Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
28 April 2024, 17:23:17

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,608 Posts in 12,441 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร  (Read 628 times)
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« on: 22 April 2021, 23:59:26 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร


บทที่ 10

ตอนที่ 1


          กาลเวลาล่วงเลยไป เป็นเวลานานเท่าไหร่ไม่อาจทราบได้ ที่บุคคลหนึ่งในคณะทั้งแปด ได้พลัดตกลงไปในโตรกผาลึกภายในถ้ำปริศนาแห่งนั้น ซึ่งบัดนี้มันได้กลายมาเป็นกับดักมรณะโดยไม่รู้ตัว และไม่อาจรู้ถึงชะตากรรมของบุคคลนั้น ว่าจะเป็นหรือตาย ท่ามกลางความมืดมิด ชนิดที่ไร้แม้แต่แสงเดือนแสงตะวัน ก็ไม่อาจแผ่รัศมีเข้าไปถึงก้นเหวบริเวณนั้นได้เลย และมันคงเป็นเช่นนี้มานานแล้ว ชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่ใครจะรู้หรือไม่ว่า ภายใต้ความมืดมิด ที่กลืนกินสรรพสิ่งรอบด้าน จะปรากฏแสงสว่าง ที่ค่อยๆผุดเด่นขึ้นมา แสงสว่างที่ว่า ไม่ใช่แสงเทียนหรือแสงไฟที่ไหน แต่มันเป็นแสงในโสตประสาทส่วนลึกของเขานั่นเอง

          ชายหนุ่มหมดสติไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ก่อนที่จะรู้สึกตัว เหมือนหูของเขา จะแว่วเสียงอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังไม่สามารถจำแนกเสียงเหล่านั้นได้ เพราะความรู้สึกในตอนนี้ เหมือนมีอะไรมาบดทับร่างกายของเขาจนปวดระบมไปหมดทั้งตัว เมื่อค่อยๆขยับเปลือกตา ที่หนักอึ้งเหมือนกับถูกถ่วงด้วยลูกตุ้มเหล็ก ขึ้นทีละน้อยๆ ก็พบกับคำตอบของเสียงที่แว่วมา เพราะแสงเรืองๆของแสงไฟในกองฟืนที่กำลังปะทุไหม้อยู่ในกองนั่นเอง แต่ก็มองอะไรรอบๆกายไม่ถนัดนัก เพราะอาการพร่ามัวของดวงตาทั้งสองข้าง แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักกับที่ เพราะเหลือบไปเห็นร่างรางๆ ร่างหนึ่ง เมื่อค่อยๆพิจารณาร่างนั้นอย่างพินิจ ชายหนุ่มถึงกับตาสว่างขึ้นมาทันที

“พลับพลึง!”

“คุณนั่นเอง...”ชายหนุ่มอุทานออกมาอย่างลืมตัว ก่อนที่จะค่อยๆยันกายขึ้นมานั่งด้วยความยากลำบาก

“ใช่แล้ว”

“เราเอง”หญิงสาวในชุดสไบคาดเฉียงเอ่ยขึ้น พร้อมรอยยิ้ม

“ที่นี่ที่ไหนครับ”

“ผมสับสนไปหมดแล้ว?”ชายหนุ่มพูด พลางสะบัดศีรษะไปมาอย่างมึนงง

“ท่านจงพิจารณา สิ่งรอบกายของท่านดูเถิด”

“แล้วท่านจะได้คำตอบ”หญิงสาวที่มีนามว่า พลับพลึงกล่าว เมื่อได้คำอธิบาย ชายหนุ่มจึงหันไปสำรวจรอบๆบริเวณ ก็พบกับต้นตะเคียนใหญ่ต้นเดิม

“ปะ..ปะ..ประหลาด”

“เท่าที่ผมจำได้ ผมหนีช้างป่าเข้าไปในถ้ำไม่ใช่หรือ จู่ๆจะมาโผล่ที่นี้ได้อย่างไร”ชายหนุ่มละล่ำละลัก แต่ไม่ทันที่เขาจะกล่าวอะไรต่อ สุภาพสตรีหน้าหวานก็เอ่ยขัดขึ้นมาว่า

“แล้วต่อจากนั้น เป็นเยี่ยงไร?”

“...”ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เพื่อใช้ความคิดลำดับเหตุการณ์ที่ผ่านมา

“ผมจำได้แค่เพียงว่า ในถ้ำที่ผมเข้ามา มันมืดเสียจนผมมองไม่เห็นทางแล้ว...”

“...?”หญิงสาวไม่พูดใดๆ แต่แสดงสีหน้าเหมือนอยากได้คำตอบ

“ต่อจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้เลยครับ”

“มารู้สึกตัวอีกที ผมก็มาอยู่ที่นี่แล้ว”ชายหนุ่มหันมาตอบหญิงสาว

“...”หญิงสาวไม่เอ่ยถ้อยคำใด แต่เปลี่ยนสีหน้าดูเข้มขรึมลง แล้วค่อยลุกขึ้นมายืนเด่น ก่อนที่จะค่อยๆก้าวเดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่ม

“ท่านสิงห์”หล่อนเอ่ยนามของเขา

“ครับ”สิงห์ต่อสั้นๆ พลางเงยหน้าขึ้นไปมองเรียวหน้างามของหล่อน

“ท่านรู้หรือไม่ว่า สถานที่ ที่ท่านได้ล่วงล้ำเข้าไปนั้นคือที่ใด?”

“ผม..ผมไม่รู้ครับ”คำตอบที่ได้ ทำเอาคนถามถึงกับส่ายหน้าไปมา ประหนึ่งผิดหวัง หรือไม่ก็ระอา

“ท่านจงตรองดูเถิด”
“สถานที่แห่งหนใด คือจุดหมายปลายทางของพวกท่าน”หล่อนกระชั้นคำถามให้แคบลงไปอีก เท่านั้นเอง ความคิดอะไรบางอย่างของชายหนุ่มก็พลันแล่นวูบขึ้นมาในทันที

“ป่าดำ!”

“คะ..คะ..คุณพลับพลึง หมายถึง ป่าดำ ใช่หรือเปล่าครับ”ชายหนุ่มละล่ำละลักถาม

“ข้อนั้นเราตอบท่านมิได้ดอก”

“เราตอบได้แต่เพียงว่า...”หญิงสาวหยุดประโยคสนทนาไว้แค่นั้น ก่อนที่จะค่อยๆหันหน้าออกไปทางป่าทึบ แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า

“สถานที่ ที่ท่านได้พลัดหลงเข้าไปนั้น คือหุบเหว ที่เปรียบเสมือนด่านปราการแรก ที่จะนำทางคณะของพวกท่าน ไปสู่จุดหมาย!”หล่อนกล่าวจบ ก็ค่อยๆหันกลับมาสบตาชายหนุ่มอีกครั้ง

“...เหว อย่างนั้นรึ!”

“ใช่สิ ตอนที่เราวิ่งเข้ามาในถ้ำ”

“เหมือนว่า....เหมือนว่าเราล้มคะมำ แล้วกลิ้งลงมานี่หว่า”ทั้งหมดเป็นเพียงความคิดที่อยู่ในใจของชายหนุ่ม

“นี่แสดงว่าเราตกเหวลงมาอย่างนั้นหรือ”พอนึกถึงเหว ความรู้สึกใจหายวูบก็พลันเกิดขึ้น

“หรือว่า เราตายไปแล้ว!”

“ยังดอก...”

“...!”ชายหนุ่มหยุดชะงักในความคิดไว้เช่นนั้น เพราะเสียงหวานใส ที่แทรกเข้ามา

“ดวงจิตของท่านยังมิได้ดับสูญ!”หญิงสาวตอบเสียงราบเรียบ

“น..นะ นี่คุณ อ่านความคิดผมได้ด้วยหรือ!”

“ตื่น!”

“ตื่นเสียทีสิโว้ย!”ชายหนุ่มโพล่งออกมา พลางแหงนหน้ามองท้องฟ้า

“ท่านสิงห์ ท่านจงตั้งสติของท่านไว้ อย่าได้ร้อนใจอันใดเลย”

“สิ่งที่ท่านกำลังได้เผชิญอยู่นี้ ให้ท่านถือเสียว่า มันคือบ่วงกรรมของท่าน”หญิงสาวตอบ

“บ่วงกรรม?”

“ผมคงทำบาปทำกรรมเอาไว้มาก ถึงต้องชดใช้กรรมในเหวนรกนั่น”

“อาจเป็นเช่นนั้น”

“มันเป็นบททดสอบแรกของท่าน ที่ชะตาชีวิตของท่านจะต้องเผชิญ”หล่อนเอ่ย

“ชะตาของผม?”

“นี่ผมจะต้องหลงอยู่ในก้นเหว ที่ตัวผมเองก็ไม่รู้ว่ามันจะลึกแค่ไหนอย่างนั้นหรือครับ”ชายหนุ่มร้องถาม

“จงใช้สติ และใช้ปัญญาของท่านเถิด”

“ตราบใด ที่ท่านยังมีปัญญา จงใช้ปัญญาของท่าน แก้ไขปัญหา เมื่อนั้นท่านจะพบกับหนทางสว่าง”

“ดังปมเชือกที่ท่านมัดมันขึ้นมา หามีผู้ใดไม่ ที่สามารถแก้ปมเชือกนั้น ได้ดีไปกว่าตัวของท่านเอง”หญิงสาวตอบ ก่อนที่จะค่อยๆทรุดกายลงนั่งบนก้อนหินราบเรียบก้อนหนึ่ง ตาประสานตากันอีกครั้ง มีเพียงกองไฟกองน้อยเท่านั้น ที่กั้นขวางระหว่างหล่อนและชายหนุ่ม แววตาคู่นั้น ได้สบตาครั้งใดก็ครั้งนั้น ไม่มีครั้งไหนเลยที่ชายหนุ่มจะไม่รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงผิดปกติ มันแรงเสียกว่าเจอไอ้งายาวเชือกนั้นเสียอีก หล่อนทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น นอกจากดวงตาคู่นั้นที่เหมือนจะหยุดโลกทั้งใบให้หยุดนิ่ง กลิ่นกาย ของหล่อนก็ดูเหมือนว่าจะเป็นอาวุธร้ายที่คอยทิ่มแทงความรู้สึกของชายหนุ่มอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องบอกถึงเรือนร่างของหล่อน ที่มีสภาพกึ่งเปลือยอยู่ตรงหน้า มีเพียงผ้าสไบผืนบาง ที่เปรียบเสมือนอาภรณ์ที่ใช้ปกป้องสองปทุมถันของหล่อนเท่านั้น ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ เพราะมันไม่สามารถปกปิดส่วนนั้นของหล่อนเอาไว้ได้เลย ชายหนุ่มหลงอยู่ในภวังค์ เช่นนั้นนานเท่าไหร่ไม่อาจทราบได้ มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนที่ไฟในกองฟืนปะทุไหม้ดัง เปรี๊ยะ ทำให้ชายหนุ่มต้องรีบหลบสายตาของเขาไปทางอื่น

“อันที่จริงผมคิดว่า ถ้าผมตายไปก็ดีเหมือนกัน”

“ดีเสียอีก จะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนอะไร”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น พลางหลบสายตาลงไปมองไฟในกอง อย่างปราศจากความหมาย

“ท่านสิงห์”

“เหตุไฉน ท่านถึงคิดเยี่ยงนี้”หญิงสาวที่มีเรือนร่างขาวนวนราวกับปุยนุ่น เอ่ยขึ้น

“ผมก็ตอบคุณไม่ถูกเหมือนกันครับ”

“อาจเป็นเพราะผมมีความรู้สึกว่า โลกใบนี้มันเริ่มจะน่าเบื่อลงไปทุกทีกระมัง”ชายหนุ่มตอบ

“มันมิง่ายไปฤา ที่ท่านคิดเยี่ยงนั้น”

“ท่านจะมาด่วนจากไป โดยไม่คิดที่จะชดใช้กรรมมิได้ดอก”

“กรรม คำก็กรรม สองคำก็กรรม”

“นี่ผมคงสร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้มากมาย เลยสินะครับ ถึงชดใช้เท่าไหร่ก็คงไม่จบไม่สิ้น”ชายหนุ่มร้องบอก พลางยกไหล่ผายมืออกมาทั้งสองข้าง

“ก็เพราะมันเป็นวิบากกรรมของท่านที่จะต้องเผชิญ”

“แหนะ!”

“ไม่ทันขาดคำ กรรม อีกล่ะ”ชายหนุ่มร้องขัด จนคนเสวนาด้วย ถึงกับทำตาค้อนใส่

“ท่านสิงห์”หล่อนเอ่ย

“ต่อให้ท่านพยายามเยี่ยงไร ช้าเร็วท่านก็ต้องเผชิญ แต่จะเป็นเยี่ยงไรหรือในรูปแบบใดนั้น เราเองก็มิอาจตอบท่านใด”หล่อนเอ่ย พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาม้วนปลายเส้นผมที่ยาวสลวยเป็นเงาไปมา

“เอาเถอะครับ ไม่ว่ามันจะมาในรูปแบบไหน ผมก็พร้อมแล้ว”

“ขอแค่มีคุณอยู่เป็นเพื่อนผมแบบนี้ไปตลอดก็พอครับ ขืนอยู่คนเดียวคงเหงาตาย”ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างจริงใจ ขอให้มีหล่อนเป็นเพื่อนเช่นนี้ ต่อให้ต้องไปชดใช้กรรมที่นรกขุมไหนเขาก็ไม่กลัวอีกแล้ว

“เออ...”

“คุณพลับพลึงครับ”ชายหนุ่มเอ่ยนามของหล่อน แต่ก็ทำท่าลังเล เหมือนจะถามอะไรบ้างอย่างกับหล่อน แต่ก็ดูกล้าๆกลัวๆที่จะถาม

“ท่านมีเรื่องอันใด”

“ท่านก็จนบอกเรามาเถิด เรายินดีตอบท่านทุกเรื่อง ตามที่เราจะสามารถตอบท่านได้”หญิงสาวที่มีนามว่าพลับพลึงเอ่ยถาม

“ครับ”

“ข้อนั้นผมพอทราบดี เอาเป็นว่า ข้อไหนที่คุณพอจะตอบผมได้ก็ขอให้คุณช่วยตอบผมมานะครับ”ชายหนุ่มบอก หญิงสาวยิ้มหวาน แทนคำตอบ
“พวกผมที่เหลือ ยังปลอดภัยอยู่หรือเปล่าครับ”

“มีใครได้รับอันตรายจากช้างป่าโขลงนั้นหรือเปล่า?”ชายหนุ่มร้องถาม พลางทำสีหน้าขรึม

“นอกจากท่าน ที่ดวงจิตยังมิได้ดับสูญ”

“ยังมีดวงจิตจากบุคคลทั้งเจ็ด ที่ยังคงอยู่”หญิงสาวตอบ พลางส่งยิ้มหวาน

“จะ..จะ..จริงหรือครับ”

“ผมดีใจจริงๆ ที่ทุกคนยังปลอดภัย”ชายหนุ่มละล่ำละลักอยากยินดี แต่ก็ต้องชะงักไป เพราะหล่อนเอ่ยขึ้นมาอีกว่า

“มีดวงจิตดวงหนึ่ง ที่ดับสลาย”

“คุณพลับพลึงหมายความว่าอย่างไรครับ”

“ดวงจิตดวงหนึ่งดับสลายไป?”ชายหนุ่มร้องถาม

“ท่านจงตรองดู”

“ท่านรอดพ้นจากคชสารมาเยี่ยงไร ก่อนที่ท่านจะพลัดหลงเข้ามาในถ้ำแห้งนั้น”หญิงสาวเอ่ย เหมือนให้ชายหนุ่มใช้ความคิดไตร่ตรองเหตุการณ์ และดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะนึกอะไรขึ้นมาได้

“ไอ้พะบอง”

“ผมจำได้แต่เพียงว่า เหตุการณ์ตอนนั้นมันชุลมุนเสียจนทำอะไรไม่ถูก”

“เหมือนจะคลับคล้ายคลับคาว่า ตอนที่ผมกำลังถูกไอ้ช้างป่าพยายามใช้งวงกระชากขาข้างหนึ่งออกไปจากซุ้มเถาวัลย์ จู่ๆ ไอ้พะบองก็กระโจนเข้ามา”ชายหนุ่มตอบ พลางใช้ความคิดลำดับเหตุการณ์

“ผมไม่รู้ว่าผมหลุดออกมาจากงวงนั้นได้อย่างไร”

“แต่พอหลุดจากงวงของมันได้ ผมก็รีบคลานเข้าไปในดงเถาวัลย์ทันที”

“ไม่น่าเชื่อว่ามันจะใจกล้าขนาดนั้น”

“โธ่..”ชายหนุ่มพูดจบ ก็ถอนหายใจดังเฮือก

“สัตว์โลก ย่อมเป็นไปตามกรรม”

“สหายสี่เท้าของท่าน ก็คงเป็นเยี่ยงนั้น ทุกสรรพสิ่งย่อมมีวันแตกดับด้วยกันทั้งนั้น”หล่อนกล่าว

“.....”ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ แล้วจึงเอ่ยขึ้นมาว่า

“มันคงเป็นลางร้ายกระมังครับ”

“ใครจะคิด ว่าการที่ผมมาเที่ยวป่าเพื่อความบันเทิงแบบนี้ จะกลายมาเป็นหายนะ”สิงห์เอ่ย พลางนั่งทบทวนความผิดพลาด ที่ตัวเองและคณะได้ก่อขึ้น เริ่มตั้งแต่ที่พวกเขาทำสะเพร่าจนทำให้เกิดไฟป่า เพียงแค่แลกกับรังผึ้งรังเดียว ซึ่งมันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เพราะสาเหตุนี้เอง ที่คณะของเขาต้องมาพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ ถูกของหล่อนที่ว่า ทั้งหมดนี้มันคือวิบากกรรมของเขา ที่จะต้องเผชิญ

“เพราะความอยากรู้อยากเห็นของผมแท้ๆ ที่ทำให้คนอื่นต้องพลอยมาเดือดร้อน”

“ผ่าสิ!...ผมไม่น่าหาเรื่องมาเลย”ชายหนุ่มสบถกับตัวเอง

“มันเป็นลิขิตของท่าน”

“รวมถึงคณะของพวกท่าน ก็ถูกลิขิตไว้ร่วมกัน”หล่อนเอ่ย

“ลิขิตอย่างนั้นเหรอครับ”

“คนมีเป็นหมื่นเป็นแสน ทำไมสวรรค์ถึงเลือกผม?”ชายหนุ่มร้องถาม พลางหัวเราะหึๆอยู่ในลำคอ ด้วยความรู้สึกสมเพชตัวเอง

“ข้อนั้นเรามิอาจที่จะตอบท่านได้ดอก”

“ถ้าท่านคิดว่า สวรรค์เป็นผู้ที่เลือกและกำหนดชะตา ชีวิตของท่าน ตามที่ท่านได้กล่าวมา”

“ท่านเองก็ควรจะภาคภูมิใจมิใช่ฤา?”หล่อนกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ในเหวนรกนั่นนะรึ!”

“แหม่..สวรรค์ เข้าใจเลือกสถานที่ให้ผมเสียจริงๆ น่าจะหาสถานที่ ที่มันน่ารื่นรมย์กว่านี้เสียหน่อยก็ไม่ได้”

“แต่ก็ยังดี”ชายหนุ่มกล่าวเปรยกับตัวเอง

“เยี่ยงไรฤา?”หญิงสาวเลิกคิ้วถาม

“อย่างน้อยๆท่านเทวดาบนสวรรค์ ก็ยังมีจิตใจเมตตา ส่งนางฟ้าแสนสวยลงมาเป็นเพื่อนผม ถ้าเป็นแบบนี้ต่อให้ส่งไปเที่ยวนรกขุมไหน ผมก็ยอม”ชายหนุ่มกล่าวจบ ก็หันหน้าขึ้นไปสบตาหล่อนคนนั้น หล่อนที่เปรียบเสมือนนางฟ้าของเขานั้นเอง ถูกเกี้ยวต่อหน้าต่อตาแบบไม่ได้ทันตั้งตัวเข้าอย่างจัง มีหรือที่หญิงสาวจะไม่แสดงอาการอะไรออกมา ถึงหล่อนจะพยายามอดกลั้นความรู้สึกไว้เช่นไร แต่ด้วยธรรมชาติของสตรีเพศในตัวหล่อนทำให้หล่อนถึงกับหน้าแดง

“วาจาของท่าน เปรียบเสมือนคมมีด”

“ท่านคงกล่าวถ้อยคำเยี่ยงนี้ กับสตรีทุกนาง”หล่อนกล่าว แต่ยังแสดงอาการขวยเขินอยู่ให้เห็น

“ก็ไม่บ่อยนักหรอกครับ”

“เพราะนานๆครั้ง ผมจะเจอผู้หญิงสวยๆสักครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะผู้หญิงสวยๆแบบคุณ ผมไม่เคยพบเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”ชายหนุ่มพูดจบก็สบตาหญิงสาวอีกครั้ง จนหล่อนต้องหลบตาหนี ใช่แล้วในโลกของความเป็นจริง ที่ไม่ใช่ความฝันเช่นนี้ จะมีหรือไม่ในโลกนี้ ที่จะมีหญิงสาว ที่สวยเพียบพร้อมเช่นเธอ และคงไม่มีบุรุษเพศใดในโลกนี้ ที่จะไม่คิดตกหลุมรักหล่อน จะมีก็แต่ คนตาบอดเท่านั้น ที่มองไม่เห็นความสวยงามของหล่อน

          ในห้วงภวังค์ ราวกับถูกสาป หรือไม่ก็ต้องมนต์สะกด อะไรบางอย่าง ความรู้สึกกลัวในครั้งแรกที่รู้ว่าตัวเองอยู่ในหุบลึกของเหวปริศนา มาบันนี้ความรู้สึกนั้นกลับหายไปหมดสิ้น เหมือนกับว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ความฝัน ซึ่งถ้าตื่นขึ้นมา ภาพแห่งนิมิต เหล่านั้นคงหายไป แต่ชายหนุ่มจะรู้หรือไม่ว่า สิ่งที่เขาได้เผชิญมานั้น มันไม่ใช่ความฝันอย่างที่เขาเข้าใจ และเมื่อตื่นขึ้นจากฝันร้าย เขาเองจะพบกับคำตอบที่ไม่มีใครสามารถอธิบายได้ โดยเฉพาะหล่อนคนที่อยู่เบื้องหน้าเขานั้น กี่ครั้งแล้วที่เขาได้พบหล่อน จะเป็นไปได้หรือ ที่เขาจะฝันเห็นภาพหล่อนแบบนี้มาหลายคืนติดต่อกัน นับตั้งแต่คืนแรกที่ย่างกายเข้ามาในไพรกว้างแห่งนี้ แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้เขานึกหนักใจหรือหวาดกลัว ตรงกันข้ามกลับมีความรู้สึกอบอุ่นและมีความสุข เมื่อได้พบหล่อนอีกครั้ง ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายขนาดไหนก็ตาม

“ท่านสิงห์”

“ท่านมิมีความอันใด ที่จะซักถามเรา อีกฤา”หญิงสาวกล่าวออกมาเสียงราบเรียบ แต่ก็กังวานพอที่จะให้ชายหนุ่ม หลุดออกมาจากห้วงภวังค์

“ออ...เอ่อ..”

“ผมอยากรู้ว่า ที่หุบเหวที่ผมตกลงไปนั้น มีเส้นทางออกหรือไม่ครับ”ชายหนุ่มร้องถาม หญิงสาวก้มหน้าเล็กน้อย

“อ่า...”

“คุณพอจะบอกเส้นทางนั้นกับผมได้หรือเปล่าครับ”ชายหนุ่มร้องถามอย่างคนมีความหวัง แต่ก็ต้องทำหน้าเศร้าเพราะหล่อนเอ่ยทำลายความหวังของเขาว่า

“ข้อนั้นเรามิสามารถ ตอบท่านได้”

“มันเป็นลิขิต ของท่าน ที่จะต้องพบเจอกับปัญหาเหล่านั้น”หญิงสาวตอบ แต่แอบซ่อนรอยยิ้มไว้ที่มุมปากเล็กน้อย

“โธ่...คุณพลับพลึงครับ”

“แบบนี้ผมไม่แห้งตายอยู่ในรูนั้นรึ?”ชายหนุ่มพูดจบก็ยกมือเกาท้ายถอยตัวเองแกรกๆ

“สติและปัญญาของท่านเท่านั้น ที่ท่านจะต้องนำมันออกมาใช้”

“เมื่อนั้นท่านจะพบกับแสงสว่าง ดังแสงเทียนที่ส่องชี้นำในความมืด”หญิงสาวกล่าว พร้อมรอยยิ้ม

“ปัญญาทึบสิไม่ว่า”

“คุณคงจะให้ผมนั่งสมาธิแล้ว เอาน้ำลายแตะขมับตัวเอง แบบ อิคิวซัง สินะ!”ชายหนุ่มพูดพลางยกมือคุมขมับ

“...?”

“ข้อนั้นเรามีทราบ ว่าท่านจะใช้วิธีเยี่ยงไร”หญิงสาวกล่าว

“ถ้าผมหาทางออกไม่ได้จริงๆ คุณจะช่วยผมหรือเปล่าครับ”

“อย่างน้อยๆ บอกใบ้ให้ผมได้รู้หนทาง ให้มากกว่านี้ก็ยังดี”

“...”หล่อนไม่ตอบ

“นิดหนึ่งนา...”ชายหนุ่มกระเซ้า

“...”เงียบ พลางทำหน้าดุใส่ จนคนถามถึงกับสะดุ้ง

“ปุดโถ่...!”

“บอกนิดบอกหน่อยก็ไม่ได้ แบบนี้ไอ้สิงห์ได้แห้งตายแหงๆ”พูดจบก็ทิ้งตัวลงไปนอนแผ่หลา อย่างหมดเรี่ยวแรง

“เอ๊า! เป็นไงเป็นกันวะ”

“อย่างน้อยๆ ตายไปก็ไม่เหงา”พูดจบก็พลิกตัวตะแคงหันหน้ามาทางหล่อน

“อาจเป็นเยี่ยงนั้น”

“ฤา อาจมิได้เป็นเยี่ยงนั้น!”หล่อนตอบ พลางเขยิบกายถอย เมื่อเห็นชายหนุ่มขยับเข้ามาใกล้ แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะมือข้างหนึ่งของหล่อนถูกชายหนุ่มคว้าเอาไว้แน่น และโดยไม่ทันที่หล่อนจะตั้งตัว ตักอันนุ่มนิ่ม ก็ถูกชายหนุ่มขึ้นไปหนุนหัวนอนหน้าตาเฉย โดยกุมมือของหล่อนเอาไว้แน่นแนบอก

“..!”

“ทะ ท่าน..จะทำอันใดฤา”หญิงสาวร้องบอกเสียงสั่น

“...”

“ขอให้ผม ได้นอนอยู่อย่างนี้ต่อไปเถอะครับ คุณพลับพลึง”

“หรือถ้าผมทำให้คุณโกรธเคือง ผมยอมให้คุณพลับพลึงหักคอผมตอนนี้เลยก็ได้”ชายหนุ่มกล่าวในขณะที่หลับตา พริ้มอยู่เช่นนั้น

“อนาคตข้างหน้าผมก็ไม่รู้ ว่าจะอยู่หรือจะตาย”

“ผมรู้สึกมีความสุขมากๆที่ได้อยู่ใกล้ชิดคุณแบบนี้ครับ คุณพลับพลึง”พูดจบ ชายหนุ่มก็ค่อยๆลืมตาขึ้นสบตาหล่อนอีกครั้ง ดวงตาคู่งามของหล่อนสบตาตอบ จนชายหนุ่มถึงกับ รู้สึกวาบหวิวเข้าไปในหัวใจจนบอกไม่ถูก หัวใจที่เต้นรัวยิ่งกว่ากลองเพลด้วยอาการตื่นเต้น ไอ้งายาวที่ว่าแน่ หัวใจของชายหนุ่ม ยังไม่สั่นเท่าได้สบตาคู่นั้นของหล่อนเลย

“ผมขอโทษ หากการกระทำเช่นนี้ ทำให้คุณไม่สบายใจ”

“แต่ได้โปรดเถิดครับ อย่างน้อยๆ ขอให้ผมได้มีความสุขอยู่เช่นนี้ ก่อนที่ผมจะ..ต.!”ชายหนุ่มผู้ตกลงในห้วงแห่งความฝัน พูดได้แค่นั้น ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะมีมือเรียวงามข้างหนึ่ง เอื้อมขึ้นมาแตะริมฝีปากของเขา ไม่ให้พูดต่อ พลางส่ายศีรษะไปมาช้าๆ

“สิ่งที่ท่าน ปรารถนาที่จะเอ่ยมานั้น มันมิได้เกิดขึ้นง่ายๆ ดังที่ท่านคิดดอก”

“ตราบใด ที่ท่านยังชดใช้หนี้กรรมที่ท่านก่อไว้มิหมด”หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ผมคงทำบาปไว้มากมาย มากเสียจนตามชดใช้ไม่หมดกระมัง”

“แต่ก็ช่างมันเถอะครับ ไม่ว่านรกขุมไหน ผมก็ไม่กลัวทั้งนั้น ผมพร้อมที่จะเผชิญแล้วครับ”ชายหนุ่มกล่าวออกมาเสียงราบเรียบ พลางกุมมือของหล่อนไว้เช่นนั้น

“เมื่อผมตื่นจากฝันนี้...ซึ่งอันที่จริงผมเองก็ไม่อยากจะตื่นขึ้นมาสักเท่าไหร่”

“ผมจะพยายามใช้สติปัญญา อย่างเต็มที่ ตามที่คุณพลับพลึงแนะนำ”

“หรือถ้ามันจนปัญญาของผมแล้วจริงๆละก็...”

