Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
16 June 2025, 16:32:08

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
27,262 Posts in 13,290 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Recent Posts

Recent Posts

Pages: 1 2 [3] 4 5 ... 10
21
กาญจนบุรี : นกจับแมลงคอแดง




เป็นประจำทุกปี ที่หน่วยงานจะมีการจัด outing
ใครๆ ก็อยากไปทะเลกัน แต่เราจะพยายามโน้มน้าวให้ไปป่า
เพราะว่าจะได้ไปดูนก ปีนี้ก็สำเร็จ สรุปไปจังหวัด กาญจนบุรี
ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่อย่างน้อยก็มีโอกาสได้ไปเจอนกใหม่ๆ
 
แน่นอนว่าในรีสอร์ทริมแม่น้ำแควน้อยแห่งนี้ มีคนพลุกพล่าน
แต่เมื่อติดกับป่า ก็ต้องมีนกแปลกๆ ให้เราถ่ายติดมาจนได้
นกที่จะเราจะนำเสนอในวันนี้ ก็คือ นกจับแมลงอกแดง

ขอบ่นก่อนเลยนะว่า ทำไมนะเราไม่เคยถ่ายนกกลุ่มนี้ที่มีสีสันได้เลย
ได้มาแต่นกตัวเมีย ที่มีสีน้ำตาลเหมือนๆ กันไปหมด
จนเราต้องไปขอความเมตตาคนในเฟซบุ๊กมาช่วยจำแนก
เหมือนกับนกตัวแรกในกลุ่มนี้ ที่เราได้มานั่นก็คือ นกจับแมลงสีน้ำตาล
 
มีปากสีดำ มีวงตาแคบ ๆ สีขาว หัว หลัง ปีกและตะโพกสีน้ำตาลแกมเทา
คอสีขาว อกสีเทาอ่อน ท้องสีขาว หางสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ
โคนหางสีขาว จริงๆ แล้วในฤดูผสมพันธุ์ราวเดือนมีนาคม-พฤษภาคม
ตรงกับช่วงสุดท้ายก่อนจะบินกลับบ้าน ตัวผู้จะมีคอสีส้มที่ช่วยในการจำแนก
 
แต่ตัวนี้ที่คิดว่าเป็นตัวเมีย เพราะสีเทาบนตัวค่อนข้างสม่ำเสมอ
ไม่มีความแตกต่างระหว่างปีกกับลำตัวเท่าไหร่ โดยรวมสีออกตุ่นๆ
และไม่มีร่องรอยแต้มขาวตรงคอ ที่จะเปลี่ยนเป็นสีส้มแดงแบบตัวผู้   

เหมือนอย่างที่เคยเล่าไว้ในบล็อกนกจับแมลงสีน้ำตาลว่า
เป็นนกกลุ่มที่อาศัยอยู่ในไซบีเรีย ผู้ค้นพบคือ Peter Simon Pallas
ที่ออกไปสำรวจในปี ค.ศ.1811 และต่อมาได้หนังสือชื่อ
Zoographica Rosso-Asiatica ที่มีคำบรรยาย
และภาพร่างของนกที่ชื่อว่า Muscicapa albicilla



Pallas พบนกกลุ่มนี้ที่ Dauria หรือที่ราบระหว่างเทือกเขายูราล
และทะเลสาบไบคาล ปัจจุบัน Taiga flycatcher
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Ficedula albicilla
เคยจัดให้เป็นสายพันธุ์ย่อยของนกจับแมลงพันธุ์พันธุ์ยุโรป
หรือ Red-breasted Flycatcher (Ficedula parva)

ซึ่งขอบเขตของนกจับแมลงพันธุ์พันธุ์ยุโรปที่พบได้ใกล้ที่สุดของบ้านเรา
คือในประเทศอินเดีย จึงจัดเป็นนกหายากในประเทศไทย
โดยมีเพียงการค้นพบ 3 รายงาน โดยครั้งสุดท้ายพบที่
สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ พระนครศรีอยุธยาในปี 2023 นี่เอง
 
ส่วนนกจับแมลงอกแดงเป็นนกอพยพที่พบได้ง่ายในประเทศไทย
แต่ก็พบได้น้อยกว่านกจับแมลงสีน้ำตาล (asian brown flycatcher)
ซึ่งในรีสอร์ทนี้เราก็เจอมันด้วย ซึ่งพอเราเจอนกพันธุ์นี้หลายๆ ครั้ง
แค่เห็นปลายปากสีส้มจากภาพในคอมพิวเตอร์ เราก็บอกชื่อมันได้แล้ว

ก่อนหน้าเราเคยแบบประชดประชันว่า
ต่อไปเราคงให้ chat GPT เขียนบล็อกแทนได้
แต่ความจริงแล้วบล็อกนี้ chat GPT ก็มีส่วนร่วมนะ
ไม่ใช่เขียนเนื้อหาหลัก เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทดแทนมนุษย์ได้
 
แต่บางอย่างถ้าเรารู้ข้อมูลแล้ว แต่ยังมีข้อสงสัย เช่น นกตัวผู้นอกฤดูผสมพันธ์
กับนกตัวเมียนั้นสีขนต่างกันอย่างไร ก็สามารถให้ chat GPT สรุปใจความได้
เพราะหากเราไปค้นเอง น่าจะเสียเวลามากเลยทีเดียว
สรุป AI ก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย หากเราใช้มันเป็นผู้ช่วย

ดังที่มันได้ถูกออกแบบมา


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=02-2025&date=21&group=22&gblog=92
.




22
Animals / ปากพลี : นกอ้ายงั่ว
« Last post by ppsan on 12 June 2025, 09:28:42  »
ปากพลี : นกอ้ายงั่ว




ทุ่งปากพลีนอกจากจะเป็นบ้านของเหยี่ยวอพยพ
มันยังเงียบสงบเพียงพอที่จะเป็นสถานที่ทำรังของนกน้ำหลายชนิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนกหายาก ดังเช่นเรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้
เรื่องของนกที่ครั้งหนึ่งเราเคยคิดว่า ไม่น่าจะพบได้ในประเทศนี้แล้ว
 
นกอ้ายงั่ว (Oriental darter) เป็นนกน้ำตัวใหญ่ มีขนาด 90-95 ซม.
แม้ว่าจะเล็กกว่านกกระสานวล หรือกระสาแดง แต่ว่าบึกบึนกว่า
หากินในแหล่งน้ำ โดยโผล่ขึ้นมาเพียงส่วนลำคอ
จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่านกคองู หรือ snakebird
 
เนื่องจากมีกระดูกสันหลังส่วนคอชิ้นที่ 8 และ 9 รูปร่างเป็นรูปตัว S
จึงสามารถจับปลาได้ด้วยการใช้ปากแทงเหมือนกับการใช้ฉมวกล่า
จึงเป็นที่มาของชื่อในภาษาอังกฤษว่า darter หรือลูกดอกนั่นเอง
 
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Anhinga melanogaster อยู่ในสกุล Anhinga
ซึ่งมีนกอีก 3 ชนิด ได้แก่ American, African, Australian darter
มีถิ่นอาศัยอยู่ในอนุทวีปอินเดีย อินโดไชนา คาบสมุทรมาเลย์
เกาะสุมาตรา ชวา บอร์เนียว ไปจนถึงหมู่เกาะฟิลิปปินส์



แต่สถานที่อาศัยสำคัญนั้นอยู่ในอินเดีย หมู่เกาะอันดามันของอินเดีย
และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่โตนเลสาป กัมพูชา
การสำรวจรังนกที่ทะเลสาปแห่งนี้ในปี 2000 พบว่ามีจำนวน 214 รัง
และเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นหลายพันรังในปี 2013
สถานะในปัจจุบันของ IUCN คือ near threatened

