Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
12 May 2024, 09:20:09

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,678 Posts in 12,490 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 5 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 5 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร  (Read 496 times)
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« on: 22 April 2021, 08:57:16 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 5 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 5 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร


บทที่ 5

ตอนที่ 5.1

          เสียงออดแอด ของต้นไม้ที่โยกไปมาช้าๆตามแรงลมเอื่อยๆ ราวกับมีใครมาสีซออยู่ในป่า บรรยากาศเช้านี้ยัง ขมุกขมัว เพราะมีหมอกปกคลุมอยู่หนาทึบแต่ก็พอมองเห็นอะไรรอบๆตัวได้รางๆ เสียงงึมงำของเขียดและอึ่งป่าในลำห้วยเงียบเสียงไปหมดแล้ว มีเพียงเสียงของสายน้ำที่ไหลรินในลำห้วยและแมลงบางชนิดที่ยังกรีดปีกแว่วเสียงมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะๆ เสียงไก่ป่าขันเจื้อยแจ้วมาจากหุบไหนสักแห่งไกลออกไป เหล่านกกาหลังจากพวกมันพักหลับนอนในรวงรังเมื่อคืนที่ผ่านมา ก็พากันออกหากินเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตต่อไปในเช้าวันใหม่

          ควันไฟลอยต่ำๆ มาจากกองไฟ ซึ่งตอนนี้ขาวโพลนไปด้วยขี้เถ้ากองใหญ่ มีเพียงส่วนท้ายๆของท่อนฟืน ที่ถูกเผาไหม้ไม่หมด ที่พื้นดินและยอดหญ้าก็ชื้นแฉะไปด้วยน้ำค้าง บางส่วนที่อยู่สูงขึ้นไปตามเรือนยอดของไม้ใหญ่ก็รวมตัวกลายเป็นหยดน้ำ ตกลงพื้นซึ่งเต็มไปด้วยใบไม้แห้งดังเปาะแปะ

          เสียงกิ่งไม้หักดัง เปรี๊ยะ ผสมกับเสียงพูดคุยกันเบาๆแว่วมาเป็นระยะๆ ทำให้ชายหนุ่มที่ตอนนี้นอนขดตัวอยู่ในเปล งัวเงียผงกหัวขึ้นมาจากโปงถุงนอน พอหันไปรอบๆ ก็ไม่เห็นเพื่อนร่วมเดินทาง ที่ตำแหน่งกองไฟอันเคยเป็นที่นอนของสมาชิกท่องไพร ก็ถูกเก็บเรียบร้อย บ่งบอกว่าทั้งคณะตื่นกันหมดแล้ว ยกเว้นเขาเพียงคนเดียวที่ยังนอนอยู่ หลังจากนั่งบิดตัวไปมาสองสามครั้ง จนได้ยินเสียงกระดูกลั่นกราว เขาก็มุดตัวออกจากเปลสนาม

“ตื่นแล้วหรือสิงห์” พรานชราร้องทักมาจากริมห้วย

“สงสัยจะนอนฝันดี”เพื่อนเกลอของสิงห์ร้องทักมาอีกคน

“เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ สงสัยจะผิดที่”สิงห์ร้องตอบ พูดจบก็หยิบผ้าขนหนูที่แขวนไว้กับสายเปล เตรียมไปล้างหน้าที่ริมห้วย

“ไอ้สองตัวนั่นไปไหนล่ะ ลุงโส่ย” สิงห์ถามหากะเหรี่ยงหนุ่มสองคน

“ข้าให้มันไปหาเก็บผักเก็บหญ้ามาเตรียมทำอะไรกิน ออกไปได้สักพักก่อนเอ็งจะตื่นนี่เอง”พรานชราร้องตอบ พูดจบก็หยิบปลาเวียนขึ้นมาขอดเกล็ด

“แล้วพี่แปะล่ะ ไม่ได้อยู่ช่วยทำปลากับลุงรึ”สิงห์พุดจบก็เดินไปดูพรานเฒ่าและเหน๋อ นั่งทำปลา

“มันช่วยข้าทำกบกับตะพาบเสร็จ ก็ออกไปหายิงนกยิงหนูแถวๆนี้ล่ะ”พรานชราพูดจบก็โยนพวกปลาเวียนให้เหน๋ออีกพวง

“เหลืออีกเยอะหรือเปล่าลุง จะได้ช่วยๆกัน”สิงห์ร้องถาม

“ปลาเวียนเหลือนิดเดียวก็หมดแล้ว ที่เหลือก็พวกปลาเล็กปลาน้อย”ลุงโส่ยพูดจบก็เปิดปากถุงพลาสติกให้สิงห์ดู ภายในนั้นมีปลาเล็กปลาน้อยเกือบครึ่งถุง

          ไอหมอกจางๆลอยปกคลุมบริเวณผืนป่า ผสมกับอากาศที่เย็นสดชื่น คละเคล้ากับกลิ่นดอกไม้ป่านานาชนิด มันช่างแตกต่างจากที่ชายหนุ่มเคยสัมผัสมา ผิดจากเช้าของเมื่อวานหลายเท่าตัว ชายหนุ่มยืนสูดอากาศเข้าปอดลึก บริเวณริมชายห้วย เหนือขึ้นไปจากกลุ่มของกะเหรี่ยงทั้งสอง ที่นั่งทำปลากันอยู่ ตรงแอ่งเล็กๆที่อยู่ระหว่างก้อนหินใหญ่ ซึ่งพื้นเบื้องล่างเป็นพื้นทรายและก้อนกรวดเล็กๆดูสะอาดตา ที่ตำแหน่งนั้นเอง สายน้ำจากลำห้วยไหลรินเอื่อยๆ ไหลผ่านตามซอกหิน ดูแล้วเหมือนน้ำตกขนาดเล็ก น้ำใสไหลวนอยู่ในแอ่งนั่น

          หลังจากพับแขนเสื้อแจ็คเก็ต เตรียมจะวักน้ำขึ้นมาล้างหน้านั้นเอง เขาก็ต้องแปลกใจ เพราะระหว่างที่เขากำลังก้มตัวนั้น มีอะไรบางอย่างตกจากกระเป๋าเสื้อของเขา สิ่งนั้นทำท่าจะไหลไปตามกระแสน้ำ แต่ก็ไม่ไวไปกว่าสิงห์ ที่จะรีบคว้ามันขึ้นมาพิจารณาได้ ในมือของเขามีดอกกล้วยไม้ป่าสีขาวผสมม่วง ดอกเล็กๆ ถ้าเขาดูไม่ผิด มันเป็นดอกของช้างกระ กล้วยไม้ป่าชนิดหนึ่งนั้นเอง จะว่ามันตกลงมาโดยบังเอิญ ก็รีบแหงนหน้าดูขึ้นไปรอบๆ เผื่อจะมีต้นช้างกระอยู่บนนั้น ก็ไม่มีสักต้นแถมต้นไม้ใหญ่ๆที่มันพอจะเกาะอาศัยได้ก็ไม่มีเลย ถึงมีก็อยู่ไกลออกไปมาก จะว่าลมพัดมาตก ยอดไม้ก็ไม่มีไหวเลยเพราะไม่มีลมแรงขนาดนั้น หรือเราไปเก็บมาตอนไหน นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก จะว่าเก็บมาตอนที่ไปหาปลาเมื่อคืน เสื้อแจ็คเก็ต ตัวนี้เราก็ไม่ได้ใส่ไป พอนึกถึงตอนที่ไปหาปลาได้ สิงห์ก็ขนลุกโดยไม่รู้ตัว หรือว่า หล่อนคนนั้น พลับพลึง แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน ก็เราฝันไปนี่ สิงห์ยืนพิจารณาดอกกล้วยไม้ที่อยู่ในมืออยู่อึดใจ ทีแรกเขาทำท่าจะโยนมันทิ้งอย่างไม่แยแสอะไรนัก แต่ก็เหมือนเขาจะคิดอะไรได้ ก็เก็บดอกกล้วยไม้ป่าปริศนาดอกนั้นใส่ไว้ที่กระเป๋าเสื้อของเขาเหมือนเดิม แต่ดูเหมือนจะจงใจหรือไม่ก็ตาม โดยตำแหน่งนั้นมันตรงกับหัวใจของเขาพอดี

“สิงห์เอ็งจะเอาน้ำร้อนเอาไว้ชงกาแฟหรือเปล่า ข้าจะได้ต้มทิ้งไว้ให้” เหน๋อร้องถาม

“เออ..เอา ขอบใจโว้ย”สิงห์ร้องตอบขณะมีฟองสบู่อยู่เต็มหน้า

“เออเดี๋ยวข้าเดินไปตักน้ำก่อน ตรงนี้เอามาต้มไม่ได้แล้ว ทั้งคาวปลาทั้งน้ำสบู่”ประโยคหลังทำเอาสิงห์สะดุ้ง เพราะมีส่วนทำให้เพื่อนเกลอต้องลำบากเดินไกลขึ้นไปอีก

“ลุงโส่ยทำปลาเสร็จหรือยัง จะได้ช่วยๆกัน”สิงห์ร้องถามพรานชราที่นั่งง่วนอยู่กับกองปลา

