Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
16 December 2025, 10:18:07

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,541 Posts in 14,027 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Recent Posts

Recent Posts

Pages: 1 [2] 3 4 ... 10
11

“เฮงซวย” (兴衰) แปลว่า อะไร?

Silpawattanatham - ศิลปวัฒนธรรม
 
8 พฤศจิกายน เวลา 14:00 น.
 ·

“เฮงซวย” (兴衰) มาจาก “เฮง” แปลว่า โชคดี “ซวย” แปลว่า เคราะห์ร้าย
เฮงซวยจึงแปลว่า ไม่แน่นอน เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ คุณภาพต่ำ ไม่ดี
เช่น “คนเฮงซวย ของเฮงซวย เรื่องเฮงซวย”

.

.

ผู้เขียน
Silpawattanatham - ศิลปวัฒนธรรม
อ่านบทความเต็มได้ที่นี่ : https://www.silpa-mag.com/culture/article_34647
เฮงซวย มาจากไหน? อิทธิพลจีนย้ายถิ่น สู่คำติดปากในไทย

SILPA-MAG.COM
เฮงซวย มาจากไหน? อิทธิพลจีนย้ายถิ่น สู่คำติดปากในไทย

.
ลายคราม ตามเพลง
ถ้าในภาษาไทย จะเรียกว่า..“ฟาดเคราะห์”
คือ แม้จะโชคไม่ดี แต่ก็ยังคงรอดพ้นมาได้
ไม่ถึงกับร้ายแรง จนถึงขั้นเสียชีวิต.

.
Pakkapoom Limmanasathaporn
ผมว่าอย่าเพิ่งด่วนสรุปเลยครับ อาจจะมาจากคำว่า"เฮ้ง 刑" ที่แปลว่า การลงโทษ ก็ได้ครับ

.
Phisid Teasidtiworaphong
เฮงไล้ซวยขื่อ ดีมาร้ายไป

.
Wiroj Charoen
แปล ว่า อนิจจัง ไม่เที่ยงแท้

.
Manatchai Prashyanusorn
Silpawattanatham - ศิลปวัฒนธรรม
เดี๋ยวนี้แอดมินเอาคำศัพท์ภาษาจีนมาลงด้วย ดีมากเลยครับ

.
สุดชีวี ดีเหลือ
คงคล้ายๆครึ่งบ้าครึ่งดี แต่เฮงซวยมันสั้นกว่า พูดง่ายกว่า

.
Heng Chill
เฮงซวยก็เปรียบเหมือนโครงการคนละครึ่ง ครึ่งหนึ่งเฮงครึ่งหนึ่งซวย โครงการ เฮง ซวย ต้องหามาจ่ายอีกครึ่งนึง

.

.
ที่มา : “เฮงซวย” (兴衰) แปลว่า อะไร?
https://www.facebook.com/SilpaWattanatham/posts/pfbid02y3mBUXT8BoAikpL4RegArYoU9RSRfDjnk8cv72yRQDgvYN8p2YaouPb8MPtDQRyPl
.


12
คำศัพท์ "เฮงซวย" มาจากไหน?


วัฒนธรรม

คำศัพท์ “เฮงซวย” มาจากไหน? ฤๅเป็นอิทธิพลจากคนจีนย้ายถิ่น สู่คำติดปากในไทยจนถึงวันนี้



ชาวจีนในเมืองไทยใช้กระทะเหล็กทำอาหาร ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส หรือ วัดพระแก้ววังหน้า กรุงเทพฯ


ผู้เขียน   กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่   วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2568


คำศัพท์ เฮงซวย มาจากไหน?

การใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวันหรือในวาระอื่นๆ มีทั้งที่เป็นคำไทยแท้ และคำที่หยิบยืมมาจากภาษาอื่น ไม่ว่าจะเป็นเขมร บาลี สันสกฤต หรือแม้แต่ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน ซึ่งในบรรดาคำที่หยิบยืมมาจากภาษาจีน นักวิชาการยอมรับกันว่า หยิบยืมมาจากจีนแต้จิ๋วและฮกเกี้ยนมากกว่าที่อื่น และคำหนึ่งในกลุ่มนั้นก็คือ “เฮงซวย”

ด้วยลักษณะการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานของมนุษย์ตั้งแต่ยุคโบราณ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ผสมปนเปกันไปในหลายยุคสมัย สำหรับประเทศไทยก็มีชาวจีนเดินทางเข้ามามาก จากการศึกษาของ พรพรรณ จันทโรนานนท์ พบว่า ชาวจีนในประเทศไทย คือชาวจีนที่อพยพมาจากดินแดนทางตอนใต้ของประเทศจีน คือ มณฑลกวางตุ้ง ฮกเกี้ยน และไหหลำ ชาวจีนเหล่านี้ได้แก่ชาวจีนกวางตุ้ง ชาวจีนแคะ (ฮากกา) ชาวจีนแต้จิ๋ว ชาวจีนฮกเกี้ยน และชาวจีนไหหลำ รวม 5 กลุ่มภาษาใหญ่



ชาวประมงคนจีนและครอบครัว (ภาพจาก : pixabay)


พวกที่เข้ามาในสมัยพระเจ้าตากสิน (พ.ศ. 2310-2325) จนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2393-2411) ชาวจีนอพยพในช่วงนี้จะเป็นชาวจีนแต้จิ๋วเป็นส่วนใหญ่ เพราะพระเจ้าตากสินทรงมีเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว

ชาวจีนรุ่นแรกๆ ที่อพยพเข้ามาในไทยจะเข้ามากับเรือสินค้า และส่วนมากเป็นชาวจีนที่อาศัยทำกินอยู่ในดินแดนทางใต้แถบชายทะเลมาก่อน ต่อมาเมืองกวางโจวมีเมืองท่าใหม่แถบชายทะเลทางใต้ ยิ่งทำให้ดินแดนทางใต้มีความสำคัญเพิ่มขึ้นอีก เช่น เมืองท่าจางหลิน ที่ซัวเถา จึงทำให้ชาวจีนกลุ่มภาษาต่างๆ อพยพออกนอกประเทศมากขึ้น (เกาะไหหลำเดิมอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง ได้รับการยกฐานะเป็นมณฑล ในปี ค.ศ. 1988 (周敏  ; 1995 : 8-9)

ในกลุ่มคำที่เกี่ยวกับความเชื่อ มีคำที่คนไทยน่าจะได้ยินบ่อยอันดับต้นๆ อย่าง “เฮงซวย” 兴衰 เป็นภาษาพูดติดปาก ซึ่งพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 อธิบายว่าหมายถึง เอาแน่นอนอะไรไม่ได้ คุณภาพต่ำ ไม่ดี เช่น “คนเฮงซวย ของเฮงซวย เรื่องเฮงซวย”

ในคำอธิบายฉบับราชบัณฑิตยสถาน กำกับที่มาของคำว่า ในภาษาจีน คำว่า “เฮง” แปลว่า โชคดี “ซวย” แปลว่า เคราะห์ร้าย เฮงซวย ว่า ไม่แน่นอน”

ขณะที่ พิชณี โสตถิโยธิน บรรยายในบทความเรื่อง “คำยืมภาษาจีนแต้จิ๋วในภาษาไทย: ปรากฏการณ์ที่วงศัพท์อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงความหมาย” ในวารสารจีนศึกษา ฉบับที่ 5 ปีที่ 5 พ.ศ. 2555 ว่า คำว่า เฮงซวย ภาษาจีนแต้จิ๋วหมายถึง “โชคไม่ดี” จัดว่าอยู่ในวงศัพท์ความเชื่อ และเป็นวงศัพท์คุณลักษณะ พิชณี อธิบายว่า “เมื่อภาษาไทยยืมมาใช้ เกิดการย้ายที่ความหมายจากวงศัพท์ความเชื่อ ไปยังวงศัพท์คุณลักษณะ”

อิทธิพลของชาวจีน (แต้จิ๋ว) นอกจากภาษาแล้ว พรพรรณ จันทโรนานนท์ ยังอธิบายว่า ชาวจีนแต้จิ๋ว ยังนำความรู้เรื่องการทำน้ำตาลทรายเข้าสู่เมืองไทยตั้งแต่ต้นสมัยรัตนโกสินทร์ การทำสวนผักอย่างเป็นล่ำเป็นสัน การทอผ้าด้วยกี่กระตุกของชาวจีนแคะ (ฮากกา) (แสงอรุณ กนกพงศ์ชัย; 2538 : 27-28)



ภาพพ่อค้าชาวจีน (ไม่ปรากฏปีที่ถ่าย)

.
อ่านเพิ่มเติม :

ไม้ตรี ไม้จัตวา : อิทธิพลภาษาจีนในภาษาไทย
เช็งเม้ง ไหว้บรรพบุรุษผิดตัว ไม่ใช่แค่ปัญหาภาษาจีน แต่เป็นเพราะอะไร?

.
อ้างอิง :

คำภาษาจีนในภาษาไทย (๑). สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. ออนไลน์. เข้าถึง 26 มิถุนายน พ.ศ. 2562. https://bit.ly/3tUnSgF

แสงอรุณ กนกพงศ์ชัย. (2538). “จีน-ไทย’ ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร,” ใน เอเชียปริทัศน์ 16(1) มกราคม-เมษายน.

พิชณี โสตถิโยธิน. “คำยืมภาษาจีนแต้จิ๋วในภาษาไทย: ปรากฏการณ์ที่วงศัพท์อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงความหมาย”. วารสารจีนศึกษา ฉบับที่ 5 ปีที่ 5 พ.ศ. 2555. เอกสารออนไลน์. เข้าถึงเมื่อ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2562, น. 143.

พรพรรณ จันทโรนานนท์. (2550). “ชาวจีนในไทยมาจากไหน เปิดประวัติการอพยพยุคแรกเริ่ม ถึงการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม”, ใน ศิลปวัฒนธรรม ธันวาคม 2550

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 26 มิถุนายน 2562

.

.
ที่มา : คำศัพท์ เฮงซวย มาจากไหน?
https://www.silpa-mag.com/culture/article_34647
.



