Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
01 May 2024, 04:05:31

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,614 Posts in 12,444 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร  (Read 488 times)
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« on: 22 April 2021, 21:28:03 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร


บทที่ 8

ตอนที่ 1

          ณ บริเวณลานโล่งนั้นเอง ที่บุคคลทั้งแปดได้ใช้เป็นที่พักอาศัยชั่วคราว ถึงแม้ตอนนี้ท่องฟ้าจะมืดสนิทลงไปแล้วก็ตาม แต่ทุกคนยังต้องช่วยกันทำงานแข่งกับเวลา เมื่อไร้แสงอาทิตย์ให้แสงสว่างและความอบอุ่น ความหนาวยะเยือกและความมืดมิดจึงครอบงำ ป่าเบื้องล่างที่ว่าเย็นยะเยือกแล้ว แต่สำหรับบนเขาแห่งนี้มันรุนแรงเป็นหลายเท่าทวีคูณ โชคยังดีที่กลางบริเวณแค้มป์พักยังมีกองไฟกองใหญ่ ที่พอจะส่งอายอุ่นและแสงสว่างให้ทั้งคณะได้ผ่อนคลาย นอกจากมนุษย์ทั้งแปดจะได้ประโยชน์จากกองไฟนั้นแล้ว หมาสองตัวที่ติดตามมาด้วยก็พลอยได้รับส่วนบุญเช่นกัน เพราะหลังจากไฟถูกก่อขึ้น พวกมันทั้งสองต่างมานอนขดอยู่ข้างๆก่องไฟนั้น

          เมื่อมีแสงสว่างจากกองฟืนมาแทนที่แสงตะวันที่ลับหายไปแล้ว ไฟฉายที่ต้องใช้อย่างประหยัดจึงถูกเก็บไว้ เหลือเพียงไม่กี่ดวงที่ยังคงได้ใช้งานอยู่ โดยเฉพาะกลุ่มของพ่อครัวหัวป่าสองสามคน ที่ต่างช่วยกันหุงข้าวหุงปลากันอย่างแข็งขัน เจ้าเคิ้งรับอาสาหุงข้าว โดยอีกมือข้างหนึ่งคอยประคองกระบอกน้ำขนาดใหญ่ ที่พรานพรพาดอิงไว้กับไม้ใหญ่อย่างมั่นคง มือข้างที่เหลือคอยจับหม้อสนามไม่ให้ล้มคว่ำขณะเทน้ำ โดยมีกระบอกไฟฉายขนาดเล็กคาบไว้อยู่ในปาก ดูแล้วทุลักทุเลเอาการณ์ แต่เจ้าเคิ้งก็ทำเสร็จได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว เพียงไม่นานหม้อสนามทั้งสามใบ ก็ถูกแขวนบนราวเตรียมหุง เท่านี้ก็หมดปัญหาเรื่องข้าว ที่เหลือตอนนี้ก็คือกับข้าว

          พรานโส่ยหลังจากรื้อเสบียงแห้งออกมากองไว้บนถุงปุ๋ย บนนั้นมีทั้งเนื้อเก้งย่างรมควันหลายก้อน ปลาย่างแห้งจนกรอบมีเหลืออยู่อีกสองไม้ และพริกแห้งเครื่องแกงต่างๆ แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ หัวปลีกล้วยป่าสามสี่หัว และหยวกกล้วยอีกสามท่อน แต่ละท่อนยาวเป็นศอก รวมถึงหน่อไม้อีกสี่หน่อ ที่ไม่รู้ว่าพรานโส่ยไปเก็บเอามาตอนไหน

“แถวนี้มีกล้วยป่าด้วยรึ ลุงโส่ย”

“ไหนพี่พรว่าบนนี้ไม่มีกล้วยป่าไงล่ะ”สิงห์ร้องถามพรานเฒ่า

“ก็ถูกของมันแล้ว”

“ไม่มีหรอกแถวนี้”พรานชราตอบ พูดจบก็โยนหัวปลีสองหัวให้เจ้าพุ่มนั่งซอย

“อ้าวแล้วลุงเอามาจากไหนล่ะ”สิงห์ยังไม่หายสงสัย

“ก็ข้างล่างนั้นไง เอ็งลืมไปแล้วรึ”

“ดงกล้วยที่พ่อเอ็งลุยไว้เป็นแปลงนั่นแหละ”คำตอบของพรานโส่ย ทำให้สิงห์ถึงกับบางอ๋อ ซึ่งตัวเขาเองก็ลืมเสียอย่างสนิท ดงกล้วยป่าที่ช้างทั้งโขลงลุยไว้เรี่ยราดไป
หมด นอกจากต้นของมันจะล้มระเนระนาดแล้ว ปลีและผล หรือเครือของมันก็กระจัดกระจายเกลื่อน ซึ่งพรานโส่ย คงเห็นและเก็บเอามาในตอนนั้น รวมถึงหน่อไม้ ที่พรานชราคงจะเก็บมาตามทางเช่นกัน

“เอ็งมานี่ก็ดีแล้ว ข้าว่าจะให้เอ็งช่วยโขลกเครื่องแกงหน่อย”พรานเฒ่าพูดจบก็ส่งครกไม้ไผ่ให้สิงห์

“ยังเหลืออีกรึเครื่องแกง ตะไคร้กับมะกรูดก็ไม่มี”

“มีแต่พริกแห้งกะเกลือ แล้วก็ข่าอีกไม่กี่แว่น”สิงห์ร้องถามพรานชรา

“แล้วพริกกะเกลือมันไม่ใช่เครื่องแกงรึ”

“มีเหลืออยู่แค่นี้ก็ดีถมถืด”พรานชราพูดจบ ก็ส่งถุงพริกแห้งให้สิงห์

“อือ..ผมก็ลืมไป ฮาๆ”

“ว่าแต่จะทำอะไรกินล่ะ”สิงห์ร้องถาม

“มีเนื้อเก้งย่างแบบนี้ ข้าว่าจะแกงใส่หัวปลีเอาไว้ซดน้ำน่าจะเข้าท่า”

“ปลาย่างก็ยังเหลือ เอามากินกับน้ำพริกสักไม้ก็พอ”

“ผักหญ้าสักอย่างสองอย่าง คงพอกินกัน”พรานเฒ่าพูดจบก็โยนหยวกกล้วยและหน่อไม้ที่แกเก็บมาใส่ไปในกองไฟ โดยไม่ระวัง หน่อไม้หน่อหนึ่งกระเด็นไปฟาดเข้ากับขาไม้ค้ำราวหม้อสนามที่พาดอิงอยู่ จนน้ำในหม้อสนามกระฉอกใส่กองไฟดังฉ่า เกือบจะล้มคว่ำทั้งราว โชยดีที่พรานแปะนั่งอยู่ใกล้ๆกระโจนคว้าไว้ได้ทัน เล่นเอากะเหรี่ยงที่เห็นเหตุการณ์ร้องเสียงหลง

“ปัดโถ่! เดี๋ยวก็ไม่ได้กินกันพอดีตาโส่ย”

“ข้าวปลาไม่ค่อยจะกะไรเลยนะแก”

“ลองเป็นเหล้าหน่อยล่ะ แตะไม่ได้”ประโยคหลังของพรานแปะ ทำเอาทุกคนพากันหัวเราะ

“เออ เอ็งพูดถึงก็ดีเลย มา เอามาให้ข้าซดสักจอกสองจอกสิ”

“หนาวฉิ บหาย”พรานโส่ยร้องบอก พรานแปะเองก็เหมือนจะรู้ใจอยู่ก่อนแล้ว รีบรินเหล้าป่าใส่จอกไม้ไผ่ให้แกหนึ่งจอก แต่แทนที่พรานเฒ่าจะยกขึ้นดื่มอย่างที่แกว่า แต่แกกลับทำปากขมุบขมิบแล้วค่อยๆเทเหล้าป่าจอกนั้นลงพื้น

“ให้เจ้าป่าเจ้าเขา เขาก่อน”

“เอ้า! ทีนี้ถึงคิวเจ้าพ่อ”พรานโส่ยพูดจบ ก็ส่งจอกเหล้าให้พรานแปะรินอีกครั้ง แต่ครั้งนี้พรานเฒ่าไม่ได้เททิ้งอย่างครั้งก่อน แต่แกกลับยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด เจ้าพ่อที่แกว่าก็คือตัวแกเองนั้นเอง

          เมื่อเหล้าป่าดีกรีแรงเข้าไปอุ่นอยู่ในท้องจนร้อนวูบวาบคนละจอกสองจอก ความสนุกคึกครื้นจึงก่อตัวขึ้นกลางดงทึบ หลังจากตรากตรำอย่างหนักในการเดินทางมาอย่างยาวนาน ช่วงเวลาของการพักผ่อนหย่อนคลาย จึงเป็นช่วงเวลาที่ทุกคน ดูว่าน่าจะมีความสุขที่สุด ถึงแม้จะสบายสู้นอนอยู่ที่บ้านไม่ได้ แต่ทุกคนก็เลือกที่จะมาลำบาก เพราะมีจุดประสงค์และความชอบเหมือนๆกัน คือรักในการผจญภัย ต่อให้ต้องนอนกลางดิน กินกลางทราย ทุกคนก็ยอม
กลิ่นเครื่องแกงในหม้อ ซึ่งกำลังเดือดส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ช่วยเรียกน้ำย้อยในกระเพาะ ที่มีเหล้าป่าไปกระตุ้นความหิว และดูเหมือนว่ามันจะไปเร่งความหิวขึ้นไปอีก เนื้อเก้งย่างที่เตรียมมาถูกเทลงหม้อน้ำแกงเดือด เกือบจะพร้อมๆกับหัวปลีซอย เพราะเนื้อเก้งที่ย่างมาเกือบสุกหมดทั้งก้อน คงมีแต่ส่วนภายในของก้อนเนื้อที่หนา ที่ยังไม่สุกดี ดังนั้นเพียงเวลาไม่นาน แกงเนื้อเก้งใส่หัวปลีก็สุกส่งกลิ่นหอม

        นอกจากหม้อต้มแกง ที่ถูกยกมาวางพักไว้บนเตาสามเส้าแล้ว หน่อไม้และหยวกกล้วยป่า ที่ถูกเผาไฟจนดำปี๋ พรานแปะใช้ไม้เขี่ยออกมาจากกองไฟ หลังจากใช้ไม้เคาะและขูดขี้เถ้าออก จากนั้นจึงค่อยๆบรรจงลอกเปลือกที่ไหม้ไฟจนดำของหน่อไม้ออก เหลือแต่เนื้อสีเหลืองส่งควันคลุ้ง ก่อนที่จะฉีกเป็นริ้วๆ ส่วนหยวกกล้วยขนาดเท่าท่อนแขนตอนยังสดอยู่ พอถูกเผาไฟแล้วปลอกส่วนที่ไหม้ออก ก็เหลือส่วนที่กินได้ใหญ่กว่าถ่านไฟฉายนิดเดียว เท่านี้ก็ได้ผักแนมน้ำพริกถ้วยใหญ่

“มาไอ้สิงห์ มากินข้าวกินปลาเสียก่อน”พรานโส่ยร้องบอก หลังจากยกห่อข้าวและกับข้าวห่อเล็กๆไปเซ่นเจ้าที่ แต่เมื่อหันหลังให้ทีไร เจ้าที่สี่ขาทั้งสองตัวก็ช่วยกันจัดการเรียบทุกที

“อีกเดี๋ยวลุง กินกันก่อนเลย”

“ขอผูกเปลให้เสร็จก่อน”สิงห์ร้องบอก ขณะผูกเชือกเปลเข้ากับต้นเสี้ยว

“ผูกสูงขนาดนั้น เดี๋ยวเอ็งก็นอนหนาวตายกันพอดี”

“แค่นี้ก็พอ”พรานเบร้องบอก หลังจากเดินผ่านมาทางสายเปลด้านหนึ่งของเขา จากนั้นก็ขยับปรับสายเปลของชายหนุ่มให้ต่ำลงไปอีก สิงห์เองก็เพิ่งจะมาสังเกตเห็นเปลของพรานกะเหรี่ยงคนอื่นๆ เปลทุกหลังก็ร่วนแล้วถูกผูกในตำแหน่งที่ต่ำมาก ถ้าขึ้นไปนอนคงสูงกว่าพื้นไม่เกินคืบ

“ก่อนนอนก็ก่อไฟตรงปลายตีนกองเล็กๆ อีกสักกอง”

“บนนี้มันหนาวกว่าข้างล่างมาก”

“หรือดึกๆถ้าเอ็งทนหนาวไม่ไหว ก็ลงไปนอนข้างตาโส่ย ข้าเองก็เหมือนกัน”พรานเบพูดจบหลังจากกระตุกสายเปลของสิงห์ เพื่อทดสอบความแน่นหนา ความจริงไม่ต้องให้พรานเบบอก สิงห์เองก็รู้ เพราะบรรยากาศตอนนี้ เย็นยะเยือกมากขึ้นทุกขณะ และจะทวีความรุนแรงมากขึ้น หากมีลมพัดผ่านมา ส่วนจะหนักหนาสาหัสขนาดไหน ตัวเขาเองก็เดาไม่ออก เพราะยังไม่เคยขึ้นมานอนบนนี้

          อาหารเย็นที่ล่วงเลยเวลามาเกือบสองทุ่ม ท่ามกลางป่าดิบดงเถื่อน ในยามราตรีที่หนาวสะท้าน แต่ก็ดูอบอุ่นเป็นกันเองของเหล่าสมาชิกที่ร่วมท่องไพร ที่นั่งรายล้อมเป็นวงบนผืนผ้าใบผืนใหญ่ ซึ่งถูกปูแผ่บนลานดินกว้าง ข้างกองไฟ ที่ตอนนี้ลุกโชนส่งไออุ่นและแสงสว่างโพลงไปทั่วบริเวณ ทำให้ช่วยปัดเป่าความหนาวเย็นให้ลดลงไปได้บ้าง แสงสีเหลืองนวลตา ส่องประกายจับไปตามลำต้น และยอดใบของต้นไม้ ทั้งเล็กใหญ่ แลให้เห็นเป็นเงาวูบวาบทุกครั้งเมื่อเปลวไฟในกองฟืนโอนเอนไปมาตามแรงลม

          สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านมาหลายระลอก ทำให้ยอดไม้ที่อยู่สูงขึ้นไป ไหวดังซู่ซ่า บิดกลับไปมาเป็นดูมันขลับ เมื่อสะท้อนกับแสงไฟในกองฟืน อากาศหนาวเย็นดูเหมือนว่าจะเลวร้ายขึ้นทุกขณะ มาถึงตอนนี้เหล้าป่าที่แบกมาด้วยเป็นแกลลอนจึงถูกรินแจกจ่ายเหล่าสมาชิกคนละจอกสองจอก ช่วยให้เจริญอาหารกันทั่วหน้า จึงทำให้อาหารมื้อเย็นธรรมดาๆ เป็นไปด้วยความเอร็ดอร่อย

“คืนนี้คงจะหนาวน่าดู”

“ขนาดยังไม่ดึกยังหนาวจนปวดกระดูก”พรานชราร้องบอกหลังจากยกจอกเหล้าขึ้นดื่ม

“แล้วคืนนี้จะมีใครออกไปส่องอะไรกันหรือเปล่า”สิงห์ถาม

“ข้ากับไอ้แปะคุยกันแล้ว คืนนี้จะลองไปส่องดูแถวๆนี้”

“ไม่รู้จะได้เรื่องได้ราวอะไรหรือเปล่า”พรานพรพูดจบ ก็ตักข้าวเข้าปาก

“เอ็งสองคนล่ะ ไปกับเขาด้วยหรือเปล่า”สิงห์หันไปถามสองกะเหรี่ยงหนุ่มที่นั่งเคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ย

“ไปสิพี่”

“ว่าจะเดินส่องอะไรเล่นแถวๆนี้อยู่เหมือนกัน”

“พี่สิงห์ไปกับพวกผมไหมล่ะ”ประโยคสุดท้ายเจ้าพุ่มหันมาร้องถาม

“เอาสิ ดีกว่าอยู่เฉยๆ”ชายหนุ่มรับคำเชิญ

“อย่าออกกันไปไกลนักล่ะ”

“ระวังไปเจอพ่อพวกเอ็งเข้าให้”พรานโส่ยร้องทัก

“ข้าก็ว่าอย่างตาโส่ย”

“พวกเอ็งอย่าทำเป็นเล่นไป ทางที่ดี ข้าว่าพวกเอ็งนอนเอาแรงไว้ดีกว่า”

“พรุ่งนี้คงต้องเดินกันหนัก”พรานเบร้องเตือนมาอีกคน เมื่อเห็นว่ามีคนไม่เห็นด้วยถึงสองคน กิจกรรมส่องสัตว์ของเจ้าพุ่มและเจ้าเคิ้งจึงต้องยกเลิกไป ทำให้กลุ่มของพรานพรที่จะออกไปส่องไฟพลอยต้องยุติไปด้วย เพราะเหตุผลเดียวคือเรื่องความปลอดภัย เพราะไม่รู้ว่าช้างโขลงที่ขึ้นมาก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าไปหากินอยู่แถวไหน ดวงไม่ดีไปเดินส่องไฟทะเร่อทะร่าอยู่กลางโขลงแล้วจะยุ่ง

        เมื่อกิจกรรมในยามค่ำถูกตัดไป หลังจากอาหารเย็นหมด เหล่าพรานกะเหรี่ยงทั้งหลายก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน คนไหนผูกเปลไว้ก็ขึ้นไปนอนเล่นบ้าง นั่งสูบบุหรี่บ้าง กระจัดกระจายกันออกไป ตามมุมต่างๆที่ตัวเองผูกไว้ แต่ก็ไม่ห่างกันมากนักพอที่จะพูดคุยโต้ตอบกันได้ถนัด ส่วนคนไหนไม่ได้ผูกเปลนอนหรือยังไม่ได้เข้านอน ก็นั่งเล่นพูดคุยกันบนผ้าใบข้างกองไฟ รวมถึงพรานเบก็ลงไปนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่ด้วย

“เดินลงเนินนี้ไปอีกเกือบวัน”

“พวกเอ็งจะได้เห็นชายดงดำ”พรานเบพูดพลางสูบบุหรี่ยาเส้นไปพลาง

“ใกล้แล้วสินะ จะได้รู้ว่ามันเป็นยังไง”

“คิดแล้วก็ชักจะตื่นเต้น”สิงห์ตอบ

“แล้วเอ็งกะจะไปนอนแถวชายดงดำนั้นสักกี่คืน”พรานเบหันมาร้องถามชายหนุ่ม ที่ตอนนี้นั่งกางมือผิงไฟอยู่ข้างๆ แต่ยังไม่ทันที่สิงห์จะร้องตอบ พรานโส่ยก็พูดขัดขึ้นมา

“คืนสองคืนยังพอไหว”

“มากกว่านี้ ข้าวสารที่เอามา ข้าว่าคงไม่พอกินกัน”

“เอ็งอย่าลืมเอาข้ากลับด้วยล่ะ”พรานชราร้องบอก พูดจบก็ล้วงหมวกไหมพรมออกมาสวมแก้หนาว

“คงไม่เกินสองคืนหรอกลุง”

“ขืนอยู่นานกว่านั้น กลับไปที่ทำงานสงสัยเจ้านายไล่ผมออกพอดี”ชายหนุ่มจากในเมืองร้องบอก

“ก็ให้มันไล่เอ็งออกเลยสิ”

“ดีเสียอีก เอ็งจะได้มาอยู่ป่ากับข้า ฮ่าๆ”พรานชราพูดจบก็ยกเหล้าป่าขึ้นจิบ ท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บเช่นนี้ นอกจากไอความอุ่นของกองไฟ ที่ช่วยปัดเป่าความ
หนาวเย็นให้ทุเลาลงได้แล้ว เหล้าป่าดีกรีแรงในยามนี้ก็ช่วยได้เช่นกัน

“ว่าแต่..เราต้องเดินกันเป็นวันเลยรึน้าเบ กว่าจะถึงชายดงดำที่น้าว่า”

“แล้วเส้นทางล่ะ เป็นป่ารกมากหรือเปล่า”ชายหนุ่มร้องถามพรานนำทาง ที่นั่งผิงไฟอยู่ใกล้ๆ

“ขึ้นอยู่กับพวกเรา ถ้าออกสายก็ถึงช้า”

“พ้นจากดงนี้ไป มันก็รกพอสมควร ยิ่งแถวๆชายดงนั้นแล้วไม่ต้องพูดถึง”พรานเบตอบ พูดจบก็ยกบุหรี่ยาเส้นขึ้นสูบ

“ผมก็คงจะแล้วแต่น้าเบล่ะกัน ว่าจะออกเดินกันกี่โมง”

“ทุกคนในนี้ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าน้าเบแล้ว”สิงห์บอก

“จริงของไอ้สิงห์มัน ขึ้นอยู่กับเอ็งคนเดียว”

“จะไปกันสักกี่โมงกี่ยามล่ะ ข้าจะได้ตื่นมาหุงข้าวหุงปลาได้ถูก”พรานชราร้องถาม พูดจบก็ซุนท่อนฟืนเข้าไปในกอง

“ข้ากะว่าสักแปดโมงน่าจะทันถึง”

“แกคิดว่าจะเตรียมตัวทันหรือเปล่าล่ะ ข้าวปลาก็ทำเตรียมเผื่อไว้ต้อนเที่ยงด้วย จะได้ไม่เสียเวลาหุงหาอีก”พรานเบร้องตอบ

“ฮีโถ่! ถมถืด ทำไมจะไม่ทัน”พรานชราร้องตอบอย่างมั่นใจ ก่อนจะยกเหล้าป่าในจอกที่เหลืออีกครึ่งลงไปอุ่นอยู่ในท้อง
แสงไฟในกองฟืน ที่เคยลุกโหมสว่างจ้าเมื่อตอนหัวค่ำ เริ่มมอดเปลวลงเมื่อดึกสงัด เหล่าพรานกะเหรี่ยงทั้งหลาย หลังจากนั่งคุยกันมาได้ค่อนคืน ก็พากันหลับใหล เพราะอากาศที่เย็นยะเยือกจนหนาว บวกกับความเหนื่อยล้าตลอดมาทั้งวันทำให้หลับกันอย่างง่ายดาย มีเพียงชายหนุ่มคนเดียวเท่านั้น ที่ยังคงนอนหนุนแขนตัวเองอยู่บนเปลสนามตาแป๋ว สายตาที่จับไปยังบริเวณชายป่าไปไกลอย่างปราศจากความหมาย

          แสงไฟที่ริบหรี่ทำให้มองอะไรออกไปได้ไม่ไกลนัก ซึ่งหลังฉากที่เห็นเป็นลำต้นของต้นไม้ยืนเรียงรายซ่อนตัดกันไปมา ครั้นเมื่อมีลมพัดผ่าน จึงทำให้เงานั้นไหวโยกวูบวาบ ราวกับเงาของปีศาจที่สิงสถิตภายในต้นไม้เหล่านั้น ที่คอยผลุบโผล่ออกมาเหมือนจะหลอกหลอน เมื่อใกล้หมดแสง ความมืดทะมึนก็เริ่มกลืนกินไปทั่วบริเวณ เช่นเดียวกับสรรพสำเนียงของพงไพรเมื่อตอนหัวค่ำที่พากันกู่ร้องไปมา ก็ค่อยๆเงียบเสียงลง นานๆครั้งจะได้ยินเสียงของสัตว์ป่าบางชนิดกู่ร้องขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง....

