Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
10 May 2024, 06:44:49

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,650 Posts in 12,467 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  ๑. จิตจักรพรรดิ ฉบับ มาเฟียพลังจิต
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: ๑. จิตจักรพรรดิ ฉบับ มาเฟียพลังจิต  (Read 1246 times)
Smile Siam
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 331


View Profile
« on: 25 January 2013, 06:23:45 »


จิตจักรพรรดิ
ตอน มาเฟียพลังจิต
ดังตฤณ
แจกจ่ายฟรีได้ทุกรูปแบบโดยไม่ต้องขออนุญาต
ห้ามนําไปใช้ทางการค้าไม่ว่ากรณีใดๆก่อนได้รับอนุญาต

______________________________________________________________________________
มาเฟียพลังจิต

สำหรับคนที่รอคอย "ทางนฤพาน" และ "กรรมพยากรณ์"
ฉบับพิมพ์ใหม่โดยสำนักพิมพ์ฮาวฟาร์
ผมขอแนะนำนวนิยายเรื่องใหม่
"จิตจักรพรรดิ" ให้อ่านกันไปพลางๆก่อน
และไม่ใช่ว่าผมส่งตัวแถมมาขัดตาทัพนะครับ
ตรงข้าม นี่คือสิ่งที่ผมหวังให้เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน
สร้างก้าวใหม่ที่แตกต่าง ทั้งความน่าติดตาม
ตลอดจนผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังอ่านจบ
ชวนติดใจพอจะให้แฟนใหม่ๆถามหาเรื่องเก่าๆได้

jitjakapat

ความสนุกของจิตจักรพรรดิ เริ่มต้นขึ้นมาโฟกัสที่นางเอก
ซึ่งจบปริญญาจิตวิทยาการปรึกษา
และที่ไม่ธรรมดา
คือมีความสามารถรู้เห็นปมสำคัญของชีวิตคนอื่นด้วยจิตสัมผัส
กับทั้งมีแก่ใจทุ่มเทตนเอง
ไปในการเปลี่ยนชีวิตคนอื่นด้วยคำพูดไม่กี่คำ

สีสันอยู่ที่ความสมจริง
อย่างสมมุติว่าตั้งโจทย์ยากๆ เช่น
ถ้าเธอโดนโจรจับตัวไป
ในนาทีเป็นนาทีตายนั้น
จะพูดเอาตัวรอดได้อย่างไร
แบบที่เปลี่ยนใจโจรได้ภายในหนึ่งชั่วโมง
ก่อนถูกทำร้ายถึงเลือดถึงเนื้อ
หากเป็นเรื่องจริง
จะมีคำพูดจริงๆแบบไหนไปเปลี่ยนใจโจร
ไม่ใช่แค่ไม่ทำร้าย แต่พลิกความคิดทั้งหมด
ให้อยากเลิกเป็นมิจฉาชีพ หันมาเป็นสุจริตชนแทน

ฟังดูถ้าเป็นเรื่องจริงคงเป็นไปไม่ได้
แต่ถ้านางเอกทำได้สมจริง
ก็กลายเป็นนิยายสนุกอีกเรื่องหนึ่งใช่ไหมครับ
และนั่นแหละที่เป็นความสนุกของจิตจักรพรรดิ

ยิ่งไปกว่านั้น ความบันเทิงอีกชั้นหนึ่ง
คือการที่นางเอกซึ่งสมควรมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง
กลับเดินมาถึงจุดหนึ่งของชีวิต
ที่ชวนให้คิดว่าตัวเองยังไม่รู้อะไรเลย ไม่แน่ใจอะไรเลย
เมื่อพบว่าความสามารถทางจิตสัมผัสของเธอ
เป็นแค่หางแถวในกองทัพพลังจิต
มีใครบางคนล่วงรู้อนาคตในวันนี้และพรุ่งนี้ของเธอ
กับทั้งควบคุมให้เธอทำตามคำสั่งได้ยิ่งกว่ามาเฟีย
ซ้ำร้าย มาเฟียที่มีพลังจิตนั้น
ไม่ได้มี แค่คนเดียวอีกต่างหาก
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรถ้ามาเฟียพลังจิตหลายสาย
กำลังใช้เธอเป็นสนามประลองกำลัง?

สำหรับ แฟน "ทางนฤพาน" และ "กรรมพยากรณ์"
ให้นึกภาพนางเอกง่ายๆครับ
อ่อนหวานน่าหลงรักเหมือนแพตรี
แล้วก็เสน่ห์แรงน่าทึ่งอย่างลานดาว
แต่ขณะเดียวก็มีรายละเอียดเบื้องหน้าเบื้องหลัง
แตกต่างจากแพตรีและลานดาวเป็นคนละเรื่อง
อย่างเช่นภาพอันเป็นแง่คิดสำหรับหญิงยุคไอที
ที่หลายคนพยายามเอาชนะผู้ชายด้วยการเป็นชายที่เหนือกว่า
หรืออย่างน้อยก็ด้วยความแกร่งแบบชาย
โดยลืมวิธีสยบชายด้วยความนุ่มนวลแบบหญิง
และเพราะ ลืม
คู่รักจึงมักอยู่ร่วมบ้านแบบชายพยายามเอาชนะชาย
ต้องแตกแยกกันมากกว่าจะร่วมพายเรือกันตลอดรอดถึงฝั่ง

สุดท้ายแล้ว เรื่องจิตจักรพรรดิแสดงรูปชีวิตของแต่ละคน
ที่ถูกควบคุมอยู่ด้วยความไม่รู้เป็นชั้นๆ
และถ้าอ่านชีวิตคนได้ง่ายเหมือนอ่านหนังสือไม่กี่ร้อยหน้า
คุณก็จะพบความสนุกเป็นชั้นๆแบบขั้นบันไดได้เหมือนกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่านางเอก
ไขปริศนาชีวิตให้ตนเองตามลำดับได้อย่างไร
และสุดท้ายเมื่อต้องตัดสินใจเลือกครั้งสำคัญ
คนเราควรมีมาตรฐานใดเป็นเครื่องช่วยเลือกบ้าง

ตลอดทั้งเรื่องที่ดำเนินไป
ผมพยายามสอดแทรกแง่คิดไว้เป็นระยะ
ผ่านวาทะกินใจที่สะสมไว้ในช่วงปีที่ผ่านมา
นั่นหมายความว่าผมใช้เวลาค่อยๆปั้นค่อยๆแต่ง
กว่าที่จิตจักรพรรดิจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้

ปมจำนวนมากที่ถูกผูกขึ้นแล้วคลายออกเป็นเปลาะๆ
ด้วยการหักมุมหลายครั้งเหมือนชีวิตจริง
ที่ความคาดไม่ถึงหรือเรื่องเหนือความคาดหมาย
นำไปสู่การเปิดเผยหลายสิ่งหลายอย่าง
ที่รวมแล้วไม่แคล้วต้องลงให้สัจธรรม คือ
อะไรๆก็ไม่เที่ยง อะไรๆก็ไม่อาจทนความเป็นตนเองได้
เพราะอะไรๆสักแต่ประกอบประชุมกันชั่วคราว
คงรูปเพื่อเสื่อมรูป เกิดนามแล้วเสื่อมนาม
หาความจริงแท้ในรูปนามไม่เจอ

ถ้าใครไม่อยากเชื่อว่าพุทธศาสนาเป็นของจริง
ผมก็หวังว่าอ่านการคลายปมของจิตจักรพรรดิถึงจุดหนึ่ง
แล้วจะหันมาศรัทธาและสนใจจริงจังได้
โดยไม่ต้องใช้ความพยายามฝืนใจใดๆ
ถือว่าเป็นการพยายามครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
ในอันที่จะสร้างบันไดขั้นแรกให้กับคนร่วมสมัยด้วยกัน

โลกอันเป็นที่รวมอยู่ของหมู่มนุษย์
เต็มไปด้วยเงื่อนไขยากลำบากยั่วยุสารพัด
เหมือนตั้งโจทย์มาง่ายๆแต่ทำได้ยากเพียงข้อเดียวครับ
"ทำอย่างไรจะให้คนเรามีแก่ใจช่วยกัน?"

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบเสพความบันเทิง
ดังนั้น จึงควรตั้งโจทย์ย่อยเข้าไป เช่น
ทำยังไงจะให้คนเห็นการช่วยเหลือกันเป็นเรื่องน่าสนุก
เห็นการฝึกจิตแบบพุทธเป็นเรื่องที่นำมาช่วยๆกันได้
เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนคำถามในชีวิตประจำวัน เช่น
"ทำยังไงฉันจะฉกฉวยอะไรจากคนอื่นเข้าตัวได้มากๆ"
เป็น...
"ทำยังไงฉันจะเปลี่ยนโลกรอบตัวให้ดีขึ้นตามฉันได้มากๆ"
เพื่อตระหนักถึงกฎความจริงขั้นพื้นฐาน คือ
ได้ตั้งแต่ให้
ไม่ใช่ให้แล้วต้องรอแล้วรอเล่ากว่าจะได้คืน
หรือให้แล้วรอหายลับ ไม่เห็นจะได้อะไรกลับมาสักที

ผลของการช่วยเหลือ
บางครั้งอาจเป็นสุข
แบบส่งสุขย่อมได้สุข ให้เปล่าย่อมได้เปล่า
แต่บางครั้งอาจเป็นความเจ็บปวด
แบบทำคุณบูชาโทษ โปรดสัตว์ได้บาป
ทว่าตัวการช่วยเหลือนั้นเอง
"ทุกครั้ง" ให้ผลเป็นความสุข
ความเจริญรุ่งเรืองทางจิตวิญญาณเสมอ

นั่นแหละครับ ภาพความจริงที่จิตจักรพรรดิแสดง

ฟีดแบ็กจากนวนิยายเรื่องก่อนๆ
ทั้งทางนฤพานและกรรมพยากรณ์
บอกผมว่าถ้าปล่อยออกมาเป็นเล่มใหญ่ทีเดียว
คนส่วนมากจะนึกขยาดในความหนา
ผมจึงซอยจิตจักรพรรดิออกเป็นหลายเล่ม
และจะทยอยวางแผงเฉพาะใน 7Eleven
เพื่อคุมราคาให้ได้ไม่เกินร้อยบาท

ในวันที่ผมเริ่มเขียนจากใจ บ.ก. ใกล้ตัว
คือวันอังคารที่ ๑๕ มิถุนายน
ได้มีการลำเลียงขนส่งหนังสือจากโรงพิมพ์ไปที่ 7Eleven
คาดหมายว่าในวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ มิถุนายน
คือวันที่คุณกำลังอ่าน "จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว" อยู่นี้
7Eleven และ BookSmile ในเขตกรุงเทพฯ
น่าจะเห็นได้หลายแห่งครับ
ส่วนปริมณฑลและต่างจังหวัดทั่วประเทศ
น่าจะวางพร้อมกันครบไม่เกินวันเสาร์ที่ ๑๙ มิถุนายนนี้

ในหน้าคำนำนักเขียน ผมเอ่ยอ้างสรรพคุณไว้ว่า
ถ้าคุณสนุกกับ "ทางนฤพาน" และ "กรรมพยากรณ์"
ถ้าคุณได้อะไรจาก "รักแท้มีจริง" และ "เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว"
คุณจะเป็นคนหนึ่งที่อ่าน "จิตจักรพรรดิ"
ด้วยความตื่นเต้นระทึกกว่างานทุกเล่มข้างต้นครับ!

ดังตฤณ
มิถุนายน ๕๓

_____________________________________________________________________________
บทที่ ๑

๕ โมงเย็น

แทนการใช้จิตสัมผัสประกอบพลังคำอันเป็นไปเพื่อเปลี่ยนชีวิตลูกค้าดังเคย มะแมกำลังจะต้องใช้สมองประกอบคำชี้แจงอันเป็นไปเพื่อเปลี่ยนใจคอลัมนิสต์คนหนึ่งที่เพิ่งเขียนด่าหล่อนลงนิตยสาร "มีเธอ" มาไม่นาน

แต่ก็ไม่แน่ ทุกการสัมภาษณ์ที่ผ่านมา ผู้สัมภาษณ์จะ"ขอแถม"เสมอ หล่อนจึงมักเหนื่อยเป็นสองเท่า ใช้ทั้งสมองและทั้งจิตสัมผัสประกอบกัน

มะแมเลือกเวลาเลิกงานมาให้สัมภาษณ์ ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชนรายใด เพราะแสงยังไม่หมดถ่ายรูปได้สบาย แล้วก็ไม่เบียดเบียนเวลาการทำงานตามปกติ กับทั้งยืดหยุ่นได้นานตามความเหมาะสม จะมีข้อเสียคือหล่อนอาจอ่อนล้า หรือหน้าตาไม่สดชื่นไปบ้าง

ด้วยเหตุนั้น มะแมจึงกำหนดเวลานัดเป็น ๑๗:๑๕ เพื่อให้ตนเองมีเวลาหายใจหายคอ หล่อนพักดื่มน้ำและมานั่งหลับตา พักเท้า พักมือ พักหน้า ลากลมหายใจยาว ช้า แล้วผ่อนออกสู่ การพักลมนาน กับทั้งมีความสม่ำเสมอ ขจัดคลื่นรบกวนในหัวออกจนเหลือแต่จิตใจที่ปลอดโปร่ง สว่างสบาย

เพียงด้วยช่วงเวลาพักผ่อนอย่างมีคุณภาพสั้นๆ พลังความสดชื่นก็ถูกเรียกกลับคืนมาเกือบเท่ากับคนทั่วไปพักผ่อนนอนหลับมาทั้งคืนทีเดียว

บรรยากาศในที่ทำงานของมะแมสมกับความเป็นมืออาชีพ หล่อนอายุยังน้อย จึงใช้ชุดสูทกระโปรงสีขาวในเวลาทำงานเพื่อให้ดูเป็นผู้ใหญ่ ส่วนสถานที่เป็นโฮมออฟฟิศหนึ่งคูหาใกล้ทางด่วนย่านชานเมือง ตกแต่งภายในด้วยเฟอร์นิเจอร์ทันสมัย และให้อารมณ์คล้ายสถานที่พักผ่อนมากกว่าจะเป็นที่ทำงาน เคร่งขรึม ไร้กองแฟ้มเอกสารตั้งเกะกะสายตา

หล่อนจ้างเด็กไว้คนหนึ่งในราคาแพงเพียงให้แน่ใจว่ามีลูกมือซื่อๆใช้งานได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ทำความสะอาด รับโทรศัพท์นัดหมาย ต้อนรับลูกค้า จัดคิวหน้าห้อง สภาพความเป็นออฟฟิศจึงเต็มรูปแบบ

ขณะนั้นเอง เด็กลูกจ้างซึ่งกำลังทำหน้าที่เลขาหน้าห้อง ส่งสัญญาณอินเตอร์คอมเป็นการเตือนว่าถึงเวลานัด มะแมเปิดเปลือกตาขึ้น และส่งสัญญาณตอบว่าพร้อมแล้ว จากนั้นเพียงอึดใจหญิงวัยเกินสี่สิบคนหนึ่งก็เดินเข้ามา พร้อมชายร่างอ้วนกลมแบกกล้องใหญ่กับขาตั้งครบชุดมาด้วย

มะแมเป็นฝ่ายพนมมือไหว้ทักอย่างอ่อนโยน

"สวัสดีค่ะ พี่ชลิกาใช่ไหมคะ?"

ชลิกาเป็นผู้หญิงตาขวาง คล้ายพร้อมจะโกรธโลกอยู่ตลอดเวลา ใครเห็นก็น่าจะสัมผัสได้ง่ายๆว่าหล่อนเป็นพวกหมกมุ่นครุ่นคิดยุ่งเหยิง

แต่ด้วยความชำานาญในอาชีพของมะแม ทำให้สัมผัสได้ลึกกว่านั้น หล่อนรู้สึกถึงกระแสชีวิตทึบๆ ร้อนๆ แรงๆของชลิกา กับทั้งแปลได้ถูกว่าฝ่ายนั้นเริ่มต้นจากกำเนิดที่ยากลำบาก ขาดความอบอุ่น แถมโตขึ้นต้องแบกภาระอย่างไม่เป็นธรรม จึงรู้สึกว่าโลกมีแต่แง่ร้ายให้มอง

ในแวบแรกนั่นเอง มะแมได้ข้อสรุปรวบยอดเกี่ยวกับตัวตนของชลิกา ฝ่ายนั้นอัดแน่นไปด้วยความคับแค้น และถูกบีบให้เชี่ยวชาญในการจับผิดคนอื่น หลงลืมข้อดีของใครๆได้ง่าย บางทีรุกรานคู่สนทนาโดยไม่ทันตั้งใจ และว่างๆก็นั่งเป็นทุกข์ได้ด้วยไฟริษยาที่จุดเอง ร้อนเอง แค่เข้าใกล้ก็น่ารำคาญแล้ว
แต่เมื่อต้องโอภาปราศรัย ชลิกาก็ยิ้มแย้มรับไหว้ พูดจาอ่อนหวานได้แบบไม่ฝืน

"สวัสดีค่ะน้องมะแม พี่ปุ๋ยขอบคุณนะคะที่สละเวลาให้นิตยสารเล็กๆของเรา"

ชลิกาใช้สรรพนามแทนตนด้วยชื่อเล่นเป็นการขอผูกสนิท มะแมยิ้มนิดๆ พินิจกิริยาตีสนิทของฝ่ายนั้นอย่างเห็นทะลุ คนพวกนี้เขียนเก่ง ด้วยความที่สั่งสมสำนวนจิกกัดแสบๆคันๆมาหลายสิบปีจนพิสดารขนาดให้คนจำขี้ปากไปใช้ ขณะเดียวกันก็หวานเป็น ให้ตบหัวแล้วลูบหลัง หรือลูบหลังแล้วค่อยตบหัว อย่างไรก็คล่องหมด

"ต้องขอบคุณนิตยสารดีๆของพี่ปุ๋ยที่ให้เกียรติมะแมมากกว่าค่ะ" ปฏิสันถารตอบแล้ว หล่อนก็ผายมือไปทางชุดโซฟารับแขก "นั่งตรงโน้นกันนะคะ"

มะแมเลือกจุดนั้นเพราะเห็นว่าคงมีการถ่ายรูประหว่างสัมภาษณ์ ถ้าเป็นชุดรับแขกจะดูสบาย และถ่ายได้หลายมุมกว่าโต๊ะทำงาน ทั้งสองเคลื่อนมานั่งเข้าที่ และหลังจากเด็กลูกจ้างตามเอาน้ำสองแก้วเข้ามาให้แขกเสร็จ ชลิกาก็เกริ่นพลางเปิดเครื่องบันทึกเสียงสนทนา กับเตรียมกระดาษปากกาสำาหรับโน้ตข้อความสำคัญ

"วันนี้เราจะคุยกันสบายๆนะคะ อาจเข้าเรื่องส่วนตัวของน้องมะแมบ้าง"

"ยินดีค่ะ"

ช่างกล้องเริ่มจัดอุปกรณ์ กางขาตั้ง ขณะนั้นชลิกาก็ยิงคำถามแรก

"ชื่อมะแม แปลว่าเกิดปีมะแมสิคะ?"

"เปล่าค่ะ"

"เอ๊ะ! แล้วทำาไมได้ชื่อนี้?"

"เป็นความฝังใจเศร้าๆของคุณพ่อคุณแม่น่ะค่ะ ในปี ๒๕๒๒ พวกท่านมีลูกคนแรก และตั้งชื่อตามปีนักษัตรว่า 'มะแม' แต่เธออายุสั้น อยู่แค่ไม่ถึง ๗ ปีก็จากไป"

ชลิกาเบิกตากว้าง ท่าทีนั้นประกาศให้ทราบว่าไม่เคยทราบที่มาที่ไปของชื่อมะแม

"อย่างนั้นหรือคะ พวกท่านมีลูกคนเดียว?"

"ค่ะ! ปีต่อมาหลังจากหายโศกเศร้าแล้ว

พวกท่านก็อยากมีลูกด้วยกันอีก และเพราะเห็นหน้าตาคล้ายกันตั้งแต่วันคลอด แถมรักไม่ต่างจากลูกสาวคนแรก เลยตัดสินใจตั้งชื่อเดิมเอาไว้เป็นอนุสรณ์
โดยเชื่อว่าลูกสาวคนเดิมกลับมาเกิดใหม่ เพื่อไม่ให้ต้องคิดถึงอีกต่อไป"

"อือม์..." ชลิกาครางอย่างสนใจ "

แล้วน้องมะแมเชื่อ หรือระลึกได้ว่าเป็นลูกสาวคนเดิมของพวกท่านบ้างไหม?"

"มะแมว่าไม่ใช่นะคะ"

หญิงสาวตอบด้วยสำเนียงปฏิเสธจากส่วนลึก ชลิกาพยักหน้ารับทราบ ก้มลงจดยิกแล้วเงยหน้าแย็บหยั่งเชิง

"ชอบเรื่องลึกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?"

"ไม่ชอบเลยค่ะ ไม่อยากถามตัวเองว่า กำลังโดนแหกตาอยู่หรือเปล่า"

"เอ๊ะ! แล้วอาชีพที่น้องมะแมเลือกนี้มันไม่ลึกลับหรอกหรือคะ?"

"มะแมพูดในสิ่งที่ลูกค้ารู้อยู่แล้วว่าจริงหรือ ไม่จริง อาชีพของมะแมจึงเปิดเผย พิสูจน์ได้ง่ายเฉพาะตัวคนฟัง"

หล่อนตอบแบบไม่ต้องเสียเวลาแปลกใจในคำถาม แล้วก็ไม่ต้องครุ่นคิดหาคำตอบ นั่นย้อนกลับไปทำให้ชลิกาทึ่งได้ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนคิดถามจี้ต่อได้

"งั้นเรียกว่าน้องมะแมใช้ความสามารถที่ลึกลับได้ไหม?"

"วัดความลึกลับจากอะไรคะ?"

"ก็เช่นที่ลูกค้าน้องมะแมต้องถามบ่อยๆว่า 'รู้ได้ยังไง?' ซึ่งแปลว่าพวกเขาฉงนสนเท่ห์ อดสงสัยไม่ได้ว่าน้องมะแมใช้วิธีไหนในการรู้สิ่งที่คนทั่วไปไม่รู้"

"ถ้ามองแง่นั้น ก็เรียกว่าเป็นความสามารถพิเศษดีกว่าค่ะ ความสามารถพิเศษที่จะสนใจ สังเกตความจริง ต่างจากคนทั่วไปที่จ้องจะบิดเบือนความจริง"

"แปลว่าคนทั่วไปมองไม่เห็นความจริงกันเลยหรือคะ?"

"จากการสังเกต มะแมพบว่าคนทั่วไปพยายามเพ่งเล็ง แต่ไม่ได้พยายามมองให้เห็น"

"แหม! ใช้กระดาษจดคำสัมภาษณ์น้องมะแมไม่ได้เลยนะคะนี่"

"ทำไมคะ?"

"พี่จดๆอยู่ เจอคำคมของน้องมะแม กระดาษเกือบขาดแควกแน่ะค่ะ!"

สองหญิงต่างวัยหัวเราะพร้อมกันในบรรยากาศเป็นกันเองกว่าเดิม

"บอกตรงๆ มาอยู่ใกล้น้องมะแมแล้วพี่ปุ๋ยรู้สึกแปลกๆ"

"ยังไงคะ?"

"คือ... น้องมะแมออกจะน่ารักไม่เหมือนพวกเล่นพลังจิต เอ... แต่ดูอีกทีก็นิ่งๆ ชวนให้ขนลุกเหมือนกันนะ เหมือนนางเอกหนังที่ทำให้เราแอบหนาวสันหลังได้"

มะแมหัวเราะอารมณ์ดีกับคำาชมที่ฟังยากว่าจะเอาไงแน่ แค่จะบอกว่าน่ารักยังเป็นน่ารักเหมือนยังไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดชอบกล แต่หล่อนไม่ถือสานัก เพราะตระหนักว่ากำาลังนั่งอยู่กับคอลัมนิสต์ที่เจอโลกด้านมืดมามากเห็นโลกไม่ถูกต้องไปหมด แต่ละคำที่ออกจากปากจึงคล้ายแฝงใบมีดบาดหูเสมอจะจงใจหรือไม่จงใจก็ตาม

ระหว่างการสนทนา ตากล้องก็ลั่นชัตเตอร์ถ่ายรูปไปด้วย มะแมคุ้นกับกระบวนการทั้งหมดดี พอเลือกเก็บมุมสวยขณะทำาการสัมภาษณ์ได้มากพอ ตากล้องส่วนใหญ่จะพักรอถ่ายอีกครั้งเป็นท่ายืนหรือท่าเดินเก๋ๆ ซึ่งเป็นช่วงที่มะแมรู้สึกประหลาดคล้ายต้องจำาใจแกล้งทุกที สู้ให้คุยไปตามธรรมดาแล้วเลือกถ่ายเอาเองอย่างเดี๋ยวนี้ไม่ได้

"มะแมก็ไม่ถือว่าตัวเองเป็นนักพลังจิตนะคะ แค่มีสัมผัสทางใจนิดหน่อยตามอาชีพเท่านั้น เมื่อเป็นมืออาชีพในด้านไหน คนเราก็มีสัมผัสพิเศษทางนั้นกันทุกคน"

แม้คำพูดจะออกมาจากใจจริง แต่ชลิกาก็อดรู้สึกไม่ได้ว่านั่นเป็นการดัดจริตถ่อมตัว เพียงแต่เนียนได้แบบไม่น่าหมั่นไส้ และความรู้สึกนั้นก็ขับให้ชลิกาโพล่งคำถามที่ไม่ได้เตรียมไว้ก่อน

"น้องมะแมคิดจะไปเป็นดาราบ้างหรือเปล่าคะ?"

"ไม่หรอกค่ะ" หญิงสาวตอบทันที ฟังรื่นไหลต่อเนื่อง

"มะแมแสดงเป็นแต่ตัวเองได้บทเดียว"

"แล้วบทบาทแบบมะแมนี่ พูดให้สั้นที่สุดคือ...?"

"แกล้งแสดงให้ดูดีไม่เป็น!"

คำาพูดราบเรียบสม่ำเสมอของสาวนัยน์ตาคม มีผลให้ชลิกาชะงักและยิ้มเจื่อนลง

"น้องมะแมพอใจกับอาชีพของตัวเอง และรู้สึกเป็นตัวของตัวเองที่สุดแล้วใช่ไหมคะ?"

"ค่ะ! มะแมจบตรีจิตวิทยาการปรึกษา และที่เลือกเรียนสาขานี้ ก็เพราะรู้ว่าหน้าที่หลักในอาชีพคือให้คำแนะนำ ช่วยลูกค้าแต่ละคนให้ทราบว่าควรทำอะไร จึงเหมาะกับตัวเองที่สุด ถ้ามะแมยังตอบตัวเองไม่ได้ว่านี่ใช่แล้วหรือยัง อาชีพของมะแมก็ล้มเหลวตั้งแต่แรก"

"ตกลงอาชีพของน้องมะแมคืออะไรกันแน่คะ?"

"นักจิตวิทยา ที่ปรึกษาปัญหาชีวิต หรือจะเรียกอะไรก็คงสุดแล้วแต่ใครมองค่ะ"

"ว่ากันว่าถ้าใครเลือกอาชีพอย่างรู้ตัวว่ารักจะทำอะไร คนๆนั้นต้องอยากเห็นอะไรดีๆเกิดขึ้นสักอย่างด้วยน้ำมือตน น้องมะแมอยากเห็นอะไรเกิดขึ้นจากอาชีพของตัวเองบ้างคะ?"

เป็นครั้งแรกที่นักจิตวิทยาสาวใช้เวลาคิดเล็กน้อยก่อนตอบ

"มะแมเคยถามตัวเองว่า ถ้า 'ทุกคน' ในโลกนี้ทำสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง หรือทำในสิ่งที่ควรจะทำ รู้ไหมจะเกิดอะไรขึ้น? สิ่งที่มะแมทำาอยู่ทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการอยากดูคำตอบของจริงว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมะแมช่วยให้หลายคนทำในสิ่งที่พวกเขาควรทำไม่ใช่ทำในสิ่งที่กิเลสครอบงำให้ทำ"

"ฟังดูดีจังค่ะ สรุปคือน้องมะแมเป็นนักจิตวิทยาที่ปรึกษา?"

"ค่ะ!"

"ไม่ใช่หมอดู?"

"หมอดูเน้นคำาพยากรณ์ มะแมเน้นคำแนะนำ ภาพรวมเป็นคนละเรื่อง"

"แต่จุดแจ้งเกิดของน้องมะแมก็มาจากการพยากรณ์นี่คะ ทำนายเหตุการณ์ระดับประเทศ ถึงได้ดังระดับประเทศ ใครๆก็จำว่าน้องมะแมเป็นหมอดูแม่นๆกันทั้งนั้น"

"อย่างที่มะแมประกาศกับทุกคนแต่วันแรกจนถึงวันนี้ว่าการเห็นครั้งนั้นไม่ใช่ญาณหยั่งรู้ แต่เป็นฝันสังหรณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ให้ทำใหม่ มะแมก็ทำไม่ได้"

ชลิกาทำทีหัวเราะๆแบบแกล้งงง

"เวลาลูกค้าชวนกันมาหาน้องมะแม เขาบอกว่ามาหาหมอดู หรือว่ามาหาที่ปรึกษาปัญหาชีวิตคะ?"

"หมอดูค่ะ!"

"นั่นไง!" ชลิกาเผลอโพล่งดังๆอย่างได้ที ก่อนลดเสียงลงเป็นปกติ

"แล้วน้องมะแมจะปฏิเสธฐานะอาชีพของตัวเองได้ยังไง พี่ว่านะคะ ในไทยเราติดปากกับคำานี้แหละ หมอดู! ถามตรงๆว่าน้องมะแมอยากสร้างหมวดหมู่อาชีพใหม่เป็นที่ปรึกษาพลังจิต หรือนักพลังจิตอะไรทำนอง นี้หรือเปล่า ถึงไม่ยอมรับกับทุกคนว่าเป็นหมอดู"

"เปล่าค่ะ" มะแมยังคงยิ้มละไมให้กับคำถามจี้จุด

"คนอื่นจะมองแล้วให้คำนิยามว่าเราเป็นอะไร ไม่มีผลกับเราในทางปฏิบัติ แต่ถ้าเรานิยามตัวเองผิด จะมีผลกับวิธีปฏิบัติหน้าที่ของเราไปเรื่อยๆ"

"วิธีปฏิบัติหน้าที่ของน้องมะแม ต่างจากหมอดูยังไงคะ?"

"มะแมบอกตัวเองผ่านการประกาศให้คนทั่วไปรับรู้ว่ามะแมเป็นที่ปรึกษา ใจมะแมก็เล็งไปที่การให้คำปรึกษา ไม่ว่าจะต้องใช้ความสามารถด้านไหน งานนักจิตวิทยาในเมืองไทยเป็นของใหม่ เป็นงานอิสระ เป็นแนวทางเฉพาะตัว แล้วก็ไม่ต้องให้ยาคนไข้อยู่แล้ว รูปแบบจึงไม่เคร่งครัด ไม่ต้องซ้ำกับใคร ถึงแม้จะต้องใช้สัมผัสพิเศษก็ตาม!"

ชลิกานิ่งฟังในท่ารักษามารยาท แต่แววตาส่อแววจับผิดเต็มที่ อย่างไรหล่อนก็เห็นมะแมเป็นเด็กรุ่นใหม่ไฟแรงที่หาทางสร้างจุดขายแปลกใหม่ให้ตัวเองเท่านั้น

"งั้นคงต้องให้น้องมะแมลำดับความเป็นมาของตัวเองนะคะ เพื่อให้คนที่ยังไม่รู้จักได้ทราบว่ากำลังทำอะไรอยู่ เราเป็นนักวิทยาศาสตร์เชิงจิตวิทยา ปนนักพลังจิตเชิงทำนายทายทัก หรือผสมกันเป็นแนวใหม่อย่างไรแน่"

"ตั้งแต่เด็กๆ คนชอบมาระบายความอัดอั้นตันใจให้มะแมฟัง เหมือนพากันบังคับให้มะแมคิดว่าจะช่วยพวกเขาอย่างไรดี และมะแมก็พบว่าตัวเองจะปลื้มเหมือนประสบความสำเร็จในชีวิต ถ้าช่วยเขี่ยผงในตาให้พวกเขาเห็นความจริงตรงหน้าได้"

"แปลว่าแต่ละคนมืดบอด มองไม่เห็นความจริงตรงหน้ากันเลย และน้องมะแมเกิดมาก็มีหน้าที่ช่วยให้ทุกคนตาสว่างตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม?"

คำาถามนั้นอ่อนไหว ตอบให้ฟังดียาก แต่ตอบผิดหูคนส่วนใหญ่ง่าย หล่อนทราบว่าถ้าเผลอพยักหน้านิดเดียว ชลิกาจะนำคำพูดของตัวเองมายัดใส่ปากหล่อนทันที จึงทำสีหน้าเรียบเฉย และพยายามเฟ้นถ้อยคำให้ลงตัว

"เวลาใจห่อเหี่ยวด้วยปัญหาหนัก ตาของทุกคนจะถูกกดให้หรี่ลง และต้องการใครสักคนมาช่วยพูดให้รู้สึกดี มีแก่ใจลืมตามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าซ้ำอีกหนด้วยวิธีใหม่ มะแมสั่งสมความถนัดในทางนั้นมา แล้วก็ตัดสินใจรับจ้างทำหน้าที่นั้น มะแมฝึกตัวเองมาช่วยฉุดคนล้มให้ลุกขึ้นยืน ไม่ใช่เผลอเหยียบคนล้มแม้ด้วยสายตาดูถูก"

"โอเคค่ะ! แล้วอาชีพที่ปรึกษา ซึ่งมีหน้าที่ทำให้คนตาสว่าง จบคณะจิตวิทยาซึ่งเป็นสายวิทยาศาสตร์ไหงเกิดฝันสังหรณ์ทำนายเรื่องแผ่นดินไหวได้จนดังระเบิดอย่างนี้คะ?"

"มะแมต้องตอบซ้ำาไปจนตายค่ะว่า 'ไม่รู้' โลกเราเกิดแผ่นดินไหวขึ้นปีละเป็นพันๆครั้ง และครั้งหนึ่งในปีนั้น ก็มาเข้าฝันมะแม บีบให้มะแมอยากป่าวร้อง
เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวซึ่งนั่นไม่ใช่วิชาความรู้ ไม่ใช่ความสามารถทำนายทายทักแต่อย่างใด"

"ขนาดพวกหมอดูระดับประเทศหรือคนที่อวดอ้างว่ามีตาทิพย์ ยังไม่เคยบอกถูกเผงอย่างนี้มาก่อนเลยนะคะ"

"ก็อาจมีค่ะ แต่คงรู้กันในวงแคบ ไม่ใช่เอามาป่าวประกาศแบบมะแม"

"เออ! นั่นสิ การเอาเรื่องใหญ่มาป่าวประกาศบนอินเตอร์เน็ตก็น่าคาดหมายได้นี่คะว่าต้องเป็นที่รู้จักในวงกว้าง น้องมะแมเตรียมรับมือกับชื่อเสียงไว้อย่างไรหรือเปล่า?"

"มะแมไม่ได้อยากดัง ฝันที่ทำให้ตกใจตื่นในกลางดึกของคืนนั้น ไม่ทำให้มะแมคิดอะไรมากไปกว่าตั้งใจเตือนคนที่อาจเชื่อ"

"กลัวพลาดไหมคะ?"

"ถ้าพลาดไป อย่างมากก็โดนเพื่อนหัวเราะเยาะว่าฝันเพ้อเจ้อแล้วตื่นตูมให้คนอื่นตกใจ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงก็หมายถึงมีคนรอดตาย โดยเฉพาะเพื่อนๆของมะแมที่เรียนอยู่แถวนั้น"

"คืนนั้นเป็นเวลาอะไรนะคะ ใกล้ตีสาม?"

"ค่ะ!" หล่อนตอบซ้ำาไปซ้ำามากับสื่อเกินร้อยรอบจึงเล่าทวนได้เหมือนสายน้ำริน

"มะแมหลับตามปกติ แล้วก็ฝันอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้เห็นป้ายชื่อจังหวัด เห็นนาฬิกาบอกเวลาสิบเอ็ดโมงเจ็ดนาที จากนั้นก็เห็นภาพโศกนาฏกรรมที่ทุกคนรู้ๆกันอยู่แล้ว

มะแมเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกวิชามาจากไหน ไม่รู้ว่าตัวเองฝันแม่นได้ยังไง แต่ฝันชัดทีไรเกิดเรื่องขึ้นจริงๆทุกที โดยเฉพาะครั้งนั้นมันฝันชัดจนเหมือนลืมตาตื่นอยู่แท้ๆ ก็เลย..."

"ลุกจากที่นอนมาป่าวร้องทางเน็ตกลางดึก" ชลิกาช่วยพูดต่อให้เร็วๆ จะได้ตัดบทไปถามเรื่องอื่นที่เตรียมไว้

"ตอนแรกเห็นว่ามีคนเข้ามาด่าเยอะ หาว่าสติไม่ดี เป็นเด็กเลี้ยงแกะเป็นคนไข้ศรีธัญญาหนีมาเล่นกระทู้ ตอนนั้นน้องมะแมเสียใจไหม?"

"คือ... จริงๆมะแมกะจะบอกทางเฟซบุ๊คกับทวิตเตอร์เท่านั้น เพราะเพื่อนที่รู้จักมะแมจะทราบว่าเราไม่ใช่พวกกระต่ายตื่นตูม แล้วหลายคนก็เคยประจักษ์ว่าฝันของมะแมแม่นยังไง เผอิญมีเพื่อนที่ออนไลน์คนหนึ่งตกใจ แล้วก็เชื่อมะแมมากๆ รีบยุว่าต้องตั้งเป็นกระทู้ในบอร์ดสาธารณะให้กว้างๆนะ อย่ามัวกลัวถูกด่า เพราะถ้าเป็นแค่ฝันเหลวไหลก็ถือว่าเราตั้งใจช่วยให้คนรอดจากหายนะ แต่ถ้าเป็นฝันที่แม่นยำ นี่ก็คือการยื่นมือเข้าไปช่วยชีวิตคนโดยไม่ยืนนิ่งดูดายเฉยๆ"

"สรุปคือเชื่อลูกยุของเพื่อน แล้วก่อนเที่ยงวันต่อมามะแมเลยดัง"

มะแมยิ้มเงียบ ชลิกาจึงพูดต่อ

"เอาล่ะ ไม่ได้ตั้งใจดังก็ได้ดังแล้ว ชีวิตพลิกผันกันในชั่วข้ามคืนอย่างนี้ ช่วงนั้นปรับตัวทันไหมคะ?"

"ไม่ค่อยทันค่ะ แม้แต่คนในศูนย์เตือนภัยระดับชาติก็ติดต่อมา ตอนนั้นเรากลัวมากพยายามบอกทุกคนว่าเราเปล่า เราไม่รู้ มันฝันเอง แต่คนก็ไม่ฟัง นึกว่าถ่อมตัว ต้องย้ำอยู่นาน กว่าจะเริ่มเชื่อ เริ่มเข้าใจ"

"ที่เริ่มเชื่อเพราะอะไร?"

"เพราะถามกี่ทีเราก็บอกว่าไม่รู้ๆ อย่างเช่นโลกจะแตกเมื่อไหร่ น้ำจะท่วมจริงไหม โรคระบาดจะคร่าชีวิตคนไปกี่สิบล้าน...

มะแมฝันเห็นเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง แต่ความรู้สึกมันแบบเลื่อนลอย ไม่รู้ชัดถึงตำาแหน่งสถานที่ ไม่รู้สึกถึงตำาแหน่งเวลา พูดง่ายๆว่าเป็นฝันลมแล้ง ใครๆก็ฝันได้ แล้วเดี๋ยวนี้ก็ฝันกันบ่อย ฝันกันหลายคนเสียด้วย"

"สรุปคือมันจะเกิดขึ้นจริง แต่ไม่รู้เมื่อไหร่?"

มะแมแอบขำาอยู่ในใจ ชลิกาเหมือนต่อต้านเรื่องญาณหยั่งรู้ล่วงหน้า แต่ขณะเดียวกันก็อยากรู้อยากเห็นไม่ต่างจากคนทั้งหลายนั่นเอง

"อนาคตของโลกเป็นเรื่องใหญ่เกินขอบเขตรับรู้ของมะแมจริงๆค่ะพี่ปุ๋ย มะแมตั้งกฎเหล็กให้ตัวเองข้อหนึ่ง ถ้าไม่แน่ใจแม้แต่นิดเดียวจงอย่าพูด เพราะยิ่งพูดในสิ่งที่รู้คลุมเครือมากขึ้นเท่าไหร่สัมผัสโดยทั่วไปของเราจะยิ่งมัวมนลงเท่านั้น"

"แล้วเรื่องอะไรบ้างคะที่อยู่ในขอบเขตรับรู หรือสัมผัสพิเศษของน้องมะแม"

"ก็เรื่องปัญหาส่วนบุคคล หรือครอบครัว แบบที่มานั่งตรงหน้าให้จับต้องได้น่ะค่ะ"

"เรียนรู้วิธีใช้สัมผัสพิเศษมาจากไหน?"

"ตอนเรียนจิตวิทยามะแมทำวิจัยและ ออกแบบสอบถามมาเยอะ จึงเข้าใจลึกซึ้งว่าทุกคนมีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ แต่การเข้าให้ถึงปัญหาของแต่ละคน บางทีใช้การพูดคุยธรรมดาไม่ได้ เพราะคนเรามีกลไกปกป้องตัวเอง แค่ไม่ให้ความร่วมมือกับเรา ข้อมูลจากปากเขาทั้งหมดก็เป็นหมัน มะแมจึง..."

