Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 14:01:09

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,290 Posts in 13,862 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Recent Posts

Recent Posts

Pages: 1 [2] 3 4 ... 10
11

๑๐

​หม่อมราชวงศ์กีรติดำเนินเรื่องต่อไป.

“คำวิงวอนปลอบโยนของท่านพ่อเป็นเหตุหนึ่งที่น้อมใจให้ฉันรับพิจารณา ความประสงค์ของท่านเจ้าคุณด้วยคลายความขมขื่นลงมาก ฉันรู้ว่า ถ้าฉันปฏิเสธจะทำให้ท่านผิดหวังและเสียพระทัยมาก แต่นั่นมิใช่เหตุสำคัญ. เหตุผลข้อใหญ่เกิดแต่ความพอใจของฉันเอง. ฉันต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกอันแคบมาเป็นเวลาถึง ๓๔ ปีเต็ม ฉันทั้งเบื่อหน่ายและเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวเต็มที. แต่นกน้อยเมื่อปีกแข็งยังสละรัง เที่ยวโบยบินไปชมโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล ก็ฉันเป็นคน และเติบโตเต็มที่จนจะคล้อยไปในทางร่วงโรยอยู่แล้ว เหตุใดจะมาจับเจ่าเฝ้าอยู่แต่แห่งเดียว. ฉันต้องการติดต่อคุ้นเคยกับโลกภายนอก ต้องการความเปลี่ยนแปลงในชีวิต ต้องการประกอบกิจวัตรที่ผิดแผกแตกต่างไปจากที่ฉันได้ทำมาแล้วตลอดเวลา ๓๔ ปีบ้าง. ไม่มีอะไรจะช่วยให้ฉันบรรลุความต้องการเหล่านี้ได้ นอกจากการแต่งงาน. ฉันอาภัพถึงที่สุดแล้วที่เกิดมาไร้ความรัก แต่แม้เช่นนั้นก็เป็นการฉลาดหรือที่ฉันจะปิดตา ปิดความ​รู้สึกเสียจากสิ่งอื่น ๆ ซึ่งฉันอาจที่จะบันเทิงชีวิตได้ตามส่วน.

“เมื่อเจ้าคุณเป็นคนดี ฉันขาดทุนอะไรเล่าในการที่จะแต่งงานกับท่าน ท่านแก่เกินไปที่ฉันจะแต่งงานด้วย นั่นก็เป็นความจริง แต่ฉันคอยใครอยู่เล่า ฉันอาจจะคอยคน ๆ หนึ่ง แต่คนนั้นคือใคร? ฉันจะพบเขาได้ที่ไหน? ความจริงเขาอาจจะยังไม่มาเกิด หรือเพิ่งตายไปเมื่อเร็ว ๆ นี้เองก็ได้. ในเวลานั้น ความต้องการของฉันมีมากในของจริง. ฉันตกลงปลงใจแต่งงานกับท่านเจ้าคุณ ก็เพราะว่ามันเป็นของจริง. ฉันได้บรรลุความต้องการหลายอย่าง ฉันชื่นชมสมใจที่ได้รู้จักและค่อยคุ้นเคยกับความแปลกใหม่ในโลกอีกแห่งหนึ่ง. ฉันก็มีความผาสุกตามสมควร แม้ถึงว่าจะไร้ความรัก.”

หม่อมราชวงศ์กีรติขยับตัวนั่งตรง ถอนใจใหญ่ พลางเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดที่นัยน์ตา.

“นพพร, ฉันรู้สึกเหมือนหนึ่งว่าฉันเล่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ให้เธอฟัง ในขณะที่ฉันนอนหลับแล้วฝันไป. ฉันอาจจะได้พูดเพ้อเจ้ออะไรออกไปบ้าง ฉะนั้นฉันขอจบการบรรยายของฉันเสียที.”

“ผมตื่นเต้นติดใจเรื่องราวของคุณหญิงอย่างที่สุด. ดูเป็นเรื่องธรรมดาสามัญก็จริง แต่ผมก็ฟังอย่างลืมตัว. ขออนุญาตให้ผมซักถามต่อไปอีกหน่อย คุณหญิงไม่คิดบ้างหรือว่า ในวันหนึ่งคุณหญิงอาจจะรักท่านเจ้าคุณได้.”

“ดูเหมือนฉันได้ตอบเธอครั้งหนึ่งแล้วว่า ฉันไม่มีทางจะรักท่านได้. ท่านดีจริงดอก แต่เราจะเอาอะไรกับคนแก่. ท่านต้องการกินอิ่มนอนหลับและสนุกสบายไปตามทางของท่าน. วันเวลาของท่านเหลือน้อยเกินไปที่ท่านจะสร้างอุดมทัศนีย์อะไรขึ้นในชีวิต ท่านไม่สนใจในแสงเดือนหรือทะเลสาบ ตลอดจนคำเกี้ยวพาราสี ท่านไม่มีความคิดคำนึง ใฝ่ฝัน​ในสิ่งที่สวยงาม. ท่านไม่มีอนาคต ท่านมีแต่อดีตและปัจจุบัน เธอหวังจะให้ความรักเกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า. ต้นกุหลาบไม่งอกแม้กระทั่งบนถนนซีเมนต์ดอกเธอ.”

“ความผาสุกที่ไร้ความรักนั้น จะไม่ดูแห้งแล้งเกินไปดอกหรือ?”

“นพพร, เธออย่าผูกมัดฉันด้วยคำถามมากมายนัก ฉันจะหายใจไม่ออก. จงให้เสรีภาพแก่ฉันบ้าง.”

เธอสบตาข้าพเจ้า ยิ้มอย่างอ่อนหวานละมุนละไม แววเศร้าในดวงตาจางหายไปแล้วมีประกายแจ่มใสร่าเริงมาแทนที่ เธอหยิบกระจกส่องดูหน้า ใช้เวลาแต่งหน้าและผมครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าก็พิศดูเธอด้วยความวาบหวามใจ.

“คุณหญิงเป็นสุขมากไหม วันนี้?” ข้าพเจ้าตั้งคำถามเธอด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย.

เธอพยักหน้าอย่างแช่มช้อยแทนคำตอบ และหางตาของเธอที่ชายชำเลืองมานั้นประกอบด้วยพิษสงเหลือประมาณ เพิ่มความวาบหวามใจยิ่งขึ้น.

“เป็นเวลาบ่ายมากแล้ว, นพพร. เราเตรียมตัวเดินทางกลับกันเถิด” เธอชักเท้าขยับตัวจะลุกขึ้น “โอ, ขาแข็งชาไปหมด เพราะนั่งอยู่นานเกินไป ฉันคงแทบจะเดินลงไปไม่ไหว.”

“ผมจะอุ้มคุณหญิงลงไปเอง”

ข้าพเจ้าลุกขึ้น และเข้าประคับประคองเธอช่วยพยุงให้ยืน. เธอปฏิเสธความช่วยเหลือของข้าพเจ้าด้วยเสียงเบา แต่ข้าพเจ้าไม่นำพา. เมื่อหม่อมราชวงศ์กีรติยืนทรงตัวได้เรียบร้อย ข้าพเจ้ายังคงกุมแขนของเธอไว้ และยืนแทบประชิดติดตัวเธอ.

“คุณหญิงเป็นสุขมากไหม?”

​“มองจากที่นี่ไปที่ลำธารเบื้องล่าง ฉันรู้สึกว่าเราขึ้นมาสูงมาก ฉันยังสงสัยว่าจะมีแรงเดินลงไปได้อย่างไร.”

ข้าพเจ้าขยับตัวให้ประชิดเธอเข้าไปอีก จนอกทั้งสองแทบจะแนบกัน หม่อมราชวงศ์กีรติเอนกายไปข้างหลังพิงต้นซีดาร์. ข้าพเจ้าทราบได้ว่าเราหายใจแรงทั้งสองคน.

“ฉันสเกตช์รูปไว้ได้สองรูป เมื่อตอนเที่ยวเล่นอยู่ข้างล่าง.”

“ผมเป็นสุขเหลือเกินเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับคุณหญิงเช่นนี้.”

“นี่เมื่อไหร่เธอจะปล่อยฉัน เราจะได้ช่วยกันเก็บข้าวของ.”

“ผมยังไม่อยากจะออกห่างจากคุณหญิง.”

ข้าพเจ้าประคองร่างเธอให้เข้ามาชิดสนิทกายข้าพเจ้า.

“นพพร. เธออย่ามองฉันด้วยแววตาเช่นนั้นซิ.” เสียงของเธอเริ่มสั่น “ปล่อยฉันเสีย ฉันแข็งแรงพอที่จะทรงตัวเองได้แล้ว.”

หน้าของข้าพเจ้าซบลงที่พวงแก้มสีชมพูอ่อนของเธอ ไม่มีอำนาจอะไรในตัวข้าพเจ้าเหลืออยู่ที่จะควบคุมยับยั้งไว้ได้. ข้าพเจ้าประคองกอดเธอไว้แนบกาย และจุมพิตเธอด้วยสุดแสนเสน่หา. ข้าพเจ้าหมดสติ หมดความรู้สึกไปชั่วขณะหนึ่ง.

หม่อมราชวงศ์กีรติปลดมือข้าพเจ้าออก และค่อยดันให้ถอยห่างออกไป. ข้าพเจ้ายอมโดยดี ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นลูกแกะอย่างรวดเร็ว. หม่อมราชวงศ์กีรติพิงต้นไม้หอบดุจเดินทางไกลมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย. สีชมพูเรื่อที่ดวงหน้าเข้มขึ้นดังถูกแผดเผาด้วยความเร่าร้อนจัด.

“นพพร. เธอไม่รู้ว่าเธอได้ทำอะไรลงไป” เสียงของเธอยังคงสั่นอยู่.

“ผมรู้ว่าผมรักคุณหญิง.”

​“เป็นการสมควรหรือที่เธอจะแสดงความรักของเธอต่อฉันโดยวิธีเช่นนี้.”

“ผมไม่ทราบว่าเป็นการสมควรหรือไม่ แต่ความรักมีอำนาจเหนือผม ความรักรัดรึงใจผมอย่างที่สุด ทำให้ผมหมดสติ.”

หม่อมราชวงศ์กีรติมองข้าพเจ้าด้วยแววตาโศก.

“เธอแสดงความรักของเธอในเวลาที่ไร้สติ? เธอไม่รู้หรือว่าไม่มีการกระทำอะไรที่เราจะต้องเสียใจในภายหลังเท่าการที่เราได้กระทำไปในเวลาที่ไร้สติ.”

“แต่ผมรู้แน่ว่า ผมรักคุณหญิงด้วยความซื่อสัตย์สุจริต.”

“การแสดงความรักในเวลาที่ไร้สตินั้นจะมีความหมายอะไรเล่า”

​“ผมรักคุณหญิงด้วยชีวิตจิตใจของผมอย่างเที่ยงแท้. การที่ผมได้กระทำไปแล้วย่อมตราตรึงอยู่ในดวงใจของผม.”

“เธอคิดว่าเป็นกำไรแก่ชีวิตหรือ ถ้ามันได้ตราตรึงอยู่ในใจจริงเช่นนั้น.”

“ในความรัก คนเรายังมีแก่ใจคิดถึงต้นทุนกำไรอีกหรือ?”

“เธออาจไม่คิด และฉันอาจไม่คิด แต่ความรักอาจจะคิดเอากับเราได้” หม่อมราชวงศ์กีรติกล่าวต่อไปว่า “เธอไม่ได้คิดดอกหรือว่าฉันอยู่ในฐานะเช่นไร และเธออยู่ในฐานะเช่นไร.”

“ผมคิดมากทีเดียวในเรื่องนี้.”

“และเธอก็ยังประพฤติกับฉันดังเมื่อตะกี้นี้. เธอรู้ไหมว่าเธอได้กระทำไปอย่างไร้เหตุผล และไร้สติด้วยตามที่เธอได้รับกับฉันแล้ว.”

ข้าพเจ้ายืนคอตก สองมือกอดอก.

“ผมรู้สึกอัดอั้นตันใจอย่างที่สุด ผมไม่รู้ว่าจะตอบคุณหญิงได้อย่างไร จึงจะทำให้ผมอยู่ในที่อันถูกต้องได้. ผมรู้แน่แต่ว่าความรักมีอำนาจเหนือผม. ถึงแม้การที่ผมได้กระทำไปจะผิดต่อศีลธรรมจรรยาก็จริง แต่ผมก็อยู่ในบังคับของกฎธรรมชาติ ผมได้พยายามจะหลบ แต่ผมหลบออกมาไม่ได้ ในยามที่ได้มาเผชิญหน้ากับความรัก และเป็นการเผชิญอย่างจนตรอก ผมขอร้องคุณหญิง โปรดอย่าเอาเหตุผลมาพูดกัน โปรดอย่าเอาศีลธรรมจรรยามาพูดกัน ผมไม่มีทางจะโต้ตอบ. สิ่งเหล่านี้ได้สร้างขึ้นภายหลังกฎธรรมชาติ และเราอยู่ในบังคับของกฎธรรมชาติด้วยกันทุกคน.”

“นพพร, ถ้าเราทั้งสองจะดำรงชีวิตอยู่แต่บนยอดเขามิตาเกะนี้ตลอดไปจนชั่วชีวิตหาไม่ คำพูดของเธอก็เป็นการถูกต้องทุกอย่าง แต่ความจริง อีกประเดี๋ยวเราก็จะลงไปจากเขาลูกนี้ ไปเผชิญหน้ากับ​ฝูงชน. แล้วในไม่ช้าเธอก็จะต้องไปสนใจกับการศึกษาเล่าเรียนของเธอ และกะโครงการอันเต็มไปด้วยความมุ่งหมายสูงในชีวิตภายภาคหน้าของเธอ. ส่วนฉันก็มีหน้าที่จะต้องภักดีต่อท่านเจ้าคุณ จะต้องติดตามไปกับท่านในที่ทุกหนทุกแห่ง คอยปรนนิบัติรับใช้ท่านตามหน้าที่ของภรรยาที่ดี ตราบเท่าที่ท่านยังต้องการตัวฉัน และตราบเท่าที่ท่านยังไม่ละเลยหน้าที่ของท่านเอง เราทั้งสองจะต้องจากกันในไม่ช้า และต่างก็จะไปติดต่อสมาคมกับคนทั้งหลายที่เคร่งครัดในเหตุผลและศีลธรรมจรรยา. นี่แหละเธอจะไม่ให้ฉันยกเอาสิ่งเหล่านี้มาพูดกับเธอได้อย่างไร. เธอเชื่อหรือว่า สมาคมมนุษย์จะรับรองกฎธรรมชาติที่เธอยกขึ้นกล่าวแก้. นพพร, โปรดเชื่อฉัน เธอต้องเพียรเผชิญกับของจริง. ของจริงเท่านั้นที่เป็นคำพิพากษาโชคชะตาในชีวิตของเรา. กฎเกณฑ์และอุดมทัศนีย์อาจงามกว่า แต่ก็มักจะไร้ค่าในทางปฏิบัติ.”

ข้าพเจ้ารู้สึกว่ากำลังมาเผชิญหน้ากับสตรีที่ใจเย็นและแสนฉลาดปราดเปรื่อง จนข้าพเจ้าไม่มีทางจะตามทัน. เธอควรจะเป็นสตรีในประวัติศาสตร์ มิใช่หม่อมราชวงศ์กีรติ ซึ่งเป็นแต่สตรีธรรมดาสามัญคนหนึ่งในปัจจุบันนี้.

“ผมเสียใจมากถ้าผมได้ทำให้คุณหญิงไม่พอใจ” ข้าพเจ้าพูดเบา ๆ ข้าพเจ้าไม่มีทางใดจะพูดได้ดีไปกว่านี้.

“เธอทำให้ฉันอัดอั้นตันใจ.”

“โปรดตอบสักคำ คุณหญิงเชื่อถือในความรักของผมหรือไม่?”

“ฉันเชื่อเธอ. คนดี.”

“คุณหญิงติเตียนการกระทำของผมอย่างรุนแรงหรือไม่?”

“ฉันบอกแล้วว่า เธอไม่รู้ว่าเธอได้กระทำอะไรลงไป. ต่อไปในวันข้างหน้า เธอจะพบคำตอบด้วยตนเอง และเธอคงจะเสียใจ.”

​“คุณหญิงเริ่มเกลียดชังผมบ้างหรือยัง?”

“ถ้าเธอไม่รื้อฟื้นการกระทำในวันนี้อีก ฉันจะรู้สึกเธอเป็นนพพรคนเก่า และคนเดียวตลอดชั่วชีวิตของฉัน.”

“ผมยังคงรักคุณหญิงต่อไปได้ ด้วยความรักดุจชีวิตจิตใจ?”

“นั่นเป็นสิทธิอันชอบธรรมของเธอ แต่เมื่อเวลาเนิ่นนานออกไป เธอก็จะค่อยสละสิทธิ์นั้นด้วยความพอใจของเธอเอง”

“ผมแน่ใจว่า ผมจะไม่คลายรักคุณหญิงเลย.”

“ในวัยเยาว์เช่นเธอ คนเรามีความเชื่อมั่นในตนเองมาก แต่เราจะต้องคอยการวินิจฉัยต่อไป. ฉันอำนวยพรแด่ความเชื่อมั่นของเธอ.”

“คุณหญิงจะตอบแทนความรักของคุณหญิงแก่ผมหรือไม่?”

หม่อมราชวงศ์กีรติก้าวเข้ามายืนแทบประชิดตัวข้าพเจ้า เอามือทั้งสองวางลงบนไหล่ข้าพเจ้า และพูดว่า “คนดีของฉัน. ฉันให้อภัยเธอแล้ว เราทั้งสองจงลืมเหตุการณ์ในวันนี้เสีย. เธอต้องกลับมาเป็นนพพรคนเก่า สนุกเบิกบานกับฉันต่อไป. จงรีบเก็บข้าวของ และเตรียมตัวเดินทางกลับเถิด. เจ้าคุณจะเป็นห่วงคอย ถ้าเรากลับบ้านผิดเวลามากไป.”

ข้าพเจ้ารู้สึกน้ำเสียงของเธอดังเสาวนีย์ของนางพญาผู้เลอศักดิ์ ข้าพเจ้าไม่มีความกล้าพอที่จะกล่าวทัดทาน.

เมื่อพูดประโยคสุดท้ายแล้ว หม่อมราชวงศ์กีรติไม่รีรอ ได้ลงมือเก็บข้าวของลงบรรจุหีบ. ข้าพเจ้ายืนกอดอก มองดูเธอเก็บของง่วนอยู่ครู่หนึ่ง จนเธอเตือนซ้ำเป็นครั้งที่สอง ข้าพเจ้าจึงได้ลงมือช่วยเหลือเธอ. ระหว่างเดินทางกลับ เธอได้ชวนข้าพเจ้าสนทนาถึงเรื่องราวต่าง ๆ เป็นปรกติ ประดุจหนึ่งว่าไม่ได้มีเหตุการณ์อันสำคัญที่สุดตราตรึงลงในชีวิตของเราทั้งสอง ณ เบื้องบนเขาลูกนั้น.

 


12



ภายหลังรับประทานอาหารกลางวัน และได้พักผ่อนครู่ใหญ่ ๆ แล้ว เราได้พากันออกเดินต่อไปตามทางใหญ่ที่ทอดไปตามไหล่เขาตัดสูงขึ้นไปเป็นลำดับ ไม่มีบ้านช่องอยู่ริมทาง. ไกลออกไปข้างหน้าเราบนยอดเนินสูง มีกระต๊อบปลูกอยู่ ๔-๕ หลัง แสดงว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่. เขาทำไร่เลี้ยงชีวิตอยู่กันที่นั่น และเขตแดนน้อย ๆ บนยอดเนินนั้นเป็นโลกของเขา. ตลอดทางที่เราเดินมา เราไม่พบนักท่องเที่ยวคนใดเลย จนกระทั่งบรรลุถึงปลายทางซึ่งนำเรามาอยู่บนยอดเนินสูงแห่งหนึ่ง. เราได้นั่งลงพักผ่อนภายใต้ร่มไม้ซีดาร์ ซึ่งแผ่กิ่งก้านแลสล้าง.

ข้าพเจ้าจะไม่บรรยายโดยละเอียดว่า เราได้ใช้เวลาของเราอย่างไรบ้างที่นั่น. ข้าพเจ้าจะบรรยายถึงการสนทนาตอนหนึ่ง ซึ่งเปิดเผยชีวิตความเป็นอยู่ทั้งมวลของหม่อมราชวงศ์กีรติให้เป็นที่แจ่มกระจ่างอย่างสิ้นเชิง. ข้าพเจ้าได้รื้อฟื้นปัญหาที่เราได้สนทนากันที่สวน ณ โฮเต็ลไกฮินมากล่าวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง.

​“ผมอยากทราบถึงเหตุผลที่คุณหญิงได้ใช้ประกอบการตัดสินใจในการแต่งงานกับท่านเจ้าคุณ”

“ดูเธอสนใจในปัญหาเรื่องการแต่งงานมาก. เธอกำลังตระเตรียมตัวเพื่อการนั้นหรือ?”

“หามิได้” ข้าพเจ้ารีบตอบโดยเร็ว “ผมมิได้คิดที่จะตระเตรียมอะไรเพื่อการแต่งงานของผมเองเลย. ทั้งผมก็มิได้สนใจในปัญหาเรื่องการแต่งงานโดยทั่วไป ผมสนใจแต่เฉพาะในเรื่องราวของคุณหญิงเท่านั้น.”

“ทำไมเธอจะต้องมาสนใจกับเรื่องราวส่วนตัวที่เป็นความในใจของฉันด้วยเล่า?”

“คุณหญิงไม่เคยพูดดอกหรือว่าคุณหญิงนับผมเป็นเพื่อนตายของคุณหญิงคนหนึ่ง ในจำนวนทั้งหมดซึ่งดูเหมือนจะมีคนเดียว.”

“แต่เธอจะรู้ไปทำไม” เธอพูดอย่างอ่อนใจ “ชีวิตของฉันเป็นชีวิตของคนที่อาภัพ เหตุผลในการแต่งงานของฉัน เป็นเหตุผลของสตรีที่อาภัพที่สุดในเรื่องความรัก. ไม่มีแบบอย่างดีพอที่เธอสมควรจะฟัง และมันอาจจะทำให้เธอเศร้า เสียดายหรือสมน้ำหน้าในความอาภัพของฉัน. ไม่มีเรื่องราวอะไรที่น่าสนุกเลย. เธอได้รู้จักฉันในชีวิตที่ฉันเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็เป็นการดีแล้ว และควรจะเพียงพอแล้ว เธอไม่ควรจะรู้จักชีวิตข้างหลังของฉันมากเกินไป เธออาจจะคลายความสุขเพราะเหตุนั้น.”

“ผมไม่ใช่คนขี้ขลาด อ่อนแอ. ยิ่งรู้ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความอาภัพของคุณหญิง ก็ยิ่งรู้สึกว่าจำเป็นจะต้องได้ฟัง.”

“นพพร, เธอออกจะพูดอะไรจริงจังเสมอในตอนหลัง ๆ นี้” เธอยิ้มอย่างมีความเอ็นดู “ฉันมักจะขัดขืนเธอไม่สำเร็จเลย.”

​“เขาแต่งงานไปก่อนฉันตั้ง ๗-๘ ปี เดี๋ยวนี้เขาอยู่กับสามีของเขา และมิใช่สามีแก่ - ด้วยความสุข และมิใช่ด้วยความสุขอย่างเดียว เขาอยู่กับสามีของเขาด้วยความสุขและด้วยความรัก.”

“น้องสาวของคุณหญิงสองคนก็ได้แต่งงานไปแล้วมิใช่หรือ?” ข้าพเจ้าลงมือดำเนินเรื่อง.

“เป็นที่น่าเสียใจมาก.”

“ที่น้องสาวของฉันมีความสุขและความรักกับสามีของเขา?”

“มิได้เลย, ผมยินดีด้วยมาก. ผมเสียใจในกรณีของคุณหญิง.”

“นี่เธอต้องการจะเป็นผู้ออกความเห็นให้ฉันฟัง หรือว่าต้องการจะฟังเรื่องราวจากปากคำของฉัน”

“ผมเตรียมตัวคอยฟังอยู่แล้ว.”

“เธอได้ทราบแล้วว่า ฉันแต่งงานกับท่านเจ้าคุณโดยปราศจากความรัก” หม่อมราชวงศ์กีรติเริ่มเรื่อง “สิ่งที่เธอปรารถนาจะทราบจากฉันเวลานี้ก็คือ ทำไมฉันจึงแต่งงานกับท่านทั้งที่ฉันไม่มีความรัก เพื่อที่เธอจะเข้าใจปัญหาข้อนี้อย่างแจ่มแจ้ง ฉันจำเป็นจะต้องให้ความสว่างแก่เธอในปัญหาที่สำคัญอีกข้อหนึ่งเสียก่อน คือปัญหาที่ว่า ทำไมฉันจึงแต่งงานต่อเมื่ออายุได้ล่วงเข้ามาถึง ๓๕ ปี เป็นวัยแก่เกินควรสำหรับผู้หญิงที่เข้าสู่พิธีวิวาห์เป็นครั้งแรก. เธอย่อมทราบแล้วว่า โดยทั่วไปผู้หญิงแต่งงานในระหว่างอายุ ๒๐ ถึง ๒๕ ปี. หรืออย่างล่าที่สุด หรืออย่างเลวที่สุดก็ตามทีก็มักจะไม่เกินหรือไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเกินกว่า ๓๐ ปี. แต่เหตุใดฉันจึงมาแต่งงานเมื่ออายุเหยียบ ๓๕ ปี เป็นวัยที่แก่เกินการ. เธอต้องไม่พยายามที่จะเข้าข้างฉัน โดยอ้างว่าฉันยังแลดูเป็นสาวพริ้งอยู่. เธอต้องยอมรับว่าเป็นวัยที่แก่เกินการจริง ๆ. จะด้วยเหตุใดก็ตาม เธอไม่เคยยกปัญหาข้อนี้ขึ้นถามฉันเลย เธออาจจะมองข้ามไปเสีย โดยเห็นว่าไม่เป็นปัญหาที่สลักสำคัญก็ได้ แต่ฉันเองรู้ดีว่ามันสำคัญ และสำคัญพอที่จะนับได้ว่าเป็นบ่อเกิดแห่งปัญหาต่อมา คือว่า​เหตุใดฉันจึงแต่งงานโดยปราศจากความรัก. ฉันจะให้คำตอบแก่เธอทั้งสองปัญหา เพื่อว่าเธอจะได้เข้าใจเรื่องราวของฉันอย่างแจ่มกระจ่าง ประดุจเธอได้แลดูท้องฟ้าในยามที่ไร้เมฆหมอก. ฉันต้องการจะดับความกระหายของเธอให้สิ้นสุดลงเสียที ฉันจะได้พ้นจากความรบกวนเร้าถามอีกต่อไป.”

