Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ... | Recent Posts
12
« Last post by ppsan on 14 June 2025, 09:13:30 »
บึงบอระเพ็ด : เหยี่ยวทุ่งพันธุ์เอเซียตะวันออก, เหยี่ยวต่างดำขาว
 Eastern marsh-harrier
เหนือผืนน้ำอันกว้างใหญ่ นอกจากเหยี่ยวดำที่เคยพาไปดูกันที่ปากพลี ที่นี่เรายังพบเหยี่ยวอีก 2 ชนิด ซึ่งมีความคล้ายกัน ชนิดที่ว่าถ้าไม่มีไกด์บอกชื่อ เราก็แยกออกได้ยาก ด้วยว่ามันบินอยู่สูง ที่สำคัญมักจะทันเห็นแค่ด้านหลังอีก ยิ่งเจอนกตัวเมียยิ่งแยกยากเข้าไปใหญ่ เหยี่ยวชนิดแรกที่เห็นตั้งแต่ออกเรือ คือเหยี่ยวทุ่งพันธุ์เอเซียตะวันออก มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Eastern marsh-harrier (circus spilonotus) ตัวที่เจอสีออกสีน้ำตาล ตรงข้อศอกมีแต้มขาว น่าจะเป็นตัวเมีย เหยี่ยวชนิดที่สองที่เจอระหว่างทริปคือ เหยี่ยวด่างดำขาว มีชื่อภาษาอังกฤษว่า pied harrier (circus melanoleucos) คำว่า pied หมายถึงขาวสลับดำ อันเป็นลักษณะของนกชนิดนี้ น่าจะเป็นตัวเมียเช่นกัน เพราะไม่เห็นความขาวดำเท่าไหร่ เห็นเพียงข้อศอกและโคนหางสีขาว นอกจะพบเห็นในพื้นที่เดียวกัน ยังมีการหากินที่เหมือนกันอีกด้วย โดยใช้ประโยชน์จากลมที่พัดเอื่อยๆ ใช้ปีกร่อนไปเรื่อยๆ ในระดับต่ำ ฟังเสียงเคลื่อนไหวของเหยื่อ แล้วพุ่งลงไปจับอย่างแม่นยำ
เหยี่ยวทั้งสองชนิดอยู่ในสกุลเดียวกัน และมีถิ่นอาศัยที่ต่างกันเล็กน้อย เหยี่ยวด่างดำขาว จะอาศัยอยู่ในพื้นที่ตอนใต้ของไซบีเรีย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน และเกาหลีเหนือ ในขณะที่เหยี่ยวทุ่งพันธุ์เอเชียตะวันออก จะอยู่ต่ำลงมาทางใต้ เลยไปทางตะวันออกถึงเกาหลีใต้ และเกาะฮอกไกโดของญี่ปุ่น .
 pied hariired
ในอดีตเหยี่ยวทุ่งยูเรเซียจัดว่ามีเพียงชนิดเดียว แต่ด้วยการตรวจสอบพันธุกรรม ในปัจจุบันถูกแยกเป็น 2 ชนิด คือ eastern และ western marsh harrier
โดย western marsh harrier (Circus aeruginosus) จะอพยพลงมายังประเทศอินเดีย และตอนกลางของแอฟริกา ในประเทศไทยก็สามารถพบได้ แต่มีโอกาสน้อยมาก
ในแต่ละปีจะมีเหยี่ยวทุ่งตะวันออกและเหยี่ยวด่างดำขาว จำนวนไม่มากนัก ที่จะบินผ่านลงใต้ไปจนถึงคาบสมุทรมาลายา ผ่านเขาดินสอที่ จ ชุมพร
โดยนกเหล่านี้ จะมีสัญชาตญาณที่ถ่ายทอดกันมา ตั้งแต่พ่อแม่ของมัน เคยพาบินอพยพมายังที่ใดในฤดูหนาวแรก เมื่อเติบโตขึ้น มันก็จะพาลูกๆ บินกลับมายังสถานที่นั้นเช่นกัน
ทางกลุ่ม Thai raptor research ได้ทำการติดอุปกรณ์ติดตาม เหยี่ยวด่างดำขาวเพื่อศึกษาเส้นทางการอพยพกว่า 4,000 กม. ใช้เวลา 24 วัน เดินทางจากปางฮุ้ง ผ่านตอนเหนือของลาว ไปยังจีนตอนกลาง และสิ้นสุดที่ตอนเหนือของประเทศจีน ในขณะที่บางตัวอาจจะบินเลยขึ้นไปถึงตอนใต้ของไซบีเรีย
. ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก ผู้ชายในสายลมหนาว https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=03-2025&date=26&group=22&gblog=143 .
