Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
17 June 2025, 01:20:04

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
27,264 Posts in 13,292 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Recent Posts

Recent Posts

Pages: 1 2 3 [4] 5 6 ... 10
31
สวนแต้จิ๋ว : นกจับแมลงหัวเทา




นกจับแมลงที่ผ่านตาใน facebook น่าจะมีอยู่ราวเสิบกว่าชนิด
และสถานที่ที่มีคนพบหลากหลายชนิดที่สุดน่าจะเป็นที่นี่ สวนแต้จิ๋ว
 
เหตุผลที่ผมคิดได้ คือที่นี่ไม่ได้เป็นสวนสาธารณะ
ที่มีการตัดแต่งต้นไม้ให้สวยงามแบบสวนสาธารณะอื่นๆ
ที่นี่จะรกๆ มีต้นไม้ธรรมชาติที่นกสามารถหากินได้
แต่ก็แลกมากับการถ่ายภาพที่ยาก โฟกัสชอบติดมาแต่ใบไม้
 
นกจับแมลงหัวเทา (grey-head canary-flycatcher)
เป็นนกที่มีขนาดเล็กมาก ขนาดของตัวอยู่ที่ 12 เซนติเมตร
มีหัวและอกสีเทามีหงอนสั้น ๆ บริเวณท้ายทอย หลังและปีกสีเหลือง
ท้องสีเหลือง หางสีเหลือง แข้งและตีนสีเหลืองส้ม

ตัวผู้และตัวเมียไม่มีความแตกต่างกัน
สามารถพบได้ตามสวนสาธารณะโดยจะบินโฉบจับแมลง
นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมหากินรวมกลุ่มกับนกชนิดอื่นบิน
ในกรุงเทพมีสถานะ นกอพยพผ่าน พบบ่อย

เป็นนกจับแมลงชนิดที่ 3 ที่ผมถ่ายภาพได้
แม้มันจะมีพฤติกรรมที่ทำให้คนตั้งชื่อมันว่า นกจับแมลง
แต่ในทางพันธุกรรม กลับพบว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับนกจับแมลงเลย

นกจับแมลงหัวเทาอยู่ในวงศ์  Stenostiridae ซึ่งเป็น clade ที่ตั้งขึ้นใหม่
 โดยแยกสกุล Culicicapa ออกมาจากนกจับแมลงโลกเก่าวงศ์ Muscicapidae
โดยนำนกอีแพรดท้องเหลือง (Yellow-bellied Fairy-fantail)
ซึ่งก็พบในประเทศไทย บริเวณดอยอินทนนท์มารวมอยู่ในวงศ์นี้ด้วย



มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Culicicapa ceylonensis
ในภาษาละติน culicis แปลว่า ริ้น และ capere แปลว่า จับ
รวมกันแล้วหมายถึง นกจับริ้น เพราะนกชนิดนี้ชอบบิน
ออกไปโฉบจับแมลงตัวเล็กๆ ที่บินผ่านไปมา เช่น ริ้น เป็นต้น
โดยพบครั้งแรกที่ศรีลังกา จึงได้ชื่อชนิดว่า ceylonensis

นกจับแมลงหัวเทามี 5 ชนิดย่อย กระจายตัวตั้งแต่ปากีสถาน อินเดีย
ศรีลังกา อินโดจีนรวมถึงจีนตอนใต้ คาบสมุทรมาเลย์ ไปจนถึงอินโดนีเซีย
ในประเทศไทยพบ 2 ชนิดย่อย คือ

นกจับแมลงหัวเทาพันธุ์หนือ (C. c. calochrysea)
เป็นนกประจำถิ่นสามารถพบได้ในภาคเหนือ
และภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้านตะวันตกเฉียงเหนือของไทย
ส่วนนกที่อาศัยอยู่ในจีนตอนใต้ ในช่วงฤดูหนาวจะอพยพมาที่
ภาคกลาง ภาคตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก

นกจับแมลงหัวเทาพันธุ์ใต้ (C. c. antioxantha) ชนิดนี้มีหัว
และอกสีเทาคล้ำกว่า ลำตัวส่วนบนสีเขียวมะกอกหม่นกว่า
และลำตัวส่วนล่างสีเหลืองอ่อนกว่า
เป็นนกประจำถิ่นพบในภาคตะวันตก และภาคใต้ทุกจังหวัด ยกเว้นปัตตานี

นกจับแมลงหัวเทา มีเพื่อนร่วมสกุลอีกเพียง 1 ชนิดเท่านั้นคือ
Citrine canary-flycatcher (Culicicapa helianthea)
ซึ่งนกชนิดนี้คล้ายกันแต่จะมีสีเหลืองทั้งตัว
พบเฉพาะที่ฟิลิปปินส์และเกาะสุลาเวสีของอินโดนีเซียเท่านั้น


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=11-2024&date=14&group=22&gblog=98
.




32
สวนแต้จิ๋ว : นกขมิ้นน้อยธรรมดา นกขมิ้นท้ายทอยดำ




ครั้งแรกที่ผมมาเดินสวนแห่งนี้ ได้นกดีๆ มาตัวเดียวคือ
นกขมิ้นน้อยธรรมดาตรงต้นไม้ครึ้มๆ หน้าทางเข้าสวน
ผมก็กลับไปบ่นในกลุ่มว่า ทำไม่เจอนกดีๆ เลย
คำตอบคือต้องเดินเข้าไปที่รกๆ หมายความว่า
 
คนดูนกนอกจากต้องระวังหมา ระวังงู
ยังต้องกลัวสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติเพิ่มอีก
 
นกขมิ้นน้อยธรรมดา (common iora) เคยถูกเขียนถึงก่อนหน้า
ในบล็อกเรื่องนกอีวาบตั๊กแตนในฐานะเป็นหนึ่งในนก
ที่ถูกนกปรสิตแอบเข้ามาวางไข่เพื่อหลอกให้เลี้ยงลูกแทน
 
เป็นนกสามัญที่พบได้ทั่วไปตามสวนสาธารณะ ไร่นาเรือกสวน
แบ่งออกเป็นหลายสิบสายพันธุ์ย่อย กระจายตัวตั้งแต่
อินเดีย ศรีลังกา พม่า ไทย อินโดจีน มาเลย์ สิงคโปร์
สุมาตรา ชวา บอร์เนียว ปาลาวัน แต่ไม่ถึงเกาะมินโดโร



ที่สวนแห่งนี้ยังได้พบนกใหม่อีกชนิดหนึ่งคือ
นกขมิ้นท้ายทอยดำ (black-naped oriole)
คนไทยเรียกนกขมิ้นเหมือนกัน เพราะมีสีเหลือง 
แต่ว่าในทางชีววิทยามันอยู่กันคนละอนุกรมวิธาน
 
โดยนกขมิ้นน้อยธรรมดาอยู่ในวงศ์ Aegithinidae
ส่วนนกขมิ้นท้ายทอยดำอยู่ในวงศ์ Oriolidae
มีขนาดใหญ่กว่านกขมิ้นน้อยธรรมดา
และมีแถบดำคาดตาไปจนถึงท้ายทอย มองดูเหมือนจอมโจรโซโล
 
นกวงศ์นี้มีวิวัฒนาการระหว่างนกแซงแซงแซวกับอีกา
แต่ยังมีลักษณะหนึ่งร่วมกันกับนกขมิ้นน้อยธรรมดา
คือลูกนกที่อยู่ในวันเด็กนั้นจะมีขีดสีดำใต้ท้องเหมือนกัน
 
มักจะชอบไปทำรังใกล้กับนกที่ก้าวร้าวอย่าง นกอีเสือหรือแซงแซว
เพื่อให้ช่วยไล่ศัตรู และเป็นนกที่จับคู่เดียวกันไปตลอดชีวิต
กินผลไม้เป็นหลัก แต่บางครั้งก็จับแมลงกินบ้าง
 
กระจายตัวอย่างกว้างขวางตั้งแต่ อินเดีย จีน เกาหลี
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงหมู่เกาะต่างๆ
ยกเว้นเกาะบอร์เนียว ที่แทบไม่พบรายงาน



พบครั้งแรกที่เกาะลูซอน ตั้งชื่อเป็นชนิดหลักคือ
Oriolus chinensis chinensis แบ่งออกเป็น 20 ชนิดย่อย
โดยในบ้านเรากล่าวกันว่ามีทั้งที่นกประจำถิ่น
ซึ่งน่าจะเป็น O.c. maculates หรือขมิ้นท้ายทอยดำซุนดรา
ที่กระจายตัวอยู่ตั้งแต่ไทย คาบสมุทรมาลายา สุมาตรา และชวา
 
ส่วนชนิดที่พบได้ง่ายกว่า คือ O.c. diffuses โดยอพยพลงมา
จากจีนตอนเหนือ เกาหลี หรืออาจจะรวมถึงไซบีเรียตอนใต้
คำถามคือ เราจะแยกนกสองชนิดย่อยนี้ออกจากกันได้อย่างไร
คำตอบคือ น่าจะต้องอาศัยเวลาที่พบ คือถ้าเห็นในช่วงหน้าฝน
คุณก็น่าจะเป็นผู้โชคดีที่เจอนกขมิ้นท้ายทอยดำชนิดประจำถิ่น
 
เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อน เอย ค่ำแล้วจะนอน ที่ตรงไหน
จะนอนไหน ก็นอนได้ สุมทุมพุ่มไม้ก็เคยนอน
ลมพระพาย ชายพัดมาอ่อน ๆ เจ้าเคยจร มานอนรังเอย
 
         สวัสดีวันจันทร์ สีเหลือง


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=11-2024&date=11&group=22&gblog=99
.




