Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
29 April 2024, 04:34:32

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,611 Posts in 12,442 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  ภาพประทับใจ  |  ภาพสวยงาม  |  Vincent van Gogh, Dutch painter
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: Vincent van Gogh, Dutch painter  (Read 311 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,464


View Profile
« on: 22 August 2021, 15:44:53 »

Vincent van Gogh, Dutch painter





















10



















20








Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,464


View Profile
« Reply #1 on: 22 August 2021, 15:50:42 »

Van Gogh, Life & Art







ริเวอร์ ซิตี้ แบ็งค็อก ขอนำเสนอนิทรรศการมัลติมีเดียของหนึ่งในศิลปินผู้โด่งดัง และมีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก วินเซนต์ แวน โก๊ะ “Van Gogh. Life and Art” จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะดิจิทัลกรุงเทพฯ (MODA – Museum of Digital Art Bangkok) เดือนมิถุนายนนี้

ฟินเซ็นต์ ฟัน โคค หรือที่คนไทยมักเรียกว่า วินเซ็นต์ แวน โก๊ะ เป็นจิตรกรชาวดัชต์ผู้สร้างสรรค์งานศิลปะในแนวทางโพสต์อิมเพรสชั่นนิสม์ (Post-Impressionism) หรือลัทธิประทับใจยุคหลัง เขามีชีวิตอยู่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ภายในเวลาเพียง 10 ปี เขาสร้างสรรค์งานจตรกรรมไปทั้งหมด 930
ชิ้น รูปวาดและภาพสเก็ตช์อีก 1,100 ชิ้น ทว่าผลงานของเขาไม่ได้เป็นที่จดจำเลยในขณะที่เขามีชีวิตอยู่ เขาขายผลงานได้เพียงไม่กี่ภาพเท่านั้น และจากโลกนี้ไปด้วยความยากจน และเศร้าหมอง

ปัจจุบัน วินเซนต์ แวน โก๊ะ เป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักในระดับต้นๆ ของโลก แม้แต่คนที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับงานศิลปะเลยก็ยังสามารถแยกงานของเขาออกจากงานของศิลปินอื่นๆ ได้ ผลงานของแวน โก๊ะ ติดอันดับชิ้นงานที่แพงที่สุดในงานประมูทุกงาน
ผลงานของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่นี้ถูกเก็บรักษาไว้ในแกลอรี่ และคอลเลคชั่นส่วนตัวทั่วโลก ทั้งในเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา รัสเซีย และประเทศอื่นๆ อีกมากมาย การที่จะนำผลงานทั้งหมดมาจัดแสดงไว้ในนิทรรศการเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้เลย มีแค่นิทรรศการมัลติมีเดียที่สามารถทำเช่นนี้ได้ นิทรรศการ

“Van Gogh. Life and Art” จะพาทุกคนดื่มด่ำกับเรื่องราวชีวิตของศิลปินระดับปรมาจารย์ ผ่านคลังภาพที่จัดว่าครบที่สุด ตั้งแต่ภาพสเก็ตช์จากถ่าน ไปจนถึงชิ้นงานระดับมาสเตอร์พีซ

จอภาพขนาดใหญ่ทำให้ผู้ชมสามารถเห็นและชื่นชมผลงานได้อย่างลึกซึ้งถึงระดับรอยแปรงพู่กัน นอกจากภาพวาดแล้วยังมีจดหมายที่แวน โกะ เขียนถึงธีโอ (Theo) น้องชายของเขาอีกด้วย ทำให้เราเข้าใจชีวิตของแวน โกะได้ลึกซึ้งขึ้นไปอีก

นิทรรศการ Van Gogh. Life and Art เคยจัดแสดงมาแล้วที่ เบอร์ลิน มอสโคว เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก และเมืองอื่นๆ ทั่วโลก ผ่านสายตาคนนับล้านที่เข้ามาเพลิดเพลินกับศิลปะระดับมาสเตอร์พีซ พร้อมกับดนตรีอันน่าตื่นตาตื่นใจ ถือเป็นนิทรรศการที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง

นิทรรศการ “Van Gogh. Life and Art” เปิดให้เข้าชมวันแรกในวันที่ 4 มิถุนายน ถึง 31 ธันวาคม 2563 ที่ MODA Gallery ชั้น 2 ริเวอร์ ซิตี้ แบ็งค็อก



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,464


View Profile
« Reply #2 on: 22 August 2021, 15:55:44 »

Vincent van Gogh : จิตรกรอัจฉริยะผู้อาภัพ (1)



