงการอยู่ใกล้คอย​ควบคุมกิริยาวาจาของเด็กทั้งสอง ได้ทำความชื่นใจให้เกิดขึ้นแก่ภรณี มากกว่าทำความรำคาญ ทั้งที่การเล่นหวัว การทะเลาะวิวาทระหว่างพี่น้อง การข่มเหงเด็กที่มีรูปร่างผิวพรรณเลวกว่าตัว การละโมบอาหารในบางเวลา การแสดงอำนาจถึงกับเข้า ทุบตีผู้ใหญ่ในเวลาที่เขาไม่ทำตามใจตัว เหล่านี้ล้วนแต่ชวนให้เห็นว่าเด็กทั้งสอง มีนิสัยโหยกเหยกเกเร ภรณีย่อมรู้ว่าเป็นนิสัยอันเกิดแต่ความเคยชิน หาใช่นิสัยอันเกิดแต่สันดาน ดังนั้นก็เป็นนิสัยที่จะแก้ให้หายได้โดยไม่ยาก และวิธีแก้นั้นเล่า ภรณีได้ค้นพบในเวลาอันสั้นนิดเดียว อาศัยกฎธรรมชาติทั้งหลายที่แสดงว่า ทุก ๆ สิ่งที่เป็นสภาพความมีความเป็น ย่อมวิวัฒน์เข้าหาความเจริญขึ้น เด็กทั้งสองมีความรู้สึกต่อคำว่า ‘ดี’ เป็นพื้นอยู่ในสันดาน คราวใดที่มีผู้บอกว่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จึงจะนับว่าเป็นคนเก่ง เป็นคนสวย เป็นผู้ดี เป็นคนดี อาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่แสดงว่าเด็กอยากทำตามที่ได้ฟังบอก จะปรากกฏโดยทันที

“เรือเอ๋ย เรือมนุษย์ ใหญ่ยาวสุด เพียงแค่วา ตัณหาพาเจ้ามา รู้หรือเจ้า จะไปไหน เห่ เห่ เห่—–”

มองดูเด็ก เห็นตั้งหน้าตั้งตาโยกชิงช้าไปด้วยร้องเห่ไปด้วย ผมเส้นละเอียดและอ่อนปลิวไสวอยู่บนศีรษะ ภรณีนึกขัน​และนึกเอ็นดูในใจ เด็กเอ๋ย เพลงที่เจ้าร้องนั้นเจ้าไม่ได้รู้เลยว่ามีความหมายอย่างใด อย่าว่าแต่เด็กอายุ ๖ ขวบ แม้แต่ภรณีผู้ซึ่งได้สอนเพลงนั้นแก่เด็ก เพราะเป็นเพลงหนึ่งในจำนวนเพลงเห่กล่อม ๒–๓ เพลงที่เหลืออยู่ในความทรงจำ ก็รู้ตัวว่า ตัวมิได้เข้าใจความหมายแห่งบทเพลงถึงครึ่งของความกว้างขวางลึกซึ้งแห่งความหมายอันแท้จริง เรื่องของชีวิตเป็นเรื่องที่จะเห็นปรากฏก็โดยทางจักษุแห่งดวงจิต ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องลี้ลับนักหนา สำหรับผู้ที่อ่อนในการศึกษาจิตของตน เมื่อภรณีกำลังย่างเข้าสู่วัยสาว หล่อนเข้าใจความหมายของบทนี้ในลักษณะ เป็นเรื่องนิยายอิงความจริงที่จบลงอย่างน่าสลดใจ ธรรมชาติแห่งจิตหลอน ซึ่งยังจะก้าวหน้าไปสู่ความงอกเงยยิ่งขึ้นอีก ได้ผลักไสความจริงที่แฝงอยู่ในบท ถึงกับไม่ยอมให้ตัวบทเข้ามาสู่สมอง เมื่อภรณีมีอายุมากขึ้น ได้ผจญกับความเศร้าโศก ความเดือดร้อน ความไม่สมปรารถนา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นตัวความทุกข์ ประกอบกับความได้ยินได้ฟังได้เห็นได้อ่าน ได้ใคร่ครวญจนถึงกับจวน ๆ จะเข้าใจคำว่า ‘ตัณหา’ หล่อนเริ่มรับรู้ว่า บทเพลงนั้นบรรยายถึงความจริงแห่งชีวิตอันเป็นความจริงที่น่ากลัว แต่ดังได้กล่าวแล้ว วัยหนุ่มวัยสาวเป็นวัยทรหด มีความหวังเป็นเครื่อง​ผลักดันให้ยืนหยัดไม่ถอยหลัง เพื่อรอโอกาสที่จะก้าวไปข้างหน้า ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นความจริง แต่เป็นความจริงที่มีลักษณะน่ากลัว ก็หลับตาเบือนหน้าหนีด้วยความเกลียดชัง

แต่อาศัยกฎธรรมดาอีกอันหนึ่ง คือ กิริยาทำให้เกิดปฏิกิริยา แม้ดวงจิตเป็นแต่เพียงนามธรรมอันหนึ่ง ก็มิได้พ้นจากความบังคับแห่งกฏนี้ เมื่อจิตของภรณีได้รับรู้ความจริงแห่งบทเพลงแล้ว ปฏิกิริยาคือความจริงก็เกิดขึ้นด้วย ภรณีรู้ว่าตัณหาคือความอยากต่าง ๆ คือ อยากมี อยากเป็น อยากได้ หรืออยากไม่มี อยากไม่เป็น อยากไม่รับ ได้ล่มมนุษย์เสียนักต่อนัก ผลแห่งความรู้นี้ทำให้หล่อนกลัวว่าตัวเองจะถูกล่ม ก็พยายามรักษาความอยากให้เป็นไปแต่ในทางที่ดี ที่พ้นอันตรายแห่งความเสียหายตามสายตาของสามัญชน การฝักใฝ่ระวังความอยากดังกล่าวนี้ รวมเข้ากับความเคยชินต่อการได้รับคำสั่งสอนซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า มนุษย์ทั้งหลายมีหน้าที่สร้างสรรค์ความดีเพื่อเพื่อนมนุษย์และเพื่อตัว ทั้งในโอวาทที่ครูให้แก่ศิษย์ ทั้งในหนังสือเรียนเกี่ยวกับวิชาทุกแผนก ตลอดจนกระทั่งบทประพันธ์สั้น ๆ ซึ่งครูใช้บอกคำบอกให้นักเรียนเขียนตาม หรือหนังสืออ่านเล่นที่ครูหยิบยื่นให้อ่านเพื่อความเพลิดเพลินแท้ ๆ ก็มีเนื้อ​ความกล่าวถึงความดีที่มนุษย์กระทำมาแล้วและจะกระทำอีก หรือควรกระทำให้ยิ่งขึ้น เพื่อความสุขแห่งเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และเพื่อความสุขแห่งตน เจืออยู่ทุกบททุกเรื่อง ภรณีจึงเป็นผู้มีอุดมคติสูงเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวประจำใจ และเป็นผู้ที่มีความใฝ่ฝันถึงความดี ความงามที่ปรากฏอยู่ในโลกเป็นเชื้อสำคัญอยู่ในดวงความคิด

ระหว่าง ๒๐–๓๐ วันที่แล้วมา ดวงความคิดของภรณีดูเหมือนจะถูกโรคร้ายอันใดอันหนึ่งเบียดเบียน กระแสความคิดของภรณีจึงไขว้เขวสับสนยิ่งนัก ดวงจิตของภรณีมีอาการเหมือนบุคคลอยู่ในที่มืด มึนงง เคว้งคว้าง ไม่รู้ว่าตัวอยู่ที่ไหน และไม่รู้ว่าจะบ่ายหน้าไปสู่ทิศใด อุดมคติซึ่งเคยเป็นประดุจดวงประทีปส่องทางให้ภรณีเดินตามอยู่เป็นนิจ ก็มีอาการดังดวงไฟที่ใกล้จะสิ้นเชื้อ หรี่ลง ๆ เหมือนจะดับในขณะใดขณะหนึ่ง แม้ภรณีพยายามเพ่งจะให้เห็นแสงรุ่งเรืองเหมือนแต่ก่อน ดวงประทีปก็ไม่สุกใสขึ้นกว่าเดิม หลายสิบหนความเคลือบแคลงได้เกิดขึ้นในสมองของภรณี สิ่งที่มนุษย์เรียกว่าอุดมคตินั้น เป็นสิ่งที่มีสาระประโยชน์แก่ชีวิตของมนุษย์จริงหรือ ? บางที คำว่าอุดมคตินี้จะไม่มีความหมายอันใดเลย นอกจากเป็นศัพท์ที่มนุษย์​ได้เรียกขึ้น เขียนขึ้น เพื่อประดับภาษาพูด ภาษาเขียนให้งดงาม แล้วก็ยกให้เป็นสมบัติแก่จิตใจของมนุษย์ ที่ต้องใช้ความฝันและมโนคติเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้คงชีวิตอยู่ในโลก โดยประการฉะนี้ผู้ที่ถืออุดมคติก็คือมนุษย์คลั่งเพ้อ โง่เขลา ที่ต้องอาศัยสิ่งสมมติอันหาแก่นสารมิได้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงน้ำใจ เพราะเหตุพวกเขาไม่มีความเข้มแข็ง พอที่จะผจญกับความจริงอันร้ายกาจในโลกที่เขาเกิดมาแล้ว ?

หากแต่ว่าความเคยเป็นอำนาจอันหนึ่งที่มนุษย์จะสลัดเสียโดยยาก !—ถึงแม้ใจของภรณีจะมืดมัวด้วยความเคลือบแคลงสงสัย สงสัยในผลของการทำดี !—สิ่งที่หล่อนทำ เริ่มตั้งแต่ตื่นนอนเช้า จนเข้านอนอีกในตอนกลางคืน ทุก ๆ รอบ ๒๔ ชั่วโมง ก็ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของความเจตนาที่จะทำดีนั่นเอง ว่าด้วยวัตถุ สิ่งที่ภรณีทำ เป็นสิ่งที่สำเร็จไปด้วยดี และแสดงผลดีเห็นประจักษ์แก่ตา เรือนที่ภรณีอยู่แต่ก่อนเป็นเรือนใหม่เพราะเพิ่งสำเร็จจากการปลูกสร้าง แต่ความรกรุงรังแฝงอยู่ทุกซอกทุกมุม บัดนี้ได้เป็นเรือนที่ใหม่ด้วยสะอาดด้วย และเรียบร้อยด้วย เพราะระเบียบที่ภรณีได้สร้างขึ้น เรือนครัวเคยเป็นเรือนที่สกปรกจนน่ารังเกียจ บัดนี้มีสภาพอย่างที่ชวนให้ผู้​เห็น นึกอยากจะนอนเล่นในครัว ของใช้ทุกชนิดและทุกชิ้น ตั้งแต่ภาชนะต่างๆ จนกระทั่งถึงเถ้าถ่านมีที่ตั้ง ที่ว่าง ที่ใส่ประจำโดยเรียบร้อย เพราะภรณีคอยควบคุมให้แม่ครัวล้าง เช็ด และจัดเข้าที่ทุก ๆ เวลาที่ประกอบอาหารเสร็จไปมื้อหนึ่ง ๆ พื้นที่ๆ เป็นบริเวณบ้าน คือที่ ๆ ไม่อยู่ในเขตไร่ หรือไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะเป็นไร่ในภายหลัง ภรณีก็ดูแลให้มีผู้ถาง ผู้กวาด ผู้ตบแต่งให้เป็นที่เตียน เตรียมจะให้เป็นสวนไม้ดอกในภายหน้า ความละเอียดของภรณีในการรักษาความสะอาดโดยทั่วถึงเช่นนี้ เป็นที่ระอาแก่คนงานที่เคยทำงานอย่างสักแต่ว่าทำยิ่งนัก ภรณีได้เห็นความไม่พอใจของเขาเหล่านั้นชัดเจนแก่ตาหล่อนบ่อย ๆ และมนุษย์นั้นมีอำนาจอันหนึ่งเป็นที่กลัวเกรงแก่มนุษย์ด้วยกัน ผู้ใดมีความต้านทานมากจึงทำให้ผู้มีความต้านทานน้อยอ่อนอำนาจลงได้ ภรณีมีฐานะเป็นนายอยู่ในบ้าน ฐานะของหล่อนเป็นเครื่องต้านทานอันดี ถึงแม้ภรณีจะเกรงใจคนงานไม่อยากให้เขาโกรธ ไม่อยากให้เขาเกลียด หล่อนก็ฝืนใจบังคับเขาเหล่านั้นให้อยู่ในคำสั่งของหล่อน อนึ่งเหล่าคนงานนั้น มิใช่เป็นผู้มีนิสัยชั่วหรือเลวโดยสันดาน ความเสียที่มีอยู่ในตัวเกิดจากความโง่เขลามากกว่าอย่างอื่น เมื่อเขาทำงานเขาไม่รู้ว่างานที่เรียกว่าทำแล้วดีมี​ลักษณะเช่นไร ดังนั้นเขาก็ทำสักแต่ว่าให้แล้วตามความคิดของเขา ความสะอาดเป็นอย่างไรเขาไม่เคยรู้จัก เขาก็สำคัญว่าความสกปรกเป็นสภาพธรรมดาที่ไม่น่ารังเกียจอย่างใดเลย ภรณีเป็นผู้เคยอยู่ในชนบท เคยรู้นิสัยใจคอของบุคคลจำพวกนี้ดี น้ำใจของเขาบริสุทธิ์ แต่สมองของเขาไม่ต่างจากสมองของเด็กเท่าไรนัก เมื่อรู้เสียได้เช่นนี้แล้ว ภรณีทำใจให้มีเมตตาต่อเขา แล้วใช้อุบายยอบ้าง ขู่บ้าง ปลอบบ้าง คล้าย ๆ กับที่ผู้ใหญ่ทำแก่เด็ก ไม่ช้านักหล่อนก็ควบคุมเขาได้เต็มมือ

นอกจากงานรักษาความสะอาดแห่งสถานที่ ยังมีงานซักรีด งานรักษาของใช้ทุกชนิดให้สึกหรอหมดเปลืองแต่เท่าที่จำเป็น กับงานประกอบอาหารให้ถูกตามหลักอนามัย และให้มีรสชวนบริโภค ทั้งสามอย่างนี้ออกจะเป็นงานที่เหนือความสามารถของลูกจ้างชาวพื้นเมืองทีเดียว เพราะฉะนั้นจึงเป็นงานที่ภรณีคอยควบคุมอย่างใกล้ชิดที่สุดอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประกอบอาหาร ภรณีมักจะลงมือทำเสียเองบ่อยที่สุดถึงระยะเกือบทุกมื้อและทุก ๆ วัน

แต่ว่าถ้าด้วยทางจิตใจ ดูเหมือนภรณีจะไม่ได้รับผลรางวัลแม้แต่น้อย ไม่มีใครในโลกอันไพศาลนี้ แสดงด้วยวาจา​หรือด้วยกิริยา หรือแม้แต่ด้วยสีหน้า ให้ภรณีเห็นว่าเขารู้ถึงความดีขึ้นแห่งงานในบ้าน และความสามารถของหล่อนในการสร้างความดีขึ้น ! นี่เองคือตัวเหตุสำคัญที่ทำให้ดวงความคิดของภรณีมีอาการดังหนึ่งว่าป่วยไข้ไปเสียแล้ว

ความจริงโลกของภรณีในปัจจุบันมีขนาดจำกัดเพียงเท่าส่วนยาวคูณด้วยส่วนกว้างแห่งร่างกายของชายหนุ่ม ผู้มีรูปร่างสันทัดขนาดสูงคนหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ถึงแม้ว่าขนาดของโลกจะเล็กเพียงเท่านี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่เกี่ยวข้องอยู่กับโลก เป็นสิ่งที่มีกำลังงานสูงมาก ทั้งในทางดึงดูดกระแสความคิดของภรณีทั้งในทางจุดความรู้สึกของภรณีให้ลูกราวกับไฟ ก็เมื่อโลกทั้งโลกไม่มีอาการแสดงว่ารู้ถึงการกระทำดีของภรณี อุดมคติของภรณีที่มีหลักสำคัญว่าพึงทำดีเพื่อโลก และเพื่อตน ก็เป็นคติที่ใช้ไม่ได้ ซึ่งถ้าภรณีจะยึดถือและปฏิบัติตามต่อไปอีก ก็จะเหนื่อยเปล่าโดยไม่มีประโยชน์อันใด !

แต่ถ้าหากอุดมคติอันนี้ เป็นแต่เพียงคำสมมติ อันหาแก่นสารมิได้ ก็หมายความว่ามนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวภรณีเอง เกิดมาสำหรับให้ความร้อน คือทุกข์ เผาผลาญตั้งแต่ขณะจิตแรกที่รู้ความ จนถึงขณะที่หมดลมหายใจ ? ไม่มีวิธีใด การกระทำใดเป็นอาวุธต่อสู้ความร้อน ? ถ้าเช่นนั้นไม่มีประโยชน์​อะไรที่จะครองชีวิตอยู่ ยานอนหลับสัก ๓–๔ เม็ด กับน้ำสักครึ่งถ้วยแก้ว กินง่าย กลืนง่ายไม่ขมไม่ขื่น จะดับความร้อนได้สิ้นเชิงในเวลา ๒–๓ นาที เมื่อความคิดของภรณีแล่นมาถึงเพียงนี้ หล่อนรู้สึกเหมือนใจจะขาด และต้องการจะร้องไห้เป็นกำลัง แต่ธรรมชาติมิได้สร้างน้ำตาให้มาเป็นเพื่อนภรณี เหมือนดังที่ได้ให้แก่หญิงส่วนมาก เมื่อแรกรุ่นสาวภรณีเคยร้องไห้เพราะแค้นมารดาเลี้ยง ๒–๓ ครั้ง ภายหลังหล่อนมีความคิดว่า การร้องไห้เป็นอาการสำแดงความพ่ายแพ้หมดทางสู้ แม่เลี้ยงกับตัวหล่อนยังต้องขับเคี่ยวกันไปอีกนาน หล่อนไม่ควรจะยอมแพ้ง่าย ๆ แต่นั้นมาภรณีก็ไม่ร้องไห้เพราะความทุกข์ ที่มารดาเลี้ยงของหล่อนเป็นต้นเหตุอีกต่อไป ในปัจจุบันนี้เมื่อภรณีนึกอยากจะร้องไห้แล้ว รู้เท่าความจริงว่าเหตุแห่งความขมขื่นมาแต่บุคคลใด ความมานะก็เกิดทำลายความอ่อนแอสิ้นไปทันที

ภรณีอาจจะปล่อยตัวให้ร้องไห้สักครั้งใหญ่ ถ้าหากว่าหล่อนมีตาทิพย์ อ่านใจบุคคลผู้ทำความขมขื่นให้แก่หล่อนได้ ในเวลาเดียวกับที่ภรณีวางหนังสือไว้บนตัก มองดูลูกของเขาพลางนึกถึงตัวเขานั้น ฝ่ายเขาก็กำลังนึกถึงหล่อน เขาเห็นภาพหล่อนเมื่อนั่งมาในรถคันเดียวกับเขา เห็นหล่อนในวันรุ่งขึ้น จากวันนั้นและต่อ ๆ มา ทุก ๆ วัน เขาจำท่าของหล่อนได้ทุก ๆ ​ท่า โดยไม่ตั้งใจจำและท่าสุดท้ายที่ติดตาอยู่ ราวกับเขาเห็นตัวหล่อนอยู่ตรงหน้า คือท่าที่เขาเห็นเมื่อรถยนต์กำลังพาตัวเขาพ้นไปจากหล่อน

ตามธรรมดาเมื่อบันลือจะเข้ากรุงเทพฯ เขาต้องออกเดินทางตั้งแต่ก่อนย่ำรุ่ง เขามักจะออกจากบ้านโดยไม่แตะต้องกับอาหารอย่างหนึ่งอย่างใด บันลือเป็นชายที่เกลียดการกังวลในเรื่องการรับประทาน เห็นว่าเป็นเรื่องยุ่งยากและตัดทอนความคล่องแคล่วรวดเร็วของมนุษย์ เขายอมให้ว่าอาหารอันประณีตมีรสเหมาะแก่ความต้องการของบุคคลเป็นส่วนหนึ่ง แห่งเครื่องบำรุงความสุข และยอมให้ด้วยว่า มนุษย์ในชาติที่เจริญมาก ย่อมมีฝีมือในเรื่องการทำอาหาร และมีความรู้สึกในรสอาหารสูงกว่ามนุษย์ในชาติอื่น แต่เขายังมนุษย์ที่ห่วงการกินหรือสนใจในการกินจนออกนอกหน้า สำหรับตัวเขาเอง เมื่ออยู่ในยามปกติไม่เร่งรีบ เขาพอใจในอาหารที่มีกลิ่นมีรสชวนบริโภค แต่เมื่อถึงคราวที่อาหารดีอาจกลายเป็นภาระ อาหารเลวอย่างไรก็ใช้ได้สำหรับบรรเทาความหิวชั่วมื้อ หรือบางทีเขาก็ทำเป็นผู้ไม่รู้จักความหิว อยู่โดยไม่บริโภคสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นเวลาหลายชั่วโมง

เมื่อเขาจะเข้ากรุงเทพฯ คราวนี้ ในเวลาแต่งตัวเสร็จออกมายืนคอยรถอยู่ที่หน้าเรือน เขาสังเกตเห็นว่ามีแสงไฟสว่าง​อยู่ในห้องครัว ครั้นแล้วในชั่วครู่ที่เขาก้มหน้าใส่นาฬิกาข้อมือ ภรณีได้มายืนอยู่ข้างตัวเขา ถือจานรองถ้วยกาแฟอันมีกลิ่นหอมฉุยคอยส่งให้เขาอยู่

เขากล่าวคำขอบใจ และยั้งคำพูดแสดงความรู้สึกถึงข้อที่หล่อนตื่นขึ้นแต่เช้าเพราะกาแฟถ้วยเดียวของเขานี้ไว้เพียงแค่ริมฝีปาก เมื่อเขาจิบกาแฟได้สองครั้ง เขารู้สึกว่ามีรสเหมือนกับที่เขาเคยปรุงให้ตัวเอง และดูเหมือนจะถูกกับความต้องการของเขาดีกว่าที่เขาเคยทำได้เสียด้วยซ้ำ เมื่อเขาส่งถ้วยคืนให้หล่อน พร้อมกับกล่าวคำขอบใจอีกครั้งหนึ่งแล้ว ภรณีพูดว่า

“กลับจากกรุงเทพฯ ซื้อยามาด้วย”

เขารีบถามด้วยความสนใจอันแท้จริง “ยาอะไร ? ใครเจ็บเป็นอะไร”

“ไม่มีใครเจ็บ แต่อยู่ในที่อย่างนี้ควรจะมียาประจำบ้านหลาย ๆ อย่าง”

เขารับคำโดยดุษณีภาพ เขาอยากจะพูดกับหล่อนด้วยเรื่องอื่น ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรแต่ไม่ได้พูด รถยนต์มาหยุดคอยเขาอยู่แล้ว เขาเปิดหมวกให้หล่อนแล้วก็เดินห่างไป เมื่อเขามองมาดูหล่อนอีก เขาเห็นยืนอยู่ข้างต้นยางใหญ่ หัน​หน้ามาตามทางที่รถกำลังเคลื่อนที่แต่มิได้มองดูรถ มือซ้ายของหล่อนแตะอยู่กับต้นยาง มือขวาห้อยอยู่ข้างตัว ศีรษะเอนไปทางเบื้องซ้าย ตาดูเหมือนจะมองต่ำเพียงแค่ยอดหญ้า เป็นท่าที่เขาเคยเห็นประจำอยู่กับหล่อนเป็นนิจในเมื่อหล่อนเผลอตัว ถึงกระนั้นเมื่อเห็นใหม่อีกในคราวใดเขาก็ต้องดูใหม่อีกด้วยความทึ่งในคราวนั้น ทางเบื้องหลังหล่อน ดวงอาทิตย์กำลังจะพ้นขอบฟ้า แสงนวลเป็นสีทองห้อมล้อมหล่อนอยู่โดยรอบ บันลือนึกถึงเซอร์โยชัว เรเนิลด์ส๑ ถ้ายอดศิลปินผู้นั้นได้มาเห็นหล่อนในขณะนี้ ท่านจะวาดภาพของหล่อนให้ผู้ที่จะได้ดูในภายหลัง อ่านความหมายแห่งภาพไปในแง่ใด—

บัดนี้รถไฟนี้กำลังย่นระยะทางระหว่างตัวเขากับตัวหล่อนให้กลับสั้นเข้าทุกที และคราวนี้เป็นคราวแรกที่เขามีความรู้สึกเป็นผู้เดินทางไกลที่กำลังจะกลับคืนสู่บ้านที่เคยให้ความสบายแก่เขา เขารู้ว่าบ้านเป็นแต่เพียงไม้กับเหล็กประกอบกันเข้าตั้งอยู่บนแผ่นดิน โดยตัวของมันเองแท้ ๆ มันจะให้ความสบายแก่ใครหาได้ไม่ แต่ก็ช่างเถอะเขาถือว่าบ้านของเขา ให้ความสบายแก่เขาได้ก็แล้วกัน เขานึกถึงคำของจิตราที่เปรียบตัวเขาด้วยซ้อนตักข้าว ไม่รู้รสแกง นึกแล้วอยากหัวเราะ จิตราเป็นหญิงที่​ทำความร่าเริงให้แก่ผู้ที่เข้าใกล้หล่อนเสมอ เป็นคนสวย คุยสนุก มีปัญญามีความรู้รอบตัวกว้างขวาง ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องมือที่มีคุณภาพสูงมาก สำหรับการแสดงออกของสัญชาตญาณความอยากอวดตัว ซึ่งเป็นพื้นสันดานของสัตว์โลกมาแต่ดั้งเดิม และซึ่งเป็นสัญชาตญาณที่นำการคิดการพูดการทำของจิตราอยู่ทุกชั่วขณะจิต

นึกถึงหญิงที่จิตราเลือกมาให้เป็นภรรยาของเขาเล่าก็เช่นเดียวกับจิตราเอง มีสัญชาตญาณความอยากอวดตัวนั่นแหละ เป็นเครื่องนำการกระทำทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหว และหล่อนก็มีความสามารถดีเท่า ๆ กับจิตราในการเลือกวิธีอวดตัวโดยถูกทาง กล่าวคืออวดด้วยสมรรถภาพทางการงาน อวดด้วยความเรียบร้อยสงบเสงี่ยมแห่งท่วงทีกิริยา อันเป็นการอวดที่ไม่เป็นเครื่องรำคาญแก่ใคร ผิดกับการอวดด้วยจริตหวีดหวาดด้วยเครื่องแต่งกายที่ปลุกความสอดรู้สอดเห็น ซึ่งเป็นการอวดที่ก่อกวนความสงบแห่งบุคคล ถ้าเปรียบสัตว์โลกเท่ากับดินเหนียว เปรียบมนุษย์ซึ่งสูงกว่าเดรัจฉานขึ้นมาชั้นหนึ่งเท่ากับหม้อ จิตรากับภรณีก็เปรียบเหมือนหม้อขัด ที่ช่างหม้อได้ขัดแล้วด้วยฝีมืออันดี

​แล้วเขานึกถึงเรื่องที่เจริญจะมาพักอยู่กับเขาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์หรือสิบวัน โดยความคะยั้นคะยอของจิตรา นึกสงสัยว่าจิตราทำเช่นนี้เพราะนึกถึงสุขภาพของสามีโดยแท้จริง หรือว่านึกถึงความอยากรู้ที่กรุ่นอยู่ในใจหล่อนด้วย เฉพาะเจริญนั้น ถ้าด้วยมีเจตนาของผู้สังเกตการณ์แฝงอยู่ ก็คงจะเป็นผู้สังเกตการณ์ฝ่ายธุรการ คืออยากเห็นการงานของบันลือ มากกว่าที่จะอยากรู้อยากเห็นในเรื่องความผัวความเมีย

.

๑. Sir Joshua Reynolds ↩

 

55
นวนิยายเรื่อง นันทวัน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 21-25


๒๑



​ดูก่อนคฤหบดีบุตร มิตรบอกประโยชน์ให้ ท่านพึงโดยสถาน ๔ อย่าง คือ ห้ามเพื่อนจากความชั่วอย่างหนึ่ง ให้ตั้งอยู่ในความดีงามอย่างหนึ่ง ให้ได้ฟัง สิ่งที่ยังไม่เคยฟัง อย่างหนึ่ง บอกทางสวรรค์ให้อย่างหนึ่ง มิตรบอกประโยชน์ให้ ท่านพึงรู้ว่ามีใจดีโดยสถาน ๔ อย่างนี้.

