Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
28 April 2024, 20:17:52

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,608 Posts in 12,441 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร  (Read 480 times)
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« on: 22 April 2021, 17:38:02 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร


บทที่ 7

ตอนที่ 1

          ราตรีกาลที่อยู่ครอบงำมาเมื่อไม่นานมานี้ บัดนี้คงถึงเวลาที่จะต้องลาลับจากไป หมู่นกกานานาชนิด ที่พากันหลับใหลในรวงรัง พอท้องฟ้าเริ่มสาง พวกมันก็พากันเริงร่าท่องเที่ยวออกหากินไปในไพรกว้าง ตรงกันข้ามกับสัตว์ป่าที่ออกหากินในยามราตรี พอฟ้าสางพวกมันก็หาที่บังไพรเตรียมหลับนอนเอาแรง เพื่อรอเวลาออกหากินในราตรีต่อไป คงไม่แตกต่างจากมนุษย์ที่ก็ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพไปวันๆเหมือนกัน ทำงานทั้งเช้า เย็น กลางคืน หนุนเวียนพลัดเปลี่ยนกันไป เป็นกะ คนไหนทำงานกะเช้า กลางคืนก็นอนหลับเอาแรง คนไหนทำงานตอนกลางคืน ตอนเช้าก็นอนเอาแรง ดูไปแล้วมนุษย์กับสัตว์ก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่นัก จะแตกต่างกันตรงที่สัตว์มันออกหากินด้วยตัวของมันเองเป็นอิสระ ไม่ได้เป็นขี้ข้าใครเหมือนมนุษย์อย่างเรา

          ละอองหมอกในยามเช้า แตกเป็นฝอยละเอียดราวกับฝุ่นแป้ง แลดูขาวโพลนไปทั้งผืนป่า ยิ่งบางช่วงที่อยู่ห่างออกไปเท่าไหร่ ยิ่งมองอะไรไม่เห็นเลย นอกจากเงาตะคุ่มๆดูเลือนลางเท่านั้น อากาศที่ชื้นไปด้วยละอองหมอกเช่นนี้ จึงทำให้บริเวณยอดใบของต้นไม้ ดูชื้นแฉะไปด้วยหยดน้ำค้าง ที่เกิดจากการรวมตัวของละอองหมอก แต่ก็น่าประหลาดใจ เพียงแค่หยดน้ำ หยดเล็กๆที่เกิดจากน้ำค้างเหล่านั้น จะกลับกลายเป็นสายน้ำในลำห้วยได้อย่างน่าพิศวง คงจะจริงอย่างที่เขาว่า ป่าคือน้ำ น้ำคือป่า ทั้งสองอย่างนี้ต้องอยู่เคียงคู่กันเสมอ จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ ถ้าไม่มีป่า น้ำก็ไม่มี หรือถ้าไม่มีน้ำ ป่าก็จะไม่มีเช่นกัน สองสิ่งนี้จึงแยกจากกันเสียมิได้

          สูงขึ้นไปบนยอดของต้นตะแบกใหญ่ หยดน้ำค้างที่เกาะติดตามก้านใบ หลังจากถูกหล่อรวมกันเป็นหยดน้ำหยดใหญ่ ก็ทิ้งตัวตกลงมาเบื้องล่างที่ต่ำกว่า เพราะต้านทานแรงดึงดูดของพื้นโลกต่อไปไว้ไม่ไหว แต่แทนที่หยดน้ำนั้นจะตกลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งและยอดหญ้า หรือตามสุมทุมพุ่มไม้ อย่างที่หยดน้ำค้างหยดอื่นๆได้ตกลงไปก่อนหน้านั้นแล้ว โดยบังเอิญมันกลับตกลงบนใบหน้าของชายหนุ่ม ที่ตอนนี้ยังนอนขดอยู่บนห้าง หยดน้ำค้างหยดแล้วหยดเล่าที่ตกลงกระทบใบหน้าของเขา ซึ่งขณะนี้ ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น แต่พอโดนไปหลายๆหยดเข้าก็ทนไม่ไหว

          ชายหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย ท่ามกลางสายหมอก และน้ำค้างที่เกาะจนชื้นแฉะไปทั่วบริเวณ แม้กระทั่งถุงนอนที่เขาใช้ห่อหุ้มร่างกาย ก็ยังชื้นราวกับถูกละอองฝน โชคยังดีที่เขายังมีเสื้อแจ็คเก็ตสวมใส่อยู่อีกชั้น มันจึงช่วยให้เขาอบอุ่นขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังอดแปลกใจกับพรานเบไม่ได้ ที่แกมีเพียงผ้าขาวม้าเพียงผืนเดียวก็สามารถอยู่ได้ทั้งคืน ถ้าเป็นเขาคงหนีไม่พ้นปอดบวม หรือไม่ก็เป็นไข้หนาวจับสั่นอยู่บนห้างแน่ๆ

          ขณะที่พรานหนุ่มยกแขนขึ้นเพื่อจะปาดเช็ดหยดน้ำค้างบนใบหน้าของเขานั้นเอง มีอะไรบางอย่างตกลงมาบนถุงนอนของเขา สิ่งนั้น เขาเห็นมันเพียงแวบเดียวก็รู้ว่ามันคือ ดอกช้างกระ กล้วยไม้ป่าที่ตัวเขาเองคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี จะด้วยว่ามันตกมาจากยอดไม้หรือไม่ ก็ไม่อาจทราบได้ เพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองรอบๆ ก็มองไม่เห็นต้นช้างกระสักต้น เพราะบริเวณที่มาขัดห้างไว้ ไม่มีต้นไม้ใหญ่เลย นอกจากต้นตะแบกใหญ่ที่ตัวเองนั่งหัวโด่อยู่นี่ ซึ่งมันก็ไม่มีกล้วยไม้ป่าเช่นกัน หรืออาจจะเป็นไปได้ว่า บริเวณหน้าผาหินนั้น อาจจะมี แต่เมื่อพยายามสอดส่องสายตาไปแล้ว มองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ นอกจากเฟิร์นข้าหลวงและต้นมะยมผา ที่ขึ้นแซมห่างๆกัน ซึ่งก็ไม่มีวี่แววของต้นช้างกระสักต้น เห็นแต่กอกล้วยไม้ป่าจำพวกหวายไม่กี่ก่อ

          ชายหนุ่มยกดอกกล้วยไม้ดอกเล็กๆดอกนั้น ขึ้นมาพิจารณา แต่เมื่อพลิกไปมาอยู่ในมือได้ไม่นาน ความรู้สึกตื่นเต้นระคนพิศวง ก็บังเกิดขึ้นกับเขาอย่างฉับพลัน ความรู้สึกบางอย่างทำให้เขานึกอะไรขึ้นมาได้ ถ้าจำมันไม่ผิด ดอกช้างกระดอกเล็กดอกนี้นี่เอง ที่หล่อนคนนั้นได้ส่งให้เขาเป็นที่ระลึกก่อนจากกัน  ของเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่มันก็เป็นเพียงความฝันลมๆแล้งๆของเขาเอง ที่เกิดขึ้นจากจินตนาการ ซึ่งมันสมจริงเหมือนกับว่าเขาได้ไปอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น หรือมันจะเป็นไปได้หรือไม่ อาจจะเป็นการถอดจิตถอดวิญญาณของเขา โดยที่ร่างกายของเขายังอยู่ที่นี่ เหมือนกับละครในทีวี มันก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะตอนนี้และเวลานี้ มันคือชีวิตจริง

“ตื่นแล้วรึสิงห์”เสียงร้องเรียกมาจากเบื้องล่าง ทำให้สิงห์หยุดชะงักในความคิด ฟุ้งซ่าน ไปชั่วขณะ

“ครับ”สิงห์ร้องตอบออกมาสั้นๆ ก่อนจะบรรจงหยอดดอกช้างกระดอกนั้นลงไปในกระเป๋าเสื้อของเขา

“แล้วน้าเบ ตื่นนานแล้วเหรอครับ”ชายหนุ่มร้องถาม พูดจบก็นั่งบิดกายไปมาอย่างเมื่อยขบ

“สักพักแล้วล่ะ”พรานนำทางร้องตอบ พูดจบก็ลากซากเก้งมาผูกขาเข้ากับเถาวัลย์

“เอ็งตื่นก็ดีแล้ว จะได้รีบกลับไปที่แค้มป์กัน”พรานชำนาญไพรร้องตอบ

          สิงห์หลังจากใช้น้ำในกระติกล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยดีแล้ว ก็จัดแจงเก็บสิ่งของและสัมภาระต่างๆ หลังจากมะรุมมะตุ้มอยู่กับกองสัมภาระบนห้างอยู่ไม่นาน ก็ใช้เถาวัลย์เส้นเดิม ที่พรานเบใช้ชักรอกเมื่อวาน นำมาผูกสัมภาระ แล้วค่อยๆหย่อนสิ่งของเหล่านั้นลงมา โดยมีพรานเบคอยรอรับสัมภาระอยู่เบื้องล่าง เพียงไม่กี่ครั้งสัมภาระต่างๆก็ถูกลำเลียงลงมาจากห้างจนหมด จากนั้นชายหนุ่มก็ค่อยๆไต่ลงมาตามเถาวัลย์และลำต้นของตะแบกใหญ่ พร้อมๆกับปืนคู่กายของเขา ที่ถูกสะพายหลังติดตัวมาด้วย กว่าจะลงมาถึงพื้นดินเบื้องล่างได้ ก็ใช้เวลาอยู่พอสมควร เพราะต้องคอยระวังความลื่นของเถาวัลย์ที่เหยียบ ซึ่งตอนนี้แฉะไปด้วยน้ำค้าง

“ตัวใหญ่ดีเหมือนกันนิน้าเบ”สิงห์ร้องบอก หลังจากลงไปดูซากเก้ง

“เก้งหม้อ ก็ตัวขนาดนี้ล่ะ ไม่เหมือนเก้งแดงตัวมันจะเล็กกว่า”พรานเบอธิบาย

“สงสัยได้แบกกันไหล่ลู่”สิงห์ร้องตอบ

“เอ็งไม่ต้องแบกหรอก ข้าแบกเอง เอ็งเอาปืนของข้าไปแบกอีกกระบอกก็แล้วกัน”พรานเบพูดจบก็ยกซากเก้งที่ถูกมัดข้าทั้งสองข้าง ขึ้นแบกบนบ่า สาเหตุที่ต้องมัดขาทั้งสองข้างของมัน เป็นเพราะความสะดวกในการแบก ถ้าไม่มัดให้เรียบร้อยขาเก้งทั้งสี่ขา ก็จะชี้โด่เด่ เวลาต้องเดินไปตามสุมทุมพุ่มไม้ จะทำให้เกะกะเสียเปล่าๆ

“ไม่มีปัญหาน้าเบ สบายมาก เราออกเดินทางกันเลยดีกว่า พวกเราทางโน่นคงจะดีใจกันยกใหญ่”สิงห์พูดจบก็ยกเป้สนามขึ้นสะพาย พร้อมๆกับปืนลูกซองยาวของพรานเบอีกกระบอกที่ไหล่ขวา ส่วนปืนคู่กายของเขาถูกสะพายไว้ทางไหล่ซ้าย

          การเดินทางในครั้งนี้ เป็นไปอย่างสะดวก เพราะด้วยปริมาณของสัมภาระที่แบกกลับมาไม่ทุลักทุเลเหมือนครั้งก่อน แต่ก็มีขลุกขลักบ้างเล็กน้อยเป็นบางช่วงไม่ถึงกับยากลำบากมากนัก โดยเฉพาะสิงห์ ถึงจะต้องแบกปืนลูกซองของพรานเบเพิ่มอีกกระบอก ซึ่งน้ำหนักก็ไม่ได้เบาอย่างที่คิด แต่อย่างน้อย มันก็ยังเบากว่าลูกห้างที่แบกมาเมื่อวานหลายเท่าตัว

          ดวงอาทิตย์ยังขึ้นไม่พ้นสันเขา ซึ่งทอดขวางเป็นทางยาวดูสูงทึบทะมึน ทำให้บริเวณนั้นยังถูกปกคลุมไปด้วยละอองหมอก และด้วยอิทธิพลนี้เอง จึงทำให้สภาพป่ารอบๆด้านดูชื้นแฉะไปทั่วทั้งบริเวณ แต่ก็มีข้อด้อยในเรื่องของการมองเห็นเส้นทาง ขนาดสิงห์ที่เดินตามอยู่ไม่ห่างพรานเบนัก ยังต้องคอยร้องเรียกเป็นระยะ เพราะมีอยู่บ่อยครั้ง ที่เดินไม่ทันพรานนำทาง ระยะห่างกันแค่ไม่ถึงห้าเมตร ก็มองไม่เห็นหลังพรานนำทางแล้ว โอกาสที่คนเดินตามมีสิทธิที่จะเดินหลงจึงมีสูง แต่ก็น่าแปลกใจที่พรานเบยังสามารถเดินนำฝ่าสายหมอกที่หนาทึบไปได้ โดยไม่หลงเส้นทางเลยแม้แต่น้อย

“ได้เสบียงมาตุนไว้แบบนี้ วันนี้คงได้ขึ้นเขาสก สินะน้าเบ” สิงห์ร้องถามพรานเบที่เดินนำอยู่เบื้องหน้า

“ข้าก็คิดแบบเอ็ง วันนี้สายๆคงได้เดินทางกันต่อ”พรานเบตอบ

“ถ้าข้าจำไม่ผิด ข้ามเขาสกไปอีกไม่เกินสองวัน คงถึงชายป่าดำ” พรานเบหยุดเดินแล้วหันมาบอกสิงห์

“ทีนี่ล่ะ เอ็งจะได้เห็นสักที ว่าป่าดำ ที่ข้าว่า มันใหญ่โตและกว้างใหญ่ขนาดไหน”พรานเบพูดจบก็นำซากเก้งที่แบกมาวางบนพื้น จากนั้นก็นั่งมวนยาเส้นที่ขอนไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

“พักดูดยาสักมวนก่อนวะ ไม่ต้องรีบร้อนข้ามเนินนี้ไปก็ถึงแค้มป์แล้ว”พรานเบพูดจบก็คาบบุหรี่ยาเส้นที่มวนเสร็จใหม่ๆ จากนั้นก็จุดไม้ขีดไฟไปจ่อที่ปลายอีกด้านหนึ่ง

          สิงห์เอกก็ไม่ปฏิเสธ เพราะบ่าทั้งสองข้างก็ชักจะเริ่มระบมแล้ว หลังจากปลดเครื่องหลังและปืนทั้งสองกระบอกออกมาวางพิงไว้เรียบร้อยดีแล้ว เขาก็งัดกระติดน้ำขึ้นมาดื่มอย่างกระหาย จากนั้นก็ส่งให้พรานนำทาง โดยไม่ได้คิดรังเกียจอะไรเลย พรานเบก็ไม่ปฏิเสธน้ำใจของสิงห์เช่นกัน รีบรับกระติกน้ำนั้นขึ้นมาดื่มเข้าไปอึกใหญ่

“ได้เนื้อได้หนังมาแบบนี้ ก็หมดห่วงเรื่องเสบียง”

“ดีไม่ดี ข้าอาจจะพาขึ้นเขาสกวันนี้เลย”พรานเบร้องบอก

“บนเขาสกมันไม่มีอะไรให้เรากินเลยหรือ?”พรานมือสมัครเล่นร้องถาม

“มี แต่คงจะหายากหน่อย ไม่เหมือนตามหุบหรือตามห้วย”

“กุ้ง หอย ปู ปลา ที่เคยจับกินกันได้ ถ้าขึ้นไปบนเขาสกแล้วก็อย่าได้คิด เพราะบนนั้นไม่มีน้ำเลย”พรานเบพูดจบก็สูบบุหรี่ยาเส้นจนควันโขมง

“แล้วเราจะเอาน้ำที่ไหนกินใช้ล่ะ น้าเบ”สิงห์ถามด้วยความกังวล รู้ดีแก่ใจว่า การหาแหล่งน้ำบนเขามันหายากแค่ไหน

“ถ้ากลัวว่าจะไม่มีจริงๆ คงต้องแบกน้ำขึ้นไปใช้ก่อน”พรานนำทางร้องตอบ

“เอาอะไรแบกไปล่ะ แกลอน เราก็มีอยู่ใบเดียว แถมเหล้าป่าของลุงโส่ยก็ยังเหลือเกือบครึ่ง”สิงห์ถาม

“จะไปยากอะไร ไม้ไผ่ออกเยอะแยะเต็มป่า เอ็งลืมไปแล้วรึ”พรานเบพูดจบก็โยนบุหรี่ยาเส้นลงพื้นแล้วใช้ปลายเท้าขยี้ปลายบุหรี่นั้นจนดับ ก่อนจะลุกขึ้นไปแบกซากเก้งขึ้นมาไว้บนบ่าเช่นเดิม โดยที่สิงห์เองก็ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า การเดินทางได้เริ่มขึ้นอีกครั้งแล้ว

          บนเส้นทางที่ลาดต่ำลงไปทุกขณะ ซึ่งทอดยาวลงไปสู่ลำห้วยเบื้องล่าง ที่ตอนนี้ถูกบดบังด้วยป่าที่ขึ้นรกทึบ ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นสายน้ำเบื้องหน้า  แต่ก็พอเดาได้ว่ามันอยู่ไม่ไกล เพราะแว่วกระแสเสียงของสายน้ำนั้น ชายทั้งสองพากันเดินไต่มาตามไหล่เขาชันอย่าทุลักทุเล เพราะความลื่นของดินที่ชื้นแฉะไปด้วยน้ำค้าง จึงต้องคอยระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่ถึงจะระวังตัวแค่ไหน สองพรานต่างวัยก็ยังพลาด แต่ละคนลื่นก้นกระแทกพื้นคนละทีสองที กว่าพรานเบจะพาลงมาที่ริมห้วยนั้นได้ก็เล่นเอาก้นระบม

          ตัดมาที่แค้มป์ อากาศช่วงเช้ามืดเช่นนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันหนาวทรมานคนแก่แค่ไหน พรานโส่ยตื่นขึ้นมาเติมฟืนสุมไฟ ตั้งแต่ไก่ป่าขันได้มีกี่ครั้ง  จนบริเวณแค้มป์สว่างโพรงไปหมด เปลวไฟลุกโชน ช่วยส่งไอความอุ่นให้กับชายชรา ที่ตอนนี้นั่งยองๆเอามือมาผิงข้างกองไฟ โดยยังมีโปงผ้าห่มคลุมตัวอยู่ นอกจากพรานชราจะได้รับไออุ่นของกองไฟแล้ว เจ้าพะเปรี้ยวและเจ้าพะบอง ก็พลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย หลังจากต้องนอนขดบนกองขี้เถ้ามานาน