Vincent van Gogh คือ จิตรกรชาวเนเธอร์แลนด์ผู้ยิ่งใหญ่ ระดับ Rembrandt เขาเกิดที่หมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Groot - Zundert ในเมือง Brabant ซึ่งอยู่ทาง
ตอนใต้ของประเทศ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2396 (รัชสมัยพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) และเป็นบุตรคนหัวปีของ Theodorus van Gogh ผู้มีทายาททั้งหมด 6 คน

ในวัยเด็ก van Gogh เป็นเด็กที่ชอบครุ่นคิดและขรึม เพราะบิดาเป็นนักเทศน์แห่งโบสถ์ Dutch Reformed Church ในระยะแรก เด็กชาย van Gogh จึงรู้สึกอยากเป็นนักเทศน์บ้าง แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็มีลุง 3 คน ที่มีอาชีพขายภาพ ดังนั้น van Gogh จึงได้รับอิทธิพลจากลุงในการคิดดำรงชีพเป็นจิตรกรบ้าง และ van Gogh ก็ได้พบว่า ในยามว่าง เขาชอบวาดภาพลายเส้นมาก

เมื่ออายุ 7 ปี van Gogh ได้เข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งเมือง Zundert ซึ่งมีครู 1 คนต่อนักเรียน 200 คน แต่เด็กชาย van Gogh รู้สึกว่า ชีวิตนักเรียนน่าเบื่อ เพราะไม่มีวิชาใดสนุก เมื่ออายุ 15 ปี van Gogh ได้งานทำเป็นพนักงานขายภาพศิลป์ในร้านของลุงที่ London เวลาได้รับเงินเดือน van gogh รู้สึกดีใจ เพราะมีรายได้สูงกว่าบิดา

เมื่ออายุ 23 ปี Van Gogh ได้กลับไปฝึกงานกับลุงอีกครั้งหนึ่งที่ Goupil Gallery แต่ฝึกได้ไม่นานก็ต้องลาออก เพราะไปทะเลาะกับเจ้าหน้าที่ประจำร้าน เหตุการณ์นี้ทำให้ van Gogh คิดมีอาชีพเป็นนักเทศน์ที่สามารถช่วยชีวิตคนได้เหมือนบิดา จึงไปสมัครทำงานเป็นนักเทศน์ให้ชาวเหมืองที่ยากจน และไร้การศึกษาฟังที่เหมือง Borinage ในเบลเยียม แต่ van Gogh ไม่สามารถสื่อความหมายของศาสนาให้ชาวเหมืองที่ยากไร้เหล่านี้เข้าใจได้ เขาจึงไล่ออกจากงานอีก ความผิดหวังในการทำงานด้านนี้ทำให้ van Gogh เลิกล้มความตั้งใจทำงานที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอีก

ดังนั้น เขาจึงหันเข็มชีวิตไปเรียนศิลปะกับ Willem Roelofs ที่ Brussels Academy แทนเพราะคิดว่าตนมีความสามารถด้านศิลปะ และขณะเรียนที่นั่นก็ได้เรียนกายวิภาคศาสตร์ และศิลปะวาดภาพ เมื่อสำเร็จการศึกษาได้เดินทางไปอยู่กับพ่อแม่ที่ Etten ในเนเธอร์แลนด์ แต่อยู่ได้ไม่นานก็ถูกบิดาขับออกจากบ้าน เพราะ Van Gogh ดื่มสุราจัดและสูบบุหรี่ตลอดเวลา อีกทั้งคิดนำโสเภณีที่มีครรภ์มาเลี้ยงดูในบ้านด้วย

เมื่อไม่มีที่พึ่ง van Gogh จึงเดินทางไปเรียนวาดภาพกับ Anton Mauve ผู้เป็นญาติห่างๆ ที่กรุง Hague นาน 2 ปี จนถึงปี 2426 จึงเริ่มอาชีพจิตรกรที่ชนบทเล็กๆ ชื่อ Drenthe ซึ่งตั้งอยู่ใกล้พรมแดนเยอรมนี เพราะภาพที่วาดส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับชีวิตของชาวนาที่มีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก ดังนั้น ภาพจึงมีแต่ความมืดสลัว และเมื่อ van Gogh ชื่นชมผลงานของ Jean Francois Millet มาก เขาจึงเลียนแบบโดยวาดเฉพาะภาพชีวิตของคนที่เขาเคยเห็นเท่านั้น

ภาพที่วาดในช่วงนี้ได้แก่ ภาพชาวเหมืองที่ Borinage และภาพคนขอทานที่ Hague กับภาพ The Potato Eater ที่เขาวาดในปี 2428 ซึ่งแสดงครอบครัวชาวนากำลังกินมันฝรั่งเป็นอาหารเย็น ณ เวลานั้น van Gogh เริ่มเรียนรู้ว่าโลกจิตรกรกับชีวิตครอบครัวของเขาไปด้วยกันไม่ได้