13
« Last post by ppsan on 14 June 2025, 09:11:35 »
บึงบอระเพ็ด : นกช้อนหอยขาว (นกกุลา)

ระหว่างที่มองหาเจ้า Baikal teal อย่างตั้งใจ มีใครคนหนึ่งพูดว่า นกกุลา บนคันนาทางซ้าย ท่ามกลางกลุ่มนกยาง นกสีขาวคอสีดำ ยืนกันอยู่ 2 ตัว เป็นนกน้ำขนาดปานกลาง สูงราว 65-75 ซ.ม. นกช้อนหอยขาว นั่นเอง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า black-head ibis ในอดีตเป็นนกประจำถิ่นของไทย แต่หายไปเมื่อราว 50 ปีก่อน ปัจจุบันมีสถานะเป็นนกอพยพที่หายาก สำหรับคนดูนกในเมือง พบบ่อยๆ เช่น สถานีวิจัยข้าวปทุมธานี และบางปู ในต่างจังหวัด มีรายงานการพบตามท้องนา บ่อน้ำกระจายอยู่ทั่วประเทศ บางทีเราก็สับสนกับพวก spoonbill หรือนกปากช้อน สรุปไว้ตรงนี้ว่า นกช้อนหอยจะมีปากยาวตรง ในขณะที่นกปากช้อนปลายจะบาน นกช้อนหอย จะหากินในดินเลนโดยการจิกหา ในขณะที่นกปากช้อน จะใช้การส่ายปากไปมาในแหล่งน้ำตื้นๆ นกช้อนหอย มักจะหากินเดี่ยวๆ แต่นกปากช้อน จะมีพฤติกรรมรวมฝูงช่วยกันต้อนเหยื่อ ในขณะบิน คอของนกช้อนหอยจะตรงเหมือนนกกระสา ในขณะที่คอของนกปากช้อน จะหดเป็น S เหมือกลุ่มนกยาง ตาม bird guide of Thailand มีนกช้อนหอยหรือ ibis อยู่ 4 ชนิด นกช้อนหอยดำเหลือบ ที่เป็นนกประจำถิ่นไปแล้ว นกช้อนหอยขาวหรือนกกุลา นกช้อนหอยดำ (white shouldered ibis) และนกช้อนหอยใหญ่ (giant ibis) สองชนิดหลัง มีสถานะสูญพันธุ์จากประเทศไทย แต่ยังมีอยู่ในประเทศกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนกช้อนหอยใหญ่ ที่ถูกใช้เป็นนกประจำชาติ

มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Threskiornis melanocephalus แบ่งเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่ถิ่นอาศัยอยู่ในอนุทวีปอินเดีย พม่า กัมพูชา เกาะสุมาตรา ชวา มีการโยกย้ายถิ่นฐานสั้นๆ ไปตามสภาพของพื้นที่หากิน และกลุ่มที่อาศัยอยู่ในประเทศจีนแถบติดทะเล ตั้งแต่มณฑลเจ้อเจียง ฟูเจี้ยน ไต้หวัน กวางตุ้ง ซึ่งอาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำต่างๆ ตลอดปี ในขณะที่ในฤดูหนาว บางส่วนอาจมีการอพยพลงมายังเวียดนาม ลาว กัมพูชา พม่าและไทย หรือกระทั่งที่ เกาะลูซอน ของฟิลิปปินส์ นกที่พบในประเทศไทย ยังไม่มีการศึกษาอย่างชัดเจนว่า ว่านกที่พบทางภาคกลาง เป็นประชากรที่อพยพสั้นๆ มาจากประเทศใกล้เคียงคือ พม่า กัมพูชา หรือเป็นนกที่อพยพมา ในช่วงหน้าหนาวจากประเทศจีนกันแน่ ไม่ว่าจะอย่างไร ก็น่าสนใจทั้งสองอย่าง เพราะอย่างที่เคยเล่าไป ถึงการกลับมาของนกน้ำที่เคยหายไปอย่างกรณีของ นกช้อนหอยดำเหลือบ ที่เชื่อว่าเป็นกลุ่มที่อพยพมาจากประเทศจีนในฤดูหนาวแล้วไม่บินกลับไป หรืออย่างกรณีของนกอ้ายงั่ว ที่เกิดจากประชากรที่ล้นมาจากฝั่งกัมพูชา เราหวังว่าความอุดมสมบูรณ์ของบึงบอระเพ็ด จะดึงดูดให้นกช้อนหอยขาวเหล่านี้ อาศัยอยู่ที่นี่ตลอดไป แต่ยังมีเรื่องสำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นก็คือรายงานการพบเห็น นกช้อนหอยขาวที่มีขนบริเวณก้นสีดำ และขณะบินเห็นขนปลายปีกสีดำ หากินกระจายอยู่ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล มันคือนกช้อนหอยแอฟริกา คำถามสำคัญก็คือ พวกมันทำรังวางไข่ได้หรือหรือเปล่า หากคำตอบคือใช่ นั่นคือหายนะ เพราะวันหนึ่งอาจกระจายตัวไปทั่วประเทศ มีการอพยพไปผสมพันธุ์ กับนกช้อนหอยขาวตามธรรมชาติ ทำลายประชากรที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ ในประเทศข้างเคียง จนกลายเป็นประชากรลูกผสม ที่ไม่อาจจะฟื้นฟูให้กลับคืนมาได้อีก