.....

พรานพรนั่งเฝ้าหม้อแกง


เป้สนามของพรานพร


ที่เห็นสีเขียวๆ อย่าเข้าใจผิดนะครับ เพราะมันไม่ใช่หน่อไม้?  แต่มันเป็นต้นอะไรชนิดหนึ่ง หน้าตาเหมือนต้นกระวานหรือข่า นี่แหละครับ ผมก็จำชื่อไม่ได้ แต่ดอกสวยมากครับ


นี้ไงครับดอกของมัน มีหลายสี ผมตั้งชื่อมันมา ดอกดินแดง ครับ(ตั้งเอาเอง ชื่อจริงอาจจะไม่ใช่อย่างที่ผมบอกนะครับ) ดอกมันแทงออกมาจากดินครับ เลยเรียกว่า ดอกดินสีแดง ครับ ง่ายๆ


นี้ก็เหมือนกันครับ แต่เป็นสีเหลือง เลยตั้งชื่อว่า ดอกดินเหลือง


สำหรับคนที่ยังไม่เคยเห็น ดอกกระวาน ครับ ต้น(ไส้ใน) หัวอ่อน กินได้ครับหอมฉุนที่สำคัญเป็นสมุนไพร


.....

ติดหิน: โชคยังดีที่กลางบริเวณแค้มป์พักยังมีกองไฟกองใหญ่ ที่พอจะส่งอายอุ่นและแสงสว่างให้ทั้งคณะได้ผ่อนคลาย
น้าครับผมว่าคำนี้ อายอุ่นต้องเขียนแบบนี้ ไออุ่น
ลองออกความเห็นนะครับ ผิดถูกอย่างไรขออภัยนะ ขอรับ
.....
หนุ่มธุดงค์ไพร:
ตอบน้าติดหิน  เรื่องคำว่า กลิ่นอาย และ กลิ่นไอ สำหรับตัวผมเองก็งงเหมือนกันครับ   ว่าจะใช้คำไหนดีถึงจะถูก ถ้าติดตามมา จะเห็นผมใช้ทั้ง อาย และ ไอ แต่ถ้าสังเกตความหมายดีๆ ก็จะเข้าใจครับ แต่ความคิดส่วนตัวแล้ว ในนิยายของผมน่าจะใช้คำว่า กลิ่นอาย ดีกว่า ผมคิดว่า อาย ที่ผมใช้นี้มันมีความอ่อนนุ่มในตัว แต่คำว่า ไอ มันมีความแข็งครับ อย่างเช่น ไอแดด แสดงถึงความร้อนจัดแดดร้อนเปรี๊ยง  กับ อายแดด ร้อนแต่ร้อนไม่มากอาการรับรู้ด้วยประสาท  (ผมเองก็ชักงงตัวเอง ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ส่งสัยนะครับ เคยมีคนตั้งกระทู้ในพันทิปเหมือนกัน)

http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/03/K7582596/K7582596.html
.....


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #1 on: 22 April 2021, 21:42:06 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 2


บทที่ 8

ตอนที่ 2

          กองไฟกองใหญ่ที่เคยส่องแสงสว่างโพลง มาบัดนี้เหลือเพียงถ่านแดงๆที่มีแต่กองขี้เถ้าปกคลุมอยู่หนาเตอะ หลังจากชายหนุ่มนำกิ่งไม้แห้งกิ่งเล็กๆคุ้ยเขี่ยกองขี้เถ้านั้น ก่อนที่จะนำเศษกิ่งไม้มากองสุม เพียงไม่นานหลังจากใช้ลมเป่าไม่กี่ครั้ง เปลวไฟก็ลุกพรึบขึ้นมาทันที ถึงตอนนี้ท่อนฟืนขนาดใหญ่ลดหลั่นกันไปก็ถูกสุมขึ้นมาอีกครั้ง จนบริเวณที่พักสว่างไสวไปทั่ว เมื่อแดงแสงสว่างและความอบอุ่น ป่าบริเวณรอบตัวก็ดูไม่มีพิษมีภัย

          เสียงกิ่งไม้แห้งและท่อนฟืนไหม้ไฟดัง เปรี๊ยะ ส่งควันและสะเก็ดไฟโพยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งตอนนี้สว่างไสวไปด้วยหมู่ดาวน้อยใหญ่ และดูเหมือนว่า ดวงดาวบนนั้นจะสว่างสดใส่กว่าที่เคยเห็นมา อาจเป็นไปได้ที่ทั้งคณะมาตั้งแค้มป์กันบนเนินสูง ทำให้หมู่ดาวที่เห็นอยู่ใกล้แค่เอื้อม

          เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ที่ชายหนุ่มยังนั่งกอดเข่าผิงไฟอยู่เช่นนั้น เหมือนจะตกอยู่ในภวังค์หรือไม่ก็เคลิ้มๆเหมือนว่าจะหลับ ทันใดนั้นเหมือนหูของเขาจะแว่วเสียงอะไรบางอย่า ดัง เปรี๊ยะ ติดตามมาด้วยเสียง ซ่า แรกๆก็คิดว่าคงเป็นเสียงฟืนในกองไฟเสียมากกว่าจึงไม่นึกเอะใจอะไร แต่หลังจากนั้นก็มีเสียงดัง โพล๊ะ ตามมาอีก ทำให้ชายหนุ่มหูผึ่งขึ้นมาทันที รวมทั้งหมาสองตัวที่นอนขดอยู่ข้างๆก็ลุกพรวดพราดขึ้นมาจ้องไปยังตำแหน่งของเสียง พร้อมกับเสียงครางเหมือนจะขู่อยู่ในลำคอ เพราะเสียงที่ได้ยินนั้น มันดังมาจากชายดงทึบเบื้องล่างนี้เอง และทำท่าว่าจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

“สงสัยจะช้างป่า” เสียงที่ดังออกมาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเสียงของพรานเบ ที่ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาตอนไหน

“ท่าจะไม่ดีเสียแล้ว”

“เอ็งเตรียมปลุกพวกเราดีกว่า”พรานเบพูดออกมาเรียบๆไม่มีอาการตื่นเต้นใดๆทั้งสิ้น ผิดกับสิงห์ที่ตอนนี้มีอาการกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็มีสติดี เมื่อได้รับคำสั่งเช่นนั้นชายหนุ่มจึงเดินไล่ปลุกเหล่าพรานกะเหรี่ยงทุกคนที่พากันนอนในโปรงผ้าห่ม เริ่มคนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดคือพรานโส่ย ที่นอนบนผ้าใบใกล้ๆกองไฟ แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะเดินไปปลุก พรานชราก็ลุกขึ้นมานั่ง

“เอาไงดีไอ้เบ มันหากินอยู่ข้างล่างนี้เอง”พรานชราร้องบอก

“ตื่นเว้ย พ่อมึ งมาเยี่ยมแล้ว”พรานโส่ยพูดพลางใช้ขากระทุ้งสีข้างเจ้าพุ่มและเจ้าเคิ้ง ที่ตอนนี้นอนหลับไม่รู้เรื่อง ส่วนสิงห์เดินไปเขย่าปลุกเหน๋อเช่นกัน กว่าจะปลุกให้
ตื่นได้เล่นเขย่าเสียจนเปลเกือบขาด ส่วนพรานพรและพรานแปะ คงตื่นขึ้นมาหลังพรานเบนิดหน่อย ชายทั้งสองต่างเดินมารวมกลุ่มกับพรานเบ เหมือนจะปรึกษาอะไรกันอย่างเงียบๆ

“ช่วยกันสุมไฟให้สว่างๆเข้าไว้”

“ถ้ามันได้กลิ่นควันไฟ หรือเห็นแสงไฟ มันคงจะไม่ขึ้นมาทำอะไรเรา”

“เสียแต่ว่ามันจะมาหาเรื่องพวกเรา”ประโยคสุดท้ายของพรานเบ ทำเอาสิงห์เสียวสันหลังวาบ เมื่อได้คำแนะนำเช่นนั้น ทุกคนต่างช่วยกันลากท่อนฟืนมาสุมไฟกันยกใหญ่ นอกจากกองไฟกองใหญ่ที่อยู่กลางลานแล้ว ทางริมชายป่าด้านหน้า พรานพรยังก่อไฟกองใหญ่ขึ้นอีกกอง ทำให้บริเวณนั้นสว่างไสวไปหมด

          เสียงกิ่งไม้หัก และเสียงหินพลิกไปมาดังกึกกัก ยังคงแว่วให้ได้ยินอยู่เป็นระยะๆ รวมทั้งเสียง แอ้ เบาๆ และบางครั้งก็ได้ยินเสียงพวกมันดึงกิ่งไม้ลงมาเคี้ยว แต่จนแล้วจนรอดช้างป่าโขลงนั้นก็ไม่มีท่าทีที่จะบุกขึ้นมายังที่พักของคนทั้งแปด แต่ถึงกระนั้น พรานเบก็ไม่ประมาท จึงสั่งให้ทุกคนเตรียมเก็บข้าวของเผื่อเอาไว้และเตรียมดูทางหนีทีไล่ เผื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้น จะได้มีลู่ทางหลบเลี่ยงได้ทัน

“สงสัยจะมีลูกอ่อนอยู่ด้วย”

“ดูท่าทางน่าจะกำลังซน”พรานชราพูดออกมาเบาๆ พลางยืนมองออกไปทางเสียงที่แว่วมาเป็นระยะๆ

“ดีแล้วที่มันไม่ขึ้นมาเล่นสนุกกับพวกเรา”สิงห์กระซิบ

“ถ้าเป็นแบบที่เอ็งว่า เตรียมวิ่งป่าราบกันได้เลย”

“เพราะแม่ของมันคงตามมาด้วย”พรานแปะร้องบอก

“แล้วจะเอายังไงกันดีพวกเรา”

“จะยืนลุ้นกันแบบนี้รึ?”สิงห์พูดพลางหันไปมองคณะทุกคน

“ข้าว่าพวกมันคงไม่ขึ้นมากวนพวกเราหรอก”

“ดีไม่ดีคงได้กลิ่นควันไฟของเราแล้วก็ได้”พรานเบพูดจบก็มวนยาเส้นขึ้นสูบ

“แล้วนี่มันจะอยู่กดดันเราอีกนานหรือเปล่า”

“จะเที่ยงคืนอยู่แล้ว ขืนยังอยู่แบบนี้ไปยันเช้า สงสัยเราจะแย่เพราะไม่ได้หลับไม่ได้นอน”สิงห์พูดหลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู ซึ่งตอนนี้เข็มชี้บอกเวลาที่ 23.50 น.

“พี่ว่ามันคงไม่ขึ้นมาทางนี้แล้วล่ะ”

“หรือถ้าจะให้ดี แบ่งคนผลัดกันอยู่ยามก็ได้ เอ็งล่ะว่าไง”ประโยคหลังพรานพรหันไปร้องถามพรานเบที่ตอนนี้ยืนสูบบุหรี่ยาเส้น

“ตามที่เอ็งว่ามาก็ได้ ผลัดละสองคนแล้วกัน”

“พวกเรามีกันแปดคน อยู่ผลัดละสองสามชั่วโมงก็พอ”

“ ผลัดละสองสามคนก็ได้สามผลัด นี่ก็ค่อนคืนเข้าไปแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้า”พรานนำทางร้องบอก

“ข้าอยู่ผลัดแรกเอง ใครจะอยู่คู่กับข้าบ้าง”พรานเบร้องเสริม

“ข้าเอง”พรานพรร้องตอบ

“ผมขออยู่ด้วยอีกคน นั่งตาสว่างมานานแล้ว เห็นทีจะนอนไม่หลับ”สิงห์เสนอตัว
เมื่อได้ข้อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย สรุปได้ว่าทั้งคณะสามารถแบ่งกันอยู่ยามได้สามกลุ่มด้วยกัน ผลัดแรกมีพรานเบ พรานพร และสิงห์อยู่ยามถึงตีสอง ต่อจากตีสอง มีพรานแปะ กับพรานโส่ยอยู่ถึงตีสี่ และผลัดสุดท้าย มีเหน๋อกับเจ้าพุ่มและเจ้าเคิ้ง เริ่มตอนตีสี่ถึงฟ้าสาง ส่วนใครที่อยากอยู่ต่อหรือนอนไม่หลับ จะนั่งอยู่ยามเป็นเพื่อนก็ไม่มีใครว่า

          หลังจากปรึกษาหารือกันเรียบร้อย ทุกคนก็พากันแยกย้ายออกไปพักผ่อน และเพื่อเป็นการณ์ไม่ประมาท สิ่งของสำภาระต่างๆ ของแต่ละคน จึงถูกเก็บเรียบร้อย ร่วมทั้งเครื่องครัวและเสบียงต่างๆ ก็ถูกรวบรวมไว้เช่นกัน มีเพียงผ้าใบและเปลนอนของแต่ละคนที่ยังคงอยู่ในสภาพเดิม เพราะต้องเตรียมตัวเอาไว้ก่อน เผื่อมีเหตุการณ์ฉุกเฉินอะไรขึ้นมา ทุกคนจะได้จับฉวยได้ทันการณ์

          ท่ามกลางความหนาวเย็น และเสียงของช้างโขลงที่ยังแว่วให้ได้ยินเป็นระยะๆ ทั้งเสียงหักกิ่งไม้ใบหญ้า เสียงเดินย่ำพื้นที่เต็มไปด้วยกรวดหิน และในเวลาที่เงียบสงัดก็แว่วเสียงน้ำในท้องของพวกมันลั่นดังโขลกขลาก นานๆครั้งก็ได้ยินเสียงของลูกช้างร้อง แอ้ ขึ้นมาสักทีหนึ่ง ยิ่งดึกสงัดก็ยิ่งเงียบเสียง ลมที่เคยพัดโชย มาบัดนี้ก็นิ่งสนิท กิ่งไม้ใบหญ้าที่เคยไหวตามแรงลมก็สงบนิ่งไม่ไหวติง ลองไนและแมลงไพร ที่เคยกรีดปีกระงม ดูเหมือนว่าจะเงียบหายไปนานจนจำไม่ได้ แต่สิ่งที่ยังได้ยินคือช้างโขลงเหล่านั้น

“มันจะเอายังไงของมัน”

“จะขึ้นก็ไม่ขึ้น เหมือนมันลังเลอะไรอยู่”สิงห์หันไปร้องถามพรานเบ ที่นั่งสูบบุหรี่อยู่บนเปล

“ที่มันไม่บุกขึ้นมา คงลังเลพวกเรานี้แหละ”

“ดีเสียอีก อย่าให้มันมาเลย”พรานเบตอบเสียงราบเรียบ

“แบบนี้สงสัยได้นั่งเฝ้ากันทั้งคืน”

“แต่ข้าว่า เหมือนมันกำลังจะถอยไปแล้ว”พรานพรร้องเสริมมาอีกคน และดูเหมือนว่าสิ่งที่พรานพรพูดจะทำท่าว่าจะเป็นจริง เพราะไม่กี่อึดใจจากนั้น ชายทั้งสามก็เหมือนจะได้ยินเสียงพวกมันเดินฝ่าดงทึบไป เสียงกิ่งไม้หักลู่ดังโผงพลางไปหมด เสียงนั้นค่อยๆเบาลงเรื่อยๆจนในที่สุดก็เงียบหายไป

        จากเหตุการณ์ชวนให้เครียด กลับมาคลี่คลายไปได้ด้วยดี หลังจากนั่งลุ้นกันอย่างใจละทึก หายใจหายคอไม่ทั่วท้อง ถึงตอนนี้ทั้งหมดต่างพากันโล่งอก ถึงกระนั้นพรานเบก็ยังกำชับเรื่องอยู่ยามเช่นเดิม เพราะไม่อาจจะประมาทสถานการณ์เช่นนี้ได้ รวมไปจนถึง กองไฟรอบบริเวณจะปล่อยให้มอดดับลงไม่ได้ เพราะขึ้นชื่อว่าพระเพลิงแล้วไม่ว่าสัตว์ชนิดใดก็ต้องเกรงกลัว

“สงสัยจะไปกันหมดแล้ว”

“ถ้าเอ็งง่วง เอ็งก็นอนเถอะไอ้สิงห์ ดึกดื่นป่านนี้แล้ว”พรานเบกล่าวออกมาเบาๆ

“พอไหวอยู่น้าเบ สงสัยคืนนี้คงไม่ได้ขึ้นไปนอนบนเปล”

“หนาวฉิ บเผงเลย”ชายหนุ่มร้องตอบ พูดจบก็ลากท่อนฟืนท่อนใหญ่ลงไปสุมในกองไฟ

“เผลอแป๊บๆจะตีหนึ่งเข้าไปแล้ว”

“หวังว่าพี่ยักษ์ของเราจะไม่ขึ้นมาปลุกอีกนะ”สิงห์พูดจบหลังจากยกนาฬิกาพรายน้ำขึ้นดู

“พี่พรล่ะ ไม่ง่วงรึ”ประโยคหลังสิงห์หันไปร้องถาม พรานพรที่นั่งสูบบุหรี่บนเปล

“ไม่เท่าไหร่วะ สบายมาก”

“ว่าแต่เอ็งเถอะ เห็นนั่งตาปรืออยู่นั้น ไม่ไหวจริงๆก็ไม่ต้องฝืน”พรานพรร้องตอบ แต่ดูว่าชายหนุ่มจะดื้อรั้นไม่ยอมนอน อาจเป็นเพราะความที่ไม่อยากเอาเปรียบคนทั้งสอง เพราะตัวเองนั้นล่ะเป็นคนอาสาอยู่ยามเป็นเพื่อน จะเข้านอนก่อนก็กลัวจะเสียฟอร์ม แต่เพราะอากาศที่หนาวเย็นบวกกับกรำหนักมาตลอดทั้งวัน เปลือกตาก็ชักจะหนักขึ้นทุกขณะ ดูทีท่าว่าจะทนฝืนต่อไปไม่ไหว จนในที่สุดก็ปิดสนิท

          ความเงียบเข้าครอบงำคณะเดินทางอีกครั้ง มีเพียงเสียงฟืนในกองไฟ ที่นานๆครั้งจะปะทุลั่นเปรี๊ยะ มาสักทีหนึ่ง ลมดึกเงียบสงบไปนานแล้ว แต่ความหนาวเย็นก็ยังแผ่กว้างออกไปไม่หยุดยั้ง ถึงแม้ว่าจะมีกองไฟกองใหญ่หลายกอง ถึงกระนั้นก็ตาม ก็ยังไม่สามารถบรรเทา ความเย็นยะเยือกได้เลย ชายหนุ่มนอนขดอยู่ในโปงถุงนอนจนแน่นเพราะความหนาว ถึงแม้ว่าจะนอนข้างกองไฟแล้วก็ตาม มันก็ช่วยให้ความอบอุ่นได้เพียงด้านเดียว ส่วนด้านที่ไม่ได้ผิงไอไฟ ก็เย็นยะเยือกจนปวดกระดูก

“หลับเสียแล้ว หึหึ..”พรานเบพูดออกมาอย่างแผ่วเบา พลางหัวเราะในลำคอ ที่เห็นสิงห์ม่อยหลับไป

“พึ่งจะนั่งคุยกันไม่กี่คำ ถึงว่าเงียบเชียว”พรานพรเสริม

“พรุ่งนี้แล้วสินะ ที่ข้าจะได้มีโอกาสเห็นป่าดำ”