ในปี 2429 van Gogh ได้เห็นภาพวาดของ Eugene Delacroix กับ Rubens และภาพลายเส้นของจิตรกรญี่ปุ่นที่พิพิธภัณฑ์ใน Antwerp เขารู้สึกสนใจทฤษฎีสี จึงได้เข้าเรียนศิลปะที่ Antwerp Academy ชีวิตของ van Gogh ในช่วงเวลานั้นลำบากมาก เพราะขาดเงิน จึงต้องขออาศัยอยู่กับเพื่อน และเวลาทำงานก็ใช้กาแฟเป็นสารกระตุ้น แต่เมื่อเขาได้พบว่า สถาบันมิได้สอนความรู้ใหม่ๆ ให้เขาเลย จึงลาออกเพื่อเดินทางไป Paris และได้ไปพำนักที่ Paris เป็นเวลา 2 ปี ซึ่งนานพอที่ทำให้ van Gogh เข้าใจสไตล์การวาดภาพแบบ Impressionism

ขณะใช้ชีวิตอยู่ใน Paris หนุ่ม van Gogh ได้พบ Camille Corot และ Honore Daumier ที่ Goupil Gallery และได้รู้จัก Henri de Toulouse Lautrec อีกทั้งยังได้ฟัง Camille Pissaro อธิบายสไตล์การวาดภาพแบบ pointillism ด้วย และเมื่อได้รู้จัก Edgar Degas, George Seurat, Paul Signac กับ Paul Gauguin ทัศนคติในการวาดภาพของ van Gogh ก็ได้เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์

เขาเริ่มใช้สีเบาแทนสีหนัก เพื่อแสดงความมีชีวิตของภาพ และ van Gogh ก็ได้พบว่า เขาสามารถนำภาพที่เขาวาดนี้ไปแลกกับสี แปรงวาด และผ้าใบได้บ้าง ส่วนอาหารการกินนั้น แทบไม่ต้องพูดถึงเพราะ van Gogh สูบบุหรี่จัด จนแทบไม่ต้องการอาหารเลย ยกเว้น ขนมปัง กาแฟ และแอลกอฮอล์ เขาจึงรู้สึกอ่อนเพลีย และชอบขังตัวอยู่ในห้อง แต่เวลาไปพิพิธภัณฑ์ Louvre เขาจะอยู่ที่นั่นได้นานเป็นชั่วโมง โดยเดินชมภาพที่ติดแสดง เพราะ van Gogh รู้สึกซึ้งในภาพวาดสไตล์ Impressionism มาก เขาจึงเริ่มใช้สีระบายที่เข้มขึ้น และลายเส้นในภาพก็เริ่มมีความเป็นอิสระมากขึ้น








Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,464


View Profile
« Reply #3 on: 22 August 2021, 16:00:12 »

Vincent van Gogh : จิตรกรอัจฉริยะผู้อาภัพ (2)




ขณะพักอยู่กับ Theo ผู้เป็นน้องชายที่นคร Paris van Gogh ต้องพึ่งพาน้องชายมากในเรื่องเงินทอง เพราะภาพต่างๆ ที่ van Gogh วาด ไม่ว่าจะเป็นภาพดอกไม้ ภาพนิ่ง หรือภาพทิวทัศน์ ก็ไม่มีใครซื้อ van Gogh จึงรู้สึกเครียดมาก ที่ไม่มีใครเข้าในผลงานที่แสดงออกซึ่งอารมณ์ทุกอารมณ์ของเขา

ในปี 2430 van Gogh ได้นำภาพวาดของตนออกแสดงที่ภัตตาคาร La Fourche และที่โรงละคร The'atre Libre และได้แสดงผลงานร่วมกับ Toulouse Lautrec ที่คาบาเรต์ Le Tambourin แม้คนเข้าชมจะมีนับพัน แต่ก็ไม่มีใครซื้อภาพของเขาเลย van Gogh จึงได้พยายามกำจัดความทุกข์ ความซึมเศร้า ด้วยการดื่มเหล้าหนักยิ่งขึ้น และเมื่ออาการซึมเศร้าทวีความรุนแรง van Gogh จึงลาน้องชายเพื่อเดินทางไป Arles ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้ Provence ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2431 เพราะอากาศที่นั่นอบอุ่น และค่าครองชีพถูก อีกทั้งอยู่ห่างไกลจากคนที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์งานของเขาในแง่ลบ

