Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
10 May 2024, 08:11:25

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,650 Posts in 12,467 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร  (Read 613 times)
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« on: 21 April 2021, 22:27:34 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 โดย หนุ่ม ธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 1
หนุ่ม ธุดงค์ไพร



บทที่ 4

ตอนที่ 1

          แสงแดดในยามบ่าย ส่องลอดผ่านช่องใบไม้ที่หนาทึบ เกิดเป็นลำแสงขนาดต่างๆ ตามความกว้างของช่องใบไม้เหล่านั้น ครั้นเมื่อลมพัดยอดไม้ไหวเอน จึงก่อให้เกิดแสงที่ส่องลงมาบนพื้น เต้นไหวระยิบระยับดูสวยงาม ราวกับใครเอาลูกบอลติดกระจกตามบาร์มาผูกไว้กลางป่า แต่เมื่อมีเมฆลอยมาบดบังดวงอาทิตย์ แสงระยิบระยับที่ดูสวยงามนั้น ก็กลับหายไป จากความสวยงามน่าชื่นชม กลับมาเป็นความทึบทะมึนดูน่ากลัวราวกับอยู่ในก้นเหวของนรก บรรยากาศที่อบอ้าวราวกับอยู่ในตู้อบ ผสมกับกลิ่นของใบไม้เน่าที่ทับถมกันเป็นเวลานาน ทำให้หายใจหายคอไม่ค่อยสะดวกนัก ทุกคนจึงโทรมไปด้วยเหงื่อ เพราะอากาศที่ร้อนบวกกับเดินกันมาเกือบจะสองชั่วโมงแล้วโดยไม่ได้หยุดพัก จนพรานเบพาเดินตัดมาถึงเนินเตี้ยๆ ลูกหนึ่งซึ่งดูโปรงกว่าที่อื่นๆ เพราะไม่มีต้นไม้เล็กขึ้นอยู่เลย คงมีแต่เถาวัลย์ขนาดใหญ่ ทอดผ่านไปมา ห้อยโยงเหมือนกับงูยักษ์จากนรก พรานเบซึ่งเป็นคนนำทางมาถึง ก็สั่งคณะเดินทางให้หยุดพักทันที

“บ๊ะ ทำไมมันร้อนฉิ บหายแบบนี้ว่ะ” พรานชราบ่น พลางเอาผ้าขาวม้าปาดเหงื่อเม็ดโตบนใบหน้าที่เหี่ยวย่น

“หวังว่าฝนคงจะไม่ตกนะ น้าเบ” สิงห์ร้องถามพรานนำทาง

“ไม่ตกหรอก อยู่ก้นหุบมันก็แบบนี้ล่ะ”พรานเบพูดพลางส่ายหัว

“อบๆอ้าวๆแบบนี้สิดี ไอ้สิงห์ เห็ดโคนชอบ”เหน๋อเพื่อนเกลอร้องทักมาอีกคน

“เจอก็ดีสิ แต่เสียอย่างเดียว ยุงเยอะไปหน่อยว่ะ” สิงห์เสวนาตอบ

          นอกจากยุงที่มีอยู่ชุกชุมในหุบนี้แล้ว พวกแมลงดูดเลือดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวเหลือบ และทาก ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน จึงทำให้คณะเดินทางเกือบจะทุกคนเกิดความรำคาญ โดยเฉพาะยุงที่บินตอมหัวหูอยู่ให้หึ่ง ที่บินตอมก็ตอมไป ที่กัดกินเลือดตามเนื้อตามตัวก็โดนกันทั่วหน้า บางคนก็หักกิ่งไม้มาปัด บ้างก็อัดยาเส้นจนควันโขมงจึงได้ผลประโยชน์สองต่อ คือได้ทั้งดูดยาและได้ควันไล่ยุง

“จะสามโมงครึ่งแล้ว หวังว่าเราคงจะเดินทะลุดงนี้ไปได้นะ น้าเบ” สิงห์พูดจบหลังจากยกนาฬิกาพรายน้ำขึ้นดู

“อีกไม่ไกลหรอกไอ้สิงห์ ข้าว่าอีกไม่เกินชั่วโมงก็น่าจะถึง หรืออย่างช้าก็ไม่น่าจะเกินห้าโมงเย็น ถ้าไอ้เบมันไม่พาหลงเสียก่อน ฮาๆ” พรานเฒ่าพูดจบก็นั่งมวนยาเส้นขึ้นสูบ

“แก ก็พูดไปตาโส่ย เดี๋ยวไอ้เบมันก็แกล้งพาเดินเล่นในหุบนี้ ไม่ต้องไปไหนกันพอดี”พรานพรโพล่งออกมา

“แค่นี้ยุงก็จะหามฉันตายห่ าแล้ว รีบๆไปกันเถอะ ยุงกัดฉันลายไปทั้งตัวเลย”เคิ้งบ่นพลางใช้ใบไม้ปัดตามเนื้อตามตัวไม่หยุด

“ปัดโถ่...ผมก็เพิ่งนึกออก ว่าผมเอาสเปรย์กันยุงมาด้วย ฮาๆ” สิงห์พูดพรางหัวเราะเสียงดัง หลังจากควาน หาสเปรย์ฉีดกันยุงจากเป้ ที่ตอนนี้ถูกปลดลงจากบ่า

“มันน่านัก ไอ้ห่ าปล่อยให้ข้าถูกยุงกัดอยู่ได้ ยิ่งผอมๆอยู่”พรานชราทำตาโตใส่ พร้อมกับคว้ากิ่งไม้แห้งผุๆคว้าใส่สิงห์ ซึ่งตอนนี้กำลังใช้สเปรย์ฉีดไปตามร่างกายของตัวเอง แต่มันเป็นการกระทำโดยไม่ได้ตั้งใจให้โดน เพราะมันห่างจากหัวของสิงห์ร่วมสองวา

“เอ๊า! รับ ลุงโส่ย ผมมีอยู่อีกขวด แบ่งๆกันใช้”สิงห์พูดพรางโยนสเปรย์กันยุงให้พรานชราอีกขวด

“มันกันทากได้หรือเปล่า พี่สิงห์ ไอ้สะปงสะเปนี่”พุ่มถามหลังจากรับสเปรย์จากพรานโส่ย

“อาจจะได้นะพี่ว่า แต่คงต้องฉีดกันบ่อยๆ อีกอย่างพี่มีติดมาแค่สามขวดเอง”พรานมือใหม่หันไปตอบ

“ยาเส้นไงไอ้พุ่ม เอ็งลืมไปแล้วหรือไง ทำยังกับคนไม่เคยเที่ยวป่า” เคิ้งหันมาพูดอีกคน

“ข้ารู้แล้วว่ายาเส้นมันก็กันทากได้ ข้าแค่อยากรู้ว่าสะเปของพี่สิงห์มันจะใช้แทนยาเส้นละลายน้ำที่เราใช้ๆกันหรือเปล่า ไอ้เคิ้ง”พุ่มสวนมาทันควัน

“เถียงกันจบหรือยังเอ็งสองตัว! ข้าจะได้ให้เถียงกันให้จบก่อน ไอ้ห่ ายิ่งร้อนๆอยู่ เดี๋ยวพ่อเตะเรียงตัวเลย”พรานเบพูดพรางทำท่าจะเตะ แต่ไอ้กะเหรี่ยงสองตัวก็ไว้ยังกับลิง พรานเบเลยได้แค่เตะลมฟรี เพราะเป้าหมายที่แกจะเตะโดดหลบไปเสียก่อน เลยทำให้คนที่เห็นพากันหัวเราะชอบใจ เพราะนานๆทีจะเห็นพรานเบไล่เตะเด็กสองคน

“ไปๆเดินทางกันต่อ เดี๋ยวจะมืดจะค่ำเสียก่อน”พรานเบพูดจบ หลังจากใช้เท้าขยี้ก้นยาเส้นที่แกโยนลงพื้นจนดับสนิท

          ขบวนเดินทางท่องไพรจึงเริ่มอีกครั้งเมื่อตอนเกือบจะสี่โมงเย็น หลังจากเดินลัดมาตามตีนเนินนั้น เส้นทางเดินสามารถเดินได้อย่างสะดวกเพราะไม่มีไม้เล็กขึ้นเลย คงเป็นเพราะต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นเบียดเสียดกันจนหนาทึบ จนไม้เล็กไม่สามารถเจริญเติบโตขึ้นได้ จะมีเยอะเป็นพิเศษก็พืชจำพวกเถาวัลย์ ที่พอจะอาศัยพันต้นไม้ใหญ่เหล่านั้น เพื่ออาศัยแสงแดดบนยอดไม้ใหญ่เหล่านั้น และพวกกล้วยป่า ที่ขึ้นให้เห็นอยู่ห่างๆ ลำต้นไม่ใหญ่โตเหมือนที่พบเจอด้านนอกดงทึบ ผิดกับในดงนี้ลำต้นดูผอมสูงผิดขนาดเห็นได้ชัด เหมือนคนขาดสารอาหาร ต้นไม้บางต้นก็ยืนต้นตายก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ ราวกับว่าคณะเดินทางทั้งหมด ได้เดินเขามาในสุสานที่ปราศจากสิ่งมีชีวิต ทุกสิ่งที่เห็นอยู่รอบตัว ราวกับเป็นวิญญาณที่คอยจ้องมองสิ่งแปลกปลอมที่บังอาจบุกรุกเข้ามา นอกจากไม้จำพวกเถาวัลย์และกล้วยป่าแล้ว หวายที่มีหนามแหลมคมก็มีขึ้นเยอะเป็นจำนวนมาก ลำต้นของมันทอดยาวเกาะเกี่ยวกันไปมา หลายครั้งที่คณะเดินทางต้องเดินฝ่าเถาหนามหวายเหล่านั้น โดยมีพรานเบซึ่งเป็นคนเดินนำอยู่หน้าขบวน คอยใช้มีดฟันเปิดช่องทางให้พอจะเดินตัดผ่านไปได้ แต่ก็ไม่วายโดนหนามของมันเกี่ยวเนื้อเกี่ยวตัวได้เลือดกันทุกคน ส่วนที่สบายที่สุดคงจะเป็นหมาสองตัว ที่ไม่ต้องเดินลุยดงหวายด้วย เพราะพวกมันพากันเดินตันสันเขาไปกันเอง ตัดจากดงหวายออกมาแล้ว สภาพป่าที่คณะเดินทางฟันฝ่าออกมา มีความเปลี่ยนแปลงขึ้นเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด จากป่าที่ดูทึบและอบอ้าวหายใจหายคอไม่ค่อยสะดวกนัก ก็เริ่มโปร่งมากขึ้น ไม้ใหญ่และเถาวัลย์หลายต้นที่ขึ้นเบียดเสียดกันจนแน่นทึบ ก็ขึ้นห่างต้นกันเรื่อยๆ ส่วนทางที่เคยเดินกันอย่างสะดวกตอนที่อยู่ในดงทึบ มาบัดนี้ก็ชักจะไม่สะดวกแล้ว เพราะป่าเริ่มจะรกขึ้นทุกที อันเนื่องมาจากป่าโปร่งขึ้น ไม้เล็กไม้น้อยจึงขึ้นกันเป็นดง ทั้งสาบเสือหนามเล็บเหยี่ยว เถาวัลย์ และที่มีมากเป็นพิเศษคงจะเป็นต้นกระวาน แต่ละต้นสูงท่วมหัว เสียงสรรพสำเนียงของป่าก็มีให้ได้ยินอยู่ตลอดการเดินทาง ผิดกับที่อยู่ในดงทึบที่เงียบจนหูดับ นกป่านานาชนิดส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ผสมกับเสียงแมลงหลากหลายพันธุ์ ที่พากันกรีดปีกบรรเลงไพร เคล้ากับสายลมเย็นๆที่พัดผ่านยอดไม้ให้ไหวเอน ราวกับเกลียวคลื่นในท้องทะเล กระรอกแดงตัวหนึ่งส่งเสียงร้องลั่นมาจากยอดไม้สูง ที่ใดที่หนึ่งอยู่ไม่ไกลจากขบวนของคณะเดินทาง  พร้อมๆกับเจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบอง พากันเห่า พวกมันพากันแหงนหน้ามองขึ้นไปบนยอดไม้ บางครั้งก็ทำท่าจะปีนให้ได้ แต่ก็ทำได้แค่เพียงกระโดดเอาขาหน้าตะกุยต้นไม้เท่านั้น

“ไป๊ๆเอ็งสองตัวก็เหลือเกิน เสือ กจะมาขยันอะไรเอาตอนนี้ ทีวันก่อนข้าเรียกแทบเป็นแทบตาย ไม่เสือ กจะตามมา”พรานเบตวาดหมาสองตัว หลังจากโดนเจ้านายเทศนาไปหลายชุด ก็พากันเดินคอตก แต่ก็ไม่วายหันมามอง ถ้าอ่านความคิดของมันได้ มันคงจะบอกว่า ทีข้าหาของกินให้เอ็งก็เสือ กไม่เอา

“แหนะๆ มีค้อนด้วย ฮาๆ”สิงห์หัวเราะชอบใจ ที่เห็นเจ้าพะเปรียวหันมามองหน้าพรานเบ ก่อนที่มันจะวิ่งหนีไป

“เดี๋ยวถ้าไม่มีอะไรกิน ก็กินมันทั้งสองตัวนั้นแหละไอ้เบ ฮาๆ” พรานชราร้องบอกมาจากทางท้ายขบวน

“แกกินคนเดียวแล้วกันตาโส่ย ข้าไม่เอาด้วยหรอก ให้ข้ากินหมา ข้ายอมอดตายดีกว่า” พรานแปะตอบมาจากทางด้านหัวขบวน

“พวกเราคงไม่ซวยขนาดต้องกินหมานะ” สิงห์พูดพลางหัวเราะ

“ถ้าไม่มีอะไรกิน ก็กินตาโส่ยก็ดีเหมือนกันข้าว่า” พรานพรแซวมาอีกคน

“โอ้ย..จะกินได้เหรอ ฉันว่าหนังคงเหนียวยิ่งกว่ายางรถยนต์ ขนาดไก่แก่ๆยังเคี้ยวไม่ค่อยจะเข้า จะให้กินตาโส่ยคงนั่งเคี้ยวกันจนฟันหลุด ก๊าก ฮาๆ”คำพูดของพุ่มเล่นเอาทั้งคณะขำกันตัวงอ โดยเฉพาะคนพูดลงไปนอนชักดิ้นชักงอหัวเราะชอบใจอยู่กับพื้น

“หน็อยๆ ทำเป็นปากดีไปไอ้พุ่ม เอ็งไม่แก่แบบข้า เอ็งไม่รู้หรอก”พูดจบแกก็บ้วนน้ำมากลงพื้น

“อย่าไปว่ามันเลยลุงโส่ย ไอ้พุ่มมันไม่รู้อะไรเลย ถึงจะแก่แต่ก็แก่ประสบการณ์”สิงห์หันมาพูดกับพรานชรา ที่ตอนนี้เดินงุ่มง่ามอยู่ท้ายขบวน แต่ยังไม่ทันที่ทั้งหมดจะคุยอะไรกันต่อ เจ้าพุ่มก็ร้องเสียงหลง

“โอ้ย...แตนต่อย อือหือรังเบ้อเริ้มเลย”พูดจบเจ้าตัวก็วิ่งจนป่าแทบราบ เพราะตอนที่ตัวเองลงไปนอนขำตาพรานเฒ่า เผอิญเป้ที่สะพายมาไปเกี่ยวเข้ากับกิ่งสาบเสือที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่ามีแตนไปทำรังอยู่ ไม่เพียงแต่เจ้าพุ่มคนเดียวที่วิ่งป่าราบ คนที่อยู่ใกล้ๆก็พาลวิ่งตามกันไปด้วย ทั้งเจ้าเคิ้ง เหน๋อ และพรานพร ต่างก็วิ่งหนีกันคนละทิศคนละทาง มีแต่ตาพรานเฒ่าคนเดียวที่ยืนหัวเราะชอบใจ

“สมน้ำหน้ามึงไอ้พุ่ม เวรกรรมมันมีจริงเว้ย ฮาๆ”พรานชราหัวเราะชอบอกชอบใจพลางใช้ผ้าขาวม้าเช็ดน้ำหมาก

“น้าเบก็เดินมาก่อนไม่ยักกะโดน อูยย...”พุ่มทำเสียงครางน่าสงสาร

“เดี๋ยวมึ งเจอกู”เจ้าพุ่มพูดจบก็ชักมีดที่เหน็บเอวออกมา จากนั้นก็เดินดุมๆไปที่กอกล้วยป่า ก้มๆเงยๆอยู่สักพัก ก็เดินถือใบตองแห้งมาสองก้าน จากนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีก บรรจงจุดไฟเข้าที่ใบตองแห้งอย่างใจเย็น

“ต่อยกู มึ งเจอพระเพลิง”พูดจบก็เดินโบกก้านใบตองแห้ง ที่ตอนนี้มีไฟลุกฮืออยู่ ไปยังตำแหน่งของรังแตนขนาดเขื่อง เพียงแค่กระสาไอไฟที่ร้อนระอุ ฝูงแตนที่ตอนนี้เกาะเป็นกระจุกอยู่ที่รังขนาดเท่ากำปั้นนับสิบๆตัว ก็แตกฮือบินไปคนละทิศคนละทาง บางตัวก็ร่วงหล่นอยู่ที่พื้น ตัวไหนโชคไม่ดีหนีไม่ทันก็โดนไฟเผาจนตัวหงิกงอ หลังจากจัดการกับรังแตนจนหายแค้น เจ้าพุ่มก็ไม่ทิ้งรังแตนที่มีตัวอ่อนให้เสียเปล่า

“ถึงว่าทำไมมันดุจัง ตัวอ่อนเพียบเลย”พูดจบก็ดึงตัวอ่อนในรังโยนเข้าปากกินหน้าตาเฉย

“โดนตรงไหนบ้างวะไอ้พุ่ม” สิงห์เดินมาดูอาการ พร้อมกับควักยาหม่องส่งให้เจ้าพุ่ม ซึ่งตอนนี้บริเวณริมฝีปากและขอบตาเริ่มจะบวมให้เห็นแล้ว

          เหตุการณ์ชุลมุนผ่านไป โดยสรุปว่าคนที่โดนแตนเจ้ากรรมต่อยมีอยู่คนเดียวคือเจ้าพุ่ม ซึ่งโดนคนเดียวถึงสามที่ คือบริเวณริมฝีปาก โหนกแก้มขวา และขอบตาซ้าย  ส่วนเจ้าตัวก็ไม่ได้แสดงความเจ็บปวดอะไรออกมามาก ที่ร้องเสียงหลงคงเป็นเพราะความตกใจเสียมากกว่า ขนาดผึ้งหลวงตัวน้องๆต่อ เจ้าพุ่มยังเฉยๆ นับประสาอะไรกับแตนตัวเล็กๆนิดเดียว เรื่องนี้สิงห์เองก็เห็นมากับตามาแล้ว เมื่อครั้งที่ติดตามพรานกะเหรี่ยงไปดูวิธีการตอกทอยเก็บน้ำผึ้ง และเป็นครั้งแรกที่สิงห์ได้เห็นวิธีการและขั้นตอนต่างๆ และเพิ่งจะรู้เองว่า น้ำผึ้งป่าที่ชาวบ้านนำออกมาขายขวดละไม่กี่ร้อยบาท มันไม่ได้แพงอย่างที่คิดเลย เพราะกว่าจะตอกทอยเพื่อจะปีนขึ้นไปตีผึ้ง ไหนจะเสี่ยงกับชีวิตของตัวเอง ถ้าพลาดตกลงมา ไม่ตายก็เหลว เพราะต้นไม้ที่ผึ้งหลวงชอบทำรังแต่ละต้นมันไม่ได้เตี้ยๆ ลำพังตัวคนเดียวก็หมดเวรหมดกรรมไป แต่ถ้ามีลูกเมียด้วยแล้วก็ไม่ต้องพูดคงจะลำบากน่าดู

          เมื่อทุกอย่างเป็นปกติดีแล้ว พรานเบก็พาเดินตัดดงกระวานออกมา พื้นดินบริเวณนี้เริ่มมีความชื้นแฉะมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นที่ราบต่ำ กล้วยป่า บอนป่า และผักกูด ก็มีให้เห็นหนาตามากขึ้น กล้วยป่าบางกอมีร่องรอยถูกช้างป่ากระชากจนแหลกลาญ นอกจากช้างป่าที่ทิ้งร่องรอยและขี้ของมันไว้ให้ดูต่างหน้าแล้ว รอยขุดคุ้ยของหมูป่าก็มีให้เห็นมากขึ้น ทั้งเก่าเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน และแบบยังใหม่ๆเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง บางช่วงก็เป็นปลักโคลน ก็มีร่องรอยของหมูป่าลงไปนอนแช่ ทุกคนในคณะเดินกันอย่างทุลักทุเลเพราะพื้นดินเริ่มเป็นโคลนเฉอะแฉะ แต่เส้นทางที่เดินก็ไม่รกมากนัก อาจเป็นเพราะพื้นดินบริเวณนี้ชุ่มน้ำมากเกินไปจนพื้นไม่สามารถเจริญเติบโตได้ มีเพียงไม้ป่าบางชนิดเท่านั้นที่สามารถขึ้นได้ในที่แฉะๆแบบนี้ โดยเฉพาะบอนป่า มีทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ ปะปนกันไปหลากหลายสี กูดแต่ละต้นก็มียอดใหญ่อวบน่ากิน จนสิงห์คันไม้คันมืออยากจะเก็บ แต่ครั้นจะเก็บก็กลัวว่ากว่าจะถึงที่พักก็จะเหี่ยวเฉาเสียเปล่าๆ เสียงหวีดหวิว ของนกกางเขนดงดังจากพุ่มไม้เบื้องหน้า มันคงตกใจการมาของคณะเดินทาง ที่เผอิญเดินผ่านรังของมัน เคิ้งที่เดินอยู่ใกล้สุดชี้มือให้สิงห์ดูรังของนกกางเขนดง ที่มันทำรังซุกไว้ ภายในรังมีไข่อยู่สองฟอง และคงอีกไม่นานป่าบริเวณนี้คงจะได้สมาชิกเพิ่มขึ้นอีกสองชีวิต

“ใกล้ถึงแล้วนิ เพิ่งจะสี่โมงสี่สิบห้าเอง”สิงห์พูดหลังยกนาฬิกาขึ้นมาดู

“ไม่เกินชั่วโมงก็ถึง ข้าว่าจะพาขึ้นไปนอนกันแถวๆที่ข้ามาครั้งที่แล้ว”พรานเบตอบ พูดจบแกก็เอาปืนที่สะพายมาออกไปวางพิงไว้กับต้นไม้ จากนั้นก็เดินไปวักน้ำล้างหน้าล้างตา