 


บันลือยืนจ้องดูปีอาโนอันใหญ่และราคาสูงที่สุดในห้าง คล้ายกับว่าเพิ่งจะได้เคยเห็นของสิ่งนี้ครั้งแรกในชีวิต

ความจริงนั้น ด้วยมโนภาพที่เกิดขึ้นในสมองของเขาโดยปัจจุบันทันด่วน เขาเห็นหญิงสาวผู้มีลักษณะดังดอกไม้ที่แย้มกลีบอยู่กับต้น มีอาการเคลื่อนไหวแช่มช้าเหมือนยอดอ่อนของกิ่งไม้ที่ไหวไปตามลม เขาเห็นหล่อนในโรงยาวหลังคามุงจาก อันเป็นที่เก็บเมล็ดพืชสำหรับทำพันธุ์ และเก็บเครื่องมือสำหรับการกสิกรรม เสียงเพลงอันมีกังวานกระหึมและซึ้งล่องลอยอยู่โดยรอบ เป็นภาพที่ประหลาดที่สุดสำหรับสายตาของเขา เพราะว่าเขาไม่เคยคาดฝันว่าจะได้ประสบ เป็นภาพที่ได้ทำความพิศวง​ให้แก่เขาเป็นที่สุดแล้ว เพราะได้แสดงให้เขารู้ถึงความจริงที่เขาไม่เคยได้คิดได้ฝันว่าจะเป็นไปได้ เขาเห็นต้นคออันขาวกลมที่เนื่องอยู่กับบ่าอันลาดเอนเอียงไปมาตามน้ำหนักแห่งศีรษะ เห็นลำแขนขาวเกลี้ยงเช่นเดียวกับคอเนื่องอยู่กับนิ้วมือที่เคลื่อนไหวไปตามพื้นลูกออร์แกน ภาพอันแปลกตาด้วย เสียงเพลงซึ่งฟังได้ว่าเป็นเพลงชั้นเอกแห่งคริสตศตวรรษที่ ๑๘–๑๙ ด้วย ได้ตรึงเขาไว้ในที่เดียวเป็นเวลานาน เขาไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถ แม้ในขณะที่เขาคลายจากความพิศวงเพราะเขารู้ว่าหล่อนจะเห็นเขาไม่ได้ก่อนที่เขาจะรู้ตัว สายตาของหล่อนจ้องจับอยู่กับโน้ตเพลงที่กางอยู่ตรงหน้า และเขายืนอยู่ริมประตูทางเบื้องหลังของหล่อน

เขาได้ตัดสินใจละจากที่นั้น และทำลายความรู้สึกต่าง ๆ อันนอกไปจากความเห็นขันให้หมดไปจากความคิด แต่ในไม่ช้าคำถามต่าง ๆ ซึ่งเขาได้กล่าวออกไปกับนายนพโดยปราศจากความตั้งใจอันแน่นอน ได้ทำให้เขารู้ว่าเขามีหญิงสาวที่ได้รับการศึกษาทางดนตรีและรักการหาความเพลิดเพลินในทางนี้อย่างยิ่งอยู่ในบ้านของเขา นายนพเล่าว่า เจ้าหล่อนได้ไปพบออร์แกนในระหว่างที่หล่อนออกเดินไปเที่ยวกับเด็กชายก้องและเด็กหญิงป่อง ได้พบโน้ตเพลงซึ่งนายนพเก็บไว้อย่างทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ แต่นั้นมาวันใดหล่อนออกไปเที่ยวเล่นกับเด็ก ๆ ก็ตาม หรือเดิน​เล่นคนเดียวก็ตาม หล่อนได้แวะนั่งดีดหีบเพลงคราวละนาน ๆ เสมอ

หลายครั้งบันลือนึกอยากจะพูดเปิดช่องให้หล่อนแสดงความต้องการเครื่องเพลินอันเป็นศิลปอย่างเอกชิ้นหนึ่งให้ปรากฏแก่เขา แต่ก็ไม่ได้พูดเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าหล่อน เขาไม่มีความปรารถนาดีต่อหล่อนเลย เพียงแต่เขาสงบปากสงบคำไม่พูดจาถากถางหล่อนก็เป็นงานที่หนักอยู่แล้วสำหรับความรู้สึกของเขา

แต่บัดนี้ เมื่อเขายืนมองปีอาโนอันใหญ่ เขาเห็นภาพของหล่อนนั่งอยู่หน้าออร์แกน ในสถานอันรุงรังและมืดมัวอย่างถนัด ถนัดจนรู้สึกว่าเป็นภาพที่กระเทือนความคิดเป็นอย่างมาก ความปรารถนาที่จะได้เครื่องดนตรีอันมีค่านี้ไปไว้ที่บ้านในต่างจังหวัดได้เกิดขึ้นแก่เขาอย่างรุนแรง

“บันลือ ถ้าเธอไม่มาช่วยฉันเลือกแผ่นเสียงพวกนี้ฉันจะเลือกอยู่ไม่ได้นาน เพราะฉันเกรงใจเธอกลัวจะเบื่อที่ต้องคอยฉัน”

เขาหันไปทางผู้ที่พูดกับเขาช้าๆ แล้วตอบในเสียงหัวเราะ

“เราก็ตกลงกันมาแล้วยังไง ว่าต่างคนต่างไม่ต้องเกรงใจกันเชิญใช้เวลาของคุณตามสบายจนกว่าจะห้าโมง”

​“ก็ฉันอยากจะให้เธอช่วยเลือกนี่นา เธอรู้จักเพลงดีกว่าฉัน” อีกฝ่ายหนึ่งว่า

“ผมคิดว่า รู้จักดีหรือไม่ดีก็ไม่สำคัญเท่าความชอบใจ” เขาแย้งอีก แต่พร้อมกันนั้นเขาละจากที่เก่าเดินไปหาหล่อน

จิตราเงยหน้าขึ้นจากหีบเสียง หันมายิ้มกับเขาด้วยกิริยาอันน่ารักตามเคยของหล่อน เท้าของหล่อนขยับช้า ๆ ไปตามจังหวะเพลง และตัวของหล่อนก็เอนไปมาเล็กน้อยเข้ากับจังหวะอยู่เหมือนกัน หล่อนชี้มือไปยังแผ่นเสียงตั้งใหญ่ ซึ่งผู้ขายยกมาวางให้หล่อนเลือกและพูดว่า

“นั่นแน่ะ ซูเบอรต๑ โมซาร์ท๒ เบโธเวน๓ เป็นแถว ฉันจำไม่ได้ เพลงไหนมันยังไง ขืนต้องเปิดฟังก่อนทุกเพลง ก็ค่ำเปล่าอยู่ที่นี่เอง”

หล่อนพูดขึ้นอีกในครู่ต่อมา ในระหว่างที่บันลือยกแผ่นเสียงขึ้นอ่านดูตัวอักษรทีละแผ่น ๆ แล้วแยกแผ่นที่เขาสนใจไว้ทางหนึ่ง

“นี่ โฟลเทาว์๔ มีอยู่ ๒ แผ่น เป็นยังไงก็ไม่รู้อีตานี่น่ะ บันลือรู้จักไหม ?”

“ผมรู้จักน้อย ดูชื่อเรื่องซี”

​“มาร์ธา๕”

“อ๋อ มาร์ธา คุณไม่รู้จักรี ลาสต์ โรส ออฟซัมเมอร์๖ ใคร ๆ ก็รู้จัก”

“ฉันก็รู้จักแต่ลืมว่าเป็นของโฟลเทาว์” จิตราหัวเราะ “ของฉันมีแล้วด้วยซ้ำ เออ เราเอาสองแผ่นนี่ด้วยจะได้ไปเข้าชุด อ้าโซเพียวร์๗” จิตรายกศีรษะทำท่าซาบซึ้งในทีเล่น

บันลือยิ้ม ทันใดนั้นเขาเอื้อมมือไปหยิบแผ่นเสียงส่งให้หล่อนแผ่นหนึ่ง พร้อมกับพูดว่า

“วานเอาแผ่นนี้ไปเป็นคู่ ริโกเล็ตโต้๘ ของเวอร์ดี้๙ วูเมอน อี๊ส ฟิคเคอล๑๐”

“ฉันมีแล้วย่ะ” จิตราว่าแล้วค้อนให้ “เธอน่ะอะไร ที่ด่าผู้หญิงละก็ถูกใจทั้งนั้นแหละ” นึกถึงหญิงผู้ขายของในห้างนี้ขึ้นได้ จิตราทำลิ้นโผล่ออกมาจากริมฝีปากนิดหนึ่งพลางมองไปดู แต่เจ้าหล่อนผู้นั้นยืนอยู่ค่อนข้างห่าง จิตราขยับเท้าชิดบันลือ จนไหล่ของหล่อนสีกับแขนเสื้อของเขา แล้วพูดสืบไป “นี่แม่น้องสาวของฉันเขายังไม่ได้แสดงอะไรที่จะกลับความคิดของเธอในเรื่องผู้หญิงบ้างหรอกรึ ?”

​บันลือเงยหน้าขึ้นมองดูหล่อน ยิ้มอย่างเห็นขัน แต่พูดเป็นเชิงสงสัย “คุณนึกว่าความคิดของผมในเรื่องผู้หญิงเป็นยังไง ถึงได้หวังให้ใคร ๆ มาเป็นผู้กลับให้เป็นอย่างอื่น ทีนี้สมมติว่าในโลกนี้มีใครสักคนที่วิเศษพอที่จะกลับความคิดของผมได้ ใครคนนั้นก็ต้องเป็นคุณจิตราไม่ใช่ใครนอกไปจากนี้หรอก”

หล่อนทำหน้านิ่ว พลางมองดูเขา “พูดอะไรแปลก ๆ เสมอ คุณน่ะ” หล่อนว่า “ผู้ชายจะรู้จักผู้หญิงได้จริงจังก็ต้องเรียนจากเมียของตัว ทำไมถึงจะไพล่ไปเรียนจากเมียของคนอื่น ว่าถึงเธอ เมียคนแรกทำให้เธอเห็นผู้หญิงเป็น—อะไรที่บ้า ๆ บอ ๆ ไอ้อย่างที่ใช้ไม่ได้ไปหมด แต่เมียคนหลังนี่น่ะฉันดูแล้วเชื่อว่าผิดกับคนแรกอย่างน้ำกับไฟ เพราะยังงั้นถึงได้ถามว่า เขาแสดงอะไรให้เธอเปลี่ยนความเห็นในเรื่องผู้หญิงมั่งหรือยัง?”

บันลืออมยิ้มแล้วมองดูแผ่นเสียงเฉยอยู่ ทำท่าเหมือนไม่เข้าใจว่าจิตรากำลังรอฟังคำตอบ เจ้าหล่อนผู้นี้จึงว่า

“เมื่อไหร่เธอจะเลิกทำตัวให้คนงงเสียทีนะ บอกมาเอาเด็กของฉันไปทำยังไง ? ทำไมเขาถึงไม่บอกข่าวคราวของเขามาให้ฉันรู้มั่ง ? เธอควรจะรู้ว่าเธอมากรุงเทพฯ ทีไรเป็นต้องพบกับฉันทุกที อย่างน้อยควรจะ—ถึงไม่เขียนจดหมายก็ควรจะสั่งอะไรมาสักสองสามคำ”

​บันลือเท้าข้อศอกข้างหนึ่งลงบนกรอบข้างตัวเขาหันมามองดูจิตราเต็มหน้า แล้วก็หัวเราะและว่า

“ปัญหามาทีละหลาย ๆ ข้อ จนไม่รู้ว่าจะตอบข้อไหนถูก คุณนี่จะยิ่งกว่าแม่ยายที่คอยตามไล่เต่าไล่แล่นลูกเขย ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเพื่อนผู้หญิงน่ะ เขาทำหน้าที่แทนกันได้ยิ่งกว่าแม่ยายทำหน้าที่แทนลูกสาว”

“ฉันก็มีความคิดขึ้นมาเดี๋ยวนี้เองว่า เธอน่ะมีอะไร—ไม่บริสุทธิ์อยู่ในใจ” จิตราตอบโดยเร็ว แต่หล่อนพูดไม่ได้มากไปกว่านี้ เพราะแผ่นเสียงได้หมุนไปถึงที่ ๆ ต้องหยุด และผู้ขายได้เดินเข้ามาใกล้หล่อน

“ตกลงเอาแผ่นนี้ด้วย” จิตราสั่ง “นั่น ๕ นี่อีก ๒” หันไปทางบันลือ “ไหนเธอเลือกอะไรได้มั่ง?”

ฝ่ายเขาหัวเราะ “คุณจะเป็นคนฟัง แต่ให้ผมเป็นคนเลือก—”

“ก็ฉันบอกแล้วนี่นาว่าฉันเชื่อเธอ”

“ถ้าอย่างนั้นก็หมดนี่แหละ โหลหนึ่งดี ๆ ทั้งนั้น นี่ ซัลลิเว็น๑๑ ต้องการไหม ? มิกาโด๑๒”

“อี้ ไม่เอา มีแล้ว”

​“เลอฮาร์๑๓ ล่ะ เมอรี่วิโดว์๑๔”

“เอ๊ะ นั่นไม่มี แต่จืดไม่ชอบ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรจะเลือกอีกแล้ว” เขามองไปทางผู้ขาย “นี่ครับทั้งหมดนี่ เว้นแต่ ๘ แผ่นที่แยกไว้”

แล้วบันลือละจากที่เก่าเดินไปทางตู้กระจก ซึ่งมีสมุดโน้ตเพลงวางอวดอยู่เป็นแถว มองดูสมุดเหล่านี้แล้วใจของเขาก็กลับไปคิดถึงบ้านในชนบท คราวนี้เป็นคราวแรกที่เขาจากที่นั้นมาด้วยความรู้สึกว่าจากบ้าน แต่ก่อนเขาจากมาด้วยความรู้สึกว่าเขาละงานไว้เบื้องหลัง และถ้าหากว่าเขารีบกลับไป ก็กลับด้วยความเป็นห่วงงาน ที่อยู่ของเขามิได้มีความหมายสำหรับใจของเขายิ่งไปกว่าที่พักคนเดินทาง

เขาได้ยินเสียงจิตราถามขึ้นว่า “ที่บ้านไร่ของเธอมีวิทยุไหม ?”

“ไม่มี” เขาตอบ

“หีบเสียงล่ะ”

“ไม่มีเหมือนกัน” เขาหัวเราะ “ไม่มีอะไรทั้งนั้นที่นับว่าเป็นของฟุ่มเฟือย”

​หล่อนหัวเราะเยาะโดยไม่แสร้งทำให้เป็นอย่างอื่น แล้วเดินเข้ามาใกล้เขา และพูดเสียงเบาพอให้เขาได้ยิน

“ทุเรศ ! อยู่ ๆ ก็ทรมานตัวโดยไม่จำเป็น”

“ผมถือภาษิตของภัสดาคุณยังไงล่ะ จะหากินจากที่ดินก็ต้องอยู่ด้วยของที่เกิดจากดิน ไม่ยังงั้นจะฉิบหาย”

หล่อนทำจมูกยื่นใส่เขา “โคมลอย” หล่อนว่า “ไอ้พรรค์นั้นแหละจะทำให้เธอเบื่อเร็วขึ้นอีกละ ไหน ๆ เราก็ตั้งใจจะทำงานให้เป็นงานจริง ๆ ก็ทำบ้านให้มันเป็นบ้านเสียด้วยสิ นิสัยของเธอน่ะขาดอะไรอยู่อย่างหนึ่ง คือเธอไม่รู้จักเดินสายกลาง อะไร ๆ ของเธอมันสุดสายป่านไปเสียหมด” แล้วหล่อนก็ละจากเขาไปทางอื่น

บันลือมองตามหลอนไปโดยไม่มีเจตนา นึกขำในคำของหล่อนที่แนะนำเขาในเรื่องทำบ้านให้เป็นบ้าน เขากำลังสารภาพกับตัวเองว่าบ้านของเขาในชนบทได้เป็นบ้านตามความหมายอันแท้จริงแห่งภาษาขึ้นแล้ว ก็พอดีจิตรามาพูดขึ้น เขามีความรู้สึกเป็นห่วงบ้านตั้งแต่นาทีแรกที่รถยนต์ได้พาเขาห่างบ้าน​ไปสุดสายตา—เห็นจะเป็นเพราะเขาได้ละลูกทั้งสองของเขาไว้ ณ ที่นั้นกระมัง ?

จิตราชำระเงินเสร็จ เด็กรับใช้ในห้างนำแผ่นเสียงไปไว้ที่รถ เจ้าของรถและเพื่อนหญิงของเขาเดินตามออกไปพร้อมกัน อีก ๕ นาทีภายหลัง รถก็มาจอดในถนนสั้นอันเป็นซอยเล็กถนนหนึ่ง หน้าห้างขายเครื่องยนต์เกี่ยวกับการกสิกรรม

จิตรานั่งอยู่ในรถ บันลือเข้าไปในห้าง หล่อนมองเห็นเขาได้โดยฝาห้องซึ่งเป็นกระจกตลอดด้านหน้า ผู้จัดการห้างโค้งคำนับเขาอย่าง ‘แป้น’ ที่สุด หยิบกระดาษและสมุดต่าง ๆ มากางตรงหน้าเขา ฝ่ายเขาก็ควักสมุดพกและดินสอออกจากกระเป๋าเสื้อ ทั้งสองต่างเขียนและพูดกันไปพลาง แล้วก็ย้ายจากที่เก่าไปยืนพูดกันในที่ใหม่ จิตรามองตามเขาทั้งสองตลอดเวลา หล่อนชอบดูกิริยาท่าทางของบันลือ ไม่ว่าเขาจะเดิน จะยืน จะนั่ง จะขยับท่าไหน ความประเปรียวเหมาะเจาะสมส่วนไม่มีเวลาที่จะขาดจากอิริยาบถของเขา ในสายตาของจิตราบันลืออาจเป็นต้นเหตุแห่งความอกหักของหญิงได้ง่ายเหลือเกิน ง่ายอย่างที่เขาไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างใดเลยเพียงแต่เขาจะปล่อยให้หล่อนหลงรูปของเขาโดยไม่แสดงอาการดูถูก หรือแสดง​ความเห็นขันที่เกิดขึ้นในใจเขาให้ปรากฏแก่เจ้าหล่อน เขาก็จะเป็นฝ่ายที่มีหญิงใฝ่ฝันถึงจนนับไม่ถ้วน

ในฐานะที่ตนเองก็เป็นหญิง และรู้ฤทธิ์เสน่ห์ในตัวบันลือเป็นอย่างดี จิตราขอบใจเขาที่เขามิได้ใช้สิทธิ์อันนั้นเป็นเครื่องทำลายหญิงคนหนึ่งคนใด เมื่อเขาพูดกับผู้หญิงเขาพูดเพราะมาก แต่เขาไม่พยายามให้ใครเชื่อว่าเขาพูดโดยจริงใจ เขาเลือกยอผู้หญิงได้ถูกตรงที่ผู้หญิงต้องการให้ชายชมเสมอ แต่เขาไม่เว้นที่จะแสดงโดยสีหน้าหรือน้ำเสียงให้หญิงรู้ว่าเขายอหล่อน มิใช่ว่าเขาชมหล่อนด้วยความรู้สึกนิยม ดูเหมือนเขาจะถือว่าการยอเป็นกฎอันหนึ่งในการสมาคมกับสตรีไม่ว่าแก่ว่าสาว และเขาดำเนินตามกฎนี้เพื่อให้ถูกตามแนวทางการสมาคม

มองตามเขาเดินลับหายไปทางหลังห้าง จิตราสงสัยนักว่าเขาได้ปฏิบัติตัวของเขาต่อภรรยาคนใหม่ในสถานใด ถ้าเขาได้แสดงความรักต่อภรรยา หรือแม้แต่เพียงจะปล่อยให้ภริยารักเขา โดยไม่ใช้คำพูดหรือสีหน้าให้หล่อนรู้สึกว่าเขาเห็นหล่อน เป็นเหมือนชวนหัวเช่นเดียวกับหญิงทั่วไป ภรณีคงจะเป็นหญิงที่กำลังเริงอยู่ด้วยความสุขอันเกิดแต่รสรักอันเริงแรง และการที่ภรณีมิได้คิดจะส่งข่าวคราวถึงจิตราบ้างตามที่ควรทำเป็นอย่างยิ่งก็น่าจะเป็นเพราะหล่อนเพลินไปในความสุขอันใหม่นี้จน​ลืมคิดถึงสิ่งอื่น แต่ถ้าในประการตรงกันข้าม คือบันลือปฏิบัติต่อภรรยาเหมือนดังที่เขาปฏิบัติต่อหญิงอื่น ภรณีจะต้องผจญกับความร้อนอย่างมหันต์ที่เกิดขึ้นในใจของหล่อนการที่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับบันลือทุกคืนทุกวัน ย่อมเป็นการบังคับมิให้ภรณีหลีกเลี่ยงจากการหลงรักบันลือได้ ดังนี้ภรณีน่าจะกำลังผจญกับความทุกข์อย่างยิ่ง เพราะไม่มีความร้อนอันใดอีกแล้วในโลกนี้ ที่จะเป็นเหตุแห่งทุกข์หนักโดยแน่แท้ เหมือนความร้อนอันเกิดแต่ความรักที่ไม่มีฝ่ายสนอง

บันลือกลับออกมาทางหน้าร้าน ผู้จัดการห้างเดินตามออกมาส่งและโค้งคำนับอย่าง ‘แป้น’ ยิ่งขึ้นกว่าคราวก่อน ต่างฝ่ายต่างกล่าวคำขอบคุณแก่กันและกัน แล้วบันลือก็เดินอย่างเร็วมาที่รถของเขา

“เบื่อไหม คนสวย ?” เขาถามพร้อมกับที่สตาร์ทเครื่องและมองดูหล่อนด้วยดวงตาแสดงความพอใจ “มัวไปดูเครื่องสูบน้ำแบบใหม่ เลยช้าไปหน่อย”

“ก็สัญญากันแล้วนี่นา ต่างคนต่างจะไม่เบื่อกัน” จิตราตอบ

“แหม ขอบใจจริง นี่จะไปไหนอีก ? เรื่องของผมเสร็จหมดแล้ว ต่อไปนี้แล้วแต่คุณจะสั่ง”

​“ฉันอยากไปดูแพรกับไหมพรม”

“ที่ไหนล่ะ ?”

“ก็ออกไปจากตรอกนี้เสียก่อนซี แล้วจะบอกให้ แต่ฉันสงสารเธอเหลือเกิน จะต้องไปนั่งร้อนอยู่ในรถนานนะผู้หญิงซื้อแพรตัดเสื้อน่ะ”

“ถ้าสงสารว่าจะต้องนั่งคอย ผมไปเดินกับคุณด้วยก็ได้ ดีเสียอีกจะได้ฟื้นความรู้ในเรื่องสมัยของผู้หญิง ไม่ยังงั้นจะเป็นตาสีตาสาขึ้นทุกวัน หรือคุณกลัวจะถูกนินทาว่าไปเที่ยวกับชายหนุ่มสองคน”

“ฮื่อ” จิตราอุทาน “ว่าแต่เธอจะอายไม่อยากเดินกับคนรูปร่างอย่างฉัน ไปเที่ยวซัดนั่นซัดนี่”

เขามองมาดูร่างของหล่อนโดยเร็ว แล้วก็หัวเราะและพูดว่า

“ผมไม่ไปเที่ยวออกรับไอ้เรื่องที่ผมไม่ได้ทำหรอก อย่ากลัวไปหน่อยเลย”

หล่อนเงื้อมือดังจะตีเขาที่แขนให้สาใจ แต่มิได้ดี ค้อนพลางกล่าวว่า “พูดอะไรไม่มีละ อย่างน้อยก็สามแง่เสมอ”

ครั้นเมื่อรถออกมาถึงถนนใหญ่แล้ว จิตราก็พูดขึ้นอีก

​“ฉันเปลี่ยนใจเสียแล้วละ บันลือ ออกรู้สึกว่ายืนมาพอแล้วไม่อยากเดินอีก ไปคุยกันที่บ้านเถอะนะ ถ้าเธอไม่มีโปรแกรมอย่างอื่น”

“เอ๊ะ ก็คุณชวนผมกินข้าวกลางวันไว้ไม่ใช่หรือผมจะมีโปรแกรมอื่นได้อย่างไร ?”

“จะไปรู้เรอะ เผื่อเธอมีธุระทางแถวนี้อีกล่ะ”

“ไม่มี” บันลือตอบอย่างหนักแน่น แล้วเร่งรถให้วิ่งเร็วขึ้น

ระหว่างทางทั้งสองคุยกันด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ แล้วแต่สิ่งที่ผ่านสายตาเขาไปจะชวนให้คิดชวนให้พูดไม่ช้าก็มาถึงบ้านจิตรา เจ้าของบ้านเชิญแขกเข้าไปในห้องรับแขกแล้วหล่อนเองทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งในท่าพักอย่างสบาย

คนใช้ผู้ชายยกแผ่นเสียงเข้ามาในห้อง และนำไปวางที่บนโต๊ะใกล้หีบเสียงเครื่องไฟฟ้าโดยเรียบร้อย แล้วทำท่าจะกลับออกไปจิตราเรียกเขาไว้แล้วถามบันลือ “จะดื่มอะไรคะคุณ เบียร์เอาไหม ? หรือเอาวิศกี้ ?”

เขาสั่นศีรษะโดยเร็ว “น้ำเย็น” เขาตอบ “เดี๋ยวนี้ผมรู้สึกว่ากินเหล้าเวลากลางวันแล้วไม่สบายมันร้อนเกินไป”

​เขาถือสมุดภาพที่เขาได้หยิบขึ้นจากบนโต๊ะติดมือไว้ด้วย แล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง

“เอาน้ำเย็นมาสองถ้วย” จิตราส่งคนใช้ “แล้วดูถีตาตุ๊นอนหรือยัง ถ้ายังบอกให้เชื้อพามานี่ แล้วบอกคุณแดงมาด้วย” สั่งแล้วหล่อนทำท่าหาความสบายต่อไป ส่วนบันลือก็พลิกสมุดภาพทีละใบ ๆ อย่างแช่มช้า มีท่าว่าดูภาพในสมุดนั้นด้วยความสนใจและเพลิดเพลิน

ครั้นค่อยหายอึดอัดและหายร้อน จิตราจึงเปลี่ยนท่านั่งเสียใหม่ จัดผมจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ดีขึ้น แล้วพูดว่า

“เธอเห็นหยำเหยอะไปไหม บันลือ ?”

เขาเงยหน้าขึ้นมองดูหล่อนและทำท่าสนเท่ห์ จิตราหัวเราะแล้วพูดสืบไป

“หยำเหยอะ เผละผละ ท่าทางเป็นคนขี้เกียจ ฉันอ๊ายอาย ไม่อยากพบใครเวลาเป็นอย่างนี้ แต่สำหรับเธอฉันยอมอาย เพราะไม่รู้จะทำยังไง มีอะไรที่ฉันอยากฟังจากเธอมากเหลือเกิน”

เขามองดูหน้าหล่อน เห็นลักษณะความสวยของหญิงที่กำลังจะย่างเข้าสู่วัยเป็นผู้ใหญ่อย่างแท้จริง แต่ก็ยังมีความเบิกบานของหญิงสาวที่มีสุขเต็มเปี่ยมปรากฏอยู่ เขารู้ว่าจิตรารู้ดีถึง​ความที่ตัวหล่อนเป็นผู้มีเสน่ห์อยู่ในรูปและในจริตแต่หล่อนต้องการคำบอกเล่าจากปากผู้อื่นเพื่อความแน่ใจยิ่งขึ้น

“คุณควรจะภูมิใจ ในเวลาที่คุณกำลังทำหน้าที่สร้างชีวิตแก่สัตว์ที่เป็นยอดของสัตว์” เขากล่าวในเสียงเป็นงานเป็นการ ซ่อนความรู้สึกเห็นขันไว้ในหน้า “ผู้หญิงที่กำลังทำหน้าที่อันนี้เป็นผู้ที่มนุษย์ทุกคนต้องมองดูด้วยความนอบน้อมและปรานี ในฐานะที่เป็นมารดาโลก”

หล่อนทำเสียงอืม์ ! ในคอแล้วว่า

“เธอน่ะ พูดอะไรก็พูดตามทฤษฎีเสียมากเหลือเกิน แต่ไอ้ในใจของเธอ—” หล่อนละประโยคค้างไว้เพียงนั้น

บันลือหัวเราะ “ในใจของผมมันมีอะไรมั่งก็ช่างมันปะไร เพราะผมรักตัวของผมมากเกินที่จะทำอะไรให้ผิดไปจากกฎของสังคม จนถึงกับแตกหัก”

“เธอทำให้ฉันนึกถึงพวกตัวโกงในหนัง หรือในหนังสือต่างๆ” หล่อนว่าอย่างจริงจัง “พวกหน้าไหว้หลังหลอก ต่อหน้าคนทำอย่างหนึ่ง ลับหลังทำอีกอย่างหนึ่ง”

“อ๋อ พวกหน้าไหว้หลังหลอกน่ะ สันดานของเขายังหยาบมากไป” สีหน้าบันลือไม่เปลี่ยนจากลักษณะหัวเราะ “เพราะ​เขาไม่อายคนด้วยกัน อย่างผมน่ะสันดานประณีตกว่านั้น ผมเพียงแต่หน้าไหว้ในหลอก เพราะผมเป็นคนขี้อาย อายคนไม่เลือกหน้า”

“คนที่สันดานประณีตจริง ๆ เขาอายจนกระทั่งตัวเขาเอง”

“โอ้ คุณจิตรา” บันลือร้อง “คุณนึกว่าคนในโลกนี้มีมากนักหรือ ที่รู้จักตัวเองดีพอ ถึงกับมีโอกาสได้อายตัวเอง ?”

“ทำไมจะไม่มี” หล่อนยืนยัน “คนสุจริตทุกคนต้องรู้จักอายตัวเอง”

“ถูกแล้ว ถ้าเขารู้จักตัวเขาดี เท่ากับที่คนอื่นเขารู้จัก หรือเห็นตัวของเขาเองชัดเท่าที่คนอื่นเขาเห็น แต่คนอย่างนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ ตามที่ผมสังเกตนะ คุณจิตราผมจะบอกให้ คนเรารักษาความสุจริตต่อคนอื่นง่ายกว่าที่จะรักษาความสุจริตต่อตัวเอง จะโกหกคนอื่น ไม่ค่อยกล้ากลัวเขาจับได้ แต่กับตัวเองละก็บ่อยที่สุด แล้วโกหกพล่อย ๆ เสียด้วย”

จิตรายอมรับอยู่ในใจว่า เขาพูดตามหลักความจริงอันสูงและประณีต แต่หล่อนไม่สมัครจะยอมรับเช่นนั้นต่อเขา จึงพูด​แกมหัวเราะ “เขาว่าคนเราใจของตัวเป็นอย่างไรก็นึกว่าใจคนอื่นเขาเป็นอย่างนั้นด้วย”

บันลือขยับไหล่น้อย ๆ และว่า “ขอบคุณที่ออกปากแสดงความเชื่อว่าผมพูดตามความจริงใจ นับว่าผมไม่ได้เสียสละโดยเปล่าประโยชน์”

หล่อนอมยิ้มมองดูเขานั่งอยู่ ในขณะที่เขาพลิกสมุดภาพดูไปอีก แล้วคนใช้นำน้ำเย็นเข้ามาและบอกว่า

“คุณตุ๊ลงเปลแล้ว”

“หนูแดงล่ะ ?” บันลือถาม

“นั่นซิ หนูแดงทำอะไรอยู่ ?”