“คิดแล้วก็อดตื่นเต้นไปกับไอ้สิงห์ไม่ได้”พรานพรพูดจบก็ลุกขึ้นจากเปลเดินมาหาพรานเบ เหมือนจะมีเรื่องอะไรอยากจะบอก

“ไหนๆเอ็งก็เคยไปเหยียบที่นั้นมาแล้ว”

“เอ็งพอจะบอกข้าได้หรือเปล่า ว่าในป่าดงดำนั่น มันมีอะไรที่พวกข้าไม่เคยเห็น”พรานพรพูดเสียงแผ่วเบา

“ข้าก็ตอบเอ็งได้ไม่เต็มปากหรอก ไอ้พร”

“ข้ากลัวว่า ถ้าข้าเล่าให้พวกเอ็งฟัง พวกเอ็งจะหัวเราะข้าเสียมากกว่า”พรานเบพูดพลางขยับหมวกไหมพรมที่สวมอยู่

“ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่หัวเราะเอ็ง ข้ารู้ว่าเอ็งเป็นคนแบบไหน”

“เล่ามาเถอะ ข้าจะไม่บอกใคร”พรานพรรบเร้า

“ไหนๆเอ็งก็อยากรู้ และอีกอย่าง เอ็งก็จะได้ไปพบหรืออาจจะได้เห็น”

“ถ้าไม่เห็นกับตา ยากที่ใครเขาจะเชื่อ”พรานเบตอบ และบัดนี้เองเรื่องราวต่างๆก็ถูกพรานเบเปิดเผยขึ้นอีกครั้ง ราวกับฉากในภาพยนตร์ที่ถูกตัดต่ออย่างกะทันหัน

          ป่าใหญ่ทึบทะมึน กินอาณาบริเวณกว้างขวาง ซึ่งถูกรายล้อมไปด้วยขุนเขา ที่สูงเสียดเมฆ ไม้ใหญ่หลายต้นยืนต้นเบียดเสียดกันจนแน่นไปหมด ส่วนไม้ชั้นล่างก็พากันแคะแกร็น เพราะไม่อาจยื้อแย่งแสงอาทิตย์จากไม้ใหญ่ที่ขึ้นบดบังไว้ได้ จนในที่สุดบริเวณเหล่านั้นก็ดูโล้งเตียน มีเพียงกองใบไม้ทับถมกันเป็นชั้นๆจนหนาเตอะ เพราะไม่เคยเกิดไฟป่า บริเวณนี้จึงกลายเป็นแหล่งอาหารและที่หลบซ่อนของแมลงและสัตว์ขนาดเล็ก

          เสียงแมลงกรีดปีกกันเซ็งแซ่ระงมป่า ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามบ่าย ที่ทอแสงลอดช่องโหว่จากยอดไม้สูงมาเป็นลำ ราวกับไฟฉายที่สาดส่องในยามค่ำคืน ทันใดนั้นเองเมื่อมีเสียงย่ำใบไม้แห้งดังกรอบแกรบแว่วมา เหล่าแมลงไพรที่พากันกรีดปีกเริงร่า เหมือนกับนัดกันไว้ พวกมันต่างพากันเงียบกริบ เสียงย่ำใบไม้นั้นยังคงได้ยิน และดูเหมือนว่าจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุด ร่างของชายคนหนึ่งก็โผล่พ้นชายป่าออกมา

          ชายแต่งกายขะมุกขะมอม ในชุดเดินป่าเก่าคร่ำคร่า ปกปิดร่างกายที่ดูกำยำทรหด ผิวกายออกดำแดงเพราะกรำแดดและงานมาอย่างหนัก บนหลังสะพายเป้ใบเก่าสีมอซึ่งถูกคาดไว้ด้วยผ้าขาวม้าสีซีดไม่แพ้เป้หลังที่สะพาย มีดเหน็บเล่มใหญ่ถูกคาดเหน็บไว้ที่เอว แต่ที่ดูเด่นสะดุดตาที่สุดคงหนีไม่พ้น ปืนลูกซองเดี่ยวกระบอกยาว ที่สะพายไว้ที่ไหล่ซ้าย สภาพของมันดูเก่าพอๆกับเจ้าของ เพราะอายุอานามก็ปาเข้าไปกว่าสี่สิบ พันท้ายที่เป็นไม้มีร่องรอยแตกบิ่นบ่งบอกว่ากรำศึกมาอย่างโชคโชน
 
          สามวันมาแล้ว ที่พรานป่า นามว่าพรานเบ ท่องเที่ยวออกล่าสัตว์มาเพียงลำพัง หลังจากเดินลัดเลาะมาตามป่าเขาชัน เพื่อเสาะแสวงหาเนื้อกลับไปบ้าน แต่จนแล้วจนรอดก็ไร้วี่แวว ของเหยื่อหรือสัตว์ป่าที่จะล่า ตั้งแต่ออกเดินทางมา มีเพียงไก่ป่าตัวเดียว ที่ยิงได้เมื่อวานก่อน เสบียงอาหารที่ติดมาด้วยก็เหลือไว้กินอีกไม่เกินสองวันก็จะหมด ตลอดเช้ายันบ่าย พรานป่าก็ไม่อาจพบเห็นแม้กระทั้งร่องรอยของสัตว์ใหญ่ที่จะล่าอีกเลย จนในที่สุดก็หยุดพักกินข้าวเที่ยงเสียหน่อย เพราะเลยเวลากินมามากพอสมควร โชคดีที่ข้าวถูกหุงเผื่อไว้แล้วเมื่อตอนเช้าทำให้ไม่ต้องออกแรงหรือเสียเวลาหุงหาอีก กับข้าวมีเพียงไก่ป่าย่าง ที่เหลืออยู่ครึ่งซีกจากเมื่อวาน และน้ำพริกแห้งที่เหลือติดก้นกระปุกอีกนิดหน่อย เพียงเท่านี้ก็สามารถกินกันตายไปได้อีกมื้อ ถึงอาหารจะมีเหลืออยู่ไม่มาก แต่พรานเบก็ยังอุตสาห์ตักแบ่งอาหารเหล่านั้นอย่างละนิดอย่างละหน่อย เพื่อเป็นเครื่องเซ่นเจ้าป่าเจ้าเขาลงบนใบไม้ที่หาได้ใกล้ๆ จากนั้นก็ประคองนำไปวางใต้โคนไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง พลางในใจก็อธิฐานขอให้เจ้าป่าเจ้าเขาขอให้พบเจอกับสัตว์ที่จะล่า

          ดวงตะวันคล้อยบ่ายลงทุกขณะ หลังจากอาหารเมื่อเที่ยงหมดไปอย่างเอร็ดอร่อย ท่ามกลางป่าเขาที่รายล้อมอยู่รอบด้าน ความหมายของคำว่า คืบก็ป่าศอกก็ป่า คงจะเป็นจริง เพราะจะเอาแน่เอานอนไม่ได้ ในเมื่อครั้งนี้โชคจะไม่เข้าข้างพรานป่า หลังจากอิ่มน้ำอิ่มข้าวได้ที่ ก็จัดเก็บข้าวของเตรียมเดินทางกลับ เพราะไหนๆไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปแล้ว จะอยู่ไปให้เสียเวลาก็ใช่ที่ ในเมื่อสัตว์ใหญ่ไม่ได้ ขากลับก็ขอสัตว์เล็กไปก็ยังดี เพราะคืนนี้กะว่าจะหาส่องชะมด อีเห็น ไปตามเรื่อง อย่างน้อยๆก็น่าจะเจอตัวบ้างล่ะ หรือถ้ามันจะโชคไม่ดีจริงๆ ก็หาฟันปลาตีกบก็พอไหว เพราะยังมีอยู่ชุกชุม

          พรานเบเดินลัดเลาะมาตามชายเขา หลังจากผิดหวังมาหลายที่ ทั้งแก่งผักกูด ช่องผาแคบ ก็ล้วนเดินหามาจนทั่ว แต่ไม่รู้ว่าอะไรมาบังตาทำให้เขาไม่สามารถพบเจอสัตว์ที่ต้องการได้เลย ที่เห็นอยู่เปรอะไปหมด ก็คงมีแต่รอยตีนที่เหยียบย่ำไว้ ซึ่งก็กินไม่ได้ หนักเข้าจึงตัดสินใจเดินวกกลับลงหุบ เพราะคืนนี้คงได้มีโอกาสส่องสัตว์ตามต้นไม้ได้บ้าง เพราะตัวเขาเองได้วางแผนเอาไว้แล้ว ถ้าไม่ได้สัตว์ก็ยังมีปลามีกบให้จับ จนตะวันเริ่มลับเหลี่ยมเขา อากาศเริ่มขมุกขมัวเพราะไร้ซึ่งพระอาทิตย์ที่เคยทอแสง ในที่สุดพรานป่าผู้โดดเดี่ยวก็มาถึงริมห้วยจนได้....

*****นิยายยังไม่จบเพียงเท่านี้ พรานเบจะพบกับสิ่งใด ไม่อาจทราบได้ โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อในตอนต่อไป!*****

ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ


น้าๆสามารถตามอ่านบทที่ผ่านมาได้ตามนี้ครับ

http://www.siamfishing.com/search.php?source=article

.....

สำหรับผู้ที่ชอบการเที่ยวป่า แนะนำให้ผูกเปลนอนจะดีที่สุดครับ(ความคิดส่วนตัวนะครับ)
ข้อดี
-น้ำหนักเบา
-ติดตั้งง่ายแม้ไม่มีพื้นที่
-สะดวกสบาย
-ราคาถูก (อย่างดี มีหลังคา ประมาณ 700-.)
-เหมาะสำหรับหน้าฝน (หลังไม่เปียกน้ำ เพียงแค่หาผ้าใบหรือหลังคากันฝน)
-กรณีฉุกเฉิน เช่น ช้างป่ามา ก็สามารถหนีได้ทัน

ข้อเสีย
-หนาว (เพราะลมพัดรอบร่างกายเรา ควรผูกให้มีความสู้ไม่มากนัก
-กรณีที่ไม่มีต้นไม้จะผูก


ปูห้วย มีให้จับมากมาย


ใครรู้ช่วยตอบทีครับ ว่ามันคือดอกของต้นอะไร (ภาพที่ 4)


เจ้านี่ก็กินได้ครับ เผา ต้ม จำชื่อไม่ได้ครับ


ไม่รู้ว่า ไปเที่ยวทริปนี้ (21-24 ตค)จะเจออีกหรือเปล่า แต่ขอให้เจอทีเถอะเจ้าพระคู๊นนณ...


กบขาสั้นทอดกระเทียมพริกไทยครับ


ตัวนี้ กบทูด / กบธูป ครับ ขนาดนี้ยังเล็กนะครับน้า


ทริปเมื่อหลายปีที่ผ่านมาครับ พาน้องๆอีกเวปหนึ่งไปเที่ยว กินอยู่ตามสภาพครับ


นี้ก็อีกทริปครับ หลายหลายอาชีพต่างคนต่างมา แต่มีจุดหมายปลายทางเดียวกันครับ


.....

SHATTER:  รูปที่4 ดอกกลมๆ แถวบ้านผมเรียก ดอกจะค่าน ครับที่อื่นไม่รู้นะ
ส่วน รูป 5 อยากเจอแบบนี้มั่งจัง

.....................


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #2 on: 22 April 2021, 21:50:46 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 3


บทที่ 8

ตอนที่ 3

          เสียงน้ำไหลดัง จ๊อกแจ๊ก ตามเหลี่ยมและซอกหิน กบเขียดตามดงบอนพากันส่งเสียงงึมงำ นานๆครั้ง ก็มีเสียงฮุบบนผิวน้ำดัง จ๋อม ของหมู่ปลาน้อยใหญ่ที่ขึ้นมาฮุบแมลงที่ตกบนผิวน้ำ เหมือนมีคนแกล้งเอาก้อนหินก้อนเล็กๆโยนลงน้ำ จนเกิดเป็นวงคลื่น สายน้ำใสไหลเย็นมองเห็นกรวดหินเล็กใหญ่หลากสี หมู่ปลาเล็กปลาน้อยพากันแหวกว่ายทวนกระแสน้ำที่ไหลเอื่อย แต่บางครั้งก็ต้องออกแรงกระโจนข้าม เพราะไม่สามารถว่ายต้านทานกระแสน้ำเชียวบริเวณโตรกหินได้

          บรรยากาศเริ่มสลัว เพราะดวงอาทิตย์ถูกกลืนหายไปแล้ว สาลิกาที่ออกท่องเที่ยวหากินในพงไพร พอเริ่มอับแสงก็พากันบินกลับรังเตรียมเข้านอน เช่นเดียวกับพรานไพรผู้โดดเดี่ยว หลังจากตรากตรำมาตลอดทั้งวัน ถึงคราวที่จะต้องหยุดพักเอาแรงอีกครั้ง พรานเบเลือกยึดบริเวณที่เป็นเพิงหินใหญ่ใกล้ริมห้วยนั้นเองเป็นที่พัก เพราะเป็นชัยภูมิที่เหมาะสม ดูแล้วไม่รกนัก แถมมีต้นไม้ขึ้นข้างๆพอที่จะใช้ผูกเปลนอนได้ หลังจากปัดกวาดเศษใบไม้แห้งได้เพียงไม่นานก็ได้สถานที่พักแรมโล่งเตียนน่าอยู่ เมื่อได้ที่พักแล้ว สิ่งต่อไปที่คิดทำก็คือ อาหาร เมื่อรื้อเสบียงในเป้หลังออกมากองดู มีเพียง ข้าวสาร กะด้วยสายตาแล้วไม่น่าจะมากเกินกิโล พริกแห้ง หอมกระเทียม เหลือติดถุงอยู่อย่างละกำสองกำ โชคยังดีที่ยังมีเกลืออีกห่อ แถมด้วยมะขามเปียกอีกมัด ถึงจะเหลือเสบียงแห้งเพียงเท่านี้พรานชำนาญไพรอย่างพรานเบก็ไม่นึกกังวลอะไรอีกแล้ว เมื่อหมดห่วงเรื่องของแห้ง  แล้วจะไปเดือดร้อนอะไรมากกับของสด ในเมื่อตัวเองก็อยู่ใจกลางตลาดสดเช่นนี้ แค่เดินลงห้วยก็มีกับข้าวสดมากมายให้เลือกสรร ในสายน้ำที่ไหลเย็น ก็เห็นหมู่ปลาแหวกว่าย ทั้งปลาเวียน ปลาก้าง และปลาสร้อย ตามซอกหินริมห้วยและกองใบไม้ ก็มีปูหิน ปูห้วย ขนาดต่างๆให้เลือกจับ รวมถึงบนฝั่งยังมีผักป่านานาชนิดให้เลือกเก็บ เช่น ผักกูด ผักหนามยอดอวบๆยั่วตาให้รีบเด็ด เลยฝั่งขึ้นไปก็มีพริกนกเม็ดแดงสดให้เก็บอีกหลายต้น แต่บางต้นก็เกลี้ยงโกร๋นเพราะเก็บไม่ทันนกขุนทอง เพราะนอกจากคนจะชอบกินแล้ว พริกขี้นกกลางป่าแบบนี้ นกก็ชอบ แต่มันก็เป็นการดีที่นกมาจิกกิน เพราะมันเป็นการแพร่ขยายพันธุ์อย่างไม่รู้ตัว เพราะนกออกหากินไกล บินไปก็ถ่ายมูลไปเรื่อย และในมูลของมันก็อาจจะมีเมล็ดพันธุ์ก็ได้ สมแล้วที่เรียกพริกชนิดนี้ว่า พริกนก นอกจากพริกนกที่สามารถเก็บมากินได้แล้ว กล้วยป่าก็กินได้ ทั้งหยวกที่อยู่ด้านในลำต้น และหัวปลีรวมไปจนถึงผลอ่อนๆ ก็สามารถนำมาประกอบอาหารกินได้เช่นกัน ตามขอนไม้ผุชื้นแฉะถ้าสังเกตดีๆก็อาจจะเจอเห็ดขอนหรือไม่ก็เห็ดหูหนูให้เก็บ และผักป่านานานชนิดอีกมากมาย ที่มีให้เลือกเก็บอย่างไม่รู้จักหมด เพียงแค่รู้จักหารู้จักสังเกตก็สามารถอยู่รอดได้อย่างสบาย

          พรานเบเดินลัดเลาะไปตามชายห้วยสายนั้น ตลอดทั้งสองฝั่งมีผักป่านานาชนิดให้พรานเบได้เลือกเก็บ ทั้งยอดผักกูด ผักหนาม และใบแต้วอ่อนๆ พรานเบเลือกเก็บมาแต่พอกิน เพราะถ้าเก็บมามากเกินไปก็จะกินไม่หมด สุดท้ายก็ต้องทิ้งไป นอกจากผักป่าที่เก็บมาแล้ว ตามซอกหินพรานเบยังล้วงปูหินตัวโตๆได้อีกสองสามตัว กะว่ามื้อนี้จะนำมาเผากินกับพริกเกลือ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นเถามันนกบนเนินตลิ่งตอนหนึ่ง พรานเบไม่รีรอที่จะสาวตามเถามันนกเส้นนั้น หลังจากเดินสาวเถามันนกเส้นนั้นมาได้สามวา ก็เจอตำแหน่งของหัวมันที่ฝังอยู่ในดิน จึงรีบใช้มีดเหน็บขุดอย่างเร่งรีบ เพราะตอนนี้ก็ขมุกขมัวมากทุกขณะ กว่าจะขุดเจอหัวมันนกแต่ละหัวได้ ก็ต้องเสียเหงื่อไปหลายหยด แต่ก็คุ้มเหนื่อยเพราะได้มันนกมากินหลายหัว เรื่องข้าวสารที่มีเหลืออยู่น้อยจึงเบาใจไปเยอะ  เพราะเย็นนี้กะว่าจะหุงข้าวปนกับหัวมันนกกิน จะได้ไม่เปลืองข้าวสาร

          หลังจากขุดหัวมันนกขึ้นมาได้ จนเนื้อตัวขะมุกขะมอมเปรอะเปื้อนไปหมด จึงเดินหอบหัวมันนกลงไปล้างทำความสะอาดที่ชายห้วย รวมทั้งชำระล้างเนื้อตัวที่เปื้อนเขลอะไปด้วยดิน  น้ำในลำห้วยใสไหลเย็นทำให้รู้สึกสดชื่นหลังจากใช้ลูบหน้าลูบตา รวมทั้งวักขึ้นดื่มจนหายเหนื่อย อาหารสดก็ได้มาพอกินแล้ว ที่ยังขาดก็คือ กระบอกไม้ไผ่ที่จะนำมาใช้หุงข้าว เมื่อสอดส่องสายตาไปรอบๆกาย อยู่ไม่นาน สายตาก็แลเห็นกอไผ่ขนาดใหญ่ อยู่ทางด้านหัวโค้งของลำห้วยเบื้องหน้า จึงนำของที่หาได้กองไว้บนก้อนหินให้ก้อนหนึ่ง กะว่าพอตัดไม้ไผ่เสร็จค่อยเดินกลับมาเอา เพราะไม่อย่าถือไปให้เกะกะ ตอนนี้จึงมีเพียงปืนลูกซอง กับมีดเหน็บเท่านั้น

          สายน้ำไหลดัง จุ๋งจิ๋ง ครั้นเมื่อกระทบแง่หินกลางน้ำ ป่าเถื่อนดงทึบกลางหุบเขาเช่นนี้ จึงทำให้สายน้ำเย็นฉ่ำ เขียดป่าตัวเล็กตามดงบอนและกอผักกูดพากันส่งเสียง ออดแอด ระงมไปทั้งลำห้วย พรานเบเดินลัดไปตามชายตลิ่งของลำห้วยนั้น ท่ามกลางธรรมชาติที่รายล้อม ระยะไม่ถึงยี่สิบวาข้างหน้า ก่อไผ่ก่อนั้นที่ทอดขวางอยู่ริมห้วย ซึ่งรกเครือไปด้วยดงบอนและกล้วยป่า แต่ขณะที่พรานเบเดินแหวกดงกูดที่ขึ้นรกนั้นเอง โสตประสาทของพรานชำนาญก็ตื่นตัวขึ้นอย่างฉับพลัน

          ท่ามกลางเสียงสรรพสำเนียงของธรรมชาติที่รายล้อม มีเสียงอะไรบางอย่างดังแว่วมาอย่างผิดสังเกต เสียงนั้นแผ่วเบาจนแยกแทบไม่ออก ถ้าเป็นคนธรรมดาก็คงยากที่จะแยกแยะ แต่สำหรับพรานเบแล้วมันเป็นเรื่องปกติ ถึงมันจะปะปนจนแยกไม่ออกก็ตาม เสียงย่ำโคลนที่เฉอะแฉะดัง เจาะแจะ บางครั้งก็เหมือนกับว่า มีอะไรบางอย่างกำลังเกลือกกลิ้งบนโคลนนั้น พรานเบรีบหมอบลงอย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรอีกแล้วนอกจากหมูป่า เพราะนอกจากเสียงมันนอนแช่โคลนแล้ว ยังมีเสียงเหมือนมันเคี้ยวอะไรดัง แจ๊บๆ แววตาของพรานเบเป็นประกายขึ้นมาทันที โอกาสนี้ไม่มีอีกแล้วที่จะได้พบตัว ปืนลูกซองเดี่ยวกระบอกยาวที่ภายในบรรจุลูกเบอร์เก้าเม็ดอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งตอนนี้พร้อมอยู่ในมือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเพราะความตื่นเต้น พรานเบค่อยๆคืบคลานไปยังตำแหน่งของเป้าหมายอย่างแผ่วเบา