ประเมินว่ามีประชากรอยู่ราว 250,000 - 500,000 ตัว และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น IUCN จึงประเมินว่ามีความเสี่ยงในระดับ less concern
. ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก ผู้ชายในสายลมหนาว https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=03-2025&date=24&group=22&gblog=142 .
16
« Last post by ppsan on 13 June 2025, 10:17:59 »
กาญจนบุรี : นกแอ่นฟ้าหงอน

ขุดนกมาจนหมด จนเหลือแค่นกสามัญอย่างนกยางกรอก บ้างก็เขียนไปแล้ว อย่างนกจับแมลงสีน้ำตาล บ้างก็เป็นนกชายแดนต้องสงสัย ก็ลองเอาไปถามใน bird forum ฝรั่งก็เข้ามาช่วยถกกัน ได้ความรู้ดี คนเก่งๆ ในโลกนี้ช่างมากมายนัก
ลองส่องภาพนกที่ตอนแรกคิดว่าเป็น นกนางแอ่นบ้าน แต่ e-birds กลับฟันธงว่านี่เป็น นกแอ่นฟ้าหงอน ที่เราไม่เคยเห็น ลำตัวขนาด 23-27 ซม. ใหญ่กว่านกนางแอ่นบ้านที่มีขนาดตัว 15-20 ซม.
หน้าผากมีหงอนยาวตั้ง แต่เราถ่ายจากด้านล่างเลยมองไม่เห็น รูปร่างผอมเพรียว ปีกเรียวยาวมาก ขณะเกาะปลายปีกสองข้างจะไขว้กัน ลำตัวด้านบนสีเทาแกมฟ้า ปีกสีเทาเข้ม ท้องและก้นขาวแกมเทา ตัวผู้แก้มสีน้ำตาลแดงเข้ม ตัวเมียหน้าเทา โชคดีที่มาเป็นคู่ให้เราเห็นพอดี ชื่อภาษาอังกฤษว่า Crested Treeswift ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์โดย Samuel Richard Tickell ในปี 1833 ว่า Hemiprocne coronate กระจายตัวตั้งแต่แนวเทือกเขาหิมาลัย ลงมายังประเทศอินเดีย ศรีลังกา บังคลาเทศ พม่า ไทย ลาว กัมพูชา ถึงตอนใต้ของเวียดนาม ในประเทศไทยพบตามป่าโปร่ง ถึงความสูงไม่เกิน 1,400 เมตร ตามแนวเทือกเขาต่างๆ แต่ทางใต้จะลงไปไม่เกิน จ. ชุมพร ในสกุลนี้มีนกเพียง 4 ชนิด โดยอีกสองชนิดจะพบทางภาคใต้ คือ นกแอ่นฟ้าตะโพกสีเทา และนกแอ่นฟ้าเคราขาว
ส่วนอีกหนึ่งชนิดที่ไม่พบในบ้านเราคือ Moustached treeswift มีถิ่นอาศัยอยู่เฉพาะใน ตอนเหนือของหมู่เกาะโมลุกกะ เกาะนิวกินี เกาะบิสมาร์ก และหมู่เกาะโซโลมอน
นกในสกุลนี้ถูกเรียกว่า tree swift โดยมีวิวัฒนาการจากนกแอ่นแท้ หรือ true swift จากเดิมที่มีนิ้วเท้าหน้าที่เรียวแหลมเพื่อใช้ในการเกาะผนังหิน มาเป็นมีนิ้วเท้าหลังขนาดใหญ่เพื่อใช้เกาะกิ่งไม้แทน
ซึ่ง tree swift มีนกเพียง 4 ชนิด ดังที่ได้กล่าวไป จึงมีถิ่นอาศัยที่ไม่กว้างนัก ในขณะที่นกแอ่นแท้มีหลายสกุล จึงมีถิ่นอาศัยแทบทั้งโลก
. ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก ผู้ชายในสายลมหนาว https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=03-2025&date=10&group=22&gblog=137 .