หม่อมราชวงศ์กีรติหยุดมองจ้องตาข้าพเจ้า ซึ่งในขณะนั้นกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่แทบปลายเท้าของเธอ สดับตรับฟังคำพูดของเธอด้วยความสนใจ. เรานั่งอยู่บนผ้าดอกสี่เหลี่ยมผืนใหญ่ ซึ่งเราอาจจะทอดกายลงนอนเล่นก็ได้ แต่ว่าเรามิได้กระทำ. หม่อมราชวงศ์กีรตินั่งอิงหมอนพิงต้นซีดาร์.

“ผมอยากทราบจริง ๆ ว่าทำไมคุณหญิงจึงรั้งรอการแต่งงานมาจนถึงป่านนี้ ผมเขลาไปที่ไม่เคยถามปัญหาข้อนี้.”

“เธอเขลา เพราะว่าเธอมัวแต่มาคอยเยินยอว่าฉันยังสาวด้วยประการทั้งปวง” เธอพูดด้วยเสียงแกมเล่นแกมจริง “ฉันเพิ่งแต่งงาน แต่ก็มิใช่ว่าฉันรั้งรอการแต่งงาน. พูดเช่นนี้เธออาจจะนึกเดาเอาว่าในชีวิตสาว ๆ ของฉัน คงจะมีนิยายที่แปลกประหลาดเร้าใจ มีการผจญรักผจญโศก เจือปนอยู่มิใช่น้อย. ฉะนั้น เพื่อมิให้เธอเสียเวลาเดาวุ่นวายเกินไป ซึ่งเธอก็คงจะเดาผิดทั้งหมด ฉันขอบอกเธอล่วงหน้าไว้ว่า ชีวิตของฉันไม่มีการผจญรัก ผจญโศก ไม่มีการฟูมฟายน้ำตาหรือได้ขึ้นสวรรค์แล้วก็ได้ลงนรก หรือมีเรื่องน่าตื่นเต้นเร้าใจอะไรในทำนองนั้นเลย. ชีวิตของฉันอยู่ห่างไกลกับสิ่งเหล่านี้ ในชีวิตของฉันมีแต่เหตุการณ์ที่เป็นธรรมดาสามัญ และมันอาจจะเป็นธรรมดาสามัญเสียจนเกินไป จนทำให้เกิดความผิดหวัง จนทำให้ฉันกลายเป็นสตรีที่อาภัพที่สุดคนหนึ่งไปได้”

​“ผมไม่อยากจะขัด แต่ผมก็ยากที่จะเชื่อว่า ในชีวิตที่ประกอบไปด้วยปัญหาข้อสำคัญ ๆ เช่นชีวิตของคุณหญิงนี้ จะไม่มีเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดพิสดารแฝงอยู่สักอันหนึ่ง” ข้าพเจ้าอดกลั้นความสงสัยไว้ไม่ได้

“คนดีของฉัน เธอควรจะเลิกเรียนหนังสือ แล้วมีอาชีพทางหมอดู เพราะว่าเธอมักจะรู้เรื่องราวในชีวิตของฉันดีกว่าตัวของฉันเองเสมอ.”

หม่อมราชวงศ์กีรติดำเนินเรื่องต่อไป.

“วงชีวิตในวัยสาวของฉัน เป็นวงชีวิตที่แคบมาก ฉันไม่มีโอกาสที่จะร่าเริงบันเทิงใจในวัยรุ่นสาวของฉัน ดุจเดียวกับสตรีสาวที่เป็นคนธรรมดาสามัญทั่วไป. ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแยกตัวฉันออกจากท่าน​สุภาพสตรีเหล่านั้นดอก แต่ความจริงฉันได้ถูกแยก. ฉันไม่ได้เป็นเจ้าแต่ฉันก็เป็นลูกเจ้า. ท่านพ่อของฉันท่านเป็นเจ้านายแท้จริง. ในสมัยที่ยังไม่เปลี่ยนการปกครองบ้านเมืองนั้น เธอก็คงจะทราบแล้วว่า เจ้านายท่านเป็นเจ้านายกันจริง ๆ โดยมาก ท่านอยู่ของท่านต่างหากในโลกอีกโลกหนึ่ง. ท่านพ่อของฉันก็พยายามที่จะให้ตัวฉันและลูก ๆ ของท่านเป็นเจ้านายเช่นเดียวกับองค์ท่าน. ฉันได้เรียนหนังสืออย่างเป็นกิจจะลักษณะที่โรงเรียนตามสมควร. พอเข้าขีดจะเป็นสาว ท่านก็เก็บตัวฉันไว้ในโลกของท่าน ท่านป้องกันฉันจากการติดต่อกับโลกภายนอก. ฉันได้เรียนหนังสือต่อมากับแหม่มแก่ ๆ คนหนึ่งที่บ้านของเราหรือวังตามที่เรียกกันในเวลานั้น. ฉันได้เรียนรู้เรื่องราวจากโลกภายนอกบ้าง จากครูแหม่มของฉัน และจากแหม่มแก่นะเธอ.. ระหว่างครูแหม่มแก่ของฉันกับแม่เฒ่าชาวไทยของเรา ก็ดูไม่มีอะไรแตกต่างกันมากนัก. การสนทนาพาทีของแกก็มีแต่เรื่องคุณธรรมความดีแม่ศรีเรือนอะไรจำพวกนี้. เป็นบุญอยู่บ้างที่แกชักนำให้ฉันรู้จักว่า ในโลกนี้มีหนังสือจำพวกโว้กและแมคคอลส์ ซึ่งช่วยแนะทางรักษาความงาม ความเปล่งปลั่งของฉันไว้ได้ยั่งยืนนาน ดุจความสดชื่นยืนนานของดอกไฮแดรนเยีย.

“ฉันอยู่บ้านเรียนหนังสือจากครูแหม่มบ้าง บางทีท่านพ่อก็ส่งฉันไปอยู่ในรั้วในวัง รับใช้เจ้านายใหญ่โตองค์หญิงบางองค์ที่เป็นญาติของเรา. ฉันใช้ชีวิตในวัยสาวของฉันในทำนองนี้หลายปี. ฉันต้องอยู่ในโลกของเจ้านายนานพอ จนฉันแทบไม่มีโอกาสจะระลึกว่าความเป็นสาวนั้นมีค่าอย่างที่สุดสำหรับสตรีเพศเพียงใด และฉันควรจะใช้ความเป็นสาวเพื่อประโยชน์แก่ตัวของฉันเองอย่างไรบ้าง. ในเวลานั้น ดูเหมือนฉันไม่เคยตั้งปัญหาถามตัวเองว่า เป็นการถูกต้องหรือที่เราจะปกป้องกำบังความเป็นสาวสดชื่นของเราไว้เสียจากนัยน์ตาของคนภายนอก? ชีวิตได้​กำไรที่ตรงไหนเล่าในการกระทำเช่นนั้น? เป็นการฉลาดหรือที่ไม่เปิดเผยวัยงามที่สุดของเรา. ฉันไม่ใคร่จะได้คิดอะไรในเวลานั้น เพราะว่าเราไม่ได้ถูกอบรมให้เป็นคนช่างคิด เรามีทางที่เขากำหนดไว้ให้เดิน เราต้องเดินอยู่ในทางแคบ ๆ ตามจารีตประเพณีขนบธรรมเนียม.”

ถึงตอนนี้หม่อมราชวงศ์กีรติได้หยุดทอดระยะครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าจึงฉวยโอกาสพูดขึ้น.

“แต่คุณหญิงที่ผมรู้จักไม่เป็นอย่างนั้นเลย คุณหญิงเป็นคนช่างคิดช่างตรึกตรอง และเฉลียวฉลาดกว่าคนธรรมดาอย่างผมมาก.”

“ขออย่าพูดว่า ฉันฉลาดกว่าเธอหรือใคร ๆ เพียงแต่ฉันพอจะไปกับคนทั้งหลายได้ก็เป็นบุญของฉันอยู่แล้ว เหตุการณ์ในปีต่อ ๆ มา อนุเคราะห์ให้ฉันเป็นคนช่างคิด นอกจากนั้น ครูแหม่มมักหาหนังสือภาษาอังกฤษดี ๆ มาให้ฉันอ่าน เป็นการช่วยกระตุ้นใจให้ฉันกลายเป็นคนรักหนังสือ แล้วก็รักศิลปะ รักความสวยงามทุกชนิด แล้วก็กลายเป็นคนช่างตรึกตรอง, ฉันคิดว่าฉันมีอุปนิสัยในสิ่งเหล่านั้นอยู่แล้ว. อนึ่งการที่ฉันรักษาบำรุงความงามความเปล่งปลั่งของฉันในเวลานั้น ก็เพียงเพื่อความชื่นใจสำหรับตัวของฉันเท่านั้น. ฉันบอกแล้วว่า ฉันยังไม่มีความคิดว่าจะทำอย่างไรกับความเป็นสาวของฉัน เพื่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตัวของฉันเอง.”

“ในฐานะเช่นนั้น ผมเห็นใจคุณหญิงมาก” ข้าพเจ้าสอดขึ้นในระหว่างเรื่อง.

“แต่ว่าศิลปะได้ช่วยฉัน” เธอดำเนินเรื่องต่อไป “ฉันไม่มีเวลาที่จะใช้ไปในความคิดคำนึง และความเปล่าเปลี่ยวมากนัก ฉันมีงานทำเกือบตลอดทั้งวัน ฉันสนใจในการวาดภาพ และใช้เวลาฝึกฝนมากตามที่เธอทราบแล้ว ฉันมีความเพลิดเพลินไปในงานนั้น. นอกจากนั้นฉันมีงาน​ที่ต้องทำประจำวันอีกอย่างหนึ่ง คือการบำรุงรักษาความงามความเปล่งปลั่งของฉัน ให้คงอยู่นานที่สุดที่จะนานได้ ฉันต้องใช้เวลาวันหนึ่ง ๆ หลายชั่วโมงเป็นกิจวัตรประจำวันของฉัน.”

“แทบไม่น่าเชื่อ” ข้าพเจ้าอดสงสัยไม่ได้ “คุณหญิงต้องทำอะไรบ้างวันละหลาย ๆ ชั่วโมง และทุกวัน. ผัดแป้ง แต่งหน้า ทาปาก สัก ๑ ชั่วโมงก็ควรจะพอ.”

เธอยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความเบิกบาน.

“เรื่องจริง ๆ มันมีมากกว่าที่เธอคาดมาก. เธอไม่อาจจะเข้าใจเรื่องของผู้หญิงได้ทั้งหมด. นอกจากนั้น ฉันหวังว่าเธอจะไม่ด่วนลงความเห็นติเตียนว่า ฉันใช้เวลาวันละหลาย ๆ ชั่วโมงในทางที่ไร้ประโยชน์. เธอจงเห็นใจสตรีเพศ เราเกิดมาโดยเขากำหนดให้เป็นเครื่องประดับโลก ประโลมโลก และเพื่อที่จะทำหน้าที่นี้อย่างดีที่สุด เราจำต้องบำรุงรักษารูปโฉมของเราให้ทรงคุณค่าไว้. จริงอยู่ นี่มิใช่หน้าที่อันเดียวหรือ​ทั้งหมดของสตรีเพศ แต่เธอคงไม่ปฏิเสธว่ามันเป็นหน้าที่อันหนึ่งของเรา.”

“ผมไม่มีความเห็นแย้งเลยในข้อนี้ เพราะว่านอกเหนือจากความดี บุรุษแสวงความงามในสตรีเพศ.”

“ยิ่งกว่านั้น บางทีคุณความดีของสตรีก็ถูกมองข้ามเลยไป ถ้ามิได้อาศัยอยู่ในความงาม” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดเน้นคำ “ระหว่างเวลาที่น้องสาวคนเล็กของฉันได้แต่งงานไป แม้ว่าฉันจะคิดคำนึงใฝ่ฝันถึงความรักบ้าง ฉันก็มีชีวิตสดชื่นอยู่ด้วยความหวัง. จนกระทั่งอีก ๒ ปีต่อมา น้องสาวคนรองจากฉันได้แต่งงานไปอีกคนหนึ่งกับชายที่เธอรัก ในวาระนั้นแหละที่ฉันเริ่มรู้สึกว่า ฉันออกจะเป็นคนอาภัพ. ในเวลานั้นฉันมีอายุได้ ๒๙ ปี น้องสาวของฉันมีอายุ ๒๖ ปีเมื่อเธอแต่งงาน. การแต่งงานและความสุขที่น้องสาวของฉันได้รับ เสียดแทงความรู้สึกของฉันไม่น้อย. นพพรต้องเชื่อว่า ฉันมิได้อิจฉาน้อง. ฉันรักน้องสาวของฉันไม่น้อยกว่าตัวฉันเอง แต่ฉันรู้สึกอเนจอนาถในโชคชะตาของฉัน. ถึงตอนนี้ออกจะเป็นการยากลำบากที่ฉันจะกล่าวความรู้สึกอันจริงใจแก่เธอ เพราะดูว่าฉันจะเป็นคนโอ้อวด หรือคิดตะเกียกตะกายไปในทางที่น่าบัดสี เธอเชื่อว่าเธอจะเข้าใจฉันดีพอหรือ?”

“ผมเป็นเพื่อนตายของคุณหญิง ผมเห็นใจและเข้าใจคุณหญิงดีที่สุด.”

“เธอเชื่อมั่นในคุณธรรมของฉันหรือ?”

“ไม่มีที่สงสัยเลย”

“เธอแน่ใจหรือ?”

“แน่นิ่ง ไม่คลอนแคลนเลยแม้แต่นิดเดียว.”

“คำรับรองของเธอมั่นคงดังคำปฏิญาณ ดังนั้น ฉันจะบรรยายความรู้สึกของฉันต่อไปอย่างซื่อสัตย์จริงใจ” เธอทอดสายตาแลข้าม​ศีรษะข้าพเจ้าไป ดวงตาของเธอยังคงมีประกายก็จริง แต่มีแววเศร้าเข้ามาเจือปน. “เมื่อฉันมีอายุได้ ๒๙ ปี ฉันก็ยังสวยงามและดูเปล่งปลั่งสดชื่นกว่าน้องสาวของฉัน ฉันเป็นคนโชคดีที่เกิดมาสวย แต่ฉันเป็นคนโชคร้ายที่เกิดมาไร้ความรัก. และก็อาจเป็นเพราะความสวยนั่นเองที่ฉันได้ถูกปกป้อง กีดกัน จากการติดต่อกับโลกภายนอกยิ่งกว่าน้อง ๆ ฉันจะไม่รู้สึกตัวว่าฉันเป็นคนอาภัพอับโชคเลยถ้าฉันเกิดมาเป็นหญิงขี้เหร่ แต่พระผู้เป็นเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ก็ตาม เมื่อได้ประทานความสวยงามให้แก่ฉันแล้ว เหตุใดไม่เปิดทางให้แก่ฉัน เหตุใดไม่ประทานความรักให้แก่ฉัน เหตุใดมาทอดทิ้งความสวยงามของฉันไว้ในความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ความสวยงามซึ่งฉันสู้ทะนุถนอมบำรุงรักษาอย่างที่สตรีเป็นอันมากก็มิอาจระวังระไวเท่าฉัน.”

ถึงตอนนี้แววเศร้าปรากฏชัดขึ้นในดวงตาของเธอ.

“เมื่อน้องสาวสองคนมีเหย้ามีเรือนไปหมด ฉันก็รู้สึกความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวทวีขึ้น. แต่ว่าเมื่อได้พินิจพิจารณาดูความงาม ความสดชื่นของตัวเองในเวลานั้น ในวัย ๒๙ ปีนั้นแล้ว ฉันก็ยังมีความหวังอยู่ว่า ฉันจะได้พบความรักและได้แต่งงานกับชายที่ฉันรัก. นพพร, เธอต้องไม่คิดเห็นการแถลงความรู้สึกอย่างซื่อสัตย์ของฉันไปในทางน่าบัดสี. ความรักเป็นพรอันประเสริฐ เป็นยอดปรารถนาของชีวิต. ฉันก็เหมือนกับคนทั้งหลาย ย่อมปรารถนาใฝ่ฝันถึงความรักและการแต่งงาน. ฉันปรารถนาที่จะพูดถึงและรู้สึกด้วยตนเองในเรื่องราวของชีวิตในโลกใหม่ ดังที่น้องสาวสองคนได้มีโอกาสเช่นนั้น. ฉันปรารถนาที่จะมีบ้านของฉันเอง ที่จะติดต่อสมาคมกับโลกภายนอก ปรารถนาที่จะมีบุตรน้อย ๆ เพื่อที่ฉันจะได้หลั่งความเมตตาปรานีจากดวงใจของฉันให้แก่เขา. ฉันปรารถนาที่จะให้ตัก ให้แขนของฉันเป็นประโยชน์แก่คนอื่น. ยังมี​ความปรารถนาที่งดงามอีกหลายอย่างที่ฉันย่อมจะบรรลุได้ ถ้าเพียงแต่ฉันได้พบความรัก.

“การที่เกิดมาไร้ความรัก จนกระทั่งอายุลุถึง ๒๙ ปีนั้น ก็เป็นการเคราะห์ร้ายพออยู่แล้ว แต่ฉันเป็นคนเคราะห์ร้ายจนถึงที่สุดในเรื่องนี้. ความใฝ่ฝันของฉันไม่ได้เป็นของจริงขึ้นเลย ปีแล้วก็ปีเล่า ความหวังก็จืดจางโรยราไปเป็นลำดับ จนกระทั่งอายุล่วงไปถึง ๓๔ ปี เจ้าคุณอธิการบดีก็ผ่านเข้ามาในการพิจารณาของฉัน.

“เจ้าคุณกับท่านพ่อชอบพอคุ้นเคยกันมาก. ท่านพ่อเมื่อแก่ตัวลงท่านก็ไม่สู้มีความคิดความเห็นเคร่งเครียดอะไรนัก ฉะนั้น เมื่อเจ้าคุณแสดงความประสงค์จะขอแต่งงานกับลูกสาวคนโตของท่าน ซึ่งได้ตกค้างอยู่ในบ้านมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ท่านก็ยินดีที่จะอนุมัติให้เป็นไปตามประสงค์. ท่านเห็นด้วยความสุจริตใจของท่านว่า คำขอของเจ้าคุณเป็นโอกาสอันเดียวที่เปิดไว้ให้ฉันเดินเข้าสู่โลกแห่งการวิวาห์. ท่านหวาดเกรงว่า ถ้าฉันปฏิเสธก็จะเท่ากับว่าฉันปฏิเสธการแต่งงานตลอดชั่วชีวิต และถ้าความจริงจะเป็นไปเช่นนั้นแล้ว ท่านก็จะสลดใจในโชคชะตาของฉันมาก. ฉันรู้ดีว่าท่านพ่อรักใคร่และเห็นใจในความอาภัพของฉันยิ่งกว่าลูกทุก ๆ คน. ท่านปรารถนาที่จะได้เห็นฉันแต่งงาน เพื่อว่าฉันจะได้มีความสุขตามส่วน ท่านเชื่อว่าการที่ผู้หญิงซึ่งสะสวยอย่างฉัน จะดำรงชีวิตอยู่ตลอดไปโดยไร้คู่ครองนั้นเป็นการทรมานหัวใจเกินกว่าที่ท่านจะทนดูได้. อย่างไรก็ตาม ท่านเพียงแต่แนะนำวิงวอนให้ฉันรับคำขอของท่านเจ้าคุณ ส่วนการวินิจฉัยขั้นสุดท้ายนั้นก็สุดแต่ตัวฉัน.”

เธอทอดสายตามาสบตาข้าพเจ้า ยิ้มอย่างเศร้า ๆ และเปิดเผย. ใจคอของข้าพเจ้าก็อ่อนไหวไปตามความเศร้า ในยิ้ม และในดวงตางามคู่นั้น.

​“เมื่อฉันได้รับทราบความประสงค์ของเจ้าคุณ ใจฉันหายวาบ และเมื่อฉันได้สดับคำแนะนำวิงวอนของท่านพ่อ ที่ทรงขอให้ฉันรับรองการแต่งงานกับเจ้าคุณ ฉันก็ถึงแก่น้ำตาตก. ฉันร้องไห้ด้วยความตกใจ และด้วยความรู้สึกอย่างอื่นอีกหลายอย่าง. ท่านพ่อเข้าพระทัยฉันดี ทรงปลอบฉันว่า ‘ลูกหญิง พ่อไม่ได้ดูหมิ่นเธอ พ่อเห็นใจเธออย่างยิ่ง เธอเป็นลูกที่ดีที่สุดและสวยที่สุดในบรรดาลูกรักของพ่อ. พ่อภูมิใจด้วยลูกคนนี้เหลือที่จะพรรณนาได้. พ่อทราบดีว่าลูกไม่คู่ควรกับบุรุษผู้สูงอายุเช่นเจ้าคุณอธิการ พ่อปรารถนาที่จะให้ลูกได้แต่งงานกับชายที่เธอรัก ซึ่งมีตระกูลและวัยสมควรกับตัวเธอ. แต่โชคชะตาไม่ให้ความยุติธรรมแก่เธอ พ่อเสียดายความดีความงามของเธอมาก แต่บัดนี้ลูกก็มีอายุจะย่างเข้า ๓๕ ปีแล้ว จงแต่งงานเถิดลูกรัก กับบุรุษที่พ่อแนะนำ แม้ว่าจะแก่แต่ก็เป็นคนดี.’

“ฉันพูดกับท่านพ่อน้อยที่สุด ฉันจำได้แต่ว่าฉันก่นแต่ร้องไห้. ท่านพ่อแนะนำปลอบโยนฉันแล้วก็เข้ามาจูบฉันที่หน้าผากด้วยความสงสาร แล้วก็ปล่อยฉันไว้แต่ลำพัง. ในค่ำวันนั้น ฉันแต่งตัวหมดจดงดงาม และอยู่ที่หน้ากระจกเงาภายในห้องนอนของฉันเป็นเวลานาน. ฉันเฝ้าพินิจพิศดูรูปโฉมของฉันทุกส่วนสัดของร่างกาย. ร่างนั้นยังแลดูสาวและไม่ขาดตกบกพร่องในความงาม. ฉันรำพึงว่า ร่างที่ยังสดชื่นด้วยความสวยงามนี้หรือจะต้องวิวาห์กับวัยชรา ๕๐ ปี. เป็นความจริงหรือ ที่ร่างงามนี้อุบัติมาไร้ความรักและสิ้นหวังในความรักแล้ว. ฉันไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้เลย แต่ครั้นฉันระลึกได้ว่า ฉันมีอายุได้เท่าไรแล้ว ฉันก็ใจหายอีกครั้งหนึ่ง. หยาดน้ำตาไหลระริน เมื่อฉันรู้สึกด้วยความแน่ใจว่า คำขอของท่านเจ้าคุณเป็นสัญญาณบอกความพินาศแห่งความหวังของฉัน เป็นสัญญาณว่าโอกาสที่ฉันจะได้พบความรักและได้แต่งงานกับชาย​ที่ฉันรักได้สิ้นสุดลงแล้ว เวลาของฉันหมดแล้ว.

“ในระหว่าง ๒-๓ วันหลังแต่นั้น ท่านพ่อไม่ได้รบกวนเร้าถามฉันถึงเรื่องนั้นเลย ท่านคอยคำตอบของฉันอย่างสงบเงียบ. ฉันได้เลือกเวลาหนึ่ง ซึ่งฉันคิดว่าเป็นเวลาที่ปลอดโปร่งใจที่สุดเท่าที่ฉันจะหาได้ในยามนั้น คิดค้นคำตอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง ในที่สุด ฉันก็ตัดสินตกลงใจรับคำขอของเจ้าคุณ.”

“ทำไมคุณหญิงไม่ปฏิเสธ คุณหญิงยังสาวและสวยเหลือเกิน แม้กระทั่งเวลานี้” ข้าพเจ้าพูดอย่างจริงจัง “คุณหญิงจะได้พบความรักอย่างแน่นอน ถ้าได้รอต่อไปอีกหน่อย คุณหญิงควรปฏิเสธทีเดียว”

“นพพรพูดราวกับว่าเรื่องยังไม่ได้เกิดขึ้น” เธอยิ้มน้อย ๆ.

“โลกเหี้ยมโหดเหลือเกิน” ข้าพเจ้าครวญคราง.

“มนุษย์อาจจะเหี้ยมโหด แต่โลกน่ารักมิใช่หรือ ถ้าเธอแลไปให้ทั่วเดี๋ยวนี้” เธอหยุดจ้องมองหน้าข้าพเจ้าครู่หนึ่ง “ฉันกำลังจะบอกเธอถึงเหตุผลในการตัดสินตกลงใจของฉัน.”

“ผมมองไม่เห็นเหตุผลเลย ผมไม่คิดว่าจะเป็นเหตุผลที่ดีพอ.”

“คนดีของฉัน, โปรดอย่าหัวเสีย. โปรดอย่าลืมว่าเรากำลังสนทนากันถึงเหตุการณ์ที่ได้ล่วงมาแล้ว ที่ได้เกิดขึ้นแล้ว. ไม่มีอะไรที่เราจะต้องมาทุ่มเถียงกัน.”

 


13



​วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ท่านเจ้าคุณได้รับเชิญจากท่านอัครราชทูตให้ไปร่วมในงานพิธีแห่งหนึ่ง. หม่อมราชวงศ์กีรติจึงขออนุญาตท่านไว้แต่ในวันเสาร์ว่า จะไปใช้เวลาเที่ยวเล่นที่มิตาเกะกับข้าพเจ้า. เธอนัดให้ข้าพเจ้ามาถึงบ้านแต่เวลาโมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่ท่านเจ้าคุณยังไม่ตื่นนอน เราช่วยกันจัดหาของรับประทานเล็กน้อยบรรจุใส่หีบ และของใช้อื่น ๆ ที่สมควรจะนำไป เพื่อให้การเที่ยวเล่นพักผ่อนของเราได้รับความพอใจทุกประการ. หม่อมราชวงศ์กีรติดูสนุกร่าเริงในการตระเตรียมมาก เราออกจากบ้านแต่เวลาสองโมงครึ่ง และเฉพาะหม่อมราชวงศ์กีรตินั้น มิได้ออกไปก่อนที่จะเข้าไปบอกลาท่านเจ้าคุณในห้องนอนอีกครั้งหนึ่ง เธอยิ้มร่าเริงออกมา.

“ท่านกำลังตื่นนอนพอดี” เธอพูด “ท่านบอกว่าตั้งใจจะช่วยเราจัดข้าวของ ไม่คิดว่าเราจะหนีท่านไปแต่เช้ามืด. ฉันตอบท่านว่า เช้ามืดที่ไหน ตั้งสองโมงกว่าแล้ว. แต่ว่าเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะลอบหนีไปจากท่านไม่ใช่หรือ, นพพร ?” เธอหัวเราะ.

