Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
09 May 2024, 16:55:23

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,650 Posts in 12,467 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 3 โดย หนุ่มธุดงค์ไพร
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 3 โดย หนุ่มธุดงค์ไพร  (Read 267 times)
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« on: 21 April 2021, 21:54:33 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 3 โดย หนุ่มธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 3 ตอนที่ 1
หนุ่มธุดงค์ไพร


บทที่ 3

ตอนที่ 3.1

          เสียงฝีเท้าทั้งแปดคู่ เดินย่ำมาตามด่านทางเกวียนเก่าๆ โดยมีคนทั้งแปดคนเดินเรียงแถวอยู่ห่างกันไม่มากนัก ซึ่งมีพรานเบเป็นคนนำทาง ต่อจากพรานเบคือพรานพร พรานแปะ เหน๋อ และสองหนุ่มกะเหรี่ยงดง พุ่มกับเคิ้ง เดินคุยกันอยู่สองคน ส่วนสิงห์และพรานโส่ย เดินอยู่หลังขบวน ครั้งหนึ่งสิงห์หันกลับไปดูกระท่อมหลังใหญ่ ที่ตอนนี้มองเห็นเพียงยอดหลังคาอยู่ไกลๆ โดยปราศจากความหมาย หลังจากทั้งหมดเดินลัดเลาะไปตามตีนเขา ซึ่งทั้งสองฝั่งด่านทางนั้นเต็มไปด้วยต้นสาบเสือและต้นไผ่ เสียงแกรกกราก ของใบไม้แห้งดังแว่วมาจากตีนเนิน ด้านข้างจนทำให้เคิ้งและพุ่ม หยุดยืนฟังเสียงนั้น แต่พอยืนจดๆจ้องๆอยู่อึดใจก็เดินต่อ เพราะต้นเสียงไม่ใช่ตัวอะไรที่ไหน มันคือเจ้าพะเปรียวกับพะบอง หมาคู่ชีพของพรานเบนั้นเอง พวกมันคงอยากจะติดตามไปกับขบวนด้วย

“มีหมาไปด้วยก็ดีเหมือนกันนะลุงโส่ย” สิงห์หันมาบอกพรานเฒ่าที่ตอนนี้ก้มหน้าก้มตาเดินโดยมีถุงปุ๋ยใส่ของและเสบียงต่างๆผูกโงลั่งไว้ที่หัวของแก

“ดีตรงที่ช่วยหากับข้าวกับเป็นยามให้เรา ไม่ดีก็ตรงที่มันจะทำให้สัตว์มันตื่นเพราะมันเห่ามั่วไปหมด” พูดจบแกก็บ้วนน้ำหมากลงพื้น

“ผมว่ามันคงอยากจะไปกับเราลุงโส่ย ไม่เห็นน้าเบแกเรียกให้มันตามมาเลย”  สิงห์ถาม

“ไอ้หมาพวกนี้มันรู้ ไม่ต้องเรียกมันก็ตาม ขืนอยู่ที่บ้านมันก็ไม่มีอะไรกิน เพราะไม่มีใครอยู่ให้ข้าวพวกมัน พวกมันรู้ ถ้ามันตามมากับพวกเรามันไม่อดข้าวแน่ๆ”  พรานชราตอบ

          การเดินทางเป็นไปอย่างสะดวกพอสมควร เพราะด่านทางเก่านั่นไม่รกมากนัก นานๆทีก็เห็นรอยกิ่งไม้ที่โดนฟันทิ้งขาดไว้เรื่อยทาง อาจเป็นพรานเบหรือใครคนใดคนหนึ่งที่เดินอยู่ในขบวนฟันทิ้งไว้ เพราะกิ่งไม้และต้นไม้เหล่านั่นยื่นขวางทาง หลังจากเดินเลาะตีนเขามาสักพัก พรานเบก็พาเดินลัดต่ำลงเรื่อยๆ สภาพรอบๆตัวบัดนี้เริ่มเปลี่ยนไป จากดงสาบเสือและต้นไม้จำพวกไผ่และกอรวก  เริ่มมีพืชคลุมดินชนิดพวกชะพลู บอนป่า  และกล้วยป่าที่ขึ้นเบียดเสียดกันอยู่เป็นดง ไม่ต้องสงสัยเพราะอะไรเลย เมื่อเดินไปอีกไม่กี่อึดใจ เบื้องหน้าก็เป็นลำห้วยสายใหญ่ไหลตัดผ่านเส้นทางนั้นอยู่ ซึ่งตอนนี้กลุ่มพรานกะเหรี่ยงที่เดินนำอยู่ พากันนั่งพักอยู่ที่โคนต้นยางใหญ่ริมลำห้วยสายนั้น

“เดี๋ยวเราจะเดินตัดออกซ้ายมือนะสิงห์”  พรานเบร้องบอก เมื่อเห็นสิงห์เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า

“อืม...ถ้าผมจำไม่ผิดถ้าเราตัดออกขวาจะไปทางห้วยแห้งใช้หรือเปล่าน้าเบ” สิงห์ยืนนึกอะไรออกได้สักพัก แล้วตอบพรานเบ

“ใช่..สิงห์ ความจำเอ็งดีเหมือนกัน”  พรานเบพูดจับก็ควักห่อยาสูบจากกระเป๋าเสื้อ ออกมาม้วน

“กี่โมงแล้วสิงห์”  พรานพรหันมาถาม หลังจากลงไปวักน้ำในห้วยมาดื่ม

“สิบโมงสิบห้านาทีพอดีเลยพี่พร”  สิงห์ร้องตอบหลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู

“ประมาณสามถึงสี่โมงเย็นข้าว่าน่าจะถึงช่องผาแคบ” พรานเบตอบ หลังจากสูบบุหรี่ยาเส้นไปครึ่งมวน

“จะถึงกี่โมงก็แล้วแต่น้าเบ เราไม่ได้รีบร้อนอะไร เห็นตรงไหนน่าพักก็ค่อยว่ากัน” สิงห์หันไปพูดกับพรานเบก่อนยกขวดน้ำพลาสติก ที่ใส่ตรงกระเป๋าข้างขากางเกงขึ้นดื่ม

“ใช่..เราไม่ได้รีบร้อนอะไร ระหว่างทางไปช่องผาแคบ เราก็หากับข้าวไว้กินเย็นนี้ไปในตัวด้วยก็ดี” เหน๋อร้องบอก ขณะที่พูด ยังยืนเคี้ยวหมากอยู่ หยับๆ

“จริงด้วยพี่สิงห์ กระรอก ไก่ป่า กระทาดง ก็พอมีตัว มีหมามาด้วยแบบนี้กระรอกไม่น่าพลาด” เคิ้งพูดพรางชี้มือไปทาง เจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบอง ที่ตอนนี้ยืนเลียน้ำอยู่ริมห้วย

“กระรอกพอได้อยู่ แต่ไอ้ไก่ป่า กับนกกระทาดง คงจะยาก ไอ้สองตัวนี้มันเห่าไล่หมด” พรานแปะพูดพรางหัวเราะ

“ก็แล้วแต่ว่าจะเจออะไร ถ้าไม่ได้อะไรก็หา งมปลา งมปูในห้วยก็ได้ จะไปยากอะไร” พรานโส่ยร้องตอบมาอีกคน

“ผมว่าเราอย่าไปคิดอะไรเรื่องของกินเลย อยู่ในป่าขนาดนี้ ไม่มีอะไรให้กินก็ให้มันรู้ไป” สิงห์พูดพรางยกเป้ ขึ้นสะพายหลัง เป็นสัญญาณให้รู้ว่าการเดินทางเริ่มขึ้นอีกครั้ง

          พรานเบพาเดินข้ามลำห้วยนั้นไป โดยเดินข้ามบริเวณที่มีน้ำตื้นที่สุดประมาณครึ่งหน้าแข้ง หลังจากข้ามห้วยมาแล้วก็พาเดิน ลัดเลาะไปตามด่านเก่าๆ ที่น่าจะเป็นทางเดินของชาวบ้านที่ออกมาหาของป่าอยู่บ่อยๆ จนเกิดเป็นทางด่านเล็กๆ ซึ่งบางครั้งก็ถูกปกคลุมไปด้วยพันธ์ไม้เล็ก และพืชคลุมดินชนิดต่างๆ พรานเบพาเดินไปตามทางสายนั้น บางครั้งก็เดินลัดเลาะไปตามชายลำห้วย บางครั้งก็ต้องเดินข้ามลำห้วยตื้นๆ อยู่บ่อยครั้ง โดยมีเจ้าพะเปรียวกับเจ้าพะบอง วิ่งนำหน้าอยู่ห่างๆ บางครั้งพวกมันก็พากันวิ่งวกกลับลงมาหาขบวน บางครั้งก็วิ่งขึ้นหน้าขบวน เป็นแบบนี้สลับกันไปตามสัญชาติญาณของหมาพราน  พอเจอโพรงไม้หรือซุ้มไม้ก็พากันก้มลงดมตามโคนไม้และพื้นดินบริเวณนั้น หลังจากที่พวกมันวิ่งวนไปวนมา จากที่ที่มันสงสัย เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วก็วิ่งจากไป

