Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
28 April 2024, 07:15:17

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,605 Posts in 12,440 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 14 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 14 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร  (Read 407 times)
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« on: 23 April 2021, 14:43:07 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 14 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 14 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร


บทที่ 14

ตอนที่ 1

          ทุกคนต่างรีบเร่งช่วยกันรากฟืนไปสุมไฟ จนพื้นที่โดยรอบสว่างโชนไปทั่วบริเวณ กลิ่นควันไฟม่วนตลบอบอวน เพราะปราศจากกระแสลมโชย กองไฟกองใหญ่ส่งเปลวไฟสว่างจ้า ทำให้บริเวณนั้นร้อนระอุขึ้นตามไปด้วย ถึงแม้ดวงตะวันจะยังไม่ตกดิน แต่ป่าดิบทึบเช่นนี้ ก็ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูขมุกขมัว แสงจากกองไฟ สว่างโชนส่องกระทบต้นไม้ชายป่า ป่าสูงทึบทะมึนเช่นนี้ ทำให้เกิดเป็นเงาวูบวาบ ราวกับเงาปีศาจชวนให้หลอน บรรยากาศภายในแคมป์เต็มไปด้วยความตึงเครียด ทุกคนต่างกระสับกระส่าย เพราะไม่ไว้วางใจในสถานการณ์ แต่ละคนมีอาวุธติดตัวพร้อม พรานโส่ย เจ้าเคิ้ง เจ้าพุ่ม ต่างถือปืนแก๊ปคู่กายในท่าเตรียม สายตาก็จับจ้องไปตามราวป่า ส่วนเหน๋อนอกจากปืนพกลูกโม่ขนาด.22ที่พกเหน็บอยู่ข้างเอวแล้ว ที่มือยังกุมปืนอยาวขนาด.22 ของสิงห์ไว้แน่น

          “ดูกันให้ดีๆโว้ย”

          “ระวังจะยิงพวกเดียวกันเอง”พรานชราร้องสั่ง

          “ไม่รู้ว่าน้าเบจะเป็นยังไงบ้าง”

          “สองคนนั่นก็หายไปพักหนึ่งแล้ว”เหน๋อร้องบอกเสียงสั่น

          “เดี๋ยวก็รู้”

          “มีไอ้แปะ กับ ไอ้พร ด้วยแบบนี้ไม่น่าห่วง พวกเรามากกว่าที่น่าห่วงกว่าทางโน้นอีก”พรานโส่ยบอก

        “ก็แน่อยู่แหละพ่อ”

          “เรามีแต่ปืนแก๊ปกันทั้งนั้น ทางโน้นมีแต่ลูกซอง”เคิ้งว่า แต่ยังไม่ทันขาดคำเจ้าเคิ้ง เงาตะคุ่มๆของชายทั้งสามก็โผล่มาให้เห็น

          “โน่นๆ พวกนั้นมากันแล้ว”

          “วู้...เป็นยังไงบ้าง”เหน๋อร้องบอกออกมาอย่างลิงโลด พรางป้องปากกู่ร้องโหวกๆ

          “น้าเบก็มาด้วยนี่”

          “โอ้ย ค่อยโล่งอกหน่อย”พุ่มร้องบอกอย่างดีใจ หลังจากเห็นพรานทั้งสามเดินโผล่ออกมาจากเหลี่ยมโขดหินใหญ่

          “ไอ้ดาว”

          “เกือบเสร็จมันไปแล้วเหมือนกัน”พรานนำทางร้องบอก พูดจบก็ยกกระบอกน้ำที่แขวนไว้ ขึ้นดื่มอึกใหญ่ ก่อนจะยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดปาก

          “เป็นยังไงมายังไงถึงไปเจอมันเข้าหละ”

          “ข้าคิดว่าเอ็งเสร็จมันไปแล้ว”พรานชราร้องถาม

          พรานนำทางเล่าเหตุการณ์ต่อมาว่า ขณะที่กำลังเดินสำรวจเส้นทาง และความเรียบร้อย ซึ่งห่างออกไปราวๆห้าสิบวาจากจุดที่เจ้าเคิ้งและเจ้าพุ่มออกไปเก็บฟืน สายตาก็เหลือบไปเห็นรอยเลือดสดๆหยดไปเป็นทาง ด้วยความสงสัยจึงค่อยๆสะกดรอยตามไปอย่างระมัดระวัง จนพบซากกวางตัวหนึ่งพึ่งจะตายมาใหม่ๆ ถูกซุกไว้ใต้โพรงหินใกล้ๆกับต้นไม้ที่ยืนตายพรายนั่น เมื่อดูใกล้ๆก็เห็นว่าส่วนท้องถูกเปิดแหวะออกมา เครื่องในบางส่วนถูกอะไรบางอย่างลากออกมากินเป็นกอง ประจวบกับเจ้าพะเปรียวมีอาการลุกลี้ลุกลน เดินพันแข้งพันขาหางจุกตูดทำให้ผิดสังเกตุ ซึ่งอาการแบบนี้เจ้าพะเปรียวไม่เคยส่อออกมาให้เห็น ถ้ามันไม่เกิดกลัวอะไรขึ้นมา พอรู้แบบนี้พรานเบจึงรีบหลบฉากเข้าหาที่กำบังโดยทันที

          “ใจข้าก็คิดว่าน่าจะเป็นเสืออยู่แล้ว”

          “แต่ไม่รู้ว่าเสืออะไร”พรานนำทางเล่าเหตุการณ์

          “ตอนแรกก็คิดว่าไอ้ลาย”

          “แต่พอแหงนมองขึ้นไปบนต้นไม้ ถึงรู้ว่าเป็นไอ้ดาว”พรานนำทางตอบ พูดจบก็สูบบุหรี่ยาเส้นจนแดงวาบ

          “ถ้าช้ากว่านี้หน่อย หนังหัวคงจะเปิดไปแล้ว”

          “ดีที่ข้าเห็นมันก่อน”พรานเบร้องบอกคณะ พรางชี้มือไปทางต้นไม้ใหญ่สีขาวนวลลิบๆ

          “มันหมอบทำหูลู่ แยกเขี้ยวขาวบนคบไม้นั่น”

        “นัดแรกน่าจะโดนแถวๆสะโพก เพราะมันกระโจนสวนลงมาพอดี”

          “ตอนมันตกลงมาดิ้น เห็นท่าไม่ดี เลยกดไปอีกตูมแถวๆหน้าอก”พรานนำทางพูดจบก็ดีดก้นบุหรี่เข้าไปในกองไฟ

          “ข้ายังนึกอยู่เลย”

          “เนื้อมันแยะขนาดนี้ เสือน่าจะเยอะตามไปด้วย”พรานพรร้องบอก

          “นี่แค่เบาะๆ ข้าว่ายังมีอีกแยะ ป่ามันทึบขนาดนี้”

          “ระวังตัวกันให้ดีๆ อย่าประมาทเด็ดขาด”พรานเบพูด

          “มันน่าจะตกใจเสียงปืนที่เรายิงเรียกไอ้สิงห์นั้นแหละ”

          “ดีนะที่ไอ้พว กนี้ไม่ได้เดินไปแถวนั้น”พรานโส่ยว่า

          “ตัวโตมั๊ยไอ้เบ”

          “ชักจะอยากเห็นตัวใกล้ๆ ไม่ได้เจอเสือตัวเป็นๆมาหลายสิบปีแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เห็น ก็สักแปดขวบได้ ปู่ข้าเคยยิงได้แถวๆชายไร่”พรานโส่ยกล่าว พูดจบก็เดินไปหยิบท่อนฟืนโยนสุมเข้ากองไฟดังโครม จนลูกไฟแตกเป็นสะเก็ดแดงวูบวาบ

          “เขื่องใช้ได้อยู่”

          “ข้าว่าจะตัดหนวด หนังหน้าผาก แล้วก็เขี้ยว มาฝากแกแล้ว แต่ไอ้เบมันไม่ยอม”ประโยคหลัง พรานพรพูดออกมาอย่างเสียดาย

          “อ้าว ทำไมละไอ้เบ?”

          “ของดีๆแบบนี้หายากจะตายห่ า”พรานโส่ยบ่นอุบมาอีกคน

          “อย่าไปแตะต้องอะไรมันเลย ทุกสิ่งทุกอย่างในป่านี้ มันเป็นของอาถรรพ์”

          “ข้ารู้ว่ามันเป็นของหายาก แต่อย่าดีกว่า”พรานนำทางกล่าว

          “น้าเบแกก็มีเหตุผลนะตาโส่ย”

          “ป่าแถวนี้ มันไม่เหมือนป่าแถวบ้านเรา แค่นี้ก็ซวยกันมากพอแล้ว อย่าให้ซวยมากไปกว่านี้เลย”เหน๋อร้องบอก

          “เอาๆ ก็แล้วแต่ไอ้เบละกัน เอ็งว่าไง ข้าก็ต้องว่าตาม”

          “ที่เอ็งว่ามา มันก็เข้าทีอยู่”

          “เอ้า เสียเวลากันมามากพอแล้ว จวนจะค่ำแล้วด้วย มากินข้าวกินปลากันดีกว่า อิ่มแล้วค่อยว่ากันอีกทีว่าจะเอายังไงกันต่อ”พรานชรากล่าวสรุป ก่อนที่จะกวักมือเรียกคณะไปที่ร้านย่างเนื้อ และหม้อต้มเนื้อเก้งที่ตอนนี้น้ำในหม้องวดลงไปเกือบครึ่ง

          “นี่เราก็ล่อเก้งของเขามาอีกตัว”