ขณะอยู่ที่ Arles van Gogh ได้เช่าห้องราคาถูกอยู่ และกินอาหารแต่เพียงน้อยนิด เพราะไม่ค่อยมีเงิน ภายในห้องจึงมีแต่สิ่งที่จำเป็น เช่น เตียง เก้าอี้ และโต๊ะทำงานเท่านั้น ผลงานที่สำคัญในช่วงนี้ คือ ภาพ The Postman Roulin, House of Arles และ Bedroom at Arles กับภาพดอกทานตะวันที่มีสีสดใส เพราะถูกแสงแดดสาดส่อง และเส้นวาดในภาพเหล่านี้มีพลังเพราะแสดงอารมณ์และความรู้สึกมาก ดังเช่นภาพ Night Cafe ที่ van Gogh ปรารภว่าเป็นสถานที่มั่วสุมของคนที่ชอบทำลายตนเอง หรือไม่ก็เป็นที่พบปะของคนบ้า

ถึงจะอยู่ไกลจากกรุง Paris แต่ van Gogh ก็ยังติดต่อกับ Theo, Gauguin และ Bernard เป็นประจำ และเมื่อความเหงาได้กลับมาเยือนอีก ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2432 van Gogh จึงได้ตัดสินใจเชิญ Paul Gauguin มาเยี่ยมและทำงานร่วมกันที่ Provence เป็นเวลานาน 2 เดือน ทั้งนี้ เพราะ Gauguin เองก็ยากจน ดังนั้น จึงไม่น่าจะมีปัญหาใด ๆ ในการมาอยู่ร่วมในห้องเช่าที่คับแคบ แต่ Gauguin มีแนวคิดด้านศิลปะไม่เหมือน van Gogh เพราะ van Gogh ให้ความสำคัญของภาพรวม แต่ Gauguin ให้น้ำหนัก หรือความสำคัญในบางสิ่งบางอย่างเท่านั้น

อนึ่งเวลา van Gogh เห็น Gauguin บีบสีออกจากหลอดแล้วละเลงไปทั่วผ้าใบ เขารู้สึกทุเรศเหมือนเห็นเด็กทำภาพสวยๆ สกปรกเปรอะไปหมด

นอกจากนี้ van Gogh ก็ยังคิดว่า การพยายามวาดภาพจากความทรงจำของ Gauguin นั้นน่ารำคาญ ดังนั้น เมื่อคนทั้งสองไปชมงานแสดงภาพวาดของ Delacroix กับ Courbet การทะเลาะกัน เพราะมีทัศนคติที่ไม่ตรงกัน ทำให้ Gauguin รู้สึกอยากกลับบ้าน และทิ้ง van Gogh ไปอย่างถาวร

หลังจากที่ทำงานร่วมกันได้ครบกำหนดเยือน การถูกเพื่อนทอดทิ้ง ทำให้ van Gogh ออกอาการประสาท คือ ชักและชกต่อย Gauguin จน Gauguin ต้องหนีไปนอนโรงแรม และในคืนนั้นเอง van Gogh ก็ได้ตัดใบหูซ้ายของตนเอาไปให้โสเภณีดู เมื่อเลือดจากบาดแผลไหลไม่หยุด van Gogh จึงเป็นลมจนสลบหมดสติ และถูกนำส่งโรงพยาบาล จากนั้นสุขภาพก็เริ่มทรุดโทรม เพราะมีอาการชักกระตุกบ่อย

และเมื่อ van Gogh รู้ตัวว่าตนกำลังจะเป็นโรคจิต เขาจึงเข้ารับการรักษาอาการคลั่งที่โรงพยาบาลโรคจิตแห่งเมือง Saint - Remy โดยหยุดวาดภาพทุกครั้งที่คลั่ง และเวลามีอารมณ์ดี ก็จะวาดต่อ ภาพวาดที่สำคัญในช่วงเวลานี้ คือ ภาพต้น cypress ต้น olive และภาพดอกไม้ในแจกัน โดยได้เลียนวิธีวาดของ Delacroix, Daumier, Rembrandt และ Millet บ้าง

ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2433 van Gogh ได้นำภาพที่ตนวาดออกแสดงที่กรุง Brussels ในเบลเยียม และอีก 2 เดือนต่อมาเขาก็นำภาพวาด 10 ภาพของเขาออกแสดงที่ Salon des Independents ในปารีส ถึงจะมีคนชื่นชม แต่ก็ไม่มีใครซื้อ

เมื่อถึงเดือนพฤษภาคม 2433 van Gogh รู้สึกมีสุขภาพดีขึ้น จึงเดินทางจาก Saint - Remy ไป Auvers - sur - Oise และได้แวะเยี่ยม Theo ที่ปารีสด้วย

