Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
09 May 2024, 10:51:57

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,649 Posts in 12,466 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร  (Read 435 times)
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« on: 22 April 2021, 09:32:43 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร


บทที่ 6


ตอนที่ 6.1

          ไอแดดร้อนระอุ เต้นพลิ้วไหวไปมาบนด่านทางดินลูกรังรางๆ ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยเถาหนามของหวายป่า และพุ่มเล็บเหยี่ยว ที่พันเกาะเกี่ยวกันเป็นกำแพงหนาทึบ ซึ่งครั้งหนึ่งเส้นทางนี้เคยเป็นทางด่านของช้างป่ามาก่อน แต่ก็คงเป็นรอยที่พวกมันยกโขลงกันมาหากินในป่าแถบนี้เมื่อหลายเดือนมาแล้ว นอกจากเถาหวายบางยอดที่ถูกดึงยอดมากินจนแหลกยับ ใกล้ๆกัน กอไผ่บางกอ ก็ถูกพวกมันดึงยอดจนหักลู่ไปเป็นทาง

          โดยการนำทางของพรานเบ ที่พาคณะทั้งหมดเดินไต่ไปตามสันเขาที่สูงชัน บางครั้งก็สูงเสียจนปวดขา บางตอนก็เดินลงเขาชัน จนต้องคอยจิกปลายเท้าจนเกร็งไปหมด บ่อยครั้งที่บางคนก็ลื่นไถลจนก้นจ้ำเบ้า เพราะความลื่นของพื้นดินลูกรังที่มีแต่หินดานก้อนเล็กๆ จนมาถึงก้นห้วยอย่างทุลักทุเล แต่ละคนก็เหงื่อโทรมกายไปตามๆกัน นอกจากจะเหนื่อยจากการเดินทางอันแสนจะวิบากแล้ว ทุกคนยังต้องคอยปัดแมลงนานาชนิด ที่มาคอยตอมกินเหงื่อจนน่ารำคาญ โดยเฉพาะพวกผึ้ง ทั้งผึ้งหวี่ ตัวเล็กๆ ไปจนถึง ผึ้งหลวงและผึ้งโพรง โดยเฉพาะผึ้งโพรง ซึ่งต้องคอยระวังพวกมั นเป็นพิเศษ เพราะเผลอเป็นไม่ได้ พวกมั นจะไต่เข้าไปในเสื้อผ้า เผลอไปปัดเข้าก็ต่อยเอา

“ร้อนจริงๆเว้ยวันนี้”พรานโส่ยร้องบ่น พูดจบก็ทิ้งถุงปุ๋ยที่ภายในมีสำภาระลงพื้นดังโครม

“พักกันสักหน่อยดีกว่าพวกเรา ไม่ไหวหาน้ำลูบเนื้อลูบตัวหน่อย รำคาญพวกผึ้งจริงๆ”สิงห์พูดจบก็ถอดเครื่องหลังที่สะพายออก รวมถึงปืนยาว .22 ก็ถูกปลดมาวางอิงไว้กับโคนต้นยอ

“พี่สิงห์ มียาหม่องติดมาบ้างหรือเปล่า”พุ่มร้องถามหายาหม่องจากสิงห์ เพราะเจ้าตัวโดนผึ้งต่อยไปหลายที

“มี อยู่ในกระเป๋ายานั้นล่ะ”สิงห์ร้องตอบมาจากริมห้วย ซึ่งตอนนี้ เหล่าพรานทั้งหลายต่างลงไปใช้น้ำล้างหน้าล้างตากันจนชื่นใจ โดยเฉพาะเจ้าเคิ้งถึงกับลงไปนั่งแช่น้ำในลำห้วยทั้งชุด

“ค่อยยังชั่วหน่อย เย็นสบายดีแท้”เจ้าเคิ้งร้องบอก ขณะนั่งแช่น้ำกลางลำห้วยอย่างสบายอารมณ์

“ตอนที่เราเดินกันบนเขา เห็นรอยช้างป่าเปรอะไปหมด หวังว่าคงไม่ไปเจอกันข้างหน้านะ”สิงห์พูดพลางยกน้ำในกระติกขึ้นดื่ม

“ข้าก็ตอบไม่ได้ว่าจะเจอมันหรือเปล่า แต่รอยมันนานหลายเดือนแล้ว ป่านนี้คงไปหากินไหนต่อไหน”พรานเบพูดจบก็สูบบุรี่ใบจากจนควันโขมง

“อย่าเจอกันเลยดีที่สุด ต่างคนต่างอยู่เถอะ เจ้าพระคู้ณ..”พรานชราร้องบอก พูดจบก็พนมมือไหว้ท่วมหัว

“แล้วแต่ดวงแล้วกันของแบบนี้”พรานพรพูดเสริมขึ้นมาอีกคน

“ว่าแต่ แถวนี้มันก็น่ามาตั้งแค้มป์นอนกันนะ น้ำท่าก็อุดมสมบูรณ์ดี”พรานมือใหม่พูดขึ้นมาลอยๆ จริงอย่างที่สิงห์ว่ามา บริเวณนี้ดูผ่านๆแล้ว ก็น่ามาตั้งแค้มป์พักนอนยิ่งนัก เพราะมีทั้งชัยภูมิ ที่เหมาะแก่การตั้งแค้มป์ เพราะดูราบเรียบไม่รกมากนัก รวมถึงลำห้วย ที่อยู่ไม่ห่างกัน นอกจากสายน้ำที่จะนำมาใช้สอยแล้ว ตลอดสองฝั่งลำห้วยยังเต็มไปด้วย ผักกูด และบอนป่า ที่พอจะนำมาประกอบอาหารได้ รวมถึงกล้วยป่าอีกหลายกอ ก็พอจะใช้สอยได้เช่นกัน แต่ก็ต้องเลือกๆหน่อย เพราะแต่ละกอมีร่องรอยช้างป่า กระชากยอดใบและลำต้น จนดูราบไปเป็นแถบๆ

“ข้าว่าเราไปหาที่นอนที่แก่งผักกูดกันดีกว่า อีกไม่ไกลก็น่าจะถึง”พรานชราร้องบอก พูดจบก็งัดหมากในย่ามมาเคี้ยวหยับๆ

“พี่ก็ว่าแบบตาโส่ย ไปหาที่นอนแถวแก่งผักกูดดีกว่าตรงนี้ตั้งแยะ”พรานแปะเสริมมาอีกคน หลังจากผลโหวตออกมาจากเหล่าพรานกะเหรี่ยง สิงห์ก็ยากนักที่จะปฏิเสธ เมื่อยกนาฬิกาขึ้นดู เวลาก็ชี้ไปที่ 15.48 น. คิดดูแล้วอย่างน้อยๆ ก็มีเวลาเดินอีกไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง เมื่อทุกคนมีความเห็นตรงกัน ขบวนท่องไพรก็ออกเดินทางอีกครั้ง

        พรานเบออกเดินนำทางอีกครั้ง หลังจากพาเดินไปตามสันเขาที่ร้อนระอุ ราวกับอยู่ในเตาอบ หรือไม่ก็ขุมนรกขุมไหนสักแห่ง แต่เมื่อคนนำทาง พาเดินมาอยู่ที่ก้นหุบเบื้องล่าง สภาพแวดล้อมและสภาพอากาศก็ดูผิดไปถนัดตา จากที่บนยอดเขาออกจะแห้งแล้ง เพราะไม่มีแหล่งน้ำและความชุ่มชื้นถึงจะเพิ่งผ่านฤดูฝนมาแล้วก็ตาม ต้นไม้ต้นไร่ก็ดูเหี่ยวเฉา แลดูไม่มีชีวิตชีวา แต่พอทั้งคณะลงมาเดินอยู่ก้นหุบ สภาพแวดล้อมก็กลับกลายมาเป็นป่าทึบอีกครั้ง รวมทั้งอากาศที่ร้อนขนาดเจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบองยังร้อง หงิ๋งๆ ก็กลับมาเย็นฉ่ำ ทำให้มีเรี่ยวแรงเดินอีกเป็นกอง เพราะบริเวณป่าเบื้องล่างมีความชุ่มฉ่ำมากกว่า

        ลำห้วยสายนั้น ไหลคดเคี้ยวไปตามตีนเขา บางครั้งก็ไหลแยกออกเป็นสองสาย บางตอนก็ไหลตกลงมาจากที่สูง กลายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก ลดหลั่นกันมาเป็นชั้นๆดูสวยงามไปอีกแบบ และบางช่วงก็เป็นแอ่งลึก เหมือนมีใครเอารถขุดดิน มาขุดเอาไว้ เพราะเท่าที่ดูด้วยสายตา น่าจะลึกไม่ต่ำกว่าสองวา ภายในแอ่งน้ำที่ใสราวกับกระจกนั้น หมู่ปลาน้อยใหญ่ ว่ายวนกันเป็นกลุ่มๆ มองเห็นถนัด

        เลยจากแอ่งน้ำที่กว้างใหญ่กว่าที่ผ่านๆมา เหนือขึ้นไปก็เป็นลำห้วยที่แลดูตื้นเขิน แต่กว้างขวางร่วมสี่วา ซึ่งมีภูเขาขนาบทั้งซ้ายขวา ระดับน้ำที่ลึกที่สุดสูงไม่เกินตาตุ่ม แต่ก็น่าแปลกใจที่ระดับน้ำเพียงเท่านี้ ก็ยังมีปลานานาชนิดอาศัยอยู่ชุกชุม ครั้นเมื่อทั้งคณะเดินลุยผ่าน พวกมันก็พากันตื่นตกใจว่ายกระเจิดกระเจิง ไปคนละทิศคนละทาง ตัวไหนมีขนาดเล็กก็พอจะแทรกตัวไปตามกระแสน้ำที่ตื้นนั้นไปได้ ตัวไหนใหญ่หน่อยก็พยายามกระเสือกกระสนแถกตัวไปอย่างทุลักทุเล จนได้ยินเสียงลำตัวของมันกระแทกกับกรวดหินใต้น้ำดัง แพรดๆ อย่างถนัดหู

“บ๊ะ ปลาเวียนมันแยะดีโว้ย” พรานโส่ยร้องลั่น เมื่อเห็นฝูงปลาเวียนตัวเขื่อง พากันวายแถกตัวสวนน้ำไปหลายฝูง

“ปลาก้างก็มี”เคิ้งร้องมาอีกคน

“ฟันเก็บไว้ย่างเกลือกินเสียหน่อยดีกว่า”พุ่มเสนอความคิด พูดจบก็ใช้สันมีดเหน็บเคาะไปที่หัวปลาเวียนที่ว่ายไปซุกซอกหิน

“นั่นๆ ว่ายไปทางโน่นแล้ว”พรานแปะพูดจบก็ วิ่งไล่ฟันปลาเวียนจนน้ำบาน เห็นแล้วน่าสนุก

          นอกจากเหล่าปลานานาชนิด ที่พากันวายหนีกระเจิดกระเจิง ไม่เป็นขบวนแล้ว ทั้งสองฝั่งลำห้วยนั้น ยังอุดมไปด้วยไม้ล้มลุก จำพวก กล้วยป่า บอนป่า กระวาน ผักกูด และผักหนาม โดยเฉพาะต้นผักกูด มีมากเป็นพิเศษ ซึ่งแต่ละยอดอวบใหญ่น่ากินกว่าที่เคยเก็บมาจากป่าด้านล่าง นอกจากไม้ล้มลุกที่ขึ้นกันหนาแน่นแล้ว ยังมีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่อย่าง ต้นยางนา ต้นยวน และต้นผึ้ง ที่ขึ้นเบียดกันจนไม้เล็กไม่น้อยใต้โคนต้นของมัน ไม่สามารถเจริญเติบโตได้เลย เพราะไม่มีโอกาสได้รับแสงอาทิตย์มาหล่อเลี้ยงยอดใบ  บางต้นก็แคะแกร็น บางต้นก็ยืนต้นแห้งตายก็มีให้เห็นอยู่มากมาย

          หลังจากทุกคนพากันไล่ฟันปลาเวียนและปลาก้าง จนได้ปลามาพอกิน พรานเบก็ร้องบอกให้เดินทางกันต่อ โดยเจ้าเคิ้งและเจ้าพุ่ม ได้ปลาเวียนและปลาก้างถือติดไปด้วยคนละพวง ปลาที่ได้มาตัวเขื่องๆทั้งนั้น เพราะเลือกที่จะฟันมากินโดยเฉพาะ ส่วนปลาเล็กปลาน้อยที่มีอยู่มากมาย ทางคณะตระเวนไพร ไม่คิดสนใจแม้แต่น้อย เพราะกลัวเสียเวลาไปเปล่าๆ ในเมื่อ ปลาย่างรมควัน และกบย่าง ที่พรานโส่ยทำไว้ ก็มีอีกหลายไม้ที่ยังไม่ได้ทำอะไรกิน

“เฮ้ย ไอ้เคิ้ง เอ็งถือพวงปลาดูบ้างสิว่ะ ดูซิ หลุดมาจากพวงเกือบหมดแล้ว”พุ่มที่เดินตามหลังร้องบอกเจ้าเคิ้งที่เดินแกว่งพวงปลา จนปลาเวียน หลุดจากพวงตกกระจัดกระจายเกลื่อน โดนเจ้าตัวไม่ได้ระแคะระคายอะไรเลย จะว่าด้วยน้ำหนักตัวของปลา หรืออาจจะเป็นส่วนหัวที่ถูกร้อยเหงือกเข้ากับเถาวัลย์ขนาดใหญ่ จึงทำให้ส่วนหัวที่แต่เดิมถูกตีจนแบะอยู่แล้ว ฉีดขาดหลุดจากพวงได้อย่างง่ายดาย

“อ้าว เฮ้ย! เหลือแต่หัว ฮ่าๆ”เจ้าเคิ้งหัวเราะชอบใจ หลังจากยกพวงปลาเวียนขึ้นดู ซึ่งตอนนี้เหลืออยู่ไม่กี่ตัว นอกนั้นตัวขาด หัวหลุด ไปหมดแล้ว

“เอาใส่ย่ามข้าไว้ก่อน”พรานโส่ยที่เดินอยู่ใกล้ๆ รับปลาเวียนที่พุ่มเดินเก็บ มาใส่ย่ามใบเก่าของแก นอกจากปลาเวียนและปลาก้างที่อยู่ในย่ามของแกแล้ว ข้างในนั้นยังมี หัวปลี ของกล้วยป่า ที่แกตัดไว้ อีก สองสามหัว แต่ละหัวใหญ่ไม่เกินฝ่ามือ