“จวนแล้ว เอ็งช่วยข้าก่อไฟเตรียมหุงข้าวหุงปลาดีกว่า”พรานชราร้องตอบ

“ได้เลยลุงโส่ย สบายมาก”สิงห์ร้องตอบ

          ที่บริเวณรานเดินแคบๆนั้น กองไฟถูกก่อขึ้นมาอีกครั้ง ไอความร้อนจากเปลวไฟช่วยไล่ความหนาวเย็นจากอากาศรอบๆที่พัก ให้ดูอบอุ่นขึ้น หม้อสนามสามใบ ที่ภายในนั้นมีข้าวสารแช่น้ำรออยู่ก่อนแล้ว ถูกนำขึ้นแขวนกับราวไม้เหนือกองไฟ ส่วนหม้อสนามอีกใบที่มีน้ำอยู่เกือบเต็มปริ ถูกวางไว้บนพื้นดินข้างกองไฟที่ถูกพรากไว้เหลือแต่ถ่านแดงแจ๋ พรานโส่ยหลังจากนั่งหลังขดหลังแข็งทำปลาอยู่ริมห้วยจนเสร็จ ก็ร้องเรียกเจ้าเหน๋อให้ตำพริกแกงเตรียมทำแกงตะพาบ ส่วนตัวแกเองเดินเคี้ยวหมากหยับๆ สาละวนอยู่กับการเสียบซีกไม้ไผ่เตรียมขึ้นย่างปลาเวียน

          เสียง โป๊กๆ ของครกที่ทำมาจากกระบอกไม้ไผ่ ดังก้องเป็นจังหวะ พริกแห้ง หอมแดงและกระเทียม ถูกตำผสมอย่างหยาบๆ สิงห์เองก็รู้งานช่วงที่เพื่อนเกลอตำเครื่องแกงอยู่ ก็ช่วยซอยตะไคร้ และข่า ใส่เติมลงไปด้วย ส่วนพรานโส่ย หลังจากบรรจงเสียบปลาเวียนเรียบร้อยดีแล้ว แกก็เอาขึ้นย่างกับไฟอ่อนๆ

“กบพวกนี้จะทำอะไรกินดีล่ะสิงห์”พรานเฒ่าร้องถาม พูดเสร็จแกก็บ้วนน้ำหมากลงพื้น

“ตัวเล็กๆย่างไว้ก่อนก็ได้ลุง ส่วนตัวใหญ่ๆผมจะทำยำกบให้กิน”สิงห์พูดจบก็เดินไปหยิบกระบอกไม้ไผ่ที่สองกะเหรี่ยงหนุ่มตัดไว้ให้เป็นท่อนๆ

“น้ำเดือดแล้ว จะเอากาแฟสักหน่อยมั๊ย”เหน๋อถาม พูดจบก็เดินไปเด็ดใบไม้สองสามใบที่อยู่ใกล้ๆมาพับสองสามชั้น แล้วใช้จับหูของหม้อสนามแถนถุงมืออย่างดี

“เออก็ดี ขอสักแก้ว”สิงห์ตอบ พูดจบก็เดินไปเลือกกบธูป ตัวโตๆ ที่พรานโส่ยชำแหละไว้เรียบร้อยแล้ว เลือกเอามาทำยำสามตัว อีกสองตัวให้พรานโส่ย ย่างเก็บไว้กินมื้ออื่น หลังจากน้ำในกระบอกไม้ไผ่เริ่มเดือดได้ทีโดยมีต้นตะไคร้ใส่ลงไปแก้คาว สิงห์ก็ค่อยๆใส่กบธูปลงไป เพียงแค่กบตัวแรกก็ยังยัดลงกระบอกไม้ไผ่เกือบไม่ได้ เพราะความใหญ่โตของมัน หลังจากพยายามอยู่ไม่นาน กบทั้งสามตัวก็ลงไปนอนเบียดในกระบอกไม้ไผ่จนล้น โดยมีส่วนของตีนกบชี้โด่เด่ แค่ช่วงเวลาไม่กี่นาที กบต้มก็สุกจนเนื้อและหนังปริขาวน่ากิน จากนั้นสิงห์ก็ค่อยๆใช้ไม้คีบกระบอกไม้ไผ่ที่ยังร้อนระอุ ไปพักไว้ในหม้อรอให้เย็นลง

“ไอ้สองตัวนั่นกลับมาแล้ว ขนอะไรมาเยอะแยะ”พรานโส่ยร้องพลางทำตาหรี่เพ่งไปทางชายห้วย

“วันนี้สงสัยขี้เขียว กินแต่ผักแต่หญ้า”เหน๋อพูดจบก็ไล่หมาสองตัวคือ เจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบอง ที่วิ่งมาเลียแข้งเลียขาจนเจ้าตัวรำคาญ

“ไหนว่าไปหายอดหวายอย่างเดียว ทำไมเนื้อตัวเอ็งสองตัวมอมแมมไปหมด”สิงห์ร้องถาม สองหนุ่ม ที่ตอนนี้เนื้อตัวเปื้อนดินเต็มไปหมด

“ก็ว่าจะไปหายอดหวายกับผักอย่างที่บอกนั้นล่ะ พอดีผมกับไอ้เคิ้ง ไปเจอเถามันเทียน เลยช่วยกันขุดเอาหัวมา เผื่อได้มาเผากินกัน”พุ่มพูดจบก็เทหัวมันเทียนที่อยู่ในย่ามลงพื้นให้ดู หัวมันยาวประมาณคืบสีเหลืองๆกระดำกระด่าง บางหัวดูแล้วเหมือนกิ่งไม้ผุๆมากกว่าจะเป็นหัวมัน บางหัวก็ดูอวบ แต่ใหญ่สุดก็ไม่เกินหัวแม่เท้า

“ไหนล่ะผักได้อะไรมาบ้าง”พรานชราร้องถาม

“ตามที่พ่อต้องการล่ะ ยอดหวายดำ ผักกูด หยวก ออ..มียอดผักหนามกับยอดมะกอกป่ามาอีกอย่างละกำ”ผู้เป็นลูกเสวนาตอบ

“ได้ยอดมะกอกมาด้วยรึ! ดีเลยจะได้เอามาใส่ยำกบ”สิงห์พูดจบก็ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ ที่จริงควรจะเรียกว่ากระบอกหรือจอกมากกว่าแก้ว เพราะมันทำจากกระบอกไม้ไผ่

“ไป เอ็งสองคนไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนเถอะ จะได้มาช่วยๆกันทำกับข้าวกับปลา”พรานชราร้องบอก

“จะแกงตะพาบเลยหรือเปล่าตาโส่ย ฉันจะได้จักการให้”เหน๋อร้องถามพรานเฒ่าที่ตอนนี้กำลังนั่งคีบกบเตรียมย่าง

“เดี๋ยวข้าทำเองดีกว่า เมื่อคืนบอกกับไอ้สิงห์ไว้แล้ว ว่าข้าจะแกงตะพาบให้กิน เอ็งมาช่วยข้าดูปลาดูกบตรงนี้ดีกว่า”พรานเฒ่าบัญชาการ

“ไอ้หัวมันเทียนนี้ทำอะไรกินดี ลุงโส่ย”สิงห์หันไปถามพรานเฒ่า ที่ตอนนี้เตรียมเครื่องครัวต่างๆ

“ถ้าจะกินดีๆหน่อยก็ล้างแล้วต้มก็ได้ ใส่แกงก็ดี หรือถ้าเอ็งขี้เกียจเหมือนข้า เอ็งก็โยนหมกๆไว้ในขี้เถ้า พักเดียวก็ได้กิน”พรานโส่ยพูดจบก็โยนหัวมันเทียนลงไปหมกในขี้เถ้าสามสี่หัว

          สิงห์เองก็เกือบลืมไปเสียสนิทเกี่ยวกับเครื่องเซ่นไหว้ ที่เจ้าแม่ตะเคียน หรือแม่พลับพลึง สั่งนักสั่งหนาว่าอย่าลืม และที่สำคัญตัวเขาเองนั่นแหละที่จะต้องนำเครื่องเซ่นไหว้เหล่านี้ นำไปขอขมาเพียงลำพัง แต่จะปลีกตัวไปเองโดยที่คนอื่นไม่สงสัยได้หรือเปล่านี่สิ

“ลุงโส่ย ถ้าลุงแกงตะพาบเสร็จแล้วลุงจะเอาไปถวายเจ้าแม่ตะเคียนอย่างที่ลุงพูดไว้เมื่อคืนหรือเปล่า”สิงห์ถามพรานชราหยั่งเสียงดูก่อน

“เออ! ถ้าเอ็งไม่ทักข้า ข้าคงลืมไปแล้ว”พรานชราทำตาโต แล้วพูดต่อมาอีกว่า

“ก็คงต้องเอาไปถวายเจ้าแม่เขาล่ะ สัญญากับเขาไว้แล้ว ก็ต้องไป”พรานเฒ่าพูดพลางนั่งสับไส้ในหวายเป็นเส้นๆ

“ลุงจะไปกับใครล่ะ คนเดียวรึ”สิงห์พูดพรางนั่งซอยหยวกกล้วย

“เอ็งนั้นล่ะไอ้สิงห์ ไปกับข้า”พรานโส่ยหันมาตอบเงียบๆ

“ลุงสัญญากับเขาเองนิ ผมไม่ได้สัญญากับลุงด้วย ลุงไปคนเดียวดีแล้ว ฮาๆ”สิงห์พูดจบก็หัวเราะ