“เล่น” ผู้ตอบยิ้มน้อย “ตัดใบไม้เกลื่อน ผมบอกแล้วคุณให้หา”

“ไปบอกอีกไป๊ว่า คุณบันลือมา” จิตราสั่ง

“อย่ากวนแกเลย แกกำลังเล่นเพลิน” บันลือค้าน “เล่นเบื่อเมื่อไหร่แกก็มาเองแหละ”

“เอ้ายังงั้นไม่ต้องไปเร่ง แต่บอกให้รู้นะว่า คุณบันลือมา”

เมื่อคนใช้ไปพ้นแล้ว หล่อนหันกลับมาถามบันลือ

​“เด็ก ๆ ของเธอเป็นยังไงมั่งล่ะ ไปอยู่หัวเมืองถูกกับอากาศไหม ?”

“เห็นจะถูก ดูสดใสขึ้นทั้งสองคน”

“ดี แล้วเด็กของฉันล่ะเป็นยังไง ?” หล่อนหัวเราะเมื่อเขาทำท่าไม่เข้าใจ “น้องสาวฉันน่ะ”

“สบายดี ขอบคุณ”

หล่อนร้องจุ๊ ! และว่า “เอาอีกแล้ว ฉันไม่ได้ถามถึงการเจ็บไข้ ไอ้นั่นฉันถามแล้วตั้งแต่นาทีแรกที่พบเธอแล้ว เธอก็ตอบเสร็จแล้ว เวลานี้ฉันถามอย่างอื่น ถามว่าเขาเป็นอย่างไรตามความเห็นของเธอฉันอยากรู้ว่าฉันได้เลือกผู้หญิงดีอย่างที่ฉันอยากให้ดีมาให้กับเธอหรือว่าฉันหลงงมเลือกคนบ้า ๆ มาให้”

“อ๋อ คือว่าผมทำหน้าที่ของผมขาดไปอย่างหนึ่งผมยังไม่ได้ขอบพระเดชพระคุณ คุณจิตราที่ได้หาผู้หญิงสมกับความต้องการของผมครบถ้วน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็มมาให้ผมได้”

“เธอไม่มีอะไรจะข้อนฉันแล้วหรือ ทีนี้ถึงมาหาว่าฉันทวงบุญคุณ ? ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเธอพูดหมายความว่ากระไร”

“โถ จิตรา” เขายิ้ม “หมายความอย่างที่พูดทุกคำ”

​“แปลว่าเป็นผู้หญิงที่ถูกใจเธอแล้ว ?”

“จะหาที่ถูกยิ่งกว่านี้เห็นจะไม่ได้ ?”

“เธอรักแกไหม–ถามจริง ๆ ?”

“รัก” เขาตอบหน้าเฉย แล้วก็ยิ้มออกมาในทันทีและว่า “ไม่เชื่อซี !”

“ไม่รู้” จิตราตอบอย่างตรึกตรอง “เธอน่ะเป็นผู้ชายที่—แปลก—หรือ—อะไรไม่รู้ เธอมีเวลาทำตัวให้คน—ไม่รู้จะเข้าใจเธอว่ายังไง—แล้วภรเขาทำอะไรมั่งทั้งวัน–”

“ตรงนี้ตอบไม่ถูก เพราะผมเองเช้าขึ้นก็ออกทำงานทั้งวัน ๆ เหมือนกัน”

“เล่าไปให้ตลอด” หล่อนสั่งเด็ดขาด “ตั้งแต่ตื่นนอน เธอทำอะไรมั่ง กินอาหารเวลาไหน กี่มื้อ ตื่นกี่โมงนอนกี่ทุ่ม ?”

“โธ่ ตายเทียวนาเล่าหมดนี่นะ ไปดูเองเป็นยังไง”

“อื๊อ รู้ว่าไปไม่ได้ถึงได้ท้า”

“เอ๊ะ ทำไม่ถึงไปไม่ได้” เขาทำท่าสงสัยอย่างจริงจัง “ผมรับรอง ไม่ให้อะไรกระทบกระเทือนคุณได้เลย ผมจะถนอมจิตราของผมเหมือนไข่ในหิน มดมิให้ไต่ไรมิให้ตอม”

​“อ้อ ยังงั้นเธอก็ต้องเอาฉันใส่ไว้ในมุ้ง แล้วฉันก็เลยไม่ต้องได้ดูได้เห็นอะไรกัน”

“ก็คุณเกิดจะใช้ความคิดของศรีธนญชัยขึ้นมาอย่างนี้ผมก็หมดปัญญา !”

จิตราหัวเราะ “เธอเลี้ยงฉันไหวหรือ ?” หล่อนถาม “ฉันเป็นโรคกินเธอรู้ไหม กินตลอดวันทีเดียว แล้วต้องกินของดี ๆ ของวิเศษต่าง ๆ ขนาดหนวดเต่าเขากระต่าย”

“กระต่ายทางบ้านผมเผอิญไม่มีเขา ขนาดเนื้อกระต่าย เนื้อกวาง เนื้ออีเก้ง พอไหม เจ้าพวกนี้ทางบ้านผมสมบูรณ์ที่สุด นก จะต้องการเมื่อไหร่ ก็ได้เมื่อนั้น”

“แหม ปานาจัดเหลือเกินนี่ ไอ้เนื้อต่าง ๆ น่ะเธอทำอะไรกิน ?”

“ทุกอย่าง ย่าง ทอด อบ สะตู สะเต๊ก แล้วแต่เขาจะทำมาให้”

“เขาน่ะใคร แม่ครัวหรือแม่บ้าน ?”

บันลือหัวเราะด้วยความขันอย่างจริงใจ เมื่อนึกถึงนางเนียบแม่ครัวในฐานะเป็นผู้ประกอบอาหารชนิดที่เขาบรรยายให้จิตราฟัง “แม่บ้าน” เขาตอบ แล้วเล่าต่อไป

​“เนื้อวัวหายากหน่อย คือว่าต้องเดินทาง ๓๒ กิโลถึงจะได้มา แต่ถ้าจะเอาจริง ๆ ก็ได้เพราะ ๓๒ กิโลโดยรถยนต์ ถึงทางจะเลวแสนเลวก็ไม่ถึง ๒ ชั่วโมง”

“หมูล่ะเธอ เนื้อไม่สำคัญเท่าหมู เพราะเราต้องใช้น้ำมัน”

“หมูก็ ๓๒ กิโลเหมือนกัน แต่ว่าเจ๊กเอาส่งสองวันหนหนึ่งเป็นอย่างน้อย บางทีก็ส่งติด ๆ กันแล้วแต่เจ้าเจ๊กเขามีธุระมาทางบ้านเราหรือไม่มี”

“แหม อยู่ไกลตลาดมากเทียวรึ บ้านเธอน่ะ ?”

“ก็ ๓๒ กิโลนั่นแหละ คือระยะทางจากอำเภอมาถึงบ้าน ไอ้ตลาดมันก็อยู่ใกล้ ๆ อำเภอ”

“ฉันอยากให้เจริญไปเที่ยวกับเธอสัก ๒–๓ วัน” จิตรากล่าวอย่างตรึกตรอง “สองปีแล้วเธอเชื่อไหมเจริญทำงานโดยไม่ได้พักเลย”

“ผมก็อยากให้เขาไป” บันลือตอบ “แต่ไม่อยากเท่ากับให้คุณไป”

“อ๋อ ถ้าไม่ตอบอย่างนี้มันก็ไม่ใช่เธอ” จิตรากล่าววางหน้าเฉย แล้วหล่อนก็ถามสืบไป “อาหารอย่างอื่นล่ะ ผัก ไก่ ไข่ ขนมปังปอนด์ ?”

​“โอ๊ย ไอ้สามอย่างแรกน่ะเหลือเฟือ ขนมปังมีแต่หวาน ๆ เปรี้ยว ๆ อย่างขนมปังเจ๊ก ไม่กินเสียดีกว่า”

“งั้นเวลาเช้าเธอกินอะไร ? ข้าวต้ม ?”

“ผมมีหมูเบคอนกับขนมปังอย่างดีกินทุกวัน” เขาหัวเราะ “ทั้งสองอย่างทำขึ้นในบ้านผม เพราะยังงั้นถึงได้บอกว่าขอบพระเดชพระคุณคุณจิตราเป็นล้นพ้น ที่ได้หาแม่บ้านชั้นที่หนึ่งให้”

จิตรามองดูเขาอย่างไม่แน่ใจนัก แล้วพูดเป็นเชิงปรารภ

“ดี ฉันพอจะมองเห็นแล้วว่าภรของฉันทำอะไรมั่ง นิสัยของเขาเป็นคนไม่ชอบอยู่เปล่าอยู่แล้ว และยังไงอีกล่ะ นอกไปจากการบ้านแล้วเขาทำอะไรอีก ?”

“ดีดออร์แกนเพลงสวด”

จิตราทำตาโต แล้วตบขาตัวเองดังฉาด แล้วจึงอธิบาย

“ฉันลืมสนิทว่าภรเคยเรียนเปียโนที่โรงเรียนจนเล่นได้ดี พิโธ่ลืมคุยให้เธอฟังไปได้ แล้วไอ้ที่บ้านป่าของเธอทำไมมีออร์แกนด้วย ไหนว่าไม่มีอะไรที่เป็นของฟุ่มเฟือย ?”

​“ผมได้มันมา ตั้งแต่แรกที่ผมไปกันสร้างที่ดินนั่นพอผมปลูกกระต๊อบสำหรับพักเสร็จ ก็เอาไอ้นั่นมาไว้ทีเดียว คือว่าแต่ก่อนนี้ที่ใกล้ ๆ อำเภอมันมีโรงสวดคาธอลิคตั้งอยู่ แต่ทีหลังคนที่ไปสวดจะน้อยเข้าหรือยังไง ก็มีการย้ายโรงสวดที่อำเภอไปรวมกับโรงที่จังหวัด นายอำเภอแกเป็นนักดนตรี แกขอซื้อออร์แกนไว้จากจีนหัวหน้าโรงสวด ครั้นมาตอนหลังแกเบื่อออร์แกนอยากจะเล่นอย่างอื่น ก็เกิดอยากจะขายออร์แกนเสีย ข้างผมเป็นคนใหม่ไปกำลังประจบมนุษย์ทุกคนที่มีอิทธิพลอยู่ในแถบนั้น พอนายอำเภอปรารภว่าจะขายผมก็ปรารภว่าจะซื้อ”

“แล้วในระหว่างที่ภรไม่ไปอยู่ เธอก็เก็บไอ้เจ้าออร์แกนอันนั้นไว้เป็นเจ้า ?”

“เปล่า” บันลือตอบ “เผอิญมีประโยชน์ แก่คน ๆ หนึ่ง หัวหน้าคนงานของผมเล่นทุกคืน เสียอย่างเดียวบางทีมันหนวกหู จะอ่านหนังสือหนังหากชักรำคาญแต่ก็ต้องทนให้เขา เพราะไอ้บ้านเราเงียบยิ่งกว่าป่า เอาคนหนุ่มไปไว้ก็เห็นใจมัน”

“แล้วภรเขาเล่นได้ดีไหมเล่นขึ้นใจหรือดูโน้ต ?”

​“ดูโน้ตขาดกระร่องกระแร่งดูเหมือนจะมีสักสี่หน้าเท่านั้นเอง แต่เผอิญเป็นเพลงดี เรเคียม๑๕ ของเวอร์ดี๑๖ อเวมาเรีย๑๗ ของคูโน๑๘ นายจีนหัวหน้าโรงสวดคงนึกว่า นายอำเภอเป็นนักออร์แกนมือเอก อุตส่าห์ให้โน้ตเพลงดี ๆ ไว้ เมื่อแรกมาถึงผมก็ขาดรุ่งริ่งมาเต็มทีแล้ว ได้ความว่าเจ้าลูก ๆ ของท่านนายอำเภอฉีกเล่นกันเสียหมด”

จิตรานิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า

“พื้นของเขาดีนา บันลือ เมียเธอน่ะความรู้ของลูกผู้หญิงละเขามีพร้อม ขอให้เธอช่วยหน่อยเท่านั้นแหละ ไม่ต้องอะไรมาก เพียงแต่ว่าอย่าทำไอ้ท่าดีด ๆ หัวร่อ ๆ อย่างน่าหมั่นไส้ของเธอใส่เขาบ่อยนัก พูดกันตรงๆ ฉันไม่ค่อยไว้ใจเธอเลย เธอมีไอ้อะไรที่ฉันไม่เข้าใจ แล้วอ่านเท่าไรก็อ่านไม่ออก ไหว้ทีละ อย่าทำให้เมียของเธอเสีย เสียเพราะไอ้ที่ฉันว่าฉันไม่เข้าใจนี่นะ ผู้หญิงน่ะจะดีหรือจะเลวก็เพราะผัวคนเดียว ​ถ้ายายภรแกเสียไปล่ะก็ ต้องโทษเธอละ แล้วเธอเองจะต้องเสียใจ ว่าตัวน่ะเหมือนช้อนตักข้าว ไม่รู้รสแกง”

บันลือหัวเราะด้วยเสียงอันดัง

“ในโคลงเขาว่า เช่นจวักตักข้าว ห่อนรู้รสแกง คุณไปเปลี่ยนของเขาเสียทำไม ถ้าผมถูกลดตำแหน่งจากมนุษย์ลงไปเป็นช้อนได้จะลดลงไปเป็นจวักอีกชั้นหนึ่งก็ไม่เห็นมันแปลกอะไรนี่ แต่ว่าช้อนหรือจวักก็ตาม มันรู้รสแกงแล้วมันอาจจะไม่ชอบก็ได้เหมือนกัน”

“แต่ยังไง ๆ ขอให้รู้เสียก่อน อย่าทำหูหนวก ตาบอด ทิษฐิมานะ มองเห็นแต่แง่เสียของคน พอดี คนดี ๆ ก็จะเลยกลายเป็นคนเสียไปจริง ๆ” แล้วจิตราก็ค้อนจนตาคว่ำ ด้วยความรู้สึกที่หมั่นไส้อย่างจริงจัง

.

๑. Schubert ↩

๒. Mozart ↩

๓. Beethoven ↩

๔. Flotow ↩

๕. Martha ↩

๖. Last Rose of Summer ↩

๗. Ah! So Pure ↩

๘. Rigoletto ↩

๙. Verdi ↩

๑๐. Woman is Fickle ↩

๑๑. Sullivan ↩

๑๒. Mikado ↩

๑๓. Lehar ↩

๑๔. Merry Widow ↩

๑๕. Requiem ↩

๑๖. Verdi ↩

๑๗. Ave Maria ↩

๑๘. Bach–Gounod ↩




56

๒๐



ดูก่อนกุมารีทั้งหลาย เจ้าทั้งหลายพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า–“การงานเหล่าใดเป็นการงานภายในของสามี—เราจักเป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้านในการงานเหล่านั้น (จักเป็นผู้) ประกอบด้วยความฉลาดอันเป็นอุบาย (ที่จะทำการงานให้สำเร็จ) สามารถที่จะทำเอง สามารถที่จะจัด (ให้ผู้อื่นทำ) ในการงานเหล่านั้น”

 


อาหารที่บนโต๊ะล้วนแล้วแต่เครื่องกระป๋อง ขนมปัง ไส้กรอก ตับห่าน หมูแฮม ผักดอง, นอกจากนี้ก็มีที่กาแฟตั้งอยู่ด้วย

โต๊ะอาหารเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดใหญ่ เมื่อมีผู้นั่งด้านละคนก็จะรู้สึกว่ามีที่เหลือมาก แต่ถ้าจะนั่งด้านละ ๒ คนก็จะรู้สึกว่าคับแคบ ภรณีมองเห็นที่ของหล่อนอยู่ตรงหน้าเจ้าของบ้าน เพราะเป็นที่เดียวที่มีความสะอาด มีดและซ่อมสะอาดวางอยู่ เจ้าของบ้านมิได้เงยหน้าขึ้นมองดูหล่อน เขากำลังหั่นไส้กรอกให้ลูกหญิงของเขา และเมื่อหั่นเสร็จยกจานวางให้ตรงหน้าเด็ก​เรียบร้อยแล้ว เขาก็หันมาผสมกาแฟให้ตัวเอง โดยไม่ลืมที่จะรักษาสายตาไว้ในระดับพื้นโต๊ะ แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าเขามองไม่เห็นตัวหรือกิริยาท่าทางของภรณี เขาเห็นหล่อนเอื้อมหยิบขนมปังออกจากหีบ พร้อมกับถามเด็กชายที่อยู่เบื้องซ้ายหล่อนว่าจะต้องการบ้างหรือไม่ แล้วหล่อนก็ปฏิบัติเด็กชายไปพร้อมกับที่หล่อนปฏิบัติตัวเอง สิ่งที่เขาไม่เห็นหรือไม่ตั้งใจจเห็น คืออาการที่หล่อนยิ้มให้กับเด็กกับดวงตาที่หล่อนมองดูเด็ก แล้วมองต่ำลงเพียงระดับพื้นโต๊ะ เช่นเดียวกับที่เขาทำอยู่ เขารู้ว่าด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง หล่อนไม่อาจทนต่อตากับเขาได้ แม้แต่เพียงชั่วอึดใจอันสั้นที่สุด แต่ประหลาดใจตัวเองว่าตัวก็มีอาการไม่สมัครจะต่อตากับหล่อนด้วยเหมือนกัน ความรู้สึกนี้เพิ่งเกิดมีแก่เขาเมื่อตอนเช้านี้เอง

เขาผสมกาแฟถ้วยที่สอง แล้วใช้ช้อนคนอยู่นานกว่าที่จำเป็นมาก เขาเห็นหน้าหญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาด้วยความจำเป็น เป็นหน้าที่ดวงตาถูกเร้นเสียด้วยเปลือกตาและขนตาอันยาว เป็นหน้าที่มองเห็นตั้งแต่คางอันกลม จนถึงโคนเส้นผมที่สยายอยู่บนหมอน เป็นหน้าที่นวลพริ้ง งามบริสุทธิ์เด่นอยู่ในความสว่างสลัว ๆ เขาเกือบจะพลั้งปากอุทานออกมาด้วยความตกใจ และ​เกือบจะถลันออกนอกมุ้งด้วยความที่กลัวจะเสียกิริยา แต่อำนาจประหลาดอันหนึ่งได้รั้งตัวเขาไว้ แล้วความรู้สึกซึ่งสิทธิอันตนมีอยู่จึงตามมา เขาเป็นสามีของหญิงนี้โดยชอบด้วยกฎหมายและประเพณีนิยม เพียงแต่เปิดมุ้งเข้ามา พบหล่อนหลับอยู่เช่นนี้ เหตุไฉนเขาจะต้องรีบหนีราวกับผู้ร้ายย่องเบากลัวเจ้าของทรัพย์เขาจะจับได้ อย่าว่าแต่เพียงมาพบโดยเผอิญ เพราะห้องนี้เป็นห้องที่เขาได้จัดไว้สำหรับลูกและนางนมของเขา ถึงแม้จะมีเจตนามาพบก็หาเป็นข้อที่เขาจะต้องกลัวเกรงใครไม่

แต่บันลือเกลียดภาพของตัวเอง ที่เขามานึกได้ภายหลัง และเกลียดความรู้สึกของตน ที่จำได้พร้อมกับที่นึกถึงภาพนั้น ภาพของเขานั่งเท้าแขนอยู่บนเสื่อริมที่นอน ขาทั้งสองอยู่ในมุ้ง ครึ่งหนึ่งอยู่ข้างนอกครึ่งหนึ่ง ตะลึงตะลานไปด้วยสิ่งที่ปรากฏแก่สายตา และความรู้สึกที่ไม่เคยรู้สึกมาแล้วตลอดเวลา ๗–๘ ปี–เขารู้ว่า ถ้าเขาไม่นึกถึงสิ่งแวดล้อม—หญิงที่กำลังหลับสนิทจะถูกปลุกให้ตื่น แล้วเหตุการณ์ซึ่งอยู่นอกเจตนาของเขาก็จะต้องเกิดขึ้น

“สันดานสัตว์ !” เขาบริภาษตัวเองเมื่อพ้นมุ้งออกมาได้

​แล้วหล่อนก็ตามไปพบเขาอีกในขณะที่เขาเพิ่งจะลบภาพของหล่อนออกจากสมองได้ไม่ทันกี่นาที มีกิริยาเหมือนยอดไม้อ่อนที่หวาดไหวเพราะแรงพายุ มีแววตาเหมือนนางเนื้อที่มองเห็นพยัคฆ์ และเมื่อเขาชี้แจงการงานแก่หล่อน หล่อนทำท่าเหมือนนักเรียนที่ตั้งใจฟังคำสั่งของครูเพราะความกลัว มิใช่เพราะความสนใจในคำสั่งนั้น กิริยาของหล่อนทำให้เขาเกิดโทสะกรุ่น ๆ อยู่ในใจ เขาเคยพบหญิงที่มีอาการกลัวเขาจนน่าสังเวชแล้วครั้งหนึ่ง คือมารดาของเด็กชายก้องและเด็กหญิงป่อง แต่หญิงนั้นไม่ทำให้โทโสเกิด ส่วนหญิงคนใหม่นี้ –

“คุณพ่อครับ ขอกาแฟให้อาภรมั่ง”

“ขอหนูมั่ง” เด็กหญิงกล่าว

เขามองดูลูกทั้งสองคนละที แล้วนึกขึ้นได้ถึงดวงตาหลายคู่ที่มองดูเขาอยู่รอบ ๆ ข้าง หญิงที่กวาดลานบ้านกวาดแกรก ๆ แล้วก็รามือมองขึ้นมาบนเรือน หญิงที่กวาดระเบียง ๆ เรือนอยู่ทางโน้น แกว่งไม้กวาดไปมาตามบุญตามกรรม ผงอยู่ที่ไหนบ้างดูเหมือนจะไม่ได้ดู เพราะมัวแต่ดูคน นางพวงเคี้ยวหมากหยับ ๆ แล้วก็หยุดเคี้ยว ตาจ้องอยู่ที่โต๊ะจนลืมตัว นายถีมีอาการทำหน้าเจื่อนเมื่อสายตาของนายผู้ชายแลไปที่ตน “ไอ้นี่มันมีอะไรอยู่ในหัวของมัน ?” บันลือนึกทันใดนั้นเขาพูดขึ้น

​“ยายป่องกินกาแฟได้ไหม ?” แล้วจึงมองตรงไปยังหน้าของภรณี

เขาเกือบไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อได้ยินเสียงของหล่อนตอบว่า

“ดิฉันกำลังจะถามแม่พวงอยู่เหมือนกันว่า คุณมุกดาเคยให้รับประทานหรือ”

“เชื่อว่าเคย แล้วคงบ่อยด้วย” เขาตอบ “พี่มุกดาเป็นโรคตามใจเด็ก แต่เดี๋ยวนี้— อาภรเป็นคนเลี้ยง อาภรสั่งว่ายังไงก็ต้องเป็นอย่างนั้น”

เขารู้สึกพอใจตัวเองที่ได้ฝืนใจพูด และทำไปตามทางที่ควร เขารู้สึกพอใจภรณีที่เลิกทำตัวเป็นลูกนกเปียกน้ำ เมื่อเขาพูดกับหล่อนท่ามกลางการเฝ้ามองของคนใช้ บันลือดูถูกบรรดานายที่ทำตัวให้บ่าวเก็บไปเป็นเรื่องสำหรับนินทาหรือวิจารณ์เล่นในเวลาลับหลัง เห็นว่าเป็นการกระทบกระเทือนถึงอำนาจการปกครอง ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง

ฝ่ายภรณีก็เกือบจะไม่เชื่อหูตัวเอง เมื่อได้ฟังคำตัดสินประโยคสุดท้าย คำพูดนี้ทำให้อาการจุกที่คอหอยหายไปได้ดังปลิดทิ้ง เป็นเครื่องล้างความรู้สึกตัวว่าเป็นผู้ไร้ค่าในสายตาของนางพวงและนายถี รวมทั้งสายตาคนอื่น ๆ ที่อยู่ในที่นั้นให้หายไปจากความคิดของหล่อน

​“วันนี้ให้รับประทานนิดหน่อยเห็นจะได้” หล่อนพูด แล้วมองดูเขาเป็นเชิงปรึกษา ครั้นเขามองตอบหล่อน หล่อนก็หลบตาไปมองดูเด็กหญิงเสียทันที บันลือลุกจากที่นั่งมองข้ามศีรษะหล่อนไปไกล และพูดว่า

“ต้องไปดูงานเสียที มีธุระอะไรก็ให้นายถีไปตาม”

เขาลงบันไดไปโดยเร็ว ภรณีโล่งใจขึ้นถนัด หล่อนรับประทานอาหารต่อไปด้วยความรู้สึกในรสอร่อย พลางฟังเด็กชายเด็กหญิงเล่าถึงการเที่ยวของเขาทั้งสองเมื่อตอนเช้า หล่อนได้แกล้งทำลืมเรื่องที่เด็กหญิงร้องขอจะดื่มกาแฟ เพื่อลองดูว่าเด็กชอบอาหารนั้นจริงหรือร้องขอขึ้นมา เพราะอยากจะเอาอย่างผู้ใหญ่ เมื่อหล่อนผสมกาแฟให้ตัวเอง เด็กหญิงมองดูกิริยาของหล่อนอย่างเอาใจใส่ แต่มิได้แสดงความประสงค์ที่จะบริโภคของสิ่งนั้นอีก

เสร็จการรับประทานแล้ว ภรณีลุกจากโต๊ะกลับเข้าในห้อง เด็กทั้งสองตามเข้าไปด้วย และจัดนั่นรื้อนี่ในบรรดาของ ๆ ภรณีเป็นพัลวัน เจ้าหล่อนไม่หวงห้าม เป็นแต่คอยระวังมิให้เด็กทำของเสีย หรือทำบาดแผลให้แก่ตัวเอง เมื่อเบื่อของที่ได้ดูจนทั่วแล้ว เด็กก็ขึ้นไปปลุกปล้ำกันอยู่บนเตียงนอน ​ภรณีคอยเตือนอย่าให้ปล้ำกันแรงนักจะทำให้เจ็บตัว เพราะพลัดตกจากเตียง หล่อนทำงานไปด้วยดูเด็กไปด้วยเช่นนี้ จนงานจัดในห้องสำเร็จโดยเรียบร้อย

แต่พอว่างงาน ลงนั่งพักทอดอารมณ์โดยสบายได้สักครู่ ก็เกิดความรู้สึกว่าตนขาดนาฬิกาสำหรับดูโมงยาม ซึ่งเป็นการขาดอย่างสำคัญ จะดูดวงอาทิตย์หรือคะเนแสงแดดเพื่อรู้ว่าเป็นเวลาใกล้เที่ยงหรือยังห่างไกลก็ดูไม่ออก คะเนไม่ถูก ดูเหมือนแสงแดดแผดกล้าอยู่เช่นนี้ตั้งแต่แรก ที่หล่อนออกจากมุ้ง ส่วนอากาศก็โปร่งเย็นสดชื่นน่าสบายอยู่เช่นนี้ตั้งแต่ต้นเหมือนกัน หล่อนนึกถึงเวลาอาหารมื้อที่สอง เจ้าของบ้านเคยบริโภคในเวลาใด ชาวบ้านนี้เขาจ่ายตลาดกันที่ไหน และใครเป็นผู้มีหน้าที่ประกอบอาการ หล่อนลุกขึ้นไปยืนที่หน้าต่างด้านหนึ่งเพื่อดูไปที่เรือนครัว ก็เห็นแต่นายถีนางพวงและหญิงอีก ๒ คนยืนพูดกันอยู่ ประหลาดมากที่บ้านนี้ดูท่าทีเหมือนกับว่าทุก ๆ สิ่งจะสำเร็จไปเองโดยไม่มีผู้ใดต้องทำอะไร เพราะผู้คนที่มองเห็นอยู่ในที่ต่าง ๆ นั้น ล้วนแต่ทำอาการเหม่อกับอาการพูดอยู่ทั้งสิ้น

หรือว่าเจ้าของบ้านบริโภคอาหารแต่เพียง ๒ มื้อ ? ดูแต่เมื่อวานนี้สิ เขารับประทานอาหารกลางวันที่บ้านแล้วก็นั่งมา​ในรถไฟ โดยไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องอีก แม้แต่น้ำสักหนึ่งหยด ครั้นมาถึงที่อยู่นี้แล้ว หล่อนตั้งใจคอยดูว่าเมื่อไรเขาจะรับประทานอาหาร ก็ไม่เห็นเขารับประทานจนแล้วจนรอด หรือว่าเขารับประทานเมื่อหล่อนเข้านอนแล้ว หล่อนได้ยินเสียงเขาเดินกุกกักอยู่รอบ ๆ ห้อง ทั้งบนเรือนและรอบเรือน แต่ไม่ได้ยินเสียงที่สังเกตได้ว่า เขาลงนั่งรับประทานอาหารเลย

เสียงฝีเท้าคนสวมรองเท้าเดินขึ้นมาบนเรือน ใกล้เข้ามาทางห้องภรณี หญิงสาวหันหน้าจากหน้าต่าง กลั้นหายใจโดยไม่มีเจตนา แต่เมื่อเห็นตัวเจ้าของฝีเท้า สีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนไปและเปลี่ยนหนักขึ้น เมื่อเขาผู้นั้นเดินเข้ามาเกือบถึงกลางห้อง

“ต้องการอะไร นายนพ?” หล่อนถามโดยเร็ว เพื่อยุติการล่วงล้ำของเขาไว้เพียงนั้น

“เงินค่าโทรเลข”

“เท่าไหร่ ?”

เขาทำท่างง ภรณีจึงถามต่อ “โทรเลขกี่คำล่ะ ?”

“ไม่ทราบ”

ถึงคราวที่ภรณีออกงงบ้างแล้ว ภายหลังหล่อนจึงถาม

​“ร่างโทรเลขอยู่ที่ไหนล่ะ ที่เขียนไว้จะไปส่งนะ ?”