“ปีนี้น้ำเยอะกว่าทุกปี คืนนี้น่าจะส่องปลากันเพลิน” พรานพรพูดจบก็วักน้ำในลำห้วยสายเล็กๆขึ้นดื่ม

“น้ำเยอะๆสิดีไอ้พร ข้าว่าจะทำลอบดักปลาสักหน่อย ดีไม่ดีอาจจะได้ตะพาบน้ำสักตัว”พรานชราเสนอความคิด

“มันจะมีเหรอตะพาบน้ำ ป่านนี้ไม่สูญพันธุ์ไปหมดแล้วรึ”สิงห์พูดจบก็ยกน้ำในกระติกขึ้นดื่ม

“ทำไมจะไม่มีพี่สิงห์ ผมกับไอ้เคิ้งได้ประจำ จะตัวเล็กตัวใหญ่แล้วแต่ดวง ครั้งที่แล้วยังล้วงได้ตัวเกือบกิโล”พุ่มซึ่งบัดนี้ตาข้างซ้ายปิดเกือบสนิทพูดออกมา พูดไปพลางก็เอามือจับปากที่บวมเจ่อไปพลาง

“มันชุมขนาดนั้นเลยหรือ แบบนี้พวกกบทูด คงจะมีนะ”สิงห์พูดตาเป็นประกาย

“ขนาดตะพาบยังมี เอ็งไม่ต้องกลัวที่จะไม่มีกบทูด เอาง่ายๆคืนนี้เอ็งได้สนุกแน่ไอ้สิงห์”พรานแปะพูดเสริมมาอีกคน พูดจบแกก็ล้วงห่อยาเส้นจากกระเป๋าเสื้อมาม้วน

“คืนนี้เราไม่ต้องเดินส่องสัตว์อะไรให้เหนื่อยก็ได้ ลำพังไก่ป่าสองตัวนี้ก็เหลือเฟือ”เหน๋อเพื่อนเกลอพูดพลาง บุ้ยปากไปที่ย่ามที่ตัวเองสะพายมา

“หาส่องกบส่องปลาก็พอแล้ว น่าจะชุม ปลาหามาเยอะๆหน่อยก็ดี ข้าจะเอามาทำปลาแห้งรมควัน จะได้เก็บไว้กินได้หลายๆวันหน่อย”พรานแก่ประสบการณ์เสนอเมนูแรก

“ชักเริ่มจะสนุกขึ้นมาแล้วสิ ถ้ามันชุมขนาดนั้น คงเดินส่องกันเพลินไปเลย”สิงห์ออกอาการคันไม้คันมือ

“เออ..ว่าแต่น้ำมันลึกหรือเปล่าแถวที่เราไปพัก”สิงห์หันไปถามพรานเบ ที่ตอนนี้กำลังยืนสูบยาเส้นอยู่

“มันก็มีเป็นช่วงๆ แต่ลึกอย่างมากก็ไม่เกินเอว ลึกๆสิดีปลาเวียนตัวใหญ่ๆชอบอยู่ ตื้นๆมีแต่ตัวเล็กๆ”พรานเบพูดพลางทำไม้ทำมือประกอบคำอธิบาย

“ลึกๆแบบนั้นจะลงไปจับมันยังไง ไม่เปรียวแย่ ถ้าเอาแหมาด้วยก็ว่าไปอย่าง”สิงห์พูดขณะยืนกอดอก โดยอีกมือลูบปลายคางอย่างใช้ความคิด

“เดี่ยวพี่ก็จะได้เห็น ผมกับไอ้พุ่มจะจับมาให้พี่ย่างเกลือเอง”เคิ้งพูดขณะเคี้ยวหมากอยู่หยับๆ
คงไม่จำเป็นที่สิงห์จะต้องไปพิสูจน์ให้เห็นชัดกับตาตัวเอง เพราะรู้ๆฝีมือของเด็กกะเหรี่ยงสองคนนี้อยู่แล้ว อ้นขุดรูลึกขนาดไหน ก็ยังสามารถเอาตัวมากินได้ โดยไม่ต้องเสียแรงขุดแม้แต่นิดเดียว นับประสาอะไรกับปลาเวียนที่ว่ายให้เห็นตัวขนาดนั้น ถึงน้ำจะลึกถึงเอวก็ตามที ซึ่งอีกไม่นานสิงห์ก็คงได้ประจักกับสายตาตัวเองอีกไม่กี่อึดใจนี้  หลังจากพักเหนื่อยกันพอสมควร พรานเบก็พาออกเดินอีกครั้งหนึ่ง โดยพาเดินลัดเลาะไปตามลำห้วยสายนั้น ในลักษณะทวนกระแสน้ำ ซึ่งฝั่งตรงข้ามเป็นแนวของสันเขาที่ตั้งเป็นกำแพงสูงมหึมาที่ทอดยาวขนานกับตีนเขาฝั่งที่คณะทั้งหมดเดินอยู่ กำแพงหินขนาดใหญ่ หรืออีกนัยหนึ่งคือหน้าฝาหินที่เกือบจะตั้งฉาก ราวกับถูกขวานยักษ์จามไว้ ซึ่งบางช่วงถูกปกคลุมไปด้วยพืชจำพวกมอส์รและเฟิร์นข้าหลวง ที่ขึ้นประดับไว้อย่างสวยงาม บางช่วงก็มีสายน้ำเล็กๆไหลผ่านมาตามรอยแตกร้าวของหน้าผานั้นทำให้ดูสวยงามขึ้นไปอีก บางแห่งก็อยู่สูงขึ้นไปมาก จนสายน้ำที่ไหลรินออกมาแตกเป็นละอองฝอยเล็กๆ ยิ่งมีลมที่พัดมาตามช่องเขานั้นแล้วยิ่งทำให้อากาศบริเวณนี้เย็นสดชื่นขึ้นไปอีก สิงห์สูดอากาศที่มีละอองน้ำผสมอยู่จางๆเข้าปอดลึก เขาทอดสายตาสูงขึ้นไปตามหน้าผาที่สูงชัน ซึ่งตอนนี้มีแสงอาทิตย์สีส้มอ่อนๆจับสะท้อนอยู่อย่างสวยงาม ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายสะท้อนรับกับแสงของอาทิตย์อย่างมีความสุขราวกับว่าพละกำลังที่อ่อนล้าจะฟื้นกลับคืนมา...


การเดินทางของคณะ จะไปพบกับสิ่งใดเบื้องหน้า โปรดติดตามหาความบันเทิง ในตอนต่อไปเร็วๆนี้


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #1 on: 21 April 2021, 22:31:00 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 2



บทที่ 4

ตอนที่ 2

          ณ บริเวณพื้นที่ราบตอนหนึ่ง ซึ่งถูกขนาบด้วยภูเขาทั้งสองฝั่ง โดยมีลำห้วยกว้างไม่เกินวากั้นกลาง อีกด้านจะติดกับผาหิน ส่วนอีกฝั่งเป็นตีนเขา ซึ่งพอจะมีที่ราบไว้ใช้สอยกว้างไม่เกินสิบวา พื้นที่นั้นถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้หลากหลายขนาด ทั้งไม้พุ่มและไม้ยืนต้นขนาดใหญ่อย่างเช่น ยางนา ยวนหรือต้นผึ้ง ส่วนไม้เล็กไม้น้อยก็ขึ้นอยู่ประปรายแต่ก็ไม่รกมากนัก พรานเบพาเดินมาถึงจุดที่ทั้งคณะพอจะอาศัยพักแรมได้ หลังจากเดินสำรวจพื้นที่จนทั่วบริเวณดีแล้ว ก็เลือกเอาพื้นที่ ที่ดูไม่รกนักได้ตรงใต้ซุ้มชงโคใหญ่ต้นหนึ่ง เมื่อได้สถานที่แล้ว ทุกคนก็ช่วยกันใช้มีดถากถางไม้เล็กไม้น้อยที่ขึ้นเกะกะ ชั่วอึดใจก็ได้สถานที่พักที่ดูโปรงโล่งสบายตา จากนั้นก็แบ่งหน้าที่กันทำงาน พรานเบกับพรานพรทำหน้าที่หาฟืนสำหรับใช้ตลอดคืนนี้ พรานแปะกับเหน๋อช่วยกันทำชั้นวางของแบบง่ายๆ พุ่มกับเคิ้งออกไปหาตัดไม้ไผ่โดยมีหมาสองตัววิ่งติดตามไปด้วย ส่วนสิงห์และพรานโส่ยเตรียมหุงข้าว ทุกอย่างทำไปอย่างไม่รีบเร่งนักเพราะคณะเดินทางทั้งหมดมาถึงจุดหมายเร็วกว่าที่คิดไว้

          ลมพัดยอดไม้ไหวดังซู่ซ่าเป็นเกลียวคลื่นไล่มาเป็นละลอก คล้ายๆเสียงฝนตก นกเงือกฝูงหนึ่งบินผ่านหุบอย่างเชื่องช้า เสียงลมผ่านปีกอันใหญ่โตของมันดัง หวือๆ ฟังได้ชัดเจน ไกลออกไปเสียงชะนีป่าร้องโหยหวนแว่วมาให้ได้ยิน เสียงของมันฟังแล้วดูเศร้าวังเวงราวกับว่า ป่าทั้งป่ามีมันอยู่เพียงตัวเดียว ถัดออกมาที่ลำห้วยไหลระริกปะทะแก่งหินน้อยใหญ่ ที่อยู่ต่างระดับกันทำให้เป็นน้ำตกขนาดเล็ก น้ำใสมองเห็นกรวดหินขนาดต่างๆกันหลากสี ครั้นต้องแสงอาทิตย์ยามเย็นก็เปล่งประกายระยิบระยับสวยงาม ราวกับว่ามีใครแกล้งนำเพชรพลอยหลากสีมาโปรยทิ้งไว้

“รอยหมูป่าขุดดินไว้เพียบเลย”พรานเบพูดจบก็โยนท่อนฟืนแห้งที่แบกมา ลงพื้นดังโครม

“สงสัยเป็นหมูฝูง น่าจะสองสามวันมาแล้ว”พรานพรเสริมมาอีกคน พูดจบก็ทิ้งท่อนฟืนขนาดเท่าโคนขา ที่ตัวเองแบกมาลงพื้นอีกโครม

“ไอ้สองตัวนั้นยังไม่มาอีกหรือวะไอ้แปะ”พรานเบพูดพลางใช้มีดเหน็บฟันฟืนแห้งเป็นท่อนๆ

“ยังไม่เห็นมันโผล่มาเลย ไม่รู้ว่ามันไปยันไหน”พรานแปะตอบขณะใช้เถาวัลย์ผูกแคร่ไม้สำหรับทำชั้นวางของแบบหยาบๆ

“คงจะหายิงนกยิงหนูไปตามเรื่อง”เหน๋อพูดพลางหยิบกิ่งไม้ที่สำหรับใช้ทำแคร่ส่งให้พรานแปะ

“จะไปยิงอะไรได้ ปืนแก๊ปมันก็แขวนไว้อยู่นี่”พรานพรโพล่งออกมา พร้อมบุ้ยปากไปที่ปืนแก๊ปคู่ใจของสองหนุ่ม ที่ตอนนี้ถูกแขวนไว้กับต้นไม้

“ไม่รู้มันจะไปหาโคต รพ่อ โคต รแม่มันถึงไหน ไอ้ห่ าพวกนี้”พรานชราบ่นเสียงดังมาจากริมลำห้วย

“ก็โคต รเดียวกับลุงโส่ยนั้นล่ะ ไอ้เคิ้งมันก็ลูกลุงไม่ใช่รึ” คำตอบของสิงห์ทำเอาพรานเฒ่าถึงกับสะดุ้ง เล่นเอาทุกคนที่ได้ยินพากันหัวเราะ

          กองไฟกองใหญ่ถูกจุดขึ้นในไม่ช้า สิงห์และพรานโส่ยช่วยกันลำเลียงหม้อสนาม ขึ้นราวไม้เตรียมหุงข้าว พรานแปะและพรานพร แยกตัวออกไปผูกเปลเตรียมที่นอนอยู่ข้างๆ ห่างจากกองไฟประมาณสองวา ซึ่งด้านนั้นมีต้นไม้ขนาดขาอ่อนขึ้นอยู่ห่างๆกัน แต่ก็พอที่จะใช้ผูกเปลนอนได้อย่างสบาย ถัดออกไปเหน๋อกำลังง่วนอยู่กับการจัดของบนแคร่ไม้โดยมีพรานเบเป็นลูกมือ คอยส่งของให้อีกแรง เสียงคนคุยกันงึมงัมดังมาจากดงทึบเบื้องหน้า แต่ไม่กี่อึดใจเจ้าของเสียงก็โผล่มาให้เห็นคือเจ้ากะเหรี่ยงหนุ่มสองคน

“นั่นไงมากันแล้ว แล้วนั่นหิ้วอะไรมาเป็นพวงเลย”สิงห์ยืนมองพร้อมพูดออกมาอย่างสงสัย

“ปูห้วยครับพี่สิงห์ มีแต่ตัวใหญ่ๆเลยจับมา กะจะเผากินเสียหน่อย”เคิ้งตอบพลางชูพวงปูห้วยตัวเขื่อง ที่ถูกผูกด้วยตอกเป็นพวงใหญ่ไม่ต่ำกว่าสิบตัว ส่วนที่บ่าก็แบกกระบอกไม้ไผ่มาด้วย

“คืนนี้ผมจะพาพี่สิงห์ไปส่องปลาแถวๆโน่น ปลาเวียนตัวสวยๆเยอะแยะเลย”พุ่มพูดพลางชี้มือไปทางจุดหมายที่จะไปคืนนี้ พูดจบก็โยนกระบอกไม้ไผ่ลำยาวเกือบสองวาลงพื้น

“เดินล้วงปูเพลินไปหน่อยเลยมาช้า”เคิ้งพูดจบก็เอาพวงปูไปแขวนไว้ที่แคร่ไม้

“แหม..ตัวโตๆทั้งนั้นเลย เผากินคงจะมันน่าดู”เหน๋อพูดหลังจากหยิบพวงปูห้วยขึ้นดู

“แล้วไก่ป่าสองตัวนี่ จะทำอะไรกินดี”เหน๋อหันมาถามชาวคณะ

“แกงป่าซิว่ะ มาเที่ยวป่าก็ต้องกินแกงป่า”พรานชราพูดขณะใช้กิ่งไม้แห้งเล็กๆต่อไฟจากกองมาจุดมวนยาเส้นที่แกคาบอยู่

“แกงใส่ยอดเต่าร้านก็เข้าท่าดีนะ”พรานแปะเสนอเมนู พูดจบก็ชี้มือบอกให้พุ่มและเคิ้งช่วยกันตัดต้นเต่าร้าน ที่ขึ้นอยู่เป็นกลุ่ม ตรงบริเวณตีนเนินริมห้วย เต่าร้านลักษณะเหมือนต้นหมากถูกตัดสองต้น โดยพุ่มเลือกตัดต้นที่มีขนาดเล็กกว่าโคนขา พอตัดจนล้มแล้ว ก็ใช้มีดฟันบริเวณเกือบถึงยอดที่มีกาบของก้านใบห่อหุ้มอยู่ จากนั้นก็ผ่าแบะออกมา ซึ่งส่วนที่เป็นยอดอ่อนจะอยู่ภายในกาบนั้น ลักษณะเดียวกับยอดมะพร้าว ยอดตาวร้านสีขาวมีรสขมเล็กน้อยถูกนำมาล้างทำความสะอาดที่ริมห้วยนั้น โดยเจ้าเคิ้งเอามีดสับเป็นท่อนๆยาวไม่เกินนิ้วก้อย จากนั้นก็เอาใบตองที่หาได้ใกล้ๆนำมาห่อยอดตาวร้านได้ห่อใหญ่

“พริกแกงไม่ต้องตำใหม่นะ ข้าตำเผื่อไว้แล้วเมื่อตอนบ่าย ห่อใบตองอยู่ในย่ามนั่น”พรานโส่ยพูดเมื่อเห็นสิงห์เตรียมจะตำพริกแกงป่า

“ดีเลยผมจะได้ไม่ต้องเหนื่อย อ้าวนั่นลุงโส่ยทำอะไร”สิงห์หันมาทางพรานชรา ซึ่งตอนนี้กำลังนั่งเหลาไม้ไผ่อยู่

“ข้าว่าจะทำลอบไว้ดักปูดักปลาคืนนี้สักหน่อย”พรานโส่ยพูดพลางก็เหลาไม้ไผ่ไปพลาง ซึ่งสิงห์เองก็ให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย

“ไก่ป่าเอามาย่างไฟอีกหน่อยก็ดี กลิ่นชักจะไม่ค่อยดีแล้ว”พรานเบพูดจบก็เอาไม้คีบไก่มาพาดอิงกับราวแขวนหม้อสนาม ซึ่งตอนนี้ข้าวภายในหม้อเริ่มจะเดือดแล้ว พอไก่เริ่มร้อนส่งกลิ่นหอมได้ที่ พรานเบก็นำไก่ไปสับ กับท่อนไม้ที่ตัดแล้วถากส่วนของผิวจนเรียบแทนเขียงเป็นชิ้นเล็กๆพอคำ ชั่วเวลาไม่ถึงอึดใจ ก็ได้ไก่ป่าสับห่อใหญ่

          พริกแกงถูกคั่วในหม้อใบกระดำกระด่างจนหอมฉุย โดยเหน๋อวันนี้รับเป็นพ่อครัว กลิ่นของพริกแกงป่าหอมฉุยจนทุกคนจามกันทั่วหน้า พอได้ที่ดีแล้วพ่อครัวจำเป็นก็เทไก่ป่าสับลงไปผัดคลุกเคล้าจนทั่ว พอไก่เริ่มสุกก็นำยอดเต่าร้านที่พรานพรนั่งซอยเป็นฝอยๆแล้วแช่น้ำไว้ ลงไปผัดอีกครั้ง พอกะว่าสุกๆดิบๆก็ปรุงรสด้วยเกลือป่น กับข้าวป่าปราศจากผงชูรสก็เสร็จ แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ เพราะก่อนที่จะยกลงจากเตาไฟ ที่ใช้หินก้อนเขื่องมาทำเส้า พ่อครัวหัวป่าก็ฉีกใบชะพลูที่เจ้าพุ่มเก็บมาให้อีกกำใหญ่ แกงป่าไก่ใส่เต่าร้านจึงมีกลิ่นหอมยั่วน้ำลายเพิ่มขึ้นไปอีก จนสิงห์ที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆอดใจไม่ไหว

“ไหนขอชิมฝีมือหน่อยสิ ว่าพอจะสู้กันได้หรือเปล่า”พูดจบสิงห์ก็ตักแกงป่าเข้าปาก

“เค็มไปหน่อยวะไอ้เหน๋อ แต่ถ้าได้คลุกกินกับข้าวสวยร้อนๆน่าจะเด็ด”สิงห์พูดพลางซูดปากไปพลางเพราะแกงป่าทั้งเผ็ดและร้อน

“มีกับข้าวกินอยู่แค่นี้ จะพอกินกันหรือ”สิงห์พูดพร้อมหยิบท่อนฟืนดุนเข้าไปในกองไฟ

“เดี๋ยวรอตาโส่ยทำลอบเสร็จก่อน พี่ว่าจะหาฟันปลาเสียหน่อย ยังพอมีเวลา”พรานพรพูดขณะนอนเล่นอยู่บนเปลอย่างสบายอารมณ์

“น่าสนุกดี ขอผมไปด้วยคน ดีกว่านั่งๆนอนๆอยู่ที่นี้”สิงห์พูดพลางช่วยพรานโส่ยยกหม้อสนามออกจากราวแขวน มาวางเรียงบริเวณถ่านอ่อนๆที่ถูกพรากออกมาจากกอง

“ก็ไปกันหมดนี้ล่ะ ได้พอกินกันเย็นนี้แล้วค่อยกลับ”พรานแปะตอบขณะนอนหนุนแขนสูบยาเส้นบนเปล จนควันฉุย

“ข้าขอนอนเฝ้าแค้มป์ดีกว่าว่ะ ขี้เกียดเดิน” เหน๋อตอบ

“เดี๋ยวข้าอยู่เป็นเพื่อน ข้าว่าจะนอนเอาแรงสักตื่น คืนนี้ว่าจะเดินส่องปลาไกลหน่อย”พรานแปะเสริมมาอีกคน

“เอาแบบนี้ดีกว่า ใครอยากจะไปก็ไป ใครยังไม่อยากไปก็อยู่เฝ้าแค้มป์”พรานเบพูดจบก็นั่งมวนยาเส้น

“ไปหาดักลอบกับข้าดีกว่าไอ้สิงห์”พรานโส่ยพูดพลางยกลอบดักปลา ที่แกทำแบบหยาบๆขึ้นดูความเรียบร้อย พอเห็นช่องว่างที่ใหญ่เกินไปแกก็ขยับซีกไม้ไผ่ให้ช่องนั้นเล็กลง

          ขบวนหาปลาก็พร้อมหลังจากลอบดักปลาของพรานชราเสร็จ ลอบดักปลาที่ถูกสานด้วยไม้ไผ่ซีกเล็กๆ ที่ดูไม่ค่อยจะสวยงามนัก แต่ก็ดูคลังและแข็งแรง หลังจากหาเถาวัลย์มาผูกทำเป็นสายสะพายได้แล้ว อุปกรณ์หาปลาก็พร้อมที่จะทำหน้าที่ของมัน สรุปว่ามีคนอยู่เฝ้าแค้มป์สองคนคือ พรานแปะและเหน๋อ ส่วนพรานเบ และพรานพร เดินล่องไปตามลำห้วยโดยทั้งสองสะพายปืนไปคนละกระบอก ส่วนเจ้าเด็กหนุ่มทั้งสองคน เคิ้งและพุ่ม ออกเดินนำหน้าพร้อมกับเจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบอง โดยเดินทวนลำห้วยขึ้นไป ปล่อยให้สิงห์และพรานโส่ยเดินตามหลังไปห่างๆ น้ำในลำห้วยสายนี้ใสสะอาดตา บางช่วงก็ตื้นแค่ตาตุ่ม บางช่วงก็ลึกถึงหน้าแข้ง สลับกันเป็นระยะๆ ช่วงไหนที่เป็นแอ่งกว้างพอ ก็จะมีปลามาอาศัยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปลาสร้อยและปลาเวียนขนาดเล็ก ก็พากันจับกลุ่มว่ายไปมาดูสับสน นอกจากปลาแล้วตามซอกหินริมห้วยยังมีปูห้วยตัวโตๆอาศัยอยู่ จนพรานชราอดใจไม่ไหว