“ไอ้ห่ า เอ็งก็ไปเป็นเพื่อนข้าหน่อยสิว่ะ”พรานโส่ยทำตากลอกไปมาอย่างหวาดๆ แล้วกระซิบกับสิงห์ต่อ

“แถวๆนั้นมันวังเวงพิลึก ข้าไม่กล้าไปคนเดียวหรอกไอ้สิงห์”พรานเฒ่าทำหน้าตาน่าสงสาร

“เอาแบบนี้ไหมลุง เดี๋ยวผมจัดการให้เอง พอดีผมจะไปธุระ”สิงห์ได้ที

“จะดีหรือว่ะ เอ็งไม่กลัวรึ”พรานเฒ่ากระซิบถาม

“ไม่กลัวหรอกลุง มีปืนไปเป็นเพื่อน”สิงห์พูดจบก็บุ้ยปากไปที่ปืนยาว.22 ที่พาดอิงกับต้นไม้ข้างๆหัวนอน

“เอาไอ้พุ่มกับไอ้เคิ้งไปเป็นเพื่อนก็ยังดี”พรานเฒ่าเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรหรอกลุง ไอ้สองตัวนั้นเพิ่งจะกลับมาเหนื่อยๆ ก็ดีเหมือนกันผมจะได้ดูนกดูไม้ไปเรื่อย ไม่ออกนอกเส้นทางไปไหนหรอก รับรองไม่มีหลง”สิงห์รับประกัน

“งั้นก็แล้วแต่เอ็งละกันไอ้สิงห์”พรานชราพูดจบก็เทเนื้อตะพาบสับลงไปผัดกับพริกแกงดังฉ่า

          หลังจากแผนที่ตัวเองวางไว้สำเร็จ คือได้ปลีกตัวออกไปคนเดียวแล้ว แต่เขาเองก็ยังหนักใจว่า ของหวานจะเอาอะไรไปขอขมาเจ้าแม่ตะเคียนดี ลำพังของคาว อย่างน้อยๆก็ต้องมีสองอย่าง คือ แกงตะพาบของลุงโส่ย และยำกบ ของเขาที่กำลังเตรียมทำอยู่ แล้วของหวานล่ะจะทำอะไรดี ครั้งแรกเขานึกจะชงโอวัลตินไปถวายแทน แต่นึกไปนึกมามันก็ยังไงๆอยู่ ครั้นจะเอาแต่ของคาวไปถวาย ก็กลัวว่าจะเสียคำสัญญาที่ให้ไว้คือ เขาจะต้องเอาอาหารคาวหวานไปถวาย ทันใดนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นกองมันเทียน ที่สองกะเหรี่ยงดงขุดมาให้เผากิน จึงทำให้เขาพอจะนึกอะไรออกขึ้นมาได้

“เคิ้งกับพุ่ม อย่าเพิ่งรีบขึ้นมา เอ๊า! รับ”สิงห์พูดจบก็โยนหัวมันเทียนส่งไปให้ สองกะเหรี่ยงที่ตอนนี้กำลังล้างเนื้อล้างตัวอยู่ริมห้วย

“ฝากล้างให้พี่หน่อย เดี๋ยวพี่จะทำมันเชื่อมให้กิน ถ้าจะให้ดีปลอกเปลือกออกด้วยก็เรี่ยมเลย”สิงห์พูดเสริมมาอีก

“บ๊ะ! อยู่ในป่าแบบนี้ยังมีมันเชื่อมให้กินอีกเว้ย”เหน๋อร้องบอก พูดจบก็นั่งย่างปลาและกบต่อ

“แหม่...ดีนะไม่ติดกะทิกล่องมาด้วย สงสัยคงครบสูตรกว่านี้ ฮาๆ”สิงห์พูดตอบพลางหัวเราะ เป็นการหัวเราะอย่างโล่งอกที่สุด


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #1 on: 22 April 2021, 09:00:42 »


ปูห้วยตัวเขื่อง


พ่อครัวหัวป่า(จำเป็น) ตาเหน๋อ


อาหารป่า แบบง่ายๆ




Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #2 on: 22 April 2021, 09:03:16 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 5 ตอนที่ 2


บทที่ 5

ตอนที่ 5.2


          ข้าวในหม้อสนามถูกยกมาวางลงกับพื้น ใกล้ๆกองไฟที่ถูกพรากออกมาจากกอง เพราะข้าวสารภายในสุกหมดแล้ว เพียงเพื่อรอเวลาให้มันระอุ ส่วนกบที่สิงห์เอาไปต้มในกระบอกไม้ไผ่ ซึ่งตอนนี้เย็นลงมากแล้วพอที่จะฉีกออกเป็นชิ้นๆได้ โดยไม่ร้อนมือมากนัก สิงห์ก็ค่อยๆฉีกรูด เอาแต่เนื้อและหนัง ส่วนกระดูกโยนให้หมาสองตัวที่นอนกระดิกหางอยู่ใกล้ๆ ไม่นานก็ได้เนื้อกบต้มสุกจานใหญ่ เสร็จแล้วสิงห์ก็นั่งซอยตะใคร่ หอมแดง ลงไปคลุกเคล้ากับเนื้อกบและน้ำพริกเผา ปรุงรสด้วยเกลือ มะนาวไม่มี ก็ใช้มะขามเปียกละลายกับน้ำร้อนแทน เท่านั้นยังไม่พอ สิงห์ยังซอยพริกนกลงไปอีกเป็นกำ จากนั้นสิงห์ก็เดินไปเลือกยอดมะกอกป่า ที่สองกะเหรี่ยงดงหามาได้หลายกำ เลือกเอาแต่ยอดใบใหญ่ๆ นำมาฟาดกับไฟให้ยอดมะกอกป่าพอสะดุ้งไฟ จากนั้นนำมาซอยเป็นฝอยๆ เอาไปคลุกเคล้ากับยำกบที่พักเอาไว้อีกครั้ง เพียงเวลาไม่ถึง สิบนาที ยำกบทูดก็เสร็จ เล่นเอาเพื่อนเกลอที่นั่งดูอยู่ใกล้ๆทนดูไม่ไหว ขอช้อนจากสิงห์ตักชิมคำใหญ่

          ส่วนพรานโส่ยก็ไม่น้อยหน้า หลังจากเอาเนื้อตะพาบลงไปผัดกับเครื่องแกงจนหอมฉุยได้ที่ดีแล้ว แกก็เทยอดหวายสับและหยวกซอยลงไปผัดอีกครั้ง พอผักทั้งสองอย่างสุกๆดิบๆ จากนั้นก็เติมน้ำลงไปนิดหน่อยพอให้ขลุกคลิก ทิ้งไว้ให้เดือดแล้วปรุงรสด้วยเกลือ แถมก่อนยกลง แกยังตบพริกนกลงไปผัดอีกกำใหม่ เล่นเอาสิงห์และเหน๋อ ที่นั่งอยู่ใกล้ๆจามคนละสองสามครั้ง

“เอ...พรานเบกับพี่พรไม่รู้ไปถึงไหน”สิงห์พูดจบก็ยกนาฬิกาขึ้นดู

“จะแปดโมงแล้ว”สิงห์พูดหลังยกนาฬิกาขึ้นดี ซึ่งเวลาตอนนี้ 7.48 นาที

“ช่างมันเถอะ เดี๋ยวมันสองตัวก็มา อย่างเก่งก็ไม่เกิน สิบโมง” พรานชราร้องตอบ พูดจบก็เขี่ยหัวมันเทียนที่แกหมกไว้ เออมาจากกองขี้เถ้า

“ไม่หิวแย่ มากันตอนนั้น”สิงห์พูดจบก็รับหัวมันเทียนเผา มาบิกิน

“หิวล่ะมันหิวอยู่แล้ว แต่พวกข้ามันชินเสียแล้ววะไอ้สิงห์”พรานโส่ยพูดจบก็โยนมันเทียนสุก ที่บิออกมาแล้วเข้าปากเคี้ยวกิน แต่แกกินไม่ค่อยถนัดนักเพราะหัวมันยังร้อนอยู่

          จริงอย่างที่พรานโส่ยพูด กะเหรี่ยงอย่างพวกแก เรื่องอาหารการกินไม่ค่อยจะเป็นเวลานัก วันๆหนึ่งได้กินข้าว สองมื้อก็ถือว่าโชคดีแล้ว คือมื้อเช้าก็จะกินกันประมาณ 9 โมง ถึง 10 โมงเช้า และอีกมื้อก็เย็นๆหรือไม่ก็ค่ำ นอกเสียจากว่าต้องออกไปทำไร่ทำนา หรือหาของป่า ก็จะเตรียมอาหารแต่เช้า

“พี่สิงห์หัวมันล้างดีแล้ว เอายังไงต่อ”เคิ้งร้องถาม ขณะที่ถือหัวมันเทียนในห่อใบตอง