พ.ศ. 2491 มีรายงานว่าพบนกอ้ายงั่วทำรังแม้กระทั่งในสวนริมถนนวิทยุ
พ.ศ. 2517 หนังสือ Bird Guide of Thailand ของ นพ. บุญส่ง เลขะกุล
ยังคงบรรยายว่า เป็นนกประจำถิ่น ที่พบเห็นได้บ่อยตามแหล่งน้ำทั่วไป

แต่ในสถานการณ์จริงนั้น พ.ศ. 2523 เป็นปีที่มีรายงานการเห็น
นกอ้ายงั่วครั้งสุดท้าย ที่วัดตาลเอน จ. พระนครศรีอยุธยา
ซึ่งเป็นสถานที่ที่ถูกระบุว่า เคยมีการทำรังของนกชนิดนี้
 พ.ศ. 2535 มีนักดูนกพบนกอ้ายงั่วจำนวน 1ตัว
ที่บ่อบำบัดน้ำเสีย ม. เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน

หลังจากนั้นก็คือช่วงที่ผมดูนก ซึ่งไม่มีใครเคยเห็นนกอ้ายงั่วอีกเลย
จนกระทั่ง พ.ศ. 2542 มีรายงานการพบที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว
พ.ศ. 2543 เริ่มมีนกอ้ายงั่วกลับมาทำรัง บนต้นไม้ในสวนที่ จ. สระแก้ว
ในเวลาต่อมามีการพบเห็นนกฝูงนี้ ที่อ่างเก็บน้ำพระปรงที่อยู่ใกล้เคียง

พ.ศ. 2547 พบรังนกอ้ายงั่วจำนวน 4 รัง ที่บึงบอระเพ็ด จ. นครสวรรค์
และมีการพบแหล่งทำรังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น บ้านวังเป็ด จ.พิษณุโลก
วัดห้วยจันทร์  จ.ลพบุรี และเขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงละหาน จ. ชัยภูมิ


บึงบรเพ็ด 15/2/2568

ปัจจุบันมีรายงานการพบเห็นนกอ้ายงั่วได้เกือบทั่วประเทศ 
แต่แหล่งทำรังของนกชนิดนี้ น่าจะมีอยู่เพียง 4-5 แห่ง ดังที่กล่าวมา
ซึ่งต้องรวมถึงที่ทุ่งปากพลีแห่งนี้ ที่เราจะเห็นลูกนกสีขาว
ยืนอยู่บนรังปะปนกับนกกระสานวลและนกกาน้ำบนต้นไม้ด้วย
 
จาก พ.ศ. 2523 ที่วัดตาลเอน ซึ่งน่าจะเป็นแหล่งทำรังแห่งสุดท้าย
เป็นเวลากว่า 20 ปี ที่สถานะนกชนิดนี้ของไทยแขวนอยู่บนเส้นด้าย
จนกระทั่ง พ.ศ. 2543 ที่มีการเติมประชากรนกอ้ายงั่ว
เข้ามาทำรังอีกครั้งจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่บ้านคลองมะละกอ
 
เพราะโลกของนกนั้นไร้พรมแดน นกอ้ายงั่วจากประเทศไทย
ก็อาจจะบินเข้าไปเติมประชากร ให้กับประเทศเพื่อนบ้านด้วยเช่นกัน
ในมาเลเซีย มีรายงานการกลับมาทำรังอีกครั้งใน พ.ศ. 2565
ในขณะที่ประเทศลาว ยังไม่พบว่านกชนิดนี้หวนกลับไปทำรังอีกเลย
 
แม้ว่าสภาพธรรมชาติในปัจจุบัน จะไม่ได้ดีไปกว่าในสมัยก่อน
ที่มีต้นไม้ขนาดใหญ่ให้ทำรัง หรือมีแหล่งน้ำที่ไร้การรบกวนเพิ่มขึ้น
แต่สิ่งที่ดีขึ้นคือจิตใจของผู้คน ที่ทำให้การล่านกนั้นลดลงไป
ทำให้นกอ้ายงั่วมีโอกาสที่จะขยายพันธุ์เพื่อการฟื้นฟูจำนวนประชากร


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=12-2024&date=06&group=22&gblog=93
.




23
Animals / ปากพลี : black kite
« Last post by ppsan on 12 June 2025, 09:26:20  »
ปากพลี : black kite




ทุกปีในราวต้นเดือนธันวาคม จะมีเทศกาลชมเหยี่ยวดำอพยพ
ที่จัดโดยคนในชุมชน ต. ท่าเรือ อ. ปากพลี จ. นครนายก
วันที่ 1 ธ.ค. 2567 ยามเช้าเราก็ไปถึงพื้นที่
มีเพียงนิสิตคณะสัตวแพทย์ ม.เกษตร พานักเรียนมาดูนก
 
เพิ่งมาเป็นครั้งแรก ก็เลยเนียนๆ แฝงตัวเข้าไปในกลุ่ม
เห็นเค้าเล่าว่า มีอินทรีย์ปีกลายในกล้อง เราก็ย่องเข้าไปส่องดู
ปรากฏว่าไม่เห็น น่าจะบินไปแล้ว ผู้นำชมก็เล่าถึงนกอื่นๆ
เรามาดูเหยี่ยวเห็นว่าน่าจะไม่เกี่ยวข้องกัน ก็เลยแยกตัวมา

แต่ก็ยังทันได้ความรู้จากน้องที่ทำหน้าที่เป็นไกด์มาว่า
เหยี่ยวหลักๆ ที่นี่คือ black kite โดยมีอยู่ 2 สายพันธุ์
ประกอบไปด้วยเหยี่ยวหูดำหรือเหยี่ยวดำใหญ่ และเหยี่ยวดำไทย
แต่ผมก็แยกไม่ออกอยู่ดี เอาเป็นว่าที่ถ่ายมาเป็นเหยี่ยวหูดำหมดก็แล้วกัน
 
black kite ถูกบันทึกไว้ครั้งแรกโดย Georges-Louis Leclerc
เคาท์แห่งบูฟอง นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส ในหนังสือชื่อ
Histoire Naturelle des Oiseaux ในปี 1770
ปัจจุบันมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Milvus migrans
 
milvus เป็นภาษาละติน หมายถึงเหยี่ยวแดง และ migran หมายถึงการอพยพ
เพราะในยุโรปมีการพบเหยี่ยวแดง และในหน้าหนาวนกนี้มีการอพยพลงใต้
มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ต่ำ ประมาณว่ามีประชากรมากกว่า 5 ล้านตัว
กระจายตัวอย่างกว้างขวางตั้งแต่ยุโรป แอฟริกา เอเชีย ไปถึงออสเตรเลีย



แบ่งออกเป็น 5 ชนิดย่อย แต่ที่พบในบ้านเรามี 2 ชนิดย่อย
เหยี่ยวหูดำหรือเหยี่ยวดำใหญ่ black-eared kite (M. m. lineatus)
และเหยี่ยวดำหรือเหยี่ยวดำไทย small Indian kite (M. m. govinda)
ที่ทุ่งปากพลี เหยี่ยวหูดำทั้งหมดเป็นนกอพยพที่พบได้มากกว่า
ส่วนเหยี่ยวดำบางส่วนเป็นนกประจำถิ่น พบจำนวนน้อยกว่า
 