17
« Last post by ppsan on 13 June 2025, 10:16:10 »
กาญจนบุรี : นกจาบคาหัวสีส้ม

นกจาบคาหัวสีส้ม (Chestnut-headed bee-eater ) เป็นนกสีเขียวที่มีลำตัวยาวเพียวหัวสีน้ำตาลแดงสด คอสีเหลืองส้มมีขีดสีดำพาดตรงกลางคอ หางไม่มีขนเส้นกลางยาวออกมา
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Merops leschenaulti ตั้งโดยนักปักษาวิทยาชาวฝรั่งเศส Louis Pierre Vieillot เพื่อเป็นเกียรติแก่ Jean-Baptiste Leschenault de La Tour จับแมลงกินเป็นอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผึ้ง ในประเทศไทยจัดเป็นนกประจำถิ่น กระจายตัวตั้งแต่ริมฝั่งทะเลของอินเดีย ศรีลังกา พม่า ไทย อินโดจีน ตอนบนของคาบสมุทรมาเลย์ สุมาตรา และบาหลี มีความคล้ายคลึงกับนกจาบคาที่พบได้บ่อยๆ อีกชนิดหนึ่งนั่นก็คือ

นกจาบคาหัวเขียว (blue-tailed bee-eater) ลำตัวโดยรวมสีเขียว หางสีฟ้า ใบหน้ามีหน้ากากสีดำคาด คอสีส้ม ใต้ปีกเป็นสีส้ม ในประเทศไทยพบได้ทั้งที่เป็นนกประจำถิ่น และที่เป็นนกอพยพ มีถิ่นผสมพันธุ์อยู่ตามแนวเทือกเขาหิมาลัย ผ่านตอนเหนือของพม่า ไทย ลาว และเวียดนาม รวมถึงพื้นที่ทางตอนใต้ของประเทศจีน นั่นเป็นข้อมูลทางวิชาการ แต่เราจะได้ยินข่าวนกจาบคาหัวเขียว บินลงมาในราวเดือนมีนาคม เพื่อทำรังวางไข่ในพื้นที่มีกองทราย เช่นสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา หรือที่ จ.เพชรบุรี ทุกปี แต่สำหรับชาวสวนรถไฟ จะเริ่มพบพวกมันได้ตั้งแต่ช่วงปลายหน้าหนาว เป็นไปได้ว่า นกทยอยกันมาก่อนที่จะไปรวมกลุ่มกันในช่วงต้นหน้าร้อน นกทั้งสองชนิดมีขนาดตัวใกล้ๆ กัน มีหัวสีส้มเหมือนกัน การแยกนกสองชนิดอย่างรวดเร็วคือ ดูที่หาง นกจาบคาหัวสีเขียว จะมีขนหนึ่งเส้นยาวลงมา ใต้คอไม่มีรอยคาดดำ ซึ่งนกจาบคาอีกชนิดที่มีขนหนึ่งเส้นที่ยาวลงมาเช่นกัน นั่นคือนกจาบคาเล็ก
. ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก ผู้ชายในสายลมหนาว https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=03-2025&date=07&group=22&gblog=136 .