​เมื่อเราเดินทางไปถึงสถานีชินยูกุ ปรากฏว่ามีผู้คนทั้งชายหญิงคับคั่งอยู่ที่สถานี และเกรียวกราวไปด้วยเด็กเล็กซึ่งกำลังรอคอยรถไฟ. หม่อมราชวงศ์กีรติยังไม่เคยเดินทางไกลโดยรถไฟในเช้าวันอาทิตย์ เมื่อเห็นผู้คนคับคั่งราวกับจะเดินทางไปในงานเทศกาลใหญ่เช่นนั้นก็มีความประหลาดใจมาก. ข้าพเจ้าได้ชี้แจงให้เธอทราบว่า ภาวการณ์เช่นนี้ ตามสถานีใหญ่ ๆ ในเช้าวันอาทิตย์ นับว่าเป็นของปรกติธรรมดา ด้วยเหตุว่าชนชาวญี่ปุ่นมีใจรักในการเที่ยวเล่นชมธรรมชาติมาก สถานที่ซึ่งงดงามไปด้วยภูมิภาพธรรมชาติ และได้รับการตกแต่งบำรุงจากทางการของบ้านเมือง ก็มีอยู่มากมายหลายสิบแห่ง ทั้งในระยะใกล้และไกล ซึ่งประชาชนจะเลือกเที่ยวเตร่ได้ตามความพอใจ และสุดแต่ฐานะของตน. เมื่อถึงวันอาทิตย์หรือวันหยุดงาน คู่ผัวเมีย และคนหนุ่มคนสาว ตลอดจนบิดามารดาก็มักจะพาบุตรธิดาเดินทางไกลไปเที่ยวเล่นตามสถานที่ต่าง ๆ.

“ผมเห็นว่าการหาทางให้ประชาชนได้ใช้เวลาว่างของเขาในทางที่ไม่เป็นเครื่องแสลงแก่ชีวิตเช่นนี้ เป็นจุดสำคัญอันหนึ่ง ที่ทำให้ประชาชาติญี่ปุ่นเป็นประชาชาติที่แข็งแรง” ข้าพเจ้ากล่าวความเห็นของข้าพเจ้าเองในที่สุด “ทางการของบ้านเมืองเขาจัดการให้ประชาชนได้ซื้อการพักผ่อนอันมีค่าเช่นนี้ด้วยราคาถูกที่สุด และด้วยความสะดวกทุกประการ คนที่มีรายได้น้อยก็มีโอกาสตามส่วน ที่จะแสวงหาการพักผ่อนหย่อนใจโดยวิธีนี้. เมื่อแรกมาญี่ปุ่น ผมยังไม่มีความคิดความอ่านอะไร ต่อเมื่อได้อยู่มาหลายปี ได้ใช้ความสังเกตใคร่ครวญ ผมก็มองเห็นคุณประโยชน์เป็นอันมาก. คนญี่ปุ่นโดยมากรู้จักบ้านเมืองของเขาดี เป็นคนขยันขันแข็ง เด็ก ๆ ไม่เป็นคนขี้เกียจ ซึมเซา ก็เพราะได้อาศัยการใช้เวลาพักผ่อนในทางที่เป็นคุณประโยชน์อันนี้.”

​เมื่อรถไฟมาหยุดที่สถานี ฝูงชนที่รอคอยกันอยู่คับคั่งก็ตรูกันขึ้นรถ และที่นั่งก็เต็มหมดในชั่วอึดใจเดียว. ข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะให้หม่อมราชวงศ์กีรติไปแข่งแย่งที่นั่งกับคนเหล่านั้น.

“รอขึ้นขบวนหลังดีกว่า” ข้าพเจ้าบอกเธอ “คงจะไม่ถึงกับเบียดเสียดแย่งกัน”

“เราจะต้องรออีกกี่ชั่วโมง น่าเบื่อ.”

“ที่ญี่ปุ่น เราไม่ต้องรอรถเป็นชั่วโมง อีกราว ๕ นาทีก็จะมีรถมาอีกขบวนหนึ่ง.”

หม่อมราชวงศ์กีรติจัดเครื่องแต่งตัว และแต่งหน้าเสร็จเรียบร้อย รถอีกขบวนหนึ่งก็มาถึง. คราวนี้เราได้ที่นั่ง แต่ก็มิใช่โดยสะดวกนัก และยังมีคนที่จะต้องรอรถขบวนหลังต่อไปอีก. เรานั่งอยู่เคียงกันบนที่นั่งสำหรับสองคน ชาวญี่ปุ่นบนรถโดยสารคันเดียวกันมองดูเราอย่างทึ่ง เพราะว่าเราเป็นชาวต่างประเทศนั้นอย่างหนึ่ง และคงจะประกอบด้วยความงาม ความแช่มช้อยของหม่อมราชวงศ์กีรติด้วยไม่ต้องสงสัย มีเด็กเล็กหลายคนในรถขบวนนั้นวิ่งเล่นและพูดจ้อกับบิดามารดาของเขา.

“ฉันเหนื่อยแต่สำราญใจ” เธอพูดภายหลังที่รถได้เริ่มแล่นต่อไปครู่หนึ่ง “ฉันนิยมชาวญี่ปุ่นที่เขารู้จักเลือกวิธีพักผ่อนที่ดีตามที่เธอได้ชี้แจง ฉันหวังว่าเมื่อเธอกลับเข้าไปเมืองไทย เธอจะจัดการให้คนไทยได้ใช้เวลาว่างของเขาในทางที่เป็นคุณประโยชน์ และทั้งได้รับความสำราญไปพร้อมกันด้วย. ฉันเชื่อว่าเธอจะจัดการได้สำเร็จ เพราะเธอเป็นนักเรียนนอก คนโดยมากเลื่อมใสความคิดของพวกนักเรียนนอก.”

“ผมก็เคยได้ยินมาเช่นนั้น และทั้งได้เคยรู้สึกเช่นนั้นเมื่อผมยังอยู่ในเมืองไทย. แต่เมื่อผมได้มาเป็นนักเรียนนอกด้วยตนเอง และได้รู้เห็น​ความเป็นไปของพวกเพื่อนนักเรียนที่นี่ ผมรู้สึกว่าพวกเราได้รับความยกย่องมากเกินไป. เรามีโอกาสดีกว่านักศึกษาในบ้านเมืองของเราหน่อย ก็ในข้อที่ว่าเราได้มาเห็นแบบอย่างความเป็นไปที่เจริญก้าวหน้าบางอย่างที่นี่ ซึ่งในเมืองไทยของเราไม่มี. แต่ว่าถ้าเราไม่แสวงหาประโยชน์จากโอกาสอันดีนี้ เราก็ไม่มีวุฒิพิเศษอะไรที่จะรับสมอ้างเอาว่า เราดีกว่าคนอื่น ๆ เลย. นอกจากนั้นเรามีทางที่จะประพฤติตัวเหลวแหลกได้มากกว่านักศึกษาในเมืองไทย. บ้านเมืองยิ่งเจริญมากเท่าใดก็มีเครื่องสำราญอันจะจูงใจไปสู่ความเสื่อมเสียได้มากเท่านั้น และคุณหญิงเห็นแล้วว่า เราอยู่กันที่นี่ปราศจากการควบคุมปกครอง เราต้องต่อสู้กับความเย้ายวนใจนานาประการด้วยตนเอง คุณหญิงคงจะเห็นว่าเรามีทางที่จะพ่ายแพ้ได้ง่าย. พวกเราไม่ใช่ว่าจะเอาชนะสิ่งนี้ไปได้ทุกคน ที่ชนะก็มี ที่แพ้ก็มาก. และถ้าเราแพ้ เราจะมีวุฒิพิเศษอะไรเล่า. เรามีสิทธิพิเศษอะไรที่จะไปเดินหน้าเชิดเป็นที่ว่าเรามีวุฒิพิเศษกว่าใคร ๆ ในวงสมาคมในเมืองไทย.”

“เธอพูดจริงจังมาก, นพพร. ฉันเองไม่มีความรู้แน่ชัดในเรื่องราวของพวกนักเรียนนอก ฉันพูดตามที่ฉันได้ยินมา. แต่เมื่อฉันได้พบรู้จักเธอ ฉันก็ออกจะเลื่อมใสนักเรียนนอกด้วยน้ำใสใจจริงของฉันเอง. ฉันมองนักเรียนนอกจากตัวเธอ.”

“คุณหญิงยกย่องผมมาก. พูดตามจริง ผมไม่อยากจะให้คนทั้งหลายมาดีกับเรามากเกินไป มาหวังในตัวเรามากเกินไป เพราะว่าถ้าเขาผิดหวังในเรา เขาอาจลงโทษว่าเราหลอกลวงเขา ทั้งที่ตามจริง คุณหญิงก็เห็นแล้วว่าผมไม่ได้คิดจะหลอกลวงคุณหญิงเลย.”

หม่อมราชวงศ์กีรติหัวเราะด้วยความสนุก พอใจ. เราสนทนากันด้วยปัญหาจำพวกนี้ต่อไปอีกพักใหญ่แล้วก็สนทนาพาทีกันด้วยเรื่อง​เบ็ดเตล็ดบ้าง และชมภูมิประเทศสองข้างทางไปบ้าง. การเดินทางของเรากินเวลาราวชั่วโมงครึ่ง เป็นการเดินทางที่หม่อมราชวงศ์กีรติกล่าวว่า ไม่เป็นที่น่าเบื่อหน่ายเลย.

คนโดยมากในรถขบวนนั้น มากกว่าครึ่งได้ลงที่สถานีมิตาเกะพร้อมกับเราทั้งสอง, ออกจากสถานีมาสู่ถนนใหญ่ เราก็อาจที่จะมองเห็นความงามของธรรมชาติ มีลำธารที่กว้างใหญ่ เนินหิน และสีเขียวของพฤกษชาติ ดารดาษอยู่ในคลองจักษุของเรา. หม่อมราชวงศ์กีรติดูมีความเบิกบานใจมาก.

เราเดินชมภูมิประเทศและร้านรวงแถบนั้นอยู่พักใหญ่ แล้วจึงแวะเข้าไปพัก หาเครื่องดื่มรับประทานในร้าน ๆ หนึ่ง. ข้าพเจ้าได้แจ้งให้หม่อมราชวงศ์กีรติทราบว่า ที่นี่ค่อนข้างเป็นที่ชุมนุมชน ข้าพเจ้ายังจะพาเธอเดินทางโดยรถบัส ซึ่งแล่นขนานไปกับลำธารต่อไปอีก จนกระทั่งบรรลุถึงเนินเขามิตาเกะ. ณ ที่นั้นแล เราจะได้เก็บตัวของเราไว้ในความสงบสงัด ในความห้อมล้อมของธรรมชาติ เป็นที่หมายปลายทางซึ่งเรามุ่งมาเที่ยวเล่นแสวงหาความสำราญใจในวันนั้น.

เมื่อได้พักผ่อนเที่ยวเตร่ตามบริเวณชุมนุมชนพอสมควรแล้ว เราได้เดินทางโดยรถยนต์ต่อไปอีก กินเวลาประมาณ ๔๐ นาที. รถแล่นขนานไปกับลำธารซึ่งมีน้ำใสสะอาดจนสามารถจะแลเห็นก้อนหินตะปุ่มตะป่ำอยู่ภายใต้พื้นน้ำ. อีกด้านหนึ่งของถนนเป็นเนินเขาลำเนาไม้เขียวชอุ่มด้วยพฤกษาใหญ่น้อยหลากพรรณ รถยนต์วิ่งผ่านมวลชนที่สมัครใจจะเดินเล่นกันไปตลอดระยะทาง มีทั้งคนแก่ คนหนุ่มคนสาวและเด็กเล็ก ดูสำราญเริงรมย์ในการเดินทางกันมาก.

เราบรรลุถึงปลายทางเป็นเวลาหลังเที่ยงเล็กน้อย. มีคนน้อยคนที่สมัครมาจนถึงปลายทาง เพราะว่าตามระยะทางที่ผ่านมา ก็มีที่พักผ่อน​ประกอบด้วยทัศนียภาพอันพึงชมเป็นแห่ง ๆ โดยตลอด ซึ่งผู้ที่ไม่สมัครจะเดินทางไกลมากนัก ก็ได้เลือกแวะเสียตามที่ใดที่หนึ่ง. ฉะนั้นเมื่อเราลงจากรถ และเดินไปตามทางเล็ก ๆ ซึ่งลาดต่ำลงไปเป็นลำดับนั้น จึงมีคนเพียงสองคนเดินตามเรามา เป็นชายกลางคนพาบุตรอายุประมาณ ๑๒ ขวบมาเที่ยวเล่น เขาจะมาเป็นเพื่อนบุตรของเขาหรือถือเอาบุตรเป็นเพื่อนของเขา เราก็ทราบไม่ได้.

ทางที่เราเดินมานั้นได้ลาดต่ำลงมา จนในที่สุดลาดชิดติดไปกับลำธาร. เราได้มาถึงต้นทางน้ำตกซึ่งเป็นบ่อเกิดของลำธารกว้างใหญ่ที่เราได้ผ่านมา กระแสน้ำไหลกระโชกกระชากไปบนก้อนหิน แล้วต่อไปก็ไหลแรงบ้าง ระรินบ้าง ไปตามลำธารที่ค่อยกว้างใหญ่ออกไป. บนทางที่เราเดินอยู่นั้นล้อมรอบด้วยเนินเขาสูง เขียวชอุ่มไปด้วยพรรณพฤกษานานาชนิด. ในบางขณะเราลงไปยืนอยู่บนก้อนหินซึ่งกระแสน้ำแทบจะไหลผ่านรองเท้าของเราไป. ทั้งหม่อมราชวงศ์กีรติกับข้าพเจ้าได้กลายเป็นเด็กคู่หนึ่งซึ่งสนุกสำราญอยู่ด้วยการกระโดดโลดเล่นไปตามก้อนหินเหล่านั้น. เราทั้งสองอาจที่จะเล่นสนุกต่าง ๆ ได้อย่างอิสระเสรีเต็มที่ เพราะว่า ณ ที่นั้นแทบจะกล่าวได้ว่า เราได้ออกมาอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่งซึ่งเพื่อนร่วมโลกของเรา ก็มีแต่สายน้ำ ก้อนหิน และลำเนาไม้เท่านั้น. แสงแดดที่ไม่ร้อนแรงจัดช่วยให้เราอบอุ่น. ชายกลางคนกับบุตรของเขาได้เดินลับตาเราไปสู่ที่อื่น. นาน ๆ มีชายหญิงคู่ผัวเมียผ่านเข้ามาในโลกของเราคู่หนึ่ง แต่ก็ไม่หยุดยั้งอยู่นานนัก. ฉะนั้นเราก็เป็นเหมือนอาดัมกับอีฟในโลกน้อยนั้น. ข้าพเจ้าเก็บดอกไม้ป่าสีม่วง แล้วขออนุญาตเสียบให้ที่เรือนผมของหม่อมราชวงศ์กีรติ และเธอเก็บดอกไม้อีกชนิดหนึ่งสีแดง เสียบให้ที่รังดุมเสื้อข้าพเจ้า. หม่อมราชวงศ์กีรติบอกกับข้าพเจ้าว่า เธอเป็นสุขมากที่ข้าพเจ้าได้นำเธอมาอยู่ในที่ซึ่ง​หอมหวนยวนใจไปด้วยความสงบสงัดและความงามของธรรมชาติ. ข้าพเจ้าก็บอกกับเธอว่า ข้าพเจ้ามีความสุขมากในการที่ได้มีส่วนนำความสุขมาสู่เธอ หรือนำเธอให้ได้มาพบกับความสุข.

ข้าพเจ้ายังจดจำความรู้สึกในวันนั้นได้แม่นยำดีมาก. ข้าพเจ้าได้รับความสุขและความเบิกบานปานใดนั้น ไม่มีที่สงสัย. แต่แม้เช่นนั้นในบางขณะ ได้มีความรู้สึกบางอย่างมารบกวนความสุขของข้าพเจ้า มันทำให้อกใจของข้าพเจ้าเต้นระทึกด้วยหวาดหวั่นว่า จะมีอะไรอย่างหนึ่งที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า. มันดันขึ้นดันลงอยู่ในหัวอก. ดูเหมือนข้าพเจ้าจะได้พยายามกดดันมันไว้ไม่ให้ปรากฏออกมาภายนอก แต่ก็รู้สึกว่าค่อนข้างเป็นการเหลือวิสัยข้าพเจ้ายากที่จะป้องกันยับยั้งได้ นอกจากจะรอคอยเวลาเท่านั้น. ข้าพเจ้าทั้งเหน็ดเหนื่อยอ่อนใจและเป็นสุข.

 


14



​เราได้ใช้วันคืนที่กามากูระด้วยความผาสุก เฉพาะอย่างยิ่งในคืนวันอาทิตย์ซึ่งเป็นคืนสุดท้าย.

ท่านทั้งหลายพิจารณาจากการสนทนาของเราในสวนที่โฮเต็ลไกฮินคืนนั้น ท่านได้เห็นแล้วว่า ความสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้ากับหม่อมราชวงศ์กีรติได้ก้าวมาไกลถึงแค่ไหนแล้ว. ท่านย่อมจะเห็นว่าความสัมพันธ์ของเรามีความแน่นแฟ้นรัดรึงใจเพียงใด. ท่านอาจคาดหมายได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในไม่ช้า ความคาดหมายของท่านจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าจะถูกก็แต่บางส่วนเท่านั้น เพราะว่าแม้แต่ตัวข้าพเจ้าเอง ซึ่งได้ใช้ชีวิตแสดงบทบาทสำคัญร่วมกับหม่อมราชวงศ์กีรติในเรื่องนี้ ก็ยังได้คาดหมายอวสานของเรื่องราวอันประหลาด แต่ทว่าเป็นความจริงนี้ ผิดพลาดไปอย่างสำคัญ. เป็นความคาดผิดที่ได้สั่นสะเทือนใจข้าพเจ้าตลอดมาตราบกระทั่งปัจจุบันกาล. ขอให้ข้าพเจ้าดำเนินเรื่องต่อไป.

กลับจากกามากูระแล้ว บุปผาแห่งความสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้า​กับหม่อมราชวงศ์กีรติก็เบิกบานเต็มที่. เราทั้งสองต่างรู้สึกเหมือนหนึ่งว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเป็นเวลานับปี เราพากันลืมเสียสนิทว่า มิตรภาพของเราได้ถือกำเนิดและเติบโตเจริญวัยขึ้นเพียงชั่วฤดูร้อนฤดูเดียวเท่านั้น. เราไม่เคยคาดคิดว่า ดวงตาของฤดูออทัมน์จะได้ทันมีโอกาสทัศนามิตรภาพพฤกษ์ของเราออกดอกงามสะพรั่งไปทั้งต้น. ตำแหน่งของข้าพเจ้าในชั้นต้น ซึ่งเป็นแต่เพียงผู้นำทางท่านเจ้าคุณและภรรยาของท่าน ในการไปกิจธุระหรือไปเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ ก็ได้เปลี่ยนแปรไปอย่างรวดเร็ว. ข้าพเจ้าได้กลายไปเป็นส่วนหนึ่งแห่งความต้องการในชีวิตประจำวันของหม่อมราชวงศ์กีรติ และอาจเป็นส่วนสำคัญที่สุดในความต้องการทั้งหลายแหล่ของเธอด้วย. ข้าพเจ้ามิได้หมายจะโอ่อวด ข้าพเจ้าเพียงแต่จะกล่าวความตามที่เป็นจริงเท่านั้น.

ในส่วนตัวข้าพเจ้าเล่า ข้าพเจ้าย่อมสำนึกตระหนักแน่ยิ่งขึ้นว่า ความพอใจของข้าพเจ้าได้เปลี่ยนแปรไปอย่างที่ตัวเองก็ไม่อาจจะเข้าใจได้. ในชั้นต้นข้าพเจ้าก็เพียงแต่พอใจในการที่ได้รับใช้ทำประโยชน์ให้แก่ท่านเจ้าคุณ โดยฐานที่ข้าพเจ้าได้รู้จักนับถือท่านมาแต่ก่อน ต่อมาความพอใจนั้นก็ได้กลายเป็นความต้องการของข้าพเจ้า ที่จะได้รับโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับภรรยาของท่านมากที่สุดที่จะมากได้. ในตอนหลัง ๆ ข้าพเจ้าต้องยอมสารภาพว่า การที่ข้าพเจ้าได้สละเวลาไปคลุกคลีอยู่กับท่านและภรรยาของท่าน เป็นส่วนมากนั้นมิใช่เพราะเห็นแก่ตัวท่าน หากเพราะเห็นแก่ตัวข้าพเจ้าเอง. แต่ก็แน่ละ ท่านเจ้าคุณคงจะไม่ทราบ.

ภายหลังที่กลับจากกามากูระ ความต้องการของข้าพเจ้าได้ไปไกลจนถึงกับได้ตั้งปัญหาถามตัวเองว่า เมื่อเวลาที่หม่อมราชวงศ์กีรติจะต้องจากประเทศญี่ปุ่นคืนสู่เมืองไทยได้มาถึง ข้าพเจ้าจะเผชิญกับเวลานั้นได้อย่างไร ข้าพเจ้าจะเผชิญกับความเป็นอยู่ที่ปราศจากหม่อมราชวงศ์กีรติ​ได้อย่างไร ข้าพเจ้าแน่ใจแล้วว่า ข้าพเจ้าจะทนดูการจากไปของเธอที่สถานีโตเกียวไม่ได้ เพราะรถไฟจะพาดวงหน้าและมือน้อย ๆ ของเธอ ที่โบกลาข้าพเจ้าลับตาไปอย่างรวดเร็ว. ข้าพเจ้าได้กะการไว้แล้วว่า ข้าพเจ้าจะต้องอยู่กับเธอจนกระทั่งนาทีสุดท้าย. ข้าพเจ้าจะเดินทางออกจากโตเกียวไปพร้อมกับเธอ ไปคอยจับเรือที่เมืองโกเบ ข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับเธออีกนับตั้ง ๑๐ ชั่วโมงขึ้นไป และข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสสุดท้าย คือจะได้มีโอกาสโบกมือลาให้แก่เธอเป็นเวลานานที่ท่าเรือ. เรือเดินทะเลลำใหญ่จะค่อย ๆ พาเธอห่างข้าพเจ้าไปช้า ๆ มิใช่ด้วยอาการฮวบฮาบรุนแรงดุจรถไฟ ซึ่งข้าพเจ้าคงจะรู้สึกเหมือนหนึ่งว่า ได้กระชากเอาตัวเธอไปจากความต้องการของข้าพเจ้าอย่างหฤโหดทารุณ และข้าพเจ้าคงแทบจะล้มฟุบลง ณ ที่สถานีนั่นเอง. ข้าพเจ้าเชื่อว่าหม่อมราชวงศ์กีรติก็คงปรารถนาที่จะให้การล่ำลาจากไปได้ใช้เวลาเนิ่นนานที่สุดเหมือนกัน.

บัดนี้ หม่อมราชวงศ์กีรติคนแรก ผู้เคร่งขรึมและดูเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แม้ว่าจะอ่อนโยนและหวาน ซึ่งข้าพเจ้าได้พบที่สถานีโตเกียวนั้นได้เลือนหายไปจากความรู้สึกของข้าพเจ้าแล้ว. ข้าพเจ้าจะจดจำภาพแรกของเธอได้ก็แต่ในเวลาที่ได้คำนึงนึกถึง. ภาพของหม่อมราชวงศ์กีรติที่สิงอยู่ในความรู้สึกของข้าพเจ้าเป็นเนืองนิตย์นั้น เป็นภาพของสตรีสาวที่แสดงตนเป็นเพื่อนรักสนิทของข้าพเจ้า เป็นเพื่อนที่มีความฉลาดหลักแหลมและปรานีต่อข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง เป็นเพื่อนสตรีที่น่ารัก น่าเอ็นดูที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าได้เคยรู้จักมา เป็นผู้ให้ความชุ่มชื่นอเนกประการแก่ชีวิตอันเปล่าเปลี่ยวของข้าพเจ้า จนเมื่อนึกถึงว่าเธอจะต้องจากข้าพเจ้าไปในไม่ช้า และข้าพเจ้าจะต้องอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นต่อไปอีกนานปีโดยปราศจากเธอแล้ว ก็แทบเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้.

​ความลี้ลับในเรื่องราวความเป็นไปของหม่อมราชวงศ์กีรติ ก็ได้เปิดเผยแก่ข้าพเจ้าจนแทบหมดสิ้นแล้ว และถ้ามีอะไรอีกที่ข้าพเจ้าประสงค์จะทราบ ข้าพเจ้าก็อาจจะทราบได้โดยสะดวก. บัดนี้ระหว่างข้าพเจ้ากับหม่อมราชวงศ์กีรติ ไม่มีอะไรที่ข้าพเจ้าจะถามเธอไม่ได้ และไม่มีอะไรที่เธอจะไม่ตอบข้าพเจ้า.

เหตุการณ์ได้ดำเนินต่อมา จนกระทั่งถึงวันที่เราได้ไปใช้เวลาร่วมกันแต่ลำพังที่มิตาเกะ. ก่อนหน้าที่วันนั้นจะมาถึงหลายวัน ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าว่าดูเหมือนจิตใจของข้าพเจ้าจะได้ลอบหนีไปจากตัวข้าพเจ้า ท่องเที่ยวไปในโลกอีกโลกหนึ่งอยู่เนือง ๆ. เป็นโลกใหม่ที่ได้ปรากฏขึ้นในความคิดคำนึงของข้าพเจ้าเป็นครั้งแรกในชีวิต เต็มไปด้วยความงดงาม มีสง่าราศี และสุดแสนสราญเริงรมย์. ความแปลกใหม่ที่ซาบซึ้งตรึงใจในโลกแห่งความคิดคำนึงนั้น ได้เหนี่ยวรั้งจิตใจของข้าพเจ้าให้เพลินชม เพลินสำราญ จนแทบว่าจะลืมความเป็นไปแต่หนหลังของตนเองเสียสิ้น. ในชั้นแรกข้าพเจ้าได้พยายามจะป้องกันมิให้จิตใจของข้าพเจ้าได้ท่องเที่ยวไปในโลก ซึ่งข้าพเจ้ามิคุ้นเคยมาแต่ก่อน. ข้าพเจ้าหวาดเกรงว่า จะประสบสิ่งที่น่าตระหนกตกใจหลบซ่อนอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งในโลกใหม่อันเป็นที่น่าพิสมัยนั้น แต่ต่อมาข้าพเจ้าก็ถอนความพยายาม ด้วยบอกแก่ตนเองว่า เป็นการเหลือวิสัยที่จะป้องกัน. ข้าพเจ้าไม่สามารถจะต่อต้านกับความยียวนใจในโลกใหม่นั้นได้ ข้าพเจ้าจำต้องปล่อยให้จิตใจกำจัดหนุ่มของข้าพเจ้าท่องเที่ยวไปโดยอิสระ.