“ปลอกเปลือกเรียบร้อยดียังเคิ้ง”สิงห์ถาม

“เรียบร้อยพี่สิงห์”พุ่มตอบแทนเคิ้ง

          หัวมันเทียนป่า ที่ขนาดของมันไม่ได้ใหญ่โตนัก อย่างเก่งที่สองหนุ่มหามาได้ก็ใหญ่ไม่เกินหัวแม่เท้า แต่พอปลอกเปลือกออกมาแล้วก็เหลือนิดเดียว คือใหญ่กว่าหัวแม่มือเล็กน้อย แต่ก็ไม่สำคัญเพราะมีจำนวนมากพอที่จะแบ่งกันกินได้ครบทุกคน อย่างน้อยๆก็คนละสองถ้วย หัวมันเทียนที่กระดำกระด่างในครั้งแรก พอถูกล้างทำความสะอาดก็ดูดีน่ากิน ทุกหัวถูกสิงห์ที่รับอาสาจะทำมันเชื่อมให้ ถูกหันเป็นชิ้นๆ ได้เกือบครึ่งหม้อแกง จากนั้นก็ให้เคิ้งลงไปตักน้ำในห้วยใส่ในหม้อพอท่วมหัวมันเล็กน้อย แล้วขึ้นตั้งไฟ

“วันนี้เราจะออกเดินทางกันประมาณกี่โมงล่ะลุงโส่ย”สิงห์หันไปถามพรานเฒ่า

“ก็คงแล้วแต่ไอ้เบมันนั้นล่ะ อย่างเก่งก็คงไม่เกินเที่ยง”พรานชราร้องตอบ

“ข้าก็ว่าอย่างที่ลุงโส่ยแกพูด คงต้องรอน้าเบแกกลับมาก่อน ถึงจะรู้”เหน๋อพูดพรางยกไม้คีบปลาเวียนและกบ ที่ตอนนี้สุกได้ที่ดีแล้ว เอาไปวางไว้บนร้านวางของ

“ออกสายๆหน่อยก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเวลาเตรียมกับข้าวกับปลา น้ำพริกก็ชักพร่องๆไปแล้ว มีเวลาข้าจะได้ตำใหม่”พรานโส่ยพูดจบหลังจากยกกระปุกใส่น้ำพริกเผา ที่พรานเบตำเตรียมไว้จากที่บ้านเมื่อวาน

“พูดถึงน้ำพริก ผมว่าพวกเราก็กินพริกกันเก่งเหมือนกันนะ” สิงห์พูดจบก็ซุนท่อนฟืนเข้าไปใต้หม้อต้มมัน

“ไม่มีเนื้อ ไม่มีปลา ข้ามีน้ำพริก ข้าก็อยู่ได้สบายแล้ว ผักหญ้าเยอะแยะออกเต็มป่า”พรานโส่ยพูดจบก็ลื่อห่อหมากในย่ามขึ้นมาเคี้ยว

“พริกนกแถวนี้ก็พอหาได้เยอะแยะ ทางโน้นขึ้นเป็นดงเลยพี่สิงห์”เคิ้งชี้มือบอกสิงห์ไปที่ชายดง พูดจบก็ยกโอวัลติลขึ้นจิบ

“ที่เขาว่า อยู่ป่าไม่มีวันอดตาย ถ้ารู้จักหา คงจะจริง”สิงห์พูดจบก็เปิดฝา หม้อมันต้มขึ้นดู ซึ่งตอนนี้น้ำในหม้อเดือดพล่าน

“แต่ถ้าจะให้ดี ข้าขอมีสตางค์เยอะๆดีกว่าว่ะ หาของป่ากิน มันก็หาไม่ได้ง่ายๆนะโว้ย”พรานชราร้องตอบ พูดจบก็บ่วนน้ำหมากลงพื้นดังปริ๊ด

“ผมว่าอยู่แบบนี้มันก็ดีเหมือนกันนะลุง ผักหญ้าสดสะอาดปลอดสารพิษ”สิงห์พูดพรางยกยอดผักหนามขึ้นมาดมเล่น

“เอ็งพูดแปลกๆ แล้วผักหญ้าในเมืองมันมีพิษ หรอกรึ?”พรานชราถาม

“มีลุง แต่มันมีไม่มาก ขนาดกินปุ๊บตายปั๊บ ก็คงประมาณว่า กินไปนานๆแล้วมันไปสะสมในตัวเราล่ะลุง”สิงห์พยายามอธิบายพรานชราที่กำลังทำหน้างงอยู่

“ดูอย่างลุงสิ อายุอานามก็มากโขอยู่ ยังเดินป่า ปีนเขาได้สบายๆ ผมหนุ่มๆยังแพ้เลย แต่ถ้าเป็นคนแก่ในเมือง บางที หกสิบยังเดินไม่ค่อยจะไหวแล้ว”สิงห์พูดจบก็เอาช้อนกดลงบนชิ้นมันเทียนที่อยู่ในหม้อ เมื่อเห็นว่าหัวมันเทียนเริ่มสุกก็ค่อยๆเทน้ำตาลทรายลงไปพอประมาณ แล้วตักเกลือเติมลงไปเล็กน้อย

“ผมว่าบางที คนเรามันจะแข็งแรง อายุยืน มันอยู่ที่สภาพที่กินที่อยู่ด้วย ที่เขาว่า กินดีอยู่ดี บางทีมันก็ไม่ดีเสมอไปหรอก”สิงห์พูดพลางใช้ช้อนคนหม้อมันต้ม

“ดูเอาง่ายๆลุง คนอยู่เหนือควันไฟแบบผม กับ คนอยู่หลังควันไฟแบบลุง ลุงว่าคนไหนจะดีกว่ากันล่ะ”สิงห์สรุปเอาง่ายๆแบบเห็นภาพ

“เออ..น่าจะจริงของเอ็งไอ้สิงห์ เอ็งก็ต้องดีกว่าข้า ส่วนข้าแสบหูแสบตาไปหมดแล้ว”พรานชราพูดจบก็ลุกขึ้นเปลี่ยนที่นั่ง

“พ่อ แล้วปลาในถุงนี้ล่ะ จะทำอะไร เดี๋ยวก็เน่ากันพอดี”เคิ้งร้องถาม ขณะชูถุงปลาเล็กปลาน้อยให้ดู

“บ๊ะ..ข้าเกือบลืมแล้วมั๊ยล่ะ ทำหมกแล้วกันง่ายๆ ไอ้พุ่มเอ็งไปตัดใบตองให้ข้าสักสองสามใบ”พรานชราสั่งงาน

“เออลุงโส่ย ลุงช่วยทำกระทงใส่ของไหว้ให้ผมสัก สามสี่ใบหน่อยนะ”สิงห์พูดจบก็ยกหม้อต้มมันลงจากเตา

“ผมจะได้รีบเอาไปถวายแม่ตะเคียน เดี๋ยวมันจะสายไปกันใหญ่”พูดจบก็ยกนาฬิกาขึ้นดู ซึ่งตอนนี้เข็มนาฬิกาบอกเวลาที่ 8.15 น.

          เพียงไม่ถึงอึดใจเจ้าพุ่มก็เดินแบกใบตองมาสามสี่ใบ พรานโส่ยจัดแจงแบ่งใบตองออกสามใบ ส่งให้เจ้าเคิ้งลูกชาย เอาไปใช้ทำหมกปลา ซึ่งเจ้าเคิ้งเองก็ใช่ว่าจะทำอะไรไม่เป็นเลย ในเรื่องการทำอาหารก็เก่งเกินตัว พูดไปแล้วหมกปลาก็ไม่ได้ทำยากเย็นแสนเข็นอะไรนัก เครื่องแกงก็มีอยู่แล้ว คือพริกแห้ง กระเทียม หอมแดง ข่า ตะใคร้ เอามาโขลกรวมกันพอหยาบๆ ก็เอาไปคลุกเคล้ากับลูกกุ้งลูกปลาที่หามาได้ เติมเกลือลงไปนิดหน่อย เป็นอันจบ แต่ยังไม่เสร็จพิธี จากนั้นใช้ใบตองห่อหลายๆชั้น ถ้ากลัวห่อแล้วใบตองจะแตก ก่อนนำใบตองมาห่อ ก็นำไปลนไฟสักพักให้นิ่ม เท่านี้ก็ไม่ต้องกลัวห่อปลาแตกแล้ว จากนั้นก็ใช้ไม้หนีบคีบให้แน่น โดยใช้เถาวัลย์เส้นเล็กๆมัดปลายไม้คีบกันหลุดอีกที แล้วจึงนำไปปิ้งกับไฟอ่อนๆ

          ส่วนพรานโส่ยหลังจากเลือกใบตองที่จะเอามาทำกระทงได้ตามที่ต้องการแล้ว แกก็นำใบตองไปลนไฟอ่อนๆให้มันนิ่ม เพื่อที่จะง่ายเวลาเย็บกระทง เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้นแล้ว ใบตองจะแตกง่าย กระทงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าถูกเย็บด้วยซีกไม้กลัด ที่ทำจากเศษไม้ไผ่ชิ้นเล็กๆ จำนวนสี่ใบก็เสร็จอย่างรวดเร็ว  แถมพรานโส่ยยังใช้ กาบกล้วย ที่ถูกทิ้งจากการเอาหยวกกล้วยมากิน นำมาทำถาดใส่กระทงอีกทีเพื่อกันกระทงพลิกคว่ำ หรือไม่ก็ตกหล่นเวลาเดินทาง ซึ่งดูคล้ายๆ กระทงเซ่นไหว้ตามทางสี่แพ่ง หรือตามคันนา

          ข้าวสวยในหม้อสนามถูกตักแบ่งใส่กระทงใบตอง จนพูน นอกจากข้าวสวยแล้วยังมีแกงตะพาบของลุงโส่ย และยำกบฝีมือสิงห์อีกอย่างละกระทง สำหรับของอาหารคาว คงหมดปัญหา รวมถึงของหวาน คือมันเทียนเชื่อม อีกกระทง ทำให้เขาเบาใจได้อีกเป็นกอง ทีแรกสิงห์ทำท่าว่าจะรอหมกปลาของเคิ้งอีกอย่าง แต่กว่าจะสุกได้ที่คงต้องรออีกนานโข เพราะกลัวว่าจะสายจึงเปลี่ยนใจไม่อยู่รอ

“เดี๋ยวผมไปเลยดีกว่าลุง ถ้าพรานเบแกกลับมา ก็บอกว่าผมไปไม่นานหรอก”สิงห์พูดขณะเดินไปหยิบปืนคู่กายหลังจากมันถูกวางอิงไว้กับต้นไม้จนลำกล้องเย็นเฉียบ มาตรวจดูความเรียบร้อย ก่อนขึ้นสะพายไหล่

“รีบไปรีบกลับก็แล้วกัน”พรานเฒ่าพูดจบก็ยกถาดเครื่องเซ่นส่งให้สิงห์

“ขอเหล้าป่าผมสักหน่อยสิลุง เติมใส่กระติกผมก็ได้”สิงห์ร้องขอเหล้าป่า ที่มีอยู่เหลือเฟือเป็นแกลอนพรานโส่ย

“นานๆที่จะเจอเหล้า เอาไปแถมให้สักจอก”สิงห์พูดติดตลก

          เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เขาก็ออกเดินทางทันที ก่อนเดินจากที่พักมาเขาก็ร้องบอกให้ทุกคนกินข้าวกินปลากันก่อน ไม่ต้องรอ รวมถึงฝากบอกพรานคนอื่นๆที่ยังไม่กลับมาด้วยว่า เขาจะรีบไปรีบกลับ ไม่ต้องเป็นห่วง แล้วเขาก็ไล่เจ้าหมาสองตัวที่ทำท่าว่าจะวิ่งตามไปด้วย แต่พวกมันก็เหมือนจะไม่เชื่อคำสั่งที่เขาตวาดออกไป แต่เมื่อโดนท่อนไม้ขนาดเขื่องปาเขาใส่ถึงจะได้ผล เพียงไม่ถึงอึดใจร่างของชายหนุ่มก็ถูกกลืนหายเขาไปในดงทึบเบื้องหน้า

          ชายหนุ่มบรรจงประคองเครื่องเซ่นไหว้อย่างระมัดระวัง เพราะกลัวจะตกหล่นหรือหกเสียกลางทาง โดยเฉพาะตอนที่จะต้องเดินลอดซุ้มไม้และเถาวัลย์ ที่ทอดขวางลำห้วย ซึ่งมันทอดยาวไปตามหุบเขาเบื้องหน้า ที่ตอนนี้ดูทึบทะมึนด้วยต้นไม้ใหญ่นานาชนิด ครั้งหนึ่งเขาเกือบจะล้มหงายหลัง เพราะเหยียบหินก้อนหนึ่ง ซึ่งเกิดพลิกเพราะมันอยู่ในตำแหน่งที่หมิ่นเหม่มาก่อนแล้ว แต่เดชะบุญ ที่เขาสามารถใช้มืออีกข้างยันตัวไว้ได้ทัน เมื่อตั้งหลักได้เขาก็รีบตรวจดูเครื่องเซ่นไหว้ ว่ายังอยู่ในสภาพดีหรือไม่ อย่างใจคอไม่ดีนัก เพราะถ้ามันหกหมดคงต้องกลับไปทำมาใหม่ แต่เมื่อตรวจดูแล้วก็ทำให้โล่งอก เพราะทุกอย่างยังอยู่ในสภาพดี มีเพียงน้ำแกง ของแกงตะพาบหกกระฉอกออกมาเล็กน้อยเท่านั้น

          เสียงน้ำในลำห้วยไหลริน ดังจุ๋งจิ๋ง ครั้นเมื่อกระทบแก่งหินน้อยใหญ่ บางระดับที่อยู่สูงขึ้นไปก็ไหลตกลงมาเป็นน้ำตกขนาดเล็ก ดัง ซู่ซ่า สายน้ำสาดกระเซ็นเป็นฝอยละอองเล็กๆ คละเคล้ากับละอองหมอกจางๆ ที่ยังทอดตัวต่ำในพื้นป่า ละอองหมอกเป็นฝอยเล็กจับอยู่ตามใบไม้และต้นไม้จนชื้น ก่อนที่จะรวมตัวกันเป็นหยดน้ำตกลงพื้น เสียงลมจากปีกของนกกก หรือไม่ก็นกเงือกขนาดใหญ่ บินผ่านไปเหนือหัว เสียงของมันดัง หวือๆ แต่ก็มองไม่เห็นตัวของเจ้าของเสียง เพราะเบื้องบนนั้น หนาทึบไปด้วยยอดไม้ราวกับดอกกระล่ำปลี ชายหนุ่มยังคงดั้นด้นต่อไปอย่างไม่ลดละ โดยมือซ้ายคอยประคองถาดเครื่องเซ่น ส่วนมือขวาคอยแหวกพุ่มรก ที่เข้ามากีดขวางเส้นทางในลำห้วยนั้น ครั้งหนึ่งชายหนุ่มต้องสะดุ้ง เมื่ออยู่ๆ พุ่มไม้เบื้องหน้ามีอาการสั่นไหวดังซ่า ติดตามมาด้วยเสียง โครม บนพื้นดังสนั่น เล่นเอาคนที่เดินมาคนเดียวขวัญผวา แต่เมื่อตั้งสติดูดีๆ ก็ทำให้โล่งอก เพราะที่มาของเสียงเกิดจาก กิ่งไม้ผุบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งเกิดหักลงมาโดยบังเอิญ เมื่อไม่มีอะไรผิดสังเกตอย่างที่ตัวเองคิด ชายหนุ่มก็เดินลัดเลาะไปตามชายห้วยนั้นต่อไป

          กระรอกแดงตัวหนึ่งกำลังหาลูกไม้สุกกินอย่างเพลิดเพลินบนยอดไม้ใหญ่ ครั้นเมื่อสำเหนียกเสียงผิดปกติจากพื้นเบื้องล่าง อารามด้วยความตกใจที่เห็นสิ่งมีชีวิตปริศนาโผล่ออกมาจากซุ้มไม้ มันจึงรีบกระโจนเข้าไปแอบบังตรงคาคบที่เต็มไปด้วยเถาวัลย์ ก่อนส่งเสียงร้อง ป๊อกๆ เป็นจังหวะ พร้อมกับทำหางฟูแกว่งไปมา มนุษย์ปริศนาเงยหน้าขึ้นมามองที่มาของเสียง แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆที่จะเป็นภัยต่อมัน เพียงอึดใจต่อมามนุษย์ปริศนาก็เดินผละไป

          ที่ลำห้วยกว้างตอนหนึ่ง ซึ่งมีน้ำใสไหลรินลึกไม่เกินครึ่งหน้าแข้ง ริมฝั่งห้วยทั้งสองด้านเต็มไปด้วยก้อนหินและก้อนกรวดหลากหลายสี แต่ละก้อนเล็กใหญ่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่ดูเหมือนกันคือ ความราบเรียบเป็นมนไม่มีเหลี่ยมมุมเลยแม้แต่ก้อนเดียว ราวกับว่าเป็นหินจากแม่น้ำหรือไม่ก็หินตามเหมืองพลอยที่นิยมเอามาประดับสวน นอกจากหมู่หินนั้นแล้ว ใต้ผืนน้ำยังอุดมไปด้วยฝูงปลาเล็กปลาน้อย วายวนเวียนเต็มไปหมด ทั้งปลาเวียน ปลาสร้อย และปลาซิว ส่วนตามขอนไม้และกิ่งไม้ใต้น้ำ ยังมีหอยขมเกาะอาศัยอยู่มากมาย

          ณ บริเวณริมห้วยสายนั้นเหนือขึ้นไป เงาตะคุ่มๆของตะเคียนยักษ์ต้นใหญ่ ที่ยืนต้นทะมึนหน้าเกรงขามในสายหมอก ซึ่งตอนนี้มองเห็นไม่ชัดนัก เพราะหมอกยังปกคลุมอยู่หนาทึบ แต่เมื่อชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ ก็พอจะมองเห็นชัดขึ้น แต่ก็มองเห็นได้แค่เพียงแค่ครึ่งต้น ส่วนปลายยอดถูกกลืนหายเข้าไปในสายหมอก บริเวณตำแหน่งที่เคยดักลอบ ร่องรอยความเสียหายของรากตะเคียนที่แหลกยับยังมองเห็นถนัด และตรงนี้เองที่นำพาให้ชายหนุ่มต้องดั้นด้นมาเพื่อขอขมา เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเขาและพรานเฒ่า ชายหนุ่มรวบรวมความทรงจำ และมองไปรอบๆบริเวณโคนต้นตะเคียนนั้นอย่าง พิจารณา แล้วบ้างสิ่งบางอย่างทำให้เขาต้องตื่นเต้น!!


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #3 on: 22 April 2021, 09:12:36 »


เจ้าเคิ้งยิ้มหวาน


พรานพร


เจ้าพุ่ม กับ อีแก๊ป คู่ชีพ


ลุงโส่ย พรานชรา แห่งบ้านปลายนาสวน


รูปนี้เอามาฝากครับ ไม่เกี่ยวกับนิยาย เป็นกิจกรรมเล็กๆ(ไม่เล็กนะ) ถ้าน้าๆเห็นขบวนรถ ซูซูกิ เมื่อวันเสาร์แถวๆเขาเขียว พัทยาที่ผ่านมา อาจจะแปลกใจ ว่าทำไมถึงได้เยอะแยะมากมาย คือวันนั้น พวกผมที่ใช้รถซูซูกิทั่วประเทศ มาร่วมขบวน ซูซูกิ ยาวที่สุดในโลกครับ


สุดลูกหูลูกตา


เพียบเลยครับ รถติดเป็นกิโล น้าๆที่คอเดียวกัน เข้ามาคุยกันได้นะครับ


.....
SHATTER:  มีคำพิมพ์ผิดนิดหน่อย เผื่อน้าเก็บไว้ส่งโรงพิมพ์ เป็นย่อหน้าข้างล่างคำสุดท้ายครับ

          เสียงน้ำในลำห้วยไหลริน ดังจุ๋งจิ๋ง ครั้นเมื่อกระทบแก่งหินน้อยใหญ่ บางระดับที่อยู่สูงขึ้นไปก็ไหลตกลงมาเป็นน้ำตกขนาดเล็ก ดัง ซู่ซ่า สายน้ำสาดกระเซ็นเป็นฝอยละอองเล็กๆ คละเคล้ากับละอองหมอกจางๆ ที่ยังทอดตัวต่ำในพื้นป่า ละอองหมอกเป็นฝอยเล็กจับอยู่ตามใบไม้และต้นไม้จนชื่น


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #4 on: 22 April 2021, 09:16:03 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 5 ตอนที่ 3


จบบทที่ 5

ตอนที่ 5.3

    กลิ่นหอมจางๆของดอกไม้ชนิดหนึ่ง ลอยมากระทบจมูกของเขาอย่างบังเอิญ กลิ่นนี้มันช่างคุ้นเคยเหมือนเขาเคยได้กลิ่นนี้ที่ไหนมาก่อน ใช้แล้วกลิ่นหอมของหล่อน หล่อนที่มาให้เขาเห็นในนิมิต และหล่อนคนที่ทำให้เขาต้องเดินบุกป่ามาเพียงลำพัง จะด้วยความฝันเพ้อเจ้อของเขาเอง หรือจะเป็นเพราะเจ้าป่าเจ้าเขามาสำแดงเดชก็ไม่ทราบได้ แต่ที่แน่ๆ กลิ่นนี้มันชัดเจน และเป็นกลิ่นที่เขาจดจำได้แม้จะได้กลิ่นเพียงแค่ครั้งเดียว แต่เพราะเป็นคนไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่ เพราะอีกใจก็คิดว่ามันน่าจะเป็นกลิ่นดอกไม้ป่า ครั้นเดินสำรวจไปรอบๆก็ไม่เห็นที่มาของกลิ่น แต่พอชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปสำรวจบนต้นตะเคียนยักษ์ ก็ทำให้เขายิ้มกับความคิดตีโพยตีพายของเขาไปเองว่าเป็นกลิ่นของนางไม้ ช้างกระกอใหญ่นี้เอง ที่ส่งกลิ่นหอมตระหลบอบอวนไปหมดทั้งบริเวณ
ชายหนุ่มทรุดกายลงนั่งบนหินราบเรียบก้อนหนึ่งไม่ห่างจากโคนตะเคียนใหญ่มากนัก เขานั่งคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา คงเป็นความฝัน ความฝันที่เขานึกเห็นขึ้นมาเองเสียมากกว่าที่มันจะเป็นเรื่องจริง เป็นความฝันซ้อนฝัน ที่เขาเองก็อยากจะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจ แต่ไหนๆก็เดินถือถาดเครื่องเซ่นมาตั้งไกลโข จะหิ้วกลับก็ใช่ที่ และเพื่อความสบายใจของตัวเขาเองด้วย ที่สัญญากับนางตะเคียนในฝันไปแล้วใครจะว่าบ้าก็ยอม

          ชายหนุ่มค่อยๆวางถาดเครื่องเซ่นอย่างถนอมบนลานหินนั่น เพื่อจะถอดปืนยาวของเขา ที่สะพายมาด้วยออก โดยนำปืนยาวกระบอกนั้นมาวางนอนข้างๆตัว จากนั้นก็เดินไปแบกก้อนหินที่มีลักษณะแบนก้อนเขื่อง ไปวางไว้ใต้โคนตะเคียนนั้น โดยใช้ก้อนหินเท่ากำมือมาวางรองอีกที ทำเสมือนว่า ก้อนหินแบนก้อนนั้นเปรียบเสมือนโต๊ะวางกับข้าว เมื่อตรวจดูว่าไม่กระดก และแข็งแรงดีแล้ว ชายหนุ่มก็วางถาดเครื่องเซ่นบนแท่นหิน หรือโต๊ะอาหารจำเป็น แถมด้วยจอกไม้ไผ่ที่ด้านท้ายทำเป็นที่ปักดิน ซึ่งภายในจอกน้ำนั้นมีเหล้าป่าใสแจ๋วอยู่เต็ม ชายหนุ่มนั่งคุกเขา แล้วรวมรวมสมาธิ ก่อนจะหลับตาพร้อมยกมือพนมอธิฐานจิต แล้วพูดออกมาว่า

“ถึงเจ้าแม่ตะเคียน และเจ้าป่าเจ้าเขา ที่ปกปักษ์รักษาผืนป่าแห่งนี้”สิงห์ยุด แล้วสูดลมเข้าปอดลึก แล้วพูดต่อมาอีกว่า

“ลูกช้างได้นำเครื่องเซ่น ทั้งของคาว และของหวาน มาถวาย เพื่อเป็นการขอขมา ต่อเจ้าแม่ตะเคียน และเจ้าป่าเจ้าเขา ตามที่ลูกช้างได้สัญญาไว้ ซึ่งลูกช้างและคณะของลูกช้าง อาจทำการณ์ไม่ดี โดยตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี ขอให้เจ้าแม่ตะเคียน และเจ้าป่าเจ้าเขา โปรดอย่าได้ลงโทษลูกช้าง และคณะของลูกช้างเลย”สิงห์นิ่งไปอึดใจแล้วกล่าวทิ้งท้ายต่ออีกว่า

“คณะของลูกช้าง และตัวลูกช้างเอง ไม่มีเจตนาอันเป็นการลบหลู่ต่อสิ่งสักสิทธิ์ที่ปกป้องผืนป่าแห่งนี้ ลูกช้างและคณะเข้ามาเพื่อการณ์ท่องเที่ยว ขอให้เจ้าแม่ตะเคียนและเจ้าป่าเจ้าเขาได้โปรดช่วยคุ้มครอง ให้คณะของลูกช้าง และตัวลูกช้าง จงอย่าได้พบปะอันตรายใดๆจากป่าแห่งนี้เลย....”สิงห์พูดจบก็ก้มลงกราบ

“คงจะเสร็จพิธีแล้วสินะ”ชายหนุ่มนึกอยู่ในใจ แล้วปล่อยลมฟู่ออกจากปาก อย่างโล่งอก ก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นยืน
หลังจากสำรวจดูความเรียบร้อยของเครื่องถวาย ว่าจะไม่มีอะไรทำให้ล้มคว่ำไปเสียก่อน สิงห์ก็เดินพละไปจากที่แห่งนั้น อย่างไม่รีบร้อนอะไรนัก ก่อนที่จะก้าวมุดซุ้มเถาวัลย์ เขาก็หันมามองจุดวางเครื่องเซ่นและต้นตะเคียนยักษ์อีกครั้ง แล้วก็หันหลังเดินกลับแค้มป์ทันที

          ทุกก้าวย่างของชายหนุ่ม เต็มไปด้วยอาการครุ่นคิด ในความสับสนวุ่นวายอยู่ในหัวของเขา เหตุการณ์เมื่อคืนมันเป็นยังไงมายังไงกันแน่ ยากนักที่เขาจะกลับไปอธิบายให้คนในคณะรับฟังได้ ครั้นถ้าเล่าไปแล้ว คนกะเหรี่ยงบ้านป่า ก็มีความเชื่อเรื่องผีสางนางไม้อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ขืนเล่าไปมีหวังคงอกสั่นขวัญแขวนไม่ออกเดินทางต่อคงยุ่งเลย ก็คงต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความลับต่อไป

          ตัดมาที่แค้มป์ พรานเบ พรานพร และพรานแปะ กลับมาถึงที่พักหลังจากสิงห์เดินหายเข้าป่าไปไม่เกิน 10 นาที ซึ่งพรานทั้งสามไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาเลย นอกจากปืนและของใช้จำเป็นไม่กี่อย่าง ที่ติดตัวตอนไปนั่งห้าง โดยเฉพาะพรานเบ และพรานพร ที่น่าจะเหนื่อยกว่าเขาเพื่อน เพราะไปนั่งทรมานมาทั้งคืน ส่วนพรานแปะ หลังจากช่วยพรานโส่ยชำแหละตะพาบ และกบแล้ว ก็ออกหายิงนกยิงหนูตามประสา แต่ก็ไม่ได้อะไรมาเลยเช่นกัน

“สิงห์มันไปไหนล่ะตาโส่ย”พรานเบร้องถาม

“มันเอาของเซ่นไปไหว้เจ้าป่า ที่ตะเคียนใหญ่โน่น เดี๋ยวมันก็มา”พรานชราร้องตอบ

“หา...แกจะบ้ารึ ปล่อยไอ้สิงห์มันไปคนเดียวได้ยังไง เดี๋ยวได้หลงป่าล่ะยุ่งตายเลย” พรานพรพูดอย่างร้อนรน

“ไปแค่ใกล้ๆแค่นี้เอง เอ็งก็เห็นมันเป็นเด็กๆไปได้ อีกอย่างมันก็เดินเลาะไปตามลำห้วยนี้ล่ะ ขากลับมันก็ต้องล่องกลับมาตามลำห้วยเดิม”พรานเฒ่าพูดจบก็บ้วนน้ำหมากลงพื้น

“ถ้ามันเซ่อซ่าหลังทิศหลงทาง กะอีแค่เดินทวนน้ำกะตามน้ำ ง่ายๆแค่นี้แล้วทะลึ่งหลง ก็ปล่อยให้มันหลงเสียให้เข็ด ฮาๆ”พรานชราพูดจบก็หัวเราะจนเห็นฟันดำปี๋

“ไอ้สิงห์มันคงไม่หลงง่ายๆหรอก ไอ้พร ข้าก็ว่าแบบเดียวกับตาโส่ย มาเที่ยวป่าก็หลายครั้งหลายหน มันคงไม่หลงง่ายๆหรอกมั้ง”พรานเบพูดจบก็เดินถือผ้าขาวม้าลงไปที่ชายห้วย

“แล้วพวกเอ็งกินข้าวกินปลากันยังล่ะ”พรานพรหันไปร้องถามเจ้าพุ่มและเจ้าเคิ้งที่ ตอนนี้กำลังนอนเล่นบนเปลอย่างสบายใจ

“ยังเลย ว่าจะรอกินพร้อมพี่สิงห์เขา อีกอย่างผมยังไม่ค่อยหิว”เคิ้งร้องตอบ

“สิงห์มันบอกว่า ถ้าหิวก็กินกันก่อนไม่ต้องรอมัน”เหน๋อร้องเสริมมาอีกคน

“แล้วทำอะไรกินกันล่ะ”พรานพรร้องถาม

“แกงตะพาบ ยำกบ ปลาย่างกับน้ำพริกเผา ออ..มีมันเชื่อมด้วย”พรานโส่ยร้องตอบ

“ดีจริงเว้ย อยู่ป่าอยู่ดงแบบนี้ยังมีมันเชื่อมให้กินอีก”พรานแปะพูดจบก็เดินไปเปิดฝาหม้อต้มมันดู

“แล้วไปเอามันเทียนมาจากไหนล่ะ ใครหามา” พรานแปะร้องถาม

“จะมีใครล่ะ ก็ไอ้สองตัวนี้ล่ะ ข้าให้มันไปหาตัดยอดหวายมาแกงตะพาบ ดันถ่อไปขุดหัวมัน”พรานโส่ยพูดจบก็ซุนท่อนฟืนเข้าไปในกอง

“รอไอ้สิงห์มันกลับมาค่อยกินพร้อมมันก็ได้ ข้ายังไม่หิวหรอก”พรานชราพูดพลางนั่งม้วนยาเส้นไปพลาง

“จะไปหิวอะไร ล่อมันเผาไปตั้งหลายหัว ฮ่าๆ”เจ้าพุ่มพูดจบก็รีบกระโจนลงจากเปลแทบไม่ทัน เพราะไม่กี่อึดใจท่อนฟืนดุ้นเขื่องก็ลอยมาที่เปลของมันพอดี

“นั้นไง ข้าว่าแล้วเดี๋ยวมันก็มา โน่นโผล่มาโน่นแล้ว” พรานเฒ่าพูดจบก็บุ้ยปากไปที่ชายป่าริมห้วยเมื่อเห็นร่างของชายหนุ่มค่อยๆเดินแหวกดงกระวานออกมา

“มาโว้ย ไอ้พุ่ม ไอ้เคิ้ง เอ็งสองคนมาช่วยข้าปูผ้าใบ จะได้กินข้าวกินปลากัน ไอ้เบกับไอ้พรคงหิวแย่”พรานชราพูดจบก็เดินไปหยิบผ้าใบ ที่เหน็บอยู่ที่ง่ามไม้

“เป็นยังไงบ้านพี่พร ได้อะไรมาหรือเปล่า”สิงห์ร้องถามพรานพร ที่กำลังนั่งจิบกาแฟอยู่

“ไม่ได้อะไรเลย เจอแต่กระจงมาวิ่งเล่นสามสี่ตัว”พรานพรจบก็ยกกาแฟขึ้นดื่มอึกสุดท้าย

“ถ้ามีลูกกรดของเอ็งไปด้วยคงจะได้ตัว”พรานพรพูดจบก็ยกน้ำในจอกขึ้นดื่มล้างคอ

“แล้วพี่แปะล่ะ ได้อะไรมาบ้างเห็นไปตั้งแต่ผมยังไม่ตื่น”สิงห์ร้องถามพรานแปะ ที่ตอนนี้กำลังยกหม้อสนามขึ้นมาวางกลางลานผ้าใบ

“ไม่ได้อะไรเลย เจอไก่ฟ้า กับกระรอกดง แต่ยิงไม่ทัน”พรานแปะพูดจบก็ค่อยๆงัดฝาหม้อสนาม ที่ภายในมีข้าวสวยร้อนๆรอคอยอยู่

“เอ็งมาก็ดีแล้วไอ้สิงห์ จะได้กินข้าวกินปลากันเลย กี่โมงแล้วล่ะนั่น” พรานโส่ยร้องถาม

“ เก้าโมงจะครึ่งอยู่แล้ว ฮาๆ รอผมนานหรือเปล่า คงหิวกันแย่ บอกแล้วว่าให้กินกันก่อนเลยไม่ต้องรอ”สิงห์พูดหลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู พูดจบก็ยืนเกาหัวแกรกๆ

“ก็ไม่ได้รออะไรนานหรอก ไอ้สามตัวนี้ มันก็เพิ่งจะมาถึงก่อนเอ็งไม่เท่าไหร่”พรานโส่ยพูดจบก็ใช้ช้อนตักข้าวใส่จาน

“แล้วทางน้าเบล่ะ ไม่เจออะไรเลยรึ”สิงห์ร้องถาม พรานเบที่ตอนนี้กำลังเอาผ้าขาวม้ามาตากที่เชือกเปล

“เจอ เก้งแม่ลูกอ่อน คู่เดียว แต่ข้าไม่ได้ยิงมันหรอก”พรานเบพูดจบก็เดินมาที่วงข้าว

“ดีแล้วอย่าไปทำมันเลย ยิงแม่มันมา ลูกมันก็คงไม่รอด”พรานเฒ่าพูดจบก็ตักข้าวเข้าปาก

“อ้าว..แล้วน้ำพริกเห็นว่าจะหมดแล้วนี้ แล้วใครตำใหม่ล่ะ”สิงห์พูดจบก็ม้วนยอดผักกูดจิ้มน้ำพริกเผาเข้าปาก

“ข้าเอง เห็นมันพร่องลงไปเยอะ ข้าอยู่ว่างๆก็เลยตำใหม่ อยู่ในกระปุกอีกเกือบเต็ม”พรานชราพูดจบก็ตักยำกบมาคลุกกับข้าวสวย
อาหารเช้าที่มากินเอาเกือบสิบโมง เต็มไปด้วยความเอร็ดอร่อย ทั้งแกงตะพาบใส่ยอดหวายและหยวกกล้วยป่า แถมยังมียำกบของสิงห์อีกจานใหญ่ ซึ่งมีผักป่านานาชนิดมาเป็นเครื่องเคียง ไม่ว่าจะเป็น ยอดมะกอกป่า ผักหนาม ผักกูด ชะพลู ที่สามารถกินคู่กับยำกบ และน้ำพริกเผาอีกถ้วยได้อย่างลงตัว หนำซ้ำยังมีหมกปลาอีกห่อใหญ่ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนได้มาจากธรรมชาติ โดยทุกคนช่วยกันเสาะแสวงหาเอามาประทังชีวิตได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เพียงแต่ใช้ทักษะของแต่ละคน ว่าจะถนัดในด้านไหน

          เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงข้าวในหม้อสนามทั้งสามใบ รวมทั้งแกงตะพาบ ยำกับ หมกปลา และน้ำพริกเผา ก็หมดไม่มีเหลือ ทุกคนกินจนลืมอิ่ม อาจจะเป็นเพราะความหิวและบรรยากาศด้วยก็ได้ จึงทำให้ทุกอย่างที่กินดูเอร็ดอร่อยไปเสียหมด แม้แต่ผักเปล่าๆก็ยังมีความรู้สึกหวานกรอบโดยที่ไม่ต้องอาศัยน้ำพริกเลย