19
« Last post by ppsan on 13 June 2025, 10:11:22 »
กาญจนบุรี : นกปรอดหัวสีเขม่า

เราเคยลงรูปนกชนิดนี้ในบล็อกนกปรอดหัวโขนไปแล้ว เพราะคิดว่าเป็นนกบ้านๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจ เวลาเจอนกปรอดที่บินไวๆ ในกรุงเทพ แล้วเห็นแต่ก้น ถ้าเป็นสีเหลืองจะเป็นปรอดหน้านวล ถ้าเป็นสีแดงก็ปรอดหัวสีเขม่า จนกระทั่งมาที่นี่แล้วพบว่า นกปรอดหัวสีเขม่ามีทั้งก้นสีเหลืองและแดง ซึ่งปรกตินกชนิดเดียวต้องเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นต้องแยกเป็นชนิดใหม่ แต่เมื่อไปเปิด bird guide of Thailand เห็นเลยว่ามี 2 variation เกิดอะไรขึ้นที่นี่ เมืองกาญจนบุรี ก่อนอื่นเริ่มจากเรื่องพื้นฐานก่อน ในประเทศไทย มีนกปรอดน่าจะมากกว่า 30 สายพันธุ์ แต่ส่วนใหญ่ก็อยู่ในป่า นกที่เห็นง่ายๆ ในเมือง ก็จะมีนกปรอดหัวสีเขม่ารวมอยู่ในนั้น มีชื่อภาษาอังกฤษว่า sooty-head bulbul ตัวสีเทา หัวสีดำตามชื่อ
มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Pycnonotus aurigaster แบ่งเป็น 9 ชนิดย่อย พบได้ตั้งแต่จีนทางตะวันออก ลงมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และขาดหายไปหลังจาก จ. ประจวบคีรีขันธ์ จะไปพบอีกครั้งที่เกาะชวาและบาหลี wikipedia บอกว่า 4 ชนิดย่อย ที่มีโอกาสพบในไทยได้แก่ P. a. klossi และ P. a. schauenseei พบที่พม่าตะวันออกเฉียงใต้ และไทยตอนเหนือ P. a. thais ภาคกลางตอนและภาคใต้ของไทย ตอนเหนือของลาว และ P. a. germani พบที่ตะวันออกของไทยถึงตอนใต้อินโดไชนา แต่ไม่ได้บอกลักษณะลักษณะของสีที่ก้นไว้
ไปดูใน e-birds แยกไว้แค่ สองชนิดย่อยตามสีก้น คือ P. a. schauenseei มีขนคลุมหางสีแดง P. a. germani มีขนคลุมหางสีเหลือง
ไม่แน่ใจลองไปถาม chat GPT สรุปได้ว่า หากจะแยกนกปรอดหัวสีเขม่าโดยสังเกตุจากสีของก้น P. a. thais ก้นสีเหลือง P. a. germani ก้นสีแดง P. a. schauenseei ก้นสีขาว
ข้อมูลไปกันคนละทาง แต่ความจริงนั้น ย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว เราจะกลับไปใช้วิธีการดั้งเดิม นั่นก็คือ อ่านหนังสือ เริ่มที่การค้นพบนกแต่ตัว ว่าโดยใคร ที่ไหน และสีอะไร

พบที่ชวาเป็นครั้งแรก Turdus aurigaster (Vieillot, 1818) aurigaster มาจากภาษาละติน aurum หรือทองคำ และ gastre หรือท้อง Molpastes haemorrhous chrysorrhoides (Lafresnaye, 1845) พบทางตอนใต้ของจีน ในตอนตั้งชื่อครั้งแรกถูกพิจารณาว่า ไม่ใช่นกปรอดหัวสีเขม่า อาจเพราะว่ามีก้นสีแดงต่างจาก aurigaster นกตัวแรกที่สามารถพบในไทย M. h. germani (Oustalet, 1878) ตั้งชื่อตาม Jean-Frédéric Émile Oustalet นักสัตววิทยาชาวฝรั่งเศส พบที่อินโดไชนา ข้อมูลต้นฉบับเป็นภาษาฝรั่งเศส อ่านไม่ไหว ข้อมูลเดียวที่เราพอจะหาได้ คือในตอนนั้นจัดอยู่ในสกุล Ixos ซึ่งนกสกุลนี้ที่พบได้ในไทยคือ นกปรอดภูเขา (Ixos mcclellandii) M. h. klossi (Gyldenstolpe, 1920) ใน Natural History bird Society of Siam.Vol. V No.3, October 1923 p.59 เรื่องการตั้งชื่อนกชนิดย่อยใหม่ white-ear Red-vent bulbul Kloss กล่าวถึงตัวอย่างนก 21 ตัว ที่ Gyldenstolpe เก็บตัวอย่างมาจากทางเหนือของสยาม มีขนาดปีก 85-93 ม.