“หนาวฉิ บหาย”พรานแปะบนงึมงำได้ไม่เท่าไหร่ ก็ลุกขึ้นมานั่งหัวเด่บนเปล

“ตื่นนานแล้วรึ ตาโส่ย”พรานแปะร้องถาม พูดจบก็ลุกขึ้นมานั่งผิงไฟข้างๆชายชรา

“ตั้งแต่ไก่ขันแล้ว”พรานชราร้องตอบ จากนั้นก็ซุนท่อนฟืนเข้าไปในกอง

“ไก่ป่าขันเรียกแต่เช้ามืดเลย ไม่รู้ว่ามันอยู่แถวไหน”พรานแปะพูดพลางมองไปยังทิศทางของเสียง

“อยู่ในหุบโน่นล่ะมั่ง?”พรานชราตอบ พลางชี้มือไปที่ชายป่า ที่ตอนนี้ยังมองอะไรไม่เห็น นอกจากเงาของต้นไม้สลัวๆ

“ถ้าเอ็งอยากรู้ เอ็งก็ออกไปด้อมดูสิ”พรานโส่ยแนะนำ
เสียงไก่ป่าขันแว่วมาอีกครั้ง ทำให้พรานแปะทนนั่งจับเจ่าต่อไปไม่ไหว จึงคว้าปืนลูกซองคู่กายที่พาดอิงไว้กับต้นไม้ ซึ่งตอนนี้น้ำค้างเกาะชุ่มไปหมด หลังจากใช้ผ้าขาวม้าถูเช็ดจนเรียบร้อย พรานแปะก็หักลำกล้องเพื่อเปลี่ยนลูกปืน จากลูกเบอร์ที่ภายในบรรจุลูกกระสุนเก้าเม็ด เป็นลูกปลายที่มีลูกกระสุนบรรจุอยู่ภายในไม่ต่ำกว่าหกสิบเม็ด เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์และเหยื่อที่ตนเองจะล่า ระยะเวลาไม่ถึงนาที เสียงหักลำกล้องกลับดัง กริ๊ก! ก็แว่วมาให้ได้ยิน กะเหรี่ยงหนุ่มหันมาคุยกับพรานชราอยู่สองสามประโยค ย่ามและปืนคู่กายก็ถูกสะพายไหล่เดินหายเข้าไปในดงทึบ

“ตื่นโว้ย!”พรานชราร้องเรียกเจ้าเคิ้งและเจ้าพุ่ม ที่นอนขดอยู่ในโปงผ้าห่ม แต่มันก็ไม่ได้ผลเพราะสองกะเหรี่ยงยังนอนไม่อยากจะตื่น

“บ๊ะ!ไอ้นิ”

“ผัวะ!!” พรานชรายัดลูกแปใส่ก้นสองกะเหรี่ยงอย่างบรรจงที่สุด และวิธีนี้มันได้ผล

“จะรีบไปไหนพ่อ! วู้!”เจ้าเคิ้งลูกชายบ่นอุบอิบ

“คนแก่ทำไมชอบตื่นแต่เช้าก็ไม่รุ? ดูๆฟ้ายังมืดอยู่เลย หนาวก็หนาว”เจ้าพุ่มได้ทีขอบ่นบ้าง

“ไอ้ฉิ บหายพวกนี้ นอนกันอยู่ได้ จะรอให้แดดมันแยงตูดพวกเอ็งก่อนใช่มั๊ยวะ”พรานเฒ่าตวาดจบ แกก็ทำท่าจะเดินไปยัดลูกแปอีกชุด แต่ใครจะโง่ให้โดนลูกแปฟรีๆอีกเล่า กว่าพรานเฒ่าจะง้างเท้าไปถึง สองหนุ่มก็พรวดพราดจากโปงผ้าห่มจนวงบาน พร้อมๆกับเสียงหัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจ นอกจากสองกะเหรี่ยงที่พากันตื่นเพราะเสียงเอ็ดตะโรของพรานเฒ่าแล้ว พรานพรที่นอนอยู่บนเปลที่ผูกไว้ใกล้ๆกัน ก็พลอยต้องตื่นขึ้นมาด้วย เพราะทนนอนฟังพรานชราบ่นต่อไปไม่ไหว

“ยิ่งแก่ยิ่งขี้บ่นเว้ย ตาโส่ย”พรานพรร้องบอก ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งผิงไฟข้างๆพรานเฒ่า

“ข้าล่ะเป็นห่วงไอ้สิงห์มันจริงๆ เมื่อคืนคงนอนหนาวเป็นลูกนก”พรานเฒ่าพูดพลาง ใช้ไม้เขี่ยกองไฟเล่นโดยปราศจากความหมาย

“แกไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก มีไอ้เบอยู่ด้วยทั้งคน ถุงนอนมันก็เอาไป ดีไม่ดีนอนอุ่นกว่าเราอีก”พรานพรร้องตอบ พูดจบก็หยิบซองยาเส้นจากกระเป๋าเสื้อออกมาม้วน

“ไอ้เหน๋อมันไปไหนล่ะ”พรานพรร้องถามพรานเฒ่า

“จะไปไหนได้ ก็นอนขดในเปลอยู่นั่น ไอ้ห่ านี้ก็อีกตัว ไม่เรียกไม่ลุก”พรานชราโพล่งออกมา พูดจบแกก็เดินไปเตะบริเวณส่วนที่น่าจะเป็นก้นของคนขี้เซาดัง ป๊าบ!

          ท้องฟ้าเมื่อครั้งไม่นานมานี้ซึ่งขมุกขมัวมองอะไรไม่ค่อยจะเห็น บัดนี้เริ่มจะมองเห็นบริเวณรอบที่พักได้สะดวกขึ้น เหล่าพรานป่าหลังจากตื่นนอนกันทุกคน ก็แบ่งงานกันทำ พรานพรกับเหน๋อช่วยกันเตรียมหุงข้าว ส่วนพรานโส่ยและกะเหรี่ยงหนุ่มทั้งสอง ช่วยกันทำปลาและกบที่หาได้มาเมื่อคืนที่ริมห้วย ซึ่งประมาณไม่ได้มากมายเหมือนเมื่อครั้งที่ผ่านมา แต่ขนาดมันกลับใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะกะเหรี่ยงหนุ่มทั้งสองเลือกเอาเฉพาะขนาดตัวโตๆทั้งนั้น ถึงจะได้มาไม่มาก แต่มันก็พอเพียงแล้วสำหรับอาหารมื้อนี้

          ข้าวในหม้อสนามถูกขึ้นมาแขวนไว้บนราวเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้คงไม่ต้องทำอะไรนอนจากปล่อยให้เปลวไฟและความร้อนในกองฟืน ทำหน้าที่ของมันเอง เสร็จงานตรงนี้ แต่ก็ยังไม่หมดงานตรงนั้น พรานพรออกไปเดินเก็บยอดผักกูด ที่ขึ้นงามอยู่ดาษดื่นเผื่อเอาไว้ประกอบอาหารกิน เพียงไม่กี่นาทีก็ได้ยอดผักกูดงามๆมาสองกำใหญ่ แถมยังมียอดผักหนามอีกหลายสิบยอด แต่ละยอดอวบน่ากิน ส่วนเหน๋อก็ไม่ได้กินแรงคนอื่นๆ หลังจากรู้พิษสงของพรานชราแล้ว ก็ไปรื้อค้นกระปุกน้ำพริกแห้ง ที่พรานโส่ยเก็บเอาไว้ในถุงปุ๋ย เตรียมเอามาละลายน้ำมะขามเปียก ส่วนปลาบางส่วนที่ชำแหละแล้วก็นำมาขึ้นย่างกับไฟอ่อนๆ ยกเว้นกบทูดตัวโตๆอีกสองตัวที่ถูกพรานเฒ่าเผาแบบลวกๆเพื่อดับคาว เห็นสภาพแล้วพาลให้ไม่น่ากิน เพราะหลังจากโดนความร้อนไม่นานหนังของมันก็ดูตึงเห็นผ่านๆคิดว่าขึ้นอืด

“วันนี้จะทำอะไรกินดีตาโส่ย”พรานพรร้องถาม

“ข้าว่าจะแกงส้มปลาเวียนเสียหน่อย”

“เอ็งเก็บผักกูดมาก็ดีแล้ว ข้าจะได้เอามาแกงส้มเลย”พรานชราพูดจบก็นำไม้เสียบปลาเวียนขึ้นย่าง

“ปั่ง!”

“ไอ้แปะล่อไก่ป่าเข้าแล้วมั๊ยล่ะ”พรานชราหันไปบอกพรานพร

“แกก็ทำเป็นรู้ดีไปได้ ตาโส่ย”พรานพรตอบ พูดจบก็ยกหม้อสนามที่มีน้ำอยู่เต็มขึ้นตั้งบนเตา

“ก็ข้านี่ล่ะ เป็นคนบอกให้มันไปด้อมเมื่อเช้ามืด ตั้งแต่เอ็งยังไม่ตื่นแล้วไอ้พร”

          จริงอย่างพรานโส่ยว่า เพียงไม่นานหลังจากเสียงปืนลั่นขึ้น พรานแปะก็เดินหิ้วไก่ป่ามาสองตัว แต่ละตัวดูอ้วนพีกว่าที่ได้มา อาจเป็นเพราะบริเวณแหล่งหากินของมันอุดมสมบรูณ์กว่าป่าด้านล่างก็ได้ จึงทำให้ไก่ป่าที่ได้มาดูตัวโต

“เจอเป็นฝูงเลย แต่ได้มาแค่สอง”พรานแปะเดินยิ้มหลามาแต่ไกล

“เออดี จะได้เอามาย่างเกลือกิน”พรานพรร้องตอบ

“เอ๊า! เอ็งสองคนเอาไปช่วยกันทำ”พรานแปะพูดจบก็ส่งไก่ป่าทั้งสองตัวให้เคิ้งและพุ่ม ไก่ป่าโดนยิงมาใหม่ๆตัวยังอุ่นแบบนี้ ใช้เวลาไม่นานก็ถูกทอนขนออกมาอย่างง่ายดาย ขึ้นชื่อว่าสัตว์ปีกก็เหมือนกันหมดถ้าตายใหม่ๆจะถอนขนง่าย แต่ถ้าตายนานๆจนแข็งทื่อแล้วล่ะก็ ถอนขนทีหนังก็หลุดตามมาด้วย ใครจะว่าก็ว่าเถอะ ส่วนที่อร่อยที่สุดก็คือหนังนี้แหละ แต่ยังไม่ทันที่สองกะเหรี่ยงจะทำไก่ป่าเสร็จ หมาสองตัวที่ถูกผูกไว้ก็เห่าดังลั่น ทำให้ทุกคนหันไปมอง

          ร่างของชายทั้งสองที่หายไปทั้งคืน เดินฝ่าดงไม้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ โดยมีร่างที่สูงใหญ่กว่าเดินนำ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านั่นคือพรานเบ แต่จุดเด่นหรือจุดสนใจไม่ได้อยู่ที่ตัวพรานนำทาง แต่เป็นอะไรชนิดหนึ่งบนบ่าของเขานั้นเอง ที่มีขนสีน้ำตาลแดงตัวเขื่อง

“บ๊ะ เก้งหม้อ ตัวเบ้อเร่อ เลยเว้ย” พรานพรร้องลั่นอย่าดีใจ ไม่เพียงแต่พรานพรเท่านั้นที่ดีใจ เจ้าเคิ้งและเจ้าพุ่ม เมื่อเห็นว่าสิ่งที่พรานเบแบกมาคืออะไร ต่างพากันวิ่งกรูกันเข้าไปดู

“เอาๆ มาช่วยพี่ถือของหน่อย”สิงห์ร้องบอกสองกะเหรี่ยงที่พากันวิ่งล้อมหน้าล้อมหลังพรานเบ จนลืมคนที่เดินตามหลังมาอีกคน

“อ้าวแล้วนั่นใครล่อไก่ป่ามาอีกสองตัวล่ะ ใช่เสียงปืนตะกี้หรือเปล่า”พรานเบร้องถาม พูดจบก็ยกเก้งที่ตัวเองแบกมาจนไหล่ลู่ลงพื้น

“ข้าเองพี่เบ แหม มาคราวนี้โชคดีจริงๆ”พรานแปะร้องตอบ พูดจบก็ร้องเรียกพรานพรมาช่วยกันหิ้วขาเก้งคนละสองข้าง เพื่อเตรียมชำแหละที่ริมห้วยด้านล่าง

“ได้ทั้งไก่ป่า ได้ทั้งเก้ง จะทำอะไรกินดีมื้อนี้ ปลาเวียนกับกบสงสัยจะเป็นหมัน”เหน๋อร้องทัก

“ทำเก้งก่อนดีกว่าข้าว่า ไก่ป่าก็ย่างเกลือกินสักไม้ กบกับปลาเวียนก็ย่างเก็บเอาไว้กินมื้ออื่นก็ได้ ”พรานเบร้องตอบ

“แกงซงแกงส้ม ไม่ต้องทงไม่ต้องทำมันแล้วพ่อ น้ำพริกก็มีอยู่แล้วผักกูดก็มี หมกกินกับน้ำพริกก็ได้”เคิ้งร้องเสริม

          เก้งหม้อตัวเขื่องถูกชำแหละอย่างรวดเร็ว เกือบจะทุกส่วนของมันถูกนำมาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด เหลือเพียงบางอย่างที่ต้องทิ้งไปเพราะทำอะไรกินไม่ได้ เนื้อสันในและขาทั้งสี่ข้าง ถูกแยกส่วนออกมาย่างลมควัน เพื่อจัดเก็บไว้เป็นเสบียง เครื่องในและกระดูกซี่โครง ถูกพรานเบสับเตรียมไว้ทำต้มเนื้อและผัดเผ็ด โดยเจ้าตัวบอกว่าจะโชว์ฝีมือให้สิงห์กิน ส่วนหนังก็ไม่ได้ทิ้งคว้าง พรานโส่ยใช้มีดขูดขนออกอย่างบรรจง จากนั้นก็ทาเกลือแล้วย่างรมควันเสียอย่างดี โดยให้เหตุผลว่าเอาไว้ย่างกินหรือไม่ก็ต้มแกงเอาไว้กินมื้ออื่น นอกนั้นก็จะเป็นกระดูกชิ้นใหญ่ๆและเครื่องในบางอย่างที่ไม่สามารถจัดเก็บไว้ได้ สิงห์และเหน๋อสองเกลอ ต่างช่วยกันรวบรวมแล้วย่างให้พอสุก โดยแยกกองไฟมาใหม่อีกกอง เพื่อเตรียมไว้ให้เจ้าพะเปรี้ยวและเจ้าพะบองแทะกิน

          เช่นเดียวกับไก่ป่าก็ถูกขึ้นย่างบนร้านย่างเนื้อที่ถูกทำขึ้นมาอย่างลวกๆ แต่ก็แข็งแรงทนทาน พรานเบหลังจากเตรียมเครื่องครัวเสร็จก็ร้องสั่งให้สองกะเหรี่ยงดง ไปหาขุดต้นและหัวกระวานอ่อนๆเพื่อเอาไว้ใส่ผัดเผ็ดเนื้อเก้ง ส่วนตัวแกเองนั่งโขลกพริกแกง เสียงครกทีทำจากกระบอกไม้ไผ่ดัง โป๊กๆ ก้องไปทั้งบริเวณ กลิ่นของเครื่องแกงหอมฉุยน่ากิน....

เจ้าพุ่มยิ้มตลอดเวลา


เจ้าเคิ้ง


ล่องไพร...


ที่เห็นขาวๆไม่ใช่ ปีกบนไก่นะครับ แต่มันคือ ขากบทูด/ธูป ทอดกระเทียมพริกไทย ส่วนตัวของกบเอาไปผัดเผ็ด ทอดกินแต่ขา


.....
ปรีชา เตชะวณิช:  โอ้โห้ คราวนี้ยิ่งเก้งหมอเลย ผัดเผ็ด ใส่ผักหนาม และยอดหวายอ่อนๆ อื้ม.....แกลมเหล้าป่าสัก โบกสองโบก ไม่ไปไหนแล้ว
.....
SHATTER:  มาแล้ว..............