ในที่สุด วันซึ่งข้าพเจ้าได้ย่างเหยียบเข้าไปสู่โลกนั้นด้วยตนเองก็ได้มาถึง วันที่ชีวิตอันแท้จริงของข้าพเจ้าได้สัมผัสกับความเป็นอยู่ของโลกนั้น ข้าพเจ้าได้ป่ายปีนขึ้นไปจนบรรลุถึงยอดเอเวอเรสต์แห่งความสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้ากับหม่อมราชวงศ์กีรติ. ข้าพเจ้าไม่ทราบว่า​ข้าพเจ้าได้ป่ายปีนขึ้นมาได้อย่างไรจนถึงยอดที่สูงที่สุดนี้. ข้าพเจ้าไม่ทราบจนกระทั่งว่า ข้าพเจ้าได้ตั้งใจจะป่ายปีนขึ้นมาหรือไม่ ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งใจเลย. เหตุการณ์ที่ประกอบด้วยความรู้สึกรุนแรงและร้อนเป็นไฟนี้ ได้เกิดขึ้นที่มิตาเกะ ในท่ามกลางกระแสลมหนาวอ่อน ๆ แห่งฤดูออทัมน์ และท่ามกลางความแวดล้อมด้วยภูมิภาพธรรมชาติที่สดงาม ท่านคงจำชื่อมิตาเกะได้ ท่านคงจำภาพที่ข้าพเจ้าได้พรรณนาถึงนั้นได้ ภาพที่ดูเป็นธรรมดาสามัญ ไม่มีสิ่งที่น่าสะดุดตาสะดุดใจอะไรเลย แต่บัดนี้ท่านกำลังจะได้ประสบชีวิตจริง ๆ ข้างหลังภาพนั้น.

 


15
นวนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพ บทประพันธ์ของ ศรีบูรพา ตอนที่ 6-10




​เหตุการณ์ต่อมาดำเนินไปเป็นปรกติ หรืออาจจะมีสิ่งที่ผิดปรกติบ้าง ก็อาจจะไม่เป็นการสลักสำคัญนัก. เหตุการณ์ใหม่ที่เร้าใจข้าพเจ้าเกิดขึ้นที่กามากูระ ในกาลปลายฤดูร้อน.

กามากูระ เป็นตำบลชายทะเล อยู่ห่างจากนครโตเกียว กินเวลาเดินทางโดยรถไฟประมาณ ๑ ชั่วโมง. ล้อมรอบด้วยเทือกทิวเขาซึ่งเขียวชอุ่มด้วยพรรณพฤกษาทั้ง ๓ ด้าน เปิดด้านที่เหลืออีกด้านหนึ่งออกสู่ทะเล เป็นตำบลชายทะเลที่มีภูมิภาพสวยงามแห่งหนึ่ง ประกอบกับมีประวัติศาสตร์อยู่เบื้องหลัง และมีโบสถ์วิหารทั้งของพุทธศาสนาและชินโตประดิษฐานอยู่ พร้อมด้วยพุทธปฏิมาองค์ใหญ่งดงาม มีค่าสูงในทางศิลปะ ซึ่งเรียกกันที่ญี่ปุ่นว่า ไดบัตสุ จึงเป็นที่เชิดชูชื่อเสียงของกามากูระให้เด่นขึ้น.

ในวันเสาร์และอาทิตย์ ชาวนครโตเกียวมักจะเดินทางไปอาบน้ำทะเล พักผ่อน รื่นเริงกันที่นั่นคับคั่ง เพราะว่าการเดินทางไปอาบน้ำทะเลที่กามากูระอาจจะใช้เวลาเพียงวันเดียวก็ได้ และเฉพาะในวันเสาร์​อาทิตย์นั้น เขาได้จัดให้มีการเล่นต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ที่ไปพักผ่อนได้เลือกใช้เวลาหาความบันเทิงตามความพอใจ.

ท่านเจ้าคุณกำหนดว่าจะไปพักผ่อนที่กามากูระ ๕ วัน. หม่อมราชวงศ์กีรติและข้าพเจ้าก็เห็นชอบด้วย. เราออกจากนครโตเกียวในวันพุธ เมื่อเราไปถึงกามากูระ ผู้คนที่นั่นบางตาลงไปบ้าง เพราะว่าเป็นปลายฤดูร้อนแล้ว แต่ที่โฮเต็ลไกฮิน ซึ่งเป็นโฮเต็ลที่หรูหรา เป็นที่เชิดหน้าชูตาของกามากูระ ก็ยังบริบูรณ์ไปด้วยผู้คน. ข้าพเจ้าได้ติดต่อบอกจองห้องล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว ฉะนั้นเมื่อเราไปถึงจึงได้ต้อนรับและความสะดวกทุกประการ. ท่านเจ้าคุณและคุณหญิงพักอยู่ห้องคู่ซึ่งประกอบด้วยห้องนั่งเล่นและห้องน้ำ. ข้าพเจ้าพักอยู่ห้องเดี่ยว. ความภาคภูมิและสง่างามของโฮเต็ลไกฮิน เป็นที่พอใจท่านทั้งสองเป็นอันมาก.

​ที่โฮเต็ล เจ้าคุณบังเอิญได้พบกับมิตรสหายของท่านบางคน เป็นผัวเมียชาวญี่ปุ่นคู่หนึ่ง และเป็นผัวเมียชาวอเมริกันคู่หนึ่ง. โดยเหตุที่มีมิตรสหายเป็นเพื่อนสนทนาอยู่บ้าง ท่านเจ้าคุณยินดีให้อนุญาตหม่อมราชวงศ์กีรติและข้าพเจ้า ได้ปลีกตัวไปเที่ยวกันตามลำพังในบางคราว.

การใช้วันคืนที่กามากูระร่วมกัน ได้เพิ่มเติมความสนิทสนมลงไปในหัวใจของเราจนเต็มปรี่, บางวันการพบปะสนทนาของเราเริ่มต้นที่โต๊ะรับประทานอาหารเช้า และบางวันก็เริ่มต้นก่อนหน้านั้น. เราได้อยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา บางเวลาก็อยู่ในชุมนุมมิตรสหายของท่านเจ้าคุณ และบางเวลาเราก็ไปเที่ยวเล่นด้วยกันในตอนกลางวัน ไปแล่นเรือบ้าง ไปเล่นซนและไปดูคนอื่น ๆ เขาเล่นซนตามชายหาดบ้าง. ในเวลาเย็นข้าพเจ้ามักปลีกตัวไปอาบน้ำทะเลแต่ลำพัง เพราะว่าในเวลานั้น ท่านเจ้าคุณมักพอใจที่จะออกเดินเล่นไกล ๆ ไปตามชายหาด และข้าพเจ้าก็เห็นเป็นการสมควรที่ท่านควรจะได้มีเวลาเพลิดเพลินกับภรรยาสาวของท่านแต่ลำพังสองต่อสอง. ฉะนั้น เมื่อได้รับคำชักชวนจากท่านเจ้าคุณ ซึ่งแม้ข้าพเจ้าเห็นได้ชัดว่าเป็นคำชักชวนด้วยความเต็มใจ ข้าพเจ้าก็ปฏิเสธเสมอ โดยอ้างเหตุว่า ข้าพเจ้าปรารถนาจะอาบน้ำทะเลเที่ยวเล่นซนบ้าง. ท่านเจ้าคุณก็อนุญาตด้วยความเห็นใจ.

มีอยู่วันเดียว ที่หม่อมราชวงศ์กีรติได้ลงมาเล่นน้ำทะเลกับข้าพเจ้า เห็นได้ว่าเธอได้รับความสนุกสนานมาก แม้ว่าโดยปรกติเธอจะไม่สู้ใส่ใจในการอาบน้ำทะเลนัก ตามที่ข้าพเจ้าได้ทราบจากคำบอกเล่าของเธอ.

การนำสุภาพสตรีไทยลงเล่นน้ำร่วมกับชาวญี่ปุ่นนั้น มีข้อที่น่าอึดอัดใจอยู่ข้อหนึ่ง กล่าวคือ ญี่ปุ่นสาว ๆ มักจะไม่สู้ระมัดระวัง​ในการปกป้องร่างกายส่วนบน หล่อนไม่สู้จะนำพากับเสื้ออาบน้ำอันไม่รัดกุมพอ. ญี่ปุ่นสาว ๆ อาจมีเหตุผลของหล่อนเป็นอย่างดีที่จะคลายความระมัดระวังในเรื่องเช่นนั้น แต่ว่าสตรีพวกเราที่เคยไปใช้เวลาตามชายทะเล ก็ต้องเบือนหน้าและออกปากบ่นไปตาม ๆ กัน. ข้าพเจ้าหวาดเกรงว่า หม่อมราชวงศ์กีรติจะได้รับความรำคาญในเรื่องนี้ แต่ความหวาดเกรงล่วงหน้าของข้าพเจ้าผิดพลาดไปบ้าง เธอเป็นแต่แสดงความประหลาดใจโดยมิได้ออกปากบ่นว่ากระไร.

คืนสุดท้ายของเราที่กามากูระคือคืนวันอาทิตย์ ที่โฮเต็ลไกฮินจัดให้มีการเล่นเต้นรำอย่างเอิกเกริก ซึ่งเป็นกำหนดการปรกติของโฮเต็ลนั้นทุกคืนวันอาทิตย์. ผู้ที่มิได้พักอยู่ในโฮเต็ลก็มีสิทธิ์จะเข้าไปร่วมรับความบันเทิงเริงรมย์ได้ ถ้าหากได้ซื้ออนุญาตบัตรของโฮเต็ล. ในวันอาทิตย์คืนนั้น มีผู้คนมาชุมนุมกันอยู่ในห้องลีลาศอย่างอุ่นหนาฝาคั่งทั้งสุภาพบุรุษและสตรี. นอกจากชาวญี่ปุ่นแล้ว ก็มีคนไทย ๕-๖ คน รวมทั้งพวกเรา ๓ คนด้วย นอกจากนี้ก็มีชาวยุโรป อเมริกัน และฟิลิปิโน ปะปนอยู่ด้วยหลายคน. เจ้าคุณอธิการบดีใช้เวลาในคืนวันนั้นด้วยความเริงรมย์ดุจคนหนุ่มคนหนึ่ง ท่านเจ้าคุณเต้นรำหลายเพลง กับสุภาพสตรีผิวขาวบ้าง กับสุภาพสตรีญี่ปุ่นบ้าง และเปิดแชมเปญหลายขวด. หม่อมราชวงศ์กีรติเต้นรำสองสามเพลงกับสุภาพบุรุษมิตรสหายของท่านเจ้าคุณ และจิบแชมเปญด้วย. ข้าพเจ้าก็ได้เต้นรำสองสามเพลงกับสุภาพสตรีสาวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าได้รู้จักคุ้นเคยกันมาแต่ก่อน และจิบแชมเปญด้วยเหมือนกัน.

ด้วยเหตุที่ว่า คืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะพักอยู่ที่กามากูระ หม่อมราชวงศ์กีรติจึงอยากจะได้ออกมาเที่ยวเล่นภายนอกบ้าง. ท่านเจ้าคุณเมื่อทราบความประสงค์แล้วก็อนุญาตด้วยความยินดี เพราะว่า​ในเวลานั้น ท่านก็กำลังได้รับความสนุกอยู่แล้วอย่างเต็มที่กับบรรดามิตรสหายของท่าน.

หม่อมราชวงศ์กีรติได้ชวนข้าพเจ้าไปเที่ยวเดินดูการเล่นต่าง ๆ มีการเล่นกอล์ฟ สเกต และเที่ยวดูการเล่นตามร้าน แล้วก็ไปเดินเล่นตามชายหาด รับลมเย็น ฟังเสียงลูกคลื่นที่ซัดสาดชายหาด ชมดวงดาวบนท้องฟ้า. ในที่สุด เรากลับไปนั่งพักเล่นในสวนภายในบริเวณโฮเต็ล มีคนเพียงสองสามคนลงมาเดินเล่นในสวนในเวลานั้น. ในเวลาที่เราปลีกตัวออกมาเสียจากชุมนุมชน และอยู่ด้วยกันแต่ลำพังในความแวดล้อมของธรรมชาติ ความรู้สึกนึกคิดของเราก็มักจะมาจดจ่ออยู่ที่เรื่องราวของเราเอง. น้ำแชมเปญผสมกับรสละมุนละไมของการเต้นรำ ปรุงจิตใจของข้าพเจ้าให้เบิกบานด้วยความคิดคำนึงยิ่งกว่าเวลาปรกติหลายเท่า. เสียงแจซซ์ทำเพลงรุมบาก้องกังวานมาจากห้องเต้นรำ.

“เจ้าคุณคงจะเต้นรำสนุกใหญ่ เพลงรุมบาเร้าใจเหลือเกิน” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้น.

​“แต่ว่าเจ้าคุณคงจะไม่ยอมเต้นเพลงรุมบาเป็นแน่ มันดูลุกลี้ลุกลนนักสำหรับผู้ใหญ่อย่างท่าน แต่คนหนุ่มอย่างเธอคงจะชอบกระมัง.”

“ผมยังไม่สนใจการเต้นรำพอจนถึงจะชอบเพลงใดเพลงหนึ่งเป็นพิเศษ ผมชอบเหมือน ๆ กันไปหมด.”

“ฉันสังเกตเมื่อเธอเต้นเพลงสโลว์ฟอกซ์ทรอด ฉันเห็นว่าเธอเต้นได้งดงามไม่น้อย.”

“นั่นเป็นเพราะคู่ของผมเขาชำนาญมาก.”

“ใครกันน่ะ คู่ของเธอ ดูหล่อนปราดเปรียวจนไม่น่าจะเป็นสาวญี่ปุ่น.”

“หล่อนเป็นบุตรีพ่อค้าใหญ่คนหนึ่ง ถูกแล้ว กิริยาท่าทางของหล่อนดูไม่สมกับที่จะเป็นสตรีญี่ปุ่นเลย เพราะว่าหล่อนเกิดในอเมริกาและอยู่ที่นั่น จนอายุ ๑๕ ปี หล่อนมาญี่ปุ่นก่อนหน้าผมปีเดียว ฉะนั้นหล่อนจึงดูเป็นญี่ปุ่นน้อยมาก. เมื่อแรกรู้จักกับผม หล่อนปรารภว่าหล่อนยังเข้ากับชนชาติของหล่อนไม่ได้ถนัด หล่อนจึงพอใจคบค้าสมาคมกับชาวต่างประเทศ. จะด้วยความจริงใจหรือเพียงแต่จะเยินยอเราก็ตาม หล่อนบอกกับผมว่า หล่อนชอบคนไทยเป็นพิเศษ หล่อนว่าคนไทยมีอะไรแปลก ๆ ไปในทางน่ารัก.”

“หล่อนวินิจฉัยคนไทยจากตัวเธอ.”

“หล่อนไม่ได้บอกกับผมเช่นนั้น และผมก็มิได้ประสงค์ให้เป็นไปดังนั้น.”

“นพพร, เธอเป็นเด็กที่น่ารักและสมควรจะรักจริง ๆ” ด้วยคำพูดประโยคนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกเสียวแปลบที่หัวใจ และยังไม่ทันที่ข้าพเจ้าจะโต้ตอบ เธอพูดต่อไปว่า “เมื่อตอนหัวค่ำวันนี้ ท่านเจ้าคุณก็ได้พูดกับฉันว่า ท่านมีความยินดีมากที่เห็นเธอกับฉันมีความสนิทสนมรักใคร่กันดี ​ท่านบอกว่าเธอเป็นเด็กที่น่ารัก และท่านได้คาดถูกแล้วว่าฉันจะพอใจเธอมาก.”

“ท่านแสดงความยินดีด้วยน้ำใสใจจริงโดยแท้หรือ? ท่านไม่รังเกียจในความสนิทสนมระหว่างคุณหญิงและผมจริงหรือ?”

“เพราะเหตุใดเล่าเธอจึงถามเช่นนี้.” เธอกลับย้อนถาม “มีอะไรในความสนิทสนมของเราที่จะน่ารังเกียจ และด้วยเหตุผลอะไร ที่ทำให้เธอสงสัยน้ำใสใจจริงของเจ้าคุณ.”

ข้าพเจ้างงไปครู่หนึ่ง.

“ผมเสียใจที่ถามออกไปเช่นนั้น ผมเองก็ไม่ทราบว่ามีอะไรมาดลใจให้ตั้งคำถามอย่างไร้เหตุผลเช่นนั้น ผมรู้สึกว่า ผมไม่มีเหตุผลอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ที่จะสงสัยความรู้สึกอันดีของท่าน.”

“เธอแน่ใจหรือ?” หม่อมราชวงศ์กีรติกลับย้อนถาม.

ข้าพเจ้าก็กลับงงไปอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่อาจที่จะตอบคำถามของเธอได้ทันทีทันใด.

“คืนนี้เธอเป็นอะไรไป ดูตอบคำถามของฉันไม่คล่องแคล่วเหมือนอย่างเคยเลย.” เธอตบที่แขนข้าพเจ้าเบา ๆ แล้วเราก็ยิ้มให้กันเมื่อแลสบตากัน “เธอกลัวว่าเจ้าคุณท่านจะหึงเธอใช่ไหม?”

ข้าพเจ้าสะดุ้ง.

“ผมมีเหตุผลที่จะคิดกลัวไปเช่นนั้นหรือ?”

“เธอยังไม่ได้ตอบฉันว่า ฉันทายความคิดของเธอถูกหรือไม่?”

“คุณหญิงเป็นคล้าย ๆ พวกแม่มด.”

“น่ากลัวจะตายไป” เธอหัวเราะ “เธอมีเหตุผลอะไรเล่าที่คิดไปว่า เจ้าคุณท่านจะหึงเธอ, เธอไม่สมควรจะได้รับความไว้วางใจอย่างเต็มที่จากท่านดอกหรือ?”

​“ท่านเจ้าคุณและคุณหญิงไม่ใช่หรือ ที่ควรจะตอบคำถามข้อนี้.”

“จิตใจของเธอไม่บริสุทธิ์พอหรือ?”

“จริงนะ ผมไม่ควรจะนึกกลัวไปเลย.”

“ถูกแล้ว. เมื่อจิตใจของเธอบริสุทธิ์พอ. ท่านเจ้าคุณไม่ใช่คนขี้หึง.”

“ผมรู้จักท่านมานานแล้ว ท่านเป็นคนใจดีมาก และดังนั้นคุณหญิงก็คงจะรักท่านมาก.”

หม่อมราชวงศ์กีรติตกเป็นฝ่ายที่นิ่งอึ้งไปบ้าง.

“ฉันชอบท่าน อย่างที่เด็ก ๆ ควรจะชอบบุรุษชราผู้ใจดี.”

“คุณหญิงยังไม่ได้ตอบผมถึงเรื่องความรัก ผมหมายถึงความรักฉันสามีภริยา – ฉันชายกับหญิง.”

“เธอก็เห็นแล้วว่า ฉันเป็นอะไร ท่านเจ้าคุณเป็นอะไร วัยของเราแตกต่างกันมาก. สิ่งนี้เปรียบเหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่กั้นระหว่างความรักของเรา ทำให้ความรักของเราพบกันไม่ได้.”

“แต่ว่าความรักระหว่างคนแก่กับหญิงสาว ก็อาจมีได้ไม่ใช่หรือครับ?”

“ฉันไม่เชื่อในความรักระหว่างคนสองจำพวกนี้. ฉันไม่เชื่อว่าจะมีได้จริง นอกจากเราจะรับเอาเองว่าเป็นเช่นนั้น ซึ่งอาจเป็นการรับเอาอย่างผิด ๆ.”

“แต่คุณหญิงก็ดูมีความสุขดีในการแต่งงาน ซึ่งตามความเห็นของคุณหญิงก็ว่า ความรักของทั้งสองฝ่ายจะพบกันไม่ได้.”

“ความผาสุกที่ฝ่ายหญิงแสดงว่าได้รับหรือได้มีอยู่นี่แหละ อาจทำให้คนโดยมากเข้าใจไปว่า ความรักย่อมอุบัติขึ้นได้ในระหว่างวัยแก่และวัยสาว. นอกจากนั้น เจ้าตัวผู้หญิงเอง เมื่อมีความผาสุกพอสมควรแล้ว ก็มักไม่สนใจในปัญหาที่เกี่ยวกับความรัก เพราะว่าจะเป็นความรักหรือ​ไม่ก็ตาม เมื่อมีความผาสุกแล้วจะต้องการอะไรอีก. คนทั้งหลายอยู่กันโดยวิธีนี้ และคนโดยมากเชื่อถือว่า ความรักเป็นมารดาของความผาสุก ซึ่งตามความเห็นของฉันแล้ว ฉันเห็นว่าไม่ใช่ของจริงเสมอไป. ความรักอาจให้กำเนิดความขมขื่น หรือความร้ายกาจต่าง ๆ นานาแก่ชีวิตก็ได้ แต่ว่าในดวงใจของผู้ที่มีความรักเช่นนั้น จะมีน้ำทิพย์แห่งความหวานชื่นหล่อเลี้ยงอยู่ชั่วนิจนิรันดร – เป็นความหวานชื่นที่ซาบซึ้งใจอย่างประหลาดมหัศจรรย์. ฉันยังไม่เคยประสบสิ่งนี้ด้วยตนเอง ฉันพูดตามความเชื่อถือของฉัน.”

“แล้วคุณหญิงยังต้องการอะไรอีกเล่า ในเมื่อคุณหญิงก็มีชีวิตอย่างผาสุกแล้วเช่นนี้.”

“ฉันไม่ได้บอกว่าฉันต้องการอะไรอีก – หรือจะพูดให้ตรงตามที่ฉันเดาว่า เธออยากจะพูด-ฉันไม่ได้บอกว่า ในเวลานี้ฉันก็ยังปรารถนาความรัก. ฉันหมายถึงความปรารถนาที่มีการขวนขวาย. ฉันไม่แสวงหาความรัก. ฉันรู้ว่าฉันไม่มีสิทธิ์ในข้อนั้นแล้ว. แต่ฉันรู้ไม่ได้ และฉันก็รับประกันไม่ได้ว่าความรักจะอุบัติขึ้นในชีวิตหรือไม่ทั้งที่ฉันไม่ได้แสวงหา. ฉันอาจจะมีความผาสุกแล้วก็จริง แต่ขอให้เธอเชื่อเถิดว่า ความผาสุกที่ปราศจากความรักก็ย่อมจะมีได้.”

“และถ้าความรักอุบัติขึ้นเล่า คุณหญิงจะทำอย่างไร?”

“โอ, ฉันไม่เตรียมคำตอบปัญหาในเรื่องเช่นนี้ไว้ล่วงหน้าดอกเธอ. เพราะว่าปัญหาอาจไม่มีขึ้นเลยในชั่วชีวิตของเรา. การคิดฝันถึงปัญหาเช่นนี้ มันจะทำให้เรากลับไร้ความผาสุก. ไม่มีอะไรจะเขลาเท่ากับก่อให้เกิดความกังวลขึ้นในสิ่งที่ยังไม่มีตัวตน หรือเป็นแต่เพียงความเคลิ้มฝัน. เธออย่าลืมว่ามีนกตัวหนึ่งอยู่ในมือ ดีกว่าหวังได้นกสองตัว​ในพุ่มไม้. การมีความผาสุกที่ไร้ความรัก คงจะดีกว่าการใฝ่ฝันกังวลถึงความรักด้วยปราศจากความผาสุก.”

“แล้วเจ้าคุณเล่า ท่านรักคุณหญิงหรือไม่?”

“ฉันตอบแทนท่านไม่ได้ ฉันรู้ว่าท่านมีความเอ็นดูฉัน ท่านอาจจะรักฉันอย่างผู้ใหญ่รักเด็ก ๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่ความรักตามความหมายที่เธอต้องการจะฟังมิใช่หรือ? ฉันบอกแล้วว่า ฉันไม่เชื่อในความรักระหว่างชายแก่กับหญิงสาว และเพราะฉะนั้น ฉันก็ไม่ได้คาดหมายความรักอันรัดรึงใจจากท่าน.”

“คุณหญิงหมายความว่าท่านไม่ต้องการความรัก ท่านไม่แสวงหาความรัก แม้กระทั่งในภริยาของท่านเช่นนั้นหรือ?”

“ถูกแล้ว ฉันหมายความเช่นนั้น และฉันเชื่อว่าความจริงเป็นเช่นนั้น”

“เพราะเหตุใดเล่า?”

“เพราะว่าน้ำรักของท่านได้เหือดแห้งไปพร้อมกับวัยชราของท่าน​เสียแล้ว. วัยแห่งรสรักได้ผ่านพ้นท่านไปเสียแล้ว. เดี๋ยวนี้ท่านไม่รู้ว่าท่านจะรักได้อย่างไร. ท่านรักฉันไม่ได้ เพราะว่าท่านไม่มีสิ่งที่จะประกอบขึ้นเป็นความรักความรักตามอุดมทัศนีย์ของฉัน.”

“แต่ทำไมท่านจึงดูเป็นสุขมากในการร่วมชีวิตกับคุณหญิง?”

“เธอลืมเร็วจริง. ฉันได้บอกเธอแล้วว่า ความผาสุกที่ปราศจากความรักย่อมจะมีได้ ท่านเจ้าคุณก็อยู่ในฐานะเช่นเดียวกับตัวฉัน”

“ถ้ามิใช่ด้วยความรัก ท่านแต่งงานกับคุณหญิงเพราะอะไรเล่า?”

“ท่านต้องการความผาสุก ตามที่บุคคลเช่นท่านจะพึงมีได้. ความผาสุกเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการและแสวงหาจนกระทั่งชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต และไม่จำกัดว่าจะเป็นชีวิตในวัยใด. ท่านแต่งงานกับฉันเพราะท่านเชื่อว่า ท่านจะได้รับความผาสุก.”

“แล้วคุณหญิงเล่า มีเหตุผลอย่างไรในการแต่งงานกับท่านเจ้าคุณ ในเมื่อคุณหญิงเองก็ไม่ได้แต่งงานเพราะความรัก.”

“เธอต้องการจะทราบว่า ทำไมฉันจึงแต่งงานกับท่าน? โอ, มันเป็นเรื่องที่จะต้องสนทนากันยืดยาว เราไม่มีเวลาพอที่จะสนทนากันในคืนวันนี้” หม่อมราชวงศ์กีรติลุกขึ้นยืน “เราออกมานานมาก. กลับไปข้างในเถอะ, นพพร. เจ้าคุณคงจะคอยอยู่แล้ว.” เมื่อข้าพเจ้าลุกขึ้น และเราเริ่มออกเดิน เธอพูดต่อไปว่า “คืนนี้เธอซักถามฉันมาก, นพพร ฉันได้ตอบคำถามที่ไม่ควรจะตอบหลายข้อ. แต่ฉันคิดว่าเธอต้องการจะศึกษาเรื่องเหล่านี้.”

“หามิได้ ผมถามเพราะว่าผมสนใจความเป็นไปในชีวิตของคุณหญิง” ข้าพเจ้าตอบอย่างเปิดเผย.

“ถ้ารู้ว่าเธอถามเพราะเหตุนี้ ฉันคงจะไม่ตอบคำถามของเธอหลายข้อ. เธอไม่ควรเลยที่จะมาสนใจในการส่วนตัวของฉัน.”