13
พระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวราราม พระพุทธรูปหล่อที่ใหญ่ที่สุดในสยามประเทศ


ประวัติศาสตร์

พระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวราราม พระพุทธรูปหล่อที่ใหญ่ที่สุดในสยามประเทศ



พระศรีศากยมุนี พระประธานในพระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวราราม


ผู้เขียน   กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่   วันพฤหัสที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ.2568


พระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวราราม พระพุทธรูปหล่อที่ใหญ่ที่สุดในสยามประเทศ

พระศรีศากยมุนี พระประธานในพระวิหารหลวง วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นพระหล่อด้วยโลหะ หน้าตักกว้าง 3 วา 1 คืบ ใหญ่กว่าพระพุทธรูปหล่อองค์อื่นซึ่งปรากฏอยู่ในประเทศสยามนี้

เดิมที พระศรีศากยมุนี เป็นพระประธานอยู่ในพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุเมืองสุโขทัย หล่อแต่ครั้งกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วงครองกรุงสุโขทัย ครั้นจำเนียรกาลนานมา พระวิหารหลวงหักพัง พระพุทธปฏิมาต้องตากแดดกรำฝนจนชำรุดลง

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ จึงดำรัสสั่งให้เชิญย้ายลงมากรุงเทพฯ ทรงพระราชดำริจะสร้างพระอาราม มีพระวิหารใหญ่อย่างวิหารพระเจ้าพนัญเชิงที่พระนครศรีอยุธยา ประดิษฐานไว้กลางพระนคร



พระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวราราม


มีเรื่องที่เชิญ พระศรีศากยมุนี ลงมา ปรากฏอยู่ในหนังสือ ความทรงจําฯ ซึ่งทรงพระราชวิจารณ์ดังนี้

“พระโองการรับสั่งให้สร้างวัดขึ้นกลางพระนคร ให้สูงเท่าวัดพนัญเชิง ให้พระพิเรนทรเทพขึ้นไปรับพระใหญ่ ณ เมืองสุโขทัย ชะลอเลื่อนลงมากรุงฯ ประทับท่าสมโภช 7 วัน ณ วันเดือน 6 ขึ้น 15 ค่ำ ยกทรงเลื่อนชักตามทางสถลมารค

พระโองการตรัสให้แต่งเครื่องนมัสการพระทุกหน้าวัง หน้าบ้าน ร้านตลาด จนถึงที่ประชวรอยู่แล้ว แต่ทรงพระอุตสาหะเพิ่มพระบารมี หวังที่หน่วงโพธิญาณจะโปรดสัตว์ ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เสด็จพระราชดำเนินตามขบวนแห่พระ หาทรงฉลองพระบาทไม่

จนถึงพลับพลาเสด็จขึ้นเซพลาด เจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรารับพระองค์ไว้ ยกพระขึ้นที่แล้วเสด็จกลับ ออกพระโอษฐ์เป็นที่สุด เพียงได้ยกพระขึ้นถึงที่สิ้นธุระเท่านั้น”



พระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวราราม


ในรัชกาลที่ 1 เพียงได้เชิญพระขึ้นตั้งที่ไว้ ยังมิได้สร้างพระวิหาร มาลงมือสร้างก็นรัชกาลที่ 2 แต่จะสร้างได้เพียงใดหาปรากฏชัดไม่ ปรากฏแต่ว่าบานประตูพระวิหารซึ่งจําหลักลายอันวิจิตรนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระราชดําริ และได้เริ่มจำหลักด้วยฝีพระหัตถ์ มีปรากฏชัดในหนังสือความทรงจำฯ ดังนี้

“แล้วทรงพระดำริ ให้ช่างเขียนเส้นลายบานประตูวัดพระใหญ่ยกเข้าไป ทรงพระราชศรัทธาลงลายพระหัตถ์สลักภาพกับกรมหมื่นวิจิตรภักดี”

วัดสุทัศนเทพวราราม มาสร้างสำเร็จแล้วบริบูรณ์ในรัชกาลที่ 3

.
อ่านเพิ่มเติม :

พระพุทธโสธร พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ลอยน้ำในตำนานแต่ครั้งรัชกาลที่ 5

ตำนานสร้าง “พระศรีศาสดา” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง “พระพุทธรูปผู้พิทักษ์พระพุทธชินสีห์
.

หมายเหตุ : คัดเนื้อหาส่วนหนึ่งจาก “ตำนานพระพุทธรูปสำคัญ” พระนิพนธ์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 10 มิถุนายน 2562... อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.silpa-mag.com/history/article_31424

.


ที่มา : พระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวราราม พระพุทธรูปหล่อที่ใหญ่ที่สุดในสยามประเทศ
https://www.silpa-mag.com/history/article_31424

.



14
หลวงพ่อโสธร วัดโสธรวราราม ใครไปไหว้ห้ามขอพรอยู่ 2 เรื่อง! โดย ปดิวลดา บวรศักดิ์


วัฒนธรรม

“หลวงพ่อโสธร” พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์แห่ง “วัดโสธรวราราม” ที่ใครไปไหว้ห้ามขอพรอยู่ 2 เรื่อง!



หลวงพ่อโสธร (ภาพ : fb วัดโสธรวราราม วรวิหาร)


ผู้เขียน   ปดิวลดา บวรศักดิ์
เผยแพร่   วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ.2568


หลวงพ่อโสธร วัดโสธรวราราม ใครไปไหว้ห้ามขอพรอยู่ 2 เรื่อง!

“พระพุทธโสธร” หรือชาวบ้านเรียกว่า “หลวงพ่อโสธร” แห่ง “วัดโสธรวราราม” จ. ฉะเชิงเทรา พระพุทธรูปองค์นี้ได้รับการนับถืออย่างแพร่หลายและศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก เนื่องจากผู้คนเชื่อว่าดลบันดาลพรต่าง ๆ ให้ตามที่ใจหวัง จนมีผู้เลื่อมใสศรัทธาแวะเวียนเข้าไปกราบไหว้อยู่บ่อย ๆ 

แต่สิ่งที่ควรรู้ไว้อย่างหนึ่งก่อนเข้าไปสักการะ คือ ห้ามขอพร 2 อย่างนี้กับ “หลวงพ่อโสธร” แห่ง วัดโสธรวราราม เด็ดขาด! ได้แก่เรื่องอะไร?



หลวงพ่อโสธร วัดโสธรวรารามวรวิหาร (ภาพจาก : fb วัดโสธรวราราม วรวิหาร )


“วัดโสธรวราราม” คาดว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ราว พ.ศ. 2300 แต่เดิมคนเรียกกันว่า “วัดหงษ์” เนื่องจากเดิมเคยมีเสาหงส์ตั้งอยู่ แต่เนื่องจากเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง จึงทำให้หงส์บนยอดเสาหล่นลงมา เหลือเพียงแค่เสา ชาวบ้านจึงนำธงขึ้นไปแขวนแทน และเรียกชื่อวัดใหม่เป็น “วัดเสาธง” 

ต่อมาเสาได้โค่นล้มและหักลงมาอีกครั้ง จึงเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “วัดเสาธงทอน” จน พ.ศ. 2313 มีการอัญเชิญ “พระพุทธโสธร” หรือ “หลวงพ่อโสธร” มาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้ (มีความเชื่อว่าพระพุทธโสธรลอยตามน้ำมา เมื่อใกล้บริเวณวัดก็ลอยวนอยู่อย่างนั้น ทำให้ได้มาอยู่ที่วัดแห่งนี้)

หลวงพ่อโสธรมีหน้าตักกว้าง 1.65 เมตร สูง 1.48 เมตร เชื่อกันว่าเป็นศิลปะอยุธยาตอนต้น สร้างขึ้นจากหินทราย มีชิ้นส่วนมากถึง 11 ชิ้น แต่มีการลงรักปิดทองจึงทำให้ไม่เห็นรอยต่อดังกล่าว

กลับมาที่ข้อสงสัยตั้งแต่ต้นว่า พระพุทธโสธร ที่ในหนังสือ “ศาสตร์แห่งโหร” (สำนักพิมพ์มติชน) กล่าวถึงไว้ว่า “…เป็นพระพุทธรูปที่มีผู้ศรัทธามากที่สุดในประเทศไทย” เนื่องจากท่านสามารถดลบันดาลพรต่าง ๆ ทั้งความเจริญรุ่งเรือง โชคลาภ ความปลอดภัย ฯลฯ ให้แก่ผู้ขอพรได้ แต่ห้ามขอพรกับท่าน 2 เรื่อง



วัดโสธรวรารามวรวิหาร (ภาพจาก : fb วัดโสธรวรารามวรวิหาร)


เรื่องหนึ่งคือ การเกณฑ์ทหาร เนื่องจากท่านชื่นชอบให้คนไปเป็นทหาร และส่วนใหญ่คนที่มาขอที่นี่มักจะจับได้ใบแดงเสมอ จึงไม่แนะนำให้ขอพรท่านในเรื่องนี้ 

อีกเรื่องหนึ่งคือความรัก เพราะหลายคนที่มาขอมักจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก

ในหนังสือยังได้พูดถึงวิธีและการบูชาหลวงพ่ออีกด้วยว่า “…การจะขอพรกับหลวงพ่อโสธรนั้นมักจะเริ่มจากการไหว้หลวงพ่อโสธรองค์จำลองภายในอุโบสถหลังเก่า ซึ่งสิ่งที่ใช้ในการบนนั้นคือ ไข่ต้ม พวงมาลัย หรือถวายละครชาตรี โดยหากขอพรและบนบานเรียบร้อยแล้ว ให้กราบสักการะหลวงพ่อโสธรองค์ปฐมพระอุโบสถหลังใหม่ด้วย”

.
อ่านเพิ่มเติม :

พระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวราราม พระพุทธรูปหล่อที่ใหญ่ที่สุดในสยามประเทศ
เปิดพิกัด “มูเหนือมังกร” ไหว้เทพเจ้าที่ไหน? ให้ชีวิตสุดปัง-เฮงรับตรุษจีน!
“วัดทิพยวารีวิหาร” (กัมโล่วยี่) สถานที่มูเตลูสุดปัง หมุนกังหันเปลี่ยนดวงได้ ไม่ต้องไปไกลถึงฮ่องกง
อันซีนเยาวราช “วัดกันมาตุยาราม” สร้างจากพลังศรัทธาแม่เล้า

.
อ้างอิง : 

ภิญโญ พงศ์เจริญ, ดาวพลูโต, วิกรานต์ ปอแก้ว, บุศรินทร์ ปัทมาคม, ซินแสภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล, สมชาย แซ่จิว, โหรวสุ, การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ และธนภัทร์ ลิ้มหัสนัยกุล. ศาสตร์แห่งโหร 2567. กรุงเทพฯ: มติชน, 2566.

คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ ในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ. วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดฉะเชิงเทรา. กรมศิลปากร: กรุงเทพฯ, 2544.

.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 12 มีนาคม 2567
.

.
ที่มา : หลวงพ่อโสธร วัดโสธรวราราม ใครไปไหว้ห้ามขอพรอยู่ 2 เรื่อง!
https://www.silpa-mag.com/culture/article_128947

.