“รอยหมูป่าลงมาลุยไว้เป็นแปลงเลย”พรานเบพูดจบก็บุ้ยปากไปยังตำแหน่งกอกล้วยป่า ที่ตอนนี้บริเวณผิวดินโคนต้นแหลกยับไปเป็นแถบๆ

“รอยยังใหม่ๆเสียด้วยซิ”พรานพรพูดเสริมมาอีกคน หลังจากก้มลงไปพิจารณา

“สงสัยจะหมูฝูง รอยตีนไม่ค่อยใหญ่ ดูสิ ย่ำไว้ให้เปรอะไปหมด”พรานแปะพูดพลางชี้มือไล่ดูไปตามรอยตีนหมูป่า ที่เหยียบย่ำไว้ใหม่ๆ

        นอกจากรอยหมูฝูงที่ลงมาหากินบริเวณที่คณะเดินผ่านมาแล้ว ตามริมห้วยทั้งสองฝั่งที่เป็นแอ่งโคลน ยังมีร่องรอยของพวกมันบางตัว ลงไปนอนแช่ปลักก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ รวมถึงตามต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ข้างปลักโคลนนั้น ก็มีรอยพวกมันเอาสีข้างมาถูเล่น แต่ละรอยสูงเกือบถึงขาอ่อน นอกจากหมูป่า ยังมีรอยถูของช้างป่าก็มีให้เห็น แต่ก็นานมาแล้วหลายเดือน  ซึ่งดูจากเศษโคลนแห้งกรังที่ติดบนลำต้นของต้นไม้ บอกได้ว่าเป็นช้างโทนขนาดใหญ่ เพราะรอยโคลนที่มันฝากไว้ สูงเลยหัว เห็นแล้วพาให้เสียวสันหลัง เพราะไม่รู้ว่าจะไปจ๊ะเอ๋ กับเจ้าของรอยนี้เมื่อไหร่ ขนาดยืนชูแขนวัดแล้วก็ยังไม่พ้น รวมถึงรอยตีนของมันก็ใหญ่ไม่ใช่เล่น หลังจากพิจารณาร่องรอยต่างๆเรียบร้อยแล้ว พรานเบก็พาทั้งคณะเดินทางต่อ

      อากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะอยู่ในป่าทึบ ถ้าไม่ก้มดูนาฬิกา ก็ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ เกือบจะ ห้าโมงเย็นแล้ว แต่ด้วยความทึบของป่า จึงดูว่าค่ำเร็วไปหน่อย พรานเบจึงให้คณะรีบเร่งในการเดินเข้าไปอีก จากที่เดินชมนกชมไม้ตั้งแต่ตอนต้นๆ ตอนนี้เปลี่ยนมาเดินจ้ำกันอย่างไม่คิดสนใจอะไรรอบตัวเลย ขนาดไก่ฟ้า ที่เจ้าพะเปรียวเห่าไล่ไปเกาะเด่นอยู่บนกอไผ่เห็นถนัดๆ พรานเบก็ไม่คิดที่จะยิงเก็บเอาไว้เป็นเสบียง เพียงแค่ยืนมองๆ แต่ไม่ถึงอึดใจก็พาเดินนำทางไปต่อ

        เส้นทางของด่านสัตว์ ตัดผ่านแนวป่าดูสับสนไปหมด บางช่วงก็เป็นแยกสลับไปมา แต่พรานชำนาญไพร อย่างพรานเบ ก็พาเดินตัดไปได้อย่างไม่ลังเล เพราะไม่ต้องคอยตัดกิ่งไม้และเถาหนามที่ขวางทาง คณะเดินทางจึงใช้เวลาไม่มากนักบนด่านทางเดินเส้นนี้ หลังจากพากันเดินลุยดงกระวานที่ขึ้นรกไปหมด ทุกคนก็มาโผล่บริเวณ ลานราบเรียบตอนหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากลำห้วยไม่มากนัก และแน่นอนมันเป็นลำห้วยสายเดียวกับที่คณะช่วยกันหาฟันปลาในระหว่างทาง

        นอกจากบริเวณที่พักที่ดูโล่งเตียนเป็นพิเศษแล้ว บริเวณกลางลานดินนั้น มีร่องรอยของกองไฟกองใหญ่ อีกมุมใกล้ๆกันก็มีเตาไฟ ที่มีหินก้อนใหญ่วางทิ้งไว้สามก้อน หรือที่เรียกกันว่า เตาสามเส้า ซึ่งตรงกลางเตานั้นมีกองขี้เถ้าอยู่กองใหญ่ ส่วนบริเวณที่มีต้นไม้เล็กๆขึ้นอยู่ประปลายรอบๆบริเวณ  แคร่ไม้สำหรับวางของก็ยังมีอยู่

“เมื่อสองอาทิตย์ก่อน ข้าก็มาตั้งแค้มป์ที่นี้กับไอ้พรมัน”พรานเบพูดจบก็หยิบใบไม้แห้งที่หล่นทับถมอยู่บนแคร่ออก จากนั้นก็ใช้มือขยับลูกแคร่ หรือร้านวางของ เพื่อตรวจความแข็งแรง เมื่อเห็นตรงไหนดูไม่เรียบร้อยก็แก้เถาวัลย์ที่ผูกลูกแคร่ออก แล้วผูกใหม่ให้แน่นหนา

“มานอนตรงนี้ก็ดีไปอย่าง ไม่ต้องเตรียมอะไรมากแบบเมื่อวาน”พรานพรร้องเสริมมาอีกคน พูดจบก็ถอดเป้ที่แบกมาออก

“เอ็งสองตัวไปช่วยกันหาฟืนเตรียมก่อไฟดีกว่า จะได้รีบหุงข้าวหุงปลา มืดค่ำจะลำบาก”พรานเฒ่าร้องบอก เจ้าพุ่มกับเจ้าเคิ้ง ที่ตอนนี้กำลังช่วยกันใช้กิ่งไม้ปัดกวาดบริเวณที่พัก

          ส่วนคนอื่นๆหลังจากจัดการกับเครื่องหลังที่สะพายออกมาวางแล้ว ก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ อย่างไม่ดูดาย เหน๋อกับพรานแปะ ช่วยกันรื้อหม้อสนามและข้าวสารเตรียมหุงข้าว พรานโส่ยกับสิงห์ช่วยกันก่อไฟขึ้นกองใหญ่ ตรงตำแหน่งเดิมที่พรานเบเคยก่อไว้ รวมถึงกองไฟในเตาอีกกอง เพียงไม่กี่อึดใจ กองไฟกองใหญ่ก็ถูกก่อขึ้น จนบริเวณที่พักสว่างโพรงไปหมด

“แล้ววันนี้จะทำอะไรกินกันดีล่ะ”สิงห์ร้องถาม

“ข้าว่าจะแกงปลาแห้งใส่หัวปลีกินสักหม้อ”พ่อครัววัยชราร้องตอบ ขณะกำลังรื้อค้นเสบียงในกระสอบปุ๋ยใบเก่าของแก

“แค่นึกเห็นภาพก็หิวแล้ว”สิงห์พูดพลางหยิบท่อนฟืนที่ติดไฟนำมาใส่เตาสามเส้า

“อ้าว น้าเบไปหาเก็บผักกูดมาตั้งแต่ตอนไหน เผลอแป๊บเดียวเอง”สิงห์ร้องบอก ขณะเห็นพรานเบและพรานพรเดินถือยอดผักกูดมาคนละกำใหญ่

“แถวๆริมห้วยใกล้ๆนี้ล่ะ ผักกูดเยอะแยะ ไม่ต้องเดินหาไกล”พรานเบพูดจบก็วางยอดผักกูดสดๆลงบนผ้าใบที่ถูกปูแผ่ไว้แล้ว

“ชื่อสถานที่มันก็บอกในตัวแล้วเพื่อน”เหน๋อพูดเป็นปริศนา

“เอ็งพูดอะไรว่ะ สะทงสถานที่อะไร ไม่เข้าใจ”สิงห์ร้องตอบ พูดจบก็รับหม้อสนามมาแขวนบนราว

“ปัดโธ่...ก็ที่เอ็งจะมานอนอยู่นี้ เขาเรียกว่า แก่งผักกูด ชื่อมันก็บอกแล้วว่าแก่งผักกูด ผักกูดมันต้องเยอะอยู่แล้ว ฮ่าๆ”เหน๋อพูดจบก็หัวเราะชอบใจ

“เออว่ะ จริงของเอ็ง ผักกูดมันเยอะจริงๆ”สิงห์ร้องตอบ

          นอกจากแก่งผักกูดที่คณะทั้งหมดมาพักอาศัยบริเวณนี้แล้ว สถานที่ส่วนใหญ่ มักจะมีชื่อเรียกตามสภาพแวดล้อมนั้นๆ อย่างเช่น แก่งผักกูด ก็เพราะบริเวณนี้มีต้นผักกูดขึ้นเป็นจำนวนมาก จะว่าที่อื่นไม่มีก็ไม่ถูกนัก แต่เยอะและดกสู้บริเวณนี้ไม่ได้ รวมถึงลำห้วยที่น่าจะกว้างขวางกว่าที่อื่นและมีแก่งหินอยู่มากมาย ชื่อ แก่งผักกูด น่าจะเหมาะที่สุด ส่วนบริเวณที่พักเมื่อคืนก่อนมีชื่อเรียกว่า ช่องผาแคบ ก็เพราะถ้าใครจะผ่านไปอีกฟากก็ต้องเดินผ่านช่องหน้าผา ลักษณะเหมือนกำแพงที่กั้นขวางไว้ เหลือเพียงช่องกว้างไม่เกินวา ดูแล้วเหมือนประตูที่มีหน้าผาขนาบทั้งสองข้าง ถ้าไม่ผ่านทางนี้ไป ก็ต้องเดินปีนเขาเป็นลูกๆ คิดแล้วก็น่าชื่นชมกะเหรี่ยงดงพวกนี้ ที่เขาใจตั้งชื่อสถานที่นั้นๆ และคงไม่ต้องให้อธิบาย สถานที่อื่นๆที่ยังไม่ได้บอกมา เช่น ห้วยปลากั้ง แค่ชื่อก็ไม่ต้องอธิบายให้ยืดเยื้อแล้ว

“ผักกูดนี้เดี๋ยวเอาไว้หลามใส่กบย่างสักกำ ที่เหลือกินกับน้ำพริกก็น่าจะพอ”พรานแปะเสนอเมนูยั่วน้ำลาย

“เออ...ก็เข้าท่าดี”พรานพรเห็นด้วย

“เอ๊า! เอ็งสองคนได้ยินแล้วใช่มั๊ย ไป ไม่ต้องให้บอก”พรานโส่ยร้องบอกเจ้าเคิ้งและพุ่มที่ต้อนนี้เดินล้วงหอยล้วงปูอยู่ริมห้วย

“ไม่ต้องทะลึ่งไปไหนไกลล่ะ จะได้รีบทำ เดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน”

“ได้เลยพ่อ ฉันจะไปไหนไกล ก็ขึ้นเป็นดงอยู่นี่”เจ้าเคิ้งพูดจบก็เดิน ดุ่มๆไปที่โคนก่อไผ่ เพียงไม่กี่นาที ก็แบกไม้ไผ่ลำใหญ่มาคนละลำ

          เวลาผ่านไปไม่นานน้ำในหม้อที่เตรียมทำแกงหัวปลีก็เดือดพล่าน พริกแกงที่ถูกตำขึ้นมาหยาบๆถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเอาไว้ใส่แกงหัวปลี และอีกส่วนเอาไว้ทำหลามผักกูด กับข้าวทั้งสองอย่างถูกทำเกือบจะพร้อมๆกันโดยพ่อครัวเพียงคนเดียว หลังจากเติมเครื่องแกงลงไปในน้ำที่กำลังเดือดจนส่งกลิ่นหอมไปทั่ว พรานโส่ยก็เติมกะปิมอญลงไปอีก จนน้ำในหม้อข้นคลัก จากนั้นก็ร้องเร่งเอาหัวปลีที่พรานแปะนั่งซอยอยู่ นำมาเติมจนหม้อแทบล้น ต้องรออีกพักใหญ่กว่าหัวปลีสดจะสุกยุบลงเหลือแค่ครึ่งหม้อ หลังจากปรุงรสจนได้ที่ พรานเฒ่าก็ฉีกบิ ปลาแห้งที่แกรมควันไว้ไปอีกสองไม้ เพียงไม่นานแกงหัวปลีใส่ปลาแห้งรมควันก็สุกส่งกลิ่นหอมฉุย

          ถัดจากหม้อแกงหัวปลีใกล้ๆ กระบอกไม้ไผ่ขนาดเกือบเท่าขาอ่อน ที่มีน้ำแกงเดือดคลัก พรานโส่ยก็เทยอดผักกูดที่ถูกเด็ดเป็นท่อนๆลงไปจนเต็ม จากนั้นรออีกไม่นาน จนผักกูดในกระบอกยุบตัว ก็ฉีกกบย่างที่เหลือไว้จนหมด นอกจากแกงหัวปลีและหลามผักกูดแล้ว บนราวแขวนหม้อสนาม ที่ตอนนี้ข้าวที่อยู่ภายในจวนสุกได้ที่ ยังมีห่อใบตองขนาดใหญ่ ซึ่งภายในมีผักกูดอีกกำใหญ่ถูกคลุกเคล้าเกลือบางๆหมกอยู่อีกห่อ กับข้าวลูกป่าก็เป็นอันเสร็จแต่ก็ยังไม่จบ เพราะเหลืออีกอย่างที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือน้ำพริก เพราะมีสำรองไว้แล้วตั้งแต่เมื่อเช้านี้ เพียงแค่เติมน้ำมะขามเปียกหรือลูกมะกอกป่าสุก เท่านี้ก็ได้น้ำพริกเผาป่าถ้วยใหญ่แล้ว

“นั่นน้าเบเตรียมไปไหนล่ะ”สิงห์ร้องถามพรานเบ ที่ตอนนี้กำลังงัดลูกปืนลูกซองออกมาเปลี่ยน

“ข้าว่าจะไปนั่งห้างเสียหน่อย”พรานเบหันมาตอบ พูดจบก็หยิบลูกปืนจากเป้ขึ้นมาเลือก

“แถวนี้มีลูกไม้ให้นั่งรึ?”สิงห์ถามต่อ แต่ไม่ทันที่คนถูกถามจะตอบ พรานพรก็ตอบแทนว่า

“มี ครั้งที่แล้วพี่ก็มากันสองคน สงสัยจะไปนั่งลูกมะขามป้อม งวดก่อนมามันยังไม่สุกดี”พรานพรพูดจบก็หยิบท่อนฟืนที่ติดไปมาจี้ที่ปลายบุหรี่ยาเส้นของแก