“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดครับ ผมรับมันได้ทุกอย่าง” ชายหนุ่มกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น

“เรายินดียิ่งนัก ที่ท่านคิดเยี่ยงนี้”

“มิมีอุปสรรค์ อันใดที่จะสามารถขวางกั้น ท่านได้ ถ้าท่านมีแรงปรารถนา อันแรงกล้าเยี่ยงนี้”

“ไม่ใช่แรงปรารถนาที่ไหนหรอกครับ เป็นเพราะคุณพลับพลึงมากกว่า ที่ทำให้ผมมีแรงฮึดสู้ต่อไป”ชายหนุ่มพูดจบ ก็เลื่อนมือที่กุมไว้ ขยับขึ้นมาไว้แนบชิดแก้มของเขา

          ผิวกายที่ขาวดังปุยนุ่น ครั้นเมื่อกระทบแสงไฟสีเหลืองอัมพัน ที่ส่องแสงสว่างฉาบไปตามเรือนร่างของหล่อน ทำให้ผิวของหล่อนดูเนียนตาไร้ตำหนิ ละคนกับกลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้ป่า ซึ่งคนได้กลิ่นอย่างกระชั้นชิดแบบนี้ ยังไม่สามารถแยกแยะได้ออกว่าเป็นกลิ่นของดอกไม้ชนิดใด จะว่าเป็นกลิ่นของดอกช้างกระ ที่เสียบติดทัดหูของหล่อนก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเขาก็พอที่จะจำแนกได้ออก แต่กลิ่นที่หอมรัญจวนใจแบบนี้สิ มันทำให้เขาต้องประหลาดใจเป็นที่สุด ราวกับว่ามันจะถูกสกัดมาจากดอกไม้ป่าสารพัดชนิด แล้วนำมาประพรมไปตลอดทุกอณูผิวของหล่อน ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจให้ชายหนุ่มเผลอขยับมือของหล่อนที่กุมไว้ขึ้นมาดมอย่างลืมตัว จนผู้ที่เป็นเจ้าของมืองามนั้นมีอาการอึกอักไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด

“...!”

“ทะ..ท่าน”หล่อนละล่ำละลัก

“ท่านสิงห์...”
“...”

“ท่านสิงห์ ถึงเพลาแล้ว ที่เราต้องลาจากท่านไป”หญิงสาวกล่าว ทำให้คนที่ได้ฟังถึงกับใจหายวาบ หมดเวลาแล้วหรือ ที่เขาและหล่อนจะต้องจากไปอีกครั้ง

“ได้โปรดเถิดครับคุณพลับพลึง”

“ได้โปรดให้ผมได้อยู่แบบนี้ต่อไปเถิดครับ อย่างน้อยๆ ก็ขอให้ผมได้หลับไป โดยที่มีคุณอยู่เคียงข้างผมเช่นนี้เถิดถือว่าผมข้อร้องคุณ”พูดพลางส่งสายตาวิงวอน พลางกุมมือของหล่อนไว้แน่นขึ้นอีก

“ไม่แน่ ในวันข้างหน้า ผมอาจจะไม่ได้ผมคุณอีกก็ได้”

“นะครับ คุณพลับพลึง”

“ท่านลืมไปเสียแล้วฤา?”

“ทุกราตรีกาล หากท่านระลึกถึงเรา เมื่อนั้นเราจะได้พบกันอีก”ไม่พูดเปล่า หล่อนที่มีนามว่าพลับพลึง กลับค่อยๆเอื้อมมือมาลูบบนเส้นผมของชายหนุ่มช้าๆ ก่อนที่จะเอ่ยมาว่า

“ราตรีสวัสดิ จงมีแด่ท่าน”

“ขอให้ท่านจงใช้สติ และปัญญา ให้ถึงที่สุด  เมื่อนั้นแสงเทียนในใจท่าน จะส่องนำทาง ให้ท่านได้พบกับหนทางสว่าง”หล่อนเอ่ยทิ้งท้าย ก่อนที่ม่านตาของชายหนุ่มจะค่อยๆปิดลง ท่ามกลางกลิ่นอาย ที่หอมคลุ้งไปทั่ว นี้หรือความทุกข์ทรมานที่เขาจะได้รับ นี้หรือขุมนรกที่เขาจะได้เผชิญเมื่อลืมตาขึ้น ต่อให้เป็นนรกขุมไหนก็ตาม เขาก็ไม่คิดหวั่น ตราบใด ที่มีหล่อนเคียงข้างอยู่เช่นนี้ อุปสรรค์หรือขวากหนามจะมากั้นขวางเส้นทางขนาดไหน มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากขนนกที่ไร้ประโยชน์ ที่จะมาขวางกั้น แรงแห่งศรัทธาของชายหนุ่ม  แรงศรัทธาที่หล่อนเป็นคนจุดประกาย  ให้เขาได้มีความหวัง ชายหนุ่มบอกกับตนเองเช่นนั้น ก่อนที่เคลิ้มหลับไป...


*****เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เมื่อชายหนุ่มตื่นขึ้นจากความฝัน โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในตอนต่อไป*****

.....

ขอนอกเรื่องนิดหนึ่งนะครับ ^ ^
เมื่อเสาร์-อาทิตย์ ที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสได้ร่วมเดินทางไปกับคณะ ในกิจกรรม "เดินป่ากับนักเขียน" จริงๆกิจกรรมนี้เกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้วครับ แต่ผมเพิ่งจะมีโอกาสได้เข้าร่วมด้วย เหตุผลที่ไปเพราะ มีนักเขียน ที่ผมติดตามผลงานมานาน ได้ร่วมเดินทางไปด้วยครับ
จุดแรกที่แวะคือ อ่างเก็บน้ำ เขื่อนสียัด ซึ่งอดีตภายใต้ผืนน้ำแห่งนี้ เคยเป็นป่าผืนใหญ่มาก่อน บรรยากาศน่ามาตั้งแค้มป์ตกปลามากครับ


พวกเราทั้งหมดประมาณ 50 กว่าคน ไปพักแรมกันที่ อช.หลุมจังหวัด ครับ ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขาอ่างฤาไน
ในรูปเอาคุณนาย(พลับพลึงของผม ฮาๆ) ไปคุม เอ๊ย! พาๆปเที่ยวด้วย เผื่อไอ้ตัวเล็กที่อยู่ในท้องจะชอบ (อ้างไป) สรุปได้นอนนอกบ้าน คุณนายนอนในบ้าน(เต๊นท์) ผมนอนนอกบ้าน(เปล) ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหมายังไงไม่รุ ฮาๆ


ท่านนี้ล่ะครับ นักเขียนในดวงใจผม หลายๆคนอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าบอกว่า วัธนา บุญยัง หลายคนอาจจะร้องอ๋อ
อ.วัธนา บุญยัง เป็นคนกันเองมากครับ เรียบง่าย เฮฮา คุยสนุกครับ โดยเฉพาะตอนที่ อ.วัธนา เล่าถึงอดีตของป่าเขาอ่างฤาไน (เก็บข้อมูลเอามาโม้ในนิยามผม อิอิ)


อีกท่านคือ...?  มีน้าท่านใดพอที่จะตอบในใจได้หรือเปล่าครับ
หลายคนอาจไม่รู้จักอีกเช่นเคย แต่ถ้าผมบอกว่า บุหลัน รันตี  อ๋อเลยใช่มั๊ยครับ ผมขอเรียกว่า พี่ บุหลัน ดีกว่า เพราะอายุอานายังหนุ่มยังแน่นมากเลยครับ ผิดคาดเลย ที่ผมคิดว่า ตัวจริงน่าจะอายุมากแล้ว แต่ขอบอกว่า เรื่องเที่ยวป่าแกสุดยอดจริงๆครับ และที่สำคัญ บ้านก็ติดๆกับผม คือ พี่เขาอยู่ จ.ราชบุรี ผม กาญจน์ (แอบตีสนิท)
ครั้งหนึ่งเราได้มีโอกาสคุยกันสองต่อสอง(เอ๊ะยังไง) ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีพี่ท่านผูกเปลนอนข้างๆผมพอดี ผมเลยมีโอกาสได้คุยกับพี่ท่าน ขอคำปรึกษาต่างๆนานา ถึงเทคนิคและขั้นตอนในงานเขียน ได้ความรู้มากมายครับ น้าๆทุกท่านในที่นี้ก็สามารถเป็นนักเขียนที่ดีได้ครับ ขอให้มีความมานะและพยายาม สิ่งที่คิดว่ายากมันอาจจะไม่ยากอย่างที่ท่านคิดก็ได้



Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #1 on: 23 April 2021, 00:07:54 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 ตอนที่ 2


บทที่ 10

ตอนที่ 2

          ราตรีกาลเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า ท่ามกลางบรรยากาศที่เยือกเย็น คละเคล้าไปกับสายหมอกจางๆ ภายใต้ความมืดมิด ที่กลืนกินทุกสรรพสิ่งรอบด้าน ความโกลาหลวุ่นวายเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา บัดนี้กลับเงียบสงบ ราวกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นเลย หริ่งหรีด รองไน ที่พากันเงียบสงัด ครั้นเมื่อความคับขันได้คลี่คลายลงไป ต่างก็พากันส่งเสียงเซ็งแซ่ระงมป่าอย่างเช่นเคย ทำให้บรรยากาศที่ดูวังเวง กลับมามีชีวิตชีวามากขึ้น นอกจากเสียงแมลงไพรที่พากันกรีดปีกแล้ว  นานๆครั้งก็มีเสียงสัตว์ป่ากู่ขึ้นมาให้ได้ยินสักครั้งหนึ่ง ทำให้ป่าดูเป็นป่ามากขึ้นทุกขณะ

          แต่สภาพแวดล้อมส่วนที่อยู่ลึกลงไปใต้พิภพ กลับมีสภาพที่แตกต่างไปจากภายนอกอย่างสิ้นเชิง บรรยากาศภายนอกมีความมืดมิดเช่นไร ภายในถ้ำนั้นมืดมิดกว่าเป็นทวีคูณ ยิ่งสรรพสำเนียงของสิ่งที่บงบอกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตด้วยแล้ว ไม่สามารถหาที่มาหรือเบาะแสใดๆได้เลย และดูเหมือนว่า ภายในเหวนรกนั้นจะไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่เลย นอกจากร่างที่นอนหมดสติอยู่ภายใต้ก้นเหวนรกดำ

          ดวงตาที่ขยับกรอกไปมา ภายใต้เปลือกตาที่ปิดสนิท เป็นเวลานาทเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ที่ชายหนุ่มนอนหมดสติอยู่ภายใต้ความมืดมิดของก้นเหวนั้น ร่างกายที่แน่นิ่งมานาน เริ่มมีอาการขยับทีละน้อยๆ เริ่มจากปลายนิ้วมือ ของมือทั้งสองข้าง สัมผัสแรกที่สติของชายหนุ่มเริ่มกลับคืนมา คืออาการปวดระบบไปทั้งร่างกาย จนเผลอร้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความยากลำบาก ก็พบกับความมืดมิดรอบด้าน ไม่ว่าจะพยายามพลิกหันไปมองทิศต่างๆ รอบกาย ก็ไม่สามารถรับรู้ถึงการมองเห็นใดๆได้เลย จนนึกใจเสียคิดว่าตัวเองอาจจะตาบอด แต่ก็พยายามตั้งสติ นั่งทำสมาธิสงบจิตใจ เพื่อไตร่ตรอง ถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวเขา ภาพของเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นจึงค่อยๆ ชัดขึ้นในมโนจิต

          ใช่แล้วตัวเขาเองไม่ใช่หรือ ที่หนีหัวซุกหัวซุน เอาตัวรอดจากไอ้คชสาร ก่อนที่จะพลัดเขามาภายในปากโพรงถ้ำนี้ และในขณะที่ตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด โดยไร้ทิศทางหรือผู้ชี้นำ อยู่ๆ แผ่นดินที่ตัวเองเคยเหยียบกลับอันตรธานหายไปเสียดื้อๆ จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า ตัวเองกลิ้งตกลงมาจากที่สูง แต่ก็ไม่สามารถนึกอะไรได้ต่อ เพราะหลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้แล้ว โชคของเขายังดี ที่หลังไม่หักเสียก่อนในขณะที่กลิ้งตกลงมา เพราะเป้ที่สะพายหลังที่ติดคาอยู่ เปรียบเสมือนเกราะกันกระแทกอย่างดี

          ชายหนุ่มค่อยๆปลดเป้หลังออกด้วยความยากลำบาก ในขณะที่ตัวเองนั่งพิงอยู่เช่นนั้น เพราะอาการปวดตามร่างกาย จนรู้สึกร้าวไปหมดทั้งตัว ชายหนุ่มพยายามอยู่ไม่กี่อึดใจ ก็สามารถปลดเป้หลังของตัวเองออกมาวางไว้ ที่หน้าตักจนได้ ชายหนุ่มไม่รีรอที่จะสำรวจสิ่งของจำเป็นภายในเป้นั้น แต่เมื่อมองอะไรไม่เห็น ดวงตาในตอนนี้จึงไร้ประโยชน์ ในเมื่อไม่สามารถใช้ดวงตาได้ มือทั้งสองข้างจึงต้องรับหน้าที่แทนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มือข้างซ้ายกอดเป้สนาม มือขวาล้วงคลำเข้าไปในเป้นั้น ชายหนุ่มถึงกับยิ้มออกในความมืด เพราะมือข้างที่ล้วงเข้าไปในเป้ สัมผัสเข้ากับวัตถุทรงกระบอกเข้าอย่างจัง สิ่งที่ว่านั้นก็คือ ไฟฉายขนาดหกท่อนของเขานั้นเอง

“กริ๊ก!”

          ทันทีที่สวิทช์ของไฟฉายถูกเปิด ลำไฟฉายจากปลายกระบอก ก็สาดออกมาจนสว่างจ้า สิ่งแรกที่ลำแสงนั้นสาดกระทบก็คือ ผนังหินขนาดใหญ่มหึมา ซึ่งตอนนี้กระทบกับแสงแวววาวของผลึกหินที่เกาะแน่นไปหมด ตลอดทั้งผนังหินนั้น และเมื่อฉายไฟไล่ลำแสงไปตามผนังหินนั้น ก็ปรากฏเห็นแผ่นหินที่งอกขึ้นมาเกยซ้อนกันเป็นเหลี่ยมมุม ดูซอกซอนอยู่เต็มไปหมด บางช่องก็กว้างพอที่จะให้คนมุดลอดเข้าไปได้ บางช่องก็ใหญ่โตขนาดที่ช้างทั้งตัวก็สามารถเดินผ่านไปได้เช่นกัน เมื่อเสยปลายกระบอกไฟฉายสูงขึ้นไป ก็พบกับบริเวณที่อาจเป็นเพดานของถ้ำแห่งนี้ ลักษณะเป็นชะง่อนยื่นเกยกันออกมา เหมือนโดมหรือไม่ก็สนามฟุตบอลขนาดใหญ่มีมีหลังคาครอบยื่นออกมา ส่วนบริเวณกึ่งกลาง ของโดมนั้นเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ เมื่อลองฉายไฟขึ้นไปสำรวจก็มองอะไรไม่ถนัดนัก แต่ก็พอมองเห็นแค่เพียงระยะความสูงไม่เกินจากยี่สิบเมตร เพราะเหนือขึ้นไปจากระยะรัศมีของแสงไฟ ก็ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีก นอกจากความมืดมิด ซึ่งตัวเขาเองก็ไม่สามารถคาดคะเนความสูงของถ้ำแห่งนี้ได้ เมื่อนึกถึงระดับความสูง ก็ทำให้ต้องใจหายวาบ ระดับความสูงขนาดนี้ เปอร์เซ็นต์ที่จะรอดมีน้อยมาก จนเกือบจะเรียวว่า ศูนย์ แต่ในเมื่อมีโอกาสได้อยู่ต่อ ก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด

          ชายหนุ่มลดระดับของไฟฉายกลับมาสำรวจร่างกายของตนเองอีกครั้ง เพื่อตรวจดูว่ามีส่วนไหนของร่างกายบุบสลายไปหรือไม่ ส่องไฟดูตามเนื้อตัวจอยู่อึดใจ ก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง เพราะนอกจากรอยถลอกปอกเปิดตามเนื้อตัวแล้ว บางตำแหน่งก็เป็นแค่รอยถลอกที่เกิดจากการครูดไถล โชคยังดีที่ตอนนั้นสวมแจ๊กเก็ตอยู่กับตัว จึงช่วยได้มาก แต่ก็นึกเสียดาย เพราะบางตำแหน่งของเสื้อตัวโปรด ถูกหินเกี่ยว จนขาดเป็นรูโบ๋ นอกนั้นก็เป็นอาการฟกช้ำดำเขียวไม่มีส่วนใดของร่างกาย แตกหักจนดูน่ากลัว แต่ขณะที่ชายหนุ่มยกแขนเสื้อเพื่อที่จะปาดเช็ดเหงื่อบนใบหน้า ก็ต้องซี๊ดปากด้วยความเจ็บ เพราะแขนข้างขวาไปกระทบเข้ากับหัวคิ้ว เมื่อใช้มือลูบคลำดูจึงรู้ว่า บริเวณหัวคิ้วข้างขวานั้น มีบาดแผลปริแตก ซึ่งตอนนี้เลือดที่เคยไหลออกมาจากบาดแผลบริเวณนั้น ได้แห้งกรังไปนานแล้ว
เมื่อสำรวจเนื้อตัวจนแน่ใจว่า ทุกส่วนของร่างกาย ยังสามารถใช้การได้อย่างปกติ เพื่อความแน่ใจ ชายหนุ่มค่อยๆยันกายขึ้นมาช้าๆ ขยับไปพลาง ก็ต้องร้องครางไปพลาง เพราะความปวดระบมของร่างกายยังมีอยู่ กว่าจะกัดฟันพยุงตัวเองให้ยืนอยู่ได้ ก็เซถะหลาเกือบจะล้มหน้าคว่ำไปหลายครั้ง  จากนั้นก็ทดลองก้าวเดินไปข้างหน้าช้าๆ ขยับส่วนนี่นิด ส่วนนั้นหน่อย ยกขายกแขน เพื่อทดสอบสมรรถภาพของร่างกาย ทดลองอยู่อึดใจก็พอจะมีกำลังใจเพิ่มมากขึ้น เพราะนอกจากแผลที่หัวคิ้ว ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นแผลฉกรรจ์ที่สุด นอกนั้นก็เกือบจะเรียกได้ว่าปกติ

          จากตำแหน่งเดิม ชายหนุ่มเดินส่องไฟฉายสำรวจถ้ำนั้นในรัศมีไม่ไกลนัก เพื่อจะหาทางหนีทีไล่ และช่องทางที่จะปีกกลับขึ้นไปจากเหวนรกแห่งนี้ แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจหันหลังกลับมาที่ตำแหน่งเดิม เพราะความสลับซับซ้อน ของเหลี่ยมหิน อาจจะทำให้หลงเอาได้ง่าย จึงกลับมาที่เป้หลังของตัวเอง ที่ถูกวางกองลงกับพื้น เพื่อสำรวจของใช้จำเป็นต่างๆ ที่พอจะนำมาใช้ในสถานการณ์เช่นนี้ สิ่งแรกที่คิดคือ น้ำ จึงรีบใช้มือจับไปที่เอว ก็ต้องเบาใจเพราะ กระติกน้ำยังอยู่ จึงค่อยๆดึงกระติกน้ำนั้นออกมาดื่มอย่างกระหาย แต่ก็ต้องช่างใจ เพราะน้ำที่มีอยู่เหลือไม่เกินครึ่งกระติก จึงต้องเหลือเก็บไว้ดื่มในมื้ออื่น เพราะยังไม่รู้ว่า ภายใต้พิภพแห่งนี้ เขาจะสามารถหาแหล่งน้ำได้หรือไม่

          หมดปัญหาเรื่องน้ำไปอีกระดับหนึ่ง ชายหนุ่มจึงฉายไฟสำรวจภายในเป้หลัง รื้อค้นอะไรอยู่ กรุกกรัก ก็งัดเอาอะไรต่อมิอะไร ออกมาวางเรียงรายบนพื้นได้หลายรายการ เริ่มจากอาหาร จำพวกเครื่องกระป๋อง ซึ่งมีติดมาด้วยอยู่สามกระป๋อง นอกนั้นอยู่ในย่ามของพรานโส่ย หนึ่งในสามเป็น ผักกาดดองเสียหนึ่ง อีกสองเป็นปลาซาร์ดีนในน้ำซอส ต่อมาก็คือเนื้อเค็มที่ติดมาด้วยตั้งแต่ออกเดินทางมาถึงตอนนี้ มันยังอยู่ในถุงพลาสติกอย่างดีถึงสองพวง นอกนั้นก็เป็นเสื้อผ้าอีกสองสามชุด และเปลสนามที่ถูกขยุ้มม้วนแบบไม่เป็นระเบียบอย่างที่ควรจะเป็น แต่ที่ทำให้ดีใจที่สุดก็คือ ไม้ขีดไฟ ที่ถูกห่อไว้ในถุงพลาสติกกันน้ำอีกหนึ่งกลัก

          สำรวจสิ่งของในเป้หมดแล้ว ก็หันมาไล่เปิดช่องกระเป๋าด้านข้างของเป้สนาม ก็พบกับห่อพลาสติก ซึ่งภายในนั้น มียาสามัญชนิดต่างๆ อยู่หลายรายการ ตั้งแต่ ยากินจำพวก ยาแก้ปวด ยาแก้แพ้ ยาแก้ท้องเสีย ยาแก้ไข้ทั่วไป รวมไปถึงยาทาภายนอก เช่นยาหม่อง ยาใส่แผลพวก ยาแดงและ เบตาดีน ส่วนในขวดแก้วขนาดเล็กนั้น ที่มีน้ำใสๆคือ ยาฆ่าเชื้อ อย่างไฮโดรเจน ส่วนอีกขวดที่มีน้ำสีฟ้าอ่อนๆคือ แอลกอฮอล์ ซึ่งมีอยู่ในขวดแก้วใสขนาดเล็กแบบพกพาอย่างละขวด นอกจากยากินและยาทาแล้ว ยังมีผ้าพันแผลและสำลี ที่อยู่ในซองพลาสติกฆ่าเชื้ออย่างดี รวมไปจนถึง พลาสเตอร์ยาอีกหลายชิ้น ที่ถูกแพ็ครวมอยู่ด้วยกันในถุงยานั้น ชายหนุ่มไม่รอช้าที่จะใช้ยาที่มีอยู่ รักษาทำแผลตามร่างกาย เท่าที่ตัวเองจะสามารถทำได้ เริ่มแรกคือกลืนยาแก้ปวด ที่โยนเข้าปากไปทีเดียวถึง 2 เม็ด โดยไม่ต้องพึ่งน้ำ อันดับต่อมาจัดการบาดแผลที่หัวคิ้วที่แตก โดยใช้สำลีชุบ ไฮโดรเจน แล้วเช็ดทำความสะอาดบริเวณบาดแผล ที่เปรอะไปด้วยคราบเลือดและฝุ่นดิน ทันทีที่ไฮโดรเจนทำปฏิกิริยา ก็เกิดเป็นฟองฟู่ขึ้นมาทันที่ ทำให้เศษสิ่งสกปรกต่างๆหลุดรอกติดมากับฟองฟู่ของไฮโดรเจน ชายหนุ่มทำซ้ำอยู่สองครั้ง จนแน่ใจว่า ทั่วทั้งบริเวณของบาดแผลสะอาดดีแล้ว จากนั้นก็งัดสำลีขึ้นมาอีกก้อน ชุบก้อนสำลีเข้ากับแอลกอฮอล์จนชุ่ม แล้วทาเช็ดบริเวณบาดแผลอีกครั้ง ไฮโดรเจนไม่ทำให้แสบเหมือนแอลกอฮอล์ เช็ดไปพลางก็ต้องซูดปากไปพลางเพราะความแสบจนน้ำตาแทบไหล จากนั้นก็แกะห่อผ้ากอซ แล้วเลือกหยิบออกมาได้สองสามชิ้น ผ้ากอซที่ใช้สำหรับปิดบาดแผลรูปสี่เหลี่ยมมุมฉากกว้างไม่เกินสองนิ้ว เพราะซื้อชนิดที่เป็นชิ้นแบบสำเร็จ จึงไม่ต้องเสียเวลามานั่งตัด เลือกพับครึ่งเสียหนึ่งอันแล้วเหยาะ เบตาดีน ลงไปเกือบเต็มแผ่น จากนั้นก็เอาผ้ากอซที่ชุ่มยา นำมาวางทับบนผ้ากอซที่เหลืออีกสองชิ้น จากนั้นก็ โปะไปที่บริเวณหัวคิ้วที่แตก มือซ้ายคอยกด ผ้ากอซติดกับแผล มือขวารื้อค้น ม้วนพลาสเตอร์ชนิดกาวสำหรับใช้ติด เพราะมือว่างอยู่ข้างเดียว จึงต้องใช้ฟันค่อยๆกัดเล็มส่วนปลายขอบ พลาสเตอร์ที่ติดแนบชิดม้วนนั้น พยายามอยู่อึดใจก็ได้แถบ พลาสเตอร์กาวสองชิ้น จากนั้นก็บรรจงติดพลาสเตอร์กาวกับผ้ากอซบริเวณบาดแผลจนเรียบร้อย

          จัดการกับบาดแผลเสร็จแล้ว ก็มารื้อค้นกระเป๋าข้างเป้ ที่อยู่ระหว่างกลาง เมื่อเปิดออกดูก็พบกับถ่านไฟฉายสำรองอีกสองชุด ชุดละหกก้อน แต่ละชุดถูกแพ็คกับพลาสติกอย่างดี และเทียนไขอีกเกือบสิบเล่มในห่อกระดาษ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพเดิมอย่างที่ควรจะเป็น เพราะแต่ละเล่นหักเป็นท่อนๆ ซึ่งน่าจะเกิดจากการกระแทกอย่างแรง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้งานไม่ได้