ม. สั้นกว่านกที่พบในจีน (90-110 ม.ม.) Kloss เชื่อว่าน่าจะเป็นชนิดเดียวกับที่ W.J. F. Wiiliamson เก็บมาจาก อ. ศรีราชา จำนวน 6 ตัว มีขนาดปีก 81-88 ม.ม. นอกจากนี้ยังรวมถึงตัวอย่างนกของ Hume และ Davidson ที่ได้มาจากเขตตะนาวศรีทางเหนือ และตัวอย่างของ Oates ที่ได้มาจากเขตกะเหรี่ยง และเขตตะนาวศรี โดยมีข้อสังเกตว่านกชนิดย่อยนี้ มีขนาดตัวเล็กลงจากเหนือลงมายังใต้ NOTE: ถึงตรงนี้นกปรอดที่พบตอนใต้ของจีน พม่าและไทย ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ เป็นชนิดย่อยของนกปรอดก้นแดง Molpastes haemorrhous (J.F. Gmelin 1789) ที่มีขอบเขตการกระจายพันธุ์ ในอนุทวีปอินเดียถึงพม่า มีโอกาสพบตามชายแดนไทย ลักษณะที่แยกจากปรอดหัวสีเขม่าคือ ขนบริเวณลำคอและหลังเป็นเกล็ดสีดำ
Baker เขียนบทความลงใน Ibid ฉบับที่ 1 ปี 1922 วิพากย์ ถึงการกระจายของนกปรอดก้นแดง ที่มีพื้นที่การซ้อนทับกัน ระหว่างพวกที่มีลักษณะ brown-eared กับพวก white-eared จากพื้นที่ของศรีลังกา อินเดีย พม่า ไปยังจีนตอนใต้ ว่ารอยต่อที่จะแยกนกสองประเภทนี้ออกจากกันมันอยู่ตรงไหน Molpastes aurigaster thais (kloss , 1924) ใน Natural History bird Society of Siam.Vol. VI No.3, 15 July 1924 p. 291 เรื่องการตั้งชื่อนกชนิดย่อยใหม่ Siamese orange-vented bulbul เนื้อหากล่าวถึง ตัวอย่างนก 4 ตัวจากกรุงเทพ และ 1 ตัวจากเขาสระบาป จันทบุรี พบว่าเป็นนกปรอดที่มีความผันแปรของสีก้น จากสีส้ม (orange) ที่เหมือนกับนกจากชวา (aurigaster) ไปจนถึงสีเหลือง (yellow) ที่เป็นนกจากอันนัม (germani) ลำตัวส่วนบนมีลักษณะเหมือน germani ส่วนล่างเหมือน aurigaster NOTE มีการใช้ชื่อ aurigaster ไม่ใช่ haemorrhous แบบกลุ่มแรก โดยพิจารณาใหม่ว่า นกปรอดหัวสีดำที่พบในภาคพื้นทวีปเอเชีย จากรอยต่อของพม่า-ไทย ไปยังจีนตอนใต้ ลงมาอินโดไชน่า เป็นคนละชนิดกับนกปรอดก้นแดงในอินเดีย แต่เป็นนกปรอดแบบที่พบในชวา

Pycnonotus cafer schauenseei (Delacour, 1943) Jean Delacour เขียนบทความชื่อ Two new subspecies of Pycnonotus cafer ใน Zoologica : scientific contributions of the New York Zoological Society Vol. 28 Issue 5 p. 29-30 : 1943 Delacour พูดถึงนกปรอดที่มีหงอน ตะโพกสีขาว ที่พบตั้งแต่อินเดีย พม่า ไทย อินโดจีน และชวา ว่ามีความสัมพันธ์กับ นกปรอดก้นแดง (red-vent bulbul) แต่ไม่สามารถหาความเชื่อมโยง การเปลี่ยนผ่านจากนกปรอดที่มีก้นสีแดงไปเป็นนกที่มีก้นสีเหลือง แบบที่พบทางตอนใต้ของอันนัม Delacour อ้างถึงรายงานของ kloss ที่ลงในวารสารสยามสมาคมว่า Molpastes aurigaster thais ที่บอกว่าตัวอย่างนกที่ จ. จันทบุรี สีก้นออกสีส้ม ถือว่าพอได้ แต่จริงๆ น่าจะเรียกว่าสีส้มเหลือง (lemon yellow) แต่นกที่กรุงเทพนั้น มีก้นสีเหลืองแน่ๆ