“น่าสนใจ แล้วจะไปกันตอนไหนล่ะน้าเบ”สิงห์พูดพลางช่วยพรานเฒ่ายกหม้อข้าวออกจากราวแขวน

“กะว่ากินข้าวเสร็จก็ไปแล้ว คงถึงห้างที่ข้าขัดไว้คงใกล้มืดพอดี แล้วนี่ก็โมงแล้วล่ะ”ประโยคสุดท้ายพรานเบบุ้ยปากมาที่นาฬิกาของสิงห์

“โอย..นี่ก็เกือบจะ6โมงเย็นแล้ว”

“แล้วน้าเบจะไปกับใครล่ะ พี่พรรึ”สิงห์ร้องถาม

“ข้าว่าจะหาส่องอีเห็นสักหน่อย ไปนั่งห้างกับไอ้เบทีไรไม่ได้ตัวทุกที”พรานพรพูดจบก็อัดยาเส้นแดงวาบ

“ดีเลย เอางี้ ครั้งนี้ขอผมไปเป็นเพื่อนน้าเบเอง”สิงห์พูดจบก็หันไปยิ้มให้พรานนำทาง

“เอ็งจะไปทรมานทำไมว่ะ อยู่หาปูหาปลากับข้าดีกว่า”พรานเฒ่าร้องบอก

“ลองดูลุงโส่ย ไม่ได้นั่งห้างกับน้าเบมานานแล้ว คืนนี้ของทรมานสักคืนจะเป็นไร มาๆจะมืดจะค่ำแล้วกินข้าวกินปลากันดีกว่า ไอ้เคิ้งอย่าลืมเอาข้าวกับเหล้าไปเซ่นเจ้าที่เขาล่ะ คืนนี้พี่จะล่อกระทิงมาให้เอ็งย่างกิน ฮ่าๆ”สิงห์โม้จบ ก็หัวเราะ

“ฮี่โธ่..จะเอามาจากไหนกระทงกระทิง ยิงกระจงมาให้ข้ากินให้ได้ก่อนเถอะไอ้สิงห์ ฮ่าๆ”สิ้นเสียงพรานชราทั้งคณะก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางวงข้าว ที่ถูกห้อมล้อมด้วยบรรดาเหล่าพราน ซึ่งเปรียบเสมือนครอบครัวของเขา ถึงแม้ฐานะการเป็นอยู่จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงก็ตาม แต่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวงก็คือ ความรักและความจริงใจต่อกัน รวมถึงการมีน้ำใจซึ่งกันและกัน อีกส่วนที่ขาดเสียไม่ได้คือ ความซื่อสัตย์สุจริต ที่มีให้กันมาโดยตลอด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถตีค่าเป็นราคาค่างวดใดๆได้เลย ยากนักที่จะหาสิ่งเหล่านี้ได้ในโลกภายนอก....












« Last Edit: 22 April 2021, 09:35:28 by p_san@ » Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #1 on: 22 April 2021, 09:42:51 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 ตอนที่ 2


บทที่ 6

ตอนที่ 6.2

          หลังจากอาหารมื้อเย็นที่กินกันอย่างรีบเร่ง เพราะบรรยากาศเริ่มขมุกขมัวลงทุกขณะ รวมถึงบุคคลทั้งสองคือ พรานเบและสิงห์ จำเป็นที่จะต้องออกเดินทางไปยังตำแหน่งห้างที่พรานเบขัดไว้เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน ซึ่งทั้งสองคนไม่สามารถรู้เลยว่า ห้างที่ขัดไว้ ยังคงมีสภาพใช้งานได้หรือเปล่า หรือถ้าจำเป็นต้องซ่อมแซมขึ้นมา ก็คงต้องรีบกระทำ เพราะถ้ามืดค่ำขึ้นมาแล้ว คงไม่สะดวกนักที่จะซ่อมแซม อาจจะเสียเวลาและโอกาสโดยเปล่าประโยชน์

          ส่วนบรรดาเหล่าพรานที่เหลือก็แบ่งสันปันส่วนกันออกไป ว่าใครจะทำอะไรกันบ้างในคืนนี้ พรานพรหลังจากคว้าน้ำเหลวจากเมื่อคืน ก็ขอแก้มือโดยชวนพรานแปะไปเป็นเพื่อนส่องไฟหายิงสัตว์ตอนกลางคืน ส่วนพรานโส่ย ครั้งแรกเจ้าตัวก็ว่าจะออกหาส่องปลาส่องกบ ก็ขอเปลี่ยนใจมาเฝ้าแค้มป์เป็นเพื่อนเจ้าเหน๋อที่ไม่ค่อยจะสันทัดนักในการหาปลาหากบ จึงปล่อยให้ลูกชายและเพื่อนเกลอทำหน้าที่นี้แทนอย่างไม่ต้องเป็นห่วงอะไรมากนัก เพราะทั้งสองถึงจะเป็นเด็ก แต่ด้วยความเป็นลูกไพรมาตั้งแต่เด็กๆจึงหมดห่วง

          ท้องฟ้าตอนนี้ปราศจากดวงอาทิตย์ไปนานแล้ว เห็นเพียงแสงสีแดงแกมส้มเป็นฉากหลังทางด้านทิศตะวันตก โดยมีภูเขาสูงทะมึนกั้นขวางไว้เบื้องหน้า เมื่อหมดแสงอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่น บัดนี้ก็กลับมาเย็นยะเยือกลงอีกครั้ง ยิ่งคณะเดินทางดั้นด้นเข้าในไพรลึกมากเท่าใด ป่ารอบด้านก็มีความทึบทะมึนมากขึ้นเท่านั้น

“จิบกาแฟสักหน่อยแล้วค่อยไปกัน”พรานเบพูดจบก็ส่งกระบอกไม้ไผ่ ที่ใช้ทำแทนแก้วกาแฟส่งให้สิงห์

“โอว..ขอบคุณมากครับน้าเบ”สิงห์รีบรับพร้อมกล่าวคำขอบคุณ

“แล้วก็นี้ ของเอ็ง เอาไปคนละกระบอก”พรานเบพูดพลางส่งกระบอกไม้ไผ่ ให้กับสิงห์ที่ตอนนี้กำลังทำหน้างงๆอยู่

“จะเอาไว้ใส่น้ำกินหรือครับน้าเบ”สิงห์ร้องถาม ขณะหยิบกระบอกไม้ไผ่ขึ้นมาพลิกดูเล่น

“เอาไว้ฉี่ไง ไอ้สิงห์ ไปกับไอ้เบมัน ข้ารับรองว่า ถ้าเอ็งได้นั่งห้างแล้วกว่าจะได้ลงจากห้างก็เช้าโน่นล่ะ”พรานโส่ย ร้องบอกมาจากริมกองไฟ ซึ่งตอนนี้ถูกสุมขึ้นมากองใหญ่ จนบริเวณที่พักสว่างโพลงไปหมด

“ขืนลงมาฉี่ข้างล่าง เอ็งไม่ต้องหวังว่าจะเจอตัวอะไรแล้ว”พรานชราพูดเสริมมาอีก พูดจบก็เดินไปลากท่อนฟืนขนาดใหญ่มาวางเรียงกันไว้อย่างเป็นระเบียบ

“ผมก็ยังคิดอยู่เลย กะว่าถ้าไม่ลงมาจากห้าง ก็จะยืนฉี่มันบนห้างเสียเลย ฮาๆ”สิงห์พูดจบก็หัวเราะชอบใจ ไม่ใช่แค่สิงห์เพียงคนเดียว เหล่าพรานทั้งหลายที่ได้ยินก็พากันเฮฮากันอย่างสนุกสนาน

“ใครเขาทำแบบนั้นกันไอ้สิงห์ ผิดป่า เจ้าป่าได้หักหอเอ็งตาย”พรานชราร้องลั่น เพียงได้ยินพรานเฒ่าเอ่ยถึงเจ้าป่าเจ้าเขา สิงห์ก็ชักจะเสียวสันหลังขึ้นมาอีก เพราะลืมเสียไปสนิทว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา เขาได้พบเจอกับอะไร

          หลังจากนั่งจิบกาแฟจนตาสว่างได้ที่ดีแล้ว พรานเบก็ชักชวนให้พรานมือใหม่จัดเตรียมของใช้จำเป็นลงเป้หลัง พรานเบไม่ได้ติดอะไรไปมาก มีเพียงกระบอกน้ำที่มีน้ำดื่มอยู่เต็ม รวมถึงกระบอกไม้ไผ่เปล่าๆ ไฟฉายขนาดแปดท่อน ผ้าข้าวม้า และปืนลูกซองเดี่ยวของแกอีกกระบอก พร้อมลูกกระสุนอีกจำนวนหนึ่ง

          ส่วนของสิงห์ เพราะเป็นมือสมัครเล่น จึงเตรียมอะไรต่อมีอะไรดูผลุงพลังไปหมด ไม่ว่าจะเป็นถุงนอน เปลสนามก็ยังติดไปด้วย โดยเจ้าตัวบอกว่าถ้าไม่ได้ไปผูกนอน ก็เอาไว้รองก้นนั่งก็ยังดี เพราะรู้ดีว่าการนั่งนานๆบนห้าง ที่พื้นของมันทำด้วยลูกห้างที่เป็นท่อนไม้มาพาดแบบห่างๆคงทรมานสังขารน่าดู ส่วนถุงนอนก็เอาไว้ห่มกันหนาวอีกที  นอกจากสิ่งของที่ว่ามาแล้ว กระติกน้ำใบเก่าก็ลืมเสียไม่ได้ กระสุนปืนลูกกรด หรือ.22 ก็เอาไปด้วยเสียเต็มที่ ทั้งที่อยู่ในแม็ค อีก 5 ลูก แถมในรังเพลิงอีกลูกโดยเจ้าตัวล็อคกลไกไว้ด้วยระบบเซฟ เพียงไม่กี่อึดใจคนทั้งสองก็พร้อมออกเดินทางในทันที แต่ยังไม่ทันที่สิงห์จะเดินตามพรานเบไป พรานเฒ่าก็ร้องบอกเขาว่า

“ไอ้สิงห์กระบอกฉี่ เอ็งล่ะยังแขวนอยู่นี้เลย”พรานเฒ่าร้องบอก

“เออ! เกือบลืม ตื่นเต้นไปหน่อย ฮาๆ”สิงห์พูดพลางเดินย้อนกลับมาเอากระบอกไม้ไผ่ที่แขวนไว้

“โชคดีเว้ยเพื่อน”เหน๋อที่ตอนนี้กำลังผูกเปลนอน ร้องบอก

“จับไอ้สองตัวนั่นไว้ด้วย”สิงห์หันมาร้องบอก พูดจบก็โบกมือให้กับกลุ่มพรานกะเหรี่ยง ที่นั่งมองเขา ก่อนที่ร่างของชายหนุ่มจะหายลับเข้าไปในดงทึบ

          เสียง กู่..ว๊าววว....กู่..ว๊าววว  ของนกกาเหว่าดังกังวาน ก้องไปทั้งหุบ มันคงจะเตรียมขึ้นรังนอนที่ใดสักแห่งในดงทึบเบื้องหน้า สลับกับเสียงร้องระรัวถี่ของนกกระปูด ที่เกาะเด่นบนกิ่งไผ่ ซึ่งทอดเอนขวางลำห้วยอยู่ ครั้นเมื่อเห็นมนุษย์ทั้งสองที่เดินเลาะเลียบมาตามริมห้วยเบื้องล่าง ก็บินผละไป
อากาศที่เริ่มขมุกขมัวลงทุกขณะ แต่ชายต่างวัยทั้งสองยังมุ่งมานะที่จะไปให้ถึงจุดหมายให้ได้ โดยการนำทางของพรานมีฝีมือ ที่ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยเข็มทิศหรือแผนที่ เพราะสิ่งเหล่านี้ถูกฝังและบันทึกลงในส่วนลึกของสมองไปแล้ว เพียงแค่จดจำภูมิประเทศรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ก้อนหิน ลำห้วย หรือแม้แต่เหลี่ยมมุมของภูเขา พรานชำนาญไพรอย่างพรานเบก็พาบุกไปถึงจุดหมายจนได้

          หลังจากพรานเบพาเดินลุยดงทึบมาได้ประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบริเวณที่โล่งตอนหนึ่ง ซึ่งมีต้นไม้หลากหลายขนาดขึ้นอยู่ประปลาย พรานเบก็ชักมีดที่เหน็บไว้ที่เอว ออกมาตัดไม้ขนาดแขนสามสี่ต้น นอกจากต้นไม้ที่พรานเบร้องบอกให้สิงห์ช่วยตัดลิดกิ่งไม้และใบไม้ออกแล้ว พรานเบยังเลือกตัดเถาวัลย์อีกหลายเส้น เพื่อเตรียมเผื่อไว้สำหรับซ่อมแซมห้าง

“น้าเบขัดห้างไว้แถวนี้หรือ”สิงห์ร้องบอกด้วยความสงสัย

“ข้าขัดไว้บนเนินเขาฝั่งโน่น เดินต่ออีกหน่อยก็ถึงแล้ว”พรานเบร้องตอบ พูดจบก็ม้วนเก็บเถาวัลย์ที่ตัวเองตัดมาเป็นห่วง จากนั้นก็เอาห่วงเถาวัลย์ที่ได้ มาคล้องสะพายไหล่

“ทำไม ไม่ไปหาตัดใกล้ๆห้างเลยล่ะน้าเบ จะได้ไม่ต้องเดินแบกไม้ไกล”สิงห์ถามด้วยความสงสัย

“ขืนทำแบบที่เอ็งว่า ให้นั่งกันทั้งคืนก็ไม่มีตัวอะไรเข้า”พรานเบพูดจบก็ใช้มีดฟันไม้ที่ใช้สำหรับทำลูกห้างเป็นท่อนๆ แต่ละท่อนยาวเกือบช่วงแขน

“เก้ง กวาง มันก็เหมือนคนนั่นล่ะ สิงห์ ถึงมันจะฉลาดสู้คนไม่ได้ มันก็มีความช่างสังเกต อะไรผิดหูผิดตา หรือผิดกลิ่นจากถิ่นที่มันหากินไปจากเดิม มันจะไม่เข้ามาอีกเลย”พรานเบอธิบาย

“เอาง่ายๆ เวลาเอ็งออกจากบ้าน เอ็งก็ปิดประตูมิดชิด แต่พอเอ็งกลับมาประตูบ้านเอ็งเปิด เอ็งจะเอะใจหรือเปล่าล่ะ”พรานเบพูดจบก็เอื้อมไปหยิบต้นไม้ที่สิงห์ลิบกิ่งก้านออกแล้ว นำมาตัดอีกท่อน