​“คุณหญิงคงไม่ปฏิเสธว่า เราสนิทสนมกันเป็นอย่างยิ่ง.”

“แต่นั่นก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่เธอจะมาแสดงความสนใจใคร่ครวญความในใจของฉัน.”

“แต่ผมก็ได้แสดงความสนใจไปเสียแล้ว และคุณหญิงก็ได้ตอบคำถามของผมสิ้นเชิงแล้ว.”

“เพราะว่าฉันถูกโกง.”

“การถูกโกงด้วยความผาสุกก็ย่อมจะมีได้.”

“ฉันเริ่มเบื่อเธอแล้วละ” หม่อมราชวงศ์กีรติดึงแขนข้าพเจ้าให้เร่งรีบเดิน “เดินเร็วอีกหน่อย ฉันเป็นห่วงเจ้าคุณ.”

 


16



​การติดต่อสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้ากับท่านเจ้าคุณและหม่อมราชวงศ์กีรติคงดำเนินไปเป็นปรกติ ในราตรีวันหนึ่ง ต่อจากนั้นมาอีก ๓-๔ วัน ท่านเจ้าคุณได้รับเชิญไปในงานรื่นเริงรายหนึ่ง หม่อมราชวงศ์กีรติบอกว่าไม่ใคร่สบาย และดังนั้นไม่นึกสนุกที่จะไปร่วมในชุมนุมบุคคลมากหน้าหลายตา จึงขอตัวพักผ่อนอยู่กับบ้าน ท่านเจ้าคุณจึงขอให้ข้าพเจ้าอยู่เป็นเพื่อนภรรยาของท่าน.

ราตรีนั้นเดือนหงาย เมื่อรับประทานอาหารค่ำแล้ว เราทั้งสองต่างมีความเห็นตรงกันว่า ในยามเช่นนั้น ถ้าจะไม่ออกมารับประโยชน์จากแสงจันทร์บ้างก็จะเป็นการเขลาอย่างที่สุด. ข้าพเจ้าได้แนะขึ้นว่า เราควรจะไปกรรเชียงเรือเล่นในสวนสาธารณะ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของเราไปเพียงกินเวลาเดินราว ๑๐ นาที หม่อมราชวงศ์กีรติก็เห็นชอบด้วย.

เมื่อเราไปถึง ยังเป็นเวลาหัวค่ำ มีชาวบ้านแถวนั้นมาเดินเล่นในสวนไปมาไม่ขาด บ้างก็นั่งเล่นบนม้าบนสนาม ดูคนอื่น ๆ กรรเชียงเรือในสระใหญ่. เราเดินเล่นรอบ ๆ สวนสองสามรอบ จนรู้สึกเมื่อยจึง​ได้ชวนกันลงเรือ ขณะนั้นมีคนกรรเชียงเรือเล่นอยู่ก่อนแล้ว ๔-๕ ราย นับว่าเป็นจำนวนพอสมควร ไม่ทำให้ภายในสระนั้นเอะอะเกรียวกราวจนเป็นที่น่ารำคาญ. ข้าพเจ้ารับหน้าที่กรรเชียงเรือ หม่อมราชวงศ์กีรตินั่งไปตามสบาย. เมื่อเราจับบทสนทนากันอย่างเพลิดเพลิน ข้าพเจ้าก็มักจะปล่อยให้เรือลอยอยู่โดยลำพัง.

จันทร์ส่องแสงกระจ่างฟ้า จะแลดูบนพื้นน้ำหรือทอดสายตาไปรอบ ๆ บนพรรณพฤกษานานาชนิดในบริเวณสวน ก็เป็นที่เจริญตาเจริญใจไปทั้งนั้น หม่อมราชวงศ์กีรติก็เพลินชม และพรรณนาถึงความสวยงามของธรรมชาติในยามเช่นนี้ให้ข้าพเจ้าฟังมิได้ขาด. ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับคำพรรณนาของเธอทุกประการ แต่ข้าพเจ้ามิได้เพลิดเพลินไปในทางนั้น. ในชีวิตของข้าพเจ้าได้ผ่านความงามของคืนเดือนหงายมานับตั้งร้อย ๆ ครั้งแล้ว แต่สายตาของข้าพเจ้าไม่เคยพานพบสิ่งที่มีชีวิตใด ๆ ในท่ามกลางแสงเดือนอันสว่างจ้า ที่จะงามเหมือนภาพของสตรีผู้หนึ่งที่อยู่ต่อหน้าข้าพเจ้า ณ บัดนี้.

เพื่อที่จะหาทางเพิ่มความสนุกเล็กน้อยในการออกมาเที่ยวเล่นในสวนคืนวันนั้น หม่อมราชวงศ์กีรติสวมกิโมโนแพรสีขาว มีลวดลายสีแดงเด่นบนพื้นแพรขาวนั้น ดูงามดั่งดอกคริสแซนติมัมช่อใหญ่ ที่ข้าพเจ้าได้ชม ณ สวนตาการะซูกะเมื่อฤดูออทัมน์ปีที่แล้ว จันทร์แหวกเมฆออกมาเต็มดวง แสงส่องต้องดอกคริสแซนติมัมที่มีชีวิตวิญญาณ ทั่วสรรพางค์กาย เมื่อหม่อมราชวงศ์กีรติเงยพักตร์ขึ้นรับแสงจันทร์นั้น มีลมโชยพัดมา เส้นเกศาของเธอเต้นอยู่กลางแสงจันทร์ น้ำที่หล่ออยู่ในดวงเนตรของเธอเป็นประกาย เรียกร้องความสนใจทั้งหมดของข้าพเจ้าให้มารวมอยู่ ณ ที่นั้น.

เธอนั่งเหยียดเท้าตรงมาทางข้าพเจ้า เท้าของเธอขาวผ่อง เรียวและ​อวบ นั่งทอดกายไปข้างหลังเล็กน้อย ปล่อยอารมณ์ชมความงามของธรรมชาติอย่างเพลิดเพลิน

“นพพร. เธอรู้สึกสบายใจมากไหมในคืนที่งดงามเช่นนี้” เธอถามด้วยเสียงเบา ทอดตาอันมีประกายตรงมาทางข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าแทบสะดุ้ง ด้วยกำลังเพลินพิศวงพักตร์อันงามของเธออยู่.

“ผมสบายใจอย่างพรรณนาไม่ถูก เกินอำนาจของถ้อยคำและวิธีพรรณนาของผม.” ข้าพเจ้าตอบด้วยความตื่นเต้น.

“และมันทำให้เธอคิดถึงบ้านบ้างไหม ?”

“ผมจากบ้านมาอยู่ที่นี่ตั้ง ๓ ปีกว่า เคยคิดถึงบ้านบ้างในบางคราว แต่เมื่อนานเข้าความคิดถึงนั้นก็ชาไป.”

“และเธอก็ไม่คิดถึงบ้านเลย.”

“ครับ, อย่างน้อยที่สุดก็ในชั่วขณะนี้.”

“เธอผิดกับฉันตรงกันข้าม ในเวลาสงบและในเวลาที่จิตใจหมกอยู่ในความงามของธรรมชาติเช่นเวลานี้ ฉันอดคิดสิ่งที่ฉันรักที่สุดไม่ได้. ฉันคิดถึงท่านพ่อท่านแม่และน้อง ๆ ของฉัน ภายในบ้านอันเต็มไปด้วยความสงบสุข คิดถึงชีวิตเมื่อ ๑๐ ปีล่วงแล้วมา เมื่อเราอยู่กันพร้อมหน้าที่บ้านของเรา และคิดถึงชีวิตของฉันเองในเวลานั้น ชีวิตที่สมบูรณ์ไปด้วยความสุข และเต็มไปด้วยความหวัง. เธอใจแข็งมากนะนพพร ที่ไม่คิดถึงบ้านเลยในเวลาเช่นนี้.”

ข้าพเจ้าอยากจะตอบและเกือบจะได้ตอบออกไปว่าในเวลาที่อยู่ต่อหน้าเธอ ต่อหน้าเสน่ห์และความงามอันรัดรึงตรึงใจของเธอ ข้าพเจ้าไม่เคยคิดถึงสิ่งอื่นเลย และข้าพเจ้ายากที่จะคิดถึงสิ่งอื่นได้. ข้าพเจ้าไม่กล้าพูดออกไปตรง ๆ เช่นนี้ เพราะว่าข้าพเจ้าเองก็ยังไม่แจ้งชัดว่าเหตุใดจึงได้มีความคิดเห็นไปเช่นนั้น.

​“ผมไม่ใช่คนใจแข็งเลย. แต่ว่าผมจำเป็นต้องสนใจในการเล่าเรียนมาก. นอกจากนั้นผมขอบอกตามตรงว่า ในเวลานี้ผมเพลิดเพลินไปในการรับใช้สอยทำประโยชน์ให้แก่คุณหญิง.” อะไรไม่ทราบมาดลใจให้ข้าพเจ้าต้องระบายความจริงใจออกไปบ้าง.

“เธอนี่หัดพูดไพเราะใหญ่เสียแล้ว.”

ข้าพเจ้ามองไปทางอื่น และเธอพูดต่อไป “เธอจะต้องอยู่เล่าเรียนต่อไปอีกกี่ปี ?”

“ประมาณ ๕ ปี เพราะว่าเมื่อเสร็จจากการเล่าเรียนแล้ว ผมตั้งใจจะหางานทำที่นี่สักชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อความชำนิชำนาญ.”

“นานมาก และในที่สุดเธออาจจะกลายเป็นญี่ปุ่นไปเลย เธออาจจะแต่งงานกับสตรีญี่ปุ่นซึ่งเธอเลื่อมใสมาก และตั้งรกรากอยู่ที่นี่.”

“โอ, เป็นไปไม่ได้” ข้าพเจ้ารีบค้านทันที “ผมเลื่อมใสความเจริญก้าวหน้าของญี่ปุ่น และเลื่อมใสสตรีญี่ปุ่นก็จริง แต่เหตุนั้นไม่ทำให้ผมกลายเป็นคนญี่ปุ่นไปได้. ผมไม่ลืมแม้สักขณะหนึ่งว่า ผมเป็นคนไทย เป็นหน่วยหนึ่งของชาติไทยที่ยังอยู่ล้าหลังชาติอื่นเขามาก การที่ออกมาเรียนก็เพื่อแสวงหาความเจริญก้าวหน้าให้แก่เมืองไทย จุดหมายปลายทางของผมจึงอยู่ที่เมืองไทย รวมทั้งการแต่งงานด้วย.”

การที่ข้าพเจ้าพูดถึงเรื่องการแต่งงานด้วย ก็เพราะว่าคำปรารภของหม่อมราชวงศ์กีรติทำให้ข้าพเจ้าหวนระลึกนึกไปถึงสตรีคนหนึ่งซึ่งเป็นคู่หมั้นของข้าพเจ้า. ถูกแล้ว หล่อนเป็นแต่เพียงคู่หมั้น ซึ่งท่านบิดาได้เลือกเฟ้นให้เพื่อเป็นประกันว่าข้าพเจ้าจะกลับไปแต่งงานกับสุภาพสตรีผู้นั้น หรืออย่างน้อยก็เพื่อจะให้เป็นเครื่องเตือนใจว่า ข้าพเจ้าจะไม่มาวุ่นวายกับสตรีชาติอื่นที่นี่. เพราะว่าหล่อนเป็นแต่เพียงคู่หมั้น มิใช่เป็นคู่รักคู่อาลัยของข้าพเจ้า ฉะนั้นการระลึกนึกถึงหล่อนจึงมิได้หมายความว่า ​ข้าพเจ้านึกถึงตัวหล่อน แต่หากหมายความว่าข้าพเจ้านึกถึงชีวิตแต่งงานของข้าพเจ้าในภายภาคหน้า.

“เธอมีจิตใจใฝ่สูงอย่างน่าสรรเสริญ” เธอชมข้าพเจ้าอย่างจริงจัง “มีสิ่งสำคัญสองสิ่งที่คอยความวินิจฉัยของเธอในเมืองไทย คือการอาชีพและการแต่งงาน เธอได้กะการไว้อย่างไรบ้างเล่า ?”

“ผมตั้งใจจะศึกษาพิเศษในทางธนาคาร เพราะเท่าที่ผมจะทราบได้ วิชาการธนาคารในเมืองไทยเรายังมีผู้สนใจน้อยมาก. งานอาชีพของผมก็คงจะเป็นไปในทางนั้น. ส่วนเรื่องการแต่งงานนั้น ผมยังไม่มีความคิดที่จะกะการอย่างไรเลย ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องใหญ่โตเกินกว่าที่ผมจะนำตัวเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยในเวลานี้.”

ข้าพเจ้าไม่สบายใจนิดหน่อย ที่ไม่ได้ตอบหม่อมราชวงศ์กีรติออกไปให้เป็นที่แจ่มแจ้งชัดเจนว่า การที่ข้าพเจ้าไม่ได้คิดกะการอะไรในเรื่องนี้ ก็เพราะเหตุว่าการนั้นได้ถูกกะไว้แล้ว. ถ้าไม่มีเหตุสุดวิสัยอะไรเกิดขึ้น ข้าพเจ้าก็จะต้องแต่งงานกับสตรีคู่หมั้นของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าเพียงแต่รู้จักว่าหล่อนเป็นใครเท่านั้น ยังมิเคยมีความรักหรือความเข้าใจในตัวหล่อนเลย. ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจึงไม่เล่าความเรื่องนี้สู่หม่อมราชวงศ์กีรติ ข้าพเจ้าตั้งใจจะอำพรางเธอหรือ ? ข้าพเจ้าไม่สู้จะแน่ใจนัก. อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเห็นว่าข้าพเจ้ามิได้ปดเธอ มิได้กล่าวเท็จแก่เธอในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าอาจไม่ได้ตั้งใจอำพรางเธอเลยก็ได้ เพราะว่าข้าพเจ้ายังมิเคยถูกถามว่าข้าพเจ้ามีคู่หมั้นคอยอยู่ที่เมืองไทยหรือไม่ แต่ถ้าเธอถามขึ้นเล่า ? ข้าพเจ้าจะตอบอย่างไร หัวใจของข้าพเจ้าเต้นแรงผิดปรกติ.

“เธอยังหนุ่ม แต่เธอคิดอย่างผู้ใหญ่” หม่อมราชวงศ์กีรติกล่าวเมื่อข้าพเจ้าพูดจบแล้วสักครู่

​เวลานั้นเรือบดของเรากำลังลอยลำสงบนิ่งอยู่กลางสระน้ำ ข้าพเจ้าจับกรรเชียงพุ้ยน้ำให้เรือแล่นต่อไป. ข้าพเจ้ายังตกใจอยู่ และต้องการให้มีความเคลื่อนไหวเพื่อว่าการสนทนาของเราอาจจะได้เปลี่ยนเรื่องใหม่. เรือของเรากำลังแล่นไล่หลังเรือลำหนึ่งซึ่งมีสตรีสาวสองคนนั่งอยู่ในเรือ หล่อนร้องเพลงคลอเสียงกันไปเบา ๆ กรรเชียงเรือไปช้า ๆ และแหงนหน้าขึ้นชมจันทร์ด้วยความสำราญเริงรมย์.

“หล่อนร้องไพเราะน่าฟัง” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดขึ้นเบา ๆ “ท่าทางของหล่อนดูเคลิบเคลิ้มไปตามบทเพลงนั้น คงจะเป็นบทเพลงที่จับใจมาก. เธอจะแปลเนื้อความในเพลงนั้นให้ฉันฟังได้ไหม ?”

“หล่อนร้องเพลงปลอบใจ ไม่ใช่เพลงพิศวาส เป็นเพลงปลอบใจ ให้พอใจในฐานะของตน” ข้าพเจ้าบรรยายให้เธอฟัง เมื่อสองสาวร้องเพลงจบลง “เนื้อเพลงนั้นมีความว่า แม้นเรามิได้เกิดเป็นดอกซากูระ ก็อย่ารังเกียจที่เกิดเป็นบุปผาพรรณอื่นเลย ขอแต่ให้เป็นดอกที่งามที่สุดในพรรณของเรา. ภูเขาฟูจีมีอยู่ลูกเดียว แต่ภูเขาทั้งหลายก็หาไร้ค่าไม่. แม้นมิได้เป็นซามูไร ก็จะเป็นลูกสมุนของซามูไรเถิด. เราจะเป็นกัปตันกันหมดทุกคนไม่ได้ ด้วยว่าถ้าปราศจากลูกเรือแล้ว เราจะไปกันได้อย่างไร. แม้นเรามิอาจเป็นถนน ขอจงเป็นบาทวิถี. ในโลกนี้มีตำแหน่งและงานสำหรับเราทุกคน. งานใหญ่บ้างเล็กบ้าง แต่เราย่อมจะมีตำแหน่งและงานทำเป็นแน่ละ. แม้นเป็นดวงอาทิตย์ไม่ได้ จงเป็นดวงดาวเถิด. แม้นมิได้เกิดมาเป็นชาย ก็อย่าน้อยใจที่เกิดมาเป็นหญิง จะเป็นอะไรก็ตาม จงเป็นเสียอย่างหนึ่ง จะเป็นอะไรมิใช่ปัญหา สำคัญอยู่ที่ว่าจะเป็นอย่างดีที่สุด ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรก็ตาม.”

“เป็นเพลงปลอบใจที่มีค่ายิ่ง.” หม่อมราชวงศ์กีรติรำพึงเมื่อข้าพเจ้าบรรยายจบลง “และเธอก็แปลได้ไพเราะมาก ฉันอยากได้ฟังอีกสัก​ครั้งหนึ่ง ดูหล่อนทั้งสองบันเทิงใจไม่น้อยเมื่อร้องเพลงบทนั้น.”

“ผมสังเกตว่าคุณหญิงมีความพอใจแทบทุกสิ่งทุกอย่างในโตเกียวนี้.” ข้าพเจ้าดำเนินเรื่องต่อไป ภายหลังที่เราผ่านเรือลำนั้นมาแล้ว “คุณหญิงจะตอบผมได้ไหมว่า คุณหญิงพอใจอะไรมากที่สุด.”

“อะไรที่เป็นความสวยงามแล้วฉันพอใจทั้งนั้น. แต่ก็นั่นแหละ ฉันมักจะมองเห็นความสวยงาม น่าพินิจน่าชมในแทบทุกสิ่งทุกอย่าง สมมุติเช่น พื้นน้ำที่มีริ้วระลอกน้อย ๆ รอบสระนี้ ก็เป็นที่น่าสนใจสำหรับฉัน ฉันรักความสวยงาม เพราะว่ามันก่อให้เกิดความรู้สึกที่สวยงาม สดชื่น ปราศจากมลทินนิรโทษ และความเหี่ยวแห้ง.”

“ถ้าเช่นนั้นคุณหญิงคงจะเป็นสุขมาก ถ้าได้ไปพักอยู่ตามตำบลที่มีภูมิประเทศสวยงามตามธรรมชาติ เช่นที่นิกโกเป็นต้น.”

“ถูกแล้ว ฉันคงจะเป็นสุขมาก. ฉันอยากไปนิกโก ไปชมน้ำตก ไปชมแสงเดือนส่องต้องทะเลสาบบนยอดเขา. ฉันอยากไปเที่ยวตามตำบลชายทะเลอีกด้วย ไปดูหนุ่มสาวเขาอาบน้ำทะเล และเดินเล่นระริกซิกซี้กันตามชายหาด. ฉันได้ยินเจ้าคุณปรารภว่าจะพาฉันไปเที่ยวตามสถานที่เหล่านี้ในไม่ช้า. ฉันคงเป็นสุขมากไม่ต้องสงสัย” เธอเอามือประสานกัน และวางคางไว้บนมือ ดวงตาของเธอเหลือบไปมา และมียิ้มวิ่งตามดวงตาที่เหลือบไปมานั้น.

“ฉันอยากไปยุโรปอีกด้วย” เธอรำพึงอย่างเคลิ้มฝัน “ฉันอยากพบอยากเห็นความสวยงามแปลก ๆ ใหม่ ๆ ออกไปอีก ฉันอยากท่องเที่ยวไปในอังกฤษและฝรั่งเศส ในฤดูหนาวฉันจะข้ามไปสวิตเซอร์แลนด์ แล้วฉันจะไปนอรเว ไปชมพระอาทิตย์เวลาเที่ยงคืน และฉันจะจบการท่องเที่ยวของฉันที่ประเทศอิตาลี ฉันจะใช้เวลานานที่สุดที่โรมและฟลอเรนซ์ ​เพื่อชมภาพเขียนของราฟาเอล, ลีโอนาโด และไมเคลแอนจิโล ผู้มีฝีมือใหญ่หลวงทั้งสาม.”

“คุณหญิงคงจะเป็นอาร์ติสต์ ?”

“ฉันชอบศิลปะมาก ฉันใช้เวลาฝึกฝนในทางเขียนภาพ.”

“โอ, ผมเพิ่งทราบ” ข้าพเจ้าอุทานด้วยความแปลกใจและยินดีระคนกัน “มิน่าเล่า คุณหญิงจึงเห็นอะไรสวยงามไปหมด และพินิจพิเคราะห์ทุกสิ่งทุกอย่าง. คุณหญิงไม่เคยอวดผมเลย.”

“เพราะฉันหวาดกลัวตามเยินยอของเธอ นอกจากนั้นฝีมือของฉันยังไม่ดีพอที่จะอวด.”

“คุณหญิงใช้เวลาฝึกฝนมานานเท่าใด.”

“หลายปีมาแล้ว หรืออย่างน้อยตั้ง ๕-๖ ปีมาแล้ว นับตั้งแต่ฉันเริ่มมีความรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวใจ.”

“ถ้าคุณหญิงได้ออกไปอิตาลี ได้เห็นแบบอย่างที่ดีและได้รับการฝึกฝนอันมีค่า คุณหญิงอาจประสบชื่อเสียงใหญ่ยิ่งดุจท่านทั้งสามนั้น.”

“เธอเริ่มลงมือตามวิธีของเธอแล้วไหมล่ะ เธออย่าพยายามทำให้ฉันเหลิงนักซี นพพร ฉันจะได้คุยกับเธอต่อไปได้” เธอดุข้าพเจ้าด้วยสายตาและคิ้วขมวดของเธอ “ฉันฝึกฝนมาในทางนี้ก็เพราะความรักศิลปะอย่างแท้จริง. นอกจากนั้นฉันมีเหตุผลพิเศษของฉันอีกอย่างหนึ่งว่า การที่ได้มอบความสนใจผูกพันไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันช่วยบำบัดความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวได้มาก. มันช่วยให้หัวคิดของเราสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน. เธอเคยคำนึงบ้างหรือเปล่าว่าความเคลื่อนไหวในทางสมองนั้น ก็เช่นเดียวกับทางร่างกายย่อมเคลื่อนไหวอยู่เสมอ นอกจากในเวลาหลับ. เป็นธรรมชาติของเราที่จะต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องคิดอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เสมอ เราไม่หยุดอยู่เฉย ๆ เลย ถ้าเราพยายามหยุดนิ่งอยู่เฉย ๆ เราก็รู้สึก​เหมือนได้รับการทรมานอย่างหนัก เธอจะทดลองดูเดี๋ยวนี้ก็ได้ ลองปล่อยมือนิ่ง นั่งนิ่ง อย่าขยับเขยื้อนไหวกาย และอย่าคิดถึงอะไรเลย เธอจะรู้สึกเดือดร้อนมาก. ครั้นเธอเคลื่อนไหว ความเคลื่อนไหวของเธอก็จะเป็นไปในทางที่เกิดประโยชน์หรือไร้ประโยชน์ หรือเป็นโทษ อย่างใดอย่างหนึ่ง. ในเรื่องความคิดก็เช่นเดียวกัน ถ้าเราไม่คิดในทางที่เกิดประโยชน์ เราก็คิดในทางที่ไร้ประโยชน์ หรือคิดในทางที่เป็นโทษไปเลย. เมื่อสมองของเราจำต้องเคลื่อนไหวอยู่เสมอดังนี้แล้ว ฉันก็เห็นว่า ถ้าเราหาเครื่องล่อที่เป็นคุณประโยชน์ซึ่งจะคอยดูดดึงความคิดของเราให้จดจ่ออยู่ได้เป็นเนืองนิตย์แล้ว ชีวิตก็จะไม่เป็นสิ่งที่ไร้ค่า และเราเองก็สามารถที่จะบันเทิงชีวิตของเราได้ไม่มากก็น้อยไม่ว่าเราจะมีฐานะอย่างไร. การคิดอะไรฟุ้งซ่านนั้นไม่มีทางดี มันมักจะมาลงเอยด้วยความเบื่อหน่ายในชีวิต. ผู้หญิงฐานะอย่างฉันต้องการเครื่องช่วยในทางนี้มาก ถ้าฉันไม่มีอะไรจะคิดในทางที่เป็นคุณประโยชน์ ฉันก็จะต้องคิดในทางที่ไร้ประโยชน์ หรือเป็นโทษไม่ต้องสงสัย ข้อนี้เป็นหลักธรรมดา. และฉันบอกได้ว่า เมื่อฉันมีความรักในศิลปะแล้ว ศิลปะก็ยอมรับเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันด้วย. ฉันพูดมายืดยาวนัก เธอคงเบื่อละซี.”

“ผมได้รับความเพลิดเพลินอย่างยิ่งตลอดเวลาที่ได้ฟังปาฐกถาเรื่องนี้” ข้าพเจ้าพูดอย่างจริงใจ “ผมอยากจะ-แต่ว่า ทำไมคำเยินยอด้วยความจริงใจของผมจึงกลายเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวสำหรับคุณหญิงไปเล่า? หรือว่าความจริงใจของผมเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวอยู่แล้ว.”

“เธอตอบคำถามของเธอเองเสียหมดแล้วนี่ จะให้ฉันตอบอะไรอีก.”

“คุณหญิงฉลาดพูดเหลือเกิน ฉลาดเสียทุกสิ่งทุกอย่าง จนผมตามไม่ทันแม้สักอย่างเดียว.”

​“เปล่า. ฉันคิดว่า เธอมีทางของเธอเองที่จะเดินไปอยู่แล้ว เธอไม่ต้องการที่จะเดินตามใครเลย เธอควรจะภูมิใจ.” เธอหยุดครู่หนึ่ง ดึงแขนเสื้อกิโมโนของเธอให้กระชับกาย แล้วพูดต่อไปว่า “วันนี้ไม่อบอ้าวเลย มีลมพัดตลอดเวลา จนฉันรู้สึกเท้าเย็นนิดหน่อย”

ข้าพเจ้าปลดผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่ออกจากคอ แล้วจัดแจงคลุมลงไปบนเท้าขาวผ่องของเธอ.

“อุ๊ยตาย!” เธออุทานและมีเสียงหัวเราะเบา ๆ ตามออกมา “ทำไมเอวผ้าพันคอของเธอมาคลุมเท้าฉันล่ะ ไม่เป็นของคู่ควรกันเลย.”