          เสียงแสกสาก จากเป้หลังและย่ามหลัง ที่ถูระไปกับต้นไม้เล็กๆและต้นกระวานที่ขึ้นหนาแน่นทั้งสองข้างทางด่าน ซึ่งตอนนี้เริ่มเรือนรางลงทุกที ต้นไม้ใหญ่เริ่มขึ้นหนาทึบปะปนไปกับต้นไม้เล็กๆที่ขึ้นเบียดเสียดกันจนดูรกไปหมด บางต้นก็ยืนต้นแห้งตาย คงเป็นเพราะไม่สามารถยื้อแย่งแสงแดงแข่งกับต้นไม้อื่นๆที่สูงใหญ่กว่าได้ มันเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ที่ต้องคัดสรรสิ่งที่แข็งแรงที่สุด เพื่อจะดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไป ส่วนที่อ่อนแอก็ต้องหมดสภาพผุพังไปตามกาลเวลา นอกจากไม้เล็กที่ยืนต้นแห้งตาย ไม้ใหญ่หลายชนิดก็เช่นกัน บางต้นก็หักรากถอนโคนล้มขวางทางของคณะ จนบางครั้งต้องเดินมุดลอดผ่านไป บางต้นก็ล้มพาดเป็นสะพานข้ามห้วยเสียอย่างดี ครั้งหนึ่งพรานเบที่เดินข้ามสะพานไม้นั้นเป็นคนแรกเหยียบพลาดเอาตำแหน่งที่ผุที่สุดของต้นไม้ล้มนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ จนขาข้างหนึ่งผลุบวูบ เกือบจะตกลงไป เล่นเอาพวกที่ตามมาข้างหลังร้องเสียงหลงด้วยความหวาดเสียว แต่พอพรานเบตั้งหลักได้ก็ พยุงตัวเองขึ้นมาได้ตามเดิม และเดินนำไปตามปกติ ส่วนที่เดินตามมาก็คอยระมัดระวังและหลบลีก บริเวณไม้ที่ดูพุนั้น

“มาเที่ยวช่วงหมดฝนใหม่ๆมันก็ดีไปอย่างนะลุงโส่ย” สิงห์หันไปพูดกับพรานชราที่เดินคู่กันมา

“เออ ข้าก็ว่าแบบเอ็งนั้นแหละ ไอ้สิงห์ ป่าดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย ไม่เหมือนมาตอนหน้าแล้ง มองไปทางไหนดูเหี่ยวๆเฉาๆไปหมด” พรานเฒ่าเสวนาตอบ

“เหี่ยวๆแบบพ่อหรือเปล่า” เคิ้งร้องบอกพรางหัวเราะ พรานเฒ่าได้ยินเข้าก็ร้องด่าฟังไม่เป็นศัพท์

“ถึงข้าจะแก่และก็เหี่ยว แต่ข้าไม่มีวันเฉาโว้ย” พูดจบแกก็ก้มลงหยิบ ลูกมะเดื่อป่า หมายจะปาใส่กบาลลูกชายตัวแสบของแก แต่เจ้าเคิ้งก็รู้ทันมันหลบวูบ ลูกมะเดื่อป่าเฉียดหัวมันไปนิดเดียว คนอื่นๆที่อยู่ใกล้ๆพากันหัวเราะชอบใจ

“นอกจากจะยิงปืนไม่แม่น ยังปาไม่แม่นอีก สงสัยต้องไปฝึกฝีมือมาใหม่นะลุงโส่ย” คราวนี้พุ่มแซวพรานชราบ้าง

“เอ็งอีกตัวไอ้พุ่ม หน๋อย...มาว่าข้าเดี๋ยวเถอะมึง” พูดจบแกก็ก้มลงหยิบลูกมะเดื่ออีก แต่คราวนี้แกไม่หยิบแค่ลูกเดียว แต่หยิมขึ้นมากำในมือถึงสามลูก พอถนัดดีแล้วแกก็ทำท่าเร่งเป๋าหมายไปที่กบาลเจ้าพุ่ม ส่วนเจ้าพุ่มทำท่าลิงแยกเขี้ยวยิงฟันใส่พรานเฒ่า แต่มันไม่รู้เลยว่าพรานเฒ่าเปลี่ยนแผนใหม่ พอพรานเฒ่าปามันก็ทำหลบวูบ แต่ครั้งนี้ไม่พลาด เพราะหนึ่งในสามของลูกมะเดื่อโดนกบาลเจ้าพุ่มเต็มรัก ส่วนอีกลูกโดนตัวถนัดๆ

“ฮาๆ เป็นไงไอ้พุ่ม ลูกโดดกูอาจจะพลาด แต่ลูกปรายกูไม่พลาด” พรานเฒ่าหัวเราะชอบใจ

“โถ่...ลุงขี้โกงผมนิ เล่นปาทีเดียวสองสามลูกใครจะไปหลบทัน” พุ่มพูดพรางยืนเกาหัว

          การเดินทางเป็นไปด้วยความสนุกสนาน ไม่มีใครคิดจริงจังกับอาการของพรานชรา เพราะมันเป็นการล้อเล่นกันธรรมดา โดยพรานชราเองก็ไม่ได้คิดโกรธเคืองอะไรใคร บรรยากาศรอบตัวดูสดชื่นแต่ก็ดูทึบๆเพราะป่าช่วงนี้อุดมไปด้วยไม้ใหญ่หลากหลายชนิด จนยอดใบด้านบนบดบังแสงแดด  นอกจากไม้ใหญ่แล้ว ด้านล่างก็เต็มไปด้วยกล้วยป่า และต้นหวายที่ทอดยอดยาวเกาะเกี่ยวกันจนดูรกรุงรังไปหมด บางครั้งพรานเบก็ต้องใช้มีดฟันเบิกเป็นช่องทางให้ทุกคนมุดรอดไปได้ แต่ก็มีหลายคนโดนหนามอันแหลมคมของมันเกี่ยวเนื้อตัวจนได้เลือดไปเหมือนกัน หลังจากทุกคนเดินลอดซุ้มหวายออกมาแล้ว พรานเบก็พามาถึงหุบตอนหนึ่ง ซึ่งอยู่ระหว่างภูเขาสองลูกที่ขึ้นเบียดกัน และหุบนั้นเองครั้งหนึ่งมันเคยเป็นลำห้วยหรืออาจจะเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ แต่ด้วยลักษณะที่เทลาดของมัน จึงทำให้ไม่มีน้ำขังอยู่เลย หินก้อนเล็กๆตามพื้น ไปจนถึงขนาดใหญ่ท่วมหัวแต่ละก้อนดูเกลี้ยงเกลา บางก้อนก็ดูมันวาว บางก้อนก็มีพืชจำพวกเฟิร์นและตะไคร่เกาะติดเขียวไปหมด บ่งบอกถึงว่า ครั้งหนึ่งหุบแห่งนี้เมื่อถึงฤดูฝน มันคงเป็นน้ำตกขนาดใหญ่หรือไม่ก็เป็นธารน้ำที่ไหลเชี่ยวในยามฝนหลาก แต่มาบัดนี้ไม่มีแม้แต่แอ่งน้ำที่ขังให้เห็นอยู่เลย มีเพียงเศษกิ่งไม้ใบไม้ที่กองทับถมอยู่เกลื่อนกลาด รวมไปจนถึงท่อนซุงขนาดใหญ่หลายคนโอบ ที่ครั้งหนึ่งสายน้ำที่ไหลเชี่ยวได้พัดพาพวกมันมาจากที่ได้ที่หนึ่ง บางท่อนก็เกยข้างโขดหิน บางต้นก็นอนพาดขวางทางที่มองดูเป็นลักษณะของแก่งหินขนาดใหญ่ แลดูน่าหวาดเสียวเพราะกลัวมันจะหลุดร่วงลงมาทับคณะเดินทาง เพราะมีบ่อยครั้งที่ทั้งหมด ต้องเดินลอดซุงไม้เหล่านั้นไป แต่ด้วยการนำทางของพรานมือดี อย่างพรานเบแล้ว ไม่ว่าหนทางนั้นจะดูแล้วลำบากสาหัสขนาดไหนก็ตามที่สิงห์คิดว่ายากที่จะฝ่าไปได้ พรานเบก็สามารถพาตัดผ่านไปได้ทุกครั้ง แต่แล้วการเดินทางก็ต้องหยุดชะงักไป เมื่อพรานเบส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดอยู่กับที่

“ตัวอะไรหรือ” สิงห์กระซิบถามพรานพร ที่ต้อนนี้อยู่ไม่ห่างจากพรานเบมากนัก

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน สงสัยจะเป็นค่าง” พรานพรกระซิบตอบ ขณะที่เงยหน้าไปดูยอดไม้ที่ดูหนาทึบตาไม่กระพริบ สิงห์เองก็พยายามสอดส่องสายตาไปตามยอดไม้เหล่านั้นเช่นกัน แต่พยายามอยู่นานก็ไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมใดๆเลย นอกจากยอดไม้ไหวอยู่เป็นระยะๆ แต่ก็ไม่อาจจะเห็นสาเหตุหรือที่มาของสิ่งที่ทำให้ยอดไม้เหล่านั้นไหวได้ แต่ชั่วอึดใจไม่นานพรานเบก็ส่งสัญญาณให้ทั้งหมดเดินทางต่อ ก่อนจะให้ทุกคนเดินทางต่อพรานเบได้ส่งภาษากะเหรี่ยงกับพรานพร ที่สิงห์เองก็ไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเหล่านั้น

“น้าเบว่าไงพี่พร” สิงห์กระซิบถามพรานพร ที่กำลังจะลุกขึ้นเดิน

“นกเงือก” พรานพรตอบออกมา ด้วยอาการปรกติ

“น้าเบ ก็ตาดี ผมยังมองไม่เห็นตัวมันเลย เสียงร้องสักนิดก็ไม่มี ได้ยินแต่เสียงยอดไม้ไหวๆ น้าเบแกรู้ได้ไงว่าเป็น นกเงือก”

“สอยลงมาย่างกินสักตัวดีมั๊ยพี่สิงห์” เสียงเคิ้งกระซิบขนาดที่เดินย่องมาหาจากทางด้านหลัง

“อย่าไปยิงมันเลยนกเงือก มันยิ่งจะหาดูยากอยู่” สิงห์หันมาปรามกะเหรี่ยงหนุ่ม ในขณะที่เจ้าตัวทำถ้าคันไม้คันมือ

“เรายังไม่ถึงจุดบอด หรือจุดที่เราอดยากปากแห้ง ขนาดจะต้องไปยิงนกเงือกเอามากิน เคิ้งเพราะฉะนั้นพี่ของบอกเราเลยนะ ว่าถ้าไม่มีความจำเป็นจริงๆ อย่ายิงมันมากินเด็ดขาด ปล่อยให้มันเป็นดอกไม้ประดับป่าที่นี้ต่อไป ป่าไหนไม่มีนกเงือกป่านั้นก็ไม่ใช่ป่า”

          จริงอย่างที่สิงห์พูดมา นกเงือกเป็นสิ่งบอกวัดความสมบรูณ์ของป่าที่มันอยู่ได้ เพราะนกเงือกเป็นนกที่ชอบอยู่ตามป่าลึก ที่อุดมไปด้วยอาหาร และต้นไม้ใหญ่ เพราะมันเป็นนกที่ต้องอาศัยต้นไม้ใหญ่เหล่านั้นเจาะโพรงทำรัง เพื่อขยายพันธุ์ และมันยังเป็นนกที่ขึ้นชื่อได้ว่า ผัวเดียวเมียเดียว คือตลอดชีวิตของมัน จะมีคู่เพียงตัวเดียวเท่านั้น แต่บางครั้งก็ออกหากินรวมฝูง ไม่เหมือนนกหรือสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่มักผลัดเปลี่ยนคู่ผสมพันธุ์ และด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้นกเงือกในประเทศไทยลดจำนวนลงอย่างน่าใจหาย อาจจะเป็นความที่ไม่เข้าใจ หรืออาจจะเป็นเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ของพรานพื้นเมืองและกลุ่มนักล่าชาวกรุงบางพวก ที่ไปยิงพวกมัน ถ้ายิงมากินด้วยฝีมือพรานป่าก็พอให้อภัยได้เพราะด้วยความจำเป็นที่จะต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่พวกที่ยิงมันด้วยความคะนองมือแล้วไม่ได้สนใจผลงานที่ตัวเองสร้างไว้มันไม่น่าให้อภัยเลย  พอถึงฤดูผสมพันธุ์ พวกมันก็จะช่วยกันเจาะโพรงไม้สูงใหญ่ที่ดูว่าปลอดภัย หลังจากคาบเศษไม้มารองพื้นโพรงแล้ว ตัวเมียจะเข้าไปวางไข่ ส่วนตัวผู้จะคาบเศษดินและโคลนมาปิดปากโพรงนั้นไว้ เพื่อป้องกันสัตว์ร้ายอื่นที่จะเข้าไปรบกวนหรือทำร้าย เหลือช่องเล็กๆไว้สำหรับให้ตัวผู้นำอาหารมาป้อนให้กิน ตัวเมียเองที่อยู่ในโพรงก็จะใช้เศษมูลและขนของมันที่พลัดออกมายาปิดโพรงด้านใน เหลือเพียงช่องเล็กๆไว้สำหรับยื่นปากออกมาตัวผู้ก็จะคอยส่งน้ำส่งอาหารให้นกตัวเมียขณะที่นอนฝักไข่อยู่ จนลูกนกโตพอที่จะสามารถบินได้ แม่นกที่ถึงตอนนี้แล้วก็จะมีขนใหม่พร้อมกับลูกของมัน ก็จะจิกปากโพรงออกไป เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้มันถึงจุดจบโดยที่พวกมันไม่ได้ก่อ เมื่อพรานป่าและพรานกรุงไปยิงตัวผู้ที่คอยส่งเสบียงตาย และเมื่อไม่มีตัวผู้ค่อยป้อนอาหารและน้ำให้ในขณะที่นกตัวเมียกกไข่อยู่ในโพรง ที่พวกมันเองปิดขังตัวเองไว้ ครั้นจะจิกปากโพรงออกไปหากินเองก็ทำไม่ได้ เพราะตัวเองก็ผลัดขนออกหมดแล้วจะบินก็บินไม่ได้ มันเองก็จะอดอาหารหิวตาย ผลสุดท้ายก็แห้งตายคาโพรงกับลูกของมัน

“ไปเคิ้ง พี่ว่าเราอย่าไปสนใจอะไรมันเลย ปล่อยมันไปเถอะ เรายังต้องเดินอีกไกล” สิงห์พุดตัดบทหลังจากเดินผละออกจากที่เดิม  แต่ไม่ทันที่สิงห์จะเดิน เจ้าพะเปรียวก็ทำเรื่อง เมื่อมันเห่าตัวอะไรบางอย่าง เสียงดันลั่นอยู่เบื้องหน้า และเสียงเห่าของมันนี้เองที่ทำให้ ยอดไม้ที่ไหวๆอยู่เหนือหัว ก็มีอาการแตกฮือ เสียงดังก้องไปทั้งหุบ พร้อมทั้งเสียง แก๊ก ก๊าก ของนกเงือกฝูงใหญ่ที่ดูผ่านๆไม่ต่ำกว่าสิบตัว เสียงปีกขนาดใหญ่กระพือ ตัดกับอากาศดัง หวืดๆ เป็นจังหวะ ผสมกับเสียงร้องของมันด้วยความตกใจ เศษกิ่งไม้แห้งและใบไม้ร่วงหล่นลงมาจากเรือนยอดที่มันเกาะอยู่  เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้ไม่นานทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่ในภาวะปรกติ มีเพียงเสียงปีกขนาดใหญ่ของนกเงือกที่ตัดกับอากาศดังอยู่ห่างๆ นานๆครั้งก็ได้ยินเสียงมันร้องออกมา แก๊ก แก๊ก  ที่แว่วเข้ามาอยู่ไกลๆ

“ไอ้ห่ า ข้าตกใจหมดเลย” พรานชราบ่นอยู่อุบอิบ

“ไอ้พะเปรียวเจอตัวอะไรให้เข้าแล้วพี่สิงห์” พุ่มร้องบอกอยู่ด้านหลังขณะที่กำลังโหนต้นไม้เพื่อฉุดตัวเองขึ้นจากทางชันตอนหนึ่ง

“คงไม่เห่า จิ้งจก ตุ๊กแก ที่ไหนอีกนะ” สิงห์พูดพลางหัวเราะ ขณะที่หักกิ่งไม้เล็กๆที่ยื่นขวางทางออก

“ถ้าเป็นอย่างที่เอ็งพูด ข้าจะกระทื บให้จมแผ่นดินเลย ข้อหาที่ทำให้กูตกใจ เสือกเห่า ป่าแตกหมดทีนี้” พรานชราร้องตอบมาอย่างหัวเสีย

“อย่าไปทำมันเลย มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราว่าก็ได้” สิงห์พูดพรางหัวเราะ

“นั่นไง พี่แปะถืออะไรมาดำๆ” สิงห์พูดหลังจากเห็นพรานแปะเดินย้อนกลับมา

“โถ...คิดว่าตัวอะไร เต่า นี่เอง” เคิ้งร้องบอกหลังจากยกเถาวัลย์ที่มัดร้อยเต่าชูขึ้นดู

“ตัวนิดเดียวเอง จะไปพอกินอะไร ปล่อยมันไปเถอะเคิ้ง” สิงห์พูดหลังจากรับพวงเต่าที่เคิ้งส่งให้

“ผมก็คิดแบบพี่สิงห์ ปล่อยมันไปก็ดีเหมือนกัน เอาไปกินก็ได้เนื้อนิดเดียว” พูดจบเจ้าเคิ้งก็แก้เถาวัลย์ที่ผูกกระดองเต่าตัวขนาดฝ่ามือกางๆ เสร็จแล้วนำมันไปปล่อยไว้ใต้โคนไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง


**************เรื่องราวจะเป็นยังไง สิงห์และพรานพื้นเมืองของเขา จะพาไปถึงจุดหมายหรือไม่ โปรติดตามตอนต่อไป************

ผิดพลาดประการใด กระผม หนุ่ม ธุดงค์ไพร ต้องขอ อภัย มา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ

« Last Edit: 21 April 2021, 22:14:31 by p_san@ » Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #1 on: 21 April 2021, 21:57:33 »


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 3 ตอนที่ 2


ต่อจากบทที่ 3

ตอนที่ 3.2
         
          การเดินทางของคนทั้งแปดเริ่มผ่อนฝีเท้าลง เพราะพรานเบพาเดินตัดขึ้นเชิงเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งมีความสูงชันเป็นลำดับ บริเวณรอบด้านเริ่มเป็นป่าโปร่งสลับกับป่าทึบ และเมื่อเดินตัดสู่เชิงเขาขึ้นเรื่อยๆ สภาพพื้นที่ก็ดูเปลี่ยนไป พื้นดินที่เคยเหยียบย่ำไว้เมื่อตอนเดินอยู่ก้นหุบเบื้องล่าง กลับกลายมาเป็นดินผสมหินลูกรัง ต้นไม้ใหญ่เริ่มเห็นบางตาลง ไม้จำพวกยางนา ประดู่ แดง พอมีให้เห็นอยู่บ้าง  ตามสภาพพื้นป่าบนเชิงเขา แต่ที่มีมากที่สุดเห็นจะเป็นพวก ไผ่นวล ไผ่รวก และไผ่บง ที่ขึ้นเบียดเสียดอยู่หนาทึบ ลำต้นของไผ่แต่ละกอมีความใหญ่โตและตรงสวยเป็นพิเศษ และที่ใต้โคนกอไผ่นั้นยังมีหน่อไม้อ่อนๆขึ้นแทงดินอยู่เต็มไปหมด จนเหน๋อที่ตอนนี้เดินระอยู่เบื้องหลังเคียงคู่กับพรานโส่ย ต่างช่วยกันใช้มีดเหน็บขุดขึ้นมาหลายหน่อ แต่ละหน่อล้วนขาวอวบน่ากิน ไม่เพียงแต่หน่ออ่อนของต้นไผ่ เจ้ากะเหรี่ยงหนุ่มทั้งสอง คือ เคิ้งและพุ่ม ยังช่วยกันหักหน่ออ่อนของไผ่รวกใส่ย่ามสะพายอีกหอบใหญ่ แต่ละหน่อยาวเป็นศอก เส้นทางบนเชิงเขาแคบๆ พอเดินได้ไม่กว้างมากนัก ซึ่งฝั่งขวาเป็นผาหินของเชิงเขาสูงทะมึน ส่วนฝั่งซ้ายเป็นเหว ที่เบื้องล่างเมื่อมองลงมาเป็นป่าทึบ มองเห็นแต่เพียงเรือนยอดของต้นไม้ใหญ่ ครั้งหนึ่งบนโตรกทางแคบๆ ที่พอจะเดินผ่านไปได้ทีละคน สิงห์เดินเหยียบพลาดเอาหินก้อนหนึ่งทีติดอยู่กับพื้นดินลูกรังแบบหลวมๆ อันจะเกินจากการเหยียบซ้ำๆกันของคนที่เดินนำอยู่เบื้องหน้า หรือจะเพราะเหตุใดก็ไม่ทราบได้ แต่เมื่อเท้าซ้ายของสิงห์เหยียบเข้า หินก้อนนั้นก็หลุดจากตำแหน่งเดิมที่มันฝังตัวอย่างตื้นๆ  เสียง กึก ของหินลั่นพร้อมๆกับร่างของสิงห์เซถลาเกือบจะพลัดหล่นลงไปสู่ก้นเหว แต่สิงห์ก็ไวทายาท เพราะมือข้างหนึ่งไขว่คว้าได้แง่หิน แง่หนึ่งที่อยู่เบื้องหน้าอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด ขณะที่ตัวเองไถลครูดอยู่กับพื้นเชิงหน้าผาที่เทลาดอย่างหมิ่นเหม่เห็นแล้วน่าหวานเสียว มีเพียงเสียงหินก้อนนั้นหลุดหล่นลงไปกระทบแง่หินอยู่เบื้องล่าง

“พี่สิงห์ เกาะแน่นๆเดี๋ยวผมจะช่วยดึง” เคิ้งที่เดินอยู่นำหน้า ร้องบอกอย่างระลำระลัก

“รับปืนพี่ไปก่อน เคิ้ง พี่พอจะปีนขึ้นไปได้” สิงห์ส่งปืนยาว.22 ที่สะพายอยู่ไหล่ซ้ายให้กะเหรี่ยงหนุ่ม อย่างทุลักทุเล

“เกาะด้ามปืนไว้สิงห์ เดี๋ยวพี่จะช่วยดึงอีกแรง” พรานแปะที่เดินนำอยู่ด้านหน้า เมื่อได้ยินเสียงเอะอะโวยวายอยู่เบื้องหลังก็รีบเดินย้อนกลับมาดู สิงห์ทำตามคำแนะนำของพรานแปะด้วยดี เพราะมันเป็นวิธีที่ดีที่สุด เขาจับด้ามปืนไว้แน่นขณะที่มืออีกข้างยังเกาะอยู่กับแง่หิน พอพรานแปะออกแรงดึง ร่างของสิงห์ก็พยุงตัวขึ้นอย่างง่ายดาย

          เหตุการณ์ผ่านไป ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่เฝ้าดูอยู่อย่างหายใจไม่ทั่วท้อง แต่เมื่อบุคคลที่เกือบจะต้องฝังตัวเองอยู่ก้นเหวนั้น กลับมายืนเด่นอีกครั้ง ก็พากันโล่งอก

“เกือบไปแล้ว ดีนะที่จับแง่หินนั้นได้ทัน ไม่งั้นมีหวังคงจะเหลวอยู่ก้นหุบไปแล้ว” สิงห์พูดพลางขณะปัดเนื้อตัวที่เปรอะเปื้อนดินอยู่

“เวลาจะเดินก็ดูให้ดีๆก่อนว่า พื้นมันเรียบร้อยแข็งแรงดีหรือเปล่า” พรานเบพูดเตือนอย่างเป็นห่วง

“เออ คนข้างหลัง เวลาเดินก็ระวังๆหน่อย ไอ้สิงห์มันหัวแข็งโชคมันดี แต่แกอาจจะโชคไม่ดีก็ได้” พรานพรหมายถึงตาพรานเฒ่าที่ตอนนี้กำลังค่อยๆไต่มาตามทางแคบๆของทางนั้น โดยตัวแกเองหันหน้าเข้าผนังผา มือทั้งสองข้างจับยึดกับแง่หินไว้ แล้วค่อยๆกระดืบตัวอย่างช้าๆ

“ไอ้ห่ าพร ไม่ช่วยข้าแล้วยังจะเสือกแช่งข้าอีกเดี๋ยวเถอะมึง” พรานแก่ร้องด่าดังลั่น ส่วนคนอื่นๆที่เดินรั้งท้าย ก็ทยอยเดินข้ามโตกทางนั้นอย่างระมัดระวัง เหตุการณ์เฉียดนรกผ่านไปได้ด้วยดี จากเหตุที่ทำให้ทุกคนตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายขีดสุด เมื่อหนึ่งในคณะเดินทาง คือ สิงห์ เกือบจะลงไปนอนแหลกเหลวอยู่ก้นเหวเบื้องล่างแล้ว บรรยากาศจากความตึงเครียดที่ทุกคนเผชิญกันมาหยกๆ บัดนี้กลับมองเป็นเรื่องตลกขบขันไปเสียแล้ว สิงห์เองก็พลอยคิดไปในแง่ขบขัน เมื่อนึกถึงตอนที่ตัวเองหูตาเหลือก ขณะไขว่คว้าหาสิ่งช่วยยึดไม่ให้หลุดร่วงลงไปสู่มือยมบาลเบื้องล่าง

“เดี๋ยวเดินตัดทางเนินเขานี้ไป พวกเราจะพักกินข้าวกันที่หุบนั้น” พรานเบพูด หลังจากเหน๋อเดินไต่โตกผาข้ามมาเป็นคนสุดท้าย

“นี่ก็เกือบจะเที่ยงแล้ว เราน่าจะพักกินข้าวกันแถวๆนี้ก็ได้” สิงห์พูดจบหลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู

“ข้าว่าลงไปกินข้าวกันข้างล่างโน่นดีกว่า ที่นี่ไม่ค่อยสะดวกเรื่องน้ำท่า” พรานพร เอ่ยขึ้นอีกคน

“จริงของพี่พร ผมก็ลืมคิดไป ว่าข้างบนนี้ไม่มีน้ำให้หุงข้าว” สิงห์พูดพร้อมยืนเกาหัวด้วยความอาย เมื่อเพิ่งรู้ตัวเองว่าปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเร่อ

“อีกไม่ไกลหรอกสิงห์ ข้าคิดว่าไม่เกินครึ่งชั่วโมง หรืออย่างช้าที่สุด พวกเราก็จะถึงจุดพักของเราไม่เกินบ่ายโมง” พรานเบพูด ขณะที่กำลังยืนมวนยาเส้นอยู่ในมือ พอแกมวนเสร็จก็หันมาส่งภาษากะเหรี่ยงกับพวกพรานที่เหลือ

“น้าเบแกว่าอะไรว่ะ ข้าไม่เข้าใจ” สิงห์หันไปถามเพื่อนเกลอ

“อ๋อ..น้าเบแกบอกว่า ให้พวกเราเดินตัดทางไปกันก่อน น้าเบกับพี่พรจะแยกลงหุบข้างหน้า แกว่าจะไปหายิงไก่ป่ามากินสักตัวสองตัว เห็นแกบอกว่าตรงที่แกจะไปมีต้นกร่างใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าลูกสุกจะหมดต้นแล้วหรือยัง เพราะเมื่อครั้งก่อนแกขึ้นมาทางนี้ ลูกมันกำลังสุกทั้งต้น ป่านนี้ไม่ร่วงหมดต้นแล้วรึ” ประโยคสุดท้ายเหน๋อถามด้วยความสงสัย

“ต้นกร่างที่เอ็งว่ามามันอยู่ในดงไผ่ข้างล่างโน่น ถึงลูกกร่างมันจะหมดก็ไม่เป็นไร ดีเสียอีก ไก่ป่ามันชอบกินลูกกร่างตามพื้น แห้งๆมันก็กิน ถึงไม่มีลูกกร่างมันก็หาคุ้ยกินขุยไผ่แถวๆนั้น” พรานแปะบอกมาอีกคน

“มีต้นกร่างก็ต้องมีนกเขาเปล้าด้วยสิ ผมยังติดใจนกเขาเปล้าย่างเกลือเมื่อตอนเช้านี้อยู่เลย เอาอย่างนี้นะ พี่แปะเดี๋ยวพี่นำพวกเราไปรอตรงจุดที่เราจะพักกินข้าวกันก่อน เดี๋ยวผมจะตามน้าเบกับพี่พรไป” พูดจบ สิงห์ก็รีบเดินจ้ำอ้าวไปยังสองพรานกะเหรี่ยงที่เดินนำไปเบื้องหน้า

“เออ พุ่มกับเคิ้ง จับไอ้สองตัวนั้นไว้ก่อนนะเดี๋ยวเสียแผนหมด” สิงห์หมายถึงหมาสองตัวของพรานเบ ที่ตอนนี้ถูกพุ่มและเคิ้งจับคอไว้อยู่ เพื่อไม่ให้มันวิ่งตามสิงห์ไป เพราะถ้ามันตามไป ก็หมายความว่าสิ่งที่ว่างแผนไว้ว่าจะยิงไก่ป่าและนกเขาเปล้าเป็นอันต้องล้มเลิก

“น้าเบขอผมไปด้วยคน” สิงห์พูดอย่างกระหืดกระหอบ ขณะเดินมาถึงตัวพรานเบ

“ก็เอาสิ ข้าก็อยากจะชวนเอ็งไปด้วยกัน แต่เห็นเอ็งยังไม่หายเหนื่อย เลยไม่อยากชวน” พรานเบพูดแบบยิ้มๆ

“เดี๋ยวเดินลงหุบด้านล่างนี้ไปไม่ไกล ก็จะถึงแล้ว เดินเงียบๆก็แล้วกัน” พรานพรพูดพร้อมชี้มือ ไปทางหุบเบื้องหน้า

            ชายทั้งสามคนเดินไปอย่างเงียบกริบ ปราศจากเสียงใดๆ  พอเดินมาถึงดินที่ดูเหมือนเป็นหน้าผาเตี้ยๆตอนหนึ่ง สูงประมาณไม่เกินห้าเมตร ซึ่งเบื้องล่างเป็นลำห้วยแห้ง พรานเบก็พาไต่ไปตามรากไม้ใหญ่ของต้นไม้ชนิดหนึ่ง ที่โผล่พ้นขอบดินหน้าผานั้น อันเนื่องมาจากผลของการกัดเซาะ ของน้ำในลำห้วยแห่งนั้นนั่นเอง  พรานเบไต่นำลงไปก่อน ให้สิงห์ได้ดูเป็นแบบอย่าง โดยแกนำไต่ลงไปอย่างรวดเร็ว ด้วยความชำนาญ พรานพรไต่ลงไปเป็นคนที่สอง โดยใช้วิธีเดียวกับพรานเบคือ หันหน้าเข้าหาหน้าผา แล้วใช้มือจับโหนรากไม้นั้นลงไป และคนสุดท้ายคือสิงห์ที่ไต่ลงมาถึงพื้นหินปนทรายเบื้องล่างของลำห้วยแห้งนั้นอย่างไม่มีปัญหาอะไร

“อีกไม่ไกล ข้างหน้านี้เอง” พรานเบพูดด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา

“เดี๋ยวเอาของวางซุกไว้แถวๆนี้ก่อน จะได้ไม่ต้องแบกไปให้เกะกะ” พรานพรพูดพร้อมเอาเป้ของตัวเองออกจากหลังที่สะพายอยู่ พรานเบก็เช่นกัน สิงห์เองเมื่อเห็นแบบนั้นก็รีบปลดเป้หลังออกมาอย่างรวดเร็ว พอเครื่องหลังของแต่ละคน คือเป้ และย่ามใส่ของต่างๆถูกปลดลง พรานพรก็เดินไปตัดกิ่งไม้ที่มีใบไม้อยู่ นำมาปิดบังของเหล่านั้นเพื่อเป็นการพรางตา สิงห์เองก็ไม่ได้อยู่เฉยเขาเอง ก็ตรวจดูกระสุนปืน ว่าเรียบร้อยพร้อมใช้งานหรือเปล่า เสร็จแล้วพรานเบก็พาเดินไปตามชายห้วยแห้งแห่งนั้น คราวนี้การเดินเปลี่ยนมาเป็นในลักษณะเดินย่อง

          เส้นทางของห้วยแห้ง ลัดเลาะไปมาตามโตกหินและเชิงผา ซึ่งเกิดจากการกัดเซาะของกระแสน้ำ สลับกับซุ้มกอไผ่และกอรวกที่ขึ้นเบียดเสียดกันจนหนาทึบ กิ่งก้านและลำต้น โน้มขวางลำห้วยอยู่เป็นระยะๆ จนดูคลายๆอุโมงค์ ที่พื้นลำห้วยแห้งตอนนี้เต็มไปด้วยใบไม้แห้งที่หล่นทับถมอยู่หนาเตอะ มีเพียงบางช่วงเท่านั้นที่มียอดหินโผล่พ้นกองใบไม้แห้งขึ้นมาให้เห็น เสียงแสกสาก ในกองใบไม้ที่ดังมาจาก จิ้งเหลนป่า ตัวเล็กๆ ที่ออกมาหากินแมลง พอเห็นคนที่เดินเฉียดเข้าใกล้ ก็พากันมุดซุกตัวอยู่นิ่งภายใต้กองใบไม้แห้งเหล่านั้น พอชายทั้งสามย่องมาถึงหัวมุมของโค้งลำห้วย ซึ่งเป็นลักษณะเนินดินไม่สูงมากนัก พรานเบก็ย่อตัวลงนั่งยองๆในลักษณะชันขาข้างหนึ่ง จึงทำให้บุคคลที่ยองตามมาอีกสองคนรีบทำตาม บนเนินดินสูงนั่นเองเสียง แสกสาก ของกองใบไม้แห้งด้านบน ดังแว่วเข้ามาได้ยินเป็นระยะๆ ซึ่งชายทั้งสามคนนั่งเงียบกริบอยู่เบื้องล่าง ไม่จำเป็นต้องบอกก็รู้ ว่ามันเป็นเสียงคุ้ยหากินของตัวอะไรชนิดหนึ่ง พรานเบค่อยๆลุกขึ้นยืนในท่านั่ง  หัวก็ค่อยๆโผล่พ้นขอบห้วย อึดใจต่อมาแกก็ผลุบหัวลงมานั่งตามเดิม

“ไก่ป่าลงมาคุ้ยลูกกร่างกินเป็นฝูงเลย”พรานเบหันมากระซิบ

“ขอผมดูหน่อย น้าเบ” สิงห์กระซิบ แล้วก็ค่อยๆโผล่หัวขึ้นไปดู ยังตำแหน่งของเสียง พอมองลอดซุ้มต้นสาบเสื้อแห้งๆที่บดบังอยู่ด้านหน้าพอดี ทีแรกเขาเองก็มองไม่เห็นอะไร นอกจากเสียง แสกสาก แต่พอค่อยๆไล่สายตาไปตามโคนต้นกร่างใหญ่ ครั้งนั้นเอง ระยะห่างออกไปจากตำแหน่งที่สิงห์และพรานกะเหรี่ยงแอบซุ่มอยู่ ห่างออกไปประมาณไม่เกินห้าสิบเมตร ไก่ป่าหลายตัวรวมฝูงออกคุ้ยหากินลูกกร่างสุก ที่ร่วงอยู่ตามพื้นอย่างเพลิดเพลิน โดยมีไอ้โต้งจ่าฝูงเกาะเด่นอยู่บนขอนไม้แห้ง ส่วนรอบๆบริเวณโคนต้นกร่าง ก็มีไก่ป่าตัวอื่นๆคุ้ยหากินลูกกร่างอยู่อย่างกระจัดกระจาย มองผ่านๆไม่ต่ำกว่าสิบตัว นอกจากไก่ป่าแล้ว ยังมีไก่ฟ้าอีกสี่ห้าตัว ที่คุ้ยหากินลูกกร่างสุกอีกฟาก

“เดี๋ยวข้าจะย่องโอบไปตามลำห้วย เอ็งสองคนดักรออยู่ทางนี้ เผื่อพวกมันจะหนีมาทางพวกเอ็งสองคน” พรานเบพูดกระซิบพร้อมค่อยๆหักลำกล้องปืนลูกซองยาวของแกอย่างเบากริบ เสร็จแล้วแกก็ค่อยๆงัดลูกปืนออกมาจากลำกล้อง เพื่อเปลี่ยนลูกใหม่ จากลูกเบอร์เก้าเม็ดมาเป็นลูกปราย เสร็จแล้วก็ค่อยๆหักลำกล้องเข้าตำแหน่งเดิมดัง กริ๊ก เบาๆ แล้วพรานเบก็ค่อยๆย่องไปตามลำห้วยที่ตีโอบไปตามแนวของต้นกร่าง อย่างเงียบกริบ

“เดี๋ยวสิงห์ไปแอบซุ่มตรงตอไม้ล้มนั่น พี่จะดักยิงทางนี้เอง” พรานพรพูดแบบกระซิบ แล้วบุ้ย ปากไปทางต้นไม้ล้มขนาดใหญ่เบื้องหน้าที่อยู่ห่างออกไปประมาณยี่สิบเมตร ตัวแกเองก็ค่อยๆหักกิ่งไม้เล็กๆที่ขวางทางปืน สิงห์เมื่อรู้ที่บังไพรของตัวเองแล้ว ก็ค่อยๆย่องไปทางตำแหน่งนั้นทันที พอไปถึงบริเวณส่วนที่เป็นโคนของซุงไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งบริเวณโคนต้นซุงนั้นปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าและ เครือเถาวัลย์ขนาดเล็ก ที่เกาะเกี่ยวพันกันรกรุงรัง แต่ก็พอจะมีช่องไว้ให้มองเห็นเป้าหมายเบื้องหน้าได้ เขาค่อยๆสอดปลายลำกล้องปืนยาว.22 ออกไปตามช่องนั้น โดยพาดลำกล้องไว้กับเถาวัลย์ ที่เปรียบเสมือนซุ่มบังไพรของเขาพอดิบพอดี และแล้วจังหวะที่สิงห์กำลังจะปลดเซฟปืนของเขา ขณะที่กำลังเล็งศูนย์ปืนไปที่ไอ้โต้งที่ยังยืนไซ้ขนอยู่บนขอนไม้นั้นเอง เขาก็ต้องสะดุ้ง เมื่อเสียงปืนลูกซองก็ดังตูมสนั่น เสียงนั้นดังมาจากเบื้องหน้าของเขา ไม่ต้องบอกเขาก็รู้ว่ามันดังมาจากปืนของพรานเบแน่นอน พร้อมๆกับไอ้โต้งจ่าฝูงก็บินสูงขึ้นไปเกาะยอดไผ่ด้วยความตกใจ รวมไปถึงลูกฝูงของมันก็พากันแตกฮือ ร้องกะต๊ากๆ บินกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง บางตัวบินหายไปในดงไผ่ บางตัวก็วิ่งหัวซุกหัวซุนเข้าหาแนวป่ารกชายห้วย และจังหวะนี้เอง เมื่อไก่ป่าสองตัววิ่งคู่แหวกป่าหญ้าตามกันมาทางด้าน ที่พรานพรนั่งซุ่มอยู่ เสียงปืนลูกซองก็ระเบิดกึกก้อง อีกตูม สนั่นไปทั้งหุบ และตูมนี้เอง ที่ทำให้ไอ้โต้งจ่าฝูงที่สิงห์หมายจะเด็ดให้ร่วงจากยอดไผ่ ก็กระพือปีกบินลับหายไป ปล่อยให้สิงห์เล็งศูนย์ปืนค้างอยู่อย่างนั้น สิงห์ถอนหายใจด้วยความเสียดาย เขากำลังคิดจะถอนปืนออกจากราวเถาวัลย์ที่พาดปืน พลันหูของเขาก็แว่วเสียงแกรกกรากตรงมาทางซุ้มไพรที่เขาใช้แอบซุ่มอยู่ เสียง แกรกๆ แสกๆ เหมือนตัวอะไรวิ่งๆหยุดๆ ปล่อยให้คนนั่งฟังสงสัยอยู่เช่นนั้น แต่ชั่วอึดใจต่อมา เขาก็หมดความสงสัย เพราะเสียงที่ได้ยิน ดังมาจากนกกระทาดงสี่ห้าตัว ที่พวกมันพากันวิ่งๆหมอบๆ มาทางริมห้วยฝั่งเขานั้นเอง ในระยะไม่เกินยี่สิบห้าเมตร กระสุนขนาด.22 ของปืนลูกกรดก็ดังขึ้น เปรี้ยง... พร้อมๆกับกระทาดงตัวเขื่อง กระเด็นจากจุดที่มันหมอบอยู่เกือบวา เขารีบกระชากลูกเลื่อนเพื่อสลัดปลอกเก่าทิ้ง แล้วดันลูกเลื่อนยัดลูกใหม่ในแม็คทันที และอีก เปรี้ยง กระทาดงที่ทำท่าจะวิ่งซุกไปในดงไผ่ก็กระเด็นไปติดคาอยู่กับโคนไผ่กอนั้นเอง ในลักษณะเดิมกับครั้งแรก เปรี้ยงสุดท้าย กระทาดงตัวงามที่นอนหมอบนิ่งจนตัวมันดูกลมกลืนกับใบไม้แห้ง มันหวังจะพรางตัว แต่ไม่พ้นสายตาของสิงห์ได้ เป็นวาระสุดท้าย มันก็นอนหมอบแน่นิ่งอยู่เช่นนั้นโดยไม่มีโอกาสขยับตัวหนีได้อีกเลย

“ได้มาสองตัว เสียดายถ้ามันหากินรวมกลุ่มละก็ ได้มากกว่านี้ สองตัวนี้พอดีอยู่ใกล้ๆกัน” พรานเบร้องบอกขณะที่เดินหิ้วไก่ป่ามาทางสิงห์

“ข้าก็โดนสองตัวโว้ย” พรานพรร้องบอกมาอีกคน ส่วนตัวเองเดินมุดดงสาบเสือไปหาไก่ป่าที่แกยิงได้

“ของผมได้นกกระทาดงพี่ เอ..จำได้ว่ายิงโดนสามตัว แล้วอีกตัวหายไปไหน” สิงห์เดินแหวกหานกกระทาดงอีกตัว ซึ่งตอนนี้ไม่รู้ว่าไปอยู่เสียที่ไหน

“นั่นไง ซุกใบไผ่อยู่นั่น” พรานเบพูดขณะที่เดินมาช่วยสิงห์หากระทาดง

“ปัดโถ...จะเหยียบอยู่แล้วเชียว ดีนะที่ไม่เป็นงู ฮาๆ” สิงห์หัวเราะ พร้อมกับก้มลงไปหยิบนกกระทาดง

“หมดห่วงเลย มีกับข้าวอย่างดีกินแล้ว ได้ไก่ป่ามาตั้งสี่ตัว ดีไม่ดีเหลือไว้กินเย็นนี้ได้อีก” สิงห์พูด ขณะชูพวงไก่ป่าที่พรานเบมัดขารวมไว้ทั้งสี่ตัวขึ้นดู
แสงแดดยามสายส่องลอดใบไม้ เกือบเป็นมุมตรง อากาศอับๆรอบตัว ที่เกิดจากเศษซากใบไม้ ที่ทับถมกันมานานหลายปี บวกกับอากาศที่เริ่มจะร้อนอบอ้าวขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสามเดินไต่ตีนเนินขึ้นไปอย่างเงียบๆ ไม่มีเสียงพูดคุยกันให้ได้ยินอีกเลย นอกจาก เสียงฝีเท่าที่เดินย่ำพื้นกรวดปนหินนั้น ครั้งหนึ่งเมื่อทั้งหมดต้องเดินลัดลงห้วยอีกครั้ง เสียง ป๊อกๆๆ ของกระรอกตัวหนึ่งก็ดังขึ้นตรงฝั่งห้วย เสียงนั้นดังมาจากต้นยอป่าต้นหนึ่งที่มีเถาวัลย์เกาะพันกันดูยุ่งเหยิงไปหมด พอทั้งสามคนเดินเฉียดไปใกล้ ซุ้มไม้บนยอดต้นยอป่าก็สั่นไหว พร้อมๆกับเจ้ากระรอกแดงตัวเขื่อง ที่มันยังส่งเสียงร้องดัง ป๊อกๆๆ จนหางพองอยู่อย่างนั้น  ก่อนที่มันจะไต่เถาวัลย์โผล่ออกมา ทั้งหมดไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากเท่าไหร่ เพียงแค่เงยหน้าขึ้นไปดูแค่นั้น เพราะที่แบกมาก็มากพอแล้วสำหรับกับข้าวมื้อเที่ยววันนี้

“แหม่...มันน่าสอยลงมานัก ที่อย่างงี้เสือกโผล่มาให้เห็นตัวจะๆ” พรานพรเอ่ยขึ้นเบาๆ

“ลองถ้าไม่ได้ไก่มากิน พ่อจะส่องให้ร่วงเลย” สิงห์บอกมาอีกคน

“เดินลงหุบข้างหน้าก็ถึง ป่านนี้พวกนั้นคงถึงกันแล้ว” พรานเบชี้มือบอกสิงห์ จริงอย่างที่พรานเบว่า พอทั้งหมดเดินลงหุบนั้นไม่นานมากนัก ก็แลเห็นควันไฟลอยสูงขึ้นมาจางๆ อันหมายถึงคณะที่เดินทางแยกออกมา คงมาถึงตำแหน่งที่พักกินข้าวเที่ยงกัน และคงมีใครคนใดคนหนึ่งก่อไฟเตรียมหุงข้าวรออยู่ หลังจากเดินข้ามเนินที่กั้นขวางระหว่างสองฟากหุบนั้น สิงห์ก็แว่วเสียงคนของคณะที่เดินล่วงหน้ากันมาก่อน เสียงไม้ลั่นในกองไฟดัง เปรี๊ยะ ได้ยินถนัด พร้อมๆกับเสียง หักไม้แห้งดัง โพร๊ะ  พรานเบพาเดินเลาะไปตามชายห้วย ซึ่งตอนนี้เริ่มเห็นน้ำไหลรินน้อยๆ แต่พอเดินลึกเข้าไป ปริมาณน้ำในลำห้วยที่ไม่กว่าใหญ่อะไรนักก็เริ่มเยอะขึ้นเป็นลำดับ บางตอนก็ตื้นแค่ตาตุ่ม บางตอนก็สูงกว่าหน้าแข้ง ซึ่งก็แยกแตกสาขาไปตามที่ราบต่ำ แลดูคลายๆ น้ำตกขนาดเล็กที่ไหลไปตามโตรกหินขนาดต่างๆกันออกไป สายน้ำใสไหลเย็นส่องแสงระยิบระยับในยามเมื่อต้องแสงแดด ที่ส่องมากระทบถึง ทำให้เกิดเป็นพรายน้ำสะท้อนแสงขึ้นไปเต้นระยิบระยับ ราวกับสตรีกำลังเริงระบำ อยู่บนซุ่มไม้ที่เปรียบเสมือนหลังคานั้น


เรื่องราวของคณะเดินทางยังไม่จบเพียงเท่านี้  โปรดติดตามตอนต่อไป

« Last Edit: 21 April 2021, 22:15:26 by p_san@ » Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #2 on: 21 April 2021, 22:04:26 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 3 ตอนที่ 3



บทที่ 3 (จบบท)

ตอนที่ 3.3

“วู้...ได้อะไรกันมาบ้าง” พรานแปะป้องปากกู่ถาม เมื่อแลเห็นคนทั้งสามเดินลอดซุ้มไม้เบื้องหน้าอยู่ไม่ไกลมากนักแทนคำตอบพรานเบก็ชูพวงไก่ป่า ที่ตัวเองสะพายไหล่โชว์ให้ดู

“บ๊ะ!..ข้านึกแล้วว่าต้องได้อะไรติดไม้ติดมือมาบ้าง เสียงปืนดังลั่นหุบขนาดนั้น” ลุงโส่ยพูดพรางป้องหน้าดู พวงไก่ป่าที่พรานเบชูให้ดู

“มาถึงกันนานหรือยังลุงโส่ย” สิงห์ร้องถามเมื่อเดินเข้าไปใกล้คณะที่ร่วงหน้ามาก่อน

“ก็ไม่นานเท่าไหร่หรอก ข้าเพิ่งจะตั้งหม้อข้าวเสร็จ” พรานเฒ่าพูดพร้อมกับโยนท่อนฟืนแห้งที่ตนเองหักไว้เป็นท่อนๆ ลงพื้นดังโครม

“ได้มาหลายตัวนี่ ฝีมือใคร”  พรานแปะร้องถาม

“ข้ากับไอ้พรเป็นคนยิงได้ คนละสองตัว”  พูดจบแกก็ปลดพวงไก่ป่าที่ผูกขาเป็นพวงไว้ ส่งให้พรานแปะสองตัว

“เดี๋ยวเอ็งกับตาโส่ยช่วยกันทำคนละตัว อีกสองตัวที่เหลือข้ากับไอ้พรจะทำเอง จะได้เสร็จไวๆ” พรานเบพูดจบก็โยนไก่ป่า ให้พรานพรอีกตัว

“เออ...พี่พร นกกระทาดงอีกสามตัวของผมล่ะ เกือบลืมเลย เดี๋ยวผมทำเอง” สิงห์ร้องหากระทาดงที่ฝากพรานพรไว้

“จริงสิ พี่ก็เกือบลืม” พูดจบพรานพรก็ล้วงมือเข้าไปหยิบนกกระทาดงในย่าม ที่สะพายไหล่มา

“ไอ้สามตัวนี้ ฝีมือผมเอง” สิงห์โฆษณา

“แล้วไอ้สามตัวนั่นไปไหน ไม่เห็นเลย” สิงห์หมายถึงสองกะเหรี่ยงหนุ่มและเพื่อนเกลอ

“ข้าใช้ให้มันไปหาตัดกระบอกไม้ไผ่มาทำหลามผักกูด” พรานเฒ่าตอบขณะกำลังนั่งถอนขนไก่ป่าอยู่ริมกองฟืน

“แล้วลุงเก้บผักกูดมาแล้วรึ”สิงห์ร้องถามพรานชรา

“ข้าเดินเก็บมาเรื่อยตอนเดินเลาะมาตามห้วย ยอดงามๆทั้งนั้น” พรานชราบุ้ยปากไปที่ก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง บนนั้นมียอดผักกูดอวบๆน่ากินอยู่หอบใหญ่ ที่วางเด่นอยู่บนใบตองที่ตัดปูรองไว้เบื้องล่าง

“หลามผักกูดกับนกกระทาของผมน่าจะเหมาะ” สิงห์เสนอความคิด

“เรี่ยมเลยสิสิงห์ ดีกว่าใส่ลูกกุ้งลูกปูของตาโส่ยอีก” พรานแปะพูดพลางชำเลืองไปทางพรานเฒ่าที่ตอนนี้ทำท่าจะคว้าก้อนหินในห้วยเอามาปาใส่

“โถ่! ไอ้สั นดาน....แต่ก่อนมาเที่ยวกับข้าไม่เคยบ่น ข้าเห็นเอ็งกินหมดก่อนใครเพื่อน พอไอ้สิงห์ได้นกกระทามาแทน เสือ กทำดัดจริตกินไม่ได้ ครั้งต่อไปกินตีนข้านี่” ไม่พูดเปล่าพรานชราก็ยกตีนขึ้นหรา ทำเอาทั้งหมดพากันหัวเราะก๊าก ยกเว้นตาพรานเฒ่าคนเดียวนั่งด่าอุบอิบอยู่ในลำคอ

“ทำเป็นเดือดไปได้ลุงโส่ย ผมก็หยอกลุงเล่นหรอก เอาๆข้าน้อยผิดไปแล้ว” พรานแปะพูดแบบขำๆ พรางก็ส่งจอกเหล้าป่าให้ตาพรานเฒ่าจิบแก้ร้อน

          ช่วงเวลาไม่ทันข้าวในหม้อสนามเดือด ไก่ป่าและนกกระทาดง ก็ถูกชำแหละล้างทำความสะอาดเรียบร้อย รวมถึงเครื่องในโดยแยกใส่ใบตองไว้ข้างๆกับนกกระทาดงที่ถูกสับเป็นชิ้นๆ ส่วนไก่ป่าพรานเบแบะออกแล้วตัดไม้สดมาคีบหนีบ ก่อนที่จะเอาเถาวัลย์มามัดปลาย กันไก่หลุด เสร็จแล้วก็ทาเกลือป่นที่ติดมาด้วยก่อนนำไปพาดย่างไฟอ่อนๆ

“เดี๋ยวย่างเกลือกินกันสักสองตัว ที่เหลือย่างพอสุกเอาไว้ไปแกงกินเย็นนี้ดีกว่า”พรานเบพูดพลางเรียงไม้คีบไก่ทีละไม้ โดยให้พาดไว้กับคานไม้ที่ใช้แขวนหม้อสนามที่ตอนนี้น้ำในหม้อข้าวเริ่มเดือด

“อ่าว...มาถึงแล้วหรือพี่สิงห์ ได้อะไรมาบ้าง” เคิ้งร้องถามขณะที่เดินแบกไม้ไผ่ลำใหญ่ คู่มากับพุ่ม พร้อมๆกับเจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบองที่วิ่งเหยาะๆนำหน้ามา

“สักพักแล้ว ได้ไก่ป่ามาสี่ตัว นกกระทาดงอีกสาม” สิงห์ร้องตอบ

“ไปถึงไหนมาล่ะ เอ็งสามคน” พรานเฒ่าร้องถาม

“ก็ไม่ได้ไกลเท่าไหร่หรอกพ่อ ที่ช้าผมกับไอ้พุ่มไปเจอเห็ดโคน เลยช่วยกันแคะกันเพลินไปหน่อย” พูดจบเจ้าเคิ้งก็บุ้ยปากไปที่เพื่อนเกลอของสิงห์ที่เดินเคี้ยวหมายอยู่หยับๆ

“เจอช้าไปหน่อย ถ้ามาถึงแต่เช้าคงได้กินดอกตูมๆ เสียดายบานเกือบหมดแล้ว” เหน๋อพูดอู้อี๊อยู่ในลำคอเพราะหมากยังเต็มปากอยู่ พูดจบก็ถอดผ้าขาวม้าที่ทำเป็นถุงผ้าสะพายไหล่ซึ่งภายในมีเห็ดโคนทั้งตูบและบานอยู่หอบใหญ่ สิงห์เห็นเข้าก็รีบเดินเข้าไปดู

“ดีจริงๆ มาเที่ยวป่าครั้งนี้ไม่ผิดหวังเลย”  สิงห์พูดตาเป็นประกาย

“เอาไปทำหมกดีกว่าบานๆแบบนี้”  พุ่มเสนอเมนู

“เข้าท่าดีเหมือนกัน ไอ้เหน๋อเอ็งเอาเห็ดโคนไปล้างก่อน เดี๋ยวข้าทำให้กินเอง” พรานชราสั่งงาน พูดจบแกก็หยิบหน่อไม้รวกในย่าม ที่สองกะเหรี่ยงหนุ่มหักเก็บไว้ โยนเข้าไปในกองไฟ

    หลังจากได้กระบอกไม้ไผ่ลำใหญ่ขนาดลำขา ซึ่งเปรียบเสมือนหม้อต้มน้ำอย่างดี อีกลำซึ่งอยู่ส่วนโคนสุดอันเป็นส่วนที่เป็นลักษณะแข็ง เจ้าเคิ้งก็ทำการตัดแต่ง โดยตัดสูงกว่าระดับข้อไผ่นั้นขึ้นมาประมาณคืบ เท่านี้ก็ได้ครกแล้ว เสร็จจากทำครกธรรมชาติ เจ้าเคิ้งก็เดินไปตัดต้นไม้ ขนาดข้อมือ พอได้แล้วก็นำมาเหลาทำเป็นสาก สำหรับใช้ตำ จากนั้นตัวเองก็เดินถือกระบอกไม้ไผ่ ที่เตรียมไว้ทำหม้อต้ม นำไปตักน้ำในลำห้วยแล้วขึ้นตั้งไฟ โดยเอาส่วนปลายกระบอกนั้นพากอิงกับคานที่ใช้แขวนหม้อสนาม ซึ่งตอนนี้ถูกปลดลงมาวางข้างๆถ่านแดงๆ ที่ถูกพรากออกมาจากกองไฟนั้น ส่วนตาพรานเฒ่าหลังจากล้วงพริกแห้งออกจากกระสอบถุงปุ๋ยที่แกโงมาได้กำมือ แกก็เอาไปตำกับครกไม้ไผ่หยาบๆ พอพริกแห้งเริ่มแหลก แกก็ใส่หัวหอมแดง กระเทียมอย่างละหัวสองหัว และข่าตะไคร้ที่พรานพรนั่งซอยให้อยู่ จากนั้นก็นั่งตำต่อไปจนเครื่องแกงเริ่มผสมเข้ากันพอหยาบๆ สุดท้ายพรานโส่ยก็ตักกะปิมอญและเกลือป่นเติมลงไปอีกเล็กน้อย เครื่องแกงเสร็จพร้อมๆกับน้ำในกระบอกไม้ไผ่กำลังเดือดพล่าน พอน้ำเดือดได้ที่พ่อครัวชราก็ตักพริกแกงใส่ลงไปจนน้ำที่เดือดแดงคลัก สงกลิ่นหอมไปทั่วจนสิงห์ที่ยืนดูอยู่ตลอด อดที่จะแอบกลืนน้ำลายไม่ได้ พอน้ำแกงเดือดสักพักพรานโส่ยก็เทเครื่องในไก่ป่าและเครื่องในของนกกระทาดง พร้อมๆกับเนื้อนกกระทาดงที่ถูกสับไว้แล้วลงไปในน้ำแกงที่กำลังเดือดนั้น จากนั้นก็ร้องเร่งให้เจ้าพุ่มที่กำลังเด็ดยอดพักกูดเป็นท่อนๆ เพื่อเติมใส่ลงไปในแกงของแก หลังจากเติมเกลือป่นลงไปอีกนิดหน่อยหลังจากพ่อครัวชราชิมได้สักพัก พรานโส่ย ที่ตอนนี้เปลี่ยนอาชีพมาเป็นพ่อครัวหัวป่า ก็ยกกระบอกหรือจะเรียกว่าหม้อแกงของแก ก็ไม่ผิด โดยไม่ต้องกลัวว่าจะร้อน เพราะพรานโส่ยใช้ใบตองพับทบๆกันหลายชั้น เอามารองมือเหี่ยวๆของแก แทนผ้ากันความร้อนอย่างดี เสร็จแล้วก็เอาไปวางอิงไว้กับก้อนหินที่ใช้ค้ำเสาไม้ง่ามข้างกองไฟ หลามผักกูดใส่นกกระทาฝีมือของพรานโส่ยก็เป็นอันเสร็จสิ้น พอเสร็จจากเมนูแรกแกก็เดินไปตัดใบตองอ่อนๆมาสองสามก้าน พอได้แล้วแกก็เอาไปอังกับกองไฟ จนใบตองเริ่มเหี่ยว จากนั้นก็เอามาปูแบกับพื้น เสร็จแล้วก็นำเห็นโคนที่เหน๋อล้างแล้วมาคลุกเคล้ากับเกลือป่นอีกนิดหน่อย จากนั้นก็นำมาห่อด้วยใบตองใช้ไม้คีบขึ้นปิ้งไฟอ่อนๆ

    หมกเห็ดโคน สุกส่งกลิ่นหอมน่ากิน พร้อมๆกับไก่ป่าย่างเกลืออีกสองไม้ที่สุกเหลืองเกรียมน้ำมันหยดใส่กองไฟอ่อนๆดังฉ่าๆส่งควันคลุ้ง ส่วนไก่ย่างพอสุกแบบลวกๆอีกสองไม้ พรานเบเอาไปขัดไว้กับง่ามไม้สูงก่อนหน้านานแล้ว เพื่อกันเจ้าพะเปรียวกับเจ้าพะบองขโมยกินเสียก่อน

“เอ๊า..มากินข้าวกัน” พรานชราร้องบอกขณะเทหลามผักกูดใส่ลงไปในรางไม้ไผ่แทนชาม เสร็จแล้วก็ค่อยๆประคอง ไปวางไว้บนผ้าใบ ที่ถูกกางไว้ใต้ร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ส่วนไก่ย่างพรานเบเอาใบตองมารองกันเปื้อนอีกชั้น นอกจากหลามผักกูดใส่นกกระทา และไก่ย่างเกลืออีกสองไม้แล้ว กลางผ้าใบนั้นยังมีหมกเห็ดโคนอีกห่อใหญ่ๆ เท่านั้นยังไม่พอ พรานพรก็เอาน้ำพริกเผาที่พรานเบตำใส่กระปุกไว้ เอามาผสมกับน้ำมะขามเปียก ใส่ฝาหม้อสนาม แทนถ้วยน้ำพริกอีกเกือบครึ่งฝา แถมยังมียอดผักกูดสด กับหน่อรวกเผาทั้งเปลือกอีกหลายหน่อกลิ่นของมันหอมเหมือนข้าวโพดปิ้ง อาหารป่ามื้อแรกของการเดินทางก็เสร็จสิ้น ก่อนที่จะร่วมวงกันกินข้าว พรานโส่ยก็ตักกับข้าวต่างๆอย่างละนิดอย่างละหน่อย พร้อมข้าวสวยร้อนๆอีกสองสามช้อน ใส่บนใบตอง เสร็จแล้วแกก็ค่อยๆประคองเอาไปวางไว้ตรงโคนไม้ใหญ่อีกต้นหนึ่ง ที่อยู่ห่างจากวงข้าวไปเล็กน้อย จากนั้นแกก็นั่งยองๆพนมมือไหว้ ทำปากขมุมขมิบ จากนั้นก็ก้มลงกราบพื้นอีกสามครั้ง

“มาเที่ยวป่าก็ต้องบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางท่านบ้าง มีเหล้าหรือกับข้าวเราก็แบ่งเขาบ้าง ท่านจะได้ช่วยคุ้มครองเรา” พรานเฒ่าหันมาพูดเมื่อเห็นสิงห์ยืนมองดูแกอยู่เงียบๆ

“ดีแล้วลุงโส่ย ผมเห็นแล้วก็สบายใจดีขึ้นมาอีก ว่าแต่...” สิงห์หยุดพูดพรางทำท่าจะหัวเราะแล้วพูดต่อไปอีกว่า

“เจ้าที่เจ้าทางที่ลุงว่า คงไม่ใช่ไอ้สองตัวนั้นนะ” สิงห์ชี้มือไปให้พรานเฒ่าหันไปดู ก่อนจะหัวเราะออกมา เพราะเจ้าที่เจ้าทางที่แกเพิ่งจะถวายอาหารให้ไป ไม่ทราบว่าท่านกินอิ่มแล้ว หรือว่าอาหารไม่ถูกปากท่าน ไม่มีใครทราบได้ เพราะตอนนี้หมาเจ้ากรรมสองตัวพากันวิ่งกรูเข้าไปกินอาหาร ยังตำแหน่งที่แกนำอาหารมาถวาย

“ไอ้ฉิ บหาย กูแค่หันหลังให้แป๊บเดียว เผลอเป็นไม่ได้เลยนะพวกมึ ง ล่อของเจ้าที่เสียแล้ว” พรานเฒ่าตวาดด่าลั่น ก่อนจะคว้าท่อนไม้ปาใส่หมาสองตัวจนแตกกระเจิง วิ่งหางจุกตูดไปคนละทิศคนละทาง

“อย่าไปทำมันเลย เจ้าป่าท่านคงจะอิ่มแล้วแหละลุง” สิงห์พูดแก้เขิน ขณะตักข้าวในหม้อสนามใส่จานสังกะสี ส่งให้บรรดาพรานพื้นเมือง ที่นั่งรายล้อมกันอยู่เป็นวง

“มาเที่ยวป่าช่วงนี้ดีหน่อย กับข้าวกับปลาหากินง่ายไม่ต้องกลัวอด” พรานพรพูดจบก็ม้วนยอดผักกูดจิ้มน้ำพริกใส่ปาก

“ขนาดมาไม่ลึกมาก ยังมีไก่มีนกให้กินกันแล้ว แถมยังได้กินเห็ดโคนอีก” เหน๋อพูดขณะนั่งเคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ย

“ใครจะไปคิดว่าอยู่ในป่า จะได้กินอาหารดีๆกว่าอยู่ที่บ้านเสียอีก” พูดจบสิงห์ก็ฉีกปีกไก่ป่าย่างเกลือมาแทะอย่างเอร็ดอร่อย อาจจะด้วยความหิวกับความเหนื่อยของทุกคน บวกกับอาหารแต่ละอย่างล้วนแล้วแต่น่ากินทั้งสิ้น อาหารมื้อนี้จึงเป็นอาหารที่วิเศษที่สุด จนคนทั้งแปดนั่งเปิบกันจนลืมอิ่ม

    หลังจากอาหารมื้อเที่ยงที่มากินเอาตอนเกือบบ่ายโมงเสร็จสิ้นลง ทำให้พละกำลังของทุกคนกลับคืนมา ทำให้มีเรี่ยวมีแรงอีกครั้ง สิงห์เก็บเศษอาหารที่กินเหลือ มาแบ่งเทให้เจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบอง ที่วิ่งกระดิกหางล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ ส่วนพุ่มกับเคิ้งช่วยกันนำหม้อสนามและจานลงไปล้างที่ริมห้วย ที่ตอนนี้ฝูงปลาเล็กปลาน้อยพากันมารุมตอดกินเศษอาหารดูวุ่นวายเต็มไปหมด เสียงจักจั่น เรไร กรีดปีก ส่งเสียงระงมป่าในยามบ่าย ผสมกับเสียงใบไม้ไหวเมื่อยามต้องลม ที่ตอนนี้พัดโกรกตลอดเวลา ทำให้บรรยากาศตอนนี้น่านอนพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง เหล่าพรานหลายคนพากันนั่งพักผ่อนตามหมู่หินที่ตั้งอยู่ริมลำห้วย บ้างก็นั่งสูบยาเส้น บ้างก็วักน้ำในลำห้วยขึ้นล้างหน้าล้างตา

“ที่จริงผมว่า แถวนี้มันก็น่าพักนอนสักคืน ผักหญ้าก็เยอะดี แถมปลาในห้วยก็ชุม” สิงห์หันไปถามพรานเบ

“เรายังมีเวลาอีกมากสิงห์ ข้าว่าเราไปพักกันที่ช่องผาแคบดีกว่า ปลาชุมกว่านี้เยอะ”  พรานเบตอบ

“พี่ว่าเราไปพักกันที่โน่นดีกว่าสิงห์ อยู่ตรงนี้ก็ไม่มีอะไรหรอก” พรานพรร้องบอกมาอีกคน

“นี่ ก็บ่ายโมงกว่าแล้ว ผมว่าเราเดินทางกันต่อดีกว่า”สิงห์พูดหลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู หลังจากช่วยจัดเก็บข้าวของ และเสบียงต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะทยอยเดินทาง พรานโส่ยที่เดินอยู่ท้ายขบวนก็ตรวจดูกองไฟอีกครั้ง ว่าดับสนิทดีแล้วหรือยัง เมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นปกติดีแล้ว คณะเดินทาง ก็มุ่งหน้าเข้าช่องผาแคบ อันเป็นจุดหมายต่อไป....

*******จบบทที่ 3 เนื้อเรื่องจะดำเนินต่อไปอย่างไร โปรดติดตามหาความบันเทิงต่อ ในบทที่ 4 เร็วๆนี้*******

ผิดพลาดประการได้ ผมนายหนุ่ม ธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ



« Last Edit: 21 April 2021, 22:15:44 by p_san@ » Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.085 seconds with 17 queries.