15
"หลวงพ่อโสธร" แห่งฉะเชิงเทรา ที่ตั้ง #โรงเรียนหมอนทองวิทยา ใครไปไหว้ห้ามขอพร 2 เรื่อง อะไรบ้าง?


Silpawattanatham - ศิลปวัฒนธรรม
8 พฤศจิกายน เวลา 15:10 น.
 ·

"หลวงพ่อโสธร" แห่งฉะเชิงเทรา ที่ตั้ง #โรงเรียนหมอนทองวิทยา ใครไปไหว้ห้ามขอพร 2 เรื่อง อะไรบ้าง?
.

..
หมอนทองวิทยา คือชื่อโรงเรียน ไม่ใช่ผลไม้!

Silpawattanatham - ศิลปวัฒนธรรม
10 พฤศจิกายน เวลา 07:25 น.
·

#หมอนทองวิทยา คือชื่อโรงเรียนไม่ใช่ผลไม้ ในตำบลหมอนทอง ชื่อที่มาจาก “หมอน” ที่มี “ทองคำ” อยู่ข้างใน
ส่วนโลกนี้มีทุเรียนชื่อ “หมอนทอง” ไม่น้อยกว่า 80 ปี มีหลักฐานครั้งแรกเมื่อไหร่ ทำไมถึงเป็นสายพันธุ์ยอดฮิต?
.
SILPA-MAG.COM
ทุเรียนหมอนทอง เจอหลักฐานครั้งแรกเมื่อใด ทำไมถึงเป็นสายพันธุ์ยอดฮิต
https://www.silpa-mag.com/history/article_132615
.


ตำบลหมอนทอง อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา มีเรื่องเล่าท้องถิ่นเกี่ยวกับที่มาชื่อตำบลว่า ในอดีตมีตายายคู่หนึ่ง มีอาชีพค้าขายของชำ-ของใช้ในครัวเรือน เมื่อขายได้ยายก็เอาเงินไปซื้อทองคำมาเก็บไว้ในบ้าน โดยซ่อนไว้ในหมอนที่ใช้อยู่ทุกวัน
.
อยู่มาวันหนึ่งหมอนหายไปจากบ้าน ยายเกิดความเสียดายพยายามหาหมอนดังกล่าวอยู่นาน แต่ก็ไม่พบ ต่อมาพวกหาปลาได้ไปพบหมอนยายเข้า สงสัยว่าทำไมหมอนจึงหนักผิดปกติ จึงฉีกหมอนดูแล้วพบทองซ่อนอยู่ในหมอน จึงอุทานคำว่า “หมอนทอง” ตั้งแต่นั้นจึงเอาคำอุทานมาเรียกเป็นชื่อตำบลมาจนถึงปัจจุบัน
.
อ้างอิง : เว็บไซต์ ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
.

.
Silpawattanatham - ศิลปวัฒนธรรม
https://www.silpa-mag.com/culture/article_128947
หลวงพ่อโสธร วัดโสธรวราราม ที่ใครไปไหว้ห้ามขอพรอยู่ 2 เรื่อง!

SILPA-MAG.COM
หลวงพ่อโสธร วัดโสธรวราราม ที่ใครไปไหว้ห้ามขอพรอยู่ 2 เรื่อง!

.

เรื่องหนึ่งคือ การเกณฑ์ทหาร เนื่องจากท่านชื่นชอบให้คนไปเป็นทหาร และส่วนใหญ่คนที่มาขอที่นี่มักจะจับได้ใบแดงเสมอ จึงไม่แนะนำให้ขอพรท่านในเรื่องนี้

อีกเรื่องหนึ่งคือความรัก เพราะหลายคนที่มาขอมักจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก

.


ที่มา : "หลวงพ่อโสธร" แห่งฉะเชิงเทรา ที่ตั้ง #โรงเรียนหมอนทองวิทยา ใครไปไหว้ห้ามขอพร 2 เรื่อง อะไรบ้าง?
https://www.facebook.com/SilpaWattanatham/posts/pfbid0guca7F85o3eYmraqCxnVZjUyxAUSzSdjLdxgX2QjfMtjSBFkqayxazoKaCqKi7w6l

.



16
พระพุทธโสธร พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ลอยน้ำในตำนานแต่ครั้งรัชกาลที่ 5


ประวัติศาสตร์

พระพุทธโสธร พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ลอยน้ำในตำนานแต่ครั้งรัชกาลที่ 5



ภาพถ่ายหลวงพ่อโสธรจากป้ายจัดแสดงขั้นตอนการอนุรักษ์โดยวัดโสธรวรารามวรวิหาร ร่วมกับกรมศิลปากร
ในการปฏิบัติงานอนุรักษ์หลวงพ่อโสธร (ภาพถ่ายโดย Nontapron Youmangmee เมื่อ 6 พฤศจิกายน 2565)


ผู้เขียน   เสมียนนารี
เผยแพร่   วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ.2568


พระพุทธโสธร หรือ หลวงพ่อโสธร พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ลอยน้ำในตำนานแต่ครั้งรัชกาลที่ 5

“…พระประธานในพระอุโบสถวัดนี้ เป็นพระศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวจังหวัดนี้นับถือมาก มีคนมานมัสการไม่ขาด และมีการไหว้ประจำปี กำหนดในวันเพ็ญเดือน 12  ถึงวันนี้ มีเรือมาเป็นอันมาก นอกจากไหว้พระ มีการออกร้านและแข่งเรือ…” พระดำรัส สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรส  คราวเสด็จตรวจคณะสงฆ์ในมณฑลปราจีนบุรี พ.ศ. 2459 โดยพระประธานในข้อความข้างต้นคือ พระพุทธโสธร หรือ “หลวงพ่อโสธร” แห่งวัดโสธรวรารามวรวิหาร อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา


ประวัติความเป็นมาของพระพุทธโสธรนั้น มีความเห็นที่แตกต่างกันออกไปดังนี้

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบันทึกไว้ในพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อเสด็จประพาสมณฑลปราจีนบุรี ร.ศ. 127 (พ.ศ. 2451) ตอนหนึ่งว่า

“…พระพุทธรูป ว่าด้วยศิลาแลงทั้งนั้น องค์ที่สำคัญว่าเป็นหมอดีนั้น คือองค์ที่อยู่กลางดูรูปตักและเอวงาม ทำเป็นทำนองเดียวกันกับพระพุทธเทวปฏิมากร แต่ตอนบนกลายไปเป็นด้วยฝีมือผู้ที่ไปปั้นว่าลอยน้ำก็เป็นความจริงเพราะเป็นพระศิลาคงจะไม่ได้ทำในที่นี้…”

พันเอกหลวงรณสิทธิ์พิชัย อธิบดีกรมศิลปากร (ดำรงตำแหน่ง พ.ศ. 2493-2498) บันทึกเรื่องการสำรวจของโบราณในเมืองไทยเกี่ยวกับพระพุทธโสธรว่า

“…หลวงพ่อโสธรเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิหน้าตักกว้าง 1.65 เมตร สูง 1.98 เมตร เป็นพระพุทธรูปที่บูรณะขึ้นในปลายสมัยอยุธยา หรือต้นสมัยรัตนโกสินทร์ และช่างผู้บูรณะนั้นเข้าใจว่าจะเป็นฝีมือช่างผู้มีภูมิลําเนาอยู่ทางภาคอีสาน ประวัติที่ข้าพเจ้าพึง กล่าวได้นั้นมีเพียงเท่านี้ และที่กล่าวนี้โดยอาศัยวัตถุที่เห็นเท่านั้น…”

นายตรี อมาตยกุล อดีตหัวหน้ากองวรรณคดี กรมศิลปากร ก็กล่าวถึงพระพุทธโสธรไว้ในเรื่องนําเที่ยวฉะเชิงเทราว่า

“….พระพุทธโสธรเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ลงรักปิดทอง มีขนาดสูง 1 เมตร 94 เซนติเมตร หน้าตักกว้าง 1 เมตร ๖๕ เซนติเมตร เท่าที่ตรวจดูรูปภายนอกซึ่งลงรัก ปิดทองไว้ ปรากฏว่าเป็นพระพุทธรูปฝีมือช่างแบบลานช้าง หรือซึ่งเรียกกันเป็น สามัญว่า ‘พระลาว’ พระพุทธรูปแบบนี้นิยมทํากันมากที่เมืองหลวงพระบาง ในประเทศ อินโดจีนฝรั่งเศส และทางภาคอีสานของประเทศไทย…”

จากพระบรมราชวินิจฉัย และความเห็นข้างต้น พอจะสรุปได้ว่า หลวงพ่อโสธร ไม่ได้ทําขึ้นในจังหวัดฉะเชิงเทรา แต่ได้นํามาจากที่อื่น เพราะองค์พระทําด้วยศิลาแลง เป็นพระพุทธรูปฝีมือแบบชาวล้านช้างหรือที่เรียกว่า “พระลาว” ได้บูรณะหรือสร้างขึ้นในปลายสมัยอยุธยาหรือต้นสมัยรัตนโกสินทร์



หลวงพ่อโสธร พระประธานภายในพระอุโบสถวัดโสธรวรารามวรวิหาร
(ภาพถ่ายโดย Nontapron Youmangmee เมื่อ 6 พฤศจิกายน 2565 )


หนังสือประวัติของพระพุทธโสธร พิมพ์โดยนายทองใบ ภู่พันธ์ มีบทสัมภาษณ์ เจ้าคุณพระเทพกวี วัดเทพศิรินทราวาส อดีตเจ้าคณะมณฑลปราจีนบุรี ระหว่างปี 2472-2442  ได้ความต้องกันเป็นส่วนมากว่า พระพุทธโสธร เดิมที่เกิดปาฏิหาริย์ลอยมาตามกระแสน้ำจากทางเหนือลําแม่น้ำบางปะกงนั้น เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิแกะด้วยฝีมือ ขนาดหน้าตักกว้างประมาณ 2 คืบเศษ

ข้อที่ว่าจะลอยมาจากแห่งหนตําบลไหน ตั้งแต่เมื่อใด ยังไม่มีใครสอบสวนได้ความ ส่วนที่ว่าพระพุทธโสธรลอยตามน้ำมาจริงหรือไม่ ท่านเชื่อว่าจริง โดยมีเหตุผลพอจะสันนิษฐานได้ว่า พระพุทธโสธรองค์นี้ เป็นพระพุทธรูปแกะด้วยไม้โพธิ์ ซึ่งเข้าใจว่าสร้างขึ้นโดยฝีมือชาวเวียงจันทน์ หรือลาวนครเชียงรุ้ง หรือลาวโซ่งอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะเคยทราบมาว่า พวกลาวชาวพื้นเมืองที่กล่าวนี้นิยมสร้างพระพุทธรูปด้วยไม้โพธิ์และน่าคิดว่า พระพุทธรูปลอยน้ำมาจากทางเหนือลําแม่น้ำบางปะกง