"เรียนรู้เรื่องสัมผัสพิเศษ"

นักสัมภาษณ์ชอบพูดตัดหน้า แต่มะแมก็ไม่ถือสา ใบหน้าของชลิกาดูมีอายุแล้ว แต่ความใจร้อนไม่ช่วยให้ดูเป็นผู้อาวุโสเอาเลย

"ค่ะ... มะแมศึกษาจากตำรา ค้นคว้าเปรียบเทียบจากอินเตอร์เน็ต รวมทั้งเดินทางไปพบอาจารย์ที่เชื่อกันว่ามีความสามารถทางพลังจิตจริงหลายท่าน เราเองมีทุนอยู่ก่อน พอร่ำเรียนจริงจังเลยเกิดสัมผัสไม่ยากนัก"

"ตอนนี้เหมือนเสือติดปีก ทั้งรู้หลักวิเคราะห์แก้ปัญหาชีวิต แล้วก็มีสัมผัสพิเศษด้วย พอเอามารวมกัน ช่วยให้น้องมะแมทำงานจริงยังไง?"

"มะแมใช้ 'ใจ' สัมผัสมากกว่าตาดูและหูฟัง คือสัมผัสด้วยใจว่าใครมีเรื่องอะไรเป็นปัญหาใหญ่กันแน่ หลายครั้งเจ้าของปัญหาไม่รู้ชัดด้วยซ้ำว่าปมปัญหาอยู่ตรงไหน ทำนองเดียวกับผงเข้าตา เขี่ยเองไม่ออก หาเองไม่เจอ"

"แล้วตอนไขปัญหาให้ น้องมะแมใช้สมอง หรือจิตสัมผัสคะ?"

"ทั้งสองอย่างค่ะ แต่มะแมฝึกให้ตัวเองหาทางลัดด้วยจิตสัมผัสนำ คือ เมื่อสัมผัสถึงปัญหา เห็นด้วยใจว่าตัวปัญหาเหมือนนิมิตความมืด มะแมจะลองนึกถึงความสว่าง ถ้านึกออกแปลว่าปัญหานั้นแก้ได้ด้วยพฤติกรรมด้านสว่างบางอย่าง หักลบหักล้างกับพฤติกรรมด้านมืดของเขาได้"

ชลิกาหัวเราะหึหึ

"สนุกดีนะคะ นอกจากโลกนี้มีสมการคณิตศาสตร์เอาค่าเอ็กซ์ค่าวายมาลบกันให้ได้ศูนย์ ยังมีสมการนิมิตเอานิมิตสว่างมาหักล้างนิมิตมืดได้ด้วย"

"ไม่สนุกเสมอไปหรอกค่ะ บางทีก็ต้องใช้วิธีคิดวิเคราะห์เอาตามธรรมดาเหมือนกัน"

"แล้วทราบอย่างไรคะว่าแนะไปแล้วจะได้ผล?"

"มะแมจะ 'ทำานาย' ให้ลูกค้านึกออกด้วยสามัญสำนึก ว่าถ้าทำอย่างที่เขาเคยชินต่อไป อะไรจะเกิดขึ้น แล้วถ้าทำอย่างที่มะแมแนะ จะได้ผลต่างกันอย่างไร"

"พูดก็พูดเถอะ พี่อยากเขียนถึงความสามารถของน้องมะแมจากประสบการณ์ตรงมากกว่าจะเขียนจากเรื่องที่รับฟังจากน้องมะแมอย่างเดียว ลองสาธิตด้วยการดูพี่ให้หน่อยได้ไหม?"

ชลิกาเริ่มรุก มะแมยิ้มมุมปากเพราะรู้สึกได้ถึงเจตนาลองของมากกว่าจะอยาก "ดูหมอฟรี"

"ได้ค่ะ!"

"แล้วพี่ต้องทำายังไงบ้าง? ได้ข่าวว่าน้องมะแมไม่มีรูปแบบในการดูที่แน่นอน"

"ค่ะ! แต่ละคนเป็นต้นแหล่งสัญญาณข้อมูลที่ส่งมาถึงเครื่องรับทางใจของมะแมต่างกัน มะแมเรียนรู้ที่จะไม่ผูกมัดอยู่กับวิธีใดวิธีหนึ่งตายตัว พอคุยๆกันสักพัก มะแมจะทราบเองว่าควรเข้าถึงคนที่นั่งตรงหน้าอย่างไร"

"แปลว่าตอนนี้น้องมะแมก็ต้อง 'รับสัญญาณ' จากพี่ปุ๋ยมาพอจะให้คำปรึกษาได้ทันทีแล้ว?"

"ค่ะ!"

"งั้นพี่ไม่ถามอะไรน้องมะแมเลยจะได้ไหม? เหวี่ยงไปกว้างๆนี่แหละว่าจะมีคำแนะนำให้ชีวิตพี่ดีขึ้นได้ยังไง"

"ก็พอไหวนะคะ" ในท่านั่งหลังตรง มะแมพิศคนอยากลองของด้วยสายตาตรงครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเลือกวิธี "เอาอย่างนี้ สำหรับพี่ปุ๋ยมะแมขอรูปคนรู้จักของพี่ปุ๋ย ๓ คน แล้วมะแมจะบอกว่าพี่ปุ๋ยคิดอย่างไรกับ ๓ คนนั้น แล้ว ๓ คนนั้นคิดอย่างไรกับพี่ปุ๋ย ดีไหม?"

บางสิ่งบางอย่างในน้ำเสียงของหญิงสาวต่างไป ชลิกาสำเหนียกถึงพลังในตัวอีกฝ่ายที่เข้มขึ้นแบบปุบปับ เหมือนอากาศรอบตัวของมะแมเปลี่ยนแปลงฉับพลัน ราวกับที่ผ่านมาอยู่ในโหมดคุยเล่น แต่ขณะนี้เริ่มเข้าโหมดเอาจริง แม้กระทั่งช่างกล้องก็คงรู้สึกอยากเก็บอิริยาบถใหม่แปลกตาออกไป เพราะเห็นเปิดฝา กดปุ่มเปิดอีกครั้งหลังจากปิดวางกล้อง และนั่งพักมาเดี๋ยวเดียว

"ตายจริง! พี่ไม่มีรูปใครติดตัวมาเลย"

ชลิกาทำเสียงสูงและหางเสียงแปร่ง ยิ่งทำให้มะแมยิ้มกว้างขึ้น

"ในมือถือของพี่ปุ๋ยไม่มีเหรอคะ?"

ม่านตาของชลิกาขยายด้วยอาการครึ่งอยากรู้ ครึ่งอยากลา แต่ไหนๆก็ไหนๆ มาถึงขั้นนี้แล้วควรลองเสียหน่อย ถ้ามีอะไรน่าตะครั่นตะครอเกินฝืน ก็ค่อยขอยุติกลางคันคงไม่สาย

"อ้อ! เออ... จริงด้วย" ชลิกาควักเอามือถือจากกระเป๋าสะพายออกมากดๆก่อนส่งให้มะแม

"ดูคนนี้ซิคะ เอ้อ! เต่าจ๊ะ พี่ขอเป็นการคุยส่วนตัวสักสิบนาทีได้ไหม ช่วยออกไปรอข้างนอกหน่อย คุยเสร็จจะเรียกมาถ่ายต่อ"

"ครับพี่ปุ๋ย"

ตากล้องหนุ่มรับคำ ยกขาตั้งพร้อมกล้องไปวางหลบที่มุมหนึ่งก่อนเดินดุ่มออกจากห้องไปง่ายๆ

มะแมก็รับโทรศัพท์มือถือจากชลิกามาก้มหน้าลงทอดตามองนิ่ง รูปนั้นมีชลิกายืนคู่กับผู้หญิงวัยใกล้เกษียณคนหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึม ขณะที่ชลิกายิ้มแป้น

"น้องมะแมว่าเจ้านายพี่ปุ๋ยเป็นยังไงมั่งคะ?"

มะแมกะพริบตาทีหนึ่ง ช้อนมองคนถามด้วยแววรู้ทัน

"ความรู้สึกแรกของมะแมคือพี่ปุ๋ยมีใจจดจ่อรอคำตอบจากผู้หญิงคนนี้อย่างกระวนกระวาย ความจดจ่อชนิดนี้จากประสบการณ์ทางสัมผัสของมะแม
มันคือการคอยคำตอบเข้าทำงานด้วย ฉะนั้น ถ้าจะเรียกให้ถูก ผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็น 'ว่าที่เจ้านาย' มากกว่า 'เจ้านาย' นะคะ"

ชลิกาทำหน้าตื่น ชูคอเหมือนลูกเป็ดขี้ตกใจก่อนร้องเสียงสูง

"หือ? รู้ด้วย!"

"ถ้าไม่รู้จะกล้านั่งอยู่ตรงนี้หรือคะ... อยากให้บอกไหมคะว่าเธอคิดรับพี่ปุ๋ยเข้าทำงานหรือ เปล่า?"

"อยากสิคะ!"

"ถ้ามะแมต้องพูดตรงไปตรงมา พี่ปุ๋ยห้าม โกรธตกลงไหม?"

ชลิกาอึกอักเล็กน้อย

"ใครจะไปโกรธน้องมะแมได้ลงคอคะ"

"เธอชื่ออะไร?"

"กิ่งกาญจน์"

"อารมณ์ในรูปนี้ คุณกิ่งกาญจน์ไว้ตัว ไม่เต็มใจ และรู้สึกแข็งๆกับพี่ปุ๋ย แล้วความรู้สึกแบบนั้นก็ยังไม่หายไปในวินาทีนี้ด้วย เพราะฉะนั้น..."

มะแมทอดเสียงแบบจงใจให้รู้คำตอบที่ควรจะตามมาเอาเอง

"เอ๊ะ! แต่คุณกิ่งกาญจน์คุยกับพี่ดีมากเลยนะคะ แล้วก็ท่าทางพอใจพี่ด้วย ตอน... เอ่อ..."

"ตอนพี่ปุ๋ยเลียบเคียงเสนอตัวขอทำงาน"

ที่ปรึกษาพลังจิตต่อคำให้ และนั่นก็ชักมีผลให้ชลิกากระอักกระอ่วน

"พี่แค่พูดแบบเด็กที่พร้อมจะรับใช้ผู้ใหญ่ ท่านมีอะไรให้รับใช้พี่ยินดีเสมอ"

"มะแมเดาว่าพี่ปุ๋ยพูดยินดีรับใช้แบบระบุสรรพคุณของตัวเองเกินหนึ่งนาทีแน่ๆเลย"

"ก็..." ชลิกาพูดค้าง แล้วตัดสินใจระงับความกระสับกระส่ายด้วยการเปลี่ยนเรื่อง

"เอารูปต่อไปดีไหมคะ?"

"ได้ค่ะ"

นักสัมภาษณ์ยื่นมือไปรับโทรศัพท์อย่างพยายามควบคุมไม่ให้สั่น หล่อนกดเลือกอยู่พักหนึ่งก็กลั้นใจยื่นส่งคืนที่ปรึกษาพลังจิต

"คนนี้ล่ะ?"

มะแมวางสีหน้าเรียบเฉยขณะเหลือบลงมองรูปใหม่ ซึ่งเป็นหนุ่มวัยสามสิบเศษน่าจะอ่อนกว่าชลิกาประมาณสิบปี กระแสชีวิตของเขาที่หล่อนสัมผัสได้คือความอับจน กลุ้มใจ รู้สึกแย่ แม้กระทั่งจะยิ้มสดใสให้ชลิกาถ่ายรูปยังดูเค้นออกมาจากความฝืน

"พี่ปุ๋ยเอ็นดูเขามากนะคะ น่าจะเป็นรุ่นน้องที่ออฟฟิศ"

"เอ่อ..." สุ้มเสียงของชลิกาเคอะเขิน ประดักประเดิด

"เขาเป็นคนดี ใครๆก็ต้องเอ็นดูเป็นธรรมดา"

"จากรูป มะแมรู้สึกถึงความเก็บกดฝืนใจ และจากสัมผัสความอัดอั้นตันใจชนิดนั้น มะแมเดาว่าเขายืมเงินพี่ปุ๋ยไปรอบหนึ่งแล้ว และกำลังชั่งใจว่าจะมีรอบใหม่ดีไหม"

ชลิกาสะดุ้งเหมือนถูกจิ้มสะดือ ชาเห่อไปทั้งใบหน้า

"พี่เป็นคนยื่นข้อเสนอให้เขาเอง เขาไม่เคยเอ่ยปากยืมแม้แต่คำเดียว"

"แต่พี่ปุ๋ยก็เป็นคนที่เขาเจาะจงระบายให้ฟังเกี่ยวกับปัญหาทางการเงินใช่ไหมล่ะ?"

ชลิกาเริ่มสร้างกำาแพงปกป้อง "น้องชาย" ของหล่อนด้วยวิธีสั่นหน้า
"คืองี้นะน้องมะแม นายติ๊บเนี่ยเป็นคนร่าเริง คุยสนุกชอบเย้าแหย่คนโน้นคนนี้ แต่จู่ๆก็ทำหน้าเศร้า มันเป็นหน้าที่ของพี่ที่ต้องไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ เขาก็ไม่ได้โอดครวญขอความเห็นใจอะไรเท่าไหร่เลย มันเป็นข้อเสนอของพี่เอง"

น้ำเสียงเรียก "นายติ๊บ" ที่ออกจากปากของชลิกานั้น เปี่ยมไปด้วยสัมผัสใกล้ชิดแนบแน่น ขนาดกระตุ้นให้เกิดมโนภาพผุดสว่างขึ้นในใจมะแม เห็นสามฉากไล่ตามกันมา ฉากแรกคือการนั่งปรับทุกข์ในร้านอาหาร ฉากที่สองคือการก้มหน้าร้องไห้ที่ท่าน้ำของบ้านฝ่ายชายโดยมีฝ่ายหญิงโอบปลอบ ส่วนฉากที่สามแวบเข้ามานิดเดียวมะแมก็เซ็นเซอร์ทิ้งทันที

"อยากรู้ใช่ไหมคะ ว่าพี่ปุ๋ยกับเขาจะลงเอยกันยังไง?"

มะแมถามเข้าจุดแบบไม่อยากเสียเวลาอ้อมค้อม ชลิกากลืนน้ำาลายเอื๊อก ก่อนพยักหน้า ติดกันสองทีโดยไม่มีเสียงขัดขืนเลยสักแอะ

"บ้านของเขาน่าจะอยู่ริมเจ้าพระยา พี่ปุ๋ยชอบบรรยากาศที่นั่น มันดูเหมือนหลุมหลบภัยเป็นส่วนตัว แล้วก็ทำให้พี่ปุ๋ยลืมโลกภายนอกกับชีวิตที่เหลือได้ทั้งหมด พี่ปุ๋ยใจกว้างนะคะ ไม่คิดผูกมัดเขา ขอแค่ได้ไปอยู่ในความฝันชั่วคราว ถึงแม้ว่าวันหนึ่งเขาจะเอ่ยปากทิ้งพี่ พี่ก็เตรียมใจจะไม่โกรธแม้แต่นิดเดียว"

ชลิกานิ่งซึม หยาดน้ำหยดหนึ่งเตรียมจะไหลลงจากหางตา แต่เมื่อรู้สึกตัวก็เม้มปากสะกดกลั้นและกะพริบตาถี่ๆ "ใช่!" หญิงวัยใกล้แล้งน้ำหล่อเลี้ยงความสาวยอมรับ "เขาทำให้พี่รู้ว่าความสุขที่จะอยู่ติดใจเราไปจนตายเป็นอย่างไร พี่ไม่จำเป็นต้องเรียกร้องสิ่งอื่นอีก"

"พี่ปุ๋ยคะ สิ่งที่คนเราจะรู้ได้คือใจตัวเองในวันนี้ ไม่ใช่ใจตัวเองในวันหน้าหรอกนะ"

"น้องมะแมหมายความว่า?"

"ยิ่งช่วย ยิ่งผูกพัน ยิ่งใกล้ชิด ความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ จะค่อยๆก่อตัวหนักแน่นขึ้น ภายในเร็ววันพี่จะหวงเขายิ่งกว่าจงอางหวงไข่ และจะบาดใจเกินทน เพียงแค่เห็นเขาคุยกับผู้หญิงที่สาวกว่าพี่ปุ๋ย พี่ปุ๋ยจะลืมความตั้งใจไม่โกรธเขาไปอย่างสนิท ถึงวันนั้นความดูดดื่มในบรรยากาศแสนดีทั้งหลายจะหายไปเหลือแต่ความขมขื่นของการเป็นศัตรูกันท่าเดียว"

"แล้วจะให้พี่ทำายังไง?"

"ถามตัวเองเดี๋ยวนี้ว่าอยากให้สิ่งที่เกิดเพียงครั้งสองครั้งคงอยู่ในความทรงจำว่าเป็นฝันดีตลอดไป หรือจะให้มันค่อยๆเผยตัวว่าเป็นความจริงที่โหดร้ายขึ้นทุกที?"

ยังฟังไม่ทันจบ ชลิกาก็ยกฝ่ามือขึ้นซบหน้าสะอึกสะอื้นอย่างหมดอาย บางสิ่งเกิดขึ้นครั้งเดียวคือฝันดี แต่เกิดขึ้นหลายครั้งคือฝันร้าย หล่อนรู้ เพราะอยู่มาจนป่านนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากทำไมจะไม่เข้าใจ

"ตอนนี้เหตุผลยังอยู่เหนืออารมณ์ พี่ปุ๋ยก็รู้ได้ชัดๆว่าเขาไม่ใช่คู่ อย่างไรก็ไปไม่รอด แต่เมื่อไหร่ผูกพันจนอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล พี่ปุ๋ยจะอยากเชื่อว่าเขาคือคนสุดท้าย ทึกทักว่าเขาจะรักจะภักดี และจะอยู่กับพี่ตลอดไป เดาถูกไหมว่าถ้าพี่ทึกทักอย่างนั้นแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?"

พลังในน้ำเสียงที่ทั้งสว่าง ทั้งนุ่มเย็นของมะแมก่อให้เกิดความเข้าใจแก่คนสดับฟังอย่างประหลาด ชลิกาหยุดร้องไห้และเงยหน้าเหมือนตื่นจากฝัน

"พี่คงเป็นอีแก่ ไม่ใช่แม่พระเหมือนวันนี้ใช่ไหม?"

"คำแนะนำาของมะแมคืออย่าไปหาเขาอย่างนั้นอีก อย่าสร้างความเคยชินให้เขาเห็นพี่เป็นตู้เอทีเอ็ม เพราะจะพอกความด้านชาให้เขาหมดความละอาย
คนดีเปลี่ยนเป็นคนร้ายได้ก็เพราะความด้านชานี่แหละ ถ้าอยากเห็นเขาเป็นคนดี เป็นลูกผู้ชาย ก็ให้เขากัดฟันสู้ด้วยตัวเอง อย่าเผลอเอาน้ำใจเราไปละลายความดีของเขา แบบที่รู้ตัวอีกที ก็เห็นเขากลายเป็นพวกเกาะผู้หญิงกิน และที่แย่กว่านั้น คือลงจากหลังเราไม่ได้แล้ว!"

หัวอกชลิกาว่างโล่งอย่างน่าอัศจรรย์ ถึงขั้นต้องกะพริบตาถี่ๆด้วยความงงตัวเอง

"ขอบคุณน้องมะแมมากนะคะ" สุ้มเสียงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

"เดี๋ยวพี่เรียกเต่ามาถ่ายรูปน้องมะแมต่อดีกว่า ขอบคุณจริงๆสำาหรับคำแนะนำ"

"เดี๋ยวก่อนค่ะ" ยกมือห้ามเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะลุกดังพูด

"ขออีกรูปหนึ่งให้ครบสามเถอะ"

ชลิกาย่นคิ้ว เพราะความรู้สึกคือจุกมาถึงคอหอยแล้ว เหนื่อยเกินพอแล้วกับการได้เห็นความน่าจะเป็น น่าจะไปแห่งชีวิตตน "ไม่เป็นการรบกวนน้องมะแมมากเกินไปหรือคะ?"

"มะแมรู้สึกว่ารูปสุดท้ายสำคัญที่สุด มันอาจเปลี่ยนชีวิตพี่ปุ๋ยได้"

ได้ยินคำตอบเช่นนั้น คอลัมนิสต์หญิงถึงกับอึ้ง พอสบตากันและเห็นรอยยิ้มปรานีของมะแม แทนที่จะรู้สึกดี กลับอยากลองดีขึ้นมาอีกรอบ

"ค่ะ!" แล้วหล่อนก็คว้าโทรศัพท์ที่มะแมวางไว้บนโต๊ะมาเลือกรูปครู่หนึ่งก่อนส่งคืน "นี่ค่ะ"

มะแมชำเลืองมองแล้วอมยิ้มขำา มันคือรูปแมวจ๋องๆตัวหนึ่ง ไม่สวย ดูไม่มีราคา แล้วก็ไม่น่าจะมีความหมายต่อชีวิตของชลิกาเอาเลย

แมวกระจอกตัวหนึ่งจะมาเปลี่ยนชีวิตของผู้หญิงวัยสี่สิบได้อย่างไรเล่า?

"อือม์..." มะแมครางทั้งยิ้มอยู่ในหน้า "แก่แล้วนะคะเจ้าเหมียวนี่ ตอนถ่ายรูปพี่ปุ๋ยอยู่ในอารมณ์ผูกพันแบบหนึ่ง ประมาณเห็นมันแล้วอยู่ๆก็นึกขึ้นมาว่าถ่ายเสียหน่อย พอมันตายไปจะได้เอาไว้ดูเล่น ไหนๆก็เคยป้วนเปี้ยนขอข้าวพี่กินมานาน"

ชลิกาขมวดคิ้วเพ่งมองสาวสวยตรงหน้าอย่างสุดทึ่ง ความจริงตอนเลือกรูปแมว หล่อนว่าหล่อนไม่รู้สึกอะไรกับมันเลย แต่พอฟังมะแมพูดนิดเดียวก็นึกได้ว่าตนมีความผูกพันกับมันมิใช่น้อย จึงยอมรับ

"พี่รู้สึกอย่างนั้นตอนถ่ายรูปมันจริงๆค่ะ แต่ละรูปนี่บอกอารมณ์คนถ่ายได้ด้วยหรือคะ น้องมะแมรู้ได้ยังไง?"

"กรณีนี้ มะแมแค่สมมุติว่าตัวเองเป็นพี่ปุ๋ย ขณะถ่ายรูปในวาระนั้น พี่ปุ๋ยรู้สึกอย่างไร มะแมก็รู้สึกตามด้วยค่ะ"

"น่าทึ่งจริงๆ แล้วเอ่อ...ว่าแต่ว่าแมวตัวนี้มีความสำคัญกับพี่ยังไงหรือคะ?"

"มันมาๆไปๆ ขออาหารบ้าง ขอพักใต้ชายคาบ้านพี่ปุ๋ยบ้างเอาแน่เอานอนไม่ได้ใช่ไหมคะ?"

"ค่ะ"

"วันไหนถ้าพี่ปุ๋ยเหลือเศษอาหารอร่อยๆที่มันชอบ พี่ปุ๋ยก็จะนึกถึงมัน และบางวันตอนอยู่ในห้าง พี่ปุ๋ยก็นึกอยากซื้อขนมแมวมาเผื่อแผ่มัน แต่ไม่มีอะไรผูกมัดจริงจัง เพราะเห็นว่ามันก็ตระเวนขอส่วนแบ่งจากหลายบ้าน หรือคุ้ยของจากข้างทางอยู่แล้ว ใช่ไหม?"

ชลิกาอึ้ง คราวนี้ไม่ใช่ทึ่งในความสามารถของมะแม แต่ประหลาดใจใน "เรื่องเล็กๆน้อยๆ" ที่เกิดขึ้นกับตัวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่ากลับไม่เคยรู้สึกตัว ไม่เคยเห็นภาพความผูกพันระหว่างตนกับแมวเหมือนเช่นที่มะแมบรรยายเลย

"ใช่ค่ะน้องมะแม พี่รู้สึกเหมือนต่างคนต่างอยู่กับมัน ถ้ามันถูกรถทับตาย พี่ก็อาจเอาศพของมันทิ้งขยะโดยไม่อาลัยไยดีนัก นอกจากนานๆทีจะคิดซื้อขนมให้มันบ้าง ก็ไม่เคยมีมันอยู่ในใจเลยด้วยซ้ำ แค่นี้ถือว่ามีความสำคัญกับพี่ปุ๋ยแล้วหรือคะ?"

"มีค่ะ! มีมากด้วย มันอาจไม่สำคัญต่อใจพี่ปุ๋ย แต่มีความหมายกับชีวิตของพี่อย่างคาดไม่ถึงทีเดียว!"

ชลิกาโน้มตัวมาข้างหน้านิดหนึ่งบอกตนเองว่าไม่เคยมีใครจับความสนใจของหล่อนไปเต็มๆได้เท่านี้มานานแล้ว

"น้องมะแมหมายความว่าพี่กับแมวเคยเป็นญาติกันมาแต่ชาติปางก่อนหรือเปล่า?"

"เปล่า..." มะแมตอบกลั้วหัวเราะ "คือจะเป็นญาติกันแต่ปางไหน มะแมไม่เห็น แล้วก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ เพราะผ่านไปแล้ว และจะไม่กลับมาให้ใช้ประโยชน์ได้อีก เรื่องสำคัญคือสิ่งที่พี่ปุ๋ยทำกับมันอยู่เดี๋ยวนี้ต่างหาก เพราะสิ่งที่พี่ปุ๋ยกำลังทำกับมันนั่นแหละ คือตัวบอกว่าพี่ปุ๋ยเป็นอะไรกับมัน และได้อะไรจากมันบ้าง"

"พี่ได้อะไรจากมัน? พี่ว่ามีแต่มันจะได้อะไรจากพี่"

"ลองตอบมะแมเป็นข้อๆนะคะ พี่ปุ๋ยตั้งชื่อเรียกให้มันบ้างหรือเปล่า?"

"พี่เรียกมันว่าไอ้กุด เพราะนิ้วเท้าหลังมันกุดไปนิ้วหนึ่ง"

"เวลาเรียกแล้วมันขาน หรือแสดงการยอมรับว่าเป็นชื่อมันบ้างหรือเปล่า?"

"มันจะร้องเมี้ยว หรือเดินเข้ามาหาพี่หรืออย่างน้อยที่สุดก็มองมาทางพี่" "นั่นคือการยอมรับชื่อนั้น พี่เป็นเจ้านาย หรือเจ้าของชีวิตมัน ด้วยความเต็มใจของมัน จากการให้ข้าวให้น้ำ และจากการตั้งชื่อเรียก"

ชลิกาพยักหน้าและนึกออกตามทันที

"เป็นสิ่งที่พี่นึกไม่ถึงค่ะ และพี่คิดว่าละแวกบ้านคงไม่มีใครเหลียวแลมันจนตั้งชื่อให้เหมือนพี่อีกหรอก"

"แล้วพี่ปุ๋ยเคยคิดหน่วงเหนี่ยวกักขัง จำกัดอิสรภาพของมันไหม?"

"ไม่เคยเลย"

"นั่นแหละคือความผูกพันที่ดีที่สุด พบกัน มีสัมพันธ์ในทางดี แล้วก็ไม่จำกัดอิสรภาพกันและกัน ผลที่เก็บไว้ในใจ จึงมีแต่ความรู้สึกดีๆ แล้วความรู้สึกดีๆน่ะ หายากหรือหาง่าย?"

"ยาก!"

"ตอนพี่ปุ๋ยซื้อของกินให้ตัวเอง แล้วนึกอยากซื้อของกินไปเผื่อแผ่ให้ไอ้กุด พี่ปุ๋ยเคยนึกอยากได้อะไรตอบแทนจากมันไหม?"

"ไม่เคยค่ะ มันจะมาตอบแทนอะไรพี่ได้ พี่มีแต่จะให้"

"ตอนเทอาหารใส่จาน เห็นมันกิน พี่ปุ๋ยเป็นสุขหรือเป็นทุกข์"

"ก็... สบายใจ รู้สึกดี เรียกว่ามีความสุขใช่ไหม?"

ชลิกาตอบแล้วกะพริบตาถี่ๆ นี่เป็นแง่มุม ชีวิตที่เกิดขึ้น แต่เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเลยในความรู้สึกหรือรับรู้...
ความรู้สึกดีๆเป็นของ 'หายาก' แต่ 'สร้างง่าย' ขอให้รู้วิธีเถอะ!

"ค่ะ! คราวนี้สำาคัญ พี่ปุ๋ยเคย 'ได้' ความรู้สึกดีๆจากการ 'ให้เปล่า' กับมนุษย์ด้วยกัน บ้างไหม?"

ชลิกาสะอึกอั้น ถ้าจะให้อะไรใครเป็นต้องกลัวโดนหาว่าโง่เสมอ หรือไม่ก็คำนวณตลอดว่าจะได้อะไรคืนเป็นการตอบแทน

"ก็จริงนะ ขนาดให้แม่ บางทีพี่ยังอดคิดไม่ได้ว่าให้มากไปหรือเปล่า แม่ขอมากไปหรือเปล่า"

อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ชลิกาค่อยๆนึกออกว่าชีวิตคือทะเลทรายและไอ้กุดคือบ่อน้ำเล็กๆที่หล่อนได้อาศัยจุ่มมือจุ่มเท้าลงไปรับความชุ่มชื่นบ้าง เหลือเชื่อที่ความชุ่มชื่นนั้นโดนดูถูกว่า "ไม่มีค่า"

"ตอนมันมาคลอเคลียพี่ปุ๋ย มะแมเดาว่าแรกๆพี่ปุ๋ยรังเกียจเพราะมันดูสกปรก ไม่ใช่แมวมีสกุลรุนชาติ ถูกไหม?"

"ค่ะ!"

"แต่พอหลายครั้ง พอคุ้นๆกัน พี่ปุ๋ยค่อยรู้สึกถึงสัมผัสที่อ่อนโยน รู้สึกถึงความอยากออดอ้อนพี่ปุ๋ยด้วยความรัก และพี่ปุ๋ยก็ไม่นึกรังเกียจมันอีกต่อไป ใช่ไหมคะ?"

"ค่ะ!"

"การให้เปล่าคือการได้เปล่า มันช่วยให้เรารักเป็น ยิ่งรักเป็นมากขึ้นเท่าไร ชีวิตจะยิ่งสว่างจากภายในมากขึ้นเท่านั้น ปัญหาใหญ่ของพี่ปุ๋ยทุกวันนี้คือขี้เหงา คาดหวังจากคน แล้วก็ร้อนรนจากความไม่ได้อย่างใจ ลองคิดดูว่าถ้าเปลี่ยนใหม่ พี่ปุ๋ยคาดหวังความสุขทางใจหลังให้ทานโดยไม่มีเงื่อนไขชีวิตจะแตกต่างไปหรือเหมือนเดิม?"

________________________________________________________________________________
บทที่ ๒

มะแมตื่นนอนตอนตีสี่ครึ่ง ลุกขึ้นมาเล่นโยคะ กับวิ่งสายพานบริหารร่างกาย แล้วบริหารดวงจิตด้วยการลงนั่งปิดเปลือกตาเข้าสมาธิกสิณ สร้างภาพวงกลมสีขาวขึ้นตรงหน้า และรักษาการเห็นภาพทางใจไว้ให้นานจนเส้นรอบวงมีความเสถียร ขอบคม กลมดิกไม่บูดเบี้ยว

จริงๆมะแมไม่ถึงขั้นเป็นนักเลงสมาธิ คือ กำลังสมาธิไม่กล้าแข็งนัก เพราะเดิมเป็นพวกหวั่นไหวง่าย คิดมาก อยากนู่นอยากนี่ แต่หล่อนก็ฝึกหัดวันต่อวัน ลดข้อเสียต่างๆที่จะเป็นอุปสรรคกับสมาธิ ผลจึงเป็นความคืบหน้าไปตามลำดับ

การฝึกให้เกิดความพร้อมทั้งกายและใจตั้งแต่เช้ามืดนี้ มีส่วนช่วยในการ "อ่านชีวิต" ของลูกค้าเป็นอย่างมาก กล่าวได้ว่าระหว่างวันหล่อนจะอ่านขาดหรือไม่ขาด ก็ขึ้นอยู่กับวินัยในการบริหารจิตบริหารกายช่วงเช้านี่แหละ

หลังออกจากสมาธิ มะแมจะลงมาทำกับข้าวร่วมกับเด็กลูกจ้างชื่อหยิม ระหว่างนั้นหล่อนมักพูดคุยกับหยิมทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่หยิมอยากรู้ อยากถาม อยากทำความเข้าใจ และยิ่งหยิมเข้าใจชีวิตมากขึ้นเท่าไร มะแมก็ยิ่งได้คนสนิทที่รู้ใจหล่อนมากขึ้นเท่านั้น

หยิมเองเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้มะแมรู้จักตัวเองดีขึ้น หล่อนเป็นคนประเภทที่ภูมิใจกับการยกระดับมนุษย์ ถ้าหยิมขึ้นมาใกล้กับหล่อนได้ หล่อนถือเป็นผลงาน ไม่ใช่ความผิดพลาด เช่น ให้หยิมเรียกตนว่า "พี่" แทน "คุณผู้หญิง" กินข้าวเช้าโต๊ะเดียวกันตั้งแต่วันแรกที่รับเข้าทำงาน และที่โต๊ะทานข้าวหล่อนมักอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์เจ้าประจำสามฉบับ โดยแบ่งให้หยิมอ่านอย่างไม่เกี่ยงว่าจะต้องรอหล่อนอ่านเสร็จก่อน

ช่วงเช้าวันนั้นมะแมรับลูกค้าจนถึงเที่ยงโดยปราศจากจังหวะเว้นวรรค พอพักเที่ยงก็เตรียมรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งปกติหยิมจะไปซื้อจากปากซอย และยกมาให้ถึงบนห้อง

"จดหมายค่ะพี่"

หยิมยื่นให้กับมือ มะแมรับมามองแล้วเลิกคิ้วนิดหนึ่ง งานของหล่อนไม่ต้องข้องเกี่ยวกับจดหมายโฆษณาหรือการเชิญชวนใดๆนัก ถ้ามีมาก็มักเป็นจดหมายจากคนรู้จักจริงๆ แบบนานทีปีหน เพราะโดยมากการสื่อสารกับคนรู้จักจะผ่านโทรศัพท์มือถือแทบทั้งสิ้น

ซองสีขาวจ่าหน้าชื่อที่อยู่ของหล่อนด้วยลายมืออ่อนช้อยแบบผู้หญิง มะแมฉีกขอบซองและคีบกระดาษข้างในออกมา จดหมายไม่มีการขึ้นต้น ไม่มีการลงท้าย มีแค่เนื้อความเป็นลายมือหวัดแกมบรรจง

เก้าสิบเก้ารายที่ตัดใจจากคนรักได้ อาจมีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นในโลกนี้ แต่อีกหนึ่งรายที่สิ้นหวังจากคนรัก อาจต้องไปมีชีวิตใหม่ที่แย่ลงในโลกหน้า คนเราไม่เหมือนกัน ขอให้ดูดีๆ บางคนอ่อนแอเกินกว่าจะได้รับคำแนะนำให้ตัดใจ

อ่านจบสองรอบด้วยความมึนงง ข้อแรกคือไม่เข้าใจว่าเจ้าของจดหมายต้องการบอกอะไร ข้อสองคือสัมผัสได้ว่าเจ้าของลายมือกับ "เจ้าของเนื้อความ" เป็นคนละคนกัน

เจ้าของลายมือเป็นผู้หญิงธรรมดา พลังชีวิตระดับธรรมดา ส่วนเจ้าของเนื้อความนั้น เป็นใครอีกคนที่มะแมสัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดา

อยากคิดว่าเป็นการเล่นตลกของคนมือบอน สมัยนี้พวกร้อนวิชาอยู่ไม่สุขเยอะจะตาย แล้วก็ไม่จำเป็นต้องกระจอกตกงานมาแต่ไหน อาจถึงขั้น
เป็นไฮโซงานยุ่งที่อยากเล่นบ้าๆขึ้นมาเป็นพักๆ เพื่อหลบหนีความซ้ำซากจำเจที่น่าเบื่อก็ได้

วางจดหมาย หันมานั่งทานข้าวคนเดียวอย่างคลายอารมณ์ แต่คลื่นรบกวนจากจดหมายกลับติดตามมาเป็นระยะ พอจัดการมื้อกลางวันเสร็จ มะแมจึงตัดสินใจให้เวลานั่งตรวจต้นแหล่งคลื่นรบกวนอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

วัตถุกับเจ้าของวัตถุมีความเชื่อมโยงกันปกติแค่มะแมจับตามองหรือใช้ฝ่ามือสัมผัสวัตถุนั้น ก็จะทราบว่าผู้เป็นเจ้าของมีจิตมืดหรือสว่าง ชีวิตเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ตัววัตถุจะช่วยรายงานให้รู้ไปถึงจิตของผู้ครอบครองได้ใกล้เคียงกับที่หล่อนเจอหน้าพวกเขาเองเลยทีเดียว

วางใจเฉย อ่านทวนข้อความในจดหมายอีกครั้งอย่างจะเล็งลึกไปถึง "เจ้าของข้อความ" โดยตรง แต่สัมผัสไปไม่ถึง คล้ายมือกำลังจะยื่นจับวัตถุได้ แล้วเจอแก้วหนาๆกั้นขวางเสียก่อน

เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเอง มะแมปิดเปลือกตาลง ลากลมหายใจยาว ปรับกายปรับใจเป็นปกติ นึกสร้างดวงกสิณขาว ซึ่งตอนแรกโย้ไปเย้มาไม่เต็มวง ตามกระแสคลื่นความคิดฟุ้งซ่าน แต่ภายใน ๕ นาทีก็เข้าที่เข้าทาง หน่วงนึกได้เห็นเป็นขอบคมกลมดิก และเสถียรอยู่เกินหนึ่งนาทีก่อนจะพร่าเลือนลง

สาวพลังจิตลืมตาขึ้นด้วยความมั่นใจว่ายามนั้นสัมผัสของตนใช้งานได้แน่ จึงอ่านจดหมายใหม่เพื่อหยั่งความรู้สึกลงไปถึงเจ้าของเนื้อความ ถ้าเป็นในภาวะปกติ หล่อนอาจ "เห็นหน้า" เขาหรือเธอได้ทีเดียว

แต่แล้วอ่านยังไม่ทันจบ กำาลังใจของมะแมก็ลดถอยลงเฉยๆ เหมือนอยู่ๆก็ถอนความสนใจขี้เกียจใช้จิตสัมผัสเสียอย่างนั้นเอง ถามตนเองว่า
นี่หล่อนจะมานั่งเสียเวลากับจดหมายยั่วความสงสัยฉบับนี้ไปทำไม เปลืองแรง เปลืองใจเปล่าๆ

หลังๆมะแมเก่งในทางเลิกคิดถึงเรื่องไม่เป็นเรื่อง ก็แค่หันความสนใจมาหาเรื่องเฉพาะหน้าจิตก็มีที่หมายให้ดูดติดใหม่ ผละจากที่หมายเก่า
ได้ง่ายๆ

มานอนเอกเขนกในมุมที่จัดไว้ฟังเครื่องเสียงชุดใหญ่โดยเฉพาะ หล่อนชอบดนตรีประเภทกระทบโสตแล้วสามารถปรับพลังทั่วร่างจากปั่นป่วนให้กลับคืนสู่ความสมดุลผ่อนคลาย เห็นผลได้จากที่ลมหายใจยาวขึ้น ลากเข้าและผ่อนออกช้าลง โดยไม่ต้องจงใจพยายาม

นั่นเป็นวิธีพักกลางวันง่ายๆของมะแม ส่วนใหญ่ขยะทางอารมณ์ที่ตกค้างมาจากการอ่านชีวิตลูกค้าช่วงเช้าจะถูกกวาดทิ้งได้เกือบหมดเหมือนหลับเต็มอิ่ม แล้วตื่นอย่างสดชื่นด้วยความพรักพร้อมจะทำางานราวกับเป็นเช้าวันใหม่

บ่ายโมงตรง ลูกค้ารายแรกเป็นหนุ่มมาปรึกษาเรื่องการเปลี่ยนงาน เบื่อการเป็นพนักงานกินเงินเดือน อยากทำอะไรของตัวเองบ้าง แต่เหลือเชื่อที่คนมักไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร และจะประสบความสำาเร็จด้วยการทุ่มเทให้หนทางเส้นไหน มะแมแค่ถามง่ายๆว่าถ้าไม่มีเงินตอบแทน เขาจะเต็มใจทำางานอะไรบ้าง เขาต้องคิดอยู่ครึ่งนาทีก่อนตอบว่า "ไม่มี" และหล่อนต้องเป็นคนบอกว่า "มี" โดยเตือนให้ระลึกได้ว่าเคยซื้อตำรับตำราถ่ายรูปมาเล่นกล้องใหญ่ กับทั้งอาสาถ่ายรูปวันรับปริญญาและวันแต่งงานให้เพื่อนสนิทฟรีๆ เขาจึงค่อยเห็นว่ามีใจให้กับงานถ่ายรูป กับทั้งเป็นไปได้ที่จะอยู่บนเส้นทางตากล้องอิสระ

บ่ายโมงครึ่ง ลูกค้าของหล่อนเป็นคุณป้าหน้าตาอิดโรย มาปรึกษาเรื่องลูก เรื่องผัว โดยรวมอยากมาเล่าๆๆระบายทุกข์ ระบายความอัดอั้น มะแมต้องใช้น้ำเสียงและความสามารถในการพูดจูงคุณป้าให้เกิดสติ เข้าใจคู่ชีวิต เข้าใจลูกหลานอย่างที่พวกเขาเป็น ไม่ใช่อย่างที่ป้าอยากให้เป็น

บ่ายสองโมงเศษ ช้ากว่าเวลานัดเกือบห้านาที เพราะมะแมมัวแต่รับคำาสรรเสริญและอวยพรไม่เลิกของคุณป้า หลังจากต้อนคุณป้าออกจากห้องด้วยตนเองได้ มะแมก็พบกับหญิงสาวที่แต่งหน้าแต่งตัวสวยเช้งคนหนึ่ง สาวงามนางนั้นฝืนยิ้มหน้ามุ่ย เห็นได้ชัดว่าการรอคอยไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยสำาหรับเจ้าหล่อน

"คุณมะแมจะบวกเวลา ๕ นาทีให้แจ๊บด้วยไหมคะนี่?"