33
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ ตอน คุณชายรณพีร์
























.



34
สวนเบญจกิตติ : นกกระจิบหญ้าสีเรียบ




ข้างศูนย์ประชุมสิริกิติ์เดิมเป็นพื้นที่ของโรงงานยาสูบ
หลังปี 2534 มีมติ ครม.ให้ย้ายสถานที่ไปยังต่างจังหวัด
จากนั้นได้มีการสร้างเป็นสวนสาธารณะให้คนได้ใช้วิ่งออกกำลังกาย
และช่างภาพได้มาถ่ายรูปหมู่ตึกสูงย่านรัชดาในเวลายามเย็น
 
แต่บึงน้ำที่เคยเป็นแก้มลิงรับน้ำทางด้านหลังก็ยังเป็นพื้นที่รกร้าง
จนกระทั่งปี 2565 ที่โครงการปรับปรุงโรงงานเก่าให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์
และปรับปรุงบึงน้ำด้านหลังให้กลายเป็นสวนป่าได้เสร็จสิ้นลง
ความสำคัญคือ มันสามารถเชื่อมไปถึงสวนสาธารณะขนาดใหญ่
อีกแห่งคือสวนลุมพินีได้ ผ่านเส้นทางลอยฟ้าชื่อว่า สะพานเขียว
 
ผ่านไปสองปีเพราะมีคนถ่ายนกได้ ผมจึงคิดที่จะเยือนสถานที่แห่งนี้
นกจับแมลงที่มักอพยพมาในช่วงหน้าหนาว ท่ามกลางสวนขนาดใหญ่
เราไม่เจอนกหายาก ได้แต่นกธรรมดาสามัญที่คนรู้จักกันดีอย่าง
นกกระจิบหญ้าสีเรียบ (Plain Prinia) เท่านั้นเอง
 
สีสันโดยรวมสีน้ำตาลอมเทา มีคิ้วสีขาว ปากสีเข้ม
โคนปากสีชมพู ท้องสีขาวอมเหลือง แข้งสีเนื้อ
หางค่อนข้างยาว ปลายขนหางแต่ละเส้นขลิบสีน้ำตาลและขาว 
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Prinia inornata แบ่งออกเป็น 11 ชนิดย่อย

P.i. inornata พบที่อินเดียตอนกลางและเหนือ
P.i.terricolor พบที่ปากีสถานตะวันตก
P.i.franklinii  พบที่อินเดียใต้
P.i.terricolor พบที่ตะวันตกของปากีสถาน
P.i. insularis พบที่ศรีลังกา


21/10/2567 สุวินทวงศ์ 47

P.i.fusca พบที่บังคลาเทศและอินเดียตะวันตก
P.i. blanfordi พบที่พม่าและไทยตอนเหนือ
P.i.herberti  พบที่ไทยตอนกลางลงไปไม่เกินคอคอดกระ และอินโดจีน
P.i.extensicauda พบที่จีนทางตะวันออกเฉียงใต้ และเกาะไหหลำ
P.i.flavirostris  พบที่เกาะไต้หวัน และ P.i.blythi พบที่เกาะชวา

ในสกุลนี้มีนก 30 ชนิด ลองใช้ google ค้นหาชนิดที่สามารถพบได้ในไทย
มันส่งคำตอบของ generative AI ที่สามารถสรุปข้อมูลจากคำถาม
 
นกกระจิบหญ้าสีข้างแดง (Rufescent prinia) พบบ่อย
นกกระจิบหญ้าอกเทา (Grey-breasted prinia) พบบ่อย
นกกระจิบหญ้าท้องเหลือง (Yellow-bellied prinia) พบบ่อย
นกกระจิบหญ้าคิ้วขาว (Hill prinia) ระดับความสูง 700 เมตรขึ้นไป พบบ่อย
นกกระจิบหญ้าสีน้ำตาล (Brown prinia) ตามป่าละเมาะ พบไม่บ่อย

แทนที่จะเข้าไปอ่านทีละชนิดจนครบ 30 ตัว
เราสามารถเข้าไปดูแต่ละชนิดได้เลยว่า จะมีโอกาสเจอพวกมันได้ไหม
ทำให้ลดเวลาการศึกษาข้อมูลไปได้มากเลยทีเดียว
คำถามเดียวที่มีในวันนี้คือ AI กับมนุษย์ ใตรคือผู้ที่ฉลาดกว่า

เพราะหากวันหนึ่ง AI เป็นผู้ชนะ ผมอาจจะสั่งว่า
วันนี้อยากเขียนเรื่องนี้ แล้วให้ AI สร้างบทความขึ้นมา
ว้า . ฟังดูไม่น่าสนุกเลย


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=11-2024&date=08&group=22&gblog=100
.




35
Animals / สุวินทวงศ์ 47 : นกตีทอง
« Last post by ppsan on 10 June 2025, 12:26:35  »
สุวินทวงศ์ 47 : นกตีทอง




เรื่องนั้นมีอยู่ว่า ได้ดูรายการ นายปักษาพาดูนก
ที่เราสามารถเปิด google map เพื่อตามหาสถานที่นั้นได้
เป้าหมายคือ นกหัวขวานด่างแคระ แต่ว่าแห้ว
แล้วก็ไม่แน่ใจว่ามาถูกต้นไหม เห็นมีแต่นกตีทองก็เลยถ่ายมา
 
เป็นนกสามัญที่ปรกติจะไม่ถ่ายกันมา
ยกเว้นว่าไม่เจอนกอะไรก็จะถ่ายมาบ้าง แต่มักจะได้มาแบบตัวเล็กๆ
เพราะมันชอบเกาะอยู่ปลายยอดไม้ แต่ต่อให้ไม่สนใจ
เราก็จะรู้ว่ามีนกนี้อยู่ใกล้ๆ จากเสียงร้อง ป๊อง ป๊อง

นกตีทอง (coppersmith barbet) จัดเป็นนกโพระดกขนาดเล็กที่สุด
ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ครั้งแรกว่า Bucco haemacephalus
โดย Philipp Ludwig Statius Müller  ในปี 1776
หลังจากนั้นในปี 1790 John Latham ก็ได้ตั้งชื่อนกที่คล้ายกัน
จากประเทศอินเดียว่า Bucco indicus

หลังจากนั้นก็มีพบนกอีกหลายชนิดในเกาะต่างๆ
ต่อมาพบว่าทั้งหมดเป็นนสายพันธุ์เดียวกัน
จึงตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ใหม่ว่า Psilopogon haemacephalus 
โดยมีทั้งหมด  9  ชนิดย่อยได้แก่

 P.h. haemacephalus เป็นนกที่พบครั้งแรกของชนิดนี้ที่เกาะลูซอน
P.h. indica คือชนิดย่อยที่พบในไทยและอินเดีย
หลังจากนั้นยังมีการพบอีก 7 ชนิดย่อย ตามเกาะต่างๆ



P. h. roseus พบที่ชวาและบาหลี P. h. intermedia
พบที่ Panay, Guimaras และ Negros P. h. delicus พบที่สุมาตรา
P. h. mindanensis พบที่มินดาเนา P. h. celestinoi พบที่
Samar, Catanduanes, Biliran และ Leyte
P. h. cebuensis พบที่เซบู P. h. homochroa พบที่ Tablas Island

จากบล็อกก่อนหน้า จะเห็นว่านกหลายชนิดมีชนิดย่อย
พบตามหมู่เกาะต่างๆ เช่น บอร์เนียว สุมาตรา ชวา เป็นต้น
 เราทุกคนคงตอบว่า นั่นเป็นเรื่องการวิวัฒนาการ

แต่การอธิบายว่า เหตุใดเกาะเหล่านี้ถึงมีนกแบบเดียวกับเรา
ในขณะที่เกาะที่อยู่ใกล้ๆ กัน อย่างสุลาเวสีหรือลอมบอค
กลับไม่พบนั้น เรื่องนี้จะอธิบายได้อย่างไร

ชาร์ล ดาวิน เกิดในปี 1809 ตรงกับปีที่รัชกาลที่ 1 เสด็จสวรรคต
เมื่ออายุได้ 19 ปี เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยโดยใช้เวลา 3 ปี
หลังจบการศึกษาปีใน 1831ได้ออกเดินทาง
ไปกับเรือ HMS Beagle เป็นเวลา 5 ปี
 