“คุณกำลังเขียนอยู่”

“ก็รอให้เขียนแล้วเสียก่อนซิ”

“ขอเงินค่าหมูด้วย สองหน เมื่อวานเจ๊กเอามาส่งอีกหนหนึ่ง คุณไม่อยู่”

“เป็นเงินเท่าไหร่ ?”

“ไม่ทราบ”

ภรณีนึกฉิวชายผู้นี้จะมา ‘ท่าไหน’ ต่อหล่อน

“ใครเป็นคนรับหมูไว้ ?” หล่อนถาม

“นังเนียบ”

“ไปถามเขาสิหมูราคาเท่าไหร่”

เขาเหลือบตาขึ้นมองดูหล่อน ภรณียืดตัวขึ้นในท่าเตรียมสู้เต็มที่ แต่หล่อนก็เห็นได้ในทันทีนั้นว่าฝ่ายเขามิได้มีท่าทางท้าทายแต่อย่างใด หันกลับ และเดินออกไปจากห้องโดยดี ภรณีมองตามด้วยความสงสัย หน้าตาก็คมคาย ลักษณะก็ไม่ดูเป็นคนโง่ เหตุไฉนจึงมีแต่ความไม่ทราบมาแถลง จะคิดว่าเขาตั้งใจ ‘โย’ ก็มองไม่เห็นอาการเช่นนั้นอยู่ในท่วงที

ส่วนนายนพเมื่อลงจากเรือนไปแล้ว มีความรู้สึกไม่พอใจในหญิงสาว เขาทำงานอยู่กับคุณผู้ชายของเขาเกือบปีครึ่ง​แล้ว ไม่เคยรู้สึกว่าถูกซักถามจุกจิกเช่นนี้ เมื่อเขาขอเบิกเงินซื้อของ เขาได้รับคำถามแต่เพียงว่า ‘ซื้ออะไรมั่ง?’ แล้วก็จะได้รับเงินที่เกินราคาสิ่งของนั้นประมาณเท่าตัว ส่วนราคาอันแท้จริงของสิ่งของ เขาจะต้องแจ้งให้คุณผู้ชายทราบ ก็ต่อเมื่อการซื้อจ่ายสำเร็จเรียบร้อยแล้ว แม้เงินค่าหมูก็เหมือนกัน จีนผู้ขายหมูมาส่งไว้แก่นางเนียบ แล้วก็ไปขอรับเงินจากนายนพ ขอเท่าไรนายนพก็ให้เท่านั้น ไม่เคยต้องเสียเวลาเดินไปสอบถามแม่ครัว หรือบางทีนายนพออกไปทำงานไกลจากบ้านมากนัก จีนเจ้าหมูไม่รอรับเงิน วันหลังนายนพมีธุระจะไปที่อำเภอ ซึ่งหมายถึงว่าเขาจะต้องแวะไปที่ตลาดด้วย เขาก็นำเงินไปชำระค่าหมูเท่าที่ผู้ขายจะเรียกร้องเอา บัดนี้เมื่อคุณผู้ชายไปพาภรรยามาอยู่ด้วย นายนพจะต้องไปถามราคาหมูจากนางแม่ครัว เขานึกสงสัยว่าแม่ครัวก็น่าจะบอกจำนวนตรงไม่ถูกเสียละกระมัง อย่างดีที่สุดก็จะบอกได้แต่เพียงจำนวนที่กะเอาพอให้ใกล้เคียง

ในนาทีแรกที่นายนพเห็นภรณี เขามองเห็นว่าหล่อนเป็นคนสวย และด้วยเหตุที่เขาเป็นชาย เขารู้สึกหวังดีต่อหล่อนในทันทีนั้น แต่บัดนี้เขาออกจะไม่ชอบหน้าหล่อนเสียแล้ว

เมื่อเขากลับขึ้นมาบนเรือน พบภรณียืนคอยอยู่ที่หน้าห้อง เขาบอกแก่หล่อนว่า

​“นังเนียบก็ไม่ทราบ แต่ผมเคยเอาไปให้ราว ๆ ๕ บาทเสมอ”

หล่อนพยักหน้า พร้อมกับพูดว่า “รอประเดี๋ยว”

หล่อนกลับเข้าในห้อง และเปิดประตูเลยเข้าไปยังห้องหนังสือ หล่อนนึกเดาวิธีจ่ายเงินของบันลือได้แล้ว และเชื่อว่าเดาถูกตามที่เป็นจริงด้วย บัดนี้มีปัญหาอยู่แต่เพียงว่าต่อไปหล่อนควรจะใช้วิธีของเขา หรือจะใช้วิธีใหม่ตามความเห็นชอบของหล่อน

เมื่อได้ให้เงินแก่นายนพไปแล้ว ภรณีกลับเข้าในห้องหนังสืออีก ด้วยความตั้งใจจะตรวจดูจำนวนเงินที่หล่อนได้รับมอบไว้ แต่เมื่อได้รับเงินเสร็จและจัดไว้ในลิ้นชักโดยเรียบร้อย แล้วเปิดบัญชีค่าแรงคนงานเพื่อเทียบกับตัวเงิน หล่อนเห็นความรกที่บนโต๊ะเป็นที่น่ารำคาญยิ่งนัก ก็ยืนนิ่งมองดูด้วยความปรารถนาที่จะแก้ความรกให้หมดไป คิดเกรงเขาผู้เป็นเจ้าของโต๊ะก็มาก เขาอาจจะไม่พอใจให้หล่อนแตะต้องสิ่งของที่เขาวางไว้เลยก็ได้ แต่เมื่อนึกถึงภาพแห่งตัวเขา รวมพร้อมทั้งร่างกายเครื่องนุ่งห่ม กิริยาที่เคลื่อนไหวตลอดจนถึงมารยาท ก็รู้สึกว่าเป็นภาพอันเข้ากันไม่ได้อย่างเด็ดขาด กับสภาพแห่งความเกะกะรุงรังที่เห็นอยู่บัดนี้ ดูกระดาษต่าง ๆ ที่​รวมกันอยู่เป็นปึกในที่หนีบกระดาษบ้างในแฟ้มบ้าง พอจะเห็นได้ว่าถูกแบ่งไว้เป็นพวก ๆ เหมือนกัน แต่ต่างพวกต่างปนกันสับสน เป็นที่น่าสงสัยว่าเมื่อจะต้องการพวกใดพวกหนึ่ง จะมิต้องมีการรื้อกันอย่างกระจัดกระจาย และถ้าหากว่าจะต้องการใช้โต๊ะในงานที่ตรงกับชื่อของโต๊ะกระดาษต่างพวกเหล่านี้จะมิต้องซ้อนสุมกันเป็นตั้งสูงซึ่งจะทำให้ยากแก่การค้นหาในภายหลังยิ่งขึ้น ภรณีจับกระดาษแล้วก็วาง แล้วก็จับอีก ลังเล ไม่ตกลงใจว่าควรจะทำอย่างไรดี แล้วหล่อนสังเกตเห็นพื้นโต๊ะอันงามนั้นมีรอยไหม้เป็นทางยาวหลายแห่ง พิเคราะห์ดูว่าเป็นรอยไฟบุหรี่ และบนโต๊ะนี้ไม่มีที่เขี่ยเถ้าบุหรี่วางอยู่เลย น่าขันเจ้าของโต๊ะ เพียงแต่จะหาความสะดวกให้ตัวเองในเรื่องง่าย ๆ เช่นนี้ ก็ไม่คิดที่จะหา แต่เมื่อนึกไปอีกทีหนึ่ง จิตราได้เคยบอกแก่ภรณีว่าบันลือไม่ติดเครื่องเสพติดอย่างใดเลย การที่เขาปล่อยให้ไฟบุหรี่ไหม้โต๊ะ เห็นจะเป็นด้วยนาน ๆ จึงจะสูบบุหรี่ครั้งหนึ่ง เป็นเหตุให้มีความเลินเล่อในเรื่องนี้

ละจากกระดาษตรวจดูหนังสือทั่ว ๆ ไป ส่วนมากที่สุดมีชื่อเรื่องแสดงไปในทางประวัติศาสตร์และการกสิกรรม นอก​จากนั้นก็เป็นหนังสือเบ็ดเตล็ดเกือบทุกชนิดตั้งแต่หลักธรรมในศาสนาต่าง ๆ จิตวิทยา ปรัชญา จนกระทั่งหนังสือบันเทิงคดีชนิดต่าง ๆ บางเล่มมีรอยฝุ่นจับจนหนา แสดงว่ามิได้ถูกมือจับต้องมานาน บางเล่มมีรอยมือซ้อนรอยฝุ่นเป็นแห่ง ๆ หนังสือปกแข็ง ๔ เล่ม ตัวอักษรโรมัน ชื่อเรื่องแสดงถึงพุทธประวัติและหลักธรรมแห่งพุทธศาสนา ทำให้ภรณีรู้สึกทึ่งเป็นพิเศษ นอกจากนี้มีหนังสือใหม่และงาม ตัวอักษรไทยอีก ๓ เล่ม ซึ่งทำให้ภรณีใฝ่ใจมากเหมือนกัน เพราะนามแห่งบุคคลผู้แต่งหนังสือนี้ เป็นนามเดียวกับผู้แต่งหนังสือสองเรื่องที่จิตราได้เคยให้ภรณียืมอ่าน จิตราเล่าว่าเจริญชอบเรื่องที่บุคคลคนนี้แต่ง และจิตราก็เห็นด้วยแต่ภรณีไม่ชอบหนังสือชนิดนั้น หล่อนกล่าวแก่จิตราว่าอ่านแล้วทำให้เกิดความรู้สึกว่าโลกนี้เป็นที่สกปรกหาความดีมิได้ ถ้ายิ่งอ่านมากเล่มเข้า น่าจะทำให้เกิดความรู้สึกอยากทำลายชีวิตตัวเอง

หล่อนตัดสินใจแน่วแน่ ผิดชอบอย่างไรก็ตามหล่อนจะทำห้องหนังสือนี้ให้เรียบร้อยขึ้นจนได้ แท้จริงนั้นหล่อนไม่มีอำนาจที่จะบังคับตัวเองให้อยู่นิ่ง ประสาททุกส่วนของหล่อนกระตุ้นให้หล่อนต้องเคลื่อนไหว ให้ใช้ความเพ่งเล็งไปในทางใดทางหนึ่ง และหล่อนต้องการใช้ความเพ่งเล็งไปในทาง​ประกอบการงานให้เป็นล่ำเป็นสัน มิใช่เพ่งเล็งไปในทางคิดถึงตัวอันจะเป็นเหตุให้หล่อนเศร้าหมองกลัดกลุ่มและท้อใจ คิดถึงตัว! ข้อนี้เป็นข้อที่หล่อนจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นความเห็นผิดเป็นชอบจะเกิดขึ้นแก่หล่อนจะชักจูงให้หล่อนเดินเข้าสู่ทางอันเป็นภัยแก่ตัวโดยเร็ว

ด้วยการบังคับตัวบังคับใจในลักษณะดังกล่าวนี้ตอนต้นแห่งวันอันแปลกอันใหม่สำหรับภรณีค่อย ๆ ล่วงไป บันลือมาพบภรณีในขณะที่หล่อนกำลังปัดฝุ่นละอองตามหนังสือ และทำบัญชีหนังสือเป็นหมวด ๆ ตามชนิดของเรื่อง ทั้งสองฝ่ายทำอาการเหมือนไม่เห็นกัน บันลือผ่านห้องหนังสือเข้าไปล้างมือในห้องน้ำ แล้วก็ลงบันไดห้องน้ำเลยไปขึ้นทางหน้าเรือน ต่อจากนั้นไม่ช้าก็มีผู้มาเรียกภรณีรับประทานอาหารกลางวัน

อาหารมื้อนี้ทำให้ภรณีพิศวงถึงนิสัยและจิตใจของเจ้าของบ้าน อาหารประกอบด้วยนกและหมู ทั้งแกงทั้งผัดล้วนแต่มีรสชืด ๆ ขื่น ๆ ปร่า ๆ และมีสิ่งชวนให้คิดถึงความสกปรกมากกว่าชวนกิน แต่บันลือมิได้บ่นมิได้ติเตียน หรือแม้แต่ทัก เป็นเครื่องแสดงความรู้สึกของเขาในรส และลักษณะแห่งอาหารแต่สักคำเดียว

​หลังจากอาหารกลางวัน บันลือก็หายไปจากเรือนอีก ราว ๑๗ นาฬิกาจึงกลับมาอาบน้ำและรับประทานของว่าง ภรณีสังเกตเห็นว่าเขารับประทานมาก ถ้าจะเปรียบกับอาหารกลางวัน ก็ดูเหมือนว่าอาหารว่างเป็นมื้อสำหรับเขายิ่งกว่ามื้ออื่น ต่อจากนั้นเขาลงไปพูดเล่นอยู่กับลูกของเขาที่หน้าเรือน แล้วนายนพกับนายคิดก็มายืนพูดอยู่ด้วยจนพลบค่ำ นายคิดกับนายนพหายไป บันลือกลับขึ้นเรือนเรียกให้นายถีนำตะเกียงเข้าไปในห้องหนังสือ

ตลอดเวลาที่รู้ว่าเขาอยู่ในห้องนั้น ภรณีหวั่นหวาดวาบหวำในใจ หล่อนได้ย้ายที่หนังสือของเขาเสียสิ้น เว้นแต่เล่มที่หล่อนเห็นมีรอยพับหรือรอยคั่น ซึ่งหล่อนได้เดาเอาว่าเป็นเล่มที่เขาอ่านค้างอยู่ หล่อนได้ทำแผนที่แสดงที่วางหนังสือภายในตู้ตามบัญชีชื่อเรื่อง สอดไว้ในระหว่างแถวหนังสือกับบานตู้ซึ่งเป็นกระจกด้วย เพื่อสะดวกแก่การหยิบเล่มที่ต้องการ หล่อนพยายามจะไม่ถามตัวเองว่าเขามีความรู้สึกต่อการกระทำของหล่อนไปในสถานใด แต่ยิ่งห้ามความอยากรู้ก็ยิ่งเกิด เป็นเหตุให้หล่อนตั้งความคาดคะเนไปต่าง ๆ นานา

อาหารมื้อค่ำเป็นอาหารอย่างเดียวกับมื้อกลางวัน ไม่มีสิ่งที่แปลกที่ใหม่แม้แต่สักสิ่งเดียว ภรณีสังเกตเห็นว่าบันลือรับ​ประทานน้อยมาก แต่เขามิได้ปริปากวิจารณ์เรื่องรสอาหารอยู่ นั่นเอง หล่อนนึกถึงคำของนางพวงที่ปรารภแก่หล่อนเมื่อตอนใกล้ค่ำ นางพวงบ่นว่า “คุณไปเอาอีแม่ครัวเถื่อนมาจากไหน น้ำแกงเหมือนกับน้ำล้างชาม ข้าวจะหุงมันก็ไม่ซาวน้ำเสียก่อน ดิฉันกลืนไม่ลงทั้งข้าวทั้งกับ ไม่รู้ว่าคุณเธอรับประทานเข้าไปยังไงได้” นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าอาหารทั้งสองมื้อนั้นเลวจริง มิใช่ภรณีมีอุปาทานหรือคิดไปเอง

ในระหว่างการรับประทาน มีหญิงชายที่ภรณียังมิได้เห็นในตอนกลางวัน พากันมายืนตามบันไดและตามริม ๆ เรือนเป็นจำนวนหลายคน บันลือรับประทานพลางปราศรัยพูดเล่นอยู่กับเขาเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลา จนเกือบจะว่าได้ว่าเขาไม่ได้มองมาดูผู้ที่ร่วมโต๊ะกับเขาเลย ภาษาที่เขาและชาวพื้นเมืองพูดกันเป็นภาษาที่แปลกหูสำหรับภรณี หล่อนเกือบจะเข้าใจไม่ได้เลยว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไรกันบ้าง โดยประการฉะนี้หล่อนถือโอกาสลอบมองดูหน้าบันลือโดยถนัดหลายครั้งด้วย ยังพะวงอยากรู้ถึงความเห็นของเขาในส่วนงานที่หล่อนจัดทำไป แต่มองดูอยู่เท่าไรก็ไม่เห็นร่องรอยความคิดของเขาที่จะเกี่ยวมาถึงตัวหล่อน ในท้ายที่สุดภรณีตัดสินว่าการกระทำของหล่อนเห็นจะอยู่ในลักษณะเสมอตัว ก็ดีแล้วเมื่อเขาไม่นึกที่จะติหรือจะชมสิ่งที่​หล่อนทำ วันหน้าหล่อนจะทำสิ่งอื่นอีกตามความพอใจของหล่อน

เช่นเดียวกับเมื่อตอนกลางวัน พอลุกจากโต๊ะบันลือก็หายไปจากเรือน ชายและหญิงซึ่งภรณีขนานนามไว้ในใจว่าบริวารของเขา พากันเดินตามเขาไปบ้าง หรือคุยกันตามความพอใจของเขาบ้าง ลงนอนอย่างเกียจคร้านแกมสบายบ้าง เด็กชายก้องกับเด็กหญิงป่องได้เล่นมากเที่ยวมากเกือบตลอดวันก็ง่วงแต่หัวค่ำ และออดอ้อนให้ภรณีไปเข้ามุ้งด้วย หญิงสาวทำตามใจเด็กด้วยความยินดี ยิ่งกว่านั้นหล่อนขอบใจเด็กเป็นอย่างมาก ในข้อที่ใฝ่ใจใกล้ชิดพัวพันอยู่กับหล่อนเกือบทุกครู่ทุกยามเป็นเครื่องหน่วงเหนี่ยวความคิดของหล่อนให้เกาะเกี่ยวอยู่ที่เขาทั้งสอง จนไม่มีเวลาที่จะฟุ้งซ่านไปในทางอื่น

ครั้นแล้วก็ถึงเวลาที่ภรณี กลับมาสู่ห้องส่วนตัวของหล่อน เพื่อพักผ่อนในเวลากลางคืน เมื่อเข้ามุ้งแล้วหล่อนเหยียดตัวเต็มส่วนแห่งความยาวของร่างกาย พลางนึกเทียบความกว้างแห่งที่นอนกับส่วนกว้างแห่งร่างกายของตนเอง ริมที่นอนทั้งสองข้างยังอยู่ห่างจากปลายแขนไปไกล ทั้งที่หล่อนได้กางแขนออกเป็นเส้นตรงทั้งสองแขนและเพดานมุ้งซึ่งขาวโพลงอยู่ในความสว่างสลัว ๆ แห่งแสงเดือนนั้นก็น่าจะสูงพ้นศีรษะไป​มาก แม้ในเวลาที่หล่อนยืนบนเตียง หมอนหนุนศีรษะมีถึงสองคู่ หมอนข้างสองใบ ผ้าห่มสองผืน ภรณีไม่เข้าใจว่าเหตุไรตนจึงได้รับความบำเรอด้วยเครื่องใช้ในที่นอนถึงเพียงนี้นึกถึงที่ ๆ ตนนอนเมื่อคืนที่แล้ว หล่อนได้ไปนอนให้นางพวงกรนกรอกหูโดยไม่มีความจำเป็นอย่างใดเลย เนื่องจากที่เด็กหญิงป่องกับเด็กชายก้องหลับสนิทในระหว่างที่เดินทางมา ครั้นถึงที่พักแล้วไม่มีที่นอนและมุ้งอันเตรียมพร้อมสำหรับให้เด็กนอนได้ในทันที นางพวงกับภรณีจึงจัดให้เด็กนอนบนเตียงที่ภรณีนอนอยู่บัดนี้ ครั้นแล้วเมื่อถึงเวลาที่ภรณีจะนอนบ้าง หล่อนไม่อยากรบกวนเด็กด้วยการย้ายเด็กจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง จึงไปนอนแทนเด็กที่ในมุ้งเดียวกับนางพวง แต่แท้จริงอย่าว่าแต่เด็กเล็กขนาดเด็กชายก้อง และเด็กหญิงป่องจะกินที่บนเตียงหมดถึงกับไม่มีเหลือให้ภรณีนอน ถึงแม้ผู้ใหญ่มีขนาดตัวเท่าภรณีเองสักสองคน มานอนแทนเด็กก็ยังจะมีที่สำหรับให้ภรณีนอนด้วยได้โดยไม่ต้องเบียดกัน

หล่อนหาวครั้งหนึ่ง แล้วปล่อยตัวในท่าสบาย เสียงดนตรีชนิดหนึ่งดังอยู่เรื่อย ๆ อยู่ครู่ใหญ่แล้ว หล่อนจะใช้เครื่องกล่อมใจให้หลับไปโดยเร็ว แต่แล้วก็เกิดนึกสงสัยว่าใครหนอเป็นผู้ดีดออร์แกนเป็นเพลงพอฟังได้อยู่ในบัดนี้ ภรณีไม่มีความ​รู้ในทางดนตรีไทย แต่ด้วยความเคยชิน หล่อนพอจะบอกแก่ตัวเองได้ว่า เพลงที่กำลังนั่งอยู่นั้น ทำนองเป็นเพลงไทยเหนือ หล่อนหาวอีก แล้วพลิกตัวเปลี่ยนท่าใหม่เพื่อหาความสบายให้ยิ่งขึ้นทำใจให้กลมกลืนกับเสียงเพลง เตรียมคอยความง่วงที่จะบันดาลให้หลับ แต่ใจก็ดี ความง่วงก็ดี มิได้อยู่ในอำนาจแห่งความปรารถนาของหล่อน ส่วนหูได้ยินเพลงก็ได้ยินไป ส่วนใจแม้จะราบเรียบไปตามเสียงเพลงบางครูบางขณะ ก็ยังมีความคิดคำนึงถึงสิ่งที่อยู่ในความจำมาแทรกแซงสลับกับเสียงเพลงด้วย

 

57

๑๙



​ทั้งคู่เป็นคนทุศีล ตระหนี่ ด่าว่าสมณพราหมณ์ หญิงชายคู่นั้นเป็นภริยาผีอยู่ร่วมกัน—

ทั้งคู่เป็นผู้มีใจศรัทธา ใจบุญ สำรวมในศีล เลี้ยงชีพโดยชอบ หญิงชายคู่นั้นเป็นภริยาสามี (ที่) พูดคำอ่อนหวานต่อกัน ย่อมบังเกิดความเจริญมาก อยู่ด้วยกันโดยผาสุก—

 


ภรณีตื่นจากหลับพร้อมกับมีความปรารภอยู่ในสมองว่า วันนี้เป็นวันธรรมสวนะใช่หรือไม่ ถึงเวลาที่หล่อนควรลุกขึ้นไปใส่บาตรกับคุณยายหรือยัง ?

หล่อนลืมตา มองเห็นที่ว่างข้างตัว จึงนึกถึงความจริงขึ้นได้ คุณยายที่ไหนกัน หล่อนอยู่ไกลจากท่านไม่รู้ว่าที่ร้อยโยชน์ บนพื้นเสื่อข้างที่นอนของหล่อน ซึ่งมีหมอนและผ้าห่มวางอยู่เรียบร้อยนั้นเมื่อคืนนี้นางพวงได้เป็นผู้นอน

ภรณีมองลอดผ้ามุ้งออกไปภายนอก ห้องนี้มืดแต่สีของแดดที่ลอดเข้ามาตามช่องลม ทำให้ภรณีรู้ว่าเป็นเวลาสายแล้ว หล่อนออกจากมุ้งโดยเร็วด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ เช้าวันนี้​เป็นเช้าวันแรกที่หล่อนตื่นขึ้นในบ้านของ ‘เขา’ แล้วหล่อนก็ทำตัวเป็นผู้นอนสายอวดเขาเสียแต่ในวันแรกนี้ทีเดียวหรือ ?

มองดูหน้าต่างและประตู เห็นปิดสนิทหมดทุกบานแต่ภรณีจำได้ว่าประตูไหนจะนำหล่อน ไปยังห้องที่เจ้าของบ้านเขา บอกแก่นางนมของเขาว่าเป็นห้องคุณผู้หญิง เดินพลางภรณีนึกเคืองนางพวงอยู่ในใจ เพราะเหตุที่นางพวงนอนกรนดังราวกับเสียงเข็นเรือ ภรณีเกือบจะไม่ได้นอนหลับหรือหลับก็หลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดคืนพึ่งจะได้หลับสนิทเมื่อก่อนรุ่งสางนี้เอง

ผ่านประตูมายังอีกห้องหนึ่ง ห้องนี้ก็มืด เปิดหน้าต่างได้หน้าต่างเดียวด้วยความลำบากยากยิ่ง แล้วคิดถึงสิ่งที่ต้องการใช้ในเดี๋ยวนั้น ได้ของแล้วยังคิดถึงห้องน้ำประตูห้องนี้มีถึง ๕ ประตู ประตูติดต่อกับห้องหนังสือประตูด้านหน้าเรือน ประตูติดกับห้องที่ภรณีเพิ่งออกมาประตูติดกับห้องน้ำ ประตูติดต่อกับห้องเจ้าของบ้าน ๒ ประตูหลังนี้ ภรณีต้องระวังอย่าเปิดผิดเป็นอันขาด นิ่งคิดทบทวนความจำอยู่ครู่หนึ่งเมื่อคืนนี้ จิตใจของหล่อนอยู่ในภาวะตื่นเต้นและประหม่า ทั้งความมืดและความจอแจก็ช่วยทำให้สมองของหล่อนมึนงงหนักขึ้นด้วย แข็งใจจับลูกบิดหมุนค่อย ๆ อย่างระมัดระวัง สาธุ ! หล่อนเลือกประตูถูกแล้ว มองเห็นตุ่มน้ำตั้งอยู่ตรงหน้า

​ราว ๆ ๑๕ นาทีภายหลัง ภรณีแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแต่ยังเคว้งคว้างอยู่กลางห้องไม่รู้จะไปไหนหรือทำสิ่งใด ข้อร้ายที่สุดอยู่ที่ตรงความขลาดของหล่อนเอง ไม่ว่าความคิดจะแนะให้ทำนั่นหรือทำนี่ หล่อนก็ยั้งความคิดเสียด้วยกลัวตัวจะทำผิดอยู่ร่ำไป แต่อย่างไรก็ตาม หล่อนจะต้องออกจากห้องนี้ไปพบกับใครสักคนหนึ่งจงได้ ประหลาดแท้ บ้านทั้งบ้านไม่มีเสียงผู้คนดังมาถึงหูหล่อนบ้างเลยทั้งเจ้าของบ้าน ทั้งลูกของเขาทั้งนางนมของเขาพากันไปอยู่ที่ใดหมด ?

– ตัดสินใจเด็ดขาด ถอดกลอนประตูที่ติดต่อกับหน้าเรือนทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏแก่ตามีสภาพอันชวนให้พิศวงและตะลึงลาน เป็นสิ่งที่แปลกที่ใหม่ที่สายตาของภรณีไม่เคยชมมาแต่ก่อน แต่เจ้าหล่อนไม่มีเวลาที่จะคิดที่จะเสพอารมณ์แห่งความตื่นเต้นไปในทางรื่นรมย์ เพราะสภาพดังกล่าวแล้ว ใช้สายตามองไปรอบตัวโดยเร่งรีบ มองแล้วไม่พบมนุษย์แม้แต่สักรูปสักนาม เดินโดยเตาไปทางปลายระเบียงด้านหนึ่ง ยืนอยู่ที่นั่นเป็นครูหล่อนค่อยหายใจคล่องขึ้น กลางที่ราบถัดไปจากที่ดินแปลงใหญ่อันมีพันธุ์ไม้ชนิดหนึ่งขึ้นเป็นพืดได้ระยะกัน หล่อนมองเห็นสีขาวของหมวกกันแดด ๓ ใบเคลื่อนไหวอยู่

​ภรณีลงจากเรือนโดยไม่รั้งรอ หล่อนลืมนึกที่จะสวมรองเท้าเมื่อจะออกมาจากห้อง แต่ไม่เป็นไร หล่อนจะเดินเท้าเปล่า ศีรษะที่สวมหมวกกันแดดจะเป็นศีรษะใครบ้าง หล่อนไม่นำพา หล่อนจำเป็นจะต้องพบต้องพูดกับใครคนหนึ่ง ถ้ามิฉะนั้นหล่อนจะถึงซึ่งความเป็นผู้มีสติวิปลาศโดยไม่ต้องสงสัย

เดินผ่านลานดินทั้งใหญ่ทั้งยาวมาถึงไร่ ต้นไม้เพิ่งสอนเป็นขึ้นอยู่ในระหว่างพอที่คนจะเดินเรียงสองได้สบาย แต่ภรณีไม่กล้าลัดไปตามช่องว่างนี้ หล่อนอุตส่าห์เดินไปตามทางที่เห็นชัดว่าเป็นทางเดิน มองไปข้างหน้าหมวก ๓ ใบ หายจากสายตาไปเสียอีกแล้ว เดินไปอีก เดินไปอีกแล้วแต่หนทางจะเลี้ยวไปทางไหน อ้อ โน่นแน่ะหมวกมองเห็นอยู่รำไร นี่ไร่อะไรอีก ทั้งกิ่งทั้งใบสูงพอดีระดับตา เร่งฝีเท้าขึ้นอีกหน่อย เลี้ยวขวา ทีนี้เห็นตัวคนได้ถนัดเขากำลังมุงดูสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และพูดจาออกท่าออกทางเป็นงานเป็นการที่สุด ภรณีลดฝีเท้าลงบ้างแล้วเข้าไปใกล้จะถึงตัวเขา มองดูสิ่งที่เขากำลังดู แต่ไม่มีความรู้เลยว่าสิ่งนั้นคืออะไร หล่อนหยุด ไอเบา ๆ แล้วกระแอมก็ยังไม่มีใครหันมาดูหล่อนก้าวไปอีก ๒ ก้าว ไออีกครั้งหนึ่ง แล้วตั้งต้น

​“นี่ค่ะ—”

หล่อนชะงักหยุดนิ่งดังถูกตรึง ตา ๓ คู่หันมาทางหล่อนพร้อมกัน ๒ คู่นั้นไม่มีอำนาจกระทบกระเทือนความรู้สึกของหล่อนดอก แต่คู่ที่สามหล่อนจำเขาไม่ได้จริง ๆ หรืออีกนัยหนึ่ง ไม่ได้คาดว่าเป็นตัวเขา หล่อนหลงเชื่อความคาดคะเนของตนเองเป็นมันเป็นเหมาะ คิดเสียว่าเขาคงจะพาลูกของเขา นางนมของเขาไปเที่ยวชมภูมิประเทศกันอย่างสำราญ

ฝ่ายเขา ด้วยความที่เคยชินแก่การแสดงคารวะต่อสุภาพสตรีเป็นนิจจนติดนิสัย พอเห็นว่าหญิงคนหนึ่งมาปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ ก็เปิดหมวกออกโดยทันที ต่อจากนั้นอาการงงเกิดขึ้นแก่เขาอึดใจหนึ่งเต็ม ๆ ในที่สุดจึงพูดขึ้นว่า

“เดินเล่นรึ ?”