นอกจากนี้ยังมีคำบอกเล่าเกี่ยวกับพระพุทธโสธร ปรากฏในประวัติหลวงพ่อวัดบ้านแหลมว่า มีพระพุทธรูป 3 องค์ที่เป็นพระพี่น้องกัน คือ หลวงพ่อวัดบ้านแหลม สมุทรสงคราม, หลวงพ่อ วัดบางพลี สมุทรปราการ และหลวงพ่อโสธร ฉะเชิงเทรา ลอยน้ำมาจากทางเหนือของไทย



พระพุทธโสธร หรือ หลวงพ่อโสธร ขณะดำเนินการบูรณะปฏิสังขรณ์ (ที่มา เพจเฟซบุ๊ค วัดโสธรวราราม วรวิหาร เผยแพร่ 23 มีนาคม 2566)

.
อ่านเพิ่มเติม :

ดูวิธีแก้ถูกทาสีทับ กรณี “หลวงพ่อดำ” วัดโกโรโกโส อยุธยา ถูกทาสีน้ำมันทั้งองค์!
ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อโสธร “องค์จำลอง” เป็นที่ศรัทธาล้ำหน้า “องค์จริง”
พระศรีศากยมุนี วัดสุทัศนเทพวราราม พระพุทธรูปหล่อที่ใหญ่ที่สุดในสยามประเทศ

.
อ้างอิง :

วัฒนธรรม พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดฉะเชิงเทรา, จัดพิมพ์เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 5 ธันวาคม 2542
.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 26 มิถุนายน 2563
.

.
ที่มา : พระพุทธโสธร พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ลอยน้ำในตำนานแต่ครั้งรัชกาลที่ 5
https://www.silpa-mag.com/history/article_52090

.



17
เปิด 4 ตระกูลใหญ่ของ “พญานาค” มีอะไรบ้าง แตกต่างกันอย่างไร? โดย ปดิวลดา บวรศักดิ์


วัฒนธรรม

เปิด 4 ตระกูลใหญ่ของ “พญานาค” มีอะไรบ้าง แตกต่างกันอย่างไร? โดย ปดิวลดา บวรศักดิ์



จิตรกรรมพญานาคที่วัดโพธิ์ (ภาพโดย Andrea Kirkby ใน Flickr สิทธิการใช้งาน CC BY-SA 2.0)


ผู้เขียน   ปดิวลดา บวรศักดิ์
เผยแพร่   วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ.2568


“พญานาค” เป็นอมนุษย์ที่ปรากฏอยู่ในวรรณคดีไทยมากมาย มีความเชื่อว่าสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ (ยกเว้นเพียงตอนเกิด ตาย นอนหลับ ร่วมเพศ และเวลาลอกคราบ) ทั้งยังช่วยเหลือมนุษย์ในเรื่องต่าง ๆ มากมาย ขณะเดียวกันพญานาคแต่ละตนก็เกิดในที่ต่างกัน มีความแตกต่างกัน ดูได้จากลักษณะทางกายภาพ รวมถึงมีการแบ่ง 4 ตระกูลใหญ่ของพญานาค 



มกรคายพญานาคเจ็ดเศียร เชิงบันไดวัดพระธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ ภาพโดย Thanyakij จาก th.wikipedia.org/wiki/มกร

มีความเชื่อว่าพญานาคเกิดขึ้นมาจากนางกัทรูและพระกัศยพราหมณ์ฤษี โดยนางกัทรูมีลักษณะเป็นสัตว์ เกิดจากฟองไข่ และให้กำเนิดลูกครั้งแรกจำนวน 1,000 ตัว 

พญานาคแต่ละตนสามารถเกิดขึ้นมาได้ 4 ลักษณะ ได้แก่ เกิดในฟอง เรียกว่า “อัณฑชะ” เกิดในครรภ์ เรียกว่า “ชลาพุชะ” เกิดในที่หมักหมม เรียกว่า “สังเสทชะ” และเกิดแล้วโตทันที ได้แก่ “โอปปาติกะ”

ถึงแม้ว่าจะเกิดต่างกัน แต่ในคัมภีร์บาลีก็กล่าวไว้ว่านาคที่เกิดมาทั้ง 4 แบบนี้ล้วนแต่มีบุญและมีอำนาจ

พญานาคยังสามารถแบ่งตระกูลออกเป็น 4 ตระกูลใหญ่ ดูได้จากสีผิว 
.

4 ตระกูลใหญ่ของพญานาค

1. ตระกูลวิรูปักขะหรือตระกูลวิรูปักข์ มีผิวกายเป็นสีทองคำ ตระกูลนี้เรียกได้ว่าเป็นราชาใหญ่แห่งนาคทั้งหมด และเป็นหนึ่งในสี่มหาราชที่ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศตะวันตก

2. ตระกูลเอราปักถะ มีผิวสีเขียว

3. ตระกูลฉัพยาปุตตะ มีผิวสีรุ้ง

4. ตระกูลกัณหาโคตมะ มีผิวสีดำ

พญานาคยังมีตระกูลยิบย่อยของตนเองอยู่อีก 1,024 ชนิด และเรียกได้ว่าเป็นสัตว์เลื้อยคลานประเภทงูและงูทุกชนิดก็ถือว่าเป็นลูกหลานของพญานาคทั้งสิ้น



พญานาคที่วัด (ภาพ : pixabay)

.
อ่านเพิ่มเติม : 

นาค ในคัมภีร์ “อุรังคธาตุ” (หรือตำนานพระธาตุพนม)
ถอดความเชื่อและเรื่องเล่า รูพญานาคกับพระเจ้าใหญ่ วัดโพนชัย จ.เลย
“พันปีไม่เคยแห้ง” น้ำศักดิ์สิทธิ์ ของพญานาค จากสระทั้งสี่ ที่เมืองสุพรรณบุรี

.

อ้างอิง : 

https://www.matichonweekly.com/column/article_640940

วิเชียร นามการ, วทัญญู ภูครองนา, สุทธิวิทย์ จันทร์ภิรมย์ และประสิทธิ์ คำกลาง. บทบาทความเชื่อเรื่องพญานาคในพระพุทธศาสนาต่อสังคมไทย ใน วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม), 2564.

.

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 5 กันยายน 2567

.
ที่มา : เปิด 4 ตระกูลใหญ่ของ “พญานาค” มีอะไรบ้าง แตกต่างกันอย่างไร?
https://www.silpa-mag.com/culture/article_138663

.



18
อาจารย์ศิลป์ พีระศรี ปั้น อนุสาวรีย์พระเจ้าตาก “ม้าหางชี้” จะขี้ใช่ไหม?


ประวัติศาสตร์

อาจารย์ศิลป์ พีระศรี ปั้น อนุสาวรีย์พระเจ้าตาก “ม้าหางชี้” จะขี้ใช่ไหม?



ซ้าย-แบบ “พระบรมรูปทรงม้า” ซึ่งได้รับคะแนนนำขาดลอย (ภาพจากหนังสือ ประวัติศาสตร์สมัยธนบุรี สำนักพิมพ์สารคดี)
กลาง-อาจารย์ศิลป์ พีระศรีกำลังขยายแบบปั้นอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน (ภาพจากหนังสือ ๑๐๐ ปี ศิลป์ พีระศรี นิทรรศการเชิดชูเกียรติฯ, มหาวิทยาลัยศิลปากร)
ขวา-พระบรมราชานุสาวรีย์ปัจจุบัน


ที่มา   ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤศจิกายน 2527
ผู้เขียน   กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่   วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ.2568


อาจารย์ศิลป์ พีระศรี ปั้น อนุสาวรีย์พระเจ้าตาก “ม้าหางชี้” จะขี้ใช่ไหม?

อนุสาวรีย์พระเจ้าตาก โดดเด่นและสง่างามยิ่ง ทว่าไม่มีใครในโลกจะล่วงรู้ว่ารูปร่างหน้าตาท่าทางของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นอย่างไร เพราะไม่มีใครเคยเห็น และไม่มีบันทึกถึงเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นบันทึกที่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือรูปวาด ท่านศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี ผู้ได้รับมอบหมายให้ปั้นอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ก็ไม่รู้

เมื่อไม่รู้และไม่มีหลักฐานที่จะสืบนำเอาความรู้ได้ ก็จำเป็นจะต้องใช้จินตนาการที่สร้างขึ้นมาจากการอ่านการศึกษาพระราชประวัติเท่าที่จะพึงหาได้ในขณะนั้น

ในที่สุดท่านศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี ก็ได้ความบันดาลใจและตัดสินใจแน่วแน่

ทวี นันทขว้าง – ศิลปินเอก ท่านเป็นอาจารย์สอนที่โรงเรียนเพาะช่าง, คณะจิตรกรรมฯ  มหาวิทยาลัยศิลปากร เขียนเล่าถึงเรื่องนี้เอาไว้ว่า

ตอนนั้นผมสอนอยู่เพาะช่าง มีคนมาบอกผมว่าอาจารย์ศิลป์อยากให้ไปเป็นแบบปั้น พอไปหาท่านก็พูดว่า

“ฉันจะปั้นพระเจ้าตากสิน” คือที่ประชุมกรรมการเขาถกเถียงกัน พยายามค้นคว้าหาหน้าตาพระเจ้าตากสินมาให้อาจารย์ปั้น แต่ก็หาไม่ได้มีแต่รูปสเก็ตช์ ๆ บอกว่ามีลักษณะเป็นจีน ๆ เท่านั้น ตกลงก็เอาแน่ไม่ได้ว่าหน้าตาท่านเป็นอย่างไร ก็ให้อาจารย์ศิลป์อิมเมยีนเอง อาจารย์ศิลป์ก็อิมเมยีนว่า พระเจ้าตากสินหน้าตาควรจะมีลักษณะคนไทยผสมคนจีน

“ฉันนึกดูแล้วว่าหน้าตาพระเจ้าตากสินจะต้องเหมือนนายกับนายจำรัสบวกกัน ฉันว่าอย่างนั้น นายต้องมาเป็นแบบให้ฉัน”

ผมก็เลยต้องไปเป็นแบบให้อาจารย์ท่าน ไปยืนทำท่าเบ่งยืดอกเป็นพระเจ้าตากสินอยู่ 3-4 วัน ให้อาจารย์ท่านปั้น พร้อม ๆ กับอาจารย์จำรัส เกียรติก้อง