          “เดี๋ยวต้องไหว้ขอขมา เจ้าที่ เจ้าทางกันเสียหน่อย เพื่อความสบายใจ”พรานชราพูดจบก็จัดแจงเตรียมกระทงใบไม้ ที่เย็บกลัดด้วยกิ่งไม้แบบง่ายๆขึ้นมาสามสี่ใบ พอแกทำเสร็จ ใบแรกแกก็ตักต้มเก้งใส่ลงไปจนเต็ม ใบที่สองเป็นเนื้อเก้งย่างพริกเกลือ ใบที่สามเป็นเนื้อปลาย่างที่บิใส่อีกครึ่งตัว ส่วนใบสุดท้ายใส่ข้าวสวยร้อนๆที่ตักแบ่งออกมาจากหม้อสนาม จากนั้นก็ค่อยๆลำเลียงไปไว้บริเวณพื้นหิน ที่มีก้อนหินทรวดทรงประหลาด

          “เออ..แกก็เข้าใจเอาไปไว้แถวนั้น”

          “ไอ้หินก้อนนี้ข้าเห็นตั้งแต่แรกแล้ว ดูพิลึกยังไงชอบกล”พรานพรกล่าว

          “จริงของน้าพร”

          “ฉันก็คิดว่าเห็นแบบนั้นอยู่คนเดียว ยังกับคนแก่นั่งชันขา ไม่มีผิด”พรานแปะเสวนาบ้าง

          “ใช่ๆ เหมือนคนแก่นั่งชันขาจริงๆด้วย ยิ่งดูมุมนี้ยิ่งเหมือน”

          “ดูดีๆก็เหมือนฤาษี! โอ๊ย เหมือนจนน่าขนลุกแท้”เหน๋อผู้ซึ่งตาขาวตลอดการเดินทางกล่าว พรางใช้มือลูบไปตามแขนขาด้วยความสยิว

          หินรูปร่างทรวดทรงประหลาดนี้ พรานนำทางก็เห็นเป็นจริงอย่างที่ทุกคนในคณะว่ามา ครั้งแรกที่ถ่อแพเข้าไปใกล้ ยังตกใจคิดว่าคนแก่ที่ไหนมานั่งจับเจ่าอยู่ตรงนี้ แต่พอเพ่งมองดูดีๆถึงรู้ว่า ภาพที่เห็นคือก้อนหินธรรมดาเท่านั้น เพียงแต่มีรูปร่างแปลกตา มองผ่านๆเหมือนฤาษีแก่ๆนั่งชันขาหลังค่อมอยู่ไม่มีผิด ลวดลายบนก้อนหินนั่นก็ดูพิลึก เพราะมีพวกตะไคร่น้ำ และพืชจำพวกไลเคน เกาะอยู่เป็นจุดๆ ราวกับชุดอาภรณ์ที่ส่วมใส่ ส่วนบนที่มองดูเหมือนศรีษะ ด้านหลังมีลักษณะคล้ายมวยผมที่ถูกมัดรวบไว้เป็นขมวดแถวๆท้ายทอย ซึ่งตอนนี้ยืนล้ำออกไปด้านหน้าเล็กน้อย ส่วนใบหน้ามองไม่ถนัดเพราะตอนนี้มีตะไคร่น้ำขึ้นอยู่เต็มไปหมด ทำให้จินตนาการแล้วเหมือนเคราคนแก่ เพราะไม่อยากให้ทุกคนในคณะเสียขวัญและกำลังใจมากไปกว่านี้ พรานนำทางจึงเก็บงำเรื่องนี้ไว้คนเดียว จนมาตอนที่พรานโส่ยนำเครื่องเซ่นมาไหว้นี่แหละ ถึงได้รู้ว่าทุกคนก็เห็นเหมือนกันกับตน

          “ใครก็ได้ มวนบุหรี่ยาเส้นมาให้ข้าสักสามมวน”

          “ไอ้เคิ้ง เอาย่ามหมากมาให้ข้าที แขวนไว้ตรงรากไม้โน่น”พรานโส่ยร้องบอก พรางจัดแจงวางสำรับกับข้าว เครื่องเซ่นต่างๆอย่างบรรจง พอได้ที่ดีแล้ว ก็รับบุหรี่ยาเส้นที่พรานพรมวนให้ถึงสามมวน วางลงบนใบไม้ จากนั้นแกก็ล้วงย่ามใบเก่าคร่ำเพื่อหยิบกระปุกปูนแดง ชิ้นลูกหมากแห้งบางๆ ยาฉุน ใบพลูเหี่ยวๆขึ้นมาสามใบ และเทียนไขเล่มเล็กๆอีกเล่ม

          “เหล้าป่ายังมีอยู่ จะเอาด้วยมั๊ย”

          “ถ้าเอา ข้าจะตัดไม้ทำจอกให้เดี๋ยวนี้”พรานเบร้องบอก

          “ดีๆ”

          “อย่าให้ขาด เซ่นทั้งที ต้องมีเหล้าถึงจะขลัง”พรานโส่ยพูดจบ ก็ใช้ไม้พายเล็กๆควักปูนแดงออกมาทาบนใบพลูทั้งสามใบ จากนั้นก็บิชิ้นลูกหมากแห้งๆโรยลงไปสามสี่ชิ้น ก่อนจะม้วนเป็นมวนคล้ายบุหรี่ ส่วนยาฉุน แกใช้มือคลึงปั้นเป็นก้อนกลมๆขนาดเท่าหัวแม่มือสามก้อน เมื่อทำเสร็จทุกอย่างก็เอาไปวางเรียงคู่กับบุหรี่ยาเส้น

          “เอา”

          “จอกเหล้าของแก”พรานเบร้องบอก พูดจบก็ส่งจอกเหล้าไม้ไผ่ ที่แกทำจากส่วนปลายของไม้ถ่อแพ

          “เหล้าอย่าลืม”

          “ค่อยๆเท ของมีน้อยระวังหกด้วย”พรานแปะพูดพรางส่งแกลอนใส่เหล้าไปให้พรานโส่ย ภายในแกลอนมีเหล้าอยู่เกินครึ่ง พรานผู้ทำพิธีรับเอาไปรินอย่างบรรจง จนเกือบเต็มแล้วจึงนำไปวางรวมกับชุดหมากพลูและบุหรี่ยาเส้น ก่อนส่งแกลอนเหล้าคืน แกก็เทเหล้าใส่ฝาแล้วยกพรวดลงคออึกใหญ่ พอทำท่าว่าจะมียกที่สอง พรานแปะก็ทำเสียงกระแอมแกถึงหยุดแล้วปิดฝาส่งแกลอนเหล้าคืน

          เมื่อเครื่องเซ่นทุกอย่างครบตามที่พรานโส่ยต้องการ แกก็ค่อยๆปลดผ้าขาวม้าที่แกใช้โพกหัว ออกมาคลี่เป็นผืน แล้วสะบัดอยู่สองสามที ก่อนจะเอามาพาดเฉียงไว้ที่ไหล่ซ้าย จากนั้นก็ทรุดกายลงไปนั่งยองๆแล้วจุดไม้ขีดรนไปที่ก้นเทียนพอให้ละลายแล้วเอาไปแตะติดไว้กับพื้นหินกลางเครื่องเซ่น พอเทียนเล่มนั้นติดแน่นดีแล้ว แกก็จอเปลวไฟจากไม้ขีดก้านเดิมเพื่อจุดไส้เทียนจนบริเวณนั้นสว่างวอมแวม

          “ตาโส่ยนี่แน่นอนจริงๆ”

          “วิชาคงจะเยอะน่าดูชม”พรานแปะทำเสียงกระซิบบอกพรานพร

          “เรื่องพวกนี้ต้องยกให้แก”

          “แกผ่านโลกมาก่อนเรา เราเทียบแกไม่ติดหรอก”พรานพรกระซิบตอบ ตาก็มองไปที่พรานชราที่ตอนนี้นั่งทำปากขมุบขมิบ มือไหว้กราบพื้นอยู่ปะหลกปะหลก

          “ไม่รู้คืนนี้จะเจอดีอะไรกันอีก”

          “ขออย่าให้เจออะไรเลย เจ้าพระคูณ”เหน๋อพูดเสียงอ่อย หลังจากเห็นพรานชราเอื้อมมือไปจุดบุหรี่ที่ใช้เป็นเครื่องเซ่น

          “นั่นแหละ ข้าถึงบอกกับทุกคนไงว่า พวกเราอย่าประมาท”

          “ป่าแถวนี้มันไม่เหมือนป่าแถวบ้านเรา”พรานเบพูดเสียงขรึม พรางมองป่าไปรอบๆทิศทาง

          “เดี๋ยวตอนกินข้าว เราค่อยมาคุยกัน ว่าใครจะอยู่ยามกันช่วงไหน”

          “ไม่อยู่ยามกัน เห็นทีจะไม่ไหว ป่ามันน่ากลัวกว่าที่คิดไว้ ป่าเสือ ดงช้างแบบนี้ ไว้ใจไม่ได้จริงๆ”พรานพรพูดเสริม จากนั้นก็ร้องเรียก กะเหรี่ยงหนุ่มทั้งสองคนให้เตรียมสำรับกับข้าว

                                *****เหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร คณะของผู้ติดตาม จะพบเจอกับเรื่องลี้ลับ หรืออถรรพ์ของไพรมืดแห่งนี้อีกหรือไม่ โปรดติดตามในตอนต่อไป*****


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #1 on: 23 April 2021, 14:47:23 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 14 ตอนที่ 2


บทที่ 14

ตอนที่ 2

        อาหารเย็นเริ่มมากินกันก็ค่ำพอดี เพราะตั้งแต่เที่ยงมาแล้ว ทุกคนล้วนแล้วแต่ยังไม่ได้มีอะไรตกถึงท้อง นอกจากน้ำในแม่น้ำสายนั้น อาหารมื้อนี้ทุกคนจึงกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ปากก็เคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ย ตาก็สอดส่องไปในราวป่ารอบๆตัว ถึงแม้จะมองอะไรไม่ถนัดนัก เพราะตอนนี้มืดลงมากแล้ว อย่างมากก็เห็นไม่เกินแสงจากกองไฟที่สาดส่องถึง โชคยังดีที่มีเจ้าพะเปรียวมาด้วย มันจึงเปรียบเสมือนยามเฝ้าระวังภัยไปในตัว เพราะอย่างน้อยๆ ประสาทสัมผัสของหมานั้นย่อมดีกว่าคน กินข้าวยังไม่ทันได้ครึ่งจาน ทุกคนก็ต้องทะลึ่งพรวดคว้าปืนขึ้นมาถือ เพราะเจ้าพะเปรียวลุกขึ้นทำหูตั้ง มันจ้องไปในแนวหมู่หิน พร้อมทำเสียงคราง ฮือๆในลำคอ