“บ๊ะ! ปูห้วยแถวนี้ตัวมันโตดีจริงๆ แหนะ สู้เสียด้วย” พรานชนาทำถ้าจะตะปบ แต่แกก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเจ้าปูห้วยตัวที่หมายตาไว้ ชูก้ามหราท้ารบ

“นี่แหนะ สู้ข้ารึ”พูดจบแกก็ใช้สันมีดเหน็บฟันไปที่กระดองของมันจนยุบ เพียงเท่านี้เหยื่อของพรานเฒ่าก็สิ้นฤทธิ์
หลังจากนั้นแกก็ดึงเถาวัลย์เส้นเล็กๆที่ขึ้นพันตามต้นไม้ริมห้วย นำมาผูกเป็นพวงแล้วส่งให้สิงห์ถือ

“ปลาเวียนนิ สงสัยไอ้สองตัวนั่นฟันทิ้งไว้ ตัวเขื่องเสียด้วย” สิงห์ร้องบอก พร้อมกับชี้มือไปที่ปลาเวียน ซึ่งตอนนี้นอนนิ่งอยู่บนโขดหินริมห้วย

“นี่อีกตัว ฉับ!” พรานโส่ยพูดจบ ก็ใช้สันมีดเหน็บฟันลงบนกลางตัวของปลาเวียน ขณะที่มันหมกตัวอยู่ใต้เศษไม้และใบไม้เกือบจะมองไม่เห็น แต่ก็ไม่อาจพลาดสายตาของพรานเฒ่าไปได้

“แหม ลุงโส่ยตาดีจริงๆ ผมยังมองไม่เห็นเลย อ้าวนั่นปลาอะไรนอนแถกอยู่”พูดจบสิงห์ก็ไล่ตะคลุบปลาที่ลักษณะเหมือนปลาช่อนนา

“ปลากั้ง ตัวใหญ่ดีนะลุง ได้แบบนี้สักสิบตัว คงได้เอามาต้มยำ”สิงห์ร้อง ขณะชูปลากั้งตัวเกือบข้อแขนที่จับได้ในมือให้พรานโส่ยดู

“เอ็งไม่ต้องห่วง เย็นนี้ได้กินต้มยำปลากั้งแน่” พรานโส่ยพูดจบก็ก้มหยิบปลาตามแอ่งหินและโขดหิน ที่เจ้าพุ่มกับเจ้าเคิ้งช่วยกันฟันทิ้งไว้ บางตัวก็นอนตายแน่นิ่ง บางตัวก็ยังดิ้นแถกไปมาโดยเฉพาะปลากั้ง แต่ก็ไปไหนไม่ได้ไกลนัก เพราะสิงห์และพรานชราช่วยกันจัดการเสียก่อน เพียงระยะที่เดินงมกันมาในลำห้วยไม่ไกลนัก สิงห์ก็ได้ปลามาเป็นพวงใหญ่ถึงสองพวง ที่ได้เยอะที่สุดคงจะเป็นปลาเวียน ซึ่งแต่ละตัวขนาดเขื่องเกือบเท่าข้อมือยี่สิบกว่าตัว และอีกพวงเป็นปลากั้งเล็กกว่าข้อมืออีกสิบกว่าตัว แถมด้วยปูห้วยตัวโตๆ ที่พรานชราจับเป็นบ้างจับตายบ้างอีกยี่สิบกว่าตัว แต่ละตัวถูกมัดก้ามติดกับลำตัวอย่างแน่นหนาด้วยเถาวัลย์ จนคนถือบ่น

“ปูห้วยพอก่อนก็ได้ลุงโส่ย เยอะแยะไปหมดแล้ว”สิงห์พูดพลางยกพวงปูขึ้นดู

“เออ ข้าก็ว่าจะพอแล้ว แต่อดไม่ได้วะ ตัวมันใหญ่น่ากิน เผากินคงจะอร่อย” พรานโส่ยพูดพลาง มือก็มัดปูห้วยด้วยเถาวัลย์ไปพลาง

“แล้วลอบลุงจะดักมันตรงไหน เห็นแบกมาตั้งนานแล้ว”สิงห์พูดพลางบุ้ยปากไปที่ลอบดักปลา ซึ่งตอนนี้พรานเฒ่าสะพายอยู่

“แถวๆโคนต้นตะเคียนนั้น น่าจะเหมาะ”พรานโส่ยพูดพลาง ชี้มือไปที่ต้นตะเคียนใหญ่ ที่ขึ้นอยู่ริมห้วย

          ภายใต้ล้มครึ้ม ของตะเคียนใหญ่ ที่ขึ้นบนเนินดินริมห้วยนั้น สองเกลอต่างวัยต่างช่วยกันดักลอบบริเวณช่องที่มีน้ำไหลไม่กว้างนัก ซึ่งอุดมไปด้วยรากของคะเคียนรกรุงรังไปหมด โดยการเปิดช่องที่มีรากไม้รกนั้น พรานโส่ยใช้มีดเหน็บฟันเปิดให้เป็นช่อง พอที่จะนำลอบลงไปวางดักไว้ได้ จากนั้นก็ตัดไม้มาทำหลักตอกติดด้วยหินอย่างแข็งแรง แล้วผูกลอบกับไม้หลักนั้นด้วยเถาวัลย์กันลอบหลุดลอยไปตามกระแสน้ำ

“วู้...ไอ้พุ่ม ไอ้เคิ้ง จะกลับกันแล้วโว้ย”สิงห์กู่ร้องบอกสองกะเหรี่ยงดง ที่ตอนนี้ต่างช่วยกันฟันปลากันอย่างสนุกสนาน

“พวกเอ็งสองตัว ใครก็ได้หาตัดไม้ไผ่มาทำเฝือกให้ข้าด้วย”พรานชราร้องเสริมมาอีกคน ชั่วไม่นานนักทั้งสองหนุ่มก็เดินมายังตำแหน่งที่ดักลอบไว้ โดยพุ่มและเคิ้งช่วยกันนำกระบอกไม้ไผ่ที่ถูกทุบแล้วมาให้พรานโส่ยตอกกั้นไว้ไม่ให้ปลาหรือตัวอะไรก็แล้วแต่ ว่ายหลุดไปทางอื่น ซึ่งแกกั้นไว้ทั้งสองด้านของลอบ โดยเปิดช่องให้น้ำไหลผ่านส่วนที่เป็นปากของลอบไว้

“คืนนี้ก็รู้ ว่าจะมีตัวอะไรมาติดหรือเปล่า”สิงห์บอก พลางส่งพวงปลาให้สองหนุ่มถือ

“ปลาเวียน กับปลากั้ง ไม่น่าจะพลาด ดีเสียอีกมีปลาเข้าไปติด จะได้เป็นเหยื่อล่อตะพาบไปในตัว”พรานชราตอบ ขณะยืนดูผลงานอย่างภูมิใจ

“คืนนี้พี่สิงห์ได้สนุกแน่ ผมกับไอ้เคิ้งจะพาพี่ไปหากบธูป”พุ่มพูดขณะที่เดินนำมุดซุ้มไม้ ที่ทอดขวางลำห้วย ชายทั้งสี่เดินพูดคุยกันไปอย่างสนุกสนาน

          โดยเฉพาะสิงห์ที่นานๆครั้งจะได้ตื่นเต้นแบบนี้ ถึงแม้ว่ากิจกรรมที่ทำอยู่จะไปแค่การหาปูหาปลาก็ตามที แต่สำหรับพรานกะเหรี่ยงที่ติดตามมาด้วยแล้ว สิ่งที่ทำอยู่แบบนี้ก็ไม่ได้มีความวิเศษหรือน่าตื่นเต้นอะไรเลย เพราะมันก็เป็นวิถีชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ตื่นเช้ามาถ้าไม่ได้ทำไร่ทำนา ก็หาเก็บผักเก็บหญ้ามากิน เบื่อจากผักหญ้าก็เดินลงห้วงหางมปูงมปลาไปตามเรื่อง คนไหนมีปืนก็ออกเที่ยวท่องหาสัตว์ป่ามากิน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหากันง่ายๆเหมือนเดินไปซื้อตามตลาดเสียเมื่อไหร่ แถมรสชาติก็ไม่ได้วิเศษอะไรมากนัก ถ้าให้เลือกได้พวกเขาก็คงเลือกที่จะกิน หมู เห็ด เป็ด ไก่ ที่หาซื้อได้ตามตลาดแบบคนเมืองดีกว่า แต่ครั้นจะซื้อกินลำพังเงินทองก็ไม่ค่อยจะมี อาศัยแค่รายได้จากการทำไร่ทำนาปีละครั้ง แต่ทำกี่ปีๆก็ไม่รวย เก็บเกี่ยวกันทีก็ต้องคอยลุ้นอยู่ตลอดเวลา ว่าราคาจะขึ้นหรือจะลง แต่ก็ยังไม่หนักเท่ากับพ่อค้าที่มารับซื้อ ซึ่งคอยจะกดราคา เท่ากับเป็นการซ้ำเติมคนอยากคนจนให้จนกันยิ่งไปอีก บางคนขายได้ก็ไม่พอกิน เพราะต้องหักค่ายาค่าปุ๋ยให้นายทุน บางคนขายแล้วก็ยังไม่พอใช้หนี้เท่ากับเหนื่อยเปล่า เงินทองสำหรับชาวป่าชาวดงแถบนี้เลยเป็นสิ่งที่หาได้ยากและลำบากยิ่ง สิ่งไหนที่พวกเขาพอจะประหยัดได้ก็จะประหยัด กับข้าวกับปลาก็ไม่ต้องซื้อให้เปลืองเงิน อยากกินอะไรก็เดินเข้าป่าหาอะไรได้ก็กินกันง่ายๆ แต่ก็ไม่วายถูกคนที่เจริญแล้ว ว่าเป็นพวกตัดไม้ทำรายป่าบ้าง ทั้งๆที่ดินที่พวกเขาเหล่านั้นช่วยกันถากถางมาตั้งกี่ชั่วอายุคน ก็เป็นพื้นดินผืนเดิมทำไร่ทำนามันทั้งปีทั้งชาติก็ไม่เห็นมันจะรวยขึ้น ผิดกับพวกนักการเมืองบางคน ที่เที่ยวกว้านซื้อที่ดินมาขายเก็งกำไรจนเดี๋ยวนี้มีเงินมีทองมากมายไม่รู้ว่าชาตินี้ทั้งชาติจะใช้หมดหรือเปล่า ครั้นจะไปหาเนื้อกินในป่าก็ถูกพวกไล่จับ กลายเป็นพวกลักลอบล่าสัตว์ป่า ชาวป่าชาวดงทุกวันนี้ถูกมองเป็นจำเลยสังคมเสมอจะทำอะไรก็ดูผิดไปหมด สิงห์เองก็อยากจะรู้ว่าจะมีคนเมืองหน้าไหนหรือมหาเศรษฐีคนใดยอมที่จะควักเงินเลี้ยงดู หรือไม่ต้องขนาดต้องเลี้ยงดูก็ได้ แค่ซื้อไก่ซื้อหมูให้พวกเขาเลี้ยงกินกันเองก็ยังไม่มีหน้าไหนยื่นมือเข้ามาช่วย ทีชาวบ้านตัดไม้มาทำบ้านก็ถูกไล่จับ แต่ทีนายทุนมีเส้นมีสายตัดกันจนไม้จะหมดป่าไม่มีปัญญาไล่จับ คิดๆไปแล้วก็น่าเจ็บใจแทนชาวป่าชาวดง.....


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #2 on: 21 April 2021, 22:35:11 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 3



บทที่ 4

ตอนที่ 3

          แสงดาวสว่างสุกใสราวกับมณีแก้ว ที่ส่องแสงระยิบระยับแข่งกับพระจันทร์ข้างแรม เสียงหินในลำห้วยพลิกดัง กึกกัก แว่วมา ทำให้เขียดป่าที่ร้องระงมอยู่ในดงบอนเงียบเสียงลง ราวกับนัดกันไว้ จิ้งหรีดรองไนที่พากันกรีดปีกเซ็งแซ่ก็พากันเงียบจนหูดับ มีเพียงเสียงน้ำในลำห้วย และเสียง ออดแอด ของต้นไม้ที่โอนเอนไปมาตามแรงลมเอื่อยๆ อากาศเย็นยะเยือกผสมกับบรรยากาศที่วังเวงราวกับป่าช้า แต่ก็ไม่ได้ทำให้คณะหาปลาหวาดกลัวแม้แต่น้อย เสียงย่ำกรวดหินดังห่างออกมาเรื่อยๆ เขียดป่าที่ว่าเป็นใบ้ก็เริ่มส่งเสียงอีกครั้ง แรกๆก็มีตัวสองตัวที่ใจกล้านำร้องก่อน แต่อึดใจต่อมาก็พากันร้องระงมลำห้วยไปหมด

“คืนนี้น่าจะหนาว สงสัยคงไม่ได้อาบน้ำแน่”พรานแปะพูดจบ ก็ดูดยาเส้นที่คาบไว้จนปลายแดดวาบ

“ขืนอาบคืนนี้มีหวังปอดบวมตายห่ า”พรานโส่ยพูดเสริมออกมา พูดจบก็กราดไฟฉายไปตามแอ่งน้ำตื่นๆ

“ผมคงดูอีกที ถ้าหนาวมากๆก็ไม่ไหว เป็นไข้มาจะลำบาก แต่ไม่อาบก็ไม่ไหวเหนียวตัวไปหมด”สิงห์พูดจบก็ควักเหล้าแดงที่พกใส่กระติกขึ้นมาจิบ

“มาลุงโส่ยพี่แปะ คนละจิบสองจิบแก้หนาว”พูดจบพรานมือใหม่ก็ส่งกระติกน้ำ ที่ภายในนั้นมีเหล้าแดงอยู่เกือบครึ่ง ส่งให้พรานชราและพรานหนุ่ม

“บ๊ะ! ค่อยอุ่นขึ้นหน่อย เอ๊าไอ้แปะตาเอ็งแล้ว”พรานเฒ่าร้องบอกหลังจากเหล้าเข้าไปอุ่นอยู่ในท้อง

“ปลาสร้อยเยอะดีนะลุง เมื่อเย็นผมไล่ฟันไม่ได้สักตัวไว้จัด แต่กลางคืนลอยให้เห็นตัวเลย”สิงห์พูดพลางกราดไฟฉายไปบนผิวน้ำ ที่ตอนนี้มีปลาสร้อยหลายสิบตัวว่ายลอยตัวให้เห็นบนผิวน้ำ

“จะไปยากอะไรไอ้สิงห์ เดี๋ยวข้าจะจับให้เอ็งดู”พรานชราพูดจบก็ถอดผ้าขาวม้าที่โพกหัวออก จากนั้นก็ร้องเรียกให้พรานแปะช่วยจับมุมของผ้าขาวม้าอีกด้าน ในลักษณะตามยาวของผ้า สิงห์เห็นเข้าถึงเอามือตบหน้าผากตัวเองดังฉาด

“ปัดโถ่...เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไม่ผมถึงนึกไม่ออก ก็เอาผ้าขาวม้ามาทำสวิงช้อนปลาแบบง่ายๆ ข้าน้อยขอคารวะ”สิงห์พูดจบก็ส่งกระติกเหล้าให้พรานโส่ยและพรานแปะที่ยิ้มหลาคอยท่าอยู่แล้ว

“ร้อนกระเพาะดีแท้ แบบนี้เดินส่องทั้งคืนไม่มีหนาว ฮาๆ”พรานชราพูดจบ ก็ชวนพรานแปะเดินลงไปช้อนปลาในแอ่งน้ำตื่นๆ

“ไอ้สิงห์เอ็งส่องไฟให้ดีๆ เดี๋ยวข้ากับไอ้แปะจะช้อนปลา”พรานชราหันไปบอกสิงห์ ที่ยืนส่องไฟอยู่ใกล้ๆ หลังจากคนทั้งสองลงไปในแอ่งน้ำนั้นแล้ว พรานโส่ยและพรานแปะ ก็ช่วยกันขึงผ้าขาวม้า โดยจับคนละมุม จากนั้นก็ค่อยๆจุ่มผ้าขาวม้าด้านหนึ่งในท่าเฉียงลงน้ำ จากนั้นก็ไล่ตักปลาสร้อยที่ว่ายบนผิวน้ำ พอได้จังหวะที่ปลาสร้อยเข้ามาอยู่ในผ้าขาวม้า หรือจะเรียกว่าสวิงจำเป็นก็ไม่ผิด สองพรานกะเหรี่ยงก็ค่อยๆยก ผ้าขาวม้าขึ้น

“ไอ้สิงห์ เอ็งคอยจับปลาก็แล้วกัน”พรานแปะร้องบอก

“แล้วจะเอาอะไรใส่ปลาล่ะ พี่แปะ หม้อไหก็ไม่ได้เตรียมมาด้วย”สิงห์พูดขณะมีปลาสร้อยสี่ห้าตัวดิ้นอยู่ในมือ

“ใส่ถุงหมากข้าก่อนก็ได้ เอ็งล้วงเอาแล้วกันอยู่ในย่ามข้า”พรานชราพูดจบก็บุ้ยปากไปที่ย่ามใบเก่าๆของแก ที่ตอนนี้ถูกแขวนไว้กับกิ่งไม้

“เอาถุงใส่ใบพลูก็แล้วกัน ใหญ่ดี ใบพลูผมถ่ายใส่ถุงหมากนะลุงโส่ย”สิงห์พูดพลางหยิบใบพลูกำใหญ่ ใส่ไปในถุงหมากอีกใบ
พอได้ถุงเปล่าก็เอามาใสปลาสร้อยที่จับได้ ตลอดเส้นทางในลำห้วยเป็นไปอย่างสนุกสนาน ชายทั้งสามช่วยกันจับปลาอย่างเพลิดเพลิน แอ่งไหนเจอตัวใหญ่ก็ถูกพรานชราและพรานหนุ่มช่วยกันไล่ฟัน ตรงไหนมีปลาเล็กก็ช่วยกันไล่ช้อน ตัวไหนใหญ่หน่อยก็ร้อยเหงือกทำเป็นพวงถือ ตัวเล็กร้อยเหงือกไม่ได้ก็ใส่ถุงพลาสติก เพียงระยะเดินทางไม่ไกลนัก ก็ได้ปลาเวียน ปลากั้ง ปลาสร้อย รวมถึงกุ้งห้วยตัวโตๆ แต่ละตัวใหญ่เกือบเท่านิ้วนาง

          ปลาเวียนและปลากั้ง ส่วนมากจะเป็นผลงานของเจ้าสองกะเหรี่ยงดง ที่เดินส่องนำหน้ามากันก่อนแล้ว ฟันทิ้งไว้ให้จับ มีบางตัวที่หลุดรอดสายตามาได้ แต่ก็ไม่หลุดรอดสายตาจากพรานชราและพรานแปะ ที่ช่วยกันส่องไฟ คอยให้สิงห์ถือพวงปลาและถุงใส่ปลาอยู่ข้างๆ ครั้งหนึ่งสิงห์ถึงกับสะดุ้ง เมื่อลำไฟฉายของเขากราดไปเจองู

“ลุงๆ ระวังงู”สิงห์ร้องออกมาดังลั่น เมื่อเห็นพรานเฒ่าเดินเฉียดเข้าไปใกล้

“ร้องเสียตกอกตกใจหมด ปุดโถ งูกินปลาน่ะไอ้สิงห์”พรานชราตอบ

“ไอ้นิ มาขโมยกินปลา ที่ไอ้เคิ้งกับไอ้พุ่มฟันทิ้งไว้ ปลายังอยู่ในปากมันอยู่เลย”พรานแปะพูดจบก็ทำท่าจะเอาไม้ฟาด

“งูมีพิษหรือเปล่าพี่แปะ ถ้าไม่มีพิษมีภัยอะไรก็อย่าไปทำมันเลย แบ่งๆกันกิน”สิงห์ร้องห้าม

“เออไอ้แปะ ข้าก็ว่าแบบไอ้สิงห์มัน ต่างคนต่างหากิน มันก็คงไม่รู้ว่าปลาเราเป็นคนหา ปล่อยมันไปเถอะ”พรานชราร้องทักมาอีกคน

“มันน่าเคาะกบาลสักทีสองที”พรานแปะพูดจบก็เดินผละไป

“อ้าว นั้นกบนี้หว่า นอนหมอบอยู่นั่น”พรานแปะร้องบอก

“กบอะไรพี่แปะ”สิงห์ร้องถาม

“น่าจะกบขาสั้น แหนะ!ไวจริงนะเอ็ง เห็นไฟหน่อยทำหมอบ”พรานแปะร้องบอกขณะใช้ไฟฉายส่องจี้ไปที่กองใบไม้แห้งริมห้วย

“ผัวะ!”

“โน้น อีกตัวไอ้แปะ กระโดดเข้าไปในดงแล้ว”

“วูบ!..ผัวะ!!”