ก็เป็นอันได้รู้ตามคำบอกเล่าของอาจารย์ทวีเองว่ารูปพระพักตร์ของอนุสาวรีย์พระเจ้าตากนั้นมาจากหน้าของอาจารย์ทวี นันทขว้าง ซึ่งมีเชื้อสายไทยลื้ออยู่จังหวัดลำพูน บวกกับใบหน้าของอาจารย์จำรัส เกียรติก้อง ผู้เป็นเอกศิลปินด้านเขียนรูปเหมือน ซึ่งมีเชื้อสายชาวยุโรป

อาจารย์ทวีนั้นมีวงหน้าไปทางจีนปนไทย

ปัญหามีอยู่ว่า ทำไมเอาวงหน้าอย่างยุโรปของอาจารย์จำรัสมาเป็นแบบ

ประวัติศาสตร์จากคำบอกเล่าบันทึกเอาไว้ว่า เพราะวงหน้าอาจารย์จำรัสเป็นลักษณะของนักรบที่บึกบึนเข้มแข็งเฉียบขาดยิ่งนัก



พระพักตร์ “อนุสาวรีย์พระเจ้าตาก” ที่วงเวียนใหญ่ ซึ่งอาจารย์ใช้ จำรัส เกียรติก้อง (ซ้ายล่าง) กับ ทวี นันทขว้าง (ขวาล่าง) เป็นแบบ


อุดร ฐาปโนสถ – ลูกศิษย์คนหนึ่งของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี เขียนเล่าเรื่องการทำงานปั้นอนุสาวรีย์นี้เอาไว้ตอนหนึ่งว่า

ในช่วงระยะเวลาที่เราเรียนอยู่นั้น เป็นช่วงที่ท่านกำลังปั้นรูปอนุสาวรีย์พระเจ้าตากพอดี ท่านได้สั่งให้เอาม้าไทยมาตัวหนึ่งรูปร่างงดงามมายืนเล็มหญ้าตรงแถวๆ หน้าห้องท่าน จึงเป็นโอกาสอันงามที่ให้เราได้ สเก็ตช์ภาพม้ากันอย่างเต็มเหนี่ยว โดยไม่ต้องไปถึงคอกม้า และเป็นโอกาสอันงามที่เราได้เห็นการสร้างอนุสาวรีย์ขนาดใหญ่เช่นนั้นในทางปฏิบัติ ท่านอาจารย์จะอยู่ในสภาพขะมุกขะมอมอยู่เสมอ แต่เป็นการขะมุกขะมอมอย่างสะอาด ท่านเป็นคนสะอาดอยู่ตลอดเวลา

ในการเลือกแบบม้าทรงของพระเจ้าตากสิน ท่านเลือกม้าไทยแทนที่จะเลือกม้าฝรั่งในแบบของอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 ที่พระบรมรูปทรงม้า ด้วยเหตุผลธรรมดาว่า พระเจ้าตากสินย่อมจะต้องทรงม้าไทย

และม้าตอนที่กำลังคึกคะนอง พร้อมที่จะโผนำหน้าออกศึกด้วยบัญชาของจอมทัพที่กำลังชูดาบเป็นสัญญาณให้เคลื่อนทัพ ย่อมจะต้องอยู่ในอาการเกร็ง ในช่วงวินาทีที่จะโผนเผ่น หางจะชี้พร้อมทั้งเอนตัวไปข้างหน้าพร้อมที่จะวิ่ง ซึ่งทำให้คนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ทั้งหลาย พากันลงความเห็นชุ่ย ๆ ว่า ม้ากำลังขี้

มาถึงบัดนี้เราก็ได้เห็นและรู้สึกกันแล้วว่า จังหวัดธนบุรีอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้น หัวใจของมันอยู่ที่อนุสาวรีย์พระเจ้าตากฯ…


ทหารเสือพระเจ้าตาก เกือบถือดาบมือซ้าย   

ชั้นปรมาจารย์ก็อาจเผลอได้เหมือนกัน ดังคำพังเพยที่ว่า –สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง

ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ – เอกศิลปินผู้ใกล้ชิดท่านศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เล่าถึงเรื่องดังกล่าวเอาไว้ดังต่อไปนี้

วันหนึ่งผมก็เข้าไปเห็นท่านกำลังร่างสเก็ตช์คอมโพสิชั่นอนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน สำหรับกษัตริย์เขาเรียกราชานุสาวรีย์ ท่านก็เขียนเป็นภาพสำหรับปั้นบาสเรลีฟติดที่แท่นฐาน เป็นรูปทหารไทยกับทหารพม่ารบกัน แต่ทุกตัวในภาพนั้นถือดาบมือซ้ายทั้งหมด

ผมเองก็ไม่ใช่ว่าแหม… เป็นคนจะอวดไปติไปติงอาจารย์ ตอนนี้เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ทั้งนี้เป็นเพราะว่าอาจารย์ทำงานอย่างชนิดฉุกละหุก ถูกเร่งเวลา มีกำหนดเวลาให้ก็ต้องรับทำโน่นทำนี่ ไอ้การถูกเร่งเวลาอะไรนี่มันทำให้หลง ๆ ลืมได้ คอมโพสิชั่นถูกต้องหมดทุกอย่าง แต่ว่าถือดาบเท่านั้นแหละที่มันผิดไป ถือมือซ้ายกันหมด



อาจารย์ศิลป์ พีระศรี


ผมก็บอก “เอ๊ะ! อาจารย์ครับ ทหารที่รบกันนี่ทำไมถือดาบมือซ้ายทุกคนล่ะครับ” คือ มือซ้ายถือดาบมือขวาถือโล่ อะไรทำนองนี้แหละ ท่านบอกว่า “เออ จริง นาย…จริงนาย…ไม่เป็นไร… ไม่เป็นไร…ประเดี้ยว…” ไอ้ผมก็งงว่าไม่เป็นไรประเดี๋ยวอะไร แหมท่านเขียนตั้งแผ่นเบ้อเร่อเชียว แล้วก็ถือดาบมือซ้ายหมด เป็นเราน่ะแก้แย่ไปเลย แต่ท่านบอกไม่เป็นไร

ท่านก็แกะเอากระดาษนั้นออก แล้วพลิกกลับไปติดใหม่ ไอ้กระดาษนั้นเป็นกระดาษบาง ๆ ก็พอมองเห็นที่เขียนไว้อีกด้านหนึ่งได้ อ้าว…กลายเป็นทหารถือดาบมือขวาทั้งหมดไปแล้ว แล้วก็สวยในคอมโพสิชั่นอันเดียวกัน นี่แสดงว่าไหวพริบของท่านดี เรายืนดูเราก็ได้ความรู้อีก แทนที่เราไปสอนท่านให้ได้ความรู้ ไม่ใช่ความรู้ นั่นเป็นความเผอเรอ เพราะว่าเร่งรีบเลยทำผิด ไม่ใช่ว่าท่านไม่มีความฉลาดพอที่จะทำงานให้ถูกต้องหรอก


ม้าพระเจ้าตาก ในอนุสาวรีย์พระเจ้าตาก มาจากไหน?

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงเป็นนักรบบนหลังม้า เพราะตามประวัตินั้นทรงม้านำทหารในการพระราชสงครามเกือบทุกครั้ง

ดังนั้น อนุสาวรีย์พระเจ้าตากจึงต้องทรงม้าเป็นข้อสำคัญ

สนั่น ศิลากรณ์ – เอกศิลปินร่วมสมัยอีกท่านหนึ่ง ซึ่งมีความใกล้ชิดกับท่านศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เล่าถึงเรื่องม้าเอาไว้ดังนี้

ผมจำได้ว่าในงานรัฐธรรมนูญสมัยนั้น มีการออกแบบรูปอนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินที่วงเวียนใหญ่ และจะนำแบบออกแสดงที่ร้านของกรมศิลปากรในงานนี้ด้วย เพื่อเรี่ยไรเงินสมทบก่อสร้าง อาจารย์ออกแบบตัวรูปปั้นและแท่นฐานไว้ไม่น้อยกว่า 5 แบบ ในลักษณะต่าง ๆ กัน เพื่อให้ประชาชนเลือกโดยบริจาคเป็นเงินที่หน้าแผ่นในรูปนั้น ๆ ในตู้บริจาคเป็นการให้คะแนนไปในตัว รูปเหล่านี้ลงสีสวยงาม มีขนาดประมาณ 75 X 50 ซ.ม.

อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่วงเวียนใหญ่ที่เห็นกันอยู่ขณะนี้ เป็นแบบหนึ่งในจำนวนเหล่านั้น ขั้นตอนการทำงานของท่านก็คือสเก็ตช์รูปปั้นพระเจ้าตากทรงม้า ด้วยขนาด 3 ใน 4 ของคนจริงและม้าจริงก่อน ปั้นให้มีทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น ท่าทาง, เครื่องทรง, อารมณ์ และความหมายของเรื่อง งานช่วงนี้ท่านต้องคิดค้นตามประวัติศาสตร์ เป็นงานหนักทางสมองมาก เช่น ม้าทรงเป็นม้าพันธุ์ไทย ท่านต้องให้กรมศิลปากรทำหนังสือถึงกรมสัตวแพทย์ทหารบก (ถ้าผมจำชื่อไม่ผิด) ตั้งอยู่ที่ข้าง ๆ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ผมจำสถานที่ได้ เพราะท่านเอาผมไปด้วยเพื่อแปลไทยเป็นไทยเวลาพูดกัน…

ม้าที่ไปดูนั้นเป็นม้าพันธุ์อาหรับอย่างดีที่ทางการสั่งเข้ามาเพื่อเป็นพ่อพันธุ์ เจ้าหน้าที่จูงออกมาที่ประตูคอกอย่างทะนุถนอม โผล่ให้เห็นแค่ช่วงคอเท่านั้น บอกว่าเพิ่งเข้ามาใหม่ ๆ ยังตื่นที่อยู่ ราคาตัวนี้ 1 แสนบาท (ในเวลานั้น) ตอนขากลับท่านกระซิบกับผมว่าราคาสูงสำหรับพันธุ์ สำหรับเราไม่มีราคาเลย เพราะเราต้องการม้าพันธุ์ไทยเป็นแบบ

ในที่สุดขอดูม้าเป็นแบบปั้นได้ที่กรมทหารม้ารักษาพระองค์บางซื่อ มีม้าไทยหลายตัวที่อาจารย์พอใจ ทางกรมทหารม้านี้ให้ยืมม้า พร้อมทั้งพลประจำมาอยู่ที่โรงหล่อของกรมหลายวัน เพื่อให้ท่านสเก็ตช์ส่วนสัด และส่วนละเอียดของกระดูกกล้ามเนื้อ เสร็จแล้วจึงส่งคืน



อนุสาวรีย์​พระเจ้า​ตาก ที่​วงเวียนใหญ่ กรุงเทพมหานคร


ม้าพระเจ้าตากหางชี้ จะขี้ไช่ไหม?