เดินเล่น ! หล่อนได้เดินมาอย่างที่ปากตลาดเรียกว่าเดินอย่างควายหาย ภรณีคิดคำตอบไม่ออก

“เด็ก ๆ กับนมไปตั้งแต่เช้า” เขาพูดสืบไปแล้วชักนาฬิกาพกออกจากกระเป๋ากางเกง “นี่ก็ควรจะกลับมากินเสียทีแล้วนี่ พ่อถีพาไปเข้าป่าเข้าดงที่ไหนก็ไม่รู้”

“เห็นว่าจะพากันไปดักนก” เจ้าของหมวกใบหนึ่งพูด หมวกของเขานั้นยังอยู่บนศีรษะของเขาเป็นปกติดี

​“เมื่อผมมาจากบ้าน เห็นอยู่กันที่บ่อน้ำ” อีกคนหนึ่งบอก เขาผู้นี้สวมหมวกอยู่เหมือนกัน

“ยังงั้นรึ ? ก็คงดักกันอยู่แถวนั้นแหละแกไปดูทีซี คิดบอกให้กลับบ้านถี่ นพ แกไปกินข้าวกินปลาเสียก่อนประเดี๋ยวกลับมาว่าไอ้เรื่องเครื่องสับดินนี่กันใหม่ ฉันว่าเราจะต้องการอีกสักสองเครื่องนะ”

สั่งเสร็จเขาหันมาทางหญิงสาวทันที แต่เมื่อหันมาแล้วก็ไม่รู้จะพูดว่ากระไร หรือทำอย่างไรแก่หล่อน จึงหันกลับ

“นพ เดี๋ยวก่อน ยังมีอะไรอีก” เขารู้ดีว่า ‘อะไร’ ที่เขาว่ามีนั้น ไม่มีอยู่ในสมองของเขาเลย “ไปพูดกันที่เรือนอีกหน่อย”

“ไปหรือยัง ?” เขาถามภรณี พลางสวมหมวกลงบนศีรษะ หล่อนเห็นท่าว่าเขาจะให้หล่อนเดินไปข้างหน้าจึงรีบบอก

“จำทางไม่ได้แล้ว”

เขาทำท่าเหมือนจะยิ้ม แต่หายิ้มไม่

“นพ” เขาหันมาตรงหน้าผู้ที่เขาเรียกนั้น “วันนี้แกต้องเอารถไปที่สถานี เอาของให้นายสถานีด้วย แล้วส่งโทรเลขไปกรุงเทพฯ ด้วย ไปบ่ายหน่อยก็ได้ เมื่อคืนนี้ทางดีตลอด ไปเถอะ แกไปกินข้าวได้ ขอบใจ”

​เขาออกเดิน ภรณีเดินตาม เขาเดินค่อนข้างเร็วแต่ภรณีก็เป็นผู้ที่เคยอยู่ในชนบท ชำนิชำนาญในการเดินเท้าอยู่บ้าง

หล่อนเพิ่งเห็นเดี๋ยวนี้เองว่าเขาแต่งกายอย่างเดียวกับนายคิดและนายนพไม่มีผิด กางเกงขาสั้นสีกากี เสื้อเชิ้ตสีเดียวกับกางเกง ต่างกันนิดเดียวที่ตรงถุงเท้ารองเท้า บันลือสวมถุงเท้าหนายาว สวมรองเท้าหนังมีเชือกร้อยและผูกอยู่ นายนพกับนายคิด สวมแต่รองเท้าหนังมีที่ร้อยเชือก แต่ไม่มีเชือกร้อย

ระยะทางซึ่งเมื่อขาไป ภรณีรู้สึกว่ายาวนักหนานั้น ครั้นขามาปรากฏว่าใกล้นิดเดียว แต่เมื่อใกล้จะถึงบันไดเขาเลี้ยวไปทางหนึ่ง ภรณีแข็งใจเลี้ยวตามไปด้วยจึงเห็นบันไดเล็กอีกถึง ๒ บันได ซึ่งหล่อนไม่ทันสังเกตในตอนต้น บันลือควักกุญแจออกจากกระเป๋ากางเกง ไขประตูห้องบนบันไดหนึ่ง แล้วหันกลับมากล่าวแก่ภรณี

“เชิญขึ้นมาบนนี้”

เขาหายเข้าไปข้างใน แล้วมีเสียงบ่น “ป่านนี้ยังไม่มีใครมาเปิดหน้าต่าง”

​แล้วเขาก็ทำงานนั้นด้วยมือของเขาเอง ภรณีอยากจะช่วยแต่ไม่ช่วยยืนนิ่งดูเขา เสียงปัง ๆ ๆ ๖ ครั้ง แล้วเขาหันมากล่าวแก่หล่อนอีก

“เชิญนั่งที่นี่”

หล่อนนั่งลงยังที่ ๆ เขาบอก คือบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ มองไปทางไหนเห็นแต่หนังสือวางอยู่ระเกะระกะ หนังสืออยู่ในตู้ หนังสืออยู่บนโต๊ะใหญ่แบบสวยปกใหม่เอี่ยม หนังสืออยู่บนโต๊ะกลม หนังสืออยู่บนโต๊ะสี่ขา ซึ่งมีขาหักห้อยอยู่ข้างหนึ่ง หนังสืออยู่บนเก้าอี้ หนังสืออยู่บนม้าแบบม้านั่งตามร้ายขายข้าวแกง ลักษณะที่วางแสดงว่า ได้มีการจัดที่ซ้อนกันเป็นตั้ง ก็ซ้อนตามลำดับขนาด เล่มใหญ่อยู่ล่างที่สุด เล่มเล็กก็ซ้อนอยู่เบื้องบนแต่กลับหน้ากลับหลังกลับล่างกลับบน ที่ตั้งเป็นแถวก็ตั้งตามลำดับสูงต่ำแต่กลับหัวกลับท้าย โต๊ะตัวงามที่ภรณีนั่งอยู่ใกล้นั้น มีสมุดปกแข็งเล่มใหญ่ถนัดซ้อนและเรียงกันอยู่หลายเล่ม บันลือยืนก้มหน้าจัดการกับพวงลูกกุญแจซึ่งติดอยู่กับสายนาฬิกา แล้วนำลูกกุญแจมาวางให้ภรณีบนโต๊ะ

“ลิ้นชักนี้” เขาอธิบาย “เงินสำหรับค่าใช้จ่ายในบ้าน แยกไว้ต่างหากเพราะขี้เกียจทำบัญชี แต่คิดว่า—เธอควรจะต้องทำ”

​เขาเดินไปที่ริมเสา ตู้นิรภัยขนาดกะทัดรัดน่าเอ็นดูตั้งอยู่ตรงนั้น เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วหันมาทางหญิงสาว “มาดูวิธีเปิด” เขาเบนตัวเปิดช่องให้หล่อนมองเห็นตู้ถนัด “หนึ่ง สอง พอเห็นตัว ‘ดี’ ก็หมุนอีกที แล้วเปิดได้”

ตู้นั้นแบ่งออกเป็นสองชั้น ชั้นล่างเต็มไปด้วยกระดาษ บันลือสอดมือเข้าไปภายใน แล้วหยิบกุญแจออกมาส่งให้ภรณีเป็นดอกที่สอง พร้อมกับพูดว่า “มีคนละดอกจะได้สะดวกด้วยกันทั้งสองคน”

“ทีนี้ตู้บน” เขาพูดสืบไป พลางยืดตัวขึ้นเล็กน้อย “หันจนดังกึก แล้วก็หันอีก” บานตู้น้อยก็เปิดออก มองเห็นธนบัตรเรียงกันอยู่หลายตั้งหลายม้วน เขาหยิบส่งให้หล่อนตั้งหนึ่งโดยไม่ต้องเลือกก่อน

แล้วเขาสอนวิธีปิด แล้วให้หล่อนซ้อมวิธีเปิดด้วยลูกกุญแจดอกที่เขาได้มอบให้แก่หล่อน ต่อจากนั้นก็ลุกขึ้นยืน

ภรณียืนขึ้นด้วย กุญแจ ๒ ดอกธนบัตรมัดหนึ่งในมือหล่อน หล่อนไม่เข้าใจว่าเขาจะให้ทำอย่างไรแก่ธนบัตรนั้น ทำใจกล้าเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ ไขกุญแจลิ้นชักวางธนบัตรไว้ภายใน แล้วก็ปิดลิ้นชักและลั่นกุญแจไว้ตามเดิม

​หล่อนเงยหน้าขึ้น เห็นบันลือยืนทำท่าคิดอย่างเพ่งเล็ง แล้วเดินปัง ๆ มาที่โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบลูกกุญแจออกมาจากลิ้นชัก ๒ ดอก วางลงบนทั้งสมุดแล้วว่า

“นี่กุญแจตู้ กับกุญแจลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งที่ห้องกลาง สั่งให้ทำอย่างแน่นหนาทีเดียว ปลอมไม่ได้ง่าย ๆ อ้อ นี่บัญชีจ่ายเงินคนงาน เล่มนี้พวกรายอาทิตย์ เล่มนี้ ทุก ๆ วันที่ ๑ ทั้งสองพวกต้องมีลายมือเซ็นรับ ถ้าไม่ยังงั้นเขามักจะลืมบ่อย ๆ ว่าเขารับเงินไปแล้ว”

เขาหยุดพูด ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วกล่าวว่า

“ขอบใจ”

ภรณีต้องใช้ความคิดเป็นครู่ ก่อนที่จะรู้ว่า คำนั้นมีความหมายเท่ากับ “เชิญคุณไปได้”

หล่อนหันกลับไปทางเก่า เขาเอ่ยขึ้นว่า

“ออกทางนี้ก็ได้”

แล้วเขาชี้ทางให้ แต่เมื่อภรณีมาถึงประตูที่เปิดตรงไปยังห้องของหล่อน ก็ปรากฏว่าติดกลอนที่ขัดอยู่ทางด้านโน้น เจ้าของบ้านเปลี่ยนสีหน้าเล็กน้อย เขาพูดว่า

​“ขอโทษ ลืมนึกถึงกลอน”

เมื่อภรณีกลับลงมาทางบันไดเล็ก หล่อนมองเห็นศีรษะคนเดินไว ๆ ตามกันมาเป็นแถวยาวในทางระหว่างไร่ และเมื่อหล่อนขึ้นมาอยู่บนระเบียงยาวทางหน้าเรือนแล้ว หันกลับไปดูอีก ก็เห็นตัวคนได้ชัดขึ้น คนเล็ก ๆ วิ่งหยอย ๆ มาข้างหน้า คนผู้ชายเดินตามในระยะห่างหน่อย หลังจากคนผู้ชายไปอีก เป็นคนผู้หญิง ๓ หรือ ๔ คนถือวัตถุที่ใช้ในประโยชน์อย่างเดียวกัน คือ วัตถุสำหรับทำความเตียนให้แก่สถานที่ มองดูเป็นภาพอันน่าขัน ราวกับแถวคนทั้งแถวนั้นเป็นขบวนแห่ไม้กวาดหาใช่อื่นไกลไม่ คนท้ายที่สุดอุ้ยอ้ายมาก ไม่ค่อยจะเลี้ยวจากมุมไร่ได้เลย คือนางพวง

ภรณีกลับเข้าในห้องของหล่อน ค่อยรู้สึกตัวเป็นตัวมีความคิดมีสติปัญญาเช่นที่เคยมีในยามปกติ หล่อนรู้แล้วหน้าที่ของหล่อนคืออะไร สมุห์บัญชี ! รักษากุญแจตู้เซฟ จ่ายเงินค่าแรงคนงาน ! หล่อนนึกสงสัย คนงานมีอยู่ด้วยกันรวมสักกี่คนหนอ นายคิดกับนายนพคู่หนึ่ง แล้วยังมีใครอีก ? ตั้งแต่เข้ามาหล่อนก็ได้เห็นแต่เพียงชาย ๒ คนนี้เท่านั้น ภรณีนึกอยากหัวเราะอย่างจริงจัง เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันแต่งงานมาแล้ว

​หล่อนเปิดหน้าต่างห้องออกทุกบานแล้วเริ่มทดลองกุญแจ ต่อจากนั้นหยิบหีบหนังใบน้อยออกจากก้นกระเป๋าใหญ่ นี่คือหีบใส่สมบัติส่วนตัวของหล่อนแท้ ๆ คืออาภรณ์ ๒–๓ ชิ้น มีค่าไม่มาก ซึ่งเป็นมรดกที่มารดาของหล่อนได้ละไว้ให้บ้าง คุณยายของหล่อนเองได้หยิบยกให้บ้าง แต่หล่อนเพิ่งจะได้รับมอบให้มีกรรมสิทธิ์เด็ดขาด พ้นจากควบคุมของนางจำนงฯ เมื่อเช้าวันแต่งงานนั่นเอง ขณะนี้หล่อนต้องการสายสร้อย ๓ กษัตริย์เส้นเล็กซึ่งเป็นสายสร้อยข้อมือ สำหรับใช้เป็นที่ร้อยลูกกุญแจไว้ด้วยกัน เพื่อสะดวกแก่การรักษา

เมื่อร้อยลูกกุญแจตู้นิรภัยเข้าในเส้นสายสร้อย หล่อนมองเห็นในทันทีว่า ขนาดของอาภรณ์จะทนต่อน้ำหนักแห่งกุญแจไม่ได้นาน แต่ไม่เป็นไร หล่อนจะใช้สายสร้อยนี้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ภายหลังก็จะคิดอ่านแก้ไข

เมื่อวางใจจากเรื่องลูกกุญแจแล้ว ภรณีคิดถึงการจัดอย่างอื่น พิเคราะห์ดูตัวห้อง ทั้งโปร่ง ทั้งโล่ง ทั้งยาว ทั้งใหญ่ ไม่ต้องสงสัย เป็นห้องใหญ่ที่สุดในบรรดาห้องบนเรือนนี้ เมื่อจัดดีแล้วจะเป็นที่อยู่ที่นั่งที่นอนอันน่าสบายหนักหนา ขอบใจเจ้าของบ้าน เพียงขั้นสมุห์บัญชีก็อุตส่าห์ให้ห้องที่ดีที่สุด ซึ่งมี​ลักษณะเป็นห้องประธาน เพราะมีประตูออกได้รอบด้าน ราวกับจะป้องกันมิให้ผู้อยู่ต้องลำบากในการต้องลงทางนั้น อ้อมไปขึ้นทางนี้เมื่อจะเข้าออกตามห้องต่าง ๆ

เฉพาะเครื่องแต่งห้องออกจะมีน้อยชิ้น เตียงใหญ่มาก ตู้ค่อนข้างใหญ่ โต๊ะเครื่องแป้งสวยเก๋กระทัดรัด เหมาะสำหรับให้สตรีใช้ และน่ารักนักหนา ม้านั่งประจำโต๊ะเครื่องแป้งบุด้วยนุ่นและแพรสี เก้าอี้นวมขนาดคนร่างสันทัดนั่งกำลังสบายทุก ๆ ชิ้นเป็นสีเดียวกัน นอกจากนั้นไม่มีอะไรอีก

การรื้อและจัดห้องส่วนตัว ซึ่งเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นของใหม่ทุกชิ้นทั้งเป็นของที่ได้เลือกแล้วโดยความพอใจ ทำความเพลิดเพลินให้แก่ภรณีมาก ตู้ใหญ่ทำให้หล่อนแยกของต่างชนิด จัดไว้เป็นส่วนเป็นสัดได้สบาย ทั้งเป็นระเบียบเรียบร้อยงดงาม ความเพลิดเพลินทำให้ภรณีไม่รู้สึกต่อเสียงจ้อกแจ้กที่ดังอยู่ทางหน้าห้อง หรือถึงแม้ว่าได้ยินเสียงนั้นบางครั้งบางคราวก็ไม่เอาใจใส่ จนกระทั่งเด็กชายก้องวิ่งเข้ามาถึงตัวและแจ้งแก่หล่อนว่า

“คุณพ่อบอกให้ไปทานข้าว”

ภรณีหันขวับมารวบตัวเด็กไว้ในวงแขนทันที แล้วก้มลง​ลงจะจูบเด็กที่แก้ม แต่ยั้งไว้ เกิดความอาย ทำให้ร้อนไปทั้งตัว—ในขณะที่ได้ยินเสียงเด็ก อารมณ์ของหล่อนกำลังซาบซ่านอยู่ด้วยความรู้สึกขอบใจ ขอบใจใคร ? ขอบใจมนุษย์หรือมนุษย์ตนไหน หล่อนไม่ยอมแถลงแม้แต่กับตัวของหล่อนเอง—หล่อนยิ้มกับเด็กมองดูตาอันใสแจ๋ว แล้วว่า

“ขอบใจ เดี๋ยวอาภรปิดตู้ก่อน”

 

58

๑๘



​ดูก่อนภิกษุ พ่อค้าประกอบด้วยองค์ ๓ คือ....เป็นผู้มีดวงตา รู้สินค้าว่าสิ่งนี้ซื้ออย่างนี้ ขายอย่างนี้ เป็นต้นทุนเท่านี้ กำไรเท่านี้ อย่างหนึ่ง….เป็นผู้ฉลาด เข้าใจที่จะซื้อและเข้าใจที่จะขายอย่างหนึ่ง….(เป็นผู้ที่)คฤหบดีและบุตรของคฤหบดีย่อมรับรองด้วยโภคะทั้งหลายว่า “แน่ะสหายพ่อค้าแต่นี้ไป เชิญท่านนำโภคะไปเลี้ยงบุตรภริยาและจงแถม (สินค้าหรือทรัพย์ ?) ให้เราบ้างตามเวลาอันควรเถิด” อย่างหนึ่ง….พ่อค้าประกอบด้วยองค์ ๓ นี้ ย่อมถึงความใหญ่ ความไพบูลย์ ในโภคทรัพย์ไม่นานเลย

 


“ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง เอ๊า ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง เอ๊า ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง”

“จึ๊ก ชั่กชั่ก จึ๊กชั่กๆ ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง จึ๊ก ชั่กๆ จึ๊กชั่กๆ”

ผู้โดยสารในรถคันนี้มีอยู่ ๔ คน เป็นชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่ง และเป็นเด็กชายกับเด็กหญิงคู่หนึ่ง เสียงที่ดังเป็นจังหวะเข้ากับเสียงล้อรถกระทบรางนั้น เป็นเสียงของเด็กชายกับเด็ก​หญิง ซึ่งยืนคู่กันอยู่ตรงริมหน้าต่าง หญิงสาวผู้ซึ่งนั่งชิดกับตัวเด็กหญิงกลั้นหัวเราะไว้ได้โดยยาก ความคะนองของเด็กทำให้เจ้าหล่อนนึกสนุก มีความรู้สึกคล้ายตัวเป็นเด็กรุ่น ๆ ในสมัยที่ยังเล่าเรียนและเดินทางจากกรุงเทพฯ เพื่อไปหาบิดาในเมื่อโรงเรียนปิดภาคปลายปี แต่ชายหนุ่มผู้ซึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่างตรงกันข้ามและห่างจากเด็กไปนั้น ได้ขมวดคิ้วอย่างรำคาญและลดหนังสือพิมพ์จากระดับตา ทำท่าขยับปากจะห้ามเสียหลายครั้ง แต่แล้วก็ยังหาได้ห้ามไม่ ในที่สุดเขาพับหนังสือพิมพ์วางไว้ข้างตัว ยกมือขึ้นกอดอกและทอดสายตาไปนอกหน้าต่าง

มองดูภูมิประเทศที่รถแล่นผ่าน เป็นที่ราบแลโล่งสุดสายตา ฝนได้เริ่มตกบ้างแล้ว ที่นาบางแห่งมีรอยไถปรากฏอยู่ ชายหนุ่มนึกถึงนาที่เขาเป็นเจ้าของ ทางถิ่นที่เขาอยู่เป็นที่ดอนกว่าถิ่นที่เห็นอยู่บัดนี้ และยังมิได้รับฝนกี่มากน้อย ดังนั้นจึงยังมิได้มีการลงมือไถ แต่ไร่ของเขาอยู่ในระยะปลูกพืชลง และพืชตั้งตัวได้แล้วก็มี อยู่ในระยะที่จะต้องเก็บเกี่ยวผลแห่งพืชก็มี ถ้าจะรอให้งานประการหลังนี้สำเร็จเสียก่อน รวมทั้งงานไถพลิกดินและทับดินทิ้งไว้แล้ว จึงจะลงมือไถนาจะทันกับฤดูกาลหรือไม่

แล้วเขานึกถึงการติดต่อหาลูกค้าที่จะรับพืชผลของเขาไปจำหน่ายในท้องตลาด เมื่อปีกลายนี้เขาได้ลูกค้าที่ปฏิบัติการต่อ​เขาเป็นที่พอใจ แต่เมื่อปีกลายงานของเขายังเป็นแต่เพียงงานที่อยู่ในขั้นทดลอง พืชผลยังมีน้อยลูกค้าที่มาติดต่อเป็นแต่เพียงจำนวนพ่อค้าย่อย ก็รับพืชผลไปจำหน่ายได้สิ้น ปีนี้งานของเขาใหญ่โตกว่าเมื่อปีกลายหลายเท่า เขาต้องติดต่อกับลูกค้าจำพวกพ่อค้าใหญ่ ต้องวิ่งเต้นให้การขนส่งดำเนินไปได้คล่อง เพื่อพืชผลของเขาจะออกสู่ท้องตลาดได้เร็ว ในการนี้เขาต้องสร้างมิตรภาพแก่บุคคลต่างชนิดต่างจำพวก ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล ทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัท อันเอกชนเป็นเจ้าของ ตลอดจนกระทั่งราษฎรผู้เป็นเจ้าของเกวียน เจ้าของวัว เจ้าของเรือ รวมทั้งผู้มีอาชีพในการรับจ้างถ่อเรือบรรทุกสินค้า

เท่าที่เป็นมาแล้ว งานของเขานับว่าดำเนินไปด้วยดี การติดขัดเล็ก ๆ น้อย ๆ มีบ้างและมีบ่อย ๆ แต่เขาก็ได้แก้ตกไปโดยไม่ยากนัก ในปัจจุบันนี้เขาพอใจว่าเขาได้ทำงานที่เขาชอบสมความปรารถนา อีก ๒–๓ เดือนข้างหน้า ถ้าพืชผลของเขาออกสู่ท้องตลาดโดยบริบูรณ์ เท่าที่เขาคำนวณไว้เขาจะได้ลิ้มรสความภูมิใจแห่งความสำเร็จของเขา

หญิงกลางคนเข้ามาทางประตูข้างหน้า ชายหนุ่มเดินเซเล็กน้อยเพราะไม่คุ้นกับอาการแกว่งของรถ นางใช้มือจับพนัก​ที่นั่งช่วยพยุงตัวมาจนตลอดทาง ครั้นมาใกล้เด็กทั้งสองก็หยุดและถามว่า

“ทานข้าวกันหรือยัง ย่ำค่ำแล้ว ?”

เด็กทั้งสองหาได้ยินไม่ ด้วยมัวแต่เพลินอยู่กับการส่งเสียงแปลก ๆ ต่าง ๆ เข้ากับจังหวะกับเสียงรถ หญิงสาวจึงช่วยถามซ้ำ

เด็กหญิงเป็นผู้เข้าใจคำถามก่อนก็หันมาดูแล้วหมุนตัวให้หลังพิงกรอบหน้าต่าง เด็กชายหันตามมาได้ฟังคำถามก็เอียงคอมองดูหญิงสูงอายุแล้วว่า

“ไกก็ดิ้น ไม่กินก็ได้ ไกก็ดิ้น ไม่กินก็ได้”

หญิงสาวหัวเราะคิ๊กออกมาทันที และหญิงผู้สูงอายุเองก็ทำหน้าเฉยอยู่ได้โดยยาก อย่างไรก็ตามนางพูดด้วยเสียงดุ

“เอาอีกแล้ว คุณก้อง เดี๋ยวเถอะ คุณพ่อได้ยินเข้าหรอก”

เด็กชายหยุดทำเสียง หันกลับไปหาหน้าต่างอย่างไม่เอาใจใส่ต่ออะไรทั้งสิ้น เด็กหญิงก็ทำตามเด็กชาย หญิงสาวจึงตัดสิน

“ถึงเวลาแล้วก็เอามาให้รับประทานก็แล้วกันแม่พวง”

​อีกฝ่ายหนึ่งรับคำโดยอาการนิ่ง ค่อย ๆ เดินอย่างระมัดระวังไปตามทาง แต่พอใกล้จะถึงประตูก็ชะงัก ชายหนุ่มได้ใช้มือป้องปาก และร้องเรียกว่า “นม นม มานี่ก่อน”

แต่เมื่อนางพวงกำลังจะเดินเข้าไปหาเขา เขาเกิดนึกรำคาญอาการที่นางพวงก้าวขาช้ามาก ก็ลุกจากที่ไปหานางพวงเสียเอง

“นอกจากข้าวสำหรับเด็ก ๆ แล้ว หามาเผื่อคนอื่นมั่งหรือเปล่า ?” เขาถาม

นางพวงทำท่าสนเท่ห์ “ก็คุณสั่งแต่ว่าให้หาข้าวมาให้คุณเล็ก ๆ—”

เขาร้องจุ๊ ! อย่างรำคาญ “แล้วนมเองน่ะไม่รู้จักหิวรึ ?”

นางพวงนิ่ง ปัญหาข้อนี้ยังไม่ได้ผ่านสมองนางพวงเลย แต่ในที่สุดก็ตอบได้ “หิว นมก็กินเหลือคุณเล็กๆ”

“ก็คนอื่นล่ะ ?” เสียงของเขาห้วนยิ่งขึ้น

นางพวงทำท่าเหมือนจะตอบว่า “จะไปรู้เรอะ” แต่หาได้ตอบออกมาไม่ ชายหนุ่มแสดงความไม่พอใจให้ปรากฏออกมาทางสีหน้า แล้วหันหลังกลับไปนั่งโดยไม่พูดว่ากระไร

​อารมณ์ของเขาที่เรียบเป็นปกติดีเมื่อครู่ก่อน เริ่มจะผันแปร “นี่เรื่องอะไร จะพาคนมาอดข้าวตาม ๆ กัน!” เขารับว่าเขาได้สั่งนางพวงว่า “หาข้าวเย็นไปให้เด็ก ๆ กิน นะ นม” ดังนี้จริง แต่เขาตั้งใจจะให้นางพวงเข้าใจว่า “ต้องมีอาหารเย็นสำหรับผู้หญิงและเด็ก” เพราะเขาได้ชี้แจงแล้วว่ารถไฟจะถึงสถานีเวลาใด และต่อจากนั้นอีกเป็นเวลาเท่าใด นางพวงจึงจะได้เห็นที่อยู่ของเขา ควรหรือนางพวงยังมาตอบแก่เขาได้ว่า “คุณสั่งแต่ให้หาข้าวมาให้คุณเล็ก ๆ”

“ยิ่งแก่ยิ่งโง่” เขาบ่นในใจด้วยความเคือง

แลไปดู ‘ผู้หญิง’ ที่นั่งอยู่กับเด็ก ดูช่างมีเรื่องพูดเรื่องเล่นกับเด็กราวกับพูดกันเล่นกันอยู่กับเพื่อนในวัยเดียวกัน ส่วนเด็กนั้นก็พัวพันอยู่กับหล่อนเกือบตลอดเวลา เขาได้เห็นความสนิทสนมระหว่างลูกของเขากับเจ้าหล่อนแล้วตั้งแต่วันแรกที่เขาไปถึงบ้านคุณยาย เป็นความสนิทสนมที่สะดุดใจเขา เด็กทั้งสองถ้าจะกล่าวตามเหตุการณ์ มุกดาก็ได้เป็นผู้เลี้ยงมาไม่ต่างกับแม่เลี้ยงลูก และเด็กก็คุ้นและสนิทกับมุกดาจนถึงกับทำฤทธิ์เอาบ่อย ๆ ไม่ผิดกับลูกที่ชอบทำฤทธิ์กับแม่ แต่ถึงกระนั้นเขาไม่เคยเห็นเด็กเข้าคลอเคลียพัวพันอยู่กับมุกดาเหมือนดังที่ได้กระทำต่อหญิงคนนี้ นางพวงเป็นผู้ที่เด็กทั้งสองชอบพัวพันด้วยเหมือน​กัน แต่ถ้าได้พัวพันเมื่อไรก็เกิดเรื่องต้องดุต้องว่ากันเมื่อนั้น เพราะเด็กจะ ‘แหย่’ นางพวงด้วยกิริยาหรือวาจาอย่างใดอย่างหนึ่ง คุณนายลำดวนเป็นบุคคลอีกคนหนึ่งที่เด็กเข้าหาด้วยความเต็มใจ แต่ก็เข้าหาเฉพาะในเวลาที่มีความต้องการในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น เช่นต้องการขนมหรือของเล่น หรือต้องการจะฟ้องร้องผู้นั้นผู้นี้ด้วยความโกรธ เมื่อได้สิ่งที่ต้องการสมใจแล้วก็ละไปเสีย กิริยาที่ได้ของต้องใจแล้ววิ่งไปอวด เมื่อเป็นของกินได้ก็จับใส่ปาก ยัดเยียดให้กิน ดังที่เด็กทำต่อหญิงคนนี้ เป็นกิริยาที่ชายหนุ่มไม่เคยเห็นลูกของเขาทำต่อใครมาก่อน

เมื่อได้พิเคราะห์ดูเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ชายหนุ่มนึกสังเวชลูกชายหญิงของตนยิ่งนัก ภายในจิตไร้สำนึกของเด็กคงจะมีความกระหายในความรักชนิดที่ไม่ถูกแบ่งแยก คือความรักที่มารดาจึงรักลูกในอกของตัวเป็นธรรมชาติอันมีน้ำหนักอยู่มาก ธรรมชาตินี้ทำให้เด็กพร้อมที่จะรักใครสักคนหนึ่งที่รักตัวด้วยความรักดังกล่าวแล้ว เมื่อเห็นใครเขาใจดีต่อ เล่นด้วย หัวเราะด้วย ไม่แสดงความเบื่อหน่าย ให้ตัวรู้สึกแม้แต่สักนิดสักหน่อย ก็เป็นที่ติดเนื้อต้องใจ จึงสนิทสนมกับเขาได้ในเวลาเพียง ๑ เดือน ยิ่งกว่าที่เคยสนิทสนมกับผู้ที่ได้อยู่ใกล้กันมาด้วยเวลาอันนับเป็นจำนวนปี

​คิดถึงลูกแล้วก็คิดถึงยาย บุคคลเขารักมากห่วงมากเป็นที่สองรองจากลูก ท่านร้องไห้เมื่อเขาบอกให้เด็กทั้งสองกราบลาท่านครั้นตอนที่เขาอยู่กับท่านสองต่อสอง ก่อนที่จะไปขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย ท่านพูดแก่เขาว่า

“ฝากแม่ภรณีด้วยนะ พ่อปุ๊”

แปลก ! คุณยายนี่ก็แปลกมาก ! ราวกับหญิงคนนี้เป็นเลือดในอกที่ท่านยกให้เขา แท้จริงนั้นเขาต่างหากเป็นผู้พาหล่อนมาให้แก่ท่าน !