          สิ้นเสียงไม้แหวกอากาศ กบเคราะห์ร้ายทั้งสองตัวก็ถูกมัดด้วยเถาวัลย์ ถูกอย่างที่พรานแปะบอก มันเป็นกับขาสั้นทั้งสองตัว กบขาสั้นเป็นกบที่ตัวไม่ใหญ่นักลักษณะเหมือนกบนา โตเต็มที่ใหญ่ไม่เกินกำมือ ซึ่งมีอยู่ชุกชุมตามลำห้วยสายนี้ พรานแปะและพรานโส่ย เลือกจับกบขาสั้นที่ตัวโตเต็มที่ ส่วนตัวไหนเล็กไม่ได้ขนาดก็ปล่อยให้เจริญเติบโตต่อไป เพราะเหตุนี้ป่าแถบนี้จึงยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งอาหาร ผิดกับโลกภายนอกที่เจริญแล้ว บทที่จะหาก็หากันแทบสูญพันธ์ ตัวอย่างมีให้เห็นออกบ่อย

“นั่นใช่กบหรือเปล่าลุงโส่ย ใกล้ๆโคนไม้นั่น”สิงห์พูดพลางส่องไฟฉายไปที่แสงแวววาวสีขาวเล็กๆ ที่ส่องกระทบแสงไฟ

“ไอ้ที่เอ็งเห็น นั่นมันตาแมลงมุม”พูดจบพรานชราก็ค่อยๆย่องเข้าไปใช้สันมีดฟันปลากั้งที่นอนซุกอยู่ในเศษใบไม้ริมห้วย

“ตากบมันต้องเป็นแบบนี้สิงห์”พรานแปะกระซิบบอกพรานสมัครเล่น

“เห็นไหม ตาแมลงมุมมันจะใกล้ๆกัน แต่ตากบมันจะใหญ่และอยู่ห่างกันมาก กบมันตัวใหญ่กว่าแมลงมุม”พรานแปะอธิบายพลางจี้ไฟฉายไปที่ตากบ

“ตัวนี้ขอผมจัดการเองพี่แปะ”สิงห์พูดจบก็ก้มลงไปหยิบไม้แห้งท่อนหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆเดินย่องหมายที่จะใช้ไม้หวด แต่มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิดไว้ จังหวะที่เหนี่ยวแขนเพื่อนจะตีกบเต็มแรง ไม้แห้งเจ้ากรรมดันหักเสียก่อนกลางอากาศ ส่วนกบขาสั้นตัวที่สิงห์หมายตาไว้ ดวงคงไม่ถึงฆาต เลยรอดตายไปอย่างหวุดหวิด แถมก่อนจะกระโดดเขาไปในพงรกมันยังฉี่เป็นทางยาว เล่นเอาพรานกะเหรี่ยงทั้งสองที่เฝ้ามองอยู่หัวเราะชอบใจ

“ฮาๆ ดีนะที่มันไม่เยี่ยวรดหน้าเอ็ง”พรานชราพูดพลางหัวเราะ

“โน้นๆ มีอีกตัว คราวนี้อย่าให้พลาดนะเว้ย ฮาๆ”พรานแปะแหย่อีกคน

“ม้งไม้ ไม่ใช้มันแล้ว มือตะปบเลยดีกว่า”พูดจบสิงห์ก็ตะปบกบขาสั้นอีกตัวที่นอนหมอบซุกตัวอยู่ในแอ่งน้ำตื้นๆ

“เบาๆไอ้สิงห์ เดี๋ยวก็ล้มหน้าแหก”พรานโส่ยร้องเตือน

“ไอ้สองตัวมันเดินย้อนกลับมาทำไม่ของมัน”พรานแปะร้องหลังจากเห็นลำไฟฉายส่องวูบวาบมาทางนี้

“เจอตัวอะไรเข้าล่ะมั่ง”สิงห์เสริมมาอีกคน พูดจบก็ส่งกบขาสั้นที่จบได้ ให้พรานชราผูกเอวเข้ากับเถาวัลย์

“เฮ้ย พวกเอ็งกลับมาทำไม”พรานแปะร้องทัก สองกะเหรี่ยงหนุ่ม

“ฉันว่าจะกลับไปเอาปืนที่แค้มป์ ตะกี้ส่องไฟเจออีเห็น”พุ่มร้องขณะยืนหอบ

“จะกลับให้เสียเวลาทำไม กว่าเอ็งจะย้อนกลับมา มันก็เปิดไปยันไหนแล้ว มันคงไม่รอลูกปืนเอ็งให้โง่หรอก ไอ้พุ่ม”พรานชราโพล่งออกมา

“ได้อะไรมาบ้างล่ะ เห็นไปกันตั้งนาน”สิงห์หันไปถามเคิ้ง แทนคำตอบกะเหรี่ยงดงก็ล้วงไปในย่ามที่ตัวเองสะพายอยู่ ภาพที่ปรากฏทำเอาสิงห์ถึงกับผงะ กบธูปหรือกับทูดตัวใหญ่ขนาดฝ่ามือสองตัว ถูกมัดเอวด้วยเถาวัลย์อย่างแน่นหนาคู่กัน เมื่อกะด้วยสายตาแล้วสิงห์คิดว่าไม่น่าต่ำกว่ากิโล

“โอโฮ้..ตัวใหญ่ดีแท้”สิงห์พูดพลางหยิบพวกกบธูปที่เคิ้งส่งให้ดู

“ไอ้เคิ้งมันแพ้ผมพี่สิงห์ ผมได้สามตัว”พุ่มพูดจบก็ดึงพวงกบธูปในย่ามของตัวเองโชว์ให้สิงห์ดู

“โถ่..ไอ้พุ่มถ้าเอ็งไม่แย่งข้า ข้าก็ชนะเอ็งไปแล้ว”เคิ้งบ่นคู่แข่ง

“ข้าเห็นก่อนโว้ย เอ็งเดินเลยไปเองนี่หว่า”พุ่มเถียง

“ถึงว่าได้ยินเสียงเอะอะโวยวายอะไร ที่แท้ก็เถียงกันเรื่องกบ ฮาๆ”สิงห์พูดพลางหัวเราะ

“แต่ถ้านับกบขาสั้น ข้าชนะเอ็งแน่ไอ้พุ่ม”พูดจบเคิ้งก็ล้วงพวงกบขาสั้นขึ้นมาอีกพวง

“กบขาสั้นไม่นับโว้ย ข้าหาแต่กบธูป เอ็งไม่ได้บอกให้ข้าหาด้วยนี่หว่า”พุ่มเถียงจนหน้าแดง

“ข้าบอกว่าใครหากบได้มากคนนั้นชนะ เอ็งฟังไม่ดีเอง”เคิ้งเถียงข้างๆคูๆไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

“เออๆพวกเอ็งสองคนไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะ เถียงกันอยู่ได้ ฮาๆ เอาเป็นว่าพี่ให้เสมอกันก็แล้วกัน”สิงห์สรุปผล เมื่อได้คำตอบที่ฟังดูแล้ว ไม่มีใครได้เปรียบใคร ทั้งสองกะเหรี่ยงคู่ปรับจึงหยุดเถียงกัน ว่าใครแพ้ใครชนะ

          สรุปว่าเคิ้งได้กบธูปมาสองตัว แต่ก็มีกบขาสั้นแถมมาด้วยอีกหกเจ็ดตัว ส่วนพุ่มได้กบธูปมาสามตัว กบขาสั้นไม่ได้จับมาด้วย ก็ถือว่าการตัดสินของสิงห์ยุติธรรม เพราะกบขาสั้นที่เคิ้งได้มา ถ้าเอามารวมๆกันแล้วขึ้นกิโลชั่ง ก็ยังเบากว่ากบธูปของพุ่มหนึ่งตัว จากที่ได้มาสามตัว แต่ถ้าจะให้พุ่มชนะ เพราะได้กบธูปมากกว่าหนึ่งตัวก็ไม่ถูก หรือนับจำนวนกบพุ่มคงแพ้เคิ้ง แต่ถ้าเทียบน้ำหนักรวมแล้วพุ่มชนะขาด กบธูปของพุ่มที่จับมาได้แต่ละตัวใหญ่โตหนักร่วมกิโล
เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงที่คณะหาปลาทั้งห้าคน เดินลัดเลาะไปตามลำห้วยสายนั้นเงียบๆ มีเพียงเสียงพูดคุยกันเบาๆของสิงห์และพรานชรา ที่เดินเคียงคู่กันอยู่ท้ายขบวน ปล่อยให้กะเหรี่ยงดงอีกสามคนเดินนำหน้าไปไม่ห่างนักที่นานๆครั้งจะมีเสียงคุยแว่วมาให้ได้ยิน ทั้งสามเดินส่องไฟอย่างเงียบเชียบ บางครั้งก็ส่องตามพุ่มไม้บ้าง ยอดไม้บ้าง ครั้งหนึ่งพรานแปะส่องพบตัวอะไรชนิดหนึ่งบนยอดยางสูงริบ เห็นเพียงดวงตาที่กระทบแสงไฟฉายแวววาว พอสิงห์เดินมาใกล้ก็ส่องไฟฉายให้สิงห์ดู

“ตัวอะไรหรือพี่แปะ”สิงห์กระซิบถาม

“บ่าง”พรานแปะตอบมาเบาๆ พูดจบก็ลดไฟฉายที่ส่องอยู่ลง

“เสียดายไม่ได้เอาปืนมาด้วย ไอ้ตัวนี้ แกงเพี้ย เรี่ยมเลย”พรานโส่ยเสริมมาอีกคน

“อย่าไปสนใจมันเลยลุงโส่ย เรามาหาปลาหากบ”สิงห์พูดจบก็เดินส่องไฟไปตามดงบอน

“กู้ลอบก็พอแล้วมั๊งตาโส่ย กบปลาเราก็ได้เยอะแยะแล้ว”พรานแปะหันมาถามพรานชรา

“เออ ข้าก็คิดแบบเอ็งไอ้แปะ กู้ลอบเสร็จก็น่าจะกลับแค้มป์ได้แล้ว”พรานชราตอบ

“โน้นไง จะถึงแล้ว”สิงห์พูดหลังจากส่องไฟฉายไปที่ตะเคียนใหญ่ ที่ตอนนี้เห็นเพียงเงาตะคุ่มๆน่ากลัว ผิดจากเมื่อตอนเย็นที่พอจะเห็นอะไรเป็นอะไรได้บ้าง แต่มาตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวดูมืดทะมึนวังเวงจนน่าขนลุก บวกกับบรรยากาศที่เย็นยะเยือกด้วยแล้วยิ่งทำให้บริเวณนี้น่ากลัวขึ้นไปอีก ถ้ามีคนที่ขวัญไม่ดีมีหวังจับไข้หัวโกร๋นแน่ๆ ขนาดสิงห์เองก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องอะไรพวกนี้อยู่แล้วยังหนาวๆร้อนๆ เพราะก็เคยรู้กิติศักดิ์ของต้นตะเคียงมาบ้างว่ามีความขลังอย่างไร ลำพังถ้าเป็นตะเคียนที่ขึ้นอยู่แถวบ้านก็ไม่เท่าไหร่ แต่นี้มันตะเคียนที่อยู่กลางป่ากลางดงอย่างนี้ คนกล้าๆก็ยังหนาว ทั้งหมดมาหยุดอยู่ที่ริมห้วยตอนหนึ่ง ซึ่งเบื้องหน้าต้นตะเคียนใหญ่ยืนต้นทะมึนอยู่

“วังเวงดีพิลึก”สิงห์กระซิบ

“ข้าก็ว่าแบบเอ็ง ไอ้สิงห์”พรานชรากระซิบตอบ

“อ้าว...แล้วลุงพามาดักลอบตรงนี้ทำไม่เล่า”สิงห์ร้อง

“ทีนี้ใครจะเข้าไปดูล่ะ”สิงห์พูดพลางมองหน้าทุกคน

“แกนั่นล่ะตาโส่ย ที่ดักมีออกเยอะแยะคิดยังไง ทะลึ่งมาดักเอาที่โคนต้นตะเคียน”พรานแปะโพล่งออกมาเบาๆ

“ตอนที่เห็นข้าว่าที่มันเหมาะดี”พรานชราตอบออกมาอ้อมแอ้ม

“มันน่านัก ไป ไปกันหมดนี้ล่ะ”พรานแปะพูดจบก็พาเดินนำขบวน

“ลอบแกดักไว้ตรงไหนล่ะ”พรานแปะพูดพลางใช้ไฟฉายส่องไปรอบๆ

“โคนต้นตะเคียนนั้นไง ตรงริมห้วยเห็นไม้หลักปักอยู่นั่น”พรานชราพูดจบก็ส่องไฟฉายไปยังตำแหน่งที่ดักลอบไว้ ทั้งห้าคนเดินไปยังตำแหน่งที่ชายชราดักลอบ หลังจากยกกิ่งไม้ใบไม้ที่เอามาปิดพรางไว้ ทุกคนถึงกับร้องออกมาด้วยความดีใจ โดยเฉพาะสิงห์ถึงกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง ภายในลอบมีสัตว์อะไรชนิดหนึ่งสีกระดำกระด่าง แวบแรกที่เขาเห็นคิดว่ามันเป็นใบไม้เน่าสีดำๆด่างๆหลุดเข้าไปในลอบ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดี สิ่งที่เขาเห็นมันไม่ใช่ใบไม้เน่าอย่างที่เขาคิดไว้ เพราะนอกจากขาทั้งสี่ข้างที่ตะเกียดตะกายไปมาแล้ว ลำคอที่ยาวผิดรูปขนาดนั้น ใช่แล้วมันเป็นตะพาบน้ำ ตะพาบป่าที่ตัวเขาเองไม่คิดว่าจะมีอยู่จริง

“ฮาๆเป็นยังไงไอ้สิงห์ ทีนี้เอ็งเชื่อข้าหรือยัง ว่าตะพาบน้ำมันมีจริง”พรานชราพูดอย่างความภูมิใจกับผลงานที่ได้มา

“เชื่อแล้วลุงโส่ย”สิงห์ตอบอย่างตื่นเต้น พลางช่วยพรานเฒ่ากู้ลอบดักปลาขึ้นมาจากลำห้วย เมื่อยกลอบขึ้นมาจากน้ำ ทุกคนก็เห็นตะพาบน้ำอย่างเต็มตา ขนาดของมันใหญ่เท่าสองมือกางๆ ดูแล้วไม่น่าจะหลงเข้าไปติดลอบได้เลย เมื่อเทียบขนาดตัวมันกับลอบ อาจเป็นไปได้ที่พรานเฒ่าเคยบอกว่า ปลาที่หลงเข้าไปติดลอบอาจจะเป็นเหยื่อล่อชั้นดีของตะพาบน้ำก็ได้

“แบบนี้ไม่น่าต่ำกว่ากิโลครึ่ง”พรานแปะร้องบอกพลางใช่ไม้เขี่ยตะพาบ ที่หดหัวเข้าไปในกระดองนิ่มๆของมัน

“มีปลาเวียนโดนกินไปเกือบครึ่งตัว”เคิ้งร้องทักมาอีกคน ขณะที่ส่องไฟฉายสำรวจดูลอบดักปลา

“สงสัย มันคงเข้าไปกินปลาที่ติดอยู่ข้างใน”พุ่มเสริมมาอีกคน พูดจบก็วางพวงปลาที่หิ้วมา ไว้บนแผ่นหินเรียบๆก่อนหนึ่ง

“สงสัยแม่ตะเคียนจะให้โชคเรา”พรานชราพูดจบก็ยกมือไหว้ท้วมหัว แล้วพูดต่อขึ้นมาอีกว่า

“พรุ่งนี้ลูกช้างจะแกงป่ามาถวาย”พรานโส่ยพูดออกมาเสียงดัง ความเชื่อกับคนป่าอยู่คู่กันมาช้านาน ความจริงแล้วคงไม่มีแม่ตะเคียนอะไรมาอยู่กลางป่ากลางดงแบบนี้ถ้าสามารถทดลองทางวิทยาศาสตร์ได้ อาจจะเป็นเพราะความกลัวบวกกับสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว ทำให้คนจินตนาการไปต่างๆนาๆ จึงทำให้จิตใจไม่มั่นคง พอจิตใจไม่สงบก็เกิดความกลัว มองเห็นอะไรก็พาลให้เห็นเป็นสิ่งต่างๆมาหลอกหลอนตัวเอง เห็นเงาไม้ไหวๆก็พาลว่าเป็นผีมาหลอก แต่ของแบบนี้ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่
สิงห์มองชายชราอย่างศรัทธาในคำพูดของแก ถึงแม้จะอดนึกขำไม่ได้กับสิ่งที่แกทำ ถ้ามองในทางที่ดี มันก็เป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ ให้ทุกคนไม่เกิดความกลัว สิงห์เองก็ยอมรับในข้อนี้

          ชายหนุ่มผละเดินแยกออกมาจากกลุ่มกะเหรี่ยงดง มายืนส่องไฟสำรวจรอบๆต้นตะเคียนใหญ่ตามลำพัง แต่ก็ไม่ห่างจากกลุ่มมากนัก ลำไฟฉายของเขาส่องวูบวาบไปตามเรือนยอดของตะเคียนยักษ์ แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติไปจากต้นไม้ชนิดอื่น คือมีแต่ใบหนาทึบไปหมด เมื่อไม่มีอะไรน่าสนใจนอกจากยอดไม้ ก็ส่องไฟไล่ไปตามคาคบของต้นตะเคียน กิ่งขนาดใหญ่โตกางแผ่ ดูโปร่งตาแต่ก็รุงรังไปด้วยรากที่งอกยาวเป็นสาย ราวกับว่ามีใครเอาผ้าม้านบางๆมาแขวนไว้ เขากราดไฟฉายไล่ไปตามคาคบไม้เรื่อยๆ ทันได้นั้น เมื่อลำไฟฉายของเขาจับหยุดนิ่งกับอะไรชนิดหนึ่งระหว่างกิ่งใหญ่ของตะเคียนยักษ์ สิงห์ถึงกับผงะเกือบจะหงายหลัง

          ภาพที่เขาเห็นคือ มีอะไรบางอย่างอยู่บริเวณคาคบใหญ่นั้น รูปร่างสัณฐานเหมือนมนุษย์ ใช่แล้วสิ่งที่เขาเห็นคาตานั้นคือมนุษย์นั้นเอง ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิดมนุษย์ที่เขาเห็นน่าจะเป็นสุภาพสตรีเสียด้วย แต่ก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้ ว่าผู้หญิงที่ไหนจะขึ้นไปนั่งสบายใจเฉิบอยู่บนต้นตะเคียนสูงลิบ ทำให้คนมองต้องขยี้ตาอยู่หลายครั้ง!

................นิยายยังไม่จบเพียงแค่นี้ สิงห์จะพบกับใคร แล้วหญิงสาวปริศนาที่เขาเห็นล่ะคือใคร? โปรดติดตามความบันเทิงได้ต่อในบทที่ 4.4 เร็วๆนี้...............


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #3 on: 21 April 2021, 22:48:08 »

เจ้าเคิ้ง กับ พรานเบ กำลังช่วยกันทำปลาเวียน ที่หาได้ในห้วย

ปลากั้ง/ปลาก้าง ที่เคิ้งและพุ่ม สองกะเหรี่ยงดงฟันทิ้งไว้ให้เก็บ ตลอดลำห้วย

พรานพร กับกบทูด/กบธูป ที่หาได้


ลุงโส่ย กับตะพาบน้ำ ที่หามาได้
ตะพาบน้ำที่ได้ ถ้ามีขนาดเล็กกว่าฝ่ามือกางๆ จะถูกปล่อยให้เจริญเติบโตต่อไป เพราะเหตุนี้ พวกมันจึงพบเห็นได้บ่อยในป่าทึบผืนนี้




เจ้าพะเปรียว กับหมอนธรรมชาติที่เอามาหนุนหัว (แข็งไปมั๊ย)

ออ..ที่เห็นส่วนหางแว๊วๆ คือเจ้าพะบองครับ ตอนนั้นมันยังมีชีวิตอยู่ รู้สึกว่าช่วงที่ผมไปจะเป็นช่วงที่อากาศหนาวมาก หมาเลยชอบมานอนใกล้กองไฟ บ่อยครั้งที่พวกมันมานอนใกล้จนเกินไป ทำให้ไฟที่ติดตามฟืนที่มันไปนอนหนุน ไหม้ขนเข้าให้ ก็เป็นเหตุการณ์ที่เห็นอยู่เป็นประจำ โดนทีก็ร้องจนตกอกตกใจ

.............
คำถาม: อยากรู้จัง ป่าในรูปจังหวัดไหน
หนุ่มธุดงค์ไพร: ป่าเมืองกาญจน์ครับ  (ถ้าที่ผมเที่ยวนะครับ บ้านปลายนาสวนบน ต.นาสวน อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี)

ส่วนในนิยาย มีหลายป่าครับรวมๆ เช่น ทุ่งใหญ่  บ้านอีต่อง ปิล็อค เซซาโว และหลังๆเป็นป่าแถวๆ บ้านปลายนาสวน ครับ เพราะนอกจากที่ผมบบอกมาแล้ว ผมไม่เคยไป ก็เลยนึกภาพไม่ออกครับ

...................................