          นอกจากถ่านไฟฉายและเทียนไข สำหรับเป็นแหล่งพลังงานสำรองที่จะให้แสงสว่างแล้ว ในกระเป๋าด้านริมสุดอีกช่อง ยังมีห่อกระดาษที่ถูกห่อเอาไว้อย่างมิดชิด ซึ่งภายในนั้น บรรจุกล่องลูกปืนขนาด.22 อยู่ห้ากล่อง พอเห็นกล่องลูกปืนของตัวเองเท่านั้น ชายหนุ่มถึงได้มานึกออกว่า ปืนยาวขนาด.22 ของตังเองได้อันตรธานไปเสียแล้ว แต่เมื่อใช้ความคิดไตร่ตรองดู จึงพอจะนึกออกว่า ปืนคู่กายของเขาได้หลุดหายไปตอนที่เกิดเหตุการณ์ชุลมุน เมื่อไม่มีเครื่องมือคุ้มกันภัย ก็ต้องหนักใจ เพราะไร้เครื่องมือป้องกันตัว มาในป่าทึบดงเถื่อนเช่นนี้ ถ้าไม่มีปืนหรืออาวุธ ชีวิตก็หายไปแล้วเกือบครึ่ง โดยเฉพาะในสถานการณ์เช่นนี้ด้วยแล้ว ยิ่งน่าเป็นห่วง ครั้นเมื่อนึกถึงปืนคู่กายที่หายไป ก็ทำให้คิดถึงมีดของตัวเองขึ้นมาทันที คิดได้เช่นนั้นก็รีบตะคลุบไปที่เอวด้านซ้าย แต่ก็ต้องพบกับความว่างเปล่า เพราะมีดที่เคยเหน็บอยู่บริเวณนั้น ได้หลุดหายไปเสียแล้ว กำลังนึกถอดใจ ว่าคงลำบากแน่ถ้าไม่มีเครื่องมือหรืออาวุธไว้ใช้ให้อุ่นใจ ขณะที่ส่องสำรวจไปรอบๆกาย พลันสายตาก็เหลือบเข้าไปเห็นวัตถุอะไรบางอย่างห้อยติดค้างอยู่บนชะง่อนหินเหนือศีรษะ ชายหนุ่มถึงกับตารุกวาว เพราะสิ่งที่เห็นคือสายคาดเอวที่ใช้ร้อยติดกับมีดของเขานั้นเอง และถ้าชายหนุ่มเดาไม่ผิด บริเวณนั้นคงเป็นจุดสุดท้ายที่เขาร่วงตกลงมา

          ระยะความสูงร่วมสองวาเหนือศีรษะ ที่สายคล้องมีดห้อยระอยู่กับชะง่อนหินนั้น ชายหนุ่มพยายามเอื้อมมือเพื่อไขว่คว้าจนสุดช่วงแขนก็ไม่เป็นผล หนักเข้าก็ใช้วิธีกระโดดจนสุดตัวแต่ผลที่ได้ก็ไม่แตกต่างไปจากวิธีแรก กระโดดจนตับแทบทรุดก็ได้แต่เพียงอากาศเท่านั้น ครั้นจะปีนไปตามผนังหิน ก็หมดปัญญาอันเนื่องมาจากไม่มีแง่หินหรือส่วนที่พอจะใช้เหยียบได้เลย หนำซ้ำตำแหน่งที่เห็นเป้าหมายอยู่นั้น อยู่บนชะง่อนหินที่ยื่นออกมา ทำให้ไม่สามารถปีนไต่ไปตามผนังหินได้เลย เพราะลักษณะที่งุ้มยื่นออกมาเช่นนั้น ดูสภาพตัวเองตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากลูกกบลูกเขียดตัวเล็กๆ ที่พลัดตกลงไปในไหดักปลา ที่ชาวนาทำดักไว้ตามคันนา

          พยายามไปหลายครั้ง ก็ต้องมานั่งหอบจนซี่โครงบาน กระโดดมากๆก็พานให้ปวดแผลเข้าไปอีก เมื่อทำอะไรต่อไม่ได้ ก็มานั่งหมดอาลัยตายอยากเงียบๆ อยู่กับกระบอกไฟฉาย ที่ตัวเองเอาเสียบขัดไว้กับซอกหิน ครั้นจะเปิดไฟฉายทิ้งไว้แบบนี้ จะได้มีแสงไฟเป็นเพื่อน ก็กลัวถ่านในแบตเตอร์รี่จะหมดเสียก่อน เพราะตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า จะติดในเหวนรกแห่งนี้ไปอีกนานแค่ไหน แต่พอปิดไฟได้ไม่เท่าไหร่ ก็ต้องรีบเปิดเหมือนเดิม เพราะบรรยากาศไม่ค่อยจะสู้ดีนัก อยู่คนเดียวในที่มืดๆเช่นนี้ พานให้คิดฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา หนักเข้าจึงต้องคว้าเทียนไขขึ้นมาจุดแทน

          แสงเทียนสว่าง ส่องแสงนวลตาอยู่ริบหรี่ เปลวเทียนส่องสว่างจ้าจนมองเห็นเปลวไฟตั้งตรงไม่ไหวติง เพราะภายในนั้น ไม่มีแรงลมพอที่จะพัดให้เปลวไฟให้เคลื่อนไหวได้  นานๆครั้งถึงจะมีอาการขยับไหวของเปลวไฟสักครั้งหนึ่ง เพราะชายหนุ่มผลุดรุกผลุดนั่ง อยู่ใกล้ๆเทียนเล่มนั้น ในเมื่อไม่มีสายลมเย็นที่เคยพัดผ่านเฉกเช่นเบื้องบน ก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกร้อนราวกับนั่งอยู่ในตู้อบไอน้ำ หนักเข้าก็ต้องถอดเสื้อแจ็กเก็ตออก ในจังหวะนั้นเอง เหมือนชายหนุ่มจะคิดอะไรได้ออก ในเมื่อจะเอื้อมก็เอื้อมไม่ถึง ครั้นจะกระโดดก็ทำไม่ได้ ถ้ามีไม้ยาวๆสักสองสามวา ก็หมดปัญหาไปนานแล้ว แต่ในนี้จะหาไม้ยาวๆอย่างที่ว่าก็ทำได้แค่คิด ลำพังเศษไม้สั้นๆสักคืบยังหาไม่ได้เลย แต่สิ่งที่ยาวพอที่จะทำให้มีดตกลงมาได้ก็มีอยู่กับตัวไม่ใช้หรือ เพียงแต่เขามองข้ามมันไป สิ่งของที่ว่าก็คือ เสื้อแจ็กเก็ตของเขานั้นเอง

          ชายหนุ่มรีบกางเสื้อแจ็กเก็ตของตัวเองออกในทันที พร้อมกับสำรวจสิ่งของต่างๆที่อยู่ภายในเสื้อแจ็กเก็ตนั้น ล้วงกระเป๋าข้างขวาเจอผ้าเช็ดหน้า ล้วงกระเป๋าด้านซ้ายเจอห่อพลาสติก ที่ภายในมีดอกไม้แห้งๆอยู่สามสี่ดอก ชายหนุ่มนำสิ่งของทั้งสองอย่างออกมาวางเรียงไว้บนเป้สนาม จากนั้นก็ใช้มือข้างซ้ายจับปลายแขนเสื้อแจ็กเก็ต ส่วนมือข้างขวาหมุนควงเสื้อแจ็กเก็ตของตัวเองให้เป็นเกลียว หมุนควงอยู่อึดใจก็ได้เกลียวเสื้อยาววาเศษ เมื่อลองคำนวณดูแล้ว ถ้าเขากระโดดจะได้ความสูง จากระดับพื้นถึงฝ่าเท้าอย่างน้อยๆก็เกือบวา ถ้าบวกความยาวของช่วงแขนที่ชูออกไป ก็ได้ความสูงเพิ่มขึ้นไปอีกไม่น้อย และถ้าเหวี่ยงเกลียวเสื้อขึ้นไปบนตำแหน่งมีดที่ค้างบนแง่หินนั้น ก็น่าจะสูสี

            เมื่อได้ความคิดดังนั้น ชายหนุ่มก็ไม่รีรอที่จะทดลองทำตามแผนที่ตัวเองวางไว้ในทันที ครั้งแรกปลายเสื้อที่ฟาดขึ้นไปผิดเป้าห่างออกไปเกือบศอก นอกจากจะไม่ถูกสิ่งที่หมายตาไว้แล้ว ปลายเสื้อที่ตัวเองฟาดโครมขึ้นไป ยังกวาดเอาเศษดินเศษหินร่วงกราวลงมาฟุ้งไปหมด ครั้งที่สองหลังจากคำนวณระยะห่างจนแน่ใจ จึงปฏิบัติอย่างครั้งแรก แต่ครั้งนี้กะระยะพลาดไปนิดเดียว และเช่นเคย หลังจากกระชากเกลียวเสื้อกลับ ก็ต้องกระโจนหลบหินที่ทำท่าจะร่วงใส่กบาลตัวเองพัลวันครั้งที่สาม ยืนสูดหายใจลึกเข้าปอดอีกครั้ง ก่อนที่จะกระโจนเหวี่ยงเกลียวเสื้อไปสุดแรง ทันทีที่ปลายเสื้อถูกฟาดโครมขึ้นไป ก่อนที่จะถูกกระชากกลับ เพราะแรงดึงของคนที่อยู่เบื้องล่าง มีดเดินป่าเล่มยาวร่วมศอกก็ตกพรวดลงมา ไม่ต้องกลัวว่ามันจะตกลงมาเสียบ หรือฝากคมมีดไว้ให้คนที่อยู่เบื้องล่างให้ต้องนึกหวาดเสียว เพราะคมมีดยังอยู่ในฝักเรียบร้อย ยังไม่ทันที่มันจะตกลงถึงพื้นด้วยซ้ำ ก็ถูกชายหนุ่มคว้าไว้แล้วกลางอากาศ โอกาสรอดตอนนี้มีมากกว่าครึ่ง กำลังใจที่เคยถดถอยกลับมามีพลังอีกครั้ง เรียวแรงที่อ่อนล้าจนรู้สึกท้อถอย มาตอนนี้กลับมีแรงที่จะฟันฝ่าไปได้ต่อ เหมือนมีอะไรบางอย่างทำให้รู้สึกฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง

          เมื่อต้องการที่จะรอด ก็ต้องหาทางออกไปจากสถานที่แห่งนี้ให้ได้ และไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมานั่งรอความช่วยเหลือจากบุคคลด้านบน  ในเมื่อร่างกายของตัวเองก็ไม่ได้มีอาการอะไรหนักหนา จะนอนรอความช่วยเหลือเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้การ ชายหนุ่มรีบเก็บสำภาระต่างๆ ในใจก็คิดหาวิธีแก้ไขสถานการณ์ ไม่นานสิ่งของที่เคยวางเกลื่อนก็ถูกจัดเข้าเป้สนามตามเดิม

          แสงไฟจากกระบอกไฟฉายถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง แทนแสงเทียนที่เคยส่องแสงนวลตา ก็พลันถูกเป่าให้ดับลง ก่อนมันจะถูกดึงขึ้นมาเก็บไว้ในเป้หลัง ชายหนุ่มส่องสำรวจพื้นที่อีกครั้ง เพื่อตรวจความเรียบร้อยว่าลืมสิ่งของอะไรที่อาจทำตกหล่นไว้หรือไม่ นอกจากสำลีที่ใช้ทำความสะอาดแผล ก่อนที่จะก้าวเดิน ก็ยกแขนข้างซ้ายขึ้นดูเวลา แต่แล้วก็ต้องแปลกใจ เพราะนาฬิกาที่เคยอยู่บริเวณข้อมือได้หายไปเสียแล้ว มีเพียงรอยคาดขาวๆของผิวหนังให้ดูต่างหน้าเท่านั้น ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเองก็เพิ่งจะมาสังเกตว่านาฬิกาข้อมือของเขาได้หายไป แต่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรนัก เงินทองเป็นของนอกกาย ทรัพย์สินอย่างนาฬิกาก็เช่นกัน ไม่ตายก็หาเอาใหม่ได้ จะมานั่งเสียดายก็เท่านั้น เวลานี้ การคิดหาวิธีเอาตัวรอด จากเหวนรกแห่งนี้มากกว่า ที่จะต้องคิดหนัก...


*****การเดินทางในความมืดภายใต้หุบเหวลึกของสิงห์จะเป็นเช่นไร? และเหตุการณ์ต่อจากนี้จะดำเนินต่อไปในรูปแบบไหน โปรดหาความบันเทิงได้ต่อ ในตอนต่อไป!!*****

.....

ใช่หน้าผาตรงนี้หรือเปล่า?


พอดีไปขุดเจอรูปนี้มาครับ ไปเที่ยวป่าแถวนั้นบ่อยๆ ไปทีไร ก็ต้องไปขออาศัยบ้านคนโน่นที คนนั้นที ผมคนขี้เกรงใจครับ ก็เลยขอซื้อที่น้าเบแกสักแปลง น้าเบก็ใจดำไม่ยอมขาย แต่ยกให้ฟรี...(เป็นซะงั้นไป) ผมก็ไม่ด้านพอจะรับครับ ไม่รู้ว่าจังหวะดี หรือดวงน้าเบซวย ปรากฏว่าทำบ้านหลังนี้ได้ไม่ทันไร สีดอก็มารื้อบ้านน้าเบซะราบเลย...ผมก็เลยยกบ้านหลังนี้ให้แกไปเลย


ราบจริงๆครับ ฝีมือสีดอเค้าล่ะ...
จริงๆจะโทษช้างก็ไม่ถูก เพราะป่าไม้และแหล่งอาหารของพวกมันลดจำนวนลงไปเยอะ ข่าวช้างบุกไร่ของชาวบ้านจึงเกิดขึ้นบ่อยๆ แต่จริงๆแล้ว มนุษย์ต่างหาก ที่เป็นฝ่ายฉกฉวยที่อยู่อาศัยของมันก่อน...


ผมหวังว่า วิวหลังกระท่อมของผม คงจะสวยแบบนี้ไปตลอด...สาธุ



Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #2 on: 23 April 2021, 09:53:39 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 ตอนที่ 3


บทที่10

ตอนที่ 3

          ความหวังถึงแม้จะริบหรี่ แต่ก็ใช่ว่าจะหมดหนทาง จริงอยู่ที่ปล่องเหวนรกแห่งนี้ จะมีความลึกจนไม่สามารถคำนวณออกมาเป็นตัวเลข ว่ามันจะมีลึกสักเพียงไร แต่ก็น่าแปลกใจที่ว่า ความจริงแล้วตัวเขาเองก็ไม่น่าจะรอดจากก้นเหวแห่งนี้ คิดไปแล้วก็ทำให้อดที่จะแปลกใจไม่ได้ ถ้าไม่ได้กระแทกกับแง่หินตาย ก็ต้องขาดอากาศหายใจตาย ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง พอนึกถึงอากาศหายใจได้ ชายหนุ่มถึงกับตาสว่าง ความลึกขนาดนี้ทำไม่ตัวเขายังสามารถยื่นหายใจอยู่ได้ ก็แปลว่า จะต้องมีช่องทางใดสักแห่ง ทะลุผ่าน หรือเชื่อมต่อจากก้นเหวแห่งนี้ ตัดออกสู้บริเวณภายนอก จึงทำให้มีอากาศถ่ายเทเข้ามา ซึ่งก็ไม่สามารถตอบได้ว่า ช่องทางที่ว่าจะซ่อนอยู่ที่ใด และตัวเขาเองนั้นล่ะ ที่จะต้องค้นหาช่องทางสู้อิสรภาพให้ได้ ขืนชักช้ามัวแต่รอเวลา ถ้าเสบียงและน้ำหมด ก็มีหวังได้เป็นผีเฝ้าก้นเหวแห่งนี้แน่นอน
ความรู้สึกที่เคยกระสับกระส่าย มืดมนที่จะหาทางออก ไร้ที่พึ่งพาคอยให้คำปรึกษาหรือชี้แนะ ตอนนี้มีเพียงแต่สมาธิและสติเท่านั้น ที่พอจะทำให้ความรู้สึกสับสนทุเลาลง ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าไม่ตั้งสติให้มั่น ก็ไม่แคล้วสติแตกบ้าตายอยู่ในรูนรกแห่งนี้

          ชายหนุ่มหยุดยืนสงบใจอยู่ชั่วครู่ พลางหลับตาแล้วตั้งสมาธิ ในใจก็ภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ช่วยเปิดทางให้แก่เขาด้วย ภาวนาอยู่ในใจเงียบๆชั่วครู่ ก็ส่องไฟสำรวจเส้นทาง ไปรอบๆบริเวณ เพื่อหาลู่ทาง โดยหมายตาไว้ที่ดงหินเบื้องหน้าเป็นเป้าหมายหลัก เพราะเท่าที่สังเกตเห็น พบว่าภายในดงหินนั้น มีโตรกและโพรงอยู่มากมาย ผิดกับบริเวณอื่น ที่มีแต่ผนังหินกันเป็นกำแพงสูง ทำให้พอที่จะมีความหวังได้ว่า โพรงหรือโตรกที่เห็น ไม่ช่องใดก็ช่องหนึ่ง จะต้องมีทางออกสู่อิสรภาพ เมื่อได้เป้าหมายแล้วก็ออกเดินทางโดยทันที

          บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยฝุ่นผง ที่เกาะเกรอะกรัง ตลอดทั้งบนพื้นและผนังหิน ราวกับฝุ่นแป้งที่ใครแกล้งนำมาโปรยไว้ทั่วไปหมด ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็มีแต่พื้นที่เต็มไปด้วยฝุ่นดินแห้งๆ ผิดวิสัยกับถ้ำที่ตัวเองเคยสัมผัส เพราะภายในถ้ำเหล่านั้นจะมีความชื้นสูง ทำให้อากาศภายในเย็นสดชื่น ราวกับอยู่ในห้องแอร์ แต่สำหรับถ้ำแห่งนี้ มันกลับตรงกันข้าม เพราะนอกจากจะไม่เย็นอย่างที่ว่าแล้ว อุณหภูมิภายในนี้กลับร้อนอบอ้าว จนเหงื่อไหลไคลย้อย ไม่ต้องถามหาว่าจะมีหินงอกหินย่อยเพื่อจะคิดหวังได้พบน้ำที่พอจะใช้ดื่มกินได้ เพราะเท่าที่ส่องสำรวจนั้นไม่มีให้เห็นแม้แต่ก้อนเดียว ที่มีก็แต่ผลึกหินเท่านั้น ที่เกาะเป็นแผงไปตลอดทั้งผาหิน ซึ่งก็ตอบไม่ได้ว่าเป็นแร่ชนิดใด ซึ่งทุกครั้งที่ส่องไฟกระทบกับผลึกหินเหล่านั้น จะส่องแสงประกายระยิบระยับดูสวยงาม แต่บางช่วงก็เป็นก้อนหินล้วนๆ มีแต่ฝุ่นเกาะเกรอะไปหมด

          จนในที่สุด ก็เดินมาถึงตำแหน่งดงหินที่หมายตาเอาไว้ แต่แล้วก็ต้องชะงักอยู่กับที่ เพราะเส้นทางได้แยกออกไปหลายสาย ซึ่งแต่ละสายแยกเข้าไปตามซอกหินที่เบียดกันระเกะระกะไปหมด จะแยกออกซ้ายก็พะวงแยกทางขวา ครั้นจะเดินออกขวาก็ไม่แน่ใจทางซ้าย เพราะทุกซอกหินที่แยกออกไปนั้น ดูซอกซอนจนตัดสินใจไม่ถูก ยืนลังเลอยู่พักใหญ่ เหมือนจะโยนก้อนหินถามทาง ก็เลือกที่จะเดินไปทางซ้ายสุด เพราะเส้นทางเปิดกว้างน่าจะเดินสะดวกกว่าเส้นทางอื่น ที่มีแต่ก้อนหินเกยซ้อนกันดูแล้วน่าจะลำบาก แต่เขาก็ต้องคิดผิด เพราะเส้นทางคดเคี้ยว ที่เลาะเลียบไปตามตรอกซอกหินเหล่านั้น นำชายหนุ่มให้ต้องเดินวกไปวนมาอยู่หลายครั้ง เดินมุดไปทางนี้ก็ไปทะลุเอาที่ลานโล่งบริเวณที่ตัวเองเดินผ่านมา ครั้นคลานลอดไปอีกทาง ก็ต้องคลานถอยหลังกลับออกมาเพราะเจอกับทางตัน สุดท้ายก็ต้องกลับมาที่จุดเริ่มต้นเล่นเอาเหงื่อโชกไปทั้งตัว

          ครั้งที่สอง ชายหนุ่มเลือกเดินสำรวจไปอีกเส้นทาง แต่ครั้งนี้มีความยากลำบากไปอีกเท่าตัว เพราะนอกจากเส้นทางจะคับแคบเพราะเป็นซอกหิน ชนิดที่ว่า จะต้องค่อยๆเดินตะแคงข้าง ถึงจะผ่านออกไปได้ แต่พอหลุดจากทางแคบๆแล้ว ก็ต้องคอยเดินลอดมุดไปตามช้องหินที่มีลักษณะเป็นโพรงเข้าไปอีก เป็นแบบนี้ตลอดเส้นทาง พอพ้นจากทางนี้ ก็ดูเหมือนว่าจะวกวนไปมาอยู่เช่นนั้น ราวกับตัวเองได้เข้ามาอยู่ในจอมปลวกขนาดใหญ่ ที่มีแต่โพรงอยู่เต็มไปหมด จนบ้างครั้งก็ตัดสินในไม่ถูก พอลองมุดไปในโพรงนั้น ก็มาโพล่เอาโพรงนี้ พอแยกออกโพรงนี้ ก็ทะลุออกมาโพรงโน่น บางที่ก็ไปได้แค่ครึ่งทางก็ต้องถอยกลับออกมา เพราะไม่มีเส้นทางจะไปต่อ หรือไม่ก็แคบจนไม่สามารถจะลอดผ่านออกไปได้ สรุปผลสุดท้ายที่ได้ ก็ไม่แตกต่างไปจากครั้งแรก หรืออาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำไป กำลังคิดถอดใจ คิดว่าตัวเองคงไม่รอดแน่ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นวัตถุอะไรบางอย่าง ตกอยู่บนพื้น ชายหนุ่มรีบก้มลงหยิบโดยทันที

“ฮ่ะ..!”

“ปะ ปะ..เป็นไปได้ยังไงกัน”ชายหนุ่มละล่ำละลักอยู่ในใจ ก่อนจะค่อยๆประคองวัตถุชิ้นนั้นอยู่ในมืออันสั่นเทา เมื่อหยิบขึ้นมาดูใกล้ๆ ก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง
สิ่งที่อยู่ในมือของชายหนุ่มก็คือ ดอกช้างกระ นั้นเอง มันเป็นไปไม่ได้ในความคิดของชายหนุ่ม ที่จะมีดอกช้างกระ มาร่วงหล่นอยู่ในถ้ำที่มีความลึกเช่นนี้ อย่าว่าแต่ดอกไม้เลย แม้แต่พืชต้นเล็กๆสักชนิดยังไม่มีเลย จะว่าเป็นดอกช้างกระที่ตัวเองเคยเก็บไว้ ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะสามสี่ดอกที่ตัวเองเก็บไว้ ก็ยังอยู่ครบในกระเป๋าเสื้อ ไม่ได้ทำตกหล่นเป็นแน่ และที่สำคัญทุกดอกกลายเป็นดอกไม้แห้งไปหมดแล้ว ไม่เหมือนสิ่งที่อยู่ในมือของตัวเองตอนนี้ ที่ยังสดใหม่ ราวกับว่ามันเพิ่งจะถูกเด็ดมาสดๆร้อนๆ หรือว่าจะเป็นหล่อน

“พลับพลึง...”

“นี่คุณกำลังจะบอกอะไรกับผมหรือเปล่า”มันเป็นความคิดของชายหนุ่ม ที่ดักก้องอยู่ในใจอย่างพิศวง

          ให้ธรณีสูบให้เขาต้องตกลึกลงไปอีกแบบไม่ได้ผุดได้เกิดเขาก็ยอม จะมีใครอื่นไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่หล่อนคนนั้น ชายหนุ่มเชื่ออย่างสนิทใจ ใช่แล้วหล่อนต้องมาบอกใบ้อะไรกับเขาสักอย่าง อยู่ดีๆใครจะเข้ามาวางดอกช้างกระไว้แถวนี้ และดูเหมือนว่า คนที่นำมาวาง จะจงใจวางไว้ให้เห็นอย่างชัดเจนเสียด้วย ซึ่งมันก็อยู่โดดเด่นเหนือปากโพรงหินนั้น ในเมื่อหมดหนทางและไม่มีตัวเลือกอื่นใดอีก ก็คงต้องเสี่ยงดูสักครั้ง ถ้าครั้งนี้ยังเหมือนเดิมอีก เขาก็พร้อมแล้วที่จะเผชิญ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม รวมถึงความตายเขาก็ไม่ยี่หระอะไรกับชีวิตอีกแล้ว ถ้าจะต้องตายอยูภายในโพรงนรกแห่งนี้ ก็คิดเสียว่ามันเป็นกรรมของเราเอง แต่ถ้ารอดออกไปได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เผชิญมา มันคือกำไรของชีวิต

          ชายหนุ่มมาหยุดยืนตรงบริเวณปากโพรงแคบๆตอนหนึ่ง ที่เกิดจากแผ่นหินเกยซ้อนกันจนมีลักษณะคล้ายรูปสามเหลี่ยม ซึ่งมันก็กว้างพอที่จะคลานลอดไปได้ เมื่อทรุดกายก้มส่องไฟสำรวจ ก็พบว่ามันเป็นโพรงซอกซอนเข้าไปจนลึก ว่ายน้ำเป็นปลาก็เคยทำแล้ว ไต่เชือกไต่เถาวัลย์เหมือนลิงก็เคยแล้ว ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ จะลองทำตัวเป็นตัวตุ่นตัวอ้นดูบ้างจะเป็นไร ชายหนุ่มค่อยๆมุดคลานเข้าไปในปากโพรงนั้นช้าๆ แต่ก็เป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะมืออีกข้างต้องคอยประคองไฟฉายส่องไปเบื้องหน้า มุดไปก็ต้องคอยระวังหัวตัวเอง เพราะผนังด้านบนมีลักษณะต่ำ แต่ก็ยังเผลอเอาหัวไปโขกเข้ากับแง่หินจนน่วมไปหมด

          ตลอดเส้นทาง ที่ลอดมุดเข้าไปในโพรงด้วยความยากลำบาก เพราะบางช่วงก็แคบจนต้องปลดเป้หลังออกมาไว้ด้านหน้า เนื่องจากผนังของโพรงหินมีระดับต่ำ ทำให้เป้ที่สะพายอยู่กีดขวางและดูเกะกะไปหมด แต่บางช่วงก็สามารถรุกขึ้นยืนได้ เพราะระดับความสูงของเพดานถ้ำสูงขึ้น ลดหลั่นกันไปเป็นช่วงๆ อีกใจหนึ่งก็คิดถึงอากาศที่มีอยู่ภายใน ยิ่งเข้ามาลึกเท่าไหร่ ก็เสี่ยงที่อากาศจะเบาบางมากขึ้นเท่านั้น ถ้ามัวแต่คลำไปแบบนี้ โดยไม่สักเกตระดับของออกซิเจนที่มีภายใน ก็อาจจะขาดอากาศหายใจตายเอาง่ายๆ ขณะที่ตัวเองกำลังคิดหนักอยู่นั้นเอง อยู่ๆความคิดอะไรบางอย่างก็ดังแว่วขึ้นมาในโสตประสาท

“ขอให้ท่านจงใช้สติ และปัญญา ให้ถึงที่สุด  เมื่อนั้นแสงเทียนในใจท่าน จะส่องนำทาง ให้ท่านได้พบกับหนทางสว่าง!”มันเป็นเสียงของหล่อน ที่เคยเอ่ยขึ้นเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนที่เข้าจะเคลิ้มหลับไป พอนึกได้เช่นนั้น ก็รีบล้วงเข้าไปที่กระเป๋าข้างเป้สนามของตัวเองทันที ไม่เกินอึดใจก็ได้เทียนไขและไม้ขีดไฟขึ้นมา ใช่แล้วแสงเทียนจะเป็นตัวชี้บอกทางให้เขาได้พบกับหันทางสว่าง ไฟจะติดไม่ได้ ถ้าไม่มีอากาศ ถ้าเทียนติดได้ นั้นก็หมายความว่า ภายในโพรงลึกแห่งนี้ จะต้องมีอากาศถ่ายเทเข้ามา

“แช็คๆ”

“ฟู่ววว”

          ทันทีที่เปลวไฟรุกพรึบขึ้นมาบนปลายไม้ขีด ชายหนุ่มค่อยๆประคองป้องเปลวไฟนั้น เข้าไปจ่อบริเวณที่เป็นส่วนปลายของไส้เทียน เพียงไม่ถึงเสี้ยวนาที บริเวณส่วนปลายของเทียนเล่มนั้นก็สว่างโพรงขึ้นมาทันที ถึงตอนนี้ไฟฉายที่ถูกเปิดใช้งานมาเป็นเวลานาน จึงถูกเลื่อนสวิทช์ปิดลง เพราะไม่อยากสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ และที่สำคัญ ในพื้นที่แคบและจำกัดเช่นนี้ เพียงแค่ใช้แสงไฟจากแสงเทียนเล่มนี้ ก็เพียงพอแล้ว หนำซ้ำยังเป็นเครื่องมือวัดปริมาณออกซิเจนภายในตัว เท่ากับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว ส่วนไฟฉายที่ปิดไว้ ก็ไม่ได้นำไปไว้ห่างตัว เพียงแต่มันถูกเสียบไว้บริเวณกระเป๋าข้างเป้สนาม ในตำแหน่งที่หยิบฉวยได้อย่างสะดวก ถ้าเกิดกรณีที่จำเป็นจะต้องใช้งานขึ้นมาจริงๆ ก็สามารถหยิบฉวยได้โดยไม่ติดขัด