เหมือนเดิมคำผิดคำสุดท้ายคับ
ตัดมาที่แค้มป์ อากาศช่วงเช้ามืดเช่นนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันหนาวทรมานคนแก่แค่ไหน พรานโส่ยตื่นขึ้นมาเติมฟืนสุมไฟ ตั้งแต่ไก่ป่าขัด (ขัน)
ส่วนตัวแกเองนั่งโขลกพริกแกง เสียงโคก (ครก)

น้าตอนแรกสองพลานเอากระบอกไม้ไปคนละ2กระบอก กระบอก1ใส่น้ำกินอีกระบอกปล่าวไว้ฉี่ แต่ตอนขากลับ กินน้ำกระติกซะแล้ว อิอิ
.....
หนุ่มธุดงค์ไพร: ขอบคุณครับน้าๆ ที่ค่อยติดตามอ่าน ขอบคุณทุกกำลังใจครับ

ขอบคุณน้าSHATTER  มากๆนะครับ ที่ช่วยบอกคำผิด ผมแก้ใหม่แล้วนะครับ แหม่คำง่ายๆ เขียนก็เคยเขียนแล้ว ยังพิมพ์ผิดอีก มันน่าตีมือนัก

ส่วนเรื่องกระบอกน้ำ ผมดีใจนะครับ ที่น้าจำได้ว่ากระบอกน้ำมีกี่กระบอก นั้นหมายถึงว่าน้าตามอ่านนิยายของผมจริง ตามทุกรายละเอียด และเป็นสิ่งที่ผมอย่างได้มากที่สุดครับ คือ มีคนทักว่าตรงนี้ไม่ใช่นะ ตรงนั้นต้องเป็นแบบนี้ และขอยอมรับว่าผมลืม (เขียนจนลืม)

อาทิตย์นี้งานผมน่าจะเบาๆลงแล้ว คงจะพอมีเวลาเขียนพอสมควรครับ ว่าแล้วนั่งเขียนต่อดีกว่า(งานการไม่ทำ สงสัยจะโดนซองขาวสักวัน


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #1 on: 22 April 2021, 17:45:05 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 ตอนที่ 2


บทที่ 7

ตอนที่ 2

          ข้าวในหม้อสนามสุกพร้อมๆกับปลาเวียนย่างที่ถูกวางพาดอิงไว้หลายไม้ พรานโส่ยเลือกเอามากินสามสี่ไม้ ที่เหลือพรานชราใช้ใบตองห่อไว้กินมื้ออื่น รวมทั้งกบทูดอีกสองตัว ครั้งแรกว่าจะแกง แต่พอได้เก้งมา กบที่ได้มาก็ถูกย่างจนแห้ง

“น้ำเดือดแล้วน้าเบ”สิงห์ร้องบอกพรานเบที่ตอนนี้กำลังง่วนอยู่กับเครื่องแกง

“เอ็งใส่มะขามเปียกให้ข้าหน่อย ออ! ข่า ตะไคร้ด้วย อยู่ในจานนั่น ขาเตรียมไว้แล้ว”พรานเบพูดพรางชี้มือไปที่จากใส่ข่าซอยและตะไคร้ทุบสองต้นที่ตอนนี้ถูกม้วนเป็นขมวดอยู่สองวง

“ถ้าน้ำเดือดได้ที่ เอ็งก็ใส่เนื้อลงไปได้เลย เดี๋ยวที่เหลือข้าจัดการเอง”หัวหน้าพ่อครัวสั่งลูกมือ

          ต้มเนื้อหรืออีกนัยหนึ่งคล้ายๆ ต้มแซบนั่นเอง หลังจากเนื้อ เครื่องใน และเอ็นข้อ เริ่มสุกส่งกลิ่นหอม พรานเบปรุงรสด้วยเกลือและน้ำพริกเผาอีกนิดหน่อย แถมระหว่างปรุง พรานเบยังใส่ขี้เพรี้ยะและดีลงไปอีกด้วย หลังจากตักชิมดูจนแน่ใจว่ารสชาติได้ที่ แต่ก็ยังไม่เสร็จสมบรูณ์ พรานเบยังตบพริกนกลงไปลอยฟองอีกกำใหญ่ ทำให้ต้มเนื้อหอมเป็นทวีคูณ เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว พรานเบจึงยกหม้อต้มเนื้อไปตั้งบนเตาที่มีไฟอ่อนๆอีกครั้ง โดยพ่อครัวบอกเหตุผลว่า ต้มเนื้อที่ทำจะได้เปื่อย

          เสร็จจากต้มเนื้อหม้อใหญ่ พรานเบก็หันมาตั้งหม้ออีกใบ เพราะกระทะไม่มี จากนั้นก็เทพริกแกงป่าที่ตัวเองลงมือตำเอง นำไปผัดในหม้อจนหอมฟุ้ง เล่นเอาจามกันลั่นป่าไปตามๆกัน พริกแกงหอมได้ที่ พรานเบก็เทเนื้อเก้งที่พรานพรช่วยสับไว้อีกจานใหญ่ ลงไปผัดคลุกเคล้ากับพริกแกงจนหอมฉุย น้ำปลาไม่มีก็เติมเกลือลงไปแทน พอเนื้อเก้งเริ่มสุก พรานเบก็ร้องเร่งให้เจ้าพุ่มนำต้นและหัวของกระวานอ่อนที่กำลังซอยอยู่ เติมลงไปในผัดเผ็ดอีกครั้ง ปิดท้ายด้วยพริกนกตบอีกกำ สิงห์เห็นเข้าก็ร้องทัก

“เบาๆน้าเบ เดี๋ยวก็เผ็ดกินไม่ได้กันพอดี”สิงห์ร้องลั่น แต่ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ นอกจากพรานเบจะใส่พริกนกลงไปแบบไม่ยั้งแล้ว ก่อนยกลงพรานเบยังเทเหล้าป่าลงไปแทนผงชูรสอีกสามจอก เล่นเอาพรานโส่ยที่นั่งย่างปลาอยู่ใกล้ๆร้องเสียงหลง

“ไอ้เบ! ไอ้ห่ า! เหล้าข้ายิ่งมีน้อยๆอยู่”พรานชราพูดจบก็รีบคว้าจอกเหล้าป่าจากมือพ่อครัว แต่แทนที่แกจะเก็บจอกนั้น ตรงกันข้ามพรานเฒ่ากับเทเหล้าป่าจนเต็มจอก แล้วกระดกดื่มกินหน้าตาเฉย

“บ๊ะ! ร้อนท้องดีจริงโว้ย ม๊ะ! ไอ้เบจอกนี้ของเอ็ง”พรานเฒ่าพูดจบก็เทเหล้าป่าให้พรานเบอีกจอก อย่างไม่รีรอ เพราะไม่รู้จะรออะไร พรานเบรีบรับไปดื่มรวดเดียวหมด

          สิงห์เองก็คันไม้คันมือ เมื่อเห็นพรานเบโชว์ฝีเมื่อทำกับข้าวป่า ตัวเองก็กลัวจะน้อยหน้า หลังจากเดินไปเลือกเนื้อสันติดมันมาได้ก้อนหนึ่ง สิงห์ก็บรรจงแล่ก้อนเนื้อสันนั้นออกเป็นเส้นๆ แต่ละเส้นยาวไม่เกินคืบ จากนั้นก็เอาริ้วเนื้อสันนั้นไปคลุกเคล้ากับเกลือ จากนั้นก็เอาเนื้อที่ปรุงรสเรียบร้อยแล้วนำไปเสียบกับไม้ย่างปลา ที่พรานโส่ยทำเผื่อไว้ได้สี่ไม้พอดี จากนั้นก็นำไปย่างกับไฟอ่อนๆ เพียงไม่นานเนื้อเก้งย่างก็ส่งกลิ่นหอมน่ากิน

“แบบนี้ถ้ามีข้าวเหนียวสักก้อน คงเคี้ยวกันเพลินไปเลย”เหน๋อพูดพรางช่วยสิงห์พลิกย่างเนื้อเก้ง ที่ตอนนี้มีน้ำมันหยดลงบนถ่านแดงๆดัง ฉ่า

“ขอแค่ข้าวสวยร้อนๆ สักจากก็พอ เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม”สิงห์ร้องตอบเพื่อนเกลอ

        ไม่กี่อึดใจต่อมา กับข้าวต่างๆก็ถูกจัดวางไว้บนผืนผ้าใบผืนใหญ่ น้ำพริกเผาถ้วยใหญ่เคียงคู่กับหมกผักกูดและผักหนามสด ปลาและไก่ป่าย่างเกลือถูกวางกองรวมกันบนใบตอง ผัดเผ็ดเก้งจานใหญ่ถูกวางกลางผืนผ้าใบกลิ่นของมันหอมฉุย ส่วนต้มเนื้อถูกตักแบ่งออกเป็นสองชาม ต้มเนื้อร้อนๆส่งควันกรุ่นหอมน่ากิน และเป็นธรรมเนียมพรานทุกครั้ง ที่ก่อนจะกินข้าวหรือประกอบกิจกรรมอะไรก็แล้วแต่ เหล่าพรานกะเหรี่ยงจะต้องบอกกล่าวแก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนทุกครั้ง และเป็นความเชื่อมาแต่ไหนแต่ไร จนถือปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้ กับข้าวและอาหารต่างๆที่ช่วยกันทำขึ้นมา ถูกตักแยกออกมาเป็นส่วนๆ ทั้งข้าวสวยร้อนๆและแกงป่า ถูกตักแยกออกมาใส่กระทงใบตองขนาดเล็ก พรานชราประคองกระทงเครื่องเซ่นอย่างระมัดระวัง ก่อนจะบรรจงวางไว้บนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งริมห้วย ที่มีต้นมะเดื่อป่าต้นใหญ่งอกแซมขึ้นมาปกคลุม หลังจากพนมมือทำปากขมุบขมิบดูไม่รู้เรื่องได้อึกใจ พรานเฒ่าก็ก้มลงกราบสามครั้ง เพราะไม่ได้ใส่รองเท้า พรานเฒ่าเลยต้องเดินมะงุ้มมะง่ามกลับเข้ามาร่วมกลุ่ม

        เสียงจ๊อกแจ๊คจอแจ ของเหล่านกขุนทองหลายสิบตัว ที่ร้องอยู่บนยอดยางสูงลิบ เสียงของมันฟังดูวุ่นวายไม่ได้ศัพท์ ส่วนเบื้องล่าง หมู่จักจั่นเรไร ก็เริ่มกรีดปีกส่งเสียงกันระงมป่า ท่ามกลางธรรมชาติที่รายล้อมบุคคลทั้งแปด ที่เปรียบเสมือนฉากหลังในละครทีวี อากาศที่สดชื่นบริสุทธิ์ปราศจากหมอกควันของมลพิษ ที่คละเคล้ากับสรรพสำเนียงของธรรมชาติรอบทิศ  กลิ่นดอกไม้ป่านานาพันธุ์ ผสมกลิ่นอายของละอองหมอก ทำให้อาหารเช้ามื้อนี้เลิศหรู ราวกับอาหารในภัตตาคารห้าดาว

“เออ! ไอ้เบ ข้าว่า วันนี้เอ็งนำขึ้นเขาสกเลยดีกว่า”พรานชราร้องบอก พูดจบก็ตักผัดเผ็ดเก้งมาคลุกข้าว

“ฉันก็ว่าแบบตาโส่ยแกว่า ทั้งปลาทั้งเนื้อก็ออกจะมีมากโข อย่างน้อยๆก็อยู่ได้เป็นวัน”พรานแปะร้องเสริม

“ข้าคุยกับไอ้สิงห์มันแล้วเรื่องนี้ พวกเอ็งไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ยังไงวันนี้ข้าก็จะพาขึ้นเขาสก”

“กินข้าวอิ่ม พักเอาแรกเสียหน่อย บ่ายๆค่อยออกเดินทางต่อ”พรานเบพูดจบก็ตักน้ำต้มเนื้อในชามขึ้นซด

“นี่ก็เพิ่งจะแปดโมงกว่าๆเอง ยังมีเวลาอีกเยอะ ดีเลยผมจะได้อาบน้ำอาบท่าเสียหน่อย ไม่ไหวเหนียวไปทั้งตัว”สิงห์ร้องบ่น พูดจบก็ฉีกปีกไก่ป่าย่างขึ้นมาแทะกิน

“แล้วเมื่อคืนพวกเอ็งสองคนไม่ได้อะไรมาเลยรึ?”พรานเบหันไปถามพรานพรและพรานแปะ ที่ตอนนี้นั่งกินข้าวจนแก้มตุ่ย

“ไม่ได้อะไรเลยพี่เบ เจอแต่บ่าง จะยิงก็ยิงไม่ไหวอยู่สูงจัด”พรานแปะตอบ

“ข้าเจอชะมดแต่ยิงไม่ทัน เจอลิงลมอยู่สองสามตัว จะยิงลงมาย่างกิน ก็กลัวไอ้สิงห์มันจะบ่นเอา ฮ่าๆ”พรานพรพูดจบก็หัวเราะ ลิงลม หรือที่มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นางอาย สัตว์ป่าน่ารักที่ไม่มีพิษภัยอะไร เป็นสัตว์หากินตอนกลางคืน กลางวันจะเชื่องช้า แต่ตกค่ำเวลาอยู่ตามยอดไม้จะว่องไว ยิ่งมีลมพัดยอดไม้ไหวๆแล้ว บางทีส่องไฟเห็นอยู่จะๆ ดีไม่ดีก็หายตัวไปราวกับล่องหน สมชื่อที่เรียกว่า ลิงลม เพราะเป็นสัตว์ป่าที่น่ารักมากกว่าน่ากิน สิงห์จึงออกกฎระเบียบกับสมาชิกท่องไพรทุกคนว่า นกเงือก ลิงลม และสัตว์ป่าหายาก ถ้าไม่จำเป็นจริงๆอย่ายิงมันมากินเด็จขาด แต่ก็มีความเชื่อแบบผิดๆเกี่ยวกับสัตว์ป่าน่ารักแบบนี้ พรานบางคนเชื่อว่า คืนไหนถ้าออกส่องสัตว์แล้วเจอลิงลม คนๆนั้นจะดวงซวยไม่ได้สัตว์อะไรเลย จึงทำให้มันต้องถูกสอยลงมานับไม่ถ้วน จริงๆคนที่ดวงซวยไม่ใช่คนส่องไฟ แต่เป็นลิงลมเองนั้นแหละที่ดวงซวยเสียมากกว่า ที่มาเจอคน

“ไอ้พุ่ม ไอ้เคิ้ง กินข้าวเสร็จแล้วเอ็งสองคนไปช่วยกันตัดไม้ไผ่เอาไว้ใส่น้ำ”พรานเบร้องบอกสองกะเหรี่ยงหนุ่ม ซึ่งไม่รู้ว่ามีมารยาทในเวลากิน หรือเป็นเพราะกับข้าวอร่อย เลยทำให้สองหนุ่มต่างก้มหน้าก้มตากินกันอย่างตั้งใจ

“เอ็งด้วยไอ้เหน๋อ ไปช่วยมันสองคนตัด เลือกกระบอกใหญ่ๆหน่อยล่ะ”พรานเบหันไปสั่งเหน๋ออีกคน

“เอานา...ถ้ามันไม่ทันยังไง เดี๋ยวก็ไปช่วยๆกันอีกแรง”พรานพรหันมาตอบ

“ว่าแต่ต้มเนื้อของน้าเบนี่มันเปื่อยได้ใจผมจริงๆเลย กระดูกอ่อนเคี้ยวเพลินดีแท้”สิงห์พูดหลังเคี้ยวต้มเนื้ออยู่ในปากหมด

“ถ้ามีลูกเดือย เอ็งจะติดใจกว่านี้”พรานแปะร้องเสริม

“มันใส่กันได้เหรอ ผมเคยแต่กินแบบที่มันเป็นขนม”สิงห์ถาม

“เอ็งจะไปรู้อะไร ไอ้สิงห์ คนเมืองอย่างเอ็ง ข้าถึงบอกไงให้มาหาเมียอยู่กับข้าที่นี้ ฮ่าๆ”สิ้นเสียงพรานชรา ทุกคนก็พากันหัวเราะชอบใจ

“ลุงก็จ้องแต่จะหาเมียให้ผมอยู่เรื่อย ว่าแต่ลูกสาวบ้านไหนล่ะที่สวย”สิงห์หยอกกลับ แต่ดูเหมือนว่าพรานชราจะดูจริงจังเสียมากกว่า

“โอย! เยอะแยะไป ลูกสาวอียะหมี่ บ้านซำมะแก ก็งาม ปีนี้สิบห้าแล้วมั้ง”พรานเฒ่านั่งขมวดคิ้วคิด

“อีกล่ะ เอาที่มันพ้นๆคุกหน่อยเถอะลุง ปัดโธ่...”สิงห์ครางเสียงอ่อย สิ้นเสียงของชายหนุ่ม เหล่าพรานกะเหรี่ยงก็พากันหัวเราะชอบอกชอบใจกันยกใหญ่ ท่ามกลางวงข้าวมื้อพิเศษ บรรยากาศดีบวกกับอาหารอร่อย ทุกคนจึงนั่งกินข้าวอย่างลืมอิ่ม คุยบ้างหยอกล้อกันไปมากันบ้าง หรือหัวเราะเฮฮากันไป ไม่ต้องมีการสำรวม หรือแสดงความมีมารยาทในวงข้าวใดๆทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างร่วนแสดงออกมาตามธรรมชาติของแต่ละคน ไม่ต้องทนนั่งเกร็งเหมือนที่นั่งกินกันตามร้านอาหารที่ต้องคอยเกรงใจโต๊ะรอบข้าง

          หลังจากอาหารเช้าที่แสนจะเลิศหรูจบลง เหล่าพรานกะเหรี่ยงก็ต่างแยกย้ายออกไปทำธุระส่วนตัว หรือไม่ก็พักเอาแรงบ้างเพราะยังพอจะมีเวลาอีกนานโข กว่าจะเริ่มเดินทางกันอีกครั้ง พรานเบนั่งสูบบุหรี่ยาเส้นอยู่บนเปล สายตาของพรานนำทางจับจ้องไปยังภูเขาสูงทะมึนเบื้องหน้า เหมือนกำลังจะมีอะไรอยู่ในหัว ที่ทำให้ต้องครุ่นคิด พรานโส่ยหลังจากเทแบ่งเศษอาหารให้หมาสองตัวเสร็จ ก็แจงเก็บข้าวของลงกระสอบถุงปุ๋ย ทั้งเครื่องครัวที่ล้างทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว และกะปิ พริกเกลือต่างๆ ก็ถูกพรานชรารวบรวมเข้าที่

          ห่างออกไปไม่ไกลนักเจ้าพุ่มและเจ้าเคิ้งต่างช่วยกันตัดไม้ไผ่ ที่ขึ้นอยู่เป็นดงหนาทึบ โดยมีเหน๋อคอยช่วยอีกแรง เมื่อป่ารกทึบไผ่ป่าแต่ละต้นจึงดูสูงใหญ่กว่าปกติ แต่ละลำของมันจึงดูใหญ่โตตามไปด้วย เจ้าพุ่มเลือกตัดลำกระบอกไม้ไผ่ที่ไม่แก่จนเกินไปได้สองลำ แต่กว่าจะใช้มีดฟันให้ขาดได้ ก็ได้เลือด เพราะกว่าจะมุดเข้าไปตัดได้ก็โดนหนามของมันเกี่ยวจนถลอกปอกเปิด พอตัดได้แล้วก็ต้องลากออกมาอีก ไผ่ป่า ไม่เหมือนต้นไม้ทั่วไป ที่เวลาตัดแล้วก็ล้ม แต่ไผ่ไม่ได้ขึ้นโดดเดี่ยวเหมือนต้นไม้ เพราะมันขึ้นเป็นกอหนาทึบ พอตัดลำต้นของมันขาดส่วนปลายยอดของมันที่มีแขนงหนามอยู่มากมายไม่ได้ถูกตัดไปด้วย มันจึงไม่ล้มลงมาง่ายๆ วิธีเดียวที่จะนำมันออกมาได้คือการลากลำต้นของมันออกมา แต่กว่าจะเอาออกมาได้ก็เล่นไปหลายเหงื่อ

        ส่วนสิงห์หลังจากจัดเก็บสำภาระส่วนตัวเรียบร้อยดีแล้ว ก็จัดแจงเตรียบไปอาบน้ำ เพราะทนเหนียวตัวต่อไปไม่ไหว ชายหนุ่มเดินเลาะเรียดไปตามชายห้วย ลำห้วยกว้างขวางก็จริง แต่ระดับน้ำไม่ได้ลึกตามไปด้วย อย่างเก่งลึกสุดไม่ถึงครึ่งหน้าแข้ง กว่าเขาจะได้ตำแหน่งที่ต้องการก็ต้องออกแรงเดินมาพอสมควร

        ภายใต้ร่มเงาของต้นมะเดื่อป่าที่ขึ้นอยู่ริมห้วย สายน้ำใสไหลเย็นอยู่ตลอดเวลา ทำให้เข้ารู้สึกสดชื่น หลังจากใช้ฝาหม้อสนามตักขึ้นมาอาบแทนขัน หนักเข้าก็ลงไปนอนแช่เสียเลย โดยมีโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่งหนุนหัวเขาแทนหมอน โดยมีธรรมชาติและสายน้ำห่มร่างแทนผ้านวมนุ่มๆ บรรยากาศยามเช้าเช่นนี้ทั้งสดชื่นรื่นรม จนทำให้คนที่นอนแช่น้ำอยู่รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ชายหนุ่มนอนทอดอารมณ์ท่ามกลางสายน้ำเย็นเฉียบนั้นอย่างมีความสุข สายตาที่เหม่อลอยถูกปล่อยวางไปกับสายน้ำที่ไหลผ่านตามร่างกายของเขา นกเงือกฝูงใหญ่บินผ่านไปหลาบฝูงระหว่างช่องเขา เสียงแมลงไพร และนกป่านานาชนิด ที่พากันส่งเสียงร้องกล่อมไพรอยู่เซ็งแซ่เคล้าคลอเป็นเพลงไพร เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วไม่อาจทราบได้ ที่ชายหนุ่มนอนทอดอารมณ์อยู่เช่นนั้น เขามารู้สึกตัวอีกที ก็ต้อนกลุ่มที่ออกไปตัดไม้ไผ่ผ่านมา

“วู้ พี่สิงห์”เคิ้งตะโกนเรียก ชายหนุ่มที่นอนแช่น้ำอยู่กลางลำห้วย

“ไปนอนทำอะไรอยู่ตรงนั้น เดี๋ยวก็หนาวตายห่ า”เหน๋อร้องทักมาอีกคน

“เออ เดี๋ยวก็ขึ้นแล้ว รอด้วย”สิงห์ร้องตอบ พูดจบก็เดินขึ้นมาจากลำห้วย

          บริเวณลานดินข้างกองไฟ ซึ่งตอนนี้มอดเหลือแต่ขี้เท้าขาวโพลน คงเหลือแต่ส่วนท้ายๆของท่อนฟืนที่ยังไหม้ไฟไม่หมดยังส่งควันกรุ่นอยู่ บริเวณนี้เองที่เหลาพรานกะเหรี่ยงต่างช่วยกันตัดและเหลากระบอกไม้ไผ่เตรียบสำหรับบรรจุน้ำขึ้นไปใช้ และดื่มบนจุดหมายเบื้องหน้า แต่ละคนต่างแสดงฝีมือกันเต็มที่ โดยเฉพาะเจ้าเคิ้งและเจ้าพุ่ม ซึ่งเด็กทั้งสองคนนี้จะทำอะไรแต่ละครั้งก็ต้องแข่งขันกันอยู่เสมอ กระบอกใส่น้ำของแต่ละคนจึงดูไม่ธรรมดา ผิดกับพรานพรและพรานแปะ ที่แค่ทำเอาง่ายๆไม่ได้พิถีพิถันอะไรมาก เพียงแค่เน้นการใช้งานเป็นหลัก สำหรับสิงห์คงไม่จำเป็นต้องไปตัดไม้ให้เหนื่อยแรงเพราะตัวเขาเองมีกระติกน้ำอยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่ประมาท เพราะรู้อยู่แล้วว่า การที่จะหาน้ำบนเขา ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ โดยพรานเบบรรจงเหลากระบอกใส่น้ำให้สิงห์อย่างดี ส่วนของตัวแกเองมีอยู่ก่อนแล้วต้อนไปนั่งห้าง จึงไม่ต้องทำอีก

“ไอ้เคิ้ง เอ็งไปตัดเถาวัลย์มาเผื่อข้าหรือเปล่า”พรานพรร้องถามเจ้าเคิ้ง ที่ตอนนี้กำลังเหลากระบอกน้ำของตัวเองอยู่

“ตัดมาแล้วเยอะแยะ แขวนอยู่นั่น”พูดจบก็บุ้ยปากไปที่ขดเถาวัลย์ที่แขวนอยู่บนกิ่งไม้
เมื่อได้กระบอกน้ำที่ตนเองพอใจแล้ว พรานพรก็ใช้ปลายมีดเหน็บที่มีความแหลม ค่อยๆเจาะส่วนท้ายและปลายกระบอกน้ำของตนเป็นรู เพื่อร้อยเส้นเถาวัลย์ สำหรับใช้เป็นสายสะพาย แต่มันยังไม่จบเพียงแค่นี้ ส่วนปลายที่ทำเป็นปากฉลามสำหรับเพื่อรินน้ำดื่ม ด้านบนนี้เอง บริเวณส่วนที่เป็นข้อของกระบอกไม้ไผ่ก็ถูกเจาะเป็นรู กว้างพอที่ส่วนของปลายนิ้วจะแหย่ลงไปได้ ถึงแม้จะเล็กเพราะอาจและลำบากเวลาเติม แต่ข้อดีของมันก็มี คือเวลาเทหรือเกิดทำตกหล่นขึ้นมา โอกาสที่น้ำในกระบอกจะกระฉอกหรือหกเสียหมดจึงมีน้อย เมื่อได้ขนาดรูที่พอใจแล้ว พรานพรก็ตัดไม้มาทำจุกอุดรูนั้นเป็นฝาปิด นอกจากพรานพรแล้ว คนอื่นๆก็ทำในลักษณะเดียวกันหมด

          ลมหนาวพัดยอดไม้บริเวณที่พักดังซู่ซ่า บางครั้งก็ดังอู้มาแต่ไกล อากาสยามสายเช่นนี้ ถึงจะมีแสงแดดที่แก่จัด แต่เมื่อมาอยู่ภายใต้หุบเขาและลำห้วยเบื้องล่าง ก็ไม่ได้รู้สึกร้อนระอุแต่อย่างใด หลังจากพักผ่อนเอาแรงกันพอสมควร ร่วมถึงเตรียมของและเสบียงต่างๆจนพร้อม พรานเบก็ออกนำขบวนอีกครั้ง โดยเบนหน้าไปที่ภูเขาสูงที่มองเห็นเบื้องหน้าไกลลิบ พาลให้สิงห์ถึงกับถอนหายใจ เพราะอีกใจหนึ่งก็คิดว่าตัวเขาเองจะไหวหรือเปล่า เพราะภูเขาสูงทะมึนที่ตั้งตระหง่านอยู่นั้น มันช่างไกลเหลือเกิน แต่อีกใจก็คิดเสียว่าขนาดเหล่าพรานกะเหรี่ยงยังไหวเขาเองก็ต้องไหวจะมาท้อเอาดื้อๆเช่นนี้ไม่ได้ ขนาดพรานเฒ่าที่เดินแบกกระสอบถุงปุ๋ยใบเบ้อเร่อ แกยังไหวแถมไม่เคยบ่นออกมาสักคำ ตัวเขาเองก็ยังหนุ่มยังแน่น ร้องไม่ไหวก็เห็นทีจะต้องอายคนแก่ โชคยังดีที่พรานเบยังไม่ให้เติมน้ำติดตัวไปมาก เพราะเส้นทางก่อนที่จะขึ้นเขายังมีลำห้วย ที่พอจะหาน้ำใช้สอยได้ ถึงกระนั้นถ้าได้ปีนเขาจริงๆแล้ว ต้องแบกน้ำกันไปด้วย ลำพังเป้และสำภาระต่างๆ ก็พะรุงพะรังพอแล้ว สภาพจะเป็นยังไงเขาเองก็ยังคิดไม่ออก

          การเดินทางยังเป็นไปด้วยความสะดวก เพราะพรานเบพาคณะเดินเลาะเรียดไปตามชายห้วย ซึ่งไม่รกมากนัก นานๆครั้งคนนำทางจะชักมีดออกมาฟันเถาหนามและกิ่งไม้ที่ขึ้นรกขวางทาง โดยเฉพาะไม้เลื้อยจำพวกหวาย ที่ชอบขึ้นอยู่ตามหุบเขาและริมห้วย บ่อยครั้งเถาหนามหวายก็ขึ้นรกเกินที่พรานเบและพรานกะเหรี่ยงคนอื่นๆจะช่วยกันฟันเปิดช่องทางได้ ถึงแม้จะเสียเวลาเดินหน่อย แต่พรานเบเลือกที่จะเดินอ้อมไป

          เสียงย่ำใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ เบื้องหน้าที่แว่วให้ได้ยินมาแต่ไกล ทำให้ฝูงไก่ฟ้าหลายสิบตัวพากันบินแตกฮือไปคนละทิศคนละทาง บางตัวก็บินหายเข้าไปในดงทึบ บางตัวก็บินขึ้นไปเกาะเด่นบนยอดไผ่สูงลิบ เจ้าของเสียงย่ำใบไม้ไม่ใช่ใครที่ไหน เพราะอีกอึดใจต่อมาร่างของหมาผอมๆสองตัวก็วิ่งเหยาะๆ โผล่มาจากสุ่มไผ่ หลังจากก้มดมตามพื้นเดินจนทั่ว เจ้าพะเปรียวก็เห่าดังลั่น พร้อมกับอาการลุกลี้ลุกลน วิ่งวนไปวนมารอบกอไผ่

“สงสัยจะเจอตัวอะไรเขาแล้ว”สิงห์ร้องบอก

“นก หนู อีกตามเคยล่ะมั่ง”พรานโส่ยร้องตอบ

“เดี๋ยวก็รู้ มันเห่าอยู่ข้างหน้าเรานี่เอง”พรานเบพูดเสริม ทั้งคณะไม่ได้มีอาการตื่นเต้น หรือใคร่อยากรู้อยากเห็นอะไรมากนัก อีกอย่างตัวพรานเบก็ไม่ได้มีท่าทีรีบร้อนอะไรเลย นอกจากยืนฟังเสียงและจับทิศทาง จากนั้นก็พาเดินนำไปยังตำแหน่งเสียงเบื้องหน้า แต่ยังไม่ทันที่คณะจะเดินได้สิบก้าว เจ้าพะบองและเจ้าพะเปรียวก็เห่ากรรโชกขึ้นอีก แต่ครั้งนี้ไม่ได้เห่าอย่างเดียว เพราะมันมีทั้งเสียงขู่เสริมอีกด้วย

“เอ..มันชักยังไงๆเสียแล้ว”พรานพรที่เดินรั้งอยู่ท้ายขบวนร้องบอก

“เฮ้ย! เองสองคนวิ่งไปดูสิ ว่ามันเห่าอะไรของมัน”พรานโส่ยร้องบอกสองกะเหรี่ยงดง พุ่มและเคิ้งหลังจากได้รับคำสั่ง ก็รีบวิ่งจี๋ไปยังตำแหน่งของเสียงเบื้องหน้า

“ไม่ต้องรีบเว้ย ค่อยๆเดี๋ยวก็วิ่งเหยียบหนามไผ่ตีนทะลุ”พรานเบร้องบอก

“มีหมามาด้วยก็แบบนี้ ดีอย่างเสียอย่าง” แต่ยังไม่ทันที่พรานแปะจะพูดต่อทุกคนก็ต้องสะดุ้ง เพราะเสียงปืน

“เผล๊อะ!”

“เปรี้ยง..!”

*****นิยายยังไม่จบเพียงแค่นี้ เสียงปืนที่ดังขึ้นจะมาจาก สองกะเหรี่ยงหนุ่มหรือไม่ โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในตอนต่อไป*****

.....

เจ้าพุ่ม เตรียมตัดไม้


พรานพร กับ เจ้าพุ่ม แข่งกันเหลากระบอกใส่น้ำ


เจ้าเคิ้งโชว์แมน (แมนมากผมยังอาย)


ปลาย่าง กลางป่า



Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #2 on: 22 April 2021, 17:54:34 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 ตอนที่ 3


บทที่ 7

ตอนที่ 3

          เสียงปืนแก๊ปดังสะท้านเกือบจะพร้อมๆกัน ตามมาด้วยเสียงเอะอะโวยวายของสองกะเหรี่ยงที่พากันร้องเสียงหลง

“ฉิบหา ยแล้วไง เจออะไรเข้าแล้ว ไปพวกเรารีบไปดูกันเร็ว!”สิงห์ร้องลั่น จบประโยคโดยไม่ต้องให้บอกซ้ำ ทุกคนก็พากันวิ่งกรูไปยังตำแหน่งนั้น โดยไม่ได้คำนึงถึงหนามไผ่ที่ขวางอยู่เบื้องหน้า อาจเป็นเพราะความตกใจ แต่ละคนจึงโดนหนามไผ่เกี่ยวเนื้อเกี่ยวตัวได้เลือดกันทั่วหน้า กว่าจะฝ่าดงไผ่ออกมาได้ ก็เลือดซิบถลอกปอกเปิกไปตามๆกัน แต่ภาพที่เห็นหลังจากพากันโผล่ออกมาจากดงไผ่ ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนถึงกับผงะ โดยเฉพาะสิงห์ถึงกับขนลุก

          ห่างออกไปเกือบสิบวา อสรพิษ สีดำมะเมื้อม ชูคอแผ่แม่เบี้ยหรา อยู่เหนือจอมปลวกใต้กอไผ่ เคิ้งและพุ่มไม่รู้ว่าหายไปไหน เห็นเพียงแต่ปืนแก๊ปที่ถูกทิ้งกองอยู่กับพื้น พร้อมสำภาระต่างๆ ก็ถูกทิ้งกระจัดกระจายเกลื่อน แต่ไม่นานก็มีเสียงกู่มาจากยอดไม้ใกล้ๆ

“วู้”

“บนนี้ พวกฉันอยู่บนนี้”เจ้าเคิ้งร้องเรียกเย้วๆมาจากยอดต้นยอ

“มันมีสองตัว อีกตัวนอนตายอยู่ตรงนั้น”เจ้าพุ่มร้องพลางชี้มือบอกไปยังตำแหน่ง ที่ร่างสีดำร่างหนึ่งนอนม้วนเป็นเกลียวข้างเป้ ดูแล้วยาวไม่ต่ำกว่าสองวา

“เอาไงดีน้าเบ ท่าทางมันเอาเรื่องเราอยู่นะนั้น”สิงห์กระซิบปากคอสั่น พลางมองไปยัง อสรพิษ อีกตัวที่เล่นเอาเถิดเจ้าล่อ กับเจ้าพะเปรี้ยวและเจ้าพะบอง ที่พากันวิ่งเห่าวนไปวนมาอยู่รอบกอไผ่นั้น

“ไอ้พร อย่าเพิ่งรีบร้อน ดีไม่ดีเดี๋ยวถูกหมาข้า”พรานเบพูดจบก็รีบปัดปืนลูกซองที่พรานพร ที่ทำท่าเตรียมเล็ง

“พวกเอ็งอยู่ตรงนี้อย่าทำอะไรกระโตกกระตากล่ะ ปล่อยให้ข้าจัดการเอง”พรานเบร้องบอกทุกคนในคณะ พูดจบก็ถอดเป้ที่สะพายออกมากองบนพื้น จากนั้นก็เปลี่ยนกระสุนปืนจากลูกเบอร์เก้าเม็ด มาเป็นลูกปรายแทน ปากก็ร้องเรียกหมาสองตัวไปพลาง แต่หมาเจ้ากรรมกลับไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งผู้เป็นนาย ตรงกันข้ามพวกมันต่างช่วยกันล้อมหน้าล้อมหลัง วิ่งเข้าวิ่งออกดูวุ่นวายไปหมด ส่วนอสรพิษเขี้ยวมัจจุราชก็สู้ยิบตา มันพยายามฟาดหัวและคมเขี้ยวเข้าหาศัตรูของมันสุดฤทธิ์ทุกครั้งที่มันได้จังหวะ แต่มันก็พลาดไปทุกครั้ง เพราะด้วยเชิงของหมาพรานทั้งสองตัว พวกมันจึงไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นได้ง่ายๆ เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายดูสับสนไปหมด จนพรานเบย่องมาหลบมุมที่โคนต้นยอ ที่กะเหรี่ยงทั้งสองเหาะขึ้นไปเกาะอยู่บนคาคบ

“ไป๊!”