Delacour จึงเสนอชื่อชนิดย่อยใหม่ว่า 1. P.c. schauenseei เป็นลูกผสมของ klossi กับ thais โดยตัวอย่างที่ได้จากอุ้มผาง ที่สีก้นมีความผสมกันระหว่างสีแดงและส้ม ขอใช้นกที่ได้จาก อ. ศรีสวัสดิ์ เป็นตัวอย่าง ปัจจุบันเก็บรักษาที่ฟิลาเดเฟีย ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้เก็บตัวอย่าง Rodolphe Meyer de Schauensee 2. P. c. deignani เป็นลูกผสม thais กับ germani เป็นชนิดที่ก้นสีเหลืองส้ม แต่สีเหลืองนั้นสว่างมากกว่า germani ขอใช้นกที่ได้จากจันทบุรี เป็นตัวอย่าง ปัจจุบันเก็บรักษาที่กรุงวอชิงตัน ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้เก็บตัวอย่าง Col. H.G. Deignan NOTE: Delacour ยังจัดนกปรอดหัวดำที่พบทางตะวันตก ภาคกลาง ภาคตะวันออกของไทย เป็นชนิดย่อยของนกปรอดก้นแดง Pycnonotus cafer

H. G. Deignan เขียนบทความเรื่อง Races of Pycnonotus cafer (Linnaeus)and P. aurigaster (Vieillot) in the Indo-Chinese Subregion ลงในวาราสาร Journal of the Washington Academy of Sciences Vol. 39, No. 8 (August 15, 1949) ใจความสำคัญคือ
Deignan มีความคิดว่า มีนกอยู่สองสายพันธุ์แน่ๆ คือ ปรอดหัวสีเขม่า และปรอดก้นแดง แต่มันยากที่จะแยกความชัดเจน ของพื้นที่รอยต่อระหว่างนกทั้งสองสายพันธุ์ได้อย่างชัดเจน เหมือนสมการ เริ่มจาก cafer cafer > aurigaster cafer= aurigaster cafer < aurigaster แล้วก็เป็น aurigaster
โดยในการวิวัฒนาการ P. a. germani ที่อยู่ทางตอนใต้ของอันนัม จะเป็นกลุ่มที่เก่าแก่สุด (old stock) ที่เป็น aurigaster
หลังจากนั้น ในบทความก็เป็นรายละเอียดของนกปรอดก้นแดง และนกปรอดหัวสีเขม่า แต่ละชนิดย่อย เท่าที่มีข้อมูลในเวลานั้น ซึ่งมันคงยาว เราสรุปเป็นแผนที่คร่าวๆ ตามรูป
แต่รูปสีของก้นอาจจะไม่ตรงแบบ 100% เช่น นกปรอดหัวสีเขม่าในชวา เราไล่อ่านมามันก็มีตั้งแต่เหลือง ส้ม แม้กะทั่งไปดูรูปจริงก็มีแบบสีแดง เหมือนกับนกที่พบใน จ. กาญจนบุรี ที่เราถ่ายมา สรุป ปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาในระดับพันธุกรรมว่า ทำไมนกชนิดย่อยเดียวกัน ถึงมีสีก้นที่ผันแปรได้ตั้งแต่สีแดง ส้ม ไปจนถึงเหลือง แต่สีก้นนี้ไม่สามารถ ใช้ตัดสินจำแนกชนิดย่อยของนก ต้องซึ่งใช้ความแตกต่างของตัวนกเป็นสำคัญ

ด้วยความรู้ในปัจจุบัน นกในบล็อกนี้ กำหนดว่าเป็นชนิดย่อย schauenseei ซึ่งมีแพร่กระจายทางตะวันตกของไทย ตั้งแต่ จ. กาญจนบุรี ลงไปยัง จ. เพชรบุรี และ จ. ประจวบคีรีขันธ์
ชนิดย่อย klossi จะพบจาก จ. ตาก ขึ้นไป จ. เชียงราย ไปถึง จ. เลย ชนิดย่อย Thais พบจาก จ. ราชบุรี เข้ามาภาคกลางไปจนถึงตะวันออก และชนิดย่อย germini มีโอกาสพบได้ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ติดกับอินโดไชน่า เช่น จ. อุบลราชธานี ย้อนกลับไปถึงประโยคที่ว่า เป็นนกที่พบในไทย ไม่ต่ำลงไปกว่า จ. ประจวบคีรีขันธ์ และจะไปพบอีกครั้งที่เกาะชวาและบาหลีนั้น เราคุ้นกับประโยคนี้มาก เหมือนมันถูกผ่านบล็อกนกปรอดหัวโขน ใช่แล้ว นกปรอดหัวสีเขม่าก็เป็นนกร้องเพลงอีกประเภทพหนึ่ง
จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทำไมมันจึงไม่พบในภาคใต้ของไทยและในมาลายา ที่มีวัฒนธรรมการเลี้ยงนกกรงหัวจุกในแถบถิ่นนี้
. ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก ผู้ชายในสายลมหนาว https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=02-2025&date=27&group=22&gblog=90 .