"แน่นอนค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ผิดเวลานิดหนึ่ง แต่ถ้ามะแมต่อเวลาให้ใคร คนถัดมาก็ต้องได้ต่อเวลาเช่นกัน"

หญิงสาวที่เรียกตัวเองว่า "แจ๊บ" คลายสีหน้าลง

"แจ๊บกำาลังไม่สบายใจเรื่องแฟนค่ะ"

มะแมยิ้มๆ หน้าตาขี้หงุดหงิดตลอดศกแบบนี้ แฟนของคุณเธอก็คงหาโอกาสสบายใจได้ยากเหมือนกันแหละ

จากสัมผัสที่ได้นั่งเผชิญหน้าในระยะใกล้ กระแสชีวิตของสาวแจ๊บปั่นป่วนรวนเรสิ้นดี สะท้อนถึงความคิดยุ่งเหยิง สับสน อยากนั่น อยากนี่ตลอดเวลา ขนาดเพิ่งใกล้กันแค่ครึ่งนาที มะแมยังอยากปิดตา เบือนหน้าไปทางอื่น เอาใจใส่กับสิ่งอื่นแทน

แต่เห็นหน้าหงิกหน้างอขนาดนี้ ส่งคลื่นรบกวนได้ตลอดวันอย่างนี้ก็เถอะ ผู้ชายยังยอมตื๊อ ยอมเป็นพ่อบุญทุ่มไม่อั้นกันอยู่ดี มะแมรู้เพราะเห็นนิมิตผู้ชายมากหน้าหลายตารุมล้อมแจ๊บ ในแบบมีใจยื่นมาพยายามเชื่อมให้ติด คล้ายกระต่ายหมายปองจันทร์ด้วยความทะยานอยากแม้เกินเอื้อม

"คุณแจ๊บช่วยยืนขึ้นหน่อยได้ไหม?"

"ได้สิคะ"

แจ๊บทราบล่วงหน้าว่ามะแมอ่านคนด้วยวิธีพิสดารไม่ซ้ำากัน จึงลุกยืนง่ายๆ มะแมสำารวจชุดแซกเขียว มีแขน กระโปรงแค่เข่า แล้วมองเล็งไป
ที่สร้อยคอ เหลือบมองกำาไลข้อมือขวา จากนั้นจึงมาหยุดที่นาฬิกาข้อมือซ้าย

"ช่วยถอยหลังไปนิดหนึ่ง... อีกนิด... เอาเป็นถอยไปติดผนังเลยแล้วกันค่ะ"

แจ๊บเริ่มมองคนออกคำาสั่งด้วยหางตา แต่เก็บความสงสัยไว้ ถอยเท้าไปยืนติดผนังแบบอิดเอื้อนเล็กๆ

"มะแมจำเป็นต้องดูคุณแจ๊บทั้งตัวค่ะ จะหาจุดสังเกตสำาคัญบางอย่าง" เมื่อได้ยินคำอธิบายบ้าง แจ๊บจึงค่อยยืนนิ่งให้มะแมสำรวจหุ่นด้วยความเต็มใจขึ้น

"ต้องกางแขนกางขาแลบลิ้นด้วยไหมคะ?" มะแมหัวเราะขำ แจ๊บมีเสน่ห์อยู่ในความเจ้าโทสะ แม้สุ้มเสียงประชดก็ยังฟังน่ารัก

"ไม่ต้องค่ะ กลับมานั่งได้แล้ว ขอบคุณมากนะคะ"

แจ๊บถอนใจเฮือกอย่างไม่เข้าใจอะไร ได้แต่ท่องไว้ว่ายายนี่ดัง ยายนี่เก่ง คงไม่แกล้งใช้ให้ไปยืนเก้อเอาสนุกหรอกกระมัง

มะแมกำลังอยู่ในโหมดกวาดหา แต่ยังหาสิ่งที่ต้องการไม่เจอบนร่างแจ๊บ แต่ในที่สุดก็เหลือบไปสะดุดกับกระเป๋าถือที่แจ๊บวางไว้ตรงหน้าหล่อน

"อ้อ! อยู่นี่เอง" อุทานเบาๆก่อนขออย่างสุภาพ "ส่งกระเป๋าให้มะแมดูหน่อยได้ไหมคะ รับรองไม่เปิดค้น ไม่ละลาบละล้วงใดๆทั้งสิ้น" แจ๊บย่นคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ทำตามที่มะแมต้องการ หยิบกระเป๋าถือตรงหน้ายื่นให้โดยดี

มันเป็นกระเป๋าถือแบรนด์เนม หนังแท้สีซิลเวอร์เมทาลิกสะดุดตา ทรงเก๋ ดูหรู ให้สัมผัสอ่อนนุ่มอย่างมีระดับ ไม่มีทางเป็นของทำาเทียม
เด็ดขาด ราคากี่หมื่นไม่รู้ รู้แต่ว่าแจ๊บไม่ได้ซื้อเองแน่นอน เพราะกระแสความรัก ความหวงแหน และความรู้สึกวาบหวามประจุรวมอยู่ในกระเป๋า
อย่างท่วมท้น ถ้าซื้อเองจะไม่มีอารมณ์ปลื้มของขวัญจากผู้ชายให้สัมผัสแบบเลย

มะแมจับๆดูไม่นานนัก รายละเอียดเกี่ยวกับ "คนให้" ก็กระทบใจหล่อนจังๆ ที่หล่อนจับสัญญาณได้เป็นอันดับแรกคือเจตนาซื้อกระเป๋า
ใบนี้ให้สาวแจ๊บด้วยความหลงพิศวาส อยากเห็นแจ๊บดีใจ

เพียงจับกระแสเจตนาได้ ตัวตนของเขาก็ค่อยๆปรากฏขึ้นในห้วงมโนทวารของมะแม และความแรงของตัวตนนั้น เมื่อทวีขึ้นก็กลายเป็น
รายละเอียดพรั่งพรูไม่หยุด ราวกับน้ำาทะลักจากเขื่อนแตก ขนาดที่สาวพลังจิตต้องรีบคว้ากระดาษกับปากกามาเขียนหวัดๆลงไปกันลืม

จิตใจอ่อนไหวกับผู้หญิง
เรียนเก่งจบสูง
อัศจรรย์ใจแรกเจอ
หลงเสน่ห์ลืมไม่ได้
ผูกพัน
ไปต่างประเทศ
ว้าวุ่นใจเป็นเป้าแก่งแย่ง
ถูกระแวง
ภาระซับซ้อน
รำาคาญ
อยากได้อิสรภาพ
สงสาร
สองจิตสองใจ
เกิดเรื่อง
ตกลงใจ!

นอกจากเป็นบันทึกกันลืม มะแมยังเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงว่าการแปลงมโนภาพออกมาเป็นคำๆเช่นนี้ ช่วยแตกกิ่งก้านสาขาของราย
ละเอียดอื่นๆให้กว้างขวางขึ้น แม้แต่การใส่อัศเจรีย์หรือเครื่องหมายตกใจในตอนท้าย ก็ช่วยตอกย้ำว่าสัมผัสสุดท้ายที่ได้มีความหนักแน่นควร
แก่การมั่นใจขนาดไหน!

พอสาวแจ๊บยื่นหน้ามาดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าหล่อนจดอะไรบ้าง มะแมก็รวบกระดาษลงมาวางบนตักซ่อนจากสายตาเสีย

"กระเป๋าใบนี้เนื่องในโอกาสวันเกิดหรือวันวาเลนไทน์?"

แจ๊บมองคนถามด้วยสายตาตรง ความเป็นผู้หญิงวัยไล่เลี่ยกันทำาให้เกิดอารมณ์อยากลองของ จึงใช้น้ำเสียงขุ่นๆคล้ายผิดหวังในความสามารถทายทักของมะแม

"ถ้าแจ๊บบอกว่าซื้อเองล่ะคะ?"

"มะแมจะไม่คิดเงินคุณแจ๊บ แล้วแถมค่าน้ำมันให้คุณแจ๊บเดี๋ยวนี้เลย!"

แจ๊บยิ้มเผล่อย่างชักเลื่อมใส ท่าทางชื่อเสียงของมะแมคงไม่ได้สร้างขึ้นจากจิตวิทยาเดาทางลูกค้าแน่แล้ว

"วาเลนไทน์!" ตอบอ่อนโยนแบบลดการ์ดลง "แจ๊บอยากรู้ว่าเขาใช่เนื้อคู่ของแจ๊บหรือเปล่า และถ้าใช่ เมื่อไหร่เขาจะขอแต่งเสียที"

มะแมเอนหลังพิงพนัก ภายนอกวางสีหน้าเรียบเฉย แต่ภายในคิดหนักว่าจะพูดให้แจ๊บเข้าใจเรื่องทั้งหมดอย่างไรดี

"เขาชื่ออะไรคะ เอาชื่อเล่นก็ได้"

"ชื่อปาย"

แค่ฟังแจ๊บเรียกชื่อแฟนตัวเอง มะแมก็ทราบทันทีว่าแจ๊บทั้งหลงรัก ทั้งคลั่งไคล้หนุ่มปายขนาดไหน ขืนให้คำาตอบตรงไปตรงมามีหวังดิ้น
พราดๆอยู่ตรงนี้เอง

ที่สุดก็ก้มหน้าชำเลืองมองกระดาษคล้ายแอบดูโพยตอนทำข้อสอบ ทุกอย่างง่ายขึ้นเมื่อเรียบเรียงคำาพูดจากจุดเริ่มต้น ในแบบชวนคุยเรื่อยเปื่อย

"คุณปายนี่เป็นพวกหนึ่งในพันหนึ่งในหมื่นเลยนะคะ เหมือนเกิดมาให้ผู้หญิงทั้งโลกแข่งกันจ้องจะเอามาเป็นถ้วยรางวัล พิสูจน์ว่าชัยชนะจะ
อยู่ในมือใคร"

แม้ไม่มองหน้า มะแมก็รู้ว่าแจ๊บลอบยิ้มภูมิใจ ฝ่ายนั้นน่าจะทะนงมานานว่าตัวเองต้องชนะสาวทั้งแผ่นดินแน่!

"แล้วคุณปายนี่นะ..." มะแมร่ายต่อ "เจอกันง่ายๆไม่โดนใจเขาหรอก ต้องเจอกันแบบแปลกๆถึงจะเก็บไปฝัน ให้มะแมทายนะ คุณสอง
คนต้องพบกันแบบเหลือเชื่อ ราวกับฝันไป ไม่ใช่แค่ประทับใจธรรมดา"

ที่จริงมะแมเห็นภาพๆหนึ่ง แต่ไม่กล้าเสี่ยงพูด เพราะเห็นไม่ชัดนัก ปกติหล่อนจะตีค่าความแจ่มชัดของสัมผัสออกมาเป็นคะแนน ถ้าภาพใน
ใจมีมิติ ทรงชีวิตชีวา ตลอดจนให้ความรู้สึกเป็นจริงเป็นจังว่าใช่แน่ อย่างนั้นถือเป็นคะแนนความมั่นใจเต็มร้อย แต่ถ้ากำ้กึ่ง ภาพเบลอ หรือ
เหมือนมีหมอกมัวบดบัง ก็ตีเป็นคะแนนความน่าเชื่อถือได้ไม่ถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งท่านั้นหล่อนจะรอดูองค์ประกอบอื่นก่อนพูด

"ค่ะ!" แจ๊บยอมรับด้วยเสียงคมใส "แจ๊บว่าต้องไม่มีคู่ไหนในโลกได้เจอกันแบบเราแน่ วันนั้นแจ๊บรีบเป็นบ้าเป็นหลัง เพื่อนช่วยไปส่งที่ห้าง
ไอ้เราผลุนผลันลงจากรถพร้อมถุงหลายใบ เลยลืมกระเป๋าถือของตัวเอง เพื่อนก็รีบออกรถเพราะเป็นที่จอดชั่วคราว พักหนึ่งแจ๊บถึงรู้ตัว แทบเป็น
ลมเลย เพราะทั้งกุญแจรถ โทรศัพท์ และเงินทองอยู่ในนั้นหมด โชคดีเผอิญเหลือเศษเหรียญอยู่ เลยตรงเข้าไปใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะของห้าง
แต่จำเบอร์เพื่อนไม่ได้ถนัด เพราะไม่เคยต้องกดเอง"

"คุณแจ๊บเลยกดผิด ไปเข้าเบอร์ของเขา แล้วก็บังเอิญที่สุดในโลก เขากำลังยืนจับตามองคุณแจ๊บอยู่ด้วยความสะดุดตาก่อนหน้านั้นอยู่พอดี!"

มะแมรีบต่อให้อย่างนึกเสียดาย ที่ไม่เป็นฝ่ายชิงเล่าออกมาเสียก่อนหน้านี้ หล่อนเห็นภาพต่อโทรศัพท์ผิด และคนรับโทรศัพท์ก็ยืนอยู่ใกล้ๆ
นั่นเอง เครื่องยืนยันความถูกต้องคือเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากตบมือลั่นของแจ๊บ

"ใช่ๆๆ!" มันเป็นการเล่าที่วนไปเวียนมานับร้อยรอบ แจ๊บจึงดีใจที่มะแมช่วยทุ่นแรง ไม่ต้องให้หล่อนฉายจุดสุดยอดซ้ำด้วยตนเอง "เหลือเชื่อ
จริงๆคุณมะแมว่าไหม? ทุกคนฟังเรื่องแล้วฟันธงเลยว่าเทวดาหรือบุญเก่าแต่ปางไหนส่งเรามาเจอกันแน่ๆ ไม่ต้องสงสัยเลย"

"เขาอาสาไปส่งคุณแจ๊บ?"

"ไปส่งที่รถเพื่อนน่ะค่ะ บรรยายไม่ถูกเลยว่ารสชาติของวันนั้นมันหวานแหวว แล้วก็ประหลาดล้ำลึกขนาดไหน"

แจ๊บทำตาลอยฝันๆ

"ร้อยปีน่าจะมีแบบคุณแจ๊บคู่เดียว" มะแมช่วยเสริมให้อีกฝ่ายได้ฟูฟ่องเต็มที่ "ทางคุณปายก็หลงคุณแจ๊บแบบออกอาการหนักเหมือนกันนะ
เจอกันไม่กี่วัน ผูกพันเหมือนคบกันมาสิบปี เขาเรียนดอกเตอร์ยังไม่จบ แทบไม่อยากกลับไปเรียนต่อเลยทีเดียว"

คราวนี้แจ๊บเบิกตากว้าง อ้าปากค้างอยู่นานก่อนหัวเราะดังๆแบบเปิดหมดเปลือก เพราะไม่เหลือความสงสัยในความสามารถของมะแมอีกแล้ว

"เก่งค่ะ! ตอนเจอกันพี่ปายเขากลับเมืองไทย ต้องมาหาข้อมูลอะไรของเขาช่วงหนึ่ง เขาพูดเองเลยว่าถ้าไม่ใช่เพราะเหลืออีกปีเดียวน่าจะจบ เขาจะไม่กลับไป จะอยู่แต่งงานกับแจ๊บเดือนนั้นเลย"

มะแมหัวเราะเอื่อยเพื่อให้เข้ากับเสียงเล่าหวานๆของแจ๊บ ชักนึกสงสารจนไม่อยากพูดอะไรต่อ อยากปล่อยให้ล่องลอยอยู่กับ "ความฝันที่เคยเป็นจริง" ตามทาง

"เป็นความสุขที่น่าอิจฉามากค่ะ"

"เหรอคะ? แจ๊บถือว่าเป็นคำาทำานายแล้วนะ เขาจะกลับมาแต่งกับแจ๊บเมื่อไหร่? นี่ก็ตั้งปีกว่าแล้ว ไม่ทันใจเลยจริงๆ"

มะแมถอนใจยาว เบือนหน้าไปอีกทาง ไม่อยากเห็นนัยน์ตาของอีกฝ่ายนับแต่นั้นเลย

"เสียดายนะคะ ระยะทางที่ห่างไกล ทำให้ใจของคุณแจ๊บร้อนรนไปหน่อย คุณแจ๊บมั่นใจในเสน่ห์ของตัวเอง แต่ขณะเดียวกันก็ระแวงว่าเขาจะมีใครอื่นไปเรื่อย"

ความสุขที่กระจายมาจากแจ๊บหายวูบแบบเฉียบพลัน

"ก็เขายอมรับนี่คะว่าก่อนหน้านั้น เขามีแหม่ม มีหมวย มีสาวแขกมาติดพันเยอะแยะ ที่ว่ามีนี่มีอะไรกันด้วยนะ ไม่ใช่แค่มีมาเกาะแกะ"

"เขาขอให้คุณแจ๊บไว้ใจ แต่คุณแจ๊บก็ไม่เคยไว้ใจเขา เผลอพูดซักไซ้ทุกวันใช่ไหมล่ะ?"

"ก็ช่วยไม่ได้นี่!"

แจ๊บก้มหน้าจีบปากพูด พยายามทำเสียงอู้อี้ให้ฟังน่ารัก แต่มะแมรู้ดีว่าตอนแจ๊บสอบเค้นแฟน น้ำเสียงจะไม่ใช่แบบนี้ และมันก็จะค่อยๆเพิ่มความบีบคั้นหัวใจได้หนักหน่วงเข้าขั้นผู้คุมนักโทษในที่สุด

มะแมระบายลมหายใจช้าๆ กี่คู่หวานต่างก็ค้นพบตรงกันหมด แต่ไม่ค่อยเอาไปบอกต่อ หรือไม่ค่อยอยากรับสารภาพ...

แรกพบสบตาแค่มายา ปัญหาที่ตามมาสิของจริง!

"คุณแจ๊บเคยบินไปหาเขาครั้งหนึ่งด้วยนี่ใช่ไหม? ตอนนั้นเขาหัวปั่นน่าดูเลยนะ เพราะกำลังวุ่นเรื่องงาน เรื่องเรียนอย่างหนัก แล้วต้องมาเทคแคร์คุณแจ๊บอีก มันทำให้ภาระของเขาซับซ้อนสุดขีด ทั้งหมดนั่นก็เพียงเพื่อแลกกับที่คุณแจ๊บได้สบายใจว่าเขาไม่ซุกซ่อนใครไว้จริงๆ"

หน่วยตาแจ๊บเบิกกว้าง

"คุณมะแมรู้ขนาดนี้เลยเหรอ?"

มะแมเบนหน้ากลับมาสบตาตรง ไม่ตอบคำถาม แต่พูดเข้าเรื่อง

"ความผิดพลาดที่สุดของผู้หญิงเรา ไม่ใช่ตอนส่งเสียงวี้ดบาดแก้วหู แต่เป็นการส่งคลื่นรบกวนจิตใจไม่เลิกรา บางทีคลื่นรบกวนก็มากับคำพูดหรือเมสเสจที่ฟังดูดีนี่แหละ เสน่ห์ของเราอาจทำให้เขาทนได้นาน แต่วันหนึ่งการจับผิดซ้ำๆจะเปลี่ยนแรงดึงดูดของเราให้กลายเป็นแรงกดดัน ผลักไสเขาออกห่าง ขนาดที่เราต้องใจหายเมื่อรู้ตัวในภายหลัง"

"เอ่อ... นี่หมายความว่า...?"

"วิธีการเหนี่ยวรั้ง บางครั้งมันยิ่งกว่าการผลักไส"

แจ๊บหน้าร้อนผ่าว ชักหนาวๆสันหลัง

"แต่แจ๊บพยายามเอาใจเขาทุกอย่าง อยากได้อะไรให้หมด เขาเป็นคนแรกที่ได้แจ๊บด้วย ถือว่าแลกกันแล้วนี่"

"คนเราไม่จำว่าได้อะไรมาจากใคร แต่ฝังใจว่าเสียอะไรไปให้คนอื่น โดยเฉพาะสำหรับคนธรรมดาคนหนึ่งแล้ว การถูกจับผิดอยู่ตลอดเวลา คือการเสียความเป็นตัวของตัวเองไปทั้งหมด หรือเท่ากับไม่มีชีวิตเป็นของตัวเองอีกเลย ถามตัวเองสิคะว่าถ้าคุณปายให้สิ่งมีค่าบางอย่างมาโดยมีข้อแม้ว่าคุณแจ๊บต้องยกทั้งชีวิตทั้งหมดให้เขาไป คุณแจ๊บจะยอมไหม?"

"ยอม!"

แจ๊บตอบสวนทันควัน

"มะแมกำาลังพูดถึงยกชีวิต 'ทั้งหมด' ซึ่งรวมทั้งความรู้สึกนึกคิดด้วยนะคะ แต่ที่ผ่านมากะแค่ยอมไว้ใจเขายังไม่ได้เลย"

"แจ๊บเชื่อว่าแจ๊บกับพี่ปายเป็นคู่แท้" คนมาขอคำปรึกษาเน้นเสียงหนักแน่นอย่างไม่ยอมแพ้

"คู่แท้ควรจะเห็นใจกันไม่ใช่หรือ? แค่จับผิดนิดจับผิดหน่อยจะอะไรนักหนา เขาน่าจะใจกว้างเข้าใจว่าเราหวงก็เพราะรัก"

"คืออย่างนี้นะคะคุณแจ๊บ พอคอยจ้องจับผิดคนอื่น เราจะเริ่มทำอะไรผิดๆโดยไม่รู้ตัว และมากขึ้นเรื่อยๆ บางทีถึงขั้นทำให้คนถูกจับผิดนึกว่าเราประสงค์ร้ายก็มี"

นั่นเหมือนหนามตำให้แจ๊บสะดุ้งได้ แต่ยังปากแข็ง

"อะไร... แจ๊บทำผิดยังไง?"

"ก็ไม่ต้องอะไรมาก แค่เผลอไปเพ่งบ่อยๆว่าคู่ของเราไม่ได้อย่างใจตรงไหนบ้าง แล้วคาดคั้นบ่อยๆว่าจงเป็นอย่างใจฉันให้ได้เดี๋ยวนี้ นั่นแหละผิดทางสร้างคู่แท้ เข้าทางสร้างคู่เวรแล้ว"

แจ๊บเริ่มหน้าหงิก ชักรู้สึกเหมือนมานั่งให้คนไม่รู้จักต่อว่าเอาฝ่ายเดียว ขนาดเพื่อนสนิทหรือแม้แต่พ่อแม่หล่อนยังไม่ฟังเลย แล้วยายคนนี้เป็นใคร?

"คุณมะแมสรุปว่าแจ๊บกับพี่ปายลงเอยกันยังไงคะ"

แจ๊บถามเป็นสัญญาณบอกการหมดความอดทนฟังเทศนาต่อ มะแมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจึงเลือกใช้ไม้แข็ง อาจจะเพราะอ่านออกทะลุปรุโปร่งว่ายายตัวแสบตรงหน้านี่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจขนาดไหน เลยไม่ค่อยมีแก่ใจประเล้าประโลมเท่าไรนัก

"สิ่งที่คุณแจ๊บทำไปทั้งหมด นำไปสู่การลงเอยโดยตัวของมันเอง มะแมมีหน้าที่แค่ค่อยๆฉายภาพให้คุณแจ๊บดู"

สองสาวประสานตากันนิ่ง แล้วมะแมก็เป็นฝ่ายรู้สึกตัวว่าทั้งน้ำเสียงและสายตาของตนชักกระด้างผิดปกติไปหน่อย จึงปรับระดับให้นุ่มนวลลง แต่ยังคงเป็นถ้อยคำแบบชกตรงเหมือนเดิม

"จากที่มะแมสัมผัสได้ พอคุณแจ๊บกลับเมืองไทยได้พักหนึ่ง น่าจะเคยเมา แล้วก็เผลออาละวาด ถามถึงวันกลับจากแฟนซ้ำแล้วซ้ำอีก ฝ่ายเขาก็อึกอักอยู่นั่นเอง คุณแจ๊บถึงจุดเดือดขึ้นมาเลยขาดสติ ด่าเขา แช่งเขา ลำเลิกที่เขาเคยได้คุณแจ๊บมาแล้วจะมาทิ้งขว้างกันไม่ได้ พอทะเลาะหนักเข้า คุณแจ๊บก็ลามถึงพ่อถึงแม่เขา มะแมไม่รู้ว่าคุณแจ๊บใช้คำแรงๆอะไรไปบ้าง รู้แต่ว่ามันเสียดแทงมาก แล้วก็ทำให้เขาเข็ดขยาด หรือประมาณกลัวๆคุณแจ๊บอย่างถาวรไปเลย"

คราวนี้แจ๊บนั่งตัวแข็งทื่อ เงียบกริบ ไม่เถียงสักคำ...

"เข้าใจหรือยังคะ คำพูดที่ขาดสติของคุณแจ๊บนั่นเองคือจุดลงเอยของความสัมพันธ์ แต่ด้วยความที่คุณปายทั้งรัก ทั้งสงสาร เขาเลยพยายามถนอมน้ำใจคุณแจ๊บเรื่อยมา"

ริมฝีปากของแจ๊บสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม คล้ายลำคอถูกยัดด้วยนุ่นหนา จะเปล่งคำก็เปล่งไม่ออก มะแมเห็นแล้วเกือบใจอ่อน คิดเปลี่ยนไปชวนคุยเรื่องอื่นเป็นการชักแม่น้ำทั้งห้าสักพัก แต่อีกใจก็รู้สึกว่าถ้าขาดความต่อเนื่อง ลูกค้ารายนี้ก็จะหลงประเด็น แล้วจับแพะชนแกะมั่ว เลยตัดสินใจเผยความจริงให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

"เขาเรียนจบแล้วค่ะ และดูเหมือนรับปากหรือเซ็นสัญญาทำางานที่โน่นไปแล้วด้วย น่าจะเป็นเวลาหลายปี ถ้าเดาไม่ผิดทางบริษัทต้องจ่ายเงินชดเชยให้หน่วยงานที่ส่งเขาไปเรียนมากโข เขาก็กำลังรอจังหวะดีที่สุดที่จะบอกคุณแจ๊บ ถึงคุณแจ๊บจะบินไปหาอีก ก็อาจพบว่าเขาไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว และก็ไม่แน่ว่าเขาจะใจอ่อนยอมบอกที่อยู่ใหม่หรือเปล่า"

ม้วนเดียวจบตามความตั้งใจ มะแมค่อยโล่งไปเปลาะ หล่อนคุ้นเคยกับบรรยากาศข้นหนักแบบนี้ดี ตั้งใจว่าอีกเดี๋ยวค่อยปลอบด้วยถ้อยคำทุ้มนุ่มเป็นเหตุเป็นผล ดึงใจให้ฝ่ายรับฟังได้กลับสติขึ้นใหม่ และกลายเป็นอีกคนที่รู้คิดกว่าเดิม

"ทำาไม... เขา... คุณมะแมแน่ใจหรือคะ?"

แจ๊บเสียงสั่นเครือ เอ่ยตะกุกตะกักเหมือนเด็กหลงทางที่เพิ่งรู้ตัวว่าถูกผู้ใหญ่ทอดทิ้ง ไม่เอาไปด้วยแล้ว...

มะแมสงสารจับใจขึ้นมาก็คราวนี้ จริงๆแจ๊บน่าจะสงสัยอยู่ก่อนว่าคนรักไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกต่อไป ไม่ใช่แค่ปล่อยให้มองหาแล้วใจหาย ที่มาหาหล่อนก็หวังเพียงให้ช่วยตามคนรักกลับมา ไม่ได้คาดฝันว่าจะพบการตอกย้ำความจริงสะเทือนสำานึกลึกยิ่งขึ้นอีก

"คุณแจ๊บคะ มะแมว่าบุญเก่าของพวกคุณทำกันมาดีพอ ถึงจูงมาพบ มาคบกัน แต่บุญใหม่ช่วยสร้างกันไม่ถึงไหน ต่างฝ่ายต่างรักษากันและกันไว้ไม่ได้ แต่มะแมรับรองว่าเร็วๆนี้..."

ยังไม่ทันขาดคำ มะแมก็เจอประสบการณ ์ครั้งแรก ที่ลูกค้าลุกขึ้นกลับหลังหัน ปึงปังพรวดพราดออกจากห้องไปด้วยกิริยาเกรี้ยวกราด ลืมแม้กระทั่งจ่ายเงินค่าปรึกษาให้

มะแมก็ช็อคเป็นเหมือนกัน นิ่งงันอย่างทำอะไรไม่ถูก ไม่ทราบจะเอาอย่างไรดี ระหว่างวิ่งตามไปปลอบหรือปล่อยให้ฝ่ายนั้นสงบอารมณ์เอาเองตามบุญตามกรรม

มั่นใจว่าสามารถกล่อมให้แจ๊บระงับโทสะได้ แต่ก็รู้สึกเหนื่อยๆ เพลียๆ แข้งขาไม่อยากขยับอย่างไรไม่ทราบ หล่อนมีข้ออ้างที่ดีคือยังมีลูกค้าคนต่อไปรออยู่ หากจะปลอบแจ๊บต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมงเป็นแน่แท้ แม้ฝืนดันทุรังตามออกไปก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีเวลาพออยู่ดี

คิดเช่นนั้นแล้ว มะแมก็ถอนใจเฮือก บอกตนเองว่าเอาเวลาที่เหลือไปพักผ่อนกินน้ำกินท่าดีกว่า

______________________________________________________________________________
บทที่ ๓

วงจรชีวิตยังคงเป็นไปตามปกติเมื่อครบรอบ มะแมเข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่มครึ่ง ปิดตาเข้าสู่ความหลับสนิท ด้วยอาการของคนที่พร้อมจะทิ้งขยะทางอารมณ์ ไม่เอาเข้าไปร่วมในนิทราสวัสดิ์ด้วย

หกชั่วโมงผ่านไป นาฬิกาชีวะปลุกให้มะแมตื่นเองตอนตีสี่ครึ่งพอดีเหมือนทุกวัน จะแตกต่างบ้างก็คือก่อนตื่นไม่กี่อึดใจ หล่อนฝันว่ากลับเป็นเด็กนักเรียนอีกครั้ง และทำข้อสอบผิด มารู้ตัวก็เมื่ออ่านเฉลยในภายหลัง พอตื่นขึ้นเลยรู้สึกแย่นิดหน่อย แต่ฝันก็คือฝัน หล่อนขี้เกียจค้นหาต้นตอของฝันไม่ดี เพราะอาจขุดลงไปเจอข้อผิดพลาดที่ผ่านมาแล้ว และพลอยทำให้เสียความมั่นใจในการทำงานวันใหม่ไป

ทุกเช้าหล่อนมีกติกากับตนเองว่าจะต้องตื่นขึ้นกับความเชื่อมั่นว่าชีวิตตนสุกสว่าง และพร้อมจะกระจายรัศมีความสว่างต่อไปให้คนอื่น ประดุจเปลวเทียนต่อเปลวเทียน หล่อนเรียนรู้ข้อผิดพลาดทุกชนิดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในวันที่มันเกิด กับทั้งตั้งใจควบคุมอย่างดีไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก จึงไม่มีความจำเป็นต้องทบทวนความผิดพลาดใดๆให้ใจหม่นหมองซ้ำซาก

เล่นโยคะ วิ่งสายพาน นั่งสมาธิ ทำกับข้าว ระหว่างทำก็สอนโน่นสอนนี่ให้หยิมฟัง กินข้าวเช้าร่วมกัน อ่านหนังสือพิมพ์ ขึ้นไปอาบน้ำเตรียมพบกับลูกค้ารายแรกของวัน ทุกสิ่งเข้าที่เข้าทางตามกิจวัตรไม่สะดุด

ลูกค้าช่วงเช้าผ่านไปทีละคนด้วยความราบรื่นยิ่ง ถึงเวลาพักกลางวันมะแมจึงเต็มอิ่มด้วยความภาคภูมิกับการเปลี่ยนชีวิตของลูกค้า ๖ คน มากบ้าง น้อยบ้างตามเหตุปัจจัย แค่ลูกค้าปรับความเข้าใจในชีวิตให้ดีขึ้นได้แม้แต่นิดเดียว หล่อนก็นับว่านั่นคือความสำเร็จแล้ว

หน้าที่ของหล่อนคือเปลี่ยนใจคน เพราะถ้าไม่เปลี่ยนใจ ชีวิตก็ไม่มีทางเปลี่ยน

อิ่มเอมเปรมปลื้มอยู่ดีๆ สิ่งรบกวนจิตใจชิ้นใหม่ก็ลอยมาแปะหน้า

"จดหมายค่ะพี่"

มะแมหุบยิ้ม แต่หยิมไม่ทันเห็นว่านั่นคือความผิดปกติ พอจัดสำรับอาหารบนโต๊ะกลางเสร็จก็เดินออกจากห้องโดยไม่ทักอะไร

สาวพลังจิตลากลมหายใจยาว ก่อนผ่อนออกอย่างพยายามไม่เครียด แกะซองดึงกระดาษจดหมายออกอ่านด้วยอาการเป็นปกติ ยอมรับว่าใจแป้วชอบกล ความรู้สึกไม่ต่างจากการต้องเข้าฟังเทศนาของผู้หลักผู้ใหญ่ก็ว่าได้

ถ้ายุ่งกับเรื่องของตำรวจ ระวังจะตกอยู่ในอันตราย

ขนลุกเกรียว คล้ายดังบรรทัดข้อความนั้นเป็นธารน้ำแข็งยะเยียบ หลั่งราดจากสมองลงไปถึงไขสันหลัง มันเป็นจดหมายลายมือผู้หญิงเช่นเดิม ส่วนเจ้าของข้อความตัวจริง ก็สื่อสารให้พิศวงงงงวยตามเคย

พอรู้สึกตัวว่าลมหายใจหยาบและสั้น มะแมก็ระงับความกระวนกระวายที่ก่อตัวขึ้นทีละน้อย ลากลมหายใจยาวอย่างผ่อนคลายกว่าเดิม พยายามบอกตัวเองว่าเจอตลกร้ายอีกแล้ว ไม่มีอะไรน่ากลุ้มจริงหรอก

กินข้าวเสร็จพักผ่อนด้วยดนตรีคลายอารมณ์ดังเคย แต่มะแมรู้ตัวว่าความวิตกคืบคลานรุกล้ำาเข้ามาไม่หยุด จดหมายลึกลับที่มีแต่การสั่งสอนและการเตือนภัยนี้ คงไม่ใช่แค่วิธีโฆษณาขายประกันอันแหวกแนวของบริษัทใดเป็นแน่

ถ้าใครตั้งใจแกล้งเล่นงานหล่อนให้กระวนกระวาย ก็นับว่าประสบความสำาเร็จเป็นอย่างสูง ตอนนี้หล่อนกำลังคิดหนัก วันๆมีแต่ลูกค้ามาขอคำปรึกษาเรื่องความรัก และส่วนใหญ่หน้าที่ของหล่อนคือบอกวิธี "ตัดใจซะ" แน่นอนจดหมายฉบับเมื่อวานย่อมก่อความละล้าละลัง โดยเฉพาะตอนเจอกรณีสาวแจ๊บ ที่หุนหันพลันแล่นอย่างน่ากลัว แค่รู้ว่าโดนแฟนทิ้งแน่ก็ฟาดงวงฟาดงาต่อหน้าต่อตาหล่อนแล้ว ป่านนี้ยังไม่รู้ว่าเจ้าหล่อนจะไปจัดการกับชีวิตตัวเองท่าไหน

มาถึงจดหมายฉบับล่าสุด อ่านผ่านๆเหมือนการข่มขู่ดีๆนี่เอง ที่แท้ "เขา" อยากให้หล่อนเลิกอาชีพที่ปรึกษาปัญหาชีวิตหรืออย่างไร เจ้าของจดหมายเป็นใครกันนะ แล้วเขาต้องการอะไรจากหล่อนกันแน่?

ไม่เป็นอันนอนฟังดนตรี มะแมปิดเครื่องเสียงแล้วลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมา พยายามให้สัมผัสกระทบที่เท้าแย่งใจมาจากคลื่นความฟุ้งซ่านในหัว กระทั่งคลื่นค่อยๆสงบระงับ รู้สึกสบายใจได้บ้าง

กลับมาที่โต๊ะและอ่านจดหมายอีกครั้ง หล่อนจับกระแสเจตนาของผู้ส่งจดหมายลึกลับไม่ถูก ยิ่งลองจ้องเข้าไปแรงๆอย่างจะสัมผัสถึงตัวเจ้าของข้อความให้ได้ ก็ยิ่งตระหนักว่าตนกำลังเล่นกับเครื่องขวางที่มีปฏิกิริยาต้านกลับ ทำให้เกิดผลข้างเคียง ปวดหัวตึบ หน้ามืดวูบวาบอีกต่างหาก

เมื่อวานส่องดูตามปกติแล้วเปลี้ยเพลีย นึกคร้านจะมองให้เห็น คล้ายออกแรงผลักกำแพง แล้วโดนกำแพงต้านกลับให้ใจฝ่อ แต่วันนี้จ้องจะดูให้ได้ ผลถึงกับปวดหัวตะครั่นตะครอ ราวยิงหมัดชกกำแพงเต็มแรง เจ็บทั้งหมัด ร้าวถึงไหล่สะเทือนถึงตัวทั่วไปหมด

นี่มันอะไรกัน?

อันเนื่องจากมะแมยังละอ่อนในเชิงประสบการณ์กีฬาพลังจิต จึงไม่สามารถตัดสินแม้กระทั่งว่าอุปาทานไปเองหรือเปล่า หล่อนครุ่นคิดใหม่ เลิกใส่ใจตัวตนเจ้าของข้อความ แต่หันมาพินิจพิเคราะห์เนื้อหาในจดหมายแทน

ดูเหมือนฉบับล่าสุดนี้เป็นการเตือนให้ระมัดระวัง อย่าเข้าไปพัวพันกับคดีหรืองานของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ มะแมทบทวนย้อนไป แน่ใจว่าตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา คำาปรึกษาของหล่อนไม่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมใดๆเลย จะมีบ้างก็คดีฟ้องหย่า ซึ่งหล่อนมีหน้าที่แค่พูดถึงปมเหตุ วิธีคลายปม ตลอดจนการเตรียมรับมือกับผลที่จะตามมา จึงมองไม่เห็นว่าหล่อนจะสร้างความเดือดร้อนทางกฎหมาย หรือกระทั่งเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานของตำารวจที่ตรงไหน

แปลว่าเรื่องยังไม่เกิดขึ้น และกำาลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้กระนั้นหรือ?

หล่อนไม่ใช่พวกรู้อนาคตแบบอยู่ๆตอบได้หมดว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ถ้าจะรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับอะไร ก็ต่อเมื่อเห็นว่าอะไรนั้นกำลังเป็นเช่นใดอยู่เดี๋ยวนี้ เหมือนนักพืชศาสตร์ที่อาจทำนายถูกในทันทีที่เห็นเมล็ดพันธุ์ ว่ามันจะเติบใหญ่แตกกิ่งก้านสาขาขึ้นมาเป็นต้นไม้แบบไหน แคระแกร็นหรือสูงใหญ่ได้เพียงใดในดิน น้ำ อากาศหนึ่งๆ

สรุปคือเมื่อหล่อนไม่รู้ ก็เลยตัดสินไม่ถูกว่าเจ้าของจดหมายรู้จริงหรือมั่วนิ่ม และเมื่อไม่รู้ว่าเจ้าของจดหมายมั่วหรือเปล่า หล่อนจะมานั่งกลุ้มหาอะไร?

กระวนกระวายกับข้อความในจดหมายลึกลับ จะมีหน้าไปเปิดทางออกให้ชีวิตใครได้เล่า?

บอกตนเองซ้ำๆว่าสบายใจแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่คิดถึงจดหมายลึกลับชวนสนเท่ห์นี่อีกแล้ว

บ่ายโมงตรง เป็นลูกค้าชายคนหนึ่งที่กำลังเข้าตาจน ชีวิตวกวนอยู่กับการถูกใส่ไคล้ จะ ทำงานก็ถูกขัดแข้งขัดขา ไม่ก้าวหน้าเสียที มะแมให้คำแนะนำไปง่ายๆว่า คนดีตัดสินคุณจากผลงาน คนพาลตัดสินคุณจากเสียงลือ ถ้าเขาจะต้องระเห็จออกจากงานก็เหมาะเลย จะได้ไม่ต้องอยู่ท่ามกลางคนพาลไง แล้วเขาก็มีงานถนัดรออยู่ด้วย เหนื่อยหน่อยถ้าต้องทำเอง เสี่ยงหน่อยถ้าต้องกู้บ้าง แต่หล่อนเอาเครดิตเป็นประกันว่าเขาจะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่

บ่ายโมงครึ่ง เป็นลูกค้านักศึกษาชายเพิ่งเรียนจบ และพบว่าวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากอยู่กับมัน มะแมหนักใจอยู่บ้าง เพราะนายคนนี้เป็นพวกเฉื่อย อยากงอมืองอเท้า ไม่สนใจอะไรจริง ช่วยกวาดหาสิ่งที่น่าจะดึงดูดใจ ก็พบแต่เกม หนังโป๊ และการเที่ยวกลางคืน หล่อนได้แต่ให้คติว่า ชีวิตคนสั้นอยู่แล้ว อย่าให้มันสั้นลงไปอีกด้วยความว่างเปล่าของวันนี้ ที่ไม่รู้จะทำอะไรดี เขาจากไปพร้อมกับความทึ่งที่หล่อนรู้จักเขายิ่งกว่าตัวเอง แต่ก็ไม่ได้คำตอบว่าตัวเองคือใคร ควรทำสิ่งใดอยู่ดี

บ่ายสองโมง เป็นลูกค้าหญิงหน้าเศร้าวัยกลางคน ท่าทางเปล่าเปลี่ยว หัวเดียวกระเทียมลีบ รู้สึกเหมือนเกิดมาไม่มีใคร และจะตายไปอย่างไม่มีใคร ทั้งนี้เพราะเป็นโรคหวาดระแวง เฝ้าแต่นึกอยู่ว่าคนรอบข้างคอยจ้องทำร้ายตนเอง มะแมทายเหตุการณ์ตั้งแต่เจ้าหล่อนยังเป็นเด็กมาจนถึงบัดนี้ แล้วสรุปขมวดท้ายว่า ต่อให้เป็นศัตรูตัวฉกาจ ก็ไม่อาจทำร้ายคุณได้บ่อยๆ มีแต่ความคิดในหัวตัวเองเท่านั้นที่ทำร้ายคุณได้ทุกนาที เจ้าหล่อนจึงสีหน้าชุ่มชื่นขึ้น ดูดีพอจะทำให้คนรอบข้างสบายใจเมื่ออยู่ใกล้ได้บ้าง

บ่ายสองโมงครึ่ง เป็นลูกค้าที่ทำให้มะแมชะงักแบบประสาทรวนไปนิดหนึ่ง หนุ่มหน้าใสที่โผล่พรวดเข้ามาเป็นเพื่อนเก่าสมัยมัธยมเมื่อครั้งเรียนอยู่ต่างจังหวัด และเป็นเพื่อนผู้ชายคนเดียวที่เคยได้หอมแก้มหล่อน วันนี้มาให้แปลกใจในฐานะลูกค้าที่นัดหมายและจ่ายค่าปรึกษาตามปกติ เขาเล่าว่าติดตามข่าวคราวของหล่อนตลอดมา และอยากให้ช่วยทำนายว่ามีภาพเขากับหล่อนร่วมทางกันในอนาคตไหม ซึ่งมะแมก็สยายยิ้มหวาน และตอบด้วยเสียงเป็นกันเองฉันเพื่อนสนิทว่า... ไม่มี!