เมืองใหม่ที่ van Gogh ตั้งใจอาศัยนี้ มีประชากรเพียง 2,000 คน และมีจิตแพทย์ชื่อ Dr. Paul Gachet ซึ่งเป็นเพื่อนของ Pissaro ทำงานประจำอยู่ที่นั่น

เพราะ Van Gogh รู้สึกเหงา และวิตกกังวลว่าตนจะหายจากโรคซึมเศร้าได้หรือไม่ เขาจึงให้ Dr.Gachet ดูแลตน ถึง Gachet จะชอบวาดภาพและเป็นนักเก็บสะสมของเก่า แต่เมื่ออาการซึมเศร้าของ van Gogh ทวีความรุนแรง van Gogh จึงทะเลาะกับ Gachet บ่อยและได้วาดภาพ Wheatfield with Crows ซึ่งเป็นภาพของทุ่งข้าวสาลี ที่มีอากาศร้อน และฝูงอีกาบินว่อนเต็มทุ่ง ภาพนี้จึงบอกอารมณ์ของ van Gogh ขณะนั้นว่า กำลังพลุ่งพล่านมาก





Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,464


View Profile
« Reply #4 on: 22 August 2021, 16:13:12 »

Home  Arts & Culture 
Vincent van Gogh: ศิลปินผู้เทิดทูนศิลปะมากกว่าสิ่งใดในชีวิต



“ความรักเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ดีงามโดยแท้ เป็นบางสิ่งบางอย่างที่แข็งแกร่ง เป็นจริงจนเป็นไปไม่ได้สำหรับเราผู้รักจะถอนความรู้สึกนั้นคืน เฉกเช่นการปลิดชีวิตตัวเอง”

เป็นคำพูดที่จิตรกรระดับโลกอย่าง ฟินเซนต์ ฟัน โคค หรือที่เรามักเรียกกันติดปากว่า วินเซนต์ แวนโก๊ะห์ (Vincent van Gogh) เคยกล่าวเอาไว้ แวนโก๊ะห์ เป็นศิลปินชาวดัชต์ในยุคโพสต์อิมเพรสชั่นนิสม์ (Post-Impressionism) ผู้ยิ่งใหญ่มากที่สุดคนหนึ่งของวงการศิลปะสมัยใหม่ตะวันตก โดยเขาใช้เวลาเพียง 10 ปีในปลายศตวรรษที่ 19 รังสรรค์ภาพจิตรกรรมระบายสีมากกว่า 930 ภาพ 1,100 ภาพวาดเส้นและภาพร่าง รวมแล้วมากกว่า 2,100 ภาพ


วินเซนต์ แวนโก๊ะห์ (Vincent van Gogh)

Xanthopsia, Xanthophile เบื้องหลังความหลงไหลในสีเหลืองของแวนโก๊ะห์

“สีเหลืองช่างเป็นสีที่วิเศษ สีนี้คือตัวแทนของดวงอาทิตย์” – Vincent van Gogh

วินเซนต์ แวนโก๊ะห์ เริ่มใช้สีเหลืองในผลงานอย่างเห็นได้ชัดในปี 1888 โดยมีผลงานของเขาหลายต่อหลายชิ้นที่มีสีเหลืองเป็นองค์ประกอบหลัก ไม่ว่าจะเป็น Still Life : Vase with Fifteen Sunflowers, ระเบียงคาเฟ่ยามราตรี Café Terrace, บ้านสีเหลือง The Yellow House และ Arles View from the Wheatfields


ระเบียงคาเฟ่ยามราตรี (Café Terrace at Night)

ถึงอย่างนั้น เบื้องหลังของภาพวาดที่เต็มไปด้วยสีเหลืองของศิลปินคนนี้ก็ยังมีเรื่องเล่าอีกว่า แวนโก๊ะห์เคยกินสีเหลืองเข้าไปเพราะคิดว่ามันจะทำให้ตัวเขามีความสุขได้ อ้างอิงจากในตอนที่แวน โก๊ะรักษาตัวอยู่ที่แซ็งต์-เรอมี (Saint-Remy) หมอที่รักษาอาการของเขาได้บันทึกไว้ว่าเขาต้องการวางยาตัวเองด้วยการกินสีและดื่มน้ำมันสน หมอจึงสั่งห้ามไม่ให้เขาเข้าสตูดิโอ