“คุณหญิงไม่ทราบดอกหรือว่า เท้าของคุณหญิงนั้นงามกว่าลำคอของผมเสียอีก และควรจะได้รับความทะนุถนอมยิ่งกว่า.”

หม่อมราชวงศ์กีรติทำถอนใจใหญ่ เป็นกิริยาที่จะให้ข้าพเจ้าเข้าใจเอาเองว่า เธอไม่ประสงค์จะต่อต้านคำเยินยอของข้าพเจ้าต่อไปแล้ว.

ในคืนวันนั้นเราขึ้นจากเรือเป็นคนสุดท้าย. เราทั้งสองประหลาดใจมาก เมื่อมองไปรอบสระใหญ่ไม่พบเรือของผู้ใดเลย นอกจากเรือของเราลำเดียวลอยอยู่ในสระนั้น เราทั้งตกใจและขัน ที่มัวเพลิดเพลินจนไม่ทราบว่า คนอื่น ๆ เขาเลิกกันไปเสียเมื่อใด. เมื่อดูนาฬิกาที่ข้าพเจ้าเอาติดตัวไปด้วย จึงได้ทราบว่าเราได้ใช้เวลาถึง ๒ ชั่วโมงเต็มอยู่ในเรือนั้น.

“เราอยู่ได้อย่างไรกันนี่แน่ะ?” เธอถามอย่างพิศวง.

“ผมเพลินไปกับคุณหญิง.” เป็นคำตอบของข้าพเจ้า.

“ฉันคิดว่าเราได้ใช้เวลาเพียง ๑ ชั่วโมงอย่างมาก.”

“ผมคิดว่าเพียง ๕ นาทีเท่านั้น.”

คืนนั้นท่านเจ้าคุณกลับถึงบ้านไล่หลังเรามาราวครึ่งชั่วโมง. ทั้งหม่อมราชวงศ์กีรติและข้าพเจ้าต่างเห็นพ้องกันว่า ไม่มีความจำเป็น​อย่างไรที่จะเสนอรายละเอียดในการที่เราได้ออกไปเที่ยวนอกบ้านในค่ำวันนั้นแก่ท่านเจ้าคุณ. และการที่มีความเห็นพ้องต้องกันเช่นนั้น เราก็มิได้แสดงเหตุผลแก่กันทั้งสองฝ่าย.

ข้าพเจ้านอนหลับได้ยากเหลือเกินในราตรีนั้น. ข้าพเจ้าก็สงสัยเหมือนกันว่า ข้าพเจ้าจะหลับได้อย่างไรเมื่อในหัวของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยเรื่องราวของหม่อมราชวงศ์กีรติ ปัญหาหลายข้อได้ผุดขึ้นในความคิดคำนึงโดยมิได้ตั้งใจ. ในชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเคยพบสตรีคนใดที่ทรงเสน่ห์และความงามยิ่งไปกว่าหม่อมราชวงศ์กีรติหรือไม่? ข้าพเจ้าเคยพบสตรีคนใดที่ทั้งอ่อนหวานและฉลาดหลักแหลมยิ่งไปกว่าหม่อมราชวงศ์กีรติหรือไม่? ข้าพเจ้าเคยพบสตรีคนใดที่ได้แสดงความเอ็นดู ​ปรานี และให้ความสนิทสนมแก่ข้าพเจ้ายิ่งไปกว่าที่ข้าพเจ้าได้รับจากหม่อมราชวงศ์กีรติหรือไม่? คำตอบปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นไปในทางปฏิเสธ เป็นการปฏิเสธอย่างเด็ดขาดและแน่นอน.

แต่ว่า ทำไมข้าพเจ้าจึงได้ตั้งปัญหาเหล่านี้ขึ้น ทำไมจะต้องสนใจเปรียบเทียบความงาม ความฉลาด และความดีประการอื่น ๆ ของหม่อมราชวงศ์กีรติกับคนทั้งหลาย – หรือจะให้ถูกต้องยิ่งขึ้น - กับสตรีทั้งหลายที่ข้าพเจ้าเคยรู้จักพบเห็นมา. เพราะเหตุใดข้าพเจ้าจึงตั้งปัญหาเหล่านี้? ข้าพเจ้าพยายามที่จะค้นหาเหตุ. ในที่สุดข้าพเจ้าได้พบสาเหตุหรือไม่?

การค้นคว้าของข้าพเจ้าเลือนรางไป. แทนที่สาเหตุนั้นจะได้ปรากฏขึ้นอย่างแจ้งชัดในความคิดคำนึง ข้าพเจ้ากลับไประลึกนึกถึงความรู้สึกบางประการ ที่ข้าพเจ้ามีต่อหม่อมราชวงศ์กีรติเมื่อยามจะจากมา. ในเวลาที่จะขึ้นจากเรือ เธอได้ยื่นแขนให้ข้าพเจ้าพยุง. ข้าพเจ้าจับมือของเธอกำไว้ และประคองเธอไว้เบา ๆ มิให้ซวนเซ ระหว่างที่เท้าของเธอผละจากเรือ และเหยียบลงบนบก. ในขณะที่ทำดังนั้น ความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่งแล่นเข้ามาจับหัวใจข้าพเจ้าอย่างปัจจุบันทันด่วน เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่ข้าพเจ้ามิเคยประสบเลยในชีวิต. ความรู้สึกนั้นประดุจเป็นมืออันแข็งแรงจับและสั่นหัวใจของข้าพเจ้า จนข้าพเจ้าแทบจะรู้สึกหวั่นไหวไปทั่วสรรพางค์กาย. ความรู้สึกประหลาดนั้นได้ขับไล่ความรู้สึกปรกติของข้าพเจ้า และได้เข้าครอบครองมีอำนาจเหนือข้าพเจ้าอยู่ชั่วขณะหนึ่ง.

“ฉันยืนได้เรียบร้อยแล้ว เธอจะปล่อยมือฉันเสียก็ได้.”

เมื่อหม่อมราชวงศ์กีรติพูดขึ้น ข้าพเจ้าจึงระลึกได้ว่าข้าพเจ้าก็ยังคงกุมมือของเธอไว้ ข้าพเจ้าปล่อยมือน้อยอ่อนนุ่มด้วยความตกใจ ​แต่ความรู้สึกประหลาดยังเต้นระรัวอยู่ในหัวใจข้าพเจ้า. มีอำนาจอะไรสิงอยู่ในแผ่นมือน้อยนั้นหนอ ที่ได้ฉุดลากข้าพเจ้าออกไปไกลจากตัวของข้าพเจ้าเอง อำนาจอะไรในสัมผัสนั้นที่ยังคงรัดรึงใจข้าพเจ้าอยู่ จนแม้ว่าได้จากมาแล้วหลายชั่วโมง.

เมื่อจะลากลับ เธอเดินมาส่งข้าพเจ้าถึงหน้าประตูใหญ่ ในขณะที่ข้าพเจ้ากล่าวคำลา เธอได้เอาผ้าพันคอที่ข้าพเจ้าลืมทิ้งไว้พันให้รอบคอข้าพเจ้า.

“คืนนี้ลมจัด” เธอกล่าว “เธอต้องระวังอย่าเปิดคอให้โล่งไว้ ถ้าเธอต้องป่วยเจ็บเนื่องด้วยมาเป็นเพื่อนที่ดีของฉัน ฉันจะเสียใจมาก.”

“พรุ่งนี้คุณหญิงต้องการตัวผมไหม?”

“ฉันจะลองนึกดูก่อน” เธอตอบอย่างสนุก

“ดีแล้ว พรุ่งนี้ผมจะมาเพื่อที่จะฟังคำตอบ.”

“ดีแล้ว เธอมาฟังคำตอบได้ทุกวัน.” เธอยิ้มด้วยรื่นรมย์ใจ แล้วเธอกล่าวคำลาไปนอน “โอยาซูมินาไซ เด็กดีของฉัน.”

“โอยาซูมินาไซ” ข้าพเจ้าตอบ ใจสั่นระรัวด้วยยิ้มหวาน และเสียงเบามีกังวานไพเราะของเธอ.

ภาพและความรู้สึกเหล่านี้บรรจุอยู่ในความคิดคำนึงของข้าพเจ้า แสงเดือนสาดเข้ามาทางช่องหน้าต่างที่ข้าพเจ้าเปิดแง้มไว้บานหนึ่ง แสงส่องต้องเท้าของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเท้าขาวผ่องเรียวและอวบนั้นอีก---

 


17



​ระหว่างทางที่กลับ เป็นยามเย็นที่ไร้แสงแดด เด็กเล็กออกวิ่งเล่นกันตามบริเวณบ้าน เราผ่านบ้านที่ภูมิฐานงดงามหลังหนึ่ง สตรีรุ่นกำดัดหน้าตาหมดจดงดงามสองคนจูงเด็กน้อยเดินบ้างวิ่งบ้างด้วยความร่าเริงออกมาจากบ้าน ตามทางเล็ก ๆ ซึ่งนำมาสู่ถนนใหญ่ที่เรากำลังเดินอยู่ สตรีรุ่นสาวสองคนนั้นมาถึงชายถนนขณะที่เรากำลังจะผ่านไป.

พอคล้อยหลัง หม่อมราชวงศ์กีรติได้พูดขึ้นว่า “หน้าตาอิ่มเอิบและสวยสดทั้งสองคน. นพพร, เธอเห็นผู้หญิงญี่ปุ่นอย่างไร”

“ผมต้องสารภาพว่า ผมติดใจจริตกิริยาผู้หญิงญี่ปุ่นเป็นอย่างยิ่ง.”

“ยิ่งไปกว่าผู้หญิงไทยของเราเจียวหรือ?”

“ผมเชื่อว่า โดยทั่วไปผมมีความเห็นเช่นนั้น”

“เธอไม่คิดว่า ผู้หญิงญี่ปุ่นมีกิริยานุ่มนวลเกินกว่าความประสงค์ของผู้ชายไปหรือ?”

“ผมไม่คิดเช่นนั้น”

“ถ้าเช่นนั้นเธอเป็นผู้ชายน้อยไปกระมัง ฉันเข้าใจว่าผู้ชายโดย​มากชอบผู้หญิงที่โลดโผน หรืออย่างน้อยให้มีความโลดโผนเจือปนอยู่บ้าง ต้องการให้มีความปราดเปรียวหรืออะไรเด่น ๆ อยู่ในจริตกิริยาของผู้หญิง เป็นเครื่องปรุงให้ชีวิตไม่จืดจาง.”

“ความเข้าใจของคุณหญิงอาจจะถูก แต่ผมเห็นว่าเครื่องปรุงชีวิตนั้นมีหลายอย่างต่างกัน ผมอาจเป็นฝ่ายข้างน้อย ที่แลเห็นความนุ่มนวลในผู้หญิงเป็นความเบิกบานในชีวิตอย่างหนึ่ง.”

“เธอห่างเหินจากผู้หญิงไทยมานาน อิทธิพลของผู้หญิงญี่ปุ่นดลใจเธอมาก” หม่อมราชวงศ์กีรติหัวเราะ “พูดอย่างจริงจัง ฉันเห็นว่าเธอคิดถูก และเป็นความคิดที่ฉันขอสรรเสริญ ทั้งที่ฉันเองไม่มีความชำนาญแม้แต่น้อยในการวินิจฉัยปัญหาเหล่านี้.”

ข้าพเจ้ากล่าวขอบใจ เมื่อเธอจบประโยคท้าย.

“ฉันอดนึกถึงดวงหน้าอิ่มเอิบของแม่สาวสองคนเมื่อกี้ไม่ได้” เธอพูดต่อเป็นเชิงรำพึง “เหมือนต้นไม้ที่ได้ปุ๋ยดี ออกดอกตูม กำลังเต่งด้วยชีวิต และความสดชื่นแห่งวัยรุ่นกำดัด. ความเปล่งปลั่งเช่นนั้น เตือนให้หวนนึกถึงตัวเองแล้วก็ใจหายนิดหน่อย.”

“ผมไม่เข้าใจ.” ข้าพเจ้ากล่าวด้วยความฉงนสนเท่ห์แท้จริง “ว่าเหตุใดคุณหญิงจะต้องใจหาย เมื่อแลเห็นความสดชื่นของแม่สาวสองคนนั่น. คุณหญิงเองก็มีสิ่งนี้อยู่แล้วอย่างสมบูรณ์. บางทีความเปล่งปลั่งที่มีอยู่ในตัวคุณหญิงจะมีค่าเสียยิ่งกว่าในผู้หญิงสาวสองคนนั่นอีก.”

“ใครสอนเธอให้มาพูดกับฉันเช่นนี้.”

“ความรู้สึกดลใจสอนผม.” ข้าพเจ้าตอบออกไปทันที “และผมเชื่อว่ามิใช่แต่ผมเท่านั้นที่เห็นแน่นอนดังนั้น.”

“แต่เธอยังไม่ทราบจุดแห่งความกังวลของฉัน. ความสดชื่นของฉัน-ถ้าเธอเห็นว่ามี-จะนำไปเปรียบเทียบกับความสดชื่นของแม่​สาวสองคนนั่นไม่ได้. ความสดชื่นของหล่อนนั้น ฉันบอกแล้วว่าเช่นดอกไม้ตูมที่กำลังจะแย้มบาน เป็นความสดชื่นแรกรุ่งอรุณ. ส่วนความสดชื่นของฉันนั้น ถ้าหากว่ายังคงมีอยู่ในเวลานี้ ก็นับว่าเป็นความสดชื่นในยามย่ำยอแสงแล้ว จะจางหายไปในมิช้า. บัดนี้เธอคงจะเห็นว่า ฉันมีเหตุผลพอทีเดียวที่จะพูดว่าใจหาย.”

“ผมยังมองไม่เห็น” ข้าพเจ้าสนองถ้อยคำของเธอด้วยความสนใจ “แม้ว่าจะถือหลักในการเปรียบเทียบเช่นที่คุณหญิงกล่าว ผมก็ยังไม่เห็นพ้องด้วยในข้อที่คุณหญิงกล่าวว่า ความสดชื่นของคุณหญิงนั้น เปรียบเหมือนความสดชื่นของยามตะวันกำลังจะตกดิน. ในสายตาของผม ความสดชื่นของคุณหญิงยังอยู่ในยามเช้า แม้จะไม่ยอมเรียกว่าเป็นยามรุ่งอรุณ. ยังมีเวลาอีกนานที่จะดำรงความเปล่งปลั่งไว้ได้.”

“อา, เธอเป็นผู้เลื่อมใสในตัวฉันเสียจริง ๆ.” แม้ว่าหม่อมราชวงศ์กีรติจะไม่ยอมรับรองถ้อยคำที่ข้าพเจ้ากล่าว แต่ในน้ำเสียงนั้นก็แสดงว่า เธอมีความเบิกบานใจมากที่ได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ “และด้วยเหตุนั้น เธอไม่รู้ดอกว่าสายตาของเธอพร่าพราวไปเสียแล้ว. เธอรู้หรือไม่ว่าฉันมีอายุมากเกินกว่าจะเรียกตัวเองว่าเป็นสาวได้.”

“ผมไม่คิดว่าจะมีใครสักคนหนึ่งถือว่าผู้หญิงที่มีอายุยังไม่ถึง ๓๐ ปีจะไม่ใช่คนสาวเสียแล้ว และเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคุณหญิง.”

เธอมองดูข้าพเจ้าด้วยสายตาที่แสดงว่ามีชัย.

“เธอคงไม่ทราบว่าฉันมีอายุถึง ๓๕ ปีแล้ว.”

ด้วยคำพูดประโยคนี้ ข้าพเจ้าตะลึง และมองจ้องเธออย่างไม่สุภาพ แต่ครั้นแล้วข้าพเจ้าก็หัวเราะ.

“คุณหญิงปดผม. ผมรู้ว่าคุณหญิงพูดล้อผม.”

​“อะไรกัน? นี่เธอคิดว่าฉันมีอายุเท่าไหร่กันเล่า บอกฉันเร็วเทียวว่า เธอเดาฉันไว้อย่างไร?”

“ผมคิดว่าอย่างไรเสียอายุของคุณหญิงไม่สูงกว่า ๒๘ ปีเป็นแน่. ความจริงคุณหญิงคงจะมีอายุ ๒๖-๒๗ ปีเท่านั้น.”

“๒๖ ปี!” เธอร้อง ในดวงตาของเธอมีประกายแห่งความปีติฉายอยู่ “เธอทำให้ฉันหวนระลึกถึงความรู้สึกของฉันเมื่อ ๙ ปีล่วงมาแล้ว ฉันจดจำความรู้สึกของฉันได้แม่นยำว่า ในเวลานั้นชีวิตของฉันยังเต็มไปด้วยความหวัง ฉันไม่เคยสังหรณ์หรือหวาดสะดุ้งไปแม้แต่ขณะหนึ่งว่า ฉันจะต้องเข้าสู่พิธีวิวาห์กับท่านสุภาพบุรุษซึ่งมีอายุเข้าเขตชราภาพแล้ว. มันเป็นธรรมชาติของฉันที่ไม่ชอบความทรุดโทรมเหี่ยวแห้ง อับเฉา ในบางคราวฉันอาจกล่าวได้ว่าฉันกลัว แต่ว่านั่นมันเป็นเวลาตั้ง ๙ ปีมาแล้ว.”

“ก็เดี๋ยวนี้มีอะไรเกิดขึ้นแก่คุณหญิงเล่าครับ?” ข้าพเจ้าถามด้วยความฉงนสนเท่ห์ยิ่งขึ้น.

“มีอะไรเกิดขึ้นหรือ?” เธอทวนคำถามข้าพเจ้าช้า ๆ ทอดสายตาเหม่อมองไปข้างหน้า “ความสาวและความฝันอันสวยงามก็เข้ามาอำลาฉัน. ฉันควรจะอนุญาตหรือไม่ มันมิใช่ปัญหา. ฉันจำต้องอนุญาตอยู่เอง. นอกจากนั้นเธอก็เห็นแล้วว่า ฉันได้แต่งงานกับท่านเจ้าคุณ.”

ข้าพเจ้าเกือบจะถามออกไปแล้วว่า เธอหมายความว่าเธอไม่พอใจในการแต่งงานนี้หรือ แต่สติสัมปชัญญะยังคงมีอำนาจสูงกว่าความอยากรู้ ข้าพเจ้าสำนึกได้ว่าออกจะเป็นการไม่สุภาพ และอาจจะเป็นการละลาบละล้วงเกินไป ที่จะตั้งคำถามเอาแก่เธออย่างตรงไปตรงมาเช่นนั้น.

“แม้ว่าฉันจะไม่ชอบความเหี่ยวแห้งทรุดโทรมเพียงใด และแม้ว่า​ฉันจะรักความสวยสดงดงามเพียงใด แต่เวลา ๙ ปีมันก็ผ่านฉันไปเสียแล้ว” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดต่อไป “ฉันอยากจะเป็นอย่างที่เธอเดาว่าฉันคงจะเป็น แต่คนเราจะฝืนความจริงไปไม่ได้ทั้งหมด.”

“แล้วความจริงเป็นอย่างไรเล่าครับ ?”

“ความจริงฉันก็ไม่เป็นหญิงสาวอายุ ๒๖-๒๗ ปีอย่างที่เธอเข้าใจน่ะซี” เธอยิ้มน้อย ๆ ด้วยอารมณ์เย็น “ฉันไม่ได้ปดหรือคิดจะล้อเธอเลย เมื่อฉันพูดว่าฉันมีอายุถึง ๓๕ ปีแล้ว. เธอจะเห็นว่าฉันได้ผ่านวัยที่เขาเรียกว่าครึ่งคนค่อนคนเข้ามาแล้ว ดังนั้นฉันรู้สึกว่าฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกตัวเองว่าเป็นหญิงสาวได้เลย.”

“แต่ผมไม่ควรจะเชื่อนัยน์ตาของผมยิ่งกว่าคำบอกเล่าของคุณหญิงดอกหรือ ?” ข้าพเจ้าพูดอย่างจริงใจ.

“วันนี้นพพรดื้อจริง ๆ.” เธอชายตามายิ้มอย่างน่ารัก.

“โปรดอภัยให้แก่ความดื้อที่สุจริตของผม. ร้อยทั้งร้อยเขาจะปฏิเสธไม่ยอมเชื่อ ถ้าคุณหญิงบอกเขาว่าคุณหญิงมีอายุ ๓๕ ปี. ความเป็นสาวและความเปล่งปลั่งในตัวคุณหญิงนั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้แจ้งชัด แม้ว่าจะปิดตาเสียข้างหนึ่ง.”

“และเว้นเสียแต่ว่า อีกข้างหนึ่งที่เหลืออยู่จะมิใช่ดวงตาที่บอด.” เธอพูดอย่างสนุก.

“ผมพูดด้วยความสัตย์จริง.”

“ดีแล้ว. นพพร เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้เธอเที่ยวไปเดาอายุของใคร ๆ ผิดไป ฉันจะบอกความจริงแก่เธอข้อหนึ่งว่า ผู้หญิงที่รู้จักรักษาตัวบำรุงตัวอยู่เป็นเนืองนิตย์นั้น อาจที่จะลดอายุลงมาได้ราว ๆ ๕ ปีจากของจริงเสมอ.”

“แต่คุณหญิงคงจะได้ประทานพรจากพระอินทร์หรือมิฉะนั้นก็คง​จะได้อาบไฟศักดิ์สิทธิ์เช่นพระนางอัชฌา จึงสามารถดำรงความงามความสดชื่นไว้ได้อย่างประหลาด. ผมไม่เคยพบสตรีคนใดที่จะได้ทำให้ผมเข้าใจผิด อย่างที่ผมกำลังเข้าใจผิดในตัวคุณหญิง. บอกผมหน่อยซิว่า คุณหญิงมีวิธีการเป็นพิเศษลี้ลับอย่างไรบ้าง.”

“พอ พอที.” เธอโบกมือให้ข้าพเจ้าสงบปากคำ “ฉันจะไม่พูดกับเธอต่อไปแล้วในเรื่องนี้. รู้ไหม นพพร เธอตั้งใจจะเยินยอฉันตลอดเวลา และการที่ประพฤติเช่นนั้นจะทำให้เธอเสียเด็ก.”

เธอวางหน้าอย่างเคร่งขรึม และเดินต่อไปโดยไม่พูดอะไรอีก. ถ้าในวันแรก ๆ ที่ได้พบกัน และหม่อมราชวงศ์กีรติได้พูดกับข้าพเจ้าด้วยสีหน้าท่าทางเช่นนี้ ข้าพเจ้าคงจะตกใจมาก แต่เมื่อเรามีความสนิทสนมกันพอที่ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้ว่า เธอหมายความอย่างไรในการที่พูดเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็ได้แต่อมยิ้ม.

เรากลับถึงบ้านเป็นเวลาโพล้เพล้ ท่านเจ้าคุณยังไม่กลับ. ข้าพเจ้าก็อยู่เป็นเพื่อนหม่อมราชวงศ์กีรติต่อไป. เมื่อเธอผลัดเครื่องแต่งตัวอาบน้ำเสร็จแล้ว เธอได้ขอให้ข้าพเจ้าไปอาบน้ำเสีย ก่อนที่จะถึงเวลารับประทานอาหาร เธอไม่ยอมที่จะเห็นข้าพเจ้ามีหน้าตาขะมุกขะมอม ไม่สะอาดหมดจด ดังนั้น คำปฏิเสธของข้าพเจ้าจึงไม่เป็นผล และด้วยเหตุอะไรที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกชื่นอกชื่นใจอย่างผิดปรกติเนื่องในคำแนะนำขอร้องของเธอเพื่อประโยชน์แก่ตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถจะตอบปัญหาข้อนี้ได้

ความรู้และความเพลิดเพลินที่ได้รับจากการสนทนากับหม่อมราชวงศ์กีรติในเย็นวันนั้น ได้ติดตามมาในความคิดคำนึงของข้าพเจ้าตลอดเวลาที่เดินทางกลับบ้าน. เรื่องอายุอานามของหม่อมราชวงศ์กีรติ เป็นความรู้ใหม่ที่ข้าพเจ้าได้รับโดยมิได้คาดคิดมาแต่ก่อน เป็นสิ่งที่ทำให้​ข้าพเจ้าพิศวงงงงวยอย่างที่สุด แม้ข้าพเจ้าจะเชื่อแล้วว่าคำบอกเล่าของเธอเป็นความจริง. ถ้าข้าพเจ้าได้ทราบเสียแต่แรกเริ่มว่าเธอมีอายุตั้ง ๓๕ ปี ซึ่งแปลว่าเธอแก่กว่าข้าพเจ้าถึง ๑๓ ปีแล้ว ข้าพเจ้าก็คงจะรู้สึกว่าเธอเป็นผู้ใหญ่เสียเหลือเกิน และข้าพเจ้าคงจะไม่อาจประพฤติตนสนิทสนมกับเธอในทำนองที่เป็นอยู่ได้. แต่ว่าเมื่อในที่สุดเราได้มีความสนิทสนมต่อกันฐานเพื่อนเสียแล้ว เรื่องอายุของเธอก็เป็นแต่เงาของความจริงเท่านั้น. ข้าพเจ้าจึงคงรู้สึกว่าหม่อมราชวงศ์กีรติเป็นเพื่อนที่มีอายุแก่กว่าข้าพเจ้าเพียง ๓-๔ ปี คำบอกเล่าในเรื่องอายุอันแท้จริงของเธอ มิได้กีดกันข้าพเจ้าให้ห่างไกลออกมาจากความสัมพันธ์อันสนิทสนมในทางใจที่ข้าพเจ้าได้มีต่อเธอแม้แต่นิดเดียว.

อย่างไรก็ตาม คำชี้แจงของเธอในบางตอนซึ่งข้าพเจ้าไม่อาจจะเข้าใจความหมายได้ เฉพาะอย่างยิ่ง ในตอนที่กล่าวถึงการที่เธอได้มาแต่งงานกับท่านเจ้าคุณ ได้ก่อให้เกิดความซึ่งแก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก ตามที่เธอพูดทิ้งไว้สั้น ๆ นั้นถ้าข้าพเจ้าจะตีความเอาเอง ข้าพเจ้าก็จะต้องตีความไปในทางที่ว่าเธอหาได้มีความสมัครใจในการแต่งงานไม่ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่แน่ใจว่า การตีความเช่นนี้จะเป็นการถูกต้องกับความเป็นจริง ยิ่งครุ่นคิดไป ข้าพเจ้าก็กลับเห็นไปว่า ปัญหาในเรื่องการแต่งงานของหม่อมราชวงศ์กีรติยิ่งจะกลายเป็นความลี้ลับหนักขึ้นกว่าเดิมอีก.

