Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
17 June 2025, 00:30:59

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
27,264 Posts in 13,292 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  Recent Posts

Recent Posts

Pages: [1] 2 3 ... 10
1
ชูศรี มีสมมนต์ และ สวง ทรัพย์สำรวย (ล้อต๊อก)








.
ชูศรี มีสมมนต์ และ สวง ทรัพย์สำรวย (ล้อต๊อก)
สองดาวตลกคู่ขวัญเมืองไทย มิมีใครเทียบเทียมได้
รายการขายหัวเราะแค่เห็นหน้ายังไม่พูดคนก็ฮาแล้ว55
ขอบคุณเจ้าของภาพ

.
ที่มา เรื่องและภาพ
ยุคเก่าเล่าขาน
https://www.facebook.com/Yukhkea55
และย้อนเวลา ในความทรงจำ
https://www.facebook.com/Passakornsukchaiwrangkun
.







2
"หม่อมชั้น พวงวัน" ตำนานดาวตลกแห่งวงการหนังไทย ยุค 16 ม.ม.







หม่อมชั้น พวงวัน หรือชื่อจริงว่า ชั้น พวงวัน (ชื่อเล่น หม่อม) และมีนามในการแสดงว่า หม่อมชั้น พวงวัน เกิดเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๙ บริเวณวัดมกุฎ พระนคร เริ่มต้นเส้นทางการแสดงตั้งแต่อายุเพียง ๘ ขวบ ยืนหยัดอยู่ในวงการศิลปินไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖

ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอคือ "วนิดา" ในปี พ.ศ. ๒๔๙๖ ก่อนจะกลายเป็นดาวตลกประจำจอเงิน แสดงภาพยนตร์นับร้อยเรื่อง โดยเฉพาะในยุค "มิตร-เพชรา" ที่แทบทุกเรื่องจะมีหม่อมชั้นร่วมสร้างสีสันอยู่เสมอ

ในยุคหนังฟิล์ม ๑๖ ม.ม. ซึ่งต้องใช้การพากย์เสียง เพราะไม่มีเสียงในตัวฟิล์ม เสียงพากย์ของตัวละครที่หม่อมชั้นรับบท มักใช้เสียงผู้ชายพากย์แทน จนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่คนดูจดจำได้อย่างดี

ปัจจุบันหม่อมชั้น พวงวัน ได้ล่วงลับไปแล้ว แต่ผลงานของเธอยังคงอยู่ในความทรงจำของแฟนหนังไทยตลอดกาล


.
ที่มา เรื่องและภาพ เรารัก บรรพบุรุษไทย
https://www.facebook.com/WeLoveThaiParent
.




3
Animals / กำแพงแสน : นกจาบทอง
« Last post by ppsan on 16 June 2025, 09:40:27  »
กำแพงแสน : นกจาบทอง




จากถนนชมพุพันธุ์ทิพย์ เดินทางต่อไปยังถนนสายมะฮอกกานี
ตรงลานจอดรถ มีนกชนิดหนึ่งเกาะอยู่บนยอดไม้
เราเคยเห็นนกชนิดมาก่อนหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรก
ที่เห็นนกจาบทองสีขนนอกฤดูผสมพันธุ์ ที่ดูตุ่นๆ ไม่คุ้นตา
 
ตัวผู้ชุดขนฤดูผสมพันธุ์ หน้า และใต้คอสีดำ กระหม่อม
ท้ายทอย และลำตัวด้านล่างสีเหลืองสด หลังสีเหลืองแทรกด้วย
ลายแกนขนสีน้ำตาลเข้ม ปีกสีน้ำตาลแกมเทา ตะโพก
และขนคลุมโคนหางด้านบนสีเหลือง หางสีน้ำตาลเข้ม
 
ตัวผู้และตัวเมียชุดขนนอกฤดูผสมพันธุ์ ปากสีจาง คิ้ว
และข้างคอสีน้ำตาลแกมเหลือง  กระหม่อม และหลังมีลายขีดสีเข้ม
ปีกสีดำขอบสีจาง ลำตัวด้านล่าง และหางสีน้ำตาลอ่อน
แต่เท่าที่ดูมา ตัวเมียจะสีน้ำตาลพื้นๆ ตัวนี้จึงน่าจะเป็นตัวผู้


ครัวมะนาว อยุธยา

มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Asian golden weaver แม้ว่าจะพบได้บ่อย
ตามนาข้าว ทุ่งโล่ง พื้นที่ชุ่มน้ำ แต่จริงๆแล้ว มันกระจายตัวอยู่แค่
ตอนกลางของพม่า ข้ามมาไทย ตอนใต้ของลาว กัมพูชา ไปจนถึงสามเหลี่ยม
ปากแม่น้ำโขงในเวียดนาม และบางส่วนของเกาะสุมาตรา เท่านั้น
 
ตัวผู้จะสานรังด้วยเศษหญ้าอย่างสวยงาม สร้างทางเข้าจากด้านล่างที่ซับซ้อน
 จุดประสงค์ก็เพื่อลดการแย่งชิงการเข้าไปวางไข่ของนกปาราสิต
ตามที่เราเล่าไปก่อนหน้าในเรื่อง นกอีวาบตั๊กแตน
 
แต่สิ่งที่น่าสนใจมากไปกว่านั้น ตามประสบการณ์ที่เจอมาก็คือ
การทำรังที่ใกล้ชิดกับบ้านคน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่พบในนกชนิดอื่นๆ
ซึ่งเป็นความคิดที่ฉลาดมาก ในการลดภัยคุกคามจากสัตว์นักล่าอื่นๆ

ประชากรมีแนวโน้มที่ลดลง เพราะการทำลายที่อยู่ตามธรรมชาติ
 IUCN ประกาศให้นกจาบทองมีสถานะ Near Threatened


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=05-2025&date=15&group=22&gblog=155
.