จากการสังเกตสิ่งมีชีวิต เค้าพบว่าต่างมีความหลากหลาย
ทำให้เกิดความสงสัยว่าสิ่งมีชีวิตต่างๆ นั้นถือกำเนิดมาได้อย่างไร
จากการค้นคว้าศึกษาตัวอย่างของพืช สัตว์ ฟอสซิล ที่เก็บมา
ปี 1858 หรือ 22 ปี นับจากที่ขึ้นจากเรือ Beagle
เค้าก็ได้ร่างทฤษฎีที่ชื่อว่า Natural selection

อัลเฟรด วอลลเลซ นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ
ในปี 1854 ออกเดินทางไปเพื่อศึกษาธรรมชาติทั่วโลก
ปี 1855 ได้สังเกตเห็นความแตกต่างของสายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต
แต่ก็ยังไม่มีแนวคิดหรือทฤษฎีที่จะใช้อธิบายสิ่งที่พบเห็นนี้ได้


สวนรถไฟ 17 มี.ค. 2568

ปี 1858 ในขณะที่ยังคงป่วยอย่างหนักอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เค้าเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตนั้นต้องผ่านการปรับเปลี่ยนมาตลอดเวลาที่ยาวนาน
แต่ก็ยังไม่รู้ว่า พวกมันปรับเปลี่ยนไปจนเป็นกลายสายพันธุ์ใหม่ได้อย่างไร
จนกระทั่งเมื่อหลังป่วยจึงคิดได้ว่า การเปลี่ยนนั้นต้องมาจากสภาพแวดล้อม
 
ในขณะนั้นเค้าก็ทราบว่าชาร์ล ดาร์วิน กำลังศึกษาเรื่องนี้อยู่เช่นกัน
เค้าจึงส่งจดหมายไปหา และเล่าแนวคิดเรื่องเหตุของการวิวัฒนาการ
ในที่สุดทั้งสองก็ได้ส่งบทความเรื่อง Natural selection
ไปยัง Linnean Society of London
 
ทางสมาคมพิจารณาและนำลงเป็นบทความผู้เขียนร่วม
เรื่อง On the Tendency of Species to form Varieties; and on the
Perpetuation of Varieties and Species by Natural Means of Selection
ในวารสารของสมาคม ฉบับเดือน ก.ค.1858

ทฤษฎีของทั้งสองคน ในเบื้องต้นมีความแตกต่างกันโดย
ชาร์ล ดาร์วิน เสนอว่าความต้องการสืบเผ่าพันธุ์คือแรงผลักดัน
ดังเช่น การวิวัฒนาการของสีและลวดลายของปีกผีเสื้อตัวผู้
ในขณะที่วอลเลซเสนอว่า การคัดเลือกเผ่าพันธุ์ให้เกิดขึ้นใหม่
หรือดำรงอยู่ได้นั้นเกิดโดยปัจจัยทางธรรมชาติอันหลากหลาย

แต่สิ่งที่ทำให้เราจดจำชาร์ล ดาร์วิน ไม่ใช่อัลเฟรด วอลเลซ
เพราะว่าในปีต่อมา ชาร์ล ดาร์วิน ได้ปรับปรุงบทความ
และเขียนหนังสือชื่อ On the Origin of Species
และได้ไปบรรยายทางวิชาการต่อสาธารณะในเรื่องนี้
.



วอลเลซ ยังคงอยู่ที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อเก็บตัวอย่าง
กว่า 125,000 รายการเพื่อส่งไปยังพิพิธภัณฑ์ที่อังกฤษ
เค้ายังศึกษาเรื่องการแพร่กระจายพันธุ์ของสัตว์ต่างๆ
และได้สร้างเส้นๆ หนึ่ง ที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
 
ในปี 1863 วิลเลซได้เขียนบทความ the Physical Geography
of the Malay Archipelago ลงใน Royal Geographical
Society’s Journal เรื่องเส้นสมมุติทางภูมิศาสตร์ที่แบ่งพืชและสัตว์
ภาคทวีปหมู่เกาะมาเลย์-อินโด ออกจากภาคทวีปออสเตรเลีย

เส้นนี้เริ่มต้นจากตอนใต้ของเกาะมินดาเนา ผ่านระหว่างเกาะสุลาเวสี
และเกาะบอร์เนียว ลงมาทางใต้จนถึงระหว่างเกาะบาหลีและลอมบอค
โดยเชื่อว่าครั้งหนึ่งภาคทวีปหมู่เกาะมาเลย์-อินโดนั้น
เคยเป็นผืนแผ่นดินเดียวกันกับทวีปเอเชีย

นั่นจึงอธิบายว่าทำไมสิ่งมีชีวิตที่พบบนเกาะบาหลี
จึงไม่สามารถพบได้ที่เกาะลอมบอก ทั้งที่สองเกาะนั้นอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ไมล์
ในปัจจุบันเรารู้ว่า เหตุการณ์นี้เกิดในยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย
ก่อนที่น้ำทะเลจะสูงขึ้นจนกลายเป็นเกาะต่างๆ อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
นักวิทยาศาสตร์เรียกเส้นนี้ว่า Wallace’s line
 
ถึงตรงนี้สามารถกลับไปดูชนิดย่อยต่างๆ ของนกตีทอง
แล้วใช้ Wallace's line อธิบายว่า ทำไมพวกมันถึงได้กลายเป็น
8 ชนิดย่อย ในพื้นที่ของหมู่เกาะต่างๆ ตามที่กล่าวไว้นั้น
พวกมันได้เริ่มแยกทางกันเมื่อ 13,000 ปี มานี่เอง 


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=11-2024&date=01&group=22&gblog=101
.




36
สวนสุขภาพแต้จิ๋ว : นกปรอดหัวโขน



นกวัยเด็ก ยังไม่มีแต้มสีแดง

ตอนที่ผมเริ่มดูนกใหม่ๆ ปรอดหัวโขนเป็นนกที่พบได้ไม่ยาก
เมื่อเวลาผ่านไปในวันที่มีทุนทรัพย์เพียงพอที่จะซื้อกล้องถ่ายภาพ
กลับพบว่าพวกมันหาได้ยากยิ่ง สามปีที่ซื้อเลนส์ถ่ายนกมา
เฝ้าแต่คิดว่าวันใดจะได้จับภาพเค้ากลับมาไว้ในความทรงจำ
 
แล้ววันนั้นก็มา ที่นี่คือสวนสุขภาพแต้จิ๋ว
เป็นสถานที่ผมอยากจะปรบมือให้คนที่ค้นพบว่ามีนกให้ถ่ายภาพ
โดยทุกฤดูหนาวมีคนได้นกหายากหลายตัว ผมอาจจะไม่ใช่คนนั้น
แต่อย่างน้อยก็ได้นกที่ตามหามาตลอด ปรอดหัวโขน
 
มีที่จอดรถ มีร้านกาแฟ อยู่ไม่ไกลจากถนนและทางด่วน
เป็นที่หลับนอนตลอดกาลของชาวแต้จิ๋วที่เข้ามาก่อร่างสร้างตัว
มีข่าวลือว่าอีกไม่นานอาจจะมีการขายที่ดินผืนนี้เพื่อสร้างคอนโด
และนั่นก็อาจจะทำให้หนึ่งในสถานที่ดูนกของเรานั้นหายไป
 
Red-whiskered bulbul (Pyucononotus jocosus)
พบได้ตั้งแต่อินเดีย เนปาล ภูฏาน ตอนใต้และตะวันตกของจีน
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของจีน สิงคโปร์ และหมู่เกาะในทะเลอันดามัน
.


ปรอดสวน

มี 9 สายพันธุ์ย่อย ในไทยพบ 2 สายพันธุ์ย่อยคือ P.j. pattani
ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยหลัก ชื่อนั้นคงบ่งบอกว่าพบครั้งแรกที่ไหน
กระจายตัวตั้งแต่ภาคเหนือจรดภาคใต้ และ P.j. emeria
ที่พบเฉพาะภาคตะวันตกที่ติดกับชายแดนพม่า
แตกต่างกันตรงที่มีรอยแต้มสีแดงบนแก้มขนาดใหญ่กว่า
 
นกปรอดในโลกนี้มีทั้งสิ้น 109 สายพันธุ์ ในประเทศไทยพบถึง 36 ชนิด
คิดเป็น 1/3 ของนกปรอดที่พบกันทั้งหมด บางชนิดก็เป็นนกน่ารำคาญ
เช่นปรอดสวน (steaked bulbul) เพราะจำนวนที่พบเยอะมาก
ชวนให้สับสนเวลามองหานกหายากสีน้ำตาลสายพันธุ์อื่น
 
บางชนิดยังพอพบเห็นได้ทั่วไปอย่าง
ปรอดหน้านวล ที่มีชื่อตรงตัวเลยว่า yellow vent bulbul
ปรอดหัวสีเขม่า (sooty bulbul) ที่มีก้นสีแดง
ที่เหลือนั้นก็เป็นนกในป่า ที่เราคงมีโอกาสพบยาก

แต่หนึ่งเดียวที่เป็นตำนานคือ ปรอดแม่ทะ (straw-headed bulbul)
ในตอนที่ผมดูนกใหม่ๆ มันเพิ่งถูกบรรจุใน Bird guide of Thailand
โดยสถานที่ค้นพบแห่งแรกและถูกนำไปตั้งชื่อคือ อ. แม่ทะ จ. ลำปาง
.