ในที่สุด เมื่อกลับมาถึงบ้านและล้มตัวลงนอน ข้าพเจ้าได้ตั้งปัญหาถามตัวเองว่า ด้วยเหตุอันใดข้าพเจ้าจึงเก็บเอาเรื่องราวส่วนตัวของหม่อมราชวงศ์กีรติมาครุ่นคิด ข้าพเจ้ามีหน้าที่หรือความจำเป็นอะไรที่จะต้องไปขบปัญหาเหล่านั้น ในเวลานั้นข้าพเจ้าอาจที่จะนับตัวเองว่าเป็นเพื่อนที่สนิทคนหนึ่งของเธอก็จริง แต่ก็มีเหตุผลอะไรที่ข้าพเจ้าจะต้องครุ่นคิดถึง​เรื่องราวส่วนตัวของเธอ โดยทั้งที่เธอเองไม่แสดงว่าได้มีความเดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลย หรือจะว่าได้ออกปากขอร้องให้ข้าพเจ้าขบปัญหาเกี่ยวแก่ตัวเธอในข้อหนึ่งข้อใดก็เปล่าทั้งสิ้น เมื่อได้ตั้งปัญหาขึ้นถามตัวเองดังนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่สามารถตอบได้ ดังนั้น จึงพยายามกำจัดปัดเป่าความครุ่นคิดอันไม่มีเหตุผลนี้ให้พ้นไป ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกว่าเป็นการซึ่งต้องใช้ความพยายามไม่น้อย.

 


18



เมื่อสองสัปดาห์ผ่านไป เมื่อความสนิทสนมได้มีขึ้นในระหว่างเราทั้งสอง ข้าพเจ้ามองเห็นหม่อมราชวงศ์กีรติเป็นอีกคนหนึ่ง. เธอมิใช่คนเงียบขรึมนัก. กับข้าพเจ้าในตอนหลัง ๆ ดูเธอเป็นคนพูดเก่งไม่น้อย เป็นคนต้องการความเริงรมย์ตามทำนองของเธอ. เธอพูดได้ทั้งในเรื่องจริงจังและเรื่องที่ไร้แก่นสาร. ในเวลาที่เธอพูดเรื่องจริงจัง ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเธอเป็นคนมีความคิดความอ่านสูงกว่าข้าพเจ้ามาก. ข้าพเจ้าประหลาดใจว่า ทำไมเจ้าคุณอธิการบดีจึงคิดเห็นไปว่าภรรยาของท่านยังรู้จักโลกและชีวิตน้อยนัก.

ในเวลาที่เธอได้รับความเบิกบานใจในการสนทนากับข้าพเจ้าสองต่อสอง เธอเคยเปล่งหัวเราะเต็มที่ เสียงหัวเราะของเธอเต็มไปด้วยชีวิตและความบริสุทธิ์ของเด็ก มีกังวานแจ่มใสและซึ้ง กังวานเช่นนี้ย่อมจะระรัวอยู่ในหัวใจของผู้ฟังไปนาน. ในเวลาเช่นนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่า หม่อมราชวงศ์กีรติเป็นเพื่อนที่สนิทสนมของข้าพเจ้าอย่างที่สุด. ข้าพเจ้ามีความจงรักภักดีต่อเธออย่างที่สุด.

​อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งสองสัปดาห์ล่วงไปแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังไม่สามารถตอบปัญหาในเรื่องราวของหม่อมราชวงศ์กีรติแก่ผู้ที่มาคอยถามข้าพเจ้าได้. ชีวิตก่อนแต่งงานของเธอเป็นอย่างไร และอะไรคือต้นเหตุที่ชักนำให้เธอมาแต่งงานกับเจ้าคุณสามีของเธอนั้น ยังคงเป็นความลี้ลับสำหรับข้าพเจ้าอยู่. ไม่มีใครเลยจะคิดเห็นไปว่า เธอแต่งงานเพราะความรัก. มันไม่ใช่ของแปลกที่ความงามเช่นนี้กับวัย ๕๐ ปีย่อมจะวิวาห์กันได้ก็จริงอยู่ แต่ว่าความงามเช่นนี้กับวัย ๕๐ ปีจะรักกันได้นั้น ก็น่าจะถือว่าเป็นการผิดธรรมดาได้. เพราะว่าการวิวาห์กับความรักเป็นคนละอย่างต่างกัน. ความคิดเห็นของคนโดยมากเอนเอียงไปในทางที่ว่า อานุภาพของพระเจ้าเงินตราคงจะเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ไม่น้อยในการแต่งงานรายนี้ - และเช่นเดียวกับรายอื่น ๆ – หญิงสาวจำต้องเข้าสู่พิธีวิวาห์ในที่สุด ด้วยไม่สามารถต้านทานต่อความข่มขู่บังคับซึ่งอาจมีมาจากทางต่าง ๆ. แต่ว่าในการแต่งงานของหม่อมราชวงศ์กีรติ ก็หามีใครที่จะกล้าลงความเห็นแน่นอนไปในทางนั้นไม่ เพราะว่าเท่าที่จะทราบได้ หม่อมราชวงศ์กีรติก็ดูมีความชื่นชมยินดีในสามีของเธอดีอยู่.

ในสายตาของข้าพเจ้า หม่อมราชวงศ์กีรติได้ใช้วันคืนในโตเกียว ด้วยความเบิกบานบันเทิงเป็นที่ยิ่ง. เมื่อได้มีโอกาสออกไปนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นในที่ใด ๆ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าเธอมองดูทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความสนใจพินิจพิเคราะห์ และในดวงตาของเธอเล่าก็แวววาวไปด้วยความปีติ. ความสนใจในสิ่งต่าง ๆ เช่นนี้ ทำให้เธอดูเป็นคนเคร่งขรึมผิดกับวัยของเธอมาก และดังนั้นทำให้ผู้ที่ไม่มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับเธอยากที่จะมีความสนิทสนมกับเธอได้.

มีความรู้ใหม่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของเรา ในขณะที่เราออกไปเดินเล่นด้วยกันแต่ลำพังสองคนในเย็นวันหนึ่งของสัปดาห์ที่สาม.

​เย็นวันนั้นเจ้าคุณออกไปเล่นกอล์ฟ. ภรรยาของท่านไปจ่ายของที่ถนนยินซ่า เมื่อกลับมา พักผ่อนได้ครู่ใหญ่ เธอก็ชวนข้าพเจ้าออกไปเดินเล่น. ถนนสายที่เรากำลังเดินอยู่นั้นอยู่ห่างจากหลังบ้านเราไปเล็กน้อย เป็นถนนที่สงบและร่มรื่นด้วยเงาของต้นไม้สองข้างทาง บางตอนผ่านไปบนเนินสูงและเบื้องล่างมีไร่ซึ่งแลดูเขียวชอุ่มไปด้วยพรรณผักต่าง ๆ เป็นถนนที่เงียบสงบ นาน ๆ จึงจะมีรถบรรทุกของแล่นผ่านเราไปสักครั้งหนึ่ง. หม่อมราชวงศ์กีรติได้เคยออกมาเดินเล่นบ้างในบางคราวใกล้ ๆ บริเวณบ้าน และได้เคยแสดงความจำนงไว้ว่า จะเดินทางไกลไปบนถนนสายนี้สักวันหนึ่งเพื่อชมภูมิประเทศของละแวกนั้น และในวันนั้นนับเป็นครั้งแรกที่เธอได้ปฏิบัติตามความจำนงของเธอ.

เราได้ใช้เวลานานในการเดินเล่นวันนั้น และในเวลานั้นเรามีความคุ้นเคยสนิทสนมกันพอที่จะไม่ต้องปล่อยให้เวลาล่วงไปเปล่า ๆ โดยต่างคนต่างไม่พูดอะไรเหมือนอย่างที่ได้พบกันในครั้งแรก ๆ. หม่อมราชวงศ์กีรติก็ไม่เป็นคนเคร่งขรึมต่อไปแล้วเมื่อเราอยู่ด้วยกันแต่ลำพัง. เรามีเรื่องสนทนากันมาก เรื่องหนึ่งหมดไปเรื่องใหม่ก็เข้ามาแทนที่ บางเรื่องก็เป็นเรื่องยืดยาว และบางเรื่องก็จบไปด้วยคำพูดเพียงสองสามประโยค.

เด็กชายอายุราว ๑๒ – ๑๓ ขวบสองคนขี่รถจักรยานคันเล็กผ่านเราไป เขามองดูเราทั้งสองแล้วยิ้มอย่างร่าเริง หม่อมราชวงศ์กีรติได้ยิ้มให้เขานิดหน่อย.

“ฉันเบิกบานใจมากวันนี้” เธอพูด สูดลมหายใจแรง ยังมียิ้มละไมอยู่ในหน้านั้น.

“เพราะอะไรครับ?” ข้าพเจ้าสอดถาม “ผมน่ะเกรงว่าคุณหญิงจะเบื่อ เพราะไม่เห็นมีอะไรที่จะน่าชม.”

“ไม่มีอะไรที่จะน่าชม - เธอพูดอะไรอย่างนั้น” พลางเธอชี้มือไปที่​ไร่ผักกาดสีเขียวอ่อนซึ่งอยู่ต่ำจากทางเดินของเราทางขวามือ ไกลออกไปข้างหน้า “เธอไม่เห็นหรือว่าสีเขียวสดของใบผักกาดเมื่อต้องแสงแดดอ่อน ก็แลดูคล้ายกำมะหยี่นั่นน่ะ เป็นภาพที่สวยงามน่าดูเพียงไร แล้วก็บรรดาลูกมะเขือสีช็อกโกแลตที่เยาว์วัยเหล่านั้น ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกว่า มันเป็นเพื่อนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอดอกหรือ แล้วก็ถัดออกไป ไร่ผักต้นสูง ๆ ใบเล็กเรียว ที่หมุนพลิ้วไปตามกระแสลมนั้น ไม่ได้ช่วยให้จิตใจของเธอร่าเริงไปด้วยดอกหรือ.”

“คุณหญิงพูดราวกับกวี” ข้าพเจ้าหัวเราะ

“เธออย่าขับฉัน เขาว่ากวีเป็นคนคร่ำครึ. ฉันไม่ใช่กวี แต่ถ้าเธอจะหมายว่าฉันเป็นกวีเพราะเหตุอย่างเดียวที่มีความเห็นคร่ำครึฉันก็ยอม” เธอยิ้มอย่างสดชื่นเมื่อมองมาที่ข้าพเจ้า “จริงนะ. นพพร สิ่งเหล่านั้นเป็นบ่อเกิดแห่งความเบิกบานของฉันจริง ๆ. เธอคงจะได้สังเกตเห็นสีชมพูที่แก้มยุ้ยของเด็กชายสองคนเมื่อตะกี้นี้ แล้วก็ยิ้มอย่างร่าเริงและดวงตาแจ๋วแหวว. อา, เธอจะหาอะไรที่น่าชมไปยิ่งกว่านั้นเล่า.”

“ผมเพิ่งรู้ คุณหญิงเป็นนักปราชญ์” เมื่อพูดประโยคนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าไม่ได้พูดเล่นเลย.

“ฉันจะไม่บรรยายอะไรอีกละ เพราะเธอตั้งกองมายอฉันเสียแล้ว” เธอพูดพลางวางท่าสงบเสงี่ยมและเดินต่อไปเงียบ ๆ.

“ผมพูดด้วยความสัตย์จริง” ข้าพเจ้ารีบแก้.

“นั่นยิ่งทำให้ฉันไม่ยอมพูดใหญ่.”

ข้าพเจ้าอมยิ้ม. เราเดินต่อไปเงียบ ๆ ครู่หนึ่งเธอหันมาพูดว่า

“ถามจริงๆ เถอะ เธอไม่เห็นด้วยกับฉันดอกหรือว่า ในบรรดาสิ่งที่ฉันกล่าวถึงนั้นเพียบพร้อมไปด้วยความน่าชมเพียงใด.”

“ผมไม่ด้านความเห็นของคุณหญิงเลย ผมเห็นด้วยทุกประการ ​ที่ถามขึ้นก็ด้วยเป็นห่วงแทน เพราะว่าโดยทั่วไปแล้วผู้หญิงไม่ใคร่สนใจในสิ่งเหล่านี้ แต่คุณหญิงเป็นคนพิเศษ.”

“เธอให้ฉันเป็นกวี เป็นนักปราชญ์ แล้วยังให้เป็นคนพิเศษอีก. เธอดื้อจริง ๆ วันนี้ นพพร. ฉันต้องทำความตกลงใจอย่างเด็ดขาด”

“ในข้อที่จะลงความเห็นว่า ผมเป็นเด็กดื้อน่ะหรือ?”

“จ้ะ, ถูกเหมือนกัน แต่ฉันหมายว่าฉันจะไม่ยอมพรรณนาถึงเรื่องเหล่านั้นอีก.”

ท่าทีที่สงบเสงี่ยมเจือปนอาการกิริยาของเด็กเล็กน้อยนั้น ทำให้ข้าพเจ้าแลเห็นเสน่ห์ และความงามของหม่อมราชวงศ์กีรติอย่างที่ไม่มีคราใดจะเปรียบปาน. ข้าพเจ้าก็ได้แต่เพลินชมและสรรเสริญอยู่แต่ในใจ.

เราเดินมาใกล้หมู่บ้าน และกำลังมาถึงทางแยกซึ่ง ณ ที่นั้นมีกาเฟสถานจำพวกปอน ๆ ตั้งอยู่. ขณะที่เราจะผ่านเลยไป ก็พอมีรถยนต์คันหนึ่งแล่นมาหยุดอยู่ หญิงสาวสองคนก้าวลงมาจากรถ มีดวงหน้าสีชมพูเข้ม ยืนทรงตัวไม่สู้สะดวก ชายสองคนก้าวตามลงมา ไม่ได้สวมเสื้อนอก แต่ได้ถอดออกถือไว้ด้วยความร้อน นัยน์ตาปรือคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งเบิกโต มีเปลวไฟลุกอยู่ในดวงตานั้น ชายสองคนเข้าประคองกอดหญิง แล้วพากันเดินเซไปข้างซ้ายครั้งหนึ่ง เซกลับมาข้างขวาครั้งหนึ่ง เข้าสู่กาเฟสถานลับตาไป.

“เด็กหนุ่ม ๆ อย่างเธอคงจะพอใจภาพเช่นนี้” เธอเริ่มพูดต่อไปเมื่อเราผ่านทางแยก.

ข้าพเจ้าทราบดีว่าเธอมิได้จงใจที่จะหมายความเช่นนั้น เธอเพียงแต่จะแสร้งพูดแดกดันเอาเท่านั้น แต่ข้าพเจ้าก็ได้ตอบถ้อยคำของเธออย่างเป็นการปรกติ.

​“ตรงกันข้าม ผมรังเกียจมาก”

“ความสนุกอย่างน่าเกลียดเช่นนี้มักจะมีทั่วไปนะ นพพร ไม่ว่าในประเทศใด ๆ. ทำไมเขาจะประพฤติให้เรียบร้อยกว่านี้สักหน่อยไม่ได้หรือ. นี่ก็ยังไม่มืดค่ำ และทำไมจะต้องทำกันอย่างนั้นตั้งแต่กลางถนน จะคอยให้ลับตาคนสักหน่อยไม่ได้หรือ. หรือว่านั่นเขานิยมกันว่าเป็นของเก๋.”

“ผมไม่คิดว่าคนทั่วไปจะเห็นเป็นของเก๋ มันคงเป็นความประพฤติเฉพาะคนหนึ่ง ๆ. ผมได้ยินว่าในเมืองไทยเรา ตั้งแต่เปิดโรงเบียร์ฮอลล์กันทั่วพระนครแล้ว ความสนุกเช่นนี้ก็ดูมีกันดกดื่นมิใช่หรือ?”

“ฉันก็ได้ยินว่ามี แต่ฉันไม่เคยเห็น และเดาไม่ได้ว่าจะมีกันถึงขนาดไหน. อย่างที่ผ่านมาเมื่อตะกี้นี้ ฉันก็ออกจะไม่ได้คาดอยู่แล้ว.”

“แต่ความจริงดูเหมือนเป็นของธรรมดาสำหรับกาเฟสถานทั่วไป.”

“นพพรเป็นโคลัมบัสของฉัน เธอทำให้ฉันได้มาพบโลกใหม่.”

“คุณหญิงเสียใจหรือครับ ที่ได้ถูกชักนำให้มาพบกับของโสโครกเช่นนี้.”

“ฉันชอบศิลปะ. ฉันพอใจที่จะพินิจดูกิ้งกือ ไส้เดือน เท่ากับที่จะพินิจดูดวงดาวในท้องฟ้า. ฉันไม่เสียใจเลย. นพพร ฉันกลับขอบใจเธอด้วยซ้ำ แต่เมื่อแยกศิลปะออกไปเสียส่วนหนึ่งแล้ว การที่ได้มาเห็นภาพเช่นนี้ก็ทำให้กระเทือนใจนิดหน่อย. แต่ในทางศิลปะนั้น ความกระเทือนใจมีประโยชน์มาก.”

“คุณหญิงเป็นศิลปินด้วย และอาจจะเป็นทั้งจิตรศิลปินและวรรณศิลปิน” ข้าพเจ้าร้องด้วยความประหลาดใจ และเป็นความประหลาดใจอันแท้จริง.

​“นพพร, เธอโปรดระวังคำพูดสักหน่อย เธอต้องจดจำไว้บ้างว่า เพียงชั่วเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เธอได้ให้ตำแหน่งแก่ฉันถึง ๔ ตำแหน่งแล้ว.”

“ผมรู้สึกว่าผมจะฉลาดขึ้นมาก จะฉลาดอย่างผิดสังเกต ถ้าได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณหญิงต่อไปสักหนึ่งปี.” ข้าพเจ้าไม่ฟังคำห้ามปรามของเธอ ด้วยแน่ใจว่าได้พูดอย่างจริงใจ.

เธอชายตามองดูข้าพเจ้า ประหนึ่งจะสำรวจลงไปให้ซึ้งว่า มีความหมายอะไรอยู่อีกบ้างในคำพูดนั้น.

“เธอดื้ออย่างน่ารัก.” พูดพลางเธอยิ้ม “แต่ว่าเธอต้องการเพียงปีเดียวเท่านั้นแหละหรือ?”

“ผมหมายว่าอย่างน้อยที่สุด” ข้าพเจ้ารีบชี้แจง. “แต่ถ้าให้ผมเลือกอย่างจุใจแล้ว-ก็-ไม่มีกำหนด.”

หม่อมราชวงศ์กีรติหัวเราะ. เสียงหัวเราะนั้นบกพร่องในกังวานแจ่มใสไปบ้าง.

“แต่ฉันจะอยู่ที่นี่เพียง ๘ สัปดาห์เท่านั้น และเวลานี้เรากำลังจะผ่านสัปดาห์ที่สาม.”

“เวลาล่วงไปเร็วเหลือเกิน” ข้าพเจ้าพูดเสียงอ่อย ๆ “ผมอยากเป็นหนุมานเวลานี้.”

“เพื่อเธอจะได้ไปห้ามรถพระอาทิตย์หรือ?”

“แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้นะครับ” ข้าพเจ้าพูดต่อไปอย่างจริงจัง “ผมคิดว่า ถ้าผมชวนให้เจ้าคุณยืดเวลาอยู่ที่นี่ออกไปอีกนิดหน่อย คุณหญิงคงจะไม่ขัดข้อง.”

“ฉันเป็นผู้โคจรตามพระอาทิตย์ ฉันเลือกไม่ได้ สุดแต่พระอาทิตย์” ​เธอตอบอย่างสนุก “แต่เธออย่าลืมว่า มหาวิทยาลัยของเธอจะเปิดเทอมในไม่ช้า.”

“ผมไม่ลืมเลย แต่ผมอาจที่จะมารับการอบรมความฉลาดจากคุณหญิงนอกเวลามหาวิทยาลัยได้เสมอ.”

ต่อจากนั้นหม่อมราชวงศ์กีรติได้ไต่ถามข้าพเจ้าถึงเรื่องการศึกษาเล่าเรียน และเมื่อพูดถึงเรื่องที่จริงจัง ท่าทางของเธอก็ดูเคร่งขรึม ข้าพเจ้าก็กลายเป็นเด็กเล็กไป มิใช่เพื่อนเล่นเพื่อนหัวของเธอ. เราเดินต่อไป อีกสักครู่ใหญ่ ๆ ก็มาถึงละแวกที่ชุมนุมชนตั้งทำมาค้าขายคับคั่ง และมียวดยานผ่านไปมามิหยุดหย่อน ไม่สะดวกแก่การเดินพักผ่อนหย่อนอารมณ์ เราจึงตกลงเดินทางกลับ และในไม่ช้าเราก็คืนเข้าสู่ถิ่นที่อันสงบเงียบและงดงามไปด้วยภูมิภาพธรรมชาติ.

 


19



​เหตุการณ์และความรู้สึกต่าง ๆ ในวันแรก ที่บันดาลให้คน ๆ หนึ่งเข้ามาแนบอยู่ในชีวิตของเรานั้น ย่อมประทับอยู่ในความทรงจำของเราอย่างไม่มีวันลืม. เครื่องแต่งกายชุดสีน้ำเงิน มีดวงดอกขาวเล็ก ๆ หมวกสีขาว และรองเท้าสีขาว เป็นเครื่องแต่งกายของสุภาพสตรีชุดแรกที่เข้ามาฝังอยู่ในหัวใจของข้าพเจ้า เป็นชุดที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่า มีสง่าและภาคภูมิอย่างยิ่ง หม่อมราชวงศ์กีรติเป็นคนร่างอวบ แต่ว่าไม่ใช่คนใหญ่โต. สมบูรณ์และเปล่งปลั่ง ผิวอ่อน ดวงหน้านั้นเมื่อได้สังเกตเห็นโดยใกล้ชิดและบ่อยครั้ง ก็ยิ่งประจักษ์ในความสวยงามเด่นชัดทวีขึ้น. ดวงตาดำใหญ่ภายใต้ขนคิ้วยาว มีน้ำสุกใสหล่ออยู่ในดวงตานั้น. แก้มปลั่ง คางเล็กเชิดนิดหน่อยจนมีรอยบุ๋มอันน่าพิศวาสเหนือลูกคางนั้น. ริมฝีปากเรียวยาวและเต็ม ประทับด้วยรูปสามเหลี่ยมสีแดงสองรูปเบื้องบนและอีกรูปหนึ่งที่เบื้องล่าง ทำให้ริมฝีปากคู่นั้นมีความงามเหนือสิ่งใด ๆ หมด. ข้าพเจ้าต้องยอมสารภาพว่า ไม่เคยเห็นริมฝีปากงามคู่ใดที่จะได้เคยตั้งอยู่บนคางเล็ก ๆ นั้น และยังตบแต่งได้งามถึงปานนั้นด้วย.

​ข้าพเจ้าทราบดีว่า เจ้าคุณอธิการบดีเป็นคนดีมาก และข้าพเจ้าเองก็มีความเคารพท่านเป็นอย่างยิ่ง แต่กระนั้นก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้ว่า ด้วยเหตุอะไรในโลกนี้หนอ ที่สนับสนุนให้ความสวยงามถึงปานนี้ได้วิวาห์กับวัยชรา ๕๐ ปี. ข้าพเจ้ามีความฉงนใจอย่างเด็กหนุ่ม ซึ่งอยากจะรู้อยากจะเข้าใจความเป็นไปต่าง ๆ ความฉงนใจของข้าพเจ้าไม่ได้เป็นไปอย่างจริงจังนัก และไม่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกส่วนตัวในผู้หนึ่งผู้ใดเลย. ข้าพเจ้าสังเกตว่า หม่อมราชวงศ์กีรติก็ดูมีความพออกพอใจ และมีความเบิกบานในชีวิตแต่งงานใหม่ ๆ ของเธอดีอยู่. นี่เป็นข้อที่เพิ่มความฉงนสนเท่ห์ใจของข้าพเจ้ายิ่งขึ้น. ข้าพเจ้าแน่ใจว่า หม่อมราชวงศ์กีรติมิใช่หญิงม่ายอยู่ก่อน เพราะความเปล่งปลั่งนั้นแลดูสดใสและใหม่เอี่ยมทุกประการ.

​หม่อมราชวงศ์กีรติเป็นคนสงบเงียบ สมตามคำที่ท่านเจ้าคุณได้บอกล่วงหน้า. ในระหว่างทางจากสถานีโตเกียวมาบ้านซึ่งรถวิ่งกินเวลาราว ๒๐ นาที เธอได้ปราศรัยกับข้าพเจ้าสองสามประโยค. เมื่อมาถึงบ้านข้าพเจ้าทราบได้ว่า เธอมีความชื่นชมในบ้านที่ข้าพเจ้าจัดเตรียมไว้รับรองนั้น ยิ่งกว่าที่ท่านเจ้าคุณเองจะรู้สึกได้เสียอีก. เธอตื่นเต้น ไม่ต้องสงสัย แต่เธอสามารถบังคับความตื่นเต้นไว้ได้. เธอเดินตรวจห้องและชมเครื่องตบแต่งต่าง ๆ ด้วยกิริยาการแช่มช้า ปราศจากอาการลุกลนตื่นเต้น. ในบางครั้งเธออุทานคำชมเชยด้วยเสียงซึ่งแสดงความยินดีอย่างลึกซึ้ง เธอไม่ได้พูดมากและบ่อยนัก แต่ข้าพเจ้าอ่านความชื่นชมยินดีของเธอได้จากดวงตา. ข้าพเจ้ารู้สึกในบัดนั้นว่า เธอไม่เหมือนกับสตรีโดยมากที่ข้าพเจ้าได้เคยพบมา.

ในระหว่างรับประทานอาหาร หม่อมราชวงศ์กีรติได้ไต่ถามข้าพเจ้าถึงเรื่องการศึกษา และความเป็นอยู่พอสมควร. ข้าพเจ้าแปลกใจที่เธอไม่ได้ซักถามถึงความสนุก และสิ่งที่น่าตื่นเต้นของนครโตเกียว ซึ่งเป็นธรรมดาของคนที่แรกมาถึงมักจะซักถาม. แต่เธอฟังท่านเจ้าคุณและข้าพเจ้าสนทนากันถึงเรื่องต่าง ๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เธอดูเป็นผู้ใหญ่ จนข้าพเจ้ามีความยำเกรง แต่ความสาวและความสวยพริ้งของเธอ ก็ยังเป็นเครื่องฉงนสนเท่ห์ใจของข้าพเจ้าอยู่.

ในขณะที่เจ้าคุณอธิการบดีกับภรรยาของท่านมาถึงนครโตเกียวนั้น บังเอิญเป็นฤดูร้อน และมหาวิทยาลัยก็กำลังปิดเทอมใหม่ ๆ ข้าพเจ้าก็มีเวลาฟรีเต็มที่ เป็นโอกาสดีอย่างยิ่งที่ข้าพเจ้าจะสละเวลาให้แก่ท่านเจ้าคุณได้ตามแต่ท่านจะต้องการ. ท่านเจ้าคุณเองในชั้นแรกก็ไม่สู้พอใจ ที่ได้มาพบความร้อนอย่างเดือนเมษายนในกรุงเทพฯ ที่โตเกียว. อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นการตัดสินใจของท่านเอง มิใช่โดยคำแนะนำของ​ข้าพเจ้า. แต่เมื่อได้ทราบว่า การมาถึงโตเกียวในฤดูร้อนนั้นได้แลกกับโอกาสดีอย่างหนึ่ง คือการหยุดเทอมของข้าพเจ้า ซึ่งอาจเป็นประโยชน์มากแก่ท่านในทางอื่น ท่านก็มีความพอใจ.