อย่างไรก็ตาม ก็มีเรื่องเล่าว่าคุณหมอกาเชต์ (Dr. Gachet) ผู้รักษาแวนโก๊ะห์ในช่วงไม่กี่เดือนก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ได้ให้เขาทานยาแก้โรคหัวใจที่สกัดจากต้นฟ็อกซ์ กลัฟ ทำให้มีผลข้างเคียงทำให้มองเห็นเป็นสีเหลืองและฟ้า หรือบ้างก็ว่าไม่เกี่ยวกับการรักษา แต่เป็นความผิดปกติทางสายตาของแวนโก๊ะห์เองที่เป็นโรค Xanthopsia ทำให้มองเห็นภาพเป็นสีเหลือง


ดอกทานตะวัน (Sunflowers)


The sadness will last foreve ศิลปินผู้เผชิญหน้ากับภาวะซึมเศร้า

ตลอดช่วงชีวิตของ วินเซนต์ แวนโก๊ะห์ ไม่เคยได้รับการยอมรับจากสังคม เขาต้องเผชิญหน้ากับภาวะซึมเศร้า ความอาภัพ ประสบกับปัญหาสภาพจิตใจที่ปั่นป่วนต้องเข้าโรงพยาบาลจิตเวชอยู่หลายครั้ง แวนโก๊ะห์ถูกคำครหาต่าง ๆ นานา ทั้งยังขัดแย้งกับเพื่อน มีความรักที่ไม่สมหวัง และมีอาการของโรควิตกกังวล

จนกระทั่ง ปี 1880 แวนโก๊ะห์ได้เขียนจดหมายมาบอกกับเธโอ น้องชายของเขาว่า ตัวเขาค้นพบแล้วว่า ศิลปะคือทุกสิ่งทุกอย่างของเขา และเข้ามาแทนที่สิ่งอื่น ๆ จนหมด เขาใช้เวลาเพื่อศึกษามันด้วยตนเองอย่างจริงจัง ก่อนหน้านั้นเขาเคยเขียนรูปมาบ้างแต่ไม่จริงจังเท่าไหร่ แต่ต่อจากนี้ไปมันคือชีวิตจิตใจของเขา

จากชีวประวัติที่ผ่านมาของแวนโก๊ะห์ ยังมีเรื่องที่เขาได้ตัดใบหูข้างขวาของตัวเอง ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังมีข้อถกเถียงถึงสาเหตุความเป็นมา โดยสมมติฐานแรกปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง Lust for Life ของ Irving Stone และชีวประวัติกระแสหลัก ของแวนโก๊ะห์ กล่าวถึง โสเภณีที่แวนโก๊ะห์หลงรัก จับใบหูของแวนโก๊ะห์แล้วพูดเล่นว่า “อยากได้เก็บไว้เป็นที่ระลึก” วันต่อมาเขาจึงตัดใบหูของตัวเองใส่กล่องของขวัญผูกโบว์อย่างสวยงาม แล้วนำไปมอบให้


แวน โก๊ะวาดภาพตนเองหลังจากตัดใบหูข้างขวา: Self-Portrait with Bandaged Ear, 1889


สมมติฐานที่สองปรากฏในวรรณกรรมเรื่อง The Gold of their Bodies ของ Charles O. Gorham และชีวประวัติกระแสหลักของ ปอล โกแกง (Paul Gauguin) จิตรกรระดับโลก เพื่อนรักของแวน โก๊ะห์ โดยเล่าว่าทั้งสองทะเลาะกันอย่างรุนแรง จนแวน โก๊ะห์ต้องการจะตัดหูโกแกง แต่เมื่อไม่สามารถตัดหูเพื่อนรักได้ เขาจึงตัดใบหูของตัวเองแทน

หรือยังมีสมมติฐานอื่น ๆ อย่างแวน โก๊ะห์ตัดหูของตนเองเพื่อประชดโสเภณีที่เขาหลงรัก หรือคนที่ตัดหูแวน โก๊ะห์จริง ๆ แล้วเป็นโกแกง เพราะทั้งคู่มีปัญหาเรื่องการชอบโสเภณีคนเดียวกัน ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นสมมติฐานเท่านั้น

ในช่วงสุดท้ายของชีวิต แวน โก๊ะห์ได้ตัดสินใจจบชีวิตตนเองด้วยการยิงปืนเข้าที่ซี่โครงซ้าย ก่อนที่จะเสียชีวิตในเวลาต่อมาด้วยวัย 37 ปี เพราะสภาวะจิตใจและความเครียด โดยก่อนที่แวน โก๊ะห์จะสิ้นใจ ประโยคสุดท้ายที่เขาได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ก็คือ “The sadness will last forever ความโศกเศร้าจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์”


“ความรักเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ดีงามโดยแท้ เป็นบางสิ่งบางอย่างที่แข็งแกร่ง เป็นจริง จนเป็นไปไม่ได้สำหรับเราผู้รักจะถอนความรู้สึกนั้นคืน เฉกเช่น