เหยี่ยวหูดำมีถิ่นอาศัยในทางตอนเหนือของเอเชีย ตั้งแต่
ไซบีเรีย ลุ่มแม่น้ำอามูร์ ญี่ปุ่น จีนตอนใต้ ตอนเหนือของอินโดจีน
แถบเทือกเขาหิมาลัย ลงมายังตอนเหนือของอินเดีย เมื่อถึงหน้าหนาว
จะอพยพลงมายังอ่าวเปอร์เซียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 
โดยเฉพาะอย่างยิ่งไทย มีจำนวนเพียงเล็กน้อยที่ผ่านลงไปถึงมาเลเซีย
 
เหยี่ยวดำมีขนาดตัวที่เพียวบางกว่าเหยี่ยวหูดำ มีแฉกหางที่ตื้นกว่า
เดิมมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Pariah kite ซึ่งมาจากภาษาทมิฬ
ที่หมายถึง พวกคนชั้นต่ำ ทำให้ปัจจุบันถูกเลิกใช้ไปแล้ว
มีถิ่นอาศัยอยู่ในตะวันออกของปากีสถาน อินเดียตอนกลาง
ศรีลังกา อินโดจีน และคาบสมุทรมาเลย์

เมื่อถึงหน้าหนาวเหยี่ยวดำบางส่วนที่อาศัยในอนุทวีปอินเดีย พม่า
กระทั่งทางตอนเหนือของอินโดจีน จะพากันอพยพมาไทย
ทั้งที่ในพื้นที่เหล่านี้ก็เป็นฤดูกาลที่ตรงกับบ้านเรา
ซึ่งมีอุณหภูมิความหนาวที่ไม่แตกต่างกันนัก

อะไรที่ทำให้เหยี่ยวดำบางตัวต้องเดินทางไกลมาหลายพันกิโลเมตร



พื้นที่ใน อ.ปากพลีและ อ. บ้านสร้าง เป็นทุ่งกว้างรับน้ำจากเขาใหญ่
ทำหน้าที่เป็นแก้มลิงตามธรรมชาติ ราษฎรก็ยังมีอาชีพทำนา
จึงเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่สำคัญของภาคกลางด้านทิศตะวันออก
เป็นบ้านหลังสุดท้ายของปลาพื้นบ้านที่หายากหลายสายพันธุ์
 
เฉพาะพื้นที่ป่ายูคาตรงจุดดูเหยี่ยวทุ่งปากพลี มีพื้นที่ราวพันกว่าไร่
เนื่องจากเป็นที่ดินสาธารณะ ทำให้ตรงนี้รกร้างและไม่มีบ้านคน
ทั้งสองสิ่งนี้ประกอบกัน ทำให้มันเป็นบ้านที่เหมาะสม
ของเหยี่ยวหูดำที่หลบลมหนาว มาจากทางตอนเหนือ
และเหยี่ยวดำที่อาศัยอยู่ในอินเดีย พากันอพยพมาที่นี่
 
ตรงกับช่วงเวลาที่เกษตรกรไทย อยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวข้าวในนา
การฟาดข้าวให้แยกออกจากรวง ทิ้งให้เมล็ดบางส่วนตกหล่นบนผืนดิน
หนูพุกหรือหนูนา จึงใช้เวลาในช่วงนี้ออกมาหากินอาหารที่อุดมสมบูรณ์
เหยี่ยวอพยพเองก็ออกล่าหนูเหล่านี้ เกิดเป็นวงรอบของชีวิตอันสัมพันธ์กัน
 
แตกต่างกันที่เหยี่ยวหูดำนั้นอพยพลงมาเพียงเพื่อหนีหนาว
เมื่อผ่านพ้นไปพวกมันก็จะไปบินกลับไปทำรังวางไข่ในเอเชียตอนเหนือ
เป็นนกอพยพที่มีสถานะเป็น winter resident
ในขณะที่เหยี่ยวดำจะอาศัยช่วงเวลาที่มีอาหารอุดมสมบูรณ์นี้ทำรังวางไข่
 เป็นสถานะที่หาได้ยาก เราอาจจะนิยามขึ้นมาใหม่ว่า winter breeding



ในการสำรวจประชากร black kite ในไทย
พบว่ามีแหล่งอาศัยหลายที่ ตั้งแต่ลำพูน นครสวรรค์ ลพบุรี โคราช
ปากพลี รวมถึงเพชรบุรี แต่สถานที่เหล่านี้ มีจำนวนหลักสิบถึงหลักร้อย

ในขณะที่ทุ่งปากพลี มีจำนวนพบมากที่สุดถึง 1,500 ถึง 2,000 ตัว
ส่วนมากเป็นเหยี่ยวหูดำ และมีเหยี่ยวดำปะปนอยู่ในราวหลักร้อย
 รวมกันแต่ละปีจะมีเหยี่ยวสองชนิดนี้ ในประเทศไทยราว 5,000 ตัว

และนั่นก็เป็นครั้งแรกของเรา ในการได้เห็นเหยี่ยวดำ
นอกจากทุ่งปากพลี ยังมีสถานที่ยอดนิยม
ในการดูเหยี่ยวและนกอินทรีย์อีก 2 แห่ง

หนึ่งคือ ต หนองปลาไหล จ. เพชรบุรี
สองคือ เขาดินสอที่ชุมพร ซึ่งเป็นช่องแคบเส้นทางอพยพของนกนักล่า
มีข่าวว่าจะมีการสร้างกังหันลมเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าในบริเวณใกล้เคียง
เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะรบกวนการเดินทางของนกอพยพ

ประเทศไทยมีภูมิศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางของการสัญจรในย่านนี้
การสร้างสิ่งก่อสร้างสมัยใหม่ก็ดี การทำลายพื้นที่ชุ่มน้ำก็ดี
ล้วนส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศของนกอพยพในระดับสากลอย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่เสียงของนักอนุรักษ์นั้นคงจะเบาเกินกว่าที่ผู้มีอำนาจจะได้ยิน


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=12-2024&date=03&group=22&gblog=94
.




24
Animals / สวนรถไฟ : กระเต็นอกขาว
« Last post by ppsan on 12 June 2025, 09:24:18  »
สวนรถไฟ : กระเต็นอกขาว




ใครเค้าจะถ่ายกระเต็นอกขาวกัน มันเป็นนกที่แสนจะธรรมดา
ไปไหนมาไหนก็เจอ ไม่อยากเจอมันก็มา
ก็จริงนะ แต่ว่ารูปเพียงหนึ่งรูปที่ดูจะธรรมดา
อาจมีมูลค่าหลายหมื่นบาทเลยทีเดียว
 
ย้อนกลับไปบล็อกก่อนหน้า ที่เล่าว่าไปถ่ายนกที่สวนรถไฟ
เหตุนั้นเกิดมาจากว่า เราติดต่อร้านขายกล้องเพื่อตามหา
กิมบอลลายพรางของ Leofoto แต่ก็ไม่มีของ เลยไปซื้อยี่ห้ออื่นมา
ต่อมาทำถาดวางกล้องของยี่ห้อนั้นหาย ก็เลยกลับไปซื้อ Leofoto
 
วันที่ไปรับของ พี่เค้าถามว่ามีคนดูแลหรือยัง ก็ร้องฮะ ออกมาแบบว่า
ซื้ออุปกรณ์กล้องนี่ต้องมี PC ส่วนตัวเหมือนซื้อของแบรนด์แนมด้วยหรือ
แต่เมื่อไม่ได้เสียอะไรก็ฝากตัวกับพี่เค้าไว้ จนกระทั่งได้ไปสวนรถไฟนั่นล่ะ
ใจเดิมก็อยากเปลี่ยนกล้องอยู่แล้ว แต่ก็ลังเล เลยยืมมาลองก่อนก็แล้วกัน
 