ปรอดหน้านวล

โดยการเพิ่มชื่อลงไปในคู่มือเล่มนี้ได้ คือต้องมีรายงานที่แน่ชัด
ไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง หลังจากนั้นก็แทบไม่มีใครพบเห็นมันอีกเลย
เข้าใจกันว่ามันน่าจะอาศัยอยู่ตามป่า ในภาคเหนือของไทย
 
ผมไม่ได้ดูนกมานานก็เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า
ถิ่นอาศัยที่แท้จริงในปัจจุบัน และมีการพบนกชนิดนี้เป็นจำนวนมากคือ
คาบสมุทรมาลายา สิงคโปร์ เกาะบอร์เนียว และภาคใต้ของประเทศไทย

อ้าวแล้วก่อนหน้า นักดูนกไม่เคยเห็นมันตามป่าภาคใต้หรือไงนะ 
เรื่องนี้ก็น่าจะสัมพันธ์กับความนิยมนกกรงหัวจุกในภาคใต้
ที่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกมันไม่เหลืออยู่ตามธรรมชาติ
กระทั่งมีนักดูนกไปพบเห็นมันทางภาคเหนือเป็นครั้งแรกแทน

ในปี พ.ศ. 2535 มีการประกาศให้นกปรอดหัวโขนเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง
ที่สามารถแจ้งการครอบครองนกที่มีมาก่อน รวมถึงลูกนกที่เกิดในกรงได้
แต่ก็อย่างที่เล่าไปมันไม่ได้ช่วยอะไร เพราะในระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา
นกปรอดหัวโขนที่พบได้ในภาคกลางและเหนือเป็นจำนวนมาก เริ่มหายไป
 
พรบ. สงวนและคุมครองสัตว์ป่า ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2562
และบัญชีรายชื่อแนบท้าย พ.ศ. 2567 แทบจะทำให้นกที่เห็นทุกชนิด
กลายเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง แต่กระนั้นในทางการเมืองก็มีความพยายาม
ที่จะปลดล็อคนกปรอดหัวโขนออกจากบัญชีรายชื่ออยู่เป็นระยะๆ
.


 ปรอดหัวสีเขม่า

ความแพร่หลายในการประกวดนกกรงหัวจุก ที่ไม่ได้มีแต่เฉพาะในไทย
ทำให้ปรอดแม่ทะถูกล่าเช่นกัน เพราะจัดว่าเป็นราชาของนกกรง
ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่ น้ำเสียงที่ไพเราะ ที่สำคัญหาได้ยาก
 
ในปี พ.ศ. 2565 การประชุมภาคอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศ
(cites) เสนอโดยมาเลเซีย สิงคโปร์และอเมริกา กำหนดให้ปรอดแม่ทะ 
จากเดิมที่อยู่ในบัญชี 2 คือสามารถค้าสัตว์ป่าชนิดนั้นได้โดยการควบคุม
เป็นบัญชี 1 คือ เป็นสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ห้ามค้าขายกันโดยเด็ดขาด
 
สอดคล้องกับสถานภาพของนกในธรรมชาติ
ในขณะที่ปรอดหัวโขนยังอยู่ในสถานะ LC (less concern)
แต่ปรอดแม่ทะอยู่ในสถานะ CR หรือเสี่ยงต่อการสูญพันธ์เป็นอย่างยิ่ง
ซึ่งเป็นสถานะสุดท้าย ก่อนที่จะเข้าสู่สถานะสูญพันธุ์ลำดับที่ 1 (EW)
คือไม่มีการพบเห็นในธรรมชาติ เหลือเพียงการอยู่ในกรงเลี้ยงเท่านั้น
 
มีสาเหตุมากมายที่ทำให้สัตว์ป่านั้นสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ
สาเหตุหลัก มักมาจากถิ่นที่อยู่อาศัยถูกบุกรุกทำลาย
นกปรอดหัวโขนสามารถปรับตัวให้อยู่ในพื้นทีกิจกรรมของมนุษย์ได้
แต่กลับกลายเป็นว่า เสียงร้องไพเราะที่คนได้ยินนั้น
กลับกลายเป็นสาเหตุให้พวกมันต้องหายไปจากธรรมชาติเสียเอง


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=10-2024&date=28&group=22&gblog=102
.




37
กรมประชาสัมพันธ์ : นกกระจิ๊ดขั้วโลกเหนือ, นกจับแมลงอกสีฟ้า




Arctic warbler (Phylloscopus borealis)
เป็นนกกินแมลงสีเขียวเทา มีคิ้วสีขาวอมเหลือง หัวคิ้วไม่จรดโคนปาก
จัดอยู่ในกลุ่ม leaf warbler ซึ่งมีอยู่ 81 ชนิด ในไทยก็พบได้หลายชนิด
แต่เป็นนกที่แยกจากกันได้ยาก ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเป็นอย่างสูง
 
เพราะบางทีนกสองสายพันธุ์ เช่น arctic กับ Kamchatka warbler
ภายนอกจะดูเหมือนกันมาก จนอาจต้องจับวัดขนาดหรือฟังเสียงร้องเอา
มีถิ่นอาศัยอยู่บริเวณคาบสมุทรคาบสมุทรคัมชัตกา หมู่เกาะคูริล
และประเทศญี่ปุ่น เป็นนกอพยพผ่านภาคเหนือและภาคอีสาน
อาศัยตลอดช่วงฤดูหนาวในภาคกลางและภาคใต้ พบได้บ่อย

ตัวนี้ผมก็แยกไม่ออก ดีที่มีคนช่วยบอกว่าเป็นนกอะไร

ที่ต้นไม้เดียวกัน ได้นกสีน้ำตาลมาอีกหนึ่งตัว
เป็นนกจับแมลงตัวเมียที่แยกได้ยากกว่าตัวผู้
ใน eBird บอกความเป็นไปได้ว่า อาจจะเป็น

นกจับแมลงพันธ์จีน (Chinese blue flycatcher)
นกจับแมลงอกสีฟ้า (Hainan blue flycatcher)
นกจับแมลงอกสีน้ำตาลแดง (Hill blue flycatcher)



เนื่องจากเป็นนกอพยพ ดังนั้นจึงมีโอกาสพบได้ทั้งหมด
ต่อไปคือ อกสีส้ม ที่ทั้งสามสายพันธุ์ ก็ดูคล้ายๆ กันไปหมดอีก
โดยที่ส้มน้อยที่สุด คือ Chinese ที่ส้มมากที่สุด คือ Hill blue
เช่นเดียวกับสีน้ำตาลที่หลัง เรียงกันจากอ่อนไปหาเข้มเช่นกัน
 
ด้วยสีส้มตรงคอที่เข้มมาก เราจึงคิดว่าน่าจะเป็น Hill blue 
แต่พอไปดูภาพตัวอื่นๆ ในอินเตอร์เนท สีส้มมันก็ควรเข้มกว่านี้
แต่อย่างนั้นสีนกตัวนี้ก็ไม่จาง ขนาดจะเป็น Chinese ได้อยู่ดี
 
ด้วยความสงสัย เราไปลงภาพใน forum ของฝรั่ง ก็ยังไม่มีคนตอบ
ผ่านไปเนิ่นนาน มีคนมา bump กระทู้ให้ด้วยความสงสัย
ในที่สุดก็มีคนตอบ ว่าน่าจะเป็น Hainan blue flycatcher
 
มากกว่าเป็น Hill blue ที่ผมตั้งหัวข้อกระทู้ถามไป
เหตุผลคือ อกสีส้มมันยังไม่ลงมาถึงช่วงท้อง
ซึ่งก็น่าจะเป็นคำตอบสุดท้าย หวังว่าในอนาคต
ผมน่าจะได้ถ่ายภาพนกตัวผู้บ้าง คงไม่ยากขนาดนี้   


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=10-2024&date=25&group=22&gblog=103
.




38
กรมประชาสัมพันธ์ : นกแซงแซวสีเทา




ปีที่แล้วเราได้นกใหม่มาจากที่นี่ คือนกจับแมลงสีน้ำตาล
แม้เป็นนกที่พบได้บ่อย แต่ก็ดีใจเพราะเป็นนกใหม่ที่ยังไม่เคยเห็น
วันธรรมดาเราจะเข้าไปส่องใน facebook ว่ามีนกน่าสนใจที่ไหน
เพื่อเตรียมตัวไปในวันหยุดสุดสัปดาห์
 
เราเลือกเวลาไม่ค่อยได้ ส่วนใหญ่ก็ต้องไปตอนเที่ยง
ไม่ใช่เวลาที่ดีในการดูนก มีคนมาตีเทนนิสกลุ่มใหญ่
ในสวนที่ติดกันมีนกให้เห็นน้อยมาก มีคนมาวื่งออกกำลังกาย
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงโดยไม่มีอะไร สักพักก็ได้เจอเพื่อนร่วมทาง
 
เป็นฝรั่งสะพายกล้องสองตามาอย่างเดียว
เรายกมือขึ้นทักทาย เค้าจึงถามเราว่า Sam friend?
No, but I follow his report.