ในสัปดาห์แรก ข้าพเจ้าได้ใช้เวลาคลุกคลีอยู่กับท่านทั้งสองแทบตลอดทั้งวัน มี ๒-๓ ครั้งเท่านั้นที่ข้าพเจ้าไม่ได้รับประทานอาหารกลางวันหรืออาหารเย็นร่วมกับท่านทั้งสอง. ในตอนแรก ๆ ที่มาถึง ท่านเจ้าคุณต้องไปพบปะมิตรบางคนของท่าน ทั้งคนญี่ปุ่นและคนไทย มีท่านอัครราชทูตเป็นต้น และนอกจากนั้นท่านอยากจะดูความเป็นไปของบ้านเมืองและสถานที่ต่าง ๆ ตามธรรมดาของคนที่แรกมาถึงต่างประเทศ. ข้าพเจ้าต้องประจำทำหน้าที่เป็นผู้นำทางของท่าน เพราะว่าถ้าปราศจากผู้นำทางที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้แล้ว การไปไหนมาไหนของท่านจะได้รับความลำบากมาก. ในระหว่างสัปดาห์แรกนั้น ท่านได้ไปในงานเลี้ยงต้อนรับท่านหลายครั้ง ทั้งโดยเพื่อนญี่ปุ่นและเพื่อนไทย. ในงานเลี้ยงครั้งหนึ่ง ๆ มีคนไปชุมนุมไม่น้อย. ข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสไปในงานนั้นด้วยทุกครั้ง.

ฉะนั้น เพียงชั่วสัปดาห์เดียว คนไทยในญี่ปุ่นก็ได้มีโอกาสพบปะท่านทั้งสองแทบทั่วกัน. ข้าพเจ้าได้ทราบว่า มีผู้ยินดีมากที่ได้รู้จักกับเจ้าคุณอธิการบดี แต่ข้าพเจ้ายังได้ทราบว่า หม่อมราชวงศ์กีรติได้รับความยินดีจากคนทั้งหลายมากกว่าที่สามีของเธอได้รับหลายเท่า ทั้งที่เธอเองเกือบจะไม่รู้จักใครที่นั่นมาแต่ก่อนเลย. หม่อมราชวงศ์กีรติได้บอกข้าพเจ้าในภายหลังว่า ในกรุงเทพฯ เธอรู้จักคุ้นเคยกับใครบ้าง แทบจะนับได้ถ้วนโดยมิต้องนึกนาน.

การณ์เป็นดังนี้ มิใช่ว่าเจ้าคุณดีไม่ทัดเทียมภรรยาของท่าน ข้าพเจ้าได้กล่าวแล้วว่า ท่านเจ้าคุณเป็นคนดีมาก แต่หม่อมราชวงศ์กีรติ​มีเสน่ห์เหลือเกิน. นี่แหละที่ทำให้ความยินดีที่ท่านทั้งสองได้รับจากคนทั้งหลายแตกต่างกัน. พวกผู้ชายมีความเบิกบานใจอย่างยิ่งที่ได้เห็นสุภาพสตรีไทยที่ทรงโฉมประโลมตาอย่างหม่อมราชวงศ์กีรติ จากประเทศสยามมาเยือนนครโตเกียว ทำให้เขาทั้งหลายมีความภาคภูมิใจ ในเมื่อได้ประสบว่า ชนชาวญี่ปุ่นได้มองดูสตรีไทยของเราด้วยสายตาแสดงความนิยมชมชื่น ในความสวยงามที่อาจลึกซึ้งเกินกว่าความคาดหมายของเขา. พวกสุภาพสตรีไทยที่นั่นก็มีความตื่นเต้นสนใจในรูปโฉมของหม่อมราชวงศ์กีรติไม่น้อย แต่เป็นธรรมดาที่จะไม่พูดจาเกรียวกราวกันมากไป. ท่านสุภาพสตรีเหล่านั้น และรวมทั้งผู้ชายบางคนด้วย ได้พากันมาซักถามข้าพเจ้าถึงประวัติและความเป็นไปของหม่อมราชวงศ์กีรติ ก่อนที่จะแต่งงานกับเจ้าคุณอธิการบดี. ในเวลานั้นข้าพเจ้าก็ยังตอบอะไรไม่ได้ คนเหล่านั้นมีความประหลาดใจตรงกันอยู่ข้อหนึ่งว่า ด้วยเหตุผลกลใดหนอ ที่เธอได้ใช้ประกอบการตัดสินใจในการแต่งงานกับเจ้าคุณสามีของเธอ. เป็นที่คาดหมายกันว่า หม่อมราชวงศ์กีรติมีอายุไม่เกิน ๒๘ ปี และการที่หญิงงามทรงเสน่ห์มีอายุเท่านั้น แต่งงานกับท่านสุภาพบุรุษที่มีอายุตั้ง ๕๐ ปี แม้ว่าจะเป็นคนใจดีและภาคภูมิตามทำนองของคนแก่ก็ตาม คนทั้งหลายก็ไม่อาจจะปลดเปลื้องความประหลาดใจออกเสียได้.

อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเองย่อมจะมีความภาคภูมิใจมากเป็นพิเศษ ในฐานที่ได้รับเกียรติยศเป็นเสมือนองครักษ์ของหม่อมราชวงศ์กีรติ. ตามความรู้สึกของข้าพเจ้า ดูเหมือนว่าหม่อมราชวงศ์กีรติเองก็น่าจะได้ทราบว่า คนทั้งหลายมีความพอใจเธออย่างไร. เธอแสดงกิริยาสงบเสงี่ยมอ่อนโยนอยู่เนืองนิตย์ก็จริง แต่ใคร ๆ ก็อาจที่จะแลเห็นความหรรษาของเธอดารดาษอยู่บนผิวหน้าสีชมพูอ่อนนั้นได้.

​โดยที่ได้ใช้เวลาอยู่กับท่านทั้งสองแทบตลอดทั้งวัน และแทบทุกวัน ความรู้สึกสนิทสนมระหว่างข้าพเจ้ากับหม่อมราชวงศ์กีรติ ก็ได้มีทวีอย่างค่อนข้างรวดเร็ว. ข้าพเจ้าเป็นคนติดคนง่าย และหม่อมราชวงศ์กีรตินั้น ใคร ๆ ก็จะต้องลงความเห็นว่าเป็นคนที่น่าติดเหลือเกิน. ในเมื่อได้มีโอกาสใกล้ชิดสนิทสนมกัน เธอมักจะแสดงความปรานีต่อข้าพเจ้าเนือง ๆ เป็นต้นว่าในเวลารับประทานอาหารก็มักจะคอยช่วยเหลือดูแลให้ความสะดวกแก่ข้าพเจ้า ราวกับข้าพเจ้าเป็นเด็ก ๆ. ครั้งหนึ่งเธอพบรอยปริที่เน็กไทของข้าพเจ้า เธอได้ขอให้ข้าพเจ้าถอดออกแล้วก็จัดแจงเย็บให้ด้วยตนเอง อีกครั้งหนึ่งเธอพบโคลนเปื้อนปลายแขนเสื้อของข้าพเจ้า เธอก็เรียกไปแปรงให้. ตามธรรมดาข้าพเจ้าไม่เคยเอาใจใส่ต่อสิ่งเหล่านี้ และไม่เคยสนใจในความพะเน้าพะนอช่วยเหลือในสิ่งเล็กน้อยเช่นนี้. อย่างไรก็ตาม การที่ออกมาอยู่ต่างประเทศเสียตั้ง ๓ ปี ไม่มีญาติพี่น้องคอยพะเน้าพะนอเอาใจ ต้องหมกมุ่นกับการเล่าเรียน ต้องอยู่​กินอย่างประหยัดและมีชีวิตอย่างแห้งแล้ง นานแสนนาน ได้มาพบความปรานีเช่นนี้ และได้พบในยามเปล่าเปลี่ยวใจ ได้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งในความปรานีนั้นมาก. ความซาบซึ้งนั้นเป็นไปอย่างข้าพเจ้าเองก็นึกประหลาด ข้าพเจ้าค้นหาเหตุผลไม่พบว่า ในระหว่างเวลาที่หม่อมราชวงศ์กีรตินั่งเย็บเน็กไทอยู่ และข้าพเจ้านั่งรออยู่ใกล้ ๆ อย่างเงียบ ๆ คอยตอบคำถามของเธอบางครั้ง เหตุใดข้าพเจ้าจึงรู้สึกว่ามีความสุขเสียเหลือเกิน.

 


20



​เมื่อเจ้าคุณอธิการบดีพาหม่อมราชวงศ์กีรติ ภรรยาของท่าน ไปฮันนีมูนที่ญี่ปุ่นนั้น ข้าพเจ้ากำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยริคเคียว และในเวลานั้น ข้าพเจ้าเพิ่งมีอายุได้ ๒๒ ปี.

ในเมืองไทย ข้าพเจ้าเคยรู้จักกับท่านเจ้าคุณโดยฐานที่ท่านเจ้าคุณกับบิดาของข้าพเจ้าเป็นมิตรกัน และท่านมักแสดงความปรานีต่อข้าพเจ้าในเวลาที่พบปะ. ข้าพเจ้ารู้จักคุณหญิงอธิการบดี เท่ากับที่รู้จักท่านเจ้าคุณ. ภายหลังที่ข้าพเจ้าได้ออกไปเล่าเรียนที่ญี่ปุ่นได้ประมาณหนึ่งปี ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวด้วยความสลดใจว่า คุณหญิงอธิการบดีได้ถึงแก่กรรมเสียแล้วด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าไม่ได้ทราบข่าวของคุณหญิงอีกเลย. จนกระทั่งเวลาได้ผ่านไปอีก ๒ ปี และจนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ข้าพเจ้าจึงได้รับข่าวจากท่านอีกครั้งหนึ่ง.

เจ้าคุณอธิการบดีได้เขียนมาถึงข้าพเจ้าว่า ท่านจะออกมาประเทศญี่ปุ่นพร้อมด้วยภรรยาใหม่ของท่าน - หม่อมราชวงศ์กีรติ - ขอให้ข้าพเจ้าช่วยจัดแจงบ้านพักไว้ให้และรวมทั้งความสะดวกอื่น ๆ ตามที่​ผู้ซึ่งออกมาอยู่ต่างประเทศจะต้องการ, ท่านตั้งใจว่าจะพักอยู่ที่โตเกียวสัก ๒ เดือน.

ที่ว่าท่านพาภรรยาไปฮันนีมูนที่ญี่ปุ่นนั้น เป็นคำซึ่งข้าพเจ้าเรียกเอาเอง แต่ในจดหมายที่เขียนมานั้น ท่านบอกว่า ต้องการจะเปลี่ยนภูมิประเทศและต้องการเดินทางไกล เพื่อพักผ่อนหย่อนใจสักชั่วระยะเวลาหนึ่ง. ความประสงค์ข้อใหญ่ในการออกมาประเทศญี่ปุ่นนั้น ก็เพื่อจะให้เป็นที่เบิกบานสำราญใจแก่ภรรยาคนใหม่ของท่าน. กล่าวถึงหม่อมราชวงศ์กีรติ, ท่านได้เขียนมาว่า “ฉันทั้งรักและสงสารเธอ. เป็นผู้ที่ยังไม่สู้จะคุ้นกับโลกภายนอก ถึงแม้ว่าจะมีอายุมากแล้ว. ฉันปรารถนาจะให้กีรติคุ้นเคยกับโลกภายนอก ไม่เฉพาะแต่ในเมืองไทยเท่านั้น และฉันปรารถนาจะให้เธอเป็นสุขเบิกบาน ปรารถนาจะให้เธอรู้สึกว่าการแต่งงานกับผู้มีอายุเช่นฉันนั้น อย่างน้อยที่ไม่ไร้ความหมายเสียทีเดียว. ฉันเชื่อว่า พ่อนพพรจะพอใจกีรติ เช่นเดียวกับที่เธอได้มีความพอใจคุณหญิงเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากของฉัน ผู้หาบุญไม่แล้ว. แต่ว่ากีรติเป็นคนที่ค่อนข้างเงียบอยู่สักหน่อยสำหรับผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกัน แต่เป็นคนใจคอโอบอ้อมอารี ไม่ต้องสงสัย. ลักษณะนิสัยอย่างพ่อนพพร คาดได้ว่ากีรติจะพอใจมาก. ฉันได้บอกความข้อนี้ให้กีรติทราบแล้วด้วย.”

ข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักหม่อมราชวงศ์กีรติมาแต่ก่อน และข้อความสั้น ๆ ที่เจ้าคุณอธิการบดีเขียนถึงท่านผู้นี้มาในจดหมาย ก็ไม่ช่วยให้ข้าพเจ้ารู้จักท่านดีขึ้น. ข้าพเจ้าเดาเอาว่า ท่านผู้นี้จะมีอายุราว ๔๐ หรืออาจจะเยาว์กว่านั้นสักนิดหน่อย คงจะเป็นคนถือตัว หรืออย่างน้อยก็ไว้ตัวตามเลือดของเผ่าพันธุ์ที่เป็นเจ้า และไม่ชอบเด็กที่มีนิสัยเอะอะตึงตังหลุกหลิกนั้นแน่ เพราะว่านั่นไม่ใช่ลักษณะนิสัยของข้าพเจ้า, คงจะเป็น​คนขรึม ๆ ไม่ค่อยโปรดความสนุกรื่นรมย์ตามทำนองของคนโดยมาก คงมีนิสัยเคร่งครัดในระเบียบแบบแผนต่าง ๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าจะต้องติดต่อกับท่านด้วยความระมัดระวัง.

เจ้าคุณอธิการบดีเขียนมาในจดหมายว่า ท่านไม่มีประสงค์จะพักอยู่ที่โฮเต็ล ไม่ว่าจะเป็นโฮเต็ลที่หรูเพียงใด เช่นอิมพีเรียลโฮเต็ลเป็นต้นนั้น. ท่านเบื่อที่จะต้องไปใช้เวลาว่างปะปนกับคนแปลกหน้าทั้งหลาย เบื่อการแต่งตัวซึ่งจะต้องแต่งอย่างเป็นระเบียบในเวลาออกมานอกห้องหรือในเวลารับประทานอาหาร. ท่านต้องการจะเช่าบ้านพักสักหลังหนึ่ง ซึ่งท่านอาจจะใช้ชีวิตของท่านอย่างอิสระเสรีเต็มที่ และท่านไม่สนใจว่าในการอยู่โดยทำนองนี้จะสิ้นเปลืองเงินไปสักเท่าใด.

ในข้อหลังนี้ข้าพเจ้าทราบดี เพราะว่าท่านเจ้าคุณได้ชื่อว่าเป็นเศรษฐีย่อม ๆ คนหนึ่งในเมืองไทย และทั้งเป็นคนใจคอกว้างขวางโอบอ้อมอารี. ข้าพเจ้าได้จัดการว่าเช่าบ้านหลังหนึ่งที่ตำบลอาโอยามาชิฮัง เป็นตำบลที่อยู่นอกเมืองออกไป และอยู่ไม่ไกลจากทางรถไฟ การเดินทางเข้าไปในเมืองจะได้รับความสะดวกสบายทุกประการ. บ้านที่ว่าเช่าไว้นั้น เป็นบ้านที่ไม่ใหญ่โตนัก แต่ว่าเป็นบ้านที่สวยงามน่าเอ็นดูหลังหนึ่งในตำบลนั้น เป็นบ้านที่ปลูกขึ้นเมื่อดูตามรูปทรงภายนอก ประกอบด้วยศิลปะของชาวตะวันตก แต่การก่อสร้างภายใน มีการสร้างห้องหับและการจัดและตบแต่งบ้านด้วยเครื่องเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เป็นไปตามแบบอย่างชาวญี่ปุ่น. บ้านนั้นตั้งอยู่บนเนินเตี้ย ๆ มีกำแพงซึ่งก่อด้วยหินก้อนใหญ่ ๆ สูงราว ๒ ฟุตครึ่ง เหนือก้อนหินมีดินพูนสูงขึ้นไปราว ๓ ฟุตและปลูกหญ้าเขียวชอุ่ม เหนือกำแพงดินยังปลูกต้นไม้กอน้อย ๆ เรียงรายไปบนกำแพง มีระยะห่างกันพอสมควร. ภายในบริเวณบ้านมีสวน ซึ่งดูทึบไปด้วยสีเขียวของใบไม้ใหญ่น้อย ​ประกอบกับมีต้นไม้ใหญ่สองต้นปลูกอยู่ที่หน้าบ้าน แผ่กิ่งก้านและใบอันหนาทึบปกคลุมอยู่แทบทั่วบริเวณ ทำให้บ้านหลังนั้นแลดูสดชื่นระรื่นตายิ่งขึ้น. ข้าพเจ้าเองมีความพอใจในบ้านหลังนี้มาก และแม้เจ้าของขอเรียกค่าเช่าเดือนละ ๒๐๐ เยน ข้าพเจ้าก็เห็นว่าไม่แพง สำหรับบ้านที่มีเครื่องแต่งบ้านพร้อมอย่างเป็นที่พอใจ และทั้งต้องคอยดูแลมิให้รกร้างทรุดโทรม..

ข้าพเจ้าได้ว่าจ้างสาวใช้รูปร่างหน้าตาน่าเอ็นดูไว้คนหนึ่ง สำหรับดูแลบ้านช่องให้เป็นไปตามทำนองความเป็นอยู่ของคนญี่ปุ่น. การที่เลือกหาสาวใช้หน้าตาน่าเอ็นดูนั้นข้าพเจ้าไม่ได้หมายว่า จะให้เป็นที่พอใจแก่ท่านเจ้าคุณในทางอื่น นอกไปจากหน้าที่โดยตรงของหล่อน. ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า ถ้าเราสามารถที่จะเลือกได้ในระหว่างคนใช้ที่มีหน้าตาเหมือนยักษิณี กับที่มีหน้าตาหมดจดงดงามแล้ว เราก็ควรจะเลือกเอาคนหลัง เพราะว่าการที่อยู่ต่อหน้าความหมดจดงดงามไม่ว่าจะเป็นในบุคคลหรือในวัตถุก็ดี ย่อมจะช่วยให้อารมณ์ของเราแช่มชื่นขึ้นตามส่วน. ข้าพเจ้าทราบดีว่าเจ้าคุณอธิการบดีอยู่ในฐานะที่จะเลือกได้. ข้าพเจ้าต้องจ้างสาวใช้คนนี้ด้วยอัตราที่แพงกว่าปรกติธรรมดา แต่ส่วนที่แพงขึ้นนั้นมิใช่เป็นส่วนที่จะต้องเพิ่มให้แก่ความน่าเอ็นดูของหล่อน แต่ว่าข้าพเจ้าจำเป็นต้องเลือกหาผู้หญิงญี่ปุ่นที่พูดภาษาอังกฤษได้บ้างพอควร เพราะมิฉะนั้นแล้ว ท่านทั้งสอง - เจ้าคุณอธิการบดีกับภรรยาของท่าน - ก็จะได้รับความขลุกขลักมาก

วันแรกที่ข้าพเจ้าได้พบเจ้าคุณอธิการบดี พร้อมด้วยคณะของท่านที่สถานีโตเกียวนั้น ได้เป็นครั้งแรกด้วย ที่ข้าพเจ้าได้รับความฉงนสนเท่ห์ใจอย่างมากเนื่องในการที่ได้รู้จักกับภรรยาของท่าน. สุภาพสตรีสองคนที่มากับท่านเจ้าคุณนั้น เมื่อชำเลืองเห็นในขณะแรก ข้าพเจ้า​คาดว่าคนที่มีอายุประมาณ ๓๘ ปี แต่งตัวเรียบ ๆ และดูติดจะครึ ๆ ตื่น ๆ นิดหน่อยนั้น คงจะเป็นหม่อมราชวงศ์กีรติ ทั้งนี้สันนิษฐานตามจดหมายที่เจ้าคุณมีมาถึงข้าพเจ้า. ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นตรงกันข้าม แลดูเป็นสาว และเต็มไปด้วยความเปล่งปลั่ง แต่งกายงดงามมีสง่า แม้เพียงชั่วการชำเลืองเห็นครั้งแรก ความงามสง่าของหล่อนก็ปรากฏโดยเด่นชัดในสายตาของข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าเดาไม่ออกว่าหล่อนเป็นใคร. ธิดาคนโตของท่านเจ้าคุณซึ่งได้แต่งงานไปเมื่อหลายปีแล้ว ข้าพเจ้าก็เคยได้พบในกรุงเทพฯ.

อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสจะนึกเดาอยู่ได้เกินกว่าหนึ่งนาที เพราะว่าภายหลังที่ข้าพเจ้าตรงเข้าไปทักทายกับท่านเจ้าคุณได้สองสามคำ ท่านก็หันไปทางสุภาพสตรีคนสาว ซึ่งในขณะนั้นยืนอยู่ข้างเคียงท่าน และพูดว่า “นี่ภรรยาของฉัน คุณหญิงกีรติ.” คำแนะนำ​ของท่านทำเอาข้าพเจ้าแทบสะดุ้ง เพราะความคาดผิดอย่างเขลา. ข้าพเจ้าเกือบเสียกิริยาที่จะเพ่งดูดวงหน้าของเธอ เพื่อขจัดความสงสัยว่ามีอะไรในดวงหน้านั้นบ้างเล่า ที่ทำให้ใคร ๆ อาจที่จะคาดหมายได้ว่าเธอคือหม่อมราชวงศ์กีรติ ภรรยาคนใหม่ของเจ้าคุณอธิการบดี.

เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน และงามชดช้อย เมื่อรับไหว้ของข้าพเจ้า. ส่วนผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ในขณะนั้นถอยไปยืนอย่างมีคารวะอยู่เบื้องหลังท่านเจ้าคุณสักสองก้าว. เมื่อเหลือบไปเห็นหล่อนอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าก็พลันนึกได้ถึงข้อความตอนหนึ่งในจดหมายของท่านเจ้าคุณซึ่งได้เขียนบอกมาว่า ท่านจะนำแม่ครัวของท่านมาจากกรุงเทพฯ ด้วย. ข้าพเจ้าลืมความข้อนี้เสียสนิท. ในที่สุดข้าพเจ้าไม่มีอะไรสับสนอยู่ในหัวแล้วว่าใครเป็นใครก็จริง แต่ข้าพเจ้าก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้ว่าข้าพเจ้าคาดอายุอานามและรูปโฉมของหม่อมราชวงศ์กีรติผิดไปถนัด.

​ในวันนั้น ข้าพเจ้าแต่งเครื่องแบบของนักเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสิ่งแรกในตัวข้าพเจ้าที่หม่อมราชวงศ์กีรติมีความสนใจ, เธอชมเชยว่าเป็นเครื่องแบบที่เรียบร้อยน่าเอ็นดู และที่เธอชอบมากคือสีของมัน – สีน้ำเงิน, เธอก็บังเอิญแต่งสีเดียวกัน - สีน้ำเงิน และมีดวงดอกขาวประดับอยู่ทั่วผืนผ้า - ทั้งกระโปรงและเสื้อ, เป็นสีที่ไม่ฉูดฉาด แต่ถึงเช่นนั้นก็มีความภาคภูมิและมีสง่าอย่างบอกไม่ถูก.

เมื่อข้าพเจ้าสั่งรถยนต์ให้แล่นช้าตอนจะเลี้ยวเข้าประตูบ้าน เจ้าคุณอธิการบดีชะโงกตัว เอื้อมมือมาตบไหล่ข้าพเจ้าเบา ๆ และชมเชยว่า ข้าพเจ้าจัดหาบ้านให้เป็นที่พอใจมาก. เป็นความจริงว่าตามทางที่รถยนต์ผ่านมาในละแวกนั้น จะหาบ้านใดที่สวยงามน่าอยู่เหมือนบ้านของเราไม่มี. คนใช้สาวในเครื่องกิโมโนงามหมดจดเรียบร้อย ยืนคอยอยู่​ที่ริมบันไดหน้าบ้าน และน้อมกายลงคำนับตั้งแต่รถผ่านประตูเข้ามา. หล่อนคำนับอีกสองสามครั้งด้วยความคารวะอย่างสูงตามประเพณีของคนญี่ปุ่น เมื่อท่านทั้งสองลงมาจากรถ. เจ้าคุณได้ปราศรัยกับหล่อนด้วยถ้อยคำสองสามประโยค และหล่อนตอบเป็นภาษาอังกฤษได้เรียบร้อยพอใช้ ซึ่งทำให้ท่านต้องแสดงความพอใจอีก. ในที่สุด เมื่อท่านได้ตรวจดูห้องหับและเครื่องใช้ไม้สอยภายในบ้านเรียบร้อยแล้ว ท่านก็กล่าวคำชมเชย และขอบใจข้าพเจ้าอย่างเต็มที่อีกครั้งหนึ่ง. ข้าพเจ้าต้องสารภาพว่า ข้าพเจ้ามีความอิ่มใจมากที่ได้จัดการให้ความพอใจแก่ท่าน ได้โดยไม่มีขาดตกบกพร่อง เพราะว่าด้วยความสามารถเช่นนั้น ได้ทำให้เจ้าคุณกล่าวสรรเสริญข้าพเจ้าแก่คนอื่น ๆ ในภายหลังว่า ข้าพเจ้าเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดรอบคอบเหนือเด็กหนุ่ม ๆ โดยทั่วไป.

น้ำร้อนได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วสำหรับอาบ และทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง. ท่านทั้งสองได้รับความพอใจตั้งแต่แรกย่างเหยียบ​เข้าไปในบ้าน และไม่มีความผิดหวังอะไรมาขัดจังหวะ, ตอนค่ำข้าพเจ้าพาท่านไปรับประทานอาหารจีนที่ภัตตาคารกาโจเอ้ง ซึ่งเป็นภัตตาคารที่หรูหรามีชื่อเสียงเยี่ยมในนครโตเกียว. ทั้งสถานที่และอาหารที่รับประทานกันในค่ำวันนั้น ทำให้ท่านเจ้าคุณต้องพูดออกมาบ่อย ๆ ว่าชวนให้คิดถึงห้อยเทียนเหลาในกรุงเทพฯ. เมื่อกลับมาบ้าน ที่นอนของท่านทั้งสองได้จัดเตรียมไว้อย่างมีระเบียบเรียบร้อยพร้อมแล้ว. ข้าพเจ้ากลับมาบ้านของข้าพเจ้าในคืนวันนั้นด้วยความอิ่มใจในความสำเร็จ ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ออกจะรู้สึกว่าเป็นไปดีอย่างเกินคาด.

 


Pages: 1 [2] 3 4 ... 10
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.083 seconds with 12 queries.