          อาจจะจริงอย่างที่พรานชำนาญไพรพูด สัตว์ป่ามันก็คงเหมือนกับคนหรือมนุษย์อย่างเราๆ ถึงแม้ว่าความฉลาดจะสู้มนุษย์ไม่ได้เลย แต่ด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอดของมันแล้ว สัตว์ป่าย่อมจะมีสิ่งนี้มากกว่ามนุษย์ การละแวกระวังภัย ย่อมจะมีการสัมผัส หรือการรับรู้ได้ดีกว่าคนเราหลายเท่าตัว สิ่งไหนที่ผิดหูผิดตาไปจากเดิม ที่เคยพบอยู่เป็นประจำเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้พวกมันกระสากลิ่นอายของภัยอันตรายที่จะกล้ำกลายเข้ามาก็ได้ หรือเพียงแค่กลิ่นยางไม้สด ที่เกิดจากบาดแผลของมีดที่ฟันทิ้งใหม่ๆ ก็อาจทำให้มันหนีเตลิดไปไหนต่อไหน บางครั้งอาจจะต้องรออีกหลายวันกว่าพวกมั นจะย้อนกลับมาหากินที่เดิมอีก บางครั้งอาจจะเป็นเดือนๆเลยก็มี เพียงแค่ละเลยหรือมองข้ามสิ่งเล็กๆน้อยๆ จึงอาจทำให้พลาดและเสียโอกาสอย่างน่าเสียดาย

          เสียงน้ำในลำห้วยดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ จากหุบเบื้องล่าง ชายทั้งสองคนพากันเดินไต่ไปตามเนินเขาอย่างเงียบกริบ โดยแบกท่อนไม้ขนาดไม่ใหญ่นัก ที่เตรียบนำไปซ่อมแซมห้างมาคนละห้าหกท่อน จากเดิมที่เดินแบกปืนมาคนละกระบอกและเป้หลังก็ทุลักทุเลเอาการณ์อยู่แล้ว แต่พอมีลูกห้างมาเพิ่มเข้าไปอีก จึงทำให้การเดินทางช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ถึงจะเหนื่อยและระบมไปทั้งตัว ก็ไม่สามารถหยุดพักเอาแรงได้ เพราะเวลาไม่เคยคอยใคร ลำพังพรานเบก็ไม่หนักหนาอะไรมากนัก เพราะมีร่างกายที่แข็งแรงทรหดอยู่แล้วตามแบบฉบับของลูกไพร แต่สำหรับสิงห์ ที่ไม่ใช่ลูกป่าโดยกำเนิด แค่แบกเป้และปืนไหล่ก็แทบหลุดอยู่แล้ว ยิ่งเจอลูกห้างเข้าไปอีกแถมยังต้องเดินไต่เนินชัน กว่าจะถึงที่หมายก็เล่นเอาหมดแรง

          บริเวณเนินดินที่ยื่นเป็นตะพักออกมาไม่กว้างนัก ลูกไม้ป่าสีเขียวนวล ลักษณะทรงกลม ล่วงหล่นตามพื้นดินอยู่เกลื่อนกลาด โดยบริเวณพื้นดินนั้นมีร่องรอยของสัตว์เดินเหยียบย่ำไว้ดูสับสนไปหมดทั้ง เก้ง และหมูป่า รวมไปถึงสัตว์ขนาดเล็ก เช่น ชะมด อีเห็น กระรอก กระแต ก็มีร่องรอยมาแทะกินลูกไม้เหล่านั้นเต็มไปหมด

“มะขามป้อมสุกเต็มเลยน้าเบ ดูสิมีรอยเก้งมากินด้วย”สิงห์พูดจบก็ค่อยๆวางลูกห้างที่ตัวเองแบกมาจนไหล่ลู่

“สงสัยคืนนี้คงมีหวัง ทั้งเก้ง หมูป่า ลงมากินลูกมะขามป้อมกันเปรอะขนาดนี้”พรานเบพูดจบก็เก็บลูกมะขามป้อมที่หล่นตามพื้นขึ้นมาเคี้ยวเล่น สิงห์ที่รู้อยู่แล้วว่า ผลไม้ชนิดนี้สามารถกินได้  จึงไม่รอช้าที่จะเก็บมันขึ้นมากินบ้าง

“กำลังคอแห้งอยู่พอดี ได้สักลูกสองลูกค่อยชุ่มคอหน่อย”สิงห์พูดพลางก้มลงเก็บลูกมะขามป้องใส่กระเป๋าเสื้อ

          นอกจากมะขามป้อมจะเป็นผลไม้ป่าอีกชนิดหนึ่งแล้ว ด้วยรสชาติฝาดอมเปรี้ยวของมัน แม้จะไม่มีรสหวานเลยในตอนแรกที่สัมผัสลิ้น แต่ด้วยสรรพคุณในด้านสมุนไพรของมันแล้ว เพียงอึดใจ รสฝาดของมันกลับกลายเป็นรสหวานชุ่มคอได้อย่างน่าประหลาด ยิ่งถ้าได้ดื่มน้ำตามลงไป จะทำให้ชุ่มคออีกเป็นทวีคูณ คนป่าคนดอยมักนิยมเก็บลูกมะขามป้อมไปดองน้ำเกลือเอาไว้กินเล่น บางครั้งก็เอาไปดองกับน้ำผึ้งเพื่อทำยา ไม่เพียงแต่คนป่าที่นิยม คนในเมืองก็ชอบนำมาแช่อิ่ม ก็เห็นมีวางขายอยู่ทั่วไป

“ไหนล่ะห้างที่น้าเบขัดไว้?”สิงห์ร้องถามพรานเบที่ตอนนี้กำลังคลี่ห่วงเถาวัลย์

“โน่นไง บนต้นตะแบก ที่ขึ้นติดกับหน้าผานั่น”พรานเบพูดพลางชี้มือ ไปยังตำแหน่งห้างที่ตัวเองขัดไว้

“โอ้โห้ ทำไมไปขัดซะสูงเชียว”สิงห์ร้องพลางยืนมองอย่างหวั่นๆ

“สูงๆสิดีสิงห์ ข้าไม่รู้ว่าไอ้จมูกยาวมันจะมาตอนไหน แถมตรงที่ข้าขัดไว้มันเหมาะ มองเห็นได้ทั่ว”พรานเบพูดจบก็ชวนสิงห์ขนข้าวของไปยังตำแหน่งห้างที่ขัดไว้
ห่างออกมาจากตำแหน่งของต้นมะขามป้อม ที่ตอนนี้ลูกของมันล่วงหล่นอยู่เกลื่อนกลาด ถัดมาประมาณเกือบสามสิบวา บริเวณหน้าผาชันตอนหนึ่งที่ตั้งเด่นเป็นกำแพงสูงทะมึน บริเวณนี้เองที่มีต้นตะแบกใหญ่ต้นหนึ่งขึ้นเบียดอยู่กับหน้าผานั้น โดยมีเถาวัลย์ขนาดใหญ่พันเป็นเกลียวขึ้นไปตามลำต้นของมัน มองดูแล้วรกรุงรัง แต่ก็มีผลดีมากกว่าผลเสีย เพราะมันเป็นที่บังไพรได้เป็นอย่างดี

          จากพื้นขึ้นไปไม่ต่ำกว่าสิบห้าเมตร ตรงส่วนที่เป็นกิ่งก้านขนาดใหญ่ ที่งอกยื่นไปเบียดกับหน้าผานั้น ตำแหน่งนี้เอง ที่มองเห็นแคร่ไม้ที่ถูกขัดไว้ไปมาระหว่างคาคบของต้นตะแบกใหญ่กับหน้าผาหินนั้น โดยมีเส้นเถาวัลย์เป็นตัวยึดลูกห้างขนาดต่างๆให้ติดแน่นเข้ากับกิ่งและคาคบของต้นตะแบก อีกด้านที่ติดกับหน้าผา บริเวณที่มีรอยแตกร้าวของผาหิน พรานเบใช้ปลายของไม้ที่ใช้ทำคานรองรับลูกห้าง เสียบเข้าไปขัดไว้ตามรอยแตกร้าวของช่องโหว่เหล่านั้น จึงทำให้ห้างที่พรานเบสร้างไว้ดูแข็งแรงเป็นพิเศษ โดยมีส่วนที่เป็นชะง่อนของหน้าผายื่นออกมาเหนือห้างอย่างพอดิบพอดี ราวกับว่าคนที่มาขัดไว้จงใจให้มันเสมือนเป็นหลังคากันแดดกันฝนเสียอย่างดี

“เข้าใจหาที่ขัดห้างนะน้าเบ แบบนี้ถ้าฝนเกิดตกขึ้นมาก็ไม่ต้องกลัวเปียก”สิงห์พูดพลางมองพรานของเขาอย่างศรัทธา

“ข้าเห็นตรงนี้มันเหมาะดี ก็เลยขึ้นไปขัดไว้ แต่ครั้งที่แล้วลูกมะขามป้อมมันยังไม่สุกดี เลยไม่ได้อะไร เดี๋ยวข้าจะขึ้นไปดูลูกห้างข้างบนก่อน เอ็งอยู่ข้างล่าง คอยส่งของให้ข้าก็แล้วกัน”พรานเบพูดจบก็ปีนไต่ไปตามเถาวัลย์ขนาดใหญ่ที่เกาะเกี่ยวระหว่างต้นตะแบกและหน้าผาอย่างรวดเร็ว เพียงอึดใจพรานเบก็ไปนั่งเด่นอยู่บนห้างนั้น

“เอ๊า สิงห์ ส่งลูกห้างมาให้ข้าหน่อย” พรานเบร้องบอกมาจากข้างบน พูดจบแกก็โยนปลายเถาวัลย์ด้านหนึ่งมาให้สิงห์ เพื่อใช้ผูกกับลูกห้างสามสี่ลูก จากนั้นพรานเบก็ค่อยๆชักรอก ลูกห้างขึ้นไป โดยทำแบบนี้อยู่สามครั้งลูกห้างที่แบกกันมาหลายสิบท่อนก็ถูกลำเลียงขึ้นไปกองอยู่บนห้างจนหมด

          หลังจากซ่อมแซมลูกห้างที่ผูกขัดไว้จนแน่ใจว่า ไม่มีลูกห้างท่อนไหนขยับได้ และแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักของคนสองคนได้อย่างสบาย พรานเบก็ให้สิงห์ส่งสัมภาระต่างๆ ด้วยวิธีเดิมคือการใช้เถาวัลย์ค่อยๆชักรอกขึ้นไป ที่ละอย่างสองอย่าง เพียงไม่กี่เที่ยว สิ่งของต่างๆก็ถูกลำเลียงขึ้นไปไว้บนห้างจนหมด จากนั้นพรานเบก็ร้องบอกให้สิงห์ปีนขึ้นมาสมทบ

          บรรยากาศโพล้เพล้ ใกล้สนธยาลงทุกขณะ ท้องฟ้าจากเดิมที่พอจะมองเห็นเมฆที่ลอยอยู่เหนือยอดเขา บันนี้กลับตรงกันข้าม เสียงไก่ป่าที่ขันเจื้อยแจ้วเมื่อตอนใกล้ค่ำบัดนี้ก็เงียบเสียงลง โดยมีแมลงกลางคืน จากที่เงียบกริบมานาน พอแสงสว่างถูกกลืนหายไป เหล่าแมลงไพรก็พากันกรีดปีกเซ็งแซ่ระงมป่า เช่นเดียวกับสัตว์ป่าบางชนิด ที่เมื่อยามฟ้าสาง พวกมั นก็พากันหลบนอนตามสุ่มทุมพุ่มไม้ในดงทึบ แต่พอเริ่มเย็นย่ำ พวกมั นก็พากันออกมาท่องเที่ยวหากินกันอย่างเริงร่า

“กี่โมงแล้วสิงห์”พรานเบกระซิบถาม

“อีกสิบสองนาที หนึ่งทุ่มครับ”พรานสมัครเล่นกระซิบตอบ

“โชคดีที่มากันทันเวลา ถ้าช้ากว่านี้คงจะลำบากน่าดู”พรานหนุ่มพูดตอบด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา

“ข้าจะคอยส่องไฟให้เอ็งก็แล้วกัน ถ้าเกิดเจอตัวอะไรเข้ามากินลูกไม้”พรานชำนาญไพรพูดจบก็เอื้อมมือไปหยิบกระบอกไฟฉายในย่าม ที่ตัวเองเอาไปซุกไว้ในชะง่อนหิน

“อย่าเลยน้าเบ ขืนให้ผมยิง สงสัยคงได้นั่งห้างกันฟรี”สิงห์ปฏิเสธ

“แล้วแต่เอ็งก็แล้วกัน งั้นเอ็งคอยส่องไฟให้ข้าดีๆล่ะ”พรานนำทางพูดจบ ก็ยื่นไฟฉายให้พรานหนุ่ม

“น้าเบคิดว่าพวกมั นจะลงมากินลูกไม้กันเมื่อไหร่”สิงห์กระซิบถาม

“มันแล้วแต่จังหวะ ข้าก็เดาไม่ถูก บางทีถ้านั่งกันเงียบๆหัวค่ำก็อาจจะมา แต่บางทีกว่าจะมาก็โน่นล่ะสี่ห้าทุ่ม ใกล้สว่างก็มีอยู่บ่อยครั้ง เอาแน่เอานอนกับพวกมั นไม่ได้ อย่าเผลอนั่งหลับก็แล้วกัน”พรานเบกระซิบตอบ

          สรรพสำเนียงที่ขับกล่อมไพร ในยามราตีกาล กู่แว่วผสานเสียงกันเซ็งแซ่ ทั้งจิ้งหรีดหมู่แมลงนานาชนิด ที่พากันกรีดปีกอยู่ตามแนวป่า คละเคล้ากับเสียง งึมงำ ของอึ่งป่า ที่แว่วเสียงมาจากในลำห้วยเบื้องล่าง หิ่งห้อยหลายสิบตัว พากันเปล่งแสงสีเขียวเรืองๆ วูบวาบ บินสูงๆต่ำๆ ตามยอดไม้ จากหนึ่งทุ่ม เป็นสองทุ่ม ที่ชายทั่งสองยังคงนั่งจับเจ่า อยู่บนห้างอย่างใจจดใจจ่อ แรกๆอาจเป็นเพราะความตื่นเต้นของพรานมือใหม่ จึงทำให้กระตือรือร้น ที่คอยเฝ้าการเคลื่อนไหวของสัตว์ซึ่งอาจจะแผ้วผ่านมา แต่เงี่ยหูฟังเท่าไหร่ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม นอกจากเสียงกรีดปีกของแมลง ที่พากันส่งเสียงอยู่ตามพุ่มไม้เบื้องล่าง