“อย่าลืมมันเชื่อมเสียล่ะ อุตส่าห์ทำให้กิน”สิงห์ร้องบอก

“เออวะ ข้าก็เกือบลืมเสียสนิท” เหน๋อร้องตอบ พูดจบก็ยกน้ำในจอกไม้ไผ่ขึ้นดื่ม

“แล้วเราจะเริ่มเดินทางกันต่อเมื่อไหร่ น้าเบ”สิงห์ร้องถามพรานเบ ที่ตอนนี้นอนสูบบุหรี่ใบตองแห้งบนเปล

“ข้าว่าตะวันตรงหัวก็ไปกันต่อดีกว่า”พรานเบร้องตอบหลังจากพ่นควันยาเส้นขึ้นฟ้า

“เหลือเวลาอีกเกือบ สองชั่วโมง”สิงห์พูดจบหลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู

“พอมีเวลานั่งพักเอาแรง ใครว่างๆก็เตรียมเก็บข้าวเก็บของแล้วกัน”พรานแปะร้องตอบมาอีกคน

“น้ำพริกข้าตำเพิ่มไว้แล้วอีกกระปุก อย่างน้อยๆอยู่ได้อีก สองถึงสามวัน”พรานชราพูดจบก็ตักมันเชื่อมเข้าปาก

“เสียดายเมื่อคืน ถ้าข้าเอาปืนของไอ้สิงห์ไป อย่างน้อยๆ ก็ได้กระจงมากินแล้ว”พรานพรพูดอย่างเสียดาย

“ก็เอ็งไม่เอาไปเองนี้หว่า”พรานเบร้องตอบ

“ก็ใครจะไปรู้ว่ามันจะมาวิ่งเล่นใต้ห้างข้าเยอะแยะขนาดนั้น ว่าจะยิงด้วยลูกซองก็คงไม่เหลืออะไรให้กิน เพราะเละหมด”พรานพรพูดจบก็ม้วนบุหรี่ใบตองแห้ง

“ข้าก็เกือบล่อแม่เก้งมาแล้ว ดีที่เห็นลูกมันกระโจนออกมา เลยไม่คิดจะยิงมัน”พรานเบพูดจบก็ยกปืนลูกซองออกมาตรวจดู

“ดีแล้วน้าเบ สงสารมัน ยิงแม่มันตายลูกมันก็คงไม่รอด”สิงห์หันไปตอบ

          แสงแดดยามสายส่องลอดช่องใบไม้มาเป็นลำ ละอองหมอกที่ดูหนาทึบเมื่อตอนเช้า ครั้นเมื่อต้องแสงแดดมากเข้าก็ระเหยหายไปหมด ป่าที่ดูทึบทะมึน ก็กลับมาสว่างไสวอีกครั้ง เสียงนกกานานาชนิด เริ่มส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ดังลั่นป่าไปทุกทิศทุกทาง เสียงร้องรัว ของนกกระทาดง ดังมาจากหุบไหนสักแห่งไกลออกไป รวมถึงไก่ป่าที่นานๆครั้งก็ร้องขันออกมาสักทีหนึ่ง เสียง ซี๊ดๆ ของแมลงและจักจั่น ก็พากันกรีดปีกผสานเสียงกันดังไปหมด ป่าที่ดูเงียบเหงาเมื่อตอนค่ำ ราวกับป่าช้า ทั้งวังเวง และน่ากลัว แต่เมื่อมีแสงสว่างและไออุ่น ป่าที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย ก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
หลังจากพักเอาแรกกันพอสมควร ทุกคนก็ช่วยกันเก็บข้าวของ เจ้าพุ่มและเจ้าเคิ้ง สองกะเหรี่ยง หลังจากกวาดเศษข้าวมาคลุกกับน้ำแกงให้หมาสองตัวเสร็จ ก็ช่วยกันนำถ้วยจานลงไปล้างที่ริมห้วย พรานแปะและพรานพร ช่วยกันจัดเก็บของบนร้านวางของ ส่วนลุงโส่ยกับเหน๋อ ช่วยกันพับเก็บผ้าใบที่นำมาปูพื้นและทำหลังคา พับเก็บใส่ถุงปุ๋ยอย่างเรียบร้อยที่สุด พรานเบก็ไม่ได้อยู่เฉย เพราะแกบรรจงห่อปลาย่างและกบย่าง ที่มีอยู่หลายไม้ ด้วยใบตองอย่างดี เพื่อเก็บไว้เป็นเสบียงในมื้อต่อไป โดยไม่ต้องกลัวว่ามันจะเน่าเสีย เพราะพรานโส่ย ย่างไว้อย่างดี อย่างน้อยๆก็เก็บไว้ได้ถึง สามวัน สำหรับสิงห์หลังจากพับเก็บเปลสนามของตัวเองเรียบร้อย ก็พรากไฟในกองไม่ให้มันลุกลามไปที่อื่น เพราะถ้าเกิดเป็นไฟป่าขึ้นมา ก็ไม่ต้องคิดหวังว่าจะดับได้

          เมื่อทุกคนพร้อม คณะท่องไพร ก็ออกเดินทางอีกครั้งเมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นตรงหัวพอดี จุดหมายปลายทางเบื้องหน้าจะยากลำบากอย่างไร ไม่อาจทราบได้ แต่พวกเขาเหล่านั้นยินดีและยินยอมที่จะเผชิญกับมัน โดยไม่คิดเกี่ยงงอนแม้แต่นิดเดียว เพราะเขาได้เลือกมันแล้ว เลือกที่จะลำบาก เลือกที่จะเผชิญ มีเพียงโชคชะตาและแรงศรัทธาเท่านั้น ที่พอจะเป็นกำลังใจให้เดินทางต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ….


*****จบบทที่ 5 เนื้อเรื่องจะดำเนินต่อไปแบบไหน และพวกเขาเหล่านั้นจะพบเจอกับสิ่งใด โปรหาความบันเทิงได้ต่อในบทที่ 6!!!*****


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #5 on: 22 April 2021, 09:22:35 »


ปางพัก แค้มป์แนวเพื่อชีวิต


พรานพร กับกุ้งห้วย ที่หาได้ เตรียมทำหมกกุ้งครับ กุ้งห้วยตัวใหญ่ๆ


บางครั้งอาหารการกินไม่ได้ดีนัก ยึดกฎทางใจเพียงแค่ กินเพื่ออยู่ หลายครั้ง กับข้าวป่าของผมก็มีแค่น้ำพริกนรกใส่น้ำต้มทำเป็นน้ำแกงกินกับข้าวกันติดคอ กับผักป่าเท่าที่จะเก็บมากินได้


พรานโส่ย กับยอดมันป่า (กะเหรี่ยงเขาว่างั้น) ผัดกินกับน้ำมันหอย หน่อไม้ฝรั่งเห็นๆ หรือจะต้มกินกับน้ำพริกเผา ก็เรี่ยม




"อ๊อมี" ครับน้าๆ

(กินข้าว)
"อ๊อ" แปลว่า กิน
"มี" แปลว่า ข้าว

ภาษากะเหรี่ยง บทละคำ (แถม)

อธิบายรายการอาหารหน่อยนะครับ ส่วนจานไหนจะเป็นเมนูอะไร ลองคิดเอานะครับน้า

1.ยำปลากระป๋อง
2.ผัดยอดมันป่าน้ำมันหอย
3.แกงส้มปลากั๊งใส่กุ้งห้วย
4.แกงป่ากระรอกแดง
5.น้ำพริกเผา(พริกกะเหรี่ยง)+หยวกกล้วยป่าเผา
6.หมกกุ้งห้วย

ปล.ดูไปดูมากินดีกว่าอยู่ที่บ้านอีกเนอะ น้าๆว่ามั๊ยครับ ที่เห็นเยอะๆแบบนี้ ไม่ได้กินไม่กี่คนนะครับ เป็นสิบคนครับ
.....

SHATTER:  เล็กๆน้อยๆที่พอจะทำได้ ตอบแทนเรื่องราวดีๆที่มาแบ่งให้อ่าน
ไม่ได้ตั้งใจจับผิด หรือ หาคำตำหนิแต่อย่างใด  พอดีอ่านแล้วเจอเลยบอกเผื่อเป็นประโยชน์กะน้าบ้าง
คำผิดตามย่อหน้านั้นเลยครับ คำสุดท้าย

ทุกก้าวย่างของชายหนุ่ม เต็มไปด้วยอาการครุ่นคิด ในความสับสนวุ่นวายอยู่ในหัวของเขา เหตุการณ์เมื่อคืนมันเป็นยังไงมายังไงกันแน่ ยากนักที่เขาจะกลับไปอธิบายให้คนในคณะรับฟังได้ ครั้นถ้าเล่าไปแล้ว คนกะเหรี่ยงบ้านป่า ก็มีความเชื่อเรื่องผีสางนางไม้อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ขืนเล่าไปมีหวังคงอกสั่นขวัญแขวนไม่ออกเดินทางต่อคงยุ่งเลย ก็คงต้องเก็บเรื่องนี้เป็นความรับ

จะไปหิวอะไร ล่อมันเผาไปตั้งหลายหัว ฮ่าๆ ..เจ้าพุ่มพูดจบก็รีบกระโจนลงจากเปลแถบ


Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.138 seconds with 17 queries.