เกร็ดเกี่ยวกับม้ายังไม่หมด เพราะม้าทรงของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเกิดมีหางชี้เด่มากเกินไป

ม้าพระเจ้าตากหางชี้ จะขี้ใช่หรือไม่ – กลายเป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสมัยนั้น

สวัสดิ์ ตันติสุข – เอกศิลปินผู้อำนวยการวิทยาลัยช่างศิลป์ กรมศิลปากร เขียนเล่าเรื่องเอาไว้ดังนี้

เรื่องนี้มาจากหางม้าพระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าตากสินมหาราชที่วงเวียนใหญ่ ผมได้เห็นอาจารย์ศิลป์และศิษย์ที่เป็นประติมากรซึ่งก็เป็นครูของผมด้วย ช่วยงานปั้นหล่อพระบรมราชานุสาวรีย์แห่งนี้ตั้งแต่เริ่มที่อาจารย์สเก็ตช์แบบเสนอคณะกรรมการหลายแบบ

เมื่อได้รับเลือกแล้ว จึงมาขยายปั้นปูน เฉพาะหางม้านั้นถ้าผมจำไม่ผิด อาจารย์สิทธิเดช แสงหิรัญ เป็นผู้ปั้น และก็หล่อมาติดภายหลังเมื่อขยายเท่าจริงตามขนาด อนุสาวรีย์ไม่ใช่เล็ก ๆ เมื่อนำไปติดตั้งเสร็จที่วงเวียนใหญ่มีพระราชพิธีเปิดเป็นทางราชการก็เกิดอาถรรพ์ขึ้นจนได้ เมื่อพิธีเปิดเสร็จสิ้นแล้วมีข่าวลงในหน้าหนังสือพิมพ์ โดยผู้เชี่ยวชาญสัตว์ของทางราชการแห่งหนึ่งได้เขียนบทความเกี่ยวกับพระบรมราชานุสาวรีย์แห่งนี้ แล้วได้กล่าวติเป็นทำนองว่าหางม้านั้นชี้มากเกินไป ลดความสง่างามส่วนอื่น ๆ จนหมดสิ้น เพราะเป็นอิริยาบถของม้ากำลังขี้ ถ้าจะลดลงมาบ้างก็คงจะทำให้อนุสาวรีย์แห่งนี้งามสมบูรณ์ขึ้น

ทางราชการก็ตัดข่าวหนังสือพิมพ์นี้เสนอมาถึงท่านอาจารย์เพื่อให้ชี้แจงว่าจะกระทำได้เพียงใด ท่านปวดหัวอยู่หลายวันเพราะอนุสาวรีย์พระเจ้าตากก็ตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระราชพิธีก็เสร็จสิ้นแล้ว จะขึ้นไปตัดหางม้าออกแล้วอ๊อกใหม่ให้หางม้าลดลงบ้างได้อย่างไร เรื่องนี้ศิษย์ทุกคนรู้ต่างก็เป็นทุกข์ เพราะว่าเป็นบันทึกข้าราชการระดับสูงก็เห็นควรจะให้แก้ไข

ท่านอาจารย์ได้ทำบันทึกชี้แจง โดยนำเอาแบบอนุสาวรีย์ที่สำคัญที่มีในต่างประเทศหลายแห่ง มีหางม้าชี้สูงกว่าของพระเจ้าตากเสียอีก ก็ไม่เห็นมีใครว่า ได้จัดแบบอนุสาวรีย์ต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า 5 แห่ง ถ่ายจากหนังสือประกอบคำชี้แจงไปด้วย ให้ความเห็นในด้านศิลปะไปว่า ความงามของอนุสาวรีย์อยู่ในลักษณะเส้นสำคัญของตัวม้า พระเจ้าตาก รวมทั้งหางม้าด้วย ซึ่งเป็นส่วนประกอบให้ความรู้สึกที่จะพุ่งไปข้างหน้า ในฐานะผู้นำนักรบ

เมื่อเสนอไปแล้วเข้าใจว่าจะจบเกมส์เป็นที่ยอมรับกันได้ ผู้เชี่ยวชาญสัตว์ท่านนั้นได้รับคำชี้แจงแล้วก็ยังเขียนไม่เห็นด้วยมาอีก ทางราชการก็ดูเหมือนจะเห็นควรให้แก้หางม้าให้ต่ำลง ท่านอาจารย์ไปคิดดูอีกหลายวัน ในที่สุดก็เรียกลูกศิษย์หลายคน มีผมเป็นคนหนึ่งด้วย ช่วยกันร่างคำตอบเสนอไปอีกครั้ง

สรุปว่า ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญสัตว์ที่แจ้งมานั้น ถูกต้อง เข้าใจอิริยาบถของสัตว์อย่างดีที่สุด ม้าจะขี้ต้องยกหางให้สูงขึ้นแน่นอนในยามปกติ แต่ม้าพระเจ้าตากที่ท่านปั้นขยายขึ้นนี้หาได้อยู่ในอิริยาบถตามปกติไม่ ทั้งองค์พระเจ้าตากและม้าอยู่ในสภาวะที่จะออกศึก ไม่เป็นไปตามธรรมชาติปกติ เพื่อให้เห็นความงามของพระบรมราชานุสาวรีย์แห่งนี้โดยสมบูรณ์ว่า ทรงเป็นนักรบที่กอบกู้อิสรภาพ และพร้อมแล้วที่จะเป็นผู้นำพระองค์แรกในการออกศึก ทั้งม้าของท่านก็พร้อมจะออกศึกด้วยอย่างเห็นได้ชัดจากอากัปกิริยา  หู หางม้า จึงจำเป็นต้องอยู่ในลักษณะนั้น

เมื่อได้เรียนชี้แจงในครั้งที่สองนี้ ทางราชการระดับสูงตลอดจนผู้เชี่ยวชาญสัตว์ก็ยอมรับหางม้าพระเจ้าตาก ก็ไม่ต้องเลื่อยมาอ๊อกใหม่ อยู่ในสภาพคงเดิมทุกประการ

สุกิจ ลายเดช – เอกศิลปินผู้เป็นศิษย์ท่านศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี อีกท่านหนึ่ง มีบันทึกความทรงจำถึงเรื่องเหล่านี้เอาไว้อีกว่า

พวกเราประมาณสิบคนเห็นอาจารย์ครั้งแรกก็ตอนที่ท่านมากล่าวต้อนรับ เป็นฝรั่งรูปร่างสูงใหญ่อย่างฝรั่ง แต่เสียงไม่ยักห้าว ทุ้มเสียงท่านค่อนข้างเล็กถ้าจะเปรียบกับมาตรฐานฝรั่ง ที่แปลกตามสายตาของผมก็ตรงที่อาจารย์ศิลป์ท่านสวมแว่นตาหนามาก มากที่สุด ซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อน และที่เห็นแปลกอีกอย่างหนึ่งคือท่านมีผ้าขาวมาทำเป็นเปลเล็ก ๆ ห้อยแขวนอยู่กับคอ…ท่านมากล่าวอะไรพวกเราฟังไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่าท่านพูดเป็นภาษาไทยแน่

ต่อมาพวกเราก็ทราบว่าที่อาจารย์ฝรั่งทำเปลแขวนอยู่กับคอนั้น ท่านคล้องแขนที่หักเพราะตกม้าพระเจ้าตาก ม้าเจ้าตากที่หมายถึงรูปปั้นม้าอนุสาวรีย์พระเจ้าตากกำลังขยายเป็นปูนปลาสเตอร์เท่าครึ่งของจริงอยู่ในโรงสังกะสีใหญ่โต (โรงนี้คือส่วนที่อยู่ทางเหนือของตึกคณะมัณฑศิลป์ในปัจจุบัน) และรอบ ๆ ตัวม้านั้น มีนั่งร้านระเกะระกะ

ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นผู้อำนวยการ และมีลูกศิษย์ที่เป็นอาจารย์ของเราหลายคนช่วยกันทำ อาจารย์ฝรั่งก็อดไม่ได้ ต้องปีนขึ้นไปไสปูน ที่เราเห็นว่าม้านั้นก็สวยดีอยู่แล้ว มีชีวิตชีวาตื่นตา แต่ยังไม่ถูกใจอาจารย์อยู่ดี เลยเป็นเหตุให้อาจารย์ฝรั่งตกม้าเจ้าตาก ก็สูงร่วม ๆ สามเมตรนั่นแหละ นี่ก็เพราะแว่นตาหนาเตอะที่สายตาของท่านต้องมองลอดเป็นเหตุ

แว่นตาที่อาจารย์ฝรั่งสวมนั้น ทราบว่าเป็นแว่นตาเบอร์สูงที่สุดเท่าที่คนสายตาสั้นใช้ ขอบหนามาก แต่ตรงกลางบางมาก เวลาท่านตรวจงานของเราท่านมักจะก้มหน้าของท่านเรี่ย ๆ อยู่กับภาพงานของเรา อดเสียวไส้ไม่ได้ว่าสีถ่านบ้าง ชอล์คบ้าง ที่เราช่วยกันละเลงลงบนกระดาษนั้นจะเปรอะปลายจมูกโด่งของท่าน

เมื่อเราอยู่ปีที่ 2 แล้ว และเข้าใจภาษาของท่านได้พอสมควรทีเดียว ขณะนั้น อนุสาวรีย์พระเจ้าตากได้หล่อเสร็จแล้ว ติดตั้งเรียบร้อยแล้ว ท่านถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องม้ายืนเฉย ๆ ทำไมหางถึงได้ชี้ ท่านกล่าวกับพวกเราว่า

“พวกเขาไม่รู้จักปลากัด…ไม่รู้จักไก่ชนน่ะนาย…”

.
อ่านเพิ่มเติม :

พระนามทางการของ “พระเจ้าตากสินมหาราช” ที่เลือนหายจากความทรงจำคนไทย
อนุสรณ์ “พระเจ้าตาก” ในไทย เกิดเพราะทรงกู้ชาติ แล้วอนุสรณ์ที่จีนเกิดเพราะอะไร?
ข้อสันนิษฐานสุดสะพรึง ตำนาน “โกศอาถรรพ์” สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

.
หมายเหตุ : คัดเนื้อหาส่วนหนึ่งจากบทความ “จดหมายเหตุ –อาจารย์ศิลป์ ปั้นอนุสาวรีย์พระเจ้าตาก: ม้าหางชี้จะขี้ใช่ไหม?” ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤศจิกายน 2527
.