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #4 on: 21 April 2021, 22:51:55 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 4


บทที่ 4

ตอนที่ 4

          ตัดมาที่แค้มป์ เหน๋อและพรานแปะก็ไม่ได้อยู่เฉยให้เสียเวลาเปล่า ต่างช่วยกันเก็บกวาดสถานที่ให้ดูน่าอยู่ขึ้น หลังจากช่วยกันเก็บฟืนมาเพิ่มได้อีกกองใหญ่ ก็ช่วยกันถ่ายข้าวสวยในหม้อสนาม ที่สุกจนควันกรุ่นเทใส่ใบตอง แล้วห่อไว้อย่างมิดชิด จากนั้นก็นำหม้อสนามทั้งสี่ใบไปล้างทำความสะอาดที่ริมห้วย ที่ตอนนี้มีฝูงปลาเล็กปลาน้อยมารุมกินเศษข้าวกัน ดูสับสนไปหมด

“ปลาสร้อยเยอะดีแท้ น่าจับมาทำหมกกิน”เหน๋อพูดขณะใช้ทรายล้างหม้อสนาม ที่มีเศษข้าวติดอยู่

“รู้ยังงี้ เอาสวิงมาด้วยก็ดี เดินช้อนกันเพลินไปเลย”พรานแปะพูดเสริมมาอีกคน พูดจบก็เดินถือหม้อสนามสองใบที่ถูกล้างทำความสะอาดแล้ว ไปตักน้ำในลำห้วยที่อยู่เหนือขึ้นไป แล้วนำไปแขวนบนราวเตรียมไว้ต้มทำน้ำดื่มให้สิงห์

“ไอ้สิงห์มันก็ชอบเที่ยวป่าเหลือเกิน อยู่ในเมืองสบายๆดีอยู่แล้วจะมาลำบากทำไมไม่รุ”พรานแปะพูดจบก็ก้มลงไปเป่าไฟในกอง

“มันชอบมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว อย่าว่าแต่มันเลยพี่แปะ ขนาดผมลูกป่าแท้ๆยังไม่คิดที่จะเบื่อ”เหน๋อพูดพลางเดินหิ้วหม้อสนามมาอีกสองใบ ภายในนั้นมีน้ำอยู่เต็มปริ

“จริงของเอ็ง ข้าอยู่มาจนมีลูกมีเมีย ยังไม่เบื่อเลยวะ ยิ่งมาได้เพื่อนเที่ยวแบบไอ้สิงห์ด้วยแล้ว ไปไหนไปกัน”พรานแปะพูดจบก็หักกิ่งไม้แห้งเล็กๆใส่กองไฟ

“ไปถึงไหนกันป่านนี้ยังไม่มา เผาปูรอท่าดีกว่าพี่พร เดี๋ยวมันจะเน่าเสียเปล่าๆ” พูดจบเพื่อนเกลอของสิงห์ก็เดินไปหิ้วพวงปูที่แขวนไว้บนแคร่มาที่ริมกองไฟ

“ไม่รู้ว่าชายดงป่าดำ ที่พี่เบจะพาไปมันจะมีกุ้งมีปลาให้เรากินกันแบบนี้หรือเปล่า”พรานแปะพูดพลางใช้ไม้เขี่ยพลิกปูที่อยู่บนกองถ่านไปมา ไม่นานนักปูเผาก็ส่งกลิ่นหอมฉุย

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็ยังนึกหวาดๆว่าจะเจออะไรบ้าง แค่คิดก็เสียวสันหลังแล้ว”เหน๋อพูดขณะนั่งห่อตัวอยู่บนรากไม้ที่เป็นสันนูนพ้นดินขึ้นมา แล้วพูดต่อมาอีกว่า

“ถ้าเราเสือ กทะลึ่งหลงเข้าไปในป่าดำ แล้วกลับออกมาไม่ได้จะทำยังไง”เหน๋อพูดพลางหันไปมองรอบๆที่แค้มป์แบบหวาดๆ เพราะอากาศตอนนี้เริ่มขมุกขมัวมากขึ้นทุกที

“เอ็งก็พูดไปได้ ไอ้ห่ ามีกันอยู่แค่สองคน คนยิ่งกลัวๆผีอยู่”พรานแปะพูดจบก็หยิบท่อนฟืนทำท่าจะตีกบาลคนปากเสีย ที่ตอนนี้ดวงตาเหลือแต่สีขาวกรอกไปมา

“มาช่วยข้าสุมไฟอีกกองดีกว่า ชักเริ่มจะหนาวแล้ว”ไม่รู้ว่าอากาศหนาวหรือเพราะพรานแปะเกิดกลัวขึ้นมา จึงทำเป็นก่อไฟอีกกองใหญ่ จนบริเวณที่พักสว่างโพลงไปหมด

“ผมว่าจะไปอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย เหนียวไปหมดแล้ว พี่แปะไปอาบน้ำเป็นเพื่อนผมหน่อย”เหน๋อทำท่าน่าสงสาร ชักชวนพรานแปะให้เป็นเพื่อนอาบน้ำให้ได้

“ไอ้ห่ า เอ็งนี่ถ้าจะบ้า มีอย่างที่ไหนเสือ กชวนข้าไปอาบน้ำด้วย ฟ้าผ่าตายโห ง”พรานแปะโพล่งออกมา

“ทีเมียทำไมอาบด้วยกันได้ ผมเห็นประจำ”เหน๋อพูดจบก็กระโดดหลบบาทาของพรานแปะที่เฉี่ยววูบเกือบโดนสีข้าง

“เสือ กรู้อีกว่าข้าอาบน้ำกับเมียประจำ ไอ้สั นดานมาแอบดูข้าตอนไหนวะ”พูดจบก็คว้าท่อนฟืนเขวียงไล่หลังเหน๋อที่ตอนนี้วิ่งหลบลงไปที่ริมห้วยพร้อมกับเสียงหัวเราะคิก

          อากาศที่ร้อนระอุในตอนบ่ายที่ผ่านมา บัดนี้กลับเย็นยะเยือกมากยิ่งขึ้น แสงแดดเริ่มลดน้อยลงจากสว่างจ้ากลับมาเป็นเพียงแสงสลัวๆพอมองออกว่าใบไม้อันไหนอ่อนอันไหนแก่ได้ในระยะใกล้ๆ เกือบสองชั่วโมงแล้ว ที่บุคคลทั้งหกแยกตัวออกไปยังไม่กลับมา แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชายทั้งสองมีความกังวลใจอะไรมากนัก เพราะรู้ๆฝีมือกันอยู่ อีกอย่างป่าที่มาตั้งแค้มป์กันอยู่นี้ก็ไม่ได้ลึกลับอะไรมากนัก

          เสียงนกการ้องเจื้อยแจ้วบนยอดยางสูงลิบ ผสานกับเสียงไก่ป่าขันอยู่ในหุบใดหุบหนึ่งใกล้ๆ จิ้งหรีดและลองไนเริ่มกรีดปีกส่งเสียงเซ็งแซ่ ผสมกับเสียงกบเขียดที่ร้องงึมงำอยู่ในดงบอนริมห้วย ช่วงเวลาไม่นานนักกลุ่มของสิงห์ก็เดินมาถึงที่พัก ซึ่งกองไฟกองใหญ่ถูกจุดขึ้นบริเวณลานโล้งกลางแค้มป์

“ได้มาเยอะเหมือนกันนิ แหมตัวสวยๆทั้งนั้นเลย”พรานแปะพูดพลางหยิบพวงปลาที่พุ่มกองไว้บนใบตองริมกองไฟขึ้นมาดู

“ไอ้สิงห์ตกลงปลากั้งเอ็งจะเอามาต้มยำใช่หรือเปล่า ข้าจะได้สับให้เลยหรือเอ็งจะต้มทั้งตัวดีว่ะ”พรานชราตอบมาจากริมห้วย

“สับมาเลยลุง ผมจะทำต้มยำ ไม่ได้เอามาทำต้มเปร ต ฮาๆ”พูดจบสิงห์ก็เดินไปค้นเครื่องครัวเตรียมทำต้มยำ

“ไอ้เคิ้ง เอ็งไปช่วยข้าทำปลาเลย ไอ้ห่ า หามาตั้งเยอะแยะข้าทำคนเดียวไม่เสร็จแน่”พุ่มร้องบอกเคิ้งที่ตอนนี้นั่งแทะกระดองปูอย่างเอร็ดอร่อย โดยมีเจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบองนั่งมองตาละห้อยอยู่ใกล้ๆ

“ไปๆข้าไปช่วยอีกคนจะได้เสร็จไว้ๆ มืดค่ำแล้วจะลำบาก”พรานแปะพูดจบก็ลุกขึ้นจากเปล ส่วนเหน๋อคอยเป็นลูกมือพ่อครัว

“น้าเบกับน้าพรไปยันไหน จะมืดแล้วยังไม่กลับมาอีก”สิงห์พูดขณะตั้งหม้อใบเล็กที่ดำเหมือนลูกนิมิต บนเส้าหินสามก้อน

“เห็นมันบอกว่าจะขึ้นไปดูลูกไม้บนเขาโน่น มันว่าจะขัดห้างไว้ ถ้าเจอลูกไม้สุก”พรานแปะพูดพลางชี้มือไปที่ภูเขา ซึ่งตอนนี้มองอะไรไม่ค่อยเห็นแล้วนอกจากเงาลางๆที่ดูมืดทะมึน

“เดี๋ยวก็คงมา ไฟฉายก็ไม่ได้เอาไปกัน”พรานชราร้องบอกมาจากริมห้วย ซึ่งตอนนี้เจ้าพุ่มและเคิ้งช่วยกันทำปลามือเป็นระวิง ส่วนพรานแปะเหลาไม้ไผ่เป็นซีกเล็กๆจากนั้นก็เอาส่วนปลายที่แหลมเสียบตัวปลาเวียน โดยเสียบเข้าทางปากทะลุส่วนหางในทางยาว

          ปลากั้งสับเป็นท่อนๆเสร็จพร้อมๆกับน้ำในหม้อกำลังเดือดได้ที่ สิงห์ก็โยนมะขามเปียกลงไปสองสามฝัก พอเนื้อมะขามเริ่มเปื่อยดีก็เติมเกลือลงไป จากนั้นก็เร่งให้เหน๋อที่กำลังเตรียมหัวหอมและตะไคร้ รีบเอามาเทใส่ในหม้อพร้อมกับข่าซอยอีกสี่ห้าแว่น พอกลิ่นเครื่องต้มยำหอมฉุยได้ที่ดีแล้ว ก็ค่อยๆตักชิ้นปลากั้งลงอย่างบรรจง จากนั้นก็ปิดฝาหม้อปล่อยให้น้ำในหม้อเดือดพล่านส่งกลิ่นยั่วน้ำลายทั้งคณะ หลังจากดูว่าสุกได้ที่ดีแล้ว สิงห์ก็ยกลงมาพักไว้เตรียมปรุงรส พริกสดไม่มีก็ใช้น้ำพริกเผาที่พรานเบตำไว้เป็นกระปุกใหญ่ ใส่ลงไปละลายแทน ต้มยำปลากั้งของสิงห์จึงยิ่งส่งกลิ่นหอมเป็นทวีคูณ

“วู้...ใครทำอะไรกลิ่นหอมมาถึงนี้เลย ฮาๆ”เสียงพรานพรตะโกนอยู่ทางปลายห้วยเบื้องล่าง”

“คิดว่าจะกินข้าวลิงกันในป่าเสียอีก มาๆ เพิ่งเสร็จพอดี”สิงห์ร้องตอบ

“ไปถึงไหนมาไอ้พร”พรานชราร้องทักมาจากริมห้วย ซึ่งตอนนี้ปลาเวียนกองใหญ่ทำจวนเสร็จแล้ว

“มัวแต่ขัดห้างกันอยู่เลยมาช้า ข้ากับไอ้เบไปเจอต้นมะกอกป่า ลูกสุกหล่นเกลื่อนเลย มีรอยเก้งกับหมูป่าลงกินเปรอะไปหมด”พรานพรพูดจบก็ควักลูกมะกอกป่าในย่ามโยนให้สิงห์

“กินข้าวอิ่มว่าจะไปเฝ้าเสียหน่อย ดึกๆเก้งชอบลงมากินลูกไม้”พรานเบพูดจบก็เอาปืนลูกซองที่สะพายมา วางพิงไว้กับโคนชงโค

“น้าเบจะไปคนเดียวหรือ”สิงห์ร้องถามขณะที่สรวลอยู่กับการขึงเปลนอน เนื่องจากเปลของสิงห์แตกต่างจากเปลที่พรานกะเหรี่ยงใช้กันมาก เพราะมันมีมุ้งและหลังคาติดมาด้วย ซึ่งย่อมเกิดความยุ่งยากในการผูกนอน แต่ก็มีข้อดีตรงที่มันกันยุงและน้ำค้างได้เป็นอย่างดี

“ข้าว่าจะไปกับไอ้พรมัน”พรานเบพุดพลางมวนยาสูบ

“จะไปกับพี่หรือเปล่าสิงห์ ห้างพี่ขัดไว้ก็ไม่ไกลกันหรอก ไม่รู้จะมีตัวอะไรลงมากินหรือเปล่า”พรานพรร้องถาม

“คืนนี้คงไม่ได้ไปหรอกพี่ สงสัยจะโอกาสหน้า คืนนี้ลุงโส่ยแกจองตัวผมแล้ว เดี๋ยวกินข้าวกินปลากันก่อนดีกว่า แล้วค่อยมาว่ากัน ม่ะ ต้มยำเสร็จพอดี”สิงห์พูดจบก็ยกหม้อต้มยำปลากั้งลงจากเตา

          นอกจากแกงป่าไก่ใส่เต่าร้าน และต้มยำปลากั้ง ที่ถูกจัดวางเรียงบนผ้าใบผืนใหญ่แล้ว บนใบตองใบใหญ่ยังมีปูห้วยเผาอีกกองใหญ่ กลิ่นของปูเผาหอมฉุยยั่วให้หิวยิ่งขึ้นไปอีก นอกจากกับข้าวสามอย่างที่ว่ามาแล้ว อีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือน้ำพริกเผาแนมกับผักป่านานาชนิด ทั้งยอดผักกูด ยอดมะกอกป่า และผักป่าอีกสองสามอย่างที่สิงห์เองก็ไม่รู้จักมาก่อน ถัดออกไปที่กองไฟ พรานโส่ยกำลังสรวลอยู่กับการจัดเรียงปลาเวียนบนร้านย่างปลา ที่พุ่มกับเคิ้งช่วยกันทำอย่างง่ายๆ โดยพรานโส่ยแยกปลาเวียนตัวเขื่องๆทาเกลือกเอาไว้ย่างกินสิบกว่าตัว ส่วนตัวที่เล็กหน่อยก็เอาขึ้นร้านย่างเตรียมทำปลารมควัน
ชั่วเวลาไม่นานพราชราก็จัดเรียงปลาเวียนจนแน่นร้านย่างไปหมด จากนั้นแกก็ใช้ใบตองมาปิดทับอีกสองสามชั้น

“มาตาโส่ยมากินข้าวกินปลาก่อน”พรานพรพูดจบก็เตรียมแจกจ่ายจานข้าวให้สมาชิกที่นั่งรอล้อมวงกันอยู่

“ไอ้เคิ้ง เอ็งตักข้าวไปไหว้เจ้าที่เจ้าทางเขาเสียหน่อย”พรานเบเสริมมาอีกคน

“เทเหล้าป่าใส่จอกนี่ไปด้วย”พรานแปะพูดจบก็โยนจอกเหล้า ซึ่งทำจากกระบอกไม้ไผ่ ส่งให้เคิ้ง หลังจากเคิ้งรับไปรินเหล้าป่าเกือบเต็มจอก

          บริเวณโคนยางนาใหญ่ต้นหนึ่ง ที่ขึ้นโดดเด่นอยู่ไม่ห่างจากแค้มป์มากนัก เทียนสองเล่นถูกจุดขึ้นบนก้อนหินสองก้อนที่คนจุดตั้งใจทำเป็นฐาน เปลวเทียนสว่างเป็นสีเหลืองนวลส่ายไปมาตามสายลมที่พักมาเอื่อยๆ ที่พื้นดินระหว่างกึ่งกลางเทียนทั้งสองเล่มนั้น มีของไหว้เจ้าที่เจ้าทาง หรือเครื่องเซ่น โดยเด็กหนุ่มจัดวางไว้บนใบตองอย่างเป็นระเบียบ บนใบตองนั้นมีทั้งข้าวสวยและกับข้าวที่ทำตักแบ่งไว้อย่างละนิดอย่างละหน่อย แถมด้วยจอกเหล้าป่าซึ่งถูกปักไว้อยู่ใกล้ๆ ภายในนั้นมีน้ำใสๆอยู่เกือบเต็มจอก หลังจากจัดเตรียบเรียบร้อยแล้ว กะเหรี่ยงหนุ่มก็นั่งคุกเข่าบรรจงกราบกับพื้นสามครั้งแล้วทำปากขมุบขมิบ ซึ่งการกระทำทุกอย่างอยู่ในสายตาของคนทั้งเจ็ดที่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ

“อ๊อมีๆ”สิงห์ร้องชวนกินข้าวเป็นภาษากะเหรี่ยง พูดจบก็จุดเทียนขึ้นอีกสองเล่มบนฝาของหม้อสนาม ที่ถูกวางไว้กลางวงข้าว

“มาเที่ยวป่ากันไม่กี่ครั้ง พูดกะเหรี่ยงได้แล้วรึไอ้สิงห์ ฮาๆ”พรานโส่ยหัวเราะชอบใจ

“ก็รู้ไม่กี่คำหรอกลุงโส่ย ผมจำได้แต่คำง่ายๆ ประโยคยาวๆผมพูดไม่ได้หรอก”สิงห์พูดจบก็ซดน้ำต้มยำแก้เขิน

“บอกให้มาอยู่ที่นี้ไปเลย ไม่ต้องกลับไปแล้ว มีหนุ่มเมืองกรุงเข้ามาอยู่ป่าแบบนี้ ขี้คร้านสาวกะเหรี่ยงจะมาติดให้หึ่ง”พรานแปะพูดจบก็ม้วนยอดผักกูดจิ้มน้ำพริกเผาที่พรานพรผสมลูกมะกอกป่าลงไปด้วย

“สาวองจุ สวยๆทั้งนั้น สิบสี่สิบห้า มีอยู่หลายคน”พรานพรพูดถึงสาวกะเหรี่ยงอีกหมู่บ้านที่อยู่ถัดออกไป

“จะหาเมียให้ผม หรือจะหาคุกให้ผมพี่พร หาให้ทั้งทีเอาที่มันห่างๆคุกหน่อยสิ ฮาๆ”สิงห์พูดพลางหัวเราะพลาง

“กลัวทำไม่พี่สิงห์ แถวนี้เขาไม่ถือกันหรอก สิบสี่สิบห้าก็มีลูกมีผัวกันแล้ว”เคิ้งเสวนาตอบ พูดจบก็ตักแกงป่าไก่คลุกกับข้าวสวย

“เออลุงโส่ย คืนนี้เราจะออกส่องปลากันกี่โมงกี่ยาม”สิงห์หันมาถามพรานโส่ย ซึ่งตอนนี้กำลังนั่งแทะปูห้วยเผาอย่างเอร็ดอร่อย

“กินข้าวอิ่มนั่งดูดยาเส้นสักมวนก็ไปกันได้แล้ว”พรานชราพูดจบก็โยนเศษกระดองปูให้หมาสองตัวที่นอนหมอบอยู่ข้างๆ

“แล้วน้าเบล่ะ จะออกกันตอนไหน”สิงห์ร้องถามพรานเบ ที่กำลังแคะมันปูมาคลุกข้าวกับน้ำพริกเผา

“ก็คงจะออกดึกๆหน่อย ตอนนี้กี่โมงแล้วล่ะ”พรานเบเงยหน้าขึ้นถาม

“อีกหกนาทีทุ่มครึ่ง”สิงห์ตอบหลังจากยกนาฬิกาพรายน้ำขึ้นดู

“สักสามสี่ทุ่มโน้นล่ะ ข้าว่าจะออกไปนั่งห้างกับไอ้พรมัน”พูดจบแกก็ตักข้าวคำใหญ่เข้าปากเคี้ยวจนแก้มตุ่ย

“เอ็งไม่ลองไปกับน้าเบดูบ้างล่ะไอ้สิงห์ เห็นบ่นๆว่าอยากลองนั่งห้าง”เหน๋อร้องถามขณะนั่งเขี่ยก้างปลาในจานสังกะสีเคลือบใบเก่า

“ยังมีเวลาอีกเยอะ ไปตอนนี้ไม่รู้ว่าจะได้ยิงอะไร กลัวไอ้สิงห์จะไปนั่งทรมานเสียเปล่าๆ”พรานพรพูดเสริมมาอีกคน

“โอกาสหน้าก็ได้ไอ้เหน๋อ คืนนี้ข้ามีนัดกับลุงโส่ยแล้วโว้ย”พูดจบสิงห์ก็บิเนื้อปูห้วยเผาจิ้มน้ำพริกกิน
อาหารเย็นที่กินเอาเมื่อตอนค่ำเต็มไปด้วยความสุข ถึงแม้จะเป็นอาหารแบบง่ายๆก็ตาม แต่ได้บรรยากาศมาเป็นตัวช่วยเสริมรสชาติด้วยแล้ว ต่อให้กินข้าวสวยเปล่าๆก็ยอม ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบง่ายไม่ได้มีความพิถีพิถัน ต่างคนต่างกินข้าวกันไป คุยหยอกล้อกันบ้าง เป็นที่สนุกสนาน โดยไม่มีใครถือสาใคร จนเวลาผ่านไปเกือบสองทุ่มงานเลี้ยงกลางป่าถึงได้เลิกรา โดยไม่มีใครเกี่ยงงอนเคิ้งและพุ่มช่วยกันลำเรียงถ้วยจานลงไปล้างที่ท้ายห้วย ส่วนสิงห์เดินลงไปหิ้วหม้อสนามที่พรานแปะต้มน้ำจนเดือดแล้วเอาไปแช่น้ำในห้วยทิ้งไว้ โดยไม่ต้องใช้ตู้เย็น น้ำในหม้อสนามก็เย็นชื่นใจ ส่วนเหน๋อหลังจากดื่มน้ำในหม้อสนามหมดแล้ว ก็เดินไปตักน้ำเตรียมต้มชงกาแฟ พรานเบและพรานพรตรวจสอบไฟฉายที่เตรียมใช้งานในคืนนี้ พรานแปะกับพรานโส่ยช่วยกันกลับพลิกปลารมควันบนร้านย่าง เมื่อเห็นว่าไฟในกองใกล้จะหมดก็เติมเชื้อฟืนเข้าไปอีก โดยให้ไฟพอมีควันรุมๆ

“น้ำเดือดแล้วสิงห์ เอ็งจะกินกาแฟเลยหรือเปล่าเดี๋ยวข้าชงให้กิน”เหน๋อร้องบอก

“เออขอบใจ กาแฟอยู่ในถุงพลาสติก ข้าแขวนไว้ที่แคร่นั่น”สิงห์ร้องตอบพลางชี้มือไปที่ถุงกาแฟที่ถูกแขวนไว้บนแคร่วางของ

“น้าเบกับพี่พรจะกินกันเลยหรือเปล่า จะได้ให้ไอ้เหน๋อมันชงให้ทีเดียวเลย”สิงห์หันไปถามพรานเบและพรานพรที่ตอนนี้กำลังง่วนอยู่กับการปรับแต่งไฟฉาย

“เอาไว้ก่อนวะ ใกล้ๆจะไปแล้วค่อยกิน ตอนนี้ข้ายังอิ่มอยู่เลย”พรานเบร้องตอบมา

“แล้วพี่พรล่ะ จะกินเลยหรือเปล่า”สิงห์ร้องถามพรานพร ที่ตอนนี้กำลังใช้ผ้าถูเช็ดปืนคู่ชีพอย่างอารมณ์ดี

“ไม่เป็นไรสิงห์ เดี๋ยวพี่จัดการเอง”พรานพรหันมาตอบ

“เคิ้งกับพุ่มถ้าจะกินกาแฟก็กินกันได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจพี่เตรียมมาเยอะ”สิงห์พูดจบก็นั่งจิบกาแฟร้อนบนเปล

“ไปกันหมดเลยหรือ แล้วใครจะอยู่เป็นเพื่อนข้าหละ”เหน๋อตอบมาตื่นๆ เพราะนอกจากเจ้าตัวแล้ว ไม่มีใครอยู่แค้มป์ด้วยเลย

“อยู่กับไอ้พะเปรียวกับไอ้พะบองมันแล้วกันพี่เหน๋อ”พุ่มพูดพลางหัวเราะ

“เออ...ถ้าพวกข้าไปกันแล้วเอ็งช่วยจับมันสองตัวอยู่ที่นี้นะ ถ้าจะให้ดีเอาเชือกผูกมันด้วยก็ยิ่งดี ขืนตามพวกข้าไปด้วย เดี๋ยวพวกมันจะทำเสียเรื่องหมด” พรานเบพูดจบก็ดีดก้นยาสูบลงกองไฟ

“เอ๊า! ดีกว่าอยู่คนเดียวว่ะ ทางลุงโส่ยก็อย่ากลับมาดึกมากหละ”คนเฝ้าแค้มป์ทำเสียงน่าสงสาร

“ถุย..ไอ้ตาขาว ข้าก็ไม่ได้ไปไกลขนาดนั้น อย่างเก่งก็แถวๆที่ข้าดักลอบไว้”พรานชราโพล่งออกมา แล้วพูดต่อมาอีกว่า

“อยู่ทางนี้ก็อย่าเสือ กลืมดูปลาที่ข้าย่างไว้ล่ะ ถ้ากลับมาปลาไหม้หมด เอ็งโดนข้ากระทื บแน่”พรานเฒ่าพูดจบก็รินเหล้าใส่จอกขึ้นจิบ

          หลังจากวางแผนกันเรียบร้อยแล้ว สรุปได้ว่าเหน๋อเป็นคนอยู่เฝ้าแค้มป์โดยมีเจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบองอยู่เป็นเพื่อนแบบไม่เต็มใจนัก เพราะทั้งสองตัวถูกเชือกผูกคอไว้กับต้นไม้ กลุ่มแรกที่ออกจากแค้มป์ที่พักก่อนคือกลุ่มของพรานโส่ย มีพรานแปะ สิงห์และ สองกะเหรี่ยงดงพุ่มกับเคิ้งที่จะออกไปกู้ลอบและส่องปลา ส่วนอีกกลุ่มคือพรานเบและพรานพรจะออกจากแค้มป์ดึกหน่อย ช่วงที่ไม่ได้ทำอะไรคนทั้งสองจึงนอนพักเอาแรงเสียหน่อย นกกลางคืนบางชนิดร้องกู่ในป่าแว่วมาไกลๆจากยอดไม้บนเขา เสียงน้ำไหลกระทบแก่งหินเล็กๆในลำห้วยดังจุ๋งจิ๋ง ในเงาไม้ตะคุ้มๆริมห้วย เขียดป่าพากันร้อง ออดแอดแข่งกับเสียงอึงป่า ที่อยู่ในโพลงหินฝั่งตรงข้าม รองไนและจิ้งหรีดพากันกรีดปีกผสานเสียงเพลงบรรเลงไพร โดยมีหิ่งห้อยหลายสิบตัวบินส่องแสงวูบวาบ แข่งกับแสงดาวระยิบระยับบนท่องฟ้าที่ปราศจากหมู่เมฆมาบดบัง.....