แต่ก็พอดีกัน เมื่อเขาพาหล่อนมาจากท่านเป็นวันแรก ดูเหมือนเขากำลังจะทำให้หล่อนอดอาหารมื้อเย็น นมพวงนี่ร้าย เป็นผู้ใหญ่เสียเปล่า จะอาศัยต่างหูต่างตา ก็อาศัยไม่ได้เลย

ชายหนุ่มลุกจากที่นั่งเป็นครั้งที่สอง เดินไปที่ประตู นายถีนั่งอยู่ในชั้นสามกับนางพวง เขากวักมือเรียกเข้ามาใกล้แล้วพูดว่า

“ป่านนี้ในรถนี่ยังมีอะไรขายไหม ? ข้าวกับไข่หรืออะไรบ้า ๆ ที่เจ้าเคยซื้อกิน ?”

นายถีทำท่าเหมือนจะหัวเราะ “ซื้อมาคุณก็รับประทานไม่เห็นได้สักที” เขาตอบ

​“ไอ้บ้า ใครบอกว่าข้าจะกิน นั่นแน่ะ” เขาพยักหน้า ไปทางที่หญิงสาวนั่งอยู่ แล้วใช้ลักษณะบังคับทำให้ตัวหาคำพูด อันบ่งถึงเจ้าหล่อนผู้นั้นโดยตรง “คุณผู้หญิง เอ็งไปออกปัญญายังไงให้มีอะไรพอกินได้หน่อยซี ข้าวผัดอย่าให้เหม็นหืน แล้วไอ้ไข่ทอดอย่าให้มีขี้ตีนโรยหน้า”

นายถีซ่อนความอ้ำอึ้งไว้ในหน้าอันเฉย เมื่อผู้สั่งหันกลับเข้าในรถชั้นสองแล้ว นายถีกลับไปอีกทางหนึ่ง พอดีสวนทางกับนางพวง นายถีอยากจะต่อว่าหญิงสูงอายุในข้อที่มิได้คิดจัดหาอาหารมาให้คุณผู้หญิงยิ่งนัก แต่ด้วยเหตุที่นางพวงได้นำเอาข้อที่ตนถูกตำหนิจากคุณผู้ชาย ไปบ่นกันนายถีเสียเสร็จแล้วเมื่อครู่ก่อน นายถีไม่อยากจะก่อกวนให้นางพวงบ่นอีก จึงระงับปากไว้

อาหารของเด็กชายก้องกับเด็กหญิงป่อง มีข้าวกับหมูทอดฉีกเป็นฝอย กับไข่พะโล้อย่างละน้อย ๆ พอดี สำหรับปริมาณแห่งความอิ่มของเด็ก นางพวงหยิบของเหล่านี้ออกจากตะกร้า แล้วจัดแจงให้เด็กรับประทาน ในตอนต้นเด็กทั้งสองก็ลงนั่งบริโภคเองเรียบร้อย แต่ภายหลังต่อมาอีกครู่หนึ่ง เมื่อตักข้าวและกับใส่ปากแล้ว ก็วางช้อนเสีย ไปยืนเคี้ยวที่ริมหน้าต่างแล้วก็หันมาตักใหม่ แล้วละจานข้าวไว้ใหม่ หนักเข้านางพวงก็​ต้องยกจานตามไปป้อนให้ ภรณีเห็นใจเด็กว่าเป็นธรรมดาที่จะต้องอยากดูสิ่งต่าง ๆ ที่รถไฟได้พาเขาผ่านมา จึงละที่ริมหน้าต่างที่หล่อนนั่งอยู่ให้กับเด็กหญิง รับจานข้าวของเด็กมาวางไว้ข้างตัวและรับหน้าที่ป้อนให้ เด็กชายนั่งตรงกับน้อง นางพวงเป็นผู้ป้อน การรับประทานอาหารของเด็กก็ผ่านไปโดยเรียบร้อย

เมื่อดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า มองเห็นวงสีเหลืองแดงรำไรอยู่เหนือยอดไม้ ชาวนาต้อนกระบือกลับเข้าคอก เด็ก ๆ ขึ้นจากน้ำตามหนและบึงริมทางรถไฟ บ้างหิ้ว บ้างสะพายผ้าชิ้นเดียวที่ปกคลุมตัว บ่ายหน้าไปทางเดียวกับสัตว์เลี้ยง เด็กที่ในรถโดยสารชั้นสองก็เงียบหงอยไปด้วย เด็กชายยังยืนอยู่ริมหน้าต่าง เอียงคอมือห้อยออกนอกรถ พูดพึมพำอยู่กับตัวเองคนเดียว เด็กหญิงนั่งอยู่ริมที่สุดแห่งที่นั่ง พับกระดาษหนังสือพิมพ์เป็นรูปต่างๆ ซึ่งไม่มีความหมายอันใดเลย แล้วก็คลี่ออกแล้วก็พับใหม่ กลับไปกลับมา ในที่สุดก็ขว้างกระดาษทิ้งโดยแรง ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจและร้องฮื้อ! ออกมาด้วยเสียงอันดัง

เห็นจะเป็นด้วยความวังเวงแห่งเวลาสายัณห์ ภรณีมีความรู้สึกเศร้าและเซื่องซึมมองดูเด็กที่อยู่ตรงหน้าแล้วคิดถึงน้องชายน้องหญิงของหล่อนเอง ป่านนี้เขาทั้งสองกำลังทำอะไรอยู่ ​เมื่อไม่มีพี่สาวคอยเป็นทั้งเพื่อนทั้งครู ทั้งผู้ควบคุมให้ทำงาน เขาทั้งสองจะได้ทำกิจในการเรียน และกิจในการบ้านเหมือนแต่ก่อนหรือหาไม่ ๓๘ วัน ทั้งวันนี้ ภรณีไม่ได้ฟังข่าวน้องคนหนึ่งคนใดเลย บิดาของหล่อนจะรู้หรือไม่ว่าภรณีตกค้างอยู่ที่กรุงเทพฯ เดือนกว่า ภรณีก็เดาไม่ถูก จิตราได้เล่าให้ภรณีฟังว่า หล่อนเห็นหลวงจำนงฯ ที่สถานีแต่มิทันที่จะได้พูดจากัน ด้วยจิตราเองก็มัวแต่งงงวยในเรื่องที่เจ้าบ่าวกับเจ้าสาว มิได้ไปยังสถานีตามที่กำหนดไว้ และหล่อนมัวแต่ซักถามเรื่องนี้แก่พี่น้องของบันลืออยู่ เมื่อนึกถึงหลวงจำนงฯ ขึ้นได้ หล่อนมองหาก็ไม่เห็นเสียแล้ว

เด็กหญิงโผตัวเข้ามาที่ตักภรณี ศีรษะซบลงกับอกของหล่อนแล้วสีไปมา ภรณีจับต้องเด็กนี้แต่ใจยังคิดถึงเด็กอื่น ภายหลังจึงรู้สึกตัวด้วยเด็กที่อยู่ใกล้ใช้กำลังศีรษะกดกับร่างกายของหล่อนหนักยิ่งขึ้นพร้อมกับส่งเสียงอื๊ออ๊า หญิงสาวจับเด็กให้เงยหน้า ประหลาดว่าความรู้สึกอย่างใดเกิดขึ้นแก่เด็ก จึงแสดงอาการอึดอัดเช่นนี้

“เป็นไง” หล่อนถามเบาเกือบเท่ากระซิบ “เสียงอื๊ออ๊า ๆ ท่าจะเบื่อเต็มแก่แล้ว ?”

​เด็กหญิงกลับตัวแล้วทิ้งหลังมาพิงขาภรณีโดยแรง สีหน้าไม่แสดงว่าพื้นดีขึ้น ภรณีจับศีรษะและจัดผมเพื่อจะให้หายยุ่ง เด็กก็สะบัดหนี แต่แล้วก็กลับทิ้งศีรษะลงบนแขนภรณีอีก หญิงสาวรู้ว่า ด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งความหงุดหงิดได้เกิดขึ้นในใจเด็ก อาจจะเป็นด้วยความเบื่อ ด้วยความง่วงหรือด้วยความคิดถึงคุณชวด หรือคิดถึงใคร ๆ นอกไปจากนั้น หรือว่ามิได้คิดถึงผู้ใดเลย แต่มีความรู้สึกไปตามธรรมชาติของใจที่หม่นหมองลงเพราะความมืดแห่งธรรมชาติภายนอกบันดาล กำลังคิดหาอุบายจะช่วยให้เด็กแช่มชื่นขึ้น ขาขวาของเด็กก็เหยียดแผล็บออกไปข้างหน้าโดยไว มีน่องของเด็กอีกคนหนึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง แต่ชะรอยการเล็งจะไม่แม่นยำนัก จึงไม่ถูกเป้าถนัด ปลายรองเท้าได้เฉียดเอาผิวหนังเด็กชายก้องแต่เพียงนิดเดียว

ถึงกระนั้นเด็กชายก็หันขวับมาอย่างฉุนเฉียว ภรณีว่องไวมาก ก็หิ้วตัวเด็กหญิงขึ้นวางบนตักหล่อนอย่างฉับพลันกอดไว้แน่นพร้อมกับพูดว่า

“หนูทำอย่างนั้นไม่สวยเลย” เงยหน้าขึ้นพูดกับเด็กชาย “ขอโทษ น้องไม่ได้แกล้งค่ะ เท้ามันไปถูกเข้าเอง”

เด็กชายไม่โต้ตอบ ละจากที่เก่าไถลตัวไปกับขอบที่นั่ง แล้วก็ไถลไปทางอื่นอีก ส่วนเด็กหญิงยังนั่งหน้าคว่ำอยู่บนตักภรณี

​พอค่ำสนิท ไฟฟ้าในรถเปิดสว่าง ส่วนภูมิประเทศสองข้างทางมีความมืดขมุกขมัวปกคลุมอยู่ทั่วไป เด็กทั้งสองไม่เหลียวแลไปทางหน้าต่างอีก ก็มาพันพัวอยู่ตามข้างตัวภรณี และแก่งแย่งกันในอันจะถือเอาร่างกายของเจ้าหล่อนตลอดจนกระทั่งมือและแขนไปยึดไปกุมของคนเสียแต่ฝ่ายเดียว ภรณีรู้สึกรำคาญแต่ก็ห้ามความรู้สึกไว้ได้ ค่อย ๆ ปลอบโยนเด็กด้วยอุบายต่าง ๆ เช่นชวนให้เล่นจ้ำจี้ ตีไก่ ซ่อนนิ้วมือให้เด็กจับและทายให้ถูกว่านิ้วไหนเป็นนิ้วกลาง เด็กทั้งสองเล่นกันไปพลาง หัวเราะกันบ้างเถียงทะเลาะกันบ้าง จนกระทั่งถึงเวลาที่นายถียกอาหารเข้ามาให้ภรณี

หล่อนเงยหน้าขึ้นมองดูเขาด้วยความประหลาดใจ หล่อนไม่รู้สึกหิวและยังมิได้คิดถึงเรื่องอาหารเลย แต่เมื่อมีผู้จัดหามาให้ก็เห็นว่าไม่ควรที่จะทำอย่างอื่น นอกจากบริโภคให้เสร็จไปเสียโดยเร็ว

หล่อนย้ายจากที่เดิมไปนั่งยังที่ตรงกันข้าม อาหารทั้งสิ้นมีอยู่จานเดียว คือข้าวผัดกับไข่ทอดซึ่งวางมาบนขอบจาน ภรณีไม่ได้นึกถึงรสอาหาร ความรู้สึกของหล่อนไม่ยอมให้หล่อนรับประทานได้เกินกว่า ๗–๘ ช้อน นายถีมิได้นึกจะจัดน้ำมาให้ด้วย ​ภรณีช่วยตัวหล่อนเองโดยอาศัยน้ำ ในกระติกที่นางพวงเตรียมมาสำหรับเด็กเล็กทั้งสอง

เสร็จจากรับประทาน มีปัญหาข้อหนึ่งเกิดแก่ภรณีหล่อนจะยกจานอาหารของหล่อนไปส่งให้นายถีในรถโน้น หรือจะเดินไปเรียกนายถีให้มายกเอาไป ภรณีตัดสินใจจะทำความคิดข้อแรกก็พอดีเห็นนายถีเดินเข้ามา

ชายคนใช้เมื่อยกจานขึ้นแล้ว ก็พับโต๊ะประจำที่นั่งเข้าที่ไว้ดังเดิมโดยเรียบร้อย

ต่อจากนี้มิช้าก็ถึงคราวที่ภรณีเห็นเด็กทั้งสองแสดงความหงุดหงิดเข้าหากัน จนหล่อนเกือบจะหมดปัญญาที่จะไกล่เกลี่ย หล่อนสงสัยว่าเด็กคงง่วง ทำให้อยากรู้ว่าเวลาได้ล่วงไปถึงกี่ทุ่มแล้ว อีกนานเท่าไรรถไฟจึงจะถึงสถานี หล่อนได้จัดให้เด็กหญิงนอนลงที่ข้างตัว ศีรษะพาดบนตักหล่อนเด็กชายนั้นนั่งอยู่อีกข้างหนึ่ง แล้วหล่อนก็เล่านิทานให้เขาทั้งสองฟังนึกน้อยใจว่า นางพวงผู้ซึ่งมีหน้าที่เลี้ยงเด็กโดยตรงมิได้เยี่ยมกรายมาดูเด็กเสียบ้างเลย และบิดาของเด็กก็ก่นแต่อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับแล้วฉบับอีก นี่เขาพากันนึกว่าเขาจ้างหล่อนมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กตั้งแต่ครั้งไรกัน ทั้งนี้ภรณีมิได้รู้ว่านางพวงกำลังมีอาการหนักยิ่งกว่า​เด็กหลายเท่า และบิดาของเด็กนั้น ถึงแม้จะถือหนังสืออยู่ไม่ขาดมือ ก็รู้ความที่เขาได้อ่านแล้วแต่เพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ นัยน์ตาของเขาบอกเขาอยู่อยู่ตลอดเวลาว่าหญิงที่มากับเขาได้ถูกลูกของเขารบกวนอย่างหนัก แต่เขาไม่มีปัญญาที่จะแก้ไข ก็ได้แต่เวียนดูนาฬิกาข้อมือไม่หยุดหย่อน แล้วก็บังคับสายตาให้ผ่านไปบนหน้ากระดาษเพื่อระงับความรำคาญ

ในที่สุดเมื่อเด็กหญิงปล่อยให้นัยน์ตาหรี่ลง ๆ ทุกทีจนใกล้จะหลับสนิท และเด็กชายหาวแล้วหาวอีกหลายครั้ง และฝืนตาอยู่ได้ก็ด้วยความที่สนใจในเรื่องนิทาน รถไฟก็เปิดหวูดเสียงสนั่น ภรณีโล่งใจดังมีผู้ยกหินออกจากอก มองไปทางบันลือเห็นเขากำลังรวบรวมหนังสือพิมพ์ ยิ่งทำให้ได้ความแน่ใจ หล่อนพูดขึ้นด้วยเสียงอันร่าเริงและชวนให้เด็กตื่นเต้นไปด้วย

“ถึงแล้ว ป่องลุกขึ้นเร็ว ดูถีมีอะไรมั่ง”

ทั้งเด็กหญิงเด็กชายลุกขึ้นถลันไปที่หน้าต่างทันที แต่แล้วก็เบือนหน้ากลับโดยทันทีเหมือนกัน เพราะมองไม่เห็นสิ่งใดนอกจากความมืด ซึ่งออกจะน่ากลัวอยู่บ้างสำหรับขวัญของเด็ก ภรณีรีบชี้แจงด้วยเสียงอันแจ่มใสว่ารถยังไม่ถึงสถานีทีเดียวแต่จะถึงในไม่ช้าแล้วชวนให้เด็กจัดเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย

​รถแล่นช้าลงทุกที ๆ จนเกือบจะหยุดสนิท ภรณีรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงขึ้น ๆ หล่อนไม่มีเวลาที่จะค้นหาสาเหตุแห่งความวิปริตนี้ เด็กทั้งสองกำลังเต้นอยู่ข้างหล่อน ส่วนอีกทางหนึ่ง นายถีก็กำลังขนกระเป๋าเดินทางของหล่อนลงจากหิ้งเหล็กและออกจากใต้ที่นั่ง แล้วบันลือก็หิ้วกระเป๋าของเขาเข้ามาใกล้

นายถีรายงานขึ้นพร้อมกับที่ลากกระเป๋าใบสุดท้ายออกจากใต้ที่นั่ง

“ป้านมถ้าจะต้องหาม เดินไม่ไหว”

“อ้าวเป็นอะไรไป !” บันลือถาม

“แกว่าแกเมารถ ลุกไม่ขึ้นเลย”

“เอ๊ะ ก็เมื่อสักครู่นี้ก็เห็นยังเดินได้ดีอยู่นี่”

“เพิ่งเมาใหญ่เมื่อมืดแล้ว”

“วะ !” บันลืออุทานแกมหัวเราะ แล้วพูดสืบไป “เจ้าไปจัดการช่วยแกทีสิ คงไม่ถึงกับต้องหามหรอกน่ะทิ้งไอ้กองนี้ไว้นี่แหละ บอกพวกเรามาทางหน้าต่างนี้แกพานมไปขอเขาพักในห้องนายสถานีก่อน”

นายถีเดินลับตัวไปโดยเร็ว บันลือวางกระเป๋าเล็กของเขาไว้ทางหนึ่ง แล้วยกกระเป๋าใหญ่ของภรณีไปที่หน้าต่างด้วยกิริยาอันไม่แสดงความลำบากอย่างใดเลย กระเป๋าหนึ่ง สองกระ​เป๋า สามกระเป๋า เจ้าหล่อนผู้เป็นเจ้าของยืนมองดูเขาด้วยความรู้สึกประหลาดพิกล แล้วเขาเยี่ยมหน้าออกนอกหน้าต่าง เสียงที่เขาพูดแว่วมาถึงหูหล่อนเบา ๆ และไม่เป็นถ้อยคำ ต่อจากนั้นเขายกกระเป๋าส่งออกไปนอกรถ รวมทั้งสิ้น ๕ ใบด้วยกัน

เสร็จแล้วเขาหันมาทางธิดา ยกตัวเด็กขึ้นโดยง่ายพร้อมกับพูดว่า “มา พ่อจะอุ้ม” เขายิ้มจับคางเด็กบีบโดยแรง “เลิกโยเยที เดี๋ยวถึงบ้าน” แล้วหันไปหยิบกระเป๋าใบเล็กของเขาเอง แล้วก็เดินตรงไปที่ประตู

แต่เขามิได้ก้าวออกไปก่อนที่จะได้หันมาดู และเห็นว่าภรณีกับเด็กชายได้เดินมาทันเขาแล้ว บันไดรถสูงจากชานสถานีมาก เขาวางกระเป๋าลงเสีย แล้วหันมาโอบตัวเด็กชายลงไปวางบนชานอย่างคล่องแคล่วด้วยมือที่ว่างอยู่ เขาหันกลับมายื่นมือจะช่วยภรณีอีก แต่หล่อนได้ลงไปยืนอยู่ข้างเขาโดยเรียบร้อยแล้ว

อีก ๓ นาทีหลังจากนั้น รถไฟออกแล่นต่อไป สถานีที่บันลือลงเป็นแต่เพียงสถานีย่อยแห่งหนึ่ง นายสถานีเข้ามาทักทายบันลืออย่างผู้คุ้นเคย แต่มีกิริยาแสดงความนับถืออยู่ในที ฝ่ายเขาก็แสดงกิริยาตอบแทนในลักษณะเช่นเดียวกัน เมื่อกล่าวอำลาเพื่อจะเดินทางต่อไปบันลือพูดว่า

​“วันหลังคุยกันใหม่ วันนี้เด็กง่วงเสียแล้ว ถ้าก็จะหลับในรถยนต์ ผมมีอะไรมาฝากคุณด้วย พรุ่งนี้จะให้คนเอามาให้”

นายถีก็ได้พานางพวงไปรออยู่บนรถยนต์เรียบร้อยแล้ว เมื่อบันลือพาลูกทั้งสองกับภรณีไปถึงนางพวงกำลังหาวเรออย่างขนานใหญ่ รถนั้นเป็นรถบรรทุก แต่มีหลังคาและมีที่นั่งสองแถว ซึ่งมีเบาะรองและมีพนักสำหรับพิงได้อย่างสบาย ภรณีขึ้นนั่งในที่ตรงกับนางพวง บันลือส่งลูกหญิงตามขึ้นไปให้หล่อน ส่วนลูกชายซึ่งยึดมือภรณีแน่นอยู่นั้น บันลือกล่าวชวนว่า

“แกเป็นผู้ชาย ออกมานั่งกับพ่อข้างนอกเถอะ”

เขารับตัวเด็กลงจากรถ ชายอีก ๔ คนรวมทั้งนายถีด้วยก็ขึ้นนั่งเรียงเป็นลำดับกันไปเสียงเครื่องยนต์สตาร์ทรถเคลื่อนจากที่ ภรณีเหลียวไปดูสถานีเป็นครั้งสุดท้ายเห็นแสงไฟเป็นจุดใหญ่แต่ไม่รุ่งโรจน์ ในไม่ช้าก็ลับหายไปกับตาด้วยรถเลี้ยวออกไปตามทาง ๆ หนึ่ง

ต่อจากนั้น ภรณีเห็นแต่ที่ราบอันมีความมืดปกคลุมจนดำสนิท สุดวิสัยที่สายตาจะดูให้เห็นชัด ต่อนาน ๆ เมื่อแสงไฟอันเป็นลำใหญ่ฉายไปต้อง จึงมองเห็นคันนาและต้นไม้ได้บ้าง นางพวงหาวเรอและบ่นพึมพำไม่ขาดปาก ภรณีจับความได้เป็น​บางตอนว่าเป็นคำบ่นในเรื่องความมืดแห่งภูมิประเทศและความยาวแห่งระยะทาง ชาย ๔ คนที่อยู่ทางท้ายรถ พูดกันหัวเราะกันเป็นคราว ๆ ด้วยเสียงอันไม่ดังนัก แต่ซึ่งนายถีได้รีบบรรยายและขยายความให้นางพวงเข้าใจว่าเขาพูดกันถึงสัตว์ร้าย เช่นเสือและหมี ภรณีนึกดีใจที่เด็กหญิงป่องหลับอยู่กับตักของหล่อนอย่างสนิท ถ้ามิฉะนั้นก็คงถูกกระทบกระเทือนขวัญ ด้วยความคะนองของนายถี นาน ๆ ครั้งหนึ่งหล่อนได้ยินเสียงบันลือตามลมมากระทบหู เขาพูดกับคนขับรถถึงเรื่องทางข้างหน้าได้รับการซ่อมแซมพอให้รถวิ่งได้โดยสะดวกหรือไม่ แล้วก็ถามถึงรถคันอื่น ๆ รวมทั้งเครื่องยนต์ชนิดอื่นที่เขาใช้ในการงานของเขาด้วย

 

59

๑๗



​ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ละวาจาหยาบ เว้นจากวาจาหยาบแล้ว วาจาไม่มีโทษ สบายหู น่าดูดดื่ม จับใจ เป็นที่พอใจชน—(เขาย่อม) กล่าววาจานั้น นี่ภิกษุทั้งหลายเราเรียกว่าบุคคลมธุภาณี (ผู้พูดหวาน)

 


คุณนายลำดวน ค่อย ๆ นั่งลงบนเสือที่ปูอยู่บนพื้นห้อง ใช้เวลานานหน่อยกว่าจะจัดขาทั้งสองให้เข้าที่สบายได้โดยเรียบร้อย เสร็จจากนี้แล้วก็ขมวดคิ้ว ใช้สายตาเพ่งมองไปในที่ใกล้ตัวโดยรอบ ส่วนมือก็ช่วยคลำตามที่ ๆ สายตามองเห็นไม่ได้ เช่นที่ใต้กระดาษ ใต้ผ้าที่ซับซ้อนกันอยู่เป็นตั้ง ๆ ในซอกตระกร้าเครื่องเย็บ และในท้ายที่สุด คุณนายลำดวนลากเชี่ยนหมากเงินเครื่องนากเข้ามาใกล้หน้าตัก ครั้นไม่เห็นของที่ต้องการจึงยกลิ้นที่รองเครื่องขึ้นเสีย และมองดูภายในเชี่ยน

หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเสื่ออีกผืนหนึ่ง ไม่ไกลจากคุณนายเท่าใดนัก ลดมือที่ถือผ้าและเข็มลงบนตัก โดยไม่ต้องถามเพียง​แต่เห็นท่านมองและคลำที่นั่นที่นี่ หล่อนก็เดาถูกว่าท่านหาสิ่งใด วันหนึ่ง ประมาณ ๒–๓ ครั้ง คุณนายลำดวนต้องหาสิ่งของนี้ บางทีก็หาพบโดยง่าย บางทีก็หาอยู่นานกว่าจะพบ เมื่อ ๒ วันก่อนนี้ คุณนายถือของอยู่ในมือซ้าย แล้วท่านก็เที่ยวเดินหายืนหาของเพราะท่านไม่แน่ใจว่า เมื่อท่านลุกจากที่นั่งไปยืนดูผู้ช่วยของท่านทำงานอยู่ที่จักรเย็บผ้านั้น ท่านได้ถือของ ๆ ท่านไปด้วย ท่านเชื่อว่าท่านได้วางของไว้บนเก้าอี้ หรือที่โต๊ะรองผ้ากับเครื่องมือสำหรับการเย็บ ที่อยู่ใกล้จักร

หญิงสาวกลัดเข็มไว้กับผ้า วางผ้าลงบนเสื่อ แล้วคลานเข้ามาตรงหน้าคุณนาย

“หาแว่นตาหรือคะ ?” เจ้าหล่อนถาม

“จ้ะ แถวนี้ไม่มี ถ้าจะวางทิ้งไว้ในห้องเล็กน่ะเอง แม่ภรณีไปดูให้ยายทีเถอะ”

คุณนายลำดวนเป็นบุคคลคนเดียวที่สามารถเรียกชื่อภรณีรวมทั้งคำนำชื่อด้วยโดยไม่ตกหล่นเช่นนี้ ตลอดจนกระทั่งในเวลาที่ควรจะใช้สรรพนามบุรุษที่ ๒ แทนนามได้ ‘แม่ภรณี’ แทนสรรพนามทุกคำ และเมื่อท่านจะใช้คำแทนชื่อตัวของท่านเองต่อหล่อน ท่านก็ใช้คำว่า ‘ยาย’ ไม่มีขาดปาก

​และเมื่อท่านนับตัวของท่านเองเป็นยายของภรณีเช่นนี้แล้ว ท่านก็ทำตัวของท่านเป็นยายอย่างแท้จริง ทั้งเป็นยายที่เมตตาปรานีต่อหล่อนยิ่งนัก เอาใจใส่ทะนุถนอมทุกเวลาในการบริโภค ท่านเกรงว่าหล่อนจะลำบากด้วยรสอาหารที่แม่ครัวทำมาถูกปาก แต่อาจจะไม่ถูกปากหล่อน ในการนอนท่านกลัวหล่อนจะลำบาก เพราะคนใช้ไล่ยุงไม่หมดมุ้งหรือปูที่นอนไม่ดีพอ ในการอยู่เฉยเป็นปกติ ท่านห่วงว่าหล่อนจะเหงา ในเวลาทำงานท่านวิตกว่าหล่อนจะเมื่อยหรือจะเบื่อ

ในตอนต้น ๆ ที่ภรณีมาอยู่กับคุณนายลำดวน หล่อนเรียกคุณนายลำดวนว่า ‘ท่าน’ ตามที่คนใช้ในบ้านเรียก ทั้งในเวลาที่พูดกับคนอื่นและในเวลาที่พูดกับตัวท่านเอง แต่หล่อนทำเช่นนั้นอยู่ได้เพียง ๒–๓ วันเท่านั้น หลังจากที่คุณนายลำดวนฟังได้ถนัดว่าหล่อนใช้สรรพนามบุรุษที่สองต่อท่านอย่างไร ท่านก็ท้วงและถามในทีอนุญาตแก่หล่อนว่า “ทำไมไม่เรียกยายว่ายาย”

ภรณีกำลังจะคลานออกห่างจากคุณนายลำดวน เพื่อจะไปยังห้องที่ท่านบอกอยู่แล้ว เผอิญสายตาของหล่อนมองสูงขึ้นเล็กน้อย หล่อนชะงักแล้วก็ยิ้มและพูดเรียบ ๆ

​“แว่นตาอยู่ที่—” เสียงของหล่อนแสดงความอ่อนน้อมยิ่งขึ้น “อยู่บนหน้าผากคุณยาย”

คุณนายลำดวนยกมือขึ้นคลำหน้าผากตัวเอง

“ดูซี” ท่านร้อง “แหม ยายนี่เลอะเทอะใหญ่” แล้วดึงแว่นตาให้กลับลงมาอยู่บนดั้งจมูก

ภรณีคลานกลับไปยังที่ของหล่อน คุณยายมองตามและดูอยู่จนกระทั่งหล่อนนั่งลงเรียบร้อยและจับงานขึ้นทำ สมองอันแจ่มใส แต่เชื่องช้าเพราะความชราแห่งสังขารค่อย ๆ เริ่มทำการคิดแต่เพียงเผิน ๆ และขาดกระท่อนกระแท่นเป็นตอน ๆ ก่อน ภายหลังจึงค่อย ๆ คิดลึกเข้า ๆ และคิดเป็นเรื่องยาวติดต่อกันโดยตลอด

คุณยายคิดถึงหลานสะใภ้คนใหม่นี้โดยรอบทุก ๆ แง่ทุกๆ ด้านเท่าที่ท่านได้เห็นหล่อน เป็นหญิงสาวที่น่ารักทั้งโดยรูป โดยจริต โดยกิริยา ว่าถึงน้ำใจของหล่อน คุณยายมิใช่นักจิตวิทยาที่สามารถ แต่อาศัยความชำนาญที่ได้จากการพบปะวิสาสะกับเพื่อนร่วมโลกมานักต่อนัก คุณยายมีความเห็นว่าหลานสะใภ้ของท่านมีใจหนักไปในทางเคารพต่อผู้ใหญ่ และเป็นผู้ที่ ‘นุ่งเจียม ห่มเจียม’

​คุณยายไม่สงสัยเลยว่าหลานชายของท่านจะไม่รักหลานสะใภ้ยิ่งนัก แต่ท่านสงสัยว่าหลานของท่านออกจะแปลกจากชายทั้งหลายไปสักหน่อย มีเยี่ยงอย่างรึ แต่งงานใหม่ ๆ ยังไม่ข้ามวัน ละภรรยาไว้กับยาย ตัวเองไปเสียยังต่างจังหวัดแล้วอยู่เสียที่นั่นจนเกือบเดือนยังไม่กลับมา คุณยายยังจำได้เมื่อครั้งท่านแต่งงานกับคุณตาของบันลือ ทั้งฝ่ายเจ้าบ่าวและเจ้าสาวมิได้เคยเห็นหน้ากันก่อนวันงาน ถึงกระนั้น เมื่อเสร็จสิ้นพิธีแล้ว ฝ่ายชายก็ไม่ยอมคลาดจากฝ่ายหญิงแม้แต่สักอึดใจ หรือผู้ชายสมัยนี้–ใจเขาเด็ดกว่าใจชายสมัยก่อน ?