          ยิ่งดึกสงัดลงเท่าใด ความเงียบก็เริ่มกร่ำกราย หมู่แมลงที่เคยกรีดปีกกันแซด ก็พากันเงียบเสียงลงทุกขณะ โดยมีเสียง หวีดหวิว ที่ดังมาจากหน้าผาด้านบน ครางอู่ มาเป็นระยะๆ พร้อมกับกระแสลมที่พัดมาเอื่อยๆ ทำให้บรรยากาศเย็นยะเยือกและวังเวงลงไปอีก จนสิงห์ต้องนั่งห่อตัวกับเสื้อแจ็คเก็ต เพราะบรรยากาศที่เงียบและอากาศที่เย็นลงทุกขณะ จากที่เคยตาสว่างก็เริ่มมีอาการง่วงเหงา บ่อยครั้งที่พรานหนุ่มต้องคอยสะบัดหน้าไล่ความง่วง แต่สำหรับพรานเบแล้ว อาการเหล่านี้ไม่มีปรากฏให้เขาเห็นเลย นอกจากนานๆครั้งจะขยับแข้งขยับขาแก้เมื่อยขบ

          ครั้นแล้วสิงห์ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่ออยู่ๆบนยอดตะแบกเหนือหัว ก็มีอาการสั่นไหวขึ้น จนเศษกิ่งไม้แห้งเล็กๆร่วงกราวลงมา คล้ายๆว่ามีตัวอะไรบางอย่างขยับไต่ไปมาตามกิ่งตะแบกนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ เพราะมองไม่เห็นอะไรมากนัก นอกจากเงาตะคุ่มๆสีดำ ที่ตัดกับท้องฟ้า ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาวระยิบระยับ ในจังหวะที่สิงห์ ทำท่าจะส่องไฟฉายไปยังตำแหน่งของสัตว์ปริศนานี้เอง พรานเบก็เอามือแตะแขนของสิงห์ไว้

“บ่าง”พรานเบกระซิบบอก

“สงสัยมันจะลงมากินลูกมะขามป้อม”พรานชำนาญไพรกระซิบมาอีก

“ไอ้บ่างผี เล่นเอาผมตกใจหมดกำลังคิดอะไรเพลินๆ”สิงห์กระซิบตอบ

          เจ้าบ่างปริศนา ที่ไม่รู้ว่ามันร่อนมาจากทิศทางใด อยู่ๆก็ร่อนมาเกาะเอายังตำแหน่ง ที่ตัวมันเองก็คงไม่สำเหนียกเลยว่า ภายใต้ซุ่มไม้ที่มันมาเกาะอยู่นั้น จะมีมนุษย์เฝ้ามองมันอยู่ หลังจากจดๆจ้องๆอยู่อึกใจ เสียงกรุบกรับ ของบ่างขนาดใหญ่ หรือพญาบ่าง ที่ไต่ไปตามกิ่งไม้ ที่ยืดชี้ไปทางต้นมะขามป้อม ก็กระโจนพรวดไปยังตำแหน่ง ของอาหารมื้อค่ำของมัน เสียงดัง พรึบ ของพังผืดที่เปรียบเสมือนปีกอันใหญ่โตของมันถูกกางขึ้น ก่อนที่จะมีเสียงดังซ่า ของต้นมะขามป้อม ที่ยอดของมันด้านหนึ่งไหวฮวบลง พร้อมๆกับเสียงของลูกมะขามป้อม ที่ล่วงหลนลงพื้นดังกราวไปหมด เพราะแรงปะทะของมัน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไม่กี่นาที ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง......

.....
ผมเองครับ ที่เห็นสะพายปืน ไม่ได้ไปล่าสัตว์ที่ไหนนะครับ เป็นทริปกิจกรรมหนึ่งที่ผมจัดไปเดินป่า ปืนที่นำไป นอกจากเอาไปป้องกันตัวแล้ว ส่วนหนึ่งนำมาให้สมาชิกได้ทดลองยิงปืน(เป้าที่ไม่มีชีวิต)


ลุงโส่ยกับท่อนซุงเก่าแก่


ที่ล่ากันก็มีพวกนี้ครับ ผัก กุ้ง หอย ปู ปลา กบ เห็ด


อันนี้เป็นเมนู ที่ผมก็เพิ่งเคยกินครับ อารมณ์เดียวกับแกงส้ม แต่น้ำมันจะใสกว่า มีปลา กุ้ง ปู ผักก็มี ใบพริกนก(ที่ขึ้นตามป่า) แล้วก็ลูกไม้ป่าชนิดหนึ่ง ผมก็จำไม่ได้ว่าลูกอะไร ลูกสีเหลืองๆ ถ้าตอนอยู่บนต้นมองแว๊บๆคิดว่าฝรั่ง แต่เวลามันตกลงมา จะแตกเหมือนเราเอามีดผ่าผลแอปเปิ้ล รสชาติเปรี้ยวครับ



Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #2 on: 22 April 2021, 09:49:08 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 ตอนที่ 3


บทที่ 6

ตอนที่ 6.3

          ยิ่งดึกสงัดลงมากขึ้นเท่าไหร่ อากาศรอบกายก็ดูจะเลวร้ายมากขึ้นเท่านั้น จากที่ว่านอนพักกันบนพื้นบริเวณแค้มป์ ขนาดว่ามีกองไฟก่อแก้หนาว ก็ยังหนาวเสียจนคางสั่น แต่นี่มานั่งหัวเด่กันบนยอดไม้ แถมยังมีลมพัดซ้ำมาอีก ถึงจะพัดไม่แรงนัก แค่เอื่อยๆ แต่ความเย็นยะเยือกนี่สิ มันช่างทรมานสังขารอย่าบอกใคร ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว ที่ชายหนุ่มปรับเปลี่ยนท่านั่งเพราะความเมื่อยขบจนแทบจะเป็นตะคริว ด้วยความหนาวเหน็บไปยันไขกระดูก ถึงเวลานี้ถุงนอนที่อุตสาห์แบบมาด้วยก็ได้ใช้งาน จากผืนผ้าที่แลดูเป็นถุงกระเปาะขนาดใหญ่ ที่ชายหนุ่มสามารถเข้าไปนอนขดได้อย่างสบาย ตอนนี้มันคอยๆถูกคลี่กางออก กลายเป็นผ้าห่มผืนกว้าง พรานหนุ่มไม่รังเกียจที่จะแบ่งปันความอบอุ่นให้กับพรานต่างวัย ซึ่งมีเพียงแค่ผ้าขาวม้าผืนเดียวคลุมตัวอยู่

“แบ่งๆกันห่มน้าเบ เห็นหรือยังว่าผมคิดถูกที่เอาถุงนอนขึ้นมาด้วย”พรานหนุ่มผู้มีน้ำใจกระซิบขึ้นแผ่วเบา

“เมื่อคืนก่อน ยังไม่หนาวขนาดนี้เลย”พรานเบกระซิบตอบ พูดจบก็ดึงปลายของถุงนอนอีกด้านที่สิงห์ส่งให้ ไปคลุมตัว

“ดีนะ ที่ผมเอาเปลสนามมารองก้น ถ้าไม่ติดมาด้วยสงสัยนั่งปวดก้นตายแน่เลย”สิงห์พูดเชิงกระซิบ แต่ไม่ทันที่สิงห์จะเอ่ยอะไรได้ต่อ พรานเบก็เอามือแตะสิงห์เป็นสัญญาณให้เขาเงียบ

          ภายใต้เสียงกรีดปีกของเหล่าแมลงไพร ที่ตอนนี้เริ่มเบาบางลงไปมาก ภายใต้เสียงอันแผ่วเบานั้น มีเสียงอะไรบางอย่างซ่อนเร้นปะปนไปกับเสียงแมลง ถึงมันแทบจะแยกไม่ออก แต่พรานชำนาญไพรอย่างพรานเบก็สามารถจำแนก เสียงปริศนานั้นได้ ซึ่งสิงห์เองก็พยายามเงี่ยหูฟังแล้ว ก็ไม่สามารถแยกแยะอะไรออกเลย นอกจากเสียงแมลงที่กรีดปีก แต่อึดใจต่อมาเขาก็พอจะแยกได้ว่า มีบางอย่างกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างเชื่องช้า

          เสียงหินพลิกดัง กึกกัก จากชายเนินเบื้องหน้า แว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ บางครั้งก็มีเสียงร่วงกราวของก้อนหินขนาดเล็ก ที่ร่วงกรูลงมาเบาๆ บางครั้งก็มีเสียงเหมือนมันกระโจนข้ามอะไรบ้างอย่างดัง ตุบ ฟังได้ยินถนัด ใกล้เข้ามาเรื่อยๆแต่เจ้าของเสียงนั้นยังมีท่าทีจดๆจ้องๆ อะไรบางอย่าง แต่ชั่วเวลาไม่นานนักก็ได้ยินเสียงเคี้ยวลูกไม้ที่มีลักษณะแข็งดังกรุบกรับ

          เก้งหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่หิวโหย หลังจากหลบนอนในดงทึบมานานเมื่อตอนฟ้าสาง พอเย็นย่ำลงก็ดีใจ ที่จะได้ท่องเที่ยวออกหากินในดงกว้าง หลังจากได้ลิ้มรสของลูกไม้ป่ามาเมื่อคืนก่อน จึงทำให้อดที่จะติดใจเสียไม่ได้ ราตรีนี้ก็คงจะเหมือนกับราตรีที่ผ่านๆมา เจ้าเก้งหนุ่มเดินเหยาะย่างกายฝ่าความมืดมาตามลำพัง ตาก็คอยสอดส่องไปรอบๆอย่างละแวกระวังภัย หูที่ตั้งตรงอยู่ตลอดเวลาคอยจับผิดเสียงที่แปลกปลอมอยู่รอบทิศ  ท่ามกลางแสงดาวที่ฉายแสงอาบตามเรือนยอดไม้จนเป็นมันขลับ กลิ่นหอมรัญจวนใจ ของลูกไม้ป่า ที่หล่นกลาดเกลื่อนอยู่เต็มพื้น ทำให้ห้ามใจตัวเองไม่อยู่ รสหอมหวานที่คุ้นเคย ได้ลิ้มรสมาแบบไหนมันก็ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ลูกไม้ป่าผลแล้วผลเหล่าที่ถูกกลืนกินเข้าไปอย่างเอร็ดอร่อย ทำให้เจ้าเก้งหนุ่มเพลิดเพลินกับลูกไม้ป่าเหล่านั้น จนทำให้มันลืมตัวไปชั่วขณะ

          ทันใดนั้นเอง เมื่อมีลำแสงประหลาด ส่องสว่างจ้ามาจากยอดไม้ เจ้าเก้งหนุ่มจ้องมองแสงนั้นด้วยความมึนงงและพิศวง อารามด้วยความแปลกใจระคนตกใจ สัญชาตญาณบางอย่างบอกให้มันต้องรีบหนี ในจังหวะที่มันกำลังกระโจนเผ่นหมายเข้าไปหลบซ่อนตัวจากลำแสงประหลาด ในพุ่มรกเบื้องหน้า กัมปนาทก็แผดเสียงกึกก้องราวกับฟ้าถล่ม พร้อมๆกับร่างของมัน มีอาการสะดุ้งสุดตัว ราวกับมีมือยักษ์มาตบเข้าอย่างจัง ร่างของเก้งหนุ่มกระเด็นลงไปกองอยู่กับพื้น เหมือนร่างกายจะหมดเรี่ยวแรง มันพยายามผงกหัวและพยุงลำตัวที่โชกไปด้วยโลหิต เพื่อตะกายลุกขึ้นหนี แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอนใช้ขาหน้าข้างหนึ่งตะกุยดินและอากาศอยู่เช่นนั้น

          ในวินาที ก่อนที่มัจจุราชจะพรากวิญญาณออกจากร่างที่ทุกข์ทรมานของมัน  ดวงตาที่หรี่ซึมและหม่นหมอง ปรากฏคราบน้ำตา น้ำตาที่หลั่งไหลให้กับโลกมนุษย์ โลกที่โหดร้ายสำหรับมัน พอเสียทีกับการที่จะต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ จบเสียทีกับโลกที่โหดร้ายและป่าเถื่อน เจ้าเก้งหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายคิดออกมาเช่นนั้น ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดดับไปพร้อมกับความรู้สึกที่หลุดลอย

          เปลวไฟสว่างจ้า จากปลายไม้ขีดไฟ ที่ถูกจุดขึ้นท่ามกลางความมืดมิด พรานเบค่อยๆป้องประคองเปลวไฟนั้น ไปจ่อที่ปลายบุรี่ยาเส้นที่คาบอยู่ ก่อนที่เปลวไฟนั้นจะถูกม้วนไหวตามแรงดูด จนได้ยินเสียงปะทุไหม้ของยาเส้นและใบจาก เพียงแค่แสงไฟจากไม้ขีดก้านเล็กๆก้านเดียว ในความมืดมิดเช่นนี้ แต่ประกายแสงของมันก็ทำให้บริเวณนั้นสว่างจ้า พอที่จะมองเห็นหน้าคนทั้งสองที่มีเหงื่อไคลเกาะอยู่จนเป็นมันขลับ

“เห็นที่แรกคิดว่าหมู”พรานมือใหม่พูดด้วยน้ำเสียงปกติ

“ตาหมูมันไม่สู้ไฟแบบนี้หรอก”พรานเบตอบ พูดจบก็สูบบุรี่ยาเส้นจนแก้มตอบ

“คืนนี้จะมีตัวอะไรเข้ามาอีกหรือเปล่า”สิงห์ถาม

“อย่างเก่ง ก็ชะมด อีเห็น หรือไม่ก็บ่าง”พรานเบตอบเสียงราบเรียบ

“แล้วจะทำยังไงกับมันดี แบกมันขึ้นมาไว้บนนี้ก่อนดีหรือเปล่าน้าเบ”สิงห์ร้องถาม ขณะที่ยังใช้ไฟฉายส่องไปที่ซากเก้งที่ยิงได้

“เอาไว้แบบนั้นล่ะ พรุ่งนี้เช้าค่อยแบกกลับ”พรานเบร้องตอบ

“แล้วไม่กลัวตัวอะไรมันลากไปกินเหรอ?”สิงห์ถาม พรานผู้ลั่นกระสุน

“ไม่มีตัวอะไรมันกล้ามาลักกินหรอก เสียงปืนดังขนาดนี้ อย่างเก่งก็อีเห็นจะแอบเข้ามาแทะกิน”พรานเบพูดจบก็ใช้นิ้วที่คีบม้วนบุหรี่อยู่ เคาะไปที่ลูกห้าง เพื่อเขี่ยขี้เถ้าที่เกาะอยู่บนปลายบุหรี่ทิ้ง

“ถ้ามันกล้ามาลักกิน ก็โดนลูกเบอร์ เก้าเม็ดของข้าอีกลูกแน่”พรานเบพูดจบ ก็ยกบุหรี่ขึ้นมาสูบจนปลายแดงวาบ

“คิดว่าจะมานั่งฟรีเสียแล้ว น้าเบก็หูดีใช่เล่น”สิงห์ร้องตอบ พูดจบก็ยกกระติกน้ำขึ้นมาดื่ม และมันเป็นการดื่มน้ำครั้งแรก นับตั้งแต่ขึ้นมานั่งบนห้างแห่งนี้ไม่ต่ำกว่า สี่ชั่วโมง

“กี่โมงกี่ยามแล้วล่ะ”พรานเบร้องถาม ขณะที่กำลังจะหักลำกล้องของปืนลูกซอง โดยพรานเบหันส่วนที่หักเข้าหาตัว เพื่อทำการเปลี่ยนเอาปลอกลูกปืน ที่ยิงแล้วออก ซึ่งขั้นตอนนี้แกค่อยๆหักลำกล้องไม่ให้ส่วนที่เป็นกลไกดีดปลอกลูกปืนเก่าออกมา  เพราะกลัวว่าเวลาปลอกเก่าถูกดีดกระเด็นออกมาแล้ว จะตกหล่นหาไม่เจอ แกจึงค่อยๆใช้ปลายมีดเหน็บแงะมันออกมาแทน โดยเจ้าตัวบอกว่าจะเก็บปลอกลูกปืนนี้ไว้ให้พรานพร เพื่อใช้อัดทำลูกปืนเอาไว้ใช้ยิงนกยิงไก่

“เที่ยงคืนครึ่งพอดี”สิงห์ร้องตอบ พูดจบก็อ้าปากหาว

“ถ้าเอ็งง่วงก็นอนเสีย ประเดี๋ยวข้าก็จะนอนแล้วเหมือนกัน”พรานเบพูดจบก็ยัดลูกปืนลูกซองลูกใหม่เข้าไปในรังเพลิง แล้วหักลำกล้องลงในตำแหน่งเดิมดัง กริ๊ก

“สรุปลูกกรดที่ผมแบกมาด้วย สงสัยจะไม่ได้ใช้งาน”สิงห์พูดพลางใช้มือลูบลำกล้องปืนคู่กายของเขา ซึ่งตอนนี้เย็นเฉียบราวกับก้อนน้ำแข็ง

“ถ้ากระจงมันเข้า ช่วงเช้ามืดอาจได้ยิงก็ได้ ครั้งที่แล้วมันมากินลูกมะเดื่อ ที่ไอ้พรมันนั่งไว้ แต่ก็ยิงไม่ได้ ถ้ามีปืนลูกกรดของเอ็งวันนั้น คงได้ตัว”พรานเบพูดพลาง ใช้ผ้าข้าวมาเช็ดบริเวณลำกล้องปืนคู่ชีพของแก

“ไม่เอาปืนลูกซองยิงเลยล่ะ ดีไม่ดีอาจจะได้มากกว่าหนึ่งตัว”พรานหนุ่มเสวนาตอบ

“ถ้าลูกปรายก็พอได้อยู่ แต่วันนั้นมันติดไปแต่ลูกเบอร์เก้าเม็ด ลูกหกสิบเจ็ดสิบไม่ได้ติดไปเลย ขืนยิงก็เละเป็นขี้”พรานเบพูดจบก็หัวเราะในลำคอ หึหึ

“นกหนูก็ยังดี จะได้ไม่แบบปืนมาให้เสียเที่ยว”สิงห์ร้องบอก พูดจบก็นั่งเอนหลังไปพิงกับลำต้นของต้นตะแบกใหญ่

“บ่าง อีเห็น ชะมด เอ็งค่อยจ้องให้ดีเถอะ ดีไม่ดีเดี๋ยวก็เข้า”พรานเบร้องบอก ขณะนั่งชันขาอยู่ข้างๆ

“ถ้ามันมา ข้าจะคอยส่องไฟให้เอ็งก็แล้วกัน”พรานเบร้องตอบ พูดจบก็ยกกระบอกน้ำขึ้นมาจิบบ้าง

“จะยิงถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้ กลางคืนมืดๆแบบนี้เล็งไม่ค่อยจะเจอศูนย์ปืน”สิงห์พูดพลางสายหัว
จริงอย่างที่เขาบอก การที่จะเล็งศูนย์ปืนของเขา มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าเป็นช่วงเช้าหรือสว่างก็ทำได้อย่างสบาย แต่ในเวลากลางคืนเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่มืออาชีพจริงๆบอกคำเดียวเลยว่ายาก เพราะกว่าจะเล็งให้ศูนย์หน้าตรงศูนย์หลังได้ก็คงลำบากหน้าดู แถมบางทีสัตว์ที่จะยิง ก็ไม่ได้ยืนนิ่งๆเหมือนนกเกาะขอนนอนเสียเมื่อไหร่ แต่คิดในแง่ดี มันก็เป็นการไม่เอาเปรียบสัตว์ที่จะล่าจนเกินไปนัก เพราะของแบบนี้มันวัดกันด้วยฝีมือ ครั้นจะติดกล้องก็เอาเปรียบสัตว์จนเกินไปแถมยังเกะกะเสียมากกว่า แต่เดี๋ยวนี้พรานสมัยใหม่มีเยอะ  จริงๆจะเรียกว่าพรานก็ไม่ถูก น่าจะเรียกว่าผลาญเสียมากกว่า เพราะนอกจากกล้องราคาแพงที่ติดบนปืนกระบอกงามแล้ว ดีไม่ดีติดเลเซอร์เข้าไปอีกก็เห็นอยู่ออกบ่อย ในยุคสมัยที่มีเทคโนโลยีใหม่ๆแบบนี้ ลำพังถ้ายิงเป้าเล่นเป็นกีฬาก็ยังพอคุยกันได้ไม่ผิดกติกา  แต่ถ้าเอาไปล่าสัตว์ล่ะก็มีเท่าไหร่ก็ไม่เหลือ

“ถูกไม่ถูกก็แล้วแต่ดวง หรือเอ็งจะเอาปืนของข้าไปลองยิงดูก็ได้”พรานเบเสนอความคิด พร้อมส่งปืนลูกซองเดี่ยวคู่กายให้สิงห์

“โอย ไม่ไหวหรอก น้าเบ! ล่อลูกสองแรงสามแรงขนาดนั้น ตัวเล็กๆอย่างผมมีหวังโดนถีบตกห้างตายห่ า”สิงห์รีบปฏิเสธคำเชิญ

          อากาศเย็นยะเยือกและเงียบสงัด นานๆครั้งก็ได้ยินเสียงสัตว์ป่าร้องกู่ในยามวิกาลอยู่ไกลๆ เสียง พล๊อกๆ เหมือนสุนัขเห่า ดังอยู่ในหุบหรือบนเขาที่ใดสักแห่ง ซึ่งพรานหนุ่มก็เดาไม่ออกว่าเป็นเสียงนกหรือเสียงสัตว์ชนิดใด แต่ก็หมดข้อสงสัย เพราะพรานเบบอกว่าเสียงที่ได้ยิน เป็นเสียงเก้งร้อง มันคงตกใจอะไรบ้างอย่าง เพราะได้ยินมันร้องอีกไม่นานเสียงนั้นก็เงียบไป บรรยากาศเริ่มเงียบสงัดอีกครั้ง แม้กระทั้งใบไม้ก็ไม่มีอาการกระดิกกระเดี้ยเลย เพราะไม่มีลมที่เคยพัดเช่นเคย แต่ก็น่าแปลกใจเพราะแทนที่ความหนาวเย็นจะบรรเทาลงบาง มันก็ไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะยิ่งดึกมันก็ยิ่งทวีความหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆ

          ไม่รู้ว่าชายทั้งสอง ใช้เวลาและสมาธิเฝ้าฝังเสียงใต้ห้างเบื้องล่างไปนานเท่าไหร่ ไม่อาจจะทราบได้ แต่เพราะด้วยอากาศที่หนาวเย็นบวกกับความเงียบขนาดได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาเดินดัง ติ๊กๆ อาการง่วงเหงาก็แทรกเข้ามาแทนที่ ในเมื่อไม่มีตัวอะไรเข้ามาใต้ห้างของพวกเขาอีกเลย นอกจากหนูท้องขาวสองตัวที่เข้ามาแทะกินลูกมะขามป้อม จะนั่งตาแข็งต่อไปก็เสียเวลาเปล่า พรานเบจึงบอกให้พรานหนุ่มขยับหาที่นอน ซึ่งสิงห์เองก็ไม่ปฏิเสธเพราะชักจะทนง่วงต่อไปไม่ไหว ขึ้นชื่อว่าคนป่าคนดอย กินง่ายอยู่ง่าย สงสัยจะจริง เพียงไม่กี่อึดใจ พรานเบก็นั่งหลับนกไปแล้ว ปล่อยให้สิงห์ยังมะรุมมะตุ้มอยู่กับเสื้อแจ็คเก็ตและปลายถุงนอนอีกด้านของเขา บวกกับพื้นที่นั่งนั้นไม่ได้ราบเรียบเหมือนพื้นดิน เพราะมันเป็นลูกห้างที่ถูกปูเหมือนลูกระนาด จึงทำให้จะนั่งจะนอนก็ไม่ถนัด เพราะต้องคอยขยับเปลี่ยนท่าอยู่บ่อยๆ กว่าเขาจะขยับได้ที่ ที่เหมาะก็ใช้เวลาอยู่นานโข

          พรานเบคงหลับไปนานแล้ว เพราะได้ยินเสียงกรนออกมาเบาๆ ส่วนสิงห์เองหลังจากยึดลำต้นของตะแบกใหญ่ ที่ขัดห้างนั้นเป็นที่พิงหลังนอน ก่อนที่จะหลับตานอน ชายหนุ่มก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้อย่างหนึ่ง ภายในกระเป๋าเสื้อแจ็คเก็ตด้านซ้ายของเขา ชายหนุ่มล้วงมือข้างขวาเข้าไปยิบอะไรบ้างอย่าง อะไรชนิดหนึ่งที่ตอนนี้สภาพของมันได้เปลี่ยนแปรไปจากเดิม อะไรชนิดนั้นคือ ดอกช้างกระ ดอกนั่นนั้นเอง ที่เขาคว้าไว้ได้ก่อนที่มันจะหลุดลายไปตามกระแสน้ำ ตอนนั้นมันยังสดอยู่ ถึงจะมองไม่เห็นว่าตอนนี้มันจะมีสีสันและสภาพเป็นอย่างไร แต่การสัมผัสด้วยมือก็พอจะรู้ว่า ต้อนนี้มันแห้งเหี่ยวจนแทบจะกรอบลงไปทุกที

          ด้วยความอยากรู้ว่ายังพอจะหลงเหลือกลิ่นหอมอยู่บ้างหรือไม่ ชายหนุ่มยกดอกช้างกระดอกนั้นขึ้นมาดมอย่างลืมตัว ที่หน้าประหลาด คือกลิ่นของมันยังคงอยู่ ซึ่งมันไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากกลิ่น ที่เขาเคยได้กลิ่นของมันเมื่อครั้งแรก หลังจากพิจารณาตามที่ตนต้องการแล้ว เขาก็บรรจงหย่อนมันกลับเข้าไปอยู่ที่เดิมเช่นเคย จะด้วยความเงียบและความง่วง หรืออากาศที่เย็นยะเยือกไม่ทราบได้ ทำให้ชายหนุ่มกำลังเคลิ้มๆจะหลับ ทันใดนั้นเขาก็มีความรู้สึกว่า มีแสงอะไรบางอย่างส่องวูบวาบเข้ามาแยงตา ทีแรกคิดว่าพรานเบคงตื่นขึ้นมาส่องไฟ เพื่อดูความเรียบร้อยของซากเก้ง เพราะก่อนที่จะนอน เห็นแกทำแบบนี้อยู่สองสามครั้ง จึงไม่นึกเอะใจอะไรนัก คิดว่าอีกสักพักพรานเบก็เข้านอน แต่ชั่วอึดใจต่อมา เหมือนหูของเขาจะแว่วเสียงดัง เปรี๊ยะ เหมือนฟืนที่กำลังไหม้ไฟอีกหลายครั้ง ก็ชักจะนึกเอะใจ ใช่แล้วมันเป็นเสียงของฟืนที่กำลังไหม้ไฟจริงๆด้วย เพราะนอกจากเสียงและแสงที่ส่องสว่างแล้ว กลิ่นควันไฟและไออุ่นจากกองไฟยังมาสัมผัสร่างกายของเขาได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างพิศวง แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจจนลุกขึ้นพรวดพราดขึ้นมายืนอย่างลืมตัว!!