....นิยายยังไม่จบเพียงเท่านี้ โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในตอนต่อไป เร็วๆนี้....

ผิอพลาดประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

ปล.ขอเวลาสักหน่อยนะครับ เดี๋ยวผมจะเอารูปมาลงเพิ่มครับน้าๆ


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #5 on: 21 April 2021, 23:10:32 »

เจ้าพะบอง (ปัจจุบันตายไปนานแล้วครับ)


พรานโส่ย พ่อของเจ้าเคิ้ง


เจ้าพุ่ม ยิ้มเบิกบานทุกครั้งที่เข้าป่าครับ


พรานพร กับหม้อต้มส้มครับ


ต้มส้มปลา แบบตามมีตามเกิดครับ



**************************
SHATTER: สนุกครับน้า
แต่เจ้าพะบองทำไมผอมได้ขนาดนี้ครับ
พอรู้อยู่บ้างว่าหมานายพรานเขาจะไม่ให้กินมากเดี๋ยวมันจะขี้เกียจ แต่ผอมเอามากๆครับ
น้าเขียนได้ดีแล้วครับ ขนาดผมที่ไม่ชอบอ่านนิยายยังติดตามเลยครับ
ส่งสำนักพิมพ์ได้สบายครับ
.....
หนุ่มธุดงค์ไพร: ที่มันผอมอาจจะเป็นเพราะมันแก่ รวมถึงสภาพการเป็นอยู่ของมันด้วยนะครับน้า
คือน้าพรานเจ้าของที่เลี้ยง แกก็เลี้ยงตามสภาพของแก คือการกินอยู่ของแกจะว่าไม่ค่อยจะเป็นแบบเรา ประมาณว่ากินตามมีตามเกิดเสียมากกว่า บางทีผมไปเที่ยวหาแก เปิดดูกับข้าวกับปลา บางทีก็ไม่มีอะไรเลยนอกจาก น้ำพริกที่กรังๆติดก้นถ้วย กับผักเหี่ยวๆที่ไม่รู้ว่ากินกันมากี่รอบแล้ว 
คนยังแย่ หมาก็คงจะไม่แตกต่างกันครับน้า หมาที่โน่นกินทุกอย่าง ขนาดมะละกอสุกหล่นจากต้นมันยังแย่งกันกินเลย แมวที่ว่ากินแต่ปลา ผมผ่ามะพร้าวมันยังมาแทะเนื้อมะพร้าวเลยครับ (ไม่เชื่อจะพาไปดู)  แต่น้าพรานเขาก็ให้มันกินข้าวทุกวันครับ อย่างน้อยๆก็ 1 มื้อ อีกอย่างเจ้าพะบองมันก็แก่เต็มทนครับ มันคงจะเป็นไปตามวัยมั้งครับ  คงมีแต่เจ้าพะเปรียวครับที่เป็นหมาหนุ่มยังบึกบึนอยู่

************

kit2009:  ชอบครับน้า....เพลินเลย อย่างกะนักเขียนอาชีพเลย อิอิ (เขียนดีกว่า นักเขียนที่ออกพ๊อกเก็ตบุ๊กบางท่านเสียอีก)
อยากจะตินิดนึง อย่าโกรธนะน้า ....รู้สึกพระเอกจะถือปืน .22 เล็กไปนิดนะครับอิอิ น่าจะพายไรเฟิลขนาดใหญ่กว่านี้นิดนึง พอน่าเกรงขามหรืออย่างน้อยเป็นลูกซองปั๊มแอ็คชั่น รึไม่ก็ลูกซองออโต้ก็ยังดี เผื่อเจอเสือในป่าดำ อิอิ จะได้สมน้ำสมเนื้อหน่อย(พระเอกจะได้ไม่เก่งโอเวอร์เกินไป) แต่สรุปว่า ชอบมากๆครับ ติดตามและเป็นกำลังใจนะครับ
ปล. ไปจดลิขสิทธิด่วนๆเลยน้า ขนาดดังๆอย่าง พนมเทียน พวกยังกล้าก๊อปเลยเลย บางทีเผื่อผมจะได้มีโอกาสซื้อพ๊อคเก็ตบุ๊คที่มีชื่อ "หนุ่มธุดงค์ไพร" ติดที่หน้าปกมาอ่านบ้าง

......
หนุ่มธุดงค์ไพร: ขอบคุณครับน้า kit2009 ที่แนะนำครับ (ไม่โกรธเลยครับน้า จะขอบคุณเอาด้วย)

      เหตุผลที่ตัว สิงห์ ที่ใช้ปืนขนาดเล็ก อย่างลูกกรด หรือ .22 มากกว่าปืนไรเฟิล ก็เพราะ สิงห์ ในเนื้อเรื่องไปเที่ยวป่าในยุคปัจจุบันครับ คือประมาณปีไม่น่าจะเกิน 10ปี นับจากปีนี้ ก็น่าจะราวๆ2000   ไม่เหมือนนักเขียนอย่างคุณพนมเทียน ที่ท่านได้มีโอกาสได้เที่ยวป่าในยุคที่ป่าไม้ยังอุดมไปด้วยสัตว์ป่า แถมในยุคนั้นกฎหมายเรื่องการล่าสัตว์ป่ายังไม่มีเหมือนสมัยนี้ครับ

        ส่วนนิยายที่ผมเขียน ผมก็เขียนตามที่ผมได้พบเจอมา จะด้วยเรื่องจริงบ้าง ดูตามหนังสือบ้าง ดูหนังบ้าง ฟังเขามาบ้าง คือเขียนตามที่ตัวเองพบเจอเสียมากกว่า และส่วนมากจะเป็นในยุคปัจจุบันนี้เอง ส่วนป่าที่ผมไปเป็นป่ารุ่นลูกครับ คือป่าที่เหลือจากการทำไม้ในสมัยที่เข้าเริ่มทำเขื่อนกัน ส่วน จะเจอเสือหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ผมอาจจะแต่งลงไป ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีหรือเปล่า  น้าต้องติดตามดูนะครับ ว่าผมจะมีลีลาการเขียนแบบไหนให้น้าได้ฮาครับผม 

ขอบคุณน้าๆทุกท่านนะครับ ผมขอยืนยันว่าไม่มีโกรธหรือเคืองน้าๆที่เข้ามาแนะนำหรือติผมเลย จะขอบคุณอย่างยิ่งครับผม

************


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #6 on: 21 April 2021, 23:13:55 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 5



บทที่ 4

ตอนที่ 5

          หญิงสาวแต่งกายในชุดไทย มีผ้าสไบคาดเฉียงสีเขียวอ่อนบางๆ ปกปิดสองปทุมถัน ที่ต้อนนี้สั่นกระเพื่อมท้าทายลมหนาว ผมของหล่อนดำยาวมาถึงเอวที่คอดกิ่วรับกับสะโพก ซึ่งตอนนี้มีเพียงผ้าซิ่นคาดเอวอยู่แค่ผืนเดียว หล่อนนั่งแกว่งขาตรงคาคบไม้อย่างสบายอารมณ์ โดยมือทั้งสองข้างของหล่อนเพลิดเพลินอยู่กับกล้วยไม้ป่าช่อใหญ่ ใบหน้ารูปไข่ ที่รับกับริมฝีปากบางๆ โดยมีจมูกโด่งคมเป็นสัน รับกับคิ้วที่งอนงาม ของดวงตาที่โตได้สัดส่วน  เขาเห็นหน้าหล่อนชัดเจน

          เหมือนเขาตกอยู่ในภวังค์หรือมนต์สะกดอะไรบางอย่าง ที่ไม่สามารถเข้าใจได้ จึงทำให้เขาถึงกับ เคลิบเคลิ้มกับภาพที่บอกกับตัวเองไม่ได้เลยว่า กลัวหรือตกใจ มันเป็นความจริง หรือความฝัน หล่อนชั่งเป็นผู้หญิงที่สวยงาม สวยจนเขาคิดว่าไม่เคยพบเห็นผู้หญิงคนไหน สวยเท่าเธอมาก่อน ใบหน้านั้นเอียงมาทางเขาช้าๆ หล่อนยิ้มให้เขา สิงห์ถึงกับขนลุกเกรียวไปทั้งตัว นี้ตัวเขาโดนผีหลอกจริงๆแล้วหรือนี่ มันเป็นไปได้หรือ หัวใจเขาแถบจะหยุดเต้น

“ไอ้สิงห์เอ็งเป็นอะไรของเอ็งว่ะ”พรานชราร้องถาม เมื่อเห็นสิงห์ส่องไฟจ้องอะไรอยู่บนคาคบไม้ เสียงเรียกของพรานเฒ่าทำเอาสิงห์สะดุ้ง เท่ากับเป็นการเตือนสติของเขาให้กลับมา แต่ก็ยังไม่ลดไฟฉายที่ส่องจับนิ่งอยู่เช่นนั้น

“ไม่มีอะไรหรอกลุง”สิงห์ร้องตอบ แต่พอเขาหันกลับไปยังตำแหน่งเดิมก็ไม่พบหล่อนคนนั้นแล้ว เขาขยี้ตาอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อค่อยๆลืมตาขึ้นมาก็ไม่พบอะไรอีก นอกจากกล้วยไม้ป่ากอใหญ่ ที่ขึ้นอยู่ตรงลำต้นของตะเคียนยักษ์

“ไม่มีอะไรแล้วเอ็งเป็นอะไรว่ะ! ยืนทื่อเป็นสากกร ะเบือเลย”พรานแปะพูดจบก็เดินเข้ามาหา

“ปะ..ปะ..เปล่า..ไม่มีอะไรจริงๆ ผมส่องเจอกล้วยไม้ป่าบนนี้ เห็นมันสวยกว่าที่เคยเห็นมา ไม่รู้ว่ากล้วยไม้ป่าอะไร”สิงห์พูดกลบเกลื่อน แต่ใครจะรู้หรือไม่ว่าหัวใจเขายังเต้นแรงไม่เป็นจังหวะอยู่

“ฮีโธ่ ข้าก็คิดว่าอะไร ช้างกระ เอ็งไม่เคยเห็นหรือไงไอ้สิงห์”พรานแปะตอบหลังจากส่องไฟฉายดู กล้วยไม้ป่ากอใหญ่

“เคยเห็น แต่ผมไม่เคยเห็นช้างกระมันขึ้นกอใหญ่ขนาดนี้ เต็มที่ก็ไม่เกินสิบช่อ แต่ที่เห็นไม่ต่ำกว่าสามสิบช่อ”สิงห์ตอบแบบควบคุมอารมณ์ไม่ให้พรานแปะผิดสังเกต

          ขบวนหาปลาทั้งห้าคนเดินงมกันมาในความมืด โดยมีพรานแปะเดินส่องไฟฉายนำทางอยู่หัวขบวน ติดตามด้วยสองกะเหรี่ยงดงเคิ้งและพุ่มเดินตามติดโดยมีพวงปลาและกบ ถือกันมาคนละพวงสองพวง ส่วนพรานโส่ยและสิงห์เดินเคียงคู่กันมา โดยสิงห์เป็นคนเดินส่องไฟฉายให้ เพื่อเป็นการประหยัดแบตเตอร์รี่ ทั้งคณะจึงใช้ไฟฉายเพียงสองกระบอก จนทั้งหมดมาหยุดพักอยู่บริเวณที่โล่งตอนหนึ่งของลำห้วยสายนั้น

“สิงห์กี่โมงกี่ยามแล้ว”พรานแปะร้องถามมาจากหัวขบวน

“อีก สิบห้านาที จะเที่ยงคืน”สิงห์ร้องตอบ

“บ่ะ จะเที่ยงคืนแล้วรึ”พรานโส่ยพูดจบ ก็อ้าปากหาว

“ไม่รู้น้าเบกับน้าพรจะเป็นไงบ้าง”สิงห์พูดออกมาเบาๆ

“จะเป็นยังไง ป่านนี้ก็นั่งสั่นอยู่บนห้างแล้ว ทำไม่มันหนาวฉิบหา ยแบบนี้ว่ะ”พรานโส่ยพูดจบก็ล้วงกระติกเหล้าที่สิงห์ฝากไว้ขึ้นจิบ เสร็จแล้วก็ส่งต่อไปให้สิงห์และพรานแปะ

“ค่อยยังชั่วหน่อย ดีนะที่ติดมาด้วย ถ้าไม่มีตัวช่วยสงสัยเป็นตะคริวตายไปแล้ว”สิงห์พูดหลังจากยกเหล้าในกระติกขึ้นจิบไปหลายอึก ไม่รู้ว่าอากาศหนาว หรือเพราะพบเจออะไรที่ตนเองยังมึนงงอยู่

“พี่เหน๋อป่านนี้คงนอนไปแล้วมั๊ง”เคิ้งร้องถามมาอีกคน

“โอย..ขานั้น ถ้าไม่หลับก็นั่งตาขาวอยู่ข้างกองไฟ ฮาๆ”พรานแปะพูดจบก็หัวเราะชอบใจ

“โธ่..ก็น่าเห็นใจอยู่นะพี่แปะ อยู่คนเดียวเฝ้าแค้มป์ เป็นผมก็หนาวเหมือนกัน”สิงห์พูดขณะส่องไฟฉายไปรอบๆ

“ใครว่ามันอยู่ตัวคนเดียว มีหมาสองตัวอยู่เป็นเพื่อนแบบนั้น ไม่ต้องไปกลัวอะไรแล้ว”พรานโส่ยบอกมาอีกคน

“อ้าว ไหนว่าไอ้เหน๋อมันผูกหมาไว้ดีแล้วพี่แปะ”สิงห์พูดพลางส่องไฟฉายจับไปที่สัตว์อะไรชนิดหนึ่ง ซึ่งตัวเขาเองเข้าใจว่าเป็นหมา เพราะเห็นแต่แสงกระทบไฟฉายจากตาสีเขียวๆสองดวง

“ชะมด ตัวโตเสียด้วย”พรานแปะพูดออกมาเบาๆเชิงกระซิบ

“ถ้าเป็นหมาป่านนี้มันวิ่งจี๋มาหาเราแล้ว”พรานแปะเสริมมาอีก

“ตอนส่องเจอครั้งแรกผมก็คิดว่าหมา ตามันเหมือนตาหมาจริงๆ”สิงห์พูดขณะยังส่องไฟฉายจี้ไปที่ตาของชะมดตัวนั้นอยู่

“สู้ไฟดีจริงๆ เสียดายไม่ได้ติดปืนมาด้วย ระยะแค่นี้ไม่พลาด”เคิ้งพูดอย่างคันไม้คันมือ

“แค่ของที่แบกกันมาด้วย ก็กินกันไม่ไหวแล้ว ต่างคนต่างหากิน วันนี้เรามาหาปลาหากบ แค่นี้ก็พอแล้ว เอาไว้วันอื่นค่อยว่ากันดีกว่า”สิงห์ร้องบอก

“จริงของเอ็งไอ้สิงห์ คืนนี้เราได้ลาภเป็นตะพาบแล้ว แค่นี้ก็ถือว่าโชคดีของเรา”พรานโส่ยพูดจบก็ยกลอบดักปลาที่ภายในมีตะพาบน้ำตัวเขื่องตะเกียดตะกายอยู่

“คืนนี้เดือนมืดดีจริงๆ ถ้าได้เดินส่องสัตว์ท่าจะไม่พลาด”พรานแปะพูดขณะนั่งชันขาข้างหนึ่งบนก้อนหินใหญ่ริมห้วย

“ไอ้พว กนี้มันนกรู้ ถ้าเราไม่ติดปืนกันมา มันไม่กลัวเราหรอก แบบไอ้ชะมดตัวนั้นไง มันกลัวเราที่ไหน ขนาดส่องไฟแบบนี้ยังเดินลอยชายอยู่เลย ถ้ามันยังไม่หนีไปไหน พ่อจะเอาก้อนหินนี่ล่ะล่อกบานมันเลย”พุ่มเสริมมาอีกคน

“ยังจะพยายามอีกนะพุ่ม ปล่อยมันไปเถอะ พี่ชักเบื่อๆเมนูสัตว์บกแล้ว เมนูหน้าขอเป็นสัตว์น้ำดีกว่า”สิงห์พูดจบก็ลดไฟฉายที่จับอยู่ที่ชะมดตัวนั้นออก แล้วชักชวนให้ทั้งหมดเดินกลับแค้มป์

          หลังจากใช้เวลาหยุดพักที่หมู่หินใหญ่กลางลำห้วยเกือบ 20 นาที คณะหาปลาก็เริ่มเคลื่อนขบวนอีกครั้ง และเหมือนเดิม โดยการนำทางกลับของพรานแปะ ที่ตอนนี้เดินสูบยาเส้นอย่างสบายอารมณ์ ซึ่งมีเจ้าสองกะเหรี่ยงหนุ่มเดินคุยกันอย่างสนุกสนาน บ้างครั้งก็หัวเราะคิกคักกันลั่นห้วยไปหมด ส่วนสิงห์และพรานโส่ยเดินคู่กันมาอยู่ท้ายแถว ซึ่งไม่ห่างจากขบวนมากนัก ลมเย็นพัดมาตามช่องเขาเอื่อยๆ ซึ่งตอนนี้เย็นยะเยือกราวกับห้องแช่แข็ง จนทำให้ลมหายใจที่ออกมาจากร่างกายของชายทั้งห้า เป็นไอหมอกเหมือนคนสูบบุรี่ ไม่ต่างอะไรกับสายน้ำในลำห้วยที่ไหลริน ไอหมอกจางๆที่ลอยจับอยู่บนผิวน้ำสูงไม่เกินคืบ เต้นไหวไปมา ราวกับนางระบำ สูงขึ้นไป หิ่งห้อยหลายสิบตัวบินระเรียดไปตามชายป่า สูงๆต่ำๆ เห็ดป่าบางชนิดก็เปล่งแสงเรืองๆ เหมือนใครแกล้งเอาสีเรืองแสงไปแต้มไว้ตามต้นไม้แห้งผุๆ ครั้นเมื่อเอาไฟฉายสองก็กลับกลายเป็นเห็ดธรรมดาๆ แต่พอละไฟฉายไปทางอื่นก็กลับมาเรืองแสงอีกครั้งเล่นทำให้แปลกใจดูพิลึก เสียงแมลงนานาชนิดพากันกรีดปีกส่งเสียงเซ็งแซ่ไปหมด แต่พอคณะเดินผ่าน พวกมันก็พากันเงียบกริบ จนทั้งหมดเดินห่างออกไป พวกมันจึงกรีดปีกอีกครั้ง แรกๆก็มีแค่ตัวสองตัว แต่พอทิ้งช่วงห่างไปไม่นาน พวกที่เหลือก็ส่งเสียงตามออกมาจนฟังดูวุ่นวายไปหมด หลังจากเดินลัดเลาะกันมาตามลำห้วยอย่างเชื่องช้า เพราะบริเวณทางเดินเต็มไปด้วยตะไคร้น้ำที่เกาะอยู่ตามหมู่หิน และพื้น ทั้งคณะจึงต้องเดินอย่างระมัดระวัง เพราะพื้นมีความลื่นมาก ระหว่างที่กำลังเดินลอดซุ้มไม้ที่ทอดขวางลำห้วยนั้น พรานแปะใช้ไฟฉายส่องไปที่กิ่งแห้งที่ดูโปร่งโล่ง นกกระเต็นเล็ก ตัวหนึ่งนอนเอาหัวซุกปีกอยู่บนกิ่งไม้แห้งนั้น สีขนของมันดูมันวาวคล้ายๆปีกแมลงทับ เมื่อกระทบแสงไฟฉาย ห่างออกไปบนกิ่งแห้งๆของต้นไม้ตายซาก ดวงตาสีแดงก่ำของ นกเค้าแมว ครั้นเมื่อต้องแสงไฟ ดูท่าทางไม่มีความรู้สึกกลัวมนุษย์เอาเสียเลย เสียงแกรกกราก ของสัตว์ขนาดเล็กที่พากันวิ่งซุกตามกองใบไม้แห้ง พวกมันคงจะตกใจพวกมนุษย์ที่เดินล่วงล้ำมาในถิ่นหากินของมัน เล่นเอาพวกของสิงห์สะดุ้งหลายครั้งหลังจากเดินตัดผ่านมาทางช่องเขา กลิ่นควันไฟลอยมาตาม ลมจางๆ บอกให้รู้ว่าคงอีกไม่ไกล ก็ถึงแค้มป์แล้ว สายลมเย็นพัดมาอีกวูบ นอกจากควันไฟจากแค้มป์แล้ว มันยังพัดเอากลิ่นของดอกไม้ป่าลอยคละคลุ้งติดมาด้วย

“สงสัยไอ้เหน๋อคงจะหลับ ฟืนไฟก็ไม่รู้จักเติม เดี๋ยวพ่อมึ งได้มากระทื บตายห่ า”สิงห์ร้องบ่นออกมาเบาๆเมื่อมองเห็นถ่านแดงๆจากแค้มป์ที่พัก ซึ่งตอนนี้เห็นอยู่ไม่ไกลนัก

“ถ้านอนอยู่คนเดียวล่ะ ไม่แน่ มีหมาอยู่ด้วยก็ดีไปอย่าง”พรานแปะเสริมมาอีกคน

        ไม่ทันขาดคำของพรานแปะ เมื่อทั้งหมดเดินเข้ามาใกล้ที่พัก เจ้าสองตัวที่ถูกมัดไว้ก็พากันเห่าดังลั่น แรกๆก็กล้าๆกลัว เพราะพวกมันก็ไม่แน่ใจว่า สิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาใกล้แค้มป์คืออะไร แต่พอแน่ใจว่าเป็นเจ้านายของพวกมัน พวกมันก็พากันคราง หงิ๋ง กระโจนอย่างดีใจ กระโดดโลดเต้น บ้างก็กระดิกหางจนเอวแทบหลุด

“ดูมัน ไอ้หอ กขนาดหมาเห่าดังลั่นขนาดนี้มันยังนอนไม่รู้เรื่อง”พรานโส่ยโพล่งออกมา พูดจบก็ยัดลูกแปที่ก้นของเหน๋อ แต่ก็ไม่มีอะไรตอบสนอง

“ฮืม...กลับกันมาแล้ว ช่วยเติมฟืนให้ด้วยมันหนาว”คนโดนลูกแปบ่นงึมงำอยู่ในโปงผ้าห่ม

“โธ่...ไอ้สั นดา น! ยังมีหน้ามาใช้ข้าอีก”พูดจบพรานเฒ่าก็ยัดลูกแปเขาที่จุดเดิม ครั้งนี้ได้ผล ผู้ถูกกระทำลุกขึ้นมานั่งเกาหัวแกรกๆ งัวเงียอยู่เช่นนั้น

“เอ็งนี้ก็เหลือเกิน แทนที่จะช่วยกันดูฟืนไฟ เสือ กนอนไม่รู้เรื่อง”พรานเฒ่าบ่นพรางส่ายหัวไปมา บ่นจบแกก็โยนท่อนฟืนลงในกองไฟดังโครม

“พ่อ! ปลาพวกนี้จะให้ฉันทำเลยหรือเปล่า”เคิ้งร้องถาม

“ยังไม่ต้องทำก็ได้ ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ไปล้างหน้าล้างตัวนอนดีกว่า อากาศเย็นแบบนี้ไม่ทันเน่า เช้าค่อยว่ากันใหม่”ผู้เป็นพ่อร้องตอบ ขณะนั่งผิงไฟอยู่ข้างๆสิงห์

“ข้าวมีเหลือบ้างหรือเปล่า ไอ้เหน๋อ”พรานแปะร้องถามเจ้าเหน๋อ ซึ่งตอนนี้นั่งทำตาปรือ

“ยังเหลืออยู่อีกสองหม้อ แขวนอยู่บนแคร่”พูดจบก็ชี้มือไปที่หม้อสนามสองใบ ที่ถูกแขวนไว้บนแคร่

“น้ำพริก กับแกงไก่ มีเหลืออยู่อีกหน่อย เอาใบตองปิดไว้บนนั้นแหละ”คนขี้เซาเสริมมาอีก พูดจบก็อ้าปากหาว

“กินข้าวสักหน่อยดีกว่าพวกเรา ออกแรงเดินกันเยอะชักหิว”พรานแปะเสนอความคิด ที่ไม่มีใครปฏิเสธ

“ตาโส่ยลอบแกจะเอาไว้ตรงไหน”พรานแปะร้องถาม ขณะที่เดินไปหยิบลอบดักปลา ซึ่งพรานเฒ่าวางไว้อย่างไม่แยแส

“เอาแขวนไว้แถวนั้นแหละ เอาปูห้วยมาเผากินกับน้ำพริกสักพวงสิ ไอ้แปะ”พรานชราร้อง ให้พรานแปะหยิบพวงปูที่แขวนไว้มาด้วยอีกพวง

“พี่แปะ แกงไก่จะอุ่นก่อนหรือเปล่า”พุ่มถาม ขณะที่กำลังช่วยเจ้าเคิ้งจัดเตรียมอาหารมื้อดึก

“เออ..ก็ดีเหมือนกัน แค่นี้ก็หนาวพอแล้ว ขออะไรๆที่มันอุ่นในท้องบ้างเถอะว่ะ”พรานแปะพูดจบก็โยนปูห้วย ที่หามาได้ลงไปในกองไฟที่ถูกพรากไว้ทั้งพวง

“จะมีอะไรที่ดีไปกว่าไอ้นี่วะ”พรานเฒ่าพูดจบก็งัดกระติกเหล้า ออกมาจากย่ามใบเก่า

“คืนนี้ล่อให้หมดนี้ล่ะ ไว้ถึงตอนเช้ามันจะบูดเอา”คำพูดของพรานเฒ่าเล่นเอาทั้งคณะหัวเราะ ยกเว้นเจ้าเหน๋อคนเดียวที่นั่งสัพงก

“แหม...ทีเหล้ากลัวว่ามันจะบูด แล้วปลาไม่กลัวมันเน่ารึลุงโส่ย ฮาๆ”สิงห์พูดพลางหัวเราะ

          กลิ่นของแกงไก่ หอมฉุยไปทั่วบริเวณที่พัก ผ้าใบผืนใหญ่ถูกนำมากางใหม่อีกครั้ง หลังจากที่ถูกพับเหน็บไว้กับง่ามไม้เมื่อตอนหัวค่ำที่ผ่านมา ข้าวในหม้อสนามตักไม่ค่อยจะเข้า เพราะมันทั้งแข็งและเย็นชืด ผิดกับต้อนที่มันสุกใหม่ๆ แกงไก่ป่าถูกอุ่นได้ที่ พร้อมๆกับปูห้วยหลายสิบตัวที่เผาจนสุก หลังจากพรานชราและลูกชาย ช่วยกันใช้ไม้เขี่ยไปมา ไม่นาน พวกมันก็ถูกวางไว้บนใบตองได้กองใหญ่ นอกจากปูห้วยเผาแล้ว ยังมีปลารมควันอีกไม้ใหญ่ ที่พรานชราทำเอาไว้ ก็ถูกนำมาเสริมอีกเมนู อาหารมื้อดึกก็พร้อมบริโภค

“ไม่กินข้าวด้วยกันเหรอ ไอ้เหน๋อ”สิงห์ร้องถาม เพื่อนเกลอที่ตอนนี้นั่งหลับนกอยู่ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบสนองคนถามกลับมา

“ตะพาบจะทำอะไรกินดีตาโส่ย”พุ่มถามพรานเฒ่าจบก็ตักข้าวเข้าปากคำใหญ่

“แกงสิวะ ข้าว่าจะแกงใส่ผักกูดกับหยวกป่า ให้ไอ้สิงห์มันลองกินดู”พรานเฒ่าตอบ

“ใส่ยอดหวายด้วยสิลุงโส่ย”สิงห์เสนอความคิด

“เออ..ก็เข้าท่าดีว่ะ เอ็งสองตัว พรุ่งนี้ไปหาตัดยอดหวายมาแต่เช้านะ”พรานเฒ่าหันไปสั่งสองกะเหรี่ยงดง ที่ตอนนี้นั่งแทะปูจนปากมัน

“พวกฉันไปแล้วใครจะทำปลาล่ะ เยอะอยู่นะ”พุ่มเงยหน้าถาม

“เดี๋ยวข้าทำเอง พวกเอ็งก็ไม่ต้องทะลึ่งออกกันไปไกลนัก แค่ชายๆห้วยนี้ก็มีออกแยะ เลือกๆเอาแต่หวายดำมาละกัน จะได้ไม่ขม”พรานเฒ่าเสวนาตอบ พูดจบแกก็ตักน้ำพริกมาขยำข้าว

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าช่วยอีกคน”พรานแปะพูดเสริม ขณะที่บิปลารมควันโยนเข้าปาก

“ผมช่วยอีกแรงจะได้เสร็จไว้ ดูๆมันก็เยอะอยู่ ทั้งปลาทั้งกบ”สิงห์พูด ขณะก้มหน้าก้มตา ใช้ช้อนขูดมันปูจากกระดอง

“เออ..ก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเวลาเดินเที่ยวเยอะๆหน่อย พรุ่งนี้ข้าว่าจะชวนเอ็งไปเดินเที่ยวหายิงนกยิงหนู”พรานแปะพูดจบก็ยกน้ำขึ้นดื่ม

“ลึกๆแบบนี้จะมีไก่ป่าให้ยิงหรือเปล่าพี่แปะ”สิงห์ร้องถามหลังจากตักมันปูเข้าปาก

“ไม่ค่อยมีหรอก ถ้าจะมีก็แถวๆโน่นล่ะ ที่เอ็งไปยิงกันมา”พรานแปะพูดจบก็ดุนท่อนฟืนเข้าไปในกอง

“ป่าไผ่ ป่ารวกแถวนี้ไม่ค่อยจะมี ป่ามันทึบ ถ้าจะมีก็คงจะเป็น ไก่ฟ้า”พรานแปะเสริมมาอีก

“ไก่ฟ้าไม่ไหวพี่แปะ เนื้อมันเหนี่ยวเหลือเกิน”สิงห์ร้องตอบ พูดจบก็โยนเศษก้างปลาและกระดองปู ที่ตัวเองนั่งกินเป็นกองให้หมาสองตัวที่นอนหมอบอยู่ข้างๆกองไฟ

“ก็แล้วแต่เอ็งแล้วกัน หรือเอ็งจะไปหายิงนกกระทาดง กับข้า”พรานแปะชักชวนมาอีก

“พี่แปะไปคนเดียวเถอะ พรุ่งนี้ผมว่าจะอยู่ช่วยลุงโส่ยแกทำกับข้าวกับปลา”สิงห์พูดจบก็กวาดข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก

        เพียงเวลาไม่ถึง ครึ่งชั่วโมง อาหารรอบดึกก็หมดไปอย่างรวดเร็ว หลังจากทั้งหมดช่วยกันจัดเก็บสถานที่ ก็คงจะมีเหน๋อคนเดียว ที่นอนคลุมโปงอยู่บนผ้าใบ ยิ่งดึกยิ่งหนาว เรื่องจะอาบน้ำตอนนี้คงไม่มีอยู่ในหัวของทุกคน แม้แต่สิงห์เอง ถึงจะไม่ชอบนอนแบบเนื้อตัวยังเหนียวหนับแบบนี้ก็ตาม แต่วันนี้และคืนนี้ขอยกเว้นไว้สักวัน ที่เขาทำได้ดีที่สุดในตอนนี้คือ ลงไปล้างหน้าแปรงฟัน ใช้น้ำลูบตามเนื้อตามตัว แค่นี้ก็หนาวจนคางสั่น ส่วนบนแค้มป์ เจ้าสองกะเหรี่ยงหนุ่มต่างช่วยกันปูผ้าใบเพื่อเตรียมตัวนอน โดยมีพรานโส่ยนั่งดูดยาเส้น ข้างกองไฟอย่างสบายอารมณ์ ห่างออกไปไม่ไกลนัก พรานแปะนอนหนุนแขนบนเปลที่แกว่งไกวไปมาเอื่อยๆ โดยอีกมือคีบบุหรี่ใบตองแห้งห้อยอยู่ นานๆครั้งก็ยกขึ้นมาสูบจนปลายแดงวาบทีหนึ่ง ราวกับว่าคนสูบกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจเพียงลำพัง เสียฟืนแตกดัง เปรี๊ยะ ในกองไฟดังเป็นระยะๆราวกับใครจุดประทัดขนาดจิ๋ว พร้อมๆกับเสียง ฟู่ ของไอน้ำที่ดันตัวออกมาตามท่อนฟืน บ้างก็ดันออกทางปลาย บ้างก็ออกมาด้านท้าย และบางครั้งก็มียางเดือดปุดๆออกมา

“ยังไม่นอนอีกรึ ลุงโส่ย”สิงห์ร้องถาม ขณะเดินกอดอกขึ้นมาจากริมห้วย

“เดี๋ยวข้าก็ว่าจะนอนแล้วเหมือนกัน รอน้ำเดือด ว่าจะชงชาจิบแก้หนาวสักหน่อย”พรานชราพูดจบก็โยนท่อนฟืนลงไปในกองไฟอีกสองสามท่อน

“แหม..ดีแท้ลุง อยู่กลางป่ากลางดงอย่างนี้ ยังมีน้ำชาร้อนๆจิบอีก”สิงห์พูดจบก็เอาผ้าขนหนูผืนเล็ก พาดไว้กับเชือกที่ขึงหลังคาเปลสนาม

“ข้ามีติดมาประจำแหละ ของเก่าค้างปี จะทิ้งก็เสียดาย มันยังหอมอยู่”พูดจบแกก็ยกถุงชาขึ้นดม ดูแล้วไม่ผิดอะไรกับคนติดกาวยางน้ำ

“โอวันติน กาแฟ ก็มีนะลุง เยอะแยะ เอาหรือเปล่าล่ะ”สิงห์พูดพร้อมยกถุงโอวันตินและกาแฟ ให้พรานชราดู

“พุ่มกับเคิ้ง จะกินก็มาหยิบไปนะ พี่แขวนไว้ตรงนี้”พูดจบ สิงห์ก็แขวนถุงใส่โอวันตินและกาแฟ ไว้กับกิ่งไม้

“พี่แปะกินเปล่า กินอะไรอุ่นๆก่อนนอน จะได้หลับสบายๆ หนาวๆแบบนี้ล่ะดีแท้”สิงห์ร้องถามพรานแปะที่นอนแกว่งเปลเล่นอยู่เช่นนั้น แทนคำตอบ พรานแปะยกหัวแม่มือขึ้น บอกเป็นนัยๆกับสิงห์ว่า เยี่ยมมากไอ้น้อง

“ไอ้พุ่มจัดการให้ลูกพี่เอ็งเร็ว ฮาๆ”สิงห์พูดพรางหัวเราะ

“จะเอากาแฟ หรือโอวันตินล่ะ พี่แปะ”พุ่มร้องถาม

“โอวันติน”เสียงที่ตอบมาทำเอาสิงห์สะดุ้ง เพราะคำตอบไม่ได้มาจากพรานแปะ แต่เป็นเจ้าเพื่อนเกลอ ที่นอนคลุมโปงอยู่ เล่นเอาพรานเฒ่า ที่นั่งอยู่ใกล้ๆโพล่งออกมา

“ไอ้หอ กหัก ตะกี้เขาเรียกให้กินข้าว ไม่เสือ กจะกิน พอมีของดีหน่อยหูผึ่งเชียวเอ็ง”ไม่พูดเปล่า พอแกพูดจบก็สับมะเหงกลงไปบนหัวของคนที่อยู่ในโปงผ้าห่ม เล่นเอาทุกคนหัวเราะชอบใจ ยกเว้นแต่เจ้าเหน๋อคนเดียว คงขำไม่ออก

          เปลวไฟลามเลีย บนกองฟืนที่ถูกสุม นานๆครั้งก็ทรุดลงมา เพราะท่อนฟืนด้านล่างถูกเผาไหม้จนหมดสภาพที่จะรับน้ำหนักจากด้านบนได้ ที่ริมห้วยเบื้องล่าง เสียงแมลงต่างๆที่กรีดปีกดังลั่นเมื่อตอนหัวค่ำ ตอนนี้เริ่มเงียบเสียงลงแล้ว แต่ก็ยังมีแมลงบางชนิดที่ยังกรีดปีกเรียกคู่อย่างไม่ลดละ ตามพุ่มรกและหมู่หินริมห้วย เสียง ออดแอด ของเขียดป่าก็ยังมีแว่วให้ได้ยินเป็นระยะเช่นกัน ห่างออกไปในราวป่า เสียง ทึบๆของตุ๊กแกป่า ที่ร้องอยู่ในโพรงไม้ที่ไหนสักแห่ง เสียงของมันวังเวงดีพิลึก

          ที่ลานดินแคบๆข้างกองไฟ ผ้าใบสีดำผืนเก่า ถูกปูห่างจากกองไฟไม่มากนัก บนผ้าใบผืนนั้นเอง มีโปงผ้าห่มสีคร่ำคร่า ซึ่งภายในนั้น เด็กหนุ่มสองคนนอนเบียดเสียดกันอยู่ ถัดออกไปร่างของชายชรานอนคุดคู้อยู่ในโปงผ้าห่มเก่าๆ สภาพที่เห็นก็ไม่ได้แตกต่างจากสองกะเหรี่ยงดงมากนัก อากาศเย็นยะเยือกแบบนี้ขนาดคนมีเสื้อผ้าและผ้าห่มยังนอนสั่น นับประสาอะไรกับหมาสองตัวที่ติดตามไปด้วยจะไม่หนาว เจ้าพะบองหลังจากเดินกินเศษอาหารที่ตกตามพื้นจนไม่มีอะไรเหลือแล้ว มันก็นอนขดอยู่ใกล้ๆกองไฟ ส่วนเจ้าพะเปรียวก็ไม่ต่างกัน มันเดินหมุนไปหมุนมาเป็นวงสองสามรอบ เมื่อได้ตำแหน่งที่เหมาะแล้วก็ทิ้งตัวลงนอน โดยหูทั้งสองข้างของมันตั้งตลอดเวลา พรานแปะคงหลับไปแล้วเพราะมีเสียงกรนเบาๆแว่วมาจากในเปล ทุกคนหลับหมดคงมีแต่สิงห์คนเดียว ที่ยังนอนดูดาวอยู่ในเปลสนามของเขา แสงดาวระยิบระยับ เคร่ากับบรรยากาศที่เงียบสงบ แต่ก็ดูวังเวง ยิ่งนึกถึงตอนที่เขาไปพบเห็นหล่อนคนนั้นแล้ว พาลให้นอนไม่หลับ อากาศยิ่งเย็นยะเยือกผสมกับสภาพรอบๆตัวที่มืดมิดทำให้ต้องคิดหนัก หรือว่าเราจะตาฝาดไป แต่ให้ตายสิ ก็เราเห็นหล่อนเต็มตาขนาดนั้น มันเป็นไปได้อย่างไร จะเล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเขาเชื่อ จะว่าผีหลอก ก็ไม่น่าจะใช่ ผีอะไรจะสวยขนาดนี้ หรือว่าจะเป็นเจ้าแม่ตะเคียนอย่างที่ลุงโส่ยว่า แต่เธอก็ยังดูสาวเกินที่จะเรียกคำว่าแม่นำหน้า นางไม้หรือนางฟ้า น่าจะเหมาะสมกว่า สิงห์ใช้ความคิดอยู่นานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียง เปรี๊ยะ ของฟืนในกองไฟ ที่ตอนนี้เปลวไฟที่สว่างเริ่มมอดลงแล้ว รอบๆกองไฟเห็นเพียงเงาตะคุ่มๆ เมื่อยกนาฬิกาขึ้นดู เข็มบอกเวลาที่ ตีหนึ่งยี่สิบเก้านาที เขากะว่าจะลงจากเปลไปเติมฟืนในกองเพิ่ม เสร็จแล้วก็จะล้มตัวลงนอน ครั้นแล้วเขาก็ต้องตกใจ

นิยายยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะอะไรจึงทำให้ชายหนุ่มตกใจ? ไม่อาจทราบได้ โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในตอนจบบทที่ 4 เร็วๆนี้


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #7 on: 21 April 2021, 23:18:12 »

ลุงโส่ย


พรานเบ


พรานพร กับผักป่าชนิดหนึ่งที่กินได้ ภาษากะเหรี่ยงเรียกว่า ผา-หมี่-เหย๋-ข๋วย


ที่นี้ล่ะ "ช่องผาแค้บ"



Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #8 on: 21 April 2021, 23:21:07 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 6



บทที่ 4

ตอนที่ 6


“เฮ้ย!”

          สิงห์อุทานดังลั่น หลังจากเท้าของเขาถูกพื้น จริงๆแล้วจะว่าพื้นก็ไม่ถูกนัก เพราะมันเย็นยะเยือกราวกับถูกน้ำ ใช่แล้วน้ำ น้ำในลำห้วยนั้นเอง

“นะ..นะ..นี้เรามาอยู่ที่นี้ได้ยังไง ทุกคนหายไปไหนกันหมด”ภาพที่เขาเห็นยิ่งทำให้เขางง เพราะนอกจากกองไฟกองเล็กๆแล้ว ไม่มีใครอยู่ด้วยเลย

“ลุงโส่ย พี่แปะ ไอ้เคิ้ง ไอ้พุ่ม วู้วว...”เขาอยากจะป้องปากตะโกน แต่คอแข็งเกินที่จะทำแบบนั้นได้

“ฝัน! เราต้องฝันไปแน่ๆ”หลังจากคิดอยู่ในใจเช่นนั้น เขาก็หลับตา กะว่าถ้าลืมตาก็คงจะตื่น และคงจะไม่เห็นภาพที่เห็นอยู่แบบนี้ แต่เขาคิดผิด

“คิก คิก”เสียงหัวเราะแหลมใสแว่วมาจากชายห้วย เล่นเอาสิงห์สะดุ้งเกือบตกเปล

“คะ..คะ..ใครน่ะ”สิงห์กลั่นใจถาม

“คิก คิกๆ”ไม่มีคำตอบจากเจ้าของเสียงว่าเป็นใคร มีแต่เสียงหัวเราะตอบกลับมาอีก

“ผะ..ผมถามว่าใครครับ”ครั้งนี้ไม่พูดเปล่าเพราะเขาคว้าก้อนหินใกล้ๆเตรียมขว้างไปยังตำแหน่งของเสียงปริศนา

“เรายังมิได้ทำอันใดท่านเลย ไฉนเลยท่านถึงจะทำร้ายเรา”ครั้งนี้มาเป็นประโยคฟังถนัดหู ไม่ได้มาแค่เสียงหวานใสเท่านั้น แต่มาพร้องเสียงกรวดหินที่ดัง เหมือนคนกำลังเดินย่ำเข้ามาเรื่อยๆ จนหินในมือของคนที่คิดจะขว้าง หลุดจากมือเหมือนคนไม่มีเรียวแรง

“หยุด! หยุดอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามาคุณเป็นใครกันแน่”ได้ผล เสียงฝีเท่าที่คิดว่าจะเดินเข้ามาใกล้หยุดทันที เมื่อเหลือบไปรอบๆก็สะดุดตาเข้ากับฟืนท่อนหนึ่ง ยาวพอประมาณ ซึ่งด้านปลายของมันมีไฟติดอยู่

“เหตุใดท่านต้องกลัวเรา เราบอกท่านแล้วว่าเรามิได้คิดทำร้ายท่านดอก”ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เจ้าของเสียงทำท่าเหมือนจะเดินเข้ามาอีก

“ผมบอกแล้วนะว่าอย่าเข้ามา ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร และคุณต้องการอะไรจากผม”ไม่พูดเปล่าสิงห์ก็ชูท่อนฟืนติดไฟสูงขึ้น ราวกับว่ามันคือคบเพลิง


“ท่านนี่ ช่างดื้อด้าน เสียจริงๆ ท่านกลัวเรา ที่เป็นผู้หญิง อย่างนั้นฤา”ประโยคนี้ ทำเอาคนที่ยืนฟังลืมความกลัวเป็นปลิดทิ้ง

“ผมไม่ได้กลัวคุณนะ แต่ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะเข้ามาหาผมทำไม เพื่ออะไร”พูดจบเขาก็ก้มลงเอามือควานหาฟืนเพื่อจะเติมไฟในกองให้สว่างกว่าเดิม โดยไม่พละใบหน้าที่จ้องไปยังตำแหน่งของเสียงนั้น แต่ไม่ทันที่สิงห์จะหาฟืนเจอ ไฟในกองที่ทำท่าเหมือนจะดับ ก็พลันลุกวูบราวกับเตาแก๊ส เล่นเอาสิงห์หงายท้องก้นจ้ำเบ้า

“คิกๆ”

          สิ้นเสียงหัวเราะชอบใจ ร่างนั่นก็เริ่มโผล่ออกมาจากเงามืด คิดแล้วไม่มีผิด เป็นหล่อนจริงๆด้วย หล่อนคนนั้น คนที่เขาเห็นนั่งสบายอารมณ์อยู่บนต้นตะเคียน ครั้งนี้เขาเห็นถนัดชัดเจนเห็นแม้แต่ขนตาที่งอนงาม สาวงามในชุดสไบชุดเดิมยืนกอดอกอยู่ตรงหน้า ถ้าไม่มีกองไฟขวางไว้ล่ะก็ รับรองว่าคงถึงตัว

“คุณ คุณคนที่ผมเห็นหรือเปล่า แล้วคุณมาอยู่ที่นี้ได้ยังไง มีหมู่บ้านแถวนี้หรือ”สิงห์กลั้นใจถามออกไป ในขณะที่ยังนั่งไม่เป็นท่าอยู่เช่นนั้น

“ใช่ เรือนเราอยู่บริเวณ”หล่อนพูดขณะที่ยังยืนจ้องสิงห์ตาไม่กระพริบ

“เราอยู่ที่แห่งนี้มานานแล้ว แต่พวกท่านมาทำเรือนของเราเสียหาย”หล่อนทำสีหน้าตำหนิสิงห์ แต่แววตาของหล่อนซ่อนยิ้มเอาไว้

“พวกผมไปทำบ้านของคุณเสียหายตอนไหนครับ ตั้งแต่ผมเดินมายังไม่เห็นบ้านที่ไหนสักหลัง”สิงห์พาซื่อเพราะไม่รู้จริงๆว่ากำลังคุยกับใครอยู่

“ท่านจำมิได้จริงๆฤา”หล่อนเลิกคิ้วถาม

“ผมไม่รู้จริงๆ หรือว่าลูกปืนของพวกผมคนใดคนหนึ่ง ตกใส่หลังคาบ้านคุณ”คำพูดของสิงห์เล่นเอาหล่อนอดที่จะยิ้มไม่ได้ จนหล่อนทนไม่ไหว

“ท่านสิงห์ ก็ท่านกับพรานเฒ่านั้นไง ที่ใช้มีดฟันเรือนของเรา ผลงานของท่านยังอยู่ ตรงนั้น”พูดจบหล่อนก็ชี้มือไปที่โคนตะเคียนริมน้ำ เท่านั้นเองสิงห์ถึงกับขนลุกไปทั้งตัว บ้านของหล่อนที่ว่าก็คือต้นตะเคียนใหญ่ ที่พรานเฒ่ากับเขา มาดักลอบบริเวณรากตะเคียนนั้น แล้วที่หล่อนบอกว่าเขาและพรานเฒ่าใช้มีดฟันเรือนหรือบ้านของหล่อน ก็ตรงรากไม้นั้นไงที่เป็นส่วนหนึ่งของที่พักของเธอ

“คุณคือเจ้าแม่ตะเคียนหรือ”สิงห์หันไปมองหน้าหล่อนอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“เรามิใช่เจ้าแม่ตะเคียน หรือสิ่งใดก็แล้วแต่ที่ท่านจะยกตำแหน่งให้เรา”

“แล้วคุณรู้จักชื่อผมได้อย่างไร”สิงห์ถามด้วยความสงสัย

“ทำไม ท่านถึงได้เขลานัก ก็ขนาดตะเคียนใหญ่ต้นนี้ เรายังเข้าไปอยู่อาศัยได้ แล้วนับประสาอันใดกับนามของท่าน”หล่อนตอบพลางยิ้มหวาน

“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมเชื่อคุณแล้วว่าคุณคงไม่ทำร้ายอะไรผม และคุณก็ไม่ใช่มนุษย์อย่างผม”สิงห์ทำใจดีสู้เสือ

“เหตุใดคุณถึงมาบอกผมเรื่องนี้ ทำไมไม่เป็นคนอื่นที่เหลือ”สิงห์ถาม

“ก็เพราะดวงจิตของท่าน กับดวงจิตของเราสื่อถึงกันได้ ถ้าจิตของท่านมิอาจตรงกับของเราแล้ว ท่านก็คงมองเรามิพบดอก สำหรับเรามันตรงกันข้ามกับท่าน เราสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นตั้งแต่พวกท่านเหยียบเข้ามาในเขตของเราแล้ว”หล่อนอธิบาย

“แล้วคุณ ต้องการอะไรจากผมครับ ชีวิตของผมหรือ”สิงห์ถาม

“หึหึหึ”หล่อนหัวเราะในลำคอ

“ถ้าเราต้องการชีวิตของท่าน โทษฐานที่มาบังอาจทำเรือนของเราได้รับความเสียหาย ป่านนี้ท่านก็คงมิได้มาเสวนากับเราเยี่ยงนี้ดอก”พูดจบหล่อนก็สะบัดผมที่ยาวสลวย จนสิงห์ได้กลิ่นหอมของดอกไม้พัดออกมาจางๆ แล้วหล่อนก็เดินไปยังตำแหน่งที่สิงห์และพรานเฒ่าใช้มีดฟันรากของต้นตะเคียน

“โอ้วว..ถ้าเช่นนั้นผมต้องขอโทษคุณด้วยนะครับ พวกผมไม่ได้มีเจตนาเลย”สิงห์พูดออกมาจากใจจริง

“เราให้อภัยท่าน แต่เราอยากจะขอสิ่งใดบางอย่างจากท่าน เพื่อแลกกับหนึ่งชีวิตของคณะ”หล่อนพูดจบก็เดินเรียดๆมาที่เปลของสิงห์ สิงห์เองก็หนาวๆร้อนๆอยู่แล้วรีบขยับหนีไปอีก

“ถ้าผมสามารถทำให้คุณหายโกรธพวกผมแล้ว ผมยินดีทำให้ครับ”สิงห์พูดจบก็ขยับมานั่งบนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งข้างกองไฟ ตาประสานตากันอีกครั้ง

“สิ่งที่เราขอก็มิได้มากมายอันใดดอก เราต้องการให้ท่านนำอาหาร คาว หวาน มาขอขมาเรา โดยท่านจะต้องนำมาให้เราตามลำพังเพียงผู้เดียว หามิได้แล้ว เราจะถือว่าท่านหมิ่นเรา”หล่อนพูดจบ ก็ค่อยๆหย่อนเอวที่คอดกิ่วลงบนเปลของสิงห์

“ได้สิครับคุณ เรื่องแค่นี้เองทำไมผมจะทำให้ไม่ได้”สิงห์พูดพลางยิ้ม และเป็นการส่งยิ้มให้หล่อนเป็นครั้งแรก จนคนที่ได้รับยิ้มนั้นมีอาการเหนียมอาย

“แต่ท่านจงอย่าลืมในสิ่งที่เราบอกท่านนะว่า ท่านต้องมาคนเดียวตามลำพัง ห้ามมิให้ผู้ได้ติดตามมาด้วยเป็นอันขาด”หล่อนพูดจบก็หยิบดอกกล้วยไม้ป่าดอกใหญ่ ที่หล่อนนำมาทัดหู ออกมาคลึงเล่นในมือ

“ก็ได้ครับ ผมรับปาก ว่าผมจะมาเพียงคนเดียว”สิงห์พยักหน้ารับคำ จนหล่อนยิ้มอย่างพอใจแล้วพูดต่อมาอีกว่า

“ดีมาก เราหวังว่าท่านคงจะมิผิดสัจจะที่ให้ไว้กับเรา”หล่อนพูดขณะที่จ้องตาของสิงห์ไม่กระพริบ ราวกับว่าสิงห์จะต้องมนต์สะกด จนเขาเผลอพูดอะไรบ้างอย่างออกไปอย่างไม่รู้ตัว

“คุณรู้หรือเปล่า ถ้าคุณเป็นมนุษย์แบบผม คุณจะเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา”มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะหล่อนสวยไม่มีที่ไหนจะติเลย จะติอยู่อย่างเดียวคือ หล่อนไม่ใช่คน

“นี่ท่านกำลังเกี้ยวเราฤา”หล่อนเลิกคิ้วถาม โดยมียิ้มน้อยๆที่มุมปาก

“เปล่าครับ ผมไม่ได้จีบหรือเกี้ยวคุณ คุณเป็นนางไม้หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ผมเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิตครับ เลยไม่รู้ว่าจะมีนางไม้หรือเจ้าแม่ที่ไหนสวยกว่าคุณหรือเปล่า”ประโยคหลังทำเอาหล่อนค้อนให้ทีหนึ่ง

“พูดถึงนางไม้กับเจ้าแม่ ผมอยากรู้ว่ามีคุณ...เอ่อ  มีคุณคนเดียวหรือตนเดียว หรือเปล่าครับ ในป่าผืนนี้”ประโยคหลังเขาถามแบบกล้าๆกลัวๆเพราะกลัวจะไม่เข้าหูหล่อนอีก

“ตั้งแต่เขตหมู่บ้านของพรานนำทางของท่านแล้ว ไปจนสุดเขตที่พวกท่านอยากรู้อยากเห็นนั้น มีเราผู้เดียว ที่ดูแลและปกป้องอยู่”หล่อนพูดทิ้งท้ายไว้เป็นนัยๆ

“คุณรู้! ว่าพวกผมจะเข้าไปเที่ยว ป่าดำ”สิงห์ร้องออกมาอย่างลืมตัว

“เราบอกท่านแล้ว ท่านสิงห์ ว่าเรารู้ทุกอย่าง รู้ว่าพวกท่านมีจุดหมายปลายทางที่ไหน”หล่อนพูดพลางม้วนผมที่ดำคลับเล่นไปมา

“ถ้าแบบนั้นคุณก็รู้สิว่า ป่าดำ มันอยู่ที่ไหน”สิงห์ถามด้วยอาการลิงโลด โดยลืมไปว่าคุยกับอะไรอยู่

“เรารู้”หล่อนตอบมาสั้นๆ

“คุณพอจะบอกผมได้หรือเปล่าครับ ว่าพวกผมทั้งคณะ จะสามารถไปถึงจุดหมายได้หรือเปล่า และจะมีอันตรายใดกับคณะของผมหรือไม่ เผื่อว่าพวกผมจะได้เตรียมตัวและรับมือได้ถูก”

“เราบอกท่านมิได้ดอก เพราะมันผิดกฎ ถ้าเราบอกท่านตัวเราเองอาจจะสูญเสียญาณ ที่เราเพียรบำเพ็ญมาเป็นเวลานาน หรือแม้แต่ดวงจิตของเราเอง อาจถึงขั้นดับสลายไปเลยก็ได้”หล่อนพูดออกมาจากใจจริง ด้วยแววตาวิงวอน

“มันร้ายแรงถึงขนาดนั้นเชียวหรือ”สิงห์ถามอย่างคนสิ้นหวัง แทนคำตอบหล่อนพยักหน้าลงช้าๆ

“แล้วผมควรจะทำยังไงดีครับ”

“หรือว่า....”

“พวกผมควรจะกลับ”สิงห์พูดออกมาลอยๆโดยตาของเขามองไปที่เปลวไฟอย่างปราศจากความหมาย

“ท่านอย่าให้เราต้องผิดกฎเลย ท่านสิงห์ เราบอกสิ่งใดกับท่านมิได้มาก”หล่อนทิ้งคำพูดสุดท้ายเหมือนให้ความหวัง

“ท่านจงยึดมั่นในศรัทธา”หล่อนพูดจบก็ยิ้มหวาน ยิ้มของหล่อนถ้าชายคนใดเห็นแล้วก็ต้องระทวย เพราะนอกจากรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ของหล่อนแล้ว บริเวณแก้มทั้งสองข้างของหล่อนยังมีรอยบุ๋มอยู่ทั้งสองข้าง หรือที่เรียกว่าลักยิ้มนั้นเอง

“ถึงเวลาของเราแล้ว ที่เราจะต้องลาจากท่าน”หล่อนพูดออกมาเรียบๆ แต่แอบซ้อนแววตาโศกเศร้า จนสิงห์รู้สึกใจหาย

“แล้วผมจะได้พบคุณอีกหรือเปล่าครับ”สิงห์ร้องถาม ที่เห็นหล่อนลุกขึ้นทำท่าจะเดินจากไป

“ทุกราตรีกาล ถ้าท่านต้องการพบเรา ท่านจงระลึกถึงเรา เมื่อนั้นเราจะได้พบกันอีก”หล่อนพูดแล้วเดินหันหลังเข้าไปที่โคนต้นตะเคียนยักษ์

“เดี๋ยวครับ เดี๋ยวก่อน คุณชื่ออะไร”สิงห์ร้องตะโกนถาม ได้ผล หล่อนหยุดชะงัก แล้วหันมายิ้มหวานอีกครั้ง แล้วตอบชายหนุ่มพร้อมรอยยิ้มหวานนั้นว่า

“เรามีนามว่า พลับพลึง”

“พลับพลึง พลับพลึง” สิงห์พูดทบทวนอยู่เช่นนั้น ก่อนที่ร่างของหล่อนจะเรือนหายไปราวกับหมอกควัน พร้อมๆกับเปลวไฟที่ค่อยๆมอดลงช้าๆ ไม่ผิดอะไรจากสภาพเดิมในตอนแรก ที่เขาคิดจะนำฟืนมาเติมก่อนนอน เหมือนอยู่ที่แค้มป์ไม่มีอะไรผิดเพี้ยน คิดอยู่ในใจไว้ว่าไหนๆก็ต้องมาผูกเปลนอนกับต้นตะเคียนยักษ์ต้นนี้แล้ว จะเดินกลับแค้มป์มืดๆค่ำๆแบบนี้ก็ ยังไงๆอยู่ เพราะไฟฉายก็ไม่มี เลยตัดสินใจว่านอนที่นี้เสียเลย พรุ่งนี้เช้าค่อยเดินกลับ มองไปรอบๆตัวเพื่อหาฟืนจะมาสุมไฟแก้หนาว พลันก็เหลือบไปเห็นท่อนฟืนสองสามท่อนตกอยู่ใกล้ๆ จึงก้มลงไปหยิบ จังหวะนั้นเองเขาก็เห็นความผิดปกติบางอย่างเมื่อยกนาฬิกาขึ้นดู เขาก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง

          เข็มนาฬิกาบอกเวลาที่ ตีหนึ่งยี่สิบเก้านาที มันเป็นเวลาเดียวกับที่เขายกขึ้นดูเมื่อไม่นานมานี้ จะว่านาฬิกาเสียก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเข็มวินาทีก็ยังเดินไม่หยุด นี่มันอะไรกัน ตั้งแต่เหตุการณ์ประหลาดเริ่มต้นขึ้น อย่างน้อยๆก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 นาที แต่นี่ทำไมเวลายังไม่ได้ขยับไปไหนเลยแม้แต่นาทีเดียว และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาจากนาฬิกา เขาก็ยิ่งตกใจเข้าไปอีก อะไรกัน เมื่อกี้เราไปโผล่ที่ต้นตะเคียนยักษ์นั่น แล้วไหนเลยถึงกลับมาโผล่ที่แค้มป์ มองไปรอบๆให้แน่ใจอีกครั้ง ตาโส่ยก็นอนขดอยู่นั่น ไม่ได้เห็นเฉพาะพรานเฒ่าอย่างเดียว เขามองเห็นทุกคน ทุกชีวิต ไม่มีสิ่งใดผิดเพี้ยนไปจากเดิมเลยแม้แต่นิดเดียว ในยามนี้ไม่มีอะไรทำได้ดีไปกว่าการ ตั้งสติ ใช่ เข้าต้องรวบรวมสมาธิและลำดับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เพราะยังไม่แน่ใจตัวเองอยู่ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันคืออะไรกันแน่ ความจริง หรือความฝัน จะว่าฝันร้ายเราก็ไม่ได้หลับนี่ เพราะดูจากนาฬิกาแล้วมันก็ไม่น่าเป็นไปได้ คนอะไรจะฝันภายในเวลาไม่ถึงนาที หรือว่าเป็นความจริงๆ ยิ่งคิดยิ่งสับสน

“ยังไม่นอนอีกรึ ไอ้สิงห์”เจ้าของเสียงเรียก ไม่ใช่ใครที่ไหน มันเป็นเสียงของพรานเฒ่าที่ตอนนี้ผงกหัวขึ้นมาร้องถาม เล่นเอาสิงห์ที่คิดอะไรอยู่เพลินๆสะดุ้งสุดตัว

“ปัดโธ่...ตกใจหมด! เดี๋ยวก็นอนครับ สุมฟืนอีกสักหน่อย” สิงห์ตอบกลบเกลื่อน พูดจบก็เดินไปลากท่อนฟืนท่อนใหญ่ๆสองสามท่อนใส่ลงไปในกองไฟ

          หลังจากพรานชราคุยอะไรกับสิงห์สองสามคำ พรานชราก็ซุกตัวนอนในโปงผ้าห่มของแกเหมือนเดิม ส่วนสิงห์หลังจากเติมฟืนในกองไฟจนบริเวณแค้มป์สว่างโพลงแล้ว ก็มุดตัวเข้าไปนอนในเปลสนามของเขา ลมหนาวพัดมาอีกวูบ จนเขาต้องนอนห่อตัวเข้าไปในถุงนอน ขนาดมีเสื้อแจ็คเก็ตกันหนาวใส่แล้ว ยังรู้สึกเย็นยะเยือกได้เพียงนี้ แถมมาเจอเรื่องลีลับกับตัวเองอีก ใครจะไปนอนหลับลง เลยต้องนอนตาแป๋วอยู่บนเปลแบบนั้น ครั้นนอนหลับตาเผื่อจะได้หลับ ก็พลันเห็นหน้าหล่อนคนนั้นอีก คิดในแง่ดี ถ้าหล่อนคิดจะมาทำร้ายหรือมาหลอกหลอนเรา ก็คงจะมาในรูปแบบที่น่ากลัว แต่นี้ หล่อนมาในรูปแบบที่สวยงามไม่มีพิษภัย หรือทำให้เข้าต้องหวาดกลัวเลย ในเมื่อพยายามที่จะข่มตานอนแล้วก็ทำไม่ได้ นึกถึงพระพุทธคุณก็แล้ว มันก็ยังไม่หลับ ที่ทำได้ตอนนี้ก็คือนอนนับดาวบนท้องฟ้า ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะเต็มใจให้กับเขา เพราะคืนนี้ท้องฟ้าเปิดไม่มีเมฆหมอกมาบทบังเลย เห็นหมู่ดาวระยิบระยับมากมาย เห็นแม้กระทั้งหมู่ดาวทางช้างเผือกที่ทอดตัวเป็นทางยาว

          ลมหนาวพัดมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันหอบเอากลิ่นหอมของดอกไม้มาด้วย และถ้าสิงห์จำไม่ผิด มันเป็นกลิ่นหอมกลิ่นเดียวกับหล่อนคนนั้น หล่อนคนที่ทำให้เขานอนไม่หลับในขณะนี้ พอมานึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ก็อดยิ้มไม่ได้ ถ้าเป็นคน เธอก็คงเป็นผู้หญิงที่แก่นแก้วมาก ที่มาแกล้งให้เรานอนไม่หลับ ทั้งหมดนี้สิงห์คิดอยู่ในใจคนเดียว เหตุการณ์นี้เขาจะจดจำและไม่มีวันลืมไปจนตาย รวมถึงหล่อนคนนั้นด้วย หล่อนคนที่มีนามว่า พลับพลึง.......


******จบบทที่ 4 เรื่องราวจะดำเนินไปในทิศทางใด หรือผู้แต่งจะลิเก กว่านี้ได้อีกหรือไม่ โปรดติดตามหาความบันเทิงได้อีก ในบทที่ 5 เร็วๆนี้!!!!!******


Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #9 on: 21 April 2021, 23:27:04 »

พรานพร กับ พรานโส่ย กับร้านแขวนหม้อสนาม


เจ้าพุ่มบนหน้าผาตอนหนึ่ง (จะขึ้นไปทำแพะทำไมก็ไม่รุ)


เป้สนามของพรานพร


แกงกบทูด/ธูปใส่ต้นและหัวกระวาน  แบบเนื้อๆเน้นๆครับ


.....
หนุ่มธุดงค์ไพร:  แหม..กว่าจะจบบทที่ 4 ได้ เล่นเอาเหนื่อยครับ บทนี้ยาวมาก เพราะผมจบมันไม่ลงจริงๆ ถ้าเทียบกับบทอื่นๆที่ลงเอาไว้แล้ว ยิ่งเขียนยิ่งมันมือ แต่ก็จบลงได้เสียที หลังๆอาจจะดูลิเกไปหน่อยนะครับ เพราะต้องการให้น้าๆที่ตามอ่าน ได้หลายอารมณ์ (ถ้าไม่ถูกใจต้องขอโทษด้วยนะครับ )

สุดท้าย ขอบคุณน้าๆทุกท่านที่ติดตามมานาน  กำลังใจที่มีให้ผม และทุกคำติ ชม เสนอแนะแนวทาง รวมถึงเทคนิคต่างๆ ขอบคุณมากๆนะครับ เพราะทุกความเห็น มีค่าสำหรับงานเขียนนิยายชิ้นแรกของผมมาก



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.09 seconds with 17 queries.