เมื่อเปิดดูรูปๆ หนึ่งที่ได้มานั้น ทำให้เราตัดสินใจกดสั่งกล้องร้านพี่เค้าไป
ภาพนกกระเต็นอกขาวที่ใสจนเห็นดวงตา ที่ไม่เคยถ่ายแบบนี้ได้มาก่อน
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในใจ กล้องราคาเท่านี้  ซื้อมาก็หาเงินไม่ได้สักบาท
เราไม่ได้เป็นช่างภาพ ที่จะนำความสามารถของกล้องมาหาเงินได้
 
แต่ก็นั่นล่ะ ถ้าไม่มีเรื่องให้เสียตังค์ เราจะเรียกมันว่า งานอดิเรกได้อย่างไร
ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า บางครั้งโอกาสนั้น อาจจะมีครั้งเดียวในชีวิต
บางทีเสียเงินค่าน้ำมันขับรถไกลไปเป็นร้อยกิโล ก็ต้องมีกล้องดีๆ
เพื่อจะได้ภาพที่คุ้มค่ากลับมา และนั่นก็ทำให้เราสบายใจขึ้น



กระเต็นอกขาว (White-Throated kingfisher)
จัดเป็นนกกระเต็นขนาดกลาง ลำตัวยาว 27-28 ซม.
โดยรวมลำตัวสีน้ำตาล ปีกและหลังสีฟ้าสด ปากใหญ่สีส้มสด 
คอและอกเป็นสีขาว พบได้บ่อยทั้งตามแหล่งน้ำต่างๆ

อยู่ในสกุล Halcyon มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า H. smyrnensis
แพร่กระจายอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่แอฟริกาส่วนที่อยู่เหนือ
ทะเลทรายซาฮารา คาบสมุทรอาหรับ อนุทวีปอินเดีย จีนตอนใต้
อินโดไชนา คาบสมุทรมาลายา เกาะบอร์เนียว สุมาตรา และชวา
 
มี 5 ชนิดย่อย ที่พบในประเทศไทยคือ H. s.perpulchra
กระจายตัวตั้งแต่ภูฏาน อินเดียตะวันออก อินโดไชนา
คาบสมุทรมาลายา ไปจนถึงเกาะชวาทางตะวันตก
 
ซึ่งสกุล Halcyon นี้ มีนกรวมกันอยู่ 12 ชนิด
ที่มีโอกาสพบในประเทศไทยอีก 2 ชนิดได้แก่
นกกระเต็นหัวดำ และ นกกระเต็นแดง
ซึ่งถือว่าผมเจอครบ และเขียนถึงนกทั้งหมดไปแล้ว
 
แล้วจุดจบของเรื่องราวนี้จะอยู่ที่ไหน เชื่อว่าก็น่าจะเป็นเลนส์ในฝัน
ในทริปนี้ก็เห็นคนหนึ่งๆ เอามา นั่นคือเลนส์ RF 600 mm F4
เราเองได้แต่แอบมอง แต่ก็คิดว่าน่าจะได้ซื้อมาตอนเกษียน
แต่ก็อาจจะเกิดขึ้นเร็วกว่านั้น ถ้ามีคนปล่อยของมือสองออกมาราคาดีๆ


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=11-2024&date=28&group=22&gblog=95
.




25
สวนรถไฟ : นกกระเต็นใหญ่ธรรมดา




อย่างที่เคยเล่าไว้ว่า เราตามถ่ายนกกระเต็นใหญ่มาเนิ่นนาน
แต่ด้วยสายตาที่ว่องไว ทำให้ถ่ายภาพมันได้ยากมาก
เมื่อทำไม่ได้ เราก็ต้องใช้ช่องทางลัด
ร้านขายกล้องไลน์มา ถามว่าไปถ่ายนกที่สวนรถไฟไหม
เราไม่รู้ว่าไปถ่ายนกอะไร แต่ก็ตอบตกลงไปก่อน
 
24/11/67 ลูกค้ากล้องแคนนอนก็มารวมตัวกัน
เราขอยืม EOS R6 ไว้ รับกล้องเสียบการ์ดแล้วเดินไปบ่อกระเต็น
คุณสมภพ ผู้เชี่ยวชาญการด้านการถ่ายนกสวนรถไฟรออยู่
เราได้ฟังบรีฟมานิดหน่อยว่า speed ต้องไม่ต่ำกว่า 1/2500
และตั้งค่าแสงให้ under ไว้
 
แต่ก็นะ ถ่ายๆ ไปเหอะ เพราะสิ่งที่ยากคือ
จะเอานกเข้าช่องมองภาพยังไง เพราะต้องรอถ่ายช่วงนกบิน
เอาเข้ากล้องว่ายาก แต่จะได้ภาพตัวนกชัดๆ น่าจะยากขึ้นไปอีก
สรุป บ่อแรกนี่แห้วไม่ได้อะไรมา นอกจากถ่ายภาพนกเกาะนิ่งๆ
 
ย้อนกลับไปว่าถ้ามาเดินเอง แค่หานกให้เจอเพื่อถ่ายยังยาก
แต่นี่มากับปรมาจารย์ แกเรียกนกให้บินมาเพื่อให้คนถ่ายรูปได้
เราก็ยังทำไม่ได้เลย ไปกันที่บ่อต่อไป นกกระเต็นหัวดำ
ก็ยังได้แต่ภาพนกเบลอๆ เผลอกดไปไม่นานแค่ 397 ภาพ
การ์ด 4 GB ก็เต็ม โชคดีที่เอา SD card สำรองมา
 
ในที่สุดก็ได้ภาพกระเต็นใหญ่โฉบจับปลาในบ่อที่สามตอนก่อนเที่ยง
เกือบมาเสียเที่ยวแล้ววันนี้ ที่สำคัญคือ โดน EOS R6 ตกไปเต็มๆ
กิจกรรมยังมีต่อไปจนถึงถ่ายนกเค้าจุดในตอนเย็น แต่เรากลับบ้านก่อน



นกกระเต็นใหญ่ธรรมดา (Pelargopsis capensis) ตั้งชื่อครั้งแรกโดย
คาร์ล ลินเนียส โดยเชื่อว่าได้ตัวอย่างมาจากแหลมกู๊ดโฮบในแอฟริกา
แต่จริงๆ ที่นั่นไม่มีนกชนิดนี้ ปัจจุบันพบว่าตัวอย่างนั้นได้มาจากชวา

มี 13 ชนิดย่อย กระจายตัวตั้งแต่เนปาล อินเดีย ศรีลังกา นิโคบาร์
พม่า อินโดจีน มาลายา บอร์เนียว สุมาตรา ชวา และฟิลิปปินส์
ในประเทศไทย คือชนิดย่อย P. c. burmanica
พบตั้งแต่พม่า อินโดจีน จนถึงมาลายา

ลักษณะเด่นคือปากที่มีสีแดงขนาดใหญ่ รวมถึงตัว 35 ซม.ที่เด่นชัด
ขนาดนั้นจึงเป็นรองเพียงนกกระเต็นขาวดำใหญ่ที่อยู่ทางภาคเหนือ
อยู่ในสกุล Pelargopsis มาจากภาษาละติน pelargos แปลว่า strok
และ opsis แปลว่า appearance โดยมีนกอยู่ร่วมกัน 3 ชนิด ได้แก่
 
นกกระเต็นใหญ่ธรรมดา (Stork-billed Kingfisher)
Great-billed kingfisher พบที่เกาะสุลาเวสี อินโดนีเซีย
และนกกระเต็นใหญ่ปีกสีน้ำตาล (Brown-winged kingfisher)
ที่พบตามป่าโกงกางของบังคลาเทศ พม่าและภาคใต้ของไทย
 
ในสกุลนี้นกกระเต็นใหญ่ธรรมดา สามารถพบเห็นได้บ่อยที่สุด
เพราะปรับตัวอาศัยอยู่ในพื้นที่หลากหลายใกล้กับมนุษย์ได้มากที่สุด
เช่น ตามริมแม่น้ำ ลำคลอง บ่อ ทะเลสาบ หรือกระทั่งตามชายฝั่ง
กินปลาเป็นหลัก แต่ก็สามารถกินปู สัตว์เลื้อยคลาน กระทั่งนกขนาดเล็ก
 
ทำรังด้วยการขุดโพรงตามขอบฝั่งปิดด้วยเศษหญ้า ดินเหนียว
วางไข่ครั้งละ 2-5 ใบ และนั่นก็เป็นเรื่องราวของการถ่ายภาพนกบิน
ที่สวนรถไฟของเรากับค่ายแคนนอนในวันนี้


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=11-2024&date=25&group=22&gblog=96
.