พญาบ่าง


อีเห็นธรรมดา


ชะมดแผง


พรานเฒ่าเตรียมตัวไปส่องกบ



Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #3 on: 22 April 2021, 09:54:43 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 ตอนที่ 4


บทที่ 6

ตอนที่ 6.4 (จบ)

          กองไฟขนาดย่อม ถูกก่อขึ้นบริเวณรานหินเรียบตอนหนึ่ง ซึ่งไม่ห่างจากบริเวณที่เขาเอนกายนอนพัก แทนที่จะเป็นบนห้าง แต่บัดนี้มันกลับกลายเป็นพื้นกรวดและก้อนหินขนาดเล็ก แถมเบื้องหน้ายังมีลำห้วยไหลผ่าน เสียงของน้ำไหลยังได้ยินถนัดหู ซึ่งบริเวณนี้มันก็ดูคุ้นหูคุ้นตายังไงชอบกล พอเขาหันหลังกลับไปดูตำแหน่งที่คิดว่าน่าจะเป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของลำต้นของตะแบกใหญ่ที่เขาใช้อิงหลังนอน ภาพที่เข้าเห็นทำเอาเข่าแทบอ่อนเกือบจะทรุดลงไปกองกับพื้น เหมือนขาจะไม่มีแรงประคองให้ยืนอยู่ได้

          ต้นตะเคียนยักษ์ต้นนั้นเอง มันเป็นไปได้อย่างไร จะว่าตาฝาดก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะแสงไฟจากกองฟืนที่ถูกจุดสุมอยู่นั่น ก็ส่องสว่างพอที่จะเห็นรายละเอียดต่างๆได้ชัดเจน และถ้าเขาจำไม่ผิด ตะเคียนยักษ์ต้นนี้ มันก็เป็นต้นเดียวกันกับต้นที่เขาและพรานเฒ่าเคยมาดักลอบไว้ และบริเวณนี้เอง ที่หล่อนคนนั้นมาปรากฏตัว และเข้ามาสนทนาด้วย

          สติที่พอจะหลงเหลืออยู่บ้าง สั่งให้เขาร้องเรียกพรานเบออกไปสุดเสียง แต่ดูเหมือนว่ามันปราศจากความหมายใดๆ เพราะตอนนี้พรานเบได้อันตรธานไปไหนแล้วก็ไม่รู้ รวมทั้งสิ่งของต่างๆก็พลอยล่องหนไปด้วย เวลานี้ มีเขาเพียงลำพัง ปืนผาหน้าไม้หรืออาวุธอะไรก็ไม่มีติดตัวอยู่เลย แม้แต่ถุงนอนที่ใช้ห่มก็หายสาบสูญ ที่มีติดตัวเขาอยู่บ้างก็เห็นจะมีเสื้อแจ็คเก็ต ที่ยังสวมใส่อยู่เป็นปกติดี

“ท่านอย่าได้ตกใจ หรืออย่าได้เป็นกังวลอะไรเลย”เสียงหวานใสดังแว่วมาให้ได้ยิน พร้อมๆกับเสียงย่ำกรวดหินดังกรอบแกรบ ภายในเงามืดหลังต้นตะเคียนยักษ์

“ค..คุณ..! อีกแล้วหรือ”สิงห์ร้องถามออกไปด้วยเสียงตะกุกตะกัก พร้อมกับอาการสะดุ้ง

“ใช่คุณพลับพลึงหรือเปล่า”
แทนคำตอบ ท่ามกลางความมืดมิดหลังต้นตะเคียนยักษ์ ร่างของสตรีนางหนึ่ง ก็ค่อยๆปรากฏกายขึ้น หล่อนเดินทอดกายอย่างเชื่องช้า พร้อมๆกับรอยยิ้ม ก่อนที่จะมายืนเด่นตรงหน้าของชายหนุ่ม ซึ่งตอนนี้ระบบประสาทของเขาชาไปหมดทั้งตัว

“เราดีใจ ที่ท่านยังจดจำนามของเราได้”หญิงสาวที่มีนามว่า พลับพลึง ตอบขึ้นอย่างพอใจ พร้อมรอยยิ้ม

“แล้วนี่ ผมมาอยู่ที่ตรงนี้ได้ยังไง”ชายหนุ่มถามออกไป ซึ่งตอนนี้ก็บอกตัวเองไม่ถูกว่ามันเกิดเรื่องบ้าบออะไรขึ้นอีกกับตัวเขา

“ก็ท่านเองมิใช่ฤา ที่เป็นคนระลึกถึงเรา?”หล่อนยืนกอดอก ก่อนที่จะยื่นหน้าลงมาถามชายหนุ่ม ที่ตอนนี้ยังนั่งตัวแข็งทื่ออยู่กับพื้น

“ผมนี่นะ ที่คิดถึงคุณ?”

“ท่านจงตรองให้ดีเถิด บนห้างกลางป่านั่น”หล่อนช่วยฟื้นความทรงจำให้
สิงห์หลังจากอึ้งอยู่นาน ก็ทำหน้าขมวดคิ้วคิด แล้วบางอย่างก็ทำให้เขาพอจะนึกอะไรขึ้นมาได้ กลิ่นหอมจางๆ ที่ลอยคละเคล้ามาตามกระแสลมนี้เอง ซึ่งเหมือนจะเป็นตัวจุดประกาย ในการไขข้อปริศนาที่ว่า เพราะเหตุใดจึงนำพาตัวเขา มาพบกับหล่อนอีกครั้ง หล่อนคนที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่า เป็นคนหรือผี และเรื่องที่เกิดขึ้นนี้มันเป็นความจริง หรือเป็นเพียงความฝันกันแน่ ก็เพราะเมื่อก่อนที่ตัวเองจะเอนหลังนอนบนห้างนั้น ตัวเขาเองไม่ใช่หรือ ที่หยิบดอกช้างกระแห้งดอกนั้นขึ้นมาดม และก็คงจะปฏิเสธหรือโกหกตัวเองไม่ได้ว่า ในระหว่างที่กำลังดมดอกกล้วยไม้ป่าดอกนั้น ในเสี้ยววินาที ที่ได้กลิ่นนี้ ทำให้เขาคิดถึงหล่อนขึ้นมาทันที

“ท่านพอจะคิดออกหรือยัง”หล่อนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“ท่านจงอย่าเกรงกลัวเราเลย  เราไม่คิดที่จะทำอันตรายใดๆกับท่านดอก”

“ตรงกันข้าม ในระหว่างที่ท่านกับเราได้พบกัน จะไม่มีภยันตรายใดๆ แม้แต่เหลือบไร ก็จะไม่มากล้ำกลายท่านเลย”กล่าวจบ หญิงสาวก็ค่อยๆหย่อนกายลงนั่งพับเพียบ ซึ่งตอนนี้มีเพียงกองไฟกองเล็กๆ กั้นกลางระหว่างเขาและหล่อน

        ท่ามกลางแสงสลัวของเปลวไฟที่ไหวโยกไปมา ร่างของหญิงสาวที่ดูผุดผ่อง ซึ่งตอนนี้ถูกอาบด้วยแสงไฟสีเหลืองนวล จมูก ปาก และดวงตาคมเข้ม ถูกประดับไว้บนใบหน้ารูปไข่อย่างสวยงาม รับเข้ากับเส้นผมที่ดูดำขลับเป็นมัน ยาวสลวยราวกับเส้นไหม แต่ตอนนี้มันดูตัดกับช่อช้างกระ ที่ถูกแซมทัดไว้เหนือหูข้างซ้าย ผิวกายที่นวลเนียนเข้ากับร่างกายที่ดูบอบบาง อ้อนแอ้น สไบสีเขียวอ่อนผืนเดิม ถูกห้อยคล้องปกปิดสองปทุมถันของหล่อนไว้อย่างหละหลวม แต่ในระยะใกล้เพียงแค่นี้ สไบบางๆผืนนั้น ก็ไม่สามารถปกปิดยอดประทุมถันทั้งสองของหล่อนไว้ได้เลย ชายหนุ่มซึ่งตอนนี้เห็นโดยไม่ได้ตั้งใจ รีบบ่ายสายตาไปทางอื่น

          ความกลัวและวิตกของชายหนุ่ม เริ่มผ่อนคลายลงไปมาก จากท่าที ที่เป็นมิตรของหล่อน ซึ่งมันก็แสดงให้เข้าเห็นตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกันเมื่อคืนก่อน หล่อนก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะทำร้าย หรือกระทำการณ์ใดๆที่จะเป็นการให้เกิดอันตรายกับเขาเลยแม้แต่น้อย  ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกปรอดโปร่งใจขึ้นมาก

“ผมคงกำลังหลับฝันไป”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นมาลอยๆ

“ท่านแน่ใจฤา ว่านี้เป็นเพียงแค่นิมิตของท่านเอง”

“ก็คงเพราะในโลกของความเป็นจริง ที่ไม่ใช่ความฝันแบบนี้ คงไม่มีผู้หญิงคนไหน จะใจกล้ามาอยู่ป่าอยู่ดงแบบนี้ตามลำพังหรอก”

“อาจจะเป็นเยี่ยงนั้นก็ได้”หญิงสาวเสวนาตอบ

“เรื่องนี้มันแปลกประหลาดมากสำหรับผม แต่ก็เอาเถอะครับ ไม่ว่ามันจะเป็นความจริง ที่ผมเองก็ไม่แน่ใจนัก หรือว่าความฝันก็ตามที”สิงห์เว้นวรรค

“คุณเองก็มาอย่างมิตรไมตรี ผมเองก็ไม่คิดที่จะทำร้ายคุณ หวังว่าเราคงเป็นเพื่อนกันได้นะครับ”

“ท่านรู้ได้เยี่ยงไร ว่าเราต้องการเป็นมิตรกับท่าน”หญิงสาวที่มีนามว่า พลับพลึง เลิกคิ้วถามพร้อมรอยยิ้ม

“ถ้าไม่มาอย่างมิตร ผมคงถูกทำร้าย หรือไม่ก็อาจจะพบเจอกับสิ่งที่น่ากลัวกว่านี้”สิงห์ตอบ

“ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเพียงแค่ความฝัน ผมก็มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รู้จักคุณพลับพลึง”ประโยคหลังสิงห์เอ่ยนามของหล่อน

“เราก็มีความยินดีเช่นกัน ที่ได้รู้จักและเป็นมิตรกับท่านสิงห์”ประโยคหลังหล่อนก็เอ่ยนามเขาชัดเจนเช่นกัน

“คุณอยู่คนเดียวแบบนี้ คุณคงจะเหงาและว้าเหว่น่าดูนะครับ”ชายหนุ่มถามไปจากใจจริง

“เราอยู่ตามลำพังมาจนชินชาแล้ว”หล่อนกล่าว แต่แอบมีแววตาเศร้าหมอง

“เพราะเหตุนี้ คุณจึงเลือกผม”

“หามิได้ เรามิได้เป็นผู้เลือกท่าน อย่างที่เราเคยบอกท่านไปแล้วว่า ดวงจิตของเรากับดวงจิตของท่าน บังเอิญสื่อถึงกันได้”หล่อนอธิบาย

“แล้วทำไม เมื่อครั้งที่ผมเคยมาท่องเที่ยวครั้งก่อนๆ ไม่เห็นเกิดเรื่องแบบนี้กับผมเลย”ชายหนุ่มกล่าวด้วยความสงสัย เพราะหลายต่อหลายครั้ง ที่เขาและคณะพราน ก็เคยออกท่องเที่ยวป่าผืนนี้อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ตัวเขาเองได้ผ่านมาทางนี้ แต่ถึงอย่างไร ป่าบริเวณนี้กับบริเวณอื่น มันก็เป็นป่าผืนเดียวกัน

“เราก็ตอบท่านมิได้เช่นกัน เพราะเหตุใด ณ เวลานั้น เรากับท่านจึงติดต่อกันเช่นนี้มิได้”หญิงสาวตอบ พูดจบหล่อนก็ลุกขึ้นยืน

“ผืนป่าที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ นับวันมันก็ลดน้อยลงไปทุกขณะ เราเองก็ถูกมนุษย์เหมือนท่าน รบกวนอยู่บ่อยครั้ง จนเราต้องถอยร่นเข้ามาอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้”หญิงสาวพูดจบ ก็จ้องมองฝ่าความมืดออกไปอย่างปราศจากความหมาย

“มนุษย์แบบผม? เขาไปทำร้ายหรือรบกวนอะไรคุณครับ”ชายหนุ่มร้องถาม ขณะยังจ้องมองหล่อนตาไม่กระพริบ

“ก็มนุษย์ผู้โหดร้าย ผู้ที่หักล้างเผ่าพันธุ์ของเราจนดับสูญ”คำพูดของหล่อนเศร้า ไม่แพ้ใบหน้าของหล่อนในตอนนี้

“เผ่าพันธุ์! นั้นแสดงว่าก็ไม่ได้มีคุณเพียงคนเดียวเหมือนที่คุณบอกผมสิ”สิงห์หันไปถาม

“ใช่”

“แต่มันก็นานมาแล้ว นานเสียจนเราเองก็มิอยากระลึกถึงความโหดร้ายและโหดเ หี้ยมเยี่ยงนั้นอีก”

“เล่าให้ผมฟังได้หรือเปล่าครับ”

“ได้สิ ถ้าท่านต้องการฟัง ถึงเรื่องราวที่โหดร้าย ที่มนุษย์แบบท่านได้กระทำกับพวกเราไว้” หญิงสาวกล่าวออกมา ขณะยังยืนเหม่อลอยอยู่เช่นนั้น แต่ในความมืดมิดเช่นนี้ บนใบหน้าของหล่อนปรากฏหยาดน้ำตา ซึ่งสิงห์เองที่เฝ้ามองอยู่ ถึงกับลุกขึ้นเพราะความตกใจ  เนื่องจากคาดไม่ถึงว่าหล่อนจะร้องไห้ออกมาให้เขาเห็น

“คุณ! คุณร้องไห้?”สิงห์พูดออกมาแผ่วเบา เหมือนผู้ถูกถามจะได้ยิน หล่อนค่อยๆใช้มือ ปราดคราบน้ำตาบนใบหน้าของหล่อน แต่ก็ยังหันหลังให้เขาอยู่เช่นนั้น เหมือนหล่อนจะพยายามกร่ำกลืนความขมขื่น ที่ทุกข์ทรมานอยู่ในใจมาเนินนาน

“เมื่อหลายร้อยขวบปีก่อน ซึ่งขณะนั้น เรายังเยาว์วัยอยู่มาก”

“เราเองก็มีบิดา มารดา อย่างมนุษย์แบบท่าน เรามีบ้านเรือน มีแหล่งพักพิงอาศัย ซึ่งเป็นนครใหญ่ แต่บ้านเมืองของเรา แตกต่างจากบ้านเรือนของท่าน”

“หมู่บ้านของคุณ..”ชายหนุ่มหยุดอยู่แค่นั้น

“นครของเรามีนามว่า วังตะเคียน เป็นนครเมืองใหญ่ มีเด็ก สตรี บุรุษ และผู้ชราภาพ ก็คงจะเหมือนกับบ้านเมืองของท่านในยุคปัจจุบันนี้”

“ที่เราบอกว่า บ้านเมืองของเรา แตกต่างจากของท่านก็เพราะ เรามิได้สร้างบ้านเรือนอย่างที่พวกท่านสร้างสรรค์มันขึ้นมา แต่เรือนของเราคือ เหล่าต้นตะเคียนใหญ่เช่นนี้” หญิงสาวพูดจบก็หันมามองต้นตะเคียนยักษ์ ที่ยืนต้นทะมึนอยู่ในเงาสลัวๆ ก่อนที่หล่อนจะเดินเข้าไปใช้มือลูบบริเวณลำต้นของตะเคียนยักษ์ จนคนที่กำลังยืนมองอยู่ ถึงกับอ้าปากค้าง

“เราอยู่กันอย่างสงบสุข โดยไม่เคยรุกราน สร้างความเดือดร้อน หรือสร้างความทุกข์ใจให้กับสิ่งใดบนผืนแผ่นดินนี้เลย นับจากมีเผ่าพันธุ์ของเราถือกำเนิด”

“พวกเราอยู่กันอย่างสงบสุข มิเคยทำร้าย หรือเข่นฆ่าสิ่งมีชีวิต พวกเรามิได้เสพเนื้อหนัง เยี่ยงมนุษย์อย่างพวกท่าน”