บ่ายสามโมง เป็นลูกค้าสาวที่ได้ลัดคิวพิเศษ มะแมรู้ว่าลัดคิวเพราะหยิมเล่าให้ฟังว่าเพิ่งโทร.มาเมื่อวาน ในจังหวะที่ลูกค้าอีกรายเพิ่งขอยกเลิกนัดไปหยกๆ เจ้าหล่อนกำาลังกลัดกลุ้มกับความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต คือไปทำแท้งมา ฝันร้ายติดกันสองคืน อยากย้อนเวลากลับไปใจแทบขาด จะกลับไปตอนเอาเด็กออกก็ได้ หรือจะกลับไปก่อนมีอะไรกับแฟนแบบไม่ควบคุมให้ดีก็ได้ มะแมปลอบว่า ผิดพลาดครั้งแรกอย่าเพิ่งโทษตัวเอง เอาไว้ค่อยตัดสินโทษฐานพลาดซ้ำเยี่ยงคนไม่รู้จักบทเรียนดีกว่า แถมท้ายด้วยการทายพฤติกรรมที่ผ่านมา ฉายย้อนให้เห็นว่าเจ้าหล่อนเคยทำคุณงามความดีมาเพียงใด ตราบาปใหญ่ๆแผลเดียวหรือจะไปสู้กองบุญที่สะสมมาแล้ว รวมทั้งบุญกองภูเขาข้างหน้า ที่กำลังจะตั้งใจสร้างขึ้นกลบแผลเก่าอีกไม่รู้เท่าไร

บ่ายสามโมงครึ่ง เป็นลูกค้าหนุ่มใหญ่วัยฉกรรจ์ มาถึงก็ไม่พูดพล่ามทำาเพลง ถามตรงๆว่างานที่เขาตั้งใจทำร่วมกับเพื่อนจะสำเร็จไหม เมื่อไรจึงสำเร็จ มะแมขอดูกระเป๋าเงินและใช้มือสัมผัสธนบัตรในกระเป๋านั้น ก็ทราบทันทีว่าเขากำลังจะเปลี่ยนจากสุจริตชนเป็นอาชญากรตัวกลั่น ภายใต้การชักจูงหว่านล้อมจากญาติห่างๆ หล่อนจึงแนะนิ่มๆว่า ทางลัดมีอยู่สองแบบ แบบที่หนึ่งคือพาไปสู่จุดหมายได้เร็วขึ้น แบบที่สองคือลากไปลงเหวโดยไม่ให้ตั้งตัวได้ทัน จากนั้นทายเป็นขั้นๆว่าชีวิตการเงินการงานของเขาเป็นมาอย่างไร ตบด้วยการทำานายเป็นฉากๆว่าถ้าเลือกทางทุจริตจะต้องประสบกับหายนะร้ายแรงขนาดไหน

บ่ายสี่โมง หยิมเข้ามาบอกว่าลูกค้าไม่มาตามนัดโดยไม่มีการแจ้งยกเลิก แต่ลูกค้าบ่ายสี่โมงครึ่งมารอแล้ว จะให้เข้ามาเลยไหม มะแมตัดสินใจรับ และคิดเผื่อว่าถ้าลูกค้าสี่โมงมา ก็ค่อยให้นั่งรอไปเป็นรอบสี่โมงครึ่งแทน

ลูกค้ารายนี้ขอเป็นกรณีพิเศษ ปรึกษาเรื่องเดียว แต่มาพร้อมกันสองคน เพราะอยากฟังด้วยกัน ไม่ต้องไปเถียงกันทีหลังว่าหล่อนให้คำปรึกษาอย่างไรแน่ ซึ่งมะแมก็ไม่เกี่ยง เพราะก็แค่สองผัวเมียละเหี่ยใจ อยู่ร่วมชายคาเดียวกัน แต่ตกลงกันไม่ได้สักเรื่อง อยากหาคนกลางตัดสิน เท่านั้น ไม่หนักหนาอะไร

คนเราไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร ต่อให้พูดอธิบาย บางทีก็ไม่เชื่ออยู่แล้ว แต่นี่ยังแถมมีทิฐิ ประชดประชันกันอีก เมื่อไรถึงจะเชื่อกันเล่า?

มันเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับมะแม ทว่าเปลี่ยนนรกให้เป็นสวรรค์ได้ทีเดียวสำาหรับสามีภรรยา ที่อยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปี แต่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยรู้ใจกันเลย พอมานั่งตรงหน้ามะแมสิบนาที สาวพลังจิตแค่ไล่ลำดับให้ฟัง ว่าฝ่ายชายเคยคิดอย่างไร ฝ่ายหญิงเคยหวังดีขนาดไหน แล้วต้องมาผิดใจ ต้องมาเกี่ยงงอน ต้องมาทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างไร ปมลับปมซ่อนทั้งหลายก็คลี่คลายออกได้

แค่เข้าใจ แค่รู้ใจ แค่ไม่เห็นกันและกันเป็นอื่น ปัญหาก็กลายเป็นอื่นแทน

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นผัวเมียกอดกันร้องไห้โฮต่อหน้าหล่อน มะแมยิ้มๆ ไม่ว่าอะไรเมื่อทั้งคู่อยู่เกินเวลาจนเกือบถึง ๕ โมง ออกจะโล่งด้วยซ้ำ เพราะตลอดช่วงบ่ายนี้ หล่อนใจเต้นทุกครั้งเมื่อลูกค้าใหม่โผล่หน้าเข้ามา ด้วยความระแวงว่าจะนำหล่อนไปพัวพันกับตำรวจบ้างหรือไม่ เมื่อลูกค้าคู่สุดท้ายกลายเป็นสองสามีภรรยาที่ใจจริงแสนจะรักกัน มะแมจึงนั่งพิงพนักด้วยความผ่อนคลายเป็นที่สุด

ลูกค้ามีเงินสดติดกระเป๋าอยู่เกือบหมื่น ทั้งคู่มีมติเป็นเอกฉันท์ในอันที่จะยกให้มะแมทั้งหมดเป็นค่าเสียเวลาเกินกำาหนด แม้มะแมปฏิเสธ ทั้งคู่ก็ยืนกรานและลุกขึ้น หันหลังเดินจากไปแบบไม่ให้โอกาสปฏิเสธซ้ำ

มะแมระบายยิ้มอ่อนในหน้าขณะเดินมาส่งสองสามีภรรยาขึ้นรถ กระแสความขัดแย้งระหว่างทั้งสองสิ้นสุดลง กลายเป็นฟื้นฟูสายใยเดิมกลับมาเชื่อมติดเข้ากันได้ ปรองดองประดุจรักใหม่ นี่คือฉากจบของงานวันนี้

กอดอกถอนใจเฮือกขณะสายตามองตามท้ายรถที่ห่างออกไปทุกที ไม่มีอะไรในกอไผ่ ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่าจดหมายลึกลับมีอิทธิพลกับจิตใจของหล่อนเพียงใด มะแมขบฟันนิดๆ ตั้งใจว่าเมื่อใดจดหมายลึกลับฉบับต่อไปมาถึง หล่อนจะโยนทิ้งถังผงทันทีโดยไม่เปิดอ่านอีก!

________________________________________________________________________________
บทที่ ๔

โฮมออฟฟิศ ๓ ชั้นของมะแมอยู่ต้นๆถนนบางนา-ตราด อยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆห้างใหญ่ในย่านนั้น หล่อนเลือกเป็นที่ทำงานพร้อมอยู่อาศัยเสร็จ เพราะค่าเช่าไม่แพง เข้าซอยไม่ลึก ใกล้ทางด่วนและถนนวงแหวน แถมสร้างอย่างมีคุณภาพ อยู่สบาย ไม่เป็นแบบโครงการสุกเอาเผากิน

แต่สิ่งแวดล้อมในซอย ปะปนกันระหว่างดีกับแย่ ถนนบางช่วงเรียบ บางช่วงเป็นหลุมเป็นบ่อ กับทั้งเป็นย่านชุมชนที่คละกันระหว่างมั่งมีกับยากจน

ชื่อเสียงจากการทำนายแผ่นดินไหวของมะแม แม้ล่วงเลยมาเกือบสองปีก็ยังมีคนจำได้ แต่นั่นไม่สำคัญเท่าความน่าเชื่อถือที่ลือกันแบบปากต่อปาก หล่อนเป็นที่ปรึกษาพลังจิตในคราบนักจิตวิทยาปริญญาตรี แถมจบจากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศ ฉะนั้น ถึงแม้จะอยู่ย่านชานเมือง ก็ยังคงมีความเป็นแม่เหล็กดึงดูดลูกค้าจากทางไกล ให้โทร.มาจองคิวล่วงหน้าหลายเดือนได้อยู่ดี

มะแมเพิ่งถอยแจ๊ซป้ายแดงมาไม่กี่อาทิตย์ ยังสนุกกับการได้ขับไปไหนมาไหนบ้าง และคืนนั้นก็นึกอยากกินข้าวเย็นนอกบ้าน จึงตั้งใจพาหยิมไปที่ร้านข้าวต้มเจ้าประจำหน้าปากซอย

"พี่มะแมคะ หยิมขอถามอะไรหน่อยได้ไหม"

เด็กสาวผมสั้นเอ่ยตั้งแต่ก่อนออกรถ เพราะเห็นนายสาวกำลังสาละวนพิมพ์ข้อความทางมือถืออยู่

"ได้สิ ว่ามาเลย"

มะแมอนุญาตขณะสายตายังจับอยู่ที่หน้าจอจิ๋ว สองนิ้วโป้งยังพิมพ์ตอบข้อความทักทายของเพื่อนเก่าไม่หยุด

"หยิมพยายามไม่โกรธ พยายามคิดดีกับยายหนุนที่ตลาด แต่แกก็ไม่ค่อยจะพูดดีกับหยิมเลย ไม่รู้หยิมเคยไปทำอะไรให้แต่ชาติปางไหน ซื้อของจากแกทีไร มีเรื่องให้แค้นใจแทบทุกที วันนี้จู่ๆแกก็ถามค่ะ ว่าหน้าตาจุ๋มจิ๋มแบบนี้ไม่ลองขายตัวบ้างหรือ"

หญิงสาวหัวเราะขำคำพูดของเด็กในปกครอง

"หยิมก็ดูไว้นะ จะสร้างมิตรต้องคิดกันมากหน่อย แต่สร้างศัตรูนั้นง่ายนิดเดียว แค่พูดทุกคำที่คิดก็พอ"

"ใช่ค่ะ! แล้วหยิมอยู่กับพี่มะแม ก็กลายเป็นศัตรูที่จ๋องๆกับฝ่ายตรงข้ามไปเสียแล้ว จะด่าตอบเหมือนเมื่อก่อนก็รู้สึกผิด อึดอัดจริงๆ ไม่ทราบจะตอบโต้อย่างไรดี"

"คราวหลังหยิมก็ถามยายหนุนนิ่มๆสิว่า ตัวหยิมนี่ขายได้เท่าไหร่"

"อุ๊ย! ทำไมพี่มะแมยุให้หยิมพูดอย่างนั้นล่ะคะ?"

มะแมกดปุ่มส่งข้อความ เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าถือ ก่อนหันมามองหยิมเต็มตา

"ก็ยายหนุนแกอาจจะไม่ได้ตั้งใจดูถูกหยิม แกพูดแบบนั้นเพราะอยู่ในโลกแบบนั้น เราก็ทำให้รู้เสียว่าเราอยู่คนละโลก โดยทำให้เข้าใจว่าค่าตัวของเราไม่ได้อยู่ที่ราคาเท่าไหร่ แต่อยู่ที่เราขายไหม ถ้าเลือกจะไม่ขาย ต่อให้แสนนึงก็ซื้อศักดิ์ศรีของหยิมไม่ได้แม้แต่ครั้งเดียว!"

หากเป็นเมื่อสองปีก่อนหยิมอาจสวนทันทีด้วยความซุกซนคะนองปากว่า

"ตอนหิวๆให้ทอดมันถุงหนึ่งก็ขายแล้วค่ะ ศักดิ์ศรี"

แต่นาทีนี้รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นอีกคน มีค่า รู้คิด รักเกียรติ และไม่คิดแม้จะพูดเล่นเรื่องขายศักดิ์ศรีความเป็นลูกผู้หญิง

"แกบอกเหมือนกันค่ะว่าอย่างหยิมนี่ถ้าแต่งหน้าแต่งตัวดีๆ มีสิทธิ์ได้ครั้งละเป็นพัน ทำท่าเหมือนจะเป็นแม่เล้า หรือเป็นนายหน้าให้แม่เล้างั้นแหละ"

มะแมเอื้อมมือลูบศีรษะเด็กสาวอย่างอ่อนโยน

"เรื่องผ่านมาแล้ว อย่าหงุดหงิดขมวดคิ้วนิ่วหน้าเลย ยายหนุนอาจนอนตีพุงทำอะไรอยู่ที่บ้านแก ไม่ได้มาพูดอะไรกับหยิมตอนนี้เสียหน่อย แกอยู่ส่วนของแก เราอยู่ส่วนของเรา อภัยแกตอนนี้ เราก็สบายตอนนี้นะ"

ปลอบเสร็จก็สับเกียร์ เหยียบคันเร่งออกรถ หยิมฟังแล้วหัวเราะถอนฉิว

"พี่มะแมชอบสอนให้หยิมอภัย อภัย บางทีหยิมก็คิดไม่ออกจริงๆนะคะว่าอภัยแล้วจะได้อะไร มีแต่เสียเปรียบชาวบ้านวันยังค่ำ ปล่อยให้เขาทำข้างเดียว"

"ตอนนี้อึดอัดมากไหม?"

"อึดอัดสิคะ"

"แล้วร้อนรุ่มกลุ้มใจแค่ไหน?"

"มากเลยค่ะ ยิ่งคิดยิ่งอยากด่าคนแก่ เดี๋ยวพรุ่งนี้อาจอดใจไม่ไหว"

"พี่รู้สึกนะ ตอนนี้เหมือนหยิมโดนขังอยู่ในเตาอบ ทั้งอึดอัด ทั้งร้อน"

ขณะพูด มะแมสร้างมโนนึกขึ้นภาพหนึ่ง เห็นเหมือนคนข้างตัวนั่งอยู่ในห้องขังอุณหภูมิสูงจัด เป็นการขยายภาวะความจริงที่กำลังเกิดขึ้น และเหนี่ยวนำให้เด็กสาวรู้สึกตามได้อย่างแจ่มชัด

"ก็จริงนะคะ"

"นั่นแหละ! ฉะนั้นนะ อย่าถามว่าอภัยแล้ว จะได้อะไรมา ให้ถามว่าอภัยแล้วเป็นอิสระจากคุกร้อนๆจะเอาไหม?"

หยิมเบิกตานิดหนึ่ง ความร้อนในอกหายวูบ คิดยกโทษให้ยายหนุนหมดใจได้อย่างน่าอัศจรรย์!

มะแมรู้สึกถึงความสงบระงับนั้น จึงเอ่ยสืบมา

"อันนี้เหมือนคาถานะ ต้องท่องบ่อยๆ ไม่งั้นลืม ท่องไว้... เอาไหม อภัยแล้วหายร้อน"

หยิมมองนิ่งไปข้างหน้าครู่หนึ่ง ก่อนรับคำเสียงแผ่ว

"ค่ะ..."

ขณะนั้นเอง รถกระบะสองตอนคันหนึ่งขับสวนมา โดยเปิดไฟสูงไม่หรี่ให้ตามมารยาทของการวิ่งสวนกันบนถนนสองเลน แถมคนขับยังหลบหลุมบ่อ เบี่ยงหัวรถกินเลนคล้ายจะเข้ามาชนหล่อน ยังผลให้หญิงสาวกระตุกวูบ หักหลบซ้ายทันควัน ต่างฝ่ายต่างผ่านกันไปได้แบบเฉียดฉิว แน่นอนรถใหญ่ย่อมเฉยๆ แต่รถเล็กถึงขั้นใจหายใจคว่ำที่เกือบต้องพุ่งหลาวลงข้างทาง

มะแมย่นคิ้วหน่อยๆ สัมผัสถึงความกร่างแบบนักเลงโตเจ้าถนนของคนขับ การหลบหลุมแบบไม่สนใจว่าจะก่ออันตรายให้รถสวนหรือไม่นั้น นับว่าเห็นแก่ตัว ส่อความกักขฬะ ก้าวร้าว ไม่เกรงใจใคร หญิงสาวจึงอดโมโหไม่ได้

แต่ด้วยความที่เพิ่งสอนเด็กมาหยกๆ มะแมจึงยิ้มฝืดๆอย่างตลกตัวเอง ความจริงหล่อนมีเรื่องให้น่าโกรธมากมายในระหว่างวัน เพราะลูกค้าแต่ละคนมาพร้อมกับปัญหาและอาการจะเอาให้ได้อย่างใจ แต่อาจจะเพราะหล่อนอาศัยลูกค้าเป็นเครื่องฝึกใจมานาน จึงมีกำแพงของความใจเย็นไว้ตั้งรับ เลยเหมือนวางความโกรธได้แล้ว ไม่โกรธมานานแล้ว

ต่อเมื่อลดการ์ดลง และต้องเผชิญกับเหตุการณ์รุกล้ำสวัสดิภาพกันท่านี้ จึงเป็นโอกาสดีที่ได้เห็นว่ายังโกรธได้ และที่ดีที่สุดคือเห็นว่าโกรธแล้วหายเร็วเพียงใด เพียงเมื่อรู้สึกถึงความร้อนในใบหน้า โทสะก็ลดอุณหภูมิลงให้รู้สึกได้เกือบจะในทันทีเช่นกัน

เหลือบมองทางกระจกหลัง เห็นไฟท้ายรถกระบะค่อยๆห่างไป แล้วโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ มะแมก็สัมผัสได้ถึงความร้ายกาจของคนขับ มันช่างหยาบช้าสามานย์ผิดมนุษย์นัก

หญิงสาวหุบยิ้มทันใด กะพริบตาถี่ๆ สำรวจจนแน่ใจว่าการตัดสินดีชั่วให้คนอื่นในคราวนี้ มิใช่เพราะปนเปื้อนอยู่ด้วยโทสะจากเรื่องส่วนตัว แน่ใจว่าใจหล่อนมีสติเยือกเย็นแล้ว กับทั้งเกิดภาวะจิตสัมผัสเต็มกำลัง ไม่ต่างจากขณะนั่งอยู่ในเวลาทำงานระหว่างวันด้วย

โทสะแบบนั้นมันโทสะของโจรชัดๆ โทสะที่พร้อมจะทำร้าย โทสะที่พร้อมจะฆ่าแกงสุจริตชนได้โดยไม่มีความละอายแม้แต่นิดเดียว คุณพระช่วย! หล่อนเพิ่งขับรถสวนกับอาชญากรที่กำลังจะเดินทางไปก่อเรื่องโหดเหี้ยมหรือนี่?

มะแมใจเต้น ถึงกับต้องชะลอรถจอดแอบข้างทาง

"มีอะไรหรือคะพี่?"

หยิมถามอย่างเป็นห่วง นึกว่าหล่อนไม่สบายกะทันหัน

"เปล่า..."

ปากตอบ แต่นัยน์ตาดำคู่งามก็ตวัดไปหากระจกมองหลังอีกครั้ง คราวนี้สัมผัสชัดว่ารถกระบะคันนั้นหุ้มห่อไปด้วยความมุ่งร้ายหมายชีวิต และความรับรู้ต่อมาคือเหยื่อแห่งความคิดมุ่งร้าย ก็ถูกคุมตัวมาในรถนั่นเอง ที่ทราบก็เพราะสัมผัสถึงความอัดอั้นทางปาก ความขยับไม่ได้ของมือไม้ ซึ่งคงหมายถึงการถูกมัดปากมัดมือมัดเท้าแน่นหนา

นอกจากนั้นยังปนเปื้อนด้วยกระแสความกลัว ร่ำร้องเรียกหาอิสรภาพด้วยความสิ้นหวัง ซึ่งก็คงเพราะเดาชะตาในอนาคตอันใกล้ของตนได้ถูกว่าจะลงเอยเช่นไร

ความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงของเหยื่อในรถที่กระทบใจมะแม ค่อยปรากฏรายละเอียดความเป็นเขาในระลอกต่อมา เขารักความเป็นธรรม เขาเสียสละความสุขและความปลอดภัยส่วนตัวเพื่อส่วนรวม และเขาก็ทำใจไว้ล่วงหน้าแล้วว่าวันนี้อาจต้องมาถึง

น้ำใจเสียสละรูปนั้น ไม่น่าเป็นอื่นนอกจากน้ำใจของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์แท้ๆคนหนึ่ง!

มะแมได้ข้อสรุปกับตนเองอย่างรวดเร็ว ตำรวจดีๆกำลังจะถูกเชือดภายในไม่กี่นาทีข้างหน้า ความสงสารโจมจับหัวใจรุนแรง เขาทำเพื่อประชาชน รู้ทั้งรู้ว่าถ้าตัวเองเข้าตาจน จะไม่มีประชาชนคนไหนเหลียวแล...

หากเปรียบรสของจิตสัมผัสเหมือนน้ำผลไม้ คราวนี้ก็เข้มข้นจัดเหมือนน้ำมะนาวที่ปราศจากน้ำเชื่อม ปราศจากน้ำจืดช่วยเจือจาง จึงเปรี้ยวจี๊ดขึ้นสมอง ปรากฏความขมแหลมคมทิ่มแทง สำนึกให้มะแมรีบทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งทันที ก่อนจะทันคิดถึงผลที่ตามมาด้วยซ้ำ!

"เฮ้ย! พี่โต แจ๊ซคันนั้นมันกลับรถตามเรามาว่ะ!"

ชายหน้าเสี้ยมผู้ทำหน้าที่สารถีส่งเสียงเป็นสัญญาณเตือนภัย หลังจากเห็นทางกระจกมองหลังว่ารถที่เพิ่งสวนกันยูเทิร์นตามมาอย่างผิดปกติ ด้วยความที่ถนนว่างโล่งและเป็นทางตรง

เขาจึงเห็นทุกสิ่งถนัดจากระยะไกล

"ฮื้อ! แน่ใจเหรอะ?"

คนนั่งข้างขมวดคิ้ว แบบสงสัยว่าคนขับตื่นตูมไปเองหรือเปล่า

"เมื่อกี้กูเห็นมึงขับหลบหลุมเกือบขวิดมันตกทางน่ะ มันโมโหแล้วจะตามมาเอาเรื่องมั้ง?"

"ฉันสังหรณ์ว่าไม่ใช่นะ ความรู้สึกอย่างกับแม่งเป็นตำรวจ"

โตไม่หันกลับไปมองหลัง สีหน้าผ่อนคลายลงด้วยความเชื่อว่าลูกน้องคิดมากไปเอง พออุ้มตำรวจ เลยนึกว่าเพื่อนตำรวจจะมาช่วย

"ตอนนี้ทั้งตัวมันเหลือแต่กางเกงลิงตัวเดียว แล้วมึงก็ทิ้งมือถือมันไปแล้ว จะหาสัญญาณตามตัวได้จากไหนอีก?" แต่เพื่อความไม่ประมาทระหว่างพูดโตก็กดเบอร์มือถือถึงลูกน้องที่รังไปด้วย

"ไอ้ฮั่น! กูกำลังจะไปถึงนะ ภายในนาทีสองนาทีนี้แหละ แต่ไอ้แป๊กสงสัยว่ามีคนตามหลังเรามา เป็นรถแจ๊ซ มึงพาคนออกมาซุ่มที่หน้าปากซอยให้ที ถ้ามีเค้าว่าจะใช่พรรคพวกมันจริงก็หาทางลากมาด้วย"

พอสั่งการแล้วโตก็รู้สึกแปลกๆขึ้นมาเอง ก่อนกดปุ่มวางสายจึงกำชับเสียงเครียด

"อย่าเสือกทำโฉ่งฉ่างล่ะ หาจังหวะให้ดีๆหน่อย!"

ลึกเข้ามาในซอย ไฟยังคงสว่าง ข้างทางมีทั้งหมู่บ้าน ตลอดจนโรงงานต่างๆเรียงราย มิใช่เขตรกร้าง รถวิ่งผ่านมาผ่านไปเป็นระยะ มะแมจึงคิดว่าการที่รถคันหนึ่งจะวิ่งตามรถอีกคันมา ไม่น่าเป็นเรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด

และสำหรับหยิม เมื่อเจ้านายอยากทำอะไรก็ต้องปล่อยให้ทำ หาใช่วิสัยที่บ่าวจะขอค้าน แต่บรรยากาศยามนั้นดูอึมครึมผิดสังเกตชอบกล กระทั่งหยิมอดถามด้วยความหวาดแปลกๆไม่ได้

"พี่มะแมตามเขามาทำไมคะ คนรู้จักเหรอ?"

มะแมไม่อยากให้เด็กสาวตื่นกลัว ขณะเดียวกันก็ไม่อยากโกหก จึงเลี่ยงว่า

"ขอดูให้แน่ใจหน่อยก็แล้วกัน พี่อาจคิดไปเองก็ได้"

ก่อนทะลุออกถนนลาซาล รถกระบะที่วิ่งนำหน้าก็เลี้ยวขวาเข้ากิ่งซอยแยก ซึ่งเห็นได้จากระยะไกลว่าสุดกิ่งซอยประมาณ ๕๐ เมตรมีบ้านเดี่ยวอยู่เพียงหลังเดียวบนที่ดินรกร้างรอบด้าน

มะแมซึ่งขับตามมาไกลๆ เห็นเช่นนั้นก็ชะลอลงจอดห่างประมาณหนึ่งเสาไฟฟ้า เมื่อรถกระบะหายเข้าไปในรั้วบ้าน หล่อนก็ไม่สามารถเห็นสิ่งใดด้วยตาเปล่าได้อีก อย่างมากก็ใช้สัมผัสพิเศษ ล่วงรู้ว่ามีการลากถูลู่ถูกัง มีการขัดขืน มีความวุ่นวาย และมีการเจ็บเนื้อเจ็บตัวตามมา

สาวพลังจิตกุมพวงมาลัยเม้มปากแน่น มาถึงที่แล้วเอาไงต่อ?

ถามตัวเองง่ายๆ ถ้าเห็นคนกำลังจะจมน้ำต่อหน้าต่อตา จะช่วยไหม แน่นอนตอบได้ทันทีว่าต้องช่วย แต่ถ้าเห็นคนกำลังจะถูกกระทำทารุณ

ด้วยสัมผัสทางจิตล่ะ ให้ทำอย่างไรถึงจะไม่ต้องรู้สึกผิดไปจนวันตาย?

ฉับพลัน มะแมก็นึกถึงคำเตือนในจดหมายลึกลับ ราวกับแว่วเสียงตัวจริงมาเองเลยทีเดียว

อย่ายุ่งกับเรื่องของตำรวจ ไม่อย่างนั้นจะตกอยู่ในอันตราย!

ขนลุกเป็นระลอก ใจหนึ่งอยากเอาตัวรอด หล่อนกับเด็กลูกจ้างเป็นแค่ผู้หญิงไร้พิษสง และไม่ใช่หนูในนิทานที่กัดบ่วงแร้วนายพรานให้ราชสีห์หลุดรอดได้ไหว ทำไมจะต้องฝืนเล่นบทพระเอก เพียงเพื่อพบผลสุดท้ายว่าช่วยอะไรตำรวจเคราะห์ร้ายไม่ได้อยู่ดี?

เปลี่ยนจากเม้มปากเป็นกัดปาก นาทีที่สมองเกือบสั่งเท้าให้เหยียบคันเร่ง หัวใจก็ตะโกนห้ามไว้ ในตัวมนุษย์มีแรงดันแบบหนึ่งที่ทำให้ทนไม่ได้ กับการปล่อยคนดีๆให้ตกตายไปเฉยๆและแรงดันชนิดนั้นเอง ที่ไม่ยอมให้มะแมเอาแต่นั่งนิ่ง

คิดอะไรไม่ออกเกือบครึ่งนาที คล้ายในหัวอึงอลด้วยเสียงทะเลาะระหว่างคนสองคน แต่แล้วก็ทำตาโตอย่างนึกออก ปีก่อนหล่อนเคยมีลูกค้าคนหนึ่งเป็นสารวัตร สน. บางนา เขากับภรรยาพากันมาหาหล่อนและกลับไปด้วยความประทับใจยิ่ง โดยได้ทิ้งเบอร์ไว้ บอกว่าถ้ามีปัญหาดึกดื่นค่อนคืนแค่ไหนให้โทร.เรียกได้ไม่ต้องเกรงใจ เขาจะมาช่วยจัดการด้วยตนเอง

แน่นอน ผู้หญิงตัวคนเดียวที่มีเด็กสาวลูกจ้างเป็นเพื่อน ย่อมต้องเก็บเบอร์นายตำรวจคนนั้นเข้ามือถือไว้เป็นหลักประกันความอุ่นใจ ซึ่งยามนี้มะแมก็นึกขอบคุณตัวเองเมื่อปีกลายยิ่งกับทั้งภาวนาให้สารวัตรคนนั้นยังไม่ย้ายไปไหนและสะดวกพอจะรับโทรศัพท์หล่อนเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด

เพียงพิมพ์ในช่องค้นหาว่า "สาร" หน้าจอก็แสดงผลบรรทัดแรกของบัญชีรายนามเป็น "สารวัตรกฤษฎา" ทันที ชื่อนั้นดูสุกสว่างเกินจริงจนก่อความสุขล้นอก เชื่อมั่นว่านี่คือการทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ส่วนผลออกมาสำเร็จหรือล้มเหลว ก็พ้นจากความรับผิดชอบของหล่อนอย่างสิ้นเชิง

"ฮัลโหล"

เสียงห้าวใหญ่ดังมาแบบคนอารมณ์ดี

"สารวัตรคะ จำมะแมได้ไหม ที่สารวัตรเคย..."

"อ๋อ! น้องมะแมเหรอ จำได้ๆ!"

เสียงของคนรับร่าเริงยิ่ง

"เป็นไงมั่ง นี่พี่แนะนำเพื่อนไปหลายคนแล้วนะ"

"ขอบพระคุณค่ะพี่... เอ่อ..."

ปลายเสียงของมะแมแผ่วหายไปในลำคอ ได้ยินเสียงเคาะกระจกก๊อกๆ และเมื่อเหลือบตาดูก็พบชายฉกรรจ์ ๓ คน ซึ่งโผล่มาจากไหนไม่

ทราบ ล้อมรถหล่อนไว้ในขณะนี้

หยิมร้อง "อุ๊ย!" ออกมาดังๆ ห่อตัวเหลือบซ้ายแลขวาด้วยความตกใจ มะแมเองก็ตระหนกวูบงงงัน สมองถึงกับไม่สั่งการใดๆไปชั่วขณะ

"น้องมะแม มีอะไรหรือเปล่า?"

เสียงของผู้กองร้องถามมาอย่างสำเหนียกถึงความผิดปกติ แต่ไม่ทันตอบอะไร คนเคาะเรียกเบาๆเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นตบกระจกปังๆ ส่งพลังกระแทกคุกคาม แขนขวาของมะแมถึงกับกระตุกขึ้นป้องศีรษะและเอี้ยวหลบในอาการสะดุ้ง มือซ้ายปล่อยโทรศัพท์ร่วงหล่นลงตักโดยไม่รู้ตัว

"ขอคุยด้วยหน่อยซิ!"

เสียงดังฟังชัดนั้นทะลุผ่านกระจกเข้ามา มะแมละล้าละลัง ความรู้สึกคืออยากเข้าเกียร์เหยียบคันเร่งหนีออกไปให้เร็วที่สุด จะไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยแล้ว แต่ความกลัวอีกชนิดก็แล่นขึ้นมายับยั้งไว้ หล่อนอาจถูกยิงจากข้างหลัง แทนที่จะไม่โดนอะไรเลยถ้ายอมพูดดีๆเสียแต่แรก

ไม่รู้ทำไปได้อย่างไร แต่ก็พบว่ากระจกไฟฟ้าลดระดับลงด้วยมือหล่อนเอง เปิดรับความข้นหนักของอากาศภายนอกเข้ามาเต็มๆ หน้าตาถมึงทึงนั้นเอาเรื่องแน่ๆถ้าหล่อนช้ากว่านี้

"มีอะไรหรือคะ?"

ยังดีที่แก้วเสียงยังใสพริ้ง ซึ่งยินเสียงตนเองเช่นนั้นเลยทำให้มะแมใจชื้น พอจะยิ้มแบบใจดีสู้เสือไหว

"เมื่อกี๊คุยกับใคร? ส่งโทรศัพท์มานี่!"

มะแมตัวแข็ง หมดกำลังใจสู้เสือทันที บอกตนเองว่าหล่อนพลาด ถูกจับได้ และจะต้องรับโทษหนัก กลืนน้ำลายด้วยความรู้สึกอยากร้องไห้ ค่อยๆเลื่อนมือไปกดปุ่มตัดสัญญาณโทรศัพท์บนหน้าตักทิ้ง แต่อิดเอื้อนไม่ยอมส่งของเข้ามือโจรหน้าเหี้ยมตามคำสั่ง

"จะให้ใช้กำลังหรือเปล่า? นี่พูดดีๆแล้วนะ"

หญิงสาวหายใจไม่ทั่วท้อง สบตาฝ่ายคุกคามขวัญด้วยใจเต้นระทึก สีหน้าซีดเซียวอย่างน่าสงสาร รู้ทั้งรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หล่อนก็จำต้องยื่นมือถือส่งให้หมอนั่นจนได้

นักเลงโตผู้ตั้งท่าเหมือนแมงดารังแกผู้หญิง กระชากโทรศัพท์มาได้ก็กดดูหมายเลขล่าสุดทันที พอเห็นชื่อ "สารวัตรกฤษฎา" เท่านั้นก็พยักยิ้ม โน้มร่างสูงลงมาเกาะขอบประตูมองมะแมด้วยแววประกาศชัย ประมาณว่าเสร็จฉันล่ะ เธอเป็นนักโทษของฉันแล้ว

ขณะนั้นสัญญาณโทรศัพท์ดังขึ้น นักเลงกล้ามใหญ่เหลือบดูเห็นเป็นชื่อนายตำรวจกฤษฎาโทร.กลับมา ก็กดปุ่มออฟค้างเพื่อปิดเครื่องหนี แล้วสั่งว่า

"เปิดประตูหลังให้พี่เข้าไปนั่งหน่อยซิ"

"พี่มะแม! อย่าเปิดนะคะ!"

หยิมหวีดร้องเสียงหลง

"ลองร้องแสบแก้วหูกูอีกทีนะมึง..."

เสียงนั้นเยียบเย็นพอจะสะกดให้สองสาว

ยุติอาการแข็งขืนปฏิเสธใดๆ มะแมสำเหนียกได้ถึงความคิดอำมหิตบางอย่างในอีกฝ่าย จึงรีบละล่ำละลักบอก

"เปิดเดี๋ยวนี้แล้วค่ะ!"

นักโทษสาวกุจีกุจอปฏิบัติตามที่พูด หล่อนต้องหันรีหันขวางค้นหาอยู่ชั่วอึดใจว่าปุ่มเปิดล็อคตอนหลังอยู่ตรงไหน เนื่องจากยังไม่คุ้นรถใหม่ขึ้นใจ แถมกำลังอยู่ในภาวะไม่ปกติเข้าให้อีก

คนเป็นลูกพี่ใหญ่ในที่นั้นหันมาสั่งลูกน้อง

"ป่อง! มึงเอารถกลับ ส่วนไอ้ตุ่ยมากับกู"

"แล้วพี่ฮั่นจะไปไหนล่ะ?"

ป่องถาม และฮั่นก็ตอบพลางเปิดประตูแจ๊ซตอนหลัง

"รังแปด! เดี๋ยวกูโทร.บอกพี่โตให้ย้ายที่ตามไปเอง งานนี้ไม่ธรรมดาแล้ว แม่งหาพวกเราเจอได้ยังไงก็ไม่รู้ คงต้องรีดกันหน่อยล่ะ แต่ท่าทางไม่ยากหรอก!"

ป่องพยักหน้าและเดินแยกไปขึ้นรถกระบะมิตซูบิชิ ซึ่งตนขับสวนทางมาจอดต่อท้ายแจ๊ซ โดยมะแมไม่ทันสังเกต เนื่องจากเมื่อครู่กำลังว้าวุ่น กดโทรศัพท์เรียกหาตำรวจอยู่

ฮั่นกับตุ่ยขึ้นรถโดยเจ้าของไม่ได้เชื้อเชิญกับทั้งไม่เต็มใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อนั่งได้ก็บอกราวกับสั่งแท็กซี่

"ขับตรงไปเลยน้องสาว ถึงลาซาลแล้วเลี้ยวขวานะจ๊ะ"

เขาพูดปกติ ไม่ได้กระโชกโฮกฮากขู่ขวัญแต่อย่างใด แต่มะแมฟังเป็นคำสั่งบังคับให้ทำเรื่องฝืนใจที่สุดในชีวิต ส่วนหยิมนั่งตัวเกร็ง นี่ถ้าปวดฉี่กว่านี้อีกนิดเดียวคงปัสสาวะราดแน่ๆ อดรนทนไม่ได้กับประสบการณ์ชวนขี้ขึ้นสมองหนักเข้า ก็หันมาร้องถามเสียงกระเส่า

"พวกพี่เข้าใจผิดหรือเปล่า หนูกับเจ้านายจะออกมากินข้าวเย็นกันเฉยๆนะ"

ฮั่นเอาปืนสั้นมาจากไหนไม่รู้ รู้แต่หวดด้ามปืนใส่ศีรษะหยิมโป๊กใหญ่

"โอ๊ย!"

หยิมร้องสุดเสียงเหมือนถูกยิง ยกสองมือกุมขมับแน่น มึนงงเกือบสลบล้มคอพับ ฮั่นยิ้มมุมปากนิดๆด้วยความสะใจ

"อันนี้เขาเรียกด้ามปืน แต่เดี๋ยวจะแนะนำ ให้รู้จักลูกปืนถ้าไม่เข็ด"

แล้วฮั่นก็สั่งมะแมเสียงเฉียบ

"ออกรถได้แล้ว!"

หญิงสาวใช้มือชุ่มเหงื่อสับเกียร์แล้วแตะเท้าลงที่คันเร่ง ด้วยความรู้สึกคล้ายกำลังเดินทางไปสู่นรก หล่อนกำลังอยู่ในมือโจรที่กล้าตบตีผู้หญิง คงไม่ฉลาดนักถ้าจะทำอะไรเป็นการยั่วยุโทสะ

"คิดเสียว่างูจ่อหลังเตรียมฉกน้องอยู่นะจ๊ะ ขับไปตามคำสั่ง ทำตัวนิ่งๆ อย่าตุกติก แล้วในที่สุดงูก็จะคลานหายไป เคยดูหนังใช่ไหม?"

ตุ่ยซึ่งนั่งเบาะซ้าย มองเสี้ยวหน้ามะแมจากมุมทะแยงแล้วอยากมีส่วนร่วม ด้วยการแกล้งพูดกระซิบกระซาบแบบจงใจให้คนนั่งตอนหน้าได้ยิน

"หน้าตาวอนถูกข่มขืนจริงๆว่ะพี่"

"คนไหน?"

ฮั่นถามดังๆ ไม่ทำเป็นกระซิบตาม

"ทั้งสองคนแน่ะ!"