4
Animals / กำแพงแสน : นกเด้าดินเล็ก
« Last post by ppsan on 16 June 2025, 09:37:18  »
กำแพงแสน : นกเด้าดินเล็ก




นกเด้าดินเล็กเกาะบนรั้วไม้ใต้ท้องฟ้าที่นกนางแอ่นบ้านที่บินอยู่
มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Paddyfield Pipit มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Anthus rufulus
เป็นนกเด้าดินขนาดใหญ่ มีความยาวประมาณ 15 เซนติเมตร
ลักษณะภายนอกไม่โดดเด่นมากนัก ขนด้านบนมีลายเป็นริ้วสีเทาน้ำตาล
และด้านล่างมีสีอ่อนกว่าพร้อมลายริ้วที่อก ขามีความยาว หางยาว
และมีจะงอยปากยาวสีเข้ม ตัวผู้และตัวเมียมีลักษณะคล้ายกัน
 
เป็นนกประจำถิ่นที่พบได้บ่อย (Very Common Resident)
อาศัยและทำรังในพื้นที่พุ่มไม้เปิด ทุ่งหญ้า และพื้นที่เกษตรกรรมในเอเชียใต้
ไปจนถึงฟิลิปปินส์ เป็นหนึ่งในนกเด้าดินไม่กี่ชนิดที่ผสมพันธุ์ในภูมิภาคเอเชีย

แต่การจำแนกชนิดจะยากขึ้นในฤดูหนาว เมื่อมีนกเด้าดินสายพันธุ์อื่น
อพยพเข้ามาในพื้นที่เดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นกเด้าดินทุ่งใหญ่
(Richard’s pipit)  ที่เคยจัดว่าเป็นนกชนิดเดียวกันมาก่อน
ที่แม้ว่าจะมีชื่อว่าใหญ่ ในภาษาไทย แต่ขนาดตัวก็ไม่แตกต่างกันนัก

ต้องอาศัยแยกจากเสียงร้องเป็นหลัก โดยมักส่งเสียงร้องขณะบินขึ้นจากพื้น
โดยนกเด้าดินทุ่งใหญ่จะร้องเสียงพยางค์เดียว ยาวและหนักแน่น
ในขณะที่นกเด้าดินทุ่งเล็กร้องเสียงสั้นๆ และบางครั้งร้องติดกันหลายพยางค์
 
นอกจากนี้นกเด้าดินทุ่งใหญ่จะขี้อายกว่า จึงมักพบเห็นได้ยากกว่า
แต่ถ้าไม่ได้ยินเสียงจริงๆ ได้มาแต่รูปถ่าย อาจจะสังเกตได้จากปาก
ที่นกเด้าเดินทุ่งใหญ่จะมีปากที่สั้น อวบและหนา กว่านกเด้าดินทุ่งเล็ก


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=05-2025&date=13&group=22&gblog=153
.




5
กำแพงแสน : นกแอ่นบ้าน และนกนางแอ่นบ้าน




การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2568
ซึ่งตรงกับที่ชมพูพันพิพย์ออกดอกน่าจะเป็นครั้งที่สามแล้ว
นั่นเพราะฤดูกาลเปลี่ยนไป หน้าหนาวไม่ได้หนาวยาวนาน
แต่มาเป็นความกดอากาศสูงที่ลงมาจากประเทศจีนเป็นระลอกๆ
 
แน่นอนว่า นอกจากถ่ายดอกไม้ ต้องเอาเลนส์ถ่ายนกติดไปด้วย
นกตัวแรกโบยบินอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นั่นคือนกแอ่นตาล
ในบล็อกนกแอ่นฟ้า เราได้กล่าวถึงนกแอ่นบ้านไปบ้าง
ว่าแตกต่างกันอย่างไร คราวนี้ จะมาพูดถึงนกแอ่นกับนกนางแอ่น
 
นกแอ่นตาล (Asian palm swift) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
Cypsiurus balasiensis มีนกร่วมสกุลอีกสองชนิดคือ
African palm swift และ Malagasy palm swift
palm มาจากต้นปาล์ม ที่นกใช้ขาเกาะไว้ระหว่างการพักผ่อน
 
มีขนาดเล็ก ลำตัวสีน้ำตาล ปีกยาวเรียวเหมือนบูมเมอแรง
หางแหลมยาวเป็นแฉกลึก ลำตัวด้านบินสีเข้มกว่า
มักหากินเป็นคู่หรือเป็นฝูง ทำรังโดยใช้น้ำลายผสมวัสดุที่หาได้
แบบง่ายๆ แปะไว้บนหน้าผา อาคาร ในแนวตั้ง
 
พบได้ตั้งแต่อนุทวีปอินเดีย อินโดจีน ตอนใต้ของจีนไปถึงเกาะไหหลำ
คาบสมุทรมาลายา หมู่เกาะอินโดนีเซีย และหมู่เกาะฟิลิบปินส์



ใกล้ๆ กันนั้นมีนกที่บินไปบินมาเช่นกัน ดูด้วยตาเปล่า แยกออกยาก
เมื่อนำภาพลงคอมฯ จึงเห็นว่าเป็นนกนางแอ่นบ้าน (Barn swallow)
ขนาดตัวเล็กกว่า เพียวบาง ลำคอสีน้ำตาลเข้ม หลังสีดำเหลือบน้ำเงิน
ขนหางคู่นอกยาวกว่าขนหางคู่อันอื่นๆ ท้องสีน้ำตาลแดง
 