ภาษาอังกฤษงูๆปลาๆ ไป แต่สิ่งที่เราต้องได้และพยายามทำอยู่
คือเราต้องรู้จักชื่อนกในภาษาอังกฤษ ไม่เช่นนั้นก็คุยไม่รู้เรื่องแน่
นั่นเป็นข้อดีของคนรุ่นใหม่ ที่จำชื่อนกในภาษาอังกฤษ
 
เค้ามาวันนี้เป็นครั้งที่สอง แล้วก็ชี้ๆ บอกว่าเจอนกอะไรตรงไหนบ้าง
แล้วก็บอกว่าครั้งก่อนที่มา เค้า amazing มาก ที่เจอนกหายากหลายตัว
แต่ว่าทำไมวันนี้ดูเงียบมาก เราเลยบอกไปว่า ยูเจอคนโชคไม่ดีแล้ว
เค้าก็ไม่ได้สนใจมาก แต่เราก็ได้ information มามากพอ


7/11/2567 กระทรวงสาธารณสุข

หลังจากแยกย้าย เราก็ทำสิ่งที่ไม่เคยทำ นั่นคือการนั่งรอ
เพราะสวนที่นี่เล็กมาก เดินไม่กี่ก้าวก็ครบแล้ว
เป็นสวนสาธารณะเล็กๆ ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีนกอพยพหายาก
อาจเป็นเพราะรอบด้านนั้นยังเป็นหน่วยงานราชการและบ้านคน
อยู่ท้ายซอยอารีย์ที่แสนจะพลุกพล่าน อันห่างไปเพียงระยะเดินถึง
 
การรอคอยให้ผลที่คุ้มค่า เราได้นกใหม่มาสามตัวในวันนี้
เริ่มจากนกแซงแซวที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง แค่ยกกล้องขึ้นถ่าย
 มันก็บินหนีเข้าไปในสวนของบ้านคนที่อยู่ติดกัน
ตามรายงานที่นี่เจอทั้งแซงแซวปากกา และแซงแซวสีเทา
 
เป็นนกแซงแซวตัวสีดำ ปากหนา หางแฉกลึก จึงตัดแซงแซวหางปลาออก
รูปที่ได้มา under หนักมาก ต้องใช้ซอฟแวร์ดึงความสว่างขึ้นมา
รอบตาเห็นว่าเหมือนเป็นสีขาวนะ จะเป็นแซงแซวสีเทาได้หรือเปล่า
เพื่อความมั่นใจเลยต้องไปถามในกลุ่ม เพราะคิดว่ามันควรจะสีเทาทั้งตัว
 
แม้จะมีคนบอกว่านกอะไร แต่ก็เป็นหน้าที่เราที่ต้องไปหาความรู้เพิ่มเติม
Ashy Drongo อยู่ในสกุล Dicrurus มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า D. leucophaeus
พบตั้งแต่ตะวันออกของปากีสถาน เรื่อยมาจนถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จีน และโอกินาวาของญี่ปุ่น ในไทยนั้นเป็นทั้งนกประจำถิ่นและนกอพยพ
.


https://en.wikipedia.org/wiki/Ashy_drongo#/media/File:DicrurusLeucophaeusMap.svg

ตามแผนที่ นกชนิดประจำถิ่นแบ่งออกเป็นหลายสายพันธุ์ย่อย
โดยมีหลักการพื้นฐานว่า นกที่อยู่ทางซีกตะวันตกและหมู่เกาะทางใต้
จะมีตัวที่สีดำเข้ม ดำกระทั่งสีรอบตา ทำให้แยกออกจากแซงแซวอื่นได้ยาก
แต่นกที่อาศัยทางตะวันออกเฉียงเหนือจะง่าย เพราะเป็นนกสีเทาตามชื่อเลย
 
ถ้าจะเอานิยามตาม eBird แล้ว
hopwoodi /nigrescens จะมีขนตัวสีเทาเข้มเกือบดำ และไม่มีสีขาวบริเวณหน้า
mouhoti / bondi คล้ายชนิดย่อย hopwoodi แต่ขนตัวสีเทาจางกว่า
leucogenis / salangensis มีตัวขนสีเทาจาง และมีสีขาวบริเวณหน้า

แล้วนกที่เราเห็นสีดำทั้งตัว มีแค่รอบตาที่ดูว่าพอจะเป็นสีขาว
จะเป็นสายพันธุ์ย่อยอะไร ดูเหมือนจะยากมากเลยทีเดียว

ในกรุงเทพถ้าเป็นนกอพยพ ก็อาจจะเป็นได้ตั้งแต่ mouhouti หรือ hopwoodi
ที่ยังเป็นสีดำ แต่ถ้าเป็น salangensis หรือ leucogenis นี่สีเทาชัดเจน
ดังนั้นกรณีนี้อาจจะเป็น mouhouti ตามที่เค้าคุยกันในกลุ่มก็เป็นไปได้
น่าเสียดายทุกรูปที่ได้มานั้น มีแต่ภาพด้านหลังมุมเดียวเลย
.

Updated  20/10/2567 @สวนแต้จิ๋ว



ในขณะที่ตัวเก่าก็ยังไม่แน่ใจ ตัวใหม่ก็ได้มา
เราไปเดินที่สวนสุขภาพแต้จิ๋ว ได้นกแซงแซวสีเทามา
ตัวนี้ดูง่ายเพราะสีหลังออกเทาเข้ม สีท้องอ่อนเกือบออกเป็นสีขาวเลย
นกตัวก่อนหน้าเราอาศัยดูได้จากสีขาวรอบตา แต่ว่าทำไมตัวนี้ไม่มี
 
เราจึงไปหาข้อมูลอ่านใหม่ ได้มาจาก BirdForum
คัดมาเฉพาะสายพันธุ์ย่อยที่เป็นนกอพยพที่อาจพบได้ในไทย

 D. l. hopwoodi : Eastern Himalayas to Burma and southern China
winters to Indochina and eastern India
unglossed blue-grey, but variable in size and colour

D. l. mouhoti: Southern Burma and northern Thailand
 winters to Indochina
blue grey above and pale soft ashy grey below,
ear-coverts lighter grey

D. l. leucogenis: Manchuria and eastern China
 winters to Indochina (White-cheeked Grey Drongo)
pale ashy grey with white cheek patch,
including area surrounding eyes.

D. l. salangensis: South-eastern China and southern Thailand
 winters to Hainan
resembles leucogenis but white is confined to area surrounding eye



สรุปเป็นไทยๆ ถ้าเจอนกแซงแซวสีเทาอ่อน หน้าสีขาว
ก็เป็น leucogenis ที่มาจากทางเหนือสุดของจีน
แต่ถ้าตัวสีเทาอ่อน แต่สีขาวแค่รอบตา
ก็จะเป็น salangensis ที่อพยพมาจากจีนตอนกลาง

นกที่ถ่ายจากกรมประชาสัมพันธ์ตัวเป็นสีดำ รอบตามีสีขาว
ก็น่าจะเป็น mouhoti ที่มาจากภาคเหนือของไทย

และตัวสุดท้ายคือที่เราถ่ายมาได้ตัวสีเทาเข้ม ไม่มีสีขาวรอบตา
น่าจะเป็น hopwoodi  เป็นนกที่แพยพมาจากทางตอนเหนือของพม่า
รัฐอัสสัม และตอนใต้ของจีน มีชื่อเล่นว่า Assam grey drongo
สิ่งที่สังเกตได้อีกอย่างระหว่างชนิดย่อย mouhouti กับ hopwoodi
คือชนิดย่อยสีดำมีดวงตาสีดำ ในขณะที่ชนิดย่อยสีเทานั้นมีดวงตาสีแดง

จากการหาข้อมูลนกแซงแซวสีเทามาทั้งวัน บอกได้เลยว่ายากสุด
ด้วยความผันแปรของสีดำ-เทา ความมันวาวของขน หรือสีขาวตรงใบหน้า
ตอนนี้เริ่มสับสน กระทั่งนกแซงแซวหางปลาที่คิดว่าดูง่าย ก็ยังวุ่นวายไปหมด

------------------------------------------------------------------------------

Updated  10/11/2567 @สวนแต้จิ๋ว



เราก็ได้นกแซงแซวสีเทาชนิดย่อย leucogenis มาในที่สุด
ลักษณะคือตัวสีเทา หน้าสีเทา รอบตาสีเทา
ซึ่งจะแตกต่างจากชนิดย่อย salangensis ตรงที่
ตรงที่ตัวจะสีเทากว่า ทำให้เห็นรอบหน้าเป็นสีขาวชัดเจน

