Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
11 May 2024, 03:51:51

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,661 Posts in 12,477 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 1 โดย หนุ่มธุดงค์ไพร
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 1 โดย หนุ่มธุดงค์ไพร  (Read 315 times)
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« on: 21 April 2021, 21:19:15 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 1 โดย หนุ่มธุดงค์ไพร


นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 1 ตอนที่ 1
หนุ่มธุดงค์ไพร


บทที่ 1.

ตอนที่ 1
                    ปลายเดือน ตุลาคม ลมหนาวพัดผ่านมาวูบแรก หลังจากพื้นดินและผืนป่าชุ่มฝนมานานหลายเดือน ป่าเวลานี้ดูเขียวครึ้มไปทั้งผืนป่า และภูเขาที่สูงทะมึนดูน่ากลัว ลึกลับ สลับกันไปมาสูงๆต่ำๆ ตามแบบภูมิประเทศของป่าตะวันตก ไม้ใหญ่หลายต้นยืนเบียดเสียด ยื้อแย่งเพื่อชูช่อยอดใบรับแสงอาทิตย์ ส่วนเบื้องล่างไม้เล็กไม้น้อยต่างก็พยายามแทรกใบยอดหาช่องที่แสงอาทิตย์ ลอดผ่านจากยอดไม้สูงอันน้อยนิด เพื่อการเจริญเติบโตเป็นไม้ใหญ่ต่อไป  พืชที่ได้เปรียบที่สุดคงจะเป็นพืชจำพวกเถาวัลย์ ที่มันสามารถพันตัวเองให้ไปตามลำต้นของไม้ใหญ่ได้

    ริมลำห้วยสายหนึ่งซึ่งอยู่ระหว่างหุบเขาสองลูก มีน้ำใสไหลเย็นตลอดทั้งปี สองริมห้วยนั้นเต็มไปด้วยไม้ล้มลุก ไม่ว่าจะเป็น กล้วยป่า กูด ชะพลู และบอนป่าซึ่งขึ้นอยู่เป็นดง บางต้นสูงแค่เอว และบางต้นก็ใหญ่โตขนาดคนเข้าไปยืนหลบแดดหลบฝนได้อย่างสบาย ถัดออกไปก็มีต้นยางนาที่ลำต้นสูงตรง ซึ่งลำต้นของมันดูขาวนวลสวยงามกว่าไม้อื่นๆ เสียงน้ำไหลกระทบแก่งหินดังจุ๋งจิ๋ง สลับกับเสียงปลาขึ้นฮุบบนผิวน้ำที่อุดมไปด้วยฝูงปลานานาชนิดทั้งปลาเวียน ปลากั้ง ปลาสร้อย นอกจากปลาก็ยังมีสัตว์น้ำอื่นๆ  พวก ปูหิน หรือปูห้วย กุ้งนาง และหอยขม

    สิงห์ ชายหนุ่มผมยาวร่างเล็ก สูงประมาณ 170 เซนติเมตร เดินลุยลำห้วยมาตามลำพัง บนหลังของเขามีเป้ใบใหญ่สีเขียวขี้ม้าใบเก่าคร่ำคร่า  ที่ไหล่ข้างซ้ายสะพายปืนยาวขนาด .22 ยี่ห้อ ซีแซด ที่เอวมีมีดเหน็บยาวประมาณ 1 ฟุต เขาเดินลัดเลาะ ไปตามลำห้วยสายนั้นมากว่า 2 ชั่วโมงแล้ว จนมาถึงด่านทางเกวียนเก่าๆ ที่สองข้างทางมีต้นสาบเสือขึ้นอยู่เป็นดง เขายังคงเดินเรื่อยไปจนมาถึงเนินช่วงหนึ่ง ซึ่งทางสายนี้ตัดผ่านเข้าสู่หมู่บ้านเล็กๆอยู่กลุ่มหนึ่ง ที่มีบ้านอยู่ไม่กี่หลังคาเรือน หลังจากเดินอีกกว่าชั่วโมง ก็มาถึงกระท่อมหลังแรกที่สร้างอยู่ริมลำห้วย ซึ่งมันก็เป็นสายเดียวกันกับที่เขาเพิ่งจะเดินผ่านมา
   
    กระท่อมยกพื้นสูงประมาณ 1 เมตร ตัวบ้านทำจากไม้ไผ่สับแผ่ ที่เรียกว่า ฟาก ไม่ว่าจะเป็นพื้นและฝาบ้าน ก็ทำมาจากฟากไม้ไผ่ คงมีแต่เสาบ้านที่ทำมาจากไม้แดงอย่างดี ส่วนหลังคาทำจากใบพลวง และกระท่อมหลังอื่นๆที่ปลูกเรียงรายห่างๆกันออกไป อีกไม่กี่หลังก็คงจะเป็นแบบเดียวกันหมด

“สวัสดีครับลุงโส่ย” สิงห์ยกมือไหว้พร้อมกล่าวคำทักทายกะเหรี่ยงโพวัยหกสิบกว่าๆยื่นหน้าโผล่มาจากหน้าต่าง

“นั่นไอ้สิงห์หรอกเหรอะ มาๆ เป็นยังไงมายังไง คิดว่าปีนี้จะไม่มาหาเสียแล้ว” พูดจบแกก็ลงมาไล่เตะหมาผอมๆสองสามตัวที่พากันเห่าสิงห์จนซี่โครงบาน

“ไม่มาได้ยังไงลุง แหม...ช่วงนี้ผมงานเยอะไปหน่อย เวลาเลยไม่ลงตัว แล้วลุงสบายดีหรือเปล่าครับ” เขาพูดจบก็ยกน้ำจากขันมาดื่มอย่างกระหาย

“เออๆ ก็สบายดีตามประสาชาวป่าชาวดง แล้วเอ็งมายังไงล่ะ มาคนเดียวรึ?” ลุงโส่ย ถามด้วยความสงสัย

“ผมเอารถมาครับลุง แต่ผมจอดไว้ที่ปากทางเข้าโน่น บ้านแม่ไอ้เหน๋อนั้นแหละ เดี๋ยวไอ้เหน๋อมันก็ตามมาพรุ่งนี้เช้า ที่แรกผมก็จะออกมาพร้อมมัน แต่ผมใจร้อนกลัวพวกลุงจะไม่อยู่บ้านกัน เลยรีบเดินมาก่อน คืนนี้กะว่าจะเข้าไปนอนบ้านน้าเบ พรุ่งนี้เช้าไอ้เหน๋อมันจะตามพี่พรมาอีกคน ไม่รู้ว่าจะได้เรื่องหรือเปล่า พูดถึงน้าเบ หวังว่าคงจะไม่ได้ไปไหนนะลุง” สิงห์บอกด้วยความกังวล เพราะกลัวจะพลาดกับพรานที่เขาไม่ได้นัดหมาย ไว้ก่อน

“ไอ้เบมันก็อยู่บ้านนั่นล่ะ เมื่อวานมันก็มาหาข้า ยังนั่งคุยถึงเอ็งอยู่เลยไอ้สิงห์ ดีเหมือนกันโว้ย พูดถึงเอ็งก็มา ตายอยากจริงๆ” พูดจบแกก็บ้วนน้ำหมากลงพื้น ดังปรี๊ด

“เยี่ยมเลยลุง คิดว่าจะพลาดกันเสียแล้ว งั้นถ้าลุงไม่ได้ไปไหนเดี๋ยวเย็นนี้เราไปนอน ที่บ้านน้าเบกันดีกว่า ผมมีเรื่องคุยกับพวกเราเยอะเลยลุง พอดีผมพกยาแก้เหงามาด้วย 3 กลม” พูดจบสิงห์ก็งัดเหล้าแดงออกมาโชว์ ลุงโส่ยเห็นเข้าถึงกับเปรี้ยวปากขึ้นมาทันที

“บ๊ะ! ดีจริงโว้ย อยู่แต่ในดงไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย ไม่ได้กินเหล้าแดงแบบนี้มาหลายเดือนแล้ว ข้าล่อแต่เหล้าป่า เอ็งนี่มันรู้ใจข้าจริงๆวะ  ไอ้สิงห์” เหล้าแดงที่แกว่าคือแสงโสมที่สิงห์พกมาอวด ไม่พูดเปล่าแกก็เอื้อมมือจะมาหยิบเหล้าในเป้ไปกินเสียให้ได้ จนสิงห์ต้องบอกใจเย็นๆ

“แหม...ใจเย็นๆลุง เอาไว้ให้พร้อมหน้าพร้อมตา เราค่อยมาฉลองกันดีหรือเปล่า แต่เห็นแก่ลุงนะ เอาแบนนี้ไปล้างคอก่อนก็แล้วกัน เสียดายไม่มีกับแกล้มดีๆ” พูดจบเขาก็ควักเหล้าในเป้ที่มีเหลืออยู่เกือบครึ่งแบน ที่สิงห์เองก็เดินจิบมาเรื่อย ในตอนที่เขาเดินทางมา ส่งให้แกเป็นกำลังใจ

“ปุดโถ...แล้วไม่บอกว่ามี 3 กลมกะอีกครึ่งแบน เดี๋ยวข้าไปหาอะไรมาแกล้มเหล้าก่อน” แกลุกขึ้นเดินไปในครัว สักพักก็ได้ยินเสียงกลุกๆกลักๆ แว่วมา อึดใจลุงโส่ยก็ถือจานสังกะสีมาสองใบ ในจานมี เขียดทอด กับแกงอีเห็น ซึ่งมีอยู่เกือบครึ่งจาน โดยเฉพาะเขียดทอดมีเกือบเต็มจาน

“ไอ้พุ่มมันไปได้อีเห็นมาจากท้ายไร่ตรงตีนเขาโน่น ส่วนเขียดไอ้เคิ้งมันไปส่องมาเมื่อคืนก่อนตรงทุ่งนาติดๆกับห้วยนั้น” ลุงโส่ย ชี้มือบอก ที่มาของอาหารจานเด็ด ทั้งสองจาน

“เออ...ลุงแล้วไอ้เคิ้ง กับไอ้พุ่ม มันไปไหนเสียหล่ะ ตั้งแต่มายังไม่เห็นมันสองคนเลย” สิงห์ถามถึง เคิ้ง ลูกชายลุงโส่ย ส่วนพุ่มเป็นเพื่อนของเจ้าเคิ้งอีกคน

“ไอ้เคิ้งมันเอาควายไปเลี้ยงที่ทุ่งนา ฝั่งที่มีต้นยางเด่นๆอยู่โน่น ส่วนไอ้พุ่มข้าเห็นสะพายปืนแก๊ปไปตั้งแต่เช้าแล้ว เห็นมันห่อข้าวไปด้วยสงสัยจะกลับมาเย็นๆ ไอ้นี่มันว่างเป็นไม่ได้ ชอบไปหายิงอะไรมาอยู่เรื่อย กับข้าวกับปลาไม่มีขาด” พูดจบแกก็บรรจงยกจอกเหล้าที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่ อย่างถนอมเหมือนกลัวว่ามันจะหก พอจ่อปากได้ก็ยกลงคออึกเดียวหมด

“เบาๆลุง เดี๋ยวก็ได้เมาตกบ้าน ไม่ได้ไปเที่ยวป่าหล่ะยุ่งเลย” สิงห์พูดหยอกชายชราอย่างขำๆ เพราะรู้ดีว่าต่อให้หมดเป็นขวดแกก็คงยังเฉย หรือไม่ก็เมาพับอยู่ตรงนี้
ชายหนุ่มกับกะเหรี่ยงดงเพื่อนแท้ต่างวัย นั่งพูดคุยเรื่องราวต่างๆมากมายด้วยความคิดถึง ที่มีให้กันมานาน ลุงโส่ยเองก็รู้ดีว่าสิงห์มาหาเพราะเรื่องอะไร มีอยู่เรื่องเดียวถ้าสิงห์มาก็หนีไม่พ้นเข้าป่า สิงห์ได้รู้จักกับลุงโส่ย โดยการแนะนำจาก เหน๋อ ซึ่งเป็นเพื่อนรักกันมาก เหน๋อเองก็เป็นคนบ้านป่าบ้านดงมาตั้งแต่เด็กๆแถมยังพูดภาษากะเหรี่ยงได้อย่างชัดเจน ครั้งแรกที่ได้มาเที่ยวป่าแถบนี้ก็ช่วงสมัยที่สิงห์และเหน๋อยังเรียนอยู่ เหน๋อน่าจะเป็นคนที่โชคดีคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสออกไปเรียนในตัวเมือง คงเป็นเพราะทางบ้านพอจะมีเงินส่งให้เรียน เพราะทำร้านขายของเล็กๆในหมู่บ้าน พูดง่ายๆว่าเหน๋อเกิดมาก็อยู่ใกล้ป่า โตมากับป่า ส่วนสิงห์ชอบการผจญภัยมาเป็นทุนอยู่แล้ว ตอนสิงห์ยังเด็กๆก็ชอบหายิงนกตกปลา ไปตามเรื่อง สองคนนี้เลยเป็นเพื่อนรักกันอย่างช่วยไม่ได้ เพราะชอบอะไรที่คล้ายๆกัน ถึงแม้จะห่างๆกันมาพอสมควรในระยะหลังๆเมื่อต่างคนต่างเรียนจบหางานหาการทำ และจากการงานของแต่ละคน ที่แตกต่างกันออกไป แต่ครั้งเมื่อมีโอกาส และเวลา สิงห์ก็ไม่เคยปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างไม่มีความหมาย ถ้าว่างเป็นต้องนัดกันเที่ยวป่าเข้าดงทุกที จะนอนกลางดินกินกลางป่า บางครั้งน้ำท่าไม่ได้อาบสามวันก็มี ลำบากลำบนแค่ไหน  ไม่ได้ทำให้สิงห์เบื่อเรื่องการเที่ยวป่าผืนนี้ไปได้เลย  ไม่ว่าจะมาเที่ยวในช่วง ฝน ร้อน หนาว ป่าในแต่ละฤดูกาล จะแตกต่างกันออกไป มาเที่ยวครั้งใด ต้องมีอะไรให้สิงห์ต้องตื่นเต้นทุกครั้ง

    สำหรับพรานเบ เป็นอีกคนหนึ่งที่สิงห์นับถือพรานคนนี้มาก คงเป็นเพราะมีความจริงใจต่อกัน ไม่เคยหลอกลวง หรือทำให้ผิดหวังเลย สิงห์เองก็นับถือเป็นญาติผู้ใหญ่อีกคนอย่างจริงใจ พรานเบเป็นคนชอบความอิสรเสรี เป็นคนไม่ดิ้นรน แกทำไร่ทำนาไปตามเรื่อง หมดจากฤดูทำไร่ทำนา ก็เข้าป่าหาของป่ามาขายบ้าง ลูกเมียก็ไม่มี จนแกอายุปาเข้าไปสี่สิบกว่าแล้ว อาจจะเป็นเพราะแกชอบความอิสระ  และความสันโดษ  ขนาดกระท่อมของแกยังทำเสียลึก เข้าไปในดง มีธุระอะไรกับแกก็ต้องเดินไปหาจนหน้ามืด ดีไม่ดีเข้าป่าเข้าดงไม่เจอแกอีกก็เสียเที่ยว เดินเหนื่อยฟรี ส่วนเรื่องการเป็นพรานหมดปัญหาไปเลยเรื่องฝีมือ เพราะขึ้นชื่อว่า พรานป่า ไม่ว่าจะการดำรงชีวิตในป่า การหุงหาอาหาร และที่สำคัญแกยิงปืนแม่นมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่สิงห์ได้มีโอกาส ไปเที่ยวป่ากับพรานเบ ปืนสักนัดแกก็ไม่ได้ยิง แต่แกเดินกลับมาพร้อมอ้นตัวอ้วน หรือแม้แต่นกกระทาดงเป็นพวง

    ส่วนพรานพร เป็นอีกคนหนึ่งที่สิงห์นับถือ และเป็นอีกคนหนึ่งที่สำคัญ เพราะพรานพรเป็นคนพูดเก่งไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย และภาษากะเหรี่ยง บางครั้งสิงห์เองก็ต้องพึ่งพาอาศัยพรานพร ช่วยแปลความหมายต่างๆเวลาจะสื่อสารกับกะเหรี่ยงคนอื่น พูดง่ายๆแกพูดภาษาไทยได้ดีกว่าคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นลุงโส่ย พรานเบ ก็พอพูดภาษาไทยได้บ้างถึงจะไม่ชัดต้องถามตอบกันหลายครั้ง แต่ก็ส่งภาษากันรู้เรื่อง พรานพรอายุก็น่าจะรุ่นน้องพรานเบไม่มาก

    เคิ้งและพุ่ม เด็กกะเหรี่ยงขนานแท้ แต่พอจะพูดภาษาไทยได้บ้าง เคิ้งเป็นเด็กขยัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เรียนหนังสือมากนักแต่ก็เป็นเด็กดี เด็กอายุเพิ่งจะสิบสี่ แต่เรื่องการงาน ถึงจะหนักหนาขนาดไหนไม่เคยท้อ ส่วนพุ่มโตขึ้นมาหน่อยน่าจะประมาณสิบห้าถึงสิบหก เป็นกะเหรี่ยงโพ เดินทางข้ามป่าข้ามเขามาจากพม่า เพราะทนอยู่ทางโน้นไม่ได้ อยู่ไปคงได้เกณฑ์เป็นทหารกะเหรี่ยงกู้ชาติ เลยติดสอยห้อยตามพ่อแม่มาอยู่ป่าตะวันตกแถบนี้ เด็กทั้งสองคนนี้ สิงห์ก็รักเหมือนเป็นน้องแท้ๆ ครั้งแรกที่รู้จัก ตอนไปเที่ยวป่าเมื่อหลายปีก่อน โดยเหน๋อให้มาเป็นลูกหาบแบกของให้กับพวกของสิงห์ ซึ่งครั้งแรก สิงห์ก็ไม่นึกจะไว้ใจนัก ยังคิดว่าจะแบกกันไหวหรือ แต่ที่ไหนได้ เด็กสองคนแบกของกันเดินตัวปลิว ขนาดสิงห์มีแค่เป้บนหลังหนึ่งใบยังเดินไม่ทัน แถมรองเท้าดีๆก็ยังสู้เท้าเปล่าของเด็กกะเหรี่ยงไม่ได้เลย
แสงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าไปแล้ว ท้องฟ้าที่เคยสว่างมองเห็นต้นไม้ใหญ่ต่างๆ นานาพันธุ์ กลับขมุกขมัว ดูมืดมิดน่ากลัวเข้าไปอีก หมู่นกกาพากันบินกลับรัง ส่งเสียงเซ็งแซ่ บ่นยอดไม้ใหญ่ ห่างออกไป เสียงไก่ป่าขันเจื้อยแจ้ว  อยู่ที่ใดสักแห่งในหุบเขา ขับขันกันสลับไปมาอยู่หลายฝูง คงจะเตรียมขึ้นขอนนอนประจำของมัน  อากาศตอนนี้เริ่มเย็นยะเยือกมากขึ้น ทั้งที่ยังไม่มืดเลย สิงห์ดูนาฬิกาเวลาตอนนี้แค่ห้าโมงยี่สิบห้านาที หลังจากพูดคุยและกินข้าวกินปลาเมื่อตอนที่มาถึง

“แกงอีเห็น ของลุงนี่ยังเด็ดเหมือนเดิมนะ” สิงห์เอ่ยปากชมแกงอีเห็นที่กินไปเมื่อตอนบายสี่โมงเย็น

“เออ...เหล้าแดงของเอ็งก็รสดีไม่น้อย” แกพูดจบก็หยิบผ้าข้าวม้าที่สะพายไหล่มาเช็ดปาก เหมือนแกยังเปรี้ยวปากอยู่

“โน่นไง ไอ้เคิ้งเดินจูงควายกลับมาแล้ว ถ้ามันเห็นเอ็งมาคงจะดีใจ” พรานเฒ่ารู้ดีว่าถ้าสิงห์มาก็ไม่พลาดที่จะต้องเข้าป่า และรู้ว่าไอ้เคิ้งมันคงชอบเข้าป่า มากกว่าจูงควายไปเลี้ยงเป็นไหนๆ

“อ้าว...พี่สิงห์ มาตอนไหนนี่ มาถึงนานหรือยัง” เคิ้งออกอาการดีใจเมื่อได้เห็นสิงห์ หลังจากจูงควายไปไว้ในคอก ก็รีบขึ้นไปหาสิงห์บนกระท่อมทันที

“พี่มาถึงตั้งแต่บ่ายๆแล้ว นั่งล่อเหล้ากับเขียดทอดของเอ็งจนจะหมดจานแล้ว” สิงห์พูดทักทายเคิ้ง อย่างสนิทสนม

“มีอีกเยอะพี่สิงห์ เมื่อวันก่อนผมไปส่องมาได้เป็นถังเลย เขียดเยอะจัดปีนี้ จับกันเพลินเลยพี่ เดี๋ยวผมทอดให้กินอีกจาน” พูดจบ เคิ้งรีบรับอาสาทอดเขียดให้สิงห์อย่างเต็มใจ สักพักกลิ่นควันไฟก็ลอยมาจากในครัว

“ทอดแล้วใส่กระเทียมด้วยนะเคิ้ง รับรองเอร็ดกว่าเดิมอีก” สิงห์แนะนำให้ใส่กระเทียมลงไปด้วยขณะที่เคิ้งกำลังทอดเพื่อดับกลิ่นคาวของเขียด ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขียดทอดจานใหญ่ก็พร้อมเสริฟ

“แหม...ถ้าได้พริกไทยป่นล่ะเรี่ยม” ลุงโส่ยเสริมมาอีกหน่อย

“โถ...พ่อจะไปเอาจากไหนพริกไทยป่น แค่มีน้ำปลาก็ดีนักหนาแล้ว หรือจะลองพริกป่นดี” เคิ้งหมายถึงพริกกะเหรี่ยง เอาไปคั่ว แล้วก็ตำให้ป่น เอามาโรยแทนพริกไทยป่น สิงห์ได้ยินแบบนั้นเข้าก็ร้องลั่น

“พอเลยๆ เดี๋ยวได้น้ำหูน้ำตาไหล ไปไอ้เคิ้งไปหาถุงมาใส่เขียดทอด เดี๋ยวไปกินต่อที่บ้านน้าเบ เออเตรียมเสื้อผ้ากับของใช้ของเอ็งไปด้วย พรุ่งนี้ไปเที่ยวป่ากันโว้ย เดี๋ยวมืดค่ำแล้วจะลำบาก”

    ลุงโส่ยและลูกชายของแกคือเคิ้งจัดเตรียมของใช้จำเป็นต่างๆจนเรียบร้อย ไม่ว่าจะเป็นปืนแก๊ปกระบอกเก่าคนละกระบอก กระเป๋าใส่เสื้อผ้าที่ดูไม่เหมือนกระเป๋าเท่าไหร่นัก เพราะเอาถุงปุ๋ยมาเย็บทำกันเอง ข้างในก็มีเสื้อผ้าไม่กี่ชุด ไฟฉาย กับถุงข้าวสารอีกเกือบห้ากิโล แถมแกยังหิ้ว เหล้าป่ามาอีกสองแกลลอน ทั้งสามคนกำลังจะลงจากกระท่อม เคิ้งก็ร้องทักมา

“ไอ้พุ่มกลับมาพอดี นั่นได้ไก่ป่ามาด้วย” เคิ้งชี้ให้สิงห์ดู พุ่มที่เดินมุดลอดออกมาจากซุ้มกอไผ่หลังบ้าน

“ดีเลย มาถึงก็ดีแล้วไอ้พุ่ม ไปเตรียมของพรุ่งนี้ไปเข้าป่ากันดีกว่าได้มาหลายตัวด้วยเก่งนี่เรา” สิงห์ตะโกนบอกพุ่ม ที่กำลังเดินเข้ามาหา

“มันเปรียวครับเลยได้มาแค่สามตัว ไปได้มาแถวๆหุบตาสานโน่น มีอยู่หลายฝูง ถ้ามีลูกซองคงได้เยอะกว่านี้ แล้วพี่มาถึงนานยัง” พุ่มเล่าที่มาของไก่ป่าสามตัว กับคำถามแบบเดียวกับ เคิ้ง

“เออๆอย่ามัวถามเลยวะ ไอ้พุ่มเอ็งเอาไก่ไปให้พ่อกับแม่เอ็งเถอะ แล้วก็บอกเขาด้วยว่าไปเที่ยวป่ากับพี่ ถ้าว่างเอ็งก็ไป แต่ถ้าติดงานที่ไหนก็ไม่เป็นไรนะ พี่กำลังจะไปบ้านน้าเบ “สิงห์พูดพร้อมส่งไก่ป่าคืนกลับไปให้พุ่ม

“ว่างสิครับ วันๆผมก็ไม่ได้ทำอะไร ข้าวโพดก็ปลูกไปตั้งแต่ฝนลงหลายเดือนแล้ว นี่ผมก็หายิงนกยิงหนูไปวันๆ งั้นพี่รอผมก่อนนะ เดี๋ยวผมจะรีบเตรียมของก่อน” พูดจบพุ่มก็วิ่งกลับบ้านทันที แต่โยนไก่ป่าที่ยิงได้ให้เคิ้งรับไว้อีกหนึ่งตัว

    ดวงอาทิตย์ลับยอดเขาไปแล้ว เหลือเพียงแต่แสงสีส้มจับอยู่บนก้อนเมฆจางๆ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า ผีตากผ้าอ้อม  ควันไฟโพยพุ่งจากกระท่อมสามสี่หลัง  คงเป็นเวลาหุงหาอาหารตามประสาชาวป่า ที่ใต้ถุนกระท่อมหลังหนึ่งไก่บ้านสามตัวพากันบินขึ้นเกาะราวนอน คงมีแต่ไอ้โต้งจ่าฝูงยังคงโกงคอขันอยู่บนเสาคอกควาย ที่มีเจ้าของบ้านนอนเคี้ยวเอื้องอยู่ ถัดออกไปจากคอกควายก็จะเป็นลำห้วยซึ่งมีน้ำใสไหลเย็น บนผิวน้ำนั้นเริ่มมีละอองหมอกขึ้นจับอยู่จางๆ สิงห์ ชายหนุ่มจากในเมืองยังคงยืนทอดอารมณ์อยู่กับธรรมชาติที่ล้อมรอบตัวเขา บางครั้งก็สูดเอาอากาศเย็นสดชื่นเขาปอดลึกๆ เวลานี้สิงห์คิดว่าไม่เสียเที่ยวและโอกาสที่ได้มาผจญภัยอีกครั้ง ถึงตัวเขาเองก็ไม่มีทางรู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกสักกี่ครั้งในชีวิต หรือจะมีป่าให้เขาได้เที่ยวอีกหรือเปล่า

“วู้...พี่สิงห์ ไปกันได้แล้ว ไอ้พุ่มมันพร้อมแล้ว” เสียงเคิ้งป้องปากตะโกนเรียกสิงห์ที่มายืนอยู่ที่ปลายคันนาริมห้วย

“เอาๆ...ไม่ต้องรีบไอ้สิงห์ เดี๋ยวก็ได้ตกคันนา นั่นไงกูว่าแล้ว ฮาๆ” ลุงโส่ย ร้องบอกสิงห์ ที่เห็นสิงห์วิ่งมา แต่ก็ไม่ทันขาดคำของแก สิงห์ก็วิ่งเหยียบพลาดเอาขอบคันนาจนขาตกลงไปแช่โคลนอยู่ข้างหนึ่ง เล่นเอาพวกกะเหรี่ยงดงหัวเราะงอหายไปตามๆกัน


« Last Edit: 21 April 2021, 22:08:16 by p_san@ » Logged
p_san@
Global Moderator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,427


View Profile
« Reply #1 on: 21 April 2021, 21:23:50 »

นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 1 ตอนที่ 2


(ต่อจากบทที่ 1)

ตอนที่ 1.2
         
          บนเส้นทางเดินลางๆ ชายหนุ่มกับชายชราเดินคุยกันมาเรื่อยเปื่อย คงปล่อยให้สองกะเหรี่ยงน้อยเดินนำหน้าไปแบบไม่รีบร้อนนัก เส้นทางนี้ลัดเลาะไปตามตีนเขา ซึ่งฝั่งซ้ายมือจะติดกับภูเขาสูงทะมึน ที่เต็มไปด้วยต้นไผ่รวกที่ขี้นอยู่เป็นดง สูงขึ้นไปก็จะเป็นพวกต้นไผ่นวล และไม้ยืนต้นจำพวก ไม้แดง ประดู่ ที่ขึ้นปะปนกันไปในดงไผ่นั้น ส่วนฝั่งขวามือของถนนจะเป็นลำห้วยที่ทอดยาวมาจากป่าลึกเบื้องหน้า  เย็นย่ำลงไปทุกที หมู่นกกาพากันบินกลับรังกันหมดแล้ว หลังจากตลอดทั้งวันพวกมันพากันออกหากิน คงมีแต่เสียงร้องกู่ขับขานกันเป็นระยะๆ ตามดงไผ่และยอดไม้สูง ครั้งหนึ่งสิงห์ต้องสะดุ้งเมื่อมีนกชนิดหนึ่งบินออกมาจากพุ่มสาบเสือเบื้องหน้า พอหันไปดูก็รู้ว่าเป็นนกกระปูด มันคงกำลังจะขึ้นรังนอน นอกจากนกกระปูดตัวนั้นแล้ว บนถนนยังมีนกตบยุงนอนหมอบนิ่งอยู่ มันคงเตรียมออกหากินแมลงตอนกลางคืน พอเคิ้งซึ่งเดินอยู่หน้าสุด เดินเข้าไปใกล้ มันก็ร้องจู๊งๆ แล้วบินหนีไปหมอบอยู่ข้างหน้า  พอพวกของสิงห์เดินไปใกล้มันก็บินหนีอยู่บนถนนลูกรังอย่างนั้นเรื่อยไป บ่อยครั้งเข้ามันคงนึกรำคาญ จึงบินหลบเข้าป่าทึบเบื้องหน้าไปเสีย

          สิงห์และกลุ่มกะเหรี่ยงดงยังคงเดินไปตามเส้นทางนั้น พอตัดขึ้นเนินที่อยู่เบื้องหน้า สภาพพื้นที่เริ่มจะเดินสะดวกขึ้นกว่าเก่า คงเป็นเพราะ พรานเบที่แก ลงแรงถากถางไว้เสียอย่างดี นอกจากจะถากถางไว้แล้ว บนเนินเขาเตี้ยๆนั้นยังมีต้นข้าวโพดขึ้นอยู่เป็นระเบียบเรียบร้อย ลำต้นของมันดูอวบใหญ่เพราะสภาพความสมบรูณ์ของดิน ที่พวกมันอาศัยหล่อเลี้ยงชีวิตเพื่อรอวันผลิดอกออกฝักอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เลยจากดงข้าวโพดที่ขึ้นอยู่บนเนินนั้นแล้ว พวกของสิงห์ก็เดินตัดออกทางขวามือ ซึ่งมีถนนสายเล็กๆตัดลงไปตามเนินลาดชัน ที่ทอดลงไปถึงลานดินกว้างขวางเบื้องล่าง ที่ลานดินนั้นเองกระท่อมยกพื้นสูงแบบกะเหรี่ยงแท้ ดูโดดเด่นใหญ่โตกว้างขวางอยู่บนที่แห่งนั้น เพราะมีเสาบ้านถึงสิบหกต้น พรานเบพรานกะเหรี่ยงวัยสี่สิบกว่า กำลังสุมไฟกองใหญ่ไว้หน้าบ้าน เมื่อพวกของสิงห์เดินเข้าไปใกล้ หมาของแกที่ดูปราดเปรียวก็วิ่งกรูออกมาเห่ากันลั่น จึงทำให้พรานเบหันมามอง

“น้าเบ สวัสดีครับ” สิงห์ยกมือไหว้พร้อมส่งยิ้มให้

“หวัดดีๆ มาตั้งแต่เมื่อไหร่” แกส่งภาษาทักทายแบบไม่ค่อยชัดนัก แต่ก็แฝงไปด้วยความยินดี ที่ได้พบกับสิงห์

“คิดว่าจะไม่ได้เจอน้าเบแล้ว ยังเดินลุ้นมาตลอดทางเลยใจมาชื้นตอนที่เห็นควันไฟลอยมาแต่ไกลนั้นหละ” พูดจบ สิงห์ก็โยนเป้ขึ้นไปไว้บนระเบียงของกระท่อมหลังใหญ่

“ข้าก็เพิ่งกลับมาได้สักพักนี้เอง ไปหายิงกระรอกมาลาบกิน กำลังจะเผาเอาขนออกพอดี ไอ้สองตัวนี้มันเห่าถึงรู้ว่า เอ็งมา” พูดจบแกก็โยนพวงกระรอกที่ยิงมาได้สี่ตัวลงไปในไฟที่แกพรากออกมาจากกอง

“วันนี้โชคดีจริง นอกจากจะได้กินไก่ป่าแล้ว ยังได้กินลาบกระรอกอีกไม่เสียเที่ยว” สิงห์ร้องบอก หลังจากช่วยกันลำเลียงของต่างๆขึ้นไว้บนกระท่อม

“แล้วไก่ป่าตัวนี้จะทำอะไรกินดีพี่สิงห์” เคิ้งร้องถาม พร้อมโยนไก่ป่าไว้บนชานกระท่อม

“ต้มข่าเอาไว้ซดน้ำก็น่าจะดี” สิงห์ออกความเห็น

“ไอ้พุ่ม เอ็งไปขุดข่ากับตะไคร้มาสักหน่อย เดี๋ยวกูทำไก่ให้พี่สิงห์เอง ส่วนพ่อหุงข้าวแล้วกัน” เคิ้งสั่งงาน พูดจบก็นั่งถอนขนไก่ป่า จากนั้นก็เอาไปลนกับไฟเพื่อให้ขนอ่อนของไก่ป่าออกจนมันเหลืองน่ากิน

“ไอ้พุ่มเก็บผักแพวมาด้วยข้าจะเอามาใส่ลาบ” พรานเบป้องปากตะโกนบอกพุ่มที่เดินหายเข้าไปในดงข้างกระท่อม สิงห์เองก็ไม่ได้อยู่เฉยหลังจากจัดเรียงของต่างๆบนกระท่อมเรียบร้อยดีแล้ว ก็ลงมาช่วยพรานเบขูดขนกระรอก ในระหว่างที่นั่งทำกระรอกด้วยกัน สิงห์ก็ถือโอกาสคุยกับพรานเบถึงการมาหาในครั้งนี้ ซึ่งพรานเบเองก็คงจะรู้ดีว่า ถ้าสิงห์มาก็หนีไม่พ้นเที่ยวป่าเข้าดงอีก

“แล้วเอ็งมาเที่ยวกี่วันล่ะ” พรานเบถาม

“ก็น่าจะหลายวันอยู่น้าเบ ผมกะว่าจะอยู่เที่ยวสักเจ็ดแปดวัน ว่าแต่น้าได้ไปเที่ยวบ้างหรือเปล่า” สิงห์ถามด้วยความอยากรู้ ในขณะที่มือทั้งสองข้างยังทำกระรอกอยู่

“เออ...ก็ไปมาเมื่ออาทิตย์ก่อน ไปกับไอ้พรมันนั้นหละ ได้ตัวนิ่มมาตัวหนึ่ง สิบกว่าโลได้มั๊ง ได้ตรงโน่นล่ะแถวๆช่องผาแคบ กำลังจะเดินตัดขึ้นเขาสกแล้วเชียว ไอ้พะเปรียวมันเห่า เลยได้ตัวมันมา” พูดจบแกก็หันไปมองเจ้าพะเปรียวที่นอนหมอบกระดิกหางอยู่ข้างๆ

          นอกจากพรานเบจะเป็นพรานฝีมือดีแล้ว แกยังมีหมาที่ทั้งเก่งและรู้งาน เจ้าพะเปรียวเป็นหมาไทยแท้เพศผู้ท่าทางปราดเปรียว ส่วนอีกตัวชื่อพะบอง หมาไทยแท้เพศเมียแต่ดูแก่กว่าเจ้าพะเปรียวอยู่หลายปี ถ้าเป็นคนก็อาจจะนับได้ว่า ป้ากับหลาน แต่มันก็ยังทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี ทุกครั้งที่พรานเบออกท่องป่า พวกมันสองตัวก็จะคอยออกตามนายของมันไปด้วย สัตว์ตัวไหนที่ควรแก่การล่ามันก็จะช่วยกันเห่าไล่ ส่วนตัวไหนที่ไม่ควรล่ามันก็จะไม่ส่งเสียงเลย แต่ถ้าครั้งใดพรานเบยิงกระรอกมันก็จะรู้ว่า กระรอกคือเป้าหมายของมัน พวกมันจะคอยวิ่งไล่บ้าง หรือไม่ก็เดินดมดูตามโคนไม้ ถ้ามีกลิ่นของกระรอกมันก็จะเห่าไล่ทันที แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นพรานเบก็ยังพลาดเดินเหนื่อยฟรี เพราะพวกมันพากันเห่างู

          ที่ริมห้วยหลังกระท่อม เคิ้งกำลังนั่งทำไก่อยู่ ส่วนเหนือขึ้นไปบนลำห้วย พุ่มก็เดินออกมาพร้อมกับของที่สั่งตรงจากธรรมชาติ ทั้งหัวข่าป่ากำลังอ่อนน่ากิน ผักแพวอีกกำใหญ่ แถมยังมีผักหนาม ยอดมะกอกป่าและผักกูดมาอีกอย่างละกำ ส่วนตะไคร้มีปลูกไว้อยู่แล้วหลังกระท่อม สิงห์รับอาสาทำต้มข่าไก่ พอตั้งน้ำเดือดได้ที่ก็ใส่ เกลือลงไปนิดหน่อย ตามด้วยมะขามเปียกที่ไม่ต้องไปซื้อหาให้เปลืองเงิน แค่สิงห์เดินออกไปเก็บฝักที่หล่นอยู่มากมายตามโคนต้นของมันข้างกระท่อม พอเนื้อมะขามเปียกหลุดออกดีแล้ว ก็ใส่ข่าอ่อนซอยที่มีมากเป็นพิเศษ ตะใคร้สับเป็นท่อนๆแล้วทุบๆสองต้น หัวหอมแดงทุบสองสามหัว พอน้ำเดือดส่งกลิ่นหอมได้ที่ ก็เทไก่ป่า ที่เคิ้งสับไว้ให้แล้วลงไปในน้ำที่กำลังเดือดพล่าน พอเนื้อไก่สุกได้ที่ก็ปรุงรสด้วยน้ำปลา ชิมดูเปรี้ยวไม่พอก็คั้นน้ำมะขามเปียกเติมลงไปอีก ปิดท้ายด้วยใบมะกรูดที่ปลูกไว้และพริกนกตบๆด้วยมีดพอแตก ที่พรานเบเก็บมาให้อีกกำมือใหญ่ๆ  ใส่ลงไปลอยฟอง  ต้มข่าไก่ป่าฝีมือสิงห์ก็ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งกระท่อม เล่นเอาลุงโส่ยชักทนไม่ไหว ขอซดน้ำชิมดังสวบ!

          “บ๊ะ! ต้มข่าของเอ็งนี่มันเด็ดจริงๆเลยโว้ย ทั้งร้อน ทั้งเผ็ด ไอ้เบมึงทำลาบเสร็จหรือยังวะ” พูดจบก็คว้าช้อนไปชิมต้มข่าไก่ของสิงห์อีกสวบ แล้วก็ทำหน้าเหยเก เพราะโดนลูกโดด คือพริกนกสดไปเต็มๆถึงสองเม็ด
ส่วนพรานเบหลังจากทำกระรอกแล้วก็เอามาสับทั้งตัว ส่วนหัวและเครื่องในไม่เอา พอสับละเอียดแล้วก็เอาไปคั่วต่อในกระทะ พอสุกได้ที่ก็เติมน้ำปลา มะนาวไม่มีก็ใช้ น้ำมะขามเปียกแทน คลุกเคล้าดีแล้ว ก็ใส่ข้าวคั่วและ พริกคั่วที่เคิ้งคั่วและตำให้ใหม่ๆ ได้รสที่ต้องการแล้วก็ใส่หอมหัวแดงซอยอีกสี่ห้าหัวลงคลุกเคล้าอีกที สุดท้ายใส่ใบผักแพวซอยอีกกำมือใหญ่ๆที่พุ่มไปเก็บมา  ลาบกระรอกของพรานเบก็ใช่ย่อย เล่นเอาสิงห์อดที่จะขอชิมไม่ได้

“สุดยอดเลยน้าเบ แบบนี้ค่อยคุยกันได้หน่อย อยู่แต่ในเมืองกินแต่กะเพราหมูจนเอียนเต็มทีแล้ว” สิงห์ไม่พูดเปล่าเดินไปคว้าขวดเหล้าในเป้ออกมาหนึ่งขวด เล่นเอาลุงโส่ยมองตาเป็นมัน

“เอาลุง เอาไปไหว้เจ้าที่เจ้าทางก่อน อยู่แต่ในป่าในดงท่านคงเอียนเหล้าป่าเต็มทน” สิงห์ยื่นขวดเหล้าแดงให้ลุงโส่ย พอแกรับก็เดินลงไปรินใส่จอกไม้ไผ่ ที่ตรงส่วนก้นแก้วนั้นแกทำไว้สำหรับปักดินไม่ให้ล้ม พอจุดธูปเทียนเตรียมจะไหว้ สิงห์ก็ร้องบอกอีกว่า

“เดี๋ยวๆลุง...ไหว้แต่เหล้าได้ยังไงเล่า! ไอ้เคิ้งเอ็งตักต้มไก่ กับลาบกระรอกใส่ถ้วยไปด้วยอย่างละถ้วย ไอ้พุ่มข้าวสุกแล้วก็ตักใส่ไปอีกถ้วย” สิงห์ร้องบอกพุ่มกับเคิ้ง ที่กำลังจัดเตรียมข้าวอยู่ในครัว

          แสงเทียนสองเล่ม ส่องแสงวอบแวมส่ายไปมาตามสายลมเย็น บนศาลเพียงตาเล็กๆ ซึ่งตั้งโดดเด่นอยู่บนลานกว้าง ข้างๆต้นมะพร้าวหน้ากระท่อม กลิ่นธูปหอมลอยมาตามลมจางๆ ปะปนกับกลิ่นควันไฟและควันของตะเกียงน้ำมัน ที่ตั้งอยู่กลางระเบียง ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยกับข้าว ไม่ว่าจะเป็นต้มข่าไก่ป่า ลาบกระรอกอย่างละชาม แถมด้วยจานผักป่านานาชนิดทั้ง ผักหนาม ผักกูด และยอดมะกอกป่าสดๆ น่ากิน ข้างจานผักก็มีเขียดทอดอยู่อีกครึ่งถุง สิงห์ให้สองหนุ่มน้อยกินข้าวกินปลาก่อน ส่วนตัวเองกับลุงโส่ยและพรานเบนั่งล้อมวงอยู่ข้างๆก่องไฟหน้ากระท่อมโดยมี ต้มข่าไก่ และลาบกระรอกเป็นกับแกล้มชั้นดีอีกอย่างละถ้วย แถมยังมีเขียดทอดอีกครึ่งจานที่ตักแบ่งมา

        ค่ำคืนนี้จึงเป็นช่วงเวลาของความสุขที่นานๆครั้ง สิงห์จะได้สัมผัสกับธรรมชาติแบบนี้ คิดไปแล้วก็อยากจะมาอยู่เสียที่นี่ให้รู้แล้วรู้รอด เพราะไม่อยากจะให้ถึงวันกลับเลย คิดแล้วก็ชักจะปวดหัวขึ้นมาทันที อันด้วยงานที่ต้องใช้ความคิด และความรับผิดชอบสูง บางครั้งก็ถูกเจ้านายดุด่า เมื่อทำงานให้ไม่ทัน คิดไปแล้วเขาเองก็นึกน้อยใจอยู่ไม่น้อย ที่ตัวเองทุ่มเทให้กับงานอย่างเต็มที่ แต่มันก็เหมือนไม่มีคุณค่าอะไรเลย นึกๆไปก็เหมือนหมาล่าเนื้อตัวหนึ่ง ที่ตราบใดที่มันยังล่าได้อยู่ นายของมันคงจะยังเลี้ยงมันไว้ แต่ถ้าเมื่อใด มันหมดเรียวแรงที่จะล่า ตัวมันเองก็หมดประโยชน์ ใครเขาจะเลี้ยงไว้ให้เปลืองข้าวสุก ทั้งๆที่เราเองก็ช่วยให้เขารวยขึ้น ส่วนเราก็แค่รับเงินเดือน คิดแล้วมันก็น่าอิจฉาพวกพรานกะเหรี่ยงพวกนี้จริงๆ ไม่ต้องไปเดือดร้อนอะไร ทำไร่ทำนาไปตามเรื่อง มีเงินเท่าไรก็ใช้แค่นั้น เรื่องเก็บสะสมไม่ต้องพูดถึง ครั้นจะไปทำไร่กูนึกไม่อยากไปกูก็ไม่ต้องไป นึกจะทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องคอยรายงานใครต่อใคร หันกับมาดูตัวเราเอง กว่าจะไปไหนมาไหนได้ต้องทำเรื่องรายงานคนโน้นคนนี้ ไม่มีอิสรเสรี แต่เขาก็จะไม่ท้อถอยกับชีวิตแบบนี้ สิงห์คิดอยู่เสมอว่าถ้าเขาทำงานเก็บเงินทุนได้สักก้อน เขาเองก็จะรีบออกมาจากวงจรชีวิตแบบนี้แน่นอน เพราะคงไม่ไปเป็นขี้ข้าเขาไปตลอดชีวิต ขืนทำแบบนั้นก็คงไม่ต่างอะไรกับหมาล่าเนื้อ

          เปลวไฟลามเลียในกองฟืน ที่ถูกลุงโส่ยดุนเข้าไปในกอง พอมีลมพัดมาวูบหนึ่ง ก็ทำให้เกิดเป็นลูกไฟสะเก็ดเล็กๆ พัดสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งบนนั้นเต็มไปด้วยหมู่ดาวระยิบระยับนับหมื่นๆดวง หรืออาจจะเป็นล้าน เพราะไม่มีเมฆหมอกมาบดบังเลย ท้องฟ้าคืนนี้เลยดูสวยงามเป็นพิเศษ ถ้าจะถามว่าสิงห์จะหาดูได้ในสถานที่ ที่เขาทำงานหรือไม่ สิงห์เองคงตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่า ไม่มี ถ้ามีก็คงจะเป็นแสงจากหลอดไฟตามนิคมอุตสาหกรรม ส่วนหมอกและเมฆ ก็อาจจะมาจากควันพิษ ที่ถูกปล่อยออกมา สิงห์คิดอยู่เสมอว่า ประเทศไทยของเรามันไม่เหมาะกับอุตสาหกรรม แต่บ้านเรามันเหมาะกับเกษตรกรรมเสียมากกว่า  แต่มันก็เป็นแค่ความคิดที่อยู่ในใจของสิงห์ตลอด จะไปต่อต้านหรือเรียกร้องอะไรกับใคร ก็คงจะทำไม่ได้ เพราะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย

“เอา...ไอ้สิงห์ตาเอ็งแล้ว” ลุงโส่ย ส่งจอกเหล้าให้สิงห์ซึ่งภายในจอก มีเหล้าอยู่เกือบครึ่งจอก สิงห์รับไว้แล้วยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด แล้วรินเหล้าใส่จอกเดิมที่เขาดื่ม ส่งต่อให้พรานเบ

“ผมไม่ได้กินเหล้าอร่อยแบบนี้มานานแล้ว ไม่ต้องถึงกับเหล้าแดง แค่เหล้าป่าของลุงโส่ย ผมก็ว่าหรูแล้ว” สิงห์พูดหลังจากเหล้าไปอุ่นอยู่ในท้อง

“แต่ข้าว่า เหล้าแดงของเอ็ง มันดีกว่าเหล้าป่าของข้าเป็นไหนๆวะ ไอ้สิงห์” ลุงโส่ยพูดสวนออกมา จบแล้วก็หยิบเขียดทอดในจานเอามาเคี้ยวเล่น ดังกรุบๆ

“เออ...น้าเบพรุ่งนี้เราจะไปเส้นไหนดี” สิงห์สอบถามเส้นทางที่จะไปเที่ยวป่าวันพรุ่งนี้

“ข้าว่าจะพาตัดไปที่ ห้วยแห้งก่อน แล้วค่อยเดินตัดออกช่องผาแคบ นอนแถวๆนั้นสักคืนแล้ววกขึ้นไปทาง ห้วยปลากั้ง” พรานเบเสนอเส้นทาง

“เอาตรงไหนก็ได้ครับน้าเบ ขอให้มีน้ำกินน้ำใช้ก็พอ ส่วนเรื่องสัตว์ป่าตรงไหนชุมหรือไม่ชุมก็ช่างมันเถอะ” สิงห์ตอบไปเพราะว่า ไม่ว่าพรานเบจะพาไปจุดไหน เขาก็ไม่เคยผิดหวัง เรื่องน้ำกินน้ำใช้ไม่เคยมีปัญหา รวมถึงการกินการอยู่

“มีเส้นทางใหม่ๆบ้างเปล่าครับ ที่ผมยังไม่เคยไป” สิงห์ถามพรานเบ ที่กำลังมวนยาสูบใบจากอยู่ พรานเบได้ยินดังนั้นก็หยุดมวนยาเส้นของแก แล้วพูดขึ้นมา

“หรือเอ็งอยากไปลองดูแถวๆ ป่าดำ” พรานเบเสนอสถานที่ ที่สิงห์เองก็เพิ่งจะเคยได้ยิน

“ป่าดำ มันมีด้วยหรือ ผมไม่เคยได้ยินเลยน้าเบ มันไปอีกไกลหรือเปล่า” สิงห์ถามด้วยความสนใจ ส่วนพรานเบนั่งสูบยาใบจากจนไฟแดงวาบ

“เดี๋ยวก็ได้หลงกันตายห่า ใครเข้าไปเที่ยวกัน ป่ามันทั้งทึบและลึกขนาดนั้นไอ้เบ” ลุงโส่ยบอกเหมือนไม่เห็นด้วยกับพรานเบ ที่จะพาสิงห์ไปเที่ยว

“ก็ข้านี่ล่ะ ไปมาแล้ว แต่แค่เฉียดๆ ไม่ได้เข้าไปลึกมาก ข้าหมายถึง ข้าจะพาไอ้สิงห์มันไปแถวๆนั้น หรือแกกลัววะ ตาโส่ย” พรานเบเลิกคิ้วมองลุงโส่ยดูท่าที ลุงโส่ยหลังจากโดนเหล้าเข้าไปหลายจอก ก็ทำหน้าแดงออกอาการโมโห ที่ถูกท้าทายจากพรานรุ่นลูก

“บ๊ะ! ไอ้เบ มึงอย่ามาดูถูกกูนะ กูมาอยู่ป่านี้มาสมัยกูหัวเท่าลูกมะขวิด” ไม่พูดเปล่าแกเอาสันมีดเหน็บเคาะไปบนลูกมะขวิดที่วางอยู่บนพื้นใกล้ๆกับที่แกนั่ง เล่นเอาสิงห์หัวเราะชอบใจ

“ฮาๆลุง ทำเป็นโมโหเดี๋ยวผมขอโทษแทนน้าเบเอง ไอ้เคิ้งเอ็งเอาเหล้ามาให้ลุงโส่ย อีกขวดซิ อยู่ในเป้พี่นะ” สิงห์ร้องเรียกเหล้าแดงมาอีกกลมเพราะรู้ว่า กลมที่กำลังกินกันอยู่เหลืออีกไม่ถึงสองจอกก็หมด

“ผมถามลุงโส่ยเป็นครั้งสุดท้ายนะ ลุงจะไปกับผมหรือเปล่า ถ้าลุงไม่ไปผมก็ไม่ว่าอะไรลุงหรอก” สิงห์ถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เพราะชักไม่แน่ใจในตัวลุงโส่ยเสียแล้ว ว่าแกจะร่วมด้วยหรือไม่

“ไหนๆเอ็งก็มาทั้งที ไปก็ไปซิวะ จะได้ไปเที่ยวที่ใหม่ๆแปลกหูแปลกตาบ้าง มาทีไรก็ ห้วยปลากั้ง หรือไม่ก็ช่องผาแคบ ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่เบื่อ” ลุงโส่ยรับคำเชิญ แต่ก็ไม่วายพูดเสริมว่า

“ป่าดำ ที่เอ็งอยากรู้อยากเห็นนะ มันเป็นป่าที่อันตราย ชาวบ้านแถวนี้ไม่มีใครเขากล้าไปหรอก เพราะป่ามันลึกลับน่ากลัว แค่ชื่อว่า ป่าดำ คนก็ไม่กล้าเข้าใกล้แล้ว” ลุงโส่ย อธิบาย พูดจบแกก็กระดกเหล้าลงคอไปอีกจอก

“ยังไงต่อลุงมีแค่นี้หรือ แล้วเคยมีคนเข้าไปหรือเปล่า” สิงห์ถาม แล้วนั่งจิบเหล้าต่อ

“มีเคยมีคนเข้าไปแล้วหลายคน มันคงจะอยากรู้อยากเห็นแบบเอ็งแหละไอ้สิงห์ แต่ที่เข้าไปแล้วก็หายสาบสูญไปเลย ที่กลับออกมาได้ก็เป็นบ้า หรือไม่ก็กลับมาเป็นไข้ป่าตายอยู่ที่นี่” พูดจบแกก็อัดยาสูบเข้าปอดไปชุดใหญ่

“ชักจะอยากเห็นเสียแล้วลุง ขอให้ได้แค่เห็นว่ามันเป็นยังไงก็พอ ไอ้ป่าดำที่ลุงว่า คงไม่ถึงขนาดเข้าไปหรอกลุงโส่ย” สิงห์ไม่วายอยากรู้อยากเห็น แต่ไม่ทันที่ลุงโส่ยพูด พรานเบก็พูดสวนออกมา

“แต่ข้าเคยเข้าไปเฉียดๆ ป่านั้นมาแล้ว ป่าตรงนั้นมันดูมืดทึบทะมึนไปหมด ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปด้วย พอดียิงหมูโทนใหญ่ แล้วมันไม่ตาย เลยต้องออกตาม เดินตามรอยมันไปเรื่อย มารู้ตัวอีกทีก็ตรงเห็นต้นไม้ใหญ่โต และไม้แปลกๆที่ไม่เคยเห็นนั้นหละข้าถึงรู้ เลยรีบถอยออกมา ถ้ามัวแต่ไม่ดูอะไรเลย ป่านนี้เอ็งคงไม่ได้รู้จักข้าแล้วไอ้สิงห์ รวมถึงแกด้วย ตาโส่ย แกคงไม่มีเพื่อนกินเหล้า” พูดจบ พรานเบก็ยกเหล้าขึ้นดื่ม

“อ้าว...น้าเบก็เคยไปกับเขาด้วย แล้วหมูลำบากตัวนั้นหล่ะ น้าเบปล่อยมันไปหรือ” สิงห์ถามถึงหมูโทนที่พรานเบยิงบาดเจ็บไป

“ก็ต้องปล่อยมันไป ขืนตามมันไปข้าอาจจะไม่รอดกลับมา ถึงได้ตัวมันก็ตาม ผู้แพ้ไม่จำเป็นต้องตายเสมอ ใครๆก็รักชีวิต”  พรานเบตอบมาเป็นสำนวนน่าฟัง พูดจบพรานเบก็ดูดยาเส้นจนปลายมวนแดงวาบ

“อืม....ลุงโส่ย แล้วลุงพอจะรู้เรื่องป่าดำ อีกหรือเปล่าว่ามันเป็นยังไงกันแน่ หรือลุงรู้มาแค่นี้” สิงห์หันกลับไปถามลุงโส่ยที่นั่งอยู่ข้างๆ

“มันเป็นยังไงลุง เล่าให้ผมฟังบ้างซิ” ไม่ใช่สิงห์คนเดียวที่อยากรู้ เคิ้งและพุ่ม เมื่อรู้ว่าจะไปเที่ยวแถวๆป่าดำ ก็พากันลงมาจากกระท่อม มานั่งฟังอยากใจจดใจจ่อ สิงห์รีบรินเหล้าให้แกอีกจอกเต็มๆ แล้วส่งให้แกกระดกอีกจอก หลังจากเหล้าที่สิงห์ส่งให้ลงคอไปแล้ว เรื่องราวต่างๆของ ป่าดำ ก็ถูกเปิดเผยขึ้น

“สมัยที่ข้ายังเด็กๆข้าเคยได้ยินปู่ข้าเล่าให้ฟังว่า มีป่าลึกลับอยู่ที่หนึ่ง ซึ่งมันอุดมสมบรูณ์มาก ไม่ใช่แต่ต้นไม้ที่ทั้งใหญ่โตหลายคนโอบ ขนาดช้างทั้งตัวโคนต้นของมันยังบังช้างได้ ส่วนสัตว์ป่าไม่ต้องพูดถึง มีทุกชนิด ไอ้ที่เราว่ามันสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ป่าแห่งนั้นยังชุกชุม แถมไม่กลัวคนด้วยซ้ำไป นอกจากความลึกลับ น่ากลัวของป่าดำแล้ว ยังมีอันตรายจากภัยต่างๆ ไม่ว่าจากสัตว์ป่า ไข้ป่า และภัยที่เรามองไม่เห็นในรูปแบบต่างๆ ปู่ข้าเล่าว่า  เมื่อใกล้เขตใจกลางป่าดำ  เกือบจะทุกสิ่งจะมีสีดำ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ก้อนหิน ก็ล้วนแล้วมีสีดำ ยกเว้นแต่สายน้ำที่ยังคงใสสะอาดเหมือนเดิม และที่ใจกลางป่าดำนั้น มีภูเขาที่ชื่อว่า เขาหินดำ เป็นภูเขาหินที่ไม่มีแม้แต่ต้นหญ้าขึ้นสักต้นเดียว เป็นภูเขาหินสีดำทั้งลูก และบนเขาหินดำนั้นจะมีถ้ำอยู่....” ลุงโส่ยหยุดพูดแล้วไล่มองหน้าทุกคน แล้วพูดต่อ

“ข้าไม่รู้ว่ามันจริงหรือแค่นิทานหลอกเด็ก ปู่ข้าบอกว่า ภายในถ้ำนั้นเต็มไปด้วยทองคำ พื้น เพดาน ผนัง ก็ล้วนแล้วเป็นทองคำทั้งสิ้น!” ลุงโส่ยพูดจบก็ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มจนหมด

“ฮ้า...ทองคำ ลุงโส่ยว่าในถ้ำนั้นเป็นทองคำทั้งหมด ผมอยากจะเป็นลม” สิงห์ทำท่าจะเป็นลม

“ข้าไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า เพราะปู่ข้าก็เล่าให้ข้าฟัง หรือแม้แต่ปู่ข้า ก็ไม่เคยไป มันเป็นเรื่องเล่าต่อๆกันมาหลายชั่วคนแล้วไอ้สิงห์” ลุงโส่ยหันมาตอบสิงห์ ที่ยังทำหน้าเสียอยู่

“จะมีจริงหรือไม่ ผมก็ไม่อยากรู้หรอกครับ เพราะเราตั้งใจแค่ไปเที่ยวป่ากันเฉยๆ เอาแค่ชายดงป่าดำ ก็พอแล้ว ส่วนเรื่องที่ลุงเล่ามา ผมถือว่าเอามาประดับความรู้ก็พอ จริงไหมทุกคน” สิงห์ หันไปมองหน้าทุกคน ที่นั่งล้อมวงกันอยู่หน้ากองไป

“จริงพี่สิงห์ ผมก็แค่อยากเห็นป่าดำว่ามันเป็นยังไงเท่านั้น” เคิ้งตอบ

“ถูกอย่างที่ไอ้เคิ้งบอก พวกเราแค่ไปเที่ยวป่า แค่ชายดงป่าดำก็เกินพอแล้ว อย่าไปคิดถึงใจกลางป่าดำหรือเขาหินดำที่ตาโส่ยว่าเลย แค่มาคิดกันดีกว่า ว่าเราจะไปถึงชายดงป่าดำกันเมื่อไหร่จะดีกว่า” พรานเบตอบมาอีกคน

“นั่นสิ เราจะเดินไปกันเส้นไหนดีน้าเบ ลุงโส่ย” สิงห์ หันไปถามสองพรานกะเหรี่ยงดง

“ข้าว่าไปทางห้วยแห้งก็ดีนะ เพราะทางมันเดินสะดวกดี แล้วค่อยเดินตัดไปที่ช่องผาแคบ หรือเอ็งจะว่ายังไงไอ้เบ” พรานเฒ่าหันไปถามพรานรุ่นน้อง

“ข้าว่าไปเส้นเดิม ที่เคยยิงหมูป่าดีกว่า เราตัดไปห้วยปลากั้ง เพราะหากินง่าย ปลาก็ชุม น้ำท่าดีกว่าฝั่งห้วยแห้งเยอะ นอนสักคืนแล้วค่อยเดินสวนน้ำไปที่แก่งผักกูด” พรานเบพูดจบก็เอื้อมมือไปดุนท่อนฟืนเข้ากองไฟ

“ก็แล้วแต่เอ็งไอ้เบ อย่างน้อยๆเอ็งก็เคยไปถึงชายดงป่าดำมาแล้ว ข้าว่าไปกินข้าวกันดีกว่า นี่ก็ดึกมากแล้วพรุ่งนี้เช้าจะได้เตรียมออกเดินทาง” พรานเฒ่าพูดจบแกก็ลุกเดินไปที่ลานกระท่อม

“ไป จะ 5 ทุ่มแล้ว น้าเบไปกินข้าวกันดีกว่าผมชักหิวแล้ว สงสัยกับข้าวเย็นหมดป่านนี้ เคิ้งรับหม้อต้มไก่ ที่พ่อไปอุ่นที่กองไฟให้พี่หน่อย” สิงห์ร้องบอก กะเหรี่ยงน้อยหลังจากยกนาฬิกาพรายน้ำขึ้นดู

          ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมา กับข้าวที่อุ่นใหม่ก็พร้อม ทั้ง5คน ก็มานั่งล้อมวงกินข้าว เคิ้งและพุ่ม สองกะเหรี่ยงน้อยกินไปก่อนหน้านี้แล้ว เลยไม่ได้กินด้วยเพราะยังอิ่มอยู่ ทั้งสองจึงทำหน้าที่เด็กเสริฟ คอยบริการให้ทั้งสามคนอย่างเป็นกันเอง อาหารมื้อนี้จึงเต็มไปด้วยรสชาติ และความสุข ที่สิงห์เองโหยหามานาน หลังจากกินข้าวเสร็จเรียบร้อย สิงห์ก็ขอตัวไปอาบน้ำที่ห้วยหลังกระท่อม เพราะตั้งแต่เดินทางมาถึงยังไม่ได้อาบน้ำเลย จนรู้สึกเหนียวตัวไปหมด หลังจากคว้าผ้าขาวม้ากับถุงใส่สบู่ที่เก็บไว้ในเป้ ออกมาได้ ก็เดินถือตะเกียงรั้ว ไปที่ริมห้วยทันที

          ที่ลำห้วยตอนหนึ่ง ภายใต้ซุ้มไม้ที่เปรียบเสมือนหลังคาธรรมชาติ ภายใต้ซุ้มไม้นั้นเอง มีแอ่งลึกเป็นพิเศษเพราะพรานเบใช้หินกั้นทำเป็นฝายไว้ สายน้ำใสไหลรินเย็นยะเยือก ไหลกระทบแก่งหินดังจุ๋งจิ๋ง เมื่อได้ที่เหมาะ สิงห์ก็ลงแช่ ทันที่ ที่ลงไปแช่ สิงห์ถึงกับผวา เพราะความเย็นยะเยือก สะท้านไปถึงหัวใจ แต่พอแช่ไปสักพักก็รู้สึกถึงความสบาย หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เขาทอดอารมณ์ไปกับกระแสน้ำที่ไหลรินเอื่อยๆ ท่ามกลางหมู่แมกไม้ที่ห้อมล้อมตัวเขาตลอดลำห้วย และเสียงแมลงต่างๆที่กรีดปีกส่งเสียงไปทั้งป่า ครั้งหนึ่งเขาถึงกับสะดุ้ง เพราะอยู่ๆอึ่งป่าดันร้องอยู่ที่ข้างๆตัว มันคงมาหลบหาอาหารกินก่อนหน้าที่สิงห์จะลงมา  แต่พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็ไม่ได้สนใจกับที่มาของเสียงนั้น แสงตะเกียงรั้วที่ตั้งอยู่บนก้อนหินใหญ่ริมลำห้วย ส่องแสงวอมแวมตามสายลมที่พัดมาเอื่อยๆ ถึงด้านนอกจะแลดูมืดทะมึนน่ากลัว แต่พอได้แสงไฟของตะเกียงรั้ว ป่าที่ดูน่ากลัวก็กลับดูปลอดภัยและอบอุ่นขึ้นมาทันที หลังจากแช่น้ำจนชื่นใจและหายเหนื่อย เขาก็เดินกลับกระท่อม ที่ตอนนี้มีแสงสว่างจากตะเกียงรั้วอีกดวงหนึ่ง ตั้งเด่นอยู่กลางระเบียง และด้านล่างกองไฟที่ถูกก่อกองใหญ่ เมื่อตอนหัวค่ำนี้ เหลือเพียงไฟแดงๆจากฟืนที่กำลังจะดับ เมื่อเขาหันไปดูในกระท่อมก็เห็นพวกกะเหรี่ยงดงนอนกันไปหมดแล้ว มีเพียงเคิ้งที่เอาเปลมาผูกใต้ต้นมะขาม ข้างกองไฟอยู่คนเดียว ถัดออกไปเจ้าพะเปรียวกับเจ้าพะบองนอนขดอยู่ข้างกองไฟ โดยหูของมันตั้งอยู่ตลอดเวลา หลังจากผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เขาก็จัดแจงหาเสื้อกันหนาวขึ้นมาใส่ เพราะอากาศตอนนี้เริ่มหนาวเย็นขึ้นทุกที หลังจากได้เสื้อกันหนาวแล้วก็ผูกเปลสนามแบบมีมุ้ง เข้ากับเสากระท่อมทั้งสองด้าน เมื่อตรวจสอบว่าผูกเปลแน่นหนาและแข็งแรงดีแล้วสิงห์ก็ล้มตัวลงนอนในเปล ซึ่งภายในมีถุงนอนอีกผืนหนึ่ง

          ลมหนาวพัดมาอีกวูบจนเขาต้องห่อตัวกับถุงนอน จนรู้สึกอุ่นขึ้น เขามองสิ่งต่างๆรอบตัวผ่านมุ้งของเปลสนามไปเรื่อยเปื่อย กองไฟที่ลานดินหน้ากระท่อมเหลือน้อยลงไปทุกที ตอนนี้มีเพียงขี้เถ้าขาวโพลนไปหมด เหลือเพียงถ่านไฟแดงๆ ไม่กี่กองเท่านั้นและอีกไม่นานมันก็มอดดับหมดไปเอง เมื่อเขาหันกลับไปมองที่ริมห้วย ด้านนั้นตอนนี้มองไม่เห็นอะไรแล้ว นอกจากเสียงของน้ำในลำห้วย และเสียงของแมลงต่างๆรวมทั้งอึ่งป่า ที่ร้องงึมงำอยู่ในลำห้วยสายนั้น หิ่งห้อย หลายสิบตัวบินส่องแสงวูบวาบไปมาที่ชายป่า เขานอนมองและฟังเสียงของป่าอย่างมีความสุข ก่อนทุกอย่างจะมืดดับไป....


« Last Edit: 21 April 2021, 22:09:53 by p_san@ » Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.083 seconds with 19 queries.