          ไม่มีจุดหมายหรือเส้นทางที่แน่ชัด ว่ามันจะสิ้นสุดบริเวณใด แต่จุดหมายของตัวเองมีอยู่อย่างเดียวคือ ต้องรอดออกไปจากเหวนรกแห่งนี้ให้ได้ เขารู้ว่า มนุษย์ทุกคนย่อมมีวันตาย ไม่มีใครสามารถอยู่ค้ำฟ้าบนโลกใบนี้ได้ แต่สำหรับชายหนุ่มคิดแต่เพียงว่า คนอย่างเขาจะมาตายในสภาพทุเ รศ ที่ไม่ต่างไปจากหนูติดจั่นแบบนี้ไม่ได้ คิดแบบนี้ ก็ทำให้ตัวเองฮึดสู้ขึ้นมา ถึงแม้ร่างกายจะอ่อนล้าลงไปทุกขณะก็ตาม ถ้าใจสู้เสียอย่าง ต่อให้อยู่ในสภาพไหนก็ไม่หวั่น

          เส้นทางในโตรกหิน พาชายหนุ่มดำดิ่งเข้าไปอย่างไม่รู้ทิศทาง บางตอนก็แคบจนแทบจะต้องนอนคลานไปกับพื้น บางช่วงก็กว้างพอที่จะลุกขึ้นเดินใดอย่างสบายๆ และบางช่วงก็เป็นโพรงกว้างขนาดใหญ่ราวกับอุโมงค์ขนาดยักษ์ และบางครั้งก็มีโพรงเล็กโพรงน้อยแยกออกไปจนสับสนราวกับอยู่ในจอมปลวก ทำให้ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเรื่องไปโพรงไหนดี ครั้นจะทดลองเดินสุ่มแบบโยนหินถามทาง ก็กลัวจะหลงเขาไปอีก แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก ในเมื่อยังมั่นใจในความคิดของตัวเองที่ว่า ตราบใดที่ยังมีอากาศหายใจอยู่แบบนี้ ไม่โพรงใดก็โพรงหนึ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า จะนำพาเขาให้ออกไปจากขุมนรกแห่งนี้ ลังเลอยู่อึดใจก็เลือกที่จะมุดเข้าไปในโพรงที่ใกล้ตัวที่สุด แต่เดินเข้าไปลึกไม่เท่าไหร่ เปลวเทียนในมือ ก็มีอาการริบหรี่ๆ จนในที่สุดก็ดับลง เป็นสัญญาณบอกเตือนว่า ในโพรงที่ตัวเองพลาดเข้ามานั้นมีอากาศอยู่เบาบางมาก

          เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกสามครั้ง หลังจากทดลองเดินคลำไปตามโพรงถ้ำเบื้องหน้า จนในที่สุดก็เหลือเพียงโพรงสุดท้าย นึกอยู่ในใจว่า ถ้าเทียนดับอีก ก็คงต้องถอยกลับออกไปที่จุดเริ่มต้นครั้งแรกที่พบกับดอกช้างกระ แล้วค่อยคิดหาหนทางใหม่ ในใจก็นึกแต่คำบอกของหล่อยอยู่ตลอดเวลาที่ว่า “แสงเทียนในใจท่าน จะนำทางท่านเอง” เสียงนี้มันดังก้องอยู่ภายในใจของเขาตลอดเวลา

          โพรงสุดท้ายแล้ว ที่จะชี้ชะตาของเขา ว่าจะไปต่อหรือจะถอยกลับ ลำพังอาหารที่มีติดมา อย่างน้อยๆก็พออยู่ได้ถึงสามวัน แต่สิ่งสำคัญกว่าเสบียงก็คือน้ำ เพราะต้อนนี้มันพร่องจากกระติกลงไปมากว่าครึ่ง ถ้ามีน้ำซึมหรือน้ำซับ ที่พอจะหาได้ตามผนังถ้ำก็ยังพออยู่ได้ แต่ตลอดระยะที่ผ่านมา ไม่มีวี่แววของสิ่งที่ตัวเองมองหาเลย นอกจากหยดเหงื่อที่ไหล่ย้อยตามร่างกาย รวมถึงสิ่งมีชีวิตต่างๆ ตั้งแต่เห็ดรา ไปจนถึงแมลงที่ชอบอาศัยอยู่ตามถ้ำ ก็หามีวี่แววไม่ แม้แต่ค้างคาว ที่คิดว่าชอบอาศัยอยู่ในถ้ำ จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นเลยสักตัวเดียว หรือแม้แต่มูลของมัน ที่อาจจะถ่ายตกลงตามพื้นก็ไม่มีให้เห็นสักก้อน บนพื้นเท่าที่เห็นในตอนนี้ และที่ผ่านมา มีเพียงแต่ฝุ่นดินและก้อนหินเท่านั้นซึ่งมันก็กินไม่ได้

“เหลือรูสุดท้ายแล้วสินะ”

“สมใจเอ็งหรือยังล่ะไอ้สิงห์ ทีนี่ได้ผจญภัยเต็มคราบ”ชายหนุ่มคำรามสบถกับตัวเองในใจ ก่อนจะยกน้ำในกระติกขึ้นจิบ มันเป็นการจิบเพื่อให้อาการกระหายน้ำของเขาทุเลาลงบ้างเท่านั้น จากนั้นก็เดินมุดฝ่าความมืดเข้าไปในปากโพรงนั้น โดยมีเทียนที่ยาวเหลือไม่เกินสองข้อนิ้ว ที่จากเดิมมันยาวเกือบคืบ จุดสว่างนำทางเข้าไปในความมืดมิดอย่างโดดเดี่ยว

          แต่ใครจะรู้ว่า เหตุการณ์และบรรยากาศภายใต้พื้นธรณี กลับกลายเป็นตรงกันข้าม กับบรรยากาศด้านบนเหนือปากเหวนรกนั้น ความมืดมิดที่เคยกลืนกินทุกสรรพสิ่ง เมื่อกาลเวลาล่วงผ่านไป ป่าใหญ่ที่เคยมืดทะมึน ก็ค่อยๆปรากฏแสงสว่างขึ้นเลือนราง ราวกับน้ำหมึก ที่ถูกเจือไปกับกระแสน้ำ แต่ความทึบทะมึนยังมิได้จางหายให้หวั่นเกรง เพราะมันถูกปกคลุมไปด้วยม่านหมอกจนหนาทึบ

“ตื่นโว้ยพวกเรา”

“ได้เวลาแล้ว”พรานเบร้องบอกคณะทั้งห้า ที่ตอนนี้พากันนั่งหลับนกอยู่ตามโขดหินบนเชิงเขา

“นี่เอ็งไม่ได้หลับเลยรึ”พรานชราร้องตอบ พลางเดินไปสะกิด พรรคพวกที่ยังนั่งหลับคอพับคออ่อน

“ใครจะไปหลับลง”

“ข้าเป็นห่วงไอ้สองคนนั้นจนนอนไม่หลับ ไม่รู้ว่าป่านนี้มันสองคนจะเป็นยังไงกัน”พรานเบร้องบอก พลางแสดงสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด

“เอ็งอย่าไปคิดมาก”

“ข้าว่ามันคงเอาตัวรอดได้หรอกนา”

“อีกอย่าง ไอ้ช้างโขลงนั้น ป่านนี้มันคงเตลิดไปไหนต่อไหนแล้ว”พรานโส่ยร้องบอก

“อย่ามัวแต่ถามกันอยู่เลยให้เสียเวลา”

“ออกไปตามก็สิ้นเรื่อง ข้ามดงเถาวัลย์นั้นไปก็คงเจอตัวหรอก”พรานพรร้องบอก พูดจบก็ยกเป้ขึ้นมาสะพายไหล่

“จริงของเอ็งไอ้พร ไปโว้ย อย่ามัวรออะไรอยู่เลย”

“อย่าว่าแต่เอ็งเลยไอ้เบ ข้าก็ร้อนใจพอๆกับเอ็งนั่นล่ะ”พรานเฒ่าทำใจแข็งอยู่ได้ไม่นานก็ร้องบอก พลางร้องเร่งพรรคพวกที่ยังยุ้งอยู่กับสำภาระ ให้รีบจัดเก็บสำภาระต่างๆอย่างเร่งด่วน เพียงไม่นานทุกคนก็พร้อมออกเดินทาง

          ท่ามกลางม่านหมอกที่ปกคลุมพื้นที่จนดูหนาทึบ ถึงแม้ว่าเวลานี้ ราตรีกาลจะล่วงผ่านไปนานแล้วก็ตาม แต่ด้วยความหนาทึบของม่านหมอกที่กลืนกินสรรพสิ่งรอบทิศทาง มันจึงกลายเป็นสร้างอุปสรรคให้แก่คณะผู้ออกติดตาม เพื่อนร่วมคณะที่พลัดหลงออกไปจากกลุ่ม ซึ่งตอนนี้ทั้งหมดไม่สามารถรับรู้ถึงเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรม ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด แต่ร้อยทั้งร้อย ทุกคนผวานาให้บุคคลทั้งสองปลอดภัย

          ร่องรอยความแหลกยับของบริเวณโดยรอบ ที่ช้างป่าโขลงนั้นฝากไว้ สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเศษซากความเสียหายของต้นไม้ต้นไร่ ที่ถูกพวกมันทึ่งลงมาจนแหลกไปหมด ไม่เว้นแม้แต่จอมปลวกขนาดใหญ่ ที่พวกมันตัวใดตัวหนึ่งชนจนล้มคว่ำเพราะความอันธพาล หรือแม้แต่ป่าเถาวัลย์ที่เคยเกาะเกี่ยวกันเป็นแผง ก็ถูกพวกมันแหวกผ่านจนเหี้ ยนเตียน ราวกับมีรถบรรทุกขับลุยผ่านสักสิบคัน เศษซากเส้นเถาวัลย์ถูกกระชากขาดลงมาเกลื่อนพื้น บ่งบอกถึงความแค้นอย่างเห็นได้ชัด จนทุกคนที่เดินผ่านบริเวณนั้น พากันหายใจหายคอไม่ค่อยจะดีนัก เพราะอดที่จะนึกเป็นห่วงบุคคลที่เหลือไม่ได้

“ข้าว่าพวกเรากระจายกันหาดีกว่า”

“ขืนเดินตามกันเป็นพรวนแบบนี้ ไม่เจอแน่”พรานแปะเสนอความคิด

“หมอกลงหนาแบบนี้ เดี๋ยวได้หลงกันตายห่า”

“ความวัวไม่ทันหาย ความควายจะมาอีกแล้ว”พรานเฒ่าร้องขัดอย่างไม่เห็นด้วย

“แต่ฉันเห็นด้วยก็พี่แปะนา”

“ดีเสียอีก จะได้ช่วยๆกันหา แยกกันห่างๆพอมองเห็นกันก็ได้นิพ่อ”เคิ้งเสนอตัวช่วย

“แบบไอ้เคิ้งว่าก็เข้าท่าตาโส่ย”

“เอาแบบนี้ เอ็งสามคนเดินฉีกไปทางโน่น ส่วนเราสามคนแยกไปทางนั้น”พรานเบร้องบอก พลางชี้มือบอกตำแหน่ง พรานแปะ เคิ้ง และพุ่ม ให้เดินเบี่ยงออกไปทางซ้ายมือ ส่วนตัวเอง พรานโส่ย และพรานพร เดินฉีกไปทางด้านขวา กลายเป็นแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดทิ้งระยะห่าง พอที่จะมองเห็นกันและกันได้ มีเพียงเจ้าพะเปรียวตัวเดียวเท่านั้น ที่วิ่งเปะปะไปมาไม่เป็นขบวน

“วู้ววว”

“ไอ้เหน๋อโว้ย...”พรานแปะป้องปากตะโกนเรียกก่อนเป็นคนแรก

“พี่สิงห์...”

“พี่..วู้ววว”เคิ้งแหกปากร้องบอกดังลั่น

“วู้ๆๆๆ”

“ไปอยู่ไหนกันหมด...วู้”พรานพรร้องเรียกบ้าง

“วู้..”

“วู้วว”พรานเบเดินพลางกู่ปากร้องเรียกไปพลาง

“เอาไงดีไอ้เบ”

“มันชักไม่ค่อยดีแล้วนา”พรานพรร้องบอกอย่างร้อนรน

“พวกมันสองคนอาจจะเข้าไปลึกกว่านี้ก็ได้”

“ดูจากรอยไอ้ช้างป่าโขลงนั้นสิ มันเดินลุยไว้จนเละไปหมด”พรานเบร้องบอก

“น่าจะจริงของเอ็ง”

“เป็นข้าคงไม่อยู่แถวนี้หรอก โน่นในดงเถาวัลย์นั้นแหละ”พรานพรร้องบอก พลางชี้มือบอกพรานเบ ไม่เพียงแต่พรานพรที่คิดเช่นนั้น คนอื่นๆ ก็คิดไปในแนวทางเดียวกันกับพรานพร เพราะถ้าตัวเองได้อยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น ก็คงต้องหนีหัวซุกหัวซุนจนถึงที่สุด ตัวเลือก ระหว่างป่าที่มีแต่ต้นไม้ กับดงเถาวัลย์ที่ขึ้นหนาทึบ ถ้าไม่อยากโดนกระทื บตาย ก็ต้องเลือกดงเถาวัลย์

“ที่เอ็งว่ามา มันฟังเข้าท่าดีวะ”

“เฮ้ย! พวกเรา เบี่ยงแนวไปทางดงเถาวัลย์นั้นเร็ว”พรานชราร้องบอก ไม่มีใครที่ไม่เห็นด้วย กับความคิดของพรานเฒ่า เพราะหลังจากพรานชราร้องบอกไม่นาน รูปขบวนจึงค่อยๆถูกเปลี่ยน จากที่เดินกันดุมๆ ก็ค่อยๆเบี่ยงแนวตีโอบไปที่ดงเถาวัลย์ที่เห็นอยู่รางๆเบื้องหน้า เดินกันได้ไม่กี่ก้าว ทุกคนก็ต้องหยุด เพราะเสียงอะไรบางอย่างดังแว่ว ออกมาจากดงเถาวัลย์

“เปรี้ยงง..!”

“เฮ้ย! เงียบซิทุกคน พวกเอ็งได้ยินอย่างที่ข้าได้ยินหรือเปล่า”พรานพรร้องบอกละล่ำละลัก แต่แล้วไม่ทันที่พรานพรจะบอกอะไรต่อ ทุกคนก็ได้ยินเสียงปริศนาถนัดหู

“เปรี้ยงงง..!”

“เสียงปืน เฮ้ย! เสียงปืนจริงๆด้วยโว้ย”พรานโส่ยร้องบอกอย่างลิงโลด โดยไม่ได้บอกให้คนอื่นเตรียมตัว พรานโส่ยก็ส่งปลายกระบอกปืนแก๊ปคู่กายขึ้นฟ้า แล้วเหนี่ยวไกตูมขึ้นมาทันที เล่นเอาคนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวสะดุ้งกันไปตามๆกัน เพราะมัวแต่มองไปในทิศทางของเสียงปืนที่แว่วมา แต่สิ่งที่ทุกคนได้ยินกลับมา ทำให้แทบจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ

“เปรี้ยงๆๆ”

“เฮ้ย ชัดเลย ฮาๆ”พรานพรร้องบอก พลางหัวเราะลั่นด้วยความดีใจ

“ไปโว้ยพวกเรา ไอ้สองคนนั้นมันอยู่ในดงเถาวัลย์ชัวร์”

“ให้มันได้ยังงี้สิวะ!”พรานแปะร้องบอก พูดจบก็จ้ำพรวดๆนำหน้าขบวน เข้าไปในป่าเถาวัลย์เบื้องหน้า

          ท่ามกลางความปิติยินดีของคณะ ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าบุคคลที่เหลือจะตกอยู่ในสภาพเช่นไร แต่เสียงปืนที่ได้ยินตอบมานั้น ทำให้หัวใจที่กระสับกระส่าย และวิตกกังวล กลับมีความหวังมากขึ้น โดยเฉพาะพรานเบ ถึงกับทำหน้าปั้นยาก ตลอดเวลาได้แต่โทษตัวเอง เพราะเป็นคนนำคณะมาพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ยังคิดไม่ออกว่า ถ้ามีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับคณะ คนใดคนหนึ่ง แล้วตัวเขาเองจะทำเช่นไร ลำพังคนป่าคนดงอย่างเขา เป็นอะไรไปก็แค่ฝังไว้กลางป่า แต่สำหรับคนเมืองอย่างสิงห์ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับหนุ่มคนนั้น คงคิดไม่ออกว่าจะทำเช่นไร แต่เมื่อเหตุการณ์กลับกันมาในทางที่ดีขึ้น ก็พอที่จะทำให้ยิ้มออกมาได้บ้าง ถึงแม้จะยังไม่รู้ชะตากรรมของบุคคลที่กำลังจะได้พบตัวก็ตาม อย่างน้อยๆก็ทำให้ความหวังที่ริบหรี่ ดูมีแสงสว่างมากขึ้น....

*****เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร คณะที่ออกตามคนหายจะพบบุคคลทั้งสองหรือไม่ โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อในตอนต่อไป*****

.....

พรานโส่ย นั่งเศร้า


เจ้าเคิ้งกับอีแก๊ปคู่ชีพ


พรานพร โชว์ฝีมือทำกับข้าวป่า


ยำเห็ดโคนครับ.....ถ้าซื้อกินในเมืองผมว่าจานนี้หลักร้อย แต่ถ้าอยู่ในป่า สักบาทเดียวก็ไม่เสีย



Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #3 on: 23 April 2021, 10:03:20 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 ตอนที่ 4


บทที่ 10

ตอนที่ 4

          ลึกเข้าไปในดงเถาวัลย์ ซึ่งครั้งหนึ่งพวกมันเคยห้อยกีดขวางเส้นทาง จนหนาแน่นมาเป็นเวลาช้านาน แต่ระยะเวลาเพียงข้ามคืน ดงเถาวัลย์ที่เคยเกาะเกี่ยวกันระโยงรยางค์จนแน่นขนัด ราวกับม่านกั้นฉากบนเวที ก็ดูโล่งเตียน เต็มไปด้วยรูช่องว่างขนาดใหญ่ เพราะฝีมือการกระทำของช้างโขลง ที่พากันเดินส่วนสนาม จนทั่วทั้งบริเวณหมดรูปเดิมที่เคยเป็น ต้นไม้ต้นไร่ต้นไหน ที่ขึ้นกีดขวางเส้นทาง ถ้าใหญ่พอที่จะรับแรงของช้างบ้าเลือดได้ ก็รอดไป แต่ถ้าต้นไหนที่เล็กกว่าโคนขา ก็ต้องมีอันเป็นไปเสียเกือบหมด บางต้นก็ล้มชนิดถอนรากถอนโคน หรือบางต้นโชคดีหน่อยก็แค่ล้มเอน และส่วนที่ดูยุ่งเหยิง มากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น กองเถาวัลย์ขนาดต่างๆ ที่ตกเกลื่อนพื้น ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะขนาดเกือบเท่าโคนขายังถูกพวกมันกระชากจนขาด ไม่ต้องบอกขนาดที่เล็กกว่านั้น ก็คงพอที่จะนึกสภาพออก ซึ่งก็ไม่สามารถที่จะตอบได้ว่า จะต้องใช้เวลานานอีกสักเท่าไหร่ พวกมันจึงจะกลับมาอยู่ในสภาพเดิม

          ทั้งคณะพากันเดินลุยผ่าน เศษซากของความเสียหาย ที่หลงเหลือไว้จากการบุกตะลุยของช้างโขลงนั้น ด้วยความตื่นเต้นละคนพิศวง กับภาพความแหลกยับของพื้นที่ทั่วทั้งบริเวณ ราวกับมีใครมาขับรถไถลุยไว้เสียเหี้ ยนเตียน ทำให้การเดินทางเป็นไปด้วยความสะดวก เพราะไม่ต้องคอยมุดลอดซุ้มเถาวัลย์และสิ่งกีดขวางอย่างเช่นเคย เพียงแต่เดินเบี่ยงเส้นทางที่มีต้นไม้ล้มกีดขวางเท่านั้น

          การเดินทางตามหาคนหาย ยังคงเป็นไปในลักษณะเดิมคือ เดินเป็นแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง โดยทิ้งระยะห่างกันพอมองเห็นเพื่อนร่วมทาง ที่เดินขนาบทั้งซ้ายขวา ถึงแม้ป่าจะไม่รกเครืออย่างเช่นเคย แต่หมอกที่ยังลงอยู่หนาทึบเช่นนี้ ทำให้เป็นอุปสรรค ที่จะประมาทเสียมิได้ นอกจากทุกคนจะเดินเว้นช่วงห่างกันแล้ว แต่ละคนยังช่วยกันกู่ร้องเรียกหาบุคคลทั้งสองกันเป็นระยะ ร้องเรียกอยู่ไม่นาน ทุกคนเหมือนจะได้ยินเสียงกู้ตอบกลับมา  ทางด้านซ้ายของป่าทึบ

“วู้...”

“วู้...ทางนี้...”เสียงของหนึ่งในบุคคลที่พลัดหลงร้องเรียก ได้ยินแว่วๆมาแต่ไกล ทำให้คณะที่ออกติดตามหูผึ่งขึ้นมาทันที

“เฮ้ย!”

“ทางโน่นโว้ย พวกเรา”พรานแปะร้องบอกคณะ พูดจบก็กู่ปากโว๊กๆ

“อยู่ไหนกันว่ะ”

“วู้..”พรานชราร้องถาม

“ทางนี้...”

“บนหน้าผา ฉันอยู่บนหน้าผา”เสียงที่แว่วมา เริ่มชัดเจนขึ้น เมื่อคณะทั้งหมดเคลื่อนเข้าไปใกล้เป้าหมาย ซึ่งตอนนี้ก็พอจะฟังออกว่าเสียงที่ร้องเรียกมานั้นเป็นเสียงของเจ้าเหน๋อ แต่ก็ยังไม่สามารถมองเห็นตำแหน่งของบุคคลนั้นได้ถนัดนัก เพราะความหนาทึบของม่านหมอกที่ยังปกคลุมพื้นที่อยู่

“สงสัยมันจะอยู่หลังดงเถาวัลย์นั่น”

“รอยช้างลุยไว้เละไปหมด”พรานพรร้องบอกคณะ พลางก้มดูร่องรอยของช้างป่า

“นี่มันจงใจที่จะเล่นงานไอ้สองคนนั้นจริงๆ”

“ขนาดหนีกันเข้ามาในพงรกแบบนี้ ยังจะตามกันเข้ามาอีก”พรานชราร้องเสริม

“มัวแต่ทำอะไรกันอยู่ก็ไม่รู้ ต้นไม้ต้นไร่ก็มีเยอะแยะไม่รู้จักปีน”

“เป็นข้าคงปีนขึ้นไปหลบบนต้นไม้แล้ว”พรานเฒ่าร้องบอก ไม่ทันที่พรานชราจะร้องบอกอะไรต่อ พรานพรร้องขัดขึ้นมาว่า

“ก็ถ้าเป็นแก ป่านนี้คงได้ขุดหลุมฝังไปนานแล้วเหมือนกัน”

“ไม่เห็นรึ มันมากันเป็นโขยง ใครเขาจะปีนขึ้นไปทัน แล้วแกไม่เห็นอีกรึไง ขนาดต้นเท่าโคนขา พ่อยังโค่นเสียถอนราก”พรานพรโพล่งออกมาเสียงฉุนๆ

“เออๆ จริงของเอ็ง”

“ว่าแต่ พวกมันไปซุกอยู่แถวไหนกันว่ะนั่น”พรานชราร้องบอก พลางสอดส่องสายตาไปตามดงเถาวัลย์ ทันใดนั้นเอง เจ้าพุ่ม ที่เดินอยู่ริมสุดก็ร้องลั่น

“เฮ้ย!”

“ทะ..ทะ..ทุกคน มาดูอะไรนี่เร็ว”เจ้าพุ่ม ร้องบอกละล่ำละลัก

          ภายใต้ม่านหมอกที่ปกคลุมอยู่หนาทึบนั้นเอง ที่ซ่อนอำพรางบางสิ่งบางอย่างไว้เบื้องหลัง ทำให้กะเหรี่ยงหนุ่มถึงกับยืนทำตาค้างตกตะลึง กับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ซึ่งตลอดระยะเวลาที่โตจนมาป่านนี้ ก็เพิ่งจะพบเห็น กำแพงหินขนาดมหิมา สูงตระหง่านจนมองไม่เห็นส่วนปลายยอด เพราะถูกกลืนหายเข้าไปในม่านหมอก แต่ส่วนนั้นยังไม่สามารถทำทำให้ดูขนลุกมากไปกว่า บริเวณที่ดูเป็นปากถ้ำขนาดใหญ่

“นี่มันถ้ำอะไรของมันวะนั่น”

“เกิดมาเพิ่งจะเคยพบเคยเห็น”พรานแปะร้องลั่น หลังจากวิ่งเขามาสมทบเป็นคนแรก

“ฉ..ฉัน กะ ก็ไม่รู้เหมือนกันพี่แปะ”

“กะ กะ เกิดมา ฉะ  ฉันก็เพิ่ง คะ เคยเห็นนี่แหละ”เจ้าพุ่มตอนนี้กลายเป็นคนติดอ่างไปชั่วขณะ ไม่เพียงแต่ชายทั้งสองเท่านั้นที่พากันตกตะลึง บุคคลอื่นๆ ที่พากันมาถึงก็มีอาการไม่ต่างกันนัก แต่คนที่ไม่ได้มีอาการใดๆเลย มีเพียงอยู่คนเดียวเท่านั้นก็คือ พรานเบ

“วู้”

“บนนี้ ผมอยู่บนนี้”เสียงเจ้าเหน๋อตะโกนเรียกโวกๆ อยู่บนชะง่อนหินบนหน้าผา ทำให้ทุกคนพากันหันขึ้นไปมอง

“เฮ้ย!”

“นั่นมันไอ้เหน๋อนี่หว่า”พรานโส่ยร้องบอก พลางป้องหน้ามอง

“ไอ้ช้างพวกนั้นมันไปกันหมดแล้วหรือยัง”

“ฉันจะได้ลงไปจากที่นี้เสียที”เจ้าเหน๋อร้องถาม

“โธ่ไอ้หอ ก!”

“เอ็งลงมาได้แล้ว ถ้าพวกมันยังอยู่ พวกข้าคงมาตามพวกเอ็งสองคนไม่ได้หรอก”พรานพรตวาด

“อ้าวแล้วไอ้สิงห์ล่ะ”

“มันไปหลบอยู่ตรงไหน ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอกรึ?”พรานคนเดิมร้องถาม เพราะเท่าที่เห็นมีแต่ เจ้าเหน๋อคนเดียวที่ขึ้นไปอยู่บนชะง่อนหินนั้น

“ไม่ได้อยู่ด้วยกันพี่”

“เห็นครั้งสุดท้าย ก็ตอนที่มันหนีไอ้ช้างงา เข้าไปในถ้ำ สงสัยคงแอบอยู่ในนั้นแหละ”เจ้าเหน๋อร้องตอบ พลางสาวเส้นเถาวัลย์ไต่ลงมา แต่คำตอบที่ได้ ทำให้พรานเบที่ยืนมองอยู่ถึงกับร้องลั่นด้วยความตกใจ

“ห่ะ!”