          “เงียบๆทุกคน อย่าส่งเสียง”

          “ข้าว่า เหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ในดงหินนั่น หาที่หลบกันก่อนเร็ว”พรานเบกระซิบบอกคณะ พรางชี้มือบอกแต่ละคนให้ไปหลบตามก้อนหินใหญ่ในบริเวณที่พัก พรานโส่ยกระโจนหลบหลังก้อนหินที่แกตั้งเครื่องเซ่น พรานพรย่องหลบเข้าไปในรากไม้ล้มใกล้กับกองสัมภาระ พรานแปะกับเหน๋อ ถอยฉากหลบมุมตรงกองฟืนหลังแนวกองไฟ เจ้าพุ่มกับเจ้าเคิ้งขยับไปแอบที่ก้อนหินริมน้ำที่มีต้นไคร้น้ำขึ้นอยู่หล่อมแหล่ม ส่วนพรานเบหลบไปที่ก้อนหินใหญ่เบื้องหน้าสุด ไม่กี่อึดใจต่อมา ในความเงียบสงบนั้น นอกจากเสียงปะทุของฟืนในกองไฟและเสียงน้ำไหลแล้ว ช่วงเวลาที่ทุกคนในคณะต่างจับจ้องไปตามแนวไพรเบื้องหน้านั้นเอง เสียงอะไรบางอย่างก็แว่วเข้ามาให้ได้ยิน เหมือนมีอะไรบางอย่าง ย่ำใบไม้และกรวดหินดังกรอบแกรบ มันดังอยู่หลังโขดหินที่เห็นอยู่เรืองลาง เพราะแสงกองไฟนั้นไปไม่ถึง มันดังวนเวียนไปมาไม่ยอมเข้ามาใกล้ ซึ่งพรานเบที่อยู่หน้าสุดและใกล้ที่สุด ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเป็นอะไรชนิดใด เพราะพยายามเพ่งมองออกไปเท่าไหร่ก็มองไม่เห็นต้นกำเนิดของเสียง นอกจากเสียงที่ดังแว่วเข้ามาอยู่รอบๆบริเวณนั้น จนในที่สุดพรานเบต้องส่งสัญญาณให้พรานพร รื้อค้นไฟฉายออกมาให้ เพราะตัวเองอยู่ใกล้กองสัมภาระมากที่สุด เพียงไม่กี่อึดใจ พรานพรก็ย่องเข้ามาหาพรานนำทางพร้อมไฟฉายในมือ

          “เอ็งว่าอะไรไอ้เบ”

          “เสียงมันดังออกมาแบบนั้น ข้าว่าน่าจะมีมากกว่าหนึ่ง”พรานพร กระซิบบอกพรานนำทาง

          “ข้าก็คิดแบบเอ็ง”

          “ดูท่า มันน่าจะกลัวไฟถึงไม่กล้าเข้ามาใกล้ แต่ก็ไม่ยอมถอยไปไหน”พรานนำทางกระซิบตอบ

          “เอาอย่างนี้ เดี๋ยวข้าจะเป็นคนส่องไฟให้”

          “เอ็งคอยส่องปืนตามละกัน เห็นท่าไม่ดีก็รบกันไปเลย”พรานพรว่า แล้วทำท่าจะส่องไฟฉายไปที่ต้นกำเนิดของเสียง แต่ยังไม่ทันที่พรานพรจะกดสวิทช์ พรานเบก็รีบคว้ามือไว้ก่อน พรางตอบออกมาว่า

          “ส่องตรงนี้ไม่เห็นมันหรอก เพราะหินมันบังไปหมด คงเห็นอะไรไม่ถนัด”

          “คงต้องย่องเข้าไปใกล้กว่านี้”

          “จะดีรึ”

          “เราไม่รู้ว่ามันจะเป็นตัวอะไร ร้ายดียังไง”พรานพรว่า

          “หรือจะเฝ้ามันแบบนี้ทั้งคืน เราก็ไม่รู้ว่ามันจะวนอยู่แบบนี้อีกนานแค่ไหน”

          “หรือเอ็งว่าไงไอ้พร”

          “เสียงมันดังมาไม่ใกล้ ไม่ไกลนี่เอง”

          “เผลอๆ ข้าว่า คงอยู่แถวๆที่ไอ้แปะมันยิงเก้งได้นั่นแหละ”พรานเบกล่าว

          “เอา เอาไงเอากัน”

          “เอ็งว่าไงก็ว่าตาม จะได้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย”พรานพรว่า พรางกระชับปืนลูกซองไว้แน่น ก่อนที่ทั้งคู่จะขยับเข้าไปในแนวหิน พรานเบได้ส่งสัญญาณบุ้ยใบ้ให้คณะที่เหลือเฝ้ารอ ณ ตำแหน่งเดิม ไม่ให้ออกหรือตามไป ยกเว้นเจ้าพะเปรียวตัวเดียวเท่านั้นที่ย่องนำหน้าเจ้านายออกไป ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะรู้ใจผู้เป็นนาย เพราะนอกจากจะไม่ส่งเสียงออกมาแล้ว ท่าทางของมันก็ดูระมัดระวังอย่างสุดขีด ก้าวได้สามสี่ก้าวก็หยุดทำหูตั้งจับทิศทางของเสียงอยู่ตลอดเวลา พอเห็นว่าไม่มีอะไรผิดสังเกตุก็ย่องขยับนำหน้าเข้าไปอีก ทีละวา สองวา จนในที่สุดทั้งหมดก็เงียบหายเข้าไปในความมืด พ้นรัศมีของแสงไฟจากกองฟืน

            หนึ่งหมา และ สองพราน ต่างค่อยๆงมเข้าไปในความมืดมิด ลำพังหมาตัวเดียวก็เห็นว่าไม่มีอะไร เพราะในความมืดมิดแบบนี้ มันมองเห็นได้อย่างสบาย ลำบากก็คนเรานี่แหละ กว่าจะปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืดได้ ก็เล่นเอาเหงื่อตกไปตามๆกัน โชคดีที่เส้นทางที่คลำไป ไม่ใช่ป่ารกอะไร ออกจะเดินได้อย่างสบายเสียด้วยซ้ำ ยิ่งเป็นช่วงเช้าด้วยแล้ว ยิ่งสบายใจหายห่วง แต่เวลานี้มันมืดสนิท เห็นแต่เงาของหมู่หินสีขาวหม่นเท่านั้น ที่พอจะเดาเส้นทางได้บ้าง แต่ละก้าวที่ย่ำลงไปบนพื้นล้วนแล้วแต่แผ่วเบา บ้างจังหวะที่เท้าสัมผัสกับกิ่งไม้และใบไม้แห้ง ยังไม่ทันได้ลงน้ำหนักลงไป ก็ต้องรีบยกเท้าออกแล้วเปลี่ยนต่ำแหน่งแทน ทีละก้าว ทีละก้าว จนในที่สุด ทั้งหมดก็มาหยุดใกล้ๆกับหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง พร้อมๆกับเสียงอะไรบางอย่างดังเข้ามาให้ได้ยินอย่างถนัดที่สุด เสียงกรอบแกรบบนพื้นกรวด และเสียงกระทบกันของวัดถุบางชนิด จะว่างาก็ไม่ใช่ จะว่าเขาก็ไม่เชิง เพราะเสียงที่ได้ยินมันเบากว่านั้น

          “ตัวอะไรวะ”

          “ไม่น่าใช่ ช้าง”พรานพร กระซิบ

          “เก้ง กวาง หรือหมูป่า ก็ไม่น่าจะใช่ ดูแล้วน่าจะมีหลายตัว”

          “สงสัยมันได้กลิ่นควันไฟ ถึงไม่กล้าเข้ามา ที่พักเรามันอยู่เหนือลมเสียด้วย”พรานเบกระซิบตอบ

          “ส่องไฟเลยดีมั๊ย จะได้รู้ๆกันไปเลย “

        “เอ็งเตรียมตัวดีๆแล้วกัน”พรานพรว่า พรางยกปากกระบอกไฟฉายชี้ไปที่ยอดไม้ใหญ่ ส่วนพรานเบตั้งท่ายกปืนส่องไปตามทิศทางที่ได้ยินเสียงใกล้ที่สุด จากนั้นก็ขยับข้อศอกซ้ายไปสะกิดที่ต้นแขนของพรานพร เป็นสัญญาณให้เปิดสวิทช์ไฟฉายทันที

          ลำไฟฉายสว่างจ้าในความมืด จับไปที่ยอดไม้ใหญ่สูงริบ เห็นไปเงาขาววูบวาบ จากนั้นพรานพรก็ค่อยๆกวาดต่ำลงมายังพื้นดิน สิ่งที่เห็นคือแสงสีเขียววาวของดวงตาสัตว์ชนิดหนึ่ง กระทบแสงตอบกลับมาหลายสิบคู่ พวกมันพากันเดินขวักไขว่ แลดูไม่ยี่หระ กับแสงไฟฉายที่สาดกระทบนั้น ขนาดของมันไม่ใหญ่โตนัก มองผ่านๆก็คิดว่าหมูป่า แต่เมื่อพิจารณาดีๆถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ เพราะลักษณะของขนที่ตั้งชูชัน เป็นเส้นๆ บางจังหวะก็เห็นเป็นสีขาวดำ สลับกันเป็นปล้องๆ แค่แวบแรกเท่านั้นที่พรานเบเห็น ก็ถอนหายใจ พร้อมหัวเราะหึๆในลำคอ ก่อนจะลดปืนลง