20
« Last post by ppsan on 13 June 2025, 10:08:57 »
กาญจนบุรี : นกกระจิ๊ดธรรมดา

นกกระจิ๊ดเป็นนกที่พบบ่อยในประเทศไทย แต่เรามักไม่ค่อยเห็นตัว ในประเทศไทยพบมากกว่า 10 ชนิด แต่ชนิดที่พบมากที่สุดคือ นกกระจิ๊ดธรรมดา มีถิ่นอาศัยอยู่ในซีกโลกเหนือของเอเชียแถบตะวันออก ทางไซบีเรียและจีน
และในฤดูหนาวจะอพยพลงมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า yellow-browed warbler ค้นพบโดยนักสัตววิทยาชาวอังกฤษในปี 1842 มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Phylloscopus inornatus เมื่อพบนกชนิดนี้ให้ตีว่า เป็นนกกระจิ๊ดธรรมดาไว้ก่อน เพราะแยกจากนกกระจิ๊ดที่เหลือยากมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนกกระจิ๊ดหิมาลัย (Hume's leaf warbler) ที่ในอดีตจัดเป็นนกที่เป็นสายพันธ์ย่อยกัน ได้แก่
P. i. inornatus หรือ Yellow-browed warbler P. i. humei หรือ Hume's leaf warbler P. i. mandellii หรือ Mandel's Leaf warbler โดยการจำแนกนั้นต้องฟังจากเสียงร้อง
ไม่ต่างอะไรกับนกกระจิ๊ดที่เราเจอก่อนหน้า คือ Arctic กับ Kamchatka warbler ที่ต้องฟังเสียงร้องหรือวัดขนาดเอา
 https://en.wikipedia.org/wiki/Hume%27s_leaf_warbler#/media/File:Phylloscopus-humei_distribution.jpg ในช่วงปี 1980s มีการใช้พันธุกรรมเข้ามาตรวจสอบ พบว่านกชนิดนี้เป็นคนละสายพันธุ์ ที่มีการแยกจากกันเมื่อราว 2-3 ล้านปีก่อน ช่วงปี 1990s จึงแยก Hume's leaf warbler มาเป็นชนิดใหม่ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า P. humei humei
โดยมี Mandel's Leaf warbler (P. h. mandellii) เป็นชนิดย่อย ของ Hume's leaf warbler และเรียกชื่อสามัญของนกทั้งสองชนิด ตามถิ่นอาศัยว่า Western และ Eastern Hume's leaf warbler
ในประเทศไทยใน e-birds ก็มีรายงาน Hume's leaf warbler แต่ในระดับมือสมัครเล่นที่ไม่ได้อัดเสียงมา น่าจะไม่สามารถแยกได้ แต่ถ้าใครอยากจะลองแยกดู ก็มีข้อพิจารณาเบื้องต้นว่า Hume's leaf warbler หรือนกกระจิ๊ดหิมาลัยนั้น มีปากสีดำกว่า และลำตัวก็มีสีคล้ำกว่านกกระจิ๊ดธรรมดา ที่สามารถพบได้บ่อยกว่านั่นเอง
ในขณะที่ประเทศไทยดูเหมือนจะเป็นนกที่ดูธรรมดา แต่ว่าในยุโรปที่มีนกไม่มากนัก มันกลับได้รับความสนใจจากนักดูนก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอังกฤษที่นกน้ำหนักเพียง 7 กรัมนี้ ได้เดินทางจากไซบีเรียและเอเชียกลางไปถึงในฤดูหนาว
. ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก ผู้ชายในสายลมหนาว https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=02-2025&date=24&group=22&gblog=91 .
|