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hirundo rustica ในสกุลนี้มีนกมากกว่าสิบชนิด
ถิ่นอาศัยกระจายตัวอย่างกว้างขวางไปเกือบทั่วโลก ยกเว้นในพื้นที่หนาว
เช่น รัสเซีย เกาะกรีนแลนด์ และบริเวณขั้วโลกเหนือและใต้เท่านั้น

มีถิ่นผสมพันธุ์อยู่ในประเทศแถบตอนเหนือ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา
ยุโรป เอเชียกลาง เรื่อยไปจนถึงเอเชียตะวันออกไกล
ในหน้าหนาวพวกมันจะอพยพมายังพื้นที่ทางตอนใต้
แตกต่างจากนกแอ่นบ้าน ที่เป็นนกประจำถิ่น

นกแอ่นใช้น้ำลายทำรัง แต่นกนางแอ่นจะใช้ดินโคลนในการก่อสร้าง
รังเป็นรูปถ้วยที่มีขนาดใหญ่กว่า ในขณะที่นกแอ่นจะทำรังขนาดเล็กกว่า
ทำรังในพื้นที่โล่งเป็นกลุ่มใหญ่ ในขณะที่นกแอ่นชอบทำรังในที่มืด
นกแอ่นที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจสูง คือนกแอ่นกินรังที่พบทางภาคใต้


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=05-2025&date=06&group=22&gblog=152
.




6
จุฬาลงกรณ์ : นกจับแมลงดำอกสีส้ม




หากคุณสงสัยว่าสวนสาธารณะชานเมืองอย่างสวนรถไฟ
ทำไมถึงเป็นสถานที่พบนกหายาก นั่นอาจจะน่าประหลาดใจยิ่งกว่า
ว่าสวนปรีดิขวัญที่อยู่ใจกลางเมือง ก็พบนกหายากได้เช่นกัน
ซึ่งสวนแห่งนี้นั้นอยู่ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
 
เราติดตาม Facebook จุฬารักษ์นก จึงได้พบรายงานนกหายาก 
อดรนทนไม่ไหว ในที่สุดก็ตัดสินใจไปที่นี่
ครั้งแรกก็ตามมาตรฐาน ไม่ได้นกหายากอะไรแบบคนอื่น
แต่ว่าการไปนั้นไม่ได้ลำบาก ก็เลยเดินทางมาเป็นครั้งที่สอง
 
ในที่สุดเราก็ได้นกใหม่ นกที่ชื่อแปลกๆ ว่า นกจับแมลงมูกิมากิ
ขนาดตัวประมาณนกกางเขนบ้าน แต่อ้วนกว่า ตัวผู้สีดำ มีขีดขาวที่ปีกสองแถบ
ท้องส้มเด่นชัด กินลึกลงไปด้านล่างมาก โชคดีที่เจอตัวผู้เลยไม่ยากเท่าไหร่
น่าเสียดายได้มาแต่มุมเสยเลยต้องอาศัยการไอเดนตามคนที่รายงานก่อนหน้า
 
มีชื่อภาษาไทยว่า นกจับแมลงดำอกสีส้ม ถูกตั้งชื่อโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวดัชต์
Coenraad Jacob Temminck ในปี 1836 จากตัวอย่างที่ได้มาจากญี่ปุ่น
Ficedula mugimaki และมีชื่อภาษาอังกฤษว่า Mugimaki flycatcher
ซึ่งเป็นการให้เกียรติแหล่งที่มา อันเป็นชื่อเรียกนกชนิดนี้ของคนญี่ปุ่น



ทำไมถึงพบโดยชาวดัชต์ นั่นเพราะตรงกับสมัยการปกครองของระบอบโชกุน
ซึ่งเปิดให้มีเพียงการค้ากับดัชต์ผ่านเมืองท่าที่เมืองนางาซากิเท่านั้น
จนกระทั่งในปี 1853 สหรัฐอเมริกาได้เข้ามาปิดอ่าวโตเกียว
ญี่ปุ่นถึงยอมให้มีการค้าเสรีเกิดขึ้น   

ในสมัยก่อน นักดูนกชาวไทยชอบเรียกว่า นกจับแมลงมูกิมากิ
ซึ่งมาจากภาษาญี่ปุ่นที่แแปลว่า นกที่พบในฤดูหว่านข้าวสาลี
เพราะการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ที่เป็นสัญลักษณ์ของฤดูกาล
เป็นสิ่งที่คนในประเทศเขตหนาวนั้นให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

การมาถึงของของนกอพยพชนิดนี้ ทำให้ชาวนาญี่ปุ่นรู้ว่า
ถึงฤดูกาลของการเพาะปลูกแล้ว นอกจากนี้มันยังมีเสียงร้องที่ไพเราะ
จนมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า Robin flycatcher
 
มีถิ่นอาศัยในเขตไซบีเรียและประเทศจีนทางตะวันออก
เมื่อถึงฤดูหนาวก็จะอพยพไปยังคาบสมุทรเกาหลี และเกาะญี่ปุ่น
บางส่วนจะบินลงมาทางใต้ผ่าน คาบสมุทรอินโดจีน และหมู่เกาะฟิลิปปินส์
เพื่อไปยังคาบสมุทรมาลายา เกาะบอร์เนียว สุมาตรา และชวา
 
ประเทศไทยเป็นเพียงทางผ่าน จะพบเห็นครั้งแรกในช่วงเดือนตุลาคม
และจะพบอีกครั้งในช่วงขากลับ ราวเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=05-2025&date=01&group=22&gblog=151
.