การปลิดชีวิตตัวเอง” จดหมายเหตุแวน โก๊ะห์ ถึงเธโอ น้องชาย, วันที่ 7 พฤศจิกายน 1881, แปลโดย วิภาดา กิตติโกวิท


ภาพสุดท้ายที่แวน โก๊ะห์วาด: รูปทางสามแพร่ง (Champ de blé aux corbeaux)


What done in love is done well ผลงานอันเลื่องชื่อของศิลปินผู้ล่วงลับ

ถึงแม้ปัจจุบัน วินเซนต์ แวนโก๊ะห์ จะเป็นถึงศิลปินเอกที่มีคนรู้จักไปทั่วโลก แต่ในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาถูกมองว่าเป็นคนล้มเหลว ไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อแวนโก๊ะห์จากไป เขาเริ่มที่จะมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแวดวงของศิลปะ ศิลปิน และบุคคลทั่วไป ผลงานของเขากลายเป็นหนึ่งในงานศิลปะที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ชื่อเสียงที่โด่งดังของเขาสถิตอยู่ในภาพจำของสาธารณชนในฐานะอัจฉริยบุคคลผู้ถูกมองข้าม ถึงกับมีคำกล่าวที่ว่า แวนโก๊ะห์เป็นศิลปิน “ผู้ซึ่งวาทกรรมเรื่องความบ้าคลั่งและความสร้างสรรค์มีเส้นคั่นอยู่บาง ๆ” (where discourses on madness and creativity converge)

ผลงานของเขาที่ขึ้นชื่อเรื่องราคาแพงและความโด่งดังจนใครต่อใครก็รู้จัก อาทิ ภาพดอกทานตะวัน (Sunflowers), ภาพราตรีประดับดาว (The Starry Night), ระเบียงคาเฟ่ยามราตรี (Café Terrace at Night), ภาพวาดตนเอง (Self-Portrait) และอื่น ๆ อีกมากมาย



ภาพราตรีประดับดาว (The Starry Night)



ภาพวาดตนเอง (Self-Portrait)


Van Gogh Museum พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะห์



พิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะห์ (Van Gogh Museam) ตั้งอยู่ที่เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ก่อตั้งขึ้นในปี 1973 เป็นแหล่งรวบรวมผลงานของ วินเซนต์ แวนโก๊ะห์ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีคอลเลคชั่นถาวรที่ประกอบด้วยภาพเขียน 200 ภาพ, 500 ภาพวาด จดหมายส่วนตัวมากกว่า 700 ฉบับ และคอลเลคชั่นภาพพิมพ์จากประเทศญี่ปุ่น ทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นหนึ่งในพิพิธภันฑ์ที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลก

แต่เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันที่ทั่วโลกยังเผชิญหน้ากับวิกฤติไวรัสที่คร่าชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วนอย่าง COVID-19 ทำให้เมืองอัมสเตอร์ดัมประกาศสั่งปิดให้บริการของสถานที่ทางวัฒนธรรมต่าง ๆ ไปจนถึง 1 มิถุนายน 2563 และแน่นอนว่ารวมไปถึงพิพิธภันณฑ์แวนโก๊ะห์แห่งนี้

อย่างไรก็ตาม ทางพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะห์ได้เปิดให้คนทั่วไปทั่วทุกมุมโลก เข้าชมพิพิธภัณฑ์และผลงานของแวนโก๊ะห์ผ่านทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการเดินชมรอบพิพิธภันฑ์ผ่าน Street View ใน Google Map เข้าชมเว็บไซต์หลักของพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะห์ได้ที่ https://www.vangoghmuseum.nl/en





อีกทั้งการชมผลงานอย่างใกล้ชิดจากเว็บไซต์หลักของพิพิธภัณฑ์ โดยเราสามารถเลือกชมผลงานที่ชื่นชอบ สามารถมองเห็นรายละเอียด ความบรรจง เจตนารมณ์ และตัวตนของแวนโก๊ะห์ที่อยู่บนแปรงพู่กันได้อย่างใกล้ชิด เสมือนตนเองได้ไปเดินอยู่ในพิพิธภัณฑ์เลื่องชื่อในอีกฝากฝั่งของโลก

อีกทั้งพิพิธภัณฑ์แวนโก๊ะ ยังได้จัดแสดงนิทรรศการออนไลน์ “Which Books did Vincent van Gogh Read?” ที่แสดงตัวตนความเป็นคนรักการอ่านหนังสือของวินเซนต์ แวนโก๊ะห์ ที่ซุกซ่อนอยู่ในผลงานต่าง ๆ และ “Vincent van Gogh’s Love Life” เรื่องราวชีวิตรักของแวนโก๊ะห์ ในอีกหลายแง่มุม