          “ไอ้ห่ า เม่น นี่เอง”

          “มากันเป็นฝูงเสียด้วย กดสักโป้งดีมั๊ย ค่าที่ทำให้เสียเส้น หลอกให้ย่องกันมาเสียเหงื่อท่วม”พรานพรสบท พูดจบก็คว้าก้อนหินขนาดกำลังพอเหมาะมือ จากนั้นก็ขว้างก้อนหินก้อนนั้นตกลงไปกลางหมู่หิน ที่ฝูงเม่นเดินกันให้พล่าน เสียงหินกระทบกันดังโครม จนเห็นสะเก็ตไฟ ทำให้ฝูงเม่นพากันวิ่งพรวดพราดด้วยความตกใจ บางตัวก็ทำขนพองกระทบกันดังกราวไปหมด เจ้าพะเปรียวก็ใช่ย่อย พอเห็นอะไรเป็นอะไร ก็กระโจนพรวดไปไล่เห่าเสียงดังลั่น ฝูงเม่นหลายสิบตัวจึงพากันหนีหายเข้าไปในป่าทึบ เพียงไม่นานก็ได้ยินแต่เสียง แกรกกราก ของใบไม้แห้งจางหายไป ปล่อยให้คนทั้งสองมองหน้ากันตาปริบๆ

          “ตัวอะไรละ”

          “ข้าได้ยินเสียงไอ้พะเปรียวเห่าเสียงดังลั่นมาเชียว”พรานโส่ยร้องทัก หลังจากเห็นบุคคลทั้งสองเดินพ้นออกมาจากหมู่หิน

          “เม่น”

          “นี่ถ้าเป็นป่าข้างนอก คงไม่เห็นมันอยู่เป็นฝูงแบบนี้หรอก”พรานพรว่า

        “บ้านเราเต็มที่ก็ สี่ ห้าตัว”

        “ฝูงนี้ที่ข้ากับไอ้พรเห็น น่าจะไม่ต่ำกว่าสามสิบตัว ตัวโตเสียด้วย”พรานเบกล่าว พูดจบก็ลงไปนั่งกินข้าวตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้ทุกคน ที่ทำหน้าตื่น พากันโล่งอก เข้ามาร่วมล้อมวงกินข้าวกันเช่นเดิม

          “ดีที่เป็นแค่เม่น”

          “อย่าให้ร้ายไปกว่านี้เลย อย่าเพิ่งเบาใจกันนัก”พรานพรกล่าว พูดจบก็ตักน้ำแกงซดดังโฮก

        “เดี๋ยวเราแบ่งกันอยู่ยาม”

        “เอาผลัดละ สองสามคนก็พอ”พรานเบบอก พลางฉีกเนื้อเก้งย่างโยนเข้าปาก

          หลังจากอาหารมื้อค่ำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติและความอร่อย ทำให้ทุกคนกินกันจนอิ่ม ท้องที่เคยว่างเปล่าตอนนี้ถูกบรรจุไปด้วยอาหาร กำลังวังชาที่เคยถดถอยก็กลับฟื้นมีกำลังขึ้นมาใหม่ พรานเบกำหนดให้ทุกคนแบ่งกันอยู่ยาม โดยช่วงหัวค่ำนี้ให้ เจ้าพุ่ม เจ้าเคิ้ง และเหน๋อ อยู่กันเป็นผลัดแรก เพราะคิดว่าเวลาเช่นนี้น่าจะไม่มีภัยอันตรายใดๆมากนัก จึงกำหนดให้อยู่ยามถึงสี่ทุ่ม ต่อจากนี้ ก็ให้ พรานแปะ และพรานโส่ย รับยามต่อไปจนถึงตีหนึ่ง ที่เหลือก็ให้เป็นหน้าที่ของพรานพรและตัวแกเอง อยู่ถึงย่ำรุ่ง หรือคนไหนที่ไม่ง่วงอยากอยู่ต่อก็ไม่ว่าอะไร ส่วนคนที่ไม่ได้อยู่ยาม พรานนำทางให้รีบนอนพักเอาแรง โดยเน้นย้ำเฉพาะคนอยู่ยาม ให้ระวังอย่าให้ฟืนไฟมอดดับเป็นอันขาด หรือถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ก็ให้รีบปลุกทุกคนทันที

          “ไม่ลองยิงปืนดูสักทีสองที”

          “ป่าจะได้แตก ไหนๆเราก็ไม่ได้มาล่าสัตว์อยู่แล้วนี่”พรานแปะเสนอ หลังจากตักข้าวเข้าปากคำสุดท้าย

          “ข้าคิดไว้แล้ว”

          “ทีแรกว่าจะยิงไล่ตั้งแต่เจอเม่นแล้ว แต่เสียดายลูกปืน”พรานเบว่า

          “จะไปยากอะไร อีแก๊ปก็ได้นี่”

          “ลองดูสักทีก็เกินพอ ดีเสียอีกจะได้ไม่มีตัวอะไรกล้าเข้ามากวนเรา”พรานชราบอก พูดจบก็ยกเหล้าที่อยู่ในฝาแกลอนขึ้นดื่ม

          “ไอ้พุ่ม เอ็งจัดให้ตาโส่ยสักทีสิ”

          “จะได้ล้างลำกล้องไปในตัว ตั้งแต่ล่องแพมา ไม่รู้ดินปืนชื้นหมดหรือเปล่า”พรานแปะพูด พลางรับเหล้าจากพรานโส่ยขึ้นดื่มลงคออึกใหญ่ แต่ไม่ทันที่พรานแปะจะรินเหล้าส่งต่อให้พรานพร เสียงปืนแก๊ปของเจ้าพุ่ม ก็ระเบิดออกมาดังตูมสนั่นจนทำให้เสียงก้องไปทั้งบริเวณ อึดใจต่อมาก็มีเสียง แปร๋ แปร๋น ของช้างป่าดังมาจากฝั่งตรงข้าม พร้อมๆกับเสียงไม้ไร่หักดังโผงผาง ไล่ไปเป็นแถบ เก้ง กวาง ก็ร้อง เป้บ อยู่ไม่ห่างจากที่พัก เสียมมันควบกระโจนไปตามแนวหินดัง กรุบกรับ ทำให้คณะทั้งหมดพากันตื่นเต้นไปตามๆกัน

          “นั่นไง ข้าว่าแล้ว”

          “หลายสิบตัวเลยนะนี่”พรานพรกล่าว พลางยกมือป้องหน้าไปทางเสียงช้างร้องฝั่งตรงข้าม แต่ก็เปล่าประโยชน์ เพราะหมอกที่ปรกคลุมอยู่หนาทึบไปทั้งบริเวณ

          “แบบนี้ก็ดี สบายใจหายห่วงไปอีกหน่อย”

          “อย่างน้อยๆคืนนี้คงไม่มีสัตว์เข้ามากวนเรา”เจ้าเคิ้งกล่าว พูดจบก็คว้าปืนแก๊ปคู่กายขึ้นมาเล็งปลายกระบอกปืนขึ้นฟ้า จากนั้นก็กดไกทันที

          “แชะ!”

          “โห่...ด้านซะนี่”เจ้าเคิ้งบนอุบ

          “แก๊ปคงเปียกแหละ แกะออกมาเปลี่ยนใหม่”

          “ดีนะที่รู้ก่อนตอนนี้ เอาเข้าจริงมาด้านแบบนี้ไม่ได้นะ”พรานเบร้องบอกเสียงขุ่น

          “ตอนล่องแพมาก็ว่ากันน้ำดีแล้วนะ”

          “นี่ไง แก๊ปชื้นเป็นขุยเลย สงสัยจะเปียกน้ำจริงๆด้วย”เจ้าเคิ้งร้องบอก พลางใช้ลวดเส้นเล็กๆที่เหน็บไว้ข้างปืน เขี่ยเม็ดแก๊ปในจอกออกมาบี้ พอรู้ว่าของเดิมที่มีอยู่ใช้งานไม่ได้ ก็ล้วงมือเข้าไปหยิบแก๊ปกระดาษในกระปุกที่อยู่ในย่ามที่สะพายบ่า เลือกเม็ดแก๊ปขึ้นมาอันหนึ่งได้ ก็เอาเม็ดแก๊ปที่เลือกนั้น ค่อยๆยัดเข้าไปในจอกแก๊ปอันเดิม ก่อนจะยัดจอกแก๊ปลงไปที่เดือยของปืนแก๊ป เจ้าเคิ้งก็ใช้ลวดแหย่เข้าไปในรูเดือย แล้วลดนกปืนไปปิดเดือยไว้ จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือตบลงไปสองสามครั้ง เพื่อทะลวงเอาดินปืนที่อาจจะมีความชื้นออกมา พอคิดว่าได้ตามที่ต้องการแล้ว เจ้าเคิ้งก็ง้างนกออกแล้วยัดจอกแก๊ปเข้าไปที่เดือย

          “น่าจะออกแหละทีนี้”

          “ดีที่ดินปืนไม่เปียก”เจ้าเคิ้งพูดจบ ก็ยกปืนแก๊ปเล็งขึ้นฟ้าแล้วเหนี่ยวไกทันที

          “ตูมมมม.....”

          “ซ่า...”เสียงปืนแก๊ประเบิดสนั่นอีกครั้ง พร้อมๆกับเสียงของ เจ้าแห่งป่าก็ดังตอบรับกลับมาจากดงทึบที่ใดสักแห่ง

          “อ้าวว...ฮึมมม..”