7
บึงบอระเพ็ด : นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร




ในตอนแรกนั้นได้จบลงที่บล็อกก่อนหน้า แต่เรามีความคิดว่า
อยากจะเขียนถึงนกชนิดหนึ่ง ซึ่งคงไม่มีโอกาสได้เขียนถึงแน่ๆ
นกที่เป็นสัญลักษณ์ของบึงบอระเพ็ด เพราะพบเห็นได้ที่นี่เพียงแห่งเดียว

นกที่ลึกลับที่สุดในโลก เพราะหลังการพบไม่นาน
ก็หายสาบสูญไปอย่างรวดเร็ว นกนางแอ่นแม่น้ำที่หาได้ยากยิ่ง
นกที่สอนเราให้เรารู้ว่า การอนุรักษ์ต้องทำตั้งแต่วันนี้
เพราะเมื่อถึงวันพรุ่งนี้ ก็สายเกินไปเสียแล้ว
 
ในปี 1861 Gustav Hartlaub เป็นคนแรกที่ได้อธิบายถึง
นกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกา (African river martin)
โดยพบที่แม่น้ำคองโก ทางทิศตะวันตกของทวีปแอฟริกา
ครอบคลุมพื้นที่ 3 ประเทศ ได้แก่ กาบอง คองโก และซาอีร์

ถูกแยกจากนกนางแอ่นชนิดอื่น จากปากที่มีลักษณะอ้วนกว้าง
มีเท้าและนิ้วเท้าที่แข็งแรง แสดงให้เห็นว่า เป็นนกที่เกาะต้นไม้เป็นหลัก
แตกต่างจากนกนางแอ่นชนิดอื่น ที่ชอบบินไปบินมาในอากาศ

มีขนาดตัวราว 14 ซม. ชอบหากินกันเป็นกลุ่ม จับแมลงเป็นอาหาร
อาศัยทำรังวางไข่ ตามโพรงบนพื้นทรายที่แห้งของแม่น้ำ
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pseudochelidon eurystomina
อยู่ในวงศ์ย่อย Pseudochelidoninae ซึ่งมีนกอยู่เพียงชนิดเดียว



หนึ่งร้อยปีต่อมาที่บึงบอระเพ็ด กิตติ ทองลงยา นักสัตว์วิทยา
ผู้ค้นพบสัตว์ชนิดใหม่หลายชนิดเช่น ค้างคาวคุณกิตติ
อยู่ระหว่างภารกิจ ติดห่วงขานกอพยพในเวลากลางคืน
เพื่อเก็บตัวอย่างปรสิต สำหรับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์
 
วันที่ 28 ม.ค. 2511 ในจำนวนนกนางแอ่นหลายร้อยตัว
มีตัวหนึ่งที่ดูแปลกตา วันต่อมาก็สามารถจับได้อีกหนึ่งตัว
และวันที่ 10 ก.พ. ก็จับนกชนิดนี้ได้ถึง 7 ตัว
จากการสอบถาม ชาวบ้านเรียกนกชนิดนี้ว่า นกตาพอง
เพราะมีลักษณะเด่นบริเวณดวงตา ที่โตกว่านกนางแอ่นชนิดอื่น
 
ตัวอย่างถูกส่งไปให้ Herbert G. Deignan ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งเขาเป็นคนที่คุ้นเคยกับนกในเมืองไทย
เพราะเคยเข้ามาสำรวจนกในที่ราบภาคกลาง ตั้งแต่ในปี 1945
มีการพบนกหลายใหม่ชนิด เช่น นกจับแมลงเด็กแนน

Deignan ตรวจจสอบและยืนยันว่าเป็นนกชนิดใหม่ของโลก
จึงมีการขอพระราชทานชื่อนกชนิดนี้ในภาษาไทย
จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาว่า นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร
และชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Pseudochelidon sirintarae
 
นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรที่โตเต็มวัย เป็นนกนางแอ่นขนาดกลาง
มีสีดำออกเขียวเหลือบ ตะโพกขาว และหางมีขนคู่กลางที่มีแกนยื่นออกมา
เป็นเส้นเรียวแผ่ตรงปลาย วงรอบตาสีขาวหนา ปากสีเหลืองสดออกเขียว
นกทั้งสองเพศมีลักษณะคล้ายกัน นกวัยอ่อนไม่มีขนหางคู่กลาง
ที่มีแกนยื่นออกมา และสีขนออกสีน้ำตาลมากกว่านกโตเต็มวัย



จากการสอบถามชาวบ้าน พบว่านกชนิดนี้มีพฤติกรรมบินไล่จับแมลง
ร่วมกับนกนางแอ่นบ้านที่บริเวณเกาะพระ และบางครั้งก็เกาะพักบนกิ่งไม้สูง
 เมื่อ 15 ปีก่อน เริ่มมีการจับนกชนิดนี้มาขายเพื่อทดแทนรายได้ที่หายไป
จากประกาศห้ามการเก็บไข่จระเข้จากบึงบรเพ็ดมาเพาะเลี้ยง

ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ชาวบ้านพบว่านกมีจำนวนลดลงทุกปี
โดยนกจะปรากฏตัวในช่วงเดือน พ.ย. – ก.พ. ซึ่งเป็นฤดูกาลนกอพยพ
 
พ.ศ.2512 มีการขึ้นไปสำรวจแม่น้ำวัง ยม และน่านที่ไหลลงมารวมกัน
ที่บึงบอระเพ็ด เพื่อค้นหาภูมิประเทศที่เป็นหาดทรายในฤดูแล้ง
ที่เหมือนกับสถานที่ทำรังของนกนางแอ่นแม่น้ำแอฟริกา
แต่ก็ไม่มีการพบลักษณะภูมิประเทศแบบดังกล่าว

นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรจึงน่าจะเป็นนกอพยพจากตอนเหนือของทวีปเอเชีย
 สอดคล้องกับข้อกล่าวอ้างว่า มีการพบภาพพิมพ์โบราณของจีน
ตั้งแต่สมัยชิงหรือก่อนหน้านั้น ที่มีภาพวาดที่เหมือนกับนกชนิดนี้
ขาดเพียงสีขาวที่สะโพก ข้อสันนิษฐานนี้ยังไม่ได้รับการยอมรับจากนักวิชาการ
เพราะภาพเขียนนั้นอาจจะเป็นนกชนิดอื่น ที่ปรากฏในจีนตอนใต้ก็เป็นไปได้

 3 ปีต่อมา มีการเก็บตัวอย่างนกชนิดนี้จากงานติดห่วงขาเพิ่มขึ้น
แต่นักดูนกทั่วโลกที่ต่างเดินทางมายังบึงบอระเพ็ด
โดยหวังที่จะได้เห็นนกชนิดใหม่ของโลกนี้ในธรรมชาติ
กลับไม่มีใครเคยประสบผลสำเร็จเลย

จนกระทั่ง ก.พ. 2520 จึงมีรายงานของนักปักษีวิทยาชาวอเมริกา
และนักดูนกชาวไทยว่า ในตอนเย็นได้พบเห็นนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร
ที่โตเต็มวัยจำนวน 6 ตัว กำลังบินเอยู่ในบึงกำลังมุ่งไปทางพงหญ้า



รายงานการพบเห็นนกชนิดนี้ในธรรมชาติครั้งที่สอง
เกิดขึ้นในเดือน ม.ค.2523 นักดูนกพบนกยังไม่โตเต็มวัย
เกาะอยู่บนกิ่งไม้บนเกาะแห่งหนึ่งในบึงบอระเพ็ด

หลังจากทั้งสองครั้งนี้ก็มีรายงานมาเป็นระยะ แต่ทั้งหมดก็ขาดความชัดเจน
เพราะนกชนิดนี้มีความคล้ายกับนก red-rumped swallow มาก
พ.ศ. 2529 ชาวบ้านคนหนึ่งจับนกชนิดนี้ได้ แต่ไม่นานก็ตายในกรง

พ.ศ. 2531 IUCN กำหนดให้มีสถานะ Endangered
พ.ศ. 2535 ประเทศไทยประกาศให้นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร เป็นสัตว์ป่าสงวน
ร่วมกับนกอีก 2 ชนิด คือนกกระเรียนไทย และนกแต้วแร้วท้องดำ
พ.ศ. 2537 มีสถานะ Critical Endangered 
พ.ศ. 2540 มีสถานะ Critically Endangered (Possibly Extinct)

ใน พ.ศ. 2573 นี้จะครบ 50 ปี ที่ไม่มีการพบเห็นนกชนิดนี้ในธรรมชาติ
และใน พ.ศ. 2579 จะครบ 50 ปี ที่ไม่มีการพบเห็นนกชนิดนี้ในกรงเลี้ยง
 IUCN จะปรับให้นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรมีสถานะ Extinct

หลายครั้งที่เราเขียนถึงตัวอย่างนก (specimen) นั้น
หลายคนคงรู้สึกว่า มันคือการทำบาปที่ต้องฆ่านกหลายตัวไป
ทางหนึ่งมันก็เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ ที่ต้องใช้ในการพิสูจน์ทราบว่า
นี่คือสิ่งชีวิตชนิดใหม่ ที่ไม่เคยมีใครเคยพบมาก่อน
 
ในอีกทางหนึ่ง มันคือประวัติศาสตร์ที่ทำให้นกชนิดต่างๆ
ยังคงอยู่ให้เราเรียนรู้ต่อไป โดยเฉพาะนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรนั้น
มีตัวอย่างที่เก็บอยู่ในเมืองไทย 5 ตัว และต่างประเทศอีก 4 ตัว
ทั่วโลกนี้จึงมีตัวอย่างนกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรเหลืออยู่เพียง 9 ตัว เท่านั้น


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=04-2025&date=29&group=22&gblog=150
.




8
บึงบอระเพ็ด : เป็ดปากพลั่ว




ถึงตรงนี้ เราก็สู้แดดยามบ่ายไม่ไหวแล้ว หนีกลับมาขึ้นเรือ
เลยไม่รู้ว่ามีใครเห็นหรือเปล่า ส่วนเรามาเห็นตอนเปิดรูปในคอม
นอกจากภาพที่ถ่ายมาจากนาที่พบเป็ดดำหัวดำ
ยังติดภาพมาตั้งแต่นาที่พบห่านเทาปากชมพูเมื่อเช้าแล้วด้วย
 
เป็ดปากพลั่ว (northern shoveler) ลักษณะปากมีรูปทรงคล้ายช้อนขนาดใหญ่
เพศผู้ช่วงฤดูผสมพันธุ์ มีหัวสีเขียวเข้ม อกขาว ท้องและสีข้างสีน้ำตาลแดง
เพศเมียมีลำตัวสีน้ำตาลอมเหลือง ขนคลุมปีกด้วยบนสีเทาอมฟ้า
ตัวผู้นอกฤดูผสมพันธุ์ คล้ายตัวเมียแต่ปากดำ
 
หากถามเรา เชื่อว่าน่าจะเจอกันมานาน ตั้งแต่สมัยกำแพงแสนแล้ว
แต่หากจะนับที่เป็นภาพถ่าย ภาพแรกพบใน e-bird ปี 2545 ที่สงขลา
ส่วนรายงานแรกของสมาคมดูนก พบในปี 2546 ที่บึงบอระเพ็ด
หลังจากนั้นก็มีรายงานเป็นระยะ โดยเฉพาะในรอบสิบปีที่ผ่านมา
 
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Spatula clypeata (Linnaeus, 1758)
โดยมีชื่อแรกว่า Anas clypeata ซึ่งบทความ Phylogenetics of
wigeons and allies (Anatidae: Anas): the importance
of sampling multiple loci and multiple individuals