26

ละคร สุภาพบุรุษจุฑาเทพ ตอน คุณชายรณพีร์ 2556











































.

ละคร สุภาพบุรุษจุฑาเทพ ตอน คุณชายรณพีร์ 2556

คุณชายรณพีร์ (เจมส์ มาร์) บุตรชายคนสุดท้องซึ่งเกิดจากมารดาผู้เป็นหม่อมเอก กำลังเดือดร้อนใจเมื่อหม่อมย่าเอียดยื่นคำขาดว่าจะต้องแต่งงานกับ ม.ล.วิไลรัมภา (เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา) เท่านั้น เพราะไม่อยากให้หลานชายที่เนื้อหอมหว่านเสน่ห์สาวจนทั่วเมืองอย่างที่เป็นอยู่ และเพื่อให้บรรลุพระประสงค์ของหม่อมเจ้าวิชชากรที่ต้องการสะใภ้เทวพรหมสักคนหนึ่ง แต่รณพีร์ไม่ยอมง่าย ๆ เพราะคิดเสมอว่าพี่ชายทุกคนพบรักแท้โดยหลีกเลี่ยงการคลุมถุงชนได้ เขาเองก็ต้องการที่จะตามหารักแท้ให้กับหัวใจเหมือนกัน

และแล้ววาสนาโชคชะตาก็นำพาให้ เพียงขวัญ (ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง) ดาราสาวตกลงมาสู่อ้อมกอดของ ม.ร.ว.รณพีร์ หนุ่มนักบินผู้สูงศักดิ์ จากอุบัติเหตุกองถ่ายทำภาพยนตร์ รักแรกพบจึงเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน รณพีร์ตกหลุมรักเพียงขวัญทันที แต่ในที่สุดเธอก็คือคนเดียวกันกับดาราดาวรุ่งที่มีข่าวฉาวกับ ยอดยศ (เมธัส รัตนวารีสิน) เพื่อนรัก ยอดยศกำลังคลั่งไคล้จนถึงกับตีจาก พิมพรรณ (ณิชชาพัณณ์ ชุณหะวงศ์วสุ) คู่หมั้นที่เธอกำลังจะแต่งงานด้วยอย่างไม่ยุติธรรม ทำให้ความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อดาราสาวเปลี่ยนเป็นเดียดฉันท์ทันที

ถึงแม้เพียงขวัญจะขอบคุณที่เขาเข้ามาช่วยชีวิตไว้ได้ทันเวลา ที่เครื่องชักรอกขาดผึงลงมา แต่ก็ทำใจไม่ได้ที่เห็นแววตาเยาะหยันและคำพูดถากถางของผู้ชายที่เพิ่งช่วยชีวิตเธอเอาไว้ และยังบอกว่าเธอเป็นมือที่สาม ทำให้คนรักของยอดยศต้องเสียใจจากน้ำมือของเธอด้วย ความอดทนของเพียงขวัญสิ้นสุดและต่อว่ารณพีร์กลับไปอย่างไม่ไยดี และขอตัดสัมพันธ์กับยอดยศ ไม่ให้มาหาเธออีกเพราะเธอเองก็ไม่เคยคิดกับเขาเกินเพื่อนอยู่แล้ว ทำให้ยอดยศอกหักเมามายเพราะตัดใจจากเพียงขวัญไม่ได้ ทำให้รณพีร์คิดในแง่ดีกับเพียงขวัญ

รณพีร์กลับไปที่กองถ่าย พอดีได้ยิน เสี่ยเพ้ง (ศานติ สันติเวชชกุล) นายทุนสร้างหนังกำลังสั่งลูกน้องให้ฉุดเพียงขวัญ เพราะถูกใจเธอแต่เพียงเธอไม่เล่นด้วย รณพีร์จึงรีบนำเรื่องนี้ไปเตือนเพียงขวัญ แต่เธอกลับไม่เชื่อและทำท่ารังเกียจเขาจนออกนอกหน้า และยังมีนาย อัทธ์ (ฐากูร การทิพย์) หนุ่มหน้าตาดี มาตามรับส่งอีก ทำให้รณพีร์ผู้ที่ไม่เคยถูกผู้หญิงหมางเมินถึงกับอารมณ์เสียเพราะนึกไม่ถึงว่าเพียงขวัญจะไม่สนใจไยดีเขาถึงเพียงนี้ แต่เขากลับเป็นห่วงหญิงสาว จึงขับรถตามเธอไปห่าง ๆ ตลอดวันเพื่อดูสถานการณ์ แต่ก็พลาดจนได้เมื่อเจอกับวิไลรัมภาลากตัวไปที่อื่น และคลาดสายตาจนเพียงขวัญถูกจับตัวไป

รณพีร์ตามไปช่วยไว้ทัน ทำให้เพียงขวัญรู้สึกซาบซึ้งและเสียใจที่ไม่เชื่อเขาแต่แรก จนเกือบเสียท่าเสี่ยเพ้ง ทำให้สองคนเริ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่รณพีร์กลับปิดบังฐาดรศักดิ์ของตนเองด้วยการโกหกว่าเป็นลูกชาวสวน ยากจนมาจากบ้านนอก เพราะจะลองใจเพียงขวัญว่า ถ้าเขาเป็นเพียงนายทหารจน ๆ คนหนึ่ง ขับรถเก่า ๆ เพียงขวัญจะเลือกรักเขาหรือรักนายอัทธ์พ่อเลี้ยงเจ้าของปางไม้คนนั้นกันแน่ เขาจึงใช้ชื่อว่าพีร์ และหมั่นมาหาเพียงขวัญเสมอ

รณพีร์ทำความรู้จักกับครอบครัวของเธอจนสนิทสนมกันอย่างดีโดยมีอัทธ์คอยกันท่า เขาพยายามหาโอกาสบอกเรื่องฐานะที่แท้จริงของเขา เพราะเกรงว่าเพียงขวัญจะเข้าใจผิดว่าไม่จริงใจกับเธอ แต่ก็ไม่มีโอกาสสักครั้ง รณพีร์พบว่า นภา (ขวัญฤดี กลมกล่อม) แม่ของเพียงขวัญเป็นนางรำมากฝีมือ นภาเก็บเด็กวัยรุ่นเกเรและชายในสลัมแถวนั้นมาฝึกนาฏศิลป์ ครอบครัวของเพียงขวัญจึงมีคนอาศัยอยู่มากมาย รายได้จากการทำงานหนักของเพียงขวัญ หมดไปกับการเลี้ยงปากเลี้ยงท้องครอบครัวใหญ่ ที่มีสมาชิกเกือบสิบชีวิต ยังไม่นับรวมผู้กับ ชนะ (มนัสวิน นันทเสน) พี่ชายนภาที่ชอบทดลองเครื่องห้อยโหน จนสร้างความเสียหายให้กองถ่าย หนังถ่ายไม่เสร็จ แถมยังต้องจ่ายเงินเพิ่มให้เสี่ยเพ้งอยู่เนือง ๆ

นภาเมตตารณพีร์เพราะเชื่อใจว่าเป็นคนบ้านนอก นภาฝากฝังรณพีร์ให้ดูแลเพียงขวัญจากอัทธ์ และอดุลย์ (อนุวัฒน์ นิวาตวงศ์) พ่อเลี้ยงปางไม้จากภาคเหนือที่เริ่มมาติดพัน มาหาเอาข้าวของมาให้เพียงขวัญเสมอ ความสัมพันธ์ของเพียงขวัญและรณพีร์คืบหน้าไป เพราะประณต (ศศิเดช ศศิประภา) หลานชายเพียงขวัญลูกของบุหลัน อยากเป็นนักบินและชอบเครื่องบินมาก ประณตตามติดพี่พีร์ไม่ยอมห่าง นภาเองก็ใช้พีร์ให้ซ่อมบ้าน จนเหมือนเป็นลูกชายของครอบครัว

เมื่อเรื่องราวของทั้งสองคนรู้ถึงหูวิไลรัมภา หล่อนโกรธมาก พิมพรรณที่เป็นเพื่อนของวิไลรัมภารู้จากยอดยศว่า เพียงขวัญยังไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของรณพีร์ วิไลรัมภาโดยมี ไฉไล (ปาลิดา คุ้มวงศ์ดี) เพื่อนสาวอารมณ์ดีช่วยเหลือ ได้วางแผนทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ในงานเลี้ยงวันเกิดของหม่อมเอียด วิไลรัมภาว่าจ้างให้เพียงขวัญมารำอวยพรที่วังจุฑาเทพ เพียงขวัญถึงได้รู้ว่า พีร์ ผู้ชายที่เธอรัก เป็นคนเดียวกันกับ ม.ร.ว.รณพีร์ หนึ่งในห้าสิงห์แห่งจุฑาเทพที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทั้งเกียรติยศและทรัพย์สมบัติ เธอตัดสัมพันธ์กับรณพีร์ทันที ส่วนหม่อมเอียดก็มัดมือชกหาฤกษ์แต่งงานระหว่างวิไลรัมภากับเขา หม่อมเอียดไปหาเพียงขวัญเสนอเงินก้อนโตแลกกับการเลิกคบกับรณพีร์แต่เธอปฏิเสธ เมื่อรณพีร์มาหาอีกครั้งเธอจึงแสดงบทขับไล่ และบอกว่าจะแต่งงานกับอัทธ์ทำให้เขาเสียใจจนใกล้วันแต่งงานก็ยังไม่สนใจวิไลรัมภาเลย และยังเสนอตัวออกรบจนเกิดอุบัติเหตุ เพียงขวัญรู้ข่าวจึงมาดูแล หม่อมเอียดแสดงท่ารังเกียจแต่แล้วกลับรู้ความจริงว่าเพียงขวัญคือลูกสาวของพ่อเลี้ยงอดุลย์ ที่มีฐานะทางภาคเหนือ และอัทธ์คือพี่ชายต่างมารดา ดังนั้นเพียงขวัญจึงได้มาดูแลรณพีร์ที่วังจุฑาเทพ วิไลรัมภาคิดแผนการร้ายโดยวางยาหม่อมเอียด เพื่อป้ายความผิดให้เพียงขวัญ

เรื่องราวความรักของเพียงขวัญดาราสาวสวยและคุณชายรณพีร์ หนุ่มนักบินผู้สูงศักดิ์ จะจบลงอย่างไร ติดตามชมได้ใน ละครสุภาพบุรุษจุฑาเทพ ตอน คุณชายรณพีร์

.
บทประพันธ์โดย : แพรณัฐ
บทโทรทัศน์โดย : นันทวรรณ รุ่งวงศ์พานิชย์
กำกับการแสดงโดย : ฉัตรชัย เปล่งพานิช
ผลิตโดย : ค่าย เมตตาและมหานิยม
ดำเนินงานโดย : ฉัตรชัย เปล่งพานิช

นักแสดงหลัก
เจมส์ มาร์ เป็น เรืออากาศโท หม่อมราชวงศ์ รณพีร์ จุฑาเทพ
ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง เป็น เพียงขวัญ จันทร์ประดับ
สาวิตรี สุทธิชานนท์ เป็น จันทน์กะพ้อ
ฐากูร การทิพย์ เป็น พ่อเลี้ยงอัทธ์ เจิมสิริ
วรินทร ปัญหกาญจน์ เป็น หม่อมราชวงศ์ ธราธร จุฑาเทพ
รณิดา เตชสิทธิ์ เป็น หม่อมหลวงระวีรำไพ จุฑาเทพ
ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ เป็น หม่อมราชวงศ์ ปวรรุจ จุฑาเทพ
นิษฐา คูหาเปรมกิจ เป็น หม่อมเจ้าหญิง วรรณรสา จุฑาเทพ
จิรายุ ตั้งศรีสุข เป็น หม่อมราชวงศ์ พุฒิภัทร จุฑาเทพ
ราณี แคมเปน เป็น กรองแก้ว จุฑาเทพ
ธนิน มนูญศิลป์ เป็น หม่อมราชวงศ์ รัชชานนท์ จุฑาเทพ
ณฐพร เตมีรักษ์ เป็น สร้อยฟ้า จุฑาเทพ
เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา เป็น หม่อมหลวงวิไลรัมภา เทวพรหม
นักแสดงสมทบ
จารุวรรณ ปัญโญภาส เป็น หม่อมย่าเอียด
ดวงตา ตุงคะมณี เป็น ย่าอ่อน
เมธัส ตรีรัตนวารีสิน เป็น ยอดยศ ธงยศ
ณิชชาพัณณ์ ชุณหะวงศ์วสุ เป็น พิม
ดิลก ทองวัฒนา เป็น หม่อมราชวงศ์เทวพันธ์ เทวพรหม
อนุวัฒน์ นิวาตวงศ์ เป็น พ่อเลี้ยงอดุลย์
.

คุณชายรณพีร์ ละครโทรทัศน์ไทยเรื่องที่ 5 จากซีรีส์ สุภาพบุรุษจุฑาเทพ กำกับการแสดงโดย ฉัตรชัย เปล่งพานิช ซีรีส์พิเศษชุดนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลอง 43 ปีของ ช่อง 3 เป็นการรวม 5 ผู้จัดละครชื่อดังเพื่อสร้างละครพีเรียดเรื่องนี้ กล่าวถึงคุณชาย 5 สิงห์จุฑาเทพ: คุณชายธราธร คุณชายปวรรุจ คุณชายพุฒิภัทร คุณชายรัชชานนท์ ออกอากาศทาง ช่อง 3 ทุกวันศุกร์ถึงอาทิตย์เวลา 20.15 นาที เริ่มตอนแรกวันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน ทั้งสิ้น 11 ตอนนำแสดงโดย เจมส์ มาร์ และ ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง

.




27

https://www.facebook.com/watch/?v=495800239514746

สายย่อรอRecap : คุณชายรณพีร์
เมื่อคุณชายเจ้าเสน่ห์ พบรักกับซุปตาร์ตัวท็อป

https://www.facebook.com/share/v/1BtfK37Fr3/

.




28
สวนแต้จิ๋ว : นกแซวสวรรค์หัวดำ




หากจะถามว่าผมชอบนกอะไร
น่าจะเป็นกระเต็นด้วยสีสันที่งดงาม
แต่หากถามว่าอยากเห็นนกชนิดไหนมากที่สุดก็คงเป็น
นกแซวสวรรค์ด้วยชื่อที่งดงาม และมีหางที่ยาวมาก

ก่อนปี 2015 นกแซวสวรรค์สีน้ำตาลที่พบในประเทศไทย
เรียกว่า Asian paradise flycatcher ซึ่งต่อมาถูกแยกออกเป็น 3 ชนิด
คือ Indian, Amur และ Blyth paradise flycatcher

นกแซวสวรรค์ที่พบในไทยจึงเหลือเพียง 2 ชนิด 
Amur และ Blyth paradise flycatcher
โดยมีนกแซวสวรรค์อพยพที่มีโอกาสพบในไทยได้อีกชนิดหนึ่งคือ
นกแซวสวรรค์หางดำหรือ Japanese or black paradise flycatcher
 
แล้วจะดูอย่างไรว่าตัวนี้เป็น Amur หรือ Blyth
ในชื่อภาษาไทย Blyth ใช้ชื่อว่าว่า นกแซวสววรค์
ในขณะที่ Amur ใช้ชื่อว่า นกแซวสวรรค์หัวดำ
แปลว่า น่าจะใช้สีที่หัวแยกได้



กล่าวกันว่า Armur จะมีหัวสีดำตัดกับอกสีขาวค่อนข้างชัดเจน
ดังนั้นนกที่ได้มาน่าจะเป็น Blyth เพราะหัวสีดำดูกลืนไปกับอกสีเทา

แล้วโอกาสที่จะพบนั้น ใน e-Bird กล่าวว่า
นกอพยพผ่านชนิด Armur พบบ่อย แต่ Blyth พบไม่บ่อย
Amur เป็นนกอพยพมาจากจีนและรัสเซีย ไม่มีชนิดย่อย

Blyth นั้นมี 10 ชนิดย่อย พบได้ตั้งแต่จีนตอนใต้ เนปาล
อินเดียตะวันออกเฉียงเหนือ บังกลาเทศตะวันออก
หมู่เกาะนิโคบาร์ พม่า ไทย อินโดจีน คาบสมุทรมลายู
สุมาตรา เกาะ Nias เกาะบอร์เนียว ไปจนถึงซุนดราน้อย
 
ที่พบได้ในไทยคือชนิดย่อยประจำถิ่นอาศัยอยู่ตามป่า T. a. indochinensis
และนกที่เจอในสวนสาธารณะเป็นชนิดย่อยที่อยู่ทางเหนือ  T. a. saturatior
สถานะเป็นนกอพยพผ่าน

โดย Bird of Singpore ให้ข้อสังเกตไว้ว่า
ขนสีเทารอบคอที่ดูคล้ายกับปลอกคอนั้น
ถ้าเป็นชนิดย่อย indochinensis จะมีความเป็นวงกลมอย่างสมบูรณ์
ต่างจากชนิดย่อยทางเหนือ saturatior ที่ดูแหว่งเป็นขีด
 
คราวนี้มาที่นกตัวผู้และนกตัวเมีย
แยกจากกันโดย ตัวเมียจะมีหางที่สั้น
แต่ก็ยังมีโอกาสที่นกในภาพ จะเป็นนกอพยพปีแรก
ที่ยังไม่สามารถระบุเพศได้ สังเกตจากปากที่ยังไม่มีสีดำสนิท



ส่วนนกตัวผู้จะมีหางยาวราว 2-3 เท่า ของความยาวลำตัว
แต่สิ่งที่เหนือไปกว่านกตัวผู้หางยาว คือนกตัวผู้สีขาวนั่นเอง
ดังนั้นนกตัวผู้หางยาว จะมีทั้งชนิดสีน้ำตาล (rufous moph)
และชนิดสีขาว (white morph) ซึ่งสวยงามกว่า
 
จากการหาอ่านก็ยังไม่มีการอธิบายว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร
เรารู้เพียงว่า white morph มีจำนวนน้อยกว่า rufous moph
ซึ่งน่าจะมีการผิดปรกติอะไรสักอย่างในระดับพันธุกรรม
ชนิดที่พบ white moph มีตั้งแต่ African, Idian, Blyth และ Armur
 
นกแซวสวรรค์บางตัวที่ผลัดขนแล้วกลายเป็นสีขาว
ที่เตะตาดึงดูดให้นักล่าเข้ามาจับกินโดยง่าย
ในทางวิวัฒนาการถือเป็นข้อด้อย ดังนั้นมันควรจะสูญพันธุ์ไป
แต่ทำไมพวกมันถึงอยู่รอดมาได้

นั่นน่าจะมีเหตุผลเดียว คือนกสีขาวนั้นสวยกว่า
จึงทำให้มีอัตราการผสมพันธุ์สำเร็จสูงกว่านกสีน้ำตาล
จนสามารถส่งต่อพันธุกรรมที่ผิดปรกตินี้ต่อกันมาได้
 
นกแซวสวรรค์สีขาวเป็นหนึ่งในภาพที่คนถ่ายนกอยากจะได้
ครั้งหนึ่งมันเคยมาลงที่ อวทช. เสียดายที่ผมขี้เกียจไป
ล่าสุดปี 2567 ก็มีคนรายงานพบครั้งหนึ่งที่วัดเทียนถวาย
น่าเสียดายตัวนี้ไปเร็วมาก ขนาดคนในพื้นที่ยังไม่ทันเลย


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=11-2024&date=18&group=22&gblog=97
.




29
สวนแต้จิ๋ว : นกจับแมลงหัวเทา




นกจับแมลงที่ผ่านตาใน facebook น่าจะมีอยู่ราวเสิบกว่าชนิด
และสถานที่ที่มีคนพบหลากหลายชนิดที่สุดน่าจะเป็นที่นี่ สวนแต้จิ๋ว
 
เหตุผลที่ผมคิดได้ คือที่นี่ไม่ได้เป็นสวนสาธารณะ
ที่มีการตัดแต่งต้นไม้ให้สวยงามแบบสวนสาธารณะอื่นๆ
ที่นี่จะรกๆ มีต้นไม้ธรรมชาติที่นกสามารถหากินได้
แต่ก็แลกมากับการถ่ายภาพที่ยาก โฟกัสชอบติดมาแต่ใบไม้
 
นกจับแมลงหัวเทา (grey-head canary-flycatcher)
เป็นนกที่มีขนาดเล็กมาก ขนาดของตัวอยู่ที่ 12 เซนติเมตร
มีหัวและอกสีเทามีหงอนสั้น ๆ บริเวณท้ายทอย หลังและปีกสีเหลือง
ท้องสีเหลือง หางสีเหลือง แข้งและตีนสีเหลืองส้ม

ตัวผู้และตัวเมียไม่มีความแตกต่างกัน
สามารถพบได้ตามสวนสาธารณะโดยจะบินโฉบจับแมลง
นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมหากินรวมกลุ่มกับนกชนิดอื่นบิน
ในกรุงเทพมีสถานะ นกอพยพผ่าน พบบ่อย

เป็นนกจับแมลงชนิดที่ 3 ที่ผมถ่ายภาพได้
แม้มันจะมีพฤติกรรมที่ทำให้คนตั้งชื่อมันว่า นกจับแมลง
แต่ในทางพันธุกรรม กลับพบว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับนกจับแมลงเลย

นกจับแมลงหัวเทาอยู่ในวงศ์  Stenostiridae ซึ่งเป็น clade ที่ตั้งขึ้นใหม่
 โดยแยกสกุล Culicicapa ออกมาจากนกจับแมลงโลกเก่าวงศ์ Muscicapidae
โดยนำนกอีแพรดท้องเหลือง (Yellow-bellied Fairy-fantail)
ซึ่งก็พบในประเทศไทย บริเวณดอยอินทนนท์มารวมอยู่ในวงศ์นี้ด้วย



มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Culicicapa ceylonensis
ในภาษาละติน culicis แปลว่า ริ้น และ capere แปลว่า จับ
รวมกันแล้วหมายถึง นกจับริ้น เพราะนกชนิดนี้ชอบบิน
ออกไปโฉบจับแมลงตัวเล็กๆ ที่บินผ่านไปมา เช่น ริ้น เป็นต้น
โดยพบครั้งแรกที่ศรีลังกา จึงได้ชื่อชนิดว่า ceylonensis

นกจับแมลงหัวเทามี 5 ชนิดย่อย กระจายตัวตั้งแต่ปากีสถาน อินเดีย
ศรีลังกา อินโดจีนรวมถึงจีนตอนใต้ คาบสมุทรมาเลย์ ไปจนถึงอินโดนีเซีย
ในประเทศไทยพบ 2 ชนิดย่อย คือ

นกจับแมลงหัวเทาพันธุ์หนือ (C. c. calochrysea)
เป็นนกประจำถิ่นสามารถพบได้ในภาคเหนือ
และภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้านตะวันตกเฉียงเหนือของไทย
ส่วนนกที่อาศัยอยู่ในจีนตอนใต้ ในช่วงฤดูหนาวจะอพยพมาที่
ภาคกลาง ภาคตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก

นกจับแมลงหัวเทาพันธุ์ใต้ (C. c. antioxantha) ชนิดนี้มีหัว
และอกสีเทาคล้ำกว่า ลำตัวส่วนบนสีเขียวมะกอกหม่นกว่า
และลำตัวส่วนล่างสีเหลืองอ่อนกว่า
เป็นนกประจำถิ่นพบในภาคตะวันตก และภาคใต้ทุกจังหวัด ยกเว้นปัตตานี

นกจับแมลงหัวเทา มีเพื่อนร่วมสกุลอีกเพียง 1 ชนิดเท่านั้นคือ
Citrine canary-flycatcher (Culicicapa helianthea)
ซึ่งนกชนิดนี้คล้ายกันแต่จะมีสีเหลืองทั้งตัว
พบเฉพาะที่ฟิลิปปินส์และเกาะสุลาเวสีของอินโดนีเซียเท่านั้น


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=11-2024&date=14&group=22&gblog=98
.




30
สวนแต้จิ๋ว : นกขมิ้นน้อยธรรมดา นกขมิ้นท้ายทอยดำ




ครั้งแรกที่ผมมาเดินสวนแห่งนี้ ได้นกดีๆ มาตัวเดียวคือ
นกขมิ้นน้อยธรรมดาตรงต้นไม้ครึ้มๆ หน้าทางเข้าสวน
ผมก็กลับไปบ่นในกลุ่มว่า ทำไม่เจอนกดีๆ เลย
คำตอบคือต้องเดินเข้าไปที่รกๆ หมายความว่า
 
คนดูนกนอกจากต้องระวังหมา ระวังงู
ยังต้องกลัวสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติเพิ่มอีก
 
นกขมิ้นน้อยธรรมดา (common iora) เคยถูกเขียนถึงก่อนหน้า
ในบล็อกเรื่องนกอีวาบตั๊กแตนในฐานะเป็นหนึ่งในนก
ที่ถูกนกปรสิตแอบเข้ามาวางไข่เพื่อหลอกให้เลี้ยงลูกแทน
 
เป็นนกสามัญที่พบได้ทั่วไปตามสวนสาธารณะ ไร่นาเรือกสวน
แบ่งออกเป็นหลายสิบสายพันธุ์ย่อย กระจายตัวตั้งแต่
อินเดีย ศรีลังกา พม่า ไทย อินโดจีน มาเลย์ สิงคโปร์
สุมาตรา ชวา บอร์เนียว ปาลาวัน แต่ไม่ถึงเกาะมินโดโร



ที่สวนแห่งนี้ยังได้พบนกใหม่อีกชนิดหนึ่งคือ
นกขมิ้นท้ายทอยดำ (black-naped oriole)
คนไทยเรียกนกขมิ้นเหมือนกัน เพราะมีสีเหลือง 
แต่ว่าในทางชีววิทยามันอยู่กันคนละอนุกรมวิธาน
 
โดยนกขมิ้นน้อยธรรมดาอยู่ในวงศ์ Aegithinidae
ส่วนนกขมิ้นท้ายทอยดำอยู่ในวงศ์ Oriolidae
มีขนาดใหญ่กว่านกขมิ้นน้อยธรรมดา
และมีแถบดำคาดตาไปจนถึงท้ายทอย มองดูเหมือนจอมโจรโซโล
 
นกวงศ์นี้มีวิวัฒนาการระหว่างนกแซงแซงแซวกับอีกา
แต่ยังมีลักษณะหนึ่งร่วมกันกับนกขมิ้นน้อยธรรมดา
คือลูกนกที่อยู่ในวันเด็กนั้นจะมีขีดสีดำใต้ท้องเหมือนกัน
 
มักจะชอบไปทำรังใกล้กับนกที่ก้าวร้าวอย่าง นกอีเสือหรือแซงแซว
เพื่อให้ช่วยไล่ศัตรู และเป็นนกที่จับคู่เดียวกันไปตลอดชีวิต
กินผลไม้เป็นหลัก แต่บางครั้งก็จับแมลงกินบ้าง
 
กระจายตัวอย่างกว้างขวางตั้งแต่ อินเดีย จีน เกาหลี
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงหมู่เกาะต่างๆ
ยกเว้นเกาะบอร์เนียว ที่แทบไม่พบรายงาน



พบครั้งแรกที่เกาะลูซอน ตั้งชื่อเป็นชนิดหลักคือ
Oriolus chinensis chinensis แบ่งออกเป็น 20 ชนิดย่อย
โดยในบ้านเรากล่าวกันว่ามีทั้งที่นกประจำถิ่น
ซึ่งน่าจะเป็น O.c. maculates หรือขมิ้นท้ายทอยดำซุนดรา
ที่กระจายตัวอยู่ตั้งแต่ไทย คาบสมุทรมาลายา สุมาตรา และชวา
 
ส่วนชนิดที่พบได้ง่ายกว่า คือ O.c. diffuses โดยอพยพลงมา
จากจีนตอนเหนือ เกาหลี หรืออาจจะรวมถึงไซบีเรียตอนใต้
คำถามคือ เราจะแยกนกสองชนิดย่อยนี้ออกจากกันได้อย่างไร
คำตอบคือ น่าจะต้องอาศัยเวลาที่พบ คือถ้าเห็นในช่วงหน้าฝน
คุณก็น่าจะเป็นผู้โชคดีที่เจอนกขมิ้นท้ายทอยดำชนิดประจำถิ่น
 
เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อน เอย ค่ำแล้วจะนอน ที่ตรงไหน
จะนอนไหน ก็นอนได้ สุมทุมพุ่มไม้ก็เคยนอน
ลมพระพาย ชายพัดมาอ่อน ๆ เจ้าเคยจร มานอนรังเอย
 
         สวัสดีวันจันทร์ สีเหลือง


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=11-2024&date=11&group=22&gblog=99
.




Pages: 1 2 [3] 4 5 ... 10
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.051 seconds with 16 queries.