“เอ็งว่าอะไรนะไอ้เหน๋อ พูดมาชัดๆสิ”พรานนำทางร้องถามอย่างร้อนรน

“ก็ไอ้สิงห์มันหนีช้างเข้าไปในถ้ำนั้นแหละ”

“ไม่รู้มันเข้าไปยันไหน ผมเรียกจนคอแทบแตกมันยังไม่ออกมาเลย จะลงไปตามก็กลัวไอ้ช้างโขลงนั้นจะอยู่แถวนี้”เหน๋อร้องบอกหลังจาก ไต่ลงมาถึงพื้นดิน

“ฉิ บหาย”

“เกิดเรื่องใหญ่แล้วพวกเรา”พรานเบร้องบอกคณะ พลางแสดงสีหน้าเป็นกังวล อย่างเห็นได้ชัด

“มันยังไงกันว่ะ ไอ้เบ”

“ไอ้สิงห์คงหลบอยู่ในถ้ำ อย่างที่ไอ้เหน๋อมันว่านั้นแหละ ไม่เห็นจะต้องตกอกตกใจขนาดนี้เลย ดีไม่ดีเผลอหลับยังไม่ตื่นล่ะมั๊ง?”พรานชราร้องตอบ

“แกรู้หรือเปล่า”

“ว่าไอ้ถ้ำที่แกเห็นนั่นล่ะ มันเป็นถ้ำอะไร”พรานเบร้องถาม แต่คนที่ตอบแทนพรานเฒ่า กลับกลายเป็นพรานพร

“ป่าดำ!”

“ใช่! ทางเข้าไปป่าดำ ที่เอ็งเล่าให้ข้าฟังหรือเปล่าวะ”พรานพรร้องถาม พลางจ้องหน้าพรานเบตาไม่กระพริบ แทนคำตอบ พรานที่ถูกถามก็พยักหน้าช้าๆ แทนคำตอบว่าใช่ ทำให้คนที่ได้รับคำตอบ ถึงกับใจหายวูบ

“พูดเป็นเล่นไปนาไอ้พร”

“ป่าดง ป่าดำอะไรที่ไหนกัน มันอาจจะเป็นแค่ถ้ำธรรมดาๆก็ได้”พรานชราร้องขัด

“ฉันก็อย่าให้มันเป็นไปตามที่แกว่าตาโส่ย”

“แต่ร้อยทั้งร้อย ข้าว่าไอ้ถ้ำนี้ล่ะ มันคือทางเข้าไป ป่าดำ”พรานเบร้องตอบพรานชรา พูดจบก็งัดเอาบุหรี่ยาเส้น ออกมามวนสูบจนควันโขมง

“ทีนี้ พวกเราจะเอายังไงดี”

“เรื่องมันชักบานปลายไปกันใหญ่แล้วข้าว่า”พรานแปะร้องถาม

“เป็นเพราะข้าคนเดียวแท้ๆ ที่พามันมา”

“รวมถึงพวกเอ็งด้วย ที่ข้าพามาลำบากเกือบเอาชีวิตไม่รอด”พรานเบตอบอย่างคน สารภาพผิด

“เอ็งก็พูดไปไอ้เบ ไม่มีใครผิดทั้งนั้น”

“อย่าโทษตัวเองเลย ถ้าผิดก็ผิดกันทุกคนนั้นแหละ”พรานพรร้องปลอบ

“บางทีไอ้สิงห์มันอาจจะเข้าไปได้ไม่ไกล อาจจะหลับอย่างที่ไอ้เหน๋อมันว่าก็ได้”

“เอ็งอย่าด่วนตัดสินใจไปเลย ช่วยกันเรียกดู บางที่มันอาจจะได้ยิน”พรานชราร้องบอกมาอีกคน

“ไม่มีประโยชน์หรอกตาโส่ย”

“ถ้าเรียกแล้วมันได้ยิน ก็คงออกมาแล้ว นี่ไอ้เหน๋อมันก็ยิงปืนเรียกพวกเราตั้งหลายนัด ขนาดมันอยู่ใกล้กว่าเรามันยังไม่ได้ยินเลย”พรานเบพูดอย่างคนสิ้นหวัง

“จะไปยากอะไรวะ ก็เข้าไปตามกันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”

“มัวแต่พูดกัน ไม่ได้ประโยชน์”พรานแปะโพล่งออกมา

“พูดเป็นเล่นไป ไอ้ช้างบ้าตัวนั้น มันตามไอ้สิงห์เข้าไปยังไม่ออกมาเลย”

“เข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนั้นไม่ได้หรอก”เหน๋อว่า

“อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิดวะ ข้าปล่อยให้ไอ้สิงห์ ให้อยู่แบบนั้นไม่ได้ ข้าต้องรับผิดชอบมัน”

“ดีร้ายอะไร จะได้ช่วยเหลือมันทัน”พรานเบร้องบอก

“แต่ไอ้ช้างบ้าตัวนั้นมันเจ็บอยู่นา”

“ไม่เห็นเรอะ เลือดเปรอะไปหมด”เหน๋อร้องบอก พลางชี้มือบอกคณะ ให้ดูรอยเลือดของช้างป่า ที่ตัวเองยิงเจ็บไว้ ซึ่งตอนนี้แห้งเกรอะกรังไปหมดแล้ว ซึ่งคณะก็เพิ่งจะมาสังเกตเห็น

“พวกเราจะเอายังไงดีไอ้เบ”

“เสี่ยงอยู่นา”พรานชราร้องถาม

“ก็ข้าบอกไปแล้วไง อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด”

“ถ้าคนไหนไม่อยากออกตามไปกับข้าก็ไม่เป็นไร ถึงจะมีข้าไปคนเดียวข้าก็ต้องไป”พรานเบร้องตอบ พูดจบก็ดีดก้นบุหรี่ยาเส้นลงพื้น ก่อนที่จะใช้ปลายเท้าขยี้จนดับ จากนั้นก็ทำท่าออกเดินเข้าไปในถ้ำปริศนาแห่งนั้น

“ใจเย็นโว้ยไอ้เบ”

“ข้าว่า ไม่มีใครในพวกเรา ไม่อยากไปกับเอ็งหรอกไอ้เบ แต่เราต้องใจเย็นๆกว่านี้ มาช่วยกันหาวิธีกันดีกว่า ว่าจะทำกันอย่างไงดี”พรานพรร้องบอก ทำให้พรานเบหยุดชะงัก

“จริงอย่างที่ไอ้พรมันว่า”

“มาด้วยกัน ก็ต้องกลับด้วยกัน ทิ้งกันได้อย่างไงล่ะ เอ็งพูดไม่ถนอมน้ำใจพวกข้าเลยไอ้ห่ า”พรานชราร้องบอก พูดจบก็ค้อนให้ทีหนึ่ง

“งั้นข้า ก็ต้องขอโทษพวกเอ็งทุกคนด้วยก็แล้วกัน”

“เป็นเพราะข้าเป็นห่วงไอ้สิงห์มัน ก็เลยบุ่มบ่ามไปหน่อย ไม่ทันคิด”พรานเบร้องตอบ พูดจบก็เดินกลับเข้ามาในกลุ่มดังเดิม

“ไม่ใช่เอ็งคนเดียว ที่เป็นห่วงไอ้สิงห์ พวกข้าก็เป็นห่วงมันเหมือนกัน ไม่ได้น้อยไปกว่าเอ็งหรอกไอ้เบ”

“แต่ไอ้ช้างเจ็บตัวนั้น มันเป็นปัญหากับพวกเรา และเราก็ไม่รู้ว่ามันไปหลบอยู่ส่วนไหนในถ้ำ ขืนเข้าไปไม่ระวังก็อาจพลาดท่ามันก็ได้”พรานพรร้องบอกเหมือนเตือนสติ แต่ไม่ทันที่คณะจะปรึกษาอะไรกันต่อ เจ้าเคิ้งที่เดินสำรวจบริเวณโดยรอบก็ร้องลั่น

“เอ๊า!ไอ้พะบอง นี่หว่า”

“เฮ้ย ไอ้พะบองตายแล้ว”เจ้าเคิ้งร้องบอกคณะ ทำให้ทุกคนพากันกรูไปที่ซากของมัน ที่ซุกอยู่ในกอเถาวัลย์ โดยเฉพาะพรานเบ ผู้เป็นเจ้านายถึงกับรีบทรุดกายลงประคองร่างนั้น ก่อนจะพูดอะไรออกมาเบาๆว่า

“โธ่...ไม่น่าเลย”

“เอ็งต้องมาตายเพราะข้าแท้ๆ”พูดจบก็ค่อยๆวางร่างไร้วิญญาณของหมาชราลงกับพื้นเช่นเดิม แต่ที่ทำให้ทั้งหมดรู้สึกสะเทือนใจก็คือ เจ้าพะเปรียว ซึ่งมันจะรู้หรือไม่ว่าเพื่อนร่วมทางของมันได้ตายไปแล้ว มันพยายามใช้จมูกดันร่างนั้น ราวกับจะปลุกเพื่อนของมันให้ตื่นขึ้น แต่ถึงมันจะพยายามขนาดไหน ก็ไม่สามารถทำให้เพื่อนของมันตื่นขึ้นมาได้ สุดท้ายก็นอนหมอบนิ่งอยู่ข้างๆร่างอันไร้วิญญาณของเพื่อนร่วมทาง

“ไอ้พะบองมันไม่ได้ตายเปล่าหรอกน้าเบ”

“ถ้าไม่ได้มัน ไอ้สิงห์อาจแย่ก็ได้ เพราะไอ้พะบองนี่แหละ ที่ช่วยมันไว้ มันเลยมีโอกาสหนีเข้าไปในถ้ำ”เหน๋อร้องบอก พลางเล่าเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่อสดๆร้อนๆของคืนที่ผ่านมาให้คณะได้รับฟัง ทำให้ทั้งหมดพอจะลำดับเหตุการณ์ต่างๆได้ชัดเจนขึ้น

“เป็นข้าก็ทำแบบไอ้สิงห์วะ”

“ข้าว่ามันคิดถูกแล้ว ที่หนีเข้าไปในนั้น”พรานพรร้องบอก หลังจากฟังเรื่องราวที่เหน๋อเล่ามา

“อ้าว”

“นั่นปืนของไอ้สิงห์นี่หว่า ทำไมไปตกอยู่ตรงนั้นว่ะ”พรานแปะร้องบอก พูดจบก็เดินมุดเข้าไปหยิบปืนยาวของสิงห์ ที่ตกซุกอยู่ในดงเถาวัลย์ ทำให้คนอื่นพากันกรูเข้าไปดู

“ของไอ้สิงห์นั่นแหละ”

“นี่ยังดี ที่พวกมันไม่เห็น ถ้าเห็นคงกลายเป็นเศษเหล็ก”พรานชราร้องบอก พลางหยิบปืนของสิงห์ขึ้นมาพิจารณาความเรียบร้อย

“เอาแบบนี้ดีกว่า พวกข้าสามคนจะไปดูลู่ทางก่อน”

“ส่วนทางแก ตาโส่ย อยู่เฝ้าแถวนี้ไปก่อนแล้วกัน”พรานเบร้องบอกคณะ

“ไอ้พุ่ม ไอ้เคิ้ง เอ็งช่วยกันฝังไอ้พะบองทีเถอะวะ ข้าเห็นแล้วสงสารมัน”

“ไปไอ้เบ เราไปดูลู่ทางกันก่อนดีกว่า ไอ้แปะด้วย ไปด้วยกันกับพวกข้า ปืนผาหน้าไม้อะไรก็เตรียมกันไปให้พร้อม”พรานพรร้องสั่งกะเหรี่ยงทั้งสอง ก่อนที่จะพากันไปที่ปากถ้ำนั้น

“ไฟฉายด้วย อย่าลืม”

“ถ้าไอ้ช้างโขลงนั้นมันบุกมาอีก ก็หนีขึ้นไปอยู่บนโน่นก็แล้วกัน น่าจะรับมือไหว”พรานเบร้องบอก พลางชี้ขึ้นไปบนชะง่อนหิน ก่อนทั้งหมดจะพากันเดินไปที่ปากถ้ำ ที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า

          โดยการนำของพรานเบ ทั้งหมดจึงมาหยุดยืนอยู่ที่ปากถ้ำขนาดใหญ่ อันเปรียบเสมือนป้อมปราการด่านแรก ที่ชายทั้งสามจะต้องเข้าไปสำรวจ และออกตามหาเพื่อนร่วมทางที่ได้ผลัดเข้าไป ซึ่งตอนนี้ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า ชะตาของชายหนุ่มคนนั้นจะเป็นเช่นไร แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพเช่นไร

          ทันทีที่ทั้งสามคน ก้าวเท้าเข้าไปในปากถ้ำนั้น ความรู้สึกขนลุก ก็พลันเกิดขึ้นทันที เพราะเสียงหวีดหวิว ของเสียงลมที่ดังกระทบแง่หินที่อยู่สูงขึ้นไป มันดัง ครวญคราง ราวกับมีปีศาจร้ายแอบซุกซ่อนอยู่ในโพรงนั้น เล่นเอาพรานแปะและพรานพร รู้สึก หนาวๆร้อนๆไปตามๆกัน แต่คนที่ดูไม่หวั่นไหวและแสดงปฏิกิริยาใดๆเลย ก็คือพรานเบ ตรงกันข้างกลับทำหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงอาการใดๆที่บ่งบอกว่ากลัวมาให้เห็น ที่เห็นตอนนี้ก็คือ แววตาที่แสดงให้เห็นถึงความกังวลอย่างขีดสุด....






*****อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เมื่อพรานทั้งสามคนออกติดตามหาชายหนุ่ม เนื้อเรื่องจะเป็นเช่นไร โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในบทต่อไป*****

.....

กระท่อมน้อยคอยรัก ของตาโส่ย


กาแฟ , โอวันติน สักกระบอกมั๊ยครับ


กินอยู่ง่ายๆครับ สะบายสำหรับคนที่อยู่ง่ายกินง่าย แต่อาจจะลำบากจนหน้าเขียวสำหรับคนที่กินยากอยู่ยาก(ผมว่านอนอยู่บ้านจะดีกว่า)


กุ้ง หอย ปู ปลา มีเยอะแยะให้เลือกหา แต่จงเลือกหาแต่พอกิน เพื่อลูกหลานในวันข้างหน้า..



Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #4 on: 23 April 2021, 13:31:34 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 ตอนที่ 5


บทที่ 10

ตอนที่ 5

          ระยะไม่เกินห้าวา จากปากถ้ำ ทั้งสามก็ต้องตกอยู่ในท่ามกลางความมืดมิด เพราะแสงสว่างจากภายนอกที่เห็นอยู่เบื้องหลัง ไม่สามารถสาดส่องเข้ามาถึง ส่วนที่เป็นโพรงมืดด้านในได้ เพราะถูกเหลี่ยมมุมของกำแพงหินบดบังเกือบจะทุกด้าน ทำให้ไฟฉายของแต่ละคนที่กำอยู่ในมือ พากันสว่างขึ้นมาทีละดวง ดวงแรกจับไปตามผนังถ้ำ ดวงที่สองส่องกราดไปมาบนเพดาน ดวงสุดท้ายสาดส่องสำรวจไปตามพื้นดิน

“ถ้ำมันลึกขนาดนี้เชียวรึ”

“มืดก็มืด ไม่รู้ไอ้สิงห์มันคลำเข้ามาได้ยังไง”พรานแปะว่า พูดจบก็กราดไฟไปตามผนังถ้ำเช่นเดิม

“อย่าว่าแต่ลึกเลย เอ็งไม่เห็นรึ ขนาดส่องขึ้นไป ไฟฉายของข้ายังส่องไม่ถึงเพดาน”

“เกิดมาเพิ่งจะเคยพบเคยเห็น”พรานพรกล่าว

“จริงอย่างที่ไอ้เหน๋อมันพูด มีช้างตามมันเข้ามาตัวเดียวจริงๆ”

“ดูจากรอยนี่สิพวกเรา มีแต่รอยเข้า รอยออกมายังไม่มี”พรานเบร้องบอก พลางส่องไฟไปที่รอยตีนช้างขนาดใหญ่

“ระวังกันให้ดีก็แล้วกัน อย่าประมาท”

“โน่นไง รอยเท้าของไอ้สิงห์!”พรานเบร้องบอก ก่อนที่จะรีบก้มลงไปสำรวจรอยเท้าของชายหนุ่ม ซึ่งตอนนี้มองเห็นอยู่ชัดเจน

“ลองเรียกมันดูมั๊ย”

“บางที่มันอาจจะหลบอยู่แถวนี้ก็ได้”พรานแปะเสนอความคิด

“ผิวปากเรียกดีกว่า”

“ตะโกนโหวกเหวกออกไป เดี๋ยวไอ้ช้างบ้าตัวนั้นอยู่ใกล้ๆเรา จะแย่เอานา หรือเอ็งจะว่าไงไอ้เบ”พรานพรท้วง พลางหันไปมองหน้าพรานนำทาง เหมือนจะขอคำตอบ

“เอ็งพูดถูกไอ้พร”

“ผิวปากเรียกดีกว่า”พรานเบตอบ พูดจบก็ห่อริมฝีปาก เป่าลมออกมาดัง วี๊ว เหมือนเสียงนกกางเขน โดยมีลำไฟฉายคอยสาดกราดออกไปรอบทิศทาง โดนเฉพาะบริเวณที่เป็นเหลี่ยมมุม หรือจุดอับตาต่าง จะต้องค่อยส่องสำรวจมากเป็นพิเศษ เพราะไม่รู้ว่า ช้างป่าตัวนั้นจะแอบซุ่มอยู่บริเวณใดของถ้ำ จากไม่กี่วา ที่เคยอยู่ ก็เริ่มขยับเข้าไปลึกเป็นลำดับ จนมองเห็นปากถ้ำไกลมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีวี่แววของชายหนุ่มผู้นั้น ที่เห็นก็มีเพียงแต่รอยเท้า ที่ย้ำไว้ให้เห็นต่างหน้า

“มืดๆแบบนี้ มันยังกล้าคลำมาอีก”

“ข้าล่ะเชื่อเลย”พรานแปะร้องบอก

“ไม่หนีก็เละสิ โดนช้างวิ่งจี้ตูดมาแบบนั้น”

“เป็นข้าก็หนีตาเหลือกเหมือนกัน”พรานพรเสวนาตอบ

“มันก็ไม่ง่ายอย่างที่เอ็งว่าหรอกไอ้พร”

“โน่น รอยมันล้มคะมำ อยู่นั้น”พรานเบร้องบอก พลางกราดไฟฉายจับไปที่พื้นดิน ซึ่งตอนนี้มองเห็นเป็นรอยฝ่ามืออย่างชัดเจน ทำให้พอจะเดาออกว่า ชายหนุ่มต้องสะดุดอะไรสักอย่างก่อนที่จะล้มลงไป แล้วจึงยันตัวขึ้นไปต่อ โดยดูจากรอยฝ่ามือที่อยู่ในลักษณะคว่ำ เกือบจะมองเห็นเส้นลายมือบนพื้นดินเลยทีเดียว

“สงสัยสะดุดหินก้อนนี้แน่ๆ”

“ถ้ำนี้มันก็แปลกๆ ไม่มีโพรง ให้เข้าไปแอบเลยหรือไงวะ ยังกะอุโมงค์ลดไฟ”พรานพรบอก พลางส่องไฟไปจับที่แง่หินก้อนหนึ่ง ที่แทงโผล่ขึ้นมาบนดิน

“ใครว่าไม่มี”

“โน่นไง ดูเหมือนจะเป็นทางแยก”พรานเบร้องบอก แต่ไม่ทันจะพูดอะไรต่อ พรานนำทางก็ร้องออกมาดังลั่นว่า

“เฮ้ย!”

“นั่นมันเหวนี่หว่า” พรานเบละล่ำละลัก ก่อนที่จะเดินดิ่งไปที่ขอบเหวนั้น

“ฉิ บหายแล้วไง ไอ้เบ”

“ดูให้ดีๆซิ”พรานพรร้องบอก อย่างขวัญหนีดีฟ่อ

“ชัดเลยไอ้พร รอยไอ้สิงห์มันตรงไปที่เหวนั่น”

“แล้วทางแยกที่เอ็งเห็นล่ะ ไอ้แปะเอ็งเดินไปดูหน่อยสิ เผื่อมันแยกออกไปทางโน่น”พรานพรร้องบอกอย่างร้อนใจ ชั่วครู่พรานแปะก็ร้องกลับมาว่า

“ไม่มีเลยพี่ มีแต่รอยช้าง!”

“รอยไอ้สิงห์ไม่มีเลย โธ่...ไอ้สิงห์”ประโยคหลังพรานแปะร้องบอก พลางทำเสียงเครือเหมือนจะร้องไห้

“ไอ้แปะ ไอ้ปากเสีย! เอ็งดูให้ดีๆสิ รอยตีนช้างมันอาจจะวิ่งทับกันก็ได้”

“ไอ้ห่ าเอ๊ย!”พรานพรสบถ ก่อนที่จะจ้ำพรวดๆไปที่ตำแหน่งของพรานแปะ เพื่อส่องสำรวจด้วยตัวเอง แต่แล้วก็ต้องใจหายวาบ เพราะพยายามขนาดไหน ก็มองไม่เห็นร่องรอยของชายหนุ่มแม้แต่น้อย ที่เห็นก็มีแต่เพียงรอยตีนช้างตัวนั้น

“เปล่าประโยชน์ไอ้พร”

“ไอ้สิงห์มันตกลงไปในเหวนั่นจริงๆวะ เอ็งมาดูอะไรนี่สิ”พรานเบร้องบอก พูดจบก็ทรุดกายลงนั่งยองๆกับพื้นอย่างคนหมดเรี่ยวหมดแรง

          ณ บริเวณขอบเหวนั้นเอง ที่พรานเบส่องไฟฉายสำรวจพบกับอะไรบางอย่าง ที่บ่งบอกว่า ชายหนุ่มในคณะได้พลัดตกลงไปในเหว ซึ่งตอนนี้ก็ไม่สามารถคาดเดาได้อีกเช่นกันว่า มันจะมีความลึกสักเท่าไร แต่ดูจากร่องรอยที่ปรากฏ ก็พอจะเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า ชายหนุ่มตกลงไปในเหวแห่งนี้ ทั้งรอยเท้าที่เดินตรงไปที่ปากเหวอย่างไม่คิดที่จะหยุด และรอยครูดไถลลงไปตามที่ชันก็ยังเป็นรอยใหม่ๆจัดเจน  และที่ทำให้แน่ใจมากที่สุดคือ วัตถุอะไรชนิดหนึ่ง ที่สะท้อนแสงเรืองๆกลับมา เมื่อลำแสงของไฟฉายของพรานเบส่องกระทบ

“นั่นมันนาฬิกา ของไอ้สิงห์นี่หว่า”

“โธ่..ไอ้สิงห์”พรานแปะพูดเสียงเครือ

“มันตกลงไปในนี้จริงๆด้วย”

“เอายังไงดีไอ้เบ!”พรานพรพูดอย่างร้อนรน

“....”

“ข้า...ข้าทำอะไรไม่ถูกแล้ววะ ไอ้พร เป็นเพราะข้าคนเดียว”พรานเบร้องบอก พลางขบกรามตัวเองจนเป็นสันปูด

“โธ่...”

“ไอ้สิงห์!”พรานพรบ่นพึมพำกับตัวเองจบ ก็ตะโกนเรียก ชื่อชายหนุ่มดังลั่น

“ไอ้สิงห์โว้ย....”

“เอ็งอยู่ที่ไหน...”ตะโกนออกมาได้เพียงแค่นั้น ก็ทิ้งกายลงนั่งกับพื้นอย่างคนหมดหวัง

“เจ้าพระคูณ...เจ้าป่าเจ้าเขา โปรดคุ้มครองไอ้สิงห์ด้วยเถิด”

“ขออย่าให้มันเป็นอะไรไปเลย”พรานแปะยกมือไหว้บนบานเจ้าป่าเจ้าเขา

“ไม่ว่ามันจะอยู่ในสภาพไหนก็ตาม”

“ข้าต้องเอาตัวมันขึ้นมาให้ได้”พรานเบร้องบอก

“เอ็งไม่เห็นรึไอ้เบ ว่าเหวที่ไอ้สิงห์ตกลงไปมันลึกขนาดไหน”

“ขนาดไฟฉายของเอ็งยังส่องลงไปไม่เห็นก้นเหวเลย”พรานพรร้องขัด

“ต่อให้มันลึกเป็นกิโล ข้าก็ต้องเอาตัวมันขึ้นมาให้ได้ไอ้พร”

“ข้าต้องรับผิดชอบมัน ถ้าไม่เป็นเพราะข้า ไอ้สิงห์คงไม่เป็นแบบนี้”พรานเบตอบ

“แล้วเอ็งจะลงไปได้อย่างไง ชันขนาดนี้ เชือกยาวๆก็ไม่ได้ติดกันมา”

“หรือเอ็งจะไต่ไปตามขอบเหวนั่น”พรานพรว่า

“เชือกไม่มีก็ใช้เถาวัลย์ก็ได้นิพี่พร”

“ปากทางหน้าถ้ำ มีอยู่เยอะแยะ เอามาถักก็น่าจะใช้ได้”พรานแปะเสนอความคิด

“จริงของไอ้แปะมันไอ้พร”

“เถาวัลย์ก็ใช้ได้!”พรานเบพูดออกมาอย่างมีความหวัง

“จะทำอะไรก็รีบทำเถอะวะ”

“พวกเรารีบออกไปเตรียมตัวกันดีกว่า ชักช้ากว่านี้ ไอ้สิงห์อาจจะแย่ก็ได้”พรานพรร้องตอบ สิ้นเสียงของพรานพร ทั้งหมดจึงเคลื่อนขบวนกลับออกไปอย่างเร่งรีบ เพราะเวลาอาจไม่รอท่า ชีวิตของเพื่อนร่วมชะตากรรม ตอนนี้ตกอยู่ในช่วงวิกฤติ ซึ่งก็ไม่อาจจะทราบได้ว่า บุคคลที่ตกลงไปในเหวนรกแห่งนั้น จะอยู่ในสภาพเช่นไร
ท่ามกลาง การรอคอยของบุคคลภายนอกอย่างใจจดใจจอ แต่ละคนนั่งกันไม่ติดที่ โดยเฉพาะพรานโส่ยเอาแต่เดินไปเดินมาป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณหน้าปากถ้ำ ส่วนคนอื่นๆก็ผุดลุกผุดนั่งกัน ก้นไม่ติดพื้น ได้ยินเสียงอะไรกุกกักหน่อย ก็ชะเง้อคอกันให้สลอน เกือบครึ่งชั่วโมงเขาไปแล้ว ที่ทั้งสามคนเข้าไปในถ้ำปริศนา ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปไม่กี่นาที แต่ความรู้สึกของคนที่รอคอยมันช่างเนิ่นนาน ราวกับเฝ้ารออยู่เป็นวันๆ และแล้ว เงาของบุคคลทั้งสามก็ปรากฏขึ้นให้เห็นตะคุ่มๆ

“เฮ้ย!”

“เป็นยังไงบ้างวะ แล้วไอ้สิงห์ล่ะหายไปไหน?”พรานเฒ่าร้องถามเสียงแซด เมื่อเห็นพรานทั้งสามโผล่ออกมาจากเงามืด

“ชักไม่เขาท่าเสียแล้ว”

“สงสัยจะเกิดเรื่องแน่ๆ”พุ่มกระซิบบอกเจ้าเคิ้ง

“เป็นไงพี่แปะ”

“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับไอ้สิงห์”เหน๋อร้องถามด้วยสีหน้าอันซีดเผือด

“ว่าไงพี่พร!”

“พี่แปะล่ะ!”

“น้าเบ!...เอ๊าใบ้กินกันหมดหรือไง บอกมาซี ว่าเกิดอะไรขึ้นกับไอ้สิงห์”เหน๋อละล่ำละลัก พลางเดินไปเขย่าแขนพรานนำทางจนตัวโยก

“....”

“ไอ้สิงห์..ไอ้สิงห์มัน..มัน”พรานเบพูดอึกอักอยู่เช่นนั้น ทำให้พรานเฒ่าถึงกับตวาดออกมาว่า

“ก็พูดมาสิว่ะ ไอ้ห อก!”

“มัวแต่อ้ำอึ้งอยู่ได้ คนรอฟังมันทรมานโว้ย!”พรานเฒ่าสบถ

“เอาล่ะ ข้าจะบอกก็ได้”

“พวกเอ็งทำใจกันให้ดีๆก็แล้วกัน”พรานเบพูดออกมาเบาๆ พลางหันไปมองพรรคพวกอีกสองคน เหมือนจะถามความคิด ทั้งสองไม่ตอบ นอกจากพยักหน้าหงึกหงัก

“มีรอยไอ้สิงห์มันเข้าไปในถ้ำอย่างที่ไอ้เหน๋อบอกนั่นล่ะ”

“แต่มันคงไม่รู้หรอกว่า ข้างในนั้นมันมีเหวอยู่”

“....ถ้ำมันมืด”

“มืดจนมันมองไม่เห็นทาง...ไอ้สิงห์ ไอ้สิงห์มันเลยตกลงไป”พรานเบพูดได้แค่นั้น ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ต่อ เพราะความรู้สึกที่ตีบตันในคอและทรวงอก

“ห๊า!”

“โธ่..ไอ้สิงห์..”เหน๋อรำพึง

“เวรกรรมแท้ๆ”

“ไม่น่าเลยยังหนุ่มยังแน่น  ฮือๆ”พรานเฒ่าร้องฟูมฟายแบบไม่อายสายตาใครทั้งนั้น ทำให้เจ้าเคิ้ง และเจ้าพุ่ม พากันน้ำตาคลอตามไปด้วย

“อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจกันสิวะ”

“ไอ้สิงห์มันอาจจะไม่เป็นอะไรก็ได้”พรานพรตวาดลั่น

“ใช่ บางที่มันจะยังมีชีวิตอยู่”

“พวกข้ากำลังหาวิธีลงไปช่วยมันในเหวนั่น”พรานแปะร้องบอกมาอีกคน

“ไหนเอ็งว่ามาสิไอ้แปะ ว่าพวกเราจะช่วยมันได้อย่างไง”

“แล้วเอ็งเห็นไอ้สิงห์มันอยู่ที่ก้นเหว ที่เอ็งว่าหรือเปล่า”พรานชราร้องถาม พลางใช้แขนเสื้อปาดเช็ดน้ำตา

“ไม่มีใครเห็นหรอกตาโส่ย”

“เหวนั่น มันลึกมาก ขนาดไฟฉายของข้ายังส่องไม่ถึงพื้นเลย ถึงพวกข้าจะไม่เห็น แต่ข้าก็มั่นใจ ว่าไอ้สิงห์มันต้องตกลงไปในนั่น”พรานเบร้องตอบ

“เชือกเชิกอะไรเราก็ไม่มีกันมาสักเส้น จะไต่ลงไปได้ยังไงล่ะนั่น”เหน๋อร้องบอกอย่างหมดหวัง

“เถาวัลย์ไง พวกเอ็งไม่เห็นรึ ที่เราอยู่กันนี้มีแต่ดงเถาวัลย์ทั้งนั้น”

“เลือกตัดเส้นยาวๆมาถักกันหลายๆเส้น ก็น่าจะพอไหว”พรานพรร้องบอก ทำให้ทุกคนเพิ่งจะนึกออก

“อย่ามัวแต่ถามกันเลยดีกว่า มาช่วยกันตัดเถาวัลย์เถอะ”

“ชักช้า เสียเวลาเปล่าๆ”พรานเบร้องเตือน สิ้นเสียงพรานนำทาง ทุกคนต่างแยกย้ายกันออกไปเลือกตัดเถาวัลย์อย่างกุลีกุจอ

          เสียงนกกางเขนดง ร้องหวีดหวิว แว่วมาจากชายดงทึบ ท่ามกลางสายหมอกที่เริ่มปกคลุมพื้นที่อยู่เจือจาง เพราะอำนาจความร้อนของดวงอาทิตย์ ที่เริ่มโผล่พ้นของฟ้าและทิวเขา ทำให้ป่าทึบเบื้องล่างบริเวณนั้น เริ่มปลอดโปร่งขึ้นทีละเล็กที่ละน้อย ถึงแม้เวลานี้จะยังไม่สามารถมองเห็นดวงไฟทรงกลมดวงนั้นได้ก็ตาม เพราะเรือนยอดของไม้ใหญ่ที่ขึ้นบนบังจนแน่นขนัด ถึงกระนั้น ก็ยังมีช่องว่าง พอที่จะทำให้แสงสว่างเล็ดลอดออกมาได้ กลายเป็นลำแสงขนาดต่างๆตามความกว้างของช่องว่างเหล่านั้น

          เจ้ากางเขนดงตัวเดิมยังคงเริงร่า โบกบินไปมาตามอาณาเขตของมัน แต่แล้วก็ต้องตกใจ เพราะมีสิ่งแปลกปลอม ล่วงล้ำเขามา เสียง แสกๆ วิ๊ดๆ จึงดังก้องไปทั่วบริเวณ เพราะมันประกาศให้ผู้บุกรุกรู้ว่า สถานที่แห่งนี้เป็นของมัน แต่เสียงที่ดังก้องไปนั้นทำให้สัตว์ป่าน้อยใหญ่ที่ออกหากินอยู่ใกล้ๆพากันหูผึ่ง รีบเผ่นหลบหาที่ซ่อนทันที ก่อนพวกมันจะพากันสะดุ้ง เพราะเสียงโครมครามของต้นไม้ และเสียงแกรกกรากตามพื้นดิน ที่ตอนนี้มองเห็นเหล่ามนุษย์พากันเดินย่ำไปมาดูสับสนไปหมด

“ฉับ!”

“ไอ้เคิ้ง เอ็งเลือกตัดเส้นขนาดนี้ก็พอ ใหญ่กว่านี้มันจะขนไปลำบาก”พรานเบร้องบอกกะเหรี่ยงหนุ่ม หลังจากใช้มีดเหน็บฟันไปที่เส้นเถาวัลย์ขนาดเล็กกว่าข้อมือ ก่อนที่จะชูเส้นเถาวัลย์เส้นนั้นให้เจ้าเคิ้งดูเป็นตัวอย่าง

“รีบๆเข้าหน่อยโว้ย”

“เอามาเท่าที่จะแบกมาได้ก่อน ขาดเหลือยังไงค่อยว่ากันอีกที แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วมั๊งไอ้เบ”พรานพรร้องบอก พูดจบก็โยนขดเถาวัลย์ที่ตัวเองเลือกตัดและม้วนมาอย่างเรียบร้อย ลงพื้นดังโครม

“เหลือดีกว่าขาด เถาวัลย์มีเยอะแยะทมไป”

“แล้วตาโส่ยกะไอ้แปะ ไปกันยันไหนป่านนี้ยังไม่โผล่”พรานเบร้องถาม

“โน่น..อยู่ทั้งฟากกะโน้น”

“เห็นตัดมาได้หลายม้วนอยู่ เดี๋ยวก็คงมา โน่นไงมากันแล้ว”พรานพรร้องบอกไม่ทันขาดคำ ก็แลเห็นชายทั้งสองเดินมุดลอดซุ้มเถาวัลย์มาแต่ไกล โดยมีม้วนเถาวัลย์หลายม้วนใส่คานหามแบกกันมาจนไหล่ลู่

“พอหรือยังไอ้เบ”

“ทางโน่นมีเยอะแยะ เส้นสวยๆกำลังดีทั้งนั้น เสียอย่างเดียว รกไปหน่อย”พรานชราร้องบอก พูดจบก็เหวี่ยงคานหามลงพื้นอีกโครม

“น่าจะสูสี เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ไอ้พร เดี๋ยวเอ็งเข้าไปในถ้ำกับข้าก่อน ส่วนคนที่เหลือก็ช่วยกันถักเถาวัลย์เตรียมไว้”

“อันไหนที่เรียบร้อยแล้ว ข้าจะเอาเข้าไปข้างในก่อน พอไม่พอยังไง ไอ้พร เอ็งค่อยออกมาเอาเข้าไปให้ข้าอีก”พรานเบพูดจบก็พยักหน้าเรียกพรานพร จากนั้นก็สะพายม้วนเถาวัลย์ที่เลือกถักเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ขึ้นบ่าข้างละสามขด ก่อนที่จะเดินดุมๆเข้าไปในปากถ้ำ พร้อมกับพรานพร ที่ตอนนี้ไหล่ทั้งสองข้างก็ไม่ว่างเช่นกัน

          ไม่กี่อึดใจหลังจากส่องไฟคลำกันมาในความมืด ชายทั้งสองก็มาถึงขอบปากเหวภายในถ้ำนั้น หลังจากตัดปัญหาเรื่องเชือกที่จะใช้ไต่ลงไปได้ เพราะได้แก้ไขปัญหาด้วยการใช้เถาวัลย์ขึ้นมาทดแทนจนเบาใจ ไม่ต้องถามหาตอไม้หรือรากไม้ที่จะใช้ผูกทำหลักเพราะไม่มี ครั้นจะออกไปตัดไม้เสี้ยมปลายแล้วตอกทำหลักก็คงจะยาก เพราะพื้นที่ยืนอยู่มีแต่หิน แต่ยังดีที่พอจะอาศัยแง่หินขนาดใหญ่ ที่โผล่ออกมา ผูกแทนหลักได้อย่างแข็งแรง

          พรานเบขมวดขดเถาวัลย์วนรอบแง่หินนั้นอยู่หลายรอบ จนแน่ใจว่าแน่นหนาและไม่มีโอกาสที่จะเลื่อนหรือคลายหลุดออกมาเสียก่อน โดยมีพรานพรคอยคลี่ม้วนขนเถาวัลย์ให้ ซึ่งแต่ละขด ที่แบกกันมาจนไหล่แทบหลุด ยาวเป็นสิบวา อย่างสั้นที่สุดก็แค่หกวากว่าๆ พรานพรรับหน้าที่ต่อเส้นเถาวัลย์เหล่านั้นเข้าด้วยกันจนเป็นเส้นยาวดูแน่นหนาและแข็งแรงด้วยความชำนาญ หลังจากทดสอบโดยการดึงจนแน่ใจว่า เงื่อนที่ตัวเองผูกไว้ จะไม่หลุดออกมา จึงร้องเรียกพรานเบเพื่อดำเนินขั้นตอนต่อไป

“เรียบร้อยโว้ยไอ้เบ”

“ทางเอ็งเสร็จหรือยัง”พรานพรร้องบอกพรานเบ ที่ตอนนี้กำลังนั่งงมอยู่ตรงแง่หิน ที่ตัวเองใช้เป็นหลักยึดเส้นเถาวัลย์

“เออจวนแล้ว”

“ขอผูกตรงนี้อีกหน่อย”พรานเบร้องตอบ

          หลังจากมะรุมมะตุ้มอยู่กับหลักแง่หินอยู่อึดใจ พรานเบก็เดินส่องไฟตรวจเส้นเถาวัลย์ ที่พรานพรผูกต่อกันไว้อีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีส่วนไหนผิดพลาด เพราะถ้าหากพลาดขึ้นมา ก็ไม่มีสิทธิที่จะแก้ตัว เดินส่องไฟอยู่หลายรอบจนแน่ใจ ทั้งสองพรานจึงช่วยกันม้วนเก็บเส้นเถาวัลย์อีกครั้ง จนเป็นวงขนาดใหญ่ จากนั้นจึงช่วยกันกลิ่งม้วนเถาวัลย์ลงไปที่บริเวณปากเหว ซึ่งมีลักษณะเป็นทางลาดต่ำลงไป ไม่กี่อึดใจหลังจากม้วนเถาวัลย์กลิ่งลงไปจนฝุ่นตลบ รวมถึงเสียงกรวดหินดินทราย ร่วงพรูดัง ซ่า ไม่นานเส้นเถาวัลย์ทั้งเส้นก็อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน

“เอ็งแน่ใจนะไอ้เบ”

“ให้ข้าไต่ลงไปเป็นเพื่อนเอ็งดีมั๊ย”พรานพรร้องถามพรานนำทางอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นพรานเบทำท่าเงื้อง้างเส้นเถาวัลย์เหมือนจะไต่ลงไปเดี๋ยวนั้น

“เอ็งอยู่ข้างบนน่ะดีแล้ว”

“ไต่ลงมาทีเดียวสองคน ข้ากลัวเถาวัลย์มันจะรับไม่ไหว ขาดเข้าจะยุ่งเอา”พรานเบร้องตอบ

“แล้วแต่เอ็งแล้วกัน”

“โชคดีโว้ย ระวังด้วย ไม่ต้องรีบ”พรานพรร้องเตือนอย่างเป็นห่วง พรานเบไม่ตอบอะไรนอกจากพยักหน้ารับ ก่อนที่จะค่อยๆสาวไต่เส้นเถาวัลย์เส้นนั้นลงไปตามทางลาดชั้นทีละน้อยทีละน้อย โดยมีพรานพรคอยส่องไฟให้ด้วยใจระทึก

          นอกจากเส้นทางที่ลาดชันจะเป็นอุปสรรคแล้ว ลักษณะของพื้นที่ ที่เหยียบก็มีความร่วนจนเท้าเหยียบไม่ค่อยอยู่ ราวกับกองหินกองทรายที่ถูกรถบรรทุกมาเททิ้งไว้เป็นภูเขา เหยียบไปตรงไหนก็ยุบและไถลลื่นตรงนั้น เศษดินเศษหินร่วงกรูหายลงไปในความมืดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ต้องเพิ่มความระมัดระวังขีดสุด จนพรานพรที่ยืนลุ้นอยู่ด้านบน ถึงกับเหงื่อท้วมเพราะความหวาดเสียว ต้องร้องบอกให้ระวังอยู่ตลอดเวลา จนในที่สุดพรานเบก็ไต่มาถึงบริเวณที่พบนาฬิกาของสิงห์จนได้ ซึ่งตอนนี้มันค้างติดอยู่บนแง่หินที่โผล่ออกมา

“ของไอ้สิงห์จริงๆ”

“สงสัยจะขาดตอนมันกลิ้งตกลงมา”พรานเบร้องบอกอย่างตื่นเต้น

“เดี๋ยวข้าจะโยนขึ้นไป”

“เอ็งคอยเก็บให้ดีก็แล้วกัน”พูดจบก็เหวี่ยงนาฬิกาข้อมือของสิงห์ขึ้นไปสุดแรง เพราะระยะที่อยู่ต่ำลงไป ไม่มากนัก จึงไม่ยากที่นาฬิกาเรือนนั้นจะลอยไปตกอยู่หลังพรานพร

“ขาดจริงๆอย่างที่เอ็งว่านั้นล่ะ สายมันหายไปข้างหนึ่ง”

“เสียดายหน้าปัดแตกไปเสียแล้ว เข็มไม่กระดิกเลย สงสัยจะพัง”พรานพรร้องตอบ หลังจากส่องไฟฉายสำรวจนาฬิกาของสิงห์ ซึ่งตอนนี้กระจกหน้าปัดแตกละเอียด

“เดี๋ยวข้าจะไต่ไปตรงตะพักที่เห็นอยู่นั่น”

“คงจะรู้ว่าต้องต่อเส้นเถาวัลย์อีกหรือเปล่า”พรานเบร้องบอก หลังจากดึงไฟฉายออกมาจากย่าม แล้วส่องกราดสำรวจ จนพบตะพักหินขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ต่ำลงไปอีกเป็นสิบวา

“ระวังก็แล้วกัน”

“เห็นท่าไม่ค่อยดีก็อย่าไปเสี่ยง”พรานพรร้องบอก พลางส่องไฟไปที่พรานเบ ซึ่งตอนนี้ยังพอมองเห็นพรานนำทางอยู่

          ท่ามกลางความเงียบที่ไร้การโต้ตอบใดๆจากชายทั้งสอง และความมืดมิด ทำให้เสียง ออดแอด ของเส้นเถาวัลย์ที่รัดจนตึงเปรี๊ยะ ที่ลั่นออกมานานๆครั้ง ทำให้พรานที่เฝ้ามองอยู่ด้านบน ต้องคอยส่องไฟดูเป็นระยะๆ โดยเฉพาะส่วนที่ระถูไปกับพื้น ซึ่งจะต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะเป็นจุดเสียงที่จะขาดมากที่สุด จนพรานพรถึงกับยอมลงทุนถอดเสื้อของตัวเองนำมาพันรอบเส้นเถาวัลย์บริเวณนั้นอีกที เพื่อลดแรงเสียดสีของเส้นเถาวัลย์ เวลาผ่านไปหลายนาที พรานเบก็ไต่ไปยังตำแหน่ง ที่ตัวเองหมายตาไว้ได้สำเร็จ ท่ามกลางความโล่งอกของพรานพร จนถอนหายใจออกมาดังเฮือก

“เป็นไง”

“พอหรือเปล่า”พรานพรป้องปากร้องถาม

“ไม่ถึง สงสัยจะต้องเอามาต่อเพิ่มอีก”

“เอ็งออกไปเอาเถาวัลย์มาอีกก็แล้วกัน หาใครมาช่วยแบบอีกสักคนสองคนก็พอ เดี๋ยวข้าจะรออยู่ตรงนี้”พรานเบตะโกนบอก พลางโบกไฟฉายไปมาเป็นสัญญาณ

“จะเอาแบบนั้นเรอะ”

“เอ๊า! เอ็งรอข้าหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ”พรานพรตะโกนบอก พูดจบก็รีบเดินดุ่มๆไปที่ปากถ้ำ โดยปล่อยให้พรานเบอยู่ในถ้ำนั้นโดยลำพัง ท่ามกลางความมืดมิดเช่นนี้ ถ้าเป็นคนอื่นคงขวัญหนีดีฟ่อ เมื่อต้องมาอยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมิด ทำให้พานคิดวิตกไปต่างๆนานา แต่สำหรับพรานเบ ที่มีจิตใจแน่วแน่ เขากลับไม่รู้สึกหวาดหวั่นสิ่งใดๆทั้งนั้น ที่คิดและวิตกตอนนี้มีอยู่สิ่งเดียวเท่านั้นก็คือ ชีวิตและความปลอดภัย ของเพื่อนร่วมทาง ซึ่งอาจจะรอคอยความช่วยเหลืออยู่เบื้องล่างก็เป็นได้

“เอ็งอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปเลยนะไอ้สิงห์”

“ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเอ็ง ข้าจะไม่ยอมให้อภัยตัวเองเลยตลอดชีวิต”พรานเบรำพึงกับตัวเองคนเดียวอยู่ในใจ ท่ามกลางความมืดมิด ที่กลืนกินทุกสรรพสิ่งที่อยู่รอบด้าน มี
เพียงแสงสว่างของไฟฉายในมือเท่านั้น ที่กลายเป็นเพื่อนปลอบใจในเงามืด ซึ่งตอนนี้มันส่องแสงสว่าง พาลำแสงต่ำลงไปอย่างไม่มีจุดที่สิ้นสุด....

*****การเดินทางยังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านี้ เหตุการณ์จะเป็นเช่นไร โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในตอนต่อไป*****

.....

น่าจะผีเสื้อกลางคืน(ดูจากหนวด) ตัวใหญ่มากครับน้าๆ


เจ้าเคิ้งในมุมเท่ห์ๆ


พ่อครัวหัวเห็ด ทำไว้ก่อน กินได้ไม่ได้ ค่อยว่ากันอีกที


ทริปเมื่อ 3 ปีก่อน คนไปกันเยอะ ระเบียงบ้านเลยกลายเป็นราวตากผ้าซะ...
นับถอยหลังแล้วสินะ คงอีกไม่นานเกิดรอเราคงได้พบกันอีก นะกระท่อมน้อยคอยรัก เอิ๊กๆ


คิดถึงปลาเผา ตัวใหญ่ๆจัง ซี๊ดดด...



Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #5 on: 23 April 2021, 13:39:27 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 ตอนที่ 6


บทที่ 10

ตอนที่ 6

          ความรู้สึกของพรานนำทาง จะแตกต่างจากบุคคลที่อยู่ลึกลงไปใต้พิภพ มากน้อยเพียงใดนั้นไม่อาจทราบได้ แต่ความรู้สึกเคว้งคว้าง คงจะไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก สำหรับพรานนำทาง รู้สึกเคว้งคว้างเพราะเพื่อนร่วมทางขาดหายไปอย่างไม่รู้ชะตากรรม แต่สำหรับชายหนุ่ม เขากลับรู้สึกเคว้งคว้างอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ราวกับว่า เขาเป็นมนุษย์ผู้เดียว ที่หลงเหลืออยู่โลกใบนี้ แต่มันจะดีไม่น้อย ถ้าโลกที่ว่ามา มันเป็นโลกที่คุ้นเคย ไม่ใช่โลกใต้ธรณีเช่นที่ตัวเขาเองกำลังเผชิญอยู่

          เส้นทางที่คดเคี้ยว พาชายหนุ่มให้เร่ร่อนไปอย่างไม่มีจุดหมาย ไม่รู้แม้กระทั้งทิศเหนือ ใต้ ออก หรือตก เพราะมันวกวนจนคำนวณไม่ถูก มาถึงตอนนี้ความคิดในสมองก็เริ่มจะแยกออกมาเป็นสองด้าน อันเนื่องมาจากความเครียดที่สะสมทับถมมาเป็นเวลานาน กลายเป็นแรงกดดันตัวเองขึ้นมา ด้านหนึ่งบอกกับตัวเองให้ถอยกลับ อีกด้านหนึ่งก็บอกกับตัวเองให้ไปต่อ ทำให้ต้องหยุดพักสติอารมณ์ เพราะมันเป็นอาการแรกที่เกิดจากความวิตกกังวล และสมาธิที่เริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“ถอยเถอะวะไอ้สิงห์ เอ็งจะดันทุรังไปทำไม”

“ลำบากตัวเองเปล่าๆ”มันเป็นเสียงที่แว่วขึ้นมาในหัวของชายหนุ่ม ความรู้สึกกำลังจะคล้อยตาม พลันก็แว่วเสียงอีกเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาในโสต

“เอ็งอย่าท้อสิว่ะ”

“มาถึงขนาดนี้แล้ว เชื่อมั่นตัวเองหน่อย”ชายหนุ่มถึงกับหยุดชะงัก ก่อนที่จะค่อยทรุดกายลงนั่ง พลางระงับสติอารมณ์ที่เริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวให้เข้ารูปเข้ารอยเสียก่อน

          ไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อน เพราะไม่รู้จะรีบไปเพื่ออะไร ในเมื่อหนทางข้างหน้าก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า  มันจะอยู่ในรูปแบบไหน ระยะทางจะเป็นเช่นไร ใกล้หรือไกลขนาดไหน ตัวเขาเองก็ตอบไม่ได้ สิ่งเดียวที่จะต้องคิดในตอนนี้ก็คือ ทำอย่างไร ที่จะเอาชีวิตรอดไปจากโพรงใต้พิภพแห่งนี้ เวลานี้จะมาคิดฟุ้งซ่าน หรือถามหาเทวดาให้มาโปรด คงหมดหวังที่จะพึ่งพาใครได้ในเวลาและสถานการณ์เช่นนี้ นอกจากตัวเองเท่านั้น

          ชายหนุ่มค่อยๆยันกายขึ้น หลังจากนั่งพักเพื่อเรียกสติอารมณ์ให้กลับมาอยู่ชั่วครู่ ความมุ่งมั่นและความพยายามเท่านั้น ที่จะพาให้ชีวิตรอดพ้นผ่านไปได้ ถ้าใจยังสู้ สังขารยังไหว จะกลัวอะไรกับความโดดเดี่ยว ดังหลักธรรมของพระพุทธศาสนาที่สอนไว้ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน มาถึงคราวนี้คงจะได้นำหลักคำสอนมาใช้อย่างเต็มที่ ในเมื่อแสงเทียนก็ยังสว่างโพลงอยู่เช่นนี้ จะมาทุกร้อนไปทำไมให้เสียขวัญ ไฟยังติดอยู่ก็หมายความว่าในโพรงนี้มีอากาศ และในเมื่อมันผ่านเข้ามาได้ก็ต้องมีช่องทาง คำตอบก็อยู่ในมือแท้ๆ กลับมองข้าม คิดแล้วก็น่าเข็กกบาลตัวเองให้หายโง่

        เส้นทางนั้น ทอดยาวคดเคี้ยวไปอย่างไม่มีจุดหมาย ทำให้ชายหนุ่มต้องคลำไปอีก อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนบ้างครั้งก็อดทำให้ต้องนึกท้ออยู่ในใจ ซึ่งมันก็เป็นธรรมชาติของมุนษย์ ที่เมื่อทำอะไรซ้ำๆซากๆ หรือไม่มีจุดหมายที่แน่นอน ก็ต้องเกิดความรู้สึกท้อถอย หรือแม้กระทั้งเบื่อหน่าย ในสิ่งที่ตัวเองทำแล้วไม่มีความหมาย แต่เมื่อนึกถึงญาติพี่น้องหรือหมู่มิตรผองเพื่อนก็ทำให้มีแรงฮึดสู้ขึ้นมาบ้าง ได้มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ทั้งที ชีวิตนี้ต้องใช้ให้คุ้มค่า ชาติหน้าจะมีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่รู้ก็คือชาตินี้เท่านั้นที่จับต้องได้เป็นรูปธรรม อุปสรรคมีไว้เพื่อทดสอบความอดทนของมนุษย์ ถ้าไม่มีอุปสรรคมาขวางกั้น ชีวิตก็ดูเหมือนจะไร้ค่า เพราะมองไม่เห็นปัญหา อย่างหลายชีวิตที่ต้องเสียไป เพราะความคิดชั่ววูบเดียวเท่านั้น กว่าจะเกิดมาเป็นตัวเป็นตน ยังไม่ทันตอบแทนน้ำนมมารดา ก็คิดสั้นฆ่าตัวตายเพราะหนีปัญหาชีวิต นอกจากจะไม่ตอบแทนบุญคุณผู้ให้กำเนิดแล้ว ยังสร้างบาปโดยการทำให้บิดา มารดาเสียใจ หรือไม่ก็ปล่อยให้ลูกเมียและครอบครัว เผชิญโชคตามลำพัง

          มนุษย์ควรรู้คุณค่าของชีวิต ถ้าเพียงแต่เราคิดว่าอุปสรรคทั้งหลายแหล่ที่มาขวางกั้นนั้น เป็นเพียงบททดสอบของพระเจ้า หรือไม่ก็เทวดาบนสวรรค์ เพื่อสอนให้เราได้เรียนรู้ และหาวิธีแก้ไขปัญหา แก้วิธีนี้ไม่ได้ ก็ต้องลองวิธีอื่น ไม่ช้าหรือเร็วก็จะพบกับทางออก ซึ่งมันจะมีคุณค่ากว่ามาก ถ้ารู้จักดิ้นรนหาวิธีแก้ไขปัญหาต่างๆด้วยตัวเอง เฉกเช่นเดียวกับชายหนุ่มในขณะนี้ ถ้าเขาคิดแค่เพียงว่า ไม่ช้าหรือเร็วบุคคลที่เหลือก็ต้องออกตามหา เสบียงก็พอมีอยู่บ้าง จะต้องมาทรมานสังขารตัวเองไปทำไม สู้นอนรอความช่วยเหลือแบบนี้ก็คิดและทำได้อย่างสบาย แต่เขากลับเลือกเส้นทางที่จะเอาชีวิตรอด โดยไม่นอนรอคอยความหวังจากใครทั้งนั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ ความมุทะลุบวกกับความบ้าบิ่นของตัวเองมีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อนำมาหารเฉลี่ยกับเปอร์เซ็นต์ที่มีอย่างละครึ่งคือ รอด กับ ไม่รอด การที่จะออกมาเสี่ยงนั้นก็ถือว่าคุ้มค่าที่สุด ในมื้อยังมีลมหายใจอยู่ ก็ต้องสู้สุดชีวิต อย่างที่เขาว่า สู้อย่างหมาจนตรอก

        ทั้งคลาน ทั้งมุด บ้างครั้งก็แทบจะนอนแถกไปกับพื้น แต่ในเมื่อมันก็เป็นเพียงช่องทางเดียวที่พอไปได้ ก็จะต้องลองจนถึงที่สุด ถึงแม้ว่าบางครั้ง เมื่อลอดผ่านพ้นไปแล้ว แทนที่จะได้คำตอบหรือภาพที่จะทำให้ยิ้มออก กลับกลายเป็นทางตัน แต่นั่นก็ไม่ทำให้สิ้นหวัง ถึงแม้จะแอบท้อใจอยู่บ้างก็ตาม ในเมื่อไปไม่ได้ก็ไม่ฝืน จะกระไรนักกับแค่ถอยกลับออกมาตั้งหลักใหม่อีกครั้ง ทางนี้ไปไม่ได้ ก็ต้องลองไปเรื่อยๆ จนเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุนผง แทบจะมองไม่เห็นผิวหนัง

          เส้นทางซอกซอนไปทุกขณะ แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ลดละ ที่จะพยายามหาช่องทางออก จนไม่สามารถบอกกับตัวเองได้ว่า  ตัวเขานั้นได้เดินงมอยู่ในโพรงแคบๆใต้พิภพแห่งนี้เป็นเวลานานเท่าไหร่ แถมอากาศภายในก็ร้อนอบอ้าวเสียจนไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น ทั้งร้อนทั้งหิว แต่ก็ไม่มีกระจิตกระใจจะคว้าอะไรเข้าปากมากิน นอกจากน้ำ แต่พอจะยกขึ้นจิบ ก็ต้องคิดหนัก เพราะน้ำในกระติกที่เคยเหลืออยู่เกือบครึ่ง พอเวลาล่วงผ่านไปนานเขา มาบันนี้มันเหลือเลยก้นกระติกมานิดเดียว เรื่องอาหารยังไม่กังวลเท่าเรื่องน้ำ จึงต้องคิดแล้วคิดอีกทุกครั้ง เมื่อจะยกน้ำที่เหลือขึ้นจิบ กำลังหนักใจเรื่องน้ำในกระติกที่จะหมดไปอีกไม่ช้า พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งผิดปกติอะไรบ้างอย่างบนผนังถ้ำ ครั้งแรกที่เห็นคิดเป็นผลึกที่สะท้อนแสงไฟ แต่เมื่อจอเปลวเทียนเข้าไปใกล้ ภาพที่เห็นก็ทำให้ชายหนุ่มถึงกับยิ้มออกขึ้นมาทันที

          ภายใต้แสงเทียนที่ส่องสว่างจ้านั้นเอง ที่เผยให้เห็นร่องรอยของน้ำที่กำลังซึมอยู่ระหว่างผนังถ้ำ ซึ่งตอนนี้มีคราบหินปูนเกาะเกรอะกรังสีขาวนวลสะอาดตา ในความมืดเช่นนี้ มันดูโดดเด่นในแสงเทียน ซึ่งตัดกับสีดำของผนังถ้ำแห่งนั้นเป็นอย่างมาก บ่งบอกถึงระยะเวลาอันยาวนาน กว่าที่น้ำที่ซึมออกมานั้น จะก่อตัวเป็นหินปูนอย่างที่เห็น ปริมาณน้ำที่ซึมออกมาดูน้อยนิด ถึงแม้จะพยายามส่องไฟสำรวจร่องรอยปริแตกของผนังหิน ก็ไม่สามารถมองเห็นที่มาของน้ำที่ซึมออกมาได้ เพราะมันเล็กเสียจนไม่พบ หรือที่เรียกว่า ซึมตามด

          มาถึงตอนนี้ สิ่งต่างๆที่เคยจดจำไว้จากพรานนำทาง จึงถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ ไฟฉายที่ถูกปิดสวิทช์จึงถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากชายหนุ่มหยดน้ำตาเทียนเพื่อตั้งเทียนเล่มนั้นจนสำเร็จ และเพื่อความไม่ประมาท เกี่ยวกับอากาศที่อยู่ภายใน เปลวเทียนจึงยังไม่ถูกดับลง

        แสงเทียนสว่างวอมแวม แข่งกับแสงไฟจากกระบอกไฟฉาย ที่ส่องวูบวาบไปมาตามพื้นถ้ำ อึดใจต่อมาก็แว่วเสียงดัง แซกๆ ของโลหะที่กระทบกับเศษหิน ในโพรงถ้ำแคบๆเช่นนี้ เสียงของมันดังก้องสะท้อนกลับไปมา ฟังดูสับสนไปหมด เพียงชั่วเวลาไม่นานนัก หลังจากชายหนุ่มใช้ปลายมีดขุดแซะไปตามพื้นที่เต็มไปด้วยกรวดหิน ก็ได้หลุมกว้างพอที่จะทำให้น้ำ ที่ซึมอยู่บริเวณรอบๆพื้นผิวนั้น ค่อยๆไหลซึมเขามาในบ่อหรือหลุมที่ตัวเองขุดขึ้นมาทีละน้อยๆ

        ในช่วงจังหวะที่รอให้น้ำค่อยๆซึมผ่านชั้นกรวดหินนั้น เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา ชายหนุ่มจึงผละไปเดินส่องไฟสำรวจลู่ทางบริเวณโดยรอบ ทั้งตามโตรกหิน และซอกผนัง เพื่อหาหนทางและเส้นทางที่จะไปต่อ เดินห่างออกมาจากจุดที่หาแหล่งน้ำได้ร่วมยี่สิบวา ก็พบเข้ากับปากโพรงขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปจากระดับเดิมเกือบห้าเมตร กำลังคิดจะปีนขึ้นไปเพื่อสำรวจภายในปากโพรงที่เห็น ครั้นแล้วก็ต้องหยุดชะงัก เพราะโสตแว่วเสียงอะไรชนิดหนึ่ง ครั้งแรกคิดว่าหูคงแว่วไปเอง แต่เมื่อหยุดฟังอย่างตั้งใจ ครั้งนี้กลับได้ยินเสียงปริศนานั้นอย่างชัดเจน

          ภายใต้ความเงียบ ชนิดที่แทบจะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้น ในความเงียบสงัดนั้นเอง ที่มีเสียงอะไรชนิดหนึ่ง สอดแทรกเข้ามา มันเป็นเสียง หวีดหวิว ครวญคราง แว่วมาขาดๆหายๆเป็นระยะๆ บางครั้งก็ดัง ฮือ ราวกับมีใครมาร้องโหยหวนฟังดูแล้วชวนให้ขนลุก ทำให้ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่า เสียงที่ตัวเองได้ยินนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆก็คือ มันแว่วออกมาจากโพรงเหนือหัวขึ้นไปนั่นเอง

          หลังจากยืนฟังเสียงปริศนานั้นอยู่อึดใจ ก็ตัดสินใจได้ว่าจะต้องปีนขึ้นไปสำรวจลู่ทางไว้ก่อน แต่เพื่อความไม่ประมาท เพราะไม่รู้ว่า เสียงที่แว่วมานั้น คืออะไร จึงคว้ามีดติดมือไปด้วย และ เพื่อความคล่องตัว จึงจำเป็นที่จะต้องปลดเป้หลังออกมากองอยู่กับพื้น ขืนรีบร้อนไม่ดูตาม้าตาเรือ อาจจะพลาดท่าเสียทีก็เป็นได้ ส่องไฟสำรวจบริเวณผนังถ้ำที่จะปีนได้ชั่วครู่ จึงตัดสินใจค่อยๆปีนไต่ไปตามผนังหิน ซึ่งเกือบจะตั้งตรงทำมุม 90 องศา ดีที่ว่าบริเวณ ที่จะปีนขึ้นไป มีแง่หินเป็นตะปุ่มตะป่ำยื่นออกมา พอที่จะใช้เหยียบรั้งร่างกายขึ้นไปได้อย่างไม่ยาก พยายามอยู่ไม่นาน ก็ขึ้นไปยืนเด่นอยู่บนปากโพรงนั้น ความรู้สึกแรกที่ขึ้นไปถึงก็คือ อากาศที่ถ่ายเท จนบางครั้งสามารถสัมผัสได้ถึงสายลมอ่อนๆที่พัดโชยอยู่ภายใน และอุณหภูมิภายในนั้น ดูเหมือนว่าจะแตกต่างจากโพรงเบื้องล่างอย่างชัดเจน เพราะที่รู้สึกได้ตอนนี้ก็คือ ความเย็น และความชื้น ยิ่งเดินเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ เสียงครางอู้ที่ได้ยินมาแผ่วๆ ก็แว่วให้ได้ยินชัดเจนมากยิ่งขึ้ง มาถึงตอนนี้ก็พอจะรู้แล้วว่า เสียงที่ได้ยินนั้น เป็นเสียงของลม ที่พัดผ่านมาตามโตรงหินนั้นเอง

          เลือดในกายสูบฉีดไหลพรูไปทั้งร่าง ถึงแม้จะยังมองไม่เห็นแสงสว่างจากภายนอก แต่สิ่งที่ตนเองกำลังสัมผัสอยู่ตอนนี้ ก็บอกกับตัวเองได้ว่า โอกาสรอดมีมากเกินกว่าครึ่ง แต่โพรงที่ตัวเองเดินสำรวจไปนั้น ยังไม่มีท่าทีที่จะสิ้นสุด ยิ่งถลำลึกเข้าไปมากเท่าไหร่บรรยากาศภายในก็ยิ่งเยือกเย็นมากขึ้นเท่านั้น อันเนื้องมาจากความชื้นและอากาศที่ถ่ายเทอยู่ตลอดเวลา

          เมื่อแลเห็นลู่ทางแห่งชีวิต ยังไม่สายที่จะกลับไปตั้งหลักใหม่ มาถึงตอนนี้ น้ำในแอ่งที่ตัวเองอุส่าห์ขุดไว้จึงมีน้ำอยู่เกือบเต็ม น้ำที่ค่อยๆไหลซึมออกมาจากชั้นดินและหิน ดูใสสะอาดตา แต่ก็ขุ่นมัวไปด้วยตะกอนดินที่อยู่ก้นแอ่งเบื้องล่าง หลังจากกระดกดื่มน้ำที่เหลือติดอยู่ก้นกระติกจนหมด แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่หายชื่นใจ ชายหนุ่มจึงก้มลงไป ค่อยๆดูดน้ำในแอ่งนั้นดื่มไปหลายอึก จากนั้นก็คว้ากระติกน้ำที่ว่างเปล่า นำมาบรรจุน้ำในแอ่งนั้น โดยใช้ฝากระติกค่อยๆตักตวงอย่างใจเย็น ไม่นานนัก กระติกน้ำที่เคยว่างเปล่า ก็ถูกเติมน้ำลงไปได้มากว่าครึ่งกระติก ถึงปริมาณจะไม่มากมาย แต่ก็มีค่ามากสำหรับชายหนุ่มในเวลาเช่นนี้

          ความหวังเลือนลางดูริบหรี่ ราวกับกองฟืนที่ใกล้จะหมดเชื้อ ดูจวนเจียนจะดับแหล่ไม่ดับแหล่อยู่รอมร่อ ครั้นได้เชื้อฟืนและลมมากระพือพัด กองไฟที่ทำท่าว่าจะดับก็พลันลุกโหมขึ้นมาทันที เช่นเดียวกับชายหนุ่มในตอนนี้ ถึงเรี่ยวแรงจะเริ่มถดถอยลง เพราะตรากตรำในสถานที่แห่งนี้มาเป็นเวลายาวนาน แต่มันก็ยังไม่สำคัญเท่า กำลังใจที่มีอยู่เต็มเปี่ยม ยิ่งมองเห็นช่องทางสู่อิสรภาพเช่นนี้ เรี่ยวแรงที่เคยอ่อนล้าก็พลันกลับมามีกำลังอีกครั้งอย่างน่าประหลาด

          ชายหนุ่มยังคงมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่วางไว้ โดยยึดเส้นทางเก่า ที่เคยเข้ามาสำรวจเมื่อไม่นานมานี้ ยิ่งเดินเข้ามาลึกมากเท่าไหร่ สภาพอากาศก็ดูจะปลอดโปร่งมากขึ้นเท่านั้น ทั้งความรู้สึกถึงสายลมที่พัดมาอ่อนๆ จนเปลวเทียนในมือโยกไหวไปมา ทำให้รู้ว่าอากาศภายในนั้น มีมากอย่างไม่ต้องกังวลเหมือนที่ผ่านมา
ลึกเข้าไปเป็นลำดับ แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของทางออกที่หวังไว้ ทั้งอากาศ และเสียงที่แว่วมานั้น ก็ยังแว่วให้ได้ยินเป็นระยะ จะว่าตัวเองหูฝาดก็ไม่น่าเป็นไปได้ หรืออาจจะคิดไปเองจนเกิดเป็นความหลอน กลายเป็นหลอกตัวเองก็ไม่น่าจะใช่ เพราะสิ่งเหล่านั้นยังคงสัมผัสได้อย่างชัดเจนที่สุด นอกจากบรรยากาศที่ว่ามาแล้ว สภาพภายในอุโมงค์นั้น ก็ดูแปลกตาไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด ทั้งความกว้าง ที่สามารถเดินได้อย่างสะดวกที่สุด ไม่ต้องคอยมุดลอด อย่างที่ผ่านมา พื้นผิวของผนังและเพดาน แลดูเกลี้ยงเกลาเป็นมันเมื่อส่องเปลวเทียนเข้าไปใกล้

          กำลังชื่นชมธรรมชาติอย่างไม่ได้ตั้งใจอยู่นั้นเอง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นวัตถุอะไรบางอย่าง ลักษณะเป็นขุยเห็นผ่านๆเหมือนฝอยรากไม้ ที่เกาะเป็นก้อนกระจุกบนเพดานถ้ำเหนือศีรษะ เมื่อขยับจ่อเปลวเทียนเข้าไปใกล้วัตถุนั้นเพื่อจะดูว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร แต่ดูเหมือนว่า สิ่งนั้นจะมีอาการขยับไปมาช้าๆเหมือนจะถอยห่างออกจากแสงเทียน จะว่าตัวเองตาฝาดก็อาจจะเป็นไปได้ เลยขยับเปลวเทียนจ่อเข้าไปอีก บันนั้นเองเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่ออยู่ๆวัตถุที่แลดูเป็นกระจุกนั้นก็พรวดพราดพร้อมส่งเสียงร้องดังลั่น จนชายหนุ่มถึงกับผงะล้มหงายหลังไปกับพื้น เทียนที่ถืออยู่ในมือ พลันตกหล่นดับวูบลงไปในทันที

“จี๊ด!...”

“เฮ้ย”ชายหนุ่มอุทานอย่างลืมตัว ก่อนที่ไอ้ตัวมีขน จะบินสวนออกมาจนหน้าหงาย

“พลึบพลับ”

“กุกกัก”

“กริ๊ก”

          ทันทีที่คว้าไฟฉายขึ้นมาเปิดได้ ชายหนุ่มจึงรีบกราดส่องไฟฉายไปรอบๆกายอย่างหวาดระแวง แต่เมื่อเห็นไอ้ตัวประหลาดที่คลานอยู่ตรงหน้า ก็เกือบจะทำให้เขาแทบเสียสติ เพราะไอ้ตัวประหลาดตัวนั้น ไม่มีท่าทีที่แสดงถึงความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย และที่สำคัญมันกำลังคลานตรงดิ่งมาทางเขา

          ใบหน้าดูน่าเกลียด เต็มไปด้วยหนังเหี่ยวย่น ผิดกับส่วนที่ยื่นออกมาจากใบหน้านั้น ที่ดูยับยู่ยี่ผิดรูปราวกับก้อนเนื้อเละๆ แต่ก็พอจะมองออกว่า ส่วนที่เห็นนั้น น่าจะเป็นส่วนของจมูก ซึ่งตอนนี้ส่ายไปมาพร้อมๆกับหูที่ก้างใหญ่ เหมือนกำลังสำรวจกลิ่นและเสียงที่แปลกปลอม

          อะไรไม่ร้ายไปกว่า เขี้ยวบนและเขี้ยวล่าง ที่โผล่ยื่นแหล่มเป็นตะขอออกมาจากปาก ลำตัวที่เต็มไปด้วยปุยขนสีน้ำตาลปนดำ ดูรกรุงรังสกปรก อาการที่มันคลานมาตามพื้นจะว่าไปก็ไม่ถูกนัก ควรจะเรียกว่าไต่มาตามพื้นมากกว่าถึงจะถูก เพราะมันใช้ส่วนที่เป็นขาหรือแขนคู่หน้าของมัน เกาะจิกด้วยกรงเล็บไปตามพื้น อาการเคลื่อนไหวของมันดูจะไม่ถนัดนัก เพราะส่วนที่เป็นพังผืดที่เชื่อมติดกับแขนทั้งสองข้างของมัน ครูดไปตามพื้น

          ความตกตะลึง ทำให้ร่างกายของชายหนุ่ม เหมือนจะขยับไม่ได้ไปชั่วขณะ แสงไฟฉายในมือที่ถืออยู่ ก็ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้เลย ผิดกับค้างคาวที่เคยเห็นตามถ้ำทั่วๆไป ลำพังแค่ส่องไฟฉายแช่ไว้ ไม่กี่อึดใจมันก็บินหนี แต่ตรงกันข้ามกับไอ้ตัวประหลาดหน้าเหี่ยว ที่มันยังคลานงุ่นง่านตรงมาทางเขาไม่ยอมหยุด ยิ่งเข้ามาใกล้ยิ่งเห็นความหน้าเกลียดน่ากลัวของสภาพใบหน้าของมัน รวมถึงขนาดที่เขื่องใหญ่กว่าค้างคาวแม่ไก่ถึงสองเท่า  แต่แล้วมันก็หยุดชะงัก เหมือนกับไม่แน่ในในกลิ่นที่มันสัมผัสได้ ซึ่งตัวมันเองก็คงไม่รู้หรอกว่า สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของมันนั้นคืออะไร

        ชายหนุ่มค่อยๆขยับกายถอยหนีออกมาช้าๆ แต่ยิ่งขยับหนี ก็เหมือนว่ามันก็จะขยับตาม แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น จังหวะนั้นเองไอ้ตัวประหลาดที่ทำท่าขยับเข้าขยับออก ก็กระโจนพรวดมาเกาะที่ปลายเท้าของชายหนุ่ม ที่ต้อนนี้ตกใจจนตัวแข็งทื่อเป็นตอไม้ แต่แล้วก็ต้องใจหายวูบ เนื่องจากไอ้ตัวประหลาด ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะมันทำท่าแยกเขี้ยวเหมือนจะฝังลงบนขาของเขา

“ผลัก!”

“จี๊ดด!”ไอ้ตัวประหลาดร้องลั่น เพราะโดนส้นเท้าของชายหนุ่มถีบเข้าเต็มหน้า จนกระเด็นหลุดออกไป แต่มันก็ไม่หยุดอยู่แค่นั้น เพราะตอนนี้ไอ้ตัวกระหายเลือดรู้แล้วว่า สิ่งที่มันเจอ คือเหยื่อของมัน ดังนั้นไอ้เขี้ยวยมทูตจึงกระโจนเข้าใส่ซ้ำอีกครั้ง โดยไม่ยอมปล่อยเหยื่อของมันไปง่ายๆ

“พลึบ!”

“ผลัก! โครม!! จี๊ดดดด”ไอ้เขี้ยวโง้งร้องเสียงแหล่ม ก่อนจะกระดอนออกไปเกือบวา จังหวะนี้เอง ที่ชายหนุ่มพอมีเวลาที่จะชักมีดที่เสียบอยู่ในฝักขึ้นมาถือ ก่อนที่ไอ้เขี้ยวยมทูตจะถลาเข้ามาอย่างกระหายเลือด

“พลึบ!”

“ฉับ!”

“จี๊ดดดด”ไอ้เขี้ยวยมทูตร้องเสียงแหล่ม ก่อนที่จะลงไปดิ้นพล่านกับพื้น แต่ก็ไม่ยอมสิ้นฤทธิ์ ทำให้ชายหนุ่มไม่รอช้าที่จะ กระหน่ำฟันลงไปแบบไม่นับ จนแลเห็นเลือดสีแดงคล้ำ ทะลักสาดกระเซ็นออกมาจนได้กลิ่นคาวคละคลุ้งไปหมด

“ฉับๆๆ!”

          ชายหนุ่มขยับกายถอยห่างด้วยความขยะแขยงกับภาพ และกลิ่นที่เหม็นตลบไปด้วยคาวเลือด จนแทบจะอาเจียนออกมา เมื่อตั้งสติได้จึงค่อยๆส่องไฟฉายสำรวจไปที่ซากของไอ้ สัตว์ปริศนา ที่ตอนนี้นอนตายแยกเขี้ยวโง้งอยู่ตรงพื้นอย่างสยดสยอง

          หลังจากดูจนแน่ใจแล้วว่า ไอ้ สัตว์กระหายเลือดตัวนั้นนอนตายสนิท จึงใช้ปลายมีดของตัวเองค่อยๆ หงายพลิกซากนั้น เพื่อดูความแปลกประหาดของมัน จะว่าค้างคาวก็ใช่ หรือจะบ่างก็ไม่เชิง ดูๆไปแล้ว เหมือนสัตว์ทั้งสองชนิดผสมเข้าด้วยกัน ทั้งตัวของมันมีแต่ขนรกรุงรังเต็มไปหมด มีอยู่ส่วนเดียวเท่านั้นที่ไม่มีเส้นขนปกคลุมก็คือ ส่วนหัวที่ดูโล้น มีแต่หนังย่นๆสีออกน้ำตาลคล้ำ ลักษณะคล้ายหัวของค้างคาวแม่ไก่ แต่ดูแตกต่างออกไปมาก เพราะขากรรไกรล่างดูปูดโปนยื่นล้ำออกมา เผยให้เห็นเขี้ยวโง้งขาวทั้งสองข้าง ส่วนริมฝีปากด้านบนแนบชิดกับจมูกที่ดูยับยู่ยี่ เมื่อใช้ปลายมีดเขี่ยบริเวณหนังที่หุ้มปิดริมฝีปาก ก็แลเห็นฟันซี่เล็กๆ ราวกับฟันเลื่อยเรียงกันเป็นแถวดูน่ากลัว

          จะว่ามันไม่มีดวงตาเลยก็ไม่ถูก เพราะเท่าที่สังเกตเห็น มันก็มีดวงตาทั้งสองข้าง แต่มันเล็กเสียจนแทบจะมองไม่เห็น เมื่อเทียบกับหัวของมันแล้ว แทบไม่มีความหมายใดๆเลย ส่วนแขนหรือปีกทั้งสองข้าง สามารถพับกางออกได้เหมือนปีกนก เมื่อเขี่ยออกมาดูก็รู้ว่า มันมีพังผืดที่เชื่องต่อเป็นแผ่งยาวไปจนถึงขา ที่มีลักษณะเล็กลีบผิดรูป ไม่ได้ส่วนกับกรงเล็บตีนที่ยาวโง้ง ราวกับตะขอเหล็กเกี่ยวเนื้อหมู ที่นับได้ข้างละสี่นิ้วดูแปลกประหลาด เมื่อพิจารณาจนถี่ถ้วนดีแล้ว จึงพอจะสรุปกับตัวเองได้ว่า มันเป็นสัตว์จำพวกค้างคาว เพราะอยู่ในสถานที่มืดมิดเช่นนี้ ดวงตาจึงแทบจะไม่มีความหมาย เช่นเดียวกับสัตว์จำพวกตัวตุ่นตัวอ้น ที่อยู่แต่ในโพรงใต้ดิน สิ่งเดียวที่มันใช้คลำไปในความมืดก็คือ หนวดและประสาทสัมผัสด้วยกลิ่น

        ไอ้ตัวประหลาดนี้ก็เช่นกัน เพราะดวงตาใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ นอกจากมีไว้ประดับหัวที่มีแต่หนังเหี่ยวๆของมันเท่านั้น หูที่เป็นแผ่นหนังบางๆที่มีแต่เส้นเลือดฝอยทั้งสองข้าง ที่น่าจะทำงานควบคู่ไปกับจมูกที่ดูเหมือนกระจุกเนื้อยู่ยี่ ก็พอจะเดาได้ว่า สองสิ่งนี้ น่าจะรับหน้าที่แทนดวงตาของมัน หลักการเดียวกันกับค้างคาว ที่ท่องเที่ยวออกหากินในยามราตรี

          ชายหนุ่มผู้ซึ่งกลายมาเป็น นักชีววิทยาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก็ไม่สามารถตอบได้ว่า ไอ้ตัวน่าเกลียด ที่นอนแยกเขี้ยวแยกฟันอยู่นี้ เป็นตัวอะไร จะเป็นสัตว์สายพันธุ์ใหม่ของโลก หรือสัตว์ยุคโบราณ ประเภทเดี่ยวกับไดโดเสาร์ก็ตอบไม่ได้ ที่รู้ในตอนนี้ก็คือ มันจะต้องเป็นสัตว์กินเนื้ออย่างแน่นอน กำลังพิจารณาซากสัตว์น่าตาประหลาดอยู่อึดใจ ทันใดนั้นเองเหมือนโสตจะรับรู้ความผิดปกติอะไรบางอย่าง ครั้งแรกที่ได้ยิน เป็นเสียง กุกกัก แว่วมาจากในถ้ำ กำลังคิดในใจว่าน่าจะเป็นเสียงลม แต่เมื่อตั้งใจฟังดีๆก็รู้ทันทีว่ามันไม่ใช่ ด้วยความสงสัยจึงขยับไฟฉายส่องออกไปในทิศทางของเสียง ภาพที่เห็นกลับทำให้ต้องสยองมากขึ้นไปอีก....



*****การเดินทางยังไม่สิ้นสุด อุปสรรคต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในตอนต่อไป*****

.....

อารมณ์เหงาๆ อีกสองสามวันเจอกันไอ้หนู


ก่อนกินข้าว ก็ต้องมีเซ่นเจ้าป่าเจ้าเขา (กลัวจุก)


บรรยากาศดีจริงๆครับ น้าๆท่านใดสนใจก็แวะเข้าไปนอนเล่นได้นะครับ กระท่อมน้อยคอยรัก ของผมเอง นอนฟรีไม่มีชาร์ต!
สถานที่ บ้านปลายนาสวนบน ต.นาสวน อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี (แยกขวาไปทาง รร.บ้านนาสวน ไปทางฝาย 5 กม. อยู่ขวามือ กระท่อมจะอยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน)


ตอนต่อไป คงจะหลังสงกรานต์โน่นนะครับ (ถ้าเขียนเสร็จก่อนจะลงก่อนเข้าป่า)
กลับมาคงมีเรื่องเล่าสนุกๆมาฝากน้าๆ ครั้งต่อไปจะเอาแบบละเอียดยิบเลยนะครับ



Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #6 on: 23 April 2021, 13:44:55 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 ตอนที่ 7 (จบบท)


บทที่ 10

ตอนที่ 7

          ฝูงอสูรกายนับสิบตัว ซึ่งลักษณะไม่ได้แตกต่างไปจาก เจ้าของซากที่นอนสิ้นฤทธิ์อยู่นั้น ต่างพากันไต่ยั้วเยี้ยมาตามผนัง และเพดานถ้ำดูวุ่นวายไปหมด บางตัวก็พลาดตกลงมาจากเพดาน เพราะถูกพวกเดียวกันเองเบียดจนตกลงมาหงายท้อง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ไอ้ สัตว์กระหายเลือดหยุดอยู่แค่นั้น พอมันตั้งหลักพลิกตัวกลับขึ้นมาได้ ก็คลานงุ่นง่านตรงมาทางชายหนุ่มทันที ซึ่งตอนนี้ถอยห่างออกไปหลายวา โดยไม่ละไฟฉาย ที่จะส่องจับออกไปอย่างไม่สู้จะไว้ใจนัก จนในที่สุด ก็มีไอ้ตัวที่คลานนำหน้าฝูงมาก่อนใคร ไต่มาถึงบริเวณซากของเพื่อนร่วมสายพันธุ์เดียวกันกับมัน แต่แทนที่มันจะแสดงปฏิกิริยาที่บ่งบอกว่ากลัว หรือโกรธที่พบซากพรรคพวกของมัน ตรงกันข้ามมันกลับก้มลงกินซากนั้นอย่างกระหายหิว จนตัวอื่นๆที่ไต่มาถึงภายหลัง ต่างพากันยื้อแย่งซากนั้นอย่างบ้าคลั่ง ดูชุลมุนวุ่นวาย ราวกับฝูงแร้งยื้อแย่งซากศพ ทั้งเสียงกัดกันเอง เสียงฉีกขาดของเศษซาก ซึ่งตอนนี้มันได้แยกส่วนกระจัดกระจายจนจำเค้าเดิมไม่ได้ บางตัวก็ลากไส้ไต่หนีตัวอื่นๆขึ้นไปหลบกินบนผนัง บางตัวก็คาบชิ้นส่วนที่เป็นปีกหลบหายเข้าไปในเงามืด และบางตัวก็ฉุดกระชากชิ้นเนื้อดึงกันไป ดึงกันมา ราวกับเล่นชักเย่อกัน มันเป็นภาพชวนขนลุก ผสมกับความสะอิดสะเอียนเกินคำบรรยาย
ดูเหมือนว่า เหล่าอสูรกายจะเพลิดเพลิน อยู่กับมหกรรมเมนูอาหารชุดพิเศษ จนหลงลืมไปว่า มีสิ่งมีชีวิตต่างสายพันธุ์แปลกปลอมอยู่ด้วย เมื่อได้โอกาสเช่นนี้ ชายหนุ่มจึงค่อยๆหลบฉากมาอีกทาง โดยปล่อยให้ไอ้ สัตว์กินซากรุมทึ้งพวกเดียวกันเองไว้เช่นนั้น ส่วนตัวเขาไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่า รีบเผ่นออกจากวงโต๊ะอาหารสุดสยอง ให้เร็วที่สุด แต่แล้วก็สะดุ้งสุดตัว จนแทบจะชักขากลับออกมาไม่ทัน เพราะจังหวะที่ค่อยๆถอยหลังช้าๆอยู่นั้น ไม่รู้ว่าเจ้าป่าหรือยมทูตแกล้งปิดตาไม่ให้เห็น ไอ้ตัวกินซากตัวเขื่อง ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ไปแอบซุกแทะซากอยู่บริเวณนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำให้ชายหนุ่มเหยียบเขาไปที่ตัวของมันชนิดเต็มๆฝ่าเท้า

“จี๊ดดด!!”

“แจ๊กกกก”

“พลึบ” ไอ้ตัวประหลาดร้องเสียงแหลม ก่อนจะเผ่นพรวดออกไปด้วยความตกใจ ไม่ต่างไปจากชายหนุ่มที่ผงะเกือบจะหงายหลัง จะว่าไม่กลัวหรือเสียดายอาหารของมัน ที่อุตส่าห์แย่งมาก็ไม่ทราบได้ แทนที่ไอ้ตัวประหลาดจะหนี มันกลับคลานงุ่นง่านกลับมาที่เหยื่อของมันอย่างรนรานกระหายหิว อารามด้วยความตกใจและไม่แน่ใจว่า ไอ้ สัตว์กระหายเลือดตัวนั้นจะมาทำร้ายหรือไม่ มีดที่ในมือจึงหวดลงไปอย่างเต็มที่

“ฉับ!” ไม่ทันที่เจ้าของร่างผู้เคราะห์ร้ายจะได้ตั้งตัว คมมีดที่หวดมาอย่างแรงก็ทำให้ร่างกายของมันขาดร่องแร่ง จะว่ารีบหรือมัวแต่ตื่นเต้นตกใจก็ไม่ทราบได้ แทนที่จะถูกจุดสำคัญของมัน คมมีดที่หวดลงไปกลับฟันเข้าไปบนส่วนที่เป็นปีกเข้าอย่างจัง ทำให้ไอ้ตัวประหลาดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ดิ้นเร้าๆหมุนเป็นกระแตเวียนอยู่เช่นนั้น เลือดสดๆสีแดงคล้ำพุ่งกระฉูด ส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง

“จี๊ดดๆ”

“พลึบๆๆๆ”

          ไอ้ปีกด้วนพยายามกระเสือ กกระสน กระพือปีกข้างที่เหลืออย่างสุดชีวิต แต่ก็ไปไหนไม่ได้ นอกจากจะหมุนเป็นวงอยู่แบบนั้น จังหวะที่ชายหนุ่มจะประเคนคมมีดให้อีก ก็ต้องชะงัก เพราะมีไอ้ตัวประหลาดอีกสองสามตัว พากันไต่ยั้วเยี้ยมายัง ร่างที่กำลังดิ้นเร้าๆ อยู่นั้น และภาพที่ทำให้สยดสยองกว่าเดิมก็คือ พวกมันพากันกัดกิน ร่างของเพื่อนของมันอย่างบ้าคลั่ง ทั้งๆที่ร่างนั้นยังมีชีวิตอยู่ และดูเหมือนว่าจำนวน ของไอ้ตัวกระหายเลือด จะเพิ่มขึ้นมาทุกขณะ ไม่รู้ว่าพวกมันมาจากไหน แต่ที่แน่ๆในตอนนี้ก็คือ จะอยู่รอดูแบบนี้ต่อไปไม่ได้แน่ เพราะมีบางตัวมีทีท่าคุกคาม แต่ก็ทำได้ไม่นานก็ถูกประเคนด้วยมีดเสียก่อน

          ในช่วงที่พวกมันพากันรุมทึ้งเหยื่อที่เป็นพวกเดียวกันเองจนดูชุลมุนไปหมด  จังหวะนั้นเอง ที่พอจะทำให้ชายหนุ่ม ได้มีโอกาสแทรกตัวหลับเข้าไปในช่องทางเบื้องหน้าได้ เพราะโอกาสแบบนี้ ไม่มีให้รออีกแล้ว ยิ่งอยู่นานก็เหมือนพวกมันจะเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้ดูล้อมหน้าล้อมหลังกันเต็มไปหมด ขืนอยู่ต่อไป ก็คงไม่เหลือแม้แต่กระดูกไว้ให้ดูต่างหน้า มาถึงขนาดนี้แล้ว จะถอยกลับก็คงไม่ใช่ ทางเลือกมีอยู่ทางเดียวก็คือไปต่อ ในเมื่อมีสิ่งมีชีวิตเช่นนี้ ถึงจะไม่รู้ว่าสัตว์ที่เห็นเป็นตัวอะไร แต่มันก็ทำให้แน่ใจได้ว่า ภายในโพรงถ้ำที่ตัวเองกำลังเข้าไปนั้น จะต้องมีทางออกที่ใดสักแห่งอย่างแน่นอน

          ไฟฉายถูกกราดส่องไปในโตรกถ้ำ ท่ามกลางวงล้อมของอสูรกายกระหายเลือด ซึ่งตอนนี้ไม่ได้ให้ความสนใจกับชายหนุ่มมากนัก นอกเสียจากเหยื่อของมันที่กำลังถูกแยกส่วนในไม่ช้า ซึ่งแต่ละตัวดูกระหายหิว ราวกับตายอดตายอยากมาจากขุมนรก เดินมุดลอดไปพลาง ก็ต้องคอยระวังพวกที่ไต่อยู่ตามผนังและเพดานถ้ำไปพลาง ตัวไหนเห็นท่าไม่ดีก็จัดการด้วยมีดเสียก่อน ที่ตายก็ตายไปกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของพรรคพวก ตัวไหนบาดเจ็บก็พยายามกระเสือ กกระสนหนีอย่างสุดชีวิต เหมือนกับว่ามันจะรู้ถึงชะตาชีวิตในไม่ช้า

          ยิ่งถลำลึกเข้าไปมากขึ้นเท่าไหร่ หนทางแห่งชีวิตก็มีลางว่า จะเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น ความเย็นยะเยือกของสายลมที่สัมผัสร่างกาย บอกกับตัวเองได้ว่า อีกไม่ไกลเกินรอ ชีวิตที่ตรากตรำอยู่นี้จะหลุดพ้นเป็นอิสระเสียที กำลังคิดวาดภาพฝันที่ลอยอยู่เบื้องหน้า ทันได้นั้นเองก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อไอ้บ่างผีตัวหนึ่ง ซึ่งไต่อยู่บนเพดานถ้ำ จะว่ามันกระสากลิ่นอายของชายหนุ่มอย่างไรก็ไม่ทราบได้ ทำให้มันกระโจนพรวด มาเกาะที่เป้หลังของชายหนุ่มเข้าอย่างจัง ด้วยน้ำหนักตัว ที่เขื่องพอๆกับไก่ชนตัวใหญ่ๆ จึงทำให้ชายหนุ่มถึงกับเซถลาเสียหลักจนล้มคว่ำ

          อารามด้วยความตกใจ จึงใช้มืออีกข้างไขว่คว้าไอ้ สัตว์กระหายเลือด ซึ่งตอนนี้กำลังไต่มายังก้านคอของเขาอย่างหิวกระหาย พยายามอยู่อึดใจ ก็คว้าไอ้ตัวขนปุยได้ถนัด โดยหวังจะกระชากออกไปจากร่างกายให้เร็วที่สุด จังหวะนั้นเองความรู้สึกเจ็บปวด ราวกับถูกเหล็กแหมทิ่มแทง ก็พลันบังเกิดขึ้นบนง้ามมือข้างที่คว้าไอ้ตัวประหลาด

“โอ๊ย!”

          ชายหนุ่มเผลอร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดอย่างลืมตัว พลางสะบัดมืออกจากคมเขี้ยวของสัตว์กระหายเลือดอย่างตกใจ เลือดอุ่นๆสีแดงไหลทะลักออกมาจากบาดแผลจากคมเขี้ยว พร้อมๆกับอาการปวดร้าวไปทั้งแขน แต่สิ่งนั้นยังไม่น่ากังวลเท่า ไอ้ตัวกระหายเลือดอีกสองสามตัว ที่อยู่ใกล้มีอาการกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด แต่ละตัวเงยจมูกส่ายไปมากันให้ทั่ว โดยเฉพาะไอ้ตัวที่ฝากคมเขี้ยวไว้ เหมือนว่ามันจะติดใจ ในรสชาตกลิ่นคาวเลือดของมนุษย์ ทันที ที่จับทิศทางของเหยื่ออันโอชะของมันได้ มันก็ทยานพุ่งเข้าหาชายหนุ่มทันที

“จี๊ดดด”

“พลึบ”

“ฉับ!”แต่ยังไม่ทันที่มันจะได้ลิ้มรสเลือดมนุษย์เป็นครั้งที่สอง หัวที่มีแต่หนังเหี่ยวๆของอสูรกายกระหายเลือด ก็แบะออกเป็นสองซีก พร้อมกับอาการสั่นกระตุกของเจ้าของร่าง และไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าหลังจากนี้จะเป็นเช่นไร เพราะอึดใจต่อมา ร่างนั้นก็ถูกลากหายเข้าไปในเงามืด

          ชายหนุ่มทนฝืนความเจ็บปวด ก่อนจะรีบใช้มืออีกข้างกดปิดบาดแผลนั้นไว้ ซึ่งตอนนี้ มีเลือดสีแดงไหลซึมอยู่ตลอดเวลา ความเจ็บปวดร้าวไปทั้งแขน ทำให้ชายหนุ่มเผลอบัดกรามจนแน่น เพราะความปวดระบมอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ยิ่งกดบาดแผลแน่นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเพิ่มความทรมานมากขึ้นเท่านั้น จนปลายนิ้วสั่นระริกอยู่ตลอดเวลา เมื่อเลือดสดๆไหลนองพื้นเช่นนี้ สัญญาณอันน่าสะพรึงกลัวก็เปิดฉากขึ้น เพราะกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งอยู่นั้น เหมือนจะไปกระตุ้นต่อมความหิวกระหาย ให้กับพวกอสูรกายเหล่านั้น หลายตัวพากันส่ายจมูกควานหาที่มาของกลิ่นกันอย่างจ้าระหวั่น ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้บอกกับตัวเองได้ว่า กำลังตกเป็นรอง

          ประตูนรกเปิดอ้าต้อนรับชายหนุ่มอีกครั้ง และครั้งนี้ถ้าคิดช้าไปแค่เสี้ยววินาที ก้อนเนื้อมีชีวิตเช่นเขา ก็คงจะหมดเค้าโครงเดิมในไม่ช้า ไฟฉายที่กำแน่นอยู่ในมือ จึงรีบสาดควานหาช่องทางเอาชีวิตรอด ก่อนที่จะพยุงร่างกายอันสะบักสะบอม กระ เสือกกระสนแทรกกายหายเข้าไปในโตรกถ้ำ ปล่อยให้สัตว์กระหายเลือดพวกนั้น ชุลมุนวุ่นวายกับเศษซากพวกเดียวกันอยู่เช่นนั้น

          ยิ่งลึกเข้ามาเท่าไหร่ โอกาสรอดก็ดูเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ตลอดระยะที่ตัวเองถลำลึกเข้ามา กลิ่นอายของชีวิตก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทั้งอากาศที่ถ่ายเทจนสามารถสัมผัสได้ แต่ก็ต้องคอยระมัดระวัง ไอ้บ่างผีจากนรก ซึ่งจ้องจะคอยกินเลือดกินเนื้อ ยิ่งตอนนี้มีจุดอ่อนเกิดขึ้นบนร่างกายของเขา คือเลือดที่ยังคงไหลซึมหยดเป็นทาง ต้องระวังตัวมากเป็นพิเศษ ตัวไหนทำท่าไม่ดี ก็จัดการฆ่าเสียก่อนที่มันจะฆ่าเขา จากร้ายกลับกลายเป็นว่าส่งผลดี เพราะพวกมันที่เหลือจะละความสนใจจากตัวเขาไปในทันที เพราะมัวแต่กัดกินซากพวกเดียวกัน

          อาการปวดระบมของบาดแผล ยิ่งส่งผลกระทบกับตัวชายหนุ่มมากขึ้นทุกระยะ ซึ่งไม่มีท่าทีที่จะทุเลาลงแม้แต่น้อย อาจเป็นไปได้ ที่คมเขี้ยวของมันคงมีพิษร้ายบางอย่างปะปนมาด้วย รวมทั้งจำนวนเลือดที่เสียไป ทำให้ร่างกายที่เหนื่อยหนักมาหลายชัวโมง เริ่มอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ขาที่เคยย่างก้าวออกไปอย่างมั่นคง เริ่มอ่อนกำลังลงจนบางครั้ง อ่อนพับลงไปกองกับพื้น แต่ก็ต้องกัดฟัน ฝืนตัวเองให้ลุกยืนขึ้นมาให้ได้ เมื่อตั้งหลักได้ ก็รีบก้าวเดินต่อไป โดนอาศัยผนังถ้ำเป็นหลักค้ำยันร่างกาย ดวงตาที่เริ่มพร่ามัว ทำให้มองเส้นทางดูเลือนลางลงทุกขณะ ภายใต้ความมืดมิดเช่นนี้ มันจึงเป็นอุปสรรค สำคัญของชีวิต สติที่ยังมีอยู่ บอกกับตัวเองว่าจะต้องรีบออกจากสถานที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่ร่างกายของตัวเองจะหมดแรง ถ้าเป็นเช่นนั้นโอกาสรอดก็คงไม่มีอีกแล้ว

          บนเส้นทางที่เริ่มลาดชันลงทุกขณะ ร่างที่สะบักสะบอมด้วยพิษบาดแผล กำลังไถลครูดมาตามผนังหินอย่างเชื่องช้า บางครั้งก็มีอาการไหววูบของร่างกายนั้น พร้อมกับเสียงโลหะกระทบแผ่นหินดัง เฉี๊ยะ ติดตามมาด้วยเสียงร้องแหลม ของสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่คอยเฝ้าติดตามร่างนั้นชนิดที่ว่า ล้อมหน้าล้อมหลัง เพื่อรอจังหวะและโอกาส ราวกับฝูงแร้งที่เฝ้าคอยเหยื่อของมันล้มลง ทันใดนั้นเอง โสตของชายหนุ่มที่ยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง ก็แว่วเสียงบางอย่าง แต่ก็ฟังไม่ค่อยถนัดนัก เพราะเหลี่ยมหินของผนังถ้ำกันขวาง บดบังทิศทางของเสียงที่ได้ยิน แต่เมื่อโผล่พ้นออกมาแล้ว สิ่งทำให้ตัวเองตะลึงก็เกินขึ้น

          ท่ามกลางแสงไฟที่สาดจับไปเบื้องหน้า ทำให้มองเห็นม่านน้ำตกขนาดใหญ่มหึมา ซึ่งซุกซ่อนอยู่ภายใต้โพรงถ้ำขนาดใหญ่ สายน้ำหลากหลายสาย ที่อยู่สูงต่างระดับขึ้นไป ตกกระทบแก่งแง้หินที่ต่ำลงไปเบื้องล่าง จนดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ แลให้เห็นละอองฝอย ของสายน้ำปกคลุมไปหมด ก่อนสายน้ำเหล่านั้นจะไหล รวมตัวกันลอดหายเข้าไปในช่องโพรงผนังหินเบื้องล่าง ซึ่งตอนนี้มองเห็นแสงสว่างเรืองๆอยู่ภายนอก ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั้น มาบัดนี้มันได้ประจักต่อหน้าชายหนุ่มแล้ว แสงสว่างที่เห็นอยู่เรืองๆ สว่างวาวจนแลเห็นสีน้ำใสเป็นมรกต ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าด้านนอก หลังกำแพงหินนั้น จะต้องเป็นประตูสู่อิสรภาพ

          โอกาสรอดมีมากเกินกว่าร้อย ชายหนุ่มจึงรีบผยุงร่างกายอันบอบช้ำ เกาะไต่ผนังหินนั้นไปอย่างเชื่องช้า ถึงแม้สังขารจะอ่อนกำลังลง จนแทบจะทรงตัวไว้ไม่อยู่ แต่ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าดูล่อตา ทำให้พอที่จะกัดฟันแข็งใจไปต่อได้ แต่ดูเหมือนว่าพิษจากบาดแผลที่เกิดขึ้น จากคมเขี้ยวของอสูรร้ายใต้พิภพ จะไม่ปราณีชีวิตของชายหนุ่มแม้แต่น้อย จังหวะที่ก้าวขาลงไปบนแง้หินนั้นเอง กำลังวังชาก็เหมือนว่าจะหมดลงไปในทันที เมื่อขาดกำลังที่จะทรงตัวร่างที่อ่อนระโหย เพราะร่างกายที่อ่อนล้าอยู่ก่อนแล้ว ก็พลันหล่นวูบเกลือกกลิ้งลงไปตามทางที่ลาดชัน ไฟฉายที่เคยกำแน่นอยู่ในมือ พลอยหลุดกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง พร้อมๆกับเสียง โครมคราม ของวัตถุบางอย่าง ที่ตัวเองตกกระแทก

          ดวงตาที่ฝ้าฟาง ทำให้มองเห็นสภาพแวดล้อมรอบกายไม่ถนัดนัก อีกทั้งทั่วบริเวณยังถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด เมื่อพยายามกวดสายตาไปรอบๆ ก็มองเห็นดวงไฟฉายของตัวเอง ตกอยู่เบื้องหน้าไม่ไกลนัก ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้น จึงค่อยๆพลิกตัว แล้วคืบคลานไปยังตำแหน่งดวงไฟที่ปรากฏ แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะมีวัตถุประหลาดกีดขวางเส้นทางนั้น เมื่อใช้มือลูบคลำไปที่สิ่งกีดขวาง ก็ตอบกับตัวเองไม่ได้ว่ามันคืออะไร จะว่ารากไม้หรือตอไม้ ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะมันมีความแข็ง ลักษณะเป็นมัน แต่ก็ไม่ได้สนใจกับสิ่งเหล่านั้น เพราะจุดประสงค์ของตัวเองก็คือไฟฉายกระบอกนั้น กว่าจะเข้ามาถึงตำแหน่ง และคว้ากระบอกไฟฉายไว้ได้ ก็เล่นเอาจนหอบซี่โครงบาน

        ร่างกายที่อ่อนระโหย ไร้แม้เรี่ยวแรงจะลุกขึ้นยืน หรือสถานที่แห่งนี้จะเป็นที่ฝังศพของเขากันแน่ สู่อุตส่าห์ฝ่าฟันจนมาถึงที่นี่ ต้องมุดลอดหลุมอุโมงค์มาจนนับไม่ท้วน ปากทางออกสู่อิสระภาพมองเห็นอยู่นั่น แต่ก็ไม่สามารถจะยันกายไปถึงได้ ชายหนุ่มนึกสมเพชตัวเองขึ้นมาในทันที พลางทำให้ปลงชีวิตคิดต่อว่า ดินแดนแห่งนี้คงเป็นสถานที่สุดท้ายที่จะได้เห็นก่อนตาย แต่ก็ทำแข็งใจฝืนยันกายลุกนั่งพิงข้างก้อนหิน แต่กว่าจะยันขึ้นมาได้ก็ต้องพยายามอย่างยากลำบาก เพราะแขนข้างซ้ายดูเหมือนจะชาจนใช้การอะไรไม่ได้ในขณะนั้น เมื่อหยิบไฟฉายมาส่องสำรวจดูบาดแผล ก็พบว่าเลือดที่เคยไหลซึมได้หยุดลงไปแล้ว เหลือเพียงคลาบเลือดแห้งเกรอะกรังไปทั้งฝ่ามือ พอเห็นเลือดก็ทำให้นึกถึงไอ้ สัตว์กระหายเลือดฝูงนั้นได้ ทำให้ต้องรีบกราดไฟไปรอบๆอย่างหวั่นหวาด แต่ภาพภายใต้แสงไฟ ทำให้ตัวเองต้องตกใจอีกครั้ง เพราะสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเป็นตอไม้ และรากไม้กลับกลายเป็นกองกระดูกขาวโพรนไปหมด

        กองกระดูก กองใหญ่มหาศาล มองเห็นเพียงแวบแรกก็รู้ว่ามันเป็น โครงกระดูกของช้าง ทั้งเศษซาก ข้อต่อ ซี่โครง รวมทั้ง หัวกะโหลกขนาดใหญ่ และ งา ถูกกองระเกะระกะ กระจัดกระจายกลาดเกลื่อนเต็มไปหมด และหนักไปกว่านั้น สิ่งที่เขานั่งพิงอยู่ มันไม่ใช่ก้อนหินอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่ตอนแรก เพราะมันเป็นส่วนที่เป็นหัวกะโหลกของช้างขนาดใหญ่ที่นอนตายแน่นิ่งมาเป็นเวลานาน

“สุสานช้าง!”

“ปะ ปะ..เป็นไปได้อย่างไร”ชายหนุ่มอุทานภายในใจ

“มันมีจริงหรือนี่”

“เป็นไปไม่ได้”ชายหนุ่มนิ่งงันไปชั่วขณะ กับภาพที่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้า สุสานช้าง ที่เคยได้ยินได้ฟังมาจากคำบอกเล่าต่อๆกันหลายชั่วคน ใครจะคิดว่ามันจะมีอยู่จริง หาใช่นิยาย หรือนิทานหลอกเด็ก ทั้งช้างพัง ช้างงา หลายสิบตัว นอนตายสงบนิ่ง ทิ้งไว้แต่เศษซากโครงกระดูก ซึ่งบางโครงถูกปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ บ่งบอกถึงอายุที่ยาวนาน หรือบางโครงก็มีสภาพผุกร่อนไปตามเวลา แต่ก็ยังมีเค้าโครงเดิมให้เห็นอยู่บ้าง ซึ่งไม่มีใครสามารถตอบชายหนุ่มได้เลยว่า เหตุใดพวกช้างเหล่านี้ จึงเลือกใช้สถานที่แห่งนี้เป็นสุสานฝังร่างของมัน

        ถึงแม้ภาพที่เห็นจะชวนทำให้ตกใจละคนตื่นเต้นสักเพียงใดก็ตาม แต่อาการและสังขารของตน ที่กำลังหมดสภาพลงไปทุกขณะ ชี้ชัดว่าอีกไม่นานคงมีสภาพไม่แตกต่างอะไรไปกับโครงกระดูกที่เห็น เพราะพิษจากบาดแผล ทำให้รู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะป่วยเพราะเป็นพิษไข้ ซึ่งมาพร้อมๆกับอาการหนาวยะเยือกจนหนาวสั่นไปทั้งตัว ความรู้สึกและโสตประสาทเริ่มเฉื่อยชาลงทุกขณะ ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะค่อยๆทรุดลงไปนอนกองกับพื้น เปลือกตาที่ทำท่าว่าจะขยับปิดลงเหมือนจะหมดหวัง ตอนนั้นเอง จะว่ามันเป็นภาพความฝัน หรือไม่ก็ภาพลวงตา ที่มโนภาพของเขา ที่เริ่มจะหลุดลอยออกไป ทำให้มองเห็นร่างๆหนึ่ง ยืนเด่นอยู่ตรงหน้า

"..!"

“พ..พะ...พลับพลึง!”

“ช..ชะ..ใช่..คุณ..หรือ ป..ปะ เปล่า” ชายหนุ่มร้องถามเจ้าของร่าง ที่มองเห็นอยู่เลือนลางอย่างยากเย็น ไม่มีเสียงตอบใดๆจากเจ้าของร่างนั้น ทำให้ชายหนุ่มพยายามยันกายขึ้นมาอีกครั้ง แต่ดูเหมือนว่า ร่างที่เห็นัน้น จะค่อยๆถอยห่างเขาไปทุกขณะ

“ดะ..เดี๋ยว...ก่อน..คะ..ครับ!”

“ชะ..ช..ใช่..คะ...คุณ..จริงๆด้วย”ชายหนุ่มร้องเรียกด้วยเสียงอันแหบพร่า แต่ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าของร่างนั้นหยุดอยู่กับที่ ตรงกันข้าม ยิ่งชายหนุ่มขยับกายเข้าหามากขึ้นเท่าไหร่ ร่างที่เห็นก็ถอยห่างเขาออกไป มากขึ้นเท่านั้น จนในที่สุดก็ต้องล้มลุกคลุกคลานตามร่างนั้นไปอย่างยากลำบาก

“ค..คุณ..พลับ..พ..พลึง...รอ..ผ..ผม ดะ..ด้วยครับ”

“โครม!”พยุงกายขึ้นมาได้ไม่เท่าไหร่ ก็ทิ้งตัวล้มโครมลงไปในกองโครงกระดูก เพราะกำลังที่มีอยู่แทบจะทรงตัวต่อไปไม่ได้ แต่ด้วยภาพที่เห็นทำให้พอจะมีกำลังใจขึ้นมาบ้าง หลังจากพยายามอยู่อึดใจ ชายหนุ่มก็ยันกายลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง แต่เมื่อหันไปมองหาร่างของหญิงสาวอย่างที่ตัวเองหวังไว้ ก็ปรากฏว่า ร่างของหล่อนได้หายไปเสียแล้ว นึกอยู่ในใจว่าคงเป็นเพราะตัวเองตาฝาดมองเห็นภาพหล่อนหลอกตัวเอง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งดังแว่วมา

“ทางนี้”

“ท่านสิงห์ ท่านจงตามเรามาทางนี้...”เจ้าของเสียงที่คุ้นเคย ร้องบอกเสียงราบเรียบ ก่อนจะค่อยๆถอยเข้าไปในโตรกถ้ำ หลังม่านน้ำตก เมื่อเห็นว่าร่างนั้น ทำท่าว่าจะหายไปอีก ชายหนุ่มจึงรีบกระ เสือกกระสนติดตามร่างนั้นไปอย่างกระชั้นชิด

“ร..รอ..ผม..ดะ ด้วย..คะ..ครับ”

“คะ..คะ..คุณ..พะ..พลับพลึง”ชายหนุ่มร้องเรียกจนสุดกำลังที่พอจะร้องบอกออกไปได้ แต่มันก็ดังไม่เกินเสียงกระซิบ จากนั้นจึงพยุงร่างกายที่สะบักสะบอมจนดูเกือบจะหมดสภาพของความเป็นคน ติดตามร่างนั้น ที่เดินหายเข้าไปในโตรกหิน ซึ่งมันถูกซ้อนไว้หลังม่านน้ำตกขนาดใหญ่ ละอองน้ำสาดกระเซ็น แตกเป็นฟองฝอย เปียกปอนร่างของชายหนุ่มจนหนาวสั่น แต่ภาพของหล่อนคนนั้นก็ยังถอยห่างออกไปจนก้าวตามไม่ทัน ที่สุดก็ต้องกันฟันเดินลากสังขารออกตาม เพราะกลัวว่าหล่อนจะหนีไปอีก แต่หล่อนคนนั้นกลับเดินลับหายเข้าไปในเหลี่ยมมุมของผนังหิน เมื่อเห็นดังนั้นจึงรีบก้าวตามออกไป พอพ้นเหลี่ยมมุมที่ขึ้นบังทางเท่านั้น แสงสว่างประหลาดจากภาพนอกก็ส่องจ้าเข้ามา จนต้องยกแขนขึ้นมาบดบังใบหน้า พร้อมๆกับความรู้สึบดับวูบของกำลังทั้งหมด ก่อนที่สติจะดับลง ความรู้สึกสุดท้ายที่สัมผัสได้คือ ความเย็นวูบของร่างกาย...


                                                                                                                    *****จบนิยาวแนวผจญภัย ภาค 1*****


*****ขอขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกทุกท่าน ที่ติดตามอ่านผลงานกันมาอย่างยาวนาน และค่อยพบกับ นิยายแนวผจญภัย ภาค 2 เร็วๆนี้*****


ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่ม ธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

.....

รายชื่อ น้าผู้โชคดีทั้ง 3 คนครับ
หวังว่าน้าๆคงชอบของขวัญเล็กๆน้อยๆ ที่ผมส่งให้แล้วนะครับ
เหลือแต่น้า คนเดียว ที่ยังไม่ติดต่อกลับมา ผมให้เวลาน้าติดต่อกลับภายใน 7 วันนี้นะครับ ถ้าหลังจากนี้น้ายังไม่ติดต่อกลับมา ผมจะจับรางวัลใหม่ น้าๆที่พลาดยังได้ลุ้นกันอีก 1 รางวัล นะครับ



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.266 seconds with 17 queries.