ได้มีการศึกษาพันธุกรรมนกในสกุลนี้
นำไปสู่การแยกออกมาเป็นสกุลใหม่หลายชนิด
 เป็ดปากพลั่วจึงถูกย้ายไปอยู่สกุล Spatula ที่ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 1822
เป็นภาษาละตินแปลว่า ช้อน โดยมีนกชนิดที่ใกล้ชิดกันคือ
Australasian shoveler

อาศัยอยู่ในพื้นที่ชุ่มน้ำ กระจายตัวอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ยูเรเซีย
ทางตะวันตกของอเมริกาเหนือ และทะเลสาบขนาดใหญ่ของอเมริกา
เมื่อถึงฤดูหนาวนกในอเมริกาเหนือ และในยูเรเซียจะบินลงใต้
ส่วนที่ใกล้กับยุโรปจะบินลงไปยุโรปทางใต้ และตะวันออกกลาง
ส่วนที่อยู่ทางไซบีเรียจะบินลงมายังอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้



ด้วยพื้นที่กระจายตัวอย่างกว้างขวาง และประชากรที่มีราว 4-5 ล้านตัว
IUCN จัดความเสี่ยงในการสูญพันธุ์อยู่ในระดับ Less concern
สถานะในคู่มือดูนกของไทยคือ uncommon Winter Visitor

ถึงตรงนี้น่าจะมีคำถามในใจ ว่าในพื้นที่เขตร้อนที่มันอพยพหนีหนาวมาอยู่นี้
มีอาหารให้กินได้ตลอดปี แล้วทำไมพวกมันไม่อยู่ที่นี่เสียเลยล่ะ
จะเสียพลังงานในการบินกลับบ้านไปทำไม

เหตุผลคือแม้ในเขตเส้นศูนย์สูตรจะมีอาหารที่อุดมสมบูรณ์หากินได้ตลอดปี
แต่ที่นี่ก็ความหลากหลายทางชีวภาพสูง นำมาซึ่งการแก่งแย่ง
ทั้งการหาอาหาร และพื้นที่ทำรัง นอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยนักล่า

ในขณะที่เขตขั้วโลกเหนือที่มีอุณหภูมิบางช่วงเป็นน้ำแข็งนั้น
เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ มันก็คือสรวงสวรรค์
ที่เต็มไปด้วยแมลง พืชและสัตว์น้ำอันอุดมสมบูรณ์
ในพื้นที่กว้างขวางการแก่งแย่งจึงต่ำ และมีนักล่าตามธรรมชาติอาศัยน้อย

นั่นทำให้พวกมันเลือกที่จะบินกลับไป เพื่อจะทำรังวางไข่
ในบ้านที่พวกมันเติบโตขึ้นมานั่นเอง

และนี่ก็คือนก 10 ตัวที่เลือกมาว่าเป็นนกใหม่และน่าสนใจ
อาจจะเห็นว่าเป็น one day trip นี้ราคาอาจจะแพงเมื่อเทียบกับทริปอื่น
แต่สำหรับเรามันเป็นแบบที่ง่าย สะดวก และเหมาะสมกับตัวเรา
แม้จะไม่ได้รูปที่สวยงามแบบคนที่ไปกันเอง แต่ว่าเราก็พึงพอใจแล้ว


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=04-2025&date=23&group=22&gblog=149
.




9
Animals / บึงบอระเพ็ด : เป็ดหางแหลม
« Last post by ppsan on 15 June 2025, 08:15:23  »
บึงบอระเพ็ด : เป็ดหางแหลม




หากจะถามว่า เป็ดอะไรที่พบมากที่สุดในนาแปลงนี้
นั่นคือเป็ดลาย (Garganey) ที่น่าจะมีกันมากกว่าหลายร้อยตัว
ที่น้อยลงไปกว่านั้นคือ เป็ดหางแหลม ที่น่าจะมีอยู่หลายสิบตัว
 
เป็ดหางแหลมมีขนาดใหญ่กว่าเป็ดลาย คอยาว หางยาวตามชื่อ
เพศผู้มีหัวสีน้ำตาลเข้ม ตัดกับแถบสีขาว ที่ลากยาวขึ้นมาจากคอ
อกสีขาว ลำตัวโดยรวมสีเทา เพศเมียมีลำตัวสีน้ำตาลอ่อน
และมีลวดลายสีเข้มกระจายทั่วตัว
 
มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Northern Pintail มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า
Anas acuta ตั้งโดย Carl Linnaeus ในปี 1758
โดยชื่อ acuta แปลว่า แหลมขึ้น กระจายตัวในพื้นที่
แถบขั้วโลกเหนือ ตั้งแต่อเมริกาเหนือ สแกนดิเนเวีย และรัสเซีย
 
เช่นเดียวกับนกชนิดอื่น ในหน้าหนาวจะอพยพลงใต้
ลงมายังอเมริกากลาง ยุโรป แอฟริกา และเอเชีย ใต้แนวเขาหิมาลัย
เป็นหนึ่งในนกไม่กี่ชนิด ที่อพยพข้ามเทือกเขาหิมาลัย
นักวิจัยเคยติดตามด้วย GPS ได้ว่า มันบินสูงราว 6,000 ฟุต 
 
ด้วยพื้นที่อยู่อาศัยที่กว้างขวาง ประชากรที่เหลือราว 4-5 ล้านตัว
ความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของ IUCN จัดให้อยู่ใน Less concern
แต่มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะประชากรที่อาศัยอยู่ในยุโรปเหนือ