เหลือ salangenis ที่คล้าย hopwoodi แต่รอบตาสีขาวที่ยังไม่เจอ

-----------------------------------------------------------------------------
 
Updated  23/03/2568 @กำแพงแสน   Updated  20/04/2568 @จุฬาลงกรณ์



ในที่สุดเราก็มาถึง ชนิดย่อยสุดท้าย salangensis
นกแซงแซวสีเทาที่ตัวสีเทาหม่น ตัดกับขอบตาสีขาว

สรปุชนิดย่อยทั้งหมดที่เราเข้าใจ
leucogenis : ตัวสีเทาออกไปทางสีขาวมากที่สุด
พบในตอนกลางประเทศจีน ออกมาทางทิศตะวันออก
salangensis : ตัวสีเทาอ่อน รอบขอบตาขาว
พบในประเทศจีนทิศตะวันออกเฉียงใต้ หรือต่ำลงมาจาก leucogenis
hopwoodi : ตัวสีเทาเข้ม ท้องสีขาว
พบในประเทศจีนทางตะวันตกเฉียงใต้ หรือทางซ้ายของ salangensis
mouhouti : มีสีดำ เห็นเพียงรอบตาที่มีสีออกขาว
พบทางเหนือของอินโดไชนา หรือต่ำลงมาจาก hopwoodi

จะเห็นได้ว่า นกที่มีสีขาวที่สุดจะอยู่ทางเหนือไล่สีเข้มลงมาทางใต้
 ดังนั้นเหลืออีก 2 ชนิดคือ nigrescens และ bondi ที่น่าจะต้องยอมแพ้
แม้ว่ามีถิ่นอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ว่าสีน่าจะดำ จนเราน่าจะแยกออกได้ยาก

 

.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=10-2024&date=17&group=22&gblog=104
.




39
Animals / บางปู : กระสานวล
« Last post by ppsan on 09 June 2025, 10:31:50  »
บางปู : กระสานวล




ฤดูหนาวย่างกรายเข้ามา นกอพยพที่บางปูก็มากันแล้ว
นำทีมด้วยนกจับแมลงสีสวยๆ และนกกระเต็นหายาก
เราก็อยากลุ้นดวงตัวเองบ้าง ซึ่งแน่นอนว่า ไม่มี
ก็อาจไม่ใช่ดวง แต่อาจเป็นเพราะเราไม่ได้ไป ในเวลาที่เหมาะสม
 
แต่อย่างน้อยวันนี้ก็มีนกใหม่ที่เราถ่ายรูปได้มาหนึ่งตัว
ความจรืงก็ไม่ใช่นกใหม่ เราเคยเห็นนกตัวนี้ที่บ่อน้ำเสียที่
ม. เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน เมื่อนานมาแล้ว
นกกระสานวล (grey heron)
 
เป็นนกยางขนาดใหญ่สีเทา มีหัวสีดำ สูงถึงราว 1 เมตร
อยู่ในสกุล Ardea เดียวกันกับนกกระสาแดงที่เล็กกว่า
แล้วก็เป็นเพียงสองสายพันธุ์ในสกุลนี้ ที่สามารถพบเห็นได้ในบ้านเรา

นกกระสานวลแบ่งเป็น 4 สายพันธุ์ย่อย
ซึ่งมีพื้นที่อยู่อาศัยคล้ายกับนกระสาแดงอีกด้วย
 
เริ่มจากสายพันธุ์หลัก A. c. cinerea ตั้งชื่อโดยคาร์ล ลินเนียส
ในปี 1758 พบที่ยุโรป ยูเรเซียจนถึงแมนจูเรีย หมู่เกาะซาคาริน
แอฟริกาตอนใต้ และหมู่เกาะโคโมโรใกล้กับเกาะมาดากัสการ์
 
A.c. jouyi, Clark 1907 พบที่ประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย 
พม่า เวียดนาม กัมพูชา ปลายสุดของมาเลเซีย เกาะสุมาตรและชวา
A. c. firasa, Hartert, 1917 พบที่เกาะมาดากัสการ์
A. c. monicae, Jouanin & Roux 1963 เป็นนกเฉพาะถิ่น
พบได้ที่ Banc d'Arguin ประเทศมอริเตเนียเท่านั้น
.



บึงบรเพ็ด 15/2/2568
 
ในฤดูหนาวนกกลุ่มหลักจะทำรังอยู่ในยุโรป แต่มีบางส่วนที่อพยพ
ลงมาทำรังทางใต้ที่ประเทศลัตเวีย คาบสมุทรอาหรับ แอฟริกาเหนือ
ปากีสถาน เติร์กเมนิสสถาน ปากีสถาน อินเดีย ศรีลังกา
ส่วนนกในแอฟริกาใต้จะบินขึ้นเหนือไปยังตอนกลางของทวีป
 
นกกลุ่มเอเชียตะวันออก (A.c. jouyi) จะอพยพลงมายังเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย พม่า เวียดนาม ลาว กัมพูชา มาเลเซีย
ส่วนนกหายากอีกสองสายพันธุ์ย่อย มักจะไม่อพยพ
หรืออาจจะอพยพใกล้ๆ ราว 100-200 กม จากถิ่นอาศัยเท่านั้น
 
จะเห็นได้ว่านกกระสานวลเป็นนกที่กระจายตัวอย่างกว้างขวาง
เนื่องมาจากเป็นนกน้ำที่ขนาดตัวใหญ่ทำให้สามารถหากินได้หลากหลาย
ความเสี่ยงที่จะสูญพันธุ์จึงจัดอยู่ในระดับ less concern
ยกเว้นสองสายพันธุ์ในแอฟริกาที่มีจำนวนน้อยกว่าสายพันธุ์หลัก
 
เช่นเดียวกับกระสาแดง ที่ในประเทศไทยนกกระสานวล
จะพบได้ง่ายในฤดูหนาวที่มีการอพยพลงมาจากทวีปเอเชียตอนเหนือ
ดังนั้นนกกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจ คือกลุ่มนกประจำถิ่นที่ทำรังวางไข่
และหากินอยู่ตลอดปีในไทย กัมพูชา มาเลเซีย อินโดนีเซีย
ที่เราไม่รู้ว่า ปัจจุบันประชากรกลุ่มนี้นั้นเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด
.



https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/0/03/Bennu_bird.svg
 
ในสมัยอียิปต์โบราณ มีเทพองค์หนึ่งชื่อ เบนนู
เป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ เช่นเดียวกับนกฟีนิกซ์ในสมัยกรีก
ถูกพรรณนาด้วยภาพของนกที่มีแสงสว่างและพลังจากดวงอาทิตย์
และถูกบูชาในฐานะสัญลักษณ์ของชีวิตและการเกิดใหม่ที่ไม่รู้จบ
 
ภาพสลักในสมัยอียิปต์เก่า ถูกตีความว่าอาจเป็นนกได้หลายชนิด
อาจจะเป็น yellow wagtail หรือกระทั่งนกกระเต็น
จนมาถึงภาพวาดในสมัยอียิปต์ใหม่ นกเริ่มตัวสูงเพรียวขึ้น
มีขนที่ท้ายทอย 2 เส้น ที่สำคัญมีการพบการลงสีในภาพๆ หนึ่ง
 
เป็นภาพนกตัวใหญ่สีเทา ทำให้เชื่อกันว่ามันคือ นกกระสานวล
ซึ่งมีความเป็นได้มาก เพราะพวกมันก็พบได้ตามลุ่มแม่น้ำไนล์
และที่สำคัญ เทพเบ็นนูยังหมายถึงฤดูใบไม้ร่วงอีกทางหนึ่ง
ซึ่งก็จะตรงกับช่วงเวลาอพยพมา ของนกกระสานวล
 
แต่นั่นก็ไม่ใช่สมมุติฐานที่ทุกคนเชื่อ ในปี 1845 Mr. Boonmi
ได้เขียนบทความลงในวารสาร American Journal of Science
เล่าเรื่องหนึ่งย้อนกลับไปในปี 1821 และปี 1823 ว่ามีนักเดินทางชื่อ
James Burton ได้ไปที่อียิปต์และพบรังนกเก่าๆ จำนวน 3 รัง
 
ที่ Gebel ez Zeit แถบชายฝั่งทะเลแดงตรงข้ามกับภูเขาไซนาย
สิ่งที่สนใจคือขนาดของรังขนาดกว้างราว 15 ฟุต และสูง 2.5 -3 ฟุต
ประกอบไปด้วยวัสดุหลายอย่าง เช่น กิ่งไม้ วัชพืช กระดูกปลา
และสิ่งที่คาดว่าจะมาจากเรือแตกเช่น รองเท้า
เส้นใยจากเสื้อผ้า นาฬิกาเงิน และซี่โครงมนุษย์