คุณยายถอนสายตาจากขอบย่ามที่ท่านกำลังเย็บมองไปยังเชี่ยนหมาก ที่ในนั้นมีจดหมายลายมือหลานชายของท่านเก็บอยู่ ตามคำบอกเล่าของผู้ถือจดหมายมาส่งให้คุณนายลำดวน ดูเหมือนบันลือจะได้เขียนก่อนเวลาที่รถไฟออกจากสถานีไม่เท่าไรนัก ความสำคัญที่เขาเขียนมามีอยู่ว่าเขาขอฝากภรณีไว้กับท่าน ๒–๓ วัน และระหว่างที่เขายังไม่อยู่นี้ ขอให้ท่านรับลูกชายหญิงของเขามาไว้กับท่านด้วย ในท้ายที่สุดเขาขอให้ท่านแจ้งแก่นางพวงให้เป็นที่เข้าใจว่าเขาประสงค์ให้ภรณีกับเด็กทั้งสองมีความสนิทชิดเชื้อกันฉันท์มารดากับบุตร

​คุณนายลำดวน ได้ปฏิบัติตามคำขอร้องของหลานชายครบถ้วนทุกข้อ ท่านจัดห้องพักให้ภรณี เรียกตัวหลานหญิงคนใหญ่มาชี้แจงให้ทราบความประสงค์ของหลานชาย ในฐานะที่เจ้าหล่อนปกครองลูกชายหญิงของบันลือแทนตัวบันลืออยู่ รับเด็กทั้งสองนี้มาไว้ที่บ้านท่าน สอนให้เรียกภรณีว่าคุณอา ซึ่งภายหลังภรณีได้เปลี่ยนเสียใหม่ คือให้ตัดคำว่า ‘คุณ’ ออกเสีย แล้วคุณนายลำดวนพูดแก่นางพวงให้นางพวงยกย่องภรณีสมกับที่ภรณีเป็นภรรยาของบันลือ

แล้วคุณนายลำดวนก็ตั้งหน้าคอยวันที่หลานชายจะกลับมารับภรรยาและบุตรของเขา คุณนายลำดวนคอยวันนั้นด้วยและกลัววันนั้นด้วย ท่านคอยเพราะมีความสนเท่ห์และรำคาญในข้อที่บันลือไม่รีบร้อนจะพาภรรยาไปไว้กับตัว ท่านกลัวเพราะอาลัยเหลนเล็ก ๆ ว่าจะต้องไปไกลจากท่านนานนับเป็นเดือน ๆ

แลท่านคิดเสียดายหลานสะใภ้คนใหม่ ซึ่งท่านได้เริ่มรักและปรานีไว้มากแล้ว ไม่อยากให้หล่อนห่างท่านไปเสีย ๗ วัน ล่วงไปแล้วก็อีก ๗ วัน แล้วก็อีก ๗ ภรณีได้ไปวัดกับคุณยายในวันธรรมสวนะถึงสองครั้งแล้ว แล้วก็ได้ไปครั้งที่สามอีก บัดนี้เดือนใหม่ย่างเข้ามากว่าครึ่งเดือน บันลือเคยกลับเข้ากรุงเทพฯ ในเดือนหนึ่งอย่างช้าที่สุดไม่เกินวันที่ ๒๐ แต่สำหรับเดือนนี้ คุณยายมีความเห็นว่าเขาควรจะกลับเสียตั้งแต่วันที่ ๑ ​ที่ ๒ และเมื่อวันที่ ๑๕ ล่วงไป เขายังไม่กลับคุณยายก็สงสารหลานสะใภ้ยิ่งขึ้นทุกวัน

ความจริง ภรณีมิได้มีอาการกิริยาเป็นเครื่องเตือนใจให้คุณยายระลึกถึงข้อที่หล่อนเป็นเจ้าสาว อันเจ้าบ่าวละไปเสียในวันแต่งงานแม้แต่น้อย กิริยาอาการของหล่อนดูเหมือนกับหล่อนเป็นเด็กสาวที่ย้ายจากผู้ปกครองคนเก่ามาอยู่กับผู้ปกครองคนใหม่ ตั้งแต่ตื่นนอนเช้าจนถึงเวลานอนอีกในตอนกลางคืน หล่อนนั่งอยู่กับคุณยาย ช่วยทำงานที่คุณยายทำ พูดกับคุณยายเมื่อคุณยายพูดด้วย รับใช้คุณยายในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่าที่คุณยายแสดงความต้องการ หรือมิฉะนั้นก็พูดเล่นกับเด็กชายก้องเด็กหญิงป่องหรือเล่านิทานให้เด็กฟัง เมื่อเด็กพากันมาเล่นในห้องที่คุณยายอยู่ แต่คุณนายลำดวนเป็นหญิงรุ่นเก่า เคยเป็นสาวในสมัยที่หญิงสาวทุกคนมีความเคร่งครัดในอันจะซ่อนความรู้สึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกเกี่ยวกับเพศตรงกันข้าม เพราะกลัวความอัปยศเป็นที่สุดแล้ว คุณนายลำดวนเชื่อเอาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า หลานสะใภ้ของท่านซ่อนความรู้สึกอันจริงใจของหล่อนไว้ตามวิสัยของหญิงที่มีอายุ

แต่คนอื่น ๆ นั่นสิ ทำให้คุณนายลำดวนรำคาญนัก ลูกหลานของคุณนายลำดวนมีมาก ทั้งหลานหญิงหลานชายทั้งที่เป็นผู้มีอายุแล้ว ทั้งที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาว ลูกหลานเหล่านี้​คราวใดเขามาเห็นภรณีอยู่กับคุณนายลำดวน เขาก็ตั้งปัญหาให้ท่านต้องตอบซ้ำ ๆ ซาก ๆ ร่ำไป คุณนายลำดวนเป็นผู้ชราแล้ว โดยปกติความจำของท่านจะแจ่มใสก็แต่ในเรื่องที่ท่านได้ผ่านมา ได้ประสบมา เมื่ออยู่ในวัยสาวในเรื่องที่ท่านได้ฟัง ได้รู้ เมื่ออายุล่วงเข้าปัจฉิมวัยนี้ ฟังแล้ว รู้แล้ว ท่านก็มักจะลืมเสียภายในเวลาไม่กี่วัน แต่เฉพาะเรื่องระหว่างหลานชายกับหลานสะใภ้ด้วยเหตุที่เป็นเรื่องอันมีปัญหาชวนให้คิด ทั้งเป็นเรื่องที่ท่านถูกกวนให้พูดบ่อย ๆ คุณนายลำดวนจึงจำได้โดยละเอียดลออไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำรายละเอียดของเรื่อง ดูเหมือนจะขยายออกนอกความจริงไปบ้างแล้วด้วย เพราะเมื่อความจริงเท่าที่คุณนายลำดวนได้รู้ได้เห็นยังไม่เป็นความที่ให้ความเข้าใจแจ่มแจ้งแก่ผู้ที่ชอบตีปัญหาเรื่องของคนอื่น คุณนายลำดวนมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะทำให้ข้อปัญหาตกไป ก็ชักข้ออธิบายแปลก ๆ ต่าง ๆ ซึ่งบางทีก็เพี้ยนจากความจริง หรือเกินความจริงไปบ้างมากล่าวแก่ผู้ถาม ตามแต่สติปัญญาของท่านจะเกิดขึ้น ทั้งนี้คุณนายลำดวนทำไปโดยมิได้มีจิตเจตนา

พิธีแต่งงานระหว่างบันลือกับภรณีตั้งต้นในเวลา ๗ นาฬิกา พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์แล้วรับอาหารบิณฑบาต ​พร้อมด้วยปัจจัยอันควรแก่สมณะ เสร็จจากพิธีซึ่งคุณยายเป็นผู้กะเกณฑ์ว่าต้องมีเพื่อสวัสดิมงคลแก่คู่บ่าวสาว แล้วก็มีการลงนามในทะเบียนสมรส ซึ่งฝ่ายเจ้าพนักงานนำมาคอยอยู่ หลังจากนี้ประมาณครึ่งชั่วโมง บันลือแจ้งแก่คุณยายและผู้ที่มาในงานของเขาว่า เขามีธุระเกี่ยวกับการขนเครื่องจักรขึ้นรถไฟซึ่งเขาจำเป็นต้องดูแลด้วยตนเอง แล้วเขาก็ขับรถออกไปจากบ้าน ใกล้เที่ยงเขากลับมาพอดีได้เวลารับประทานอาหาร ๑๓ นาฬิกาเศษ เขาชี้แจงว่าเขาจะต้องรีบไปคุมการงานที่สถานีก่อนเวลาที่กำหนดไว้ให้เจ้าสาวออกจากบ้านไปขึ้นรถไฟเพียง ๗ นาที เขาโทรศัพท์มาบอกให้เจ้าสาวงดการที่จะเดินทางไปกับเขาไว้ก่อน เพราะมีเหตุขัดข้องบางประการซึ่งเขาจะชี้แจงให้ทราบในภายหลัง

เหตุขัดข้องนี้คืออะไร ไม่มีผู้ใดรู้จนแล้วจนรอด พี่สาวน้องสาวของบันลือรวมทั้งเขย ซึ่งหมายใจว่าจะได้ฟังเรื่องราวละเอียด เมื่อเขาไปพบบันลือก่อนเวลารถไฟออกนั้น ครั้นไปถึงสถานีแล้วก็หาพบตัวบันลือหรือรถยนต์ที่บันลือใช้ไม่ ภายหลังเมื่อคนขับรถนำจดหมายของบันลือมาให้แก่คุณนายลำดวน จึงเป็นที่ทราบกันว่า บันลือได้นั่งรถยนต์ไปดักคอยขึ้นรถไฟที่​สถานีเหนือขึ้นไปอีก เมื่อถูกซักว่าเหตุใดบันลือจึงทำดังนั้น คนขับรถก็ไม่สามารถที่จะตอบได้

แต่เหตุขัดข้องนี้ คุณนายลำดวนได้ชี้แจงไปแก่ญาติหลายคนว่า เกี่ยวด้วยพาหนะที่จะพาผู้เดินทางจากสถานีรถไฟไปสู่ที่อยู่ของเขาบ้าง เกี่ยวด้วยทางระหว่างสถานีกับที่อยู่ของบันลืออาจจะชำรุดหรือพังเพราะน้ำท่วมหรือถูกพายุฝนบ้าง เมื่อได้ชี้แจงไปเช่นนี้หลายครั้งแล้ว ตัวท่านผู้ชี้แจงเองก็พลอยเชื่อคำชี้แจงของตัวเองไปพร้อมกับผู้ฟังด้วย

เสียงเครื่องยนต์กับเสียงประตูรถเปิดและปิดทำให้คุณนายลำดวนผู้ซึ่งยังมีประสาทแห่งโสตแม่นยำดี ตื่นจากการครุ่นคิดในเรื่องหลานสะใภ้กับหลานชาย ท่านเงยหน้าขึ้นอย่างแช่มช้า และพูดขึ้นอย่างแช่มช้าเช่นเดียวกัน

“แม่ภรณีไปดูทีรึ เสียงรถใครมา ?”

หญิงสาวคลานห่างออกไปเล็กน้อย ภายหลังจึงลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง ครั้นแล้วก็กลับมายังคุณยาย และแจ้งว่า

“คุณจิตราค่ะ”

“อ้าวแม่ภรณีไปเชิญเข้าไปในห้องรับแขกที่จะได้นั่งคุยกันให้สบาย”

​เมื่อเห็นหลานสะใภ้คลานไปยังที่ ๆ หล่อนนั่งอยู่เมื่อครู่ก่อน คุณนายลำดวนจึงว่า “ทิ้งไว้ก่อนก็ได้นี่นะ เดี๋ยวยายจะเรียกนางแหววมาเก็บให้ แม่จิตราเขาจะคอย”

แต่ภรณีได้พับย่ามและรวบรวมเครื่องเย็บลงในหีบอย่างไม่เร่งรีบ คุณยายไม่อาจทายใจหล่อนได้ว่า โดยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ภรณีไม่มีความประสงค์จะพบจิตราสองต่อสอง

เมื่อภรณีปิดหีบเครื่องเย็บ ก็พอดีจิตรามาถึงประตูห้องเจ้าหล่อนผู้นี้คุกเข่าลงข้าง ๆ ภรณี แล้วทำความเคารพเจ้าของบ้านโดยเรียบร้อย

“จำเริญ ๆ แม่คุณ” คุณนายลำดวนกล่าว “นั่งเสียบนเสื่อซีจ๊ะ”

จิตรายิ้มและไม่ตอบว่ากระไร

“ขอบใจ อุตส่าห์มาเยี่ยม” สตรีผู้สูงอายุพูดอีก “มาคนเดียวหรือจ๊ะ ?”

“มาคนเดียวค่ะ” อีกฝ่ายหนึ่งตอบ

แล้วก็นิ่งเงียบกันไป เป็นความเงียบในระหว่างเจ้าของบ้านกับแขก ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ต้องการจะปฏิบัติให้ถูกใจซึ่งกันและกัน แต่ยังมิรู้ที่จะปฏิบัติสถานใด

​ผ้าที่ภรณีพับไว้ถูกคลี่ออกโดยมือจิตรา พร้อมกับที่จิตราถามเบา ๆ ว่า “ทำอะไรน่ะ ภร?”

ภรณีตอบว่า “เย็บย่ามค่ะ” แล้วคุณยายลำดวนก็พูดต่อคำพูดของหล่อนนั้น

“ย่าม จะทำไปช่วยพระท่านขึ้นกุฏิใหม่ แม่ภรณีเย็บเร็วเร็ว ประเดี๋ยวใบ ๆ สอยก็เร็ว ฝีเข็มก็ถี้ถี่”

จิตราหันมายิ้มกับผู้ที่อ่อนอายุกว่า นิ่งไปอีกครู่หนึ่งแล้วหล่อนจึงตั้งคำถามที่ติดอยู่ตรงริมฝีปาก ตั้งแต่ก่อนที่หล่อนจะขึ้นรถออกจากบ้าน

“บันลือยังไม่มา ?”

“ยังค่ะ” เป็นคำตอบเรียบ ๆ

“จดหมายมีมาหรือยัง ?”

“ไม่มีค่ะ”

จิตราเพ่งดูตาและสีหน้าผู้พูด เห็นเฉยอยู่ไม่มีลักษณะแสดงความรู้สึกผิดปกติอย่างใด ก็สบายใจ คลายกังวล แต่พร้อมกันนั้นจิตราก็รู้สึกพิศวงและรำคาญ หญิงสาวคนนี้ไฉนจึงมีความสามารถในการสะกดความรู้สึกนึกคิดได้มากนัก หรือว่านิสัยของหล่อนมีธรรมชาติอันไม่มีความรู้สึกต่อสิ่งที่คนทั้งหลายเขารู้สึกกัน และความเข้าใจของจิตราที่ทำให้หล่อนรักใคร่เอ็นดู​ต่อหญิงคนนี้ เพราะเชื่อว่าเป็นผู้มีสติปัญญา และความคิดนึกลึกซึ้งนั้นเป็นแต่เพียงความเข้าใจที่จิตราเข้าใจไปตามความคิดของหล่อนเอง เนื้อแท้แห่งนิสัยของภรณี หล่อนเป็นหญิงที่ไม่มีสมองสำหรับจะคิดถึงสิ่งที่ควรคิดอย่างใดเลย ?

ในระหว่างสองสัปดาห์ที่แล้วมา จิตรากับสามีของหล่อนเกือบจะต้องเป็นปากเสียงกันเพราะเรื่องภรณี จิตราเห็นบันลือทำตัวของเขาเป็นที่น่าตำหนิในข้อที่ละภรณีไปเสียในวันแต่งงานโดยมิได้แสดงความจำเป็นให้ปรากฏชัดเจนแต่อย่างหนึ่งอย่างใด มิหนำซ้ำเมื่อละไปแล้ว ก็เพิกเฉยไม่ส่งข่าวคราวให้เป็นเครื่องแสดงน้ำใจรักหรือคิดถึงหญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของตน แม้แต่โดยตัวอักษรสักสองหรือสามตัว หรือโดยคำพูดสักสองหรือสามคำ ส่วนเจริญเห็นว่าการที่บันลือทำเช่นนั้นเป็นเรื่องธรรมดาอันไม่น่าที่ใครจะต้องเก็บไปนึกคิดแม้แต่สักน้อย วิสัยของชายที่กำลังก่อสร้างงานอันใดอันหนึ่งขึ้น ความลุ่มหลงในงานนั้นก็อาจจะมีอำนาจทำให้เขาลืมคิดถึงสิ่งอื่น แม้สำคัญและไม่สำคัญไปบ้างชั่วครั้งคราว เฉพาะคำปรารภของจิตราที่ว่า บันลือไม่แสดงน้ำใจรักหรือคิดถึงภรณีเสียเลยนั้น เจริญเห็นเป็นสิ่งที่น่าขันอย่างที่สุดแล้ว “ก็คนมันมีธุระจนกระทั่งต้องทุราศไปโดยไม่ทันบอกให้ใครรู้เรื่องรู้ราว” เจริญว่า “จะให้มันเอา​เวลาที่ไหนมานั่งเขียนจดหมายรักถึงเมีย ยิ่งกว่านั้น” เจริญเสริมในตอนท้าย “ไอ้ใจของมัน ๆ ก็ยังไม่ได้รักจริง ๆ ด้วย มันจะเอารักที่ไหนมาแสดง”

จิตราแย้งว่า รักหรือมีรัก บันลือก็ควรจะทำหน้าที่ของเขาให้ถูกถ้วน เจริญยิ่งเห็นขันหนักขึ้น “หน้าที่เขียนจดหมายรักนี่มันต้องไอ้ผัวอายุ ๒๐” เขาตอบ “บันลือน่ะอายุมัน ๓๐ เสียแล้ว แล้วมันเคยมีเมียถึง ๒ คน”

จิตราโกรธหนัก หลอนย้อนถามเขาว่า ถ้าเช่นนั้นชายทั้งหลายยิ่งอายุมากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งเห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว ผู้อื่นนอกจากตัวแม้แต่ภรรยาหรือบุตรจะทุกข์สุขอย่างไรเป็นอันว่าชายไม่พักต้องคำนึงถึงกระนั้นหรือ เจริญแก้ว่าการที่ชายเมื่ออายุมากขึ้น ฝักใฝ่ในการงานมากขึ้นนั่นแหละแสดงว่าเขาคำนึงถึงสุขและทุกข์ของภรรยาและบุตรยิ่งกว่าเมื่อเขาอายุยังน้อย จิตราแย้งว่า ข้อนี้ไม่เป็นเครื่องพิสูจน์อันแน่นอน ชายย่อมกระทำการงานด้วยความบากบั่น เพราะเห็นแก่ตัวของเขาคนเดียว กล่าวคือ หวังในลาภในยศ ซึ่งเขาเป็นผู้รับโดยตรงก็ได้เหมือนกัน เจริญย้อนถามว่า อันลาภและยศที่มาถึงหัวหน้าครอบครัวนั้น บุคคลในครอบครัวเช่นภรรยาและบุตร ย่อมได้เสพผลด้วยหรือ​มิใช่ จิตราตอบว่า ภรรยาและบุตรได้รับผลเหล่านั้นในลักษณะเป็นผลที่กระท้อนมากระทบ เปรียบเหมือนแสงสว่างฉายมาต้องวัตถุสิ่งหนึ่ง ทำให้เกิดเงากระท้อนไปยังวัตถุที่สอง ส่วนจิตใจของมนุษย์จะเป็นหญิงก็ดี ชายก็ดี ย่อมมีความต้องการในผลที่มาถึงตนโดยตรงด้วยกันทั้งสิ้น เฉพาะหญิงที่แต่งงานแล้ว ความสุขและความพอใจขึ้นอยู่แก่อาการที่สามีแสดงน้ำใจให้ปรากฏว่า เขามีเจตนาจะทะนุถนอมภรรยาของเขาหรือไม่ ลาภก็ดี ยศก็ดี ซึ่งสามีได้สร้างขึ้นและเป็นผลที่กระท้อนมากระทบภรรยา เกือบจะนับได้ว่าไม่มีค่าเสียเลย เมื่อยกมาเทียบกับน้ำใจและเจตนาของสามี ซึ่งภรรยาย่อมตีราคาไว้สูงยิ่งนัก เจริญฟังแล้วนึกอยากหัวเราะ ปรารภอยู่ในใจว่า ภรรยาของตนเห็นจะไม่มีเวลาที่จะคิดอย่างผู้สูงอายุไปกว่านี้ ถึงแม้เมื่ออายุของหล่อนย่างเข้า ๖๐ แล้วเขาตอบแก่หล่อนว่า

“ไอ้ความถนอมน่ะ มันต้องมีความรักเป็นเครื่องสอน แต่บันลือยังไม่ทันจะได้รักยายภรเราก็รู้กันอยู่แล้ว เท่าที่มันทำก็ทำอย่างตรงไปตรงมา ใจมันเป็นยังไงมันก็ทำออกไปอย่างนั้น จะเอาอะไรกับมันมากไปกว่านี้อย่างไรได้”

จิตรารู้ว่าคำพูดของสามีสมเหตุสมผล แต่หล่อนเปลี่ยนความรู้สึกของหล่อนให้เห็นชอบในเหตุผลของเขามิได้ มิหนำ​ซ้ำหล่อนต้องการจะให้เขามามีความรู้สึกตรงกับหล่อนเสียอีก ครั้นเมื่อหล่อนไม่สามารถที่จะหาเหตุผลมาลบล้างเหตุผลของเขา และทำให้เขารู้สึกอย่างเดียวกับหล่อน หล่อนก็โกรธ ครั้งหนึ่งหลังจากที่จิตรามาหาภรณี ครั้นกลับไปพบกับเจริญ เขาถามหล่อนว่า “ยายภรว่ายังไร ?” หล่อนตอบแก่เขาว่า ภรณีไม่ได้ออกความเห็นอย่างหนึ่งอย่างใด ในเรื่องที่เกี่ยวกับการอยู่ การไปของบันลือ เจริญฟังแล้วก็หัวเราะ จิตราก็โกรธเขา ว่าเขาหัวเราะเยาะหล่อน “เป็นที่ว่าฉันบ้าไปคนเดียว” หล่อนกล่าวแก่เขา ครั้นอีกหนหนึ่งจิตรพบภรณีอีก แล้วกลับไปเล่าให้สามีฟังอีกว่า “ยายภรเฉยเหมือนทองไม่รู้ร้อน” เจริญวางหน้าเฉยเสียไม่ออกความเห็นว่ากระไร จิตราก็เคืองและท้าเขาว่า “พูดออกมาก็แล้วกัน ว่าคนในโลกนี้ไม่มีใครเขาบ้าเหมือนฉัน” ความจริงจิตรารู้ว่า ถ้าภรณีจะได้บ่นหรือปรารภการกระทำของบันลือให้จิตราฟัง ก็เป็นข้อที่ทำให้จิตราหนักใจมากขึ้นอีกหลายเท่า และบางทีจะทำให้เจริญ รวมทั้งจิตราเองด้วยมีความเห็นว่า ภรณีเป็นผู้ไม่รู้จักประมาณตัว แต่ถึงกระนั้นเมื่อภรณีมิได้แย้มพรายความรู้สึกของหล่อนให้จิตราเข้าใจเสียบ้างเลย ก็เป็นข้อที่ทำจิตรารู้สึกรำคาญ

​คุณนายลำดวนเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นหลานสะใภ้และแขกของหล่อนต่างพากันนิ่งเงียบอยู่

“ฉันกลัวว่าพ่อปุ๊จะไปมีเรื่องยุ่ง ๆ อะไรทางโน้น ถึงได้เงียบหายไป แต่ยังไง ๆ อีกสัก ๒–๓ วันก็คงต้องมา เดือนหนึ่งเขาต้องมาหนหนึ่ง นั่นแหละ ที่จริงธรรมดาของเขามักจะจู่มาแล้วก็จู่ไปไม่ทันให้รู้เนื้อรู้ตัวเสมอ”

แล้วคุณนายลำดวนก็เล่าถึงนิสัยของหลานชายเท่าที่ท่านสังเกตและจดจำไว้ ในตอนต้นจิตรานั่งฟังในลักษณะเสียไม่ได้ หล่อนกำลังไม่ชอบบันลือเป็นอย่างยิ่ง และเมื่อคุณยายกล่าวถึงนิสัยส่วนที่ดีของหลาน หล่อนนึกอยากขัดคอท่านเป็นกำลัง แต่ครั้นเมื่อได้ฟังไป ๆ อีกครู่ใหญ่ พอหล่อนลืมนึกว่าบันลือเป็นสามีของภรณี มิตรภาพอันเก่าแก่มีอำนาจเหนือความรู้สึกอื่น จิตราก็ฟังต่อไปด้วยความเพลิดเพลิน

 

60
นวนิยายเรื่อง นันทวัน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 16-20


๑๖



​ดูกรคฤหบดีบุตร เหล่านี้แลเป็นโทษ ๖ อย่างในการประกอบเนืองๆ ซึ่งการดื่มน้ำเมาอันเป็นเหตุที่ตั้งแห่งความประมาท ทำความเสื่อมทรัพย์อันผู้กินเหล้าจักเห็นด้วยตนเอง ๑ เหล้านั้นทำความทะเลาะกันให้เจริญ ๑ เป็นบ่อเกิดแห่งโรค ๑ ทำความนินทาให้เกิด ๑ ให้เปิดองค์อวัยวะที่ทำความอายให้กำเริบ ๑ ทำให้ปัญญาถอยกำลัง ๑

 


อีกสิบนาทีต่อมา ภรณีไม่เป็นผู้ไม่รู้จะวางตัวไว้แห่งใดอีกแล้ว แขกของบันลือที่แปลก หรือว่ามนุษย์มีความแปลกเช่นนี้ด้วยกันทุกคน ? ผู้ใดได้รับความห้อมล้อมแล้ว ยิ่งมีผู้มาช่วยห้อมล้อมให้มากขึ้นอีก ส่วนผู้ที่อยู่เดียวดายไม่มีผู้ใดเหลียวแล ภรณีได้พบจิตราแล้ว แต่มิได้เข้าใกล้กัน จิตราอยู่ในวงล้อมวงหนึ่ง หล่อนเห็นภรณีก็ส่งเสียงมาว่า “อ้อ ภร บันลือเขากลัวหน้าเธอจะหมอง เขาสั่งพี่ไว้ เธออยากขึ้นไปบนโน้นเมื่อไหร่ก็บอกพี่นะ แต่รออีกสักครู่ละก็ดี เวลานี้ถ้าจะกำลังแน่น แล้วพี่ก็ยังขี้เกียจขึ้นกระได ท้องหลาม” หล่อนบอกแก่ผู้ที่อยู่ในวงเดียวกับหล่อน แล้วก็หัวเราะด้วยลักษณะที่ทำให้ผู้อื่นต้องพลอยหัวเราะไปด้วย