ในปี 1997 เกิดการระบาดของ avian botulism ที่ฆ่าประชากรนกน้ำ
ในทวีปอเมริกาเหนือไปราว 1.5 ล้านตัว ส่วนใหญ่เป็นเป็ดหางแหลม
Avian botulism เกิดจากเชื้อ Clostridium botulinum ที่เรารู้จักกัน
ปรกติเชื้อจะอยู่ในดิน เป็ดพวกนี้ได้รับเข้าไปจากการไซ้กินอาหารที่ปนเปื้อน
ซึ่งเชื้อตัวนี้นั้น หากมีออกชิเจนระดับปรกติ จะไม่มีความอันตราย
 
แต่เมื่อใดที่อุณหภูมิสูงขึ้น มากกว่า 25 องศาเซลเซียส ในสภาวะออกซิเจนต่ำ
และมีสารอาหารในสภาพแวดล้อมสูงขึ้น พวกมันจะสร้าง toxin ที่อันตราย
สามารถทำลายระบบประสาท ทำให้เกิดการเป็นอัมพาตของกล้ามเนื้อได้
ตายจากการที่ไม่สามารถเคลื่อนไหว รวมถึงการออกแรงหายใจที่ทำไม่ได้
 
ดูเหมือนเป็นเป็ดธรรมดาที่ไม่ได้หายาก และไม่ได้มีเรื่องราวที่น่าสนใจ
แต่สำหรับเรามีความประทับใจกับเป็ดตัวนี้ เพราะตอนที่แรกเริ่มดูนกนั้น
ในฤดูหนาว จะมีเป็ดสามชนิดที่มาลงจำนวนมาก ได้แก่ เป็ดลาย
เป็ดคับแค และเป็ดแดง ซึ่งแต่ละชนิด จะแยกกันหากินเป็นกลุ่ม
 
ท่ามกลางฝูงเป็ดลาย เราจะต้องค่อยๆ มองหา
เป็ดลายๆ ที่ตัวโตกว่า และมีหางแหลม
โดยทุกปีจะมีมาแค่ตัวเดียว ส่วนตัวผู้นั้นยังไม่เคยเห็น
และนี่ก็คือเรื่องราวของเป็ดหางแหลม ในความทรงจำ


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=04-2025&date=21&group=22&gblog=148
.




10
Animals / บึงบอระเพ็ด : เป็ดดำหัวดำ
« Last post by ppsan on 15 June 2025, 08:12:13  »
บึงบอระเพ็ด : เป็ดดำหัวดำ




ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนระอุ แต่ระยะห่างดีกว่าเมื่อเช้าหน่อย
เป็ดดำหัวดำ คือเป็ดสีน้ำตาลตัวที่สองจากทางซ้าย
ความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ของ IUCN ของนกชนิดนี้อยู่ในสถานะ
Critical endangered เป็นนกตัวแรกในชีวิตที่เราเก็บได้
 
นอกจากหัวแล้ว ที่เหลือดูเหมือนเป็ดดำหัวสีน้ำตาลหมดทุกอย่าง
ที่สำคัญยังมายืนรวมกลุ่มอยู่ด้วยกันอีกด้วย
จากที่เราเล่ามาก่อนหน้าว่า เป็ดในสกุลนี้เป็น diving duck
จึงมารวมกับนกสีดำหน้าผากสีขาว ที่หากินโดยการดำเหมือนกัน
นั่นคือนกคู๊ต (Eurasian coot)
 
ในขณะยืน เราอาจจะแยกจากเป็ดดำหัวสีน้ำตาลได้ยาก
แต่ในขณะว่ายน้ำจะเห็นแถบขนสีขาวข้างลำตัวได้มากกว่า
ส่วนใน buird guide จะบอกว่าเป็ดดำหัวดำ หัวจะป้าน
ในขณะที่เป็ดดำหัวสีน้ำตาล หลังหัวจะเป็นโหนกสูงกว่า
 
แต่ถ้าเลยจากนี้เข้าสู่ช่วงฤดูผสมพันธุ์ ตัวผู้จะมีหัวสีเขียวเหลือบ
ในขณะที่เป็ดดำหัวสีน้ำตาลตัวผู้ เพียงแค่มีสีน้ำตาลเข้มขึ้นเท่านั้น
นั่นทำให้โดยธรรมชาติ มันจะไม่ผสมพันธุ์ข้ามชนิดกัน
แต่ด้วยจำนวนที่ลดลง ทำให้ปัจจุบันมีการพบนกลูกผสม
ที่เป็นลูกครึ่งเป็ดดำหัวดำกับเป็ดดำหัวสีน้ำตาล หรือก็เป็นเป็ดเปียบ้างก็มี

มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Baer's Pochard ถูกพบโดยนักธรรมชาติและปักษีวิทยา
ชาวเยอรมัน Gustav Radde ที่ได้เดินทางสำรวจสัตว์และพรรณพืชใน
รัสเซียตะวันออกและไซบีเรีย ได้พบกับนกชนิดนี้ที่ทะเลสาปไบคาล
ในปี 1863 Radde จึงตั้งชื่อเป็ดชนิดนี้ว่า Anas baeri
เพื่อเป็นเกียรติแก่ Karl Ernst von Baer นักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน

จากการศึกษาพันธุกรรม ปัจจุบันถูกย้ายจาก สกุล Anas
ไปเป็นสกุล Aythya มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Aythya baeri
โดยมีเป็ดร่วมสกุลกันอีกรวม 12 ชนิด



มีฤดูผสมพันธุ์ช่วงเดือนพฤษภาคม ในพื้นที่ชุ่มน้ำของไซบีเรีย
ได้แก่ Buryatia, Zabaykalsky Krai และ Amur
ต่อกับพื้นที่ในประเทศจีนทางตะวันออกเฉียงเหนือ
ได้แก่ Heilongjiang, Jilin, Liaoning และ Inner Mongolia