ตุ่ยตอบดังๆบ้าง แล้วสองทุรชนคนบาปก็หัวเราะแบบเถื่อนๆเป็นการเขย่าขวัญเหยื่อในมือซ้ำ และนั่นก็ถึงกับทำให้เหยื่อสาวทั้งสองเงียบกริบ

"พวกพี่ไม่ทำอะไรน้องหรอก"

ฮั่นเอ่ย เอื่อยๆเมื่อรู้สึกได้ว่าข้างหน้ากำลังเครียดกันสุดขีด

"แต่น้องต้องให้ความร่วมมือกับพวกพี่ดีๆ อย่าโวยวาย อย่าตอแหล อย่าคิดหาทางตามพวกมาช่วย ไม่งั้นจะพบว่าพวกเราชอบซ้อมก่อนเรียงคิวแก้โมโห แทนที่จะกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ในฮาเร็มสวาทกันเฉยๆ"

ตุ่ยหัวเราะชอบใจกับสำบัดสำนวนของลูกพี่ ขณะที่คนตกเป็นเบี้ยล่างไม่มีทางขำได้ออกกับภาพเลวร้ายที่ถูกวาดไว้นั้น

คนถือไพ่เหนือริบโทรศัพท์หยิมมาอีกคนและระหว่างทางเมื่อฮั่นเห็นจังหวะเหมาะ เจอคูน้ำก็ลดกระจกขว้างอุปกรณ์สื่อสารทั้งของมะแมและ

หยิมทิ้ง เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม ถ้าคิดว่านี่เป็นสายตำรวจ โอกาสโดนติดตามตัวผ่านอุปกรณ์ที่ติดตั้งไว้ในมือถือก็มีสูง

มะแมถูกสั่งให้ขับไปสู่ทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์ เวลาผ่านไป ได้ยินเสียงหยิมแอบร้องไห้กระซิกๆแล้ว ใจหนึ่งหญิงสาวก็อยากส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากผู้คนข้างทาง หรือไม่ก็ลองขับรถพุ่งชนสิ่งกีดขวางอะไรสักอย่าง รถมีแอร์แบก อย่างมากก็เจ็บตัวทุลักทุเลกันหน่อย เดี๋ยวคงได้คนมาช่วยเอง

แต่จนแล้วจนรอดก็ได้แต่ขับรถตัวทื่อ ไม่กล้าลงมือทำอะไร เพราะจิตใจยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวดี คิดอะไรไปสารพัดโดยไม่แน่ใจว่าผลของการทำตามความคิดจะออกหัวออกก้อยท่าไหน

ฮั่นติดต่อทางโทรศัพท์กับพรรคพวก วางจากคนหนึ่งต่อสายถึงอีกคน ยังคุยไม่จบก็สลับไปคุยสายอื่นอีก มะแมพยายามเงี่ยหูฟังแต่ไม่ค่อยรู้เรื่อง ได้ยินคำสำคัญเช่นรังแปด เจ้านายอยู่ไหน ตำรวจคายความลับหรือยัง นังนี่สวยไม่เหมือนพวกตำรวจเลยจริงๆพับผ่าเถอะ

ยิ่งห่างออกมา เส้นทางยามราตรียิ่งโล่งขึ้นต้องชะลอรถหรือหลีกหลบรถน้อยลง ความคิดโง่ๆที่เรียงขบวนผ่านมาในหัวก็เริ่มซาลงตามกันและพอคิวความคิดโง่ๆหมดไป ความคิดฉลาดๆก็เริ่มทยอยตัวกลับมาแทน

อันดับแรกคือตระหนักว่าสถานการณ์ถึงเลือดถึงเนื้อครั้งนี้จะไม่ผ่านไปโดยง่าย ไม่ใช่แค่ร้องโหวกเหวกแล้วจบ กับทั้งจะไม่มีปาฏิหาริย์ใดจากนอกรถมาช่วยแน่ๆ

ลากลมหายใจยาว เมื่อรู้สึกถึงความละเอียดประณีต มะแมก็ทราบว่าสติกลับมาเต็มร้อยแล้ว จึงใช้ความคิด กับทั้งเริ่มเชื่อความคิด สถานการณ์ร้ายแรงขนาดนี้ มองแล้วเห็นแต่ปาฏิหาริย์แห่งความใจเย็นของตนเองเท่านั้น ที่จะมากอบกู้สถานการณ์ ผ่อนหนักเป็นเบา หรือเปลี่ยนร้ายเป็นดีได้

ชีวิตคนแย่ๆหล่อนยังช่วยพลิกมาแล้วมากมายหลายครั้ง ก็แล้วชะตาแย่ๆของตนเองครั้งเดียว ทำาไมจะไม่ลองพลิกดูให้รู้กันเล่า?

เมื่อรถมุ่งไปตามป้ายสู่สมุทรสงคราม ฮั่นก็เลิกคุยโทรศัพท์ แล้วหันมาเปิดฉากสัมภาษณ์ "สายตำรวจคนสวย" แทน

"เอ่อ... น้องชื่ออะไรครับ?"

ทำเสียงหล่อเหมือนพระเอกหนังรุ่นที่นิยมเสียงพากย์สุดกลมกล่อม

"มะแมค่ะ"

หญิงสาวตอบสั้น สุภาพ และฟังเป็นปกติ

"น้องตามเรามาถูกได้ยังไงครับนี่ มีเครื่องมือสื่อสารในตัวคุณตำรวจวิชัย ที่พวกเราหาไม่พบหรืออย่างไร?"

"มะแมไม่รู้จักคุณตำรวจวิชัย แล้วก็ไม่รู้จักเครื่องมือติดตามตัวด้วย มะแมเป็นชาวบ้านธรรมดา ขับสวนกับกระบะคันนั้นแล้วเห็นคนถูกมัดมือมัดเท้าบนที่นั่งตอนหลัง ก็คิดเรียกคนรู้จักที่เป็นตำรวจมาช่วยเท่านั้น"

เล่าตรงไปตรงมา ไม่โกหกแม้แต่คำเดียวแต่ก็มีผลให้ฮั่นขมวดคิ้ว เสียงหล่อหายไป เสียงเครียดมาแทน

"รถมันติดฟิล์มดำปี๋ แถมไอ้ตำรวจก็โดนมัดนอนอยู่ จะไปเห็นได้ยังไง?"

"ไม่ได้เห็นด้วยตา"

มะแมโต้ตอบราบเรียบคงเส้นคงวา เกือบขยายความต่อเนื่อง แต่คิดว่าให้อีกฝ่ายสงสัยและถามเองดีกว่า ซึ่งทางนั้นก็สงสัยและเค้นถามจริงๆ

"ไม่ได้เห็นด้วยตาแล้วเห็นด้วยอะไร?"

"สงสัยเห็นด้วยนม"

ลูกน้องขี้เล่นสอดเบาๆอย่างนึกสนุก ฮั่นสะดุดกึก ทีแรกเผลอหัวเราะพรืดเดียว แต่แล้วพอจินตนาการตามก็ลากยาว แยกยิ้มกว้าง หัวเราะพุงกระเพื่อมเป็นนานสองนานกว่าจะยุติได้

"ไอ้เปรต! กูกำลังซักผู้ต้องหาเป็นงานเป็นการ เสือกชักใบให้เรือเสีย มือไม่พายยังเอาเท้ามาแยงตูดกูเล่นอีก"

แต่แล้วก็เล่นเสียเองด้วยการทำเป็นกระซิบกระซาบ

"ว่าแต่หน้าตาแบบนี้มึงว่านมสวยไหม?"

ไอ้เปรตหัวเราะก๊าก

"ไม่สวยให้ถีบ! อาจจะสวยกว่านมน้องเมียพี่อีก!"

"อ้าว! ทำาไมลามปามถึงน้องเมียกู... แต่ เออ! คิดดูก็น่าจะจริงของมึง"

คนพาลสองคนคุยกันได้ออกรสเห็นภาพแจ่มแจ๋ว แล้วแข่งกันหัวเราะกระหึ่ม ส่วนคนฟังแล้วขำไม่ออกคือหญิงสาวผู้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ในทางมิดีมิร้าย แต่ด้วยความที่ตั้งหลักได้แล้ว มะแมจึงวางเฉย ควบคุมแม้อาการหน้าแดงให้กลับสู่สภาพปกติโดยเร็ว ตลอดจนทำใจว่า นาทีนี้คงหวังการให้เกียรติจากใครไม่ได้ ต้องทำหูทวนลมเสีย

ฮั่นเอียงคอมองมะแมด้วยหางตา อาการนิ่งๆแบบแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินนั้น ยิ่งทำให้เขาระแวง เพราะเหมือนคนผ่านการฝึกรับสถานการณ์ฉุกเฉินหน้าสิ่วหน้าขวานมาอย่างดี

"เอาล่ะ! เรามาคุยกันต่อนะครับคุณน้องมะแม ตอนนี้พี่อารมณ์ดีแล้วก็อย่าทำให้มันเสียอีกล่ะ ตอบมาตรงๆว่าคุณน้องมะแมรู้ได้อย่างไรว่าไอ้เจ้าวิชัยตัวแสบมันอยู่ในรถพวกเรา"

"มะแมรู้สึก"

ฮั่นชักหน้าตึงขึ้นมาอีกรอบ

"พี่ก็รู้สึก! รู้สึกว่าน้องมะแมกวนโมโหพี่อยู่ และพี่ก็ชักจะโกรธแล้วด้วย!"

"มะแมรู้สึกจริงๆค่ะ เหมือนกับที่รู้สึกว่าพี่ฮั่นอยู่ข้างหลังมะแม กำลังถลึงตาแยกเขี้ยวใส่มะแมอยู่ โดยที่มะแมไม่จำเป็นต้องหันกลับไปดู"

ฮั่นกับตุ่ยหันมองสบตากันในเงาสลัวด้วย

อารมณ์ทะแม่ง

"นี่จะให้พี่เชื่อว่าน้องมีอภินิหารหรือ?"

"พี่ฮั่นจะเรียกมันว่าอภินิหารหรืออย่างไรก็ตามใจ สำหรับมะแม มันคือผลของการฝึกฝน แล้วก็ทำเป็นอาชีพอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน"

ตุ่ยแทรกด้วยความหมั่นไส้

"อาชีพอะไร? ก็สายให้ตำรวจน่ะสิ! แม่คุณเอ๊ย! เห็นหน้าทีแรกนึกว่าเป็นดาราซะอีก"

"เปล่า!"

หญิงสาวปฏิเสธด้วยเสียงเรียบคงเส้นคงวา

"มะแมเป็นที่ปรึกษาให้กับคนทั่วไป ไม่เกี่ยวข้องกับตำรวจเลยแม้แต่นิดเดียว"

ฮั่นยิ้มเลี่ยน ชักนึกสนุกไปกับสาวลึกลับที่นั่งเบื้องหน้าแค่เอื้อม

"ไหนให้คำปรึกษาหน่อยซิ พี่กับน้องตุ่ยนี่จะเป็นคู่เกย์กันไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า เสียงครหามันเยอะเหลือเกิน"

"อย่ามาหลอกมะแมเลย พี่ฮั่นกับพี่ตุ่ยไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้น" หญิงสาวตอบอย่างมั่นใจ

"ความรู้สึกของพี่ฮั่นคือครึ่งเอ็นดูครึ่งรำคาญพี่ตุ่ย ที่เอ็นดูเพราะชอบความขี้เล่นรักสนุก ทำงานด้วยแล้วเบาสมอง แต่ขณะเดียวกันก็รำคาญความเป็นพวกชักหน้าไม่ถึงหลัง ต้องเข้ามาทำเสียงอ้อน ไถเงินพี่ฮั่นเป็นประจำ"

ฮั่นเบิกตาโตด้วยความพิศวง แต่ด้วยความไม่อยากถูกเด็กเมื่อวานซืนแหกเนตร จึงถามซักเป็นปกติ

"น้องมะแมรู้ได้ยังไง?"

"ใจเราจะมีความรู้สึกที่แท้จริงกับคนรู้จักตกค้างอยู่ อย่างของพี่ฮั่นเวลานึกถึงพี่ตุ่ย พูดถึงพี่ตุ่ย สิ่งที่เด่นชัดคือความเอ็นดู รักเหมือนน้อง ส่วนหนึ่งเพราะพี่ตุ่ยชอบเฮฮา ปล่อยมุขให้คนใกล้ตัวได้ขำบ่อยๆ อีกส่วนหนึ่งคือพี่ฮั่นไว้ใจพี่ตุ่ย

มากกว่าใครในแก๊ง พี่ตุ่ยผิดพลาดอะไรก็ยอมออกหน้ารับให้"

"อือ... แล้วที่รำคาญเรื่องยืมตังค์ล่ะ รู้ได้ไง?"

"ความรำคาญมีต้นเหตุติดอยู่กับตัวมันเสมอค่ะ ถ้าเรารู้สึกถึงความรำคาญของใครได้จริงๆ นิมิตต้นเหตุความรำคาญของเขาก็ปรากฏต่อใจเราได้ อย่างเช่น รำคาญยุงกวนก็เห็นเหมือนมีอะไรเล็กๆวี้ๆให้สะบัดมือปัด รำคาญคนปากมากก็เห็นเหมือนมีเสียงพ่นกรอกหู รำคาญคนชอบไถเงินก็เห็นเหมือนมีคนเข้ามาแบมือขอ"

ตุ่ยทำเสียงขุ่น

"แต่ฉันไม่เคยแบมือนะ ขยับปากอย่างเดียว"

"นิมิตทางใจเป็นแค่สัญลักษณ์ อาการจริงๆ ของเจ้าตัวไม่จำเป็นต้องเหมือนนิมิตหรอกค่ะพี่ตุ่ย แต่ลองคิดดูนะ ถึงพี่ตุ่ยจะไม่ได้แบมือ ใจมันก็แบอยู่ไง"

ทั้งฮั่นและตุ่ยอึ้งงันอย่างชักสนใจ หลังจากเงียบเป็นนาน ตุ่ยจึงค่อยโพล่งอย่างนึกอะไรบางอย่างออก

"นี่เธอใช่คนที่เคยทำนายแผ่นดินไหวหรือเปล่า?"

"ใช่!"

มะแมรับตรงๆ และคราวนี้ฮั่นกับตุ่ยก็ต้องเป็นฝ่ายเกร็งเนื้อเกร็งตัวบ้าง เมื่อทราบว่าขึ้นรถมากับใคร สองทรชนหันสบตากันเองอีกครั้ง สื่อความหมายรู้กันว่าเรื่องชักยังไงๆเสียแล้ว

"หมายความว่าเธอไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับตำรวจที่ชื่อวิชัย แต่ก็จะช่วยเหลือ เพียงเพราะขับรถสวนกันแล้วรู้ว่าหมอนั่นกำลังเดือดร้อนงั้นหรือ?"

ฮั่นซัก

"เขาไม่ใช่แค่คนแปลกหน้า สัมผัสในวูบเดียวของมะแมเหมือนบอกว่าที่เขาต้องเข้าตาจนขนาดนี้ ก็ด้วยเพราะน้ำใจเสียสละสวัสดิภาพของ

ตัวเอง มาปกป้องสวัสดิภาพของประชาชนอย่างมะแม ดังนั้น เขาจึงมีความเกี่ยวข้อง คล้ายมะแมติดหนี้บุญคุณเขาอยู่"

สำเนียงตื้นตันใจลึกซึ้ง สะกดฮั่นกับตุ่ยให้สะอึกไปเป็นครู่

"แล้วสารวัตรกฤษฎาล่ะมาเกี่ยวอะไรด้วย?

รายนั้นน่ะคุมทั้งย่านนี้เลยนะ"

"เขาเป็นลูกค้าคนหนึ่งของมะแม" หล่อนรีบอธิบาย

"มะแมแค่นึกถึงเขาได้อยู่คนเดียว เชื่อเถอะ เขาไม่มีส่วนรู้เห็นหรือไหว้วานใช้งานมะแมเลย"

"ยังไงเธอกับยายนกหวีดนี่ก็เป็นตัวแสบของงานนี้ไปแล้ว เดี๋ยวสารวัตกฤษฎาก็ต้องควานหาตัวเธอให้ควั่ก"

นั่นคือการพูดเป็นนัยว่าโอกาสรอดของพวกหล่อนคงต่ำ ซึ่งมะแมก็คิดๆอย่างปลงตกอยู่ก่อน หล่อนกำลังพยายามเอาตัวรอดแบบไม่หวังรอด แค่อยากได้ชื่อว่าพยายามแล้วเท่านั้น

"เมื่อกี๊พี่ตุ่ยพูดถึงน้องเมียพี่ฮั่น มะแมขออนุญาตคุยต่อหน่อยได้ไหม เพราะเสียงเหมือนเล่น แต่ใจน่าจะเอาจริง"

ฮั่นถึงกับหูผึ่ง แต่ก็บังคับเสียงไม่ให้ตื่นเต้น

"เอาซี! จะแนะอะไรก็ว่ามา"

"ความคิดของพี่ที่มีกับน้องเมีย มันครึ่งๆ

อยู่ระหว่างอยากห้ามใจกับอยากตามใจตัวเอง

อยากให้มะแมทำานายไหมว่ามันจะลงเอยยังไง?"

"ก็อยากอยู่!"

"ในที่สุดพี่ฮั่นจะสมหวัง ได้ทั้งพี่ ได้ทั้งน้องยกครัว!"

"ฮ้า!"

"มะแมตัดสินอย่างนี้เพราะเห็นปัจจัยผลักดันให้พี่ฮั่นพุ่งไปมากกว่าถอยกลับ ความรู้สึกทางเพศที่เกิดกับคนใกล้ตัว แถมต้องตาต้องใจ มันเหมือนน้ำเชี่ยวที่ต้านยาก โดยเฉพาะถ้าฝ่ายหญิงทำท่ามีใจให้เรา ก็ยิ่งเหมือนเราพุ่งเองไม่พอ ยังมีแรงช่วยฉุดอีกต่างหาก"

"อือ..."

"ทุกวันนี้มีเบรกอยู่ตัวเดียว คือพี่ฮั่นรักเมียมาก สงสาร แล้วก็ไม่อยากให้เสียใจ ถ้ามีอะไรกับผู้หญิงนอกบ้านคงไม่ว่า แต่ถ้ากับน้องสาวร่วมบ้านที่ตัวเองรัก..."

มะแมทอดเสียงละไว้แบบเป็นที่เข้าใจ ฮั่นซึมไปหน่อยหนึ่ง ฝืนถามว่า

"อาการรักเมียมาก ไม่อยากให้เสียใจนี่หน้าตาเป็นยังไง เธอดูออกได้ยังไง?"

"เวลาคนเรารู้สึกผิดตอนคิดจะทำบาป จะเหมือนมีแรงเสียดทานอยู่ในอก คนเราไม่ทำบาปกันมั่วก็เพราะแรงเสียดทานตัวนี้แหละ และที่มะแมรู้ว่าพี่ฮั่นรักเมียมาก ก็เพราะมีอาการนึกถึงหัวอกเขา มีความเห็นใจ และมีความอยากรักษาน้ำใจ อยากให้เขานับถือ ไม่อยากให้เขาชิงชัง ให้เดานะ คงเพราะเขาทำอะไรให้พี่ฮั่นมามาก กอดคอร่วมทุกข์ร่วมสุข ไม่ทอดทิ้งกันมานาน แม้ในเวลาที่พี่ฮั่นลำบาก ถึงมีโอกาสเขาก็ไม่หนีไปไหน"

ฮั่นเกือบกลืนน้ำลายไม่ลง การโดนแทงใจตรงจุดอย่างต่อเนื่องมีผลให้จุกเสียดตีบตันมาถึงคอหอย แถมมะแมใช้น้ำเสียงทอดอ่อนแบบตัดพ้อแทนลูกผู้หญิงด้วยกัน กระทบโสตแล้วสะเทือนถึงใจ ก่อให้เกิดความรู้สึกผิดชนิดปวดแสบปวดร้อน เรียกความทรงจำด้านดีของเมียรักผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ระลึกได้กระทั่งว่าที่ยอมเข้าแก๊งชั่วนี่ก็เพราะอยากให้เธออยู่ดีกินดีกว่าเดิมนั่นแหละ

"เขาเป็นคนดี..."

สุ้มเสียงของฮั่นแผ่วมาก

"เธอไม่รู้ด้วยซ้ำใช่ไหมคะว่าพี่ฮั่นมาอยู่กับแก๊งแบบนี้ พี่คงโกหกว่าได้งานดีอะไรสักอย่างถึงมีเงินมีทองมากขึ้น"

"อือ..."

"ให้มะแมทายต่อนะคะ น้องเมียพี่เพิ่งโตเป็นสาวรุ่นขึ้นมา แต่ก่อนไม่รู้สึกอะไรเพราะยังเด็กอยู่"

คำตอบคือความเงียบ ซึ่งแปลว่าใช่ และหลังจากทวนภาพอดีตให้เกิดความยอมรับ มะแมก็กระทุ้งฮั่นด้วยภาพอนาคตที่ชวนหดหู่เข้าไปอีก

"ข่าวดีคือต่อไปพี่ฮั่นจะมีเมียที่เคยกัดฟันทนทุกข์มาด้วยกันคนหนึ่ง แล้วก็มีเมียเด็กที่ทำความกระชุ่มกระชวยให้อีกคนหนึ่ง แต่ข่าวร้ายคือความสุขในระยะสั้นของพี่ฮั่น จะเป็นแผลสดในระยะยาวของผู้หญิงสองคน หนักกว่านั้นคือ พี่ฮั่นกับเมียเก่าจะไม่ตายจากกันด้วยความรัก แถมพี่ฮั่นจะตกอยู่ในสภาพเหมือนตายทั้งเป็นกับความเอาแต่ใจของเมียใหม่"

ตุ่ยชักผิดสังเกต เห็นฮั่นทำหน้าเศร้ายาวก็แซวขำๆแบบจะปลุกอารมณ์ว่า

"อ๊ะ! เปลี่ยนใจหรือชั่งใจอยู่เนี่ย?"

นึกว่าฮั่นจะกลับคึกคักทะลึ่งตึงตัง ช่วยเขารุมเหยื่อสาวคนสวยกันอีกรอบ แต่กลายเป็นฝ่ายนั้นยังคงซึมยาวไม่พูดไม่จาอยู่นั่นเอง เยี่ยงคนจมอยู่กับอารมณ์หนักอึ้งจริงๆ ตุ่ยจึงฮึดด้วยความอยากลองของบ้าง

"บอกได้ไหมเมื่อไหร่ฉันจะรวยซะที?"

ความคึกของตุ่ยชำแรกบรรยากาศเซื่องซึมได้ คล้ายอำนาจการควบคุมจะกลับมาอยู่กับคนนั่งหลังอีกครั้ง แต่นาทีนี้มะแมใจชื้นแล้ว ไม่รู้สึกด้อยกว่าอีกแล้ว จึงโต้ตอบสบายๆเหมือนคุยเล่นกับคนกันเอง

"รวยยังไงคะ หมายถึงมีสักสิบล้านหรือเปล่า?"

"สิบล้านสมัยนี้แค่ซื้อรถให้ตัวเองกับเมียน้อยก็เกลี้ยงฉาด เอาร้อยล้านเลยดีกว่า บอกซิชาตินี้ฉันจะมีกับเขาได้ไหม?"

ตุ่ยพ่นส่งเดช เห็นเป็นเล่นมากกว่าจริงจังแค่อยากดูว่ามะแมจะกล่อมเขาท่าไหน

แต่กระแสจิตคิดเพ้อเจ้อของตุ่ยนั่นเอง ได้ก่อมโนภาพชัดเจนสว่างวาบขึ้นมาในใจมะแม เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่สว่าง แจ่มกระจ่าง และให้ความรู้สึกเชื่อมั่นว่าเห็นจริงเท่ากับหรือเผลอๆยิ่งกว่าดูด้วยตาเปล่าเสียอีก

หล่อนเห็นภาพเด็กนักเรียนชายหัวเกรียนถูกล้อเลียน แล้วเห็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นพยายามเข้าทำงานตลกคาเฟ่ แล้วเห็นหนุ่มวัยสามสิบถูกไล่กระทืบหลังหมดตัวจากบ่อน แล้วเห็นหนุ่มตกอับเข้าหาเจ้าพ่อเพื่อเป็นหลักคุ้มกะลาหัว และที่สุดคือเห็นตุ่ยแบบที่เป็นอยู่ ชอบวิจารณ์เรื่องเล็กเรื่องน้อยไม่เลิก แม้กระทั่งเข้าไปกินข้าวที่ไหน ก็มักสอดส่องรายละเอียดเล็กน้อยหยุมหยิม ทั้งรสชาติและการตกแต่งร้าน

นั่นคือการย่อชีวิตทั้งหมดของตุ่ยลงมาเหลือเป็นนิมิตไม่กี่ภาพ รอยยิ้มชนิดหนึ่งจุดขึ้นในใบหน้ามน สาวพลังจิตรู้ทันทีว่าจะพูดอะไร

"พี่ตุ่ยมีเป็นร้อยล้านได้ค่ะ สาบานว่าไม่ได้พูดเล่น แต่เพราะเห็นความเป็นไปได้จริงๆ!"

กระแสของการเงี่ยหูอย่างแรงเกิดขึ้นให้มะแมสัมผัส ไม่เฉพาะตุ่ย ทั้งฮั่นและแม้แต่หยิม ซึ่งเงียบมาตลอดก็สนใจใคร่ฟังด้วย

"มันจะเป็นไปได้ยังไง?"

ตุ่ยถามอย่างไม่เชื่อ แต่ขณะเดียวกันก็เลิกเห็นมะแมเป็นแค่วัตถุทางเพศในบัดนั้น

"เป็นไปได้ด้วยความเชื่อของพี่ตุ่ยเอง พี่ตุ่ย ต้องรื้อฟื้นความเชื่อมั่นในตัวเองขึ้นมาใหม่ให้ได้ก่อน"

"ฉันก็เชื่อมั่นในตัวของฉันเองมาตลอด จะต้องรื้อฟื้นทำไมกัน?"

"งั้นมะแมทบทวนให้นะคะ ตั้งแต่เด็กๆพี่ตุ่ย รู้สึกว่าตัวเองฉลาดและคิดได้มากกว่ารุ่นเดียวกัน แต่ทั้งเพื่อนและครูต่างก็ชอบล้อเลียน เหมือนเห็นพี่ตุ่ยเป็นตัวตลกอยู่ตลอด เวลาออกความเห็นหรือแม้แต่คิดริเริ่มอะไรจริงจัง ทุกคนก็มองเป็นเรื่องเล่น ไม่เชื่อถือ ไม่ช่วยกันพิจารณาไอเดียของพี่ตุ่ยเลย และตั้งแต่ช่วงเด็กนั่นเอง ความฉลาดของพี่ตุ่ยก็ถูกเก็บซ่อนไว้ ในเมื่อทุกคนไม่เชื่อ พี่ตุ่ยก็ไม่เชื่อไปกับพวกเขาด้วยเหมือนกัน"

สีหน้าของตุ่ยเย็นชา อ่านยากด้วยตาเปล่า

"เหลวไหล! ที่เธอพูดมาทั้งหมดนั่นน่ะ ไม่ใช่เลย!"

"ขอโทษนะคะที่เดาผิด งั้นคงไม่ต้องพูดต่อกันล่ะว่าถ้าอยากรวยร้อยล้านให้ได้จริง พี่ตุ่ยจะต้องทำยังไง"

ตุ่ยเผลอขยับตัวทำเสียงแข็ง

"ก็พูดต่อไปซิ ฉันชักติดใจชอบฟังเธอโม้แล้ว เดี๋ยวอาจจะบอกวิธีอึออกมาเป็นทองก็ได้"

มะแมซ่อนยิ้ม แกล้งทำเป็นนิ่งไม่พูด กระทั่งตุ่ยกระสับกระส่าย และที่สุดก็ขยับท่าขยับทางฮึดฮัด

"อย่าลูกไม้ลีลาแกล้งทำเป็นเฉยเลยน่า บอกมาสิว่าต้องทำยังไง"

"ถ้าจะให้มะแมบอก พี่ตุ่ยก็ต้องยอมรับก่อนว่าเมื่อกี๊มะแมทายถูก เรื่องตอนเด็กๆของพี่ตุ่ยน่ะ"

"บ๊ะ! มันสำคัญด้วยเหรอะ?"

"สำคัญสิคะ มะแมจำเป็นต้องมั่นใจก่อนว่าช่วยรื้อถอนอุปสรรคให้พี่ตุ่ยได้เป็นเปลาะๆอย่างถูกต้อง นี่กะแค่ต้นทางชีวิตของพี่ตุ่ยมะแมยังอ่านผิด แล้วที่เหลือจะน่าเชื่อได้ยังไง"

ตุ่ยเอนหลังทำหน้าหงาย ก่อนดึงตัวกลับมายอมรับแบบหัวเสีย

"เออ! นั่นแหละ เมื่อกี๊เอ็งพูดถูกหมดเลยอีน้อง ปัดโธ่! ทำาเป็นบังคับให้ยอมรับเหมือนเด็กๆไปได้"

"ที่ผ่านมาพี่ตุ่ยใช้วิธีซื้อหวยรอรวยอย่างเดียว ซึ่งก็เคยมีครั้งสองครั้งที่ถูกจังๆ เหมือนจะรวยขึ้นทันตา แต่พี่ตุ่ยก็เอาไปลงกับผู้หญิง เหล้า

และการพนันจนหมด"

"เรื่องแบบนี้ดูหน้าเอาก็รู้ ไม่ต้องมาสอนหรอก ขอเนื้อๆได้ไหม วิธีรวยร้อยล้านน่ะ?"

"ถ้าพี่ตุ่ยทำท่ากระฟัดกระเฟียดใส่มะแมอีก มะแมจะไม่พูดด้วยแล้วนะคะ"

ตุ่ยอ้าปากค้างแบบเขยื้อนกรามไม่ถูก รู้สึกว่าควรจะโมโห แต่กลับเป็นหัวเราะหึหึและโกรธไม่ลง ชักกลัวใจผู้หญิงคนนี้ตงิดๆ รู้ทั้งรู้ว่าหล่อนใช้เสน่ห์ผูกมิตรสร้างความเป็นกันเอง ทำให้เขาเกรงใจราวกับสนิทมาแต่ปางไหน ทว่าก็อดรู้สึกดีด้วยไม่ได้ หลงเข้าทางหล่อนหมด

"เอาเถอะแม่คุณ ข้าเจ้าขอยอมฟังแต่โดยดีพูดมาเลย เผยให้หมดนะ ต่อไปจะไม่ขัดคุณน้องแล้ว"

"ไอเดียของพี่ตุ่ยตอนมีเงิน คือการรวยลัดด้วยวิธีใช้เงินต่อเงินในบ่อน ความฉลาดของพี่ตุ่ยเลยจำกัดอยู่แค่เอายังไงให้เร็ว โกงยังไงให้สำเร็จ แท้จริงมันไม่ใช่เส้นทางการใช้ความฉลาดแบบพี่ตุ่ยเลย"

ตุ่ยทนฟังนิ่งๆ บางสิ่งบางอย่างบอกเขาว่า มะแมอาจให้คำแนะนำเขาได้จริงๆ

"แล้วความพยายามเข้าคณะตลกคาเฟ่ก็ไม่ใช่เส้นทางใช้ความฉลาดของพี่ตุ่ยด้วยนะ เพราะนั่นจะยิ่งตอกย้ำให้พี่ตุ่ยรู้สึกว่าทั้งโลกดูถูกและหัวเราะเยาะพี่ตุ่ยไม่เลิก พี่ตุ่ยต้องฟื้นความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นในวัยเด็กขึ้นมาให้ได้ก่อน นั่นคือพี่ตุ่ยฉลาดกว่าใครๆ ไม่อยากยอมเป็นที่สองรองใคร อย่าว่าแต่จะให้อยู่เกือบที่โหล่เหมือนทุกวันนี้"

ดูเหมือนประโยคสุดท้ายจะแทงใจตุ่ยจังๆเป็นครั้งแรก มะแมสัมผัสถึงการระงับความกระวนกระวายลงแบบปัจจุบันทันด่วน และเปลี่ยนเป็นอาการสลดซึมไปแทน

"ทุกวันนี้พี่ตุ่ยเหมือนมีสองคนข้างในที่ค้านกัน คนหนึ่งบอกว่าอยู่อย่างนี้ก็ดีแล้ว ไม่ผิดที่ผิดทาง แต่อีกคนหนึ่งแอบกระซิบเบาๆตลอดเวลาว่าทุกวันนี้ถึงไม่รู้สึกผิด ก็ไม่ได้แปลว่ารู้สึกดีกับตัวเอง"

นั่นเป็นการลักไก่เล็กๆ มะแมแทรกความคิดที่ตุ่ยไม่อาจแน่ใจว่าเป็นความคิดเดิมของตน หรือเป็นความคิดที่เพิ่งรับมาสดๆร้อนๆกันแน่

"เมื่อไม่รู้สึกดีกับตัวเองถึงที่สุด การนับถือความคิดของตัวเองก็ไม่เกิดขึ้น สิ่งที่พี่ตุ่ยปล่อยให้เกิดมาตลอดจึงเป็นการยอมความคิดที่ไม่เคยใช่ตัวตนของพี่เองเลย"

"แล้วความคิดแบบไหนล่ะ ที่ใช่?"

"พี่ตุ่ยมีความสนใจที่แอบซ่อนอยู่อย่างหนึ่งแต่ไม่เคยให้ความสำคัญกับมัน อันนี้พี่ฮั่นช่วยเป็นพยานให้มะแมได้"

ยิงนัดเดียวได้นกสองตัว โจรทั้งสองตั้งหน้าฟัง จ้องมะแมเขม็งอย่างอยากรู้ว่าจะพูดอะไร

"ตอนไปนั่งกินข้าว โดยเฉพาะร้านหมูกระทะหรือร้านบุพเฟ่ต์ไหนๆ พี่ตุ่ยชอบบ่น ชอบวิจารณ์ บางทีถึงขั้นไปยืนแสดงความเห็นกับเด็กในร้านยาวๆ ฝากถึงเจ้าของร้านอย่างนั้นอย่างนี้ทีเดียว จริงไหม?"

"จริง!"

ฮั่นซึ่งเงียบฟังเฉยๆมาพักหนึ่งเป็นฝ่ายหลุดปากตอบให้ แทนเจ้าตัวที่นิ่งขึงเหมือนถูกแช่แข็ง และพอฝ่ายตรงข้ามยอมรับ มะแมจึงค่อยสานต่อ

"คนเรายอมเสียเวลา หมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับเรื่องไหนมากๆ แปลว่าจะเก่งจริงในเรื่องนั้น ทันทีที่ลงมือทำเป็นอาชีพ!"

ตุ่ยขมวดคิ้ว ทบทวนตัวเองแล้วเห็นจริงตามนั้น เขาเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับอาหารมาตลอด สามารถบันดาลจานเด็ดขึ้นมาได้จากส่วนประกอบอาหารที่มีเพียงจำกัด คนอื่นมีทั้งเครื่องปรุงกับอุปกรณ์ได้เปรียบหลายขุม ยังทำออกมาอร่อยสู้ไม่ได้ เอาแค่ไข่เจียวธรรมดานี่แหละ

"ถ้าใครเป็นได้ทั้งกุ๊กตัวยง และเป็นได้ทั้งลูกค้าเรื่องมากในคนเดียว นั่นแหละคือเชื้อไขสำคัญของเจ้าของธุรกิจร้านอาหารที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง"

ชายสองคน นั่งฟังผู้หญิงคนหนึ่งอบรมเรื่องหลักการตั้งเนื้อตั้งตัวด้วยความตั้งอกตั้งใจ ชนิดที่ไม่เคยมีครั้งไหนในชีวิตเทียบเท่า

"รู้ไหมคะว่ารายได้ เฉพาะกำไรสุทธิของร้านหมูกระทะใหญ่ๆ วันหนึ่งเท่าไหร่? ตัวเลขหกหลักค่ะ! เจ้าของร้านบางรายเก็งถูกทั้งทำเลที่ตั้ง ทั้งรายการอาหาร ทั้งรสชาติ แล้วก็ฝึกเด็กเป็นเลี้ยงเด็กเป็น บริการลูกค้าได้น่าพอใจ เท่าที่มะแมรู้ หลังจากเขาเปิดหลายสาขาทั้งในและนอกกรุงเทพฯ ชั่วระยะเวลาเพียงไม่ถึง ๕ ปี ปัจจุบันเขารวยพอจะ 'ช่วย' ซื้อกิจการเจ้านายเก่าที่เขาเคยเป็นเด็กเสิร์ฟ เท่ดีไหมล่ะ?"

"อือ..."

ตุ่ยครางแผ่วอยู่ในลำคอ แต่รู้สึกเหมือนตัวตนหนึ่งซึ่งแข็งแรง ได้คืบคลานออกมาจากเงามืด ค่อยๆเปิดเผยความกล้าหาญในเขตสว่างขึ้นทุกที

"แก๊งของพี่ตุ่ยในวันนี้ กำลังมีเรื่องกับตำรวจ พอมะแมเห็นบ้านที่พวกพี่ใช้เป็นรังในซอยลาซาล รู้ไหม สิ่งแรกที่ปรากฏในใจมะแมคือ อะไร? มันคือภาพการฆ่าฟันกันไป ฆ่าฟันกันมา วันนี้พี่ฆ่าเขา วันหน้าเขาก็พยายามมาฆ่าพี่คืน พลาดวันไหน พี่จะตาไม่หลับด้วยความสงสัยไม่เลิก ว่าชาตินี้เอาดีได้แค่เป็นโจรที่ถูกตำรวจยิงตายจริงๆหรือ?"

มะแมเค้นน้ำเสียงแข็งขึ้นอย่างมีอำนาจแบบนาย กดความรู้สึกตุ่ยให้อ่อนเปียกเหมือนกำลังรับฟังข้อหาที่ไปทำผิดมา ชั่วขณะนั้นตุ่ยสงสารตัวเอง นึกด่าตัวเองที่ดักดานอยู่กับเส้นทางของความมักง่าย ทิ้งเวลาแห่งการสร้างเนื้อสร้างตัวไปเป็นสิบๆปีได้อย่างไร

"คราวนี้ฟังคำทำนายนะคะ ด้วยเงินเก็บของพี่ฮั่น และด้วยไอเดียของพี่ตุ่ย พี่ทั้งสองคนเปลี่ยนชื่อแซ่ แอบไปเปิดร้านหมูกระทะเล็กๆที่จังหวัดไหนก็ได้ เอาแบบไกลๆ อย่าให้ใครตามเจอ ร่วมมือร่วมใจ เอาข้อดีที่อีกคนไม่มีมาช่วยกัน หกเดือนแรกพวกพี่จะได้ทุนคืนและขยับขยายร้านได้ หนี่งปีต่อมาพี่จะมีร้านเพิ่มได้สองหรือสามสาขา ในปีที่ห้าพี่ทั้งสองคนจะมีกิจการเกี่ยวกับร้านอาหารหลากหลาย มีชื่อเสียงติดปากคนไปทั่ว ถึงเวลานั้นจะรวยเป็นร้อยล้านโดยไม่ต้องทำผิดกฎหมายแม้แต่ข้อเดียว!"

_______________________________________________________________________________
บทที่ ๕

เที่ยงคืนเศษ มะแมขับรถกลับถึงบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อน ตลอดทางหล่อนกับหยิมไม่ได้พูดอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียว

ตุ่ยเป็นคนคิดแผน โดยให้หล่อนไปส่งตนกับฮั่นที่บ้านไร้คนหลังหนึ่ง ไม่ใช่ "รังแปด" ตามนัดเดิมกับพรรคพวก เพื่ออ้างในภายหลังว่ารู้สึกกลัดมันเต็มฟัด ทนไม่ไหว อยากปลุกปล้ำหล่อนกับหยิมกลางทาง จึงเข้ารังเล็กเพื่อความเป็นส่วนตัว ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของแก๊ง

จากนั้นเขากับฮั่นจะกินยานอนหลับชนิดแรง และออกอุบายนัดแนะคนในแก๊งมาพบตอนเช้า เป็นการจัดฉากว่าโดนหล่อนตลบหลัง ใช้ความสามารถของสาวแสบ วางยาแล้วริบเงินพวกเขาไปจนหมดกระเป๋า เป็นการแก้ลำที่ถูกจับตัวมาข่มขืน

สองนายบ่าวเข้าบ้าน กลับเข้าสู่สภาพชีวิตปกติ หลังจากก้าวผ่านฝันร้ายมาได้โดยสวัสดิภาพ มะแมลงนั่งบนโซฟารับแขก หยิมเดินไปรินน้ำจากตู้เย็นมาให้อย่างรู้หน้าที่ แล้วอ้อมไปบีบไหล่ นวดศีรษะให้นายสาวด้วยกิริยาภักดี

สาวพลังจิตผู้ปราบโจรร้ายด้วยคำพูด ดื่มน้ำจากแก้วจนหมดแล้วปิดเปลือกตาลง รับสัมผัสบีบนวดจากลูกจ้างด้วยความผ่อนคลาย แต่พอเกือบหลับก็ได้ยินคนนวดเปรย

"หยิมนึกว่าไม่รอดแล้ว"

"อือ... ทีแรกพี่ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน"

หล่อนพึมพำตอบ

"พี่มะแมของหยิมนี่ยอดหญิงจริงๆ"

ประกายตาทอแววชื่นชมขณะทอดมอง

"คำพูดดีๆ นี่ทำงานได้ยิ่งกว่ากระสุนตำรวจอีกนะคะ"

"เราสองคนโชคดีด้วย ที่เจอโจรที่ยังเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่โจรที่กลายเป็นสัตว์ร้ายไปแล้ว"

"หยิมว่าสองคนนี่ก็เหี้ยมนะคะ น่าจะทำเรื่องเลวๆมาเยอะเชียวล่ะ...ว่าแต่เสียดายโทรศัพท์จัง เบอร์สำคัญๆของพี่มะแมหายหมด"

"อ๋อ... อันนั้นไม่เท่าไหร่หรอก พี่เก็บฐานข้อมูลไว้ในคอมพ์ พรุ่งนี้ซื้อโทรศัพท์ใหม่มาซิงก์ก็สิ้นเรื่อง"

หยิมไม่รู้เรื่องเทคโนโลยีนัก ได้แต่เป็นคนป้อนข้อมูลเก็บ แต่ไม่เคยทราบว่ามันถ่ายเข้าโทรศัพท์ใหม่ได้

"เหรอคะ งั้นก็โล่งไป"

มะแมยกมือขึ้นจับมือเด็กสาว ซึ่งกำลังบีบนวดไหล่ตนอย่างขมีขมัน

"หยิม"

"คะ?"

"มานั่งคุยกันหน่อย"

เมื่อเด็กสาวเดินอ้อมมานั่งฝั่งตรงข้าม มะแมก็เปิดเปลือกตาขึ้นมองด้วยแววทอดอ่อน

"เที่ยงของพรุ่งนี้พี่จะไปกดเงินมาให้หยิมก้อนหนึ่ง หยิมกลับไปตั้งหลักที่บ้านต่างจังหวัดได้เลย"

หยิมทำหน้าตกใจ

"ทำไมล่ะคะ พี่มะแมจะเลิกดูหมอหรือ?"

มะแมส่ายหน้า

"พี่ยังอยู่นี่แหละ แต่ไม่อยากให้หยิมต้องมาเสี่ยงด้วย"

หยิมขมวดคิ้วนิ่วหน้า

"เสี่ยงอะไรคะ?"