​ภรณีได้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ชายทั้ง ๔ คนก็นั่งลงใกล้ ๆ หล่อน ต่อจากนั้นไม่ช้า ภรณีรู้สึกว่าหมู่น้อยที่หล่อนร่วมอยู่ได้กลายเป็นหมู่ใหญ่ขึ้นทุกที และการสนทนาก็ดำเนินไปโดยไม่ขาดระยะ จนกระทั่งมาถึงขีดที่ต่างพูดไม่มีใครฟังใคร และภรณีเลือกไม่ถูกว่าจะสนใจในคำพูดของผู้พูดคนใด ในที่สุดหล่อนได้เลือกฟังคำพูดของผู้ที่คนอื่น ๆ ไม่สนใจฟัง เมื่อเห็นผู้ใดพูดออกไปเปล่า เพราะผู้อื่นกำลังนั่งอยู่ทางอื่น ภรณีก็จับตาดูเขาผู้นั้น ครั้นมีผู้อื่นหันมาช่วยฟัง และมีผู้อื่นหลงพูดไปเปล่าอีกหล่อนก็หันไปฟังเขาอีก ครั้นแล้วก็รู้สึกตัวว่ายิ่งฟังมากเท่าใดก็ยิ่งรู้เรื่องที่ฟังน้อยลงเท่านั้น

ดนตรีที่ห้องลีลาศได้บรรเลงไปแล้ว ๒–๓ เพลง เสน่ห์เตือนภรณีถึงข้อที่หล่อนควรเต้นรำกับเขาในเที่ยวที่ ๓ ที่ ๔ หลังจากที่หล่อนได้เต้นกับคู่หมั้นของหล่อนแล้ว หล่อนบอกเขาอีกว่าหล่อนเต้นรำไม่เป็นและไม่เคยเต้น ผู้ที่นั่งอยู่กับหล่อนพากันแสดงความประหลาดใจและไม่เชื่อ สุภาพสตรีสาวรุ่นใหญ่ราวรุ่นจิตราหรือเหนือไปกว่านั้น จึงขยายความแห่งคำพูดของภรณี

“พ่อหนุ่ม ๆ นี่น่ะ ชอบฝันว่าเมืองไทยเป็นเมืองฝรั่งร่ำไป ต้องเข้าใจว่ายังมีพ่อแม่อีกเยอะเทียวนะ ที่ไม่ยอมให้ลูก​สาวของเขาเต้นรำ ลูกของเขายังสาวไม่ได้ ต่อเมื่อแต่งงานไปแล้วนั่นแหละ มันแล้วแต่สามีเขา”

ห้องที่เต็มอยู่เมื่อครู่ก่อนว่างไปมาก โดยเฉพาะสตรีเกือบจะไม่มีเหลืออยู่เลย จิตราก็ได้หายไปด้วย หล่อนคงจะลืมภรณีเสียชั่วขณะ หญิงที่อยู่ในหมู่เดียวกับภรณีก็กำลังลุกขึ้นจะออกจากห้องไปเหมือนกัน ภรณีพบตัวเองเป็นหญิงคนเดียวอยู่ในหมู่ชายถึง ๗ คน

หล่อนเริ่มสงสัยว่าหล่อนจะนั่งอยู่จะนั่งอยู่เช่นนี้แหละหรือ หล่อนควรแสดงความประสงค์ที่จะย้ายที่บ้างหรือยัง ทันใดนั้นเองหล่อนเห็นบันลือเข้ามาทางประตูใกล้ที่ ๆ หล่อนนั่งอยู่ หล่อนมองดูเขา แต่เขามองปราดข้ามศีรษะหล่อนไปโดยเร็ว เขาเดินไปยังคนอีกหมู่หนึ่งซึ่งอยู่ทางมุมห้องด้านโน้น เขาคงมองหาใครที่ไม่ใช่ตัวหล่อน ภรณีนึกครั้นแล้วเขาหันกลับมา และสายตาของเขาประสานกับสายตาของหล่อน คิ้วที่ขมวดอยู่ก็คลายออกทันที เขาเดินเข้ามาใกล้

ชายในหมู่เดียวกับภรณีพูดขึ้นว่า “ตาลายไปแล้วรึ ? ท่าจะอดใจมานาน เห็นแล้วเลยไม่เชื่อตาตัวเอง”

​บันลือหัวเราะ “ล้อได้ล้อไป” เขาว่า “ไม่ถึงทีเราบ้างก็แล้วไปเถอะ” ทอดสายตามายังภรณี “ขึ้นไปข้างบนหรือยัง ?” เขาถามด้วยเสียงเบา ซึ่งแสดงว่าเขาพูดกับหล่อนโดยเฉพาะ

หล่อนลุกขึ้นยืน ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยที่อยู่บนตักตกลงบนพื้น ชายทุกคนที่กำลังจะลุกขึ้นยืนก้มลงพร้อมกันเพื่อจะเก็บผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น คนหนึ่งหยิบได้ก่อนแล้วส่งให้หล่อน หล่อนรู้สึกร้อนที่หน้า แต่ยิ้มให้เขาได้พร้อมกับกล่าวขอบคุณด้วยเสียงเป็นปกติ

“เราก็ไปมั่งซี”

“ไปซี จะมานั่งอยู่ทำไม” เสียงพูดตามหลังภรณีมา

ในระหว่างที่ขึ้นบันได บันลือกล่าวแก่คู่หมั้นของเขาว่า

“ที่ห้องเต้นรำ มีเฉลียงยาวออกไปเหมือนข้างล่างเหมือนกัน ใครไม่เต้นรำก็นั่งเล่นได้สบาย”

ภรณีหาคำตอบไม่ได้ หล่อนอยากจะพูดกับเขาบ้าง พูดกับเขาเหมือนดังที่หล่อนพูดกับชายอื่นมาแล้วเมื่อครู่ก่อน แต่หล่อนพูดไม่ถูก สมองของหล่อนไม่ช่วยหล่อนเสียเลย

พอเขากับหล่อนมาถึงประตูห้องเต้นรำ ดนตรีที่กำลังบรรเลงอยู่ก็หยุดชะงักลงทันที ทำให้คู่เต้นรำหยุดชะงักไปด้วย และหันไปดูวงดนตรีด้วยความงงงวย ๑ นาที แล้วเสียงเพลง​จึงดังขึ้นใหม่อีก ประมาณ ๒–๓ จังหวะเท่านั้น ก็เป็นคำอธิบายอย่างดี ดวงตาหลายสิบคู่หันไปทางบันลือกับภรณีเดินมา ใครคนหนึ่งตบมือขึ้นแล้วคนอื่น ๆ ก็ตบรับจนเป็นเสียงกราวใหญ่ไปรอบห้อง

คิ้วของบันลือขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แต่เขายิ้มก้มลงดูหน้าคู่หมั้นพลางถาม

“รู้จักเพลงนี้ไหม ?”

“รู้จักค่ะ” หล่อนตอบ รู้สึกว่าหน้าร้อนและขาสั้น ราวกับบันลืออ่านความรู้สึกของหล่อนได้ เขาจับแขนหล่อนไขว้กับแขนของเขา พร้อมกับพึมพำแกมหัวเราะ

“ใครก็ไม่รู้ช่างเป็นคนมาจัดการสั่ง”

เพลงไบรเดิล มาร์ช๑ ยุติลงเพียงครึ่งเพลง พอดีกับบันลือพาคู่หมั้นของเขาออกประตูสู่เฉลียง

ที่นั่นมีแสงสว่างแต่เพียงอ่อน ๆ โดยอาศัยแสงสว่างอันแจ่มจ้าที่ส่องออกมาจากในห้อง ภรณีได้นั่งลงในไม่ช้าเพราะบันลือได้เลื่อนเก้าอี้ตัวหนึ่งให้หล่อน ตัวเองยืนอยู่และหันไป​หัวเราะตอบเสียงที่ล้อเลียนเขาอยู่รอบข้าง สตรีที่นั่งอยู่ก่อนแล้วต่างยิ้มเป็นเชิงปราศรัยแก่ภรณี และภายหลังเมื่อเจ้าหล่อนเหล่านั้นจับเรื่องสนทนากันก็หันมาทางภรณีเป็นครั้งเป็นคราว แสดงกิริยาเชิงชวนให้หล่อนร่วมการสนทนาด้วย

เมื่อดนตรีตั้งต้นบรรเลงเพลงใหม่ มีผู้ถามเป็นเชิงเตือนให้บันลือเต้นรำกับ ‘คู่’ ของเขา เขาหัวเราะแทนคำตอบ เมื่อผู้ถามหันไปทางอื่นแล้ว เขาจึงพูดแก่ภรณี

“ไปเต้นรำกันหรือยัง ?”

หล่อนตอบด้วยเสียงคล้ายขออภัย “ดิฉันเต้นไม่เป็นจริง ๆ ค่ะ”

เขายิ้มและไม่โต้แย้ง นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นพร้อมกับพยักหน้าไปตามทางยาวแห่งเฉลียง

“ถ้าเบื่อนั่งหรือรู้สึกเวียนหัวคน” เขาหัวเราะ “นั่งดูคนหมุนไปหมุนมาไม่มีเวลาหยุดก็น่าเวียนหัวอยู่ เฉลียงนี้ยาวติดต่อกันจนถึงด้านข้างทางโน้น ไปเดินเล่นพักตาได้สบายห้อง ถัดจากห้องนี้ไปเป็นห้องแต่งตัวผู้หญิง แล้วมีห้องในเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง พอเปิดประตูก็ถึง ข้าง ๆ ห้องนั้นมีกระได ถ้าอยากหนีลงไปข้างล่างเงียบ ๆ ก็ได้”

​เขานิ่ง มองไปรอบ ๆ ตัวเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นอีก

“บ้านนี้เหมาะที่จะเป็นสโมสรมากกว่าจะเป็นบ้านอยู่ คุณพ่อท่านชอบบ้านที่มีเฉลียงมาก ๆ ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนต้องให้พบเฉลียง ท่านว่าท่านติดนิสัยมาแต่เด็กเพราะเมื่อเล็ก ๆ ท่านเคยอยู่เรือนฝากระดานแฝด มีนอกชานแล่นกลางไอ้แบบมีนอกชานใหญ่ติดต่อกันรอบเรือน ตกลงบ้านนี้เลยมีเฉลียงเยอะ ที่เยอะ แต่หาห้องให้คนอยู่ไม่ได้” เขาลดเสียงเบาลงอีก กังวานอ่อนเกือบเท่าเสียงผู้หญิง “แต่บ้านของเราที่หัวเมืองไม่ใหญ่โตเร่อร่ายังงี้หรอก”

หล่อนเหลือบตาขึ้นสบตาเขา อยากพูด อยากแสดงความรู้สึกให้ปรากฏ ความรู้สึกเห็นบุญเห็นคุณเห็นความกรุณาที่เขาแสดงต่อหล่อน แต่พูดไม่ออก และแสดงด้วยกิริยาอย่างอื่นก็ไม่ได้ ความปลาบปลื้มปีติและความสุขที่เปี่ยมอยู่ในใจหล่อนขณะนั้นลึกซึ้งและแรงกล้า จนถึงกับทำให้หล่อนเกิดความกลัวต่อความรู้สึกของตัวเองไม่น่าเชื่อเหลือที่จะเชื่อ ว่าชีวิตของหล่อนจะเปลี่ยนแปลงไปได้ดังที่หล่อนมองเห็นอยู่

“เตรียมของสำหรับออกหัวเมืองเสร็จแล้วหรือยัง?” เขาถามอีกครู่ต่อมา

​หล่อนพอใจที่เขาถามให้หล่อนตอบได้ “เสร็จหมดแล้วค่ะ แต่ยังไม่ได้จัดลงหีบ”

“เหลือเวลาพรุ่งนี้อีกวันเดียวนะ แต่ไม่เป็นไรขาดเหลือก็ให้คนขึ้นรถมาเอา ทั้งวันมาวันกลับ ๓ วันเท่านั้นเอง อ้อ มีอีกข้อหนึ่งเพิ่งนึกขึ้นได้ทีหลัง ของที่จะเอาไปทั้งหมดอยากให้ขนมาพักไว้ที่บ้านคุณยายให้พร้อม เพราะว่าเราจะออกจากนั่นตรงไปสถานีรถไฟที่เดียว สักสามโมงเช้า เสร็จจากเลี้ยงพระส่งพระแล้ว จะให้รถไปรับของแต่—เจ้าสาวไม่ต้องย้อนกลับไปด้วยก็ได้ไม่ใช่หรือ ?”

“ได้ค่ะ” หล่อนตอบเร็ว สิ่งใดเป็นความประสงค์ของเขา หล่อนย่อมจะไม่ตอบให้เป็นอย่างอื่น

“ดี” เพราะวันนั้นจะฟกมากหน่อยรถไฟออกจากกรุงเทพ ฯ ๑๕.๑๕ ถึงสถานีปลายทาง ๒๐.๒๕ เราต้องขึ้นรถยนต์ไปจากที่นั่นอีกเกือบ ๒ ชั่วโมงจึงจะถึงบ้านเรา เพราะยังงั้นพอเจ้าสาวออกจากบ้านมาแล้ว ไม่ต้องกลับไปอีกดีกว่า พอเสร็จงานจะได้พักให้สบาย ตอนเที่ยงมีการจะต้องนั่งโต๊ะอีก แต่เห็นจะไม่เหนื่อยเท่าไหร่เพราะกันเองทั้งนั้น ไม่มีใครเลยนอกจากพี่กับน้องแท้ ๆ กับเขย คุณพ่อกับคุณแม่ของเจ้าสาวก็ว่าจะไม่​ยอมกินด้วย คุณยายยังไม่แน่ ท่าก็คงไม่สู้อีกน่ะแหละ ท่านไม่ชอบนั่งเก้าอี้”

“ก็—” ภรณีเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันมั่นคงเป็นครั้งแรกที่หล่อนนึกจะออกความเห็น “ก็มีแต่กันเองทั้งนั้นทำไมไม่นั่งรับประทานบนพื้นล่ะคะ ?”

“เออ จริงนะ” เขารับอย่างชื่นชม “ก็มันของง่ายแท้ ๆ ทำไมไม่มีใครนึก ถ้าใช้แบบนี้บางทีคุณหลวงกับคุณนายจะมากินด้วยกระมัง”

“ดิฉันจะถามดู” ภรณีกล่าว ปลาบปลื้มในความเห็นชอบของเขาราวกับได้ทำกิจการอันสำคัญอย่างใดอย่างหนึ่งสำเร็จลง

เขานั่งอยู่ในท่าเดิมอีกครู่หนึ่ง คือท่าพับแขนข้างซ้ายพาดไว้กับโต๊ะ ก้มตัวลงจนศีรษะของเขาอยู่ในระดับเดียวกับศีรษะของภรณี แล้วเขาขยับตัวขึ้นตรงและพูดว่า

“ขอโทษ ต้องไปดูทางข้างหลัง วันนี้พี่สาวไม่ค่อยแข็งแรงอะไร ๆ ทางหลังบ้านคงไม่เป็นเรื่อง ขอโทษนะ” เขากล่าวอีกพร้อมกับยิ้มด้วยลักษณะที่ทำให้ภรณีมีความรู้สึกดังตัวจะละลายไปกับที่

​หล่อนมองตามร่างของเขา ซึ่งกำลังเดินหลีกคู่เต้นรำตรงไปทางประตู เมื่อเดินอยู่คนเดียวดูเขาก็ไม่สูงใหญ่เท่าใดนัก แต่เมื่อผู้ใดเข้าใกล้เขา ไม่ว่าหญิงหรือชาย มักจะเตี้ยกว่าเขาเกือบทุกคน ข้อนี้ภรณีเห็นเป็นสิ่งประหลาดน่าพิศวง ! ไม่ใช่แต่ข้อนี้ข้อเดียว ยังมีข้ออื่น ๆ อีก ซึ่งหล่อนไม่สามารถบรรยายให้ถูกถ้วนได้ รูปร่างของเขาผิวพรรณของเขาท่วงทีของเขา มารยาทของเขา น้ำเสียงของเขา และ—กิริยาที่เขาแสดงต่อหล่อนเป็นไปได้เทียวหรือที่เขาผู้นี้คือผู้ที่หล่อนจะ—จะแต่งงานด้วยในสองวันข้างหน้า ?

จิตรามาจากที่ใดที่หนึ่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าภรณีและถามว่า “พระเอกไปไหนเสียล่ะ ? เห็นนั่งอยู่ตรงนี้แผลบเดียวหายไปอีกแล้ว”

หล่อนนั่งลงในที่ ๆ บันลือละไปและพัดตัวเองด้วยพัดด้ามจิ้วแพรสีเดียวกับเครื่องแต่งกายของหล่อน

“ออกไปทางนี้เดี๋ยวนี้เองแหละค่ะ” ภรณีตอบ มีความรู้สึกอย่างเด่นชัดว่าตนกำลังพูดถึงผู้ที่เป็นของตนโดยแท้

“อยากจะชมเขาหน่อย” จิตราบอก สีหน้าแฉ่งอยู่ด้วยความสนุกร่าเริง “แต่อยากจะว่าด้วย อยากจะว่าเขาแกล้งจะทำ​ลายขาสองข้างของฉันเสียแล้วเพลงเพราะเสียทุกเพลงนี่นั่งไม่ได้เลย พวกเจ้าของวงเขาบอกว่าบันลือเลือกเองทุกเพลง บางเพลงถึงกับส่งโน้ตไปให้ซ้อม”

“แต่ตัวเองไม่เห็นเต้นรำ” ภรณีกล่าวด้วยความรู้สึกเป็นเจ้าของเช่นเดียวกับคราวก่อน

“ก็อย่าว่าเลย ! คู่หมั้นไม่เต้น !” จิตราหัวเราะเอื้อมมือไปบีบคางภรณี “รู้ตัวไหมคืนนี้น่ะ มีคนอิจฉาเยอะเทียว ไม่มีละผู้หญิง ๆ ที่จะหรูเท่าเธอน่ะน้อยนัก”

ภรณีถอนใจเพื่อระบายความปลาบปลื้มที่ล้นอยู่ในความรู้สึก

จิตรารวบพัดแล้วชวนขึ้น “ไปห้องแต่งตัวกันไหมภร ? หน้าพี่ดำมิดหมีแล้ว พี่รู้แล้วเหนียวหนับ ๆ ไอ้ลีลาศกับเมืองเรานี่มันไม่ค่อยจะลงโบสถ์กันเลย สนุกก็สนุก แต่ร้อนเหลือกำลัง พัดลมออกหึ่ง ช่วยอะไรไม่ได้”

ทั้งสองหญิงลุกขึ้นพร้อมกัน การเคลื่อนไหวทำให้ผู้ที่อยู่ข้าง ๆ หันมามองดู ภรณีจึงพูดเป็นเชิงอธิบาย

“คุณจิตราชวนไปห้องโน้น”

หล่อนได้รับการยิ้มแทนคำตอบ

​เมื่ออยู่ในห้องอันมีขนาดไม่ใหญ่นัก แล้วจิตราเช็ดหน้าพลางมองไปรอบตัว แล้วหันมาบอกแก่ภรณี

“ผัดหน้าเสียมั่งซี ภร ถึงมันไม่ดำ มันก็หมดนวลไปแล้ว บันลือเขายิ่งเป็นห่วงอยู่ กระเป๋าของเธอล่ะ ?”

“ไม่มีค่ะ—”

“ไม่มีมาเลย ? จริงแหละ ต๊ายตาย นี่เป็นความบกพร่องของพี่เอง เอาของพี่ซีงั้นก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าแทนพัฟ เอ้า พัฟนี่เขาก็มีให้ แต่ไม่ไหว หน้าใครมั่งก็ไม่รู้ แต่แป้งเห็นจะพอใช้ได้”

ภรณีไปยืนผัดหน้าตรงกระจกเงา ซึ่งมีขนาดใหญ่ดังลับแล มีกรอบและเชิงรองประดับมุกตั้งอยู่ระหว่างประตูที่ติดต่อกับห้องในเข้าไปอีก

จิตราทำธุระทั่ว ๆ ไปเกี่ยวกับการแต่งตัว พลางปรารภถึงความสนุกสนานแห่งงานในคืนนี้ เมื่อภรณีผัดหน้าเสร็จแล้ว จิตรายังไม่เสร็จจากการทำเหงื่อให้หมดไปจากหน้า และผมของหล่อนนั้นอยู่ในลักษณะที่เจ้าของจับรวบไว้เหนือหูเหนือคอเมื่อมิให้ถูกน้ำถูกแป้ง ภรณีฟังพลางใจก็นึกถึงผู้เป็นเจ้าของงานไปพลาง และคำที่จิตราพูดเป็นเชิงยกย่องความสำเร็จแห่งงานนั้น ทำให้หล่อนชื่นใจดังหนึ่งตัวหล่อนเป็นผู้ได้รับความยกย่องเอง

​สตรีสามนางเดินเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นจิตรากับภรณีก็ร้องทักมาแต่ไกล ทักภรณีแต่น้อยคำเพราะไม่คุ้นเคยกันมาก่อน แล้วก็ตรงไปยืนอยู่ข้างจิตรา และในทันทีนั้น เจ้าหล่อนทั้ง ๔ ได้เปิดการสนทนาซึ่งจะเป็นเรื่องยาว ตั้งต้นด้วยคำว่า “หลวงสนอง ฯ กับเมีย—” แล้วสาธยายต่อไปถึงความไม่ลงรอยกันระหว่างสามีภรรยาคู่นี้แม้กระทั่งในการเต้นรำ เพลงใดสามีชอบ ภรรยาเห็นว่าไม่ดี เพลงใดภรรยาจะเว้นเสียไม่เข้าร่วมลีลาศกับคู่อื่นมิได้ สามีมีความเห็นว่า ‘ไม่เป็นรส’ ภรณีไม่มีความสนใจที่จะฟัง อารมณ์ของหล่อนไม่อยู่ในภาวะที่จะยอมเข้าใจความไม่ลงรอยกันระหว่างสามีภรรยาหรือคู่หมั้น ! เมื่อโลกในความรู้สึกของหล่อนกำลังสดชื่นแจ่มใสเห็นปานนี้จะให้หล่อนเข้าใจความยุ่งยากของโลกได้อย่างไร

หล่อนละจากที่ ๆ หล่อนยืน เดินช้า ๆ ไปทางประตู ใจนึกถึงคำของบันลือ เขาแนะนำหล่อนไว้ เฉลียงยาวติดต่อไปถึงมุมตึกด้านโน้น ถ้าเบื่อ–ไปเดินเล่นได้สบาย หล่อนจะไปเดินเล่นพักตาพักหู และ—และคิดถึงเขา

เดินมาตามทางที่ยาวตรงมาข้างหน้า ถัดจากห้องแต่งตัวสำหรับสุภาพสตรี มีห้องที่แสงสว่างส่องออกมาภายนอกอีกห้องหนึ่ง ภรณีพยายามจะดูเข้าไปภายใน แต่เห็นได้เพียงพื้นห้อง​กับส่วนล่างแห่งเก้าอี้ ๒–๓ ตัวเพราะบังตาปิดอยู่ทั้ง ๒ ประตู เดาว่าห้องนี้จะเป็นอีกห้องหนึ่งที่เจ้าของงานจัดไว้ เพื่อประโยชน์แก่แขกของเขา แต่จะเป็นประโยชน์ในทางใด ภรณีรู้ตัวว่าไม่มีโอกาสที่จะทายถูก เดินต่อไปอีก มองไปในที่แจ้งบ้างพิเคราะห์ดูห้องที่ปิดอยู่บ้าง และรำพึงถึงความรโหฐานแห่งเคหะนี้ไปพลาง

มาถึงที่เลี้ยว ภรณีหยุดยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ที่นั่นออกจะมีด หล่อนไม่นึกอยากเดินไปให้ถึง อีกประการหนึ่งจิตราอาจจะแต่งตัวเสร็จแล้ว ถ้าไม่เห็นภรณีก็คงจะต้องเที่ยวหา

หล่อนหันหลังกลับเดินมาตามทางเก่า พอมองเห็นประตูห้องที่มีบังตาปิดไว้ ก็เห็นชายคนหนึ่งออกมาจากห้องนั้น

ด้วยตาและสมอง หล่อนจำเขาได้ทันที แต่ด้วยใจหล่อนไม่เชื่อว่าเขาคือเขา หล่อนลืมเขาเสียสนิทที่เดียวในระหว่างชั่วโมงหลังแต่เขาจำหล่อนได้โดยเร็ว อุทานขึ้นด้วยความประหลาดใจ และตรงเข้ามาหา

“เจ้าประคุณเพิ่งได้เจอ” เขาพูดเป็นคำแรกหลังจากที่ได้มองดูหล่อนอยู่ครู่หนึ่ง “นี่ยังไงมาเดินอยู่คนเดียวใคร—คน— ใคร ๆ—คนอื่น ๆ ไปไหนกันเสียหมด ?”

​“ดิฉันมาห้องแต่งตัวแล้วเลยออกมาเดินเล่น” ภรณีตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ “คุณวิชิตมาจากทางไหน ?” หล่อนหัวเราะ เป็นยังไงมั่ง ดิฉันมองหาหลายหนแต่ไม่เห็นเลย” หล่อนหยุดแล้วเสริม “ยังนึกเป็นห่วง สมศรีอยู่ไหน ?”

เขาพึมพำถ้อยคำอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ในคอ ถ้าภรณีมีความสังเกตดีกว่านั้น จะเห็นว่าเขาต้องใช้ความพยายามในอันที่จะยืนให้ตรง เขาพูดดังขึ้นพอที่หล่อนจะได้ยิน

“อุตส่าห์มาเจอ ไม่ได้ฝันเลยว่าจะได้พบ สวยจริง หรูจริง ลอยฟ้าเทียวนะ นี่ยังจำผมได้รึ ?”

“ถามพิกล” ภรณีว่า “คนเคยรู้จักกันทำไมถึงจะจำไม่ได้”

“ขอบพระเดชพระคุณเป็นล้นพ้นเหลือที่จะพรรณนา” เขาหัวเราะแล้วค่อย ๆ บรรจงก้าวเท้าเข้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ภรณีเริ่มรู้สึกผิดสังเกต แต่ยังมิได้นึกถอยหนี “คุณจะฆ่าผมเสียแล้ว”

หญิงสาวเริ่มขยับตัวถอยหลังอย่างระมัดระวัง แต่ฝืนหัวเราะด้วยกระแสเสียงเป็นธรรดาอย่างที่สุด “เหลวไหล” หล่อนกล่าว “สมศรีอยู่ไหนคะ ?”

​ไม่มีคำตอบ เขายืนนิ่งจ้องดูหล่อน ภรณีเริ่มรู้สึกว่าหัวใจของหล่อนเต้นผิดปกติ และก่อนที่หล่อนจะไหวทันว่าเขาจะทำสิ่งใด เขายื่นมือออกมาคว้ามือหล่อนไว้แน่น

“หนเดียว หนสุดท้าย” เขาพูดเสียงค่อนข้างดังเมื่อหล่อนสะบัดมือ “ผมมีสิทธินี่นาที่จะขอได้” เขาก้มลงโดยเร็วและจูบหล่อนที่แขน

“ขี้เมา !” ภรณีกล่าวเสียงสั่นด้วยความโกรธ กระชากมือของหล่อนหลุดจากมือเขาได้ด้วยความแรง “ไม่มีจรรยา ไม่มีมารยาท ไม่มีศีล ไม่มีสัตย์”

หล่อนก้าวเท้าลงไปข้างหน้า เขาพยายามจะขวางแต่ขาแกว่ง ทำให้ก้าวถลำไปอีกทางหนึ่ง เมื่อเขาตั้งตัวได้ หล่อนพ้นจากเอื้อมแขนเขาไปไกลแล้ว

ภรณีเดินเร็วมาก ทั้งที่ขาก็สั่น ผ่านประตูห้องที่มีบังตาปิดประตูแรก หล่อนสะดุ้งโดยแรงเมื่อเห็นมีผู้ยืนยึดบังตาประตูที่สองอยู่

เขาปล่อยบังตาก้าวเท้าออกมาภายนอก ความคิดของ​ภรณีวิ่งวุ่นอยู่ในสมองจนไม่รู้ว่าจะคิดอะไรบ้าง พยายามจะพูด ทั้งที่ไม่รู้จะพูดว่ากระไร แต่ฝ่ายเขาได้พูดขึ้นก่อน

“ใครนะ ผู้ชายคนนั้น ? มองไม่เห็นหน้า”

“คุณวิชิตค่ะ”

“อ้อ แขกตัวเก็ง ! ทำไมถึงรีบทิ้งเขามาเสียเร็วนักล่ะ ?”

“ดิฉันหนีเขามา เขาเมา”

“น่าเห็นใจ ฤทธิ์แชมเปญ คืนวันนี้มีน้อยคนที่จะทนได้ เห็นจะคุ้นเคยกันมาก ?”

“เปล่าค่ะ คือ—เขา–เขา—แต่ดิฉัน—เป็นความจริง—ดิฉัน—ใจ—”

เขายกมือขึ้นในท่าห้าม “อย่าเลย ฉันไม่มีความตั้งใจที่จะรู้เรื่องหลังฉากของใคร เรื่องใจไม่สำคัญ” เขาหัวเราะ “นอกปัญหา แต่งงานกันแต่ตัวพอแล้ว ส่วนใจใครก็ใจใคร เป็นอิสระ”

“จะกลับไปนั่งรึ หรือจะเดินตากลมอีก ?” เขาถามเมื่อเห็นหล่อนยังนิ่งอยู่

“คุณจิตราอยู่ที่ห้องโน้น” ภรณีตอบ แล้วรู้สึกว่าเสียงของตนแปลกไปจนเกือบจำไม่ได้ ทั้งรู้สึกว่าร่างกายมีอาการ​เหมือนกับขาแข็งอยู่กับที่ ชาไปทั้งที่ไม่เข้าใจความหมายแห่งคำพูดที่ตนได้ฟังแล้วนั้น

“เชิญ” เขาเบนตัวเล็กน้อยเป็นเชิงหลีกทางให้ และเมื่อภรณีบังคับขาให้ออกเดินได้แล้ว เขาก็หันกลับเข้าไปในห้องที่เขาเพิ่งออกมา

 

Pages: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 10
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.277 seconds with 12 queries.