          “สะ...สะ...เสือ”เจ้าเหน๋อร้องบอก กระจะกระโจนผว่าเข้าไปยืนเกาะแขนพรานเบ

          “ไอ้ลายเลยทีนี้”

          “ป่าเสือ ดงช้างชัดๆ”พรานพรร้องบอก ก่อนที่จะร้องเรียกให้เจ้าเคิ้งและเจ้าพุ่ม ช่วยกันสุมฟืนในกองไฟเพิ่มยิ่งขึ้น ทำให้บริเวณที่พักสว่างไสว เสียงปะทุของฟืนในกองไฟดัง เปรี๊ยะ คะเคล้าไปกับกลิ่นควันไฟ ที่กระจายฟุ้งไปกับสายหมอกที่หนาทึบ  เสียงเสือโคร่งยังคงร้องก้องไปในพื้นป่าอยู่ไม่กี่อึดใจ ก็เงียบเสียงลง นานๆครั้ง ก็ร้องออกมาข่มขวัญชาวคณะเสียครั้งหนึ่ง เล่นเอาทั้งหมดต่างพากันหนาวๆร้อนๆไปตามๆกัน ขนาดเจ้าพะเปรียวยังทำหูลู่หางจุกตูดเดินพันแข้งพันขาพรานเบเป็นพัลวัน ยกเว้นแต่พรานนำทางเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ไม่มีอาการ อกสั่นขวัญหายกับเห็นการณ์เช่นนี้

        ค่ำคืนต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร คณะติดตามคนหายจะพบเจอกับภัยอันตรายหรือไม่ โปรดติดตามในตอนต่อไป

.....

หนุ่มธุดงค์ไพร: ความเห็นที่ 1 : 7 เม.ย. 64, 16:572
สวัสดีครับน้าๆ ที่ติดตามอ่านนิยายเรื่องนี้มาอย่างยาวนาน
น่าจะยาวแหละครับ น่าจะจบไม่ลง เขียนเรื่อยๆนะครับ รอจังหวะและเวลาว่างๆก็จะเอามาลงให้น้าๆได้อ่านเล่นๆกัน

เช่นเคยนะครับ น้าๆสามารถติ ชม แนะนำ แก้ไข ได้อย่างเต็มที่ครับ
ขอบคุณน้าๆทุกท่านที่ติดตามนะครับ


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #2 on: 23 April 2021, 14:51:56 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 14 ตอนที่ 3


บทที่ 14

ตอนที่ 3


          ตลอดระยะเวลาที่ล่วงเลยผ่านไป ความเงียบสงบก็เริ่มกลับมาเช่นเดิม เสียงรองไน ยังคงกรีดปีก กล่อมไพร ผสานกับเสียงไหลรินของสายน้ำ นานๆครั้งก็มีเสียงสัตว์ป่ากู่ร้องออกมาให้ได้ยินสักครั้งหนึ่ง เสียงมันดังออกมาจากดงทึบที่ใดสักแห่งไกลออกไป ยิ่งดึกสงัด อากาศก็เริ่มเย็นยะเยือก น้ำค้างก็ลงจนเป็นละอองฉ่ำประพรมไปทั่วทั้งบริเวณ มีเพียงกองไฟกองใหญ่เท่านั้น ที่พอจะบรรเทาความหนาวเหน็บนี้ไปได้ พรานนำทางนอนเอนหลังพิงท่อนซุง ในมือกอดปืนไว้แนบอก ส่วนพรานพรนอนขดตะแคงอยู่ข้างๆ มีปืนลูกซองวางแนบชิดตัวอยู่ไม่ห่างมือ พรานแปะและพรานโส่ยนอนคุดคู้เอาผ้าขาวม้าห่มอยู่ข้างกองไฟ มีแต่เจ้าเคิ้ง เจ้าพุ่ม และเหน๋อ ที่ผุดลุกผุดนั่งคอยเติมฟืนให้กับกองไฟรอบๆบริเวณ

          “ไม่รู้ว่าพี่สิงห์จะเป็นยังไงบ้างตอนนี้”

          “ขนาดเรายังจะแย่เอา”เจ้าพุ่มร้องบอกออกมาแผ่วเบา พลางซุนฟืนเข้าไปในกองไฟ

          “พี่ก็ห่วงมัน”

          “ป่าแถวนี้ไม่เหมือนป่าแถวบ้านเราด้วย”เหน๋อซึ่งเป็นเพื่อนเกลอร้องบอก พูดจบก็รินน้ำร้อนจากหม้อสนามลงถ้วยกาแฟ

          “มีทั้งเสือ มีทั้งช้าง”

          “ปืนผาหน้าไม้อะไรก็ไม่มีไว้ป้องกันตัว”เคิ้งว่า

          “เราก็ทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้เหมือนกันไอ้เคิ้ง”

          “พวกเราก็ออกตามมันเต็มที่แล้ว ยังไงเราก็ต้องตามมันให้เจอ”เหน๋อกล่าว พลางยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ

          “เป็นห่วงก็ตรงสัตว์ป่ามันเยอะนี่แหละ”

          “แถมยังเรื่องเสบียงอาหารอีก ไม่รู้จะหากินแบบพวกเราได้หรือเปล่า”พุ่มเสวนาตอบ

          “พี่เชื่อว่ามันต้องเอาตัวรอดได้แน่ๆ”

        “เรื่องหากินพี่ไม่ห่วง เพราะป่าที่นี่มันดีกว่าป่าแถวบ้านเราเยอะ คนเราเมื่อถึงจุด มันก็ต้องเอาชีวิตรอดกันทั้งนั้น”เหน๋อร้องตอบ

        เวลาล่วงผ่านไปอีกครั้ง สรรพสำเนียงยังคงแว่วมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ เหตุการณ์ดูราบเรียบเป็นปกติ ไม่มีแม้วี่แววของภยันตรายใดๆเข้ามากล้ำกราย และดูเหมือนว่าจะปลอดภัยและอบอุ่นกว่าเมื่อตอนหัวค่ำเสียอีก จากที่เคยตื่นเต้นและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา พอไม่มีสิ่งใดมากระตุ้น บวกกับบรรยากาศที่เยือกเย็น ก็ทำให้เกิดอาการง่วงเหงาหาวนอนไปตามๆกัน เหน๋อนั่งกอดปืนสัปหงกไปนานแล้ว หลังจากนั่งคุยกับสองกะเหรี่ยงหนุ่มเมื่อช่วงหัวค่ำ ส่วนทั้งสองก็นั่งตาปรือเพราะความอ่อนเพลีย แต่ก็ยังแข็งใจปฏิบัติหน้าที่อย่าดีที่สุด บ่อยครั้งก็ต้องเดินบิดตัวยืดเส้นยืดสายไล่ความอ่อนเพลียและเมื่อยล้า หนักเข้าก็ต้องเดินไปวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าล้างตาเพื่อความสดชื่น แต่ก็อดที่จะต้องสะดุ้งทุกครั้ง เมื่อฉายไฟไปเจอก้อนหินรูปทรงประหลาดก้อนนั้น ยิ่งอยู่ภายใต้แสงไฟสลัวๆแบบนี้ ยิ่งทำให้น่าขนลุกเพิ่มไปอีก ราวกับใครมานั่งถมึนทึงดูน่ากลัว

          เมื่อได้เวลาของผลัดที่สอง พรานโส่ยและพรานแปะ ก็ตื่นขึ้นราวกับตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ทั้งคู่ตื่นมารับยามก่อนถึงเวลาที่กำหนดไว้เสียด้วยซ้ำ เมื่อสอบถามถึงสถานการณ์จากสองกะเหรี่ยง ก็ได้รับคำตอบว่าที่ผ่านมาปกติ มี เก้ง กวาง และหมูป่าสองสามตัว เท่านั้น ที่เดินเฉียดเข้ามาใกล้ที่พัก กับเสียงช้างป่า หักไม้ไร่ห่างออกไปไกลๆ นอกจากสิ่งที่ว่ามาแล้ว ทุกอย่างดูปกติไม่น่าเป็นห่วง ฟืนที่จะเอามาก่อสุมเติมเชื้อ ก็ยังมีอีกเหลือฟือ

          “เออ ดีแล้ว ที่ไม่มีอะไร”

        “งั้นพวกเอ็งสองคนก็ไปนอนพักได้แล้ว ปลุกไอ้เหน๋อ ไปนอนให้เรียบร้อย เห็นแล้วทุเ รศลูกกะตา ดูมัน นั่งหลับน้ำลายยืดเชียว”พรานชราร้องบอก พูดจบก็รินน้ำร้อนใส่ถ้วยกาแฟ สองใบ จากนั้นก็ยื่นส่งถ้วยกาแฟใบหนึ่งให้พรานแปะ ที่ตอนนี้กำลังยืนบิดกาย อ้าปากหาวอยู่ใกล้ๆ

          “นี่ก็ราวๆห้าทุ่มเห็นจะได้”

          “หนาวชิบหา ยอะไรอย่างนี้ หนาวกว่าตอนที่ขึ้นไปนอนที่เขาสกอีก”พรานแปะร้องบอก พลางยกกาแฟที่พรานโส่ยส่งให้ขึ้นจิบ ก่อนที่จะทรุดกายลงไปนั่งยองๆข้างกองไฟ

          “จะให้ไม่หนาวได้ยังไง ก็เราเล่นมานอนกันริมน้ำขนาดนี้ แค่นอนติดห้วยก็หนาวเกินทนแล้ว”

          “แต่ทำยังไงได้ ชายป่ามันก็ดูไม่น่าไว้วางใจ แถมทึบเสียอีก แถวนี้มันโล่งกว่าเยอะ มองอะไรได้ถนัดหน่อย”พรานโส่ยกล่าว พลางถือคลึงถ้วยกาแฟอยู่ในมือทั้งสองข้าง

          “หัวค่ำไม่เท่าไหร่”