"พี่เอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับโจรที่อยู่ซอยเดียวกัน ความคิดแบบโจรไว้ใจไม่ได้ ข้ามวันก็อาจกลับลำ ไม่ประมาทไว้จะดีกว่า นับแต่นี้ชีวิตพี่อาจไม่ปลอดภัย เลยอยากให้หยิมขนของกลับต่างจังหวัดไปเสีย หยิมเองเคยบอกไว้นานแล้วไม่ใช่หรือว่าอยากเปิดร้านเสริมสวยที่บ้านเดิม"

"ใครบอกคะ หนูเปลี่ยนใจมานานแล้ว"

น้ำเสียงธรรมดา แต่แววตาบ่งบอกความหมายตามที่พูดเป็นประกายแรงกล้า

"หนูจะอยู่รับใช้พี่มะแมตลอดไปต่างหาก แล้วถ้าใครมันคิดเอาชีวิตพี่ ก็สาบานเลยว่าหนูจะยอมตายก่อน!"

เช้าวันใหม่แสนสดใส มะแมนึกว่าตัวเองจะหมดเรี่ยวหมดแรง ไม่มีกะจิตกะใจตื่นขึ้นมาทำงานเสียอีก แต่ตรงข้าม เช้านั้นหล่อนทำสมาธิได้ดีเยี่ยม รู้สึกสดชื่นตื่นเต็ม และเชื่อมั่นในตนเองเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ

เห็นจากประสบการณ์ตรงอย่างแจ่มชัด ถ้าเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีไม่ได้ เรื่องร้ายๆจะเปลี่ยนคนให้ค่อยๆร้ายตามมัน แต่ตรงข้าม หากเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดีได้ทุกเรื่อง คนๆ

หนึ่งจะเข้าใจว่า "มองโลกในแง่ดี" นั้น อาจเป็นจริงตลอดทั้งชีวิตได้อย่างไร

เพิ่งประสบเรื่องร้ายแรงขั้นคอขาดบาดตาย แต่กลับรู้สึกเหมือนจบปริญญาใบใหม่ และหล่อน

ก็จะเลือกฉลองรับปริญญาอันทรงเกียรตินั้นด้วยการทำงานช่วยคนตามปกตินี่เอง!

ไม่มีการยกเลิกนัด ไม่มีการปรับเปลี่ยนตารางเวลาใดๆ มะแมใช้ให้หยิมออกไปจัดการเรื่องแจ้งโทรศัพท์หายในช่วงเช้า โดยตัวเองทำหน้าที่จัดคิวและต้อนรับลูกค้าแทน

ขณะทำงาน พอเล็งดูลูกค้าก็รู้เห็นทุกสิ่งคมชัด แม่นยำ และเต็มไปด้วยรายละเอียด เปรียบไปคงประมาณเดียวกับนักกีฬาขณะเล่นได้ดีที่สุด อะไรๆก็ดีไปหมด ถูกไปหมด ชนะไปหมด

หยิมกลับมาถึงก่อนเที่ยง เอาก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยมาฝากเป็นมื้อกลางวัน

"เอ้อ! ดีจริง เหมือนรู้ใจเลยนะ กำลังอยากกินหมี่แห้งอยู่พอดี... เรื่องโทรศัพท์เรียบร้อย

ไหม?"

"เรียบร้อยค่ะ ตอนนี้ของพี่มะแมก็โทร.เข้าออกได้แล้ว" แล้วหยิมก็ยื่นอะไรอย่างหนึ่งให้

"จดหมายค่ะพี่"

มะแมชะงักนิ่งเหมือนถูกไฟดูด และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่หยิมเริ่มเอะใจสงสัย

"จดหมายนี่มาจากใครหรือคะพี่ มาได้ทุกวัน พี่มะแมถูกใครว่าร้ายหรือข่มขู่รึเปล่า?"

หญิงสาวชั่งใจอยู่นาน ก่อนยกมือเสยผมสั่งเด็กสาวด้วยเสียงอ่อนโรยว่า

"ฝากเอาไปทิ้งถังขยะให้ทีนะหยิม"

"ได้ค่ะพี่"

หยิมปฏิบัติตามโดยไม่ซักไซ้ยืดเยื้อ แค่แน่ใจว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากลในจดหมาย ทำความระคายให้เจ้านายเกินจะรับ และหล่อนก็มีหน้าที่กำจัดทุกความระคายให้นายตน โดยเลือกเดินออกนอกห้องมาทิ้งไกลๆให้พ้นหูพ้นตาด้วย

มะแมปิดตาลง นั่งทำความรู้สึกถึงลมหายใจที่ลากยาวแช่มช้า ครู่หนึ่งพอหายฟุ้งซ่าน สบายใจขึ้น ก็ลุกขึ้นมานั่งรับประทานอาหารกลางวันตามปกติ สั่งตนเองอย่างเด็ดขาดว่าอย่าสนใจจดหมายอีก แม้เชื่อแล้วว่า "คำทำนาย" ในจดหมายเป็นของจริง ไม่ใช่เรื่องหลอก ไม่ใช่การเล่นตลก แต่ขณะเดียวกันประสบการณ์ตรงก็บอกอยู่ ว่าถึงรู้อนาคตไปไม่ใช่จะช่วยให้อะไรดีขึ้น รังแต่จะกระทบใจให้กังวลล่วงหน้าเปล่าๆ

หล่อนแค่ใช้ความสามารถ ใช้ปฏิภาณ ใช้ญาณสัมผัส เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า พยายามเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีด้วยตนเอง ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ไม่ต้องให้ใครมาช่วยอีก

ตรวจสอบและถ่ายฐานข้อมูลเข้าโทรศัพท์เครื่องใหม่ แล้วนึกได้ว่าควรโทร.หาสารวัตรกฤษฎาเสียหน่อย เมื่อคืนหล่อนคงทำให้เขาห่วงน่าดู พอโทร.ติดก็ได้ยินฝ่ายนั้นโหวกเหวก ซักถามหล่อนด้วยเสียงห่วงใยยิ่ง เขางงมากว่าเกิดอะไรขึ้น มาดูที่บ้านก็ไม่พบร่องรอยใดๆ มะแมได้

แต่รายงานว่าเมื่อคืนเกิดเหตุร้ายบางอย่างต่อหน้าต่อตา แต่หล่อนก็จัดการไปด้วยตนเองแล้ว

ขอโทษที่โทร.รบกวนและทำให้ตกใจ

ตกบ่ายมะแมทำงานต่ออย่างปลอดโปร่งวันนี้มีแต่ลูกค้าน่ารัก ราวกับเรียงหน้ากันมาร่วม ฉลองปริญญาใบใหม่ให้กับหล่อนฉะนั้น

แต่แปลกที่เวลายิ่งผ่านไป ใจกลับยิ่งเป็นกังวล บอกไม่ถูกว่ากังวลอะไรหรือนึกห่วงใคร ทราบแต่เกิดคลื่นรบกวนกระทบจิต และคลื่นรบกวนนั้นก็ไม่จางหายไป แถมทวีความแรงขึ้นตามลำดับด้วย

มะแมไม่ใจดีต่อเวลาให้ลูกค้ารายสุดท้าย แม้เขาจะทำท่าอิดออดขอถามต่ออีกหน่อย หล่อน

รีบขอตัว บอกมีธุระต้องสะสาง และลุกขึ้นยิ้มสุภาพในท่าทีเชื้อเชิญให้กลับได้

พอลูกค้าซึ่งเป็นหนุ่มหน้าตี๋ออกจากห้องไป มะแมก็ลงนั่งสมาธิกับเก้าอี้ทำงานทันที ไม่ย้าย

ไปอีกห้องที่จัดไว้สำหรับเล่นโยคะและทำสมาธิโดยเฉพาะ

สำรวจจิต เห็นความกังวลยังปรากฏอยู่ แต่ไม่มีกำลังสติมากพอจะรู้ว่ากังวลเรื่องใด จึงหน่วงนึกถึงนิมิตวงกลมสีขาว เริ่มจากเห็นโยกโย้เลือนราง ค่อยๆชัดเด่นแจ่มใสขึ้นตามลำดับ กระทั่ง

เห็นเป็นเส้นคมกลมดิก มะแมจึงค่อยย้อนกลับมาพินิจร่องรอยความกังวลใหม่

ทันทีนั้น ความรู้สึกกังวลก็แปรเป็นนิมิตซองจดหมาย ซองจดหมายที่ปรากฏในห้วงมโนทวารคราวนี้ ให้ความรู้สึกเป็นของสำคัญที่ถูกหล่อนละเลยไป

พอสัมผัสได้ถึงความสำคัญ มะแมก็พยายามจ้องมองนิมิตจดหมาย โดยทำความรู้สึกเข้าไปในเรื่องราวที่แฝงอยู่ แต่คล้ายมีกำแพงขุ่นมัวขวางกั้น ไม่ให้จิตแตะเข้าไปถึง "ความลับ"

ข้างในได้ จึงทราบว่าญาณสัมผัสของตนมีกำลังไม่พอ อย่างมากก็แค่รู้ว่า "สำคัญ" และต้องเปิด

อ่านเอาเองด้วยตาเปล่าเท่านั้น

ลากลมหายใจเข้ายาว ผ่อนลมหายใจออกยาว เปิดเปลือกตาลุกจากที่นั่งด้วยราศีสงบเยี่ยงคนเพิ่งถอนจากสมาธิ มะแมเดินไล่หาถังผงทีละถัง เพื่อค้นดูว่าหยิมนำาจดหมายไปทิ้งไว้ในถังใด

แต่เมื่อค้นคุ้ยทุกถังในบ้านก็พบว่าว่างเปล่าทั้งหมด แสดงให้เห็นว่าหยิมทิ้งลงถังใหญ่ไปแล้ว

มะแมจึงเดินต่อมาที่หน้าบ้านด้วยท่าทีร้อนรนขึ้น

เปิดฝาถังขยะหน้าบ้านแล้วใจหายที่เห็นว่าว่างอีก รถขยะคงมาเอาไปเรียบร้อย

ขณะเดินคอตกกลับเข้าบ้านด้วยความสิ้นหวังจะได้รู้ "เรื่องสำคัญ" ในจดหมาย มะแมก็ได้

ยินเสียงทักจากเบื้องหลัง

"หาจดหมายเหรอคะพี่มะแม?"

หยิมลงจากจักรยาน หล่อนเพิ่งไปซื้อกับข้าวที่ปากซอย เห็นแต่ไกลว่าเจ้านายก้มๆ เงยๆอยู่กับถังขยะหน้าบ้าน ก็เดาถูกว่าต้องการสิ่งใด พอมาถึงจึงถามไล่หลัง

"ใช่..."

มะแมหันมาตอบเนือยๆ

"รถขยะมาเอาไปแล้วใช่ไหม?"

"ค่ะ! มาเอาไปตั้งแต่สักบ่ายสองมั้ง"

มะแมรับฟังแล้วพยักหน้าด้วยความเข้าใจ

"ช่างเถอะ"

"พี่มะแมต้องการรู้เนื้อความในจดหมายแล้วใช่ไหมคะ?"

หญิงสาวแปรสายตาจับลูกจ้างคนเก่งด้วยประกายมีความหวัง

"ใช่! หยิม! พี่ต้องการรู้แค่ว่าเขาเขียนอะไร"

"ถ้าทราบว่าหยิมแอบแกะอ่านด้วยความอยากรู้อยากเห็นจนทนไม่ไหว พี่มะแมจะเฆี่ยน

หยิมไหมนี่?"

"ไม่เลยหยิม!"

มะแมละล่ำาละลัก แทบเขย่าไหล่ทั้งสองข้างของคนช่างขยัก

"นอกจากจะไม่เฆี่ยนตีแล้ว พี่ยังต้องขอบคุณหยิมเป็นที่สุดด้วย!"

เด็กสาวผมสั้นอมยิ้มปลื้ม

"จดหมายเขียนว่า อย่าเสียใจ คนฆ่าตัวตายกันทุกวัน แต่ถ้าอยากรู้สึกดีขึ้น ก็ลองช่วยคน

ที่ยังฆ่าตัวตายไม่สำเร็จเป็นการชดเชย ประมาณนี้นะคะ จำเป๊ะๆไม่ได้หรอก"

เมื่อพบว่าคำพูดของตนมีผลให้เจ้านาย ทำท่าคล้ายจะเป็นลม ก็รีบเสริมความเห็นส่วนตัว

เข้าไปทันที

"คนเขียนเป็นบ้าหรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ หนูว่าเพ้อเจ้อมาก"

มะแมฟังคำของหยิมไม่จบ พอรวบรวมสติได้ก็ถลันเข้าบ้าน ในอาการตะลีตะลานชนิดที่เด็ก

สาวไม่เคยเห็นมาก่อน อกร้อนเป็นไฟ เข้าถึงคอมพิวเตอร์ชั้นล่างซึ่งหยิมใช้กรอกเก็บข้อมูลลูกค้า มะแมค้นย้อนไปสองวันที่ผ่านมา เจาะจงสืบหาข้อมูลลูกค้าชื่อ "แจ๊บ" ซึ่งเทคโนโลยีก็ยื่นคำตอบให้โดยพลัน

สาวพลังจิตเอากระดาษปากกาใกล้มือมาจดเบอร์โทรศัพท์ของแจ๊บ แล้วผลุนผลันวิ่งขึ้นบันไดสู่ชั้นบนแบบก้าวทีละสองขั้น คล้ายบางสิ่งที่อยู่ชั้นบนไม่อาจรอเวลาสายได้แม้แต่ชั่วลมหายใจเฮือกเดียว

คว้ามือถือจากโต๊ะทำงาน กดเบอร์สาวแจ๊บอย่างเร่งด่วน ลนลานเหมือนไม่อยากหายใจ หายคอกันอีกต่อไป สัญญาณเรียกสายดังขึ้นในลำโพงจิ๋ว มะแมรอคอยการตอบรับด้วยดวงตาเบิ่งโต อกใจเต้นระทึกยิ่งกว่ารอผลตัดสินจำคุกของศาล ว่าโดนกี่ปี หรือจะไม่โดนเลย

"ฮัลโหล..."

เสียงอ่อยเอื่อยดังขึ้นที่ปลายสาย มะแมเหลือบตาขึ้นข้างบน สยายยิ้มกว้างด้วยความรู้สึกคล้ายตายแล้วเกิดใหม่ ตอนนี้รู้แล้วว่าพวกเต็มใจวิ่งแก้บนรอบสนามฟุตบอลสิบรอบเป็นอย่างไร

"คุณแจ๊บหรือคะ สวัสดีค่ะ นี่มะแมนะคะ"

"อ้อ! คุณมะแม สวัสดี"

"คุณแจ๊บคะ มะแมอยากคุยกับคุณค่ะ ขอเวลาสักหน่อยได้ไหม จะให้มะแมไปหาที่ไหนก็ได้"

"แจ๊บก็อยากคุยกับคุณมะแมค่ะ แต่คุยกันทางนี้แหละ เพราะแจ๊บอยู่ไกลหน่อย"

"คุณแจ๊บอยู่ไหนคะ?"

"เชียงใหม่"

"ไปนั่งชมวิวคนเดียวหรือ?"

"ค่ะ ทำไมรู้ล่ะ... เอ้อ! ลืมไปว่าคุยอยู่กับใคร ไม่น่าถามเลย แจ๊บมาดูพระอาทิตย์ตกดินที่นี่น่ะค่ะ"

"ไปคนเดียวหรือคะ?"

"ค่ะ! คนเดียว... เสียดายเหมือนกันที่ไม่ใช่สองเหมือนครั้งก่อน..."

"ครั้งนี้คิดเสียว่ามะแมอยู่เป็นเพื่อนได้ไหม?"

แจ๊บหัวเราะนิ่มๆ

"คุณมะแมนี่ใจดีจังนะ นึกยังไงถึงโทร.หาแจ๊บคะ?"

"มะแมอยากคุยเรื่องอนาคตของคุณแจ๊บ วันก่อนมะแมยังพูดไม่จบ คุณแจ๊บก็หนีออกมาก่อน"

"ขอโทษจริงๆค่ะ เวลาหน้ามืดแจ๊บควบคุมอารมณ์ไม่ได้เลย พอออกจากห้องคุณมะแมแล้วถึงนึกได้ว่ายังไม่จ่ายเงิน แย่จริงๆ"

"มะแมไม่ได้โทร.มาเรื่องนั้นค่ะ ไม่สนใจเลย แค่ย้อนกลับไปคิดถึงวันที่คุยกับคุณแจ๊บแล้ว...รู้สึกว่าอาจจะยังพูดไม่ดีที่สุดเท่าที่จะพูดได้"

"ไม่ดียังไงคะ กระชากแจ๊บออกจากฝันลมๆ แล้งๆ ตื่นขึ้นมาเจอความจริงได้ ถือว่าดีที่สุดแล้ว"

"คุณแจ๊บคุยกับแฟนแล้วหรือ?"

"พอกลับถึงบ้าน สิ่งแรกที่แจ๊บทำคือพยายามโทร.หาพี่ปาย..."

แจ๊บเล่า

"โทร.เท่าไหร่เขาก็ไม่รับ เข้าเฟซบุ๊ครอนานแค่ไหนก็ไม่ออนไลน์ เลยต้องเขียนเมลนั่นแหละถึงจะยอมตอบกลับ"

มะแมระบายลมหายใจยาว

"คุณแจ๊บเขียนไปถามขอคำยืนยันตามที่มะแมเผยให้คุณรู้หรือคะ?"

"ค่ะ... แจ๊บถาม และเขาก็ตอบหมด ตรงกับที่คุณมะแมบอกทุกอย่าง แถมท้ายด้วยคำขอให้ถอยไปคนละก้าว... เขาขอเลิกกับแจ๊บค่ะคุณมะแม!"

ปลายเสียงนั้นร้าวรานจนมะแมเจ็บปวดตาม

"ถอยคนละก้าว ต่างกับเลิกกันให้ขาดนะคะ"

ปลอบทั้งรู้ว่าใจผู้ชายไม่เอาด้วยแน่ๆแล้ว

"พี่ปายมีคนใหม่แล้วใช่ไหมคะ?"

"ไม่รู้ค่ะ แต่ช่างเขาเถอะคุณแจ๊บ แค่รู้ไว้เถอะว่าคู่ของคุณกำลังจะมาถึงในไม่ช้า"

คนอกหักฟังแล้วนิ่งไปนาน ก่อนถามแบบทอดอาลัย

"คู่ของแจ๊บจะทำให้แจ๊บรักเขาได้เท่าพี่ปายหรือเปล่า?"

มะแมอึกอัก ไม่อยากฝืนตอบด้วยวิธีโกหก ในความรู้สึกของหล่อน คู่ที่จะอยู่ร่วมกันจริง เทียบไม่ได้เลยกับคนที่เพิ่งหักอกแจ๊บหมาดๆ ระดับนายปายนั้น ถ้าผ่านไปแล้วจะไม่ผ่านมาอีก เป็นอะไรที่มีได้ครั้งเดียวในชีวิตของแจ๊บจริงๆ แค่น่าเสียดายแทนแจ๊บที่รักษาเขาไว้ไม่ได้ แต่นักจิตวิทยาสาวก็หาคำพูดดีๆและตรงกับความจริงได้สำเร็จ

"ถึงคุณแจ๊บจะหลงเขาไม่เท่าคุณปาย แต่ก็จะรักเขาอย่างสบายใจ รวมทั้งเข้าใจวิธีรักษาความรักให้ยั่งยืนด้วย มันเป็นการยกชั้นขึ้นมาจากความลุ่มหลงนะ ดีกว่ากันเยอะ"

"คบกับพี่ปาย แจ๊บแน่ใจแล้วนะว่าแจ๊บรู้จักความรัก แล้วก็พยายามทำความเข้าใจวิธีรักษามันอยู่"

แจ๊บค้านแบบดื้อไม่เลิก มะแมกลั้นใจไปครู่ ถ้าโกหกเป็น หล่อนจะบอกว่าหล่อนเชื่อ หรือไม่ก็ทำเป็นชม ทำเป็นเชียร์ แต่แนวทางช่วยคนของหล่อนไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าฝืนเชียร์มั่วไปครั้งหนึ่ง ก็จะมีครั้งหน้า แล้วติดเป็นนิสัย มะแมจึงไม่ยอมมีข้อยกเว้นให้ใครมาตลอด รวมทั้งแจ๊บในครั้งนี้ด้วย

"พยายามแค่ไหนก็พลาดได้ถ้ายังไม่พร้อมจริง คู่ของเราแท้ๆมักมาตอนเราพร้อมจะไม่พลาดแล้วนะคะ"

"บางความพลั้งพลาด แจ๊บลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ แต่ไม่นึกว่ามันคือจุดแตกหัก จนกระทั่ง คุณมะแมบอกแจ๊บเมื่อวันก่อน และได้รับคำยืนยันจากพี่ปาย"

"พลาดอะไรหรือคะ?"

มะแมถามพลางนึกทวน

"พี่ปายสารภาพว่าตัดใจถอยจากแจ๊บ ตั้งแต่แจ๊บเมาแล้วด่าเขา แช่งเขา และลามปามถึงพ่อแม่เขา"

"อ๋อ!"

"พี่ปายรักพ่อแม่มาก เขาทนไม่ได้กับการลามปามถึงพวกท่าน แล้ว... แล้วตอนแจ๊บเมา แจ๊บพูดได้ยังไงไม่รู้ ประมาณว่าคอยดูนะ ถ้าทิ้งแจ๊บ แจ๊บจะฆ่าพ่อแม่เขา จะเผาบ้านเขาให้วอด โธ่เอ๊ย! คนอย่างแจ๊บเนี่ยนะจะทำอย่างนั้นได้ แจ๊บไม่ได้หมายความตามนั้นเลย ทำไมเขาถึงไม่ให้อภัย ทำไมไม่เข้าใจว่าแจ๊บเมา มันมีอะไรให้ต้องกลัวกันจริงๆเหรอ?"

มะแมอึ้ง คิดในใจว่าเขาไม่ได้กลัวคุณหรอก แต่กลัววิธีเมาของคุณนั่นแหละ!

"แล้วคุณแจ๊บจะกลับกรุงเทพฯเมื่อไหร่คะ? จริงๆมะแมอยากคุยกับคุณแจ๊บแบบเห็นหน้ามากกว่า"

แจ๊บนิ่งไปนาน นานจนมะแมต้องถามย้ำ

"คุณแจ๊บคะ ยังฟังอยู่หรือเปล่า?"

"เมื่อสองสามเดือนก่อนตอนจองเวลามาคุยกับคุณมะแม แจ๊บอยากคุยเรื่องงานมากกว่านะ เรื่องพี่ปายไม่ค่อยอยากรู้เท่าไหร่ เพราะนึกว่ารู้หมดแล้ว"

แจ๊บพูดแบบคนคิดอะไรสับไปสับมาหลายเรื่อง แต่มะแมก็รีบรับลูก

"แล้วทำไมถึงมาเน้นเรื่องคุณปายล่ะคะ?"

"เมื่ออาทิตย์ก่อนเป็นวันเกิดแจ๊บ พี่ปายไม่สนใจเลย แค่ส่งรูปการ์ดให้ทางเน็ตกับคำอวยพรสั้นๆ มันทำให้รู้สึกว่าเขาไม่เหมือนเดิมอีกแล้วนั่นแหละที่ทำให้แจ๊บอยากรู้ใจพี่ปายว่ายังอยู่กับแจ๊บหรือเปล่า"

"สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะคะคุณแจ๊บ"

มะแมปรุงเสียงให้สดใสชัดถ้อยชัดคำ หล่อนชำนาญการอวยพรให้คนฟังรู้สึกดี

"ไม่เห็นจะเป็นสุขเลยค่ะ ทำไมคนเราต้องกะเกณฑ์ให้เป็นสุขในวันเกิดกันนักก็ไม่รู้ มันก็แค่อีกวัน ที่เราอาจเจอเรื่องแย่ๆ ฝืนใจให้ร่าเริงไม่ไหว"

"ก็จริงนะคะ แต่ละวันเกิดของมะแม มะแมจะถามตัวเองว่า วันนี้ชีวิตบอกให้คิดอะไรบ้าง"

แจ๊บหัวเราะขรึม

"สำหรับแจ๊บ วันเกิดล่าสุดบอกให้แจ๊บคิดว่า ยิ่งผ่านวันเกิดมากขึ้นเท่าไร ใจเรายิ่งคุ้นกับวันตายมากขึ้นเท่านั้น!"

มะแมฟังแล้วขนลุก

"เอ่อ... แต่สำหรับมะแม วันเกิดที่ผ่านมาบอกให้มะแมคิดค่ะว่า วันเกิดที่ดีที่สุด คือวันธรรมดาที่เราใช้ชีวิตอย่างมีค่าที่สุด!"

"ชีวิตของคุณมะแมน่ะมีค่า แต่ชีวิตแจ๊บเนี่ย เฮ้อ! วันๆหมดไปให้กับความคิดมากท่าเดียวเลย"

"เคล็ดลับความเข้าใจมีอยู่นิดเดียวค่ะคุณแจ๊บ ที่คิดมากเพราะไม่ได้คิด แต่ไปติดอยู่กับอารมณ์ฟุ้งซ่านวกวนไม่รู้จบ หมั่นคิดถึงสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แล้วคุณจะไม่เป็นคนคิดมาก"

"แต่แจ๊บเหงา..."

"มะแมก็เคยเหงา แล้วมะแมได้ค้นพบความจริงอย่างหนึ่ง คือ แค่อยากไปทำให้เด็กอนาถาหายเหงาสักวัน เขายังไม่ทันหายเหงา ความเหงาก็หายไปจากเราแล้ว"

"อือม์... ฟังดูน่าลองจังค่ะ"

"ให้มะแมพาไปก็ได้นะ"

หล่อนเสนอตัว ตอนนี้คิดอย่างเดียวว่าขอให้แจ๊บรับปากอะไรเถอะ หล่อนจะยอมเหนื่อยทุกประการ แม้จะต้องโดนกระโดดเกาะหลังยืดเยื้อก็ตาม

"เหมือนคุณมะแมรู้เลยว่าแจ๊บกำลังจะจมน้ำ ไม่กลัวแจ๊บกอดคอคุณมะแมเป็นตุ๊กแกหรือ

คะ?"

มะแมเกือบสะดุ้ง เพราะแจ๊บพูดราวกับรู้ว่าหล่อนคิดอะไร

"ไม่หรอกน่า..."

มะแมเค้นหาความรู้สึกที่แท้จริง แล้วก็พบว่าตนพูดได้เต็มปากเต็มคำอย่างสบายใจ "ให้มะแมเป็นเพื่อนคุณแจ๊บได้ไหม มาคุยเปิดอกกัน วันแรกเราอาจจะคุยกันตามหน้าที่ วันนี้ให้มะแมพูดจากใจจริง มะแมอยากเป็นเพื่อนกับคุณแจ๊บ และเชื่อว่าต่อไปเราจะมีความผูกพันที่ดีต่อกันได้"

"มิบังอาจ คุณมะแมน่ะ เหมือนแม่หรือพี่สาวของแจ๊บเลย"

"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า บางทีมะแมก็วางฟอร์มตามหัวโขนไปอย่างนั้นเอง ตัวจริงเป็นผู้หญิงธรรมดาทุกอย่าง และจากสายตาของมะแมก็เชื่อว่าเราสองคนมีบางสิ่งที่เข้ากันได้"

"ตรงไหน? คุณมะแมใจเย็นเป็นน้ำ ส่วนแจ๊บน่ะร้อนเหมือนไฟ"

"คนเก่งก็งี้แหละ ให้เดานะ คุณแจ๊บจบเกียรตินิยมชัวร์ มะแมก็เหมือนกัน เดิมทีมะแมไม่ใช่คนใจเย็นนะ อาจร้อนยิ่งกว่าคุณแจ๊บอีก"

"ไม่เชื่อหรอก!"

"จริงจีง...!"

ลากเสียงยาวแบบคะยั้นคะยอให้เชื่อ

"แต่สวมหัวโขนไหนไปนานๆ คนก็นึกว่าเราเป็นอย่างนั้น พอถอดหัวโขนออก เราก็รู้ตัวว่าไม่ได้มีดีอะไรเลย"

"แล้วมะแมเคยมีแฟนไหม?"

แจ๊บตัดสรรพนาม "คุณ" ออกไป แสดงความใกล้ชิดตามมะแมเสนอ แล้วก็ชักเห็นจริงว่า ความสนิทสนมกับมะแมก่อตัวขึ้นในใจได้อย่างรวดเร็ว

"เคย!"

"ยังเป็นแฟนกันอยู่หรือเปล่า?"

"เคยหวานแหววช่วงมัธยมปลายน่ะ พอเรียนมหา'ลัย ต่างคนต่างแยกย้าย มะแมไม่ค่อยมีเวลาให้ เพราะต้องทำงานส่งตัวเองเรียนไปด้วยเขาก็ไปเจอคนใหม่"

"ไม่ได้เลิกเพราะทะเลาะกัน?"

"ก็... ประมาณว่ามะแมเห็นเขานั่งในรถกับ ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คุยกันหนุงหนิง"

"มะแมเลยขอเลิก?"

"ไม่ได้พูดอะไรชัดหรอก แค่เมลไปบอกว่า ไม่ต้องมาแล้ว"

แจ๊บยิ้มด้วยความปลอดโปร่งขึ้น เหมือนคุยกับเพื่อนที่สนิทกันมานาน

"แสดงว่าเขาไม่ค่อยมีความหมายกับมะแมเท่าไหร่ ไม่เคยมีอะไรกับเขาใช่ไหม?"

"มะแมให้มากสุดก็หอมแก้ม เกินกว่านั้นห้ามขาด"

"หึหึ เขาคงงุ่นง่านน่าดูนะ หุ่นอย่างมะแมเนี่ย ได้หอมแก้มก็ต้องน้ำลายหก อยากทำอะไรต่อ"

"ช่วยไม่ได้! พอดีมะแมยี้ๆกับเรื่องพวกนี้มันรังเกียจ"

"สงสัยเกิดผิดยุค"

"ถ้าแจ๊บได้ทำวิจัย ทำแบบสอบถามมากๆ อย่างมะแม จะรู้ว่าคนสมัยนี้ไม่ได้ติดใจหรือเห็นเซ็กส์เป็นเรื่องขาดไม่ได้ ตามๆกันไปหมดหรอกนะ"

"ก็รู้ แต่ถ้าหน้าตาดี หุ่นยั่วน้ำลายผู้ชายแบบพวกเรา ก็มักหนีไม่พ้นเจอข้อเสนอเอานู่นเอานี่มาประเคน โดนขอสนิท โดนขอเข้าใกล้ ในที่สุดเราก็ทนไม่ได้ ไม่รู้จะหวงไปทำไม เพื่อนๆมันก็ตามใจตัวเองกันหมด เห็นเป็นธรรมดาของยุคนี้"

"มะแมตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกอยากทำงานทั้งวันมาหลายปีแล้ว เลยไม่ค่อยมีคิวให้ใครมาเข้าใกล้"

"ทำไมถึงรักงานขนาดนั้น การช่วยคนมันสนุกมากเหรอ? แต่ว่าที่จริง แจ๊บแอบอิจฉามะแมมากเลยรู้ไหม เป็นตัวของตัวเองมีค่า ไม่ต้องพึ่งพาความอบอุ่นจากผู้ชาย"

มะแมเชิดหน้านิดหนึ่ง

"วันๆมีแต่ผู้ชายมาขอความอบอุ่นจากมะแมน่ะสิ! ตอนนี้เห็นผู้ชายเป็นเด็กอมมือ ไม่รู้จักโตไปหมด สงสัยชาตินี้ได้ขึ้นคานตลอดชีวิตนั่นแหละ"

"ขนาดนั้น?"

"ขนาดนั้น!"

"อย่างนี้เป็นแบบมะแมก็ไม่ดีน่ะสิ"

"แล้วเป็นแบบไหนถึงจะดี?"

แจ๊บทอดสายตามองไกล ขอบฟ้ากว้าง ทิวเมฆสะท้อนแสงหลากสี ตะวันใกล้จะตกดินอยู่รอนๆ สายลมเย็นโชยพัดเส้นผมหล่อนปลิวไหว

"เออนะ อย่างไหนล่ะถึงจะดี... มีคู่เพื่อจะหวานใส่กัน แล้วมาเปลี่ยนเป็นทะเลาะกัน จบลงที่ทิ้งกัน มันดีตรงไหน"

ขอบตาล่างซ้ายของมะแมขยิบนิดหนึ่ง

"แจ๊บ! พูดอย่างเพื่อนนะ ตัวเองน่ะสวยขนาดนี้ มาช่วยกันเสียดายคนที่เขาไม่ได้เธอไป ครองดีกว่า วันนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายอกหักนั่นก็เพราะยอมเป็นฝ่ายถูกทิ้งทางกายข้างเดียว ทำไมไม่หัดให้เขาเป็นฝ่ายถูกทิ้งด้วยใจเราดูบ้าง?"

"ขอบใจมากมะแม เราปลื้มและรู้สึกเป็นเกียรติมากที่เธอลดตัวลงมาเป็นเพื่อน ถ้ามีเพื่อนดีอย่างเธอมาก่อนหน้านี้สักสิบปี เราอาจจะอยากมีค่าให้มากๆแบบเธอบ้างก็ได้ ไม่ปล่อยให้ตัวเองไร้ค่าจนสายไปแบบนี้"

"คำว่าสายไปมีไว้ใช้กับคนตายเท่านั้นแหละแจ๊บ!"

"อือ..."

ความเงียบเข้าปกคลุม มะแมสัมผัสถึงความเหม่อลอยแปลกๆของอีกฝ่าย ก็เรียกให้ขานรับบ้าง

"แจ๊บ..."

"หือ?"

"จะกลับกรุงเทพฯเมื่อไหร่?"

เป็นคำถามซ้ำ และแจ๊บก็ไม่ตอบอีก เสพูดมาอีกทาง

"ก่อนมะแมโทร.มา แจ๊บกำลังเลือกอยู่เลย ว่าจะโทร.หาใครดี ใกล้เวลาพระอาทิตย์จะตกดินแล้ว..."

คราวนี้มะแมมือเย็นเฉียบ เกิดมาไม่เคยหนาวไปทั้งตัวขนาดนั้นมาก่อน

"แจ๊บ! เธออย่าทำอะไรบ้าๆนะ!"

เผลอส่งเสียงเกือบเป็นตวาด แปลกที่รู้สึกสนิทกับแจ๊บออกมาจากส่วนลึก คล้ายคุ้นมานานแสนนาน กระทั่งลืมตัว ใช้เสียงเกรี้ยวและคำแรง

"ถามตัวเองซิ ตอนนี้มีดีอะไรไปตายบ้าง?"

"ขอบใจเธอมากนะมะแม เธอดีกับคนแปลกหน้าอย่างฉันได้ยิ่งกว่าคนเคยกอดคอบอกรักฉันตรงนี้เสียอีก"

"แจ๊บ! ไม่เอาน่า อย่าเพิ่งทำอะไร ให้มะแมบินไปหาเดี๋ยวนี้ก็ได้ ไหว้ล่ะ!"

แจ๊บมองหุบเหวกว้างใหญ่ที่เริ่มครึ้มสลัวน้ำตารินผ่านร่องแก้ม สัมผัสเหมือนหลุมดำาที่ทรงพลังเกินต้าน คล้ายเสียงเพรียกแห่งดนตรีมรณะทำนองหวานเศร้า หรือขุมแม่เหล็กยักษ์จากแกนกลางโลกที่ส่งแรงดึงดูดอันน่าพิสมัยมาดึงตัว ใจรู้แต่ว่าหล่อนต้องกระโจนลงไปหามันในนาทีนี้แล้ว

"มะแม... ขอบคุณที่ทำให้แจ๊บตาสว่าง และขอบคุณสำหรับความเป็นเพื่อนที่แสนดีในนาทีสุดท้าย รู้ว่ามะแมอยากช่วย แจ๊บอยากทำอะไรตอบแทนบ้าง แต่ขอเป็นชาติหน้านะ ชาตินี้

แจ๊บทนมีชีวิตต่อไปไม่ไหวจริงๆ"

"แจ๊บ!"

"ฝากบอกพี่ปายด้วยว่าขอโทษ ทำไมแจ๊บถึงรักเขาขนาดนี้ก็ไม่รู้..."

"แจ๊บ! อย่า!!"

มะแมกรีดร้องสุดเสียง วินาทีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้น คล้ายละครฉากจบ สะเทือนวิญญาณที่ถูกบังคับให้ดู ทั้งที่ไม่เคยเต็มใจ

เสียงทางโทรศัพท์เหมือนแว่วผ่านมาจากมิติลี้ลับที่ไม่ควรมีใครได้ยิน ครั้งแรกเป็นเสียงเปรียะแตกของกระจก อึดใจต่อมาตามด้วยเสียงกระแทกโครมหนักๆ เว้นช่วงจากนั้นอีกครู่ ก็กลายเป็นโครมครามซ้ำไปซ้ำมา หลอนหูราวกับเสียงรัวกลองใหญ่ในนรก!

มะแมอยากขว้างโทรศัพท์ทิ้ง อยากกรีดร้องคลุ้มคลั่ง แต่เจ้ากรรม จิตกลับแข็งทื่อ ตัวนิ่งขึงดุจถูกสาปว่าอย่างไรก็ต้องดูละครฉากสุดท้ายให้จบ ไม่ดูไม่ได้

การพูดคุยกับแจ๊บมาพักหนึ่ง ทำให้กระแสจิตผูกกับฝ่ายนั้นแน่นเหนียว และคลื่นจิตระหว่างมะแมกับแจ๊บก็จูนกันติดดีเสียด้วย แจ๊บรู้สึกอย่างไรในวาระสุดท้าย มะแมก็รู้สึกตามนั้นไม่มี

ผิด!

จิตใจของแจ๊บขณะดิ่งเหวแน่นิ่ง ไม่กระวนกระวาย เหมือนอยู่ในสุญญากาศอันสร้างขึ้นด้วยเจตนาดับชีวิตอย่างสงบ มะแมติดตามได้ตั้งแต่วินาทีแรกทีเดียวว่าแจ๊บหลับตาเหยียบคันเร่งอย่างไม่กลัวการพบมัจจุราชที่สยายเขี้ยวรออยู่เบื้องล่าง ไม่มีการกรีดร้องออกมาแม้แต่แอะเดียว เพราะไม่เห็นอะไรเลย เอาแต่ปิดตารอนาทีลงดาบด้วยความเลือดเย็นกับชีวิตตน คะเนจากระยะห่างระหว่างเสียงสุดท้ายของแจ๊บ กับเสียงสุดท้ายของการบดขยี้รถเป็นเศษเหล็ก หน้าผาจะต้องสูงชัน รถจะต้องกระแทกอะไรระหว่างทาง ก่อนลอยละลิ่วลงมาปะทะโขดหินเบื้องล่างแล้วม้วนหลายตลบก่อนสงบนิ่ง

และในการม้วนตลบท้ายๆนั่นเอง สัญญาณก็ถูกตัดไป แสดงให้เห็นว่าโทรศัพท์ของแจ๊บน่าจะป่นปี้บี้แบนไปแล้ว แต่มะแมยังถือโทรศัพท์ของตนค้าง ราวกับจะอาศัยมันเป็นอุปกรณ์ถ่ายทอดสดรายการ "ชีวิตข้ามชาติ" อย่างต่อเนื่อง

ระหว่างคงสภาพความเป็นมนุษย์ แม้แจ๊บจะเหม่อบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง ห่อเหี่ยวบ้าง ก็ยังคงมีภาวะของจิตปรากฏชัด ไม่ต่างจากเปลวเทียนที่ยืนตัวส่องแสงอยู่ตลอด แค่โดนบดบังเป็นเงามืด เงามัว เงาสลัวบ้าง พอยกเครื่องบดบังออก ความสว่างก็ฉายใหม่

แต่ขณะจะดับเพื่อเคลื่อนจากภพเดิม จิตของแจ๊บปรากฏเหมือนเปลวเทียนที่โดนสายลม

พัด ป้อแป้ร่อแร่ แล้วกลับตั้งขึ้นใหม่ แล้วซวนเซ ปัดเป๋ไปมาหลายรอบ ทำท่าจะดับมิดับแหล่ก็ไม่ดับในทีเดียว คงเพราะอาการ "ตายคาที่" ของแจ๊บไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาตินั่นเอง

และในสภาพล้มลุกแบบเปลวเทียนจวนดับนั้น สิ่งที่บังเกิดซ้อนขึ้นมาอีกชั้นให้มะแมสัมผัส

คือกงจักรไร้ตน มันหมุนติ้วไม่หยุด เทียบไปคงคล้ายมองหน้าใครที่กำลังฟุ้งซ่านหนักๆแล้วเห็นเหมือนกงล้อปั่นอยู่ในหัวของเขา แต่กงจักรไร้ตนที่มะแมกำลังเห็นนี้ ไม่ได้มีที่ตั้งอยู่ในสมอง มันเป็นเอกเทศต่างหากจากมิติทางกาย กับทั้งปั่นแรงกว่าคนฟุ้งซ่านหลายเท่า

ภาวะนี้กระมัง ขณะแห่งการเกิดนิมิตพฤติกรรมที่ทำมาระหว่างมีชีวิต ซึ่งคนผ่านประสบการณ์เฉียดตายมักเล่าตรงกัน มะแมเล็งลึกลงไปในการหมุนของกงจักรด้วยความอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ แต่ก็ไม่เห็น เพราะเกินความสามารถระดับหล่อน

ปรากฏการณ์ตายคาที่ของคนไปไม่ดี บอกมะแมว่าเรื่องคอขาดบาดตายอันเป็นที่สุดมิได้

เกิดขึ้นกับกาย ทว่าเกิดกับจิตต่างหาก พอกายยุติการทำงานก็แน่นิ่งไม่ต่างจากเศษอิฐเศษปูนที่

มีของเหลวไหลซึมออกมา แต่การดับจิตนั้น มีอะไรให้ดูต่อ มีอะไรให้น่าแสดงความเสียใจอย่าง

แท้จริง ยิ่งกว่าทุกเรื่องที่เคยเกิดขึ้นระหว่างมีชีวิต

พอแจ๊บเคลื่อนจากภพแห่งมนุษย์ไปแล้ว มีพลังบางชนิดที่ยิ่งใหญ่ ควบคุมให้เกิดการสร้างจิตดวงใหม่ขึ้นสืบทอดทันที มะแมบอกตนเองว่าพลังยิ่งใหญ่นั้น คงเป็นพลังกรรมกระมัง คล้ายพอไส้เทียนหมด เปลวเทียนก็ดับหาย แต่มิใช่สาบสูญ เพราะไฟไปปรากฏในเทียนเล่มใหม่โดย อะไรอย่างหนึ่ง ที่ไม่ยอมให้ความร้อนสิ้นสุด

การก่อภพใหม่ของแจ๊บเริ่มจากพลังมืด คล้ายมนต์ดำารวมตัวขึ้นได้ก่อน แล้วจึงเนรมิตสภาพของจิตที่แตกต่างจากความเป็นมนุษย์ขึ้นมา

จิตใหม่ของแจ๊บมิใช่จิตที่รับรู้หรือคิดอ่านได้ทันที เปรียบเหมือนมะแมเห็นแจ๊บถูกลอบฟาดศีรษะจากด้านหลัง สลบเหมือดกะทันหัน ทั้งสติสำนึกคิดอ่าน และความทรงจำตอนเต็มตื่นหายไป แปรเป็นสภาพไม่รู้ไม่เห็นใดๆ

ความตายปรากฏคล้ายภาวะขาดช่องทางการติดต่อ จะไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป ถ้าต้องการพูดคุยสื่อสารกับแจ๊บ การอยู่คนละโลกมันเป็นอย่างนี้เอง อยากช่วยอะไรก็สายเกินไปแล้ว

นับว่าแจ๊บใจร้ายกับหล่อนเอาการ ลืมคิดไปหรืออย่างไรว่าการตายให้ใครดูมันสั่นประสาทกันขนาดไหน สำหรับมะแม หล่อนรู้เดี๋ยวนั้นเลยว่าจะเป็นแผลบาดลึกลงไปถึงก้นบึ้งความทรงจำ และไม่อาจลบเลือนได้ตลอดชีวิต

มนุษย์ได้อะไรมาจากความรักบ้าง? คนเราไม่เคยพร้อมจะตายเพื่อบูชารักเลย แต่จะเป็นจะตายเมื่อความรักไม่ได้อย่างใจมากกว่า

มนุษย์เป็นสัตว์มีเหตุผล ทว่าก็อาจเอาแต่ใจและใช้อารมณ์ได้รุนแรงที่สุดในบรรดาสัตว์ทั้งปวง

มนุษย์มักใช้ชีวิตอย่างคนอวดดี แต่ก็ไม่ค่อยมีดีไปตายกัน!