 ด้วยความตื่นตะลึง เค้าได้ถามชาวอาหรับท้องถิ่นว่า
รู้จักนกที่สร้างรังนี้ไหม คำตอบคือ พวกมันเป็นนกกระสาขนาดใหญ่
ที่อาศัยอยู่ในทะเลทราย และน่าจะเพิ่งทิ้งรังนี้ไปเมื่อไม่นานมานี้เอง
ซึ่งที่น่าสนใจคือ ทางวิทยาศาสตร์ในเวลานั้นไม่พบว่า มีนกกระสาชนิดใด
ที่ทำรังใหญ่เท่านี้ ทำให้ผู้เขียนตามหาว่า น่าจะเป็นนกอะไร

อันนำไปสู่ภาพสลักบนผนังในหลุมฝังศพกษัตริย์คูฟู
ที่กล่าวถึง นกชนิดหนึ่งที่อยู่กันเป็นฝูง มีลำตัวสีขาว ขนหางและปากยาว
ตัวผู้มีเปียอยู่ด้านหลังหัวและมีแผงขนตรงอก
เป็นไปได้หรือไม่ว่านกยักษ์ชนิดนี้คือที่มาของเทพเบ็นนูของอียิปต์
.



https://cryptozoologicalreferencelibrary.wordpress.com/wp-content/uploads/2023/08/hoch-1979.pdf
 
ในปี 1958 ทางการโอมานได้เปิดให้นักโบราณคดีเข้ามา
เพื่อขุดสุสานในวัฒนธรรมโบราณ 3,000 ปี ที่ Umm an-Nar
ปัจจุบันอยู่ในประเทศ UAE วัตถุแบบหนึ่งที่ค้นพบคือกระดูกสัตว์โบราณ
ที่ปัจจุบันสูญพันธุ์ไปจากคาบสมุทรอาระเบีย โดยมีกระดูกนกอยู่ 5 ชนิด
 
ชิ้นที่น่าสนใจ คือกระดูกขาส่วน tibiotarsus ข้างซ้ายที่หัก
เหลือเฉพาะส่วน distal end (หมายเลข 7) ที่มีขนาดที่ใหญ่กว่า
กระดูกขาของนกยางโกไลแอธ (หมายเลข 8)
ที่เป็นนกยางที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยสูงกว่า 1.2 -1.5 เมตร
 
ในปี 1979 การศึกษาของ Ella Hoch เชื่อว่ามันนกยางชนิดใหม่
ที่เคยอาศัยอยู่ที่นั่น โดยมีความสูงเท่ากับร่างกายของมนุษย์
และสูญพันธุ์ไปราว 2700-1800 ก่อน คศ. ตรงกับราชวงศ์ที่ 5
ในสมัยอียิปต์และอาจเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างเทพเบ็นนู
เค้าจึงตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ของนกชนิดนี้ว่า Ardea bennuides

แต่เรื่องราวนี้ก็ยังไม่ได้มีการรับรองอย่างเป็นทางการ
บางส่วนก็เชื่อว่า มันคือนกกระสานวลที่ตัวใหญ่กว่าธรรมดา
แต่ในขณะเดียวกันกระดูกเพียงท่อนเดียวก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่า
จะมีนกยางสายพันธุ์โบราณตัวใหญ่อยู่ที่นั่นเมื่อสองพันปีก่อนจริงๆ

Ardea bennuides ยังคงเป็นปริศนาที่รอการค้นหาต่อไป


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=10-2024&date=15&group=22&gblog=105
.




40
Animals / สวนรถไฟ : กระเต็นหัวดำ
« Last post by ppsan on 09 June 2025, 10:29:05  »
สวนรถไฟ : กระเต็นหัวดำ




เดือนแห่งนกอพยพ เรามีโปรแกรมทุกสัปดาห์
มาสวนรถไฟบ่อยมาก เริ่มต้นจากไปเฝ้าบ่อกระเต็นหลังห้องน้ำ
นั่งรออยู่นานไม่พบการเคลื่อนไหว ออกเดินวนรอบบ่อ
ถึงตรงที่นกลง พบว่ามีช่างก่อสร้างสองคนนั่งคุยกัน จบข่าว
 
ไปกันต่อที่ดงต้นสนที่เคยมีคนบอกว่า ตรงนี้มีนกเค้าแมว
เลี้ยวผ่านเข้าไปใจก็ชื้น มีคนกลุ่มหนึ่งตั้งกล้องขึ้นไปบนต้นไม้
เราเข้าไปเงียบๆ ยกกล้องสองตาส่องดูนกเค้ากู่เรียงกันอยู่ 4 ตัว
อ้าวไหนเคยบอกว่าตรงนี้มีเค้าแมว แห้วนกใหม่ไปอีกหนึ่งกรุบ
 
ไม่ไกลกันนัก ที่เคยเล่าว่าเจอนกจาบคาลงเล่นน้ำ ตอนนี้ก็บ่าย
คนกลุ่มหนึ่งตั้งกล้องถ่ายอะไรสักอย่าง น่าจะรอจาบคามั้ง
เราไม่ได้ถามอะไรแต่ก็นั่งรอกับเค้า แห้วมาตลอดทางแล้วนี่
ไม่มีอะไรจะเสียมากไปกว่านี้แล้ว สักพักหลายคนก็ลุกเดินไป

พอดีมีพี่ที่เคยเจอกันเดินมาเลยรู้ว่าเค้ามาเฝ้านกกระเต็นน้อยกัน
แต่ว่ามันบินไปทางโน้นแล้ว เราขี้เกียจเดินไป เพราะไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน
ระหว่างที่นั่งเงียบเหงาอยู่คนเดียว ก็เห็นนกอะไรบินโฉบลงมา
น่าจะเป็นนกกระเต็นหัวดำ เราส่องหาแต่ว่าต้นไม้รกมาก

นั่งรอมันลงใหม่ พี่ที่เคยเจอกันก็มาถามว่ามองหาอะไร
เราก็บอกไปว่ากระเต็นหัวดำ หลายคนก็เลยกลับมาเฝ้า
ในที่สุดก็สมหวัง ได้นกใหม่มาเป็นรางวัลในวันนี้



กระเต็นหัวดำ (black-capped kingfisher) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า
H. pileata เป็นนกกระเต็นที่อยู่ในสกุล Halcyon ที่มี 12 สายพันธุ์
ในบ้านเราพบอีกชนิดหนึ่งนั้นคือ กระเต็นแดง (Ruddy kingfisher)
 
กระเต็นหัวดำถูกบันทึกไว้ครั้งแรกโดย Georges-Louis Leclerc
เคาท์แห่งบูฟอง นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส ในปี 1780
ในหนังสือชื่อ Histoire Naturelle des Oiseaux


มีการนำคำบรรยายไปเขียนเป็นภาพสีโดย François-Nicolas Martinet
ในหนังสือชื่อ  Planches Enluminées D'Histoire Naturelle
ได้รับการตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ โดยนักธรรมชาติชาวดัชต์
Pieter Boddaert ในปี 1783 ระบุว่าสถานที่พบคือ ประเทศจีน

เป็นนกกระเต็นขนาดกลาง มีปากขนาดใหญ่สีแดง หลังสีน้ำเงิน
อกสีขาว ลักษณะเด่นตามชื่อคือมีหัวสีดำคล้ายกับคนใส่หมวกแก๊ป
มีถิ่นอาศัยแถบปากแม่น้ำ ป่าโกงกางตามแนวชายฝั่ง
ตั้งแต่อินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ และข้ามไปที่ชายทะเล
ตะวันออกของจีนแถบกวางตุ้ง ฮ่องกง และไหลำ
 
อีกส่วนหนึ่งเป็นนกกลุ่มเหนืออาศัยอยู่ในตัวทวีปตามริมแม่น้ำ
ในพม่าตอนเหนือ จีนในเขตยูนนาน กวางโจว หูหนาน หนิงเซี่ย เหอเป่ย
ฟูเจี้ยน ชานตง อานฮุย และคาบสมุทรเกาหลี พอถึงฤดูหนาว
นกกลุ่มนี้ก็จะอพยพลงมายังเกาะญี่ปุ่น และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รวมถึงประเทศที่เป็นหมู่เกาะต่างๆ
 
หนังสือของ Sharpe, R. B. ชื่อ A monograph of the Alcedinidae
: or family of Kingfisher ตีพิมพ์ในปี 1871 บรรยายเรื่องถิ่นที่อยู่
 Mr. Blyth กล่าวว่าพบมากที่ปากแม่น้ำของบังคลาเทศฝั่งตะวันออก
และพบบ้างทางทิศตะวันตก คาบสมุทรมาลายา และประเทศจีน


https://www.researchgate.net/profile/Andrea-Manica/publication/255959439/figure/fig6/AS:669657107292175@1536670104581/Example-of-the-distribution-of-a-migratory-species-Black-capped-Kingfisher-Halcyon.ppm

Swinhole กล่าวว่าเป็นนกประจำถิ่นพบที่กวางตุ้ง และแม่น้ำแยงซี
และกัปตัน Briggs ได้ส่งตัวอย่างนกนี้จากทวายไปให้ Mr. Gould
 Schomburgk กล่าววว่าชาวจีนใช้ขนของนกชนิดนี้ทำพัด
เช่นเดียวกับชาวสยาม และกัปตัน Beaven กล่าวว่า
นกชนิดนี้พบมากที่หมู่เกาะอันดามันของอินเดีย
 
ผู้เขียนกล่าวว่า เค้ามีตัวอย่างนกชนิดนี้ 3 ตัว ยิงมาได้จากปีนัง
และมีตัวอย่างนกอีกตัวหนึ่งจากซาราวักได้มาจาก Mr. Wallace
ปากของมันดูสั้นและอ้วนกว่า ลำตัวด้านล่างมีสีเข้มกว่านกจากปีนัง
แต่จากการวัดขนาดลำตัวนั้นพบว่า ไม่มีความแตกต่างกัน
 
ทั้งหมดนี้บอกอะไรเรา หนังสือเขียนขึ้นในปี พ.ศ. 2414
หรือต้นรัชกาลที่ 5 และอาจจะย้อนเรื่องไปก่อนหน้านั้นเล็กน้อย
ทำให้เห็นว่านกชนิดนี้เคยเป็นนกประจำถิ่นที่อาจพบได้ในไทย
พม่าตอนล่าง ลงไปถึงมะละกา แต่ปัจจุบันพวกมันนั้นหายไป
จะเป็นการล่าเพื่อเอาขนไปทำพัด แบบในหนังสือเล่าไว้หรือเปล่า

ในบันทึกของจีนกล่าวถึงของบรรณาการจากละโว้ว่า
มีทองคำ งาช้าง นกกระเรียน นกแก้วห้าสี นอระมาด
อำพันทอง และขนนกกระเต็น พวกเค้าล่ามันมาได้อย่างไร


https://en.wikipedia.org/wiki/Tian-tsui#/media/File:Chinese_kingfisher_tiara.jpg

บันทึกของโจวต้ากวนที่เข้ามาเมืองพระนครได้บันทึกไว้ว่า
นกกระเต็นนั้นค่อนข้างจับยากในดงทึบมีบึง
และในบึงมีปลา นกกระเต็นบินออกจากดงเพื่อหาปลาเป็นอาหาร
ชาวพื้นเมืองเอาใบไม้คลุมร่างของตนไว้แล้วนั่งอยู่ริมน้ำ

มีกรงใส่นกกระเต็นตัวเมียไว้ตัวหนึ่ง
เป็นนางนกต่อ และมือถือร่างแหเล็กๆ ไว้
คอยให้นกมาก็ครอบร่างแหลงไป
วันหนึ่งๆ จับได้ 3 หรือ 5 ตัว บางวันจับไม่ได้เลยก็มี
 
แล้วราชสำนักจีนนำไปใช้อะไร กล่าวกันว่า ชาวจีนนิยมขนสีฟ้า
ของนกกระเต็นมาตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีก่อน ในสมัยราชวงศ์หาน
วิธีการคือ ตัดขนนกกระเต็นออกเป็นชิ้นเล็กๆ
แล้วติดบนเครื่องประดับศีรษะเรียกว่า เทียนซุ่ย

และนิยมเฟื่องฟูเป็นอย่างมากในสมัยราชวงศ์ถังที่มีบันทึกถึง
ขนนกกระเต็นที่เป็นเครื่องบรรณาการของละโว้และเป็นสินค้าจากเมืองพระนคร
ความแพงของมันนั้น มีบทกวีที่กล่าวถึงว่า เครื่องประดับศรีษะที่สตรีสวมใส่นั้น
มีค่าเท่ากับเงินภาษีที่เก็บได้มาจากหลายตำบลเลยทีเดียว

ความนิยมนั้นต่อเนื่องถึงราซวงศ์ชิงจนถึงในช่วงปลายราชวงศ์
ที่อำนาจการปกครองนั้นเริ่มอ่อนแอลง
จากเครื่องประดับที่ใช้ราชสำนัก ที่การครอบครองบังคับเข้มงวด
การเป็นเครื่องประดับของชาวบ้าน และขายให้กับนักท่องเที่ยว


https://en.wikipedia.org/wiki/Tian-tsui#/media/File:Tian-tsui_(kingfisher_feather)_hair_pins.jpg

มีโรงงานจำนวนมากในกวางตุ้งที่ตั้งขึ้นเพื่อผลิตสินค้าเช่น ปิ่นปักผม
จนกระทั่งถึงช่วงที่รัฐบาลนั้นมาจากพรรคคอมมิวนิสต์
มีการสั่งห้ามและประกาศให้นกกระเต็นเป็นสัตว์อนุรักษ์
 โรงงานเทียนซุ่ยแห่งสุดท้ายปิดตัวลงในปี 1933

แต่คนที่เคยทำเป็นนั้นก็ยังคงมีความรู้อยู่
จนกระทั่งถึงช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม
ที่ให้ชาวจีนทุกคนนั้นละทิ้งทุนนิยมไปอย่างสิ้นเชิง
ศิลปะการทำเทียนซุ่ยจึงถูกลบเลือนออกไปจากประเทศ

แล้วทำไมต้องสีฟ้า ส่วนตัวเชื่อว่ามันเป็นสีที่ทำขึ้นมาได้ยาก
กว่าภาพท้องฟ้าในจิตกรรมไทยจะเป็นสีฟ้าก็เมื่อปลายรัชกาลที่ 3
แม้สีฟ้าที่ผลิตมาจากหินในธรรมชาติ จะถูกค้นพบมาตั้งแต่ในสมัยอียิปต์
แต่มันก็เป็นของที่มีราคาแพงมาก นิยมใช้ในชนชั้นสูงเท่านั้น
 
เมื่อเข้าสู่ยุคเฟื่องฟูวัฒนธรรม ในสมัยเรเนสซองก์
สีฟ้าเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก ทำให้ฝรั่งเศสประกาศว่า
ใครก็ตามที่สังเคราะห์สีฟ้าขึ้นมาได้ จะมีรางวัล 6,000 ฟรังก์
ในที่สุดในปี 1826 ก็มีคนได้สำเร็จ ชื่อว่าสี Ultramarine
 
กลับมาที่ในตอนท้ายของหนังสือที่กล่าวถึง นกที่แปลกๆ พบในซาราวัก 
ในขณะที่เชื่อกันว่ากระเต็นหัวดำเป็นสายพันธุ์เดี่ยว ไม่มีสายพันธุ์ย่อยนั้น
ในหนังสือของ Hachisuka ชื่อ The Birds of the Philippine Islands:
with Notes on the Mammal Fauna (1931–1935) หน้าที่ 142
นอกจาก H. pileata, Boddaert 1783 ยังมีการกล่าวถึงนกอีกตัวหนึ่ง




Palawan Black–caped kingfisher (H. p. palawanensis)
ตัวอย่างเป็นของ Lord Rotchchild ได้จากเมือง Balabac เกาะปาลาวัน
เก็บอยู่ที่ American museum of National History เมือง New York
มีการบรรยายลักษณะไว้ พบว่าไม่ได้แตกต่างจากสายพันธ์หลัก

แต่ขนาดตัวนั้นเล็กกว่า  ปีก 127 หาง 77 ปาก 56 ขา 14 นิ้วกลาง 26
ขณะทีกลุ่มหลัก ปีก 127-133 หาง 83-88 ปาก 57-65 ขา 15 นิ้วกลาง 27
ในหนังสือนี้ยังกล่าวว่า นกที่บอร์เนียวและสุมาตราไม่มีแตกต่างเช่นกัน
 
แต่นกจากเกาะไหหลำ เก็บโดย Katsumatra มีขนาดตัวใหญ่กว่า
โดยมีขนาดของปีก 137 นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างที่อยู่ในของสะสม
ของ Lord Rotchchild อีก 8 ตัวที่เก็บมาจากเกาะไหหลำ
พบว่าปีกนั้นมีขนาดใหญ่เช่นกัน (137) และสีของปากนั้นเข้มกว่า
 
แต่จนถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่า
นกชนิดนี้มีความแตกต่างกัน จนสามารถตั้งขึ้นได้เป็นสายพันธุ์ย่อย
แต่ที่แน่ๆ เราสามารถกล่าวได้ว่า พวกมันเคยเป็นนกประจำถิ่น
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก่อน ก่อนที่จะถูกล่าอย่างหนัก
เพื่อนำขนไปทำเครื่องประดับ จนไม่พบการทำรังวางไข่อีกเลย
 
มีการประมาณว่าทั่วโลกมีนกกระเต็นหัวดำเต็มวัยอยู่ประมาณ 10,000 ตัว
และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากการเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศ
ในสถานที่อยู่อาศัยและสถานที่ทำรังในประเทศจีนและคาบสมุทรเกาหลี
 
ความเสี่ยง จัดอยู่ในสถานะถูกคุกคามระดับ 1  (vulnerable)
ระดับเดียวกับแต้วแร้วนางฟ้า ที่เราเขียนไปก่อนหน้านี้แล้ว 


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=10-2024&date=08&group=22&gblog=106
.




Pages: 1 2 3 [4] 5 6 ... 10
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.058 seconds with 12 queries.