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 18 พฤศจิกายน 2561


.
ที่มา : อาจารย์ศิลป์ พีระศรี ปั้น อนุสาวรีย์พระเจ้าตาก “ม้าหางชี้” จะขี้ใช่ไหม?
https://www.silpa-mag.com/history/article_9277

.



19
“ข้าวต้มสามกษัตริย์” เมนูที่รัชกาลที่ 5 ทรงคิดค้น มีที่มาจากไหน? โดย สุทธาสินี เจียจันทร์พงษ์


วัฒนธรรม

“ข้าวต้มสามกษัตริย์” เมนูที่รัชกาลที่ 5 ทรงคิดค้น มีที่มาจากไหน? โดย สุทธาสินี เจียจันทร์พงษ์



พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ประทับนั่งขวาสุด) ขณะเสด็จประพาสต้นครั้งที่ 2 พ.ศ. 2449 ที่เมืองกำแพงเพชร


ผู้เขียน   สุทธาสินี จิตรกรรมไทย เจียจันทร์พงษ์
เผยแพร่   วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2568


พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านการปรุงพระกระยาหาร โดยเฉพาะเมื่อคราวเสด็จประพาส ที่พระองค์มักทรงนำวัตถุดิบท้องถิ่นหรือเครื่องปรุงที่มีอยู่ในขณะนั้นมาปรุงพระกระยาหาร หนึ่งในนั้นคือ “ข้าวต้มสามกษัตริย์”



รัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จประพาสต้นเมืองกำแพงเพชร (ภาพจากหอจดหมายเหตุฯ)


สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงบันทึกเรื่องนี้โดยใช้นามแฝง “นายทรงอานุภาพ หุ้มแพรมหาดเล็ก” ไว้ใน “จดหมายฉบับที่ ๕ เมืองเพ็ชรบุรี” ลงวันที่ 29 กรกฎาคม ร.ศ. 123 (พ.ศ. 2447) เมื่อครั้งตามเสด็จรัชกาลที่ 5 ประพาสเมืองต่างๆ ว่า

วันที่ 24 กรกฎาคม เวลาเช้า รัชกาลที่ 5 เสด็จทรงเรือฉลอมแล่นใบออกประพาสละมุ ที่ชาวบ้านจับปลาตามปากอ่าวแม่กลอง มีเรือฉลอมแล่นไปในกระบวนเสด็จ 3 ลำด้วยกัน คราวนั้นกระบวนเสด็จได้ซื้อกุ้งที่ชาวบ้านจับได้ตามละมุ แล้วต้มข้าวต้มขึ้นในเรือฉลอม

“ที่เรียกว่าข้าวต้มสามกษัตริย์นั้นคือต้มอย่างข้าวต้มหมูแต่ใช้ปลาทู กุ้งกับปลาหมึกสดแทรกแทนหมู เป็นของทรงประดิษฐ์ขึ้นในเช้าวันนั้นเอง ตั้งแต่ฉันเกิดมาไม่เคยกินข้าวต้มอร่อยเหมือนวันนั้นเลย…”

จากบันทึกข้างต้นจะเห็นว่า รัชกาลที่ 5 ทรงพลิกแพลงด้วยการนำวัตถุดิบจากท้องทะเล ทั้งปลาทู กุ้ง และปลาหมึกสด มาปรุงพระกระยาหารกระทั่งออกมาเป็นเมนูใหม่ ซึ่งเมื่อกรมดำรงได้เสวยแล้วถึงขั้นบันทึกว่า “ตั้งแต่ฉันเกิดมาไม่เคยกินข้าวต้มอร่อยเหมือนวันนั้นเลย”



เจ้าจอมเอิบ


ที่น่าสังเกตอีกประการ คือ การมี “ปลาทู” เป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญของข้าวต้มทรงประดิษฐ์ ซึ่งนอกจากปลาทูจะเป็นอาหารที่หาได้ง่ายแล้ว ยังเป็นสิ่งที่รัชกาลที่ 5 โปรดอีกด้วย

รัชกาลที่ 5 โปรดเสวยปลาทูอย่างยิ่ง ซึ่งผู้ที่สามารถทอดปลาทูได้ถูกพระทัยพระองค์มากที่สุด คือ เจ้าจอมเอิบ หนึ่งในเจ้าจอมก๊กออ ปรากฏในพระราชหัตถเลขาที่ทรงมีถึงพระยาบุรุษรัตนราชพัลลภว่า

“เรื่องทอดปลาทู ข้าอยู่ข้างจะกลัวมาก ถ้าพลาดไปแล้ว ข้ากลืนไม่ลง ขอให้จัดตั้งเตาทอดปลาที่สะพานต่อเรือนข้างหน้าข้างใน บอกกรมวังให้จัดรถให้นางเอิบออกไปทอดปลา”

แม้จะผ่านมากว่าร้อยปี แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีผู้ปรุงเมนูข้าวต้มดังกล่าว ด้วยมีรสชาติแสนอร่อยนั่นเอง


อ่านเพิ่มเติม :

ทำไม “รัชกาลที่ 5” ถึงทรงเป็นผู้มีอัจฉริยภาพด้านอาหาร?
“กะปิและปลาทู” พระกระยาหารสามัญโปรดของรัชกาลที่ 5
รัชกาลที่ 5 ปลอมพระองค์เสด็จประพาสต้น เพื่อทรงทราบสภาพที่แท้จริง แต่ประชาชนจำได้


.
อ้างอิง :

ดำรงราชานุภาพ, พระเจ้าบรมวงศเธอ* กรมพระยา. จดหมายเหตุเรื่องประพาสต้นในรัชกาลที่ ๕. อำมาตย์ตรี หลวงวรพากย์พินิจ (วินท์ อัศวนนท์) พิมพ์แจกในงารศพ* นางวรพากย์พินิจ (ปลั่ง อัศวนนท์) ภรรยา ณ วัดบรมนิวาส เมื่อปีฉลู พ.ศ. ๒๔๖๘. โรงพิมพ์เทพประสิทธิ์.

*สะกดตามต้นฉบับ

.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2568
.


ที่มา : “ข้าวต้มสามกษัตริย์” เมนูที่รัชกาลที่ 5 ทรงคิดค้น มีที่มาจากไหน?
https://www.silpa-mag.com/culture/article_148061

.



20
ข้าวต้มเนื้อของเด : กลิ่นอายไหหลำที่หายไป? โดย แสงอรุณ กนกพงศ์ชัย


วัฒนธรรม

ข้าวต้มเนื้อของเด : กลิ่นอายไหหลำที่หายไป? โดย แสงอรุณ กนกพงศ์ชัย



ข้าวต้มอุ่นๆ ร้อนๆ มีประโยชน์ กินโต้ลมหนาว (ภาพจาก Nontapron Youmangmee)


ผู้เขียน   แสงอรุณ กนกพงศ์ชัย
เผยแพร่   วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2568


ข้าวต้มเนื้อของเด : กลิ่นอายไหหลำที่หายไป?

ความทรงจำในวัยเด็กที่เด (พ่อ) ยังมีชีวิตอยู่กับเรา แม้เป็นช่วงสั้นมากแค่หกปีเท่านั้น แต่ก็แจ่มชัดเสมอเมื่อนึกถึงแม้ในวัยนี้ เดเป็นจีนอพยพรุ่นก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เข้ามาประเทศไทยพร้อมน้องชายอีกหนึ่งคนเพื่อแสวงหาโอกาสของชีวิต

ความที่สองพี่น้องมีความรู้เกี่ยวกับอาหารและการผสมเครื่องดื่มซึ่งก็คงหมายถึงเหล้า (ฝรั่ง) ติดตัวมาด้วย ทำให้ทั้งเดและเดตา [เดตา หมายถึงอาคนรอง ตามลำดับการนับตัวเลขแบบจีนไหหลำ ตา ตี่ คือ สาม สี่ เพราะเดตาเป็นลูกชายคนที่สาม ส่วนเดเป็นลูกชายคนโต น้องๆ จึงเรียก โกดัว … โก คือพี่ชาย / ดัว คือคนโต หรือต้า (จีนกลาง) ตั่ว (จีนแต้จิ๋ว)] ได้เข้าทำงานในภัตตาคารอาหารจีนแถวบางรัก

เป็นที่น่าสังเกตว่าชาวจีนไหหลำนั้น มักมามีอาชีพทำร้านอาหารหรือทำงานในภัตตาคารอาหารจีน อันเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูงของกรุงเทพฯ ยุคนั้นและก่อนหน้านั้น บางทีก็เรียกร้านกุ๊กช๊อป ซึ่งตอนนี้กำลังกลับเป็นที่นิยมขึ้นมาอีก โดยเฉพาะอาหารฝรั่งผสมจีนแบบ ซีเต๊ก ซีตูว์



ตัวอย่างโฆษณา ร้านกงหยี่ภัตตาคาร ชื่อเจ้าของร้านออกสำเนียงจีนไหหลำ (?)
..เทียบราคาอาหารแต่ละเมนูแล้วต้องแอบยิ้ม เพราะใช้หน่วยสตางค์ มิใช่ บาท
.. สมัยนั้นไหหลำยังขึ้นอยู่กับมณฑลกวางตุ้ง เพิ่งแยกเป็นมณฑลไหหลำเมื่อไม่นานนี้
โฆษณาชิ้นนี้ จึงมีเสน่ห์หลายแห่ง ให้เราศึกษา เช่น ร้านงิ้ว ฮกลอก ก็ไม่ทราบยังอยู่ไหม
และ “อาหารดี รสสูง ราคาถูก” ของร้านนี้ โฆษณาชิ้นนี้นำมาลงไว้เพื่อให้เห็นบรรยากาศเท่านั้น
มิได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตของเด


เดให้เรียกเมียไทยที่เป็นแม่ของลูกๆ ว่า มา แม้จะเป็นหญิงไทยกินหมากปากดำ แต่ก็ดูว่ามาจะพอใจให้ลูกเรียกคำนี้ เมื่อตกร่องปล่องชิ้นมาสร้างครอบครัวกับเดยี่เต็ง แซ่เฮง ที่เป็นจีนไหหลำ วิถีประจำวันอย่างหนึ่งที่มาต้องทำคือ ต้มน้ำในหม้ออลูมิเนียมใบโต พอน้ำเดือดจัด ก็ใส่ใบชาลงไป น้ำในหม้อมีฝาปิดมิดชิดใบนี้จึงเป็นน้ำดื่มประจำวันของทุกคนในบ้าน เป็นวัตถุธรรมสิ่งหนึ่งที่เราจำได้เจนตาเจนใจ ไปวิ่งเล่นมาเหนื่อยๆ ก็ใช้กระป๋องใบเล็กตักกินเอา ดูๆ ก็เป็นชีวิตเรียบง่ายที่น่าจะถูกสุขลักษณะดี ถ้าตอนนั้นคนในบ้านไม่มีใครป่วย ทำให้นึกถึงความนิยมในการดื่มชาของคนจีน