นี่แหละมนุษย์...

___________________________________________________________________________________
บทที่ ๖

มะแมเดินลงมาข้างล่างหงอยๆ หยิมกำลังจัดข้าวจัดของ ความจริงหยิมได้ยินเสียงกรีดร้องของมะแม แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องส่วนตัวอย่างไร หรือเปล่า เลยคอยเงี่ยหูสังเกตการณ์อยู่ที่ด้านล่างเฉยๆก่อน

เมื่อหันไปมองนายสาว ก็พบว่านัยน์ตาคู่งามของฝ่ายนั้นทอแววช้ำ แต่ยังคุมกิริยาด้วยสติที่สมบูรณ์ ก็ทราบว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หยิมจึงถามตามหน้าที่โดยไม่แสดงความห่วงใยเป็น พิเศษ

"พี่มะแมหิวหรือยังคะ จะกินเลยหรือเปล่า?"

"หยิม... ในจดหมายเขียนว่ายังไงนะ ขอฟัง ชัดๆอีกทีเถอะ"

หางเสียงคนถามสั่นพร่า

"อ๋อ! จดหมายเหรอคะ เขาเขียนว่า 'อย่าเสียใจ คนฆ่าตัวตายทุกวัน ถ้าอยากรู้สึกดีขึ้นก็ไปช่วยคนที่กำลังจะฆ่าตัวตาย เป็นการไถ่ชีวิตด้วยชีวิต' อะไรประมาณนี้นะคะ ขอโทษจริงๆ หยิมไม่แน่ใจว่าจำถูกหมดหรือเปล่า"

เด็กสาวออกตัว จำเนื้อความในจดหมายเป็นคำเป๊ะๆไม่ได้ แค่ถ่ายทอดครั้งแรกกับครั้งนี้ก็น่าจะต่างกันแล้ว

"ขอบใจนะ หยิมช่วยพี่ได้มากแล้ว เมื่อกี๊ตอนฟังทีแรกพี่เก็บความไม่ครบเองเลยเข้าใจ ผิดนิดหน่อย"

"ค่ะ"

หยิมมองผู้เป็นนายตาแป๋ว เดาว่าคงเป็นลูกค้าคนใดคนหนึ่งฆ่าตัวตาย แต่ไม่เฉลียวคิดเลยสักนิดว่าความตายเพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ ไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี่เอง

"พี่จะออกไปทำธุระข้างนอกหน่อย หยิมกินข้าวเย็นไปคนเดียวแล้วกันนะ"

"มีอะไรให้หยิมช่วย หรือให้หยิมออกไปเป็นเพื่อนไหมคะ? ถ้าจะไม่ได้กินข้าวเย็นก็ไม่เป็นไรนะ"

มะแมยิ้มเซียว เดินเข้ามาดึงตัวหยิมกอดเต็มอ้อมเป็นครั้งแรก ใช้มือตบศีรษะเบาๆก่อนคลายอ้อมกอด

"มันเป็นงานที่พี่ต้องทำคนเดียวน่ะ ขอบใจนะ"

"ค่ะ! แต่ถ้าพี่มะแมขับรถสวนกะโจร อย่าขับตามไปแบบเมื่อคืนอีกนะคะ"

หยิมพูดด้วยแววตาจงรักภักดี

"จ้ะ! ไม่มีองครักษ์คนเก่งไปด้วย พี่ไม่กล้าซ่าหรอก!"

หนึ่งทุ่มเศษในห้างเซ็นทรัลบางนา ผู้คนหนาตา เหมาะที่สุดที่จะค้นหาใครสักคนมาชำระล้างความรู้สึกผิดออกจากใจ มะแมสัมผัสสำรวจทุกคนที่เดินสวนหล่อน โดยเฉพาะคนเดินช้า อ้อยอิ่งแบบหมดอาลัยตายอยาก

ชั่วระยะเวลาอันสั้นที่สวนกัน ไม่เพียงพอให้มะแมรับรู้อะไรได้ลึกนัก แต่ละคนหลงเหม่ออยู่ใน

โลกของตัวเอง แม้รู้ว่าจะขยับกายไปทางไหน แต่ก็เหมือนไม่ค่อยรู้ว่าชีวิตกำลังเดินไปทางใด

พวกมาห้างแบบไม่มีสตางค์ ต่างก็เหม่ออยู่บนฐานความสุขที่ได้เดินทอดน่องรับไอเย็นฉ่ำฟรีๆ ส่วนพวกมาห้างแบบมีเงินล้นกระเป๋า ต่างก็เหม่ออยู่บนฐานความอยากดูสิ่งล่อตาล่อใจ เพื่อชั่งใจว่าจะปล่อยเงินในกระเป๋าหรือในบัตรเครดิตออกไปดีหรือไม่

พวกมาห้างแบบเดี่ยวๆมักพ่วงพาความเหงาเป็นเงาตามจิตมาด้วย ส่วนพวกมาห้างเป็นคู่ๆ หรือมารอพบคู่ตามนัด ก็มีทั้งอารมณ์สำราญและรำคาญใจ บางคู่มาด้วยกันแต่ก็เหม่อลอยไปคนละทิศคนละทางราวกับอยู่คนละโลก แค่อยู่ในห้าง ๒๐ นาที มะแมพบสารพัดคู่ สารพัดรูปแบบ ความสัมพันธ์ทางใจ จนเห็นหญิงชายจับคู่กันเลือกวิธีเป็นทุกข์เฉพาะตน ไม่ใช่แค่มองตื้นๆด้วย ตาเปล่าว่า "เขาเป็นแฟนกัน"

พวกไม่มีเงินกับพวกเจ็บจากรัก มักถูกมองว่ามีสิทธิ์ฆ่าตัวตาย มะแมก็อาศัยสามัญสำนึก ตรงนั้นเป็นเกณฑ์ส่องสำรวจว่าใครเข้าข่ายบ้าง แต่ก็พบความจริงอย่างหนึ่ง คือต่อให้เข้าตาจน แต่ยังมีแก่ใจมาเดินรับไอเย็นในห้าง หรือแม้ระหองระแหงกับแฟนแต่ยังจูงมือกันมาดูหนังอยู่ ก็ไม่มีใครอยากลาโลกภายในวันนี้พรุ่งนี้หรอก

ผ่านหน้าผ่านตา สัมผัสจิตคนเดินสวนมาจากสิบเป็นร้อย มะแมชักเริ่มมึนงง เหมือนเล่นเกมที่ต้องเก็บรายละเอียดให้ได้มากในเวลาอันสั้น ถ้าแค่ครั้งสองครั้งพอทน แต่เป็นร้อยนี่ชักเกินความสามารถ

หิวข้าว หิวน้ำ มะแมตัดสินใจแวะพักกินก่อน เพราะถึงฝืนไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาตอนกำลังใกล้จะหน้ามืดวิงเวียนรอมร่อ

ขณะนั่งจัดการอาหารเย็นตามลำพังในศูนย์อาหาร มะแมก็ครุ่นคิดถึงวิธีกวาดหาเป้าหมายที่อาจเข้าข่ายอยากฆ่าตัวตายและลงมือจริง การเดินสวนแล้วสัมผัสตรวจเอาทีละคนน่าจะไม่ใช่วิธีที่ฉลาดนัก พอจับความเครียดหนักๆของบางคนได้ แต่แอบสะกดรอยตามไปครู่หนึ่ง ก็พบว่า ความเครียดนั้นคลายตัวลง สรุปคือแค่เครียดหนักแบบวูบวาบ ไม่ใช่ยืดเยื้อ คนจะอยากฆ่าตัว ตายต้องซึมเศร้าอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า ๒ อาทิตย์ขึ้นไป

หล่อนควรหาวิธีรู้ให้ได้แน่นอนและรวดเร็วกว่านั้น เมื่อข้าวหมดจาน ดื่มน้ำจนท้องอิ่มสบายพอ มะแมก็เริ่มกวาดสายตาจากจุดที่นั่งอยู่ และค้นพบว่าการตรวจกวาดเป้านิ่งสะดวกกว่าเดินหา แม้การเดินสวนกันจะได้พลังปะทะจังๆ รับสัมผัสแรงจากระยะใกล้ แต่ช่วงเวลาก็สั้นเกินไป สู้นั่ง กวาดหาเป้านิ่งเอาจากมุมกว้างอย่างนี้ไม่ได้ ใช้เวลาได้นานตามต้องการ

ค่อยๆกวาดมองโดยรอบอย่างละเอียด แม้หลายคนเป็นโรคสงสารตัวเองขั้นรุนแรง แม้หลายคนจมอยู่กับความทุกข์ที่ข้นหนัก แม้หลายคนประสบปัญหาขั้นวิกฤต แม้หลายคนเก็บซ่อนความระทมขมขื่นแน่นอกไว้ภายใต้สีหน้าปกติ และแม้หลายคนเชื่อว่าตัวเองไม่มีทางพ้นจากปัญหาใหญ่ไปจนชั่วชีวิต...

แต่ก็ไม่มีใครคิดฆ่าตัวตายในวันนี้ หรือในเร็ววันนี้เลยสักคน!

เมื่อมีชีวิตทุกคนจะรักชีวิต ไม่ว่าชีวิตจะปรากฏเป็นเรื่องน่าเริงรื่นหรือขื่นขม ธรรมชาติของคนทั่วไปจะไม่ปล่อยให้ตัวเองซึมเศร้าต่อเนื่อง ถึงเวลาก็ดูหนัง ดูละคร หาคนเจ๊าะแจ๊ะ เรื่อยเปื่อย จึงมีช่วงผ่อนหนักผ่อนเบา ไม่กดดัน รุนแรงขนาดทะลุขีดความอดกลั้นง่ายๆ

ตั้งสติถามตัวเองว่าหล่อนกำลังหาเป้าหมายแบบไหน ที่จะมาชดเชยความรู้สึกล้มเหลวในการช่วยแจ๊บ คนกำลังอยากฆ่าตัวตายวันนี้หรือคนที่มีีแนวโน้มจะเบื่อชีวิตสุดทนในเร็ววัน?

ถ้าตั้งใจฆ่าตัวตายเดี๋ยวนี้เลยก็อ่านง่ายอยู่หรอก เพราะความรู้สึกอยากทำลายชีวิตจะก่อกระแสจิตแบบหนึ่ง ที่สัมผัสแล้วทราบได้ว่าคนๆนั้นปฏิเสธการดำรงอยู่ของตนเอง แตกต่างจาก สิ่งมีชีวิตทั่วไปที่หวงแหนและยึดมั่นการมีตัวตนเหนือสิ่งอื่นใด

แต่จะหาได้สักกี่คนที่อยากทิ้งชีวิตแล้วมาเดินเสพสุขตามห้าง? ศูนย์การค้าเป็นแหล่งรวมคนหวงชีวิต ไม่ใช่อยากทิ้งชีวิต แม้เคยมีข่าวคนโดดลงมาจากที่จอดรถบ้าง หรือมีแหวกแนวโดดกลางห้างบ้าง ก็หายากพอๆกับงมหินเล็กในสระใหญ่ หล่อนจะต้องเดินไปกี่เดือนหรือกี่ปีกว่าจะ บังเอิญเจอประเภทนั้น?

เมื่อคิดจะลดสเปกลง เพื่อหาเป้าหมายให้พบได้ง่ายขึ้น โจทย์ข้อใหม่ก็ตามมาอีก คือหล่อนจะเข้าไปแนะนำตัวอย่างไร ดิฉันอยากช่วยให้คุณไม่ต้องคิดฆ่าตัวตายในอนาคตอันใกล้งั้นหรือ?

ในแง่ของการเสนอตัวช่วย คนกำลังจะฆ่าตัวตายเดี๋ยวนี้เท่านั้น ที่เป็นเป้าเหมาะ!

ความคิดสะดุดลง เมื่อมะแมพบว่าตนมักไปรบกวนคนกำลังก้มหน้าก้มตาทานข้าวให้เงยขึ้น เหลียวมาตามแรงปะทะของกระแสตาที่หล่อนส่งไปอยู่เรื่อย พอชักเกรงใจประชาชน หล่อนก็ลุก

ขึ้นด้วยความคิดว่าน่าจะหาทำเลตรวจสัมผัสใหม่ดีกว่า

ขณะยื่นคืนคูปองให้พนักงานที่โต๊ะแลกเปลี่ยน มะแมก็ชะงัก เมื่อสัมผัสได้ถึงแผลใหญ่ในใจสาวหลังช่องกระจกคนนั้น ใบหน้าแสดงความหมกมุ่น หมักหมมความเคร่งเครียดอย่างต่อเนื่องมานาน เข้าขั้นอกไหม้ไส้ขม แม้มือยื่นแลกเปลี่ยนคูปองกับลูกค้า ก็เป็นกิริยาดุจหุ่นยนต์ไร้ชีวิต

สัมผัสใจภายในของเจ้าหล่อนเต็มไปด้วยอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทั้งฝืนทน ทั้งด่ากราด ทั้งเร่งร้อนอยากให้มหันตทุกข์ที่เผชิญอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันสิ้นสุดลงเสียที

มะแมไม่แสดงอาการผิดปกติ เมื่อรับเงินมาก็ถอยไปทางหนึ่ง เลือกที่นั่งไม่ห่าง แต่ก็ไม่ใกล้ผู้ หญิงจมทุกข์คนนั้นเกินไปนัก ยังกำเหรียญ ๕ บาทที่ได้รับทอนมาไว้ในอุ้งมือ สิ่งที่ได้รับจาก สัมผัสกระทบโดยตรงขณะเจ้าหล่อนยื่นเหรียญให้คือความหมกมุ่น เคียดแค้น ชิงชัง มะแมก็เริ่ม โฟกัสที่ตรงนั้น

หลังจากใช้ปลายนิ้วคลึงเหรียญอึดใจหนึ่ง มโนภาพก็ปรากฏเป็นฉากๆ เริ่มจากการถูกตาม ตื๊อโดยผู้ชายคนหนึ่ง ทั้งที่เจ้าหล่อนมีแฟนอยู่แล้ว ตามด้วยภาพการโอนอ่อน ทนลูกตื๊อไม่ไหว ถัดมาเป็นภาพการย้ายไปอยู่ห้องเดียวกัน แล้วจบด้วยการที่ชายเจ้าชู้ไปมีหญิงอื่น!

รักสามเส้าและการนอกใจเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่ง และเหมือนการแพร่ลามของเชื้อโรคร้าย มะแมเก็บเหรียญลงกระเป๋า เจ้าหล่อนคนนั้นกำลังตกนรกแห่งความเสียดายและความชิงชังคนรักเก่ามีค่าเหมือนเพชรพลอยหล่อนทิ้งขว้าง แต่คนรักปัจจุบันเหมือนไส้เดือนกิ้งกือกลับไปคว้ามา

ในหัวเจ้าหล่อนเต็มไปด้วยคำหยาบคายบรรดามี เท่าที่มนุษย์จะสรรคิดกันขึ้นมาหนักที่สุดคือคำสาปแช่งและความอาฆาตอีนังผู้หญิงหน้าใหม่ ประมาณว่าถ้ายืนอยู่ด้วยกันริมถนนก็พร้อมจะหน้ามืดถีบลงไปให้รถชนกระเด็นได้ง่ายๆ

เรื่องแย่ของหญิงพนักงานแลกเงิน อยู่ตรงที่ไม่รู้จะลงเอยอย่างไร จบดีหรือจบร้าย ต้องฆ่าฟัน หรือทนเอา แต่ทั้งหมดนั้นไม่มีภาพสะท้อนความคิดฆ่าตัวตายเลย คุณเธอไม่ได้อยากตายด้วยซ้ำ ถ้าอยากให้คนอื่นตายค่อยว่าไปอย่าง

สรุปคือเธอคนนี้ก็ยังไม่ใช่เป้าหมายที่หล่อนค้นหา มะแมลุกขึ้นเดินผละออกมา สายตามองกราดรอบตัว ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยมนุษย์ที่มีชีวิตชีวา

อดคิดถึงแจ๊บไม่ได้ วันนี้เดินผ่านผู้หญิงมาไม่รู้เท่าไร ยังไม่เจอใครสักคนที่สวยเด่นเท่าแจ๊บ แต่ในบรรดาสาวธรรมดานับร้อยนับพัน ไม่มีใครสักคนที่ทุรนทุรายกระหายความตายเหมือนอย่าง แจ๊บ!

ทดลองขึ้นไปยืนเกาะราวกั้นของชั้นสองเหลือบมองฝูงชนที่เดินขวักไขว่อยู่กับชั้นแรก พอมองปักลงมาจากมุมสูง ครอบพื้นที่กว้างแล้วค่อยเห็นคลุมผู้คนเยอะหน่อย บางคนเดิน บางคนนั่ง บางคนคุยโทรศัพท์ บางคนหวานจี๋อยู่กับแฟนระยะข้าวใหม่ปลามัน แต่ละคนทำในสิ่งที่สนใจจะ ทำ…

และหล่อนก็กำลังสนใจคนที่เลิกสนใจทุกสิ่งแม้กระทั่งความมีชีวิต!

ถามตนเองซ้ำ นี่หล่อนมายืนผิดที่หรือเปล่า?

แวบหนึ่งที่คิดถึงคนไข้ในโรงพยาบาลประสาท หล่อนเคยสัมผัสคนเหล่านั้นมา และทราบว่าถ้าถึงขั้นคลุ้มคลั่งจะฆ่าตัวตาย ขนาดต้องอยู่ในการควบคุมดูแลจ่ายยาจากจิตแพทย์แบบนั้นก็เกินความสามารถจะพลิกชีวิตกันด้วยคำพูด

แล้วถ้าเป็นโรงพยาบาลธรรมดาล่ะ ประเภทนอนพะงาบๆ ร่ำร้องขอการุณยฆาต อยากตายให้พ้นภาวะทรมาน หล่อนควรจะไปช่วยให้พวกนั้นกลับใจไหม?

แค่คิดก็รู้สึกแย่แล้ว คนกำลังทรมานแสนสาหัสจากภาวะเจ็บปวดทางกาย หล่อนจะไปอ้อนวอนให้เขาทนต่อด้วยข้ออ้างไหนดี?

หล่อนจะอยากพูดกับคนไข้ที่ร้องขอความตาย ก็มีกรณีเดียวคือรู้แน่ว่ามีวิธีฆ่าตัวตายให้ไปดี!

แต่ขนาดบังคับให้หลับฝันดียังยาก แล้วบังคับให้ตายดี ประกันว่าจะเกิดภาวะใหม่ดีๆมารองรับ จะมีสักกี่คนที่ทำได้?

ความคิดกระโดดทางโน้นทีทางนี้ที และวกไปวนมาจนเหนื่อยใจ กวาดตามองผู้คนด้านล่างแบบคลุมๆ หล่อนก็ไม่ต่างจากคนเหล่านั้น มีแขน มีขา มีหัว มีตัว แล้วก็มีความทุกข์เฉพาะตน แสวงหาความสุขเฉพาะทาง ใครจะช่วยใครได้จริง?

สลัดหน้า เริ่มคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลบ้าง จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิตที่มะแมติดตามเป็นระยะ ปัจจุบันมีคนไทยฆ่าตัวตายสำเร็จวันละ ๑๒ ราย หมายความว่าถ้าวันนี้หล่อนเดินตระเวนรอบ ประเทศ ก็ต้องปะหน้าคนมากกว่า ๕ ล้าน ถึงจะเจอใครสักคนที่กำลังคิดฆ่าตัวตายและทำได้สำเร็จ

ขณะเดียวกัน ข้อมูลชุดนั้นก็บอกเป็นนัยด้วยว่าภายใน ๒ ชั่วโมงนี้ ณ ที่ใดที่หนึ่งในราช อาณาจักรไทย กำลังมีคนคิดฆ่าตัวตาย แล้วก็ทำได้อย่างที่คิด หล่อนแค่ไม่รู้ว่าเป็นใคร อยู่ที่ไหน ต้องดั้นด้นเดินทางไปหาอย่างไรจึงทันการณ์

ค่อยๆเห็นชัดขึ้นทีละน้อยว่าแจ๊บเป็น "หนึ่งในบุคคลหายาก" นอกจากตัดช่องน้อยแต่พอตัว หลีกลี้หนีไปสู่ปรโลกสำเร็จ คุณเธอยังเป็นพวกไม่ต้องรอเวลาหมักหมมความซึมเศร้าเนิ่นนานนัก แค่รู้ตัวว่าถูกทิ้งขว้าง สองวันต่อมาก็ด่วนตัดอายุอย่างไม่มีเยื่อใยแล้ว

นี่คงเป็นอาการคลั่งรักรุนแรงขั้นสูงสุดจริงๆ...

อดถามตนเองไม่ได้ มันเป็นคำถามตกค้างในลักษณะของตะกอนที่นอนก้นอยู่เฉยๆ แต่กวน เมื่อไรก็ขุ่นเมื่อนั้น...

หล่อนมีส่วนทำให้แจ๊บคิดสั้นด้วยหรือเปล่า?

ในวันที่แจ๊บนั่งอยู่ตรงหน้า หากหล่อนเลือกใช้ไม้นวม ค่อยๆพูด ค่อยๆชักแม่น้ำทั้งห้า ไม่ใช้ไม้แข็งตั้งแต่ยังไม่ทันไร แจ๊บอาจจะค่อยๆปรับใจอาจจะค่อยๆรับรู้เหตุผลอันควรแก่การตาสว่าง ทำใจได้ว่าของดีหลุดมือไปแล้ว เพื่อให้เก็บไว้เป็นบทเรียน รอรักษาของดีชิ้นใหม่ที่จะมาถึง

การทำงานในฐานะที่ปรึกษาปัญหาชีวิตของมะแม สองปีที่ผ่านมาคือความสำเร็จ แต่ความ ล้มเหลวครั้งเดียวมันทำลายความเชื่อมั่นที่สั่งสมมาทั้งหมดให้พังครืนลงได้ในชั่วข้ามวัน!

เหมือนย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นกันใหม่ และเห็นความสามารถของตนเป็นแค่การโยนเหรียญสองด้าน ที่ผ่านมาอาจเก่งพอจะเอาชนะธรรมชาติ บังคับให้ออกหัวได้ตลอด แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้ เมื่อธรรมชาติพอใจจะบังคับให้ออกก้อยเสียบ้าง แม้หล่อนไม่ยอมเชื่อสายตา แม้หล่อนจะร่ำร้องอยู่ข้างในว่า "ไม่จริงๆๆ" แทบอกแตกสักกี่ครั้ง เหรียญก็แสดงด้านก้อยตำตาอยู่อย่างนั้น

แจ๊บตายไปแล้ว และเป็นรสขมในปากหล่อน บางขณะเช่นยามนี้ มะแมพยายามโทษว่าเป็นเพราะฝ่ายนั้นมักง่ายเอง สิ้นคิดเอง ทำเรื่องโง่ๆเอง และพลอยลากหล่อนให้ต้องรู้สึกแย่กับ ตัวเองไปด้วย

ทว่าอีกใจก็ตำหนิตัวเอง สารภาพกับตนเอง หล่อนปล่อยให้ความหมั่นไส้แบบผู้หญิงๆ ครอบงำ เล่นไม้แข็งแทนที่จะใช้ไม้นวม และที่สำคัญคือ "มือไม่ถึง" เมื่อจำเป็นต้องพลิกสถานการณ์ให้ทัน

แจ๊บเป็นแค่คนว่ายน้ำไม่เป็น ที่พลัดตกจากเรือลงไปจมน้ำตายด้วยความมือไม่ถึงของหล่อน!

มือสั่นนิดๆ ขณะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดหน้าจอ มะแมเลือกเข้าไปที่ส่วนแสดงเบอร์โทร.ล่าสุด ซึ่งก็คือเบอร์ของแจ๊บ มันเป็นร่องรอยเดียวของฝ่ายนั้นที่หล่อนมีติดตัวในยามนี้ เอานิ้ว โป้งไปแตะปุ่มโทร.ออก มันเป็นอุปเท่ห์ทางจิตชนิดหนึ่ง ที่ช่วยให้รู้สึกถึงแจ๊บแจ่มชัดราวกับกำลังจะโทร.ไปคุยกับฝ่ายนั้น คล้ายได้อุปกรณ์ขยายสัญญาณทั้งภาครับและภาคส่งทางจิต สัมผัสให้แรงขึ้น แทนที่จะเป็นขีดเดียว ก็อาจเพิ่มเป็นสองหรือสามขีด

จิตของแจ๊บในภพใหม่ หลังจากชั่วโมงเศษบนโลกมนุษย์ผ่านไป ยังคงอยู่ในอาการสลบเหมือดไม่รู้เรื่องรู้ราวเหมือนเดิม แน่ใจว่าตนเองกำลังสัมผัสและรับรู้ความเป็นไปในปรโลกของแจ๊บอยู่จริงๆ

แล้วโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ มะแมก็น้ำตาไหล ยกมือซ้ายขึ้นซบหน้าร้องไห้เงียบๆ แต่พอเวลา ผ่านไป ก็เพิ่มระดับความแรงขึ้นเป็นร้องจนตัวโยน เกลียดแจ๊บ เกลียดตัวเอง เกลียดวิถีโลก เกลียดข้อจำกัดของมนุษย์ ์

หล่อนกลายเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่ปรารถนาความอนุเคราะห์จากใครหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนก็ได้ มาช่วยขจัดปัดเป่าความทุกข์ให้ ชีวิตหนึ่งล่วงลับดับแล้ว หล่อนจะเอาคืนกลับมาได้อย่างไรกัน?

นานเท่าไรไม่ทราบ เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านข้าง

"คุณครับ"

ทีแรกมะแมไม่คิดว่านั่นเป็นเสียงทักเรียกหล่อน แต่พอเขาทักอีกพร้อมทั้งสะกิดต้นแขน มะแมก็ข่มสะอื้น ดึงตัวตรงและเหลียวมาทางต้นเสียง

"คะ?"

ทักตอบงงๆ พลางปาดสองแก้มให้แห้ง ไม่อยากให้ใครเห็นใบหน้าหล่อนเปื้อนน้ำตา

คนทักคือ รปภ. ของห้าง ทีแรกมะแมนึกว่าจะเข้ามาถามหล่อนว่ามีอะไรให้ช่วยไหม แต่ก็ผิด ถนัด

"ผู้หญิงคนหนึ่งฝากจดหมายให้คุณ"

ลมหายใจขาดห้วง ภาพตรงหน้าคล้ายทองคำอร่ามเรือง มะแมจ้องมองตะลึงตะไลไปชั่ววูบ และอารามดีใจเหมือนเห็นพระมาโปรด ทำให้หล่อนเผลอกระชากซองมา ราวกับเกรงว่า รปภ. จะเปลี่ยนใจไม่ยอมยกให้

ซองนั้นไม่มีการจ่าหน้าใดๆ แต่หญิงสาวทราบดีว่าข้างในต้องมีอะไรดีอยู่แน่นอน หล่อนลนลานหยิบธนบัตรสีแดงในกระเป๋ายื่นให้ รปภ. เป็นการขอบคุณ ซึ่งทีแรก รปภ. นายนั้นก็อิดเอื้อนเหลือบซ้ายแลขวา แต่พอได้ยินการคะยั้นคะยอให้รับ เขาก็กำแบงก์ร้อยของหญิงสาวไว้ในมือเขินๆ และคิดในใจว่าโชคดีจริงๆ คนฝากส่งให้สินน้ำใจมา ๕๐๐ คนรับยังแถมให้อีกตั้งร้อยแน่ะ

มะแมเหลือบรอบตัว ทั้งรู้ว่าไม่มีทางได้เจอใครยืนประกาศตนว่าเป็นคนส่งจดหมาย แต่หล่อนไม่สนใจนัก เมื่อ รปภ. เดินจากไป ก็แกะซองดึงไส้ในออกมาคลี่อ่านทันที

14.385685

100.553618

23:07

กลุ่มเลขในกระดาษขาวไร้เส้นบรรทัด เป็นตัวพิพม์จากเครื่องพรินเตอร์ มะแมเห็นตัวเลข เหล่านั้นสว่างจ้าราวกับใครเปิดสปอตไลต์ทะลุกระดาษขึ้นมาแทงตา จนต้องยิ้มร่าตาพราว เงย หน้ามอง "เบื้องบน" และพนมมือเอ่ยพอได้ยินกับหูตน

"ขอบพระคุณค่ะท่าน"

มันคือสถานที่และเวลา ซึ่งมะแมมั่นใจว่า "ท่าน" คำนวณมาให้แล้วว่าหล่อนจะต้องไปทัน นัยน์ตาดำสนิทเป็นประกายคมกล้าด้วยแสงเฉิดฉายแห่งความหวังอันเรืองรอง เดี๋ยวพอเอาพิกัด

ลองติจูด-ละติจูด ไปป้อนใส่เครื่องนำาทางระบบ GPS ซึ่งหล่อนมีไว้ประจำช่องเก็บหน้ารถตลอด ก็จะรู้ว่าเป็นที่ไหน

ไม่ว่าเป็นที่ไหน ต้องบุกน้ำลุยไฟอย่างไร หล่อนก็จะออกเดินทางเดี๋ยวนี้!

ในความมืดใต้ไม้ใหญ่ เด็กหญิงอายุไม่เกิน ๙ ขวบคนหนึ่งกำลังยืนแหงนหน้าพูดกับต้นลั่นทม ด้วยแววตาและน้ำเสียงคล้ายเด็กพูดกับปู่ย่าตายาย

"ท่านเจ้าขา ช่วยพาอิ๊กไปอยู่กับพ่อแม่ทีนะคะ ท่านจะเอาตัวอิ๊กไว้รับใช้สักพักก็ได้ โลกนี้ไม่มีใครอยากเลี้ยงอิ๊กแล้ว และอิ๊กก็ไม่อยากอยู่กับพวกเขาแล้วเหมือนกัน"

พูดจบก็ยืนก้มหน้าสลด ราวกับจะไว้อาลัยให้ชีวิตตัวเอง หรือไม่ก็รวบรวมความกล้าหาญที่จะจากโลกนี้ไป จนกว่าขาที่สั่นจะกลับแข็งพอ

ห้าทุ่มกับอีกเจ็ดนาที คล้ายมีพลังจากโลกใหม่มาเรียกตัวและเสริมกำลังขาให้เด็กน้อยมั่นคงขึ้น เธอยกมือเช็ดน้ำตาป้อย เม้มปากเก็บเสียงกระซิก ก่อนเชิดหน้า ส่องไฟฉายก้าวเข้าไปหาลั่นทมพร้อมเชือกมะนิลาในมือ

ถึงโคนต้น อิ๊กก็ใช้มือเหนี่ยวตัวขึ้นไปลั่นทมต้นนั้นมีกิ่งก้านสาขาใหญ่ปีนง่าย เด็กหญิงหมายตาไว้หลายวันแล้วว่าควรใช้กิ่งไหนเป็นเครื่องประหาร และเธอก็ซ้อมปีนไว้จนชำนาญ เสียแต่ว่าเมื่อถึงเวลาเอาเข้าจริง ทั้งความมืด ทั้งความกลัว ค่อนข้างเป็นเครื่องถ่วงไว้ไม่ให้ดำเนินการได้รวดเร็วเหมือนอย่างที่เคยทำใจกล้าฝึกซ้อมตอนกลางวัน

แต่พอมานั่งบนคาคบไม้ อิ๊กก็คล่องแคล่วขึ้น เพราะผูกเงื่อนเก่ง เธอเอาปลายด้านหนึ่ง พันๆเสียบไปเสียบมาครู่เดียวก็สำเร็จเสร็จเป็นเงื่อนรับน้ำหนักที่แน่นหนา จากนั้นก็นำปลายเชือกอีกด้านพับเป็นบ่วงและผูกเงื่อนกระตุกภายในอึดใจเดียว

ขั้นตอนสุดท้ายนั่นแหละช้าที่สุด อิ๊กตกลงกับตัวเองแล้วว่าเอาแน่ แต่นาทีสุดท้ายของชีวิต ต้องการความใจถึงมากกว่าที่คิด กล้ามเนื้อทั่วร่างของเธอหดเกร็ง แข้งขาเป็นเหน็บชาอย่างจะ

ไม่ยอมให้ความร่วมมือ ถึงแม้กลั้นใจปิดตาแน่นกัดริมฝีปากแทบห้อเลือด สั่งให้ตัวเองโดด แต่ก็

ไม่รู้สึกว่าทำได้ ตรงข้ามกลับจะยิ่งอยากเลิกล้มความตั้งใจมากขึ้นทุกที

หายใจหอบ หัวใจเต้นตุบตับราวกับจะตีแผ่นอกให้พัง ขณะนั้นเอง สายลมดึกก็โชยกลิ่นทุ่งนามากระทบจมูก ทำให้นึกถึงใบหน้าพ่อแม่จิตใจกลับสงบเย็นลงได้อย่างประหลาด อาจจะเพราะมันทำให้อิ๊กระลึกถึงเทพารักษ์ ระลึกถึงรอยยิ้มของพ่อแม่ที่อยากเห็นอีกใจจะขาดมานานนับเดือน

จังหวะที่ความสว่างโล่งและความสบายใจบังเกิดขึ้น น้ำตาที่นองหน้าก็คล้ายเหือดแห้งสนิท

อิ๊กกลืนน้ำลายเป็นครั้งสุดท้าย บอกตนเองว่าเธอกำลังทำในสิ่งที่กล้าหาญ พ่อแม่จะต้องชมเชย

ตัดใจหย่อนตัวลงมา คราวนี้มันง่ายยิ่งกว่าง่าย เมื่อร่างหลุดจากคบไม้เสี้ยววินาทีแรก ก็ไม่เห็นมีอะไรแตกต่างจากตอนเล่นซนกระโดดจากกิ่งไม้เลย เหมือนไร้น้ำหนักไปชั่วขณะ แต่พ้นจาก ขณะนั้น ทุกอย่างก็ต่างไป มีการกระตุกจากบ่วงเชือกอย่างแรง จนรู้สึกคล้ายกระดูกคอต่อทำท่าจะเคลื่อนออกจากกัน แต่เพราะเส้นเชือกที่ไม่ยาวและน้ำหนักตัวของอิ๊กยังเบา ความรุนแรงจากการกระตุกจึงไม่อาจทำให้คอหักได้

ไม่มีเสียงจากเด็กน้อยแม้แต่อ๊อกเดียว เธอสัมผัสถึงขุยหยาบของเชือกที่บาดคอ บ่วงกระตุก ทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายอย่างซื่อสัตย์ คือรัดคอเด็กน้อยแน่น จนเธอรู้สึกเหมือนถูกบีบคอด้วยคีมใหญ่ เค้นหนัก โหดเหี้ยม และเอาจริง ไม่ปรานีปราศรัย

ทีแรกเด็กน้อยรู้สึกถึงการแกว่งของขาสองข้างที่ห้อยโตงเตง แต่ความหน้ามืดและความอึดอัดที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนค่อยๆทวีตัวขึ้น ก็กระตุ้นให้เตะขาไปมา ลูกนัยน์ตาของเธอถลนปูดโปนออกมาเหมือนจะแตก แสบร้าวไปทั้งกะโหลก ภาพตรงหน้าบิดเบี้ยวและวูบไหวน่ากลัว ทั้งนี้ก็ด้วยอาการดิ้นรนถีบอากาศ ด้วยความพยายามหลบหนีการบีบรัดของบ่วงเชือก จนร่างหมุนสะบัดตีวงคว้าง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่อาจหลุดรอดไปได้เลย

รู้ตัวว่าเปลี่ยนใจไม่ทันแล้ว อิ๊กพยายามแหกปากขอความช่วยเหลือ แต่เหมือนไม่มีแก้วเสียงของตนเองอีกต่อไป คล้ายกลายเป็นหุ่นที่ทำขึ้นจากยางตัน และยางตันก็กำลังหดตัวขยุ้มเป็น ก้อนเล็กทึบแน่นมากขึ้นทุกที ไม่มีเรี่ยวแรงยกแขนขึ้นจับสายเชือกอย่างสิ้นเชิง ความจริงเธอไม่รู้สึกว่าเหลือแขนขาแล้วด้วยซ้ำ ถึงตอนนี้หนังหัวร้อนฉ่าเหมือนไฟไหม้ และคล้ายในโพรงกะโหลกถูกอัดด้วยแก๊สความดันสูง กลายเป็นลูกโป่งใกล้ระเบิดรอมร่อ

ชั่ววินาทีแห่งความพยายามตะกายขออากาศจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นเอง อิ๊กก็สำเหนียกว่ามีความแตกต่างในทางดีขึ้น เหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฟังคำขอและให้อากาศแก่เธอ เด็กน้อยตะกายหายใจ แล้วพบว่าหายใจได้ ร่างกายจัดการสูบลมเข้าเองด้วยความตะกรุมตะกราม ลมหายใจกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิต ล้ำค่าอย่างไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน แม้จะเป็นของติดตัวมาแต่เกิดก็ตาม

มะแมเข้าเขตอยุธยาตั้งแต่ชั่วโมงเศษก่อนหน้า แต่ก็ถึงจุดประกอบอัตวินิบาตกรรมช้าไปนิดหนึ่ง ทั้งนี้ก็เนื่องจากตำแหน่งดังกล่าวไม่อยู่ในเส้นทางของระบบ GPS แถมละแวกนั้นยังเต็มไปด้วยร่มไม้ใหญ่ครึ้มบดบังสัญญาณดาวเทียม เมื่อลงจากรถมาเดินเท้า ตัวชี้ตำแหน่งของระบบรุ่นเก่าจึงเลื่อนไปเลื่อนมา หาความน่าเชื่อถือมิได้

รอบบริเวณยังมืดมิด หล่อนลืมนึกว่าควรเตรียมไฟฉายมาด้วย จึงมะงุมมะงาหรา จับทิศจับทางไม่ถูก ได้แต่ออกเสี่ยงเดินไปในอาณาบริเวณกว้าง คอยเงี่ยหูฟังเสียงหรือจับตามองเงาความเคลื่อนไหวให้เฉียบไวที่สุดเท่านั้น

เดชะบุญ หันไปเห็นแสงไฟฉายตกจากที่สูงลงพื้นพอดี มะแมจึงดีดตัวแล่นลิ่วเป็นนางกระต่าย แข่งกับเวลาจากระยะห่างร่วมสองร้อยเมตร หลบหลีกดงหญ้า ฝ่าพื้นแข็งเป็นหลุมเป็นบ่อ ตัดตรงเข้าหาเป้าหมายโดยไม่สนใจว่ากำลังจะต้องเจอใคร เป็นชายหรือหญิงวัยไหน

แม้ถึงช้าทว่าทันการณ์ เห็นเงาตะคุ่มห้อยโตงเตงจากกิ่งไม้ใหญ่ แสดงความเคลื่อนไหวของชีวิต ไม่ใช่ความนิ่งทื่อของศพ มะแมรีบฉวยไฟฉายซึ่งกำลังสาดแสงฟ้องจุดตกของมันอยู่ พอฉายไฟขึ้นสูงก็ชะงักค้างไปชั่วขณะ ภาพดิ้นรนเตะอากาศของคนผูกคอตายในความมืดที่มีแสงส่อง จากมุมเงยนั้น ชวนขนพองสยองเกล้าเอาเรื่อง

แต่ขณะเดียวกันก็โล่งอกเมื่อพบว่านั่นเป็นเด็กหญิงร่างเล็ก แถมเลือกกิ่งไม้เตี้ยสุด เมื่อรวม ความยาวเส้นเชือกกับส่วนสูงของแม่หนูน้อยแล้วปลายเท้าก็ห่างพื้นเพียงไม่ถึงหนึ่งเมตร ซึ่ง หมายความว่ามะแมแค่ใช้อ้อมแขนรวบขาเด็กยกขึ้น เธอก็รับอากาศหายใจเบื้องต้น รอดตายได้

ยินเสียงสำลักหายใจเฮือกๆกระหืดกระหอบเกือบครึ่งนาที และก่อนแขนของมะแมจะล้า หล่อนก็รับรู้ว่าเด็กน้อยตะเกียกตะกายคว้าเส้นเชือก จึงร้องสั่ง

"ยืนบนบ่าของพี่ก่อน"

จับเท้าน้อยทั้งสองข้างมาวางบนบ่าตน ซึ่งเด็กก็รู้เรื่อง หยัดฝ่าเท้าจับหลักยืน พอเธอตั้งตัว ได้เป็นแนวตรงมั่นคงแล้ว เส้นเชือกก็หย่อนลง คลายการรัดให้หายใจหายคอสะดวกตามปกติ

อิ๊กมือไม้สั่น อาการหน้ามืดตกค้างไม่อาจเอาชนะความกลัวตาย เธอตั้งสติสุดกำลัง คลำหาปมเชือกบนคอแล้วรูดคลายเงื่อนปรูด มือหนึ่งยกบ่วงพ้นจากศีรษะ อีกมือโหนเส้นเชือกไว้กัน หงายหลัง

มะแมโล่งอกอีกรอบที่เด็กหญิงฉลาดและไวพอ ฝ่ายนั้นย่อร่างลงอย่างรวดเร็ว ใช้มือยึดจับ ศีรษะหล่อน แล้วโน้มร่างลงโอบกอดรอบคอ ทิ้งเท้าลงพื้นโดยสวัสดิภาพ

พอลงพื้นได้ อิ๊กก็ป้อแป้ไปพิงหลังเข้ากับต้นลั่นทมอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง ปวดหัวหนัก หายใจผิดจังหวะ และมีอาการประสาทกระตุกตามแขนขาเป็นระยะ

มะแมก็หมดแรงด้วยเหมือนกัน แต่มีแก่ใจฉายไฟส่องสำรวจทั่วตัวเด็ก ก่อนนั่งแปะลงกับพื้น เงยหน้ายิ้มกับฟ้ามืด ราวกับจะส่งคำขอบคุณไปให้ใครสักคนบนนั้น

ยุพินกำลังเปลี่ยนช่องโทรทัศน์เมื่อเสียงกริ่งเรียกจากอาคันตุกะยามวิกาลดังขึ้น หล่อนขมวดคิ้ว ใบหน้าที่เหมือนพร้อมจะหาเรื่องคนอยู่แล้ว ยิ่งดูบึ้งตึงหนักขึ้น

"ใครวะ?" รำาพึงพลางมองนาฬิกาบนผนัง "เที่ยงคืนแล้ว ถ้ากดผิดบ้านแม่จะด่าให้"

ลุกจากเบาะ เดินข้ามสามีพุงหลามที่นอนขวางทางอยู่ หล่อนรู้ทันว่าเขาตื่นขึ้นมาด้วยเสียง กริ่ง แต่ไม่อยากเป็นธุระเลยทำเป็นหลับไม่รู้เรื่อง

กดสวิทช์เปิดไฟรั้ว เลื่อนประตูกระจก ยื่นหน้าไปส่องสำรวจว่าใครยืนอยู่หน้าบ้าน แสงนีออนจากเสาส่องให้เห็นหญิงสาวแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก เห็นเช่นนั้นจึงรู้สึกว่าเข้าทางที่นึกๆอยู่ก่อน

"มาหาใครจ๊ะ?"