ในฤดูหนาวจะอพยพลงมายังจีน อินเดีย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สถานะของเป็ดสายพันธ์นี้ ใน IUCN red list นั้นก็น่าสนใจ
เริ่มจากในปี 1988: Threatened,  1994 : Vulnerable,
2008 : Endangered และ 2012 : Critically Endangered
เห็นได้ว่าใช้เวลาพียงไม่ถึง 20 ปี ที่สถานะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
 
สอดคล้องกับบันทึกในความทรงจำของนักดูนกเมืองไทย
ฟีลิปส์ ดี ราวด์ ได้เล่าไว้ว่าในปี 1988 พบเป็ดดำหัวดำที่บึงบอระเพ็ด
ราว 600 ตัว หลังจากนั้นก็มีรายงานลดลง เหลือเพียงจำนวนหลักสิบ
จนกระทั่งปัจจุบัน อาจจะมีรายงานการพบเพียง 1-2 ตัว ต่อปี
ได้แก่ หนองหลวง เชียงราย บึงบอระเพ็ด และหนองบงคาย

คาดการณ์ว่ามีประชากรในธรรมชาติเหลืออยู่น้อยกว่า 1,000 ตัว
ในจำนวนนี้มีตัวโตเต็มวัย ระหว่าง 150-700 ตัว
แต่มีการนำเข้าเป็ดชนิดนี้ไปยังประเทศต่างๆ ตั้งแต่หลังปี ค.ศ. 1900
ทำให้ปัจจุบัน สถาบันและสวนสัตว์ต่างๆ ทั่วโลก มีการครอบครองเป็ดชนิดนี้ 
โดยอยู่ในยุโรปราว 150 ตัว สหรัฐอเมริกา 150 ตัว และประเทศจีนอีก 54 ตัว
 
ในขณะที่การประเมินของสวนสัตว์มินนิโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา
ประมาณว่าในธรรมชาติอาจจะเหลือเพียง 300 ตัว นั่นจึงเป็นที่มา
โครงการอนุรักษ์ baer’s pochard โดยการขยายพันธุ์จากเป็ดในสวนสัตว์
ที่มีการตรวจสอบพันธุกรรม เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นเป็ดที่มีสายเลือดแท้

จุดประสงค์คือเพื่อเพิ่มจำนวนประชากรให้หลุดพ้นจากสถานะเสี่ยงสูญพันธุ์
นอกจากนี้ยังให้ทุนนักวิจัยเพื่อไปนับจำนวนนกอพยพในประเทศพม่า
เพื่อให้ได้ภาพรวมในการสร้างกลยุทธ์เพื่อการอนุรักษ์เป็ดสายพันธุ์นี้ไว้



ด้วยโลกที่แคบลงจากการสื่อสารออนไลน์ เกือบทุกปี
Facebook ของสำนักข่าวซินหัว จะมีรายงานข่าวจำนวนเป็ดดำหัวดำ
ที่พบในสถานที่ต่างๆ เช่น ในปี 2018 เจ้าหน้าที่เขตอนุรักษ์ธรรมชาติแห่งชาติ
ทะเลสาบเหิงสุ่ย มณฑลเหอเป่ย พบเป็ดดำหัวดำเกือบ 120 ตัว
ซึ่งมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา

แต่ข่าวที่น่ายินดีที่สุด คือในปี 2022 ที่ทะเลสาบตงผิงและแม่น้ำต้าเวิ่น
ใกล้กับภูเขาไท่ซาน พบจำนวนกว่า 1,500 ตัว
ทั้งหมดนี้เกิดจากความพยายามของทางการประเทศจีน
ที่จะอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ รวมถึงพื้นที่การเกษตรรอบข้าง
เช่น การชดเชยราคาพืชผลที่เสียหายจากนกน้ำต่างๆ เป็นต้น

เนื่องจากประเทศจีนเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ จึงมีพื้นที่ชุ่มน้ำจำนวนมาก
ทั้งที่เป็นแหล่งอาศัยหรือแหล่งอพยพผ่าน แต่ที่สำคัญที่สุดคือ
เป็นแหล่งผสมพันธุ์และวางไข่ ซึ่งมีอยู่ถึง 5 แห่ง ได้แก่ 

Dongping Hu, Tai’an, Shandong
Xinxiang Yellow River Wetland Birds Reserve, Henan
Qixing He Wetland Nature Reserve, Heilongjiang
Xingkai Hu Nature Reserve, Heilongjiang
และ Hengshui Hu, Hebei

บางแห่งเป็น Ramsar size บางแห่งเป็นเครือข่ายของ EAAF
(East Asian - Australasian Flyway Network Site)
ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นเส้นทางนกอพยพที่สำคัญของโลก
เริ่มต้นจากขั้วโลกเหนือ ผ่านเอเชีย ลงไปจนถึงออสเตรเลีย

สถานที่ชุ่มน้ำต่างๆ ที่อยู่ในเส้นทางอพยพนี้ จึงควรได้รับการอนุรักษ์ไว้
ในปลายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2568 มีเรื่องที่น่ายินดีว่า
EAAF ได้ประกาศให้สถานตากอากาศบางปูของประเทศไทย
เป็น EAAF หมายเลข 157 เนื่องจากเป็นสถานที่พักฤดูหนาว
ของนกนางนวลหลายชนิด รวมถึงนกน้ำหายากในระดับโลกอีกด้วย


.
ที่มา : ขอขอบคุณเรื่องและภาพจาก
ผู้ชายในสายลมหนาว
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nontree&month=04-2025&date=17&group=22&gblog=147
.




Pages: [1] 2 3 ... 10
SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.106 seconds with 12 queries.