แต่เดน่าจะไม่มีเวลาละเลียดดื่มชาในกาเล็กๆ เพราะต้องออกจากบ้านแต่เช้ามืดเพื่อไป “โต๊ะกัง” เป็นภาษาไหหลำ แปลว่าทำงาน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับห้างทองห้างใหญ่ในเยาวราช ขากลับเดก็มักจะหิ้วกล้วยหอมหวีใหญ่ ไม่ก็แตงโมลูกเป้งๆ กลับบ้านทุกเย็น อาจจะหิ้วผลไม้อื่นด้วย แต่เราเห็นว่ามีสองอย่างนี้บ่อยนั่นเอง

เราที่เป็นลูกรุ่นเล็กเคยได้ยินเจ๊หย่งพี่สาวคนที่สามเล่าให้ฟังเสมอว่า ช่วงที่เดกลับบ้านตอนเย็นนี่แหละที่พี่สาวทั้งสี่ห้าคน (เดมีลูกสาวเรียงกันลงมาห้าคนรวดก่อนมีลูกชาย) จะลิงโลดแข่งกันตะโกน “เดมาแล้ว เดมาแล้ว” แล้ววิ่งออกไปหน้าบ้าน ล้อมหน้าล้อมหลังแห่เอาเดเข้าบ้าน การมีลูกสาวที่น่ารักน่าชังและช่างฉอเลาะเอาใจตามวิสัยเด็กผู้หญิง คงทำให้เดทำใจได้แล้วรอลูกชายต่อไป

มาชอบทำกับข้าวรสจัดจ้านซึ่งเดกินไม่ได้ ในขณะที่ลูกบ้านนี้จะได้เรียนรู้กับข้าวที่แตกต่างกัน ในหน้าหนาว เดชอบซื้อเนื้อวัวที่เป็นสามชั้นมาผืนใหญ่ จัดแจงตัดทอนลงหม้อต้ม ซาวข้าวสารใส่ เคี่ยวไปพร้อมกับเนื้อและขิงแก่ทุบ ตามด้วยเครื่องเคราดับคาวพวกรากผักชีกระเทียมพริกไทย โดยเฉพาะพริกไทยกับขิงแก่นี่ต้องจัดหนักเลย คอยหมั่นช้อนฟองทิ้ง เมื่อทั้งข้าวทั้งเนื้อเปื่อยได้ที่ดีแล้ว จึงจัดแจงนำเนื้อขึ้นมาหั่นเป็นชิ้นพอคำจัดเรียงในจานแบน สับขิงแก่ (ย้ำต้องเป็นขิงแก่เท่านั้น) พอเป็นชิ้นเล็กๆ แต่ไม่ต้องละเอียดนัก แล้วเหยาะซีอิ้วขาวลงไปแช่ เป็นเครื่องจิ้มชิ้นเนื้อ

ตักข้าวต้มใส่ถ้วยกระเบื้องขนาดย่อมๆ แล้วโรยผักขึ้นช่ายหั่นท่อนๆ ลงไปบนข้าวต้มร้อนๆ หากยังไม่เผ็ด หรือไม่หอมฉุนถึงใจ ก็โรยพริกไทยป่นตามไปอีก ใช้ตะเกียบคีบเนื้อเปื่อยจุ่มน้ำซีอิ๊วให้ขิง ติดปลายตะเกียบขึ้นมาด้วยแล้วพุ้ยข้าวตามไป กินสู้อากาศหนาวๆ ได้ดีทีเดียว ในยุคที่เดจากไปแล้ว ลูกๆ ก็ยังทำข้าวต้มแบบนี้กินกันเสมอ อาจยักย้ายเปลี่ยนเป็นหมูสันคอบ้าง หมูสันในบ้าง ใช้เห็ดฟางแทนบ้างและก่อนกิน ถ้าหย่อนผักกาดขาวชิ้นใหญ่ๆ ลงไปต้มกับข้าว ก็นับว่าเป็นอาหารสุขภาพได้สำรับหนึ่ง

สิทธิการิยะ ท่านว่าการกินของร้อนอย่างขิงและพริกไทยในหน้าหนาวนั้นก็ดีแล แต่ถ้าจัดหนักจัดเต็มไปหน่อย ก็อาจจะเกิดอาการไม่สบายได้ ดังนั้นมัชฌิมาปฏิปทา เป็นดีที่สุด เขียนเรื่องนี้ เพราะอยากเห็นข้าวต้มไหหลำกลับมาอีก เมืองไทยจะได้มีสำรับอุ่นๆ ร้อนๆ มีประโยชน์ กินโต้ลมหนาว นอกจากนี้ก็ถือว่าช่วยกันดูแลรักษาสืบทอดมรดกวัฒนธรรมคนสองแผ่นดินให้อยู่คู่กันไปอีกนานๆ เฉลิมฉลองห้าสิบปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทยจีน



ข้าวต้มอุ่นๆ ร้อนๆ มีประโยชน์ กินโต้ลมหนาว (ภาพจาก Nontapron Youmangmee)


นอกจากข้าวต้มไหหลำในหน้าหนาว เดก็ทำจับฉ่ายไหหลำ ให้พวกเรากินบ่อยเหมือนกัน เพราะกินได้ทุกฤดูกาล เป็นผัดวุ้นเส้นที่ออกแฉะๆ สักหน่อย ใส่ผักกะหล่ำปลีหั่นชิ้นเล็กๆ แต่ที่ต้องหั่นท่อนคือคื่นช่าย ต้นหอม ความจริงหลายวัตถุดิบในเครื่องจับฉ่ายไหหลำ ก็ทำให้นึกถึงพวกเครื่องแกงจืดวุ้นเส้น (หรือที่คนไทยเรียกเส้นแกงร้อนนี่เอง) นั่นคือ ดอกไม้จีน เห็ดหูหนู ฟองเต้าหู้ วุ้นเส้น (ในห้างหรือตามท้องตลาด เขาจัดขายเป็นถุงๆ สะดวกมาก) เจียวกระเทียม ใส่กุ้งแห้งที่แช่น้ำบีบหมาดๆ หรือปลาหมึกแห้งแช่น้ำหั่นชิ้น ถ้าชอบหมู กุ้ง ตับเหล็ก ก็ใส่ไปด้วยให้ดูหรูหราน่ากินขึ้น ตามด้วยดอกไม้จีน เห็ดหูหนู ฟองเต้าหู้ วุ้นเส้น (พวกนี้ต้องแช่น้ำก่อนนะ ดอกไม้จีนก็ตัดไตแข็งๆ ออกก่อน ผูกให้สวยงาม) ใส่ผัก ปรุงรส จะทำแบบแฉะหรือไม่แฉะก็ตามอัธยาศัย แต่สูตรไหหลำแท้ต้องแฉะนิดหน่อย

ผัดจับฉ่ายไหหลำนี่ อาจเป็นตำรับผัดโป๊ยเซียนในเวลาต่อมาก็ได้ อันนี้เดานะ ผัดจับฉ่ายไหหลำ น่าจะเป็นอาหารสุขภาพอีกตัวหนึ่งที่ไม่เน้นบริโภคสัตว์ใหญ่ อร่อยด้วยรสชาติเครื่องเคราอย่างปลาหมึกแห้ง กุ้งแห้ง ฟองเต้าหู้ เห็ด แค่สาววุ้นเส้นกิน ก็อร่อยเพลิดเพลินแล้ว เป็นอาหารโปรดของเด็กๆ เลยล่ะ เลือกวุ้นเส้นคุณภาพหน่อยก็แล้วกัน

สิ่งที่อยากย้ำคือจานผัดผักในสำรับจีนนั้นเป็นความทรงจำที่หลายคนถวิลหา ยุคก่อร่างสร้างตัวด้วยสมาชิกตัวน้อยจำนวนมากๆ นั้น หลายต่อหลายบ้านที่แม่บ้านต้องประหยัดทรัพย์ให้ดีๆ ตอนนั้นเงินสิบบาท สามารถซื้อหมูเนื้อแดงสำหรับอาหารหนึ่งมื้อ (ช่วงนั้นทองคำน่าจะบาทละประมาณสี่ร้อยบาท) แบ่งมาสับทำแกงจืดได้หนึ่งหม้อ ที่เหลือหั่นชิ้นเล็กหรือสับ เอาลงกระทะหลังจากตีกระเทียมในน้ำมันจนหอมแล้วก็โกยผักอย่างใดอย่างหนึ่งตามลงไป เช่น คะน้า กวางตุ้ง กะหล่าปลี ถั่วฝักยาว ฯลฯ ใส่บี่เจ็ง (ผงชูรส) ซีอิ๊วขาว (บางบ้านนิยมเดาะเกลือ) เติมน้ำ แล้วปิดฝาให้สุกระอุดี ตักใส่จาน ตอนนั้นในครัวไทยๆ จีนๆ มีเครื่องปรุงหลักแค่น้ำปลา ซีอิ๊วขาว บี่เจ็ง น้ำตาล เท่านี้จริงๆ

ลูกหลานจีนหลายคนที่ตอนนี้อายุเลยหกสิบไปแล้ว แค่ตักน้ำผัดผักมาราดข้าวก็สามารถเคี้ยวข้าวได้ตุ้ยๆ อร่อยหนักหนา รสมือแม่คือที่หนึ่งของลูกสมัยโน้นอยู่แล้ว โดยเฉพาะน้ำผัดผักที่รสออกเค็มๆ และหอมกลิ่นกระทะกลิ่นกระเทียมในน้ำมันหมู


อ่านเพิ่มเติม :

“ข้าวต้มสามกษัตริย์” เมนูที่รัชกาลที่ 5 ทรงคิดค้น มีที่มาจากไหน?
ทำไม “ข้าวต้มกุ๊ย” เมนูขวัญใจชาวโต้รุ่งถึงเคยเป็น “อาหารคนจน”?
ม้วย : ข้าวต้มคนแต้จิ๋ว อาหารแสดงตัวตน
เมนูประวัติศาสตร์ : ข้าวต้มวัดบวร อาลัย “เสี่ยโข่ง” ผู้ใจดีแห่งบางลำพู


.
ที่มา : ข้าวต้มเนื้อของเด : กลิ่นอายไหหลำที่หายไป?
https://www.silpa-mag.com/culture/article_159690#google_vignette

.



Pages: 1 [2] 3 4 ... 10
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.096 seconds with 12 queries.