ตะโกนถาม ลงท้ายจ๊ะจ๋าแต่ตาเขียว

"มาหาคุณยุพินค่ะ"

เป็นเสียงตอบใสนุ่มมาจากประตูหน้า ยุพินทำปากจิ๊กจั๊ก ไม่ผิดตัวท่านี้สงสัยเป็นธุระด่วน หล่อนเกลียดธุระด่วนกลางดึกเป็นที่สุด เพราะมันมักหมายถึงความเดือดร้อนบางอย่างที่ญาติหรือ คนใกล้ตัวไปสร้างไว้

เดินมาไขกุญแจประตูรั้ว พอเห็นเด็กหญิงอิ๊กก็อ้าปากหวอ

"นังอิ๊ก!"

ทำท่าเหมือนจะเข้าไปคว้ามาหวด แต่มะแมดันตัวเด็กหญิงอิ๊กไปหลบข้างหลัง เอาตนเป็น กำแพงบัง

"ดิฉันแวะมาเรียนให้ทราบว่าน้องอิ๊กปลอดภัยดี หลังจากพยายามผูกคอตายแต่ไม่สำเร็จ เพราะดิฉันมาช่วยไว้ได้ทันเสียก่อน"

"หือ? อะไรกันนี่ มันหนีออกไปเมื่อไหร่ฉัน ยังไม่รู้เรื่องเลย หนอย! จะไปผูกคอตายเหรออีเด็กเวร" แล้วก็หันมาพูดกับสาวแปลกหน้าเสียงอ่อนลง "ขอบใจนะที่พามาส่ง"

"ดิฉันไม่ได้จะพามาส่ง แต่แวะมาเก็บของเพื่อพาน้องอิ๊กไปอยู่ด้วย"

คราวนี้ยุพินยกมือเท้าเอว เสียงเริ่มดังขึ้น

"มันยังไงนี่ ขบวนการค้าเด็กหรือยะหล่อน เธอน่ะเป็นใคร?"

"คุณยุพินเองก็ไม่ได้เต็มใจเลี้ยงอิ๊กอยู่แล้วนี่คะ ดิฉันเป็นใครจะแปลกอะไร"

"แปลกสิ!" แล้วก็ลดเสียงลงเป็นซุบซิบแบบเสนอราคาลับๆ "เด็กหน้าตาแบบนี้น่ะขาย แพงนะ"

"ดีค่ะ! พรุ่งนี้ดิฉันจะส่งตำรวจพร้อมทนายความมาเจรจาเรื่องราคาเด็กก็แล้วกัน แต่ก่อนพูดเรื่องราคา คงต้องคุยเรื่องคุณป้าใจร้ายเฆี่ยนตีเธอจนหลังลายทั้งที่ไม่มีความผิด กับเรื่องที่คุณลุงขี้เมาปลุกปล้ำทำอนาจารขณะเธออายุยังไม่ถึง ๑๕ มีหลักฐานเป็นอวัยวะเพศฉีกขาดชัดเจน ดิฉันคิดว่าคนในบ้านนี้อาจต้องเข้าคุกเป็นสิบปี ก่อนจะพ้นโทษออกมารับค่าตัวเด็กนะคะ!"

เมื่อเอาตำรวจกับทนายมาขู่ ทุกอย่างก็ง่ายขึ้น มะแมกับอิ๊กเข้าไปเก็บสมบัติข้าวของที่จำเป็น

ซึ่งมีไม่กี่ชิ้นโดยสะดวก ส่วนนางยุพินกับนายนิพนธ์สามี ก็ได้แต่ยืนซุบซิบกันห่างๆ ไม่กล้าขัด

ขวางหรือทำอะไร ด้วยความเข้าใจว่ามะแมเป็นคนของพวกคุ้มครองสิทธิเด็กและสตรี หรือไม่อีกทีก็เป็นตำรวจ!

________________________________________________________________________________
บทที่ ๗

มะแมอ่อนเพลียจนเผลองีบขณะจอดรถเติมน้ำมัน กระทั่งเด็กปั๊มต้องเคาะกระจกเรียกเพื่อเก็บค่าน้ำมัน

มันเป็นวันที่เหน็ดเหนื่อยต่อเนื่องอย่างแท้จริง ปกติหล่อนจะได้พักผ่อนหลังเลิกงาน ๕ โมงเย็นและเข้านอนตั้งแต่ ๔ ทุ่มเศษ แต่วันนี้ ๕ โมงเย็นคือการเริ่มภาระหนักหน่วงยิ่งกว่าชั่วโมงทำงานปกติเสียอีก นับจากกรณีของแจ๊บ ที่ต้องเสียแรงอ้อนวอน ต้องเสียใจที่ช่วยไม่สำเร็จ ต่อด้วยการขับรถมาอยุธยา ตามหาคนฆ่าตัวตายท่ามกลางความมืด แล้วจบด้วยการสวมบทแข็ง เจรจากับหญิงร้ายชายเลวคู่หนึ่ง

มะแมจ่ายค่าน้ำมันแล้วเลื่อนรถมาจอดหน้ามินิมาร์ท ๒๔ ชั่วโมงของปั๊ม หันไปถามอิ๊กด้วย ยิ้มปรานี

"หิวอะไรไหม?"

แม่หนูน้อยสั่นศีรษะ ยังคงจับตามองมะแมด้วยความฉงนงงงวยไม่เลิก นับแต่นาทีแรกจนกระทั่งบัดนี้ เพิ่งมีโอกาสสบตากันชัดๆในภาวะปกติ มะแมเอียงคอยิ้มหวาน พินิจหน้าผากโค้งมน แก้มยุ้ยน่ารัก และนัยน์ตากลมโตใสแจ๋วที่ทอประกายระแวงภัย นึกเอ็นดูยิ่งขึ้นทุกที บอกตัวเองว่าเด็กคนนี้มีดี และจะโตขึ้นอย่างคนที่เป็นคุณ ไม่ใช่เป็นโทษกับโลก ยิ่งถ้าอยู่ในมือหล่อน หล่อนจะปั้นให้ "เกินของเดิม" สักแค่ไหนก็ได้

ชักสนุกกับการเลี้ยงคน ไม่รู้สึกเป็นภาระ ไม่รู้สึกกระทั่งแปลกหน้า รู้สึกแต่ว่าหล่อนกับอิ๊กเข้ากันได้ และเป็นการเข้ากันได้เกินกว่าผู้อุปการะกับเด็กในอุปการะ จากการสัมผัสรู้ หล่อนยังลงรายละเอียดมากไม่ได้ รู้แต่ว่าเด็กคนนี้จะตอบแทนหล่อนยิ่งกว่าลูกตอบแทนแม่!

อย่างน้อยที่สุดเริ่มต้นขึ้นมา การรอดชีวิตของอิ๊กก็ยิ่งกว่าชดเชยความเสียใจที่ช่วยชีวิตแจ๊บไม่สำเร็จ คล้ายทำพลอยเม็ดงามหลุดมือร่วงหล่นกระแทกพื้นแตกกระจาย แต่ก็ได้แก้ววิเศษจากเบื้องบนมาแทนกัน หล่อนมองทะลุเศษฝุ่นหนาเตอะเข้าไปเห็นความแพรวใสจากภายในของเด็กคนนี้ และรู้ดีว่านี่แหละ ที่เรียกค่าควรเมือง!

"อิ๊กสงสัยอยู่หรือเปล่า ว่าทำไมพี่มะแมต้องมาช่วย?"

สาวพลังจิตอ่านใจและทักออกไป อิ๊กพยักหน้า อาการตัวลีบคลายลงนิดหน่อย

"แล้วอิ๊กสงสัยด้วยใช่ไหมว่าพี่มะแมเป็นใคร ทำไมถึงรู้ ทำไมถึงมาทัน?"

อิ๊กพยักหน้าอีก ความจริงเธอไม่ใช่เด็กไร้เดียงสา ดูจะฉลาดเกินวัยด้วยซ้ำ แต่ความตายพร้อมกันของพ่อแม่ ประกอบกับการเลี้ยงเยี่ยงทาสของป้ากับลุง มีผลให้สมองและความคิดอ่านมืดมัวลง จนมองโลกในแง่ร้ายไปหมด

"พี่มะแมทำงานให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเป็นใครคนหนึ่งที่เชื่อว่า ให้เปล่าจะได้เปล่า" หล่อน แนะนำตัวเองและยังคงยิ้มหวานไม่เลิก "ไม่ต้องเข้าใจที่พี่มะแมพูดตอนนี้ แต่อยู่กับพี่มะแมแล้ว อิ๊กจะค่อยๆเข้าใจไปเอง"

"หมายความว่าตอนนี้จะไม่ให้อิ๊กเข้าใจอะไรเลยหรือคะ?"

"ใช่! ไม่ต้องเข้าใจอะไรเลย แค่ไว้ใจความรู้สึกของตัวเองก็พอ อิ๊กรู้ดีว่าพี่มะแมไม่ใช่คนร้าย แล้วก็ไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครมาทำร้ายอิ๊กด้วย!"

ความใสแพรวของแก้วเสียง กับความหนักแน่นของน้ำคำ ฟังอบอุ่นจนเด็กหญิงเบะปาก ยกสองมือเช็ดน้ำตา ส่งเสียงสะอื้นฮักอย่างเพิ่งเชื่อว่าตนพ้นจากภยันตรายมาได้จริงๆ

มะแมเอื้อมมือไปลูบศีรษะกลมมนอย่างแสนรักแสนอาทร

"ตอนขามา พวกเราร้องไห้ได้เองโดยไม่ต้องเรียนจากใคร ก่อนถึงขาไป ก็น่าจะเรียนจากใครสักคนที่เขารู้วิธีหยุดร้องไห้แล้ว... อย่าคิดตายทั้งน้ำตาอีกนะลูกนะ"

สัมผัสยิ่งใหญ่ประดุจแม่หยุดเสียงร้องของอิ๊กได้ แต่เธอยังคงปิดตานิ่ง อาจเพราะไม่อยากลืมตาขึ้นมาเห็นว่าผู้ที่อยู่ข้างกายยามนี้ หาใช่มารดาของตนไม่...

หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป มะแมไหว้วานเพื่อนที่เป็นทนายความให้ช่วยเดินเรื่องเกี่ยวกับเอกสารของเด็กหญิงอิ๊ก ส่วนหล่อนเองก็ต้องวิ่งระหว่างกรุงเทพฯกับอยุธยาในวันหยุดที่เก็บไว้พักผ่อน เหมือนกัน แต่ที่สุดเด็กเป็นของหล่อนโดยบริบูรณ์คือมีชื่อมาอยู่ในบ้าน และมีฐานะเป็นผู้ได้รับการอารักขาอย่างเป็นหลักเป็นฐาน

ทุกอย่างดีไปหมด หยิมเป็นพี่เลี้ยงที่อิ๊กรักกับทั้งช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องเล็กใหญ่ให้ จึงเบาแรงมะแมไปเยอะ

อิ๊กจบ ป.๓ ลุงกับป้าไม่ส่งให้เรียนต่อ และระหว่างนี้ก็เป็นช่วงกลางปีการศึกษา ต้องรอครึ่งปีจึงให้เข้า ป.๔ ได้ นับว่าเหมาะมาก ช่วงรอปีการศึกษาใหม่นี้ หล่อนจะสอนอิ๊กให้สนุก ที่นี่จะเป็นโฮมสกูลที่ไม่มีใครเหมือน

และช่วงนั้นก็เป็นหนึ่งอาทิตย์ที่มะแมไม่ได้รับจดหมายลึกลับอีกเลย จนเผลอคิดไปว่าที่แท้เจ้าของจดหมายทำทั้งหมดก็เพียงต้องการส่งถ่ายภาระรับผิดชอบ จะยกให้หล่อนเลี้ยงดูน้องอิ๊กเท่านั้น

แต่มะแมก็ได้รู้ว่าคิดผิด เที่ยงวันหนึ่งหยิมเดินเข้ามาถามว่า

"พี่มะแมคะ เอ่อ... จดหมายมาอีกแล้วค่ะ จะรับไหมคะ?"

"รับ!"

ตอบทันที จดหมายจากเทวดา ใครไม่รับก็บ้าแล้ว!

พอหยิมเดินจากไป มะแมก็ฉีกซองดึงกระดาษออกอ่าน นึกในใจว่าจดหมายบอกอะไร หล่อนจะปฏิบัติตามโดยไม่ขัดขืน ไม่อิดเอื้อน ไม่เสียเวลาคิดหน้าคิดหลังอีกเลย แต่แล้วพออ่านเข้า หัวใจก็หล่นวูบ...

ถ้าจะมีความรัก ระวังการหลงสิ่งล่อตาภายนอกให้ดี ข้างในอาจไม่ใช่อย่างที่เห็น

ตลอดทั้งบ่ายนั้น มะแมใจเต้นไม่เป็นส่ำเป็นระยะ โดยเฉพาะช่วงที่มีลูกค้าหนุ่มโผล่ศีรษะเข้ามา ต้องจ้องให้ดีว่าเป็นพ่อคนนี้ หรือว่าพ่อคนนั้นที่มีอะไรดีพอจะจับตาให้หล่อน "หลงสิ่งล่อตา ภายนอก" ได้

ความรู้สึกมันค้าน ชาตินี้จะให้หล่อนรักผู้ชายคนไหนได้ ขนาดคนที่เคยทำให้นึกว่า บุพเพสันนิวาสมีจริง ยังกระเด็นไปไกลแบบไม่มีทางกลับมาต่อได้ติด

แต่จดหมายก็กลายเป็นนายที่คอยบัญชาชีวิตหล่อนไปเสียแล้ว หล่อนต้องก้มหน้ารับฟังคำเตือนหรือไม่ก็ "คำสั่ง" อย่างไม่มีเงื่อนไข บอกตนเองว่าหล่อนไม่มีสิทธิ์สงสัย ไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง แล้วก็ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องขอรู้ที่มาที่ไปใดๆทั้งสิ้น

ถ้าการปักใจเชื่อเรื่องในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้นคือความงมงาย หล่อนก็กลายเป็นคนงมงาย ไปแล้วเรียบร้อย เวลาอ่าน "จดหมายจากเทวดา" มะแมรู้สึกเหมือนตัวเล็กลงนิดเดียว สติปัญญาและความเชื่อมั่นในตัวเองสาบสูญไปหมด

๕ โมงเย็น ได้เวลาเลิกงาน ลูกค้าคนสุดท้ายจากไป มะแมได้แต่เอนหลังพิงพนัก วันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้แปลว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้น จดหมายทุกฉบับเป็นการทำนายอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แต่ก็ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นเมื่อนั่นเมื่อนี่

เย็นนี้มีงานสวดอภิธรรมวันที่ ๗ ของแจ๊บ ข่าวฆ่าตัวตายของแจ๊บได้ลงหนังสือพิมพ์ประกาศชื่อนามสกุลจริงพร้อมหน้าตา และข่าวก็ค่อนข้างดัง เนื่องจากเป็นสาวสวย เป็นที่หมายปองของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ อีกทั้งมีการขุดคุ้ยว่าพระเอกชื่อดังเคยจีบสมัยเรียน แต่จีบไม่ติดอีกต่างหาก

นอกจากนั้น การเลือกสถานที่ตายยังเป็นอะไรที่บาดใจคนรับรู้ เพื่อนสนิทของแจ๊บให้สัมภาษณ์นักข่าวว่าน่าจะเป็นจุดชมอาทิตย์ตกดินริมทาง ที่แจ๊บเล่าให้ฟังซ้ำๆหลายรอบว่าชอบที่สุด โรแมนติกที่สุด ตอนอยู่ด้วยกันกับแฟนหนุ่ม

ประเด็นแจ๊บถูกสังคมอินเตอร์เน็ตหยิบยกมาวิจารณ์กันอย่างเผ็ดร้อน บางคนสงสาร บางคนสาปส่งไล่หลัง แต่ทุกคนจะไม่เข้าใจเหมือนๆ กัน คือสวยขนาดนั้น จบสูงขนาดนั้น ไฉนจึงไม่เสียดายชีวิต ตัดช่องน้อยแต่พอตัวหนีไปโลกอื่นเพียงเพราะอกหักรักคุดหนเดียว

แต่มะแมเห็นใจและเข้าใจแจ๊บดี นรกแห่งการสูญเสียสวรรค์นั้น ใครไม่เจอกับตัวเองจะไม่รู้ว่าโหดร้ายเพียงใด แม้เคยมีดีแค่ไหนก็ไร้ค่าไปจนหมด

สวดคืนที่ ๓ มะแมไปร่วมงานมาแล้วครั้งหนึ่ง นั่งเงียบๆอยู่ข้างหลังสุดตามลำาพัง แสดงความเสียใจกับพ่อแม่ของแจ๊บแค่นิดหน่อยก่อนกลับ ไม่มีใครรู้จักหรือจำหล่อนได้ในทางใดๆ

วันนี้สวดเป็นคืนสุดท้าย มะแมนึกอยากไปอีก ตั้งใจให้คืนสวดสุดท้ายเป็นครั้งสุดท้ายที่หล่อนจะรู้สึกผิดกับกรณีของแจ๊บ พ้นจากนี้ไป หล่อนจะล้างความคิดคำนึงต่างๆที่จางลงมากแล้วเสียให้หมด จะไม่มีการทบทวนความผิดพลาดกันอีก

นี่คือเวลาสำาหรับการเรียนรู้ เมื่อเจอบทเรียนที่เจ็บปวด ทิ้งความเจ็บปวดไป เก็บไว้แต่บทเรียน!

บรรยากาศคืนสุดท้ายไม่โศกสลดอย่างคืนแรกๆ คล้ายทุกคนทำใจยอมรับได้แล้วว่าแจ๊บจากไปจริงๆ จะพูดว่าได้เวลาอันควรหรือก่อนเวลาอันควร ความจริงอันเป็นที่สุดที่เหลืออยู่ให้คนข้างหลังประจักษ์ ก็คือแจ๊บจะไม่กลับมาอีก

มะแมเลือกที่นั่งหลังสุดตามเคย หล่อนทอดตามองรูปถ่ายข้างโลงขาว เป็นใบหน้ายิ้มสะสวยราวกับนางแบบดาวเด่น มองกี่ครั้งทุกคนก็อดใจหายไม่ได้ มันเหลือเชื่อว่าหน้าตาอย่างนี้อายุแค่นี้ ไม่อยู่ให้เห็นตัวจริงกันแล้ว

โฟกัสสายตาของมะแมจับจุดเลยภาพไปนิดหนึ่ง ยึดเอาบรรยากาศรอบข้างทั้งหมดของ งานศพเป็นตัวแทนแจ๊บ แล้วทำความรู้สึกไปถึงจิตของแจ๊บ สัมผัสถึงสภาพค่อยๆฟื้นตัวแบบคนเพิ่งตื่นนอนบ้าง หรือเหมือนงงๆจับต้นชนปลายไม่ติดแบบคนง่วงงุนกำลังจะหลับบ้าง

โดยไม่จงใจอยากเห็น นิมิตหนึ่งปรากฏขึ้นในห้วงมโนทวารของมะแม ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นสภาพปัจจุบันหรือสภาพที่กำาลังจะเกิดขึ้นกับแจ๊บกันแน่

หล่อนเห็นทัศนียภาพบนผาสูงแห่งหนึ่ง มองไปข้างหน้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ขอบฟ้าทอแสงหลากสีของอาทิตย์อัสดง แม้ภาพทั้งหมดจะงดงาม แต่ทว่าบรรยากาศกลับเงียบเหงา เศร้าสร้อย และเยียบเย็นอ้างว้างล้ำลึก ไม่ชวนเคลิ้มฝันดังควร

มะแมเห็นเหมือนตัวเองกลายเป็นแจ๊บ นั่งเหม่อมองเวิ้งฟ้าอยู่ตามลำพัง รู้สึกถึงสีหน้าเย็นชา รู้สึกถึงอาการไม่ไหวติง และรู้สึกถึงอารมณ์อ้อยอิ่ง คิดตัดพ้อคนรักอยู่ตลอดเวลา

เมื่อถลำลึกเข้าไปรวมเป็นอันเดียวกับแจ๊บ ครู่หนึ่ง จิตของมะแมก็บอกตนเองว่าสภาพใหม่ของแจ๊บคือเปรตเฝ้าเหว เป็นเปรตสาวรูปร่าง หน้าตาสวยไม่ต่างจากเดิม เพราะจิตก่อนตายยึดภพหรือภาวะแบบนั้นไว้

แจ๊บจะได้เหม่อมองพระอาทิตย์ตกดินทุกเย็น และคนไปเที่ยวชมวิว ณ จุดนั้นในยามสนธยา ก็อาจจะไม่มีความสุขสงบกันอีกเลย ในเมื่อนิสัยแจ๊บเป็นพวกไม่ชอบให้ใครรบกวนอาณาเขตส่วนตัว!

เข้าใจเหตุผลของชีวิตหลังความตายเพิ่มขึ้นนิดหนึ่ง บุญเก่าบวกกับนิสัยบางอย่างทำให้ "ผี" บางตนยังดูดีและมีฤทธิ์ได้เช่นนี้เอง

แจ๊บตายไปพร้อมกับอาการถือมั่นในคนรัก

และทิวทัศน์วิจิตร บุญเก่าที่ยังไม่หมดอายุมาช่วยตกแต่งภาวะให้งามดังเดิม แต่บาปใหม่ก็ยึดแจ๊บไว้กับความเงียบเหงาเศร้าสร้อย ทรมานใจกับการรอคอยบางสิ่งที่ไม่มีวันมาถึง

หากเกิดภาพบาดตาบาดใจ เช่นมีหนุ่มสาวมาพลอดรักชมตะวันตกดินด้วยกันละแวกนั้น ไอละมุนของคู่รักอาจก่อตัวเป็นกระแสกระทบใจ กระทุ้งให้แจ๊บพลอยชื่นชม หรือไม่ก็รบกวนแจ๊บให้นึกริษยาแล้วนึกอยาก "เฮี้ยน" สำแดงเดชในทางใดทางหนึ่ง ตามแต่การสืบนิสัยจากครั้งเป็น มนุษย์

ยังคงสงสารเสมอในสัมผัสของมะแม สภาพแจ๊บเหมือน "ติดกับ" และไม่อาจคืนสู่อิสรภาพไปอีกนาน แล้วด้วยสภาพจิตใจอ่อนแอเยี่ยงนั้น แม้เกิดใหม่เป็นมนุษย์ก็จะมีกำลังใจอ่อนทนอะไรไม่ค่อยได้ จ้องแต่จะคิดเอาตัวรอดแบบลัดๆ จนกว่าจะมีสักภพชาติหนึ่งที่เปลี่ยนความอ่อนแอเป็นความเข้มแข็งขึ้นมาได้ใหม่ โดยผ่านบทฝึก บททดสอบกันน่วม

แต่ให้สงสารแค่ไหน ก็ไม่ช่วยอะไรเลย การอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลเพื่อเลื่อนชั้นภูมิให้กับคน ตั้งใจฆ่าตัวตายเป็นเรื่องยาก มันยิ่งกว่าเพียรเปลี่ยนใจเด็กหัวแข็งให้กลายเป็นเด็กหัวอ่อน หรือยิ่งกว่าพยายามสอนเด็กหัวทึบให้ฉลาดในสมการคณิตศาสตร์ชั้นสูง นักฆ่าตัวตายเหมือนเอามือปิดหูปิดตาตัวเองไว้มิดชิด แสงอาทิตย์ที่ไหนจะส่องลอดเข้าไปให้ความสว่างได้

คิดตก เห็นตามจริง และเลิกเอาใจไปผูกกับนิมิตเหงาหงอยน่าสงสารของแจ๊บ แต่ละคนสร้าง กรง แล้วก็ติดอยู่ในกรงที่สร้างมากับมือ ไม่มีใครปลดปล่อยใครได้

ขณะนั้น เกิดแรงดึงสายตาชนิดหนึ่ง ชวนให้มะแมเหลียวไปทางซ้าย เห็นผ่านกระจกใสว่า ชายในชุดสูทดำคนหนึ่งเดินเดี่ยว ตรงสู่ทางเข้าศาลา หน้าตาเศร้าหมอง และยิ่งเก้อเขินเมื่อ พยายามยกมือไหว้ผู้ใหญ่ของงานแล้วทุกคนเมินไม่รับไหว้ ไม่รับซอง แกล้งทำเหมือนไม่เห็น หรือเดินหลีกไปทางอื่นทันทีที่หนุ่มคนนั้นเข้าใกล้ เรียกว่าทางเข้าศาลาค่อยๆขยายรัศมีอึมครึมน่าอึดอัด เพียงด้วยการปรากฏร่างของหนุ่มหน้าใหม่นี่เอง

รู้ทันทีว่านั่นคือ "พี่ปาย" ของแจ๊บ เห็นมาดสง่าที่แปรเป็นเก้ๆกังๆไปชั่วขณะของเขาแล้วนึก สงสาร ขณะเดียวกันก็เข้าใจอารมณ์กระด้างที่เกิดขึ้นในระหว่างหมู่ญาติของแจ๊บ หล่อแค่ไหนก็ ไม่ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ใครเป็นญาติก็ต้องอายที่แจ๊บตายเพราะนายคนนี้

ไม่มีใครผิดในเกมรักที่เลิกร้าง ถ้าต่างฝ่าย ต่างมีชีวิต แต่หากมีการคิดสั้น คนตายจะกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำที่น่าสงสาร ส่วนคนอยู่ข้างหลังจะถูกปรับให้เป็นฝ่ายผิด หรือกระทั่งเป็นคนเลว โดยอัตโนมัติ ขนาดบินข้ามโลกมาร่วมงานศพยังไม่มีญาติคนไหนให้อภัยสักราย เออหนอ! โลก

หนอโลก

แต่บรรยากาศเย็นชาหน้าตึงก็คลี่คลายจนได้ เมื่อคุณแม่ของแจ๊บลุกจากที่นั่ง นำธูปหนึ่งดอกมาให้หนุ่มหัวเดียวกระเทียมลีบด้วยตนเอง

สีหน้าของปายดีขึ้น พนมมือไหว้ ปากขยับเป็นคำพูด "สวัสดีครับคุณแม่" แย้มยิ้มและพยายามยื่นซองเงินช่วยงานศพให้มารดาของอดีตคนรัก แต่ฝ่ายนั้นยกมือปฏิเสธแล้วหันหลังเดินจากไปอย่างสุภาพ คล้ายทำตามมารยาทเสร็จแล้ว ก็ไม่อยากเสียเวลาโอภาปราศรัยด้วยอีก

นั่นเอง ปายจึงกลับปิดปาก เดินคอตกเข้าศาลา มาไหว้ศพแบบตกเป็นเป้าสายตาโดดเด่น

ทุกคนที่นั่งรอพระอยู่ก่อนเงียบกริบ ราวกับเขาเป็นตัวประหลาด บางคนไม่รู้ก็เพิ่งได้รู้จากการ บอกต่อๆกัน ว่าทำไมเหล่าญาติของแจ๊บจึงออกอาการไม่ไว้หน้ากันขนาดนั้น

คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธ ถ้ามีคนบอกว่าปายเป็นหนึ่งในผู้ชายที่หล่อที่สุดในประเทศไทย แค่ท่วงทีเดินเหินของเขาก็อาบมนต์ขลังบางอย่างสามารถกระตุกหัวใจผู้หญิงทุกคนในโลกให้ตื่นเต้นได้แล้ว

พอปักธูปลงกระถางเสร็จ ปายก็เดินไปนั่งทางหนึ่งไกลจากหล่อน มะแมมองเขาจากด้าน หลังเป็นครู่ ก่อนนึกอะไรขึ้นได้ และถามตนเองว่า จำเป็นหรือเปล่าที่หล่อนจะต้องนำคำสุดท้ายของ คนตายไปบอกเขา

ชั่งใจครู่หนึ่งก็คิดว่าไม่บอกดีกว่า หล่อนเขิน และไม่รู้สึกว่านั่นเป็นข้อความสลักสำคัญชนิดคอขาดบาดตาย ก็แค่อารมณ์สุดท้ายที่แจ๊บอาจปล่อยให้หลุดเป็นประโยคเพ้อๆโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วยซ้ำ

แต่นั่งอยู่ดีๆ นาทีต่อมาก็นึกขึ้นได้เองว่าแจ๊บอาจอยากฝากหล่อนบอกเขาจริงๆ ทำไมหล่อน

ถึงคิดว่าคำสั่งเสียของคนก่อนตายไม่สำคัญ คำสุดท้ายก่อนตายน่าจะเป็นคำที่คนตายอยากพูด

ที่สุดในชีวิตด้วยซ้ำ

ครั้นจะลุกขึ้นแล้วไปกระซิบกระซาบข้างหูเขา มันก็ดูกระไรอยู่ ปายอาจเข้าใจว่าหล่อนเป็นหนึ่งในสาวที่มากรี๊ด และพยายามหาทางชวนคุยเป็นการทอดสะพานก็ได้

แล้วมะแมก็นึกออก แค่เอากระดาษกับซองจดหมายจากกระเป๋าถือมาเขียนบอก ไม่น่าเคอะเขินเหมือนให้พูดกับปากแต่อย่างใด

ฝากบอกพี่ปายด้วยว่าขอโทษ ทำไมแจ๊บถึงรักเขาขนาดนี้ก็ไม่รู้...

พิธีสวดเสร็จสิ้นลงในเวลาทุ่มครึ่ง บรรดาแขกผู้มาร่วมงานต่างก็ทยอยล่ำลาและแยกย้ายกลับบ้าน ซึ่งก็รวมทั้งหนุ่มปายด้วย เขาก้มหน้าก้มตาเดินงุดๆอย่างทราบว่าไม่มีใครยินดีมองหน้า มะแมเดินตามออกมา ทิ้งระยะห่างไม่กี่ก้าวพอเขาถึงรถและกำลังเอื้อมมือเปิดประตู มะแมก็ทักเบาๆ

"คุณปายใช่ไหมคะ?"

ปายเหลียวมามอง นึกว่าเป็นญาติของแจ๊บก็รีบรับ

"ครับ!"

มะแมถอนใจ เพิ่งรู้ชัดว่าทำอย่างนี้ถึงจะถูกต้อง คำสั่งเสียคนตาย ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงช่วยได้ก็ควรมีน้ำใจช่วยให้สมปรารถนา

"นี่เป็นข้อความที่คุณแจ๊บฝากดิฉันไว้ให้กับคุณปายนะคะ อย่าแปลกใจถ้าเห็นว่าไม่ใช่ลายมือของเขา เพราะเขาบอกฝากมาทางโทรศัพท์ และดิฉันก็เพิ่งเขียนแบบคำต่อคำเมื่อครู่นี้เอง"

ยื่นซองให้ ซึ่งปายก็ทำาหน้างงๆขณะยื่นมือรับ แล้วมะแมก็กลับหลังหันเดินจากไปทันที

ปายแกะจดหมายอ่าน พออ่านเสร็จก็รีบวิ่งตาม และมาทันกันภายในอึดใจเดียว เขายืนดักหน้า บังคับในทีให้มะแมต้องหยุดเดิน

"ขอบคุณมากครับ" จ้องลึกลงไปในตาหล่อนด้วยแววเจ็บปวด "ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าแจ๊บคุยอะไรกับคุณบ้าง"

"ดิฉันขอทำหน้าที่แค่ส่งข้อความสุดท้าย ที่คนตายฝากฝังไว้จะได้ไหมคะ?"

พูดตัดบทและผินหน้าไปทางอื่น อาจจะเพราะคร้านกับการลงรายละเอียด หรืออาจจะเพราะ... ยังไม่อยากพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถต้านทานเสน่ห์ของปายได้หรือเปล่า!

"ขอโทษนะ เอ่อ... นี่คุณมะแมใช่ไหม?"

หญิงสาวคอแข็งหน่อยๆ ปิดปากเงียบแทน

คำาตอบ ราวกับซ่อนพิรุธอะไรไว้

"ก่อนเกิดเรื่อง แจ๊บอีเมลไปหาผม เปรยว่าไปหาหมอดูชื่อมะแม แล้วก็แย้มให้ฟังว่าโดนทัก อะไรมาบ้าง"

"เหรอคะ"

มะแมพึมพำแบบไม่มีความหมาย ไม่แปลกใจ และไม่ต้องการต่อความยาวใดๆ

"เขาทึ่งมากที่คุณรู้เรื่องระหว่างผมกับเขาทุกอย่าง แถม... รู้ในสิ่งที่ยังไม่สมควรรู้"

นั่นเป็นคำจี้จุดที่มะแมไม่อยากฟัง และก็ทำให้พูดห้วนๆสวนออกไปแบบปกป้องตนเอง

"ตอนเรื่องยังไม่เกิด ใครจะรู้ว่าอะไรสมควรอะไรไม่สมควร!"

ปฏิกิริยาชนิดนั้นทำาให้ปายตกใจและรีบแก้

"เอ่อ...ผมไม่ได้หมายความว่าเป็นความผิดของคุณนะครับ ขอโทษถ้าทำาให้เข้าใจว่าตำหนิคุณอยู่"

มะแมรู้สึกตัวก็ก้มหน้า เสียงอ่อนลง

"มันก็เป็นความผิดของมะแมจริงๆแหละ และกรณีของคุณแจ๊บก็ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญ ทำให้รู้สึกแย่กับตัวเองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน"

ปายจับจ้องเสี้ยวหน้างามแล้วตัดสินใจเอ่ยชวน

"ขอเวลาคุณมะแมสักสิบนาทีได้ไหม ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาผมนอนไม่หลับเลย ทรมานใจจน อยากบวช แต่ยังไงช่วงนี้ก็บวชไม่ได้แน่ๆ"

หญิงสาวลังเล ก่อนพยักหน้าหน่อยๆ เดินตามเขามานั่งที่ชุดโต๊ะหมู่ซึ่งทางวัดตั้งไว้ตามทาง พอนั่งลงได้ปายก็เข้าจุดทันที

"ช่วงหลังผมกับแจ๊บคุยกันไม่รู้เรื่อง มีแต่คำด่า หรืออย่างเบาก็คำกระแนะกระแหน ผมเลยไม่นัดคุยออนไลน์ แล้วก็ไม่รับโทรศัพท์ตอนเขาโทร.มา จะอ่านก็เฉพาะอีเมล เพราะค่อยปลอดโปร่งหน่อยเวลาไม่ต้องโต้ตอบกันสดๆ"

"ค่ะ... พอจะรู้เหมือนกัน"

"แจ๊บเล่าให้ฟังในเมล บอกว่าพอจะเข้าใจผมมากขึ้น แล้วก็ขอโทษกับพฤติกรรมงอแงที่ผ่านมา ผมก็บอกว่าผมไม่ติดใจ แต่เรื่องระหว่างเรา คงจำเป็นต้องทบทวนกันใหม่ เรารู้จักกันน้อย เกินไป"

"ผู้หญิงหลายคนพร้อมจะเข้าใจว่า คำชวนให้ถอยคนละก้าว หรือทบทวนกันใหม่ หมายถึงการมีคนใหม่ และนั่นคงเป็นสิ่งที่แจ๊บรับไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาเชื่อมั่นว่าจะต้องแต่งงาน อยู่กินกับคุณอย่างมีความสุข"

ปายยกมือลูบหน้า ดูหม่นหมองและเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดกระสับกระส่ายออกมาจาก ภายใน

"ผมเคยคิดอย่างนั้น แต่แจ๊บก็เปลี่ยนความคิดของผมวันละนิด ความร่าเริงกับเสน่ห์ดึงดูดของเขาหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าการพูดคุยกลายเป็นภาระที่ผมต้องแบก และการนับวันรอร่วมทาง ก็เหมือนนับเวลาถอยหลังเข้าคุกดีๆ นี่เอง"

"เข้าใจ... และเห็นใจค่ะ"

"โอ้! ขอโทษ... ผมไม่ตั้งใจจะให้คุณมะแมต้องมาฟังผมระบายความทุกข์อย่างนี้เลย เหมือนผมมานั่งแก้ตัวให้คุณฟังเลยนะ แต่... ผมอยากให้คุณมะแมรับทราบว่าผมไม่ได้มีคนใหม่ ผมแค่ใช้คำพูดว่าเราถอยคนละก้าว ให้โอกาสกันและกันเลือกทางเดินใหม่ดูไหม ผมพูดแค่นี้ แต่แจ๊บไปตีความว่าผมมีคนใหม่แล้ว และเมลกลับมาขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย ผม... ไม่นึกว่าเขาจะเอาจริง เลยไม่ได้ตอบกลับ เพราะรำคาญ แล้วก็กำลังงานยุ่งสุดๆ"

"อย่างคุณปาย เป็นพวกพร้อมจะมีใหม่ได้ตลอดเวลา ห่างกันคุณแจ๊บเลยคิดมากไม่หยุด และพอคุณปายพูดแค่นั้น แถมทำเป็นไม่สนใจ เขาก็ไม่คิดไปทางอื่น"

"ก่อนแจ๊บไป... เขาพูดอะไรให้คุณมะแมฟังบ้าง?"

"มันยาวค่ะ จำรายละเอียดไม่ได้ แต่สรุปเป็นความรู้สึกทางใจก็คือชีวิตที่ไม่มีคุณเทียบเท่ากับการไม่มีชีวิต ประมาณนั้น"

ปายก้มหน้าลงซบกับฝ่ามือทั้งสอง

"ผมคงต้องรู้สึกผิดไม่เลิกใช่ไหม?"

"จากการที่มะแมคุยกับเขา มะแมไม่คิดว่าเขาจากไปเพื่อให้คุณรู้สึกผิดนะคะ ตรงข้ามเขาสำนึกผิดและเสียใจ คำาสุดท้ายในชีวิตจึงเป็นคำขอโทษที่ฝากถึงคุณโดยตรง"

ดูเหมือนปายไม่ได้ยินที่มะแมพูด ความเสียใจทำให้เขาเริ่มคร่ำครวญ

"ระหว่างติดคุกหลังงานแต่งกับติดคุกหลังงานศพ ถ้าย้อนเวลากลับไปเลือกได้ ผมจะเลือกคุกแรก!"

มะแมมองชายผู้น่าจะได้ชื่อว่าหล่อที่สุดในประเทศไทยเต็มตา ใบหน้าหมองไหม้ของเขาดูน่าเห็นใจ แต่ทำไมหล่อนยังไม่นึกอยากปลอบก็ไม่ทราบ อาจเพราะรู้สึกว่าