Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
29 April 2024, 00:21:35

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,611 Posts in 12,442 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร  (Read 644 times)
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« on: 22 April 2021, 22:28:05 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร


บทที่ 9

ตอนที่ 1

          ราตรีกาลเคลื่อนคลายออกไปอย่างช้าๆ เผยให้เห็นสิ่งต่างๆที่ถูกซ่อนงำไว้หลังม่านความมืดมิด ราวกับคลื่นทะเลในยามน้ำลง ที่เผยให้เห็นพื้นทรายอย่างไรอย่างนั้น อากาศในยามเช้าที่ยังดูมืดครึ้ม เพราะในราวป่ายังหนาแน่นไปด้วยสายหมอกที่หนาทึบ แลดูเป็นละอองฝอยเหมือนฝุ่นแป้ง ที่แผ่ปกคลุมกระจายฟุ้ง ต้นไม้ต้นหญ้าทั่วทั้งบริเวณในตอนนี้ ดูชื้นแฉะไปหมด เพราะอิทธิพลของอายหมอกที่กลั่นตัวเป็นหยดน้ำค้าง นอกจากพืชพรรณที่เปียกปอนนั้นแล้ว บริเวณพื้นดินและหมู่หินก็พลอยเปียกแฉะไปด้วย

          เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่าง ก็เหมือนกับสัญญาณชีวิตที่เริ่มก่อตัวขึ้นใหม่อีกครั้ง นกกานานาชนิด ส่งเสียงเพรียกขับขานอย่างเริงร่าในราวไพร เช่นเดียวกับหมู่แมลงก็พากันกรีดปีกอย่างไม่น้อยหน้า สูงขึ้นไปเหนืออายหมอกและยอดไม้ นกเงือกฝูงใหญ่บินผ่านไปหลายฝูง ถึงแม้จะมองไม่เห็นตัวเพราะถูกบดบังจากสายหมอก แต่เสียงของปีกอันใหญ่ของมัน ที่กระพือผ่านอากาศดัง หวือๆ ฟังได้ชัดเจน ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันบินไปทางไหน แต่ถ้าเดาไม่ผิด ในไพรกว้างแห่งนี้คงจะมีลูกไม้สุกที่ใดสักแห่งให้พวกมันได้จิกกิน

          อากาศสดชื่น แจ่มใสบริสุทธิ์ คละเคล้ากับอายหมอกจางๆ ถึงแม้ว่า ราตรีกาลได้ผ่านล่วงเลยไปนานแล้ว แต่ความหนาวเย็น ดูเหมือนกับจะยังไม่เคลื่อนตัวไปไหน อากาศเย็นยะเยือกจนพูดหรือหายใจออกมาเป็นควันขาว ราวกับคนที่สูบบุหรี่เป่าควันพุ้ย ถึงแม้จะหนาวเย็นขนาดไหน จนไม่อยากจะลุกขึ้นออกมาจากโปรงผ้าห่ม แต่ชายหนุ่มก็สู้ทนนอนแบบนั้นต่อไปไม่ไหว เพราะพื้นที่แข็งกระด้างที่ตัวเองนอนมาตลอดทั้งคืน ทำให้ปวดระบมตามร่างกายไปหมด ยิ่งอากาศเย็นยะเยือกแบบนี้ ยิ่งเพิ่มความทรมานสังขารตัวเองจนบอกไม่ถูก สิ่งแรกที่เปิดเลิกถุงนอนออกมา ในขณะที่ตัวเองนอนหงายอยู่นั้นก็คือ เงาลางๆของยอดไม้ที่ถูกบดบังด้วยสายหมอกที่ดูขาวโพลนไปหมด เมื่อยกนาฬิกาขึ้นดูเพื่อตรวจเช็คเวลา เข็มนาฬิกาตอนนี้ชี้บอกเวลาที่ หกนาฬิกา สิบแปดนาที หรือตอนนี้เพิ่งจะหกโมงเช้านิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ดูเหมือนว่าเขาอีกแล้ว ที่ตื่นเป็นคนสุดท้าย หรือจะบอกว่าตื่นสายกว่าเพื่อนก็คงจะถูก ส่วนพวกพรานกะเหรี่ยงคงตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่

          หลังจากพยายามยันกายขึ้นอย่างเกียจคร้าน เพราะอากาศเย็นๆแบบนี้พาลทำให้รู้สึกขี้เกียจ ไม่อยากจะลุกขึ้นจากที่นอน แต่เมื่อเห็นทุกคน ก็ล้วนแต่ทำงานเห็นกันอยู่งกๆ จะทนคู้ นอนอยู่เฉยๆก็ใช่ที่ สุดท้ายก็ต้องลุกขึ้นมาบิดกายไปมา จนกระดูกกระเดี้ยว ลั่นกราวไปทั้งตัว ก่อนที่จะทำท่าสยิวกอดกายตัวเองเพราะความหนาว

“เป็นไง นอนสบายดีมั๊ยเมื่อคืน” เสียงที่ร้องทายทักไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากพรานโส่ย ซึ่งตอนนี้กำลังมะรุมมะตุ้ม อยู่กับถุงใส่ข้าวสารของแก

“ก็อุ่นดีลุง ดีกว่านอนเปลแยะ”

“เสียอยู่อย่างเดียว พื้นแข็งไปหน่อย ระบมหลังไปหมด”สิงห์ร้องตอบพรานชรา ที่กำลังใช้มือตวงข้าวสารใส่หม้อสนาม

“อ้าว..นั่นอะไรขาวๆติดอยู่บนหัวเอ็งแหนะ?”พรานโส่ย พูดพลางบุ้ยปากบอก หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรอีก เพราะหลังจากบอกแล้ว แกก็ก้มหน้าก้มตาจดจ่อที่หม้อข้าวของแกตามปกติ เมื่อสิงห์เอามือลูบศีรษะตัวเองถึงรู้ว่า อะไรชนิดนั้น ที่พรานเฒ่าว่ามาก็คือ ดอกของกล้วยไม้ป่า ที่เรียกว่า ช้างกระ นั้นเอง

“เธฮอีกแล้วสินะ พลับพลึง”ชายหนุ่มกล่าวบอกกับตัวเองภายในใจเช่นนั้น พร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากของเขา ก่อนที่ ดอกช้างกระดอกเล็กๆดอกนั้นในมือ จะถูกหย่อนลงไปในกระเป๋าเสื้อเช่นเคย

“คนอื่นๆไปไหนกันหมดล่ะลุง”สิงห์ร้องถามพรานชรา พลางเก็บพับถุงนอนของตัวเอง

“ไอ้แปะ กับไอ้พร เห็นออกไปด้อมไก่ป่าตั้งแต่เช้ามืดแล้ว”

“ไอ้เคิ้ง กับไอ้พุ่ม ออกไปหาฟืนใกล้ๆแถวๆนี้ล่ะ”ชายชราตอบ พลางเดินหิ้วหม้อสนามติดมือไปด้วยสี่ใบ

“แล้วไอ้เหน๋อไปไหนล่ะ น้าเบด้วย”สิงห์ร้องถามขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากพับเก็บถุงนอนของตัวเองเสร็จเรียบร้อย ก่อนที่จะเดินไปบริเวณ เป้สนามของตัวเองที่ถูกแขวนไว้กับต้นไม้

“มันตื่นก่อนเอ็งพักหนึ่ง ข้าไล่ให้ไปช่วยไอ้สองตัวนั่นแบกฟืน”

“ส่วนไอ้เบเห็นถือมีดถือเขียง เข้าไปในดง คงจะออกไปหาผักหาหญ้ามั๊ง”พรานโส่ยตอบ พูดจบก็ค่อยๆรินน้ำในกระบอกใส่หม้อสนามทั้งสี่ใบช้าๆ ก่อนจะร้องบอกสิงห์ขึ้นมาอีกว่า

“เอ็งตื่นมาก็ดีแล้ว ช่วยก่อไฟให้ข้าหน่อย”

“ไม่รู้ไฟในกองมันมอดหมดรึยัง”พรานโส่ยบอก

“ได้ลุง ไม่ต้องดูให้เสียเวลาหรอก”

“มีแต่ขี้เถ้า ก่อใหม่ไวกว่า”สิงห์ร้องตอบ พลางเดินไปหาหักกิ่งไม้แห้งเตรียมทำเชื้อไฟ ถึงจะอยู่กลางป่าไม้เช่นนี้ แต่ไม้แห้งที่จะทำเชื้อก็ไม่ได้หาง่ายนัก เพราะเกือบทุกตารางนิ้วถูกประพรมไปด้วยน้ำค้างที่ชื้นแฉะ กว่าจะเลือกเก็บเชื้อฟืนได้ ก็เสียเวลาไปหลายนาที

          เชื้อฟืนไม่ทันจะถูกก่อ เสียงพูดคุยกันพึมพำ ก็แว่วมาให้ได้ยินมาจากแนวป่า ไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะคำตอบเดินแบกท่อนฟืนกันมาเป็นทิวแถว เจ้าพุ่มเดินนำอยู่หัวขบวน ซึ่งที่ไหล่ซ้ายมีท่อนฟืนขนาดเท่าแขนอยู่หอบใหญ่ ที่แบกคู่กันมากับเจ้าเคิ้งที่คอยแบกประคองอยู่ด้านหลัง ส่วนท้ายขบวน ไม่ใช่ใครอื่นไกลนอกจาก เพื่อนเกลอของสิ่ง แต่ดูจะสบายกว่าเขาเพื่อนเพราะไม่ได้แบกอะไรมาเลย นอกจากมีดที่ถือแกว่งไปมาในมือ

“พี่สิงห์ ตื่นแล้วดีเลย”

“ผมกับไอ้เคิ้งว่าจะชวนพี่ไปนั่งอ้นสักหน่อย”พุ่มร้องทัก ก่อนที่ทิ้งฟืนแห้งที่แบกมาดังโครม

“แถวไหนล่ะ”

“เดี๋ยวก่อไฟให้พ่อเอ็งเสร็จก่อน”สิงห์ร้องบอก พลางจุดไฟ ในกองเศษกิ่งไม้เล็กๆที่กองสุมไว้ทำเชื้อ ไม่กี่อึดใจเปลวไฟก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ไม่ไกลหรอกพี่ แถวๆดงไผ่ที่เห็นอยู่โน่น”

“ขุยยังใหม่ๆอยู่เลย ท่าทางจะตัวใหญ่”เจ้าเคิ้งสาธยาย

“เออดี กำลังอยากเห็น”

“ว่าพวกเอ็งเอามันขึ้นมายังไง โดยไม่ต้องขุด”สิงห์เสวนาตอบ

“เอาปืนพี่ไปด้วยนะ”

“เช้าๆแบบนี้แก๊ปผมมันชื้น กลัวยิงไม่ออก”พุ่มร้องบอก พร้อมกับใช้เท้ากระทื บฟืนแห้งให้หักเป็นท่อนๆ ก่อนที่จะวางสุมบนเชื้อไฟที่สิงห์จุดเอาไว้ จริงอย่างที่เจ้าพุ่มว่ามา ความชื้นของอากาศทำให้ประสิทธิภาพของแก๊ปที่เป็นตัวจุดชนวนของปืนแก๊ป มีความเสื่อมสภาพลง บ่อยครั้งที่เหนี่ยวไกไปแล้วปืนไม่ลั่น จึงทำให้เสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย อย่าว่าแต่ปืนแก๊ปเลย ปืนที่ทันสมัย บางครั้งความชื้นก็เป็นอุปสรรคสำคัญเช่นกัน

          หลังจากล้างหน้าแปรงฟัน ด้วยน้ำในกระบอกอย่างประหยัดจนดูสดชื่น ที่จริงจะเรียกว่าล้างก็ไม่ถูกนัก ต้องเรียกว่าเช็ดถึงจะถูก เพราะน้ำมีน้อยต้องประหยัด สิงห์จึงต้องใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาแทน ถึงจะไม่สะอาดเอี่ยมเหมือนล้างหน้าในลำห้วย แต่ก็ยังดีกว่ายังไม่ได้ล้าง ไม่เหมือนเพื่อนเกลอของเขาที่ตื่นมายังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันก็ออกไปโน่นไปนี้แล้ว บางทีขี้ตากรังอยู่เลย

          กองไฟถูกจุดโหมจนติดดีแล้ว หม้อสนามทั้งสี่ใบจึงถูกขึ้นแขวนไว้กับราวเตรียมหุง เมื่อไม่มีอะไรที่จะต้องช่วยพรานเฒ่าอีก ส่วนเรื่องกับข้าวกับปลา พรานเฒ่าจะจัดการเองไม่ต้องเป็นห่วง ส่วนเจ้าพุ่มกับเจ้าเคิ้งต่างเตรียมตัวออกไปล่าตัวอ้น ที่ตัวเองเจอขุยหรือรูที่อยู่ของมันไว้ รวมทั้งสิงห์ก็เตรียมตัวออกไปกับเด็กทั้งสองเช่นกัน ตอนนี้เองที่ปืนลูกกรด หรือ .22 ของตัวเองที่แบกมา ก็ได้ใช้งานเสียที แต่ก่อนจะเตรียมนำไปใช้งาน ก็ต้องเช็ดน้ำค้างที่เกาะฉ่ำตามตัวปืนออกให้หมด ไม่ใช่ว่าจะเป็นแต่ของเขาเพียงกระบอกเดียว ปืนผาหน้าไม้ของแต่ละคนก็เปียกปอนไปด้วยน้ำค้างเช่นกัน

“ขอข้าไปด้วย”เหน๋อร้องบอก เมื่อเห็นสิงห์และเด็กทั้งสองเตรียมตัวออกไปล่าตัวอ้น เหมือนเป็นเรื่องสนุกจึงร้องขอติดตามไปด้วย แต่ก็ต้องทำหน้าเศร้าเพราะเพื่อนเกลอสุดที่รักร้องห้าม

“เอ็งอยู่ช่วยลุงโส่ยทำกับข้าวดีกว่า”

“ไปให้เกะกะเปล่าๆ”สิงห์ร้องขัด แต่เมื่อเห็นเพื่อนเกลอทำหน้างอ จึงพูดเสริมขึ้นมาอีกว่า

“ฝีมือข้า ทำกับข้าวสู้เอ็งไม่ได้วะ”

“เอ็งอยู่ทำกับข้าวรอดีกว่า”เจอลูกยอเข้าไปแบบนี้ คนที่กำลังตีหน้าเศร้าอยู่ ก็ทำหน้าระรื่นขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่วายค้อนให้ทีหนึ่ง ก่อนที่จะก้มหน้าก้มตาเตรียมรื้อหาเสบียงในกระสอบถุงปุ๋ย

        โดยการนำของเจ้าพุ่ม ที่พาเดินลัดเลาะมาตามชายเขา ซึ่งตลอดทั้งสองข้างทางอุดมไปด้วยกอไผ่ขนาดใหญ่ที่ขึ้นเบียดกันหนาแน่น หลังจากหยุดก้มๆเงยๆอยู่อึดใจ เหมือนจะหยุดใช้ความคิดอะไรบางอย่าง กะเหรี่ยงหนุ่มก็พาออกเดินนำไปต่อ การเดินทางไม่ยากลำบากเท่าใดนัก เพราะป่ามีลักษณะเป็นป่าโปร่ง มีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นแซมบ้างเล็กน้อย ซึ่งเป็นคุณสมบัติ ของป่าที่ขึ้นอยู่บนเนินเขา โดยเฉพาะต้นไผ่จะมีมากกว่าต้นไม้ชนิดอื่นๆ

          ไผ่ เป็นไม้ที่ให้คุณประโยชน์มากมาย เกือบจะทุกส่วนของมันสามารถทำประโยชน์ได้หลากหลาย นับตั้งแต่ใบ และกาบที่ห่ออยู่บริเวณลำต้น ชาวบ้าน บ้านป่าหลายพื้นที่ นิยมกาบไผ่และใบไผ่ขนาดใหญ่ นำมาใช้ห่อสิ่งของต่างๆ ทั้งของกินและของใช้ ลำต้นหรือกระบอก ก็สามารถนำมาสร้างบ้านต่อแพ และเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ เช่นงานจักสาร ต่ำลงมาก็เป็นโคนที่มีรากรกรุงรัง คนไหนที่มีฝีมือในงานด้าน แกะสลัก ก็นำส่วนนั้นของไผ่มาแกะเป็นรูปหน้าคนบ้าง สารพัดสัตว์บ้างตามที่ตัวเองจะจินตนาการได้ ซึ่งก็เห็นมีวางขายอยู่เช่นกัน รวมไปจนถึงหน่อไม้อ่อนๆ ก็นำมาประกอบอาหารกินได้สารพัดอย่าง วิธีที่ง่ายที่สุดก็แค่โยนเข้ากองไฟเผา ใช้เวลาไม่นานก็ได้กลิ่นหอมเหมือนข้าวโพดปิ้ง หรือจะต้มทั้งเปลือกก็ไม่ผิดกติกา จะจิ้มกินกับน้ำพริก หรือจะนำไปผัดก็อร่อยทั้งนั้น ถ้าได้มาเยอะเกินจำนวนที่จะกิน ก็เอาไปใส่ไหดอง ทำหน่อไม้เปรี้ยวเก็บไว้กินได้อีกเป็นปี

        ไผ่ มีหลากหลายชนิด แต่ละชนิดก็ให้ประโยชน์แตกต่างกันออกไป และหลากหลายขนาด เช่น ไผ่ป่า ไผ่สีสุก ไผ่นวล ไผ่ตก ไผ่ดำ และไผ่ขนาดเล็กอย่าง ไผ่รวก นอกจากจะเป็นแหล่งอาหารของมนุษย์ส่วนหนึ่งแล้ว สัตว์ป่าบางชนิดก็อาศัยไผ่ เป็นแหล่งอาหารเช่นกัน นับตั้งแต่ ไก่ป่า ไก่ฟ้า และนกกระทา ก็ชอบหาจิกกินขุยไผ่ หรือดอกไผ่ ที่ร่วงหล่นตามพื้นเป็นอาหาร ไปจนถึงสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ อย่างเช่น หมูป่า หมี วัวแดง กระทิง ไปจนถึงสัตว์ขนาดใหญ่อย่าง ช้าง หน่อไม้ก็เป็นอาหารอันโอชะของพวกมัน

          นอกจากหน่อไม้ที่แทงพ้นผิวดินขึ้นมาจะเป็นอาหารของมนุษย์และสัตว์แล้ว ลึกลงไปในพื้นดินใต้ก่อไผ่ ส่วนที่เป็นหน่อและรากอ่อนๆนั้น ก็ยังเป็นแหล่งอาหารของหมู่แมลงและสัตว์จำพวก ตัวตุ่น และตัวอ้น ที่ชอบขุดรูทำรังอยู่ใกล้ก่อไผ่ ในระดับพื้นที่ ที่ต่ำกว่า ตุ่น จะชอบขุดรูเป็นขุยกระจัดกระจาย โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นที่ราบ ป่าโปร่ง หรือชายไร่ติดแนวป่า ตุ่น จะชอบเป็นพิเศษ ซึ่งตลอดชีวิตของมันแทบไม่มีโอกาสออกมาหากินบนผิวดินเลย จะมีก็บางเหตุการณ์และบางโอกาสที่จะขยับขยาย หรือเปลี่ยนแหล่งอาศัยและที่อยู่ใหม่เท่านั้น เพราะเหตุที่จะต้องอยู่แต่ในความมืดมิดใต้พื้นดิน วิวัฒนาการทำให้ดวงตาของมันแทบไม่มีความหมาย สังเกตได้จากขนาดของดวงตาที่เล็กหยี่จนมองไม่เห็นนั้นเอง แต่ธรรมชาติก็แต่งแต้มให้ส่วนอื่นที่ใช้แทนดวงตาของมันได้ก็คือ ประสาทสัมผัสทางกลิ่น และการรับรู้ความสั่นสะเทือน ที่ได้รับจากหนวดของมัน

        นอกจากตัวตุ่น ที่อาศัยอยู่ใต้ดินแล้ว อ้น ก็เป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่ง ที่ชอบทำรังและหากินใต้ดินเช่นกัน จะมีบางครั้งและบางโอกาสเท่านั้นที่พวกมัน จะโผล่ออกมาหากินบนผิวดิน แตกต่างไปจากตุ่น ที่ส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ดิน ความแตกต่างระหว่าง อ้น และ ตุ่น  สามรถมองเห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ ขนาดตัวของมัน ตุ่น จะมีขนาดที่เล็กกว่าอ้นมากหลายเท่าตัว ถ้าจะวัดรูปร่างหน้าตา ตุ่น จะดูขี้ริ้วกว่าอ้น หรือจะว่าหน้าตาน่าเกลียดกว่าอ้นก็ว่าได้ นอกจากขนาดและรูปร่างที่ต่างกันมากแล้ว ถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ทั้งสองชนิด ก็มีความแตกต่างเช่นกัน อ้น ชอบขุดรูทำรังตามที่สูง เช่น เนินเขา หรือตำแหน่งที่เป็นเชิงเขาชัน โดยเฉพาะบริเวณที่มีก่อไผ่ขึ้นปกคลุม อ้น จะชอบขุดรูทำรังอยู่ใกล้กอไผ่ เพราะรากและหน่อไผ่เป็นแหล่งอาหารของมัน  ส่วนรังของ อ้น และ ตุ่น จะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน จะแตกต่างกัน ก็ตรงที่ขนาด ตุ่น ทำขุยดินเล็กกว่า อ้น เพราะ ตุ่น มีขนาดตัวเล็กกว่า ขุยดินที่กองเป็นพูนสูงขึ้นมาบนผิวดิน ระหว่างอ้น และ ตุ่น จะแตกต่างกันมาก

          หลังจากทั้งหมดเดินไต่ไปตามเนินไม่นาน ตำแหน่งหรือเป้าหมายของพรานกะเหรี่ยงที่หมายตาไว้ ก็เห็นอยู่ไม่ไกลนัก ห่างออกไปสิบกว่าว่า บริเวณเนินชันนั้นเอง ที่มีก่อไผ่ขนาดใหญ่ขึ้นปกคลุมครึ้ม ใต้ก่อไผ่ที่มีผิวดินเป็นพื้นลาดเอียง ตำแหน่งนี้เอง ที่เป็น ที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตใต้ดิน หลังจากเพ่งสายตาอยู่นานก็พอจะมองเห็น เพราะครั้งแรกที่เห็นอยู่ไกลๆ คิดว่าจอมปลวก ที่ขึ้นแทรกข้างกอไผ่ แต่เมื่อพิจารณาแล้ว ก็พอจะแยกแยะอะไรออก เพราะสิ่งที่เห็นไม่ใช่จอมปลวกอย่างที่เข้าใจ แต่มันเป็นกองดินขนาดใหญ่ มีลักษณะเป็นพูนดินร่วนซุยสูงขึ้นมา คล้ายๆเหมือนใครตักดินมากองไว้กองใหญ่ ซึ่งมันแตกต่างไปจากผิวดินหรือพื้นดินรอบข้าง เพราะลักษณะพูนดินมีความชื้นอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่ามันเพิ่งจะผุดขึ้นมาใหม่ๆไม่นานมานี้เอง

“เบาๆนะพี่สิงห์ อย่าทำเสียงดัง”

“ตรงโคนไผ่โน่น นั่งไงรูอ้น พี่เห็นมั๊ย?”เจ้าพุ่มพูดเสียงกระซิบ พลางชี้มือไปที่ขุยอ้นที่เห็นเป็นพูนดินแดงเถือก

“เออๆ เห็นแล้ว”

“แล้วทำยังไงต่อ ใช้มีดขุดรึ?”สิงห์กระซิบถาม

“ครึ่งวันจะได้กินหรือเปล่าพี่ จอบก็ไม่มี”

“ขืนใช้มีดอย่างที่ว่า วันนี้ก็คงไม่ได้กิน”เจ้าเคิ้งกระซิบตอบ พลางใช้มือปิดปากหัวเราะ กึกกัก อยู่ในลำคอ

“ไอ้ห่ า ก็พี่ไม่รู้นี้หว่า”

“เอา! ทำยังไงก็รีบทำ เดี๋ยวสายกันพอดี”สิงห์กระซิบ พลางทำหน้าขึงขัง เจ้าเคิ้งรีบขยับหนี เพราะหน้าแข้งของสิงห์ทำท่าจะง้างออก

“ไอ้เคิ้ง เอ็งรอข้าอยู่ตรงนี้ก่อน”

“เดี๋ยวข้าไปหาตัดไม้ก่อน”พุ่มกระซิบบอกเพื่อนเกลอ พลางชักมีดเหน็บออกจากฝักข้างเอว เดินตรงดิ่งไปที่ลำไผ่ลำหนึ่งที่ขึ้นอยู่ไม้ห่างนั้น เจ้าพุ่มเลือกลำไผ่ขนาดเล็ก ใหญ่ไม่เกินนิ้วหัวแม่มือได้ลำหนึ่ง เพราะความคมของมีด เงื้อมือฟันฉับเดียว ลำไผ่ขนาดเล็กลำนั้นก็ขาดทันที

        เมื่อได้ลำไผ่ที่ต้องการแล้ว เจ้าพุ่มก็ตัดส่วนปลายที่ไม่ต้องการออก รวมความยาวแล้ว ยาวไม่เกินช่วงแขน ส่วนด้านโคนที่ถูกตัดเฉียงอยู่แล้วไม่ได้ทำอะไรเพิ่มเติม แต่ส่วนปลายเจ้าพุ่มบรรจงใช้มีด ขวั้น เป็นวง รอบๆปลายไม้นั้นสามถึงสี่วง

“เอาไปแหย่รูมันรึ?”สิงห์กระซิบถามด้วยความสงสัย

“ครับพี่”

“ไม้นี้ ผมทำไว้ล่อมันให้ออกมาจากรู”เจ้าพุ่มตอบเสียงกระซิบ พลางยิ้มจนเห็นฟัน

“แล้วเอ็งขวั้นตรงปลายไว้ทำไม”

“ยังกะเอาไว้พันเชือกเบ็ด”สิงห์พูด พลางดึงไม้ไผ่ที่พุ่มทำไว้ขึ้นมาดูตรงส่วนปลาย

“ไม่ใช่หรอกพี่”

“ตรงนี้แหละสำคัญ เดี๋ยวพี่คอยดูผมกับไอ้เคิ้งให้ดีๆล่ะกัน”พุ่มพูดจบ ก็ดึงไม้ที่สิงห์ถือคืนกลับมา จากนั้นก็พยักหน้าให้เจ้าเคิ้งตามไปด้วย แต่ก่อนที่เจ้าเคิ้งจะเดินตามพุ่มไปก็พูดขึ้นมาเบาๆว่า

“พี่สิงห์ ผมขอยืมปืนพี่หน่อย”

“พี่ตามพวกผมมาดูใกล้ๆก็ได้นะ”เคิ้งร้องบอกเสียงกระซิบ

“เอาซิ”

“แล้วพี่ต้องทำยังไงบ้าง”สิงห์ตอบ พลางส่งปืนคู่กายให้กะเหรี่ยงหนุ่ม

“ไม่ต้องทำอะไรพี่ ดูอย่างเดียว ผมสองคนจะจัดการเอง”

“ที่สำคัญ อย่าทำเสียงดังก็แล้วกัน”เจ้าเคิ้งหันมาตอบพร้อมรอยยิ้ม

          บริเวณที่เป็นขุยดิน แลเห็นเป็นพูนสูง กะเหรี่ยงหนุ่มที่มีนามว่าพุ่ม ค่อยๆใช้ไม้ไผ่ที่จัดเตรียมมา กดแทงไปตามเนินดินและขุยดินนั้น ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆทั้งสิ้น หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากของแต่ละคน เพียงไม่นานหลังจากออกแรงกดผิวดินนั้นอยู่ชั่วครู่ ไม้ไผ่ด้านที่มีส่วนปลายแหลมเฉียงนั้น ก็มีอาการเหมือนจะผลุบจมมิดลงไป ราวกับว่าใต้พื้นผิวดินนั้น จะเป็นโพรงหรือรูอะไรสักอย่างที่มีลักษณะกรวง ใช่แล้วมันเป็นโพรงหรือรูอ้นที่ขุดไว้นั้นเอง

          เมื่อรู้ตำแหน่งของรูหรือโพรงใต้ดินนั้นแล้ว เจ้าพุ่มก็ค่อยๆใช้ไม้อันเดิม คุ้ยเปิดปากโพรงนั้นให้กว้างขึ้นอย่างช้าๆ ซึ่งขนาดของมันกว้างเท่ากับโพรงดินภายใน จากนั้นก็เบี่ยงตัวเองไปยืนอยู่ด้านข้างของปากโพรงนั้น จากนั้นก็บุ้ยปากเรียกเจ้าเคิ้งให้มานั่งเล็งปืนอยู่ด้านข้างปากโพรงนั้นอีกฝั่งหนึ่ง เมื่อได้ตำแหน่งที่มั่นเหมาะดีแล้ว ช่วงเวลาที่สิงห์เฝ้ารอคอยก็มาถึง เมื่อเจ้าพุ่มค่อยๆใช้ไม้ไผ่อันเดิม ปักลงไปข้างปากโพรงนั้น จนส่วนปลายที่มีความแหลมคมอยู่แล้วจมมิดลงไป จากนั้นก็ค่อยๆใช้ปลายเล็บหัวแม่มือ ขูดไปตามร่องของปลายไม้ไผ่ ที่ตัวเองใช้มีดขวั้นไว้ ในลักษณะขึ้นลงช้าๆ เป็นจังหวะ ดัง แกรกๆ ฟังไปแล้วมันก็ไม่ต่างไปจาก หนู หรือ สัตว์จำพวกฟันแทะ ที่มาแทะไม้อันนั้นนั่นเอง เจ้าพุ่งบรรจงขุดเป็นจังหวะเช่นนั้น ช้าบ้าง เร็วบ้าง สลับกันไป ถ้าสิงห์ไม่เห็นในสิ่งที่เจ้าพุ่มทำอยู่นี้ ลำพังแค่ได้ยินแต่เสียง ก็คิดว่ามี หนู หรือตัวอะไรมาแทะไม้เล่นอยู่แถวนี้ ไม่กี่อึดใจต่อมา ทุกคนก็ได้ยินเสียง กรุบกรับ ในโพรงนั้นแว่วมาให้ได้ยิน จากนั้นเจ้าเคิ้งก็ทำปากบุ้ยใบ้ให้สิงห์มองไปที่ปากโพรงนั้น....

*****เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร แล้วตัวอ้นที่สองกะเหรี่ยง พาสิงห์ไปล่า จะได้หรือไม่ โปรดติดตามหาความบันเทิงในบทต่อไป*****

.....

ตัวอ้น


ตัวตุ่น


ดูกันถนัดๆนะครับ ว่าน้าๆ พอจะแยกแยะออกหรือเปล่า


รูปนานมาแล้ว ระหว่างทางไปห้วยแห้ง น้าเบ กำลังแหย่รูอ้นครับ แต่ไม่ได้ตัว เพราะรูมันร้างไปแล้ว



Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #1 on: 22 April 2021, 22:35:27 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 2


บทที่ 9

ตอนที่ 2

          ลึกเข้าไปในปากโพรง สัตว์ฟันแทะชนิดหนึ่งค่อยๆโผล่ออกมาจากมุมมืดเบื้องล้าง แรกๆมันก็ทำท่ากล้าๆกลัวๆ ผลุบๆโผล่ๆอยู่เช่นนั้น แต่เมื่อเจ้าพุ่มเร่งขูดทำเสียง แกรกๆ ขึ้นมา เจ้าสัตว์ขนปุยตัวนั้นก็ค่อยๆโผล่หัวออกมาจากปากโพรง และมันก็เป็นจังหวะเดียว ที่นิ้วชี้ของเจ้าเคิ้งที่สอดอยู่ในโกงไกขยับเข้าหาตัว ไม่ทันที่มันจะมีโอกาสได้กลับเข้าไปในโพรงอีกครั้ง

“เปรี้ยงงงง..”เสียงปืน แผดเสียงไปทั่วทั้งบริเวณ ถึงจะเป็นปืนขนาดเล็ก แต่ภายใต้ภูมิประเทศเช่นนี้ เสียงของมันก็แผ่กังวาน จนสิงห์ที่เฝ้าดูอยู่ถึงกับสะดุ้ง

“อยู่หรือเปล่าวะนั่น!”

“มันผลุบเข้าไปในรูแล้ว”สิงห์ร้องเอะอะ

“อยู่พี่ โดนไปเต็มหน้าแบบนั้น ไม่น่ารอด”

“รูมันชันสงสัยมันจะลื่นลงไป”เจ้าเคิ้งร้องบอก พลางส่งปืนคืนให้กับเจ้าของ ก่อนที่ตัวเองจะถกแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้น แล้วก้มตัวลงใช้มือล้วงเข้าไปในปากโพรงนั้น

“อยู่ๆ”

“ตัวโตเสียด้วย”เจ้าเคิ้งพูดพึมพำเพราะแก้มข้างหนึ่งนาบติดกับพื้นดิน พลางค่อยดึงก้อนปุยที่เต็มไปด้วยขนอะไรบางอย่างออกมา

“บ๊ะ!”

“ตัวใหญ่จริงๆ สองโลได้มั๊งนั่น”เจ้าพุ่มร้องลั่น พลางชูตัวอ้น ลักษณะอ้วนพีขึ้นมาพิจารนา

“พวกเอ็งนี้มันเก่งจริงๆว่ะ”

“พี่นึกไม่ถึงเลย ว่าพวกเอ็งจะใช้วิธีง่ายๆแบบนี้”

“ไอ้เราก็หลงคิดว่าขุดกันขึ้นมา”สิงห์พูดพลางหัวเราะชอบใจ ในความสามารถที่เขาเองก็คาดไม่ถึงมาก่อน เพราะความช่างสังเกต และเรียนรู้พฤติกรรม ทำให้รู้วิธีจับตัวมันขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็น ตัวอ้น หรือสัตว์อื่นๆก็ตาม ล้วนแล้วแต่หวงอาณาเขต และแหล่งที่อยู่อาศัยแทบทั้งสิ้น และเพราะรู้พฤติกรรมเช่นนี้เอง ทำให้มนุษย์รู้จักเรียนรู้ และสรรหาวิธีการต่างๆขึ้นมาหลอกล่อ เสียงที่เจ้าพุ่มทำขึ้นมา ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ของการเรียนรู้พฤติกรรมความเป็นอยู่ของตัวอ้น เพราะไอ้เสียง แกรกๆ ที่ทำขึ้นมานั้น มันเป็นเสียงเลียนของการแทะไม้ของตัวอ้นนั้นเอง เมื่อตัวอ้นตัวจริงที่อยู่ในรู ได้ยินเสียงแทะไม้ ก็เข้าใจว่ามีอ้นตัวอื่นเข้ามารบกวน บวกกับปากโพรงที่ตัวเองเอาดินมาอุดไว้เปิดออก ทำให้มันคิดว่า อาจจะมีศัตรูหรือผู้บุกรุก ที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารของมัน ธรรมชาติของมันจึงต้องรีบขึ้นมาอุดปากโพรงนั้นไว้ เพื่อป้องกันตัวเอง แต่ความเป็นจริงแล้วมันเป็นเพียงแค่แผนลวงเท่านั้น

“โอ้ยพี่สิงห์!”

“ขุดไม่ไหวหรอกตัวอ้น ถ้าเจอขุยใหม่ๆที่มันเพิ่งจะย้ายรู ก็พอไหวอยู่”

“เจอขุยเก่าๆ ขุดไปเถอะ รับประกันว่าลึกท่วมหัว ดีไม่ดีเหนื่อยฟรีอีกต่างหาก”เจ้าเคิ้งพูดพลางส่ายหัวดิก

“ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง ถึงจะได้ตัว”

“ปกติกว่าจะได้ตัวมันนานหรือเปล่า”สิงห์ร้องถาม หลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู

“ตอนเช้าแบบนี้มันขึ้นมาช้า”

“ถ้าเป็นตอนโพล้เพล้ ใกล้ค่ำ นั่งขูดไม่กี่ทีก็ออกแล้ว”เจ้าพุ่มพูดจบ ก็ดึงเถาวัลย์มามัดเอวตัวอ้นที่ได้มา ทำเป็นพวงส่งให้สิงห์หิ้ว ก่อนที่ทั้งหมดจะเดินทางกลับสู่ที่พัก

“จริงๆแถวนี้มันก็มีอะไรให้กิน มากกว่าอ้นนะพี่”

“เมื่อเช้าผมยังเจอ นกกระทาดง เป็นฝูง”

“เสียดาย ถ้ามีเวลาหน่อย ทำแร้วดักไม่เกินครึ่งวันน่าจะได้ตัว”เจ้าเคิ้งร้องเสริม ขณะเดินรั้งท้ายขบวน

“ดักยิงเอาไม่ได้เหรอ”สิงห์ร้องถาม

“ได้พี่ แต่ต้องใช้เวลาหน่อย”

“แถมแถวนี้ป่าไผ่เยอะแยะ มันหากินไปทั่ว”

“ถ้าจะให้ดี ตอนเย็นๆมานั่งฟังมันบินขึ้นนอนดีกว่า แล้วดึกๆค่อยส่องไฟหาเอา”เจ้าพุ่มร้องบอกมาจากหัวขบวน

“อ้าว!”

“มันไม่ได้นอนตามพื้นดิน แบบนกคุ่มรึ?”สิงห์ร้องถามด้วยความสงสัย

“ไม่หรอกพี่ มันขึ้นนอนบนต้นไม้ เหมือนไก่ป่านั้นล่ะ”

“แต่ต้นไม้ที่มันเกาะนอน ไม่สูงแบบไก่ป่า”

“อย่างเก่งก็สองสามวา มันบินขึ้นไปได้แค่นั้น”เจ้าพุ่มเสวนาตอบ

“ยิ่งเป็นพวกต้นไผ่เล็กๆ โน้มๆ แบบนี้มันชอบนัก”เจ้าเคิ้งร้องเสริม พลางชี้มือบอกให้สิงห์ดู

“แล้วยังไงต่อ สอยมันลงมารึ?”สิงห์ถาม

“เสียดายลูกปืนเปล่าๆพี่”

“ทำบ่วงกระตุกคอมันลงมาเลย ทีละตัว”เคิ้งร้องบอกมาอีกคน

“เออเว้ย! หากินกันง่ายแท้พวกเอ็ง”สิงห์ทำเสียงสูง ก่อนที่จะหัวเราะชอบใจ

          ดวงอาทิตย์เริ่มเคลื่อนโผล่พ้นสันเขา ในทางทิศตะวันออกอย่างช้าๆ รัศมีฉายแสงสาดสว่างจ้าเป็นลำ ตัดกับภูเขาสูงทะมึน ทำให้เห็นเป็นภาพสันเขาดูยึกยักไปมาสูงๆต่ำๆ เมื่อดวงอาทิตย์ทอแสง และแผ่รัศมีความอบอุ่น ทำให้ช่วยขับไล่อายหมอกให้ระเหิดหายไปทีละเล็กทีละน้อย จนในที่สุดกลุ่มม่านหมอกที่ดูหนาทึบ ก็เจือจางลง จนมองเห็นทัศนีย์ภาพได้รอบกาย เช่นเดียวกับยอดไม้ใบหญ้าที่เปียกปอนชื้นแฉะในยามเช้า ซึ่งเกิดจากละอองหมอกและน้ำค้าง พอได้รับอายอุ่นของแสงอาทิตย์ก็พลอยเหือดหายไป แต่ก็มีบางส่วนที่ยังคงเกาะกลุ่มกันแน่น ตามใบไม้ที่มีลักษณะเป็นแอ่งกระบวย

          สายลมพัดมาเอื่อยๆ ทำให้กิ่งไม้และใบไม้แกว่งไกวไปมาอย่างช้าๆตามแรงลม เพราะกิ่งไม้และใบไม้พลิ้วไหว จึงทำให้น้ำค้างที่ก่อตัวตามยอดใบ ร่วงหล่นลงมาตามพื้นดินและยอดใบที่ต่ำกว่า ดัง เปาะแปะ สูงขึ้นไปเหนือยอดหญ้า แมงมุมตัวหนึ่งชักใยเป็นวงกลมขนาดใหญ่ เส้นใยบางๆของมันที่มานะถักทอดูสวยงามเป็นระเบียบ ราวกับมีใครมาขึงดักตาข่ายไว้กลางป่า แต่บนตาข่ายธรรมชาตินั้น หามีเหยื่ออันโอชะของมันไม่ เพราะนอกจากไม่มีแมลงที่จะเป็นอาหารบินมาติดแล้ว ใยเส้นเล็กๆของมันที่ดูเป็นวงนั้น ตอนนี้พร่างพรูไปด้วยน้ำค้าง ที่เกาะติดอยู่ตามใยของมัน ทำให้ดูขาวโพลนไปหมด

“นั่นไง ข้าว่าแล้ว ว่าพวกมันต้องได้อะไรติดไม้ติดมือมาด้วย ไม่เหมือนเอ็งที่ไม่ได้ความ”

“เอ็งเห็นอย่างที่ข้าบอกหรือยัง ไอ้พร”พรานชราร้องทักมา เมื่อเห็นบุคคลทั้งสามโผล่ออกมาจากชายดง

“ฮี่โธ่! ก็แค่อ้นตัวเดียว”

“แกก็พูดไปตาโส่ย”พรานพรร้องบอก พลางยกไม้ที่ทำราวแขวนหม้อสนาม เพื่อจะให้พรานแปะยกหม้อสนามออกมาวางเรียงด้านล่าง

“ถ้าไอ้สองตัวนั่น ไม่แอบดอดตามข้าสองคนไปด้วย ไก่ป่าฝูงนั้นไม่มีพลาด”

“อย่างน้อยๆ โป้งเดียว น่าจะได้สองสามตัว”พรานพรร้องบอก

“ขี้โ ม้ล่ะไม่ว่า”

“เอ็งนะไม่ได้เรื่องแล้วไปโทษหมา ฮ่าๆ”ตาโส่ยไม่วายร้องขัด พลางหัวเราะจนเห็นฟันดำปี๋

“มันน่าเจ็บใจนัก กำลังจะเล็งยิงอยู่แล้วเชียว”

“เสือ กทะลึ่งพรวดออกไปไล่ขับ ไอ้หอ กเอ๊ย!”พูดจบพรานพรก็ไล่เตะหมาทั้งสองอุดตะหลุด แต่ก็ทำได้แค่นั้น เพราะเจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบองไวปานวอก ไม่ยอมถูกเตะง่ายๆ ภาพที่เห็นเล่นเอาทุกคนหัวเราะชอบใจกันยกใหญ่

          ข้าวในหม้อสนามสุกระอุได้ที่ดีแล้ว บวกกับ กับข้าวที่พรานโส่ยและเหน๋อ ช่วยกันปรุงกันขึ้นมาใหม่ ภายในหม้อใบเก่าก็มีแกงเนื้อเก้งย่างกับหัวปลีที่ยังเหลืออยู่เกือบครึ่ง บนใบตองนั้น ก็มีเนื้อเก้งย่างทาพริกเกลือหอมฉุยอีกกองใหญ่ เพราะพรานโส่ยย่างเผื่อไว้กินมื้อกลางวัน แถมยังมีปลาย่างแห้งอีกไม้ที่เหลือ นอกจากอาหาร ที่เป็นโปรตีนจากเนื้อสัตว์แล้ว อาหารจำพวกพืชผักก็มีไม่น้อย เริ่มตั้งแต่ หน่อไม้รวกเผา ที่พรานเบกำลังนั่งปลอกเปลือกอยู่อีกหลายหน่อ แถมยังมีฝักเพกา หรือฝักลิ้นฟ้า อีกสี่ฝักที่เจ้าเหน๋อกำลังนั่งย่างเอาไว้จิ้มกินกับน้ำพริกเผา ที่พรานโส่ยคั้นน้ำมะขามเปียกผสมอยู่อีกถ้วยใหญ่

“อ้นที่ได้มาก็รีบทำซะ”

“ผ่าเอาเครื่องในออกมา ไม่ต้องทิ้งล่ะ เดี๋ยวข้าจะเอามาทำหมกเครื่องใน”พรานโส่ยร้องบอกสองกะเหรี่ยงหนุ่ม

“พี่สิงห์เคยกินหรือเปล่า หมกเครื่องในอ้น”เจ้าเคิ้งหันมาร้องถาม

“ไม่เคยว่ะ”

“เคยกินแต่เนื้อมัน”สิงห์ร้องตอบ

“มื้อนี้พ่อก็โชว์ฝีมือ ให้พี่สิงห์เขาหน่อยก็แล้วกัน”เคิ้งร้องบอกพรานโส่ย ที่กำลังใช้ช้อนคนน้ำพริกเผาอยู่

“เออๆ ใบตองก็หายาก หาใบพงใบพลวงมาให้ข้าหน่อยก็แล้วกัน”

“โน่น ตรงโน่น ข้าเห็นอยู่สองสามต้น ถ้าเจอใบกระวานก็ขุดเอาต้นอ่อนๆมาสักหน่อยก็ดี”พรานโส่ยร้องบอกเจ้าเคิ้งลูกชาย พลางชี้มือไปทางเป้าหมาย

“มาไอ้สิงห์ เอ็งมาช่วยข้าโขลกเครื่องแกง”ชายชราร้องบอก

        สิงห์เองก็ไม่ขัดขืน เพราะว่าไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว จึงไปตามคำเรียกร้องของพรานเฒ่า หลังจากรื้อค้น เครื่องแกงต่างๆได้ตามที่ตัวเองต้องการ ทั้งพริกแห้ง หอมกระเทียม เสียงดัง โป๊กๆ ของครกกระบอกไม้ไผ่ก็ดังขึ้นเป็นจังหวะ ไม่นานเครื่องแกงตำแบบหยาบๆก็เสร็จได้ที่ พร้อมๆกับเจ้าเคิ้งเดินหอบใบพลวงอ่อนๆมาห้าหกใบ แถมด้วยต้นอ่อนของกระวาน ตามที่พรานโส่ยต้องการอีกสามต้น ส่วนเจ้าพุ่มกับเหน๋อ ต่างหมกมุ่นอยู่กับการชำแหละตัวอ้น ไม่กี่นาทีต่อมาเครื่องในก็ถูกล้างทำความสะอาดพอประมาณ ส่วนไหนที่กินไม่ได้ก็โยนเข้ากองไฟไป เหลือแต่ส่วนที่กินได้ ก็นำมาคลุกเกลือกับเครื่องแกงจนเข้ากันทั่วตามด้วยไส้ในของต้นกระวานหั่นซอยเป็นอันจบ

          เมื่อได้วัตถุดิบที่ต้องการแล้ว พรานโส่ยก็ตักใส่ใบพลวงที่แกวางซ่อนกันหลายชั้น แถมเพื่อความหอม แกยังใช้ใบกระวานอ่อนรองเพิ่มอีกด้วย เมื่อทุกอย่างพร้อม พรานเฒ่าก็บรรจงห่อใบพลวงนั้นอย่างแผ่วเบา ลักษณะเดียวกันกับหมกปลาที่แกทำ จะแตกต่างกันตรงที่ ครั้งนี้ไม่ได้ใช้ใบตองอย่างที่ผ่านๆมา เพียงไม่นานห่อเครื่องในก็ถูกคีบไม้ขึ้นย่างไฟ ส่วนตัวอ้น หลังจากเจ้าพุ่มเผาลนขนออกหมดแล้ว ก็ใช้มีดผ่าแบะออกมา จากนั้นก็ตัดไม้สดมาทำไม้คีบหนีบขึ้นย่างเช่นกัน มื้อเช้านี้จึงไม่มีเมนูเกี่ยวกับเนื้ออ้น นอกจาก หมกเครื่องในที่กำลังย่างไฟอยู่ เพราะส่วนเนื้อที่กำลังย่างอยู่นั้น พรานโส่ยบอกว่าเอาไว้ทำกินมื้ออื่น...

.....

ปลาเวียนย่าง เสบียงธรรมชาติ ที่หาได้


ลูกไม้ป่าชนิดหนึ่ง (จขกท จำชื่อไม่ได้ครับ) เก้งชอบมาก กลิ่นหอม แต่ผมไม่กล้ากิน


ตัวอ้นครับ


เมนูต่างๆ ที่ประกอบขึ้นมากลางดง


.....

Its_me: นอกจากความเพลิดเพลินที่ได้จากการอ่านแล้ว
ยังได้ความรู้อีกด้วย พวกผัก-ผลไม้-สัตว์ป่าต่างๆ
รวมถึงอาหารการกินด้วย เช่น ปลาเวียน ไม่รู้จักมาก่อนเลยจริงๆ
....................


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #2 on: 22 April 2021, 22:42:11 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 3


บทที่9

ตอนที่ 3

          ภายใต้ร่มเงาของไม้ใหญ่ ที่แผ่กิ่งก้านปกคลุม เปรียบเสมือนหลังคาธรรมชาติ กลุ่มบุคคลทั้งแปดต่างนั่งรายล้อมอาหารมื้อเช้ากลางป่า อากาศที่สดชื่นเย็นสบายในยามเช้า ทำให้ทั้งหมดดูกระปรี้กระเปร่า ข้าวสวยร้อนๆส่งควันกรุ่นๆ หลังจากเปิดฝาหม้อสนามออก เช่นเดียวกับแกงหัวปลี ที่ส่งควันฉุย ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย อยู่ในชามใบใหญ่ กลางวงผืนผ้าใบผืนนั้น ถัดออกมาใบพลวงก็มี เนื้อเก้งย่างและปลาแห้งอีกกอง วางเคียงคู่กับน้ำพริกเผาถ้วยใหญ่ที่มีผักแนมอย่าง หน่อไม้เผา และฝักเพกาย่างอ่อนๆ ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะไม่กี่อึดใจต่อมา หมกเครื่องในที่เพิ่งจะสุกส่งกลิ่นหอม ก็ถูกนำมาวางสมทบอีกห่อ หลังจากตักแบ่งอาหารเป็นเครื่องเซ่นจนเป็นทำเนียมแล้ว อาหารเช้าเคล้าอายหมอกจางๆก็ถูกบรรเลงโดยไม่ต้องรีรอ

“อิ่มข้าวแล้ว พวกเอ็งก็รีบเก็บข้าวของให้เรียบร้อย”

“เช้านี้จะได้ออกแต่วัน”พรานเบพูดพลาง ฉีกปลาแห้งย่างเข้าปาก

“น่าจะทันอยู่นะ น้าเบ”

“นี่ก็ยังไม่แปดโมงเลย”สิงห์ร้องบอก หลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู

“ออกเช้าๆแบบนี้ก็ดีไปอย่าง”

“ไม่ร้อนมาก จะได้ไม่เหนื่อย”พรานพรร้องเสริม ก่อนที่จะตักข้าวเข้าปากคำใหญ่

“จะได้เห็นป่าดำเป็นบุญตาเสียที”

“แถวนั้นคงมีของกินเยอะ”เจ้าเคิ้งดีใจจนออกนอกหน้า

“เอ็งรู้ได้ยังไงไอ้เคิ้ง”

“เคยไปรึ”เจ้าพุ่มที่นั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ ร้องขัด

“ข้าเดาเอา”

“ก็แถวนั้นไม่ค่อยมีใครไป ของกินดีๆคงมีให้หาอยู่หรอก”เจ้าเคิ้งเถียงกลับ

“จะเถียงหาสวรรค์วิมานกันทำไมวะ!”

“รีบกิน รีบอิ่มจะได้เก็บของ”พรานแปะร้องขัด พูดจบก็ตักน้ำแกงขึ้นมาซดดัง โฮก

“มีไม่มีเดี๋ยวพวกเอ็งก็รู้”พรานเบร้องบอก ก่อนที่จะหัวเราะหึๆ อยู่ในลำคออย่างมีเลศนัย

“อดเข้าจริงๆ อย่างเก่งก็กลับ”

“เก้งยังเหลืออีกขา อ้นอีกตัว น่าจะอยู่ได้อีกวัน”พรานโส่ยตอบ พลางเคี้ยวหน่อไม้เผาดังกรุบๆอยู่ในปาก

“ถ้าเสบียงสดของเราหมด”

“ก็ยังเหลือของแห้งอีกไม่ใช่รึ ลุงโส่ย”

“ปลากระป๋อง กับเนื้อแห้ง ที่ผมเตรียมมายังมีอยู่”สิงห์ร้องบอกพรานเฒ่า

“เออวะ ข้าเกือบลืม”

“ถ้าเป็นแบบที่เอ็งว่ามา ไม่ได้อะไรเลย ก็อยู่ได้สองวัน วันกลับค่อยว่ากันอีกที”พรานโส่ยตอบ

“ขออย่าให้ข้าวสารหมดเป็นพอ”

“อย่างอื่นไม่ต้องเป็นห่วง”พรานพรร้องเสริมอย่างมั่นใจ

“ฮี่โธ่! ทำเป็นพูดไปไอ้พร”

“เอ็งมีอะไรให้ข้าหวังว่ะ ฮาๆ”พรานเฒ่าร้องเหน็บ ก่อนที่ทั้งหมดจะหัวเราะ บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นสนุกสนาน ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติที่รายล้อม ถึงแม้ว่า อาหารจะไม่ได้วิเศษวิโส หรือดีเด่ อะไรนัก แต่มันก็เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางกาย และที่สำคัญก็คือ คุณค่าทางจิตใจ เพราะทั้งหมดนี้ ทุกคนล้วนแล้วแต่ช่วยกันสร้างสรรค์ ปรุงแต่งมันขึ้นมา แม้รสชาติอาหารบางอย่างจะไม่ได้ความเอาเสียเลย แต่มันก็ไม่มีความหมายใดๆทั้งสิ้น เพราะจุดประสงค์หลักของมันก็คือ ทำให้ท้องของทุกคนอิ่ม ตรงตามความหมายของว่า กินเพื่ออยู่ มิได้อยู่เพื่อกิน

          ขบวนท่องไพร เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง หลังจัดการกับอาหารเช้าและอุปกรณ์สำภาระเดินทางต่างๆเสร็จเรียบร้อย พรานเบก็พาคณะทั้งหมดบ่ายหน้าไปยังจุดหมายที่กำหนดไว้ โดยมีเจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบอง คอยวิ่งล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ห่างๆ ตามแบบฉบับของหมาพราน เวลาการเดินทางเป็นไปตามที่พรานเบกำหนดไว้ ซึ่งเวลาเดินทางในขณะนี้ ระบุอยู่บนนาฬิกาของสิงห์คือ แปดนาฬิกาสิบสองนาที บรรยากาศการเดินทางเป็นไปอย่างความราบรื่น เพราะบริเวณป่าและเส้นทางการเดิน ไม่ค่อยรกนัก เนื่องจากบริเวณพื้นที่เป็นเนินเขาผสมกรวดหินลูกรัก ในลักษณะของป่าเบญจพรรณ สลับกับป่าไผ่ที่ขึ้นแซมให้เห็นเป็นระยะๆ ถึงจะเป็นเนินเขาชัน แต่การเดินทางของคณะทั้งหมดไม่มีท่าทีหรือแสดงอาการอ่อนล้าออกมาให้เห็น เพราะสภาพอากาศในต้อนเช้ายังเย็นสดชื่น บวกกับสายหมอกและร่มเงาของไม้ใหญ่ยังบดบังแสงอาทิตย์ไว้อยู่

        สถานการณ์และเส้นทางต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าพรานเบ ผู้ที่เคยเยียบย่ำผ่านมาแล้ว อย่างน้อยๆก็ครั้งหนึ่ง ซึ่งมันก็มากเพียงพอแล้วสำหรับพรานชำนาญไพร ถึงต้นไม้และสถานที่ จะดูเหมือนกันไปหมดก็ตาม แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงก็คือ ภูเขา ที่มองเห็นเด่นชัดอยู่เบื้องหน้า เหลี่ยมหิน และมุมเขา เปรียบเสมือนเข็มทิศที่ชี้ทางบอกตำแหน่งที่เคยย่ำผ่าน แม้จะดูเลือนลาง แต่ก็ชัดเจนในความทรงจำ ถึงจะลังเลบ้าง แต่เมื่อหยุดใช้ความคิดไม่นาน พรานชำนาญไพรอย่างพรานเบ ก็สามารถพาเดินนำไปต่อได้ เนินแล้วเนินเล่าที่พานำฝ่า พุ่มแล้วพุ่มเล่าที่พามุดลอด พรานเบก็พาบุกตะลุยโดยไม่คิดที่จะหยุดพัก

          ตะวันที่เคยอยู่ชิดริมสันเขา เวลาผ่านไปนานเข้า ก็เริ่มเคลื่อนตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับเวลาที่ไม่หยุดเคลื่อนไหว จากบรรยากาศที่เย็นสบายสดชื้นในยามเช้า บัดนี้ก็เริ่มร้อนระอุด้วยไอแดด พื้นดินและกองใบไม้แห้ง ที่เคยชื้นแฉะด้วยละอองหมอกและหยดน้ำค้าง เมื่อถูกแสงแดดแผดเผา ก็ระเหยหายไปจนพื้นดินและกองใบไม้เหล่านั้นแห้งผาก ที่เห็นชุ่มฉ่ำไปด้วยหยดน้ำ ก็เห็นมีเพียงแต่หยดเหงื่อของแต่ละคน ที่ตอนนี้เริ่มผุดขึ้นเต็มใบหน้า

“เดินกันมาตั้งแต่เช้าแล้ว”

“เดี๋ยวหาที่ร่มๆนั่งพักเอาแรงเสียหน่อย”พรานเบร้องบอกคณะ พลางยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดเหงื่อที่ใบหน้า

“ดีเหมือนกัน”

“บนนี้ร้อนเป็นบ้าเลย”สิงห์ร้องบอก จากนั้นก็ยกน้ำในกระติกขึ้นจิบดับกระหาย

“นี่ก็เกือบจะเที่ยงแล้ว”

“ไหนๆก็จะหยุดพักแล้ว ก็กินข้าวกินปลากันเลยดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา”สิงห์ร้องเสริมมาอีก หลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู

“เออ..ข้าก็ว่าดี”

“กินข้าวเสียเลย คงไม่เสียเวลามาก ข้าวปลาก็มีเตรียมไว้อยู่แล้ว”พรานโส่ยร้องเสริมบอกมาจากท้ายขบวน

“โน่น ข้างหน้า”

“เดี๋ยวพักกันตรงนั้นแหละ”พรานเบร้องบอก พลางชี้มือบอกตำแหน่งที่พัก

          ไม่กี่อึดใจต่อมา ทั้งคณะก็มาหยุดพักกันที่ร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ที่ยืนต้นตระหง่านโดดเด่นอยู่บนเนิน หลังจากทุกคนปลดสำภาระต่างๆออกจากหลังแล้ว ก็จัดแจงปัดกวาดสถานที่ ใช้เวลาไม่นานก็ได้พื้นที่ราบเรียบโล่งเตียน พรานเบและพรานพร แยกตัวออกไปหาเก็บผักหญ้าที่พอจะหาได้ในแถวๆบริเวณที่พัก พรานแปะก็ไม่น้อยหน้า ขอแยกไปตามลำพังอีกทางหนึ่ง พรานโส่ยและคนที่เหลือ ช่วยกันจัดเตรียมข้าวปลาอาหาร ข้าวสวยมีอยู่แล้ว เพราะพรานโส่ยหุงเผื่อไว้เมื่อตอนเช้า ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาหุงหาอีก ส่วนกับข้าวมีน้ำพริกเผา กับเนื้อเก้งย่างและปลาย่าง ที่เหลืออีกนิดหน่อย เท่านี้ก็เพียงพอแล้วกับอาหารมื้อเที่ยง แต่ยังไม่ทันที่จะจัดเรียงอาหารให้เรียบร้อย เสียงพรานพรก็ร้องลั่นมาจากป่าเบื้องล้าง

“ว๊าก!!”พรานแปะร้องเสียงหลง ติดตามมาด้วยเสียง ที่ทุกคนได้ยินแล้วถึงกับสะดุ้ง

“โฮก!!”

“เฮ้ย! พี่แปะนี่หว่า”สิงห์ร้องลั่น

“เร็วไปดูกันสิ”ยังไม่ทันที่สิงห์จะพูดจบ ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นก็พากันวิ่งกรูกันไปที่ตำแหน่งของเสียง แต่ยังไม่ทันจะไปถึง ก็เห็นพรานแปะวิ่งตาเหลือกสวนเข้ามาหา

“มะ มะ หมี!”

“หมีควายตัวเบ้อเร่อเลย!!”พรานแปะหยุดพูดอย่างกระหืดกระหอบ

“ทางไหนว่ะ”

“ไอ้หมีควายที่เอ็งเห็น”พรานชราร้องเร่ง

“ทางโน่น”

“หลังจอมปลวกใหญ่ ที่เห็นต้นข่อยเขียวๆอยู่นั่น”พรานแปะร้องบอกปากคอสั่น พรางชี้ไปยังตำแหน่งที่เห็นหมีควาย

“ทำไมไม่ยิงว่ะ”

“ปืนผ่าหน้าไม้ก็เอาไปด้วย แล้วตอนนี้ไปทำตกอยู่ไหนเสียล่ะ”พรานโส่ยตวาด แต่ไม่ทันที่พรานเฒ่าจะว่าอะไรต่อ ก็เห็นพรานเบและพรานพร พากันวิ่งหน้าตั้งมาสมทบ พร้อมกับหมาสองตัวที่วิ่งหูตั้งมาเช่นกัน

“เจออะไรเข้าให้”

“มีใครเป็นอะไรหรือเปล่า”พรานเบร้องทักมาแต่ไกล

“ไม่มีใครเป็นอะไรน้าเบ”

“พี่แปะแกเจอหมีควาย”สิงห์ร้องบอก หลังจากพรานเบและพรานพรใกล้เข้ามาถึงกลุ่ม

“หลังซุ้มข่อยพี่เบ”ไม่ทันที่พรานแปะจะบอกอะไรต่อ หมาสองตัวที่วิ่งนำเข้าไปในซุ้มข่อย ก็พากันเห่าเสียงให้เกรียวไปหมด

“โฮก!”

“นั่นไง ตัวยังอยู่”พรานแปะร้องบอกหน้าตาตื่น พร้อมๆกับพรานเบที่วิ่งถลาเข้ามาถึงกลุ่มพอดี

“ระวังนะพี่ ฉันว่ามันยังอยู่แถวๆนั้นล่ะ”พรานแปะร้องบอก เมื่อเห็นพรานเบทำท่าเหมือนจะเข้าไปในซุ้มข่อยนั้น

“พวกเอ็งอยู่รอข้าตรงนี้ล่ะไม่ต้องตามไป”พรานเบพูดจบ ก็รีบสลับเปลี่ยนลูกปืนของแกทันที จากลูกปรายที่ใช้ยิงไก่ป่า มาเป็นลูกเบอร์ที่บรรจุภายในเก้าเม็ด

“จะดีหรือน้าเบ อย่างน้อยๆก็ให้ใครไปเป็นเพื่อนสักคนสองคน”

“ผมก็ได้”สิงห์ร้องขัด

“ข้าก็เห็นด้วยกับไอ้สิงห์มัน หาพวกไปสักคนก็ยังดี”พรานโส่ยร้องเสริมมาอีกคน

“เอ็งไม่ต้องไปหรอกไอ้สิงห์ ปืนเอ็งเล็กนิดเดียว ยิงมันไม่เข้าหรอก”

“ข้าไปกับเอ็งเองไอ้เบ”พรานพรพูดจบ ก็สาวเท้าตามพรานเบไปติดๆ ท่ามกลางการเฝ้ามองของทุกคนด้วยใจระทึก ในขณะที่พรานทั้งสองค่อยๆย่องเข้าไปยังตำแหน่งเป้าหมายที่เห็น ในลักษณะตีโอบ อ้อมไปทางด้านหลังจอมปลวกนั้น ทันใดนั้นทุกคนที่เฝ้ามองอยู่ก็สะดุ้งเกือบจะพร้อมๆกัน เพราะเสียงแผดร้องของสัตว์หน้าขนที่พรานแปะพบร้องลั่น

“โฮก...”

“นั่นไงเจอให้เข้าแล้ว”พรานแปะร้องเสียงหลง

“โฮก!!”

“มันร้องใหญ่เลย ทำไมไม่มีใครยิง”เหน๋อร้องเสริม

“เอ..ยังไงๆอยู่นา”เจ้าเคิ้งร้องทัก

“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”สิงห์กระวนกระวาย

“ไม่ต้องรอแล้ว ไปดูกันเลยดีกว่า”

“เผื่อมันสองคนเป็นอะไรขึ้นมา จะได้ช่วยทัน”สิ้นเสียงพรานโส่ยสรุป ทุกคนก็รีบปี่ไปที่ซุ้มข่อยนั้นอย่างระมัดระวังตัว ท่ามกลางเสียงกรรโชก ของเจ้าหมีควายตัวนั้น ที่ร้องแหกปากประปนไปกับเสียงหมาเห่า

          ทั้งหมดรีบรุดไปที่เกิดเหตุด้วยใจระทึก เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่า เหตุการณ์เบื้องหน้าจะเป็นเช่นไร รวมทั้งพรานเบและพรานพร ที่พากันมายังจุดเกิดเหตุก่อน ก็ดูเหมือนว่าจะเงียบเสียงไปจนเป็นมีพิรุธ ทำให้คนที่รอท่าทีอยู่ข้างหลัง กระวนกระวายใจ จนยืนอยู่ไม่ติด ยิ่งใกล้มากเท่าไหร่ เสียงขู่ของหมีควายตัวนั้นก็ดังชัดเจนขึ้นทุกขณะ เสียง โฮก ของเสียงขู่ และเสียงเห่ากรรโชค ของหมาทั้งสองตัวก็ดังลั่นไปทั่ว จนในที่สุดทั้งหมดก็บุกตะลุยมาถึงที่เกิดเหตุจนได้

          เหนือขึ้นไปบนปลายของจอมปลวก ที่มีซุ้มข่อยขึ้นบดบังหนาทึบ หมีควายตัวใหญ่ขึ้นไปขดตัวกลมอยู่บนนั้น ท่ามกลางหมาทั้งสองตัวที่พากันวิ่งวนเห่าอยู่รอบๆ บางครั้งพวกมันก็ทำท่าเหมือนจะตะกุยขึ้นไปเสียให้ได้ แต่เพราะจอมปลวกขนาดใหญ่ มีความสูงชัน ซึ่งมีลักษณะยอดที่แหลมยาว ทำให้มันไม่สามารถตะลุยบุกขึ้นไปได้ เพราะทั้งสองตัวลื่นไถลลงมาเสียก่อน แต่ที่หน้าแปลกใจที่สุดก็คือ สองพรานกะเหรี่ยงต่างยืนดูกันเฉยๆ โดยไม่คิดแม้แต่จะยกปืนขึ้นเล็ง ส่วนไอ้หมียักษ์ตัวนั้น ก็ได้แต่ร้อง ขู่ โฮกๆ อยู่เช่นนั้น ไม่กล้าไต่ลงมา เพราะมันเอง ก็คงจะกลัวหมาทั้งสองตัวที่พากันเห่าอยู่ข้างล่างเช่นกัน

“โอ้โห !”

“หมีตัวเบ้อเร่อ”สิงห์อุทานลั่น เมื่อเห็นร่างยักษ์ของหมีควายตัวนั้น แต่แทนที่คนอื่นๆจะตื่นเต้นแบบสิงห์ ตรงกันข้าม พวกกะเหรี่ยงทั้งหลายที่พากันวิ่งหูตาเหลือก ต่างพากันหัวเราะ

“ปุดโถ่!”

“คิดว่าใครที่ไหน ฮ่าๆ”พรานโส่ย พูดพลางหัวเราะ

“โธ่! ไอ้ห่ าเอ๊ย!!”

“มึ งนี้เอง ไอ้ง่อย!”พรานแปะโพล่งออกมาเสียงดังลั่น

“อ้าว? รู้จักกันด้วยรึ”สิงห์ร้องถาม พรานแปะที่ตอนนี้ทำท่า แยกเขี้ยวแยกฟันอยู่ใกล้ๆ และสิงห์เองก็เพิ่งจะมาสังเกตเห็น ขาข้างหนึ่งของไอ้หมีควายตัวนั้นได้ถนัดตา สมแล้วที่มันถูกเรียกว่า ไอ้ง่อย เพราะขาข้างที่เห็นมีสภาพหงิกงอไม่ได้รูป ดูพิกลพิการไม่สมบูรณ์ เหมือนหมีตัวอื่นๆ ซึ่งอาจจะเกิดจากความพิการมาตั้งแต่เกิด

“ก็เออสิว่ะ!”

“ไอ้ห่ า ทำกูเสียเส้นหมด ไอ้ฉิ บหาย”ไม่ด่าเปล่า พรานแปะก็ก้มลงไปหยิบท่อนไม้ ขนาดพอเหมาะมือได้ท่อนหนึ่ง จากนั้นก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง เพราะแกบรรเลงปาไปที่หมีควายตัวนั้นแบบไม่ต้องเล็ง ดัง ผลัก

“โอย..ขำฉิ บหายเลยวะ ก๊ากๆ”เจ้าเคิ้งลงไปนอนขำชักดิ้นชักงออยู่กับพื้น อย่างไม่กลัวว่าเสื้อผ้าจะเปรอะเปื้อน

“ฮีโธ่ กระตายตื่นตูม”เจ้าพุ่มได้ที ขี่แพะไล่

“ไอ้ห่ า ใครจะมาทันดูว่ะ!”

“เห็นเป็นหมี ข้าก็วิ่งอ้าวแล้ว”พรานแปะทำเสียงแหวใส่เจ้าพุ่ม

“ฮ่าๆ เอ๊า! ไอ้แปะปืนเอ็ง”พรานพรหัวเราะ พลางส่งปืนลูกซองคู่กายให้พรานแปะ

“ดีแล้วที่มันเป็นไอ้ง่อย”

“ถ้าไม่ใช่ป่านนี้เอ็งหนังหัวเอ็งเปิดไปแล้วไอ้แปะ”พรานเบร้องบอก พลางหันไปหัวเราะเสียงกึกกักอยู่ในลำคอ

“ไอ้สันขวานเอ๊ย!”

“มันน่ายัดลูกโดดใส่สักเม็ดสองเม็ด”พรานแปะด่าลั่น พลางรับปืนที่พรานพรส่งให้อย่างฉุนเฉียว

“เอายังไงกับมันดี”สิงห์หันไปร้องถาม

“ปล่อยมันไปเถอะ”

“พิกลพิการแบบนั้น ข้ายิงมันไม่ลงหรอกว่ะ อีกอย่างข้าก็เห็นมันมานาน สงสารมัน”พรานโส่ยร้องบอก และดูเหมือนว่าทุกคนในคณะก็พลอยเห็นด้วยไปกับพรานเฒ่า รวมทั้งพรานแปะก็เห็นด้วย ถึงแม้จะเจ็บแค้นไอ้หมีง่อยตัวนั้นขนาดไหน ที่ทำให้เสียหน้าก็ตาม และเท่าที่ชายหนุ่มยืนดูพฤติกรรม ของเจ้าหมีควายตัวนั้น ก็ไม่มีวี่แววของความดุร้าย หรือแสดงท่าทีคุกคามทำร้ายมนุษย์เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับแสดงอาการหวาดกลัวเสียมากกว่า ไอ้เสียงที่ร้อง โฮกๆ แบบนั้น ก็คงเพราะเจ้าหมาสองตัวที่พากันเห่ากันให้เกรียว  ซึ่งตอนนี้เจ้าสองตัวก็ยังไม่เลิกเห่า ยิ่งเห็นเจ้านายมาเยอะแยะแบบนี้ยิ่งแสดงความฮึกเหิม พากันปีนป่ายโชว์เจ้านายกันยกใหญ่

“ดูมัน สงสัยจะกลัวขนาดหนัก”

“ขี้ เยี่ยวราด หมด”เหน๋อร้องเสริม พลางยืนมองไอ้หมีควายตัวนั้นอย่างสมเพช เวทนา

“วู้! เสียเวล่ำ เวลา”

“กลับไปกินข้าวกินปลากันดีกว่า จะต้องรีบไปกันไม่ใช่รึ”พรานแปะที่ยังไม่หายหัวเสีย โพล่งออกมาแก้เขิน

*****เนื้อเรื่องยังดำเนินต่อไป ขบวนท่องไพรจะพบเจอกับสิ่งต่างๆอีกหรือไม่? โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในบทต่อไป!!*****

.....

พรานแปะ ในชุดตอกทอย


พรานแปะ กำลังตีลูกทอย


ต้องใช้ทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่ หัวยันเท้า


ลำบากเหนื่อยยากขนาดไหน แต่ผลตอบแทนที่ได้มา ก็เพียงพอแล้วกับการดำเนินวิถีชีวิต ของคนบ้านป่า



Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #3 on: 22 April 2021, 22:49:06 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 4


บทที่ 9

ตอนที่ 4     

          เมื่อสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพรานแปะ ถึงเรื่องราวต่างๆ ก็พอจะจับต้นชนปลายได้ว่า ช่วงที่แกแยกตัวออกมาหาเก็บผักเก็บหญ้านั้น บังเอิญพรานแปะเกิดปวดท้องขึ้นมากะทันหัน เมื่อสอดส่องสายตาได้ ก็พบทำเลทองของตำแหน่งที่จะปลดทุกข์ ซึ่งบริเวณที่ว่านั้นก็คือ หลังจอมปลวกใหญ่ที่มีต้นข่อยขึ้นปกคลุมครึ้มอยู่เบื้องหน้า เมื่อเห็นสถานที่เหมาะก็ไม่รีรอ รีบเดินดิ่งไปที่หมายตาไว้โดยไม่ทันสังเกตหรือระวังตัวอะไรทั้งสิ้น เพราะอาการปวดท้องก็ชักจะส่อแววหนังขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความรีบร้อนและอาการปวดท้องนั้นเอง ทำให้พรานแปะไม่ทันสังเกตเห็นเจ้าหมีควายตัวนั้น ซึ่งไอ้หมียักษ์ตัวนั้นก็ไม่ได้สำเหนียกอะไรเลยเช่นกัน ประมาณว่าต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาเดินดุ่มๆมาที่จอมปลวกแห่งนั้น ซึ่งมันจะมาปลดทุกข์เหมือนพรานแปะด้วยหรือไม่ก็ไม่ทราบได้ พอพ้นเหลียมของจอมปลวกก็จ๊ะเอ๋กันเต็มที่ ต่างฝ่ายต่างตกใจ พากันแหกปากร้องลั่นกันทั้งคู่ พรานแปะก็ใส่เกียร์ถอยเหยียบคันเร่งเต็มเหนี่ยว วิ่งอ้าวจนฝุ่นตลบ ไอ้หมีง่อยตัวนั้นก็ไม่น้อยหน้ามันก็ใส่เกียร์สโลล์ขับหน้าเต็มกำลัง ไต่จอมปลวกขึ้นไปขดตัวกลมอยู่บนนั้น จะปีนหนีขึ้นไปบนซุ้มข่อยก็ทำไม่ได้เพราะขนาดตัวของมันใหญ่เกินไปที่จะแทรกตัวเข้าไปซุกแอบ ครั้นจะไต่ลงมาแล้ววิ่งหนีเข้ารกเข้าพงไปก็ไม่ทัน เพราะหมาสองตัวก็ไล่เห่าไล่กัดอยู่แบบนั้น จึงทำให้หนีไปไหนไม่ได้ มันเลยต้องเกาะแหงกอยู่บนปลายจอมปลวกอยู่เช่นนั้น

“ก๊าก...”

“บุญของเอ็งแล้ว ที่เป็นไอ้ง่อย ฮ่าๆ”พรานเฒ่าหัวเราะลั่น จนข้าวที่อยู่ในปากแทบกระเดนออกมา

“ขี้หดตดหายหมด”

“คิดแล้วยังแค้นไม่หาย ครั้งหน้าถ้าเจออีกพ่อจะไล่เตะให้ถนัด”พรานแปะพูดจบ ก็ตักข้าวเข้าปากคำใหญ่

“ดีแล้วที่ไม่เจอมันตอนที่พี่กำลังปลดทุกข์”

“นึกภาพไม่ออก ว่าพี่จะวิ่งมาในสภาพไหน ฮ่าๆ”สิงห์พุดพลางหัวเราะ ขณะกำลังฉีกเนื้อเก้งย่างกิน จากนั้นก็พูดต่อขึ้นมาอีกว่า

“แต่ก็น่าแปลกนะ ที่มันมาหากินไกลขนาดนี้ หรือปกติมันหากินไปทั่ว บนนี้ออกจะแล้ง”สิงห์พูดขณะเคี้ยวเนื้อเก้งย่าง

“มันหากินไปทั่วอย่างที่เอ็งว่านั้นล่ะ”

“คนแถวนี้รู้จักมันดี เห็นมันบ่อย วันดีคืนดีก็ไปหากินยันชายไร่”พรานพรร้องเสริม

“โธ่พี่! อย่าว่าแต่ชายไร่เลย หลังครัวบ้านผมมันก็ยังเคยดอดมาลักของกิน”เจ้าพุ่มร้องบอก

“คงไม่มีใครทำอะไรมันมั๊ง ถึงไม่ค่อยกลัวคน ทำไปทำมาจะเชื่องเสียอีก”พรานเบเสวนาตอบ

“ยิ่งช่วงเดือนสี่เดือนห้าไม่ต้องพูดถึง”

“ช่วงที่ผมตีผึ้งกัน มันล่ะตัวดีเลย”

“ชอบแอบมาขโมยกินรังผึ้งหมด”เจ้าเคิ้งฟ้องบ้าง

“อ้าวมันปีนต้นไม้สูงๆแบบนั้นไหวรึ ขาแข้งก็ไม่ดี?”ชายหนุ่มสงสัย

“ไอ้ห่ านี่มันแสบจะตาย แถมฉลาดแกมโกงอีกต่างหาก”

“จะยากอะไร มันก็รอกินอยู่ข้างล่างนั้นแหละ”พรานโส่ยเจียระไนสรรพคุณ

“พอตัดลงผึ้งตกลงมา มันก็ดอดเอาไปกินแล้ว”เจ้าเคิ้งร้องเสริม

“เดี๋ยวนี้ถ้าจะออกไปเก็บน้ำผึ้ง ต้องไปกันหลายๆคน”

“ถ้าเผลอเป็นเสร็จมันหมด”เจ้าพุ่มเอาบ้าง

“เอานา แบ่งๆกันกิน สงสารมัน พิกลพิการแบบนั้น ใครจะไปปีนกินเองไหว”สิงห์ร้องบอก

          ถึงสิงห์จะไม่บอกออกมาแบบนั้น ชาวบ้านแถบนี้ก็ไม่ได้ใจจืดใจดำ เพราะทุกครั้งที่ออกหาน้ำผึ้ง ก็จะแบ่งรังผึ้งที่มีตัวอ่อนและตัวแก่ใกล้ออกจากรังให้มันกินส่วนหนึ่ง ที่ต้องเตรียมคนไปเฝ้าเยอะๆก็เพราะความตระกระตะกรามของมัน ที่ค่อยจะจ้องกินส่วนรังอ่อนหรือส่วนหัวของรังผึ้งที่มีน้ำผึ้งติดอยู่ เพราะมันชอบกินส่วนนั้นเป็นพิเศษ ดังนั้นพอรังผึ้งทั้งรังตกลงมา มันก็จะเลือกกินส่วนนั้นก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าดูหรือไล่ไม่ทัน มันก็จะเลือกกินเฉพาะส่วนนั้นจนรังแหว่งไปหมด พอรังใหม่ตกลงมาอีก ก็เป็นแบบนั้นอีก หนักเข้าจึงต้องมีคนคอยเฝ้า แต่ถึงจะไม่มีไอ้ง่อยมาคอยดอดกิน หมีปกติทั่วๆไปก็กิน ถ้าคิดในแง่ดี พวกหมีเหล่านั้นก็เป็นตัวชี้วัดได้เป็นอย่างดี ว่าต้นไม้ที่ผึ้งอาศัยอยู่นั้น ได้เวลาที่จะเก็บเกี่ยวแล้วหรือยัง เพราะมันจะรู้โดยสัญชาตญาณของมันเองว่า รังไหนมีน้ำผึ้งใกล้กินได้แล้ว รังไหนยังอ่อนน้ำผึ้งยังน้อย บางครั้งชาวบ้านก็ต้องพึ่งพาอาศัยพวกมันเป็นตัวบอกเช่นกัน โดยการสังเกตบริเวณลำต้นของต้นไม้ ถ้ามีรอยหมีปีน แสดงว่าน้ำผึ้งบนนั้นใช้ได้แล้ว  แต่ส่วนใหญ่จะมาไม่ทันหมี เพราะถ้ามันขึ้นไปแล้วจะนอนกินอยู่บนนั้นจนรังผึ้งเหี้ ยนหมด เหลือแต่รังที่อยู่ปลายๆกิ่ง ที่มันไม่สามารถไต่ไปกินได้ บางทีชาวบ้านก็ต้องลงทุนแบกแผนสังกะสีนำไปหุ้มรอบๆโคนต้นไม้กันพวกมันปีนขึ้นไปขโมยกิน แต่แท้ที่จริงแล้ว มนุษย์ต่างหาก ที่ไปฝ่ายขโมยแหล่งอาหารของพวกมัน

          อาหารมื้อเที่ยงจบลงอย่างรวดเร็ว หลังจากจัดเก็บสำภาระ และสถานที่จนเสร็จสรรพ พรานเบก็พาทั้งคณะออกเดินทางต่ออีกครั้ง ตอนนี้เข็มนาฬิกาข้อมือของสิงห์ ชี้บอกเวลาที่ สิบสามนาฬิกา สิบหกนาที ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่แสงอาทิตย์แผดความร้อนข้อนศีรษะออกไปทางทิศตะวันตกเล็กน้อย แสงแดดแรงกล้าและร้อนระอุ จนใบไม้ที่อยู่ตามพื้นดินแห้งกรอบ ผิดกับช่วงเช้าที่เต็มไปด้วยละอองหมอกหนาทึบ จนทั่วทั้งบริเวณมีสภาพชื้นแฉะ แต่ ณ เวลานี้ มันได้กลับกลายเป็นตรงกันข้าม ความชื้อและชุ่มฉ่ำ มันได้เหือดหายไปหมดสิ้น หยดน้ำค้างตามยอดหญ้ากลับกลายมาเป็น หยดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มใบหน้าและร่างกายของชายทั้งแปดจนดูชุ่มโชคไปหมด

          แสงแดดร้อนระอุ จนพื้นดินแห้งผากเป็นฝุ่นผง เมื่อมีลมพัดผ่าน ก็หอบเอาเศษใบไม้และฝุ่นดิน ตีตลบลอยขึ้นไปบนอากาศจนดูฟุ้งกระจายไปหมด อากาศที่ร้อนจัด ราวกับตัวเองได้เข้าไปอยู่ในตะแกรงย่าง จนรู้สึกแสบตามผิวหนังไปหมด ถึงแม้จะมีลมพัดผ่านมาบ้าง แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นเลย รวมถึงความทุลักกันดาล ของสภาพพื้นที่ ทำให้เป็นอุปสรรคสำคัญ ที่ทั้งคณะต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงกระนั้น พรานนำทางยังคงพาทั้งคณะ เดินฝ่าออกไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

“โน่น ที่เห็นชายป่าลิบๆ อยู่นั่น”

“เลยดงนั้นเข้าไป ก็ถึงชายป่าดำแล้ว”พรานเบชี้บอกคณะ ขณะยืนพักอยู่บริเวณร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

“ดูท่าทางน่าจะรกอยู่”

“แถวนั้นคงพอจะหาน้ำกินน้ำใช้ได้อยู่ล่ะมั๊ง?”พรานพร พูดพลางใช้มือป้องตาดูไปทางที่หมาย

“คงจะมีอยู่หรอก ป่าก็ดูรกเขียวขนาดนั้น น่าจะมีห้วยไหลผ่าน”สิงห์เสวนาตอบ

“จากนี่ไปก็เดินกันไม่ต่ำกว่าชั่วโมง กว่าจะถึงชายดงนั่น”สิงห์ว่า พลางยกนาฬิกาขึ้นดู

“ถ้าแดดมันร่มๆกว่านี้ก็น่าเดิน”

“เสียอย่างเดียวร้อนไปหน่อย ร่มไม้ก็ไม่ค่อยมี มีแต่ทุ่ง”พรานโส่ยว่าตอบ ซึ่งจากภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า มันก็เป็นจริงอย่างที่พรานโส่ยว่ามา คือ ทั่วทั้งบริเวณที่เห็นนั้น นอกจากจะไม่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่เลยแล้ว ทั่งทั้งพื้นที่ยังอุดมไปด้วยไม้พุ่มเตี้ยๆ ต่างๆขึ้นอยู่ปกคลุมอยู่ทั่ว ทั้งพุ่มสาบเสือ เล็บเหยี่ยว และหญ้าคา

“บนนี้มันแล้งขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าหมูโทน ที่น้าเบตามมา มันจะผ่านดงนี้ไปได้”สิงห์ร้องบอกด้วยความสงสัย หลังจากนึกถึงหมูโทนครั้นที่พรานเบเคยออกไล่ล่า

“ช่วงที่ข้าออกตาม มันไม่แล้งขนาดนี้”

“ทุ่งข้างหน้ายังดูเขียวกว่านี้แยะ”พรานเบตอบ

“ถ้าตอนนั้นแล้งแบบนี้ คงไม่ต้องออกแรงตามให้เหนื่อย”

“อย่างเก่งก็ไปได้แค่กลางทุ่ง”พรานเบพูดจบก็ยกน้ำในกระบอกไม้ไผ่ขึ้นจิบดับกระหาย

“แต่ครั้งนั้นข้าไม่ได้มาทางนี้”ประโยคหลังทำให้ทุกคนที่ได้ยินแทบจะร้องออกมาพร้อมๆกัน

“อ้าว!”

“แล้วทำไม่เอ็งไม่พอไปทางเดิมวะ”พรานชราร้องเสียงสูง

“ก็ทางเดิมพ่อแกเดินกันให้เถือกไม่เห็นรอยรึ”พรานนำทางหมายถึงช้างโขลง

“ขืนไปมีหวังเจอกันแน่ๆ เดี๋ยวได้วิ่งกันตับแลบกันพอดี”

“ถึงทางที่ข้ามามันจะดูอ้อมไปหน่อย แต่มันก็ดีกว่าไปเจอพวกมันกลางทาง”พรานเบพูด พลางทอดสายตาไปที่ชายป่าฝั่งขวามือ

“ที่จริง ถ้าไม่เจอช้างโขลงนั้น ข้าก็จะพาพวกเอ็งเดินไปทางชายดงนั่น เดินไปตามชายดง ไม่ร้อนแล้งแบบนี้หรอก”พรานเบพูดจบ ก็ชี้มือไปที่ชายป่าฝั่งขวามือ

“แต่นี่ เอ็งก็รู้ว่าเราเจออะไร ข้าเลยต้องพาพวกเอ็งเดินลัดมาเส้นนี้แทนไงล่ะ”

“ไอ้ห่ าเอ๊ย แบบนี้ได้เดินกันหัวแดงกันพอดี”พรานพรร้องอย่างหัวเสีย

“เอาไงดีน้าเบ จะเดินฝ่าไปเลย หรือว่าจะรอให้เย็นกว่านี้ก่อน”

“ร่มก็ไม่มีให้หลบ นี่ก็จะบ่ายสามแล้ว”สิงห์ร้องถาม

“ทนกัดฟันเดินกันหน่อยก็น่าจะไหว”

“อย่าไปรอให้เสียเวลาเปล่าๆ”พรานโส่ยพูดจบก็บ้วนน้ำหมากลงพื้นจนแดงเถือก

“ถ้าออกเย็นอย่างที่เอ็งว่ามันก็ดี ไม่ร้อน”

“แต่ถ้าไปถึงโน่นมืดค่ำมันจะลำบากอยู่นา”ชายชรากล่าวจบ ก็ยกปลายผ้าขาวม้าปาดเช็ดน้ำหมาก

“ผมยังไงก็ได้ลุง”

“เอาเป็นว่า ให้น้าเบแกตัดสินใจดีกว่า”

“ไหนๆน้าเบแกก็เคยผ่านแถวนี้มาก่อน น่าจะรู้ดีกว่าคนอื่น”ชายหนุ่มร้องตอบ พลางหันไปร้องบอกพรานนำทาง

“เดี๋ยวพักตรงนี้ให้หายเหนื่อยกันก่อน”

“สักบ่ายสาม ค่อยไปกันต่อ กว่าจะถึงฟากโน่นก็น่าจะเย็นพอดี”พรานนำทางที่มานามว่าพรานเบ หันมาร้องบอกคณะ

“แล้วเอ็งคิดว่าจะถึงฟากกะโน่นก่อนมืดหรือเปล่าล่ะ”ชายชราร้องถาม

“ข้าว่ายังไงๆ พวกเราน่าถึงก่อนค่ำ อย่างเก่งก็ไม่น่าจะเกินหกโมง”

“ เออ!ต้อนนี้กี่โมงแล้วไอ้สิงห์?”ประโยคหลังพรานนำทางหันไปร้องถามชายหนุ่ม

“นี่ก็บ่ายสองสี่สิบห้าแล้ว มีเวลาพักกันอีกประมาณสิบห้านาที”สิงห์ร้องบอกหลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู

“สิบห้านาทีก็พอถมถืด พักกินน้ำดูดยากันให้หายเหนื่อยค่อยว่ากันต่อ”พรานพรร้องตอบ พลางปลดเป้ที่สะพายหลังลงกับพื้นดังโครม ร่วมทั้งคนอื่นก็พากันกระจัดกระจายแยกย่ายออกไปหาร่มเงานั่งพักผ่อน บางคนก็นั่งสูบยาเส้นตามหมู่หินใต้ร่มไม้ บ้างก็ล้วงย่ามงัดหมากออกมาม้วนเคี้ยวเล่น ดื่มน้ำบ้าง พักเอนหลังนอนกับโคนไม้บ้าง โดยเฉพาะเจ้าเหน๋อ ผู้ซึ่งไม่วิตกถึงสถานการณ์จะเป็นเช่นไร ก็สามารถนอนหลับได้ ระยะเวลาที่พรานพรยังสูบยาไม่ถึงครึ่งมวน เจ้าเหน๋อก็หลับอ้าปากหว๋อเสียแล้ว ทำให้พรานแปะที่นั่งอยู่ใกล้ถึงกับรู้สึกหมั่นไส้อย่างไรบอกไม่ถูก เพราะพี่แกค่อยๆหยอดน้ำจากกระบอกไม้ไผ่ใส่ในปากของเจ้าเหน๋อที่หลับไม่รู้เรื่องอย่างบรรจงที่สุด ผลที่ได้คือเจ้าเหน๋อสำลักน้ำตื้นขึ้นมาหูตาเหลือก เล่นเอาทั้งคณะหัวเราะชอบใจกันเป็นที่ครึกครื้น ทำให้บรรยากาศที่ร้อนอบอ้าว ดูผ่อนคลายลงไปได้...

*****นิยายยังไม่จบเพียงเท่านี้ การเดินทางผ่านทุ่งแห่งนี้จะเป็นเช่นไร คณะเดินทางจะพบกับอะไร ไม่อาจทราบได้ โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในบทต่อไป*****

.....

พรานแปะ กำลังตีลูกทอย บนต้นผึ้ง


อุปกรณ์ที่มีติดตัวไป ก็มี
1.ย่าม ซึ่งภายในบรรจุ ลูกทอย
2.ไม้ตีลูกทอย
3.มีดปาดรังผึ้ง
4.เชือก
5.คบสำหรับรมควัน ทำมาจาเถาวัลย์ชนิดหนึ่ง ที่เขาเรียกว่า เถาวัลย์ผึ้ง
6.ไฟแช็ค
7.ถุงใส่น้ำผึ้ง ปี๊บ
และที่ขาดไม่ได้คือ ใจ


เด็กส่งเชือก สำหรับคอยส่งเชือกเพื่อสาวถังใส่น้ำผึ้งลงมา


แต่ละลูกทอยต้องแข็งแรง เพราะถ้าพลาด หมายถึง ชีวิต



Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #4 on: 22 April 2021, 22:56:41 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 5


บทที่ 9

ตอนที่ 5

          นกนางแอ่นหลายสิบตัว บินวนเวียนโฉบเฉี่ยวจิกกินแมลงตัวเล็กๆ ที่เผลอพลั้งบินขึ้นมาเหนือทุ่งโล่ง ท่ามกลางเปลวแดดร้อนระอุในยามบ่าย อากาศที่ร้อนอบอ้าวจนใบไม้ใบหญ้าดูกรอบเกรียม ครั้นเมื่อมีลมโชยโพยพัด แต่หามีความรู้สึกเย็นผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ราวกับว่าเป็นลมที่ถูกเป่าออกมาจากเครื่องเป่าผมไฟฟ้าของสุภาพสตรีเสียมากกว่า นอกจากจะไม่ได้ให้ความเย็นสดชื่นอย่างที่หวังไว้แล้ว มันยังเพิ่มความแสบร้อนให้ตามผิวหนัง โดยเฉพาะส่วนที่ไม่ได้อยู่ในร่มผ้า

          นอกจากจะแสบร้อนจากแสงแดดที่แผดเผาตามผิวหนังจะเป็นอุปสรรคแล้ว อาการคันปวดแสบปวดร้อนของขุยหญ้าคาและบาดแผลที่ถูกใบของมันที่มีลักษณะบาง แต่ใครจะรู้หรือไม่ว่า ความบางของมันนี่ล่ะจะสามารถบาดผิวหนังของเราได้ ราวกับคมของใบมีโกนดีๆนี่เอง ซึ่งแต่ละคนของคณะไม่มีใครน้อยหน้าไปกว่ากันเลย เพราะโดนใบหญ้าคาบาดตามแขนขาไปตามๆกัน พ้นจากดงหญ้าคา ก็มาเจอ พุ่มต้นเล็บเหยี่ยว ที่ตลอดทั้งต้นของมันมีแต่หนามแหลมคมลักษณะเป็นตะขอ เผลอไปเดินเฉียดเข้าใกล้ก็ได้เลือด ถ้าหนังไม่เปิดก็เสื้อผ้าขาดถ้าขืนกระชากหรือดึง วิธีที่ดีที่สุดก็คือถอยหลังอย่างเดียว ใช่ว่าจะมีแต่ข้อเสีย ข้อดีของมันก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย นอกจากหนามแหลมที่คอยเกาะเกี่ยวเนื้อตัวให้รำคาญแล้ว ผลที่มีสีดำอมน้ำตาลที่ขึ้นอยู่ตามกิ่งก้านก็สามารถเลือกเก็บกินได้บ้าง ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงฤดูแล้งที่ผลของมันจะออกดกเต็มต้นก็ตาม และแน่นอนต้นไหนที่พอจะมีผลให้เลือกเก็บได้ มีหรือที่บุคคลทั้งแปดจะไม่แวะเก็บกิน

“พักกันหน่อยดีกว่า”

“ไม่ไหวร้อนฉิบเผง”ชายหนุ่มร้องบอกมาจากท้ายขบวน

“ตรงร่มแจงทางโน่นไม่ดีกว่ารึ”

“แถวนี้ไม่มีร่มให้พัก”พรานโส่ยร้องบอก พลางชี้มือไปทางต้นแจง ที่ขึ้นเขียวอยู่โดดเดี่ยวเบื้องหน้า

“ว่าไงว่าตามลุง”

“นี่ขนาดหมดฝนใหม่ๆ ยังร้อนแล้งได้ขนาดนี้ ไม่อยากนึกเลยถ้าเข้าแล้งจริงๆมันจะแล้งกว่านี้ขนาดไหน”ชายหนุ่มพูดพลางยกแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นอยู่เต็มหน้า

“อยู่บนเขามันก็แบบนี้แหละพี่”

“ฝนลมมาเท่าไหร่ มันก็ไหลลงหุบหมด”เจ้าเคิ้งพูดพลางหยุดเก็บเม็ดเล็บเหยี่ยวโยนเข้าปากไปพลาง

“อ้าวนั่นอะไรดำๆ?”

“รังผึ้งนี่หว่า”เจ้าเคิ้งร้องบอก พลางชี้มือบอกตำแหน่งของรังผึ้งขนาดเขื่อง ที่เกาะทำรังอยู่ในพุ่มเล็บเหยี่ยว

“เออวะ ตาดีนี่เอ็ง”เจ้าพุ่มร้องตอบ

“วู้..พี่พร น้าเบ รอก่อน”

“ไอ้เคิ้งเจอรังผึ้ง เดี๋ยวขอตีเอาน้ำหวานมากินเสียหน่อย”สิงห์ป้องปากร้องบอกพรานทั้งสอง ที่เดินนำอยู่เบื้องหน้า

“เออ..เดี๋ยวข้าสองคนไปรอที่ร่มไม้ก่อนก็แล้วกัน”พรานพรกู่ปากตอบ ส่วนคนร้องถามเมื่อได้ยินคำตอบ ก็ยกมือตอบแสดงความหมายว่าเข้าใจตามนั้น

“แหม..เข้าใจหาที่ทำรังเสียด้วย”

“ไหวหรือเปล่าเอ็ง”สิงห์หันไปถามเจ้าพุ่ม ที่ทำท่าเหมือนจะรับอาสาเข้าไปจัดการกับรังผึ้งที่หมายตาไว้

“สบายมากพี่”

“ขนาดผึ้งทำรัง อยู่กลางกอไผ่ มันยังเอามากินได้เลย”เจ้าเคิ้งร้องตอบแทนเพื่อนเกลอ

“มันทำรังลึกแบบนี้ เอ็งจะเป่าควันยา ถึงหรือวะ”

“ไหนจะหนามอีกทั้งแผง”ชายหนุ่มกล่าว ขณะก้มตัวมองไปที่รังผึ้งที่อยู่ในพุ่มเล็บเหยี่ยว

“จะไปยากอะไร”

“ตัดไม้ยาวๆแล้วผูกหญ้าคา สักกำสองกำตรงปลายก็เอาอยู่”พรานโส่ยร้องเสริม ก่อนที่ตัวเองจะเดินโขยกเขยกไปตัดไม้ต้นเล็กๆได้ต้นหนึ่ง ยาวร่วมสองวา ส่วนเจ้าเหน๋อก็เหมือนจะรู้ใจ พรานชราไม่ทันจะตัดแต่งลิดกิ่งก้านไม่ทันเสร็จ หญ้าคาทั้งแห้งและสด ก็ถูกรวบตัดมา ส่งให้พรานเฒ่า ใช้เถาวัลย์มัดหญ้าคาเข้ากับปลายไม้

          เมื่อได้อุปกรณ์รมควัน เจ้าพุ่มก็ค่อยๆจุดไฟเข้าที่ด้านปลายไม้ ที่มีหญ้าคาแห้งมัดเป็นกระจุกอยู่ หญ้าคาแห้งเป็นเชื้อไฟได้ดี ไม่ถึงเสี้ยววินาที เปลวไฟก็ลุกพรึบขึ้นอย่างง่ายดาย เปลวไฟลุกลามได้ที่ เจ้าพุ่มก็หักกิ่งไม้ นำไปฟาดดับไฟ จนเหลือแต่ควันโขมง จากนั้นคนรับอาสาก็ค่อยๆ แหย่ปลายไม้ที่มีควันเข้าไปที่ตำแหน่งของรังผึ้งรังนั้น

          ทันทีที่กระสาควันไฟ ผึ้งหวี่ ทั้งรังก็พากันถอยไปกระจุกอยู่ที่ส่วนหัวของรัง หรือที่เรียกว่าหัวน้ำหวาน จนเผยให้เห็นรังอ่อนๆสีขาวอมเหลืองสะอาดตา ตอนนี้เองที่เจ้าพุ่ม ค่อยๆใช้มีดตัดลิดกิ่งก้านที่เต็มไปด้วยหนาม ของต้นเล็บเหยี่ยวออกที่ละกิ่งสองกิ่งแหวกเป็นช่องพอที่ตัวเองจะมุดลอดไปตามช่องนั้นได้ ไม่นานเกินรอ รังผึ้งขนาดสองมือกางๆก็ถูกตัดออกมาจากกิ่งที่มันเกาะ

“แหม่น้ำหวานเกือบเต็มทุกช่อง”

“รังอ่อนกำลังดีเสียด้วย”พรานแปะร้องบอก พลางใช้กิ่งไม้เล็กๆเขี่ยผึ้งที่ยังเกาะอยู่ตามรังออกทีละตัวสองตัว

“ถ้าเป็นช่วงเดือนห้า รังแบบนี้เอามาดองยาละก็เยี่ยมเลย”พรานชราร้องเสริมมาอีกคน

“แล้วเดือนนี้ เอามาดองไม่ได้หรือลุง ฮ่าๆ”สิงห์พูด พลางหัวเราะ

“ได้สิวะ ทำไมจะไม่ได้”

“แต่ถ้าจะให้ดี มันต้องน้ำผึ้งเดือนห้า โว้ย”พรานชราร้องตอบ พรางหัวเราะแบบไม่มีเสียง

“ไป พวกเรา ไปนั่งพักที่ร่มดีกว่า”

“พี่แปะถือดีๆล่ะ อย่าให้อะไรมาเกี่ยวหัวน้ำหวานนะ เสียดาย”ชายหนุ่มร้องบอกคณะ

          ระยะไม่เกินห้าสิบเมตร จากตำแหน่งของรังผึ้งที่ได้มา ต้นแจงใหญ่ต้นหนึ่ง ยืนต้นตระหง่านโดดเด่นบนเนินดินเตี้ยๆ น่าแปลกที่ใบของมันดูเขียวสดเป็นพุ่มครึ้ม ผิดกับต้นไม้รอบๆด้านของมัน ดูเหี่ยวเฉาแห้งกรอบไปหมด และเท่าที่สังเกตรอบๆบริเวณแล้ว ในระยะตารางกิโลเมตรนั้น ไม่มีต้นไม้ต้นใด หรือพุ่มไม้ใดดูเขียวสดชื่นเท่ากับต้นแจงต้นนี้เลย

“ค่อยยังชั่วหน่อย”

“แต่ก็น่าแปลกนะ ที่อื่นเขาแล้งจะเป็นจะตาย ไอ้นี่กลับรอด แถมยังดูงามกว่าเขาเพื่อน”ชายหนุ่มหมายถึงต้นแจง ที่ตัวเองและคณะต่างอาศัยร่มเงาของมันหลบแดด

“ไม่แปลกหรอกไอ้สิงห์”

“ต้นแจงมันก็แบบนี้ล่ะ ยิ่งแล้ง ใบยิ่งแตก แต่ถ้าเข้าหนาวจัดๆใบก็ล่วงหมด”พรานชราร้องบอก ขณะนั่งม้วนยาเส้นเตรียบจุดสูบ

“ว่าแต่ไอ้สองตัวนั่นจะไปไหวมั๊ย”

“ดูมันสิ น่าสงสาร นอนลิ้นห้อยจะถึงพื้นอยู่แล้ว”สิงห์พูด พลางบุ้ยปากไปทางหมาสองตัว ที่พากันนอนหอบแฮกๆ จนลิ้นห้อย

“สงสัยจะหิวน้ำ”

“ไอ้เคิ้ง เด็ดใบไม้มาทำกรวยใส่น้ำให้ไอ้สองตัวนั้นมันกินหน่อยสิ”พรานชราร้องบอกลูกชาย สิ้นเสียงชายผู้เป็นพ่อ เจ้าเคิ้งลูกชายก็ปฏิบัติตามแต่โดยดี ไม่กี่อึดใจ กรวย
กระทง ที่ทำจากใบไม้แบบง่ายๆจำนวนสองใบก็เสร็จ ก่อนที่เจ้าตัวจะร้องเรียกเพื่อนเกลอมาช่วยเทน้ำจากกระบอกให้หมาทั้งสองตัวอย่างไม่คิดรังเกียจ

“มาไอ้สิงห์ มาตักน้ำผึ้งกินคนละคำสองคำ”พรานแปะร้องบอก พลางส่งช้อนสังกะสีด้ามเขียวส่งให้สิงห์ประเดิมเป็นคนแรก

“อ้าวแล้วพี่ไม่กินก่อนล่ะ”สิงห์พูดหลังรับช้อนสังกะสีอยู่ในมือ

“แหม่..ดีจริงๆ หวานชุ่มคอดีแฮะ”

“ได้มะขามป้อมมาเคี้ยวอีกสักลูกสองลูก คงจะเข้าท่ากว่านี้”ชายหนุ่มกล่าว หลังจากหัวน้ำผึ้งที่ฉ่ำไปด้วยน้ำหวานสีอำพันอยู่ในปาก ไม่ทันขาดคำ ของชายหนุ่ม พรานเบก็ร้องบอกให้สิงห์รับวัตถุอะไรชนิดหนึ่ง ที่พรานนำทางโยนมาให้ เมื่อแบมือออกมา ถึงได้รู้คำตอบว่า สิ่งนั้นก็คือ ลูกมะขามป้อม นั่นเอง

“บ๊ะ! ยังกะเสกได้”ชายหนุ่มพูดพลาง ใช้มืออีกข้างตบที่น่องตัวเองดังฉาด ก่อนที่จะโยนผลมะขามป้อมเขาไปเคี้ยวอยู่ในปาก ดัง กรุบๆ

“ยังมีอีกเปล่า ของสักลูกสองลูกสิ”เจ้าเหน๋อเห็นเข้าเช่นนั้นก็ร้องขอบ้าง

“เยอะแยะ จะเอาสักกี่ลูก”พรานนำทางพูดจบ ก็งัดถุงใส่มะขามป้อมออกมาจากย่ามที่สะพาย ซึ่งถ้ากะด้วยสายตาแล้วในถุงใบนั้น น่าจะมีไม่ต่ำกว่าสามสิบลูก

“เก็บมาตั้งแต่ไปนั่งห้างแล้ว”

“ข้าก็เกือบลืม ถ้าไอ้สิงห์มันไม่พูดทักมา”พรานเบร้องบอก พลางยื่นถุงมะขามป้อมส่งให้เหน๋อ และคนอื่นๆ

“ข้ามทุ่งนี้ไปอีกครึ่งก็ถึงชายป่า”

“กัดฟันเดินกันอีกหน่อยแล้วกันพวกเรา”พรานพรร้องเสริม ขณะยืนสูบบุหรี่ควันฉุย

“ขากลับไม่ต้องพามาทางนี้อีกล่ะ”

“ร้อนจนตีนข้าจะพองอยู่แล้ว”พรานชราร้องบอก พลางยกฝ่าเท่าของตัวเองข้างหนึ่งขึ้นดู

“ดูอีกทีแล้วกัน ถ้าไม่เจอช้างโขลงนั้น”

“ข้าก็กะว่าจะพาเดินกันแถวๆชายป่านั่นแหละ”พรานเบร้องบอก

“เอานา แกก็บ่นไปได้ ที่เห็นริบๆโน่น เดินอีกไม่กี่กิโลก็ถึงแล้ว”พรานพรโพล่งออกมา พูดจบก็ดีดก้นบุหรี่ยาเส้นลงพื้น ก่อนที่จะใช้ปลายเท้าขยี้จนดับ แต่ไม่ทันที่พรานพรจะเอ่ยคำใดต่อ พรานเบก็ทำท่าหูผึ่งขึ้นมาทันที พลางร้องบอกทุกคนว่า

“ทุกคนเงียบๆหน่อยสิ”

“มีใครได้ยินเสียงอะไรบ้างหรือเปล่า?”พรานนำทางร้องบอก พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้น แสดงความหมายให้ทุกคนหยุดส่งเสียง

“มีอะไรหรือน้าเบ?”สิงห์ร้องถามแบบตื่นๆ

“ฉู่...วว!”พรานเบไม่พูดจาอะไรตอบ นอกจากทำเสียงเพื่อย้ำให้เงียบอยู่เช่นนั้น

        ภายใต้ความเงียบนั้นเอง อึดใจต่อมา ทุกคนก็ได้ยินเสียงที่พรานนำทางสงสัย แรกๆก็ไม่มีใครจับต้นชนปลายได้ถูก ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงอะไร แรกๆก็มีเสียงดัง เปรี๊ยะ เบาๆมาก่อน แต่นานเข้า ดูทีท่าว่าจะดังรัวถี่มากขึ้น ราวกับว่ามีใครมาจุดประทัดดอกเล็กๆมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจะนัดกันไว้ ทุกคนต่างหันไปทางที่มาของเสียง ก็คือด้านหลังที่ทั้งคณะเดินผ่าน บัดนั้นเองที่หัวใจของแต่ละคนแทบจะหยุดเต้น

        เปลวไฟขนาดใหญ่พร้อมกับควันสีเทาม้วนตลบขึ้นสู้ท้องฟ้า ราวกับคลื่นยักษ์ที่กำลังถาโถมชายฝั่งอย่างไรอย่างนั้น ต้นไม้ต้นไร่ที่แห้งเหี่ยวอยู่แล้ว พอจะมองเห็นยอดอยู่ริบๆ บันนี้ถูกอำนาจของพระเพลิงกลืนกินอย่างรวดเร็ว เสียง ฮือ กระหึ่ม เหมือนกับเสียงคำรามที่ผุดออกมาจากขุมนรก ราวกับปีศาจร้ายที่ออกหาล่าเหยื่อ พร้อมๆกับเสียง วี๊ด ของควันไฟที่ประทุออกมาจากต้นไม้ใบหญ้าเมื่อถูกพระเพลิงกลืนกิน ราวกับเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ท่ามกลางทะเลเพลิง

“ฉิ บ หาย!”

“ไฟป่ามา “พรานเบอุทานลั่น

“มันมาได้ไงวะนั่น”

“ไอ้พุ่ม เอ็งดับไฟดีหรือเปล่า”พรานพรร้องเสียงหลง

“ผมว่าผมดับดีแล้วนะ”

“เอาไงดีพี่พร”เจ้าพุ่มทำหน้าซีดร้องบอกปากคอสั่น เมื่อนึกถึงคบไฟที่ตัวเองใช้ตีผึ้งเมื่อไม่กี่อึดใจมานี้

“จะดับตอนนี้คงไม่ทันแล้ว”พรานแปะร้องเสริมอย่างกระวนกระวาย

“เก็บของเร็ว ออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด!”

“ลมมันพัดมาทางนี้แล้ว”พรานนำทางตะโกนแข่งกับเสียงกระหึ่มของพระเพลิง ที่กำลังเคลื่อนตัวเขามาใกล้คณะอย่างรวดเร็ว สิ้นเสียงของพรานนำทาง โดยไม่ต้องให้บอกซ้ำ ใครคว้าอะไรใกล้ตัวของใครได้ก็คว้า ในเมื่อยมทูตมาเคาะประตูเรียกเกือบจะถึงหน้าบ้านขนาดนี้แล้ว ถ้ามัวแต่เกี่ยงกันคงไม่แคล้วดำเป็นตอตะโก

“เอาไงดีน้าเบ”

“ข้างหน้าเรามีแต่ดงหญ้าคาทั้งนั้น”สิงห์ร้องบอกพรานนำทางอยากกระหืดกระหอบ ขณะวิ่งเกาะกลุ่มกันมา

“เบี่ยงมาทางนี้ ตามข้ามา”

“เห็นกองหินใหญ่ตรงนั้นมั๊ย”พรานเบร้องบอก พลางชี้มือบอกไปยังตำแหน่งของหมู่หินใหญ่เบื้องหน้า ห่างจากคณะราวๆร้อยเมตร

“อย่าบอกนะว่าเอ็งจะให้พวกข้าขึ้นไปหลบไฟป่าบนนั้น”

“ทำแบบที่เอ็งว่า เท่ากับฆ่าตัวตายชัดๆ เพราะไฟมันจะล้อมพวกเราไว้ทุกด้าน”พรานชราร้องบอก พลางวิ่งโขยกเขยก โดยลืมอาการปวดระบมฝ่าเท้าอย่างปลิดทิ้ง

“แกอย่าพูดอะไรมากเลยตาโส่ย”

“เดี๋ยวไปถึงแล้ว ไอ้เบมันคงจะบอกเองนั้นแหละ”พรานพรตวาด

“ไอ้ฉิ บหายพุ่ม เพราะเอ็งคนเดียวแท้ๆ”เจ้าเคิ้งร้องบอกเพื่อนเกลออย่างหัวเสีย

“อ้าวไอ้ห่ า อย่ามาโทษข้าคนเดียวสิวะ”

“ใครจะไปรู้ว่าไฟมันจะติดขึ้นมาอีก ตอนออกมาเอ็งกับข้าก็ช่วยกันดูไม่ใช่รึ”เจ้าพุ่มไม่ยอม เถียงตอบกลับไป พลางทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้

“เอ๊าเฮ้ย!”

“เอ็งสองคนจะมาเถียงอะไรกันตอนนี้”

“เวลานี้ ต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน เรื่องอื่นไว้ค่อยคุยกัน”สิงห์ร้องปรามสองกะเหรี่ยง

ไม่กี่อึดใจต่อมา ทั้งหมดก็มาถึงตำแหน่งของหมู่หิน ที่ขึ้นเรียงรายอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ เหมือนกับภูเขาหินขนาดเล็ก แต่กว่าจะฝ่าดงหญ้าคาออกมาได้ก็เหนื่อยเอาการณ์
เพราะไม่มีแต่หญ้าคาที่เป็นเชื้อไฟชั้นดีแล้ว สาบเสือและหญ้าอ้อยช้าง ก็ขึ้นเรียงรายหนาทึบไปหมด

“ข้ามไปอยู่หลังก้อนหินนั้นทุกคน”

“ไอ้พร ไอ้แปะ มาช่วยข้าทางนี้”พรานเบร้องบอก พรานทั้งสองให้ติดตามไปด้วย

“เร็วลุง ไอ้เหน๋อ รับของขึ้นไป”

“ไอ้เคิ้งรีบฉุดพ่อเอ็งขึ้นมาก่อน”สิงห์ร้องบอก

“เฮ้ยไอ้พุ่ม จับไอ้สองตัวขึ้นมาหลบทางนี้ด้วย”ชายหนุ่มตะโกนบอก เมื่อเหลือบไปเห็นหมาสองตัวทำท่าตะกุยหินอยู่เช่นนั้น เพราะความชันของหิน มันทั้งสองตัวจึงปีนขึ้นมาไม่ได้ เมื่อทั้งคนและหมาปีนเนินหินไปหลบอีกฝั่งหนึ่งได้ สิงห์ก็พอจะมองเห็นช่องทางรอดจากทะเลเพลิง พื้นดินที่อุดมไปด้วยกรวดหินลูกรัง มีต้นหญ้าสาบเสือขึ้นอยู่ประปลาย รวมทั้งไม้หนามต่างๆ ที่ดูแคระแกร็น ถึงแม้จะมีกอหญ้าคาและวัชพืชขึ้นอยู่ แต่มันก็ไม่รกน้อยกว่า ดงหญ้าคาที่ลุยฝ่ากันมา และดูเหมือนว่า ชายหนุ่มจะคิดถูกต้อง เมื่อเห็นสามพรานกะเหรี่ยงต่างช่วยกันใช้มีดหวด ฟันกอหญ้าคาจนดูเป็นแนวขนานไปตามเชิงหิน....

*****เรื่องราวกำลังดำเนินไปอย่างสนุก ทั้งคณะจะเอาตัวรอดจากพระเพลิงไปได้เช่นไร โปรดติดตามตอนต่อไป*****

.....

รังผึ้งหวี่ ที่เจ้าพุ่มหาได้
ผมมีเรื่องเล่าจะบอกครับ เจ้ารังผึ้งที่น้าๆเห็น ถ้าเป็นผมเวลาจะตีมัน ก็ต้องใช้ไฟ แต่หมอไม่ได้ทำแบบนั้นครับ หมอหักกิ่งไม้ที่รังผึ้งรังนั้นเกาะหน้าตาเฉย แล้วเคาะตัวออกมา ผมนี้วิ่งป่าราบเลยครับ ดูดู๊ดูดูมันทำ


ลูกสีส้มๆเหลือง ที่อยู่ระหว่างเจ้าเคิ้งกับเจ้าพุ่ม เขาเรียกว่า ซา-ธง ภาษากะเหรี่ยง  ทางเหนือเรียกว่า มะหลอด ครับ


บอนป่า ขนาดใหญ่อีกชนิดหนึ่งครับ น่าเอามาประดับสวนนะผมว่า แต่คิดไปคิดมาให้มันอยู่ในป่าดีอยู่แล้ว


ปิดท้ายด้วย แกงฟักเขียวกับหมูสามชั้นครับ



« Last Edit: 22 April 2021, 23:02:43 by p_san@ » Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #5 on: 22 April 2021, 23:10:40 »

[size=12ptนิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 6

][/size]

บทที่ 9

ตอนที่ 6

          เมื่อทั้งหมดเห็นดังนั้น ก็ยากนักที่จะทนมองอยู่เฉยๆ ต่อไปได้ วินาทีนี้ คำว่า รอด มีทางเดียวเท่านั้นคือร่วมแรงร่วมใจกัน ดังคำที่ว่า สองหัวดีกว่าหัวเดียว ในเมื่อต้องการจะรอดพ้นจากกองพระเพลิงที่ตอนนี้ก็จวนเจียนใกล้เข้ามาทุกขณะ จนทุกคนรับรู้ถึงความร้อนระอุของเปลวไฟ จะทนมองอย่างเดียวไม่หยิบจับอะไรเลยก็คงทำไม่ได้ ยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีใครในกลุ่มบุคคลทั้งแปด จะหนีรอดเอาชีวิตไปคนเดียว

“มาพวกเรา มาช่วยน้าเบกัน”สิงห์ตะโกนร้องเรียกพรรคพวก ที่พากันนั่งหอบอยู่บริเวณเชิงหินจนเหงื่อโทรม

“น้าเบ เอายังไง บอกมา”

“รอดก็ต้องรอดด้วยกัน เหนื่อยก็ต้องเหนื่อยเหมือนๆกัน”ชายหนุ่มพูดแข่งกับเสียงแตกฮือ ของทะเลเพลิงที่แว่วเสียงใกล้เข้ามา

“ถางเปิดแนวไว้ เปิดช่องให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้”

“เดี๋ยวข้าจะจุดไฟ”พรานเบตะโกนบอก

“ไอ้พุ่ม ไอ้เคิ้ง เอ็งสองคนไปแนวนี้”

“มาลุง ไอ้เหน๋อ เรามาช่วยกันหวดแนวกลาง”ชายหนุ่มร้องบอกสองกระเหรี่ยงให้ไปจัดการกับแนวกันไฟด้านซ้ายมือ ส่วนตัวเขา เจ้าเหน๋อและพรานเฒ่า ช่วยกันถางแนวบริเวณกึ่งกลาง ทางทิศด้านขวามีพรานเบ พรานพร และพรานแปะ ช่วยกันหวดแนวกันไฟหูตาเหลือกอยู่ก่อนแล้ว ถึงแม้อากาศจะร้อนระอุขนาดไหน แต่มาถึงเหตุการณ์นี้แล้ว ทุกคนกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น เพราะความกลัวทำให้ลืมร้อนเสียจนหมดสิ้น หญ้าคา กอสาบเสือ และพุ่มหนาม พุ่มแล้วพุ่มเล่าถูกหวดและตัดจนเป็นช่องเตียนโล่ง ถึงไม้จะไม่โล่งเตียนขนาดไม่มีต้นไม้ขึ้นแทรกก็ตาม แต่มันก็ทำได้ดีที่สุดแล้วในตอนนี้ เท่าที่เวลาและยมทูตจะเอื้อให้ เพราะความอยากเอาชีวิตรอด ให้พ้นไปจากไฟนรก ที่กำลังถาโถมเข้ามาใกล้ จนรู้สึกได้ถึงไอความร้อนที่ปะทะมากับกระแสลม ทุกคนต่างกัดฟันทำแนวกันไฟเช่นนั้นต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง และแล้วแนวกั้นไฟความยาวร่วมยี่สิบเมตรก็พร้อมทำหน้าที่ของมัน

“ทุกคนขึ้นไปหลบบนเนินหินนั้นก่อน”

“ไอ้แปะเอ็งไปจุดไฟที่ด้านนั้น ไอ้พรไปทางโน้น”พรานเบร้องสั่งพรานแปะให้ไปจุดไฟทางแนวท้ายด้านซ้ายมือ พรานพรหัวแนวด้านขวามือ ส่วนตัวพรานเบจุดไฟบริเวณกึ่งกลางแนว

“เร็ว จุดแล้วก็รีบขึ้นมาหลบบนหิน”

“รอให้ไฟมันลามไปด้านหน้าก่อน แล้วเราค่อยลงมา”พรานนำทางร้องบอกคณะ

          หญ้าคาแห้งเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี เพียงเศษเสี้ยววินาที ที่เปลวไฟจากไม้ขีดสัมผัส เปลวไฟก็ลามเลียไปทั่วแนวอย่างรวดเร็ว ราวกับมีใครมาราดน้ำมันทิ้งเอาไว้ เปลวไฟโหมกระหน่ำ ส่งควันและขี้เถ้าโพยพุ่งไปตามแนวของกระแสลมที่พัดผ่าน ซึ่งดูเหมือนว่าจะจงใจโบกพัดกลุ่มควันและขี้เถ้าเหล่านั้นให้ถอยห่างจากกลุ่มมนุษย์ ที่ตอนนี้พากันนั่งจับกลุ่มกันเป็นกระจุกบนก้อนหินใหญ่เหนือลม แต่บุคคลทั้งแปดก็ดีใจได้อยู่ไม่นาน ครั้นลมพัดกระพือมา ไฟป่าที่อยู่ด้านหลังบุคคลเหล่านั้น ก็ทวีความรุนแรงเข้ามาใกล้ ทั้งขี้เถ้าและควันไฟ ก็พลันเปลี่ยนทิศทาง กลับกลายเป็นว่าทั้งหมดได้มาอยู่ทางด้านใต้ลม

“ขืนนั่งทนอยู่บนนี้ ได้สำลักควันไฟตายห่ากันแน่ๆ”พรานชราร้องลั่น พลางสำลักควันไฟ

“แนวไฟที่จุดไว้ก็ยังไปไม่ห่างตัว ไฟป่าข้างหลังมันจะเผาพวกเราเอานาน้าเบ”สิงห์พูดพลางใช้ชายเสื้อข้างหนึ่งขึ้นมาปิดปากปิดจมูก

“เอาไงดีไอ้เบ ข้าว่ามันทำท่าจะจริงอย่างที่ไอ้สิงห์มาว่ามานะ”

“จะลงไปตอนนี้ก็ไม่ได้ ไฟมันยังโหมไล่ไปไม่หมด”พรานพรร้องเร่ง

“ทนอีกหน่อยพวกเรา แข็งใจเอาหน่อย”

“ให้ไฟมันโหมไปไกลกว่านี้อีกสักหน่อย”พรานนำทางร้องบอกแข่งกับเสียงปะทุของพระเพลิง

“จะไหวรึไอ้เบ”

“ไฟป่าข้างหลังมันก็โหมมาทางเราแล้ว”พรานเฒ่าร้องบอก

“ผ้าขาวม้า!”

“เอาผ้าขาวม้า หรือเสื้อผ้าของแต่ละคนเอามาชุบน้ำเร็ว!”สิงห์ละล่ำละลัก

“เสร็จแล้วทำยังไงต่อพี่สิงห์”เจ้าเคิ้งร้องถาม เพราะนึกทำอะไรต่อไปไม่ถูก

“เอามาทำหน้ากาก ปิดจมูกปิดปาก”

“จะได้ไม่สำลักควันไฟ”สิงห์ร้องตอบ

          ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย และความเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายของคณะ ทุกวินาทีในการย่ำคิดย่ำทำ จึงต้องใช้ความคิดอย่างไตร่ตองขีดสุด เพราะถ้าพลาด นั้นหมายถึงชีวิต ที่อาจจะต้องสูญเสียไปกับกองพระเพลิงที่โหมกระหน่ำเข้ามาใกล้ ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ควันไฟและไอความร้อนแผ่อิทธิพลไปทั่วบริเวณ จนไม่สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมหรือสิ่งรอบกายได้ถนัด เพราะควันไฟไม่ใช่หมอก ที่จะทำให้ทุกคนทนฝืนลืมตาดูอยู่ได้ แต่ละคนล้วนแต่น้ำตาไหลพรากไปตามๆกัน เพราะพิษสงของควันไฟ ทำให้เกิดการระคายเคืองจนแสบตา นอกจากควันไฟแล้ว ไอความร้อน ทั้งด้านหน้าและด้านหลังก็ส่งผลกระทบต่อคณะไม่น้อยเช่นกัน

“เร็วทุกคนลงไปหลบข้างล่างได้แล้ว”พรานเบร้องบอก พูดจบก็โยนสิ่งของต่างๆลงไปกองอยู่บนพื้นเบื้องล่าง

“รีบๆหน่อยไอ้พุ่ม มัวแต่คลำอยู่นั้นแหละ”

“เดี๋ยวก็ได้ดำเป็นตอตะโกพอดี”เจ้าเคิ้งร้องเร่งเพื่อนเกลออย่างขัดใจ ที่ตอนนี้มัวแต่มะรุมมะตุ้มอยู่กับกองสัมภาระ

“แนวไฟที่เราทำไว้ มันลามไปด้านนั้น”

“พวกเราเดินตามแนวนั้นไป ทิ้งช่วงห่างเอาไว้”พรานเบร้องบอกหลังจากทุกคนลงมายืนเรียงรายตรงหน้า พลางชี้มือบอกไปทางทิศทางของแนวไฟที่ลุกลามไปทางด้านขวามือ ซึ่งตอนนี้แนวไฟที่ทุกคนช่วยกันทำไว้ ไหม้ไฟเหลือแต่ขี้เถ้าขาวโพลนส่งควันกรุ่น

“จะไหวเรอะ ไฟมันยังไม่มอดดี”พรานชราร้องบอก พลางยืนมองเปลวไฟที่ยังคลุกรุ่นตามพื้นทางเดิน

“เอานาลุง ตรงไหนเลี่ยงได้ก็เลี่ยง มัวแต่รีรอ ไฟข้างหลังลุงมันจะเผาลุงตาย”สิงห์ร้องบอกพรานเฒ่า

“อย่าว่าแต่คนเลยไอ้สิงห์”

“เอ็งไม่เห็นเรอะ ไอ้สองตัวนั่นมันจะกล้าไปกับเรา”พรานโส่ยพูดพลาง บุ้ยปากไปทางเจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบอง

“จะไปยากอะไร”

“ไอ้เคิ้งกับไอ้พุ่มก็อยู่ อุ้มไปคนละตัวก็หมดเรื่อง”พรานพรร้องตอบแทนชายหนุ่ม

“แบบนั้นก็ได้พี่สิงห์ เดี๋ยวผมสองคนอุ้มไอ้สองตัวนี้ไปพลางๆก่อน”

“ตรงไหนพอที่จะให้มันไปกันเองได้ ก็ค่อยปล่อยมัน”เคิ้งร้องบอก

“ส่วนข้าวของ ของเอ็งสองคน เดี๋ยวข้ากับไอ้เหน๋อ จะช่วยแบกไปก่อน”พรานแปะร้องเสริม

“น้าเบพานำไปเลย คงไม่มีปัญหาอะไรกันแล้ว”

“ขืนชักช้ากว่านี้ คงไม่ได้การ”

“ไฟข้างหลังพวกเรามันโหมมาเร็วเหลือเกิน”ชายหนุ่มร้องบอกพรานนำทาง พลางเหลียวไปมองเปลวไฟด้านหลังที่โหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง

          พรานเบ พาคณะทั้งหมดเดินฝ่าเถ้าถ่านของความหายนะ ความจริงแล้วจะเรียกว่าเดินก็ไม่ถูกนัก ที่ถูกต้องควรจะเรียกว่า กึ่งวิ่งกึ่งเดิน เสียมากกว่า โดยทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังทิศทาง ที่พอจะมองเห็นแนวป่าเบื้องหน้า ซึ่งตอนนี้ถูกบดบังด้วยควันไฟ ราวกับอายหมอกในยามเช้า แต่ที่จริงแล้วมันเป็นอายของความตายที่กำลังมาเคาะประตูเรียกอยู่หน้าบ้านเสียมากกว่า  แทนที่จะทำให้รู้สึกเย็นสดชื่นเหมือนกับทุกเช้าที่ทุกคนได้เคยสัมผัสมา แต่คราวนี้มันทั้งร้อนระอุเหมือนกว่าที่เคยพบเจอ ลำพังความร้อนจากแสงอาทิตย์ก็พอจะทนกันได้ แต่นี้ต้องมาเผชิญกับความร้อนจากเปลวไฟเข้าที่ล้อมหน้าล้อมหลังไปอีก คำว่าร้อนเหมือนกับอยู่ในนรก แม้ทุกคนจะไม่เคยไปเยี่ยมขุมนรกขุมใดมาก็ตาม ถึงตอนนี้ทุกคนในคณะได้รับรู้แล้วว่ามันรู้สึกเช่นไร ดูเหมือนว่ายมทูตจะไม่มีความปราณีเอาเสียเลย

          การเดินทาง ดำเนินไปอย่างความรีบเร่ง แต่เพราะเถ้าถ่านบางช่วง ยังมอดดับไม่หมด ทำให้เป็นอุปสรรคในการเดินทาง เพราะทุกก้าวย่ำต้องเป็นไปอย่างความระมัดระวังขีดสุด โดยเฉพาะบริเวณที่มีต้นไม้ใหญ่ที่แห้งตาย พอโดนไฟเผาเข้าก็ล้มขวางทาง กลายเป็นเชื้อเผลิงอย่างดี ทำให้ต้องเสียเวลาเดินอ้อมหลบหลีกไปอีกทาง ถึงแม้บางช่วงจะไม่มีต้นไม้ขวางทางก็ตาม แต่ก็ต้องคอยระวังไฟที่ยังคงปะทุอยู่ภายใต้กองขี้เถ้าหนาเตอะ ขืนทะเล่อทะล่าไม่ดูตาม้าตาเรือ ก็คงไม่แคล้วเท้าพอง ลำพังคนไหนสวมผ้าใบก็พอช่วยได้หน่อย แต่สำหรับคนที่มีแต่รองเถ้าฟองน้ำธรรมดา หรือรองเท้าแตะนี่สิ แค่นึกก็หวาดเสียวแล้ว

          ขึ้นชื่อว่าไฟป่า ยากนักที่จะทำให้มอดดับลงง่ายๆ ยิ่งอากาศร้อนแรงเช่นนี้บวกกับเชื้อเพลิงที่มีอยู่มากมาย ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเชื้อเพลิงที่พร้อมที่จะปะทุขึ้นได้ทุกเวลา ราวกับนำน้ำมันไปหยดลงบนผิวน้ำ ตราบใดที่ยังมีเชื้อเพลิงอยู่ เปลวไฟก็ยังสามารถโหมกัดกินเชื้อเพลิงเหล่านั้นได้ทุกเวลา แต่ไฟป่าใช่ว่าจะเกิดขึ้นเองได้ง่ายๆ ตามธรรมชาติ เพราะมันต้องมีตัวแปลต่างๆทำให้เกิดขึ้น ซึ่งก็มีหลายทฤษฎี หลายตำราด้วยกัน บ้างก็ว่า เกิดจากก้อนหินหลุดร่วงลงมากระทบกันเป็นประกายไฟ บ้างก็ว่า เกิดจากการเสียดสีของต้นไม้เวลาลมพัด บางตำราก็ว่า เกิดจากอากาศที่ขยายตัวขึ้นในกระบอกไม้ไผ่ แล้วเกิดการอัดตัวของอากาศจนระเบิด หรือหนังสือบางเล่มก็บอกว่า เกิดจากการรวมแสงของดวงอาทิตย์บนหยดน้ำ เหมือนกับเราเอาแว่นขยายมาส่องกับดวงอาทิตย์เพื่อทดลองเผาใบไม้ ในตอนเรียนอยู่ชั้นประถม ทฤษฏีเหล่านี้ล้วนเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้ อย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือ ทฤษฏีที่ว่าด้วยหยดน้ำ ถ้าพูดถึงความเป็นจริง อากาศที่ร้อนแรงเช่นนั้นแล้ว ยากนักที่จะหลงเหลือหยดน้ำค้างแบบนั้น เพราะกว่าจะรวมแสงได้และส่งความร้อนไปถึงเชื้อเพลิง เป็นไปได้หรือที่หยดน้ำหยดนั้นจะไม่ละเหยไปเสียก่อน แต่ท้ายที่สุดแล้วไฟป่าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินั้นมันจึงมีเปอร์เซ็นต์ ที่จะทำให้เกิดขึ้นเองน้อยมาก แทบจะไม่ถึง หนึ่งเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำไป ส่วนเปอร์เซ็นต์ที่เหลือมากกว่าครึ่ง ล้วนแล้วเกิดจากน้ำมือของมนุษย์

          ตัวอย่างง่ายๆ เช่น บริเวณเกาะกลางถนน เมื่อเข้าสู่ฤดูแล้งครั้งใดก็ครั้งนั้น จะต้องเห็นไฟไหม้ทุกครั้งไป เพราะความมักง่ายเห็นแก่ตัวของคนไม่กี่คน ก็สามารถทำให้ผู้ใช้รถใช้ถนนต้องพลอยเดือดร้อนรับผลกรรมที่ตัวเองไม่ได้ก่อ ทั้งควันที่บดบังทัศนีย์ภาพในการขับขี่ โชคดีก็ผ่านไปได้ ถ้าโชคร้ายไม่บาดเจ็บก็ตาย เพราะประสบกับอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชน เพราะความมักง่ายนี่เอง เพียงแค่ก้นบุหรี่ที่ตัวเองสูบจวนจะหมดแล้ว แทนที่จะดับก่อนให้เรียบร้อย ก่อนที่จะดีดทิ้งออกนอกรถ บุหรี่ก้นกรองไม่เหมือนกับยาเส้นใช่ว่าจะดับลงง่ายๆ ลำพังหล่นกลิ้งอยู่กลางถนนก็ดีไป แต่เมื่อใดที่มันกลิ้งลงข้างทางที่เต็มไปด้วยหญ้าแห้งล่ะก็ รับประกันความบรรลัย วิธีง่ายๆก่อนที่จะดีดก้นบุหรี่ทิ้งออกนอกรถ ก่อนทิ้งก็ดับก่อน รถบางรุ่นจะมีช่องสำหรับดับบุหรี่ หรือบางรุ่นไม่มี ก็แค่หงายส้นรองเท้าแล้วขยี้ดับไปก็หมดเรื่อง วิธีง่ายๆแค่นี้กลับทำกันไม่ได้ ใครจะรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองมักง่าย จะก่อความเดือดร้อนแก่ผู้ใช้เส้นทางเดียวกัน วิธีง่ายๆแค่นี้ถ้าคิดไม่ออกว่าจะดับก้นบุหรี่อย่างไร ก่อนทิ้งก็เอามาขยี้กลางหน้าผากตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดไป

          เหตุการณ์นี้ก็เช่นกัน เพราะความประมาท รวมถึงความสะเพร่า ของกลุ่มคนไม่กี่คน ก็ทำให้เกิดหายนะอันใหญ่หลวง ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจก็ตามที แต่ก็ไม่อาจที่จะให้อภัยได้ ซึ่งคณะทั้งหมด ก็ได้เผชิญอยู่ ณ ตอนนี้แล้ว สติปัญญามีเท่าไหร่ ถึงตอนนี้ก็คงต้องงัดมาใช้ให้หมด ถ้ามัวแต่ปิดบังหวงวิชา คงจะไม่ไหวเพราะทุกวินาที นั้นหมายถึงชีวิต หรือถ้าทั้งหมดจะพลาดพลั้งเสียที ชีวิตต้องดับสูญไปกับกองเพลิง ก็สมควรแล้ว ถือว่าชดใช้กรรมที่ตัวเองได้ร่วมกันก่อ ชนิดที่ว่าไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า

“ข้างหน้าไฟมันคงใกล้จะหมดเชื้อ”

“แถวนั้นน่าจะมีแต่หินลูกรัง”พรานเบร้องบอกมาจากหัวขบวน”

“รอดตายแล้วโว้ย”

“ข้าคิดว่า จะต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่เสียแล้ว”พรานแปะร้องบอกคณะ

“นี่ล่ะบทเรียนราคาแพง”

“ทีหน้าทีหลังก็ต้องดูอะไรให้ดีเสียก่อน”สิงห์ร้องบอก ซึ่งคนที่ต้องทำหน้าเศร้าไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากเจ้าพุ่ม ที่เดินคอตกอยู่เช่นนั้น

“พวกเรารอดกันมาได้ก็ถือว่าบุญแล้ว”

“แต่ป่าไม้ที่มันต้องมาวอดวายเพราะพวกเรานี่สิ?”ชายหนุ่มพูดจบก็ถอนหายใจอย่างอ่อนใจ จากนั้นก็พูดขึ้นมาอีกว่า

“กว่ามันจะโตได้แต่ละคืบแต่ละศอกต้องใช้เวลากี่เดือนกี่ปี”

“แต่นี่ แค่ไฟมาไม่ทันข้ามวันก็หมด”สิงห์พูดพลาง ยกแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นมาปาดเช็ดเหงื่อ ที่ผุดขึ้นเต็มใบหน้าจนดูชุ่มโชก

“เอ็งไม่เคยเห็นที่เขาเขียนตามป้ายข้างทางรึ”

“ที่เขาว่า ไฟมาป่าหมด”พรานพรร้องเสริม

“เอ็งอย่าไปคิดมาก พุ่ม”

“ไม่มีใครเขาคิดโทษว่าเอ็ง ผิดคนเดียวหรอก”ชายหนุ่มร้องบอกอย่างปลอบใจ เมื่อเห็นกะเหรี่ยงหนุ่มมีสีหน้าหมองเศร้าเห็นได้ชัดเจน ไม่เพียงแต่สิงห์เท่านั้นที่เห็น
คนอื่นๆในคณะก็มองเห็นสีหน้าของเจ้าพุ่มเช่นกัน

“ถ้าจะผิด ก็ผิดกันทุกคน”

“ต่อไปนี้ คงต้องระวังมากกว่าเดิม เรื่องฟืนไฟ”พรานพรร้องบอก พลางตบไหล่เจ้าพุ่มเป็นการปลอบขวัญ

“ไม่ผิดโว้ย”

“อย่างน้อยๆ ไอ้สองตัวนี้ก็ไม่ผิด”พรานโส่ยร้องบอก พลางอ้าปากหัวเราะแบบไม่มีเสียง ทำเอาทุกคนมึนไปตามๆกัน

“ใครมันไม่ผิดวะตาโส่ย”

“เห็นๆกันอยู่ ว่าร่วมหัวจมท้ายมาด้วยกัน”พรานแปะแหวใส่พรานเฒ่า

“ก็ไอ้ห่ าสองตัวนั้นไง”

“สบายกว่าเพื่อน ถ้ามันหลับได้คงหลับไปแล้ว เดินก็ไม่ต้องเดิน แถมมีคนอุ้มให้อีกต่างหาก”พรานเฒ่าร้องบอก พลางแยกเขี้ยวแยกฟันอย่างหมั่นไส้ เจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบอง ที่สองกะเหรี่ยงช่วยกันอุ้มมาจนหลังแอ่น

“ฮีโธ่...ขนาดหมาแกยังอิจฉา”

“ให้ไอ้พุ่มกับไอ้เคิ้งมันอุ้มล่ะดีอยู่แล้ว”พรานแปะร้องบอก

“เอานา ลุง สงสารมันพวกเรามีรองเท้าใส่ยังจะแย่”

“รองเท้าหนังแท้ๆแบบมันคงไม่ไหว”เจ้าเหน๋อเงียบเป็นคนอมเมี้ยงอยู่นาน เสวนาออกมาบ้าง ทำให้มีเสียงหัวเราะกึกกักเล็ดลอดออกมาบ้าง ถึงแม้จะไม่คึกครื้นเท่าใดนัก แต่ก็ถือว่าดีแล้ว สำหรับสถานการณ์เช่นนี้

“โชคดีหน่อยที่ข้างหน้าเรามันมีแต่หินลูกรัง”

“ต้นไม้ต้นไร่เลยไม่ค่อยขึ้น ไฟมันคงไหม้กินจนสุดบนเนินที่เห็นนั้นแหละ”พรานเบร้องบอกคณะ พลางชี้มือไปทางเนินเบื้องหน้า

“คงจะจริงของเอ็ง ข้าเห็นแต่ควันกรุ่นๆ”

“ป่าดำ ก็ป่าดำเถอะวะ เจอพระเพลิงแบบนี้ได้ดำสมชื่อแน่”พรานชราพูดไม่ทันจะจบก็แหกปากร้อง ว๊าก ออกมาดังลั่น พร้อมกับอาการกระโดดขาเดียวเหย๋งๆ เพราะดันไปเหยียบเอาถ่านใต้กองขี้เถ้าเข้าเต็มรัก

“ฉิ บหายเอ๊ย!”

“สุกกันพอดีตี นกู!”พรานชรา สบถออกมาดังลั่น แต่แทนที่คนในคณะจะแตกตื่นตกใจ ตรงกันข้ามกับมองเป็นเรื่องขบขันเสียมากกว่า โดยเฉพาะพรานพร

“สมน้ำหน้า ปากดีนักแก”

“เจ้าป่าเล่นงานเข้าให้”พรานพรคู่ปรับขาประจำร้องหยัน

          ท่ามกลางควันไฟ ที่ทอดตัวปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณดูคละคลุ้ง ไม้เล็กไม้น้อยถูกเผาจนเหลือแต่เถ้าขาวโพลน มีให้เห็นอยู่เกลื่อนกราด ราวกับมีใครมากองหรือโรยผงเถ้านั้นให้เป็นรูปหงิกงอของต้นไม้บนพื้นดิน แต่แท้ที่จริงแล้ว มันก็คือเศษซากที่บ่งบอกว่า ครั้งหนึ่งบริเวณนี้ เคยมีต้นไม้ล้มพาดอยู่

“ไม่รู้ว่าไฟมันจะลามไปถึงไหน”

“ป่าไม้วอดวายหมด”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาเบาๆ หลังจากหันกับไปดูภาพความหายนะเบื้องหลัง

“อย่างเก่งก็ลามลงไปแค่หุบที่เราผ่านมา”

“แถวกะโน้นมีแต่ไม้ใหญ่ ไม่เหมือนแถวนี้ มีแต่หญ้าคากอแฝก”พรานโส่ยตอบ

“ดีไม่ดีลามไปไม่ถึงหุบด้วยซ้ำ”

“ตรงที่พวกเราผ่านมา มีแต่ด่านช้างเดินให้เกลื่อน คงข้ามไปไม่ถึง แต่ถ้าเจอไม้แห้งล้มไปอีกฝั่งก็ว่ากันอีกเรื่อง”พรานแปะที่เดินเคียงคู่มากับพรานชราร้องเสริมมาอีกแรง

“อย่าว่าแต่ด่านช้างเลยพี่”

“แล้งครั้งก่อน ขนาดมีห้วยขวาง ไฟมันยังข้ามไปไหม้อีกฟากได้เลย”เจ้าเคิ้งร้องบอก

“ขนาดนั้นเลยหรือวะ”

“มีน้ำไหลผ่านแบบนั้นไม่น่าเป็นไปได้”สิงห์บอกมาด้วยความสงสัย

“ก็อีหลอบเดียวกะที่ไอ้แปะมันบอกข้านั้นล่ะ”

“แค่มีไม้ล้มขวางพาด ไฟมันก็ลามไปตามไม้”ชายชราตอบ

“เออ จริงของลุง”

“แล้วเอ็งทำยังไงกับมัน”ชายหนุ่มหันไปร้องถามเจ้าเคิ้ง เกี่ยวกับไฟที่เจ้าตัวเล่ามาให้ฟัง

“ก็ดับไงพี่แต่ผมดับได้เท่าที่เห็น แค่นั้นแหละ”

“ป่าไม้ออกกว้างใหญ่ ไม่รู้จะมีไม้ล้มแบบที่ผมเห็นอีกกี่ที่”เจ้าเคิ้งร้องบอก ซึ่งความจริงแล้วเหตุการณ์แบบนี้มีให้พบเห็นได้บ่อยครั้ง ชาวบ้าน บ้านป่า ถ้าพบเห็นก็จะช่วยกันดับ แต่ก็อย่างว่า ใครจะมาเดินไล่ดับให้หมดทุกจุด ทุกที่ เพราะป่าไม้บริเวณนี้กว้างขวางเกินแรงและกำลังของชาวบ้านได้ แต่อย่างน้อยๆ ก็ดีกว่ายืนดูอยู่เฉยๆ และไฟป่า ที่อันที่จริงแล้วส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ ซึ่งล้วนแล้วแต่เกิดจากชาวบ้านบางกลุ่ม ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์หรืออาจจะมีความเห็นแก่ได้ส่วนตัว มากกว่าส่วนรวม แอบจุดไฟเผาป่าบ้าง ทั้งการทำไร่ถางพง เพื่อขยายขอบเขตการทำเกษตรของตนให้มากขึ้นไปอีกเพื่อหวังรายได้ที่เพิ่มขึ้น หรือการจุดไฟเผาป่าเพื่อ เก็บหาของป่า เช่น ผักหวาน ยิ่งต้นของมันถูกเผา มันจะยิ่งแตกใบอ่อนให้เก็บกินหรือนำออกไปขาย และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้คือ การเผาป่าเพื่อการล่าสัตว์ เพราะใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นกลาดเกลื่อนอยู่เต็มพื้น นั้นเป็นอุปสรรคสำคัญในการออกล่าสัตว์ เพราะเสียง กรอบแกรบ ของมันนั้นเอง อาจทำให้สัตว์ที่จะล่ารู้ตัวเสียก่อน วิธีแก้ที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดของชาวบ้านก็คือ เผาป่า เมื่อไม่มีใบไม้แห้งมาเป็นอุปสรรค การล่าก็ง่ายขึ้น ก็เพราะความเห็นแก่ตัวของคนไม่กี่คนนี้เอ็งทำให้ป่าไม้ในปัจจุบันมีอันเป็นไปได้ถึงขนาดนี้.....

*****เนื้อเรื่องกำลังดำเนินไปอย่างสนุก เหตุการณ์ต่อจากนี้จะดำเนินไปเช่นไร โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในบทต่อไป*****

.....

มาต่อจากครั้งที่แล้วนะครับ ว่าด้วยวิชา การตอดทอย
ในภาพพรานเบ กับ พรานแปะ กำลังช่วยกันทำลูกทอย ลูกทอยที่ผมว่านั้นทำจากไม้ไผ่ครับ ไม่อ่อน แต่จะหนักไปทางแก่ แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นไม้ไผ่แห้ง


ลีลา การเหลาลูกทอย ของพรานเบ
มีดที่ใช้ต้องคมครับถึงจะไม่กินแรง


เจ้าเคิ้งทำการนั่งย่างลูกทอย ที่เหลาเสร็จ
ผมเคยถามนะครับว่าทำไมต้องย่าง คำตอบคือ ทำให้มันแข็ง?
ผมก็ถามอีกว่า ทำไมไม่ใช้ไม้แห้งไปเลยล่ะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาย่าง คำตอบคือ ไม้แห้งมันเหลายากกว่าไม้สด! (สรุปผมโง่เอง ฮาๆ)
สังเกตข้างๆมั๊ยครับ ที่เป็นเถาๆ เถาที่เห็น คือ เถาวัลย์ผึ้งครับ ใช้สำหรับรมควันตอนตีผึ้ง


บทสองบท ที่ผ่านมา ผมแต่งออกจะทำให้รู้สึกร้อนแล้งยังไงไม่รู้ น้าๆเอารูปนี้ไปดูเย็นๆดับร้อนก่อนนะครับ



Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #6 on: 22 April 2021, 23:18:18 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 7


บทที่ 9

ตอนที่ 7

          บนเส้นทางสีดำ ที่เต็มไปด้วยฝุ่นผงและเถ้าถ่าน หลังจากเปลวไฟได้เผาผลาญไปก่อนหน้า ภายใต้ม่านหมอกควันไฟที่ยังปกคลุมกระจายฟุ้ง จนแทบจะมองไม่เห็นอะไรเลย มีเพียงแสงสีเหลืองหมากสุกเท่านั้น ที่จับอยู่ตรงเส้นขอบฟ้าอยู่ไกลๆ ที่พอจะจับจุดได้ว่า ทางนั้นคือทิศตะวันตก และมันก็อยู่ทิศตรงกันข้าม ที่คณะทั้งหมดกำลังจะมุ่งหน้าเดินทางไปยังจุดหมาย  แดดที่ร้อนจ้าเมื่อไม่นานมานี้ เริ่มทุเลาลงทุกขณะ รวมทั้งไอความร้อนจากเปลวไฟ ที่เคยล้อมหน้าล้อมหลัง ก็ดูเหมือนว่าจะเบาบางลง จนทุกอย่างเกือบจะเข้าสู้ภาวะปกติ มีเพียงแต่แสงจากเปลวไฟทางด้านหลังเท่านั้น ที่พอจะมองเห็นอยู่ไกลๆ และหมอกควันไฟที่ยังลอยตัวต่ำๆ ปกคลุมพื้นที่ไปทั่วทั้งบริเวณ

          ภายใต้ม่านหมอกควัน ที่ลอยตัวอยู่นิ่ง  เงาลางๆของบุคคลทั้งแปดก็ปรากฏให้เห็นชัดขึ้นเป็นลำดับ พร้อมๆกับ เงาตะคุ่มๆของสุนัขท่าทางดูปราดเปรียวทั้งสองตัว ที่คอยวิ่งแซงหน้าแซงหลังอยู่ห่างๆ บรรยากาศเริ่มขมุกขมัวเพราะดวงอาทิตย์เริ่มอัศดงลับเหลี่ยมเขา จนเวลาร่วงเลยไปหลายชั่วโมง ทั้งหมดจึงเดินทางมาถึงชายป่า แต่กว่าจะมาถึงได้สารรูปของแต่ละคนจึงดูไม่จืด เพราะล้วนแล้วแต่ขะมุกขะมอมไม่แพ้กัน ตั้งแต่หัวจรดเท้า แทบไม่มีตารางนิ้วไหนไม่เปรอะเปื้อน ทั้งขี้เถ้าขาวโพลน อย่างกับถูกใครเอาแป้งมาโรยบนตัว ทั้งรอยขูดขีดจากถ่านไม้สีดำตามเสื้อผ้าหน้าผมดูไม่ต่างกัน ไม่รวมถึงตามเนื้อตัวนอกร่มผ้า ที่มีแต่รอยถลอกและรอยขีดข่วนจากหนามและใบหญ้าคา จนได้เลือดซิบไปตามๆกัน

“กว่าจะมาถึง เล่นเอาเหนื่อย”

“จะพักกันตรงนี้เลยหรือเปล่าวะไอ้เบ”พรานชราร้องบอก พลางปลดกระสอบสำภาระทิ้งลงพื้นดังโครม

“แกก็ว่าไปตาโส่ย”

“หาที่มันมีน้ำมีท่าหน่อย แถวนี้มีแต่ลูกรัง ลำพังน้ำที่เราเอามาจะไปพอกินพอใช้อะไร”พรานเบร้องตอบ

“แถวนี้มันมีด้วยหรือวะน้ำ?”

“เป็นที่ดอนออกแบบนี้ คงหายาก”พรานชราร้องถาม พลางกวาดสายตามองรอบๆทิศทาง และมันก็เป็นความจริงอย่างที่พรานโส่ยบอกมาทั้งหมด เพราะบริเวณที่คณะมาหยุดยืนกันอยู่นี้ พื้นที่รอบๆล้วนแต่เป็นที่ดอน หรือลักษณะเป็นเนิน โอกาสที่จะพบแหล่งน้ำอย่างที่พรานเบบอกมาจึงยากนัก ที่จะเป็นไปได้

“เชื่อที่น้าเบแกว่าดีกว่าลุง”

“อย่างน้อยๆ น้าเบแกก็รู้เรื่องป่าแถบนี้ดีกว่าพวกเราทุกคน จริงหรือเปล่าน้าเบ”ประโยคหลัง สิงห์หันกลับไปร้องถามพรานเบ

“เดินเข้าไปอีกหน่อย ก็จะเป็นที่ลุ่มแล้ว”

“แถวนั้นมีลำห้วยเล็กๆอยู่สายหนึ่ง ข้าคิดว่าน่าจะพอมีน้ำอยู่”พรานเบตอบเสียงราบเรียบ พลางหันกลับไปมองทิศทางด้านหลังที่ได้เดินผ่านมา ทำให้คนอื่นๆหันกลับไปมองบ้าง

“บนนี้มันแล้งเหลือเกิน ไม่รู้ไฟมันจะลามไปยันไหน”

“ลำพังไหม้บนเนินนี้ก็ยังว่า ลงห้วยเมื่อไหร่ฉิ บหายกว่านี้แน่”พรานเบตอบ พูดจบก็งัดบุหรี่ยาเส้นออกมามวน

“ขออย่าให้เป็นอย่างที่น้าพูดเลย”

“แค่นี้ก็จะแย่อยู่แล้ว”สิงห์พูดจบก็เปิดกระติกน้ำยกขึ้นดื่มอึกใหญ่

“มีแต่ป่าไผ่ ข้ากลัวจะไม่หยุดแค่ตีนเนินนั้น”

“ถ้าเป็นป่าไม้ธรรมดาก็ค่อยว่างใจได้หน่อย”พรานพรร้องบอกมาอย่างหวั่นใจ

“อย่างเก่งก็ไปไม่ถึงแก่งผักกูดล่ะวะ”

“ป่าแถวนั้นมันชื้นมาก แถมแถวนั้นไม่เคยมีไฟป่าอีกต่างหาก”พรานแปะร้องบอก เหมือนจะให้กำลังใจตัวเอง ซึ่งที่จริงแล้วไม่มีใครสามารถคาดเดาเหตุการณ์ต่อจากนี้ได้เลย ไฟป่าหรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ไฟป่าที่เกิดจากความสะเพร่าของพวกเขานั้นเอง

          หลังจากหยุดพักและปรึกษาหาลือกันในกลุ่ม ทั้งหมดก็ลงความเห็นว่าควรจะปฏิบัติตามที่พรานเบแนะนำ คือให้เดินทางต่อไปอีกหน่อยเพื่อหาแหล่งน้ำกินน้ำใช้ ซึ่งตัวพรานเบเอง ก็มีความมั่นอกมั่นใจตัวเองมาก ว่าถ้าข้ามเนินนี้ไปอีกไม่ไกลนัก ก็จะเจอที่ลาดต่ำ และตำแหน่งนั้นเอง จะพบแหล่งน้ำ  ซึ่งมันก็น่าจะเป็นไปได้อยู่ไม่น้อย เพราะทั้งแปดคนที่อยู่ในกลุ่ม ไม่มีใครคนไหนที่เคยผ่านป่า หรือรู้เส้นทางแถวนี้ได้ดีไปกว่าพรานเบ หรืออย่างน้อยๆสถานที่พักแรมในคืนนี้ ก็ควรจะสะดวกกว่าที่เป็นอยู่ถึงจะเหมาะ ครั้นจะก่อร่างสร้างแค้มป์บริเวณนี้เลย ก็เห็นจะไม่เหมาะนัก เพราะนอกจากป่าที่ดูโปร่งโล่ง จนดูไม่เหมือนป่า แถมพื้นก็ยังเต็มไปด้วยหินลูกรัง และที่สำคัญที่สุดคือ แหล่งน้ำที่จะต้องกินต้องใช้ ซึ่งล้วนแล้วเป็นอุปสรรคสำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิตกลางป่า ยังไม่รวมหมอกควันไฟที่ยักปกคลุมพื้นที่จนทั่ว ขืนยังมีความคิดที่จะสร้างปางพักอยู่ใกล้ๆ ก็ไม่แคล้วนอนรมควันไฟ

          บนเส้นทางสายเปลี่ยว ทุระกันดาร ที่แห้งแล้งเกินกว่าไม้เล็กจะเจริญเติบโตต่อไปได้ ที่พบเห็นอยู่มากหน่อย ก็มีแต่ไม้ที่มีลักษณะ แคระแกร็นหงิกงอไม่ได้รูป หรือไม่ ก็ยืนต้นตายพราย ก็มีให้เห็นไม่น้อยเช่นกัน ราวกับป่าที่ไร้สิ่งมีชีวิต ที่จะสามารถพึ่งพาอาศัยป่าแห่งนี้ได้เลย ที่พบเห็นก็คงมีแต่รองรอยของสัตว์ป่าบางชนิดเท่านั้นที่ย่ำผ่าน แต่มันก็คงผ่านบริเวณนี้ไปนานมาแล้วเมื่อช่วงฝนที่ผ่านมา เพราะยังพอมีรอยของมันจมอยู่ในพื้นโครน ซึ่งตอนนี้แห้งแข็งราวกับหิน

          เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนบริเวณป่าเริ่มโผล่เผล้ขมุกขมัวมากขึ้นทุกขณะ แต่จุดหมายปลายทางของคณะ จนแล้วจนรอดก็ไม่พบเสียที สิ่งที่พบเห็นอยู่เหมือนๆกันคือ ความแห้งเปล่าเปลี่ยว และความกันดารของพื้นที่เท่านั้น เนินแล้วเนินเล่าที่พรานนำทางพาข้ามผ่าน จนคณะผู้ติดตามต่างมีความรู้สึกไม่ค่อยจะสบายใจนัก เพราะยิ่งเดินก็เหมือนจะยิ่งไร้ซึ่งจุดหมายปลายทางมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดพื้นที่ ที่เคยเป็นเนิน ก็กลับเปลี่ยนมาเป็นที่ลาดต่ำลงทุกขณะ ป่าไม้ที่ดูแห้งแล้ง พอพ้นเนินนั้นไปก็เริ่มอุดมสมบูรณ์มากขึ้นทีละน้อย ผิดกว่าที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งพื้นดินก็เริ่มเป็นดินร่วนซุย ต้นไม้ต้นไร่ก็เริ่มรกเครือมากขึ้น อย่างกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

“ลงหุบนี้มาค่อยยังชั่วหน่อย”

“ถ้าเป็นแบบนี้ตลอดทาง ข้าว่าคงจะเจอน้ำอย่างที่ไอ้เบมันว่า”พรานชราร้องบอกคณะ

“ก็ข้าบอกแล้วไง”

“ยังไงๆซะ ข้างล่างนี่มันต้องดีกว่าข้างบน”พรานเบร้องตอบ พูดจบก็ยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อ

“น้าเบว่า พวกเราจะเจอห้วยก่อนค่ำหรือเปล่า?”

“นี่มันก็ปาไปจะหกโมงเย็นแล้วนา”สิงห์ร้องถามพรานนำทางอย่างไม่ค่อยจะสู้ดีนัก เพราะเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาที่ 17.48 น. แต่คณะทั้งหมดก็ยังไปไม่ถึงจุดหมายที่จะพัก

“ข้าว่าน่าจะเจอนะไอ้สิงห์”

“อย่างพี่เบ ไม่น่าทำให้พวกเราผิดหวัง”พรานแปะร้องเสริม

“ถ้าได้เดินลงหุบแบบนี้ ข้าว่าลำห้วยมันต้องมีแน่ๆ”

“ไอ้เบมันก็เคยมาแถวนี้อยู่แล้ว ยังไงซะ ก็ต้องพึ่งมัน”พรานพรร้องเสริมมาอีกแรง

“เอานาไอ้สิงห์”

“ข้ารับประกัน ว่าถ้าลงหุบนี้ไปได้ เราจะเจอน้ำ”พรานผู้นำทางรับประกัน

“ไม่ขนาดนั้นหรอกน้าเบ”

“ที่ผมเป็นห่วง ก็กลัวว่าเราจะไปถึง ไม่ทันมืดเสียก่อน ป่าแถวนี้มันก็เริ่มรกขึ้นทุกที”สิงห์ตอบ มองป่ารอบๆกาย

“ไอ้สิงห์ว่ามา มันก็น่าห่วงเหมือนกัน”

“ข้าว่าพวกเรารีบไปกันต่อดีกว่า เสียเวลาเปล่าๆ”พรานพรร้องตัดบท ก่อนที่คณะทั้งหมดจะเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง และดูเหมือนว่าสิ่งที่พรานเบพูดมานั้น ทำท่าว่าจะเป็นจริง เพราะหลังจากเดินต่ำลงมา สภาพป่าก็เริ่มรกทึบขึ้นเป็นลำดับ รวมถึงบริเวณพื้นดินก็เริ่มมีความชื้นมากขึ้นทุกขณะ จนในบางครั้งก็ลื่นไถลเอาเสียง่ายๆ เพราะความชื้นของหน้าดิน

          จากที่ลาดต่ำ มาบัดนี้กลับกลายมาเป็น ที่ลาดชันมากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องคอยโน้มน้าวต้นไม้ประคองตัว แต่ก็ไม่แคล้ว ต้องหกคะมำคว่ำหงายกันเป็นทิวแถว เพราะความลื่นและชันของเส้นทาง แต่ที่จริงแล้ว ทั้งคณะหารู้ไม่ว่า ทั้งหมดกำลังเดินลงสู้ก้นหุบอย่างไม่รู้ตัว คงมีแต่พรานนำทางเท่านั้น ที่พอจะคาดเดาภูมิประเทศออก นอนกันก็ก้มหน้าก้มตาเดินไปเรื่อย จนในที่สุด ทุกคนก็เหมือนจะได้ยินเสียงแห่งสวรรค์ เสียงที่ว่าก็คือ เสียง ไหลริกๆ ของสายน้ำนั้นเอง

          ลำห้วยสายนั้น ทอดตัวกันขวางระหว่างเนินเขาทั้งสองลูก สายน้ำใสไหลระริก ซอกแซกไปตามหมู่หินที่ขึ้นอยู่กลางลำห้วยตื้นๆ ไม่เห็นหมู่ปลา ที่เคยเห็นเวียนว่าย ทั้งปลาเวียน ปลาก้าง เพราะน้ำในลำห้วยที่เห็น ตื้นเขินเสียจนพวกมันไม่สามารถอยู่อาศัยได้ เพราะส่วนที่ลึก ที่สุดเท่าที่เห็นคงสูงไม่เกินข้อนิ้วมือ แถมยังกว้างไม่เกินคืบ แต่ก็จะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บ้าง ตามเนินทรายก็พอจะมีรูปูห้วย และตามกองใบไม้ใต้น้ำ เมื่อเปิดดูใต้ใบ ก็มีกุ้งห้วย และ ลูกอ๊อด ตัวใหญ่ๆอาศัยอยู่เป็นกลุ่มๆ ลูกอ๊อดแต่ละตัว ใหญ่โตขนาดเกือบเท่าหัวแม่มือทั้งนั้น นอกจากสัตว์น้ำแล้ว พืชผักที่พอจะเก็บกินได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย แต่ก็ไม่ได้หาเอาได้ง่ายๆ เพราะความทึบของป่าที่อยู่สูงขึ้นไป ทำให้บริเวณที่ต่ำกว่าดูทึบจนแทบไม่มีแสงส่องมาถึง จึงทำให้พืชขนาดเล็ก ที่อยู่เบื้องล่าง เจริญเติบโตได้ยาก และส่วนมากจะแคระแกร็นเสียหมด บางต้นก็ยืนต้นแห้งตายไล่ไปตั้งแต่บอนป่า และผักกูด ก็ดูเหี่ยวเฉาเสียจนใบเกือบจะโกร๋นหมดต้น แต่ก็ยังพอมียอดให้เลือกเก็บกินได้ โดยเฉพาะกล้วยป่า แต่ละต้นดูผอมชะลูดไม่สมส่วน บ้างต้นก็สูงเสียจนไม่เคยพบเคยเห็นที่ไหนมาก่อน บางต้นก็พับหักกลางลำต้น เพราะลำต้นที่เล็กของมัน ไม่สามารถรองรับน้ำหนักตัวมันเองได้

          พรานเบพาคณะทั้งหมดเดินลัดเลาะไปตามลำห้วยสายนั้น โดยเลือกเส้นทางที่มุ่งหน้าไปในทิศทางส่วนกระแสน้ำ เพื่อเลือกหาทำเล เหมาะๆที่จะสร้างปางพักและแหล่งน้ำที่ลึกมากกว่านี้ ให้แก่คณะเดินทาง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่พบทำเลทองอย่างที่ตั้งใจไว้  เพราะป่าที่รกเครือไปด้วยไม้ใหญ่ และเถาวัลย์ที่ขึ้นถักทอเสียจนแน่น ไม่เหมาะสมที่จะสร้างที่พัก ลำพังมาตัวคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่นี่มีสมาชิกอีกเจ็ดคน พื้นที่แคบๆแค่นี้คงไม่พอ จากระยะทางไม่กี่เมตรอย่างที่หวังไว้ว่าจะเจอสถานที่เหมาะ เริ่มเปลี่ยนมาเป็นร้อยเมตร และไม่นานก็เป็นกิโลเมตรอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“ข้าว่าพักแถวนี้เถอะวะไอ้เบ”

“จะค่ำแล้วนา”พรานชราร้องบอกมาจากท้ายขบวน

“ทนเดินกันอีกหน่อย ข้าว่าข้างหน้านี่ล่ะ”

“แถวนี้มันทั้งแคบทั้งรก”พรานนำทางร้องบอกมาจากหัวขบวน

“ตะกี้เอ็งก็บอกข้าแบบนี้ไม่ใช่รึ”

“เดินกันมาจะเป็นกิโลอยู่แล้ว”พรานชราร้องบ่น

“ลองเชื่อน้าเบแกหน่อยเถอะลุง”

“ผมว่า คงอีกไม่ไกล แถวนี้มันรกเกินไป อย่างที่แกว่ามานั้นแหละ”สิงห์ที่เดินเคียงคู่มากับพรานชรา ร้องบอกมาเบาๆ

“เอ็งจะพาไปยันไหนวะ”

“เย็นมากแล้วนา ค่ำแล้วมันจะลำบาก”พรานพร ซึ่งรู้สึกไม่ต่างไปจากพรานเฒ่าร้องเสริม

“ข้าจำได้คลับคล้ายคลับคา ยังไงชอบกล”

“เหมือนข้าเคยผ่านมาแถวนี้มาก่อน”พรานนำทางหยุดตอบ พลางมองสิ่งรอบกายไปทั่ว อย่างไม่แน่ใจนัก

“ถ้าข้าจำไม่ผิด เดินไปอีกหน่อยจะเจอก้อนหินใหญ่กลางห้วย”พรานเบร้องบอกคณะ พลางชี้มือบอกไปในทิศทางเบื้องหน้า แต่ยังไม่ทันที่พรานเบจะกล่าวอะไรออกมาต่อ ก็มีใครบ้างคนพูดแทรกออกมาว่า

“โถ่ไอ้หอ ก!”

“ก้อนหินมันก็มีเหมือนๆกันทั้งนั้นล่ะ ใครจะไปรู้กับเอ็งวะ”พรานโส่ยสบถเสียงฉุนๆ

“แหม...มันน่าเอาพานท้ายกระทุ้งเสียจริงๆ!”

“ข้ายังไม่ทันจะพูดจบ ก็เสื อกแทรกเสียนี่”พรานเบร้องบอก พลางทำตาเขียวใส่พรานเฒ่า

“เออๆ ว่ามา ไอ้ห่ าอย่าลีลามาก เห็นมั๊ย!จะค่ำอยู่แล้วนี่”พรานโส่ยพูดพลางทำตาค้อนกลับ

“ว่ามาเลยน้าเบ ว่าลักษณะมันเป็นยังไง?”

“จะได้ช่วยๆกันดู เวลามีไม่มาก”ชายหนุ่มคะยั้นคะยอ

“ไอ้หินที่ข้าว่า หน้าตามันดูพิลึกอย่างไงชอบกล”

“หน้าตามันเหมือนหัวกะโหลกผีวะ”

“ห๊า!”

“กะโหลกผี”ทั้งหมดอุทานเกือบจะพร้อมๆกัน

“เอ็งก็ว่าไป หินที่ไหนมันจะเป็นรูปหัวกะโหลก”

“มันอาจจะเป็นหัวช้าง หัวม้า มากกว่าล่ะมั่ง!”พรานพรร้องบอก เหมือนกับไม่เชื่อ

“ข้าดูดีแล้วไอ้พร ให้มองมุมไหน มันก็เหมือนหัวกะโหลกอยู่ดี”

“ถ้าเรามาถูกทาง อีกไม่นานเอ็งก็จะเห็นจริงอย่างที่ข้าว่า”พรานเบพูดจบก็เดินนำทางไปต่อ โดยปล่อยให้ทั้งหมดยืนงงอยู่แบบนั้น

“ข้าว่า ไอ้เบมันน่าจะเพี้ยน”

“เอ็งคิดแบบข้าหรือเปล่าไอ้พร”พรานชราร้องถามพรานพร

“มันก็ไม่แน่นะตาโส่ย คนอย่างไอ้เบมันไม่เคยโกหกใคร”

“อย่างลำห้วยนี่ ทีแรกแกก็ไม่เชื่อไม่ใช่รึ”พรานพรหันไปถามพรานเฒ่าเงียบๆ พูดจบก็ก้มหน้าก้มตาเดินต่อ

“เอ็งคิดยังไงกับที่ไอ้เบมันพูดมาตะกี้”พรานเฒ่ากระซิบถามสิงห์ ที่เดินเฉียดเขาไปใกล้ แต่ไม่ทันที่พรานเฒ่าและชายหนุ่มจะเสวนาอะไรกันต่อ เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้นเบื้องหน้า

“เฮ้ย!”

“ท..ทะ..ทุกคนมาดูอะไรทางนี่เร็ว!”พรานแปะ ที่เดินตามหลังพรานเบร้องละล่ำละลัก

“ไหนพี่ ทางไหน?”ชายหนุ่มร้องถามทาง ขณะมุดลอดไปตามซุ้มเถาวัลย์ โดยมีบุคคลที่เหลือติดตามมาด้วยเป็นขบวน เถาวัลย์หนาทึบ ขึ้นเกาะเกี่ยวกันเป็นม่านหนา แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค์แก่บุคคลที่พาการมุดลอดผ่าน เพราะไม่ใช่หนามหวาย ที่ต้องคอยตัดลิดเถาหนามที่ขึ้นขวางทาง ไม่กี่อึดใจ ทั้งหมดก็ทะลุผ่านไปได้ แต่ภาพที่เห็นเบื้องหน้า ทำให้ทุกคนถึงกับผงะ

“ฮืม..!”ทั้งหมดครางออกมาแทบจะพร้อมๆกัน

“ป..ปะ..เป็นไปได้ยังไง?”พรานชราละล่ำละลัก ก่อนที่จะทรุดตัวลงนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้น อย่างคนหมดเรี่ยวหมด
แรง

          ณ ตำแหน่งกลางลำห้วยที่เห็นสายน้ำใสไหลระริก ก้อนหินขนาดใหญ่โผล่พ้นขึ้นมากลางสายน้ำและเนินทราย ดูผิวเผินไปแล้ว มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับ ก้อนหินที่เคยพบเห็นมาก่อน แต่สิ่งที่เห็นและทำให้ชวนขนลุกก็คือ ลักษณะและรูปร่างของมันนั้นเอง ไม่มีใครในที่นี่ สามารถบอกหรืออธิบายให้เข้าใจได้ว่า สิ่งที่เห็นเกิดขึ้นและเป็นไปได้เช่นไร กะโหลกผี ที่พรานนำทางบอกมานั้นมันมีอยู่จริง และชัดเจนที่สุด กะโหลกผี หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ก้อนหินใหญ่ที่โผล่ขึ้นมากลางสายน้ำมีลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลม คล้ายๆแตงโมที่ถูกผ่าครึ่งลูก ทำให้พอจะเดาออกว่า อีกครึ่งน่าจะถูกฝังไว้ใต้ผืนทราย สีที่ออกขาวอมเหลืองอ่อนๆ ดูไปแล้วเหมือนสีของกระดูกไม่มีผิด ที่ทำให้ชวนสยองมากที่สุดก็คือ หน้าตาของมันที่ประดับอยู่บนเนินหินนั้น โพรงที่เหมือนเบ้าตาทั้งสองข้างดูกรวงโบ๋ แทงลึกเข้าไปในก้อนหินนั้น รวมไปถึงชะง่อนหินที่ยืนออกมาปิดส่วนที่เป็นโพรงลึกรูปสามเหลี่ยม พอจะให้มองออกว่า ส่วนนี้คือจมูก ที่ร้ายไปกว่านั้น บริเวณที่ต่ำที่สุด ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันคือปาก เพราะมันมีลักษณะเว้าเข้าไปในก้อนหินนั้นเสียเกือบครึ่ง แถมที่ส่วนปลายยังมีหินงอก ย้อยต่ำลงมาเกือบถึงผืนน้ำ ราวกับปากของอสูรร้าย ที่กำลังแสยะยิ้มให้กับมนุษย์ผู้มาเยือนอย่างมีเลศนัย

“เหมือน...เหมือนจริงๆ”

“เหมือนกะโหลกผี อย่างที่น้าเบว่ามานั้นล่ะ”ชายหนุ่มพูดออกมาเบาๆ พลางมองไปที่ก้อนหินประหลาด

“นะโม สังโฆ!”

“ยักษ์มานอนตายซายอยู่แถวนี้หรือเปล่า”พรานชราพูดจบก็ยกมือพนมขึ้นเหนือหัว

“เป็นไง พวกเอ็งเชื่อข้าหรือยังทีนี้”

“จะให้ข้ามองเป็นอย่างอื่นได้ยังไง ถ้าไม่ใช่ กะโหลกผี อย่างที่ข้าว่ามา”พรานเบพูดจบ ก็ยกบุหรี่ขึ้นสูบ

“ให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้วแบบนี้”

“อะไรมันจะเหมือนขนาดนั้น”พรานพรร้องบอก พูดจบก็ล้วงบุหรี่ออกมาม้วนสูบด้วยมืออันสั่นเทา

“ป่าแถวนี้มันไม่ใช่ธรรมดาอย่างที่คิดเสียแล้วข้าว่า”

“ดูๆไป มันก็ชอบกลอยู่นา”พรานแปะพูดเสียงกระซิบ

“ไม่หรอกมั๊ง”

“ก็อีแค่ หินก้อนหนึ่ง คงไม่มีอะไรหรอกนา”สิงห์กระซิบตอบ

“ถ้ามันเป็นหินธรรมดาๆ ก็ว่าไปอย่าง”

“เอ็งไม่เห็นรึไง อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น”พรานแปะกระซิบบอก พลางบุ้ยปากไปที่ก้อนหินประหลาด ที่ดันไปเหมือนหัวกะโหลก

“เอายังไงต่อน้าเบ”

“ถ้าเป็นแบบนี้ แสดงว่าน้าก็มาถูกทางแล้วซินะ”ชายหนุ่มพูดตัดบท

“เดินย้อนขึ้นไปอีกไม่ไกล ก็จะถึงที่พัก”

“แถวโน่น โล่งเตียนกว่านี้แยะ”พรานเบพูดจบ ก็ดีดก้นบุหรี่ยาเส้นลงพื้น ก่อนที่จะใช้ปลายเท้าขยี้ดับ

“ข้าว่า รีบไปจากที่นี่กันเถอะวะ”

“บรรยากาศไม่ค่อยดี”เจ้าเหน๋อผู้ตาขาวกว่าใครในกลุ่ม ร้องเร่งให้คณะเดินทางต่อ อันที่จริงก็น่าเห็นใจ เพราะเกิดเป็นคนธรรมดา ถ้ามาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้ว คงรู้สึกไม่แตกต่างไปจากคณะ ทั้งป่าทึบที่เริ่มมืดครึ้ม แถมยังมีกะโหลกผีมาแยกเขี้ยวแยกฟันหลอกเอาแบบนี้ เป็นใครก็หนาว

          พรานเบพาคณะเดินทางต่อ โดยไม่คิดจะสนใจหินหน้าตาประหลาดก้อนนั้น ผิดกับคนอื่นๆ ที่คอยจะหันหลังกลับไปดูเป็นพักๆอย่างอดไม่ได้ เหมือนหวาดระแวงอะไรบ้างอย่าง อย่างบอกไม่ถูก ขนาดสิงห์ที่ว่าเกิดและโตในเมืองไม่ค่อยจะเชื่ออะไรกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว  มาเจอแบบนี้เข้ากับตัวเอง ก็อดเสียไม่ได้ที่จะไม่หันกลับไปมอง และทุกครั้งที่เขามองหินประหลาดก้อนนั้น เขาก็มีความรู้สึกเหมือนกับว่า ดวงตากลวงโบ๋ของกะโหลกหินคู่นั้น ก็จ้องมองเขาอยู่เช่นกัน ราวกับปีศาจร้ายที่จ้องมองเหยื่ออย่างมีเลศนัย....

.....

ทริปเมื่อ 2 ปีก่อน ตอนพาเพื่อนๆไปเที่ยวครับ
ระหว่างทางก็หาเสบียงไปด้วย ในรูปกำลังหาปลาครับ


ช่วงที่ไปถ้าจำไม่ผิด น่าจะประมาณปลายๆเดือนตุลา  ป่าหมดฝนใหม่ๆ ดูเขียวไปหมด น้ำท่าก็มีให้ใช้


ตรงไหนพอมีที่กว้างพอ ก็กางเต้นท์นอนครับ แต่อย่างที่ผมเคยบอก นอนเปลดีที่สุด แต่ทริปที่ผ่านมา มีสาวๆไปด้วย เรื่องการนอนเปลจึงไม่ค่อยจะสบายนัก
ถึงจะเป็นช่วงหมดฝน แต่ฟืนก็ยังอมน้ำอยู่ การที่จะหาฟืนแห้งจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก วิธีที่ดีที่สุดก็คือ หาต้นไม้ที่ตายพราย หรือ ต้นไม้ที่ยืนต้นตายนั้นเองครับ เหตุผลง่ายๆก็คือ ต้นไม้ที่ยืนต้นตาย กับ ต้นไม้ที่ล้มตามพื้นดิน น้าๆว่าอันไหนจะอมน้ำมากกว่ากัน


การกินอยู่ก็ไม่ได้ ดี หรือ เลว จนเกินไปครับ ทริปผมยึดประหยัด และเน้นวิถีชาวบ้านให้มากที่สุด
ที่เห็นก็มี หมกปลา หมกเห็ดโคน ยำเห็ดโคน น้ำพริกเผา น้ำพริกนรก แกงตะพาบ(ลุงโส่ยแกงได้) ผักแนมสารพัด
สรุปกินดีกว่าอยู่บ้านอีกครับ



Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #7 on: 22 April 2021, 23:27:51 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 8


บทที่ 9

ตอนที่ 8

          บนเส้นทางที่คดเคี้ยว พรานนำทางพาคณะทั้งหมด เดินลัดเลาะไปตามริมห้วยสายนั้น ซึ่งตลอดเส้นทางถูกปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์นานาชนิด ตั้งแต่เส้นเล็กๆไม่เกินนิ้วก้อย ไปจนถึงเส้นขนาดใหญ่กว่าโคนขา เถาวัลย์บางต้นก็มีลวดลายแปลกตา บางต้นก็มีหนามแหลมแทงโผล่ออกมา ทำให้รู้สึกหวาดเสียวทุกครั้งเมื่อเดินเข้าไปใกล้ บางต้นก็มีตะปุ่มตะป่ำตามลำต้นเต็มไปหมดดูน่าเกลียด ครั้งหนึ่งขณะที่ทั้งหมดพากันก้มหน้าก้มตาเดินอยู่นั้น เจ้าเคิ้งที่เดินก้มๆเงยๆอยู่ ก็หยุดชะงัก พลางชี้ให้คณะดูวัตถุประหลาด หน้าตาของมันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเถาวัลย์ที่พบเห็นทั่วๆไป ที่ดูแปลกก็เพราะขนาดและลวดลายของมันนั่นเอง ถ้าดูผ่านๆตามันก็คือเถาวัลย์ขนาดใหญ่เถาหนึ่งที่ขึ้นไปม้วนพันเป็นขมวดอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของเถาวัลย์ทั่วไป แต่ลักษณะและลวดลายของเถาวัลย์เถานั้น มันดูแปลกตาอย่างไรชอบกล และเมื่อเพ่งมองดูดีๆแล้ว เถาวัลย์ยักษ์ที่เห็นอยู่นั้น กลับมีอาการขยับไหวช้าๆ ก่อนที่ส่วนปลายด้านใดด้านหนึ่งนั้นจะฟาดโครมลงมากลางขบวน

“เฮ้ย!”

“ไอ้พุ่มระวัง!”เจ้าเคิ้งที่ทันเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง เบิกตาโพลง พลางแหกปากร้องลั่น เมื่อเห็นท่อนเถาวัลย์ยักษ์ท่อนนั้นฝาดไปทางเจ้าพุ่มเพื่อนเกลอ เจ้าพุ่มเองก็ไวทายาด เพราะจ้องมองและคอยระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว จังหวะที่เถาวัลย์ท่อนเขื่องขยับและพุ่งลงมา เจ้าพุ่มก็พุ่งหลบฉากไปอีกทางอย่างเฉียดฉิว ก่อนที่ร่างที่ตกลงมานั้นทำท่าว่าจะตวัดกลับขึ้นไปบนคาคบไม้อีกครั้ง มีดพร้าเล่มใหญ่ของพรานพร ก็หวดฉับเข้าไปเต็มแรง ส่งผลให้ไอ้งวงปริศนานั้น มีอาการขาดออกจากกันในทันที

“ไอ้หลาม!”

“เกือบไปแล้วมั๊ยล่ะ”พรานพรพูดจบ ก็ก้มลงหยิบใบไม้แห้งบนพื้น ขึ้นมาปาดเช็ดคราบเลือดบนมีดของแก

“ใหญ่ไม่ใช่เล่น”

“นี่ ถ้าไม่ทันระวัง มีหวังกระดูกกรอบแน่ๆ”ผู้เพิ่งเฉียดการไปเยี่ยมนรกสดๆร้อนๆ ร้องบอก พลางใช้ปลายกระบอกปืนแก๊ปของตัวเองเขี่ยร่างไร้ตีนที่ขดเป็นขมวดแน่น

“มันน่าถลกหนังแล้วเอาเนื้อไปย่างกินจริงๆ”

“ดูสิ เนื้อขาวจั๊วะ”เจ้าเหน๋อพูด พลางใช้กิ่งไม้เขี่ยพลิกส่วนปลายที่ถูกคมมีด หงายขึ้นดู

“พอเถอะวะ ไอ้ห่ าใครจะไปกินลง”

“นี่ถ้าพวกร้านฟอกหนังมาเห็นคงน้ำลายไหล”สิงห์ร้องบอก

“เขาเอาไปทำอะไรพี่”

“เอาไปกินรึ”เจ้าเคิ้งพาซื่อร้องถาม

“กินไม่กิน พี่ไม่รู้วะ”

“แต่หนังของมันไม่เหลือแน่ ยาวไม่ต่ำกว่าสามวาแบบนี้ คงทำเครื่องหนังขายได้แยะ”สิงห์อธิบาย

“ไปกันต่อดีกว่า เสียเวลา”

“ถ้าเอ็งจะเอาไปกินก็แล้วแต่”พรานเบร้องบอก พลางหันไปร้องถามเหน๋อ

“ไม่เอาหรอก ตัวใหญ่เกิน กินไม่ลง”

“ถ้าเป็นงูสิงค่อยว่าไปอย่าง นี่อะไรตัวใหญ่กว่าขาอ่อน”เจ้าเหน๋อร้องตอบ พูดจบก็ผละจากร่างไร้วิญญาณของอสรพิษไร้ตีน

          การเดินทางเป็นไปด้วยความรีบเร่ง เพราะแสงสว่างที่มีอยู่น้อยนิดเริ่มจางหายไปทีละน้อยๆ ราวกับไฟฉายที่เผลอเปิด สวิตซ์ค้างไว้ จนแบตเตอร์รี่ค่อยๆอ่อนลงช้าๆ เพราะหมดกระแสไฟ จนในที่สุดหลอดไฟภายในโคมกระจก ก็ดับแสงลง การเดินทางในครั้งนี้ก็เช่นกัน เพราะดวงอาทิตย์ ไม่ใช่ไฟฉาย ที่นึกจะเปิดหรือปิดสวิทซ์เวลาไหนก็ได้ตามต้องการ แต่เพราะธรรมชาติ ไม่เคยเว้นวรรค หรือหน่วงเวลา เพื่อรอท่าให้กับสรรพสิ่งในโลกนี้ไม่ว่าหน้าไหน จนในที่สุดทั้งหมดก็ต้องตกอยู่ภายใต้เงาของราตรีกาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

          เสียงนกกลางคืน กู่ ร้องก้องป่า เสียงของมันดังกังวานสะท้อนไปมาในราวป่าทึบ เคล้ากับเสียงแมลงไพรที่พากันกรีดปีกเซ็งแซ่ ตามริมห้วยและชายดง แต่แล้วพวกมันก็ต้องพากันเงียบสนิท เพราะเสียง แกรกกราก ของใบไม้แห้งที่ถูกเหยียบย่ำ เข้ามาสอดแทรก บรรยากาศในการบรรเลงเพลงไพรของมัน รวมทั้งลำแสงประหลาด ที่ส่องวูบวาบเป็นลำหลายดวง เคลื่อนไหวเขามาใกล้ แต่เมื่อทั้งสองสิ่งนั้นเคลื่อนห่างออกไป เหล่าแมลงไพรก็พากันส่งเสียงระงมป่าเช่นเดิม

          เกือบครึ่งชั่วโมงมาแล้ว ที่คณะทั้งแปดเดินงมกันมาในความมืด มีเพียงแสงสว่างของไฟฉาย ของแต่ละคนเท่านั้น ที่พอจะเป็นเครื่องทุ่นแรงในการมองเห็นสิ่งต่างๆรอบกายได้ ซึ่งตอนนี้ถูกกลืนหายเข้าไปในความมืดมิด จนมองอะไรไม่เห็นนอกจากสีดำมืดทะมึนและเงาลางๆของต้นไม้เท่านั้น  บ่อยครั้งที่ลำไฟฉายสาดกระทบกับเงาตะคุ่มๆ ของเถาวัลย์และต้นไม้ ก่อให้เกิดเป็นรูปร่าง หรือเงาประหาด ทำให้ต้องผวาทุกครั้งเมื่อพบเห็น หรือแม้แต่เถาวัลย์บางเถา ที่พันเกาะเกี่ยวอยู่ตามคาคบไม้ ก็ต้องคอยฉายไฟดูเป็นระยะๆ เพราะไม่แน่ใจว่า เป็นเถาวัลย์ธรรมดา หรือ งู ซึ่งบางขณะทั้งสองสิ่งนี้ ก็แทบจะแยกแยะจากกันไม่ออก ทั้งขนาดและลวดลาย โดยเฉพาะในยามวิกาลเช่นนี้ ทุกคนต้องระมัดระวังตัวเพิ่มเป็นพิเศษ จนในที่สุดพรานเบก็พาคณะทั้งหมดมาหยุดตรง บริเวณพื้นที่ราบเรียบตอนหนึ่ง ลักษณะเป็นเนินยกระดับสูงจากลำห้วยเล็กน้อย

“แถวนี้ล่ะ ที่ครั้งก่อน ข้าเคยมาพัก”พรานเบร้องบอกคณะ พลางกราดไฟฉายไปรอบๆบริเวณ เพื่อสำรวจ

“เอ็งจำไม่ผิดแน่นะไอ้เบ”

“มืดๆค่ำๆแบบนี้”พรานชราว่า พลางส่องไฟฉายไปตามพื้นและยอดไม้ อย่างไม่สู้จะไว้ใจนัก

“ข้าจำไม่ผิดหรอกตาโส่ย”

“เลยจากกะโหลกหินนั่น ทวนมาตามลำห้วยนี้ก็ถึง”พูดถึงกะโหลกผี ทุกคนก็พากันขนลุกโดยไม่รู้ตัว

“แถวนี้สินา?..”

“นั้นไง! กองฟืนที่ข้าเคยก่อไว้ยังอยู่”พรานเบร้องบอก พลางฉายไฟ ลงไปบนพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้จนมองแทบไม่เห็นพื้นดิน แต่เมื่อสักเกตดูดีๆแล้ว ภายใต้กองใบไม้ที่ทับถมนั้นเอง ท่อนฟืนขนาดโคนขา ยาวร่วมวาสองต้น ถูกวางขนานคู่กันอยู่ ดูเผินๆมันก็เหมือนกับท่อนไม้ธรรมดาๆทั่วไป ที่หักหรืออาจจะโค่นล้มลงมากองกับพื้นตามธรรมชาติก็ได้ แต่สิ่งที่ผิดปกติไปจากธรรมชาตินั้นเอง ที่พอจะบอกอะไรแก่คณะทั้งหมดได้ว่า ตำแหน่งนี้เอง ที่พรานนำทางของเขาเคยมาพักอาศัยบริเวณนี้มาก่อน เพราะหลังจากพรานเบใช้เท้าเขี่ยใบไม้ที่สุมทับท่อนฟืนนั้นออก ก็ปรากฏรองรอยการเผาไหม้ของท่อนฟืนนั้น ซึ่งมันก็อยู่ตำแหน่งกึ่งกลางท่อนฟืนทั้งสองท่อนพอดี และเพื่อเป็นการยืนยันให้คณะแน่ใจและชื่อใจมากกว่านี้ ถัดออกไปเล็กน้อย พรานเบก็เขี่ยพลิกใบไม้ให้เห็นเตาสามเส้า ที่ทำจากก้อนหินขนาดเขื่องสามก้อน ซึ่งมันถูกวางเรียงเป็นมุมสามเหลี่ยม โดยเฉพาะส่วนที่อยู่ด้านใน มีรองรอยเขม่าควันไฟเกาะดำปี๋ แสดงให้เห็นว่ามันเคยมีกองไฟก่ออยู่ภายในมาก่อน และสิ่งนี้เอง ที่เป็นหลักฐานยืนยันได้เป็นอย่างดี

“ชัดเลย!”

“ไม่น่าพลาด”พรานพรร้องออกมาอย่างยินดี พลางเดินไปตบหัวไหล่ของพรานนำทางเบาๆด้วยความชื่นชมระคน ศรัทธา

“เอ๊า!”

“รีบๆโว้ย ใครจะทำอะไรก็ทำกัน หิวจนตาลายแล้ว”พรานชราโพล่งออกมา

“เอ็งสองคนไปช่วยไอ้เหน๋อทางโน้นก่อน”

“เดี๋ยวข้าจะเตรียมหุงข้าวหุงปลา ไอ้พรเอ็งช่วยก่อไฟให้ข้าที”พรานชราสั่งงาน พลางลื้อสัมภาระต่างๆและเสบียงเตรียมหุงหาอาหาร ส่วนคนอื่นๆก็แยกย้ายออกไปทำหน้าที่ แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน พรานเบชำนาญเรื่องน้ำ แกรับอาสาไปจัดเตรียมแหล่งน้ำกินและน้ำใช้ เพราะน้ำในลำห้วยตื้นเสียจนไม่สามารถใช้ภาชนะใดๆตักหรือตวงมาใช้ได้อย่างสะดวก แบบที่ผ่านๆมา นอกจากจะใช้ช้อนค่อยๆตัก ซึ่งเวลานี้จะมา พิรี้พิไรแบบนั้นไม่ได้ ปัญหาแค่นี้ มีหรือที่พรานชำนาญไพรอย่างพรานเบ จะอับจนปัญญา ในเมื่อทั้งลำห้วยนี้ มีแต่ผืนทรายและกรวดหิน เพียงแค่ใช้ปลายมีดขุดคุ้ยพื้นทรายที่ร่วนซุยอยู่แล้ว ให้เป็นแอ่งพอที่จะใช้ภาชนะตักได้ พรานเบออกแรงขุดยังไม่ทันเหนื่อย ก็ได้แอ่งน้ำลึกร่วมศอกถึงสองแอ่งด้วยกัน ต่อจากนี้ไปก็ปล่อยให้น้ำจากด้านนอกค่อยๆซึมผ่านเข้ามาเองตามธรรมชาติ

          ถัดจากริมห้วยสานนั้น กองไฟกองใหญ่ถูกจุดสุมขึ้นมากลางลาน ท่ามกลางความมืดมิด ที่ปกปิดอัมพรางสิ่งต่างๆรอบกายจนมองอะไรไม่เห็น นอกจากฉากพื้นหลังสีดำมืดสนิท แต่ครั้นเมื่อได้รับแสงสว่างจากกองฟืน ป่าที่ดูมืดมิดน่าเกรงขาม ก็กลับสว่างไสว ถึงแม้รัศมีของมัน จะกินพื้นที่ไปไม่มาก แต่อย่างน้อยๆก็ทำให้รู้สึกอุ่นใจ และปลอดภัยมากกว่าไม่มีเลย

          จบเรื่องฟืนไฟ ก็มาวุ่นวายต่อ กับเรื่องข้าวปลาอาหาร คำว่า มืดค่ำแล้วจะลำบาก ทำท่าว่าจะจริง เพราะจะหยิบจะจับอะไรก็ดูไม่ถนัดไปเสียหมด ไหนจะหุงข้าวทำกับข้าว ไหนจะต้องจัดที่อยู่ที่พัก ลำพังถ้าท้องฟ้าไม่มืดก็ไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้มืดสนิทเสียแล้ว จะทำอะไรต่ออะไร ต้องคอยระวังไปหมด ถึงแม้จะมีแสงไฟจากกองฟืนมาเติมในส่วนที่ขาดหายไปแล้วก็ตาม ถึงกระนั้นก็ยังมีคำว่าพลาด ครั้นหนึ่ง เจ้าเหน๋อ ผู้ทั้งมือและปากไม่ว่าง เพราะมือทั้งสองข้างหอบหิ้วหม้อสนามที่มีน้ำอยู่เต็มปริ ที่ว่าปากไม่ว่างก็เพราะ เจ้าตัวคาบไฟฉายกระบอกเล็กไว้ในปาก ในเมื่อมือไม่ว่างที่จะจับ ก็เลยต้องใช้ปากคาบแทน ในจังหวะที่เจ้าตัวกำลังงมมาตามทาง ที่ตัวเองส่องไฟฉายไม่ค่อยจะเห็นทางนั้นเอง ไม่รู้ว่าผีหรือเจ้าที่มาบังตาไม่ให้เห็นก็ไม่ทราบได้ ขาที่กำลังจะก้าวเดิน ดันไปสะดุดพูนรากไม้จนล้มคะมำ ชนิดที่ว่า หม้อไปทาง ไฟฉายไปทาง แถมน้ำที่อุตสาห์ตักมา แทนที่จะได้กินใช้ ก็กลับเอาไปรดต้นไม้เสียหมด

“ปุดโธ่!”

“ไอ้ห อก ไม่ระวังเลย ไอ้เคิ้งไปดูซิ ตอเสียบตายห่ าไปแล้วมั๊งนั่น?”พรานชราโพล่งออกมา พลางร้องเรียงลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ให้ไปดูอาการผู้ร่วมชะตากรรม

“ไม่เป็นไร”

“..อูยยย”เจ้าเคิ้งวิ่งไปดูยังไม่ถึงครึ่งทาง เจ้าคนที่นอนหน้าคะมำอยู่ก็ร้องบอกออกมา ทำเสียงครางน่าสงสาร

“หมด!”

“แม่ งเอ๊ย....ได้อาบน้ำก่อนเพื่อนเลยกู”เจ้าเหน๋อสบถ หลังลุกขึ้นมาปัดเนื้อปัดตัว

“ไอ้เคิ้ง เอาฝาหม้อมาให้ข้าด้วย”

“ไหนๆเอ็งก็จะมาแล้ว เอาหม้อมาอีกสองลูก แล้วก็มาช่วยข้าตักน้ำ”เจ้าเหน๋อร้องบอกเจ้าเคิ้งเสียงฉุนๆ เพราะยังไม่หายแค้นตัวเอง ที่พลาดท่าเสียฟอร์ม

          ภายใต้เงาสลัวของเปลวไฟในกองฟืน บุคคลทั้งแปดต่างช่วยทำงานกันอย่างแข็งขัน บ้างก็ออกส่องไฟหาฟืนไว้เตรียมสำรอง สำหรับใช้ตลอดทั้งคืน บ้างก็จัดเตรียมสถานที่พักให้ดูโล่งเตียนกว่าเดิม ที่กวาดก็กวาดไป ที่ตัดลิดกิ่งก้านที่ยื่นขวางเกะกะ ก็ตัดแต่งไป แต่ส่วนมากจะเป็นการเก็บกวาดใบไม้แห้งเสียมากกว่า เพราะป่าบริเวณที่พักนั้น มีแต่ต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ทั้งนั้น ไม้เล็กไม้น้อยจึงมีอยู่ไม่มาก ถึงมีก็จะแคระแกร็นเสียหมด ที่มีอยู่มากก็คือ พวกต้นเถาวัลย์สารพัดชนิด ที่ขึ้นเกาะเกี่ยวกันเป็นแผง บางเถาก็ห้อยระโยงรยางค์ บางก็พันเป็นเกลียวไปตามต้นไม้ หรือบางเถาก็เลื้อยไต่ไปตามผิวดิน นอกจากจะยุ่งอยู่กับฟืนไฟและสถานที่พักแล้ว สิ่งที่ขาดและจะยืดยาดเสียไม่ได้ก็คือ อาหารการกิน เพราะเวลานี้ก็เลยเวลาอาหารเย็นมามากพอสมควร ตั้งแต่คณะทั้งหมดเดินทางมาถึง จนป่านนี้ข้าวในหม้อสนามเพิ่งจะได้ขึ้นแขวนราว ไม่ต้องบอกหรือเดาก็น่าจะรู้ว่า จะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะได้กิน

“เร็วโว้ย! ไอ้พุ่ม”

“เครื่องแกงเสร็จหรือยัง?”พรานเฒ่าร้องถามเจ้าพุ่ม ที่ต้อนนี้ตั้งหน้าตั้งตา ตะบี้ตะบัน โขลกเครื่องแกงอย่างเอาเป็นเอาตาย

“เก้งย่างที่ให้ผมหั่น”

“ เอาไงต่อลุง”สิงห์ร้องถามพรานโส่ย ขณะนั่งหั่นเนื้อเก้งย่างชิ้นสุดท้ายเสร็จ

“น้ำมีอยู่ในหม้อ”

“เอ็งช่วยแช่เนื้อเก้งให้ข้าที”พ่อครัวชราร้องบอก

“แช่น้ำเปล่าๆนี้หรือลุง?”

“ต้องต้มน้ำด้วยหรือเปล่า”ชายหนุ่มร้องถาม พลางเทน้ำในหม้อสนามใส่ชามเตรียมแช่เนื้อเก้งย่าง ที่หั่นเป็นชิ้น

“ไม่ต้องตงต้องต้มหรอก”

“เอาแค่นั้นแหละ”พรานชราร้องบอก พูดจบก็ลุกขึ้นไปหยิบหม้อ เตรียมตั้งกับเตาหินสามเส้า

“เดี๋ยวข้าจะทำแกงเก้งย่างให้กิน”

“น้ำพริกแห้งยังมีเหลือ ผักกูดที่ข้าเก็บมาก็คงจะพอกินกันอยู่ จะกินสด กินสุก ก็แล้วแต่เอ็ง” พรานเฒ่าพูดจบ ก็บุ้ยไปที่ย่ามของแก

“ลวกกินสักครึ่ง อีกครึ่งกินสดๆ”

“แล้วอ้นตัวนี้ล่ะ จะทำอะไรกินกัน กลิ่นชักไม่ค่อยดีแล้ว”เจ้าเคิ้งร้องบอกพรานผู้พ่อ พลางยกตัวอ้นย่าง ที่ได้มาเมื่อตอนเช้าขึ้นดม

“เออ..ข้าก็เกือบลืม”

“เก็บไว้กินพรุ่งนี้ดีกว่า วันนี้เอาแค่นี้ก็พอ ดึกแล้วทำไม่ทันกิน”พรานชราร้องบอก

“เอาไปย่างกันเน่าไว้ก่อนก็ดีไอ้เคิ้ง”

“เสียดายของ กว่าจะได้มา”พรานแปะร้องบอก พูดจบก็ยกหม้อต้มน้ำที่กำลังเดือดพล่านลงมาพักไว้ที่พื้น

          ท่ามกลางกองไฟที่ส่งแสงสว่างและอายอุ่น หม้อที่พรานเฒ่านำขึ้นเตาสามเส้าก็ร้อนได้ที่ เครื่องแกงของเจ้าพุ่มที่โขลกพอแหลก ถูกเทลงไปผัดพร้อมกับน้ำล้างครกจนหอมฉุย น้ำแกงเริ่มงวดลง เนื้อเก้งย่างหั่นจึงถูกเทลงไปผัดจนทั่วถึง  พรานโส่ยตักชิมน้ำแกงอยู่ครั้งสองครั้งหลังจากปรุงรสด้วยเกลือป่นก็ยกลง เพราะเนื้อเก้งย่างสุกมาก่อนแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจว่า ไม่ถึงห้านาที เมนูนี้ก็เสร็จบริบูรณ์

          จบจากแกงเนื้อเก้งย่าง ก็หันกลับมาลื้อของในย่ามเสบียงก็คือถุงกระสอบปุ๋ยใบเก่า พ่อครัวกลางป่าลื้อค้นอยู่ไม่นาน ก็งัดถุงมะขามเปียกออกมาได้ มะขามเปียกหรือมะขามเปรี้ยวถูกแกะเปลือกรวมกันเป็นปึกจนแน่น พรานโส่ยแงะออกมาจากปึกได้สามสี่ฝักก็นำไปละลายกับน้ำร้อน ที่พรานแปะแบ่งเทใส่ฝาหม้อสนามไว้แทนถ้วย จากนั้นก็นำน้ำและเนื้อมะขามที่ได้ ไปคลุกเคล้ากับน้ำพริกแห้ง เท่านี้ก็ได้น้ำพริกไว้จิ้มกินกับผักแนม นอกจากทั้งสองเมนูที่พรานโส่ยโชว์ฝีมือแล้ว ยังมีปูห้วยตัวเขื่องอีกหลายสิบตัว ที่พรานเบและพรานพร ออกไปส่องไฟหาตามริมห้วย จึงมีเมนูปูห้วยเผาเข้ามายั่วน้ำลายอีกเมนู

“เป็นไงล่ะไอ้สิงห์ ลำบากสมใจเอ็งหรือยัง”

“ข้าว่า ไอ้ชายดงดำนี้ จริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรอย่างที่พวกเราคิดกันวะ”พรานแปะร้องบอก พูดจบก็ยกหม้อสนามลงจากราวหุง

“ผมก็ฝันไปเสียใกล้”

“ก็คิดว่ามันคงมีอะไรดีกว่าป่าด้านนอก ที่เราเคยๆไปเที่ยวกันมา”สิงห์ตอบ พลางซุนท่อนฟืนเข้าไปในกอง

“ก็ข้าบอกแล้วไงล่ะ”

“ว่าไม่ต้องมาหรอก รู้แบบนี้หานอนแถวห้วยสด ห้วยแห้ง เข้าท่ากว่าเยอะ”พรานชราร้องบอก

“แกก็ว่าไปตาโส่ย พวกเรามาถึงที่นี่ก็มืดค่ำแล้ว”

“พรุ่งนี้เช้าคงได้เห็นอะไรดีๆกว่านี้แน่ แกก็ไม่เคยมา จะไปรู้ดีได้ยังไง!”พรานพรพูดเสียงขุนๆ

“ไม่อดตายห่ าก็บุญแล้วไอ้พร”

“น้ำท่าก็เกือบจะไม่มีให้ยัดห่ า เสบียงก็เหลืออีกนิดหน่อย เอ็งจะทำยังไง”พรานชราว่ากลับ

“เอานาพ่อ คืนนี้ฉันกะไอ้พุ่ม กะว่าจะออกไปหาส่องกบทูบแถวนี้ดู”

“ตอนเดินมาตามลำห้วยเห็นลูกอ๊อดเยอะแยะ น่าจะมีตัวอยู่”เจ้าเคิ้งร้องบอก เพราะเห็นสถานการณ์ระหว่างคนทั้งสองไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

“เออ! ใช่ๆ”

“พี่ก็เห็นวะ มีลูกก็ต้องมีพ่อมีแม่ให้จับ ดีไม่ดีอาจจะชุมกว่าข้างล่าง”สิงห์ผสมโรง

“ถ้าไม่มีให้จับ ก็ล่อลูกอ๊อดนั่นล่ะ”

“บีบไส้แล้วล้างดีๆหมกกิน อร่อยกว่าปลาหมกของตาโส่ยตั้งแยะ”เจ้าเหน๋อแหย่มาบ้าง

“แหม..ไอ้เหน๋อ!”

“ใจคอเอ็งจะล่อทุกอย่างเลยหรือวะ ตะกี้ข้าก็ขนลุกเรื่องงูไปทีหนึ่งแหละ”ชายหนุ่มร้องบอก เพื่อนเกลอ

“โอย..ไอ้สิงห์!”

“ไม่ต้องห่วงเรื่องของกิน ถ้าเป็นของป่าเพื่อนเอ็งมันล่อทุกอย่าง”พรานชราตอบ พูดจบก็ใช้สันมีดกะเทาะฝาหม้อสนามที่ใช้หุงข้าวออก

“ไม่จริง! ไอ้สิงห์ เอ็งอย่าไปเชื่อที่ตาโส่ยพูด”

“ของป่า ข้าไม่ได้กินหมดเสียทุกอย่างนะโว้ย! อย่างน้อยๆก็มีอยู่ 3 อย่าง ที่ข้าไม่กินเด็ดขาด”คนถูกใส่ความว่า พลางทิ้งคำตอบปริศนา

“อะไรของเอ็งวะ?”

“มีรึที่ว่าเอ็งไม่กิน ทุกที ข้าเห็นเอ็งฟาดไม่มีเหลือ”พรานชราร้องบอกออกมาอย่างสงสัย

“คิดก่อน..?”คนถูกถาม ทำท่าเคร่งเครียด พลางขมวดคิ้วคิด สักพักก็ตอบขึ้นว่า

“อ๋อ...คิดออกล่ะ ก็มี พระธุดงค์ ฤๅษี ละก็ ทหารพราน กรั๊กๆ”คำตอบที่ได้ ทำเอาทั้งคณะหัวเราะกันท้องขดท้องแข็ง ยกเว้นตาโส่ยที่ไล่เตะเจ้าของคำตอบพัลวัน

          ภายใต้แสงวอมแวมของเปลวไฟ ที่เต้นพลิ้วไหวไปมา ในป่าทึบเช่นนี้ แสงไฟจากกองฟืนเพียงกองเดียว ก็สามารถส่องแสงสว่างโพลนไปทั่วบริเวณ ถึงรัศมีของมันจะไม่กว้างขวางนัก แต่อย่างน้อยๆก็ทำให้ทุกคนรู้สึกอุ่นใจ เพราะมนุษย์ไม่เหมือนสัตว์ป่า ที่สามารถมองเห็นอะไรต่ออะไรได้ในเวลากลางคืน ในสถานการณ์เช่นนี้ แสงสว่างจึงมีความจำเป็นที่สุด

          ห่างจากกองไฟรวมสองวา ผ้าใบสีหม่นผืนใหญ่ ถูกกางแผ่จนสุดผืน ก่อนที่อาหารต่างๆจะถูกลำเลียงขึ้นไปวางเรียงราย ทั้งแกงเนื้อเก้งย่าง น้ำพริกผักแนม และปูห้วยเผา โดยทั้งหมดถูกพรานเบตั้งแบ่งออกไปก่อนหน้าแล้ว เพื่อนำไปเซ่นไหว้เจ้าป่าเจ้าเขาตามทำเนียมป่า ก่อนที่ทั้งหมดจะร่วมวงกันเปิบอาหารมื้อดึก ด้วยความเอร็ดอร่อย กับข้าวบ้านป่าขนานแท้ ถึงแม้ไม่ได้โอ่อ่า อย่างในสวนอาหารหรือภัตตาคารห้าดาว แต่สำหรับบุคคลทั้งแปดแล้ว มันกลับทำให้รู้สึกว่า อาหารมื้อนี้ ช่างเป็นมื้อพิเศษเสียจนไม่อยากอิ่ม

“กินข้าวอิ่มแล้ว เอ็งก็ไปล้างเนื้อล้างตัวเสียหน่อย”

“ข้ากับไอ้พรขุดบ่อเอาไว้ให้เอ็งอีกบ่อแถวๆชายห้วยนั้นแหละ”พรานเบร้องบอกตำแหน่งบ่อน้ำที่สำหรับใช้

“แหม..บริการดีจริงๆน้าเบ”

“ผมมันคนง่ายๆ มีก็อาบไม่มีก็ไม่อาบ ฮาๆ”สิงห์ตอบ พลางหัวเราะ แล้วเอ่ยขึ้นมาอีกว่า

“แต่ก็ดีเหมือนกัน ถ้าได้ลูบเนื้อลูบตัวเสียหน่อย ดูสิ แต่ละคนดูได้เสียที่ไหน”

“พวกข้าชินเสียแล้วไอ้สิงห์”

“เรื่องไม่ได้อาบน้ำ มันธรรมดา”พรานโส่ยร้อบบอก พูดจบก็ยกน้ำในกระบอกขึ้นดื่ม แต่แล้วก็แทบจะสำลักน้ำเพราะพรานพรร้องขัดขึ้นมาว่า

“อย่ามาอ้างพวกโว้ย!”

“ใครเขาจะสกปรก อย่างแกล่ะตาโส่ย!”

“ตั้งแต่เข้าป่ามานี่ ข้ายังไม่เคยเห็นแกอาบน้ำสักวัน”พรานพรพูดจบ ก็ยกบุหรี่ยาเส้นขึ้นสูบ

“โธ่ๆ พ่อคนสะอาด!”

“ยักกะเอ็งจะอาบ”พรานโส่ยแหว

“จะเป็นไรไปลุง”

“มีแต่ผู้ชายทั้งนั้น จะหล่อไปอวดสาวๆที่ไหน ลูกทุ่งแบบนี้ล่ะดีแล้ว”ชายหนุ่มว่า

“น้ำไม่อาบ อย่างน้อยๆก็บ้วนปากแปรงฟันมั้งก็ดีนะลุง”

“ฟันฟางจะได้ไม่ผุ”ชายหนุ่มอธิบายเชิงวิชาการในเรื่องสุขอนามัย ในช่องปาก

“อย่างพวกข้าไม่เท่าไหร่หรอกไอ้สิงห์”

“โน่น คนสะอาดต้องยกให้ตาโส่ย ตั้งแต่เกิดมาเคยจับแปรงสีฟันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รุ”พรานแปะเสริม พูดจบก็ต้องรีบลุกหนี เพราะรองเท้าฟองน้ำของแกข้างหนึ่งลอย
แหวกอาการมาแต่ไกล แต่ไม่ทันที่ใครจะเอ่ยอะไรต่อ พรานเบก็เอ่ยขึ้นมาว่า

“พวกเอ็งเห็นดาวบนโน่นบ้างหรือเปล่า”

“ดึกดื่นขนาดนี้ ทำไมไม่เห็นดาวสักดวง?”คำพูดของพรานนำทาง ทำให้ทั้งหมดรีบเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า และมันก็เป็นไปอย่างที่พรานเบบอกทุกอย่าง เพราะบนนั้นนอกจากฉากสีดำสนิทแล้ว ดวงดาวที่เคยเห็นระยิบระยับ กับไม่มีให้เห็นเลยแม้แต่ดวงเดียว ผิดจากครั้งก่อนๆ ที่เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าในเวลาเช่นนี้ จะต้องเห็นหมู่ดาวระยิบระยับเต็มไปหมด ซึ่งตอนนี้ผิดปกติ

“เออ!”

“จริงๆด้วย ดาวมันหายไปไหนหมด”เจ้าพุ่มร้องบอก

“ยอดไม้บังล่ะมั๊ง?”พรานพรวิเคราะห์

“อยู่ในหุบลึกก็แบบนี้แหละ”พรานชราเสวานาตอบ

“ขี้เมฆมันลอยมาบังมากกว่า เดี๋ยวลมพัดลอยไปที่อื่นก็คงจะเห็น”พรานแปะว่ามาอีกคน

“สี่ทุ่มกว่าแล้วนา มันดูแปลกๆอย่างที่น้าเบแกบอกนะผมว่า”ชายหนุ่มกล่าว หลังจากยกนาฬิกาพรายน้ำขึ้นดู  ที่ต้อนนี้เข็มของมันชี้บอกเวลาที่ 22:37 นาที ซึ่งเหตุผลและทุกกรณี ที่แต่ละคนกล่าวมาล้วนแล้วแต่มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ยังไม่ทันที่คณะทั้งหมดจะหายสงสัยในเรื่องดาว พรานคนเดิมก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า

“เงียบๆหน่อยซิ”

“ป่ามันเงียบยังไงชอบกล”พรานเบพูดในน้ำเสียงแผ่วเบาบอกคณะ ซึ่งทุกคนก็เพิ่งจะมาผิดสังเกต เพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่อึดใจ บริเวณรอบๆที่พักยังเซ็งแซ่ไปด้วยเสียง กรีดปีกของแมลงไพรนานาชนิด มาตอนนี้ พวกมั นกลับพากันเงียบเสียงลงอย่างผิดสังเกต แต่แล้วไม่ทันที่พรานนำทางจะเอ่ยอะไรต่อไป ทันใดนั้นเอง เจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบอง ที่นอนขดอยู่ข้างกองไฟอยู่นั้น กลับมีอาการทะลึ่งพรวดพราดลุกขึ้นกันอย่างพร้อมเพียง พร้อมๆกับทำหูตั้ง มองไปที่ราวป่าอันมืดทึบเบื้องหน้า...

*****เรื่องราวค่อจากนี้จะเป็นเช่นไร และอะไรอยู่ในเงามืด.? โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในตอนต่อไป!!*****

.....

ใครพอทราบบ้างครับว่า ดอกไม้ในรูป มันคือดอกอะไร?
รูปบน ผมถ่ายไม่ค่อยชัด ช่วงนั้นผมมีแต่กล่องกากๆ(จริงๆแล้วฝีมือผมกาก มากกว่า ฮาๆ)  มันคือ ลูกอ๊อด ครับ กินได้ ทางอีสานเรียกว่า อีฮ้วกหรืออะไรสักอย่าง ทางเหนือ เรียกว่า แมงอีปุ่ม
สังเกตด้านหลังมือ เห็นขี้ช้างหรือเปล่าครับ


รูปนี้ผมถ่ายตอนที่ไปเที่ยว ช่วงเดือนเมษา ครับ
ข้อเสียของการเที่ยวหน้าแล้ง ที่ผมคิดว่ามันคืออุปสรรคมากที่สุดสำหรับผม ก็คือ แมลงครับ สารพัดชนิด เวลาจะกินข้าวแต่ละทีก็ต้องทำแบบในรูปครับ ไม่งั้นนั่งกินไม่มีความสุข


แต่ถ้าไปเที่ยวช่วงฝน ก็จะเป็นแบบในรูปครับ ข้อเสีย มีอยู่อย่างเดียว คือ เปียก (จะบอกทำไม)


แล้วก็ เวลานอน จะลำบากหน่อยสำหรับเต๊นท์ เพราะถ้าไม่หาอะไรมากันน้ำที่พื้น หรือไม่ขุดคันดินรอบเต๊นท์ดีๆ ก็มีโอกาสได้นอนแช่น้ำ ผมถึงบอกไงครับว่า นอนเปลดีที่สุด(ความคิดส่วนตัวผมนะครับ)



Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #8 on: 22 April 2021, 23:35:51 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 9


บทที่ 9

ตอนที่ 9

          ป่าใหญ่ดงทึบ ที่เคยเพรียกเสียงหริ่งหรีดเรไรระงมป่า มาบันนี้ต่างพากันเงียบเสียงลงอย่างพร้อมเพียง ราวกับนัดกันไว้  เมื่อไร้เสียงสำเนียงป่า ป่าที่ดูเปล่าเปลี่ยวอยู่แล้ว ก็พลันทำให้บรรยากาศที่เยือกเย็น ยิ่งสร้างความวิเวกวังเวงเพิ่มขึ้นไปอีก แต่ในความเงียบสงัด ที่โสตประสาทของมนุษย์ ไม่อาจสามารถที่จะสัมผัสหรือจำแนกเสียงที่ซ่อนเร้นในเงามืดได้ แต่สำหรับสุนัขทั้งสอง ที่มีสัญชาตญาณการรับรู้ได้ดีกว่ามนุษย์ ย่อมจะสัมผัสได้ในความไม่ชอบมาพากลอะไรบางอย่าง นอกจากจะคอยผุดลุกผุดนั่นแล้ว ทั้งสองยังทำเสียงคราง ฮือๆ อยู่ในลำคอ

“อะไรของมันว่ะ ไอ้เบ”

“ท่าทางจะไม่ดีเสียแล้ว”พรานพรกระซิบถามพรานนำทาง

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“ป่ามันเงียบเสียจนข้าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย”พรานนำทางกระซิบตอบ

“เอาไงดีน้าเบ”

“ลองส่องไฟดูมั๊ย เผื่อจะเห็นอะไรบ้าง”ชายหนุ่มพูดจบก็ทำท่าว่าจะฉายไฟ ไปทางทิศที่หมาทั้งสองตัวยืนหูตั้งจ้องเขม็ง แต่ก็ต้องหยุดความคิดไว้เช่นนั้น เพราะพรานพรแตะแขนไว้เสียก่อน

“มันคงไม่ได้อยู่ใกล้ๆแถวนี่หรอก”

“ไม่งั้นคงได้ยินเสียงแล้ว”พรานพรกระซิบบอกเสียงแผ่วเบา

“แต่ข้าไม่เห็นด้วยกับเอ็งวะ ไอ้พร”

“อย่างน้อยๆ ก็กันไว้ก่อน เผื่อจะมีตัวอะไรมันย่องมาหาเราก็ได้”พรานชราร้องขัด แต่ไม่ทันที่พรานโส่ยจะพูดอะไรต่อ พรานเบก็ทำหูผึ่งเหมือนจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง แล้วรีบก้มตัวลงเอาหูแนบติดพื้นดิน ท่ามกลางหมู่คณะ ที่พากันยืนลุ้นระทึกอยู่นั่นเอง พรานเบก็รีบลุกพรวดพราดขึ้นมา พลางบอกคณะทุกคนว่า

“ช้าง!”

“มันกำลังมาทางเรา!”

“ห๊า!..”

“เอ็งแน่ใจรึ”พรานพรร้องบอก พูดจบก็รีบก้มตัวลงเอาหูแนบพื้นดินฟังเสียง ไม่กี่อึดใจ ก็ทำตาเบิกโพลง

“ฉิ บหายแล้วไง!”

“มากันทั้งโขลง”พรานพรร้องบอกอย่างร้อนรน

“ช่วยกันสุมไฟให้สว่างๆเข้าไว้พวกเรา”

“ที่เหลือช่วยกันเก็บข้าวของเร็ว!”พรานเบร้องส่งคณะ พูดจบก็เดินไปหยิบปืนลูกซองยาวคู่กายที่พิงไว้ ขึ้นมาคาดสะพาย พลางจัดเก็บสัมภาระต่างๆ ของตนใส่เป้ ทำให้คนอื่นรีบทำตามอย่างชนิดรีบด่วน ไม่ว่าของใครเป็นของใคร ปะปนกันมั่วไปหมด ไม่มีเวลามานั่งเลือกว่าอันนี้มันของข้า อันนั้นมันของเอ็งเหมือนแต่ก่อน เพราะเวลาในยามวิกาลเช่นนี้จะมาเสียเวลาไม่ได้ และที่สำคัญ แขกที่จะมาเยี่ยมไม่ได้มาเพียงลำพัง แถมตัวโตน้องๆภูเขา

“สงสัยจะโขลงเดียวกัน”

“อุตสาห์หลบมาทางนี้ ยังจะมาเจอกันอีก!”พรานแปะร้องบอก พลางลากท่อนฟืนเข้าไปสุมไฟ จนบริเวณที่พักและพื้นที่รอบๆสว่างโพลนไปด้วยแสงไฟจากกองฟืน

“จะเอาอยู่หรือน้าเบ”

“ผมว่า ยิงไล่มันไปสักนัดสองนัดเป็นไง”สิงห์ร้องบอกออกมาอย่างตื่นเต้น

“อย่าเสี่ยงดีกว่าข้าว่า”

“ถ้ามันหนีก็ดีไป แต่ถ้ามันบุกมา เราจะแย่”พรานเบร้องบอก แข่งกับเสียงปะทุของกองฟืน ที่ตอนนี้ฟืนเกือบจะทุกท่อนที่หามา ถูกนำไปสุมเป็นกองพะเนิน

“มันไปยังไงมายังไงของมัน?”

“คงไม่ได้หนีไฟมาที่หุบนี้หรอกนะ”ชายหนุ่มร้องบอกพรานเบ พลางเก็บพับเปลสนามของตัวเองอย่างเร่งรีบ โดยไม่ได้คำนึงถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนเช่นเคย

“ที่เอ็งว่า มันก็มีเหตุผล”

“ไม่แน่มันอาจจะหนีไฟที่ตีโอบขนาบทางด้านโน่นมาก็ได้”พรานพรร้องเสริม แต่ไม่ทันที่พรานพรจะพูดอะไรต่อ เสียงกิ่งไม้หักดัง เปรี๊ยะ ก็แว่วมาให้ได้ยินแต่ไกล

“นั่นไง!”

“พูดไม่ทันขาดคำ”พรานพรแยกเขี้ยวบอก

“ยังพอมีเวลาอยู่”

“ข้าว่าพวกเราถอยไปอยู่ที่ชายเขาฝั่งโน่นดีกว่า ดีร้ายยังไงจะได้หนีขึ้นเขาทัน ชันๆแบบนั้นคงเอาอยู่”พรานเบร้องบอกคณะ พลางส่องไฟฉายไปที่เนินเขา ที่ติดลำห้วย
ฝั่งตรงข้าม

          สถานการณ์ที่เป็นไปด้วยความฉุกละหุก เพราะแขกที่ไม่ได้รับเชิญแวะเข้ามาเยี่ยม ถึงแม้จะไม่ชัดเจนว่า ช้างทั้งโขลง จะยกขบวนกันมาเดินสวนสนามเล่นในปางพักของคณะหรือไม่ แต่ด้วยความไม่ประมาท บวกกับประสบการณ์ของพรานนำทางแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมไม่สามารถไว้วางใจอะไรได้ทั้งนั้น เพราะดูท่าทีของช้างโขลงนั้น ก็ไม่มีวี่แววว่าจะเลี่ยงหรือถอยร่นไปใช้เส้นทางอื่นอย่างเมื่อคืนก่อน อาจเป็นไปได้ว่า พวก มันยังไม่กระสากลิ่นควันไฟที่คณะจุดสุมเสียสว่างไสว หรืออีกเหตุผลหนึ่ง ที่ชายหนุ่มว่ามานั้น ก็อาจเป็นไปได้ที่ว่า ช้างป่าโขลงนั้น อาจจะหนีไฟป่าที่ตีโอบมาจากอีกด้าน ทำให้พวก มันต้องเลี่ยงมาใช้เส้นทางนี้ และดูเหมือนว่า เหตุผลหลังสุดนี้ น่าจะมีน้ำหนักมากที่สุด เพราะถ้าเป็นการเดินออกหากินธรรมดาของช้างป่าทั่วไป ก็คงไม่เลือกมาหากินในป่าที่มีแต่ไม้ใหญ่และเถาวัลย์เช่นนี้ เพราะนอกจากจะมีแต่ต้นไม้ใหญ่ที่มันกินไม่ได้ ถึงแม้ว่าใบของต้นไม้บางชนิดพวก มันจะกินได้ก็ตาม แต่มันก็สูงเสียจนงวงของมันไม่สามารถไขว่คว้าเอามากิน หรือพืชที่พว กมันจะใช้เป็นอาหารบริเวณนี้ก็แทบจะไม่มีให้เห็น ผิดกับชายป่าด้านนอกที่อุดมไปด้วยแหล่งอาหาร ทั้งป่าไผ่ กล้วยป่า และไม้เล็ก ที่มีให้เลือกเก็บกินอย่างเหลือเฟือ อย่างเหตุการณ์เมื่อคืนก่อน ถึงแม้พว กมันจะมาวนเวียนหากินใกล้ๆกับปางพักของคณะ แต่เมื่อสุมไฟไล่ พวกมันก็พากันถอยหนีไป แต่คืนนี้สถานการณ์กลับเป็นตรงกันข้าม เพราะนอกจากพว กมันจะไม่หลีกเลี่ยงหรือถอยหนีไปไหนแล้ว ดูเหมือนว่าพ วกมันจะตั้งใจมุ่งหน้ามาทางปางพักของคณะ และในที่สุด สิ่งที่คณะทุกคนไม่คิดที่จะเผชิญก็เกิดขึ้นจนได้

“ฮืมมม...”

“โฮ่ง!”เจ้าพะเปรียว ที่ยืนนิ่งฟังเสียงอยู่นาน เห่าออกมาเสียงดังลั่น พร้อมๆกับเสียงหักของไม้แห้ง ที่ดังได้ยินถนัดหู

“โผล๊ะ!”

“ครึก...ครึก”

“โฮ่งๆๆ..โบ๋วว”เจ้าพะบองทั้งเห่าทั้งหอน จนขนที่ขึ้นบนสันหลังลุกชัน พลางวิ่งวนไปวนมาจนดูสับสนไปหมด ก่อนมันจะวิ่งห่างจุกตูดเข้ามาหลบข้างกองไฟ เพราะเสียงลม ที่เหมือนถูกเป่าออกมาจากโพรงอะไรสักอย่าง

“ฟู่ววว”

“แอ๋ออ”ไม่ทันได้กระพริบตา ลูกช้างป่าวัยเยาว์ขนาดเท่าโอ่งมังกรย่อมๆ ไม่รู้ย่องมาตั้งแต่เมื่อไหร่ อยู่ๆก็วิ่งพรวดออกมาจากชายป่า ก่อนที่มันจะหยุดชะงัก เพราะเจ้าพะเปรียวกระโจนเข้าไปขวางทาง พลางไล่เห่าไล่กัดเจ้าลูกช้างตัวนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่แทนที่เจ้าตัวจะถอยหนี ตรงกันข้าม มันกลับวิ่งไล่เอางวงจับเจ้าพะเปรียว เหมือนเด็กๆวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน แต่ผู้ที่ไม่รู้สึกสนุกไปกับมันด้วยก็คือ แม่ของมันนั่นเอง ทันทีที่เจ้าพะเปรียวไล่กัดลูกน้อยของมัน เสียงเหมือนแตรรถบรรทุกก็ดังกระหึ่มจนแสบแก้วหู พร้อมๆร่างใหญ่ทะมึนของช้างพัง ก็โผล่พรวดออกมาจากชายป่า

“แปร๋น!!”

“ฟู่ววว”แม่พังร่างยักษ์ไม่รอช้า เมื่อเห็นศัตรู ที่คิดหมายจะทำร้ายลูกอันสุดที่รักของมัน งวงที่ม้วนจุกอยู่ที่ปาก ก็พลันเหวี่ยงหมายที่จะกระชากร่าง ของไอ้ศัตรูตัวจ้อย ที่บังอาจมารังแกลูกน้อยของมัน เอามาฟาดกับพื้นให้แหลกเหลว แต่มันก็ไม่ไวเท่า ถึงตัวจะมีขนาดใหญ่กว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ความใหญ่โตของมันจะทำให้มันไวขึ้น และที่สำคัญ เหยื่อที่มันหมายจะขยี้ให้แหลกยับ ไม่ได้เชื่องช้าให้มันจับได้ง่ายๆ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า เจ้าพะเปรียว มีหรือจะเสียเหลี่ยมหมาพราน แม่พังเหวี่ยงงวงมาทางนี้ เจ้าพะเปรียวกระโจนอ้อมไปทางนั้น แม่พังเผลอหน่อย เจ้าพะเปรียวก็ไล่งับแข้ง งับขาพัลวัน ถึงแม้เขี้ยวของเจ้าพะเปรียว จะไม่ได้ทำให้หนังของแม่พังร่างยักษ์ระคายผิวแม้แต่น้อย แต่มันกลับยิ่งทำให้เจ้าของร่างยักษ์ร่างนั้น ทวีความโกรธเกรี้ยวมากขึ้นเป็นทวีคูณ ครั้นจะกระทื บให้จมตีน ก็ต้องผิดหวังเพราะกว่าจะง้างตีนขึ้นลง เจ้าพะเปรียวก็เผ่นไปเสียแล้ว

          ท่ามกลางความตกตะลึงของคณะ ที่ไม่ทันได้ตั้งเนื้อตั้งตัว กับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ช้างพังตัวใหญ่มหึมากำลังเล่นเอาเถิดเจ้าล่ออยู่กับเจ้าพะเปรียวอยู่ โดยไม่มีทีท่าว่า แม่พังใหญ่จะให้ความสนใจมนุษย์ทั้งแปด ที่ตอนนี้พากันยืนจังก้าขาแข็งไม่ขยับเขยื้อน แต่แล้ว สิ่งที่ไม่คาดคิดก็พลันเกิดขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อจู่ๆ ลูกอ่อนของมันที่ยืนหูกางอยู่นั้น ก็หันมาเห็นคณะทั้งแปดเขาอย่างจัง และเช่นเคยแทนที่เจ้าช้างน้อยจอมซุกซน จะถอยหนี มันกลับวิ่งหางชี้มาทางคณะทั้งแปดอย่างไม่รีรอ ราวกับว่า สิ่งที่มันเห็น คือของเล่นชนิดใหม่ของมัน เท่านั้นเองใครคนใดคนหนึ่งในคณะ ก็แหกปากร้องลั่น

“วิ่ง!”

“หนีไปที่ตีนเขานั่นเร็ว!!”ไม่ทันได้หันไปมอง ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของสมาชิกคนไหน และคงไม่มีใครอยากรู้ในตอนนี้ สิ้นเสียงปริศนา ที่ดังราวกับปืนที่ใช้ยิงในจุดสตาร์ทวิ่ง  เครื่องยนต์ที่เร่งเครื่องใส่เกียร์อยู่ก่อนแล้ว ก็พลันยกคลัตช์ออกตัวกันจนล้อฟรี ทุกคนต่างตาลีตาเหลือก หันหลังวิ่งกันอย่างไม่คิดชีวิต ชนิดที่ว่าคนละทิศคนละทาง ไม่ต่างอะไรจากผึ้งที่แตกรังเมื่อถูกไฟ เมื่อนั้นเอง ทันทีที่มีการเคลื่อนไหวของมนุษย์ทั้งแปด เสียงร้อง แปร๋น จนแสบแก้วหูก็ดังสนั่น พร้อมๆกับพื้นดินที่สะเทือน ราวกับแผ่นดินไหว

“เร็ว!!”

“ไปที่ตีนเขาให้เร็วที่สุด”พรานเบตะโกนจนสุดเสียงบอกคณะ พูดจบก็เล็งปากกระบอกปืนขึ้นฟ้า แล้วเหนี่ยวไกปืนทันที

“ตูม!...”

“แปร๋น..!!”กัมปนาทราวกับฟ้าสะเทือนก็ดังขึ้น พร้อมๆกับเสียงร้องแสบแก้วหูของภูเขาเคลื่อนที่อย่างโกรธเกรี้ยว

“ครึก..ครึก”

“ฟู่ววว”

“แปร๋น...แปร๋น”สิ้นเสียงแผ่นดินสะเทือน และเสียงร้องระงม ร่างยักษ์ของช้างป่าหลายเชือก ก็โผล่พรวดออกมาจากเงามืด กองฟืนที่เปรียบเสมือนเป็นกำแพงฉากกั้น มาถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะสามในสิบเชือก ใช้งวงกระชากปลายท่อนฟืนที่สุมเป็นกอง เหวี่ยงออกกระจุยกระจายไปรอบทิศทาง บางเชือกก็ใช้งวงจับท่อนฟืนฟาดลงกับพื้น บางเชือกก็ใช้ตีนกระทื บอย่างไม่กลัวว่าสิ่งที่มันเหยียบอยู่จะร้อน และบางเชือกก็แสดงความโกรธเกรี้ยวด้วยการระบายกับต้นไม้ต้นไร่รอบด้าน ทั้งกระชากต้นไม้และเถาวัลย์ ลงมาฉีกทึ้งเหวี่ยงไปมา แต่ภาพที่เห็นยังไม่ทำให้ใจหายเท่า เพราะไอ้งายาวร่างใหญ่เชือกหนึ่ง ไม่รู้ว่าโผล่มาจากทิศทางใด ก็ตรงรี่บุกตะลุยมาทางคณะอย่างไม่หวั่นเกรงต่อเสียงปืน ที่ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ

“เฮ้ย!”

“มันมาทางเราแล้ว หนีเร็ว!”พรานชราร้องลั่น แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนใจหายวูบก็พลันเกิดขึ้น เพราะเสียงและภาพที่เห็น

“ว๊าก...”

“อุบ...ว”ไม่รู้ว่าเจ้าเหน๋อ ไปสร้างเวรสร้างกรรมอะไรไว้ กับไอ้พูนรากไม้รากนั้น เพราะในขณะที่เจ้าตัวตาลีตาเหลือกเอาชีวิตรอดสุดกำลัง เท้าข้างเดิมดันไปสะดุดเอาพูนรากไม้เข้าอย่างจัง จนหน้าคว่ำ กระแทกพื้นดังโครม

“ไอ้เหน๋อ!”พรานเบร้องเสียงหลง เมื่อเหลียวไปเห็นเจ้าเหน๋อนอนหน้าคะมำกองอยู่กับพื้น ติดตามมาด้วยร่างใหญ่มหึมาที่บุกตะลุยฝ่าดงเถาวัลย์มาอย่างกระชั้นชิด

“ลุก!”

“ระ..ระ..เร็วเข้า ไอ้เหน๋อ เอ็งรีบลุกขึ้นเร็ว”พรานพรตะโกนบอกละล่ำละลัก ส่วนเจ้าคนที่นอนกองอยู่กับพื้น ไม่รู้ว่า ไม่มีแรงลุก หรือระบบประสาทการสั่งการไม่ทำงาน ก็ไม่อาจทราบได้ เพราะเจ้าคนที่นอนกองอยู่นั้น ในตอนนี้ ทำได้แต่นอนหมอบนิ่งเอาแขนทั้งสองข้างคลุมหัวตัวเอง พลางหลับตาปี๋อย่างหวาดเสียวอยู่เช่นนั้น และดูเหมือนว่าใครก็แล้วแต่ จะแหกปากร้องบอกขนาดไหนก็ไม่เป็นผล

          ในเสี้ยววินาทีเป็นวินาทีตาย ก่อนที่ไอ้งายาวจะมาถึงตัวเหยื่อของมันด้วยความแค้น ร่างของเจ้าเหน๋อที่นอนหลับตาปี๋อยู่นั้น ก็พลันถูกกระชากให้ลอยขึ้น ด้วยความตกใจสุดขีดจนแทบจะสิ้นสติ เพราะมีอะไรบางอย่างมากระชากคอเสื้อจนตัวเองลอย เจ้าเหน๋อก็พลันแหกปากร้องดังลั่น

“อ๊ากส์”

“ชะ..ช่วยด้วย”คนถูกกระชาก ร้องละล่ำละลัก พร้อมใช้มือปัดป้องพัลวัน แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเสียงตวาดลั่นจนแสบแก้วหู

“ไอ้ห อก”

“ข้าเอง...จะร้องหาโคต รพ่อโคต รแม่เอ็งรึ”ราวกับเสียงให้พรจากเทวดาบนสวรรค์ เสียงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะมันเป็นเสียงของ สิงห์เพื่อนเกลอของเขานั้นเอง

“อยากโดนกระทื บนักรึไงเอ็ง”

“เร็วเข้า!”เพื่อนเกลอ ที่ดูเหมือนว่าในตอนนี้จะเป็นเทวดามาโปรดเจ้าเหน๋อ ตวาดกลอกหู

“นั่นทางนั้น!”

“เขาไปหลบในดงนั้นเร็วเข้า”ชายหนุ่มละล่ำละลักบอกเพื่อนเกลอ

“เฮ้ย!!”

“พวกข้าอยู่ทางนี้ หาที่กำบังไว้!”พรานเบร้องบอกมาจากชายเขา พลางส่องไฟฉายบอกตำแหน่งให้คนทั้งสองวูบวาบ แต่มันก็ช้าไปเสียแล้วที่พรานเบจะร้องบอกใดๆกับคนทั้งสอง เพราะทางที่คนทั้งสองบุกไปนั้น มันเป็นทางตัน

“แปร๋น!!”

“โผล๊ะ....ซวบ!”

“ตูม!”

“เปรี้ยง....ง!”กัปนาทจากอาวุธสารพัดชนิด เท่าที่คณะทั้งหมดมี ก็ลั่นขึ้นดูสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าเสียงปืนที่ดังเป็นของใคร แต่แทนที่ช้างโขลงนั้น จะเกรงกลัวต่ออำนาจของเสียงปืนที่ยิงขู่ เพื่อหวังสกัดกั้น พวกมั นกลับบุกตะลุยมาทั้งโขลง จนป่ารกที่รายล้อมพวกมัน หักลู่ไปเป็นแถบๆ

“ฉิ บหายใหญ่แล้ว”

“ไอ้สองคนนั้น มันไปทำอะไรตรงนั้นวะ”พรานแปะร้องออกมาอย่างร้อนรน

“ยิง!”

“ยิงสกัดพวกมั นไว้ก่อน”พรานพรร้องสั่ง”

“พี่สิงห์!”

“วู้...พวกเราอยู่ทางนี้”เจ้าเคิ้งป้องปากตะโกนเรียงชายทั้งสองแข่งกับเสียงปืน พูดจบก็ลั่นปืนแก๊ปคู่กายดังตูมสนั่น

          โดยการนำทับของไอ้งายาว ที่พาลูกโขลงของมันทั้งหมด กระจายกำลังปิดล้อมบริเวณที่บุคคลทั้งสองเข้าไปซุกตัวอยู่ เพื่อหวังจะกระชากคนทั้งสอง ออกมากระทื บให้แหลกเหลว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆอย่างที่พวกมันคิดไว้ เพราะเถาวัลย์ที่ห้อยระโยงระยางเป็นจำนวนมาก เป็นอุปสรรคคอยกีดกั้นคนทั้งสองเป็นอย่างดี ยิ่งพวกมั นบุกตะลุยเข้ามาลึกเท่าไหร่ ชายทั้งสองก็แทรกตัวมุดเข้าไปในดงเถาวัลย์มากเท่านั้น เพราะคนตัวเล็กกว่าช้างจึงสามารถคลานไปไหนต่อไหนได้สะดวกกว่าช้างที่ขนาดตัวใหญ่

“เอาไงดีวะไอ้สิงห์”

“ข้าว่าพวกมั นคงไม่ปล่อยเราสองคนไว้แน่ๆ”เหน๋อร้องบอก ทำเสียงเหมือนกับจะร้องไห้

“หนีเข้าไปให้ลึกที่สุดเท่าที่เราจะทำได้”

“ข้าว่า อยู่ในดงนี้ ยังไงพวกมั นก็เข้าไม่ถึงตัวเรา”ชายหนุ่มร้องบอกเพื่อนเกลอ

“แล้วเอ็งจะไปทางไหน ทั้งมืดทั้งรกแบบนี้”

“ข้าว่าฉายไฟดูทางเสียหน่อยน่าจะดี ขืนไปมืดๆแบบนี้ มีหวังได้หลงกันตาย”เจ้าเหน๋อเสนอความคิด พลางหยิบไฟฉายออกมาจากกระเป๋ากางเกง แต่ไม่ทันไฟฉายกระบอกนั้นจะหลุดออกมาจากกระเป๋ากางเกง ชายหนุ่มก็รีบตะคุบมือของเพื่อนเกลอไว้

“อย่า!”

“เอ็งจะบ้ารึ ไม่เห็นเรอะ ว่าพวกมั นล้อมเราไว้หมดทุกด้าน ยกเว้นด้านที่เราจะไป ขืนส่องไฟออกไป มันอาจจะเห็นเราก็ได้”ชายหนุ่มอธิบายเพื่อนสนิท จากนั้นก็พูดต่อขึ้นมาอีกว่า

“อยู่มืดๆแบบนี้ดีที่สุด”

“รอจนกว่าพวกมันจะไป แล้วเราค่อยคลานย้อนกลับออกไปที่เดิม”

“แล้วถ้าพ วกมันไม่ยอมไปล่ะ”

“เราสองคนไม่แย่รึ?”เหน๋อร้องถาม พลางคุกเขาตามสิงห์ไปเบื้องหน้า

“เรื่องนั้นเอาไว้แก้กันทีหลัง”

“เวลานี้ เอาชีวิตรอดไว้ก่อน เอ็งไม่ได้อยู่คนเดียว อย่างน้อยๆ ก็มีข้าอยู่เป็นเพื่อน”ชายผู้ช่วยชีวิตเพื่อนเกลอของเขาไว้ กล่าวออกมาอย่างปลอบขวัญ แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องหยุดชะงัก จนคนที่คลานตามหลังหยุดตามไปด้วย

“มีอะไรไอ้สิงห์”

“ทำไมไม่ไปต่อ”เหน๋อร้องถามมาจากทางด้านหลัง

“ทางตันวะเพื่อน”

“เป็นไปได้ยังไงว่ะ”ชายหนุ่มร้องบอก พลางใช้มือกวาดคลำไปเบื้องหน้า

“เฮ้ย!”

“อะ...เอ็งอย่าพูดแบบนี้ซิวะ ดูให้ดีก่อน”เหน๋อร้องบอกเสียงสั้น

“ไม่มี มีแต่หิน!”

“ดะ ดะเดี๋ยว”

“เหมือนจะมีโพรงอะไรสักอย่างทางด้านนี้วะ”ชายหนุ่มหันมาร้องบอก

“โพรงอะไรของเอ็งว่ะ?”

“มีงูเงี้ยวเขี้ยวขออยู่หรือเปล่า อย่าเอามือไปควานส่งเดช!”เหน๋อร้องเตือนเพื่อนสนิท

“ข้าว่าไม่ใช่โพรงธรรมดาเสียแล้ววะ”

“น่าจะเป็นถ้ำมากกว่า”ชายหนุ่มร้องตอบ พลางคลานสำรวจไปรอบๆบริเวณปากโพรงนั้น

“ฉายไฟซิไอ้เหน๋อ แต่เอาแค่แวบเดียวนะ ฉายเป็นจังหวะๆ พร้อมยัง!”ชายหนุ่มร้องบอก

“พร้อม”คนถือกระบอกไฟฉายร้องตอบ

“1...2...3”

“เปิด!”

          ทันทีที่สวิทช์ถูกเลื่อนไปที่ตำแหน่งเปิด ภายใต้ความมืดมิดเช่นนี้ เพียงแวบแรกที่ได้เห็น คนทั้งสองต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า จนทำอะไรต่อไม่ถูก เหมือนกับร่างกายจะเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ โดยเฉพาะเจ้าเหน๋อถึงกับยืนตาค้าง ไฟฉายที่ถือส่องจับอยู่เบื้องหน้าพลันหลุดออกจากมืออย่างไม่รู้ตัว ก่อนที่มันจะกลิ้งกรุกๆ โดยหันปากกระบอกที่มีลำแสง ฉายลึกเข้าไปในปากโพรงนั้น ซึ่งเท่าที่เห็นมันลึกเข้าไปเสียจนลำแสงของกระบอกไฟฉายกระบอกนั้น ไม่สามารถฉายไฟเข้าไปถึง.....

*****ปากโพรงที่ชายทั้งสองพบนั้นมาจากไหน?  แล้วช้างป่าคู่แค้นโขลงนั้นล่ะ พวกเข้าจะรอดหรือไม่! โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในตอนต่อไป!!!*****

.....

ผมเองครับน้าๆ ดูหนังหน้ากันชัดๆ ฮาๆ เจอที่ไหนทักทายกันบ้างนะครับ
ปล.รูปบน คือเปลที่ผมใช้นอนเป็นประจำครับ แนะนำให้ใช้ครับ ราคาประมาณ แบบไม่มีหลังคา 300(โรงเกลือ) แบบมีหลังคา 400-750 ครับ


อยู่ในป่า ไม่มีอดตายครับ ถ้ารู้วิธีหาเอามากิน ธรรมชาติอุดม อาหารก็อุดมตามไปด้วย ดังนั้นต้องช่วยกันรักษ์ธรรมชาตินะครับ ทั้งป่าและแหล่งน้ำ เพื่ออนาคตในวันข้างหน้าครับ


ช่วงเวลากลางคืน ที่ไม่มีแสงสีหรือทีวี ไว้คลายเหงา ในป่าแบบนี้มีแต่กองไฟ และนิทานที่บอกเล่าเรื่องต่างๆ เป็นสิ่งบันเทิงใจดีนักแล


เอาเงาะป่าไปกินเล่นสักลูกสองลูกมั๊ยครับ..


.....
หนุ่มธุดงค์ไพร: สวัสดีครับน้าๆ
ใกล้เข้าไปทุกทีแล้วนะครับ (เกือบครึ่งทางล่ะ )
บทนี้ยาวจริงๆ จบไม่ลงครับ กะว่าจะเอาสัก 10 ตอนพอ (เดี๋ยวจะยาวไป )
ขอบคุณน้าๆทุกท่านนะครับ ที่ติดตามกันมาอย่างยาวนาน เหมือนเดิมนะครับ ติ ชม แนะนำผมได้เต็มที่ เพราะบทหลังๆต่อไปนี้ผมจินเอาล้วนๆ   บางที่ก็คิดไม่ออกครับ
ขอบคุณอีกครั้งครับ


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #9 on: 22 April 2021, 23:43:33 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 10 (จบบท)


บทที่ 9

ตอนที่ 10

          ณ ตำแหน่งนี้เอง ที่เป็นตำแหน่งของปากโพรงขนาดใหญ่ หรือจะเรียกว่าถ้ำขนาดยักษ์ก็ไม่ผิด แม้ว่าปากทางจะกว้างไม่เกินจากสามสี่ว่า เมื่อคะเนด้วยสายตา แต่ความสูงของมันนั่นเอง ที่ทำให้ชายทั้งสองอดที่จะประหลาดใจเสียไม่ได้ กำแพงหินที่สูงสุดลูกหูลูกตา และดูเหมือว่ามันจะทอดตัวขวางกั้นเป็นแนวยาวขนานออกไปทั้งสองข้าง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับกำแพงเมืองจีน ที่ถูกเสกให้มาตั้งไว้อยู่กลางป่า

“....”

“อะ..อะ เอ็งเห็นเหมือนที่ขาเห็นหรือเปล่าวะไอ้สิงห์”เหน๋อละล่ำละลัก

“อ...เออ ข้าก็เห็นแบบเดียวกับเอ็งนั้นแหละ”

“ถ้ำอะไรมันจะใหญ่โตขนาดนี้”สิงห์ตอบออกมาเสียงสั้นๆ

“เอายังไงต่อดีเพื่อน”

“พวกเราจะเข้าไปหลบไอ้ช้างผีพวกนั้นดีหรือเปล่า”เหน๋อร้องบอกอย่างร้อนรน เพราะได้ยินเสียง ซู่ซ่า มาจากทางด้านหลัง

“พูดเป็นเล่นไปได้!”

“มีตัวอะไรอยู่ในนั้นหรือเปล่าเราก็ไม่รู้”ชายหนุ่มตอบปฏิเสธ

“แล้วจะเอายังไงดีวะ”

“ข้าว่าพวกมั นกำลังบุกเข้ามาเรื่อยๆแล้ว”เหน๋อพูดออกมาด้วยอาการพะว้าพะวง พลางหันไปรอบๆทิศทางที่ตอนนี้ได้ยินแต่เสียง ช้างร้อง แปร๋นๆ รายล้อมไปทุกด้าน

“ถ้าไม่เข้าไปหลบในถ้ำ ก็คงต้องปีนหน้าผานี้”

“ไม่งั้นพวกเราไม่มีทางรอดแน่ๆ แต่ในถ้ำจะมีอะไรอยู่หรือเปล่าเราก็ไม่รู้ เอาแบบนี้ เราปีนขึ้นไปหลบบนหน้าผาดีกว่า น่าจะปลอดภัย”ชายหนุ่มเสนอความคิด

“จะไหวหรือว่ะ”

“สูงขนาดนั้น แง่หินก็ไม่ค่อยมีจะให้เยียบ!”เหน๋อพูดพลางส่ายหัวไปมา

“ไม่ค่อยจะมี ก็ไม่ได้แปลว่าจะ ไม่มี”

“โน่นไง เถาวัลย์! พวกเราไต่เถาวัลย์ขึ้นไปก็ได้”สิงห์พูดพลาง ชี้กระบอกไฟฉายไปยังเถาวัลย์ ที่ห้อยระโยงรยางค์อยู่กับผนังหน้าผา

“เอ็งเห็นบนนั้นหรือเปล่า”

“ถ้าเราไต่ไปถึงชั้นหินตรงนั้นได้ พวกเราก็รอดแล้ว”ชายหนุ่มกล่าว หลังจากฉายไฟไล่ไปตามเส้นเถาวัลย์ ที่ห้อยตัวผ่านชะง่อนหินตอนหนึ่ง ซึ่งสูงจากพื้นไม่ต่ำกว่าสิบเมตร และมันก็มีอยู่เพียงที่เดียวเท่านั้น ที่พอจะให้คนทั้งสองขึ้นไปหลบอยู่บนนั้นได้ นอกนั้นเป็นผนังหินเรียบไปหมด แทบจะไม่มีที่ให้เหยียบเลย นอกเสียจากจะต้องไต่ไปตามเถาวัลย์ที่ห้อยลงมาตามหน้าผา ซึ่งคงไม่เหมาะแน่ในสถานการณ์เช่นนี้  เมื่อไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ การที่บุคคลทั้งสอง จะกลายมาเป็นนักไต่หน้าผาจำเป็น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากกระตุกเถาวัลย์เพื่อทดสอบความแข็งแรงจนแน่ใจ ว่าเถาวัลย์เส้นที่จะใช้ปีนไต่แทนเชือกไปนั้น จะไม่ขาดเสียกลางคัน การไต่หน้าผาจึงเกิดขึ้นในบัดนั้น

“เอ็งขึ้นไปก่อนก็แล้วกัน”

“เดี๋ยวข้าจะคอยฉายไฟให้ รีบขึ้นไป อย่าช้า!”ชายหนุ่มร้องบอกเพื่อนเกลอ

“อ้าว!”

“แล้วเอ็งล่ะ?”เหน๋อหันมาร้องถาม ขณะที่ยืนจับเส้นเถาวัลย์แช่อยู่เช่นนั้น

“ข้ากลัวมันรับน้ำหนักของเราสองคนไม่ไหว”

“ถ้าขืนมาขาดเอาตอนนี้ ได้ซวยกันหมด”

“รีบปีนขึ้นไปเถอะนา ไม่ได้ยินรึ! พวกมั นใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว!”ชายหนุ่มร้องเร่งเพื่อนสนิท ท่ามกลางเสียงอึกทึกรอบกาย

“เอาไงเอากันวะ!”

“เอ็งรีบตามขึ้นมาก็แล้วกันไอ้สิงห์”เหน๋อหันมาร้องบอกเพื่อนเกลอ พูดจบก็รีบสาวเส้นเถาวัลย์ปีนไต่ไปตามหน้าผาชัน ท่ามกลางการเฝ้ามองของสิงห์ ที่คอยส่องไฟบอกทางให้เป็นระยะๆ ไม่กี่อึดใจ คนที่ปีนก่อนก็ขึ้นไปยื่นเด่นอยู่บนชะง่อนหินโดยสวัสดิภาพ

“โยนไฟฉายขึ้นมา”

“เดี๋ยวข้าจะส่องไฟให้”คนที่ขึ้นไปก่อน ร้องบอกคนที่อยู่เบื้องล่าง

“อย่าเสี่ยง!”

“มืดๆแบบนี้จะไปเห็นอะไร ถ้าเอ็งเกิดรับไม่ได้ มันจะพังเสียเปล่าๆ ของยิ่งมีจำกัดอยู่ เอาอย่างนี้ ข้าจะผูกไว้กับเถาวัลย์ แล้วเอ็งค่อยๆสาวขึ้นไปจะดีกว่า”ชายหนุ่มร้องบอก พูดจบก็เลือกเส้นเถาวัลย์เส้นเล็กๆได้เส้นหนึ่ง จากนั้นก็นำมาม้วนพันรอบไฟฉาย เมื่อเรียบร้อยดีแล้วก็ร้องเรียกให้คนที่อยู่ด้านบนสาวขึ้นไป ไม่กี่อึดใจลำไฟฉายก็ถูกส่องสว่างจ้า ลงมาจากด้านบน

“เรียบร้อยเพื่อน”

“รีบปีนขึ้นมาเร็ว!”เหน๋อร้องบอก พลางฉายไฟลงมาบอกทิศทาง ชายหนุ่มรอจังหวะอยู่ก่อนแล้ว เมื่อแสงไฟฉายส่องกระทบตำแหน่งที่หมาย มือที่จับแน่นอยู่กับเส้นเถาวัลย์ จึงค่อยดึงตัวเองขึ้นอย่างระมัดระวัง ไม่กี่อึดใจหลังจากพยายามไต่มาอย่างทุลักทุเล ในที่สุดก็มาถึงตำแหน่งชะง่อนหิน ที่เพื่อนเกลอขึ้นมาอยู่ก่อนแล้ว

“พวกเรารอดแล้ว!”

“ต่อให้มันยืนสองขา ก็ทำอะไรเราไม่ได้”ชายหนุ่มพูดออกมาอย่าโล่งอก ก่อนที่จะนอนแผ่หลาบนชะง่อนหินนั้นอย่างคนหมดเรี่ยวแรง

“ไม่รู้พวกเราที่เหลืออยู่แถวไหน?”

“ได้ยินแต่เสียงปืน”เหน๋อร้องบอก พลางส่องไฟไปมาทั่วบริเวณ ถึงจะอยู่บนที่สูง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ได้เปรียบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะมองเห็นสภาพแวดล้อมได้ดีกว่า เพราะป่าสูงและเถาวัลย์ที่ขึ้นอยู่หนาแน่น ปกปิดทัศนีย์ภาพ

“มองไม่เห็นอะไรเลยวะ มืดก็มืดรกก็รก!”

“มีแต่ต้นไม้กับเถาวัลย์”เหน๋อร้องบอก หลังจากพยายามส่องไฟสำรวจอยู่นาน

“วู้...วู้...”

“ทางนี้...พวกผมอยู่ทางนี้”สิงห์ป้องปากตะโกนออกไปสุดเสียง แต่ก็เปล่าประโยชน์ เพราะนอกจากเสียงช้างร้องและป่าแตกที่ดังอยู่เบื้องล่างแล้ว ไม่มีเสียงตอบกลับจากทางคณะเลย นอกจากเสียงปืน ที่นานๆครั้งจะลั่นขึ้นมาให้ได้ยินสักนัดหนึ่ง เหมือนเป็นการยิงเพื่อบอกสัญญาณหรือตำแหน่งเสียมากกว่า

“ไม่ได้ความ”

“สงสัยต้องยิงปืนเรียกดู เผื่อจะได้ยิน”สิงห์พูดจบ ก็กระชากลูกเลื่อน แล้วเหนี่ยวไกทันที

“เปรี้ยงง...”

“....”

“มาข้าช่วย”เหน๋อพูดจบก็ล้วงปืนลูกโม่ขนาด.22 ออกมาลั่นไกแบบไม่นัด

“เปรี้ยง..เปรี้ยงๆๆๆ”

          ทั้งสองพยายามอยู่หลายครั้ง จนหมดลูกกระสุนปืนไปหลายชุด ในที่สุดเสียงปืนที่ดังจากฝ่ายคณะที่เหลือก็ยิงตอบกลับมา ทำให้ชายทั้งสองพอจะคาดเดาตำแหน่งของบุคคลที่เหลือได้ รวมถึงฝ่ายตรงข้าม ก็พอจะเดาตำแหน่งของคนทั้งสองได้เช่นกัน และยิ่งกว่านั้นคือ อย่างน้อยๆ บุคคลที่พลัดไปจากคณะ ยังมีชีวิตอยู่

“เฮ้ย!”

“เสียงปืนของพวกไอ้สิงห์นี่หว่า”พรานโส่ยร้องบอก

“เออใช่”

“ไอ้สองคนนั่นคงรอดแล้ว”พรานพรว่ามาอีกคน พูดจบก็เหนี่ยวไกปืนลูกซองคู่กายดัง ตูม สนั่น สิ้นเสียงกัปนาท ที่ดังสะท้านไปทั้งหุบเขา ทันใดนั้นเอง ทั้งหมดก็ได้ยินเสียงปืนของบุคคลทั้งสองดังแว่วตอบกลับมา

“เปรี้ยง...เปรี้ยง....เปรี้ยง...”

“นั่นไง!”

“ชัดเลย ไอ้สองคนนั้นยังอยู่”พรานแปะร้องบอกอย่างยินดี

          เหตุการณ์ชุลมุนกินเวลาไปกว่าชั่วโมง ท่ามกลางความมืดมิด ที่ทั้งส่องฝ่ายต่างไม่เห็นซึ่งกันและกัน ทางฝ่ายพรานเบก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่า ชายทั้งสองที่พลัดหลงจะหลบซุกซอนอยู่บริเวณใด ในป่าเถาวัลย์ ครั้นจะยิงสุ่มเพื่อไล่ช้าง ก็กลัวว่าจะพลาดโดนพวกเดียวกันเอง และปืนที่มีอยู่ก็มีอำนาจไม่เพียงพอที่จะล้มพวกมันลงได้ ตรงกันข้ามอาจทำให้พวกมันบาดเจ็บ พาลให้โกรธแค้นขึ้นไปกว่าเดิม ที่ทำได้ตอนนี้ก็คือ การยิงขู่พวกมันเท่านั้น เพื่อหวังแค่เพียงว่า เสียงของปืนที่ดังออกไป จะช่วยทำให้พวกมันตื่นตกใจ แต่พยายามจนหมดลูกปืนไปหลายชุด ก็ไม่ได้ช่วยให้พวกมันหนีไปได้เลย จนในที่สุดการพยายามก็ดูเหมือนว่าจะเป็นผล เพราะสัญญาณในทางที่ดีบางอย่างก็ปรากฏขึ้น

“เอ็งได้ยินหรือเปล่า”

“ข้าว่ามันเงียบๆยังไงชอบกล”เหน๋อหันมากระซิบบอกสิงห์ พลางทำท่าตะแคงหูฟัง

“เออวะ”

“จริงของเอ็ง สงสัยพ วกมันกำลังถอย”ชายหนุ่มกระซิบตอบ

“ลองฉายไฟดูหน่อยดีมั๊ย”

“จะได้รู้ชัดกันไปเลย”เหน๋อร้องถามอย่างร้อนรน

“ข้าว่าอยู่มืดๆแบบนี้ไปสักพักจะดีกว่า”

“ดูเชิงมันไปก่อน เผื่อว่ามันยังอยู่ใกล้ๆเรา ถ้าเกิดเห็นไฟที่เราฉายออกไป มันอาจจะไม่ยอมไปไหนก็ได้”ชายหนุ่มอธิบาย

“เอ็งไม่เห็นเรอะ ฝั่งทางที่พวกเราอยู่ก็เงียบเหมือนกัน”

“ปืนสักนัดก็ไม่ได้ยิน”เหน๋อร้องถาม เรื่องเสียงปืน ที่เคยได้ยินเมื่อไม่นานมานี้ แต่บัดนี้มันกับเงียบสงัด อย่างผิดสังเกต

“คงจะคอยดูเชิงแบบพวกเรานั้นแหละ”ไม่ทันที่คนทั้งสองจะปรึกษาอะไรกันต่อ เสียงการเคลื่อนไหว ของช้างป่าทั้งโขลง ที่เคยก่อวอดอยู่ในป่าเถาวัลย์เบื้องล่าง ก็ค่อย
ดังห่างออกไปเรื่อยๆ

“นั้นไง มันกำลังไปแล้วจริงๆ”

“โล่งอกไปที”สิงห์ร้องบอกเพื่อนเกลออย่างโล่งอก พลางยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดเช็ดเหงื่อ

“แล้วเราจะเอายังไงกันต่อ”

“จะรอพวกทางโน่นมาหาเรา หรือว่าเราจะเป็นฝ่ายออกไปหา”เหน๋อร้องถาม

“เอาอย่างหลังดีกว่า”

“ข้าว่า พวกเราทางโน่น คงไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพว กมันไปแล้วหรือยัง”

“ไม่เหมือนเราสองคนที่อยู่ตรงนี้”สิงห์ตอบ

          ท่ามกลางความเงียบสงัดของผืนป่า เวลานี้คนทั้งสองแทบจะจำแนกเสียงอะไรไม่ได้เลย นอกเสียจากนานๆครั้งจะมีเสียงหักของไม้แห้งให้ได้ยิน แต่มันก็ไกลออกไปจากบริเวณนี้มาก รวมถึงเสียง เป่าลมดัง ฟู่ ที่แว่วมาให้ได้ยินสักครั้ง  ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันคงเป็นเสียงการเคลื่อนไหว ของช้างป่าโขลงนั้นอย่างแน่นอน เมื่อสถานการณ์พลิกกลับ จากร้าย เริ่มจะกลายเป็นดี ยิ่งทำให้คนทั้งสองมีความมั่นใจว่า ช้างป่าโขลงนั้นคงถอยหนีเขาป่าไปหมดแล้ว

“ได้เวลาเผ่นไปจากที่นี่เสียที”

“ข้าว่ามันไปกันหมดแล้ว”เหน๋อร้องบอก

“ข้าก็คิดแบบเอ็ง”

“เอาเป็นว่า เราลองส่องไฟดูกันดีกว่า”เพื่อความแน่ใจของคนทั้งสอง แสงของไฟฉายกระบอกนั้น จึงสว่างจ้าขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมๆกับกราดไปมาทั่วทั้งบริเวณ แต่ก็ทำไปได้ด้วยความลำบาก เพราะมีต้นไม้ใหญ่และเครือเถาวัลย์ขึ้นปกคลุมบริเวณนั้นจนหนาแน่น

“เดี๋ยวข้าจะลงไปก่อน”

“เอ็งส่องไฟนำทางให้ข้าหน่อยก็แล้วกัน”ชายหนุ่มร้องบอก

“จะเอาแบบนั้นรึ?”

“ระวังหน่อยนะเพื่อน”เหน๋อร้องเตือนเพื่อนสนิท สิงห์ไม่เอ่ยคำใดๆ นอกจากโบกมือ เป็นสัญญาณว่าตัวเองไม่เป็นไรไม่ต้องเป็นห่วง จากนั้นจึงจะค่อยๆสาวเส้นเถาวัลย์เส้นเดิม ที่เคยใช้ปีนไต่ขึ้นมา ค่อยๆโรยตัวไต่ลงไปอย่างระมัดระวัง

          ท่ามกลางแสงไฟฉายที่ส่องจ้ามาจากด้านบน ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานของคนทั้งสองน่าจะจบลงได้ด้วยดี อย่างที่คาดคิดไว้ แต่ใครเลยจะหารู้ไม่ว่าภายใต้เงามืดนั้น จะมีดวงตาคู่หนึ่งเฝ้าคอยจังหวะนี้อยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เท้าทั้งสองข้างของชายหนุ่มแตะถึงพื้น แผ่นดินที่ตัวเองยืนอยู่ได้ไม่ถึงวินาที ก็พลันสะเทือนขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“ห๊า..ไอ้สิงห์!!!”

“ระวัง”เหน๋อร้องตะโกนจนสุดเสียง เมื่อเห็นไอ้ร่างยักษ์โผล่พรวดออกมาจากซุ้มเถาวัลย์ แต่มันก็ช้าไปเสียแล้วกับการร้องเตือนบอกเพื่อนสนิท เพราะไม่ทันที่สิงห์จะหันไปดูว่าอะไรเป็นอะไร ร่างกายของเขาก็เหมือนจะถูกกระชากให้ลอยขึ้นไปในอากาศ จนปืนที่สะพายไหล่ไว้หลุดกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง

          ด้วยเล่ห์เหลี่ยมของไอ้งายาว ที่ซ่อนกลอำพรางเอาไว้อย่างแนบเนียน ซึ่งมันทำทีให้ลูกโขลงถอยห่างออกไป แสร้งเหมือนกับว่า พวกมั นจนปัญญาแล้วที่จะตามล้างตามผลาญพวกมนุษย์ผู้บุกรุก แต่ตัวมันเองนั้นล่ะ ที่อดทนรออยู่ในเงามืด เพื่อรอจังหวะที่จะบดขยี้เป้าหมายของมันอย่างใจเย็น และสิ่งที่มันอดทนเฝ้ารอก็ไม่เสียเปล่า เพราะต่อไปนี้เหยื่อที่ดิ้นไปมาอยู่ในงวงมัจจุราชของมัน จะต้องแหลกเหลวสมใจอยาก อย่างที่มันตั้งใจไว้ ไอ้งายาวผยองใจเช่นนั้น แต่ไม่ทันที่จะทำอะไรเหยื่อของมันได้อย่างที่คิด เสียงรัวระยิบ ราวกับประทัดงานตรุษจีนก็ดังขึ้น

“เปรี้ยง.!”

“เปรี้ยงๆๆๆ!!”ไม่ใช่ใครที่ไหน เหน๋อเพื่อนเกลอของสิงห์นั้นเอง ที่เป็นคนลั่นกระสุนเสียจนหมดโม่ ถึงแม้จะเป็นกระสุนที่มีขนาดเล็ก ซึ่งไม่มีอำนาจพอที่จะทำให้ละคายผิวของไอ้ช้างงายาวได้ แต่เป้าอันบอบบางของลูกนัยน์ตาของมันนี่สิ ที่เปรียบเสมือนจุดอ่อนสำคัญ ซึ่งตอนนี้ได้สร้างความเจ็บปวดกับมันอย่างที่สุด เพราะหนึ่งในหกลูก ที่คนลั่นไกบรรจงปล่อยออกมาจากลำเพลิง หนึ่งในนั้นถูกจุดอ่อนของมันเข้าอย่างจังจนเลือดสาด

“แปร๋นนน”

“วูบ...!”ไอ้งายาวแหกปากร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด พร้อมๆกับอาการผงะ ก่อนที่จะเหวี่ยงเหยื่อในงวงของมันจนลอยออกไปอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง

          ไม่รู้ว่าดวงยังดี หรือนรกยังไม่ต้องการคนอย่างสิงห์ เพราะในจังหวะที่ไอ้งายาว ซึ่งตอนนี้กลายเป็นไอ้บอด หวังจะให้ร่างที่เหวี่ยงออกไปนั้นหล่นกระแทกพื้น บังเอิญทิศทางที่มันเหวี่ยงเหยื่อของมันออกไป เป็นดงเถาวัลย์ที่ห้อยระโยงรยางค์ปกคลุมเต็มไปหมด ซึ่งมันก็ไม่แตกต่างอะไรกับตาข่ายช่วยชีวิต แต่ก็ทำให้คนถูกเหวี่ยงจุกไม่ใช่น้อย เพราะครูดตกลงมากระแทกพื้นดังโครม และเมื่อมีโอกาสที่จะได้อยู่ดูโลกต่อไป มีหรือที่ชายหนุ่มจะนอนรอบัตรเชิญไปเยี่ยมนรกจากพญายม ทันทีที่ตั้งสติได้ ชายหนุ่มก็ตะเกียกตะกายคลานเข้าไปในซุ้มเถาวัลย์ทันที ไม่ต่างอะไรกับหนูตัวเล็กๆที่กระเสือกกระสนเข้าไปในกองฟางเพื่อหนีนกเหยี่ยว แต่ก็ต้องใจหายวูบ เมื่อเป้ที่สะพายอยู่บนหลังจะกลายมาเป็นเครื่องมือฆ่าตัวตาย เพราะมันเข้าไปขัดติดอยู่กับเส้นเถาวัลย์ ครั้นจะพยายามปลดออกจากหลัง ก็ช้าไปเสียแล้ว เมื่อมีอะไรบางอย่างมาชุดกระชากขา

“ฮึย!”

“แปร๋นนน...”

“ฟู่ววว”ไอ้บอดร้องออกมาอย่างเคียดแค้น เมื่อเลือดเข้าตาขนาดนี้ มีหรือ ที่จะปล่อยให้เหยื่อของมันหลุดรอดไปได้ แต่มันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะสิงห์กอดเครือเถาวัลย์ไว้แน่นไม่ยอมให้ตัวเองถูกลากออกมาง่ายๆ แถมไอ้บอดยังถูกก่อกวนจากบุคคลบนชะง่อนผาเป็นระยะๆ

“เปรี้ยงๆๆๆๆ”

“ไอ้สิงห์รีบหนีเร็ว!”บุคคลที่อยู่บนชัยภูมิที่เหนือกว่าร้องบอก แต่ดูเหมือนว่า กระสุนชุดนี้ ที่ปล่อยออกไป จะพลาดเป้าไม่ถูกจุดสำคัญแล้ว มันกลับเพิ่มความเจ็บแค้นยิ่งไปอีก และในจังหวะที่ไอ้งวงปีศาจ กำลังจะลากร่างของชายหนุ่มออกมา หมายจะกระทื บให้เละคาตีนนั้นเอง โดยที่ไม่มีใครได้คาดคิด เจ้าพะบอง ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน กระโจนเข้างับงวงของไอ้ช้างผีสิงจนจมเขี้ยว จึงทำให้เจ้าของเนื้อไร้กระดูก ถึงกับผงะด้วยความตกใจ รีบกระชากงวงกลับขึ้นไปในทันที ทั้งๆที่มีเจ้าพะบองงับติดงวงขึ้นไปด้วย ถึงแม้มันจะพยายามสลัดขนาดไหนก็ไม่เป็นผล เพราะสิ่งนั้นงับติดเนื้อของมันราวกับคีมเหล็ก แทนที่จะหลุด ตรงกันข้ามกลับสร้างความเจ็บปวดเพิ่มขึ้นไปอีก เนื่องจากบาดแผลจากคมเขี้ยวมีอาการฉีกขาดจากการเหวี่ยง จนเลือดโชกปลายงวงไปหมด และจังหวะนั้นเอง โดยที่เจ้าพะบองเองก็ไม่ทันระวังตัว ไอ้ตาเดียวก็เหวี่ยง ร่างที่งับติดงวงของมันนั้น ฟาดเข้ากับกำแพงหินอย่างจัง

          ไม่มีแม้แต่เสียงร้องที่แสดงถึงความเจ็บปวดเล็ดรอดออกมาให้ได้ยิน ไม่มีแม้แววตาที่แสดงถึงความหวาดกลัวอย่างที่ผ่านๆมา หมดหน้าที่ของมันแล้ว กับหมาชราใกล้ปลดประจำการแบบมัน หมดหน้าที่ของมันแล้วที่จะต้องคอยตามรับใช้เจ้านายของมันอย่างซื่อสัตย์ และถึงเวลาแล้วที่มันจะได้พัก พักแบบไม่มีวันตื่น

          เมื่อกำจัดเสี้ย นหนามของมันได้แล้ว ไอ้บอดก็ตรงรี่มาที่เป้าหมายอันเป็นมนุษย์ของมันต่ออย่างไม่ลดละ ซึ่งตอนนี้กำลังคลานเข้าไปในดงเถาวัลย์ เห็นดังนั้นมีหรือที่จะปล่อยไปง่ายๆ เถาวัลย์เส้นแล้วเส้นเหล่าที่ถูกมันกระชากออกมาอย่างบ้าคลั่ง ท่ามกลางความมืดมิด โดยไม่คิดหวั่นต่อลูกปืนที่ประเคนใส่ลำตัวของมันชนิดที่ว่าไม่นับ จนเลือดโชกไปทั้งตัว จากคืบเป็นศอก จากศอกเป็นวา ที่ลำตัวอันใหญ่โตของมันเขาบดขยี้ในดงเถาวัลย์นั้น

          ในจังหวะที่ไอ้ยักษ์ตาเดียวกำลังวุ่นวายอยู่กับดงเถาวัลย์อยู่นั้นเอง ในความมืดมิดเช่นนี้ ชายหนุ่มผู้เกือบจะตกเป็นเหยื่อฝ่าตีน คชสาร จึงค่อยๆแทรกตัวออกมาจากซุ้มเถาวัลย์นั้นอย่างเชื่องช้า โดยที่ไอ้พรายเพชฌฆาต ก็ไม่ทันได้สังเกตเช่นกัน เมื่อรู้ตัวว่าเสียที ก็เห็นเหยื่อของมันกำลังไต่ขึ้นไปบนหน้าผาแล้ว

“แปร๋นนน”

“ไอ้สิงห์ เร็วเข้า!”เหน๋อร้องเสียงหลง เมื่อเห็นไอ้งายาวถอยพรวดออกมาจากดงเถาวัลย์

“เฮ้ย!”

“ไม่ทันแล้ว หนีก่อนโว้ยไอ้สิงห์”

“เปรี้ยงๆๆๆๆ!!”

“แปร๋นนน”

“ฟุ่ววว”

“ตึงๆๆ..แปร๋นนน”ไอ้งายาวแผดเสียงร้องลั่น พลางวิ่งหูกางมาทางเหยื่อของมัน ชนิดที่ว่าไม่ตายคาตีนก็ไม่ยอมหยุด ก่อนที่งวงที่ม้วนจุกอยู่ที่ปากจะฟาดโครมไปที่เหยื่อ แต่ก็ต้องพลาด เพราะสิงห์กระโจนเผ่นพรวดหลบฉากไปอีกทาง

          ในเมื่อจะปีนขึ้นไปบนหน้าผาก็ไม่ทัน เพราะไอ้ช้างผีสิงเห็นเสียก่อน ครั้นจะมุดหลบเข้าไปในดงเถาวัลย์ก็ไม่ได้ เพราะไอ้ยักษ์ตัวเดิมขวางอยู่เช่นนั้น ปากโพรงถ้ำ ที่อยู่เยื่องห่างออกไปรวมห้าว่าทางซ้ายมือ จึงเป็นตัวเลือกสุดท้าย  และดูเหมือนว่าไอ้ช้างบ้าเลือดตัวนั้น จะรู้ทันในสิ่งที่ชายหนุ่มคิด ทันทีที่มันตั้งหลักได้ แผ่นดินก็สะเทือนขึ้นราวกับแผ่นดินไหว ร่างอันใหญ่โตของของไอ้ช้างวายร้าย ก็ทะยานเข้าใส่เป้าหมายของมันในทันที

          ราวกับรถสิบล้อพ่วงที่ปล่อยเกียร์ว่างลงมาจากเนินเขา ร่างของไอ้ยักษ์สีตีนควบตะบึงเข้าหาเป้าหมายของมันอย่างบ้าคลั่ง จนต้นไม้ต้นไร่และเถาวัลย์ที่ขึ้นเบียดขวางทาง ขาดกระจุยไปในพริบตา ราวกับถูกขวานจามให้ขาดออกจากันในทันที จนฝุ่นตลบ ไม่มีทางเลือกอีกแล้ว ที่จะหาหนทางหนีเอาตัวรอด ไม่มีแม้เวลาคิดไตร่ตรอง ว่าจะไปซ้ายหรือจะไปขวา ปากโพรงถ้ำที่อยู่ด้านนั้นล่ะ คือหนทางที่ไม่ต้องไปเยี่ยมนรก

“แปร๋นน”

“ฟู่ววว”

“ไอ้สิงห์ หนีโว้ย วิ่งสุดชีวิต!”

“เปรี้ยงๆๆๆ”บุคคลที่อยู่บนหน้าผา ตะโกนบอกเสียงหลง จากนั้นก็รัวกระสุนปืนเข้าใส่ลำตัวและหูหางอีกชุด

          ใกล้เสียจนได้กลิ่นสาบของไอ้คชสารงายาว ไม่ถึงหนึ่งในสิบของเสี้ยววินาทีเท่านั้น ที่งวงมัจจุราช ฟาดโครมลงมา มายที่จะกระชากก้านคอของชายหนุ่ม แต่มันก็ต้องพลาดอีกครั้ง เพราะเจ้าของร่างนั้นกระโจนเผ่นพรวดเข้าไปในปากโพรงถ้ำนั้นเสียแล้ว ไอ้ช้างบ้าเลือดโกรธจนเนื้อเต้น ถึงกับฟาดงวงฟาดงาใส่ต้นไม้ต้นไร่อย่างอันธพาล ก่อนที่มันจะวิ่งตามเข้าไปในโพรงนั้นอย่างเคียดแค้น

          สิงห์เองก็หนีเอาตัวรอดอย่าไม่คิดชีวิต ถึงแม้เส้นทางเบื้องหน้าจะมืดมิดจนมองไม่เห็นหนทาง แต่ความรักตัวกลัวตายของมนุษย์ ยังมีด้วยกันทั้งนั้น นับครั้งไม่ถ้วนที่เขาต้องล้มคะมำ เพราะสะดุดเข้ากับแง่หินจนล้มกลิ้ง แต่ก็ต้องตะเกียกตะกายไปต่อ เพราะเสียงของไอ้ช้างพยาบาท ยังแว่วให้ได้ยินอยู่เบื้องหลัง

          ชายหนุ่มได้แต่วิ่ง วิ่งเพื่อเอาตัวรอด วิ่งเพื่อให้หลุดพ้นจากไอ้ช้างวายร้ายตัวนั้น บนเส้นทางที่มืดมิด ถึงตาของเขาจะดีทั้งสองข้าง แต่ในเวลานี้ มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากคนตาบอดเลยแม้แต่น้อย มีเพียงมือและแขนทั้งสองข้างเท่านั้น ที่ใช้แทนดวงตาเพื่อนำทาง แต่แล้วเหตุการณ์ที่ตัวเขาเองไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
ขาที่กำลังก้าววิ่งออกไปข้างหน้า แทนที่ฝ่าเท้าของเขาจะได้สัมผัสผิวดินเหมือนปกติ แต่บันนี้ดูเหมือนว่า แผ่นดินที่เคยเหยียบย่ำในระดับเดิม กลับอันตรธานหายไป ด้วยความเร็วของตน บวกกับความมืดที่กะระยะ หรือคาดเดาอะไรไม่ถูก ในชัยภูมิเบื้องหน้า ไม่มีใครรู้ว่าเส้นทางนั้นจะเป็นทางลาดชั้น หรืออาจจะเป็นเหว แต่เมื่อชายหนุ่มคิดได้ มันก็สายไปเสียแล้วที่จะหันหลังกลับ และเมื่อนั้นเองความรู้สึกเหมือนโลกกำลังหมุนคว้างก็พลันเกิดขึ้น

“....!”

“วูบ!”ร่างของชายหนุ่มหมุนคว้างกลางอากาศ ก่อนที่จะเสียหลักล้มกลิ้งเหมือนลูกขนุน ไปตามพื้นดินที่มีลักษณะลาดชัน ชนิดที่ว่าเบรคยังเอาไม่อยู่ ไม่ต้องคิดว่าจะมีต้นไม้ให้เหนี่ยวรั้งเหมือนก่อนๆ เพราะว่ามันไม่มี ภายในโพรงถ้ำที่มืดมิดเช่นนี้ จะมีอยู่อย่างเดียวก็คือ แง่หิน

“พลัก...พลัก”

“อุบ..!”

“อัก!” แง่หินแล้วแง่หินเล่า ที่กระแทกร่างอันห่อหุ้มไปด้วยเนื้อนิ่มๆ จนชาไปหมดทั้งตัว ทุกครั้งที่เกิดการกระทบกระแทก สติที่พอจะหลงเหลืออยู่บ้าง บอกให้เขาต้องรีบทำอะไรสักอย่าง ในเมื่อยังไถลกลิ้งมาตามพื้นอย่างไม่มีจุดที่สิ้นสุด แขนทั้งสองข้างที่ถูกสั่งการโดยสมองที่เค้นพลังออกมาจนเฮือกสุดท้าย พลันยกขึ้นมากุมท้ายทอยของตัวเองไว้จนแน่น คงปล่อยให้ร่างกายดำเนินไปตามแรงโน้มถ่วงของธรรมชาติ ราวกับกำลังดำดิ่งสู่ก้นพื้นธรณี หรือไม่ก็ขุมนรก ขุมไหนสักแห่ง

          หรือนี่ คือจุดจบของเขาแล้ว สถานที่แห่งนี้นั้นหรือ คือหลุมฝังศพของเขา จะมีใครในคณะรู้หรือไม่ว่าเขาจะอยู่ในสภาพเช่นไรในตอนนี้ ครอบครัว ญาติพี่น้องรอบกายของเขาล่ะ จะรับรู้หรือไม่ ถ้าเขาตายไปใครจะดูแล ความคิดทั้งหมดนี้สว่างโพล่งขึ้นภายในใจของชายหนุ่ม ก่อนที่มันจะค่อยๆถูกกลืนกินไปในความมืดมิด พร้อมๆกับความรู้สึกที่ค่อยๆดับวูบไป ราวกับไฟในตะเกียงที่หมดเชื้อเพลิง....

*****เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร เขาจะรอดจากเหวนรกแห่งนั้นหรือไม่ นิยายกำลังสนุก โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ในบทต่อไป*****

.....

บุกป่า ฝ่าดง อยู่สบายๆไม่ชอบ ชอบลำบาก


พรานโส่ย นั่งทำอารมณ์


เจ้าพุ่ม ที่หุบลึกที่ไหนสักแห่ง?


อาหารหลักประจำทริป


.....
หนุ่มธุดงค์ไพร: สวัสดีครับน้าๆทุกท่าน
กว่าจะหาที่ลงได้เล่นเอาเกือบตาย  ยาวจริงๆบนที่ 9 (กว่าจะนึกมุกออก )
บทต่อไป หรือตอนต่อไป น้าๆที่ติดตามมานาน น่าจะพอเดาได้นะครับ ว่าฉากต่อไปจะเป้นแนวไหน ถ้าไม่ใช่แนวลิเก
เหมือนเดิมนะครับน้าๆ ติ ชม แต่งเติม (ช่วยกันทำมาหากินหน่อยก็ดีเหมือนกันครับ  )บางทีมุกของน้าๆอาจจะเด็ดกว่าผมก็ได้
ขอบคุณที่ติดตามกันมาอย่างยาวนานนะครับ


Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.198 seconds with 18 queries.