          ภายใต้ซุ้มไผ่ที่ทอดเอนขวาง ราวกับอุโมงค์ดูเป็นเพิงนั้น เงาตะคุ่มๆ ของสัตว์ชนิดหนึ่งนอนเกลือกกลิ้งบนปลักโคลนขนาดใหญ่ ซึ่งมีกอบอนและกล้วยป่าที่ขึ้นรายล้อมปลักนั้น ถูกแหวกลู่ไปเป็นแถบ และตำแหน่งกลางหลุมปลักที่เต็มไปด้วยโคลนเหลวเฉอะแฉะนั้นเอง ขนสีดำดูหยาบที่ตั้งเป็นแผงถูกปกคลุมไปด้วยโคลน มีเพียงส่วนหัวและสันหลังเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่ยังไม่เปรอะเปื้อน รวมไปถึงส่วนที่เป็นเขี้ยวโง้งยาว ที่พอจะสังเกตเห็นได้ ใช่แล้วมันเป็นหมูโทนขนาดใหญ่ และมันเป็นหมูโทนตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่พรานป่าอย่างพรานเบพาลพบมา จนคนที่แอบมองตื่นตะลึงในความใหญ่โตของมันอย่างตื่นเต้น

          ระยะห่างไม่ถึงยี่สิบวาแค่นี้ ได้ยินแม้กระทั้งเสียงหายใจของมัน พรานเบค่อยๆแทรกตัวเองเข้าไปหลบอยู่บริเวณโคนต้นมะเดื่อริมตลิ่งห้วยอย่างแผ่วเบา ซึ่งต้อนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยกอกูดและบอนป่า กลายเป็นที่บังไพรได้อย่างดี โชคดีของพรานเบที่อยู่ในตำแหน่งใต้ลม ทำให้หมูโทนตัวนั้นไม่ได้ระแคะระคาย ภัยที่กำลังจะกล้ำกลายเขามาหามันเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามมันกลับนอนคลุกปลักอย่างเพลิดเพลินแทบไม่แยแสสิ่งแวดล้อมรอบข้าง

          เมื่อได้จังหวะและโอกาสทองเช่นนี้ โลหะสีเงินทรงกระบอกยาวเป็นลำ จึงค่อยๆโผล่ออกมาจากที่บังไพรนั้นอย่างเชื่องช้าและแผ่วเบา ระยะแค่นี้ต่อให้เป็นนกกระจิบตัวเล็กๆก็ไม่มีทางพลาด พรานเบบรรจงปลดเซฟไกปืนอย่างแผ่วเบาที่สุดดัง กริ๊ก เป็นเสียงที่เบาจนฟังแทบไม่ได้ยิน แต่เสียงที่คิดว่าเบาที่สุดนั้นเอง ไม่รู้ว่าผีป่าที่ไหนแกล้งไปสะกิดต่อมรับเสียง ไอ้หมูโทนตัวที่นอนแช่ปลักอยู่นั้น มีอาการสะดุ้งทะลึ่งพรวดจากปลักโคลนนั้นอย่างกะทันหัน

          อารามด้วยความตกใจของพรานเบ บวกกับความตื่นเต้นหรือกลัวเหยื่อที่จะล่าหนีไป ก็ไม่อาจทราบได้ ปากกระบอกปืนที่เล็งจับอยู่ที่เป้าหมายอยู่ก่อนแล้ว จึงลั่นไกระเบิดกึกก้องดังตูมสนั่น พร้อมๆกับร่างของหมูโทนยักษ์มีอาการผงะล้มตะแคงข้างเห็นได้ชัด ชื่อว่าหมู แต่ไม่ได้ล้มมันง่ายๆแบบชื่อของมัน เพราะเพียงเศษเสี้ยวของวินาทีนี้เอง ไอ้หมูโทนโชคเลือดก็ลุกพรวดขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันควบตะบึงเข้าหามนุษย์ด้วยความแค้น พร้องกับเสียงร้อง อี๊ด แหลมจนแสบแก้วหู ไม่มีโอกาสที่พรานเบจะลั่นกระสุนนัดใหม่ในรังเพลิง เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป จากผู้ล่ามาเป็นผู้ถูกล่าบ้างแล้ว วินาทีเป็นวินาทีตายนี้เอง ที่ทำให้พรานเบพุ่งตัวเข้าไปหลบตรงซอกโคนต้นมะเดื่อนั้นอย่างฉิวเฉียด ปืนผาหน้าไม้ไม่รู้กระเด็นกระดอนไปเสียที่ไหน เวลานี้ไม่คิดที่จะสนใจ เพราะเมื่อร่างกายแนบชิดติดพื้นธรณี หัวอันใหญ่โตของไอ้หมูโทนบ้าเลือดก็ขวิดงัดเสยเข้ากับกำบังที่เป็นพูรากของต้นมะเดื่อดังโครมจนหูลั่น เฉียดสีข้างของพรานเบไปนิดเดียว เศษดินและกอบอนทั้งเง้าถูกกระชากลอยขึ้นไปบนอากาศ เสียงรากไม้ถูกงัดจนขาดดัง ปึดๆ พร้อมกับเศษดินเศษหินกระจายฟุ้ง ก่อนที่มันจะวิ่งกระโจนข้ามร่างของพรานเบผู้ที่นอนหมอบจนติดพื้นไปตั้งหลักอีกฝั่ง

          สติที่มีพร้อมดีอยู่ก่อนแล้วของพรานชำนาญไพร ความไวเพียงเสี้ยววินาที ที่จะต้องคิดตัดสินใจว่าจะอยู่หรือจะตาย ปืนที่ตกกระเด็นห่างตัวออกไปไม่เกินช่วงแขนมองเห็นอยู่ตรงหน้า พรานเบรีบกระเสือกกระสนคว้ามาอยู่ในมือจนได้ พร้อมๆก็ไอ้หมูโทนคู่แค้นแว้งหัวกลับมาพอดี จังหวะนี้เอง เสียงกัมปนาท ก็ดังสะเทือนราวกับฟ้าถล่ม ระยะห่างไม่ถึงสิบวาเช่นนี้ ทำให้กลุ่มกระสุนทั้งเก้าเม็ดเกาะกลุ่มกันเป็นกระจุกใหญ่  เห็นได้ชัดถนัดตาว่ามีเศษเขี้ยวข้างหนึ่งของมันแตกกระจุยหักกระเด็นออกไป พร้อมๆกับอาการเสยขึ้นของหัวมันราวกับมีมือยักษ์ตบเสยเข้าไปที่บริเวณปลายคางอย่างแรง ไม่มีใครรู้ว่ากระสุนทั้งเก้าเม็ดจะทำให้มันเจ็บปวด หรือถูกจุดสำคัญบริเวณใด แต่เมื่อโดนเข้าไปเต็มๆแบบนี้ ความคิดที่จะล้างแค้นมนุษย์จึงเปลี่ยนไป และไม่ทันที่พรานเบจะซ้ำไปอีกชุด ไอ้หมูโทนเดนตายตัวนั้นก็กระโจนหายไปในพุ่มรกเสียแล้ว

          เหตุการณ์เย้ยยมทูตผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากพรานเบสำรวจความเรียบร้อยของร่างกายก็พบว่า บริเวณข้อศอกแขนด้านซ้ายแตกจนได้เลือด คงเป็นจังหวะที่พุ่งหลบในที่กำบังแล้วไปกระแทกเข้ากับแง่หินเข้า นอกนั้นก็เป็นรอยถลอกปอกเปิกเล็กน้อย พรานเบเดินตรวจบริเวณหลุมปลักเป็นที่แรกก็พบว่า มีรอยหยดเลือดปะปนอยู่ในบ่อโคลน รวมทั้งเส้นขนที่หลุดเป็นกระจุก ทำให้แน่ในว่านัดแรกต้องถูกเป้าหมายอย่างแน่นอน จากนั้นพรานเบก็ย้อนกลับมาสำรวจจุดที่ลั่นกระสุนนัดที่สอง ก็พบรอยเลือดสาดกระเซ็นอยู่ตามใบไม้และบนพื้นอีกหลายกอง

          พรานเบเดินสำรวจรอยเลือดนั้นอย่างละเอียดก็พบว่า หมูโทนตัวนั้นกระเสือกกระสนหนีหายเข้าไปในพงรก ครั้นจะออกติดตามก็กลัวว่ามันจะแอบซุ่มซ้อนรอโจมตี เวลานี้ก็ใกล้ค่ำลงไปทุกขณะจึงไม่อยากที่จะเสี่ยง รอให้ถึงตอนเช้าแล้วค่อยว่ากันใหม่ ดีไม่ดีอาจจะไม่ต้องเสียแรงยิงซ้ำให้เสียลูกปืนอีกก็ได้ เพราะกองเลือดกองใหญ่ที่เห็นเป็นฟอง ทำให้แน่ใจว่ากระสุนน่าจะถูกบริเวณปอด สิ่งที่ทำได้ในต้อนนี้ก็คือ รีบกลับไปที่พักเพื่อเตรียมหุงหาอาหาร เพราะกองทับต้องเดินด้วยท้อง เรื่องอื่นค่อยว่ากันที่หลัง แต่จังหวะที่พรานเบจะก้าวเดินนั้นเอง เท้าข้างหนึ่งก็เหยียบเข้ากับวัตถุอะไรชิ้นหนึ่งมีลักษณะแข็ง เมื่อยกเท้าออกก็พบว่า วัตถุที่ว่าก็คือ เขี้ยวของหมูโทนตัวนั้นนั่นเอง พรานเบก้มลงหยิบขึ้นมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก็พบว่าเป็นเคี้ยวที่มีลักษณะตัน เปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนจนมองไม่เห็นสีเดิม ส่วนโคนเป็นรอยแตกเป็นริ้วเพราะถูกอำนาจของลูกปืนเข้าไปเต็มๆจนทำให้มันแตกหัก บริเวณส่วนปลายทู้มีรอยแตกบิ่น เคี้ยวนั้นยาวโง้งเกือบเป็นรูปครึ่งวงกลม พรานเบเดาะเขี้ยวหมูตันชิ้นนั้น อยู่ในมือสองสามครั้งก่อนจะยัดเก็บไว้ในย่าม หลังจากนั้นก็ไปเลือกตัดกระบอกไม้ไผ่ไว้ใช้หุงข้าวมาอีกสองสามกระบอก  กว่าจะเดินย้อนกลับมายังตำแหน่งที่พักก็จวนค่ำพอดี

          พรานเบใช้เวลาเพียงไม่นาน กองไฟก็ถูกก่อขึ้นจนบริเวณที่พักสว่างโพลง ตอนนี้เองที่ลำปล้องของกระบอกไม้ไผ่ที่ตัดมาหลายกระบอก สองกระบอกใช้หุงข้าวเอาไว้กินมื้อนี้ เพราะต้องรีบออกเดินทางแกะรอยหมูโทนตัวนั้นแต่เช้า พรานเบจึงต้องหุงเผื่อไวกินมื้อเช้าอีกมื้อ หลังจากพรานเบกรอกข้าวสารลงไปในกระบอกไม้ไผ่ลงไปผสมกับหัวมันนกที่ปอกแล้วหันเป็นชิ้นๆเรียบร้อยทั้งสองกระบอก แต่ก็ยังเหลือหัวมันนกอีกหลายหัว พรานเบไม่ปล่อยให้เสียเปล่า ส่วนที่เหลือพรานเบโยนลงไปในกองไฟแล้วใช้ไม้เขี่ยขี้เถ้ามาหมกไว้ จากนั้นก็หิ้วกระบอกข้าวทั้งสองกระบอกลงไปที่ชายห้วยเพื่อเติมน้ำแล้วนำไปพาดอิงไว้ที่ราวไม้เหนือกองไฟเตรียมหุงข้าวต่อจากนั้นก็รอเวลาให้มันสุกอย่างเดียว ในช่วงที่รอให้ข้าวสุก พรานเบก็หันมาทำกับข้าว อยู่กลางป่ากลางดงแบบนี้จะเลือกกินอาหารเริดหรูที่ไหนไม่ได้ ของสดที่หามาได้ก็มีผักป่าต่างๆ กับปูห้วยตัวเขื่องอีกสามสี่ตัว คิดอยู่ในใจว่าเพียงเท่านี้ก็คงพอ แต่เมื่อคิดใหม่อีกครั้ง พรุ่งนี้เช้าต้องเตรียมออกเดินทาง ควรจะหาอาหารเผื่อไว้มื้ออื่นด้วยน่าจะดี  จึงคว้าไฟฉายและมีดเหน็บออกไปส่องฟันปลาริมห้วย ก่อนออกมาพรานเบใช้ไม้เขี่ยพรากถ่านจากกองไฟออกมาเล็กน้อยแล้วโยนปูห้วยลงไปเผา
พรานเบออกส่องฟันปลาริมห้วยไม่นานก็ได้ปลาก้างมาหลายตัว เพราะปลาเวียนชอบอยู่อาศัยตามน้ำที่ไหลและลึก พรานเบจึงเลือกฟันแต่ปลาก้างเพราะหาง่ายและอยู่ตื้นกว่า นอกจากปลาก้างแล้ว พรานเบยังเลือกจับกุ้งนางขนาดนิ้วก้อยมาได้อีกหลายสิบรวมทั้งลูกปูขนาดเล็กอีกหลายตัวที่ตะกุยตะกายอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ กะว่าจะเอามาทำแกงเลียงเอาไว้ซดน้ำแกง

          เมื่อกลับมาถึงแค้มป์ข้าวในกระบอกไม้ไผ่กำลังเดือดพล่าน ปูห้วยที่เผาทิ้งไว้ก็สุกพอดี มีบางตัวที่กระดองไหม้ขาแข้งดำปี๋ หลังจากใช้ไม้เขี่ยออกมาเคาะส่วนที่ไหม้ออก ก็กินได้เหมือนเดิม นอกจากปูห้วยที่สุกส่งกลิ่นหอมแล้ว หัวมันนกที่หมกทิ้งไว้ก็สุกได้ที่เช่นกัน พรานเบใช้ไม้เขี่ยคุ้ยออกมาปัดเป่าขี้เถ้าที่เกาะเปื้อนหัวมันออก จากนั้นก็นำไปกองรวมกับปูเผาบนใบตองที่ตัดมา จากนั้นพรานเบก็จัดแจงเตรียมทำแกงเลียง เริ่มแรกก็นำกระบอกไม้ไผ่ที่มีลูกกุ้งลูกปูที่หาได้ ไปเติมน้ำในลำห้วยแล้วนำมาตั้งไฟ ช่วงที่รอให้น้ำเดือด พรานเบก็เหลาไม้เสียบย่างพริกนกสดและพริกแห้งเตรียมทำเครื่องแกง พร้อมๆกับปลาก้างย่างทั้งเกร็ดอีกสี่ห้าตัว อีกสองตัวสับเป็นชิ้นๆเอาไว้ใส่แกงเลียง ส่วนหอมกระเทียมโยนเข้าไปเผาอีกอย่างละสามสี่หัว เพราะเผื่อไว้ทำน้ำพริกไว้กินด้วย

          พริกสดย่างได้ไม่นานก็ส่งกลิ่นหอม เคล้ากับกลิ่นหัวหอมและกระเทียมเผาที่โชยฉุนไปทั่ว  พรานเบรูดพริกย่างเหล่านั้นลงไปในกระปุกพลาสติกที่ใช้ใส่น้ำพริกแห้งซึ่งหมดไปตั้งแต่เมื่อตอนบ่าย จากนั้นก็ใช้ช้อนกดบี้พริกย่างจนแหลกโดยไม่ต้องง้อครกตำ ต่อจากนั้นเพียงไม่นานทั้งหัวหอมและกระเทียมก็ถูกบดผสมลงไปด้วย พริกและหอมกระเทียมบดหยาบเสร็จพร้อมๆกับข้าวในกระบอกทั้งสองกำลังสุกระอุ พรานเบใช้ไม้หนีบประคองกระบอกข้าวนั้นขยับออกมาจากกองไฟเล็กน้อยปล่อยให้มันระอุไปเอง

          เสร็จจากข้าวก็ต้องกลับมาทำแกงเลียงต่อ เพราะตอนนี้น้ำในกระบอกกำลังเดือดพล่านได้ที่ ลูกกุ้งลูกปูที่อยู่ในกระบอกสุกแดงเถือกน่ากิน ตอนนี้เองที่เครื่องแกงที่เตรียมไว้ถูกเติมลงไปเพิ่มความหอมเข้าไปอีก เมื่อรอจนน้ำแกงหอมปลาก้างสับ ติดตามลงไปสมทบด้วยเกลือและมะขามเปียกอีกฝัก เสียดายที่พรานเบไม่มีกะปิมอญติดมาด้วย ไม่เช่นนั้นแกงเลียงคงหอมน่ากินกว่านี้อีกเป็นทวีคูณ แต่ได้เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเริดหรูแล้วสำหรับพรานป่า เมื่อปลาเริ่มสุกพ่อครัวหัวป่าก็รีบเด็ดยอดผักกูดและผักหนามที่เก็บมาได้เติมลงไปจนล้น แต่เพียงไม่นานผักที่ดูล้นก็ยุบลงเกือบครึ่ง เป็นสัญญาณว่าแกงเลียงของพรานเบสุกพร้อมรับประทาน  ส่วนพริกที่เหลือในกระปุกพรานเบเติมเกลือและน้ำมะขามเปียกลงไป จากนั้นก็ใช้ช้อนคลุกเคล้าไม่กี่อึดใจก็ได้น้ำพริกเผาแบบลูกป่าอีกเกือบครึ่งกระปุก เอาไว้จิ้มกินกับผักป่าที่เหลือ หรือเอาไว้คลุกกับข้าวสวยกินได้ไม่ต่ำกว่าสองมื้อ....

*****เรื่องราวจะเป็นเช่นไร แล้วไอ้หมูเขี้ยวหัดตัวนั้นล่ะ! ห้ามพลาด โปรดติดตามในตอนต่อไป****

.....

แกงกบทูด/ธูป มั๊ยครับ


บรรยากาศกลางป่า เมื่อทริปที่ผ่านมาครับ (เดี๋ยวว่างๆจะตั้งกระทู้ให้น้าๆดูนะครับ ตอนนี้เอาไปดูเล่นๆก่อน)


ดอกใหญ่ยังไม่ออก เสียดายจัง งั้นเอาดอกเล็กไปก่อน เห็นโคนข้าวตอก


ทำเห็ดเปรี้ยว ผัดน้ำมันหอย หรือจะหมก เอร็ดทั้งนั้นครับ


ปิดท้ายด้วยรูปนี้ครับ แล้วพบกันใหม่ในกระทู้ต่อไป..



Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #3 on: 22 April 2021, 21:57:24 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 4


บทที่8

ตอนที่ 4

          แสงจันทร์แรมสิบค่ำ ส่องสว่างเรืองๆจับตามเรือนยอดไม้สูงจนเป็นมันขลับ แข่งกับแสงกระพริบวูบวาบ หลายสิบดวงของหมู่หิ่งห้อย ที่บินวกวนไปมาอยู่ริมห้วยและบริเวณชายป่า ซึ่งตอนนี้มองอะไรไม่เห็นแล้วนอกจากเงาตะคุ่มๆ มีเพียงเสียงน้ำไหลในลำห้วยที่แว่วปะปนมากับเสียงกบเขียดและแมลงไพร ที่พากันส่งเสียงเซ็งแซ่อยู่รอบทิศ ภายใต้แสงจันทร์ที่ทอแสงนวลตา บริเวณใต้ซุ้มไม้และเพิงหินตำแหน่งนี้เอง ที่เป็นที่พักชั่วคราวของพรานป่าผู้โดดเดี่ยว ซึ่งตอนนี้กำลังก้มหน้าก้มตากินอาหารเงียบๆอย่างเอร็ดอร่อย เพียงระยะเวลาผ่านไปไม่นานอาหารมื้อค่ำก็หมดไปอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางแสงไฟสว่างจ้าจากกองฟืนและป่าเขาที่รายล้อม เมื่ออิ่มข้าวอิ่มน้ำจนได้ที่ก็มานั่งคิดทบทวน ถึงแผนการที่จะออกตามหมูเขี้ยวหักตัวนั้นอย่างรอบครอบ เพราะมันไม่ใช่หมูฝูงธรรมดา แต่มันเป็นหมูโทนขนาดใหญ่ ขึ้นชื่อว่าหมูโทนแล้ว ถ้ามันไม่เจนจัดขนาดนี้ ก็คงอยู่ถึงจนป่านนี้ไม่ได้ ครั้นจะไม่ออกตามก็กลัวหมูลำบากที่ตัวเองยิงไว้ ไปแผงฤทธิ์ทำความเดือดร้อนให้กับคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ในเมื่อตัวเราเป็นคนทำมันเจ็บก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำไว้ให้ได้ ดังนั้นแผนการที่วางไว้ว่าในค่ำคืนนี้จะออกส่องไฟหาสัตว์ จึงต้องหยุดไว้ก่อน เพราะต้องออมแรงไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ หลังจากลากท่อนฟืนขนาดใหญ่มาสุมไฟสองสามท่อน มากพอที่จะลุกไหม้ไปจนถึงรุ่งเช้า เมื่อตรวจความเรียบร้อยรอบๆบริเวณดีแล้ว พรานเบจึงเอนหลังนอนบนเปลที่ผูกขึงอยู่ต่ำๆ มีเพียงผ้าขาวม้าผืนเดียวคลุมร่างแทนผ้าห่ม

          เสียงนกป่านานาชนิด ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ปลุกให้พรานเบตื่นนอนแต่เช้าตรู่ หลังจากจัดเก็บอุปกรณ์ต่างๆทั้งเปลและเสบียงกรังต่างๆจนพร้อมสรรพ ก็มุ่งหน้าออกแกะรอยหมูโทนตัวนั้นทันที โดยเริ่มต้นออกติดตามตั้งแต่จุดที่ลั่นกระสุนนัดที่สอง เพราะเป็นตำแหน่งสุดท้ายที่พบกองเลือดครั้งล่าสุดของเมื่อวาน ก่อนที่ไอ้หมูเดนตายตัวนั้นจะหนีหายเข้าไปในพงรก พรานเบเดินสำรวจบริเวณนั้นอีกครั้ง เพื่อตรวจหาทิศทางของหมูลำบากตัวนั้นให้แน่ใจอีกที และเป็นการรอเวลาให้ท้องฟ้าสว่างกว่านี้พอจะให้มองเห็นทัศนะวิสัยให้ชัดเจนกว่านี้อีกสักหน่อย เพราะตอนนี้ทั่วทั้งบริเวณถูกปกคลุมไปด้วยสายหมอกดูหนาทึบ ขืนใจร้อนออกติดตามโดยไม่ทันระวัง อาจจะพลาดท่าเสียทีไอ้หมูโทนตัวนั้นก็ได้ หมูลำบากก็ไม่แตกต่างจากเสือลำบาก ซึ่งถ้ามันบาดเจ็บแล้วจวนตัวหนีไม่ทันจริงๆก็จะปักหลักสู้โดยการแอบซุ่มรอจังหวะโจมตี หรือไม่ก็กระเสือกกระสนไปตายที่อื่นถ้าอาการหนัก ข่าวพรานโดนหมูป่าขวิดไส้ไหลจึงมีให้เห็นและได้ยินอยู่บ่อยๆ

          ดวงอาทิตย์ทอแสง และแผ่รัศมีความอบอุ่นไปทั่วทั้งบริเวณ ทำให้ม่านหมอกที่หนาทึบดูเบาบางลงไปทุกขณะ เมื่อเวลาร่วงเลยไป อายหมอกเหล่านั้นก็ค่อยๆทยอยเหือดหาย จนในที่สุดป่ารอบด้านก็ดูปลอดโปร่งปราศจากม่านหมอกมาบดบัง เมื่อบรรยากาศอำนวยเช่นนี้ พรานชำนาญไพรจึงเร่งสาวรอยหมูลำบากตัวนั้นไปด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะบริเวณหรือตำแหน่งที่เป็นพุ่มไม้รก พรานเบจะใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะรู้พฤติกรรมของสัตว์จมูกทู่ประเภทนี้ดี ทุกย่างก้าวจึงเต็มไปด้วยความรอบครอบ เพราะถ้าพลาดพลั่งไปแค่เสี้ยววินาที อาจหมายถึงชีวิตของตัวเองเช่นกัน เปรียบเสมือนนักมวย  ที่แลกกันหมัดต่อหมัด ใครไวกว่าคนนั้นได้เปรียบ

          เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ที่พรานเบเดินแกะรอยหมูลำบากตัวนั้นไปอย่างไม่ลดละ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ยอมหยุดพักเลยตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา ทั้งลงหุบไต่เนิน จากหลายชั่วโมงจึงร่วงเลยมาเกือบครึ่งวัน จนแล้วจนรอดพรานเบก็ไม่สามารถพบตัวของไอ้หมูเขี้ยวหักตัวนั้นได้เลย หยดเลือดที่หยดมาเป็นทางพอที่จะคำนวณทิศทางของมันได้ว่ามันจะบ่ายหน้าไปทางไหน นานเข้าก็เลือนลางลงทุกที จนในที่สุดก็อันตรธานหายไป ราวกับมีใครอุ้มมันหายไปในอากาศ พรานเบเดินสำรวจหาทั้งรอยเลือดและรอยตีนของมันก็ไม่พบ เพราะบริเวณตีนเนินนั้นเป็นพื้นที่อุดมไปด้วยกรวดหินและลูกรัง จึงทำให้ไม่สามารถสาวรอยจากรอยตีนของมันได้เลย แต่ก็ดูเหมือนว่าพรานเบจะโชคดี เพราะสายตาเหลือบไปเห็นสิ่งผิดปกติของพื้นเบื้องล่าง ก้อนหินขนาดกำมือมีอาการพลิกหงายขึ้นมา จนมองเห็นส่วนที่เคยฝังอยู่ในดินอย่างชัดเจน และสิ่งที่ทำให้พรานเบมั่นใจมากที่สุดก็คือ รอยเลือดจางๆบริเวณลำต้นของต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆ เหมือนอาการถูรูดระไป  ทำให้พรานผู้ไล่ล่าแน่ใจว่า อาการของไอ้หมูทรหดตัวนั้นคงใกล้ถึงวาระสุดท้ายของมันทุกที

          ทั้งรอยหินพลิก ต้นไม้ต้นหญ้าเล็กๆหักลู่ รวมไปจนถึงรองรอยของมันหยุดพักนอนตามพุ่มไม้ กองเลือดที่แห้งเกรอะกรัง มีมดและแมลงตอมดำมืดไปหมด ทำให้พรานเบต้องรีบสาวรอยติดตามอย่างกระชั้นชิด จนดวงตะวันบ่ายคล้อยลง ถึงได้หยุดพักการติดตาม เพราะตั้งแต่เช้ายังไม่มีอาหารหรือแม้แต่ข้าวตกถึงท้องเลยสักเม็ดเดียว นอกจากน้ำกลั้วคอ เหมือนรถยนต์ที่เคยวิ่งฉิว เมื่อขาดเชื้อเพลิงก็มีอาการกระตุกติดๆดับๆไม่นานล้อที่เคยหมุนก็หยุดนิ่งสนิท แล้วจะเอาอะไรมากกับมนุษย์เดินดิน เรียวแรงที่มีอยู่มาตอนนี้ก็ลดถอยลง ขาที่เดินก็ชักจะก้าวไม่ออก มารู้ตัวอีกทีก็มาอยู่บนเขาสกเสียแล้ว จะวกกลับมาหาแหล่งน้ำก็กลัวจะขึ้นมาไม่ทันมืดค่ำ พรานเบจึงตัดสินใจกินอาหารที่ตัวเองเหลืออยู่บนนั้น เมื่อเปิดย่ามดูก็เห็นกระบอกข้าวที่ตัวเองหุงเผื่อไว้อีกหนึ่งกระบอก น้ำพริกอีกครึ่งกระปุก ในห่อใบตองมีปลาก้างย่างจนแห้งกรอบอีกห้าหกตัว ผสมกับหัวมันนกเผาอีกสามสี่หัว เท่านี้ก็พออยู่ไหว หลังจากหาทำเลพักกินข้าว ก็จัดแจงกินข้าวด้วยมืออันสั่นเทาเพราะความหิว และด้วยความที่เป็นคนกินน้ำไม่เปลืองจึงมีน้ำดื่มในกระบอกอยู่เกือบเต็ม ทำให้มั่นใจว่าอย่างน้อยๆเสบียงและน้ำที่มีอยู่ สามารถอยู่ตามรอยบนเขาสกนี้ได้อีกสองวันถ้ามากกว่านั้นคงต้องถอยลงมาตั้งหลักใหม่

          อิ่มข้าวอิ่มน้ำได้ที่ พรานชำนาญไพรก็ออกติดตามหมูเขี้ยวหักตัวนั้นต่อ ท่ามกลางพงไพรที่รายล้อม รองรอยของมันยังคงพบเห็นได้เป็นบางครั้ง บางครั้งก็เห็นชัดเจน บางช่วงก็ขาดหายไป จึงต้องออกแรงเหนื่อยเดินวนหาถึงจะพบ และบ่อยครั้งที่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอจนพรานที่ติดตามเกิดอาการท้อเตรียมหันหลังกลับ แต่พอจะกลับเข้าจริงๆก็พบรอยเสียอย่างนั้น รอยนั้นพาพรานเบมุ่งตัดเขาสกขึ้นไปทุกระยะ ทั้งพงรก หนามหวาย กอไผ่ ล้วนถูกมันบุกลุยเข้ามาทั้งนั้น ทำให้คนติดตามลำบากเข้าไปอีกเพราะจะต้องมุดลอดซุ้มพุ่มไม้เหล่านั้นติดตามไปด้วยแถมต้องคอยระวังตัวมากขึ้นไปอีก เพราะป่าที่มันพาบุกเข้าไปเริ่มมีสภาพรกเครือมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเถาวัลย์ที่ขึ้นเกาะเกี่ยวระโยงระยางดูรกไปหมด แต่ละเถาก็มีขนาดใหญ่โตแบบที่ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน ขนาดเล็กที่สุดก็เกือบเท่าขาอ่อนแล้ว ยิ่งเข้าลึกมากเท่าไหร่ป่าก็ดูรกทึบจนดูมืดสลัวมากขึ้นเท่านั้น เพราะเหนือกอซุ้มเถาวัลย์เหล่านั้นที่ขึ้นแผ่ปกคลุมเหมือนหลังคา ก็ยังถูกปกคลุมไปด้วยร่มเงาของไม้ใหญ่หนาทึบอีกชั้นหนึ่ง ทำให้แสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องสว่างเข้ามาถึงบริเวณภายใน ซึ่งก็เปรียบเสมือนอุโมงค์หรือถ้ำดีๆนี้เอง แตกต่างกันตรงที่มีลำต้นของต้นไม้ใหญ่เหล่านั้นแทงทะลุออกมาจากซุ้มเถาวัลย์ แทนที่จะเป็นหินงอกหินย้อย และแต่ละต้นก็ดูใหญ่โตมโหฬารราวกับต้นไม้ยักษ์

          จากป่าหินกลับกลายมาเป็นป่าดิบชื้น เส้นทางที่สูงชัน เปลี่ยนมาเป็นลาดต่ำลงทุกขณะ อากาศที่อับชื้นมีแต่กลิ่นหมักเปรี้ยวของกองใบไม้ผุ ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่เคยพาลพบกับไฟป่ามานานนับศตวรรษจนดูเป็นกองหนาเตอะ ยุงและสัตว์ดูดเลือดจำพวกทากชุมจนยืนอยู่นิ่งๆไม่ได้ หนักเข้าก็ต้องงัดยาเส้นออกมาจุดสูบไล่ยุงและละลายน้ำท่าตามเนื้อตัว แต่ถึงจะคอยระวังขนาดไหนก็ถูกพวกมันเกาะกินเลือดจนแดงเถือกไปทั้งขา แสงสว่างที่มีอยู่น้อยนิด นานเข้าก็เริ่มสลัวมากขึ้นทุกที แต่ที่ทำให้น่าแปลกใจก็คือ บรรดาหมู่นกกาที่เคยส่งเสียงเจื้อยแจ้วซึ่งเคยร้อยเพรียกอยู่ชายป่า แต่ภายในดงทึบแห่งนี้ กับไม่แว่วเสียงสำเนียงใดเลย ราวกับป่าแห่งนี้ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต

          พรานเบเดินคลำเส้นทางแห่งนั้นไปอย่างไม่ลดละ แม้ป่าจะดูไม่รกนักเพราะพื้นเบื้องล่างไม่มีไม้เล็กไม้น้อยขึ้นเลย แต่ความมืดที่กำลังจะกล้ำกลาย กลับเป็นอุปสรรค์ที่พรานผู้โดดเดี่ยวจะต้องเผชิญในอีกไม่ช้า สิ่งเดียวที่ทำให้มีความหวังเดินต่อไปได้ ก็คือร่องรอยของไอ้หมูเขี้ยวหักตัวนั้น ซึ่งก็ปรากฏให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ ถึงแม้ว่าจะดูเลือนลางลงทุกขณะ แต่มันก็ดูเด่นชัดในสายตาพรานชำนาญไพร แต่ความหวังคือเนื้อหนังที่จะนำกลับไปเพื่อดำรงชีวิต ดูเหมือนว่าจะริบหรี่ลงในทันที เพราะร่องรอยของมันพาให้พรานเบมาหยุดชะงักอยู่กับที่

          ภายใต้เถาวัลย์ที่รกเครือ ผนังหินขนาดมหึมาโผล่ขึ้นมาปิดกั้นทางนั้นเป็นแนวยาวเหยียด ซึ่งดูเหมือนว่าพรานที่ออกติดตามหมูลำบากตัวนั้นไม่ได้เฉลียวใจคิดเลยว่า ตำแหน่งที่ตัวเองยืนอยู่ จะเป็นตำแหน่งของเหวลึกที่ใดสักแห่ง ลึกขนาดที่แสงแดดไม่อาจจะสาดแสงลงมาถึง ผนังหินหรืออีกนัยหนึ่งนั้นก็คือหน้าผาของภูเขาชันนั้นเอง ที่ทอดยาวเป็นกำแพงไม่มีที่สิ้นสุด โดยมีเถาวัลย์ห้อยรกไปหมด แต่หลังม่านเถาวัลย์ที่ห้อยระโยงระยางนั้นเอง ดูเหมือนว่าจะมีช่องกว้างไม่เกินสามวาราวกับถูกขวานยักษ์จามไว้ ซึ่งที่จริงแล้วมันก็คือรอยแตกหรือรอยเลื่อนของผนังหินนั้นนั่นเอง

          ราวกับประตูสู่นรกที่ดำมืด ไร้แม้แสงสว่างจากอีกฝากฝั่งเขาด้านตรงข้าม ไร้แม้แต่สรรพสิ่งที่บ่งชี้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตบริเวณนั้นก็หามีไม่  เสียงที่ได้ยินมีเพียงเสียงลมหายใจของตัวเอง และเสียงหวีดหวิวโหยหวนของลมที่พัดมาตามช่องประตูนรก ราวกับเสียของปีศาจที่พากันกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมาน ป่าดำ!! จริงหรือนี้ว่ามันจะมีจริงดังนิทานที่ตัวเขาเองนั่งฟังมาจนเบื่อ จริงหรือกับตำนานความลี้ลับที่ปูย่าตาทวดเล่าต่อๆกันมา บัดนี้คำบอกเล่านั้นมาปรากฏอยู่ตรงหน้าพรานเบแล้ว ร่างกายเหมือนจะชาไปทั้งตัว แขนขาก็พลอยเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ มือที่สั่นเทาพยายามจะล้วงมือเข้าไปหยิบไฟฉายในย่าม ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลเพราะไม่รู้ว่าเรี่ยวแรงมันหายไปไหนหมด สติที่ยังพอหลงเหลืออยู่บ้างบัญชาให้ต้องรีบถอย และนั่นคือจุดสิ้นสุดของความคิด ที่จะออกติดตามไปปลิดชีพไอ้เขี้ยวหักตัวนั้น ซึ่งมันได้หายเข้าไปในช่องประตูนรกแห่งนั้น

“สรุปเอ็งก็ไม่ได้ตามมันเข้าไป”

“ถ้าข้าเป็นเอ็ง ข้าก็ไม่กล้าเสี่ยงหรอกว่ะ”พรานพรร้องบอก

“มันคงเข้าไปหลบอยู่ในนั้น”

“ปากทางนั่น คงทะลุไปถึงป่าดำได้”พรานเบตอบ พูดจบก็ยกบุหรี่ยาเส้นขึ้นมาสูบ

“แล้วครั้งนี้เอ็งจะพาไอ้สิงห์มันไปถึงไหน”

“ข้าว่าแค่พ้นเขาสกไปก็คงพอแล้ว เพราะเท่าที่เอ็งเล่ามา ข้าว่ามันเสี่ยงเกินไปสำหรับพวกเรา”พรานพรตอบแบบเคร่งเครียด

“ข้าก็คิดแบบเอ็งนั่นล่ะไอ้พร”

“ชีวิตพวกเรา มีค่าน้อยกว่าไอ้สิงห์มันเยอะ”พรานเบตอบ พลางหันไปมองสิงห์ ซึ่งตอนนี้นอนขดตัวกลมอยู่ริมกองไฟ

“ข้าก็อยากมีบุญแบบเอ็ง ที่ได้เห็นปากทางเข้าป่าดำแบบนั้น”

“แต่เราจะเสี่ยงไม่ได้ ข้าเป็นห่วงไอ้สิงห์กับพวกเรา”พรานพรร้องเสริม

“เอ็งอย่าคิดมากไปเลยไอ้พร”

“ข้าไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องร้ายๆกับพวกเราง่ายๆหรอก”พรานเบพูดพลางตบไหล่พรานพรเป็นการปลอบขวัญ

“ว่าแต่ไอ้หมูโทนตัวนั้น ดวงมันแข็งจริงๆ”

“โดนไปขนาดนั้นยังหนีรอดไปได้”พรานพรพูดพลาง หยิบห่อยาเส้นของตัวเองขึ้นมามวน

“มันไม่ตาย ข้าก็อาจจะไม่รอดกลับออกมาก็ได้ ใครจะรู้”

“อย่างน้อยๆก็ได้ไอ้นี้เป็นที่ระลึก”พรานเบพูดจบ ก็ล้วงมือเข้าไปในย่ามแล้วหยิบวัตถุบางอย่างโยนให้พรานพรรับ
คนรับถึงกับทำตาโพลง เมื่อได้เห็นวัตถุชิ้นนั้นชัดเจนอยู่ในมือ เขี้ยวหมูป่าโค้งยาวเกือบคืบ เห็นแค่เขี้ยวก็กะขนาดตัวมันได้ว่าจะใหญ่โตขนาดไหน ส่วนปลายแหลมโง้งเป็นสันเหมือนเคียวเกี่ยวข้าว ด้านปลายสุดมีรอยแตกบิ่นไปเล็กน้อย บริเวณด้านโคนเขี้ยวที่ดูหนาใหญ่นั้น ถูกพันทับด้วยเชือกขวั้นเส้นเล็กๆ ปกปิดส่วนที่มีรอยแตกบิ่นเป็นแผลฉกรรจ์ไว้อย่างเรียบร้อย น้ำหนักของมันทำให้รู้ว่า เขี้ยวของหมูตัวนี้ไม่ใช่หมูธรรมดา เพราะมันเป็นหมูเขี้ยวตัน!

“ทีนี้เอ็งจะเชื่อข้าอย่างสนิทใจแล้วหรือยัง”

“ว่าสิ่งที่ข้าเล่าให้เอ็งฟังทั้งหมด มันเป็นเรื่องจริง”พรานเบพูดจบก็ยกบุหรี่ขึ้นสูบ

“เอ็งก็พูดไป ข้ารู้นิสัยเอ็งดี”

“ข้ารู้จักเอ็งดีพอ ข้าเชื่อเอ็งอยู่แล้วไอ้เบ”พรานพรพูดจบ ก็ส่งเขี้ยวหมูป่าชิ้นนั้น กลับคืนให้พรานเบผู้เป็นเจ้าของ

“นี่ก็ใกล้เวลาพักของเราแล้ว”

“พวกเราไปนอนพักเอาแรงกันดีกว่า โน่นตาโส่ยลุกขึ้นไปปลุกไอ้แปะแล้ว”พรานพรพูดพลาง บุ้ยปากไปที่พรานชรา

          อากาศเย็นยะเยือกบนเทือกเขาสูงเช่นนี้ มีเพียงกองไฟกองใหญ่เท่านั้น ที่พอจะบรรเทาความหนาวเย็นให้ลดลงไปได้บ้าง ฟืนท่อนแล้วท่อนเล่า ถูกบุคคลที่อยู่ยามลากมากองสุมเติมเพิ่มความสว่างและความอบอุ่น ขนาดถุงนอนอย่างดีของชายหนุ่มที่ตระเตรียมมายังเอาแทบไม่อยู่ ประสาอะไรกับผ้าขาวม้าและผ้าห่มผืนเก่าของเหล่ากะเหรี่ยงดงจะทนไหว อย่าว่าแต่มนุษย์เลย เพราะยังดีมีเสื้อผ้าและผ้าห่มพอจะบรรเทาได้บ้าง แต่หมาทั้งสองตัวที่ติดตามมาด้วยสิ น่าสงสารที่สุด เพราะนอกจากขนบนตัวมันแล้วก็ไม่มีอะไรคลุมตัวมันเลย สิ่งที่ทำได้ คือนอนขดจนตัวกลมใกล้ข้างกองไฟให้มากที่สุด แต่มากเกินก็ไม่ได้ เพราะมีบ่อยครั้งนอนเพลินจนไฟลามมาไหม้ขนก็มี โดนแบบนั้นเข้าก็แหกปากร้องลั่นป่า ทำเอาคนตกอกตกใจกันหมด

          สำหรับชายหนุ่ม คืนนี้คิดถูกที่ลงมานอนขดอยู่บนผ้าใบข้างล่าง ถึงแม้ว่าจะนอนข้างกองไฟใกล้ขนาดนี้ แต่ความหนาวเย็นก็ยังรุนแรงจนข่มตานอนแถบไม่ไหว  ขนาดว่านอนสบายกว่าเพื่อนยังทรมาน ถ้านอนบนเปลจะขนาดไหน แต่เพราะความเหนื่อยและอ่อนล้าของสังขาร ที่ตรากตรำกับการเดินทางมาอย่างหนัก เพียงไม่นานนิทราก็เข้ามาครอบงำชายหนุ่มผู้อ่อนล้า ก่อนจะเข้าภวังค์ ความรู้สึกเหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น จำได้ว่าแว่วเสียงพรานคนใดคนหนึ่งพูดงึมงำอะไรฟังไม่ได้ศัพท์ กับเสียงโครมครามของกองไฟที่ถูกสุมไฟ และแสงสว่างโพลงวูบวาบบนนั้น จากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็เงียบสนิท นานๆครั้งจะได้ยินเสียงประทุของกองฟืนดัง เปรี๊ยะ สักครั้งหนึ่ง ช่วงเวลาแห่งความฝัน หรือภาพนิมิตอะไรชนิดหนึ่ง จิตสำนึกบางอย่างทำให้เขามองเห็นภาพประหลาด ซึ่งมันผิดแปลกไปจากที่ตนเคยเห็นมาก่อน

          ในห้วงภวังค์แห่งความฝัน ความรู้สึกบอกกับตัวเองว่า กำลังยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางสายหมอกที่หนาทึบ ซึ่งตอนนี้ปกคลุมขาวโพลนจนมองไม่เห็นสิ่งต่างๆรอบกายเลย ราวกับตัวเองกำลังยืนอยู่ในกล่องกระดาษใบใหญ่ หรือไม่ก็ห้องโถงขนาดใหญ่มหึมา ที่ภายในนั้นไม่ได้บรรจุอะไรไว้เลย นอกจากเขาเพียงคนเดียว ไม่มีต้นไม้ ไม่มีสายน้ำ ไม่มีแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิต มีเพียงสายหมอกที่ถูกอัดแน่นลงไป เหมือนกับควันบุหรี่ที่ถูกเป่าไว้ในขวดแก้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆนอกจากตัวเขา และพื้นกรวดหินก้อนเล็กๆ ที่ชายหนุ่มเดินย่ำวนไปวนมาปราศจากทิศทาง มือที่ไขว่คว้าในสายหมอก เพราะมองไม่เห็นเส้นทาง ราวกับคนตาบอดที่ใช้ไม้แกว่งคลำทางไม่มีผิด ความรู้สึกของชายหนุ่มในตอนนี้บอกกับตัวเองไม่ถูกว่า กลัวหรือไม่กลัว เพราะมันทั้งสับสนระคนพิศวงเสียมากกว่า จนเวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ที่เขาเดินคลำทางวนเวียนอยู่เช่นนั้นอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง เพราะตลอดระยะเวลาที่เดินฝ่าสายหมอกหนาทึบเช่นนั้น ไม่พบอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า ขนาดพยายามเดินเป็นเส้นตรง เผื่อว่าจะเจอทางตัน ไม่ก็กำแพงหรือเขตกั้น แต่ไม่ว่าจะพยายามขนาดไหน ดูเหมือนมันจะไม่มีจุดที่สิ้นสุด ท่ามกลางความเวิ้งว้างว่างเปล่าและโดดเดี่ยวนั่นเอง เหมือนโสตประสาทจะแว่วเสียงอะไรบางอย่าง เสียงนั้นฟังดูแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่เมื่อตั้งใจฟังดีๆ ก็พบว่ามันเป็นเสียงงึมงำเหมือนใครกำลังท่องบทสวดมนต์อะไรบางอย่าง ดังแว่วมาทางเบื้องหน้านั้นเอง

        ลึกเข้าไปในม่านหมอก ชายหนุ่มรีบเดินตามเสียงสวดนั้นไปอย่างไม่รีรอ และดูเหมือนว่า ความคิดที่ออกติดตามเสียงนั้นจะเป็นผล ม่านหมอกที่ดูหนาทึบ ตอนนี้เริ่มเจือจางลงทุกขณะ เพราะเริ่มมองเห็นต้นไม้และสิ่งต่างๆรอบกายลางๆ จนในที่สุดก็พอมองเห็นอะไรต่อมิอะไรได้ถนัดตามากขึ้น แต่ภาพที่เขาเห็นนั้นกลับทำให้เขาประหลาดใจยิ่งไปอีก

          ท่ามกลางดงไม้ใหญ่มหึมาหลายร้อยต้น ที่ยืนต้นตระหง่านเป็นดงทึบ ภายใต้เงาร่มครึ้มนั้นเอง ที่ชายหนุ่มมองเห็น ร่างของชายชราคนหนึ่ง ลักษณะท่าทางหน้าตาและผิวกายดูเอิบอิ่ม ราวกับชายวัยกลางคนเสียมากกว่า ซึ่งค้านกับผมที่หงอกขาวไปทั้งศีรษะ ที่ถูกมัดรวบเป็นมวยดูเป็นระเบียบ ต่างจากหนวดเคราที่ปล่อยยาวรุงรังจนมองแทบไม่เห็นริมฝีปากและลำคอ ท่อนบนที่กึ่งเปลือย มีลูกประคำที่ทำจากเมล็ดพืช หรือไม้เปลือกแข็งสีน้ำตาลแก่บางชนิด ห้อยทับบนผ้าสีขาวที่คาดเฉียงไปถึงเอว นอกจากผ้าผืนนั้นแล้ว ยังมีผ้าคาดนุ่งดูเหมือนโสร่งสีเปลือกไม้อีกผืนโดยมีเชือกถักเส้นใหญ่คาดรัดไว้บริเวณเอว ฝ่ามือทั้งสองข้างวางซ้อนทับกันบนระหว่างกึ่งกลางลำตัวในท่านั่งขัดสมาธิ ชายชราผู้ลึกลับคนนั้นยังคงนั่งหลับตาสวดกรรมฐานอยู่ภายใต้ร่มไม้ใหญ่นั้น....

*****เรื่องราวจะเป็นเช่นไร บทสวดปริศนานั้นมาจากไหน โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในตอนต่อไป****

.....










Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #4 on: 22 April 2021, 22:04:19 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 5


บทที่ 8

ตอนที่ 5

          เสียงสวดพึมพำจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเป็นภาษาอะไร เพราะไม่คุ้นหูและฟังไม่ออก นอกจากชายชราผู้นั้นแล้ว ระหว่างโคนต้นไม้ใหญ่ไม่ห่างกันยังมีร่างของบุคคลที่แต่งกายในลักษณะเดียวกัน นั่งกระจัดกระจายอีกหลายคนตามบริเวณโคนต้นไม้ใหญ่เหล่านั้น ราวกับนักบวชที่ออกจาริกแสวงบุญ หรือไม่ก็พระภิกษุสงฆ์ที่ออกธุดงค์หาความวิเวก แต่ลักษณะการแต่งกาย และสภาพในตอนนี้ที่เห็นบอกกับตัวเองว่า ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง แล้วบุคคลที่ตนเห็นนั้นเป็นใครมาจากไหน มันสร้างความพิศวงให้กับตัวเองภายในใจ ไม่รู้ว่ามีสิ่งอันใดมาดลจิตดลใจ ทำให้ชายหนุ่มต้องรีบนั่งคุกเข่าพนมมือกราบ ด้วยความเครารพและศรัทธา แต่ดูเหมือนว่าชายที่นั่งสวดอยู่ตรงหน้านั้น ไม่มีท่าทีตอบสนอง หรือรับรู้ถึงการมาของอาคันตุกะเช่นเขาเลย ตรงกันข้ามชายชราในชุดขาว หรืออีกนัยหนึ่งอาจจะเป็นนักพรตนักบวชผู้ถือศีล ยังคงนั่งหลับตาท่องบทสวดอยู่อย่างนั้น เหมือนไม่ได้เกิดสิ่งใดผิดปกติ แต่ด้วยความสงสัยและอยากรู้ ทำให้ชายหนุ่มร้องถามชายชราในชุดขาวนั้นว่า

“กราบนมัสการครับท่าน”ชายหนุ่มนั่งคุกเข่า พร้อมพนมมือจรดไว้เสมออก

“...”
เงียบ ไม่มีเสียงหรือถ้อยคำสนทนาใดๆ นอกจากบทสวด

“ท่านครับ”

"อ..เอ่อ..ท่านครับ"

“ท่านได้ยินผมอยู่หรือเปล่าครับ”ชายหนุ่มร้องเรียกอยู่เช่นนั้น แต่ทุกครั้งก็ได้คำตอบเช่นเดิม คือไม่มีการตอบรับจากชายชราคนนั้นเลย มีเพียงเสียงสวดเท่านั้นที่หลุดรอดออกมาจากริมฝีปาก และดูเหมือนว่านักพรตหรือนักบวช คนอื่นๆคงจะมีอาการและลักษณะเดียวกันหมด แต่ด้วยความสงสัยที่อัดแน่นอยู่เต็มหัว ทำให้ชายหนุ่มเอื้อมมือจะไปสัมผัสกายของชายชราผู้นั้น เพื่อหวังจะทำให้บุคคลที่นั่งอยู่เบื้องหน้ารู้สึกตัว หรือรับรู้รับทราบถึงการมาเยือนของเขา แต่ยังไม่ทันที่นิ้วมือของเขาจะสัมผัสร่างกายของชายชรา เหตุการณ์ที่ทำให้ชายหนุ่มตื่นตะลึงก็เกิดขึ้น

        ราวกับไอน้ำที่เป็นควันฟุ้งออกมาจากกาต้มน้ำเวลาเดือด แต่มันมากมายมหาศาลหลายพันเท่า ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า กลับกระจายหายไปเหมือนกับอายหมอก ต้นไม้ พื้นดิน รวมถึงร่างของนักพรตชรา และบุคคลอื่นๆ ก็พลันเหือดหายไปพร้อมกันหมด เหมือนฉากในภาพยนตร์ที่ถูกตัดหรือเปลี่ยนฉากโดยฉับพลัน อายหมอกหรือไม่ก็ควันที่กระจายฟุ้งอยู่ทั่ว อยู่ดีๆก็มีทีท่าว่าจะก่อรวมตัวกันอีกครั้ง แต่แทนที่จะก่อรวมตัวกันเป็นภาพเดิมอย่างที่เขาคิด แต่มันค่อยๆก่อตัวเป็นสิ่งใหม่เหมือนฉากที่ถูกเปลี่ยนแปลง

          เงาลางๆของผู้คนมากมายปรากฏขึ้น ทั้ง บุรุษ สตรี และผู้เฒ่าคนชรา เดินกันพลุ่งพล่านแรกๆก็มองเห็นไม่ชัดนัก แต่ชั่วเวลาไม่นาน ภาพที่เห็นก็ชัดเจนขึ้นทุกขณะ ดูเหมือนว่าจะเป็นชุมชนขนาดใหญ่ แต่ที่น่าแปลกใจคือ ไม่มีบ้านเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย นอกจากต้นไม้ใหญ่หลายต้นที่ขึ้นเรียงราย ซึ่งมันก็ค้านกับหมู่บ้านหรือชุมชนโดยทั่วไป อาจเป็นไปได้หรือไม่ว่า สถานที่นี้อาจเป็นสถานที่ชุมนุมหรือพบประกัน แต่เท่าที่เฝ้าสังเกตดูก็ไม่น่าจะใช่ เพราะหลายคนหายร่างเข้าไปในลำต้นของต้นไม้ใหญ่เหล่านั้น และถ้าดูไม่ผิด ต้มไม้ที่เห็นนั้นมันคือต้นตะเคียน

          บุคคลที่เห็น ล้วนแล้วแต่แต่งกายในชุดที่แปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็คลับคล้ายคลับคลา กับชุดของสตรีนางหนึ่ง ที่เดินเฉียดเข้ามาใกล้ ทั้งสไบและผ้าซิ่น ก็ดูเหมือนกับว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อนแต่ก็นึกไม่ออก สตรีแต่ละคนดูงดงามอ่อนช้อย รูปร่างหน้าตาดูสะอาดสะอ้านอิ่มเอิบ เปรอะไปด้วยรอยยิ้ม ดูเป็นมิตรไมตรี รวมถึงเหล่าบุรุษเพศ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีร่างกายบึกบึนแข็งแรง สง่างาม ดูแตกต่างไปจากกลุ่มนักพรตหรือนักบวช ทรงผมที่ถูกรวบมัดกันเป็นมวยมีปิ่นที่ทำจากรากไม้เสียบขัดไว้ หนวดเคราก็ดูสั้นเป็นระเบียบไม่ได้ปล่อยยาวเหมือนกับเหล่านักพรต ราวกับมันจะถูกตัดเล็มให้ดูสั้นตลอดเวลา และนอกจากสร้อยคอที่ทำจากเมล็ดพืชสีน้ำตาลแล้ว ไม่มีสิ่งใดปกปิดท่อนอกที่ดูเปลือยเปล่า บุรุษแต่ละคนล้วนแต่นุ่งผ้าโสร่งสีเปลือกไม้ไม่ได้มีลวดลายอะไร โดยมีสายเชือกถักคาดรัดไว้กับเอว

          สำหรับชุดแต่งกายของเหล่าสุภาพสตรี ซึ่งที่จริงแล้วก็ดูคุ้นหูคุ้นตา จนบอกกับตัวเองไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน ทั้งผ้าสไบผืนบางๆหลากสีของบรรดาสุภาพสตรีทั้งหลาย ที่คล้องปิดอำพรางสองประทุมถันอย่างหละหลวม ที่แทบจะไม่ได้อำพรางความเปล่าเปลือยมองเห็นเด่นชัดแบบนั้นได้เลย แต่ที่ดูแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็คือ สีของผ้าสไบคล้องเหล่านั้นที่พอจะแยกแยะได้อย่างชัดเจน ถ้าเป็นหญิงสาวผ้าคล้องจะมีสีสันแตกต่างกันออกไป เช่นสีเหลือง สีเขียว สีชมพู และสีส้ม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสีโทนอ่อนทั้งสิ้น แต่ถ้าเป็นสตรีสูงอายุหรือชราภาพแล้ว ผ้าคล้องจะเป็นสีขาว รวมถึงทรงผมที่ดูหงอกขาวโพลนไปทั้งศีรษะก็ถูกมัดรวบเป็นมวย แต่สำหรับหญิงสาวที่มีเส้นผมดำขลับเป็นเงางาม จะถูกปล่อยยาวสลวยดูเป็นธรรมชาติ ส่วนผ้าที่นุ่ง หรือผ้าซิ่นดูเหมือนว่าจะเป็นสีน้ำตาลเปลือกไม้เช่นกัน โดยคาดนุ่งปิดบริเวณเอวไปจนถึงข้อเท้าที่ว่างเปล่า นอกจากดอกไม้ที่เหน็บทัดติดหูอยู่นั้น สุภาพสตรีแต่ละนางล้วนแล้วแต่ไม่มี สิ่งของมีค่าใดๆที่แสดงว่าเป็นเครื่องประดับบนเรือนร่างเลยแม้แต่ชิ้นเดียว สิ่งที่ดูสวยงามมากกว่าเครื่องประดับก็เห็นจะมีเพียง หน้าตาและเรือนร่างของแต่ละคนเท่านั้น ที่มณีแก้ว หรือเพชรพลอยของมีค่าใดๆ ไม่อาจสามารถ มาเปรียบเทียบความงดงามของบุคคลเหล่านั้นได้เลยแม้แต่ผงธุลี

          ส่วนเด็กเล็กๆทั้งหญิงและชาย ที่วิ่งเล่น หยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน นอกจากทรงผมที่ถูกรวบมัดเป็นมวยดูน่ารักนั้นแล้วที่พอจะแยกแยะว่าเป็นเด็กผู้ชาย มีเพียงผ้าเตี่ยวผืนเล็กสีน้ำตาลปกปิดส่วนที่บ่งบอกเพศไว้เท่านั้น แต่สำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆนั้น จะแต่งกายคล้ายๆหญิงสาวที่ย่างก้าวเข้าสู่วัยเจริญพันธ์ แต่จะแตกต่างกันก็ตรงที่ชุดที่สวมใส่มีขนาดเล็กย่อส่วนลงมานั้นเอง ดูผิวเผินไปแล้ว ชุมชนที่เขาเห็นในขณะนี้ ทั้งวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ลักษณะท่าทางของผู้คน แม้จะไม่รู้ถึงอุปนิสัยใจคอที่แท้จริง ของบุคคลในชุมชนประหลาดเหล่านั้นก็ตาม แต่ความนึกคิดหรือจิตสำนึกภายในใจลึกๆบางอย่างบอกกับตัวเองว่า บุคคลเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีมิตรไมตรีจิตด้วยกันทั้งนั้น แววตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ไร้พิษภัยของแต่ละคน แสดงถึงความอ่อนโยนอย่างเห็นได้ชัด และสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น

          ท่ามกลางความมึนงง และพิศวง ซึ่งชายหนุ่มไม่นึกไม่ฝันที่จะได้พบเห็นมาก่อน หรือสิ่งที่เขาเห็นนี้ เป็นเพียงแค่ความฝันจากห้วงสำนึกในจินตนาการ ชุมชนขนาดใหญ่หรือจะเรียกว่าหมู่บ้านขนาดย่อมๆก็ยังได้ ทำไมถึงมาตั้งรกรากอยู่กลางดงดิบขนาดนี้ หรืออาจจะเป็นทวยเทพที่อาศัยสิงสถิตตามต้นไม้ใหญ่ แทนที่จะเป็นที่อยู่อาศัยแบบมนุษย์ปกติธรรมดาทั่วไป  แทนที่จะเกิดความรู้สึกกลัว แต่เขากลับรู้สึกว่า สถานที่แห่งนี้มีอบอุ่นและปลอดภัย ชายหนุ่มเดินแทรกกายปะปนไปกับฝูงชนนั้นอยู่อย่างระมัดระวัง เหมือนกับตัวเองเป็นส่วนหนึ่งในบุคคลของชุมชนนั้น ทั้งเฝ้าสังเกต การเคลื่อนไหว การพูดจาส่งภาษา และกิจกรรมต่างๆ ด้วยความตื่นเต้น แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครในชุมชนแห่งนั้น รับรู้หรือมองเห็นการมาของเขาเลย เพราะทุกครั้งที่เขาพยายามร้องเรียกหรือส่งภาษาทักทาย ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ก็ไม่มีผลตอบรับอะไรกลับมาเลยทั้งสิ้น เช่นเดียวกับเหตุการณ์แรกที่ตัวเองพบเจอมาสดๆร้อนๆ ขณะที่ชายหนุ่มเดินสำรวจหมู่บ้านประหลาดนั้นเอง ครั้งแล้วก็มีเสียงระเบิดกึกก้อง จนตัวเองถึงกับสะดุ้ง เมื่อหันกลับไปดูที่มาของเสียง ภาพที่ปรากฏทำให้เขาถึงกับร้องลั่นอย่างลืมตัว

“เฮ้ย!”

“ใครมาระเบิดภูเขาว่ะนั่น?” ชายหนุ่มร้องลั่นเบิกตาโพลงไปที่ภูเขาขนาดใหญ่ ซึ่งตอนนี้มีฝุ่นกระจายฟุ้งไปทั่วบริเวณ แต่ไม่ทันที่สิงห์จะได้ตั้งตัว ครั้นแล้วกัปนาทก็แผดเสียงสนั่นอีกครั้ง จนพื้นที่ยืนถึงกับสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ ของบุคคลในชุมชนนั้น ผู้คนที่เห็นต่างวิ่งหนีหายตัวเข้าไปในต้นตะเคียนนั้น ลูกเด็กเล็กแดงร้องจ้าเพราะตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างขีดสุด

“ตูมมม!”

“ซ่า...”

“เฮ้ยไอ้หนู ระวัง!” ชายหนุ่มร้องเสียงหลง เมื่อเห็นก้อนหินขนาดเท่าครกตำข้าว ปลิวกระเด็นลงมา กลิ้งขลุกๆ ตรงมายังตำแหน่งของเด็กน้อยคนหนึ่ง ที่นั่งร้องไห้อยู่กับพื้น ด้วยความเป็นห่วงทำให้ชายหนุ่มพุ่งตัวเขาไปช่วยเด็กน้อยคนนั้นอย่างลืมตัว แต่แทนที่จะสัมผัสกับกายของเด็กผู้กำลังจะเคราะห์ร้าย ชายหนุ่มกับ คว้าได้เพียงอากาศ ก่อนที่ร่างของเขาจะลงไปนอนกองอยู่กับพื้นที่ว่างเปล่า

“อะไรกันนั่น”

“เด็กคนนั้นหายไปไหนแล้ว”ชายหนุ่มละล่ำละลัก พลางกวาดสายตาหาเด็กน้อยคนที่ตัวเองหวังจะช่วยชีวิตไว้ พร้อมๆกับฉากที่เขาเห็นก็ค่อยๆจางหายไป ก่อนที่จะกลับมารวมตัวกันอีกครั้งในภาพเหตุการณ์ใหม่ที่เขาถึงกับอึ้งขึ้นไปอีก

          กองคาราวานทั้งมนุษย์ และเครื่องจักรสารพัดชนิด พากันบุกตะลุยเข้ามาเป็นทิวแถว ราวกับน้ำป่าที่กวาดล้างทุกสรรพสิ่งที่กีดขวางทางของมัน ให้พบกับความย่อยยับ เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มกึกก้อง ราวกับฟ้าคำราม ติดตามมาด้วยเสียง ครืนสนั่น ของไม้ใหญ่หลายต้นที่ทยอยล้มลงทีละต้นสองต้น ฝูงสัตว์ป่าน้อยใหญ่พากันวิ่งกระเจิดกระเจิงอย่างตื่นตกใจ ทั้งเสียงขวาน เสียงเลื่อย ที่ฝากคมไว้กับต้นไม้ใหญ่ต้นแล้วต้นเล่า ดังก้องไปทั้งบริเวณ และมันกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆราวกับน้ำป่าที่กำลังไหลบ่าเข้ามาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

        รถบรรทุกท่อนซุงขนาดใหญ่ คันแล้วคันเล่า ขับผ่านหน้าชายหนุ่มที่ยืนตกตะลึงกับภาพที่มองเห็นอยู่เช่นนั้น จากป่าทึบกลับกลายมาเป็นที่โล่งเตียน เปลวไฟที่ลุกโหมกระหน่ำกระจัดกระจาย ส่งควันม้วนตลบสู้ขึ้นไปบนท้องฟ้า ราวกับเมฆฝน พื้นดินที่เคยชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยไม้พรรณ แปลสภาพมาเป็นพื้นดินแห้งแล้งแตกระแหง ส่งฝุ่นฟุ้งกระจายทุกครั้งเมื่อมีลมพัดมา ตามเนินเขาที่เคยเขียวครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ตอนนี้ไม่เหลือเค้าเดิมอยู่เลยแม่แต่น้อย เหลือเพียงตอไม้ที่ถูกทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์

        ระหว่างที่ชายหนุ่มเฝ้ามองภาพแห่งการทำลายล้างด้วยใจอันสลดหดหู่  ทันใดนั้นเงาของบุคคลปริศนาที่เคยแทรกกายซ่อนเร้นในที่พักอาศัยหรืออีกนัยก็คือต้นตะเคียนยักษ์ ก็พากันทยอยออกมาให้เห็นทีละคนสองคน เพียงไม่นานก็มองเห็นเหล่าสมาชิกออกมายืนเรียงรายกันเต็มไปหมด ทั้งหนุ่ม สาว ลูกเล็กเด็กแดง และคนชรา ทุกคนล้วนแล้วแต่หลั่งน้ำตาด้วยความโศกเศร้าเสียใจ หลายคนล้มทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น เหมือนคนไร้เรี่ยวแรงที่จะพยุงตัวเองให้ยืนต่อไปได้ หลายคู่ก็กอดกันร้องไห้ ดูแล้วน่าสงสารและเวทนา เด็กเล็กๆที่เคยซุกซน ร่าเริง บัดนี้กลับมาเศร้าหมองแววตาส่อความตระหนกตื่นกลัวอยู่ตลอดเวลา และแล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อมีมนุษย์บุกถากถางเข้ามาถึง และแน่นอนเป้าหมายที่มนุษย์เหล่านั้นหมายตาเอาไว้ ก็คือ บรรดาต้นตะเคียนขนาดยักษ์ที่ยืนเรียงรายเต็มไปหมด คมขวานแรกที่ถูกเงื้อฟันอย่างไม่ปราณีก็บังเกิดขึ้น พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมานของผู้ซึ่งเป็นเจ้าของ ราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของบุคคลนั้น ชายหนุ่มทนฝืนเฝ้ามองอยู่ต่อไปไม่ไหว กำปั้นที่กำแน่นบีบเกรงโดยไม่รู้ตัว บอกไม่ถูกว่าไปโกรธแค้นใครมาจากไหน จนเขาไม่สามารถระงับอารมณ์ที่ระเบิดพล่านอยู่อกไม่อยู่

“เฮ้ย อย่า!”

“อย่าตัดต้มไม้พวกนั้น”ชายหนุ่มตวาดลั่น พลางวิ่งพรวดเขาไปหาหมายจะหยุดยั้งคมขวานที่กำลังจะกระหน่ำฟันซ้ำลงไปอีก

“หยุดสิวะ”

“ไม่ได้ยินที่ผมพูดหรือไง?”

“เฮ้ย บอกให้หยุดยังไงวะ”ไม่พูดเปล่า สิงห์พุ่งไปพร้อมกำปั้นที่เหนี่ยวออกไปเต็มแรง แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ทำ มันจะไร้ผล เพราะนอกจากจะไม่ถูกอะไรแล้ว ตัวเขาเองนั้นล่ะที่เสียหลักจากการเหวี่ยงหมัดชกอากาศ จนตัวเองหมุนคว้างหน้าหงายลงไปนอนกองกับพื้น ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น สิงห์ก็ไม่หยุดความพยายามแม้ว่า สิ่งที่ทำมันจะไม่มีประโยชน์อะไรก็ตาม หมัดแล้วหมัดเล่า ที่ถูกเหวี่ยงออกไปแบบไร้ค่า จนเจ้าตัวเหนื่อยแทบคลาน แต่นั้นก็ไม่เท่ากับภาพที่เขากำลังเห็นอยู่ในตอนนี้

          เหมือนฟ้าผ่าลงมากลางหัวใจของชายหนุ่ม ทันทีที่ตะเคียนยักษ์ต้นนั้น ถูกตัดโค่นล้มลงมา ร่างของผู้ที่อาศัยร่างนั้นก็พลันสลายหายไปราวกับฝุ่นผงที่ปลิวไปตามลม พร้อมๆกับเสียงกรีดร้องโหยหวนที่ค่อยๆจางหายไป ความหมายของเหตุการณ์ที่เขาเห็นพอจะให้เดาได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับต้นตะเคียนยักษ์ต้นนั้น ราวกับว่าทั้งสอง เหมือนเป็นสิ่งๆเดียวกัน ที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ขาดชีวิตหนึ่งอีกชีวิตก็ไม่สามารถดำรงชีพอยู่ต่อไปได้ ทำให้คนที่เฝ้ามองถึงกับสะเทือนใจ กับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

          หมดเรี่ยวแรงที่จะร้องห้าม หมดสิ้นหนทางที่จะร้องบอก หมดแม้กระทั่งกำลังที่จะทรงตัวให้ลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มได้แต่มองภาพเหตุการณ์ทำลายล้างนั้น ปล่อยให้ดำเนินต่อไปจนหมดอาลัยตายอยากที่จะทำอะไรทั้งสิ้น ต้นตะเคียนขนาดใหญ่ ต้นแล้วต้นเล่า ที่ถูกโค่นล้มลงมากองเกลื่อน เสียงหวีดร้องด้วยความกลัว และเสียงร้องไห้ ที่ดังอื้ออึง ภายในโสตประสาท ดูเหมือนว่าจะดังก้องอยู่ในหัวดูสับสนไปหมด ภาพไม้ล้ม ภาพร่างกายที่แตกสลายราวกับฝุ่นผงแค่เห็นแวบเดียว ก็ทำให้รู้ถึงความเจ็บปวดสุดแสนจะบรรยาย ภาพนั้นเปลี่ยนสลับกันไปมา เหมือนทีวีที่ถูกเปลี่ยนช่องหลายๆครั้ง วนเวียนสลับกันไปมา จนตัวเองเกือบจะรับสภาพนี้ต่อไปไว้ไม่ไหว แต่ในฉากที่ดูวุ่นวายและโหดร้านนั้นเอง ภาพๆหนึ่งก็พลันบังเกิดขึ้น

          ท่ามกลาง กองท่อนซุงขนาดยักษ์ ที่กระจัดกระจายเกลื่อน และคาราวานรถบรรทุก ที่วิ่งตีฝุ่นตลบฟุ้งไปทั่วบริเวณ บริเวณนั้นเอง ที่ชายหนุ่มมองเห็น ตะเคียนยังต้นหนึ่ง ที่ยืนต้นโดดเดียว ท่ามกลางเศษซากของการทำลาย เงารางๆของชายหญิงคู่หนึ่ง ยืนร้องไห้กอดกันแน่น ภายใต้ต้นตะเคียนยักษ์ต้นนั้น นอกจากบุคคลทั้งสองแล้ว ในอ้อมกอดของสตรีผู้นั้น มีร่างของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ถูกกอดไว้แน่น ถ้าเขาเดาไม่ผิด บุคคลทั้งสามคงเป็นครอบครัวสุดท้าย ที่หลงเหลืออยู่ในขณะนี้ ผู้ที่เป็น บุรุษ น่าจะเป็น บิคา ส่วนสตรีผู้นั้นก็ควรจะเป็น มารดา และเด็กหญิงคนนั้น จะเป็นเสียมิได้นอกจากบุตร ของบุคคลทั้งสอง เด็กหญิงวัยสองขวบเศษร้องไห้อยู่ตลอดเวลา เกาะผู้เป็นแม่ไม่ยอมปล่อย เหมือนชายหญิงคู่นั้นจะทำอะไรบางอย่างกับเด็กหญิงคนนั้น แต่ไม่ทันที่เขาจะสงสัยอะไรได้อีก เสียงโครมครามก็ดังกระหึ่มมาแต่ไกล

          ราวกับแผ่นดินสั่นสะเทือนไหว ไม่ทันที่เขาจะตั้งตัวหรือร้องอะไรออกมา คลื่นน้ำขนาดใหญ่มหึมาก็ถาโถม สัดกระหน่ำ สายน้ำที่เชี่ยวกราด ไหลบ่ามาอย่างรวดเร็ว มันกวาดพัดทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า สายน้ำที่ไหลเชี่ยวม้วนตลบปะปนมากับเศษซาก และดินโคลน ก่อนที่มันจะก่อตัวเพิ่มระดับความสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว ไม่ถึงพริบตามันก็ไหลบ่าเข้ามาท่วมบริเวณต้นตะเคียนยักษ์ต้นนั้นจนได้ ขณะที่บุคคลทั้งสามยังยืนกอดกันแน่น ไม่ยอมขยับหนีเอาตัวรอด

          ชายหนุ่มพยายามตะเกียกตะกายไปที่ตำแหน่งของบุคคลทั้งสาม เพื่อหวังจะทำอะไรสักอย่าง กับบุคคลเหล่านั้น แต่ดูเหมือนว่าจะไร้ประโยชน์ เพราะแทนที่เขาจะได้ลุยฝ่ากระแสน้ำไปอย่างที่คิด แต่มันกลับเป็นว่า เขาเดินลุยอยู่ท่ามกลางอายหมอก ราวกับภาพลวงตา สิ่งสุดท้ายก่อนที่จะเห็นระดับน้ำสูงท่วมต้นตะเคียนยักษ์ต้นนั้นก็คือ แสงสีขาวสว่างจ้าที่ตำแหน่งของบุคคลทั้งสาม จนสิงห์ต้องยกแขนขึ้นบังแสงสว่างนั้น ก่อนที่แสงนั้นจะค่อยๆจางลงไป ทันใดนั้นเขาก็เห็น ดวงไฟประหลาดดวงหนึ่งที่พุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ระดับน้ำจะสูงท่วมต้นตะเคียนต้นนั้นจนจมมิด ดวงไฟดวงนั้นก็ค่อยๆเคลื่อนหายไปในเงาเมฆ ก่อนภาพที่เลวร้ายนั้น จะค่อยๆดับมืดลงที่ละน้อยๆ จนในที่สุดก็จางหายไปกับสายหมอก พร้อมกับเงาลางๆของต้นตะเคียนยักษ์ที่เขาคุ้นเคย ปรากฏเด่นขึ้นมาแทนที่...!!

*****เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร เด็กผู้หญิงคนนั้นมาจากไหน และเป็นใคร? โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในตอนต่อไป*****

.....

ณ ที่ใดที่หนึ่งกลางป่าเถื่อน


อาหารหลัก ผักหญ้าที่หาได้จากธรรมชาติ ไร้สารพิษ 100%


ร้าน หรือ ชั้นวางของ จะทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ แล้วแต่โอกาส


นี่ก็อาหารหลัก ช่วงที่ชุมที่สุด เท่าที่ผมเคยหามา น่าจะเป็นช่วงฤดูหนาว ถึง ฤดูแล้ง เหตุผลน่าจะปริมาณน้ำในห้วยเริ่มลดลง ปลาก็หาง่าย ว่างั้น


คิดว่าเจ้าที่ ที่ไหน ตาโส่ยนี่เอง



Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #5 on: 22 April 2021, 22:14:45 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 6 จบบท


บทที่ 8

ตอนที่ 6 จบบท

“พลับพลึง!”ชายหนุ่มอุทานลั่น

“เด็กผู้หญิงคนนั้น คือคุณนี่เอง”

“โธ่..!”ชายหนุ่มร้องบอกออกมาอย่างอาลัย ระคนสงสารจนบอกกับตัวเองไม่ถูก

“ครอบครัว และคนที่คุณรัก ต้องมีอันเป็นไป เพราะการกระทำของมนุษย์อย่างผม”ชายหนุ่มกล่าวออกมา ด้วยความรู้สึกสำนึกผิด แต่ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะพูดขึ้นมาอีก เสียงหวานใสของใครคนหนึ่งก็แว่วขึ้นมาทางเบื้องหลัง

“ท่านมิได้ทำการณ์ใดๆผิดดอก”

“มันคือ วิบากกรรมของเราเอง” หญิงสาวในชุดสไบเฉียง กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนที่หล่อนจะค่อยๆย่างกายออกมาจากเงามืดของต้นตะเคียนยักษ์

“คุณพลับพลึง!”

“นี่คุณจริงๆหรือนี่”ชายหนุ่มร้องลั่น หลังจากหันมาดูที่มาของเสียง แทนคำตอบว่าใช่ หญิงสาวก้มศีรษะลงช้าๆ

“ใช่คุณจริงๆด้วย”

“ผมดีใจเหลือเกิน ที่ผมได้พบกับคุณอีก”สิงห์กล่าวออกมาด้วยความตื้นตัน จนชายหนุ่มอยากจะเข้าไปสัมผัสกายของหล่อน ไม่ทันที่มือของเขาจะสัมผัสกาย เขาก็ต้องชะงักความคิดหยุดไว้แค่นั้น เพราะกลัวว่า ภาพที่เห็นจะเป็นเพียงหมอกควัน หรือภาพลวงตา และกลัวว่าเธอจะแปลสภาพเปลี่ยนไป เหมือนกับฉากที่ผ่านๆมา แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็บังเกิดขึ้น เมื่อหญิงสาวเอื้อมมือข้างหนึ่ง เข้ามาจับมือของชายหนุ่ม จนเขาถึงกับตกตะลึง

“นะ..นะ นี้ ผมไม่ได้ฝันไปใช่มั๊ย?”ชายหนุ่มละล่ำละลัก พลางเอื้อมมือ ออกมากุมมือของหญิงสาวไว้แน่น

“เราเอง ท่านจำมิผิดดอก”หญิงสาวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ซ่อนสีหน้าและแววตาไม่สู้จะสบายใจนัก เพราะชายหนุ่มกุมมือของหล่อนไว้แน่น เพราะความดีใจจึงทำให้สิงห์ลืมตัวไปชั่วขณะ เมื่อเห็นเช่นนั้นชายหนุ่มจึงรีบปล่อยมือของเขาออก ซึ่งภายในใจของเขาไม่อยากจะปล่อยเลย

“ขอโทษด้วยครับ ผมดีใจที่ได้พบคุณ จนลืมตัวไปหน่อย”

“แล้วเรื่องมันเป็นยังไงมายังไงครับ”

“ผมถึงได้เห็นภาพที่โหดร้ายเช่นนี้”ชายหนุ่มกล่าวออกไปด้วยความสงสัย

“ภาพนิมิต ที่ท่านได้ประสบเมื่อครู่นี้ เป็นภาพอดีตที่โหดร้ายของเรา”

“มันเป็นภาพแห่งความโหดร้าย”

“ที่เราเองก็ไม่สามารถ จะลบเลือนความทรงจำนี้ได้เลย”หญิงสาวกล่าว

“แล้วทำไม ผมถึงมองเห็นภาพเหล่านั้นด้วยครับ?”

“เหมือนคุณพลับพลึง ต้องการจะสื่อสารอะไรบางอย่างกับผม”

“...”หญิงสาวไม่กล่าวถ้อยความอันใดตอบ นอกจากแววตาที่ซ่อนความโศกเศร้าเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่า ชายหนุ่มจะมองเห็นแววตาคู่นั้น

“ถึงคุณจะไม่บอกผม ผมก็พอจะทราบครับ”

“คุณคงอยากให้ผมเห็น ภาพเหตุการณ์เหล่านั้น”

“ผมทราบดีครับ ว่าคุณคงจะสะเทือนใจกับเรื่องราวที่ผ่านมา”ชายหนุ่มกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

“ผมสงสารบุคคลเหล่านั้น จนพูดไม่ออกจริงๆครับ”

“มันคงเป็นกรรมเก่าของพวกเรา ที่สร้างไว้เมื่อครั้งภูมิชาติก่อน”

“ครั้งนี้ พบนี้ คงถึงเวลาที่จะต้องชดใช้กรรม”หล่อนกล่าว

“ไม่ใช่หรอกครับ”ชายหนุ่มแย้ง

“พวกผมมากกว่า ที่ไปก่อร่างสร้างบาปกับพวกคุณไว้”

“บุคคลที่ควรจะมาไถ่บาป ควรจะเป็นมนุษย์อย่างพวกผมมากกว่าครับ”สิงห์ตอบออกมาจากใจจริง

“ถ้าไม่เป็นเพราะเขื่อนนั่น สัมปทานการทำไม้ก็คงไม่มี”

“ป่าไม้ก็คงไม่เหี่ยนเตียนแบบนี้”

“เพราะความเจริญ และความก้าวหน้า จึงมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไป”

“คงอีกไม่นานหรอกครับ ที่พวกผมคงต้องชดใช้กรรม ที่เคยก่อไว้กับพวกคุณ”

“และผมก็พร้อมที่จะชดใช้กรรมนั้น”ชายหนุ่มกล่าวออกมาด้วยความสำนึกผิด

“เหตุไฉน ท่านจึงจะมารับผลกรรมนั้น โดยที่ท่านเองไม่ได้ก่อ”

“ความพยาบาท มันไม่แตกต่างไปจากกระแสน้ำที่เชี่ยวกราดดอกท่านสิงห์”กล่าวจบ หญิงสาวก็เอื้อมมือมาจับแขนของชายหนุ่ม เหมือนเป็นการเตือนสติ พร้องกล่าวต่อมาว่า

“มันเป็นลิขิต และชะตาชีวิต ที่เราจะต้องเผชิญ”

“ไม่มีใคร หรือสิ่งมีชีวิต อื่นใด หลีกหนีจากบ่วงกรรมเหล่านี้ไปได้ดอก”

“ขอให้ท่านจงอย่าได้วิตกกังวล อันใดเลยกับเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว”หญิงสาวที่มีนามว่า พลับพลึง กล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม

“ท่านจงมองเป็นเพียงสายน้ำ ที่ไหลไปแล้วไม่มีวันกลับ” ประโยคสุดท้าย ทำให้สิงห์ถึงกับสะอึก เป็นไปได้หรือกับการให้อภัยในความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของหล่อน เป็นไปได้หรือที่หล่อนจะใจกว้างขนาดนี้ ถ้าเรื่องราวที่โหดร้ายเช่นนี้ เกิดขึ้นกับเราและครอบครัวของเราบ้างล่ะ อยากจะถามใจตัวเองเสียจริงๆว่า เราจะใจกว้างพอจะให้อภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น แบบหล่อนคนนี้ได้หรือเปล่า

“คุณไม่โกรธ หรือเจ็บแค้นบ้างเลยหรือครับ?”

“ที่พวกมนุษย์อย่างผม สร้างความเจ็บปวดทั้งกายและใจ ให้กับคุณ”แทนคำตอบของชายหนุ่ม หญิงสาวส่ายหน้า ช้าๆ พลางพูดต่อขึ้นมาว่า

“เราบอกท่านแล้ว”

“ว่าเรามิได้คิดผูกใจเจ็บ หรือคิดแค้นใดๆ กับบุคคลเหล่านั้น”

“เพราะมันมิได้ก่อประโยชน์อันใดให้เกิดขึ้นเลย นอกจากความสูญเสีย”หญิงสาวพูดจบก็ลดมือจากแขนของชายหนุ่ม พลางหมุนกายไปจับจ้องที่ราวป่า ซึ่งตอนนี้มืดทะมึน

“อย่างน้อยๆ คุณก็น่าจะสั่งสอน หรือให้บทเรียนแกพวกเขาบ้างนะครับ”

“หรือจะลงโทษผมก็ได้ ผมยินดี”ชายหนุ่มพูดจบ พลางก้าวเท้าตามหล่อนไปหยุดยืนอยู่ด้านข้างเธอคนนั้น

“ตั้งแต่ผมรับรู้มา ธรรมชาติ ไม่เคยคิดร้ายต่อมนุษย์เลย”

“มีแต่ให้คุณ”

“แต่พวกมนุษย์แบบผมนี้ล่ะ ที่คิดร้ายหวังแต่จะกอบโกยจากธรรมชาติ”ชายหนุ่มกล่าวออกไปอย่างคนสิ้นหวัง

“เราเองก็ไม่เข้าใจพวกท่านเช่นกัน”

“ในเมื่อธรรมชาติให้คุณคุณอนันต์เยี่ยงนี้แล้ว ไฉนเลยพวกท่านถึงตอบแทนธรรมชาติเยี่ยงนี้”หญิงสาวเอ่ยขึ้นพร้อมกับแหงนหน้าขึ้นมองดวงดาวอย่างปราศจากความหมาย พลางพูดขึ้นมาอีกว่า

“มันไม่ต่างอันใด กับบุตรที่คิดร้ายต่อบุพการี”

“มิต้องรอให้ ป่าเขาลำเนาไพรหมดไปจากธรณีนี้ ดอกหรือ?”

“พวกท่านถึงจะสำนึก ต่อผลของการกระทำ”หญิงสาวพูด พลางหันหน้ามามองชายหนุ่ม

“คงไม่ต้องรอ ให้ถึงวันนั้นหรอกครับ คุณพลับพลึง”ชายหนุ่มร้องตอบ พลางส่ายหัว

“ทุกวันนี้ ธรรมชาติก็ให้บทเรียนพวกผม อย่างสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว”

“หรือถ้ารอให้ถึงวันที่คุณว่าจริงๆ”

“ก็คงไม่มีมนุษย์อย่างพวกผม บนโลกใบนี้อีกแล้ว”ชายหนุ่มตอบ

          ท่ามกลางแสงดาวที่สว่างสุกใส แข่งกับแสงอัมไพขาวนวลของพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว แสงจันทร์สว่าง ตัดกับเงาของเมฆลางๆที่ลอยเข้ามาใกล้ ลมดึกเงียบสงัด ทำให้บรรยากาศดูเงียบสงบ นานๆครั้งถึงจะแว่วเสียง รองไนและแมลงไพรยามค่ำคืนกรีดปีกเคล้ากับเสียงน้ำไหลระรินริก สายลมยามดึกพัดมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันหอบเอากลิ่นหอมเย็นของดอกไม้ป่าติดมาด้วย กลิ่นที่คุ้นเคย ที่ใครก็แล้วแต่ถ้าได้สัมผัสก็ไม่มีวันที่จะลืมเลือน กองไฟกองน้อยที่ส่องแสงเพียงริบหรี่ ช่วยสร้างบรรยากาศที่แสนโรแมนติก

          ภายใต้แสงไฟและแสงจันทร์ที่สว่างวอมแวมนั้น ถึงแม้ว่าแสงสว่างจะมีอยู่ไม่มากนัก แต่ความขาวนวลของร่างกายและผิวพรรณของสตรีนางนั้น ทำให้มองเห็นภาพของหญิงสาว ยืนโดดเด่นอยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน ตลอดทั่วทั้งเรือนร่างและอณูของหล่อน ไม่มีสาวงามคนไหนเลยแม้แต่คนเดียว ที่ชายหนุ่มเคยพบเห็นมา จะสวยงามเหมือนกับเธอผู้นี้ งามจนชายหนุ่มไม่สามารถห้ามใจ ที่จะแอบมองเรือนร่างของหล่อนเสียมิได้

          ชายหนุ่มบอกกับตัวเองไม่ถูกว่า ณ เวลานี้เขาคิดเช่นไรกับหล่อน แต่ก็ยอมรับสารภาพว่า ตั้งแต่แวบแรกที่เห็นเธอคนนั้น เพียงครั้งแรก ชายหนุ่มก็รู้สึกหลงรักหล่อนเข้าเสียแล้ว หัวใจที่เต้นตุ้บๆต่อมๆ ไม่เป็นจังหวะ ทุกครั้งที่อยู่ใกล้หล่อน ก็อธิบายไม่ได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ยิ่งได้สัมผัสกลิ่นกายของเธอแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มจนบอกไม่ถูก จะเป็นไปได้หรือ ที่เขาจะแหกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ จะเป็นความจริงหรือความฝันก็ตาม ชายหนุ่มบอกกับตัวเองได้ว่า ถึงแม้มันเป็นแค่ความฝัน เขาก็มีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดหล่อน และยินดีที่จะอยู่ในห้วงแห่งความฝันนี้ แม้ไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่นั้น เสียงหวานใสของหล่อนก็แทรกขึ้นมาทำลายจิตนาการของเขา

“อาจจะเป็นเยี่ยงนั้น”หญิงสาวเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบที่ครอบงำชายหนุ่มอยู่ชั่วขณะ สิงห์เองก็เพิ่งจะได้สติรีบบ่ายสายตาไปทางอื่น

“บุคคลเหล่านั้น ได้ชดใช้ผลกรรมตามรูปแบบที่เคยก่อไว้แล้ว”

“มันเป็นผลกรรมที่เราทั้งสองฝ่ายสร้างร่วมกันมาเมื่อครั้งเก่าก่อน”

“โปรดอย่าได้วิตกอันใดเลย”

“เรื่องราวร้ายๆมันได้ผ่านเลยไปจนหมดสิ้นแล้ว”หญิงสาวกล่าวออกมาพร้อมปรายยิ้มที่จริงใจบริสุทธิ์ ไร้มารยาแอบแฝง

“เราขออโหสิกรรมกับเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้น”

“นอกจากจะงามทั้งกายแล้ว จิตใจของเธอช่างงามเหลือเกิน”มันเป็นความคิดของชายหนุ่ม ที่กลั่นออกมาจากจิตใจของเขา ถูกต้องแล้ว นอกจากหล่อนจะงามทั้งเรือน
ร่างและหน้าตา จิตใจของหล่อนที่ซ่อนอยู่ภายใน ยิ่งงามเหนือกว่าสิ่งที่กล่าวมาหลายร้อยเท่า

“ขอบคุณครับ คุณพลับพลึง”ชายหนุ่มพูดพลางก้มศีรษะให้หญิงสาว แสดงการขอบคุณ

“ผมดีใจครับ ที่คุณให้อภัยกับเรื่องที่ผ่านมา”

“คุณช่างมีจิตใจงามเหลือเกินครับ”ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มเอื้อมมือเข้าไปคว้ามือหญิงสาวขึ้นมากุมแน่น พลางพูดติดตลกเพิ่มอีกว่า

“นอกจากจะสวยแล้ว ยังใจดีอีกต่างหาก”

“สวยๆแบบนี้ มีแฟนหรือยังน๊า...”พูดพลางก็ใช้มืออีกข้างที่เหลือ เกาท้ายทอยตัวเองแกรกๆ แก้เขิน แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่สิงห์พูด

“..?”

“ท่านเอ่ยถ้อยความอันใด เรามิเข้าใจความหมายของท่านดอก?”หญิงสาวตอบ พลางทำหน้างงเล็กน้อย ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่คิดจะอธิบายความหมายด้วยเช่นกัน

“เอาะ...เอาะ...อ๋อ! ไม่มีอะไรหรอกครับ”

“ผมหมายถึง คุณพลับพลึงเป็นคนจิตใจดี ไม่คิดแค้นอะไรกับเรื่องที่ผ่านมา ประมาณนั้นล่ะครับ”ชายหนุ่มพูดจบ พลางก้มหน้าเป่าลมฟู่ ออกมาอย่างโล่งอก พร้อมกับรีบปล่อยมือที่กุมแน่นนั้นออก

“เฮ้อ!! เกือบไปแล้วเรา อยู่ดีๆไม่ว่าดี คิดพิเรน จะไปจีบนางไม้นางตะเคียนเสียแล้ว เดี๋ยวแม่จับหักคอล่ะยุ่งเลย”มันเป็นความคิดภายในใจของชายหนุ่ม ซึ่งมันแอบซ่อนความรู้สึกนี้ไว้ โดยไม่กล้าที่จะแพร่งพราย แต่ในส่วนลึกของจิตใจตะโกนบอกกับตัวเองว่า ก็หล่อนทั้งน่ารัก และสวยขนาดนี้ ถึงจะโดนจับหักคอก็ยอม

“ผมเห็นใจคุณนะครับ”

“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คุณคงจะเหงาและเคว้งคว้างน่าดู”สิงห์เปลี่ยนเรื่องคุย หญิงสาวก้มหน้าเล็กน้อย แทนคำตอบว่า ใช่ พลางตอบกลับมาว่า

“เราชินกับการอยู่อย่างโดดเดี่ยวเสียแล้ว”

“ก็มีแต่ท่านเพียงผู้เดียว ที่ช่วยทำให้เรา ห่างหายจากความเหงาและเปล่าเปลี่ยวลงไปได้”หล่อนที่มีนามว่า พลับพลึง กล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มที่จริงใจ แต่ฝ่ายตรงข้ามที่ได้ยิน กลับแสดงสีหน้าเศร้า พร้อมกับฝืนยิ้มแล้วพูดต่อมาว่า

“ถ้าเราสามารถพบกันได้ตลอดเวลาก็คงดีไม่น้อย”

“ไม่ใช่เพียงความฝัน หรือสถานที่แบบนี้”ชายหนุ่มกล่าว พลางหลบสายตาจากหญิงสาว แล้วเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง

“...”

“ผม...”ชายหนุ่มหยุดถ้อยคำที่จะเอ่ย ไว้เพียงเท่านั้น เหมือนจะชั่งใจคิดอะไรสักอย่าง จนหญิงสาวร้องทัก

“ท่านมีเหตุอันใด ก็จงบอกเรามาเถิด”

“โปรดอย่าได้เกรงอันใดเราอีกเลย”หญิงสาวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ถ้าผมกลับออกจากป่าไปแล้ว”

“ผมกลัวว่า เราจะไม่ได้พบกันอีก”ชายหนุ่มสารภาพความในใจ

“มันจะเป็นไปได้มั้ยครับ เมื่อผมออกจากป่าแห่งนี้ไปแล้ว”

“ผมและคุณยังสามารถพบกันได้อีก”ชายหนุ่มร้องถาม

“...”หญิงสาวเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่จะตอบว่า

“เราตอบท่านมิได้ดอก”

“ว่าการณ์นั้นจะเป็นเยี่ยงไร”หญิงสาวตอบ ถึงแม้หล่อนจะตีหน้าราบเรียบปกติ แต่แววตาของหล่อนดูเศร้าสลดอย่างเห็นได้ชัด

“พอจะมีวิธี หรือหนทางแก้ไขอะไรบ้าง ที่จะช่วยให้เราได้พบกันอีก”

“บอกตามตรง ผมไม่อยากจากคุณไปแบบนี้เลย”สิงห์ร้องบอก

“ข้อนั้น เราตอบท่านไปแล้ว”

“ส่วนการณ์ที่เราและท่านจะได้พบกันอีก....”หญิงสาวหยุดถ้อยคำไว้เช่นนั้น ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมาอีกว่า

“คงต้องขึ้นอยู่กับวาสนาของเราทั้งสอง ว่าเคยสร้างร่วมกรรมกันมา มากน้อยเพียงใด”

“ถึงกระนั้น ถ้าท่านจากป่าดงพงไพรแห่งนี้ไป แล้วไม่สามารถติดต่อกับเราได้”

“เรา...ก็พอใจแล้ว ที่ได้พบกับท่านได้เพียงเท่านี้”หญิงสาวตอบ พลางฝืนยิ้มให้ชายหนุ่ม

“เพลานี้ ก็จวนจะได้เวลาของเราแล้ว”

“ที่เราจะต้องลาจากท่านไปอีกครา”หญิงสาวกล่าวออกมา พลางก้าวเท้าถอยห่างจากชายหนุ่มไปช้าๆ ความรู้สึกที่เศร้าหมองอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ชายหนุ่มถึงกับใจหายวาบ เวลาที่ล่วงเลยไป ไวจนตัวเองตั้งตัวไม่ทัน ทุกครั้งที่ผ่านมาก่อนจากกัน ยังไม่ทำให้เขารู้สึกใจหายเหมือนครั้งนี้มาก่อน ภาพที่หล่อนกำลังจะจากไป ทำให้ตัวเองรู้สึกสะเทือนใจจนบอกไม่ถูก มันแตกต่างไปจากทุกครั้ง ที่หล่อนมักจะฝากรอยยิ้มไว้เป็นที่ระลึกก่อนจาก แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมา หรือว่า ความรู้สึกที่มีต่อเธอผู้นั้นของเราได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลจิตดลใจ ให้เขาเกิดความกล้าบ้าบิ่น ในชั่วเสี้ยววินาทีนั้นเอง ชายหนุ่มคว้าข้อมือของหญิงสาวไว้ ก่อนที่จะดึงกายของหล่อนเขามาสวมกอดจนแน่น

“ผมสัญญา!”

“ผมสัญญาครับคุณพลับพลึง ว่าผมจะทำทุกวิถีทาง เพื่อกลับมาหาคุณ”

“ถึงมันจะยากเย็นขนาดไหนก็ตาม”

“หรือไม่ก็...”ชายหนุ่มเว้นวรรค แล้วกล่าวต่อมาว่า

“จนกว่า ผมจะไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว!”ชายหนุ่มกล่าววาจาออกมาหนักแน่น เหมือนกาลเวลาจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ราวกับสวรรค์จะเห็นอกเห็นใจบุคคลทั้งสอง
ไม่มีคำตอบใดๆจากหญิงสาวที่อยู่ภายใต้อ้อมกอดของชายหนุ่ม มีเพียงอาการสั่นสะท้านของหล่อนที่เกิดจากการสะอื้นไห้เท่านั้น ไม่นาน หยาดน้ำตาของหล่อน ก็ไหลพรากออกมาอาบแก้มทั้งสองข้าง ที่ตอนนี้เปรอะไปด้วยรอยยิ้มด้วยความปิติใจ

“ท่านช่างมีน้ำใจกับเรายิ่งนัก”

“จนเรามิอาจจะตอบแทนสิ่งใดแก่ท่านได้”หญิงสาวกล่าวออกมา พลางเงยหน้าขึ้นมาสบตาชายหนุ่ม

“คุณไม่ต้องตอบแทนอะไรผมหรอกครับ”

“ในเมื่อคุณมีน้ำใจให้ผมขนาดนี้ เรื่องแค่นี้ทำไม ผมถึงจะทำให้คุณบ้างไม่ได้”ชายหนุ่มตอบ พลางใช้หลังมือบรรจง ปาดเช็ดคราบน้ำตาให้หญิงสาวอย่างแผ่วเบา ซึ่งหล่อนเองก็ดูเหมือนว่าจะเต็มใจให้เขาทำเช่นนั้น

“เราขอขอบใจท่านมาก”

“ที่มอบจิตที่เป็นมิตรแก่เรา”หญิงสาวพูดจบ ก็ขยับถอนกายออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่ม ซึ่งเขาเองก็ไม่คิดฝืนหรือรั้งเธอไว้

“ผมก็ต้องขอบคุณ คุณพลับพลึงเช่นกันครับ”

“ที่ทำให้ผมรู้สึกดี และคุณเองก็เป็นมิตรที่ดีที่สุดของผมคนหนึ่ง”ชายหนุ่มตอบ พลางก้มศีรษะให้หญิงสาวเล็กน้อย เพื่อแสดงความเคารพ

“บัดนี้ คงได้เพลาของเราแล้ว”

“ถึงเพลา ที่เราต้องกล่าวคำอำลาท่าน”หญิงสาวที่มีนามว่า พลับพลึง ย่อกายลงเล็กน้อย เหมือนอาการถอนสายบัวทำความเคารพตอบชายหนุ่ม พร้อมกับสีหน้าและแววตาที่สดใสกว่าครั้งก่อน ดวงตากลมโตของหล่อน ส่องความเป็นประกายดูแช่มชื่น ซึ่งผสานเข้ากันกับรอยยิ้มที่จริงใจบริสุทธิ์ จนปรากฏรอยบุ๋มของลักยิ้มบริเวณแก้มทั้งสองข้างยิ่งเพิ่มมนต์ขลัง ให้ชวนมองยิ่งไปอีก ภาพนี้ล่ะที่ชายหนุ่มปรารถนา อยากที่จะพบเห็น ภาพนี้ล่ะที่ตรึงตราตรึงใจจนยากที่ลืมเลือน

“เชิญครับ”

“ราตรีสวัสดิ์ พรุ่งนี้ผมจะมาพบคุณอีก”ชายหนุ่มกล่าว พลางผายมือข้างหนึ่งเบือนไปทางต้นตะเคียนยักษ์ ที่ตอนนี้ยืนต้นตระหง่านอยู่เบื้องหน้า หญิงสาวยิ้มตอบ แล้วพูดขึ้นมาอีกว่า

“ขอให้นิทราสวัสดิ์ จงมีแด่ท่านเช่นกัน”หญิงสาวกล่าวออกมา ก่อนที่ร่างของหล่อนจะค่อยๆจางหายไป

          ความเงียบสงบเข้ามาครอบงำชายหนุ่มอีกครั้ง จิตใจที่กำลังว้าวุ่นอยู่ตอนนี้ ดูท่าทางจะสับสนจนบอกไม่ถูก ความรู้สึกวูบวาบใจหาย เมื่อเห็นหล่อนจากไป ราวกับว่าเธอจะไม่กลับมาพบอีก ทำให้รู้สึกกระวนกระวายใจไปหมด นี่เราเป็นอะไรไปแล้ว ความรู้สึกเช่นนี้มันคืออะไรกันแน่ หรือว่า ศรรักของกามเทพตนใด เกิดพิเรน แผงศรเข้ามาปักอยู่กลางอกของเขา เมื่อคิดเช่นนั้น แววตาที่ซ่อนความเศร้าก็ปรากฏ มันคงจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเราและเธอผู้นั้น อยู่คนละพบภูมิชาติ เรานั้นเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาสามัญ จะเคียงคู่ครองรักกับหล่อน ซึ่งเปรียบเสมือนทวยเทพที่คอยปกป้องรักษาราวไพร ดูไปแล้วมันก็ผิดแปลกจากธรรมชาติ ของความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง ถ้าเกิดบุคคลทั้งสองจะคิดครองรักขึ้นมาจริงๆ มันก็คงจะเป็นความรักที่ดูพิลึกพิลั่นที่สุดเท่าที่เคยพบมา แต่สำหรับชายหนุ่ม มันอาจมีข้อยกเว้น ในเมื่อความรักที่ก่อตัวขึ้นนี้ ไม่ได้ก่อความเดือดร้อนให้กับใคร ถึงแม้จะดูพิลึกในความคิดของผู้อื่น สำหรับสิงห์แล้ว ไม่ว่าเรื่องนี้มันจะเป็นเช่นไร เพราะความรักมันท่วมท้นจนจุกอกแบบนี้ นี้หรือที่เขาเรียกกันว่า ความรักไม่มีพรมแดน

“เฮ้อ..”

“นี่เราคิดบ้าอะไรไปเนี้ย”ชายหนุ่มพึมพำออกมาเบาๆ หลังจากถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ตกลงผมเกิดปิ๊งคุณเข้าแล้วหรือนี่”

“ช่วยไม่ได้นี่นา อยากเกิดมาสวยทำไมล่ะ”ชายหนุ่มพูดติดตลก พลางมองไปที่ต้นตะเคียนยักษ์ต้นนั้น ก่อนที่จะเดินเข้าไปทรุดกายลงนอนใช้หัวหนุนบนพูรากของต้นตะเคียน ที่งอกโผล่ล้ำออกมาเหนือพื้นดินต่างหมอน รากตะเคียนแลดูแข็งกระด้าง แต่ความรู้สึกของชายหนุ่มไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะมันนุ่มนวล ราวกับได้นอนหนุนตักของสตรีผู้ที่ตนโหยหาปรารถนามาเป็นคู่ครอง

          กลิ่นหอมจางๆลอยปะปนมาตามสายลมเอื่อย ที่พัดผ่านใบไม้ให้พลิ้วไหวไปมาช้าๆ ทำให้ใบไม้แห้งใบหนึ่งบิดหลุดจากขั้ว ม้วนตลบตกลงมากลางสายน้ำ ที่ต้อนนี้แว่วเสียงน้ำไหลรินระริกอยู่ริมห้วย โดยมีหริ่งหรีดรองไนช่วยขับกล่อมไพรในยามราตรี ที่ชายห้วยนั้นเอง หิ่งห้อยตัวน้อยบินวนเขามาใกล้ เหมือนจะมาสำรวจชายหนุ่มซึ่งเปรียบเสมือนสิ่งแปลกปลอม ก่อนที่มันจะค่อยๆบินสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวน้อยใหญ่ ชายหนุ่มจ้องมองแสงเรืองๆของหิ่งห้อยตัวนั้นไปจนสุดตา ก่อนที่มันจะบินหายลับไปในหมู่ดาว พร้อมกับม่านเปลือกตาของเขาจะค่อยๆปิดลง...

*****เรื่องราวต่อจากนี้จะดำเนินต่อไปเช่นไร คณะของสิงห์ทั้งแปดคนจะพบอะไรต่อจากนี้ โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในบทต่อไป*****

.....

กลางหุบเขา ที่ใดที่หนึ่ง ของอีกฟากฝั่งเขาสก


เจ้าพะเปรียว นอนหมกขี้เถ้าแก้หนาว


ตาเหน๋อ โชว์ฝีมือผัดผักกูด  น้าๆ เห็น ครก มั๊ยครับ(ใกล้ๆถังน้ำ) ครกกระบอกไม้ไผ่ แบบนั้นล่ะครับ ที่ผมว่าไว้ในนิยาย เผื่อน้าท่านใดนึกไม่ออก


ผัดผักกูดน้ำมันหอย ไม่มีหนู ไม่มีไก่



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.13 seconds with 20 queries.