          “ถึงคิวเรา ต้องระวังกันให้ดีๆ ป่าแถวนี้ก็เงียบดูแปลกๆ”พรานแปะร้องบอก พลางแหงนมองขึ้นไปบนฟ้า ที่ตอนนี้มืดมิด ปราศจากหมู่ดาว อาจเป็นไปได้ที่ว่าทั้งคณะเข้ามาอยู่ในดงใหญ่ ไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่หนาทึบ อาจทอดกิ่งใบปกคลุมจนไม่เห็นท้องฟ้า

          “ดาวสักดวงก็มองไม่เห็น”

          “จะว่ายอดไม้มันบังก็ไม่น่าจะใช่ เอ...ฉันว่ามันแปลกๆแล้วนะ ตาโส่ย”พรานแปะร้องบอก พลางผุดลุกขึ้นมาอย่างลืมตัว

          “เออ จริงของเอ็ง ตะกี้ ข้าเดินไปดูแพที่ล่ามไว้ ก็คิดแบบเอ็ง ตรงปากทางที่เข้ามามันไม่มียอดไม้ ก็พอจะมองเห็นท้องฟ้าอยู่บ้าง”

          “แต่แปลกตรงที่ไม่มีดาวสักดวง กะว่าจะดูดาวดูเดือน ว่ามันสักกี่โมงยามแล้วตอนนี้ จะว่าเมฆ หมอก กับยอดไม้บัง ก็ไม่น่าจะใช่”พรานชรากล่าว พลางใช้ไฟฉายส่องจับไปบนยอดไม้เบื้องบน ซึ่งพอจะมองเห็นช่องโหว่ของยอดใบไม้ได้

          กาแฟของทั้งคู่หมดไปนานแล้ว พร้อมๆกับเสียงกรนเบาๆที่แว่วออกมาให้ได้ยินจากใครคนใดคนหนึ่ง ที่นอนคุมโปรงขดอยู่ข้างกองไฟ พรานโส่ยเดินกุมปืนแก๊ปในท่าเฉียง สำรวจความเรียบร้อยอยู่รอบๆ พรานแปะ แบกฟืนไปเติมกองไฟอยู่เป็นระยะโดยไม่ขาด นอกจากสัตว์เล็ก จำพวก เก้ง กวาง หมูป่า ที่ออกมาให้เห็นอยู่บ้างเป็นบางครั้งแล้ว สัตว์ใหญ่ จำพวก เสือ และ ช้างป่า ไม่ปรากฏให้เห็นเลย นอกจากเสียงร้องของมันนานๆครั้ง แต่ก็ไกลออกไปมาก โดยเฉพาะ เสียงหักไม้ดัง โผงผาง ซึ่งน่าจะเกิดจากช้างป่าหักไม้ไร่หากิน

          หริ่งหรีด รองไน ยังคงส่งเสียงท่วงทำนองดุริยางค์ขับกล่องไพรไม่ขาดช่วง คละเคล้าไปกับเสียงไหววูบ ของยอดไม้ใหญ่ที่โอนเอนไปตามแรงลมเอื่อยๆ นานๆครั้งก็มีเสียงกิ่งไม้หักดังโครมคราม แต่เมื่อเงี่ยหูฟังแล้วไม่มีสิ่งใดขยับหรือเคลื่อนไหว มันน่าจะเป็นกิ่งไม้แห้งธรรมดาที่ตกลงมาที่ใดสักแห่ง สัตว์ป่าที่เคยพบเห็นมาช่วงค่ำที่ผ่านมา เริ่มห่างหาย จนในที่สุดก็ไร้วี่แววของสัตว์ป่าเหล่านั้น นานๆครั้ง ก็ได้ยินเสียง แกรกกราก ของใบไม้แห้ง แว่วมาใกล้ๆ มันคงเป็นสัตว์ป่าจำพวกหนู หรือไม่ก็ สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็กเสียมากกว่า ส่วนทางด้านริมน้ำ นานๆครั้งก็มีเสียงปลาฮุบน้ำเสียทีหนึ่ง เมื่อลองใช้ไฟฉายสาดส่องลงไป ปลาเล็กปลาน้อย จำพวก ปลาซิว และปลาสร้อย ที่อาศัยอยู่ริมตลิ่ง ต่างพากันกระโจนหนีไปตามผิวน้ำ จนแลเห็นตัวขาวพรืดไปหมด เพราะพวกมันคงจะตกใจแสงไฟฉายนั้น พรานแปะเดินส่องไฟสำรวจไปที่ริมน้ำใกล้แพที่ล่ามไว้ เมื่อแสงไฟไปจับนิ่งกับดวงตาสีแดงคู่หนึ่ง อยู่ระหว่างซอกหินที่อยู่ใต้น้ำ มันสะท้อนแสงไฟฉายออกมาเรืองๆ เมื่อขยับส่องเข้าไปใกล้ ถึงรู้ว่าเป็นกุ้งนางขนาดเขื่อง ขนาดของมันโตพอๆกับกระบอกไฟฉาย พรานแปะนึกสนุก จึงสะพายปืน แล้วค่อยๆพับขากางเกงทั้งสองข้างขึ้นมาถึงหัวเข่า จากนั้นค่อยๆย่องลงไปที่เป้าหมาย ซึ่งอยู่ลึกลงไปในน้ำไม่เกินหน้าแข้ง มือซ้ายถือไฟฉายส่องจับไปที่กุ้งนาง มือขวาค่อยๆเอื้อมไปทางด้านหลังของเป้าหมาย พอได้จังหวะก็ตะคุบมือลงไปทันที เพียงอึดใจ ก็ได้กุ้งนางตัวนั้นอยู่ในมือ พรานแปะโยนกุ้งนางตัวเขื่องที่งมได้ขึ้นไปดิ้น กระแด่วๆ อยู่บนลูกบวบแพ จากนั้นก็ส่องสำรวจไปตามซอกหินแถวนั้น ก็ปรากฏว่าพบกุ้งนางเข้าอีกตัว แต่ตัวนี้ขนาดย่อมกว่าตัวแรก และด้วยวิธีเดียวกัน กุ้งนางอีกตัวก็ถูกจับขึ้นมาอย่างง่ายดาย

        พรานแปะสนุกและเพลิดเพลินไปกับการส่องไฟ จับกุ้งนางจนลืมตัว เพราะตลอดระยะเวลาที่ส่องสำรวจอยู่ใกล้ๆ ล้วนทำให้ตนเองตื่นเต้นตลอดเวลา เพียงไม่นานก็ได้กุ้งนางถึงสี่ตัว ยังนึกเสียดายอยู่ในใจว่า ถ้ามีฉมวกสักอันติดมาด้วย ก็คงจะดีไม่น้อย เพราะนอกจากกุ้งนางหลายตัวที่ไม่สามารถลงไปจับได้ เนื้องจากพวกมันอยู่ลึกลงไปแล้ว พวกปลากดเหลือง และปลากดคัง มีให้เห็นอยู่ไม่ขาด แต่ละตัวใหญ่ขนาดโคนขา เล็กที่สุดก็ตัวเท่าแขน รวมไปถึงปลาชนิดอื่นๆอีกมากมาย บางชนิดก็ดูรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดเพราะไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อน ครั้นแล้วพรานแปะก็ต้องหยุดนิ่ง เพราะแสงไฟฉายส่องกระทบไปที่ดวงตาสีแดงวาวประหลาดคู่หนึ่ง ที่ลอยเรี่ยอยู่ที่ผิวน้ำ ขนาดของมันโตพอๆกับลูกมะนาว ที่อยู่ห่างออกไปราวยี่สิบวา เพียงแวบเดียวเท่านั้น ดวงตาประหลาดคู่นั้นก็จมวูบหายเข้าไปในสายน้ำ พร้อมๆกับพรายน้ำที่ม้วนวนเป็นวงใหญ่ พรานแปะใจหายวาบ เมื่อนึกถึง จระเข้ ที่พรานพรพบรอยมันเมื่อวันก่อน คิดได้ดังนั้น ก็รีบจ้ำอ้าวขึ้นมาจากน้ำทันที พลางส่องไฟไปรอบๆอย่างหวาดระแวง เมื่อขึ้นมาบนฝั่งได้  ก็หิ้วกุ้งนางทั้งสี่ตัวที่จับได้ เดินพรวดๆขึ้นไปบนแคมป์โดยทันที

          “ตะกี้ไปส่องกุ้งเล่น”

          “เห็นตาอะไรแดงๆก็ไม่รู้ สงสัยจะ ไอ้เข้”พรานแปะร้องบอกพรานโส่ย ก่อนจะโยนกุ้งนางตัวเขื่องทั้งสี่ตัว ลงไปข้างกองไฟ

          “ทำเป็นเล่นไปได้ไอ้แปะ ไอ้เบมันก็บอกอยู่หยกๆ ว่าอย่าออกไปไหน”

          “เอ็งนี่ ทำประมาทไปได้ ไอ้ที่เอ็งเห็นอาจจะใช่ ไอ้เข้ ก็ได้ ดีที่มันไม่รากเอ็งไปกิน”พรานโส่ยบอกเสียงขุ่น

          “ฉันก็ส่องไฟดูดีแล้ว ที่แรกก็ไม่คิดจะลงน้ำหรอก พอดีเห็นกุ้งหลายตัว มีแต่ตัวใหญ่ๆทั้งนั้น แถมน้ำก็ไม่ลึก แค่หน้าแข้งนี่เอง นึกสนุกเลยลงไปจับ ดูสิ แต่ละตัวใช่ย่อยที่ไหน”

          “ปลาก็ใหญ่ นี่ฉันยังนึกเสียดายอยู่เลย ถ้าเรามีฉมวกติดมาด้วย สงสัยได้กินกุ้ง กินปลา กันเป็นกองๆ ถ้าลุงได้เห็นไอ้คังแล้วจะตกใจ ตัวนี่ เท่าโคนขาเลย ไม่เชื่อก็ลองดูก็ได้ แถวๆโคนไม้นั้นแหละ มีสองสามตัว สงสัยมันมาดักกินปลาเล็ก”พรานแปะกล่าวจบ ก็ใช้ท่อนฟืนเล็กๆ เขี่ยถ่านแดงๆออกมาจากกองไฟ จากนั้นก็ใช้มีดเหน็บ เหลากิ่งของต้นไคร้น้ำที่เหลือจากการทำร้านย่างเนื้อ พอได้ปลายไม้ที่แหลมตามต้องการ ก็จัดการเสียบย่างกุ้งนางทั้งสี่ตัว

          “เอ็งไม่ต้องมาหลอกข้าเสียให้โง่ ข้าไม่ลงไปหรอก”

          “หนอยไอ้นี่ จะหลอกให้ข้าไปโดนไอ้เข้ขบกบาลซิไม่ว่า”พรานโส่ยพูดจบก็ขยับมานั่งข้างๆพรานแปะ ที่กำลังถือไม้ย่างกุ้งอยู่ข้างกองไฟ ถ่านแดงๆทำให้สีสันเดิมของกุ้งนาง เริ่มเปลี่ยนสี กลายเป็นสีส้มอมแดง พอเปลือกเริ่มสุกเกรียม น้ำในตัวกุ้งเดือดปุดๆ หยดลงกองไฟดัง ฉี่ฉ่า ส่งกลิ่นหอมน่ากิน

          “ดูอย่างกุ้งที่ฉันงมมาสิ แถวบ้านเราเต็มที่ก็ไม่เกินนิ้ว”

          “ตัวขนาดนี้ ฉันคงไม่มีปัญญาไปซื้อกินหรอก คิดดูดีๆ ป่าแถวนี้มันก็น่าอยู่ดีเหมือนกันนะลุง เสียอย่างเดียว เสือ กับ ช้าง ชุมไปหน่อย”พรานแปะพูดพลาง พลิกกลับกุ้งย่างไปมาบนกองไฟ

          “ถ้ามันชุมอย่างที่เอ็งว่า มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรนี่ ฉมวกไม่มี ก็เหลาไม้ทำเอาก็ได้ หาไม้ไผ่แก่ๆหน่อย เหลาให้ดีแล้วย่างไฟแบบลูกทอย ก็น่าจะเอาอยู่ ต่อด้ามยาวๆเข้าอีกหน่อย จะได้ไม่ต้องไปลุยน้ำให้เสี่ยง ไม่ก็ลองทำลอบดักเอา แต่เราไม่มีเวลาขนาดนั้น หน้าที่เราคือตามหาไอ้สิงห์ให้เจอ ส่วนเรื่องอาหารก็แล้วแต่โชคของเรา แบบวันนี้ อยู่ไม่อยู่เอ็งก็ยิงเก้งมาได้ ที่อยู่บนร้านนั้น ข้ากะว่าคงได้อีกสักสองสามมื้อเลยทีเดียว”

          “ตอนเช้า ถ้าพอมีเวลา ข้าว่าจะชวนกันไปที่ซากกวางด้วยซ้ำ เสียดายของ ถ้าได้ขาหลังมาย่างเก็บไวสักข้าง ก็น่าจะดีไม่น้อย จะได้ประหยัดเวลา ไม่ต้องไปหายิงให้เปลืองแรง”พรานโส่ยว่า

          “แหม่...ขนาดต้องแย่งเนื้อเสือมากินเลยรึ”

          “แต่ความคิดลุงก็เข้าท่าดีนะ ไม่เปลืองลูกปืนด้วย งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปกันเองสองคนก็ได้นี่ เห็นว่าเลยไปทางที่ฉันยิงเก้งได้นิดเดียวเอง”พรานแปะกล่าว พูดจบก็รูดกุ้งย่างออกจากไม้เสียบ ส่งให้พรานชราสองตัว พรานโส่ยรับไปเป่าอยู่ในมือไม่ทันไร ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดัง พรึบ เหมือนสัตว์หรือตัวอะไรบางอย่าง ร่อนไปเกาะอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ ที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆที่พัก ด้วยความสงสัย พรานแปะจึงฉายไฟ ไปยังตำแหน่งลำต้นของต้นไม้นั้น แวบแรกที่แสงไฟฉายสาดกระทบ ก็ปรากฏดวงตาสีแดงจ้า สะท้อนตอบกลับมาแวบหนึ่ง เพราะต้นไม้ใหญ่มีความสูงจึงมองเห็นอะไรไม่ถนัดนัก จากนั้นเจ้าของดวงตาปริศนา ก็หลบวูบไปอยู่ด้านหลังของลำต้นที่มันเกาะอยู่

          “โถ่ บ่างนี่เอง”

          “คิดว่าตัวอะไร หลบไปอยู่หลังต้นไม้แล้ว”พรานแปะพึมพำออกมา พร้อมๆกับเจ้าพะเปรียวผลุดลุกขึ้นมานั่งทำหูตั้งจ้องไปทางยอดไม้เหนือหัว

          “พรึบ”

          “อ่าว นั่นมาอีกตัวแล้ว โน่นก็อีกตัว ไต่อยู่ตรงนั้น”พรานแปะว่า พลางฉายไฟส่องออกไปยังตำแหน่งที่เห็น สัตว์ที่ตนเองเข้าใจว่าเป็นบ่างอยู่ไปมา แต่ทุกครั้งที่ไฟฉายในมือสาดกระทบถูกดวงตาสีแดงจ้า มันก็รีบหลบวูบทันที พอละแสงไฟออกจากตำแหน่งที่เคยส่องไฟ สัตว์หรือบ่างชนิดนั้น ก็โผล่ออกมาให้เห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ

          “ไอ้แปะ บ่างมันต้องสู้ไฟสิ ไม่ใช่หลบไฟอยู่แบบนั้น ทำเป็นไม่เคยส่องสัตว์ไปได้เอ็ง ข้าว่ามันไม่ใช่บ่างเสียแล้ว ดูท่ามันแปลกๆไม่ได้การณ์”

          “โน่นๆ ไต่ลงมาอยู่กลางต้นไม้หลายตัวแล้ว เฮ้ย! นะ..นะ..นั้นมันไอ้บ่างผีนี่”พรานโส่ยร้องบอกละล่ำละลัก ช่วงที่พรานชรากำลังตกตะลึงอยู่นั้นเอง บ่างผีสิงตัวหนึ่ง ก็บินร่อนลงมาจากต้นไม้นั้น ทิศทางของมัน ตรงดิ่งมายังพรานเฒ่า ซึ่งตอนนี้กำลังยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก

          “ลุง..!”

          “ระวัง!”พรานแปะร้องบอก ก่อนที่จะกระโจนผลักไปที่พรานเฒ่า จนล้มคะมำกลิ้งกันไปทั้งคู่ บ่างผีสิงตัวนั้นร่อนเฉียดก้านคอของพรานชราไปเพียงศอกเศษเท่านั้น เมื่อผิดเป้าที่หมายตาไว้ ก็ร่อนหายเข้าไปในความมืด พร้อมๆกับเสียงร้อง กรี๊ด แหลมแสบแก้วหู

        “ตูม...”

          “ทุกคนหาที่หลบเร็ว!”พรานเบ ร้องบอกเสียงเอ็ด หลังจากซัดปืนลูกซอง ส่องบ่างร้ายตัวหนึ่งที่กำลังไต่ดิ่งลงมา ตกตุบลงพื้น ดิ้นแด่วๆ เสียงปืนที่ดัง ทำให้ทุกคนพากันสะดุ้งตื่น เหน๋อที่งัวเงียอยู่ เมื่อเห็นว่าอะไรเป็นอะไร ก็กระโจนหลบวูบเข้าไปหลังโขดหินทั้งโปงผ้าห่ม เจ้าพุ่ม กับ เจ้าเคิ้ง วิ่งอ้าวไปทางด้านโคนซุงใหญ่ ซึ่งตอนนี้พรานพรกำลังตั้งป้อมส่องปืนลูกซองเล็งอยู่

        “ตูม...”

        “กรี๊ดดด..”บ่างนรกตัวหนึ่งร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะร่อนถลาเสียทรง ลงมาดิ้นกระพือปีกอยู่กับพื้นอยู่ ผับๆ เจ้าพะเปรียวเห็นโอกาสกระโจนฟัดไปที่บ่างผีเคราะห์ร้ายตัวนั้น เสียงกระดูกหรือไม่ก็ส่วนหัวที่เป็นกะโหลกแตกดัง กร๊อบ ตาถลนออกมานอกเบ้า

          “ไอ้เคิ้ง ระวังทางนั้นด้วย มันมาอีกหลายสิบตัวเลย”

          “เฮ้ย! พวกเรา มารวมกันที่นี่ดีกว่า ทางนี้ปลอดภัยกว่ากันเยอะ”พรานพรร้องบอก ก่อนที่จะส่งกระสุนของปืนลูกซองอีกตูม บ่างผีอีกตัวที่ทำท่าจะกางปีกร่อนลงมา แหลกเละราวกับก้อนเนื้อถูกสับละเอียด ยังไม่ทันที่ควันปืน ของพรานพรจะจางหาย เสียงปืนแก๊ป ทั้งสามกระบอกก็ดังเสียงเอ็ดอึงไปทั้งบริเวณ บ่างนรกสองสามตัว ร่วงพล็อยลงมาชักดิ้นชักงออยู่กับพื้น พรานโส่ย เจ้าพุ่ม เจ้าเคิ้ง กระโจนออกไปใช้มีดฟันซ้ำเสียจนแหลกเละ ส่วนปืนแก๊ปที่ยิงออกไปแล้วโยนทิ้งไว้แถวนั้น เพราะไม่มีโอกาสได้บรรจุลูกใหม่

          “ไอ้เหน๋อมันไปอยู่ไหน”

          “มีใครเห็นมันบ้างหรือเปล่า”พรานเบร้องบอก ก่อนจะเหนี่ยวไก ส่งลูกปืนไปอีกตูม บ่างผีจากนรกส่งมาเกิด ร่วงลงมาตีปีกผับๆถึงสามตัว เพราะโดนอำนาจของลูกปรายเก้าเม็ด ที่กระจายออกไปเป็นกลุ่ม ตัวไหนโดนจังๆก็ตายสนิท ไม่ท้องแตกก็สมองเละ โดนไม่จังก็ลงมาดิ้นพร่านเพราะปีกหัก กระเสือกกระสนหาทางหนี แต่ก็ไปไหนไม่รอด เพราะเจ้าพะเปรียวไล่ฟัดไล่กัด ขบจนกะโหลกแหลกเหลว

          “วู้ ไอ้เหน๋อโว้ย”

        “ไอ้เหน๋อ มาหลบทางนี้ เอ็งไปอยู่ไหน ไอ้แปะ เอ็งลองไปดูทางโน้นดูสิ เดี๋ยวข้าจะยิงคุ้มกันให้ โน้นๆ อยู่ในโปรงผ้าห่มหลังโขดหินนั้น ไอ้หอ กเอ๊ย”พรานพรร้องบอก พลางยกปืนขึ้นเล็งบ่านนรกตัวหนึ่ง ที่บินร่อนลงมาทางพรานเบ ซึ่งตอนนี้กำลังยัดลูกปืนลูกใหม่เข้าไปในรังเพลิง นัดไหนก็นัดนั้น บ่างนรกตัวนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากเป้าบินดีๆนี้เอง สิ้นเสียงตูม ร่างของมันก็แหกขาดครึ่ง ก่อนจะหมุนควงตกลงมา กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว พื้นดินและหมู่หิน ตอนนี้แดงฉานไปด้วยเลือดและกองเศษซากของค้างคาวนรกหย่อมๆ

          “ไปโว้ย ไอ้แปะ รีบไปลากคอไอ้เหน๋อมาหลบทางนี้ด้วยกัน”

          “เดี๋ยวทางนี้ พวกข้าจะคอยยิงคุ้มกันให้เอง เอามันให้เรียบ อย่าให้มันหนีไปไหนได้สักตัว”พรานโส่ยคำราม ก่อนจะกระโจนพรวดออกไปใช้มีดฟันไปที่หัวค้างคาวผีตัวหนึ่ง ที่กำลังกระพือปีกอยู่บนพื้นเร่าๆเพราะโดนกระสุนปืน ฉับเดียวเท่านั้นหัวของมันก็แบะ เห็นมันสมองกระจาย พรานแปะได้จังหวะก็กระโจนหมอบหลบ แล้วคลานศอกไปตามแนวหินใหญ่ โดยมีค้างคาวมรณะบินโฉบฉวัดเฉวียน เฉี่ยวไปมาสองสามตัว เพียงไม่นานก็ไปถึงตำแหน่งที่เห็นโปรงผ้าห่ม

          “ไอ้เหน๋อ”

          “ไปโว้ย จะมาหลบหาพระแสงอะไรอยู่ทางนี้ พวกเราไปรวมกันอยู่โน่น”พรานแปะตวาดลั่น พลางกระชากผ้าห่มออก แล้วเขย่าไปที่ เจ้าเหน๋อ ซึ่งตอนนี้นอนคุดคู้หมอบกระแตเอามือกุมหัวหลับตาปี๋ กว่าจะเรียกสติกลับมาได้ก็โดนฝ่ามือของพรานแปะตบไปหลายฉาด ส่วนทางแคมป์ไม่สามารถลำดับเหตุการณ์ต่างๆได้ เพราะต่างก็ตกอยู่ในสภาวะตะลุมบอน กระสุนปืนระเบิดจนหูดับตับไหม้ ลูกปืนบางนัดกระทบก้อนหินกระดอนดัง ปิ้ว แล่นเฉียดฉิว หวาดเสียวว่าจะถูกกันเอง จนพรานเบต้องร้องเตือนคณะ
         
          ฝูงค้างคาวมรณะยังคงบุกโจมตีคณะอยู่อย่างต่อเนื่อง ราวกับฝูงต่อแตกรัง แต่ก็ไม่อาจจะทนทานอำนาจการทำลายล้างของลูกกระสุนของปืนลูกซองไปได้  ทุกนัดที่ระเบิดออกไปนั้นหมายถึงชีวิตของค้างคาวเดนตายเหล่านั้น อย่างน้อยๆต้องร่วงลงมาสองถึงสามตัว หรือในบางครั้งก็มากกว่านั้นเพราะบางจังหวะพวกมันเกาะกลุ่มกันอยู่หลายตัว ทำให้ตกเป็นเป้ากระสุนได้โดยง่าย ครั้งหนึ่งพรานเบถึงกับอุทานลั่น เมื่อเห็นค้างคาวผีตัวหนึ่ง ร่อนลงมาเกาะอยู่ที่หลังของเจ้าพะเปรียวขณะที่ตัวมันเองเผลอ ซึ่งตอนนั้นกำลังง่วนอยู่กับการฟัดค้างคาวบาดเจ็บอีกตัวที่ถูกยิงตกลงมา พร้อมๆกับเสียงร้อง เอ๋ง ด้วยความเจ็บปวด เพราะค้างคาวนรกตัวนั้นได้ฝังคมเขี้ยวของมันลงไปยังตำแหน่งต้นคอด้านหลังของเจ้าพะเปรียว ครั้นจะยิงก็ไม่ได้ เพราะเกรงว่าลูกปืนจะไปถูกหมาที่ตัวเองเลี้ยงมา

          “ไอ้พะเปรียว!”

          “ทุกคนอย่ายิง เดี๋ยวลูกปืนไปโดนมันเข้า”พรานเบ ร้องเสียงหลง ก่อนจะปล่อยกระสุนไปที่ค้างคาวผีอีกตัว ที่ทำท่าจะร่อนลงมาสมทบ จนบินเสียหลักร่อนถลาเข้าไปในกองไฟ ที่ตอนนี้กำลังลุกโชติช่วงอยู่ พร้อมๆกับเสียงร้อง กรีดแหลม ด้วยความเจ็บปวดทุกทรมาน พักเดียวเท่านั้น ก็ดำหงิกงอ เป็นตอตะโก ส่วนเจ้าพะเปรียวก็ล้มลุกคลุกคลานจนฝุ่นตลบ จะเอี้ยวตัวไปไล่งับไล่กัดก็ทำได้ไม่ถนัด โชคดีที่เจ้าพุ่มทันเห็นเหตุการณ์ และอยู่ใกล้ที่สุด อารามด้วยความตกใจหรือไม่ก็กลัวว่าเจ้าพะเปรียวจะตกเป็นเหยื่ออันโอชะ จึงง้างเท้าเตะสุดแรงไปที่ร่างนั้น ราวกับมันเป็นลูกฟุตบอล อย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง เสียงดัง ผลัก เห็นผลทันตา ไอ้ค้างคาวนรกตัวนั้นกระเด็นหลุดออกไปจากหลังเจ้าพะเปรียว แต่ด้วยที่ไม่ทันได้ดูทิศทาง ลูกบอลมีชีวิตที่ส่งมาจากนรกตัวนั้น กลับกระเด็นไปกระแทกเจ้าเคิ้งที่นั่งหมอบหลบอยู่ตรงกองฟืนใกล้ๆกัน จนทำให้มีดในมือของเจ้าเคิ้งกระเด็นหลุดหายไป พร้อมๆกับเสียงร้อง ว๊าก ด้วยความตกใจระคน ขยะแขยง เมื่อตั้งสะติได้ ก็คว้าท่อนฟืนที่อยู่ใกล้มือกระหน่ำหวดไปอย่างลืมตัว แถมยังใช้เท้าเตะซากนั้นกระเด็นผลุบเข้าไปในกองไฟ ส่วนพรานแปะและเหน๋อ กว่าจะเข้ามารวมกลุ่มได้ก็ต้องลากกันมาอย่างถูลู่ถูกัง หน้าแข้งถลอกปอกเปิกได้เลือดไปตามๆกัน  เมื่อฝ่ายมนุษย์กลับมารวมกลุ่มได้ มีหรือจะยอมเสียเปรียบให้กับพวกสัตว์เดรัจฉาน ที่จ้องจะคอยกินเลือดกินเนื้อ ราวกับว่า เหยื่อที่พวกมันเห็นนั้นเคี้ยวกินง่ายๆ เหมือนเหยื่อที่พวกมันเคยเสพมาแล้วอย่างที่ผ่านๆมา ตัวแล้วตัวเล่าที่ต้องสังเวยให้กับกระสุนปืน กี่ชีวิตที่ต้องแหลกเละจนจำเค้าโครงเดิมไม่ได้ และอีกกี่ชีวิตที่ต้องไหม้หงิกงออยู่ในกองไฟ

เหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร คณะติดตามคนหายจะรบกับฝูงบ่างผผีสิงได้หรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป

.....

หนุ่มธุดงค์ไพร:  ความเห็นที่ 1 : 21 เม.ย. 64, 10:072
สวัสดีวันปีใหม่ไทย ย้อนหลังนะครับน้าๆทุกท่าน

ช่วงนี้ โควิด-19 ก็แพร่ระบาดไปทั่วเกือบทั้งประเทศแล้ว ยังไงก็ดูแล และรักษาสุขภาพด้วยนะครับ ออกไปไหนมาไหน ปิดแมส ล้างมือ เว้นระยะดีๆ เพื่อตัวน้าๆเองและ คนในครอบครัวนะครับ

เช่นเคยนะครับ ติ ชม หรือมีข้อแนะนำ งานเขียนของผมได้เต็มที่นะครับ ไม่ต้องเกรงใจ
และขอขอบคุณน้าๆทุกท่าน สำหรับกำลังใจและติดตามงานเขียนของผมมาอย่างยาวนาน   
แล้วพบกันใหม่ในบทต่อไปนะครับ ขอบคุณครับ


Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.1 seconds with 17 queries.