“แต่มันก็สงบอยู่ได้มินาน”หญิงสาวกล่าวออกมาด้วยแววตาที่เศร้าโศก

“หลายขวบปีหลังจากนั้น ก็มีมนุษย์เข้ามาสร้างภูเขาหินขนาดใหญ่ เข้ามากั้นขวางลำน้ำบริเวณสถานที่ของพวกเรา”

“คุณคงหมายถึงเขื่อน”ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา

“เรามิอาจรู้นามที่พวกท่านเรียกขาน ในสิ่งที่พวกท่านสร้างมันขึ้นมาว่าอย่างไร แต่สิ่งนั้นมันทำลายล้างพวกเราให้ย่อยยับดับสูญ”

“ญาติมิตรของเราต้องมีอันดับสลายพร้อมกับเหล่าตะเคียนยักษ์ ที่พวกเราอาศัยอยู่ ภายใต้เงาน้ำลึกหลังภูเขาหินลูกนั้น”

“บิดา มารดา ของเราได้สรญาณสมาธิ ที่ท่านทั้งสองบำเพ็ญเพียรมาเป็นเวลานาน เพียงเพื่อส่งดวงจิตของเราให้หนีพ้นออกมาจากบริเวณนั้น”

“ไม่มีใครรอดเลยหรือครับ”ชายหนุ่มกล่าวออกมาด้วยความสงสาร

“มีเพียงเราผู้เดียว หลังจากกระเสือกกระสน เอาดวงจิตรอดออกมาได้ โดยการชี้นำของดวงจิตของบิดา มารดาเรา เราก็มาอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้แล้ว”

“หลังจากนั้น เราก็พยายามตามหามิตรสหาย ของเราที่อาจจะรอดจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น”

“แล้ว...”
ชายหนุ่มพูดค้างไว้เช่นนั้น

“ปีแล้วปีเล่า เราก็มิพานพบผู้ใดอีกเลย”

“คงมีแต่เราเพียงผู้เดียว ที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเช่นนี้” หล่อนกล่าวจบ ก็มีอาการทรุดกายลงกับพื้น ด้วยความตกใจ ชายหนุ่มที่ยืนฟังอยู่ไม่ห่างมากนัก รีบกระโจนเข้าไปประคองกายหล่อนด้วยความเป็นห่วง และเหตุการณ์ฉุกละหุกนี้เอง ที่ชายหนุ่มได้สัมผัสกับร่างกายของหล่อนเป็นครั้งแรก

          ดังปุยนุ่น ที่ถูกอาบตามร่างกายของหล่อน แทนที่จะเป็นเนื้อหนังเช่นเขา ความนุ่มนิ่มและบอบบาง ผิวกายที่เห็นในระยะใกล้ชิดเช่นนี้ นวลเนียนไร้ที่ติ แต่ในเมื่อเขายังเข้าใจอยู่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพียงความฝันที่ตัวเขาเองนั้นล่ะ ที่จินตนาการขึ้นเอง  ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วทำไม เขาถึงมีความรู้สึกว่าเหมือนได้สัมผัสกับกายมนุษย์ แทนที่จะไขว่คว้าเพียงแค่ธาตุอากาศ

          ชายหนุ่มค่อยๆโอบประคองไหล่ทั้งสองข้างของหล่อน ซึ่งการกระทำครั้งนี้ ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะทำการล่วงเกินสตรีผู้นี้แต่อย่างใด แต่มันเป็นการปลอบประโลมหล่อนเสียมากกว่า ซึ่งหญิงสาวก็เหมือนว่าเพิ่งจะรู้สึกตัว ว่าตอนนี้ชายหนุ่มได้ถูกเนื้อต้องตัวหล่อนเข้าเสียแล้ว

“คุณพลับพลึง คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”ชายหนุ่มสอบถามด้วยแววตาที่เป็นห่วง

“ผมเข้าใจว่า คุณคงจะเสียใจมาก กับเหตุการณ์ในครั้งนั้น”

“แต่ผมแน่ใจว่า บุคคลเหล่านั้นคงไม่ได้มีความตั้งใจ ที่จะทำรายล้างเผ่าพันธุ์ของคุณ”

“ถ้าพวกเขาสามารถรับรู้ เหมือนที่ผมรับรู้และสามารถสื่อสารได้ เหมือนผมกับคุณในตอนนี้แล้ว บุคคลเหล่านั้นคงจะไม่มีวันทำร้ายพวกคุณแน่นอน”ชายหนุ่มพูดแผ่วเบา

“ผมต้องขอโทษคุณ และดวงวิญญาณบรรพบุรุษของคุณ แทนบุคคลเหล่านั้นด้วย”

“ถ้าพวกเขาเหล่านั้นได้รับรู้ในภายหลังเช่นนี้ พวกเขาก็คงมีความรู้สึกผิด และเสียใจ เหมือนกับผมในตอนนี้เช่นกัน”ชายหนุ่มกล่าวจบ ก็ค่อยๆเดินประคองร่างของหล่อนไปที่ลานหินใหญ่ราบเรียบก้อนหนึ่ง ซึ่งห่างจากกองไฟไม่มากนัก ก่อนที่จะค่อยๆบรรจงประคองหล่อนให้นั่งลงบนลานหินนั้น

“เราขอบใจ ที่ท่านปลอบใจเรา”หญิงสาวพูดจบพลางสบตา

“มันคงเป็นกรรมเก่า ที่เราและเผ่าพันธุ์ของเราได้สร้างไว้”

“ซึ่งเผ่าพันธุ์ของเรา ก็ได้ชดใช้กรรมเหล่านั้นแล้ว”หญิงสาวกล่าวจบ ก็ใช้หลังมือเช็ดน้ำตาที่คลอเบ้า

“คุณลืมไปแล้วหรือครับ ว่าอย่างน้อยๆคุณยังมีผมอีกคน”ชายหนุ่มพูดพลางยิ้ม

“เราเป็นเพื่อนกันแล้วไม่ใช่หรือครับ คุณพลับพลึง”ชายหนุ่มกล่าวออกมาด้วยความจริงใจ จึงทำให้ผู้ฟังยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก หลังจากโศกเศร้าเสียใจอยู่นาน จนทำให้คนพูดสบายใจขึ้น

“ท่านไม่กลัวเราฤา”หญิงสาวหันมาผสานตา

“ไม่หรอกครับ ตรงกันข้ามผมสงสารคุณพลับพลึงมากกว่า ที่จะต้องอยู่คนเดียวแบบนี้ คุณคงเหงาและว้าเหว่น่าดู”

“ผมขอให้คำสัญญากับคุณพลับพลึงว่า ผมจะเป็นเพื่อนที่ดีกับคุณตลอดไป”พูดจบชายหนุ่มจับมือหญิงสาวขึ้นมากุม จนหล่อนเองก็เกิดอาการตกใจระคนขวยเขิน แต่ก็ไม่อาจซ่อนความปิติยินดีนี้ไว้ได้อยู่

“ท่าน...”
หญิงสาวกล่าวได้เพียงเท่านั้น หยาดน้ำตาแห่งความปิติ ก็เอ่อล้นมาเป็นทาง พร้อมๆกับอาการโผเข้าสวมกอดชายหนุ่ม โดยเจ้าตัวยังไม่ทันตั้งตัว สิงห์เองก็คาดไม่ถึง ว่าหล่อนจะกอดเขาแนบแน่นเช่นนี้ แรกๆก็เกร็งไปทั้งตัวเพราะความตกใจ แต่พอตั้งสติได้ ก็ค่อยๆกอดกลับไป พร้อมกับมือที่คอยลูบไปตามเส้นผมและแผ่นหลังเพื่อเป็นการปลอบโยนหล่อนอีกครั้ง สิงห์เองก็มีความรู้สึกสบายใจ และสนิทใจได้อย่างประหลาด แทนที่จะกลัวหล่อนเหมือนที่ผ่านๆมา เพื่อนฝูงทั้งคนและสัตว์ก็มีแล้ว จะมีเพื่อนเป็นผีสางนางไม้บางจะเป็นไรไป

“เราก็จะเป็นมิตรกับท่านที่ดีเช่นกัน”หญิงสาวสะอื้นตอบ ขณะยังสวมกอดเข้าไว้เช่นนั้น ก่อนจะค่อยๆถอนกายออกจากอ้อมกอดของสิงห์ช้าๆ พลางปาดเช็ดน้ำตาที่อาบแก้มทั้งสองข้างแล้วพูดต่อมาว่า

“ได้เวลา ที่เราต้องลาท่านแล้ว”หญิงสาวที่มีนามว่าพลับพลึงกล่าว

“คุณจะไปแล้วหรือครับ”ชายหนุ่มร้องทัก

“ใช่ เวลาของเราใกล้หมดลงแล้ว”

“ด้วยไมตรีจิต เราไม่อาจตอบแทนท่านได้ด้วยสิ่งใด นอกจากสิ่งนี้”หญิงสาวกล่าวจบก็ค่อยๆเอื้อมมือที่เรียวงาม ไปเด็ดดอกช้างกระที่หล่อนใช้เหน็บทัดหูอยู่ จากนั้นก็นำดอกกล้วยไม้ดอกเล็กๆดอกนั้นไปวางไว้บนฝ่ามือของชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา ก่อนที่หล่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมผละไป ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วร้องขึ้นมาว่า

“หวังว่าเราคงได้พบกันอีกนะครับ คุณพลับพลึง”ชายหนุ่มร้องบอกออกไป หญิงสาวหันกลับมายิ้มให้ พร้อมพยักหน้าให้เขาแล้วกล่าวตอบมาว่า

“ทุกราตรีกาล ถ้าท่านต้องการพบเรา ท่านจงระลึกถึงเรา เมื่อนั้นเราจะได้พบกันอีก”หญิงสาวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติ ก่อนร่างของหล่อนจะค่อยๆลับหายไปในเงามืดของต้นตะเคียนยักษ์

          ชายหนุ่มทรุดกายลงนั่ง พลางเป่าลมฟู่ออกจากปากอย่างโล่งอก แล้วยกดอกกล้วยไม้ป่าดอกเล็กขึ้นดู อีกครั้งแล้วสินะ ที่เขาจะต้องมานั่งคนเดียวตามลำพังเช่นนี้ แต่คิดไปแล้ว ก็ไม่ได้อยู่คนเดียวโดดเดี่ยวเสียเมื่อไหร่ อย่างน้อยๆก็มีหล่อนผู้นั้นอยู่เป็นเพื่อน ถึงแม้เธฮจะจากไปแล้วก็ตาม แต่ชายหนุ่มก็เชื่อว่า เธอคงกำลังเฝ้ามองเขาอยู่ ที่ใดสักแห่งในต้นตะเคียนยักษ์ต้นนั้น กลิ่นกายที่หอมของหล่อนยังติดตรึงใจไม่หาย ในขณะที่ได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกัน โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ได้โอบกอดซึ่งกันและกัน กลิ่นอายความหอมระคนความอบอุ่น ยังคงรับรู้และสัมผัสได้อยู่ ถึงแม้ตัวหล่อนจะจากไปแล้วก็ตาม ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ แต่มีบางอย่างที่ทำให้เขาประหลาดใจขึ้นอีก ขณะยกนาฬิกาขึ้นดู เพื่อดูเวลา แล้วมันก็เป็นไปอย่างที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด เข็มนาฬิกาที่เคยเดินตามปกติเมื่อครั้งล่าสุดที่อยู่บนห้างกับพรานเบ ก็ยังใช้งานได้อยู่ แต่มาบัดนี้มันกับหยุดนิ่งสนิท ไม่มีอาการเคลื่อนไหวใดๆ และที่สำคัญ มันบอกเวลาที่ หนึ่งนาฬิกายี่สิบเก้านาที หรือตีหนึ่งยี่สิบเก้า มันเป็นเวลาเดียวกันกับคืนก่อนไม่มีผิด ครั้งแรกที่เห็นชายหนุ่มก็แปลกใจอยู่บ้าง แต่เมื่อมีประสบการณ์มาแล้ว ก็ทำให้คลายความวิตกไปบ้าง ไหนๆจะต้องมานอนตามลำพังแบบนี้คนเดียว แบบนี้อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

          ชายหนุ่มเดินตรงไปยังตำแหน่งเดิม ที่เขามานอนอยู่ คือบริเวณโคนต้นตะเคียนใหญ่ต้นนั้น ซึ่งห่างจากกองไฟกองเล็กออกไปไม่มาก หลังจากยืนพิจารณากองไฟกองนั้นอยู่อึดใจ เขาก็เดินผละไปยังตำแห่งที่เขาเคยเอนหลังนอน ชายหนุ่มไม่คิดจะหาฟืนมาสุมเพิ่มเหมือนครั้งก่อน เพราะรู้ว่าทำไปก็เปล่าประโยชน์ ชายหนุ่มทรุดกายเอนหลังพิงอยู่กับลำต้นของตะเคียนยักษ์ต้นนั้น โดยปราศจากความเกรงกลัวใดๆ ตรงกันข้ามเขากลับมีความรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นเสียมากกว่า ชายหนุ่มนำดอกช้างกระที่กำอยู่ในมือขึ้นมาดูอีกครั้ง ไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลจิตดลใจให้เขายกมันขึ้นมาดมอย่างลืมตัว ก่อนที่จะหย่อนดองกล้วยไม้ป่าดอกเล็ก ใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อข้างซ้ายของเขาเช่นเคย

“มานอนเป็นเพื่อนแล้วนะ ปล่อยให้ยุงกัดล่ะน่าดู!”ชายหนุ่มกล่าวออกมาลอยๆ ก่อนที่เปลือกตาที่หนักอึ้งของเขาจะค่อยๆปิดลง....

*****จบบทที่ 6 เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร สิงห์และหญิงที่มีนามว่าพลับพลึง จะได้พบกันอีกหรือไม่? โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อในบทที่ 7 เร็วๆนี้*****

.....
การเดินทางบางครั้ง ก็ไม่ได้สะดวกสบายเสมอไป บางที่ต้องมีปีนเขา ปีนห้วยบ้าง นี้แหละรสชาติของชีวิต


ถึงจะแก่ แต่ก็เฉพาะสังขาร พรานโส่ยยังมีแรงปีน น้ำตก ตกสำรวจที่สูงไม่ต่ำกว่า 50 ม.ได้อย่างสบายๆ (เชิญปีนคนเดียวเถอะ)


ลูกเนียงป่า ผลผลิตและรายได้ส่วนหนึ่ง ที่หาได้จากธรรมชาติ จะกินสดๆ ต้ม เผา หรือจะดองน้ำเกลือ กินกับน้ำพริกดีนักแล...



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.091 seconds with 17 queries.