ปัจจุบันผลงานมากมายของวินเซนต์ แวนโก๊ะห์ ได้กระจัดกระจายอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ แกลลอรี่ หรือคอลเลคชั่นสะสมส่วนบุคคล ทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็น เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เป็นต้น ซึ่งการที่จะรวมบรรดาภาพวาดต่าง ๆ มาจัดแสดงในสถานที่เดียวนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ นอกเสียจากการจัดแสดงแบบนิทรรศการดิจิทัลมัลติมีเดีย


Van Gogh. Life and Art ครั้งแรกในประเทศไทย



ล่าสุด River City Bangkok ได้นำเสนอนิทรรศการมัลติมีเดียของหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงและทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตกอย่าง
วินเซนต์ แวนโก๊ะห์: “Van Gogh. Life and Art” จัดแสดง ณ พิพิธภัณฑ์ศิลปะดิจิทัลกรุงเทพ (MODA) ที่กำลังจะมาถึงในเดือนมิถุนายนนี้ และจัดแสดงยาวไปถึงสิ้นปี 2563

นิทรรศการ “Van Gogh. Life and Art” เคยถูกจัดแสดงมาแล้วใน 8 เมือง ได้แก่ เบอร์ลิน, มอสโก, เซ็นต์ ปีเตอร์สเบิร์ก และเมืองต่าง ๆ ในประเทศซาอุดิอาระเบีย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่จะจัดขึ้นในประเทศไทย



The Yellow House

ภายในงานจะจัดแสดงผลงานภาพวาดของแวนโก๊ะห์ มากกว่า 300 ภาพ ในความยาว 40 นาที ผลงานศิลปะที่เป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลกของจิตรกรเอกผู้นี้จะเปิดให้เข้าชมวันแรกในวันที่ 4 มิถุนายน ไปจนถึง 31 ธันวาคม 2563 ที่ MODA Gallery ชั้น 2 ณ River City Bangkok


Loving Vicent ภาพสุดท้ายของแวนโก๊ะ



Loving Vincent ภาพสุดท้ายของแวนโก๊ะ (2017) เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันแนวชีวประวัติของ วินเซนต์ แวนโก๊ะห์ ที่ถูกถ่ายทอดผ่านรูปวาดสีน้ำมันเป็นเรื่องแรกของโลก โดยความพิเศษของภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น ทั้งเรื่องถูกสร้างสรรค์จากแปรงพู่กันของศิลปิน 115 ชีวิต ภาพวาพสีน้ำมันทั้งหมด 65,000 เฟรม ที่จะต้องใช้สีน้ำมันมากกว่า 3,000 ลิตร และผ้าใบแคนวาสมากกว่า 1,000 ใบ ที่ร้อยเรียงภาพวาดที่ได้รับแรงบันดาลใจและดัดแปลงมาจากงานภาพวาดและจดหมายกว่า 800 ฉบับของแวนโก๊ะห์

ณ วันนี้ วินเซนต์ แวนโก๊ะห์ ยังคงเป็นหนึ่งในศิลปินที่มีชื่อเสียงและโด่งดังมากที่สุดในโลก ที่แม้แต่คนที่ไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับวิจิตรศิลป์ใดใด ก็ยังสามารถรับรู้และจำแนกได้ถึงศิลปะของเขาได้ ผลงานของเขายังคงสะท้อนและแสดงถึงตัวตน เจตนารมณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งที่เทิดทูนศิลปะมากกว่าสิ่งใด และจะเป็นตำนานในประวัติศาสตร์ศิลปะไปตลอดกาล

“ผมขอตายไปกับความหลงใหล ดีกว่าตายไปกับความเบื่อหน่าย” I would rather die of passion than of boredom. – Vincent van Gogh

ด้วยรักและรำลึกถึง วินเซนต์ แวนโก๊ะห์ (Vincent van Gogh) ศิลปินผู้ล่วงลับไปแล้วนับ 130 ปีแต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าในวันนี้

ผลงานเขียนชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา CJR413, JR414 Magazine Workshop ภาคการศึกษาที่ 2/2562 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ

อาจารย์ที่ปรึกษา ผศ.ณรงค์ศักดิ์ ศรีทานันท์

Writer  จิรัชยา เหล่าสกุล

บรรณาธิการบริหารบ้านกล้วยออนไลน์ปี 2020 ที่คาดหวังให้ตัวเองมีความสุข และใช้ชีวิตตามคำพูดของวินเซนต์ แวนโก๊ะห์
‘What is done in love is done well’


Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.092 seconds with 17 queries.