“ไอ้ห่ าพวกนี้นี่ เดี๋ยวก็โดนกัดตายห่ า”พรานเบตวาดลั่นแข่งกับเสียงเห่าที่ดังลั่นไปหมด ปากก็ร้องเรียกหมาสองตัวของแกไปพลาง หนักเข้าก็ต้องคว้าท่อนไม้ขว้างไล่ให้มันทั้งสองตัวห่างออกมาจึงจะได้ผล เมื่อไม่มีศัตรูมาขวางกันแล้ว ไอ้งูมัจจุราชก็ทำท่าว่าจะหันหัวมาเล่นงานมนุษย์แทน พรานเบรู้จังหวะและเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอยู่ก่อนแล้ว ผ้าขาวม้าที่ถูก ขยุมเป็นก้อนอยู่ในมือ ก็ถูกโยนไปตกตรงหน้าของอสรพิษทันที

          ดวงตาแดงกร่ำของมัจจุราชไร้ตีน ที่จ้องจะแก้แค้นให้กับคู่ของมันอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตเข้ามาใกล้ อารามความตกใจและความแค้นที่หมายจะฆ่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่ขยับเขยื้อนและเคลื่อนไหว ซึ่งตัวมันเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ด้วยความอาฆาตพยาบาทมาบังตา เมื่อเห็นเหยื่อคมเขี้ยวของมันพลาดเข้ามาใกล้ โดยตัวมันเองหารู้ไม่ว่า สิ่งที่มันเห็นคือกลลวง ทันทีที่หัวของมันฟาดตูมลงมาหมายที่จะฝังคมเขี้ยวอาบพิษของมันให้หายแค้น แต่สิ่งที่มันไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เหยื่อที่มันหมายจะฆ่า แทนที่สิ่งนั้นจะดิ้นทุรนทุรายก่อนจะขาดใจตาย เหมือนกับเหยื่อตัวอื่นๆของมันที่เคยฝากคมเขี้ยวไว้ แต่มันกลับนิ่งสนิทราวกับสิ่งไม่มีชีวิต ใช่แล้วสิ่งที่มันกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่นี้ มันเป็นกลลวงที่ไร้ชีวิต คิดได้ก็สายไปเสียแล้ว เพราะอึดใจต่อมา เสียง ตูม สนั่นก็ดังขึ้น ไม่มีโอกาสที่มันจะแก้แค้นอีกแล้ว และไม่มีแม้กระทั่งชีวิตของมันเอง

“เห่าดง”

“สงสัยมันคงทำรังไว้แถวๆนี้” พรานเบพูดพลาง ใช่ปลายกระบอกปืนเขี่ยไปที่ซากงูที่นอนหัวเละอยู่ตรงพื้น

“ดูให้ดีน้าเบ ว่ามันตายหรือยัง”สิงห์ร้องบอก ขณะวิ่งเข้ามาหาพรานเบ

“หัวขาดขนาดนี้ ต่อให้เทวดาก็ไม่เหลือ”พรานโส่ยร้องบอก

“ไอ้เราก็คิดว่าเจอตัวนิ่ม เห็นไอ้พะเปรียววิ่งเข้าวิ่งออกแถวๆจอมปลวก”

“ที่ไหนได้ ยังไม่ทันจะเข้าไปดูใกล้ๆ ไอ้ดำนี้ก็พรวดเกือบถึงตัว”เจ้าพุ่มพูดพลาง ไต่รูดมาตามลำต้นของต้นยอป่า

“ข้าบอกแล้ว ว่าอย่าเพิ่งรีบร้อน ไม่โดนกันตายห่ าก็บุญโขแล้ว”เคิ้งร้องลั่น หลังจากไต่ต้นไม้ตามลงมาสมทบ

“ตัวเบ้อเร่อแบบนี้ โดนมันกัดทีเดียว เอ็งสองคนคงไปไม่ถึงมือหมอหรอก”

“อย่าว่าแต่จะโดนกันเลยน้าเบ แค่โดนเขี้ยวมันเฉียวๆ ก็ได้ขุดหลุมฝังไอ้สองคนนี้แล้ว”สิงห์ร้องพลาง ใช้ไม้เขี่ยที่หัวงู อีกตัวที่ตายอยู่ก่อนหน้า ซึ่งตอนนี้นอนตายแยกเขี้ยวยาวโง้ง

“สงสัยจังว่าทำไมมันดุขนาดนี้”

“จะไม่ให้มันดุได้ยังไง มาดูอะไรนี้พวกเรา”ขาดคำของพรานแปะ ทั้งหมดก็เดินไปมุงดูบริเวณจอมปลวกนั้น พอพรานแปะใช้ปลายไม้เขี่ยใบไผ่ที่ปกคลุมปากรูหรือโพรงของจอมปลวกออก ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนหายขอสงสัย ภายในที่เป็นโพรงลึกเข้าไป วัตถุทรงกลมลักษณะเหมือนก้อนแป้งขาวขุ่นเป็นย่นหลายสิบก้อนถูกวางเรียงชิดกันเป็นกระจุก ไม่ต้องบอกว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร นอกเสียจากไข่ของอสรพิษ ทั้งสองนั่นเอง

“ลาบปาก แบบนี้ต้องเอามาต้มกินให้หายแค้น”เจ้าพุ่มพูดพลางทำท่าเหมือนจะก้มลงไปเก็บไข่งู แต่ก็ต้องชะงัก เพราะถูกสิงห์ดึงไหล่เอาไว้

“ช่างมันเถอะ ปล่อยเขาไป พ่อกับแม่มันก็นอนตายอยู่นั้น”สิงห์พูดพลางบุ้ยปากไปที่ซากงูทั้งสอง

“ถึงจะฟักออกมาเป็นตัว ใช่ว่าจะรอดเสียทั้งหมด ออกมาสิบจะเหลือถึงสองตัวหรือเปล่าก็ไม่รู้”

“ไปต่อดีกว่าพวกเรา ดีแล้วที่ไม่มีใครเป็นอะไร เอ็งสองคนก็ดูอะไรให้ระวังๆหน่อย อย่าถือว่าเป็นลูกป่าแล้วจะไม่พลาด เคยได้ยินหรือเปล่า หมองูตายเพราะงู”สิงห์หันไปบอกเตือนสองกะเหรี่ยงหนุ่ม ที่ทำหน้าหงอย ไม่รู้ว่าหงอยเพราะถูกตำหนิ หรือว่าหงอยเพราะอดกินไข่งูต้มก็ไม่รู้

          เหตุการณ์เฉียดตายของกะเหรี่ยงหนุ่มทั้งสองผ่านไปโดยสงบ ไม่มีบุคคลใดได้รับอันตรายจากอสรพิษร้ายที่มีนามเรียกขานว่า เห่าดง ตรงกันข้ามเด็กหนุ่มทั้งสองกลับไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย นอกจากรอยถลอกตามเนื้อตามตัว ซึ่งมันเป็นผลมาจากจังหวะการไต่ปีนต้นไม้หรือไม่ก็ต้อนถูรูดลงมาตอนลง ผิดกับทางบุคคลทั้งหก ที่วิ่งผ่าดงไผ่มาเพื่อช่วยเหลือที่ได้เลือดกันทุกคน ด้วยพิษสงค์ของหนามไผ่ แถมเสื้อผ้าก็พลอยถูกหนามไผ่เกี่ยวจนขาด

        เมื่อตรวจดูความเรียบร้อยของแต่ละคนดูแล้ว ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก นอกจากถูกหนามไผ่เกี่ยว มีแต่เหน๋อเพียงคนเดียวที่ซวยกว่าเขาเพื่อน เพราะโดนหนามไผ่เกี่ยวบริเวณหัวไหล่และขาอ่อน ถึงบาดแผลจะไม่ลึกมากนัก แต่ก็หนักกว่าคนอื่น สิงห์เพื่อนเกลอจึงต้องบังคับใส่ยาและติดผ้าพันแผลให้เสียอย่างดี แต่กว่าจะทำสำเร็จก็ต้องออกแรงปล้ำกันยกใหญ่ เพราะเจ้าตัวดิ้นไปมาไม่อยู่นิ่ง

“อู๊ยย..!”

“เบาๆเว้ย! แสบฉิบหา ย”เหน๋อร้องครางทำหน้าน่าสงสาร ร้องพลางก็เป่าแผลไปพลาง เพราะถูกทิงเจอร์และแอลกอฮอล์ล้างแผล

“อย่าดิ้นสิวะ”

“เพรี๊ยะ!”

“นี้แหนะ ไอ้ห่ า! ทำเป็นเด็กไปได้ จะเสร็จแล้ว แผลนิดเดียวทำเป็นใจเสาะ”สิงห์ตวาดเพื่อนเกลอ หลังจากตบกบาลปลอบขวัญไปหนึ่งฉาด เล่นเอาทั้งคณะหัวเราะไปตามๆกันยกเว้นเหน๋อคนเดียวที่บ่นอุบอิบ พลางลูบหัวตัวเองแกรกๆ

          ขบวนท่องไพรเคลื่อนตัวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนที่ผ่านๆมา เพราะทั้งหมดเริ่มเดินสู่เนินชันขึ้นเป็นระยะ ลัดเลาะปีนขึ้นสันเขาทีละน้อยๆ แต่การเดินทางไม่ได้วิบากอะไรมากนัก เพราะเส้นทางที่พรานนำทางพาตัดออกไปไม่ค่อยรกนัก นานๆครั้งถึงจะได้เดินฝ่าดงไม้จำพวกเฟิร์นที่สูงท่วมเอว หรือบางต้นก็สูงเลยหัว ผิดกับป่าเบื้องล่าง ซึ่งจะอุดมไปด้วยต้นกระวานที่ขึ้นกันอยู่หนาทึบไปหมด อาจเป็นไปได้ว่า บริเวณนี้ความชื้นมีน้อยกว่าในหุบ กว่าจะเดินฝ่าดงเฟิร์นออกมาได้ก็ทุลักทุเลพอสมควร

          อากาศที่เย็นสบายเมื่อตอนเช้าตรู่ กลับกลายมาเป็นร้อนระอุขึ้นทุกขณะ ไม่มีเสียงพูดคุยของชายทั้งแปดให้ได้ยิน มีเพียงเสียงฝีเท้าที่เดินย่ำใบไม้แห้งดังกรอบแกรบ และเสียงหอบของใครบางคนในคณะ เรี่ยวแรงที่มีอยู่เต็มเปี่ยมเมื่อตอนเช้า เริ่มลดน้อยลง ราวกับแบตเตอร์รี่ ที่กำลังจะหมดไฟ ลำพังถ้าได้เดินในหุบเบื้องล่างก็คงไม่เท่าไหร่ เพราะอากาศชื้นและเย็นสบายทำให้ไม่เปลืองแรง แต่นี่ต้องมาเดินหัวแดงกันบนสันเขาแถมแดดก็ร้อนเปรี้ยงขนาดนี้ อย่าว่าแต่คนเลยที่เหนื่อยจนหอบ หมาที่ตามมาด้วยยังต้องเดินจนลิ้นห้อย บ่อยครั้งที่พรานมือใหม่อย่างสิงห์ต้องยกน้ำในกระติกขึ้นดื่มดับกระหาย เพราะทนคอแห้งจนน้ำลายเหนียวต่อไปไม่ไหว ผิดกับพรานกะเหรี่ยงทั้งหลาย ซึ่งนานๆครั้งจะยกน้ำขึ้นดื่มให้เห็นเสียทีหนึ่ง จนพรานเบพาเดินมาพบกับน้ำตกเล็กๆระหว่างซอกหินตอนหนึ่ง ดูแล้วไม่น่าจะใช่น้ำตก เป็นเพียงน้ำที่ไหลซึมออกมาจากรากไม้และซอกหินเสียมากกว่า แต่ก็พอจะใช้สอยได้บ้าง เพราะเบื้องล่างมีแผ่นหินลักษณะเป็นแอ่งเล็กๆ คอยรองรับสายน้ำที่มีอยู่น้อยนิด ถึงจะมีปริมาณไม่มากนัก แค่วักน้ำในแอ่งนั้นมาล้างหน้าครั้งเดียวก็หมดแล้ว แต่สำหรับสถานที่แบบนี้ แค่นี้ก็เกินพอ พรานเบจึงสั่งให้ทั้งหมดหยุดพัก

“เดี๋ยวพักเอาแรงเสียหน่อย”

“ไหวหรือเปล่าสิงห์”พรานเบหันมาร้องถามพรานสมัครเล่น ที่ตอนนี้เดินลากขาอยู่ท้ายขบวน

“ยังไหวอยู่น้าเบ สบายมาก ว่าแต่ใกล้ถึงแล้วหรือยัง”สิงห์ร้องถาม

“โอย...ยังไม่ถึงครึ่งทางเลยไอ้สิงห์”

“ข้าว่า พวกเรากว่าจะไปถึงที่นั้นก็คงจะเย็นพอดี”พรานโส่ยร้องตอบ แทนพรานนำทาง

“นี่ก็เที่ยงกว่าแล้ว เอาไงดีพวกเรา”

“จะพักกินข้าวกินปลากันก่อนหรือเปล่า หรือว่าจะเดินต่ออีกหน่อย”สิงห์ร้อบบอก หลังจากยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา ซึ่งตอนนี้เวลาบอกที่ 12.45 น.

“ไปหาที่พักกินข้าวข้างหน้าดีกว่า แถวนี้น้ำท่ามีน้อย”พรานเบตอบ พูดจบก็งัดซองยาเส้นออกมานั่งมวน

“มันจะมีน้ำให้ใช้หรือน้าเบ แถวนี้น่าจะหาน้ำยากอยู่”ชายหนุ่มกล่าวออกมาแบบหวั่นๆ

“ก็พอมีอยู่ เดี๋ยวข้าจะพาเดินลงหุบข้างหน้า ที่เอ็งเห็นเป็นพุ่มเขียวๆอยู่นั่น”พรานนำทางบอก พลางชี้มือไปยังตำแหน่งของจุดหมายที่จะพาคณะไปพัก

“แถวนั้นมันมีน้ำตกเล็กๆอยู่สายหนึ่ง มีน้ำกินน้ำใช้ได้สบาย”

“แต่เลยจากตรงนั้นไป ก็คงไม่มีแล้ว อย่างเก่งก็คงแบบที่ข้าพาเอ็งมาหยุดพักตรงนี้”

“ตรงหุบนั้นล่ะ ที่พวกเราต้องช่วยกันแบกน้ำขึ้นไปบนเขา”พรานเบพูดจบ ก็ยกบุหรี่ยาเส้นขึ้นสูบจนควันโขมง รวมถึงพรานกะเหรี่ยงคนอื่นๆ บางคนก็นั่งเคี้ยวหมากหยับๆ บ้างก็ใช้ใบไม้ทำเป็นกรวยผลัดกันตักน้ำในแอ่งมาดื่มกิน น้ำในแอ่งหินใสแจ๋ว ถูกตักขึ้นมาไม่กี่ทีก็หมด แต่พอนั่งรออึดใจใหญ่ น้ำที่ไหลซึมมาตามซอกหินและรากไม้ก็ค่อยๆไหลรินลงบนแอ่งหินจนเต็ม นอกจากเหล่าพรานกะเหรี่ยงทั้งหลายจะได้ดื่มน้ำในแอ่งหินนั้นแล้ว หมาสองตัวที่ติดตามมาด้วยก็ได้ดื่มกิน แต่พรานเบกันไม่ให้พวกมันมาดื่มในแอ่งรวมกับคน ตรงกันข้ามพรานนำทางกลับเลือกบริเวณที่เป็นพื้นกรวดทราย ซึ่งต่ำลงมาจากแอ่งหินนั้น จากนั้นก็ใช้มีดเหน็บ ค่อยๆขุดเป็นบ่อหรือแอ่งเล็กๆ พรานเบขุดได้ไม่นานก็มีน้ำไหลซึมออกมา เพียงไม่นานก็มีน้ำขังอยู่ในแอ่ง พอที่หมาสองตัวของแกจะใช้ดื่มกินดับกระหาย

          ลมพัดผ่านมาตามช่องเขาอีกวูบ ทำให้ต้นไม้ที่ยืนนิ่งสนิทอยู่นานไหวเอน เสียงใบไม้ไหวตามแรงลมดังซู่ซา เคล้ากับเสียง ออดแอด ของต้นไผ่เบื้องล่างที่โยกไหวไปมา นานๆครั้งก็ได้ยินเสียงดัง โผล๊ะ ของกระบอกไม้ไผ่ ที่ระเบิดออกมา เนื่องจากต้านทางแรงดันในลำกระบอกต่อไปไม่ไหว ยิ่งอากาศแห้งและร้อนแบบนี้จึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งเรื่องนี้สามารถทดสอบและทดลองทางวิทยาศาสตร์เพื่อหาคำตอบได้ สำหรับสิงห์ก็เข้าใจได้ไม่ยาก แต่สำหรับพรานกะเหรี่ยงคำตอบที่ได้คือ ลิงจุดปะทัดเล่น

          หลังจากหยุดพักจนเรี่ยวแรงฟื้นกลับมา พรานนำทางก็พาขบวนเคลื่อนตัวอีกครั้ง เนินแล้วเนินเล่า ที่พรานชำนาญไพรพาคณะเดินฝ่าออกไปอย่างบุกบั่น ถึงจะเหนื่อยหนักสักแค่ไหน ทุกคนก็มีใจรักที่จะฟันฝ่า แม้ว่าสภาพพื้นที่จะ ทุลักทุเล และกันดานขนาดไหน ทุกคนก็กัดฟันฝ่าออกไปจนได้

          ตะวันบ่ายฉายแสงร้อนเปรี้ยงบนด่านทางเดิน ก่อให้เห็นเป็นพรายน้ำกลายเป็นภาพลวงตา คล้ายมีแอ่งน้ำอยู่เบื้องหน้า แต่ครั้นเมื่อเดินเข้าไปใกล้แอ่งน้ำที่ว่าก็พลอยหายไปอย่างน่าประหลาด แสงแดดร้อนระอุแผดเผาเส้นทางจนไม้เล็กไม้น้อยแห้งกรอบ ถึงแม้ว่าจะผ่านช่วงฤดูฝนมาไม่นาน หมู่หินที่งอกพ้นพื้นดินออกมา เมื่อโดนแดดเผามาทั้งวันก็ร้อนจนถูกไม่ได้ รองเท้าผ้าใบของสิงห์ที่ว่าแน่ยังร้อนระบมไปหมด นับประสาอะไรกับรองเท้าแตะของเหล่าพรานกะเหรี่ยงหรือจะเอาอยู่ ยิ่งตอนเดินแล้วมีเศษก้อนกรวดหรือหินดีดเข้าไปในรองเท้า ยิ่งทวีความทรมานอย่าบอกใคร แต่ก็ดีตรงที่ไม่มีเศษก้อนหินเข้าไปในรองเท้าให้ต้องเดินลำบากเหมือนรองเท้าผ้าใบ ที่เวลามันเข้าไปแล้วไม่ได้กระเด็นกลับออกไป แต่ตรงกันข้ามคือเข้าแล้วเข้าเลย บ่อยครั้ง ที่ชายหนุ่มต้องหยุดถอดรองเท้าออกมาเคอะเศษหินและกรวดเล็กๆนั้นออก

          เส้นทางลาดต่ำลงทุกขณะ จนรู้สึกชันขึ้นเรื่อยๆ เพราะพรานนำทางพาเดินตัดลงหุบเขา เส้นทางที่สูงชันพาให้เดินไต่กันอย่างลำบาก โชคดีที่ยังมีเถาวัลย์และต้นไม้ ที่พอใช้เหนี่ยวรั้ง ร่างกายลงไปได้ แต่ก็ต้องคอยระวังต้นไม้ที่จะไปจับ เพราะต้นไม้ในป่ามีหลายหลายชนิด และหลายชนิดก็มีพิษ หรือถ้าไม่มีพิษก็มีหนาม รวมไปจนถึงสัตว์และแมลงมีพิษนานาชนิดที่อาจจะอาศัยหรือเกาะอยู่ตามต้นไม้เหล่านั้น กว่าพรานเบจะพามาถึงจุดพักก็เล่นเหนื่อยไปหลายหอบ

          บริเวณหุบระหว่างช่องเขา ซึ่งเกิดจากน้ำที่ไหลกัดเซาะเป็นเวลานาน เมื่อช่วงเข้าฤดูน้ำหลากหุบแห่งนี้ หรือช่องโตรกนี้คงมีน้ำมากมายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ แต่เมื่อหมดฤดูกาลสายน้ำที่คิดจินตนาการว่ามากมาย ก็กลับกลายมาเป็นสายน้ำเล็กๆราวกับน้ำที่ไหลจากก๊อกประปา โชคยังดีที่สายน้ำนั้นยังไหลรินอยู่ เสียงน้ำที่ไหลรินอันน้อยนิดดัง จ๊อกแจ๊ก ราวกับเสียงกระซิบของพงไพรที่พากันซุบซิบนินทา จากการมาเยือนของมนุษย์

“ค่อยยังชั่ว เดินข้างบนร้อนจนตีนผมระบมไปหมด”

“ถ้ามาช้ากว่านี้สักเดือน แถวนี้คงไม่มีน้ำแน่ๆ”สิงห์ร้องบอก หลังจากปลดเป้หลังออกมาวางบนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้มีตะไคร่น้ำเกาะเขียวไปหมด

“ต่อให้แล้งกว่านี้ก็มี”

“ถึงจะมีไม่มากแบบนี้ แต่ข้ารับประกันว่าห้วยนี้ไม่เคยแห้ง”พรานเบร้องตอบ พูดจบก็ถอดผ้าขาวม้าออกมาเช็ดเหงื่อ

“พักหุงข้าวหุงปลากินกันก่อนตรงนี้ล่ะ”

“ตาโส่ย แกเตรียมหม้อข้าวแล้วกัน เดี๋ยวข้าก่อไฟเอง”พรานพรร้องบอก พูดจบก็เดินไปหาฟืนแห้งมาก่อไฟ

“จะกินอะไรกันดีล่ะ จะได้เตรียมทำ”พรานโส่ยร้องถาม ขณะรื้อสิ่งของและเสบียงในถุงปุ๋ย

“ไม่ต้องอะไรมากหรอกลุง ง่ายๆ จะได้รีบกินรีบไป ยังเดินไม่ถึงเขาสกไม่ใช่รึ”

“ไก่ย่าง เนื้อเก้ง ปลา กบ เอามาสักอย่างสองอย่างก็พอ น้ำพริกก็ยังมี”สิงห์ร้องตอบ

“เอาไก่กับกบย่างมากินกับน้ำพริกก่อนดีกว่า เดี๋ยวมันจะเสีย อากาศร้อนแบบนี้บูดง่าย”เหน๋อเสนอความคิด พูดจบก็งัดไก่ป่าย่างและกบย่างออกมาจากย่าม ไก่ป่าที่ย่างไว้จนเหลืองน่ากินเมื่อตอนเช้า เมื่อถูกห่อแล้วถูกยัดจนแน่นในย่าม แถมยังต้องเดินไต่เขา ไม่รู้ว่ากระทบกระแทกอะไรต่ออะไรมา สภาพในตอนนี้จึงดูไม่จืด แต่เมื่อ ยกดมดูแล้วไม่มีกลิ่นที่แสดงว่าเน่าเสียก็แปลว่ายังใช้ได้ แค่เอามาอุ่นย่างกับไฟอ่อนๆก็อร่อยเหมือนเดิม ผิดกับกบย่างทั้งสองตัว ที่เละเทะไม่เหลือเค้าเดิมแถมยังมีกลิ่นตุๆอีกต่างหากแต่ก็ยังกินได้อยู่ แค่เอาไปอุ่นย่างอีกครั้งก็กินจนหมดไม่เหลือเช่นเดิม

          ส่วนคนอื่นที่เหลือก็กระจัดกระจายกันนั่งพัก บางคนก็หักกิ่งไม้มาปัดกวาดสถานที่ พุ่มกับเคิ้งช่วยกันขึงปูผ้าใบ พรานแปะออกไปรินน้ำเตรียมหุงข้าวช่วยพรานโส่ย พรานพรหลังจากได้ฟืนแห้งมากองใหญ่ ก็ก่อไฟจนควันโขมงไปหมดช่วยไล่เหล่าแมลงต่างๆที่มาตอมดูดกินเหงื่อได้ดีนัก พรานเบออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ แต่แกกลับมาพร้อมหน่อไม้รวกหลายสิบหน่อ แต่ละหน่อยาวร่วมศอก แถมยังมีเห็ดรวกและเห็ดขอนที่ชอบขึ้นตามกอรวกและตอไม้แห้ง ซึ่งได้มาอีกเกือบครึ่งย่าม เห็ดรวกหน้าตาเหมือนเห็ดนางฟ้าสีขาวสะอาดตา ดูน่ากิน

        เปลวไฟลุกโหมในกองฟืน ส่งควันโพยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ที่มียอดไม้ใหญ่ปกคลุมเป็นร่มครึ้ม หม้อสนามสามใบถูกขึ้นแขวนเหนือเปลวไฟอีกครั้ง พร้อมๆกับหน่อไม้รวกหลายสิบหน่อที่ถูกพรานเบโยนเข้าไปเผาในกองไฟทั้งเปลือก เพียงไม่นานก็ได้กลิ่นหอมของหน่อไม้รวกเผาโชยไปทั่ว หน่อไม้รวกเผายังไม่ทันจะสุก หมกเห็ดรวกและเห็ดขอนที่ถูกเคล้าพริกและเกลือบางๆ ก็ถูกขึ้นย่างอีกห่อใหญ่ทำให้กระตุ้นน้ำย่อยดีพิลึก

*****เนื้อเรื่องจะดำเนินต่อไปเช่นไร? คณะของสิงห์จะพบเจอกับสัตว์อะไรอีกหรือไม่? โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในบทต่อไป.!!!*****

.....

เจ้าพุ่มแวะเติมน้ำ


เจ้าเคิ้งก็เอา


พรานพรก็ด้วย


.....น้ำเดือดเรามาแบ่งกันกิน  ฟืนหมดเราช่วยกันเก็บฟืน...
น้ำห้วยตามธรรมชาติ ถึงจะใสสะอาดตาขนาดไหน ถ้าจะให้สนิทใจ ควรต้มก่อนดื่มทุกครั้ง...



.....
ปรีชา เตชะวณิช:  อืม....จะได้ขึ้นเขาสกแล้ว รออ่านต่อครับ ว่าแต่ตอนที่แล้วเนื้องูเห่า 2 ตัว
ไม่เอามาผัดเผ็ด หรอกหรือครับ แหม...เสียดาย 
.....
หนุ่มธุดงค์ไพร: ขอบคุณครับน้าๆ ที่ติดตามครับ
ตอบน้า ปรีชา เตชะวณิช ตอนแรกผมว่าจะเขียนว่าเอางูสองตัวมากินเหมือนกันครับ แต่นึกไปนึกมา ไม่เอาดีกว่า  เดี๋ยวผู้อ่านจะว่า พวกนี้กินแหลก แต่จริงๆแล้วมันก็กินได้ครับ อยากจะสื่ออารมณ์ประมาณว่าสถาณการณ์แบบนั้นกับงูเห่าดง ตัวมันใหญ่น่ากลัวจนไม่กล้าเอามากินเสียมากกว่าครับ
ขอบคุณน้าๆอีกครั้งนะครับ
.....
SHATTER: ตรงหุบนั้นล่ะ ที่พวกเราต้องช่วยกัน แบบ น้ำขึ้นไปบนเขา    (แบก หรือปล่าว)

"อืม....จะได้ขึ้นเขาสกแล้ว รออ่านต่อครับ ว่าแต่ตอนที่แล้วเนื้องูเห่า 2 ตัว
ไม่เอามาผัดเผ็ด หรอกหรือครับ แหม...เสียดาย" ผมก็ว่าอย่างน้า ปรีชา
ยำงูเห่า ใส่ดีงูด้วย เอาไก่เอาหมูมาแลกก็ไม่ยอม 
.....
หนุ่มธุดงค์ไพร: ขอบคุณมากครับน้าSHATTER


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #3 on: 22 April 2021, 18:03:40 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 ตอนที่ 4


บทที่ 7

ตอนที่ 4

          ช่วงที่รอเวลาให้ข้าวในหม้อสนามสุก พรานเบก็ร้องบอกให้เคิ้งและพุ่ม นำกระบอกไปเติมน้ำให้เต็ม รวมถึงพรานคนอื่นๆก็เช่นกัน โดยไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ สายน้ำที่ตกลงมาใสแจ๋วราวกับน้ำก๊อก ถึงปริมาณจะไม่มากมายเหมือนในลำห้วยเบื้องล่าง แต่ก็ใช้เวลาไม่นานกระบอกน้ำของแต่ละคนก็ถูกเติมจนเต็มปริ่ม ถึงแม้ทุกคนจะมีน้ำติดไปคนละกระบอกแล้วก็ตาม แต่พรานเบก็ยังไม่วางใจว่าน้ำที่ติดไปนั้นจะเพียงพอ

“ถ้าพวกเรามีน้ำไปคนละกระบอกแค่นี้ ข้าว่าคงไม่พอกินพอใช้บนเขาแน่ๆ”

“มาไอ้พร เอ็งไปหาตัดกระบอกใส่น้ำมาเสริมอีกหน่อยดีกว่า”พรานเบร้องบอกทุกคน จากนั้นก็พยักหน้าเรียกพรานพรที่นั่งสูบบุหรี่อยู่บนโขดหิน

“ข้ากำลังคิดอยู่เหมือนกัน”

“น้ำแค่นี้จะไปพอกินอะไร ลำพังจะไปหาเอาข้างหน้าก็ไม่ได้ บนเขาสกเอาแน่เอานอนไม่ได้เรื่องน้ำ”

“ถึงจะหมดฝนไม่นานก็เถอะ ไปโว้ย กลับมาข้าวคงสุกได้กินพอดี”พรานพรร้องตอบ จากนั้นก็กระโดดตุบลงมาจากโขดหินใหญ่ หลังจากคว้าย่ามและปืนคู่กายสะพายไหล่ได้ ก็จ้ำพรวดๆตามหลังพรานเบไป

          พรานเบและพรานพรรับหายไปไม่นานทุกคนก็ได้ยินเสียงตัดไม้มาแต่ไกล เสียงดัง ป๊อกๆ ของกระบอกไม้ไผ่ดังก้องไปทั้งหุบ เพียงไม่นานหลังจากนั้น ร่างของชายทั้งสองก็กลับมา พร้อมกับกระบอกไม้ไผ่ลำใหญ่ มองผ่านๆคิดว่าท่อนไม้ เพราะความใหญ่โตของลำไม้ไผ่ที่ยาวเป็นวา ซึ่งทั้งสองคนช่วยกันแบกมา โดยมีพรานเบอยู่หน้าและพรานพรตามหลัง พอมาถึงที่พักก็โยนกระบอกไม้ไผ่ขนาดยักษ์ลงพื้นดังโครมอย่างไม่กลัวว่ามันจะแตก

“โอโห! ทำไมมันใหญ่โตขนาดนี้ล่ะ”

“แบบนี้ใส่น้ำได้ไม่ต่ำกว่าสิบลิตร!”สิงห์พูดพลางยกกระบอกไม้ไผ่ที่พรานทั้งสองแบกมาขึ้นดู ไม้ไผ่ลำใหญ่หนักอึ้งจนตัวคนยกเองยังส่ายหัว ขนาดยังไม่ได้ใส่น้ำลงไป ยังหนักร่วมสิบกิโล ถ้ามีน้ำอยู่เต็มจะหนักขนาดไหน เพราะเท่าที่กะด้วยสายตาแต่ละปล้อง น่าจะจุน้ำได้ไม่ต่ำกว่าสามถึงสี่ลิตร โดยเฉพาะส่วนปลายของลำกระบอกนั้น แต่แล้วชายหนุ่มก็หายข้อสงสัย เพราะพรานเบเลือกตัดส่วนปลายของลำกระบอกไม้ไผ่ ส่วนบริเวณโคนที่มีขนาดใหญ่แต่มีลำปล้องสั้นกว่า พรานเบเลือกที่จะตัดทิ้งไป โดยเหลือส่วนที่เป็นปล้องยาวด้านปลายเอาไว้ ถึงจะใหญ่สู้บริเวณโคนไม่ได้ แต่ข้อดีของส่วนปลาย คือความยาวและบางของเนื้อไม้ แต่ถึงจะบางกว่าด้านโคนขนาดไหน ส่วนที่บางที่สุดก็หนาร่วมเซน

          พรานเบเลือกตัดส่วนที่ไม่อ่อนหรือแก่จนเกิดไปนัก โดยเลือกตัดลำกระบอกไม้ไผ่ได้สามปล้องที่เป็นช่วงติดกัน แต่ละปล้องยาวเกินศอก เมื่อตัดหัวตัดปลายลำกระบอกไม้ไผ่ที่ต้องการแล้ว พรานเบก็ใช้มีดถากผิวเปลือกของกระบอกไม้ไผ่นั้นจนขาว จากเนื้อไม้ที่กะไว้ในต้อนแรกว่าหนารวมเซน พอถูกถากเปลือกออกก็เหลือไม่ถึงเซน เห็นแล้วนึกถึงข้าวหลามตามงานวัดหรือตลาดนัด ที่คนขายถากผิวกระบอกข้าวหลามจนขาวน่ากิน แต่ขนาดผิดกันหลายร้อยเท่าตัว เมื่อเทียบกับกระบอกใส่น้ำที่พรานเบบรรจงเหลาอยู่ในตอนนี้

“เอ๊า! ไอ้พรต่อไปเป็นหน้าที่ของเอ็งแล้ว”พรานเบพูดพลางหมุนพลิกกระบอกใส่น้ำขนาดใหญ่ไปมา เพื่อดูความเรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนจะส่งต่อให้พรานพรที่ตอนนี้กำลังใช้มีดเหลาส่วนปลายของไม้แห้งท่อนหนึ่งจนแหลม

“อ้าวแล้วนั้นกลิ่นอะไรไหม้ๆ”

“เอ๊อเฮอ! หน่อม้งหน่อไม้ไหม้หมดแล้วมั๊งนั่น”พรานเบร้องโพล่งออกมา

“ปัดโถ่ แกนะแก นั่งก็นั่งอยู่ใกล้ๆไม่ยักกะดูให้ด้วย”

“ดูๆดำเป็นตอตะโกเลย วู้!”พรานพรร้องบ่น พลางใช้ส่วนปลายของไม้ที่นั่งเหลาเขี่ยหน่อไม้เผาออกมาจากกอง โชคยังดีที่ยังเหลือให้กินได้บ้าง ส่วนที่เหลือไหม้ไปหมด

“ไอ้ห่ า! ข้าก็มัวแต่เตรียมน้ำพริกจนลืม ฮาๆ”พรานชราพูดจบก็หัวเราะจนเห็นฟันดำปี๋

“เดี๋ยวก็ได้กินข้าวกันแล้ว รอให้มันระอุอีกหน่อย”คนทำหน่อไม้ไหม้ร้องบอก

“มา ไอ้พุ่ม เอ็งมาช่วยข้าจับกระบอกน้ำให้ข้าหน่อย”

“จับให้ดี นั้นล่ะ เอียงๆหน่อย ข้าจะได้แทงปล้องง่ายๆ”พรานพรร้องบอกเจ้าพุ่มให้มาช่วยจับกระบอกน้ำให้ เมื่อได้มุมที่ต้องการแล้ว พรานพรก็ใช้ส่วนปลายของมีดเหน็บ ค่อยๆหมุนควงไปมาตรงส่วนด้านบนสุด ส่วนที่เป็นข้อของกระบอกไม้ไผ่นั้น พรานพรหมุนควงอยู่ไม่นานส่วนที่เป็นข้อหนาก็ทะลุเป็นรู พรานพรยังคงใช้ปลายมีดหมุนควงจนได้ขนาดพอที่จะสอดไม้แห้งที่แกนั่งเหลาได้ พอได้ที่ก็แหย่กระทุ้งไม้แห้งปลายแหลมที่ยาวเกือบวาสองสามครั้ง ตรงบริเวณข้อที่สองของกระบอกน้ำยักษ์จนไม้ที่แหย่ทะลวง ทะลุผ่านข้อนั้นไป ส่วนที่เป็นข้อด้านปลายสุดท้ายเว้นไว้ไม่ต้องกระทุ้ง เท่านี้ก็ได้กระบอกใส่น้ำขนาดความจุไม่ต่ำกว่าสิบลิตร สิงห์ที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆ ถึงกับนึกเลื่อมใส ในความคิดของพรานกะเหรี่ยง ถูกแล้วที่เขาคิดไม่ผิด ที่ฝากชีวิตให้กับบุคคลเหล่านี้

“มาๆพวกเรา กินข้าวกินปลากันก่อนดีกว่า รีบกินจะได้รีบไปกันต่อ”พรานเบร้องเรียกเหล่าสมาชิกท่องไพร

“เดี๋ยวข้าขอเติมน้ำเสียหน่อยดีกว่า”พรานพรพูดพลางทำท่าจะแบกกระบอกใส่น้ำขนาดใหญ่ไปเติมน้ำ แต่ยังเดินไม่ทันถึงสามก้าว ก็ถูกสิงห์ร้องเรียก

“เอาไว้ก่อนก็ได้ มากินข้าวกันก่อนเถอะพี่พร กินเสร็จแล้วค่อยว่ากันต่อ”

“กับข้าวกำลังร้อนๆ อิ่มก่อนค่อยว่ากัน กองทัพต้องเดินด้วยท้อง”สิงห์พูดพลางกวักมือเรียกพรานพร ส่วนคนถูกเรียกทำถ้าว่าจะดื้อไม่ยอมมา แต่เมื่อโดนเรียกบ่อยๆครั้งเข้า ก็ทนถูกรบเร้าต่อไปไม่ไหว หนักเข้าก็ต้องยอมมาตามคำเชิญ

          บริเวณลานดินกว้างนั้น ผ้าใบผืนใหญ่ถูกปูแผ่อยู่ก่อนแล้ว หม้อสนามทั้งสามใบถูกเปิดฝาออก ข้าวสวยร้อนๆส่งควันกรุ่น หอมฉุย โดยมีเหน๋อค่อยตักข้าวใส่จานแจกจ่ายให้กับบรรดาเหล่าพรานกะเหรี่ยง ที่นั่งรายล้อมกันเป็นวง ปลาย่าง กบย่าง และไก่ป่าย่าง ถูกวางเรียงรายบนใบตองและใบพลวงขนาดใหญ่อยู่กลางวง แถมด้วยน้ำพริกเผาผสมมะขามเปียกอีกถ้วย ต่อด้วยหน่อไม้รวกเผาที่พรานแปะนั่งปลอกเปลือกให้อีกเกือบสิบหน่อ ปลอกไปก็ต้องเป่าไป เพราะหน่อไม้เผายังร้อนอยู่ นอกจากหน่อไม้ที่เป็นผักแนมน้ำพริกเผาอย่างดีแล้ว ข้างๆกันยังมี หมกเห็ดรวกและเห็ดขอนอีกห่อใหญ่ส่งกลิ่นหอมน่ากิน ส่วนพรานชรา หลังจากนำกระทงเครื่องเซ่นออกไปไหว้เจ้าที่เจ้าทางเสร็จเรียบร้อย ก็ปลีกตัวออกมานั่งรวมกลุ่มกับคนอื่นๆ และเหมือนเดิมเกือบจะทุกครั้งคือ พอตัวแกหันหลังให้ เจ้าหมาสองตัวที่นอนรอท่าอยู่ก่อนแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าป่าหรือเจ้าที่รีบอิ่มก็ไม่ทราบได้ เพราะหันกลับไปดูอีกรอบ เครื่องเซ่นก็อันตรธานไปเสียแล้ว

          อาหารมื้อเที่ยง ที่มาเริ่มกินกันเอาตอนบ่าย เป็นไปด้วยความเอร็ดอร่อย บวกกับบรรยากาศที่เย็นสดชื่นของบริเวณนี้ ที่พอจะมีความชื้นของลำธารเล็กๆสายนั้นอยู่พอสมควร แถมมีไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุมเป็นร่มครึ้ม ทำให้บริเวณนั้นเย็นสบายทุกครั้งที่มีสายลมพัดผ่านมาตามช่องเขา ไม้ใหญ่ยืนต้นตระหง่านยอดสูงริบโอนเอนไปมาตามสายลม เสียงใบไม้บนนั้นดังซู่ซ่าแว่วมาให้ยิน บางครั้งก็มีเสียงดังโครมครามของกิ่งไม้ผุ ที่หักตกลงมาเพราะทนต้านแรงลมต่อไปไม่ไหว พร้อมกับเสียงครวญครางดังอื้ออึง ของโตรกผายามเมื่อลมพัดผ่าน เสียงของมันฟังดูแล้ววังเวงชวนขนลุก โชคยังดีที่ต้อนนี้ยังเป็นตอนกลางวันแสกๆ ถ้าเป็นเวลากลางคืนในป่าแบบนี้ คนขวัญอ่อนคงอยู่ไม่ไหว

          ไม่รู้ว่าอาหารอร่อยหรือเพราะว่าหิว เพียงเวลาไม่นานนัก อาหารมื้อนี้ก็หมดไปอย่างรวดเร็ว แบตเตอร์รี่ที่จวนเจียนจะหมดลง พอได้ข้าวสวยร้อนๆลงไปอุ่นอยู่ในท้องคนละจานสองจาน พละกำลังที่หดหาย ก็ฟื้นคืนเรี่ยวแรงกลับมา แต่เหมือหนังท้องตึง หนังตาก็พลอยหย่อนตามไปด้วย ยิ่งอากาศเย็นสบายแบบนี้ พาลให้ง่วงนอนอย่าบอกใคร หลังจากน้ำในหม้อสนามเดือดได้ที่ กาแฟร้อนยามบ่าย ก็ถูกแจกจ่ายให้จิบกันคนละถ้วย พอที่จะให้ตาสว่างและกระชุ่มกระชวยมาเป็นกอง
หลังจากนั่งจิบกาแฟร้อนจนหมด พรานพรก็เดินแบกกระบอกใส่น้ำขนาดใหญ่ ไปที่ลำธารเล็กๆสายนั้น กระบอกไม้ไผ่ลำยาวร่วมวา ไม่ได้สั้นเหมือนกระบอกน้ำส่วนตัวแบบคนอื่นซึ่งยาวแค่ศอก ที่ตั้งปากกระบอกคอยรับน้ำที่ตกลงมาเติมได้ง่ายๆ แต่กระบอกน้ำของพรานพรยาวเป็นวา กว่าจะเติมน้ำให้เต็มได้ก็ต้องเอียงแล้วเอียงอีก แต่ถึงจะเอียงยังไงก็เติมไม่เต็ม เพราะสายน้ำที่ตกลงมาอยู่ต่ำมาก หนักเข้าก็ต้องใช้หม้อสนามมาคอยตวงเติมน้ำให้เต็ม เติมน้ำจนเต็มแล้ว แต่ก็ไม่ได้จบเพียงเท่านั้น เพราะยังต้องหาอะไรมาทำจุกอุดรูเอาไว้ให้ดี

“ไอ้เคิ้ง เอ็งเหลาไม้มาทำจุกอุดรูให้ข้าหน่อย”

“ต้นนั้นก็ได้ ที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆ”พรานพรพูด พลางบุ้ยปากบอกเจ้าเคิ้ง เพียงอึดใจก็ได้ไม้สำหรับทำจุกอุดรูอันเขื่อง เพราะยาวเกือบคืบส่งให้พรานพร ซึ่งตอนนี้กำลังจับประคองกระบอกน้ำขนาดยักษ์ไปพาดอิงกับง่ามไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอย่างระมัดระวัง

“ไอ้แปะ เอ็งกับข้า มาช่วยกันแบกน้ำขึ้นเขา”

“ปืนผาหน้าไม้ ถ้ามันเกะกะนัก ก็ให้ไอ้พุ่มกับไอ้เคิ้งช่วยแบก”พรานพรร้องบอกพรานรุ่นน้องที่กำลังนั่งสูบยาเส้นอยู่ ริมโขดหินใหญ่ ส่วนคนถูกรับเชิญให้มาแบกน้ำไม่ได้กล่าวคำอะไร นอกจากพยักหน้าหงึกๆรับคำเชิญ

“น้ำท่าเอ็งเติมแล้วหรือยัง”

“ถ้ายังขาดอยู่ก็รีบเติมเสียให้เต็ม”

“เอานี่ มะขามป้อม แบ่งเอาไปเคี้ยวเล่นแก้คอแห้ง”พรานเบร้องบอกสิงห์จบ ก็ส่งย่ามที่ภายในมีลูกมะขามป้อมอยู่หลายลูก

“ถึงว่า เห็นเดินกันตัวปลิว มีของดีนี่เอง”

“สงสัยคงเก็บมาตอนที่ไปนั่งเก้ง ผมว่าจะเก็บมาเหมือนกันแต่ดันลืมเสียก่อน”สิงห์พูดจบก็ล้วงมือเข้าไปหยิบลูกมะขามป้อมในย่ามที่พรานเบส่งให้ มากำใหญ่ ใส่กระเป๋าข้างบนเป้หลังของเขา

“เก็บของเสร็จหรือยังล่ะตาโส่ย”

“อ้าวนั่น ฝาหม้อสนามอย่าลืมเสียล่ะ ตกอยู่ตรงนั้น”

“รีบๆกันหน่อย เดี๋ยวจะมืดไม่ทันถึงเสียก่อน”พรานนำทางร้องบอกคณะ ที่ตอนนี้ต่างอยู่กับกองสำภาระที่ยังกระจัดกระจาย พรานโส่ยจัดแจงรวบรวมเครื่องครัวต่างๆอย่างรีบเร่ง จนฝาหม้อสนาม ที่พุ่มและเคิ้งช่วยกันล้างทำความสะอาดแล้วคว่ำตากไว้ตกหล่น จนพรานเบร้องทัก ส่วนคนอื่นๆก็แยกย้ายกันเก็บข้าวของรอบๆบริเวณ บางคนก็ช่วยกันเก็บพับผ้าใบ บ้างก็ช่วยกันดับไฟที่ก่อหุงข้าวจนแน่ใจว่า ไฟในกองจะไม่ปะทุขึ้นมาอีก กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็กินเวลาไปหลายนาที
พรานเบพาคณะเดินทางต่ออีกครั้ง โดยเดินนำไต่เนินชันย้อนกลับเส้นทางเก่า ขามาก็ไม่กระไรนักเพราะเดินลงเขาชันไม่เปลืองแรง แต่ขาขึ้นนี่สิกว่าจะโหนเหนี่ยวต้นไม้ขึ้นไปได้แต่ละขั้นเล่นเอาหอบแทบจับ แต่ที่น่าเห็นใจที่สุดคงจะหนีไม่พ้นพรานพรกับพรานแปะ ที่ต้องช่วยกันแบกน้ำขึ้นมาด้วย ลำพังแค่เป้หลังที่สะพายอยู่ก็พะรุงพะรังเกินพอแล้ว แต่นี้ยังต้องมาแบกกระบอกน้ำยาวร่วมวาอีก โชคยังดีที่พรานทั้งสองฝากปืนคู่กายให้กับสองกะเหรี่ยงหนุ่ม จึงไม่เกะกะในการเดินทาง เพราะถ้าขืนสะพายปืนควบคู่กับการที่จะต้องแบกหามกระบอกน้ำคงไม่เหมาะแน่ เพราะเส้นทางที่เดินไต่ไปนั้น ไม่ได้ราบเรียบเหมือนทางปกติ เพราะต้องคอยมุดลอดสุมทุมพุ่มไม้ต่างๆ ที่ขึ้นขวางเป็นอุปสรรค กว่าพรานเบจะพาเดินออกมาโผล่บนเส้นทางด่านเก่าได้ เล่นเอาหอบจนตัวโยก

          บนทางด่านเก่านั้น ทอดยาวลัดเลาะไปตามสันเขา บางครั้งก็วกลงต่ำ บางช่วงก็ตัดกันไปมาดูสับสน แต่หลังจากพรานเบหยุดดูทิศทางไม่นาน ก็พาคณะทั้งหมดเดินทางต่ออย่างไม่ลังเล โดยพาทั้งหมดบ่ายหน้าไปทางทิศเหนือ ถึงไม่มีเข็มทิศ สิงห์ที่คอยจับสังเกตอยู่ตลอดเวลาก็พอจะเดาออกได้ เพราะตอนนี้ดวงอาทิตย์เบี่ยงมาอยู่ด้านซ้ายมือของเขา หรือถ้าจะให้ถูกก็คือ ทิศตะวันตก อยู่ทางด้านซ้ายมือของเขานั้นเอง

          ป่าไม้สมบรูณ์เพราะน้อยคนนักที่จะกล้าย่างกายเขามาได้ เมื่อไม่มีมนุษย์เข้ามารบกวน ป่าบริเวณนี้จึงอุดมสมบรูณ์กว่าป่าเบื้องล่าง ต้นไม้ใหญ่หลายต้นยืนตระหง่านสูงชะลูด มียางนาขนาดยักษ์หลายต้นขึ้นแซมอวดลำต้นขาวนวลสูงลิบ แข่งกับต้นกร่างใหญ่หลายต้น ที่ตอนนี้มีลูกสุกอยู่เต็มต้น ลูกกร่างสุกเป็นอาหารที่โปรดปราณ ของเหล่าบรรดานกป่านานาชนิด นอกจากจะเป็นอาหารที่นกชื่นชอบแล้ว สัตว์ป่าชนิดอื่นๆก็ชอบเช่นกัน เมื่อมีผลไม้ป่าสุกเต็มต้นเช่นนี้ เสียงวุ่นวายก็ตามไปด้วย ทั้งนกขุนทอง เอี้ยงโครง เขาเปล่า และนกขนาดใหญ่อย่างนกเงือก นกกก ก็พากันสงเสียงเจี๊ยวจ๊าว แย่งกันจิกกินลูกไม้สุกดูสับสนไปหมด  ผลไม้ป่าหรือลูกไม้ป่า นอกจากจะมีต้นกร่างที่ให้ผลที่นกและสัตว์ชนิดอื่นๆชอบแล้ว ต้นไทร ต้นโพธิ์ ก็มีผลที่นกสามารถกินได้เช่นกัน และแต่ละต้นแต่ละชนิด ก็ออกลูกให้ผลไม่ตรงกัน บางต้นสุกเดือนนั้น บางต้นออกเดือนนี้ สับกันไปมา จึงทำให้เหล่าบรรดาสรรพสัตว์มีอาหารกินตลอดทั้งปี

          นอกจากผลไม้ป่าที่นกและสัตว์ป่านานาชนิดชอบกินแล้ว มนุษย์ก็ชอบเช่นกัน ทั้งลูกหวาย มะไฟป่า ระกำป่า ลิ้นจี่ป่า หรือที่เรียกว่า มะคอแลน มะเดื่อป่าบางชนิดก็กินได้ทั้งผลสุกและดิบ เงาะป่าที่มีหน้าตาเหมือนเงาะที่เห็นชั่งกิโลขายตามตลาดก็มีจนแยกไม่ออกว่าเงาะป่าหรือเงาะบ้าน จะแตกต่างกันก็ต่อเมื่อปลอกเปลือกออกมาแล้ว เงาะป่าจะมีเนื้อสีเหลืองทองน่ากิน หรือมะหลอดที่มีรสชาติเปรี้ยวจนเข็ดฟัน ก็มีให้เก็บอยู่ดาดดื่ม และผลไม้อื่นๆอีกมากมายที่สามารถเสาะแสวงหานำมากินได้

“เสียดาย ถ้ามีเวลาสักชั่วโมง คงได้ยิงนกกันเพลิน”

“นกเขาเปล่าเป็นร้อยเลยมั่งนั่น”สิงห์พูดพลางยืนมองฝูงนกที่มารุมจิกลูกกร่างเยอะแยะไปหมด

“ถ้าไม่ติดว่ามันจะมืดค่ำเสียก่อน”

“ข้าก็เห็นด้วยกับเอ็ง”พรานเบร้องตอบ

“แต่นี้มันเย็นมากแล้วสิน้าเบ”

“จะห้าโมงแล้ว ทันหรือเปล่าล่ะ”สิงห์หันไปร้องถามพรานเบ หลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู เพราะตอนนี้เข็มชี้บอกเวลาที่ 16.47 น.

“อย่างน้อยๆก็ต้องมีเกือบชั่วโมงกว่าจะถึง”

“กว่าจะเตรียมที่พัก หุงข้าวหุงปลา ก็มืดพอดีข้าว่า”พรานพรร้องเสริม พูดจบก็ยกน้ำขึ้นมาจิบ

“ข้าว่าไปต่อดีกว่า อย่ามาเสียเวลาเลย”

“เนื้อเก้งเรายังมีอยู่ ปลาย่างก็ยังเหลือ”พรานชราร้องบอก พูดจบก็บ้วนน้ำหมากลงพื้น เมื่อได้ข้อสรุปของพรานเฒ่า ทุกคนจึงออกเดินทางต่ออีกครั้ง โดยปล่อยให้เหล่าสกุณาได้เพลิดเพลินกับลูกไม้สุกต่อไป

          เส้นทางเริ่มลาดชันทุกขณะ เพราะพรานเบพาไต่เนินเขาชันขึ้นทุกระยะ จากป่าโปรงเดินสบาย บัดนี้เป็นดงทึบดูมืดสลัว ตะวันบ่ายคล้อย หลบมุมหลังยอดไม้ใหญ่ ช่วยให้บรรยากาศขมุกขมัวมากขึ้นไปอีก อากาศที่ร้อนระอุ เริ่มเย็นจนรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นทุกที และมีท่าทีที่จะเพิ่มทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ป่าทึบรกครึ้มอุดมไปด้วยไม้ใหญ่หลากหลายชนิด ทั้งไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ และไม้ล้มลุก รวมไปจนถึงเถาวัลย์ชนิดต่างๆ ที่พันเกาะเกี่ยวระโยงระยางรกไปหมด เมื่อป่าไม้อุดมสมบรูณ์ สัตว์ป่าก็เริ่มชุกชุมมากขึ้นไปด้วย ถ้าไม่ได้พบเห็นตัว ก็มาให้ได้ยินในรูปแบบของเสียง ทั้ง ลิง ค่าง บ่าง ชะนีป่า ที่ร้องโหยหวน ในหุบไหนสักแห่งเบื้องหน้า กับบรรยากาศแบบนี้ฟังแล้วรู้สึกวังเวงจนบอกไม่ถูก....

*****เนื้อเรื่องต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร สิงห์และคณะของเขา จะไปถึงจุดหมายก่อนค่ำหรือไม่ โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อในบทต่อไป!*****

.....

ลุย!


บุก!


ไต่!


เปิบ!  ปลากระป๋องกับน้ำพริกนรก (เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม ในเวลานั้นนะครับ ฮาๆ)


เงาะป่า แปลกดีไหมครับ...


.....

น้องFlooK-PPS: มาอีกแล้วคร้าบ  แหม่ๆๆติดตามตลอดๆๆชอบจิงๆๆ  เงาะป่าสีน่ากินจังครับ
.....
SHATTER: สะอาดแล้วคว่ำตากไว้ตกหล่น จนพรานเบร้องทัก ส่วนคนอื่นๆก็แยกย้ายกันเก็บข้าวของรอบๆบริเวณ บางคนก็ช่วยกันเก็บพับผ้าใบ บางก็ (บ้างก็)
“จะห้าโมงแล้ว ทันหรือเปล่าล่ะ”สิงห์หันไปร้องถามพรานเบ หลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู เพราะต้อนนี้  (ตอนนี้)
ผิดนิดหน่อยใช่เรื่องแปลกครับ หนังสือที่วางขายยังมีผิดเลยครับ


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #4 on: 22 April 2021, 18:08:58 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 ตอนที่ 5


บทที่ 7

ตอนที่ 5 (จบบท)

          การเดินทางของคณะ เชื่องช้าลงไปมาก เพราะเส้นทางเริ่มมีอุปสรรคมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเส้นทางที่ลาดชัน และป่าไม้ที่รกเครือ ของภูเขาสูงทะมึนแห่งนี้ รวมถึงสิ่งของต่างๆที่นำติดตัวมาด้วยก็ดูว่าจะเพิ่มภาระมากขึ้น ปืนผาหน้าไม้ที่สะพายไหล่กันมาครั้งแรก พอต้องมุดลอดซุ้มไม้รกบ่อยครั้งเข้า ก็ต้องปลดมาถือ เพราะเถาวัลย์และกิ่งไม้คอยเกี่ยวรั้งลำกล้องปืนของแต่ละคน โดยเฉพาะปืนแก๊ปทั้งสามกระบอก ของพรานโส่ย เจ้าพุ่มและเจ้าเคิ้ง ต้องเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะนกตีดินขับ ไม่ได้ทำแบบตีข้าง ตรงกันข้ามปืนแก๊ปทั้งสามกระบอกมีนกตีดินขับอยู่ด้านบน ถ้ามีอะไรทำให้นกสับนั้นง้างแล้วตีกลับ โอกาสที่ปืนจะลั่นจึงมีสูง โดยเฉพาะตอนที่ต้องมุดลอดซุ้มไม้ต่างๆ โอกาสที่นกสับดินขับ จะไปเกี่ยวกับกิ่งไม้หรือเถาวัลย์แล้วตีกลับ จึงเกิดขึ้นได้ ถึงจะถอดแก๊ปปะทุออกแล้วก็ตาม โอกาสลั่นก็ยังมี วิธีที่ดีที่สุดคือ ปลดปืนมาถือถึงจะปลอดภัย จนในที่สุดพรานเบก็พาคณะทั้งหมดมาหยุดบริเวณที่โล่งตอนหนึ่ง

“ท่าจะไม่ค่อยดีเสียแล้ว”พรานเบทำหน้าเครียดหันมาบอกกับคณะ

“เกิดอะไรขึ้นหรือน้าเบ”สิงห์ร้องถาม

“เอ็งไม่เห็นรึ ว่าดงกล้วยข้างหน้าราบเป็นหน้ากลอง”

“รอยมันใหม่เหลือเกิน”พรานเบพูดพลางชี้บอก

“สงสัยจะช้างป่า”

“ป่าราบขนาดนี้ คงยกโขลงกันมาหลายตัว”เหน๋อร้องตอบ

“รอยมันบ่ายหน้าไปทางเดียวกับเราด้วยสิ”

“น้าเบว่ารอยพวกนี้กี่วัน?”สิงห์ถาม พรานนำทางใช้ความคิดหลังจากพิจารณา ร่องรอยของช้างโขลงได้อึดใจก็บอกตอบไปว่า

“ถ้าข้าเดาไม่ผิด รอยใหม่แบบนี้น่าจะไม่เกิน 3 วัน”

“นี่ก็แสดงว่า พวกเรากำลังเดินตามหลังพว กมันอยู่”สิงห์ถาม

“ใช่”

“แต่ข้าก็ไม่แน่ใจ ว่าพว กมันจะขึ้นไปหากินบนเขาสกหรือเปล่า”พรานเบตอบอย่างใช้ความคิด

“ข้าว่าคงไม่หรอก เพราะบนเขาสกหาน้ำกินยาก กล้วยป่าแถวโน่นก็มีน้อย”พรานพรตอบอย่างคนมองโลกในแง่ดี

“เอ็งก็ว่าไป ช้างมันกินแต่กล้วยป่าเสียที่ไหน”

“ยอดไม้ ยอดไผ่ บนนั้นก็เยอะอยู่”พรานเบร้องขัด

“พวกเอ็งจะมาเดากันอยู่ทำไมล่ะ”

“ไหนๆก็มาทางเดียวกันแล้ว ดีเสียอีกที่มันเปิดทางให้เราเดินสบายๆ”พรานชราร้องบอก

“ฉันก็เห็นอย่างตาโส่ยแกว่านะ ถ้ามันไปทางเดียวกับเรา ก็เดินตามมันไปเลย”

“บางที่มันอาจจะแยกไปทางอื่นก็ได้”พรานแปะร้องเสริม
หลังจากทั้งหมดหยุดรวมกลุ่มกันปรึกษาหาหลู่ทางและเส้นทางที่จะเดินรุดไปเบื้องหน้า ก็ได้ขอสรุปว่า ทั้งหมดยังคงใช้เส้นทางเดิม ที่พรานเบกำหนดอยู่ คือเดินตามด่านเก่า ซึ่งมันก็เป็นเส้นทางเดียวกับช้างโขลงนั้น ส่วนเรื่องที่มันจะบ่ายหน้าหรือเปลี่ยนเส้นทางตามที่พรานแปะบอกหรือไม่ ทุกคนก็ไม่อาจคาดคะเนได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนคิดและหวังอยู่เหมือนกันคือ อย่าได้พบเจอกันเลย

          โดยการนำทางของพรานเบ ทั้งคณะยังคงเดินจับเส้นทางด่านเก่านั้น ซึ่งตอนนี้เปิดกว้างและดูโล่งเตียนผิดปกติ เพราะเพิ่งจะถูกโขลงช้างทั้งโขลงเดินลุยผ่านไปไม่นาน กล้วยป่าหลายกอ ถูกกระชากกินยอดอ่อนและไส้ในจนล้มระเนระนาด ร่วมถึงบริเวณที่เป็นลานดิน ก็มีร่องรอยพว กมันตีแปลงนอนเป็นกลุ่ม กิ่งไผ่และกิ่งไม้ใกล้ๆถูกพว กมันหักกระชากจนแหลกลานดูโล่งเตียน กองมูลหรือขี้ช้างกระจัดกระจายเกลื่อน เล็กบ้างใหญ่บ้าง เรี่ยราดตามเส้นทางด่านไปหมด บ่งบอกให้รู้ว่า ช้างโขลงนี้มีหลายขนาดและไม่น่าจะต่ำกว่าสิบเชือก

          พรานเบยังคงพาคณะทั้งหมดเดินตามทางด่านนั้นไป ซึ่งมันก็ไม่มีทีท่าว่าจะเบี่ยงเส้นทางอย่างที่คิด ตลอดเส้นทางด่าน ร่องรอยของช้างโขลงนั้นก็ดูชัดเจนและใหม่ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งกอไผ่และยอดไม้ ที่พวก มันหักกระชากลงมากิน กองมูลที่ยังสดอยู่ ทำให้คนนำทางต้องคิดหนัก หลังจากเดินสำรวจจนทั่วบริเวณ พรานเบก็ให้คณะหยุดอีกครั้ง ก่อนที่จะเรียกทุกคนมาหารือต่อ

“ชักไม่เข้าท่า”

“ขืนเดินตามหลังมันแบบนี้ คงได้เจอกับมันแน่”พรานเบร้องบอก พูดจบก็ล้วงห่อยาเส้นมาม้วนสูบ

“แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ”

“นอกจากทางนี้แล้ว พอจะมีทางอื่นหลบพว กมันอีกหรือเปล่า”สิงห์ร้องถามพรานนำทาง ซึ่งตอนนี้ยืนสูบบุหรี่ยาเส้นจนหน้าเครียด นอกจากพรานเบแล้ว ทุกคนในคณะก็มีอาการวิตกกังวลไม่แพ้กัน คณะที่พรานเบใช้ปลายหัวแม่มือกดหัวคิ้วอย่างใช้ความคิดไม่นาน ก็เหมือนจะนึกอะไรออก

“ข้าพอจะคิดอะไรได้แล้ว”

“เดี๋ยวข้าจะพาตัดขึ้นเนินนี้ไปเลย”พรานเบพูดพลางชี้มือบอกทุกคน

“อาจจะลำบากหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าไปเจอพว กมัน”

“พ้นเนินนี้ไป ก็ถึงเขาสกแล้ว”พรานเบพูดจบก็ยกบุหรี่ขึ้นสูบ

“หวังว่ามันคงไม่ไปดักรอพวกเราตรงนั้นเสียล่ะ”

“น้าเบว่าไง ผมก็ว่าแบบนั้น”สิงห์ตอบ

“ถ้าเจอกับมันจริงๆ ข้าก็มีช่องทางที่จะหลบมันได้”

“บนเขาสกพอจะมีหน้าผาให้เราขึ้นไปหลบ”

“ ชันขนาดนั้นต่อให้ช้างก็ไต่ขึ้นไม่ไหว”พรานเบพูดอย่างมั่นใจ
เมื่อได้ข้อสรุปของพรานนำทางอีกครั้ง ทั้งคณะก็เริ่มเคลื่อนขบวน แทนที่จะเดินตามทางด่านที่โล่งเตียน พรานเบกลับพาทั้งหมดเดินไต่ขึ้นเนินชั้น ซึ่งอยู่ทางซ้ายมือของเนินเขา ที่ตอนนี้รกเครือไปด้วยต้นไม้และเถาวัลย์ การเดินทางจึงเชื่องช้าลงไปอีก เส้นทางลาดชันจนต้องคอยเอามือยันพื้นประคอง และเหนี่ยวรั้งต้นไม้กันลื่นไถล เพราะดินบนเนินเขาเป็นดินร่วนผสมลูกรัง ทำให้ลื่นไถลได้ง่าย แต่ถึงจะพยายามป้องกันและระมัดระวังขนาดไหน ก็ยังพลาด โดยเฉพาะพรานพรและพรานแปะ ที่ต้องแบกประคองกระบอกน้ำขนาดใหญ่ขึ้นมาด้วย เพราะทั้งสองมีมือเพียงข้างเดียวที่ช่วยฉุดดึง ส่วนอีกข้างต้องคอยจับประคองกระบอกน้ำ ทั้งสองจึงดูทุลักทุเลกว่าเขาเพื่อน ขนาดคนที่มีมือสองข้างคอยช่วยยังลื่นจนหน้าคว่ำไม่รู้กี่ครั้ง คนมีมือข้างเดียวคงไม่ต้องพูดถึง

        ป่าเปลี่ยวเย็นสลัว ดูขมุกขมัว เพราะดวงอาทิตย์เริ่มลับสันเขาไปแล้ว หมู่นกกาที่พากันส่งเสียงกันเซ็งแซ่ ต่างพากันบินกลับรวงรังเตรียมเข้านอน จักจั่นเรไรที่พากันกรีดปีกระงมป่า เมื่อครั้งดวงตะวันยังสาดแสง ดูเหมือนว่าจะถูกผลัดเปลี่ยนมาเป็นเสียงจิ้งหรีดลองไน เมื่อยามท้องฟ้าเริ่มมืดสลัว เย็นย่ำตะวันลอน บริเวณหุบไหนสักแห่ง เสียงไก่ป่าขันเจื้อยแจ้วแว่วมาให้ได้ยิน นกเงือกฝูงใหญ่บินผ่านระหว่างช่องเขาหลายสิบตัว สีขาวสลับดำของปีกอันกว้างใหญ่ของมันดูตัดกันเห็นได้ชัด ซึ่งค้านกับสีเหลืองส้มของจะงอยและหัวอันใหญ่โตผิดรูปร่าง อากาศเริ่มเย็นยะเยือกละอองหมอกและน้ำค้างเริ่มก่อตัวเป็นม่านบดบังวิสัยทัศน์แต่คณะทั้งหมดก็ยังไปไม่ถึงจุดหมายที่ต้องการ

        สรรพสำเนียงใกล้พลบค่ำ ของสัตว์ป่านานาพันธุ์ กู่แว่วผสานเสียงกันอย่างเริงร่า เพราะอีกไม่นานพวกมันก็จะได้ออกมาท่องเที่ยวหากิน  เสียง หวีดหวิว คล้ายกับคนผิวปาก ของนกกางเขนดง ที่ดังมาทางหัวขบวน มันคงตกใจการมาของมนุษย์ผู้แปลกหน้า ที่ย่ำกรายเข้ามาในอาณาเขตของมัน พร้อมๆกับเสียงโขลกของกระรอกแดง ดัง ป๊อกๆ บนเถาวัลย์เหนือหัว ก่อนที่มันจะไต่หนีไปในดงทึบ เมื่อเห็นเงาตะคุ่มๆ ของมนุษย์ทั้งแปด เสียงที่ได้ยินล้วนแล้วเป็นรหัสป่าของเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกัน เย็นย่ำลงทุกขณะที่พรานนำทางพาไต่เนินเขาชันขึ้นเรื่อย จนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดการเคลื่อนขบวน จนฟ้าเริ่มมืดสลัว จนสิงห์ซึ่งกระวนกระวายใจอยู่ก่อนแล้วร้องถาม

“จวนแล้วหรือยังน้าเบ ถ้าไม่ทันก็หาที่พักแถวๆนี้ก่อนก็ได้”

“มืดค่ำแล้วจะลำบาก”สิงห์ร้องพลางฉุดแขนพรานโส่ยที่ไต่มาตามหลัง

“เอ็งจะให้ไอ้เบมันหาที่พักให้เอ็งได้ที่ไหนกันล่ะ”

“ชันขนาดนี้”พรานโส่ยตอบ

“จวนแล้วล่ะ พ้นเนินนี้ไปก็ถึงแล้ว”

“เอ็งสองคนเป็นไง ไหวหรือเปล่า จะผลัดกับข้าก็ได้นะ”พรานเบหันมาตอบสิงห์ จากนั้นก็ร้องถามพรานพรและพรานแปะ ที่อยู่หลังขบวนสุด

“ไหวอยู่ ให้แบกช้างอีกตัวยังสบายเลย”พรานพรตอบไม่วายให้ขบขัน แต่คนที่ไม่ขำด้วยคือพรานโส่ยที่โพล่งออกมาด่าลั่น

“ไอ้หอ ก เสือ กพูดถึงเขา เดี๋ยวพ่อเอ็งก็มาเยี่ยมหรอก”พรานชราร้องพลางทำตาถลนใส่พรานพร

“แกก็กลัวอะไรไม่เข้าท่า”

“เขาสกนา..ไม่ใช่ทุ่งนาหลังบ้านแก”พรานพรพูดพลางขำชายชรา

“ทำเป็นขำไปเถอะเอ็ง เจอเข้าจริงๆข้าจะปล่อยให้พ่อเอ็งกระทื บให้จมเลย”ประโยคของพรานเฒ่า เล่นเอาพรานพรขำต่อไม่ออก ส่วนคนอื่นๆก็ไม่มีทีท่าเดือดร้อนอะไร มีเพียงแต่สิงห์คนเดียวเท่านั้นที่วิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวว่าจะไม่มีที่พัก เพราะตอนนี้ท่องฟ้าก็เริ่มมืดลงทุกที

          หลังจากหยุดพักและพูดคุยปรึกษากันชั่วขณะ พรานเบก็พาเดินนำทางต่อ จริงอย่างที่พรานนำทางว่า เพียงทั้งหมดไต่พ้นเนินเบื้องหน้าได้ไม่นาน ทุกคนก็มาโผล่บนลานราบเรียบตอนหนึ่ง ซึ่งตำแหน่งนี้เองที่คณะทั้งหมดจะต้องค่างแรมกัน พรานเบเลือกที่พักได้ที่บริเวณลานโล่งติดเนินชัน ซึ่งเป็นชัยภูมิที่เหมาะสมที่สุดและดีที่สุดในบริเวณนี้ที่จะหาได้ เบื้องหลังเป็นเนินเขาสูง ด้านข้างทั้งสองอุดมไปด้วยไม้ใหญ่ ทั้งไม้แดง ประดู่ และไผ่ป่าอีกหลายกอที่ขึ้นเบียดกันจนแน่น  ส่วนด้านหน้าก็เป็นเนินชันที่คณะทั้งหมดพากันไต่ขึ้นมา ต่อให้ช้างบุกเข้ามาจริงๆ ก็ยากที่ทั้งหมดจะไม่รู้ตัว ด้านหน้าและด้านหลังไม่น่าเป็นห่วงอะไรมากนัก เพราะเป็นที่สูงชัน ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดก็คือ ด้านข้างทั้งสองด้าน ถึงจะมีไม้ใหญ่ขึ้นเบียดกันหนาขนาดนั้น แต่มันก็พอจะมีช่องว่างกว้างพอที่ ช้างจะผ่านได้ที่ละตัว

          เมื่อได้สถานที่ตั้งแค้มป์แล้ว ทุกคนต่างช่วยกันจัดเตรียมสถานที่พักกันอย่างรีบเร่ง เพราะมืดสลัวแบบนี้ จะหยิบจับอะไรก็ไม่ถนัดนัก ตอนนี้เองที่ไฟฉายของแต่ละคนส่องวูบวาบในความมืด พรานพรหลังจากแบกน้ำคู่กับพรานแปะมาจนไหล่ลู่ แต่ก็ยังมีแรงเหลือเฟือ ทั้งสองจึงแยกออกไปหาฟืนเตรียมก่อไฟ ซึ่งไม่ต้องไปไหนไกลนัก เพราะรอบๆที่พักฟืนแห้งมีมากมาย ส่วนพรานโส่ยและเหน๋อ ต่างช่วยกันรื้อข้าวของและเสบียงเตรียมหุงหาอาหาร ส่วนคนอื่นๆก็แยกย้ายกันปัดกวาดและตัดลิดไม้เล็กไม้น้อยที่ขึ้นเกะกะสถานที่ เพียงชั่วเวลาไม่นานก็ได้ลานดินราบเรียบน่าอยู่ พร้อมๆกับกองไฟกองใหญ่ก็ถูกก่อขึ้นกลางลาน จนบริเวณที่พักสว่างโพลง...

*****จบบทที่ 7 โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อในบทที่ 8 เร็วๆนี้*****

.....

ยอดไม้สูงจนปวดคอ


เจ้าพุ่มปีนขึ้นไปเก็บอะไร ซนจริงๆ


ออ...ลูกซ่า-ธง(ภาษากะเหรี่ยง)  ผลไม้ป่าชนิดหนึ่ง หรือทางภาคเหนือเรียกว่า ลูกมะหลอด นี่เอง


นี่ก็อีกต้น จะมีให้เก็บน่าจะช่วงประมาณเดือน มค.-กพ ครับ หนาวชนแล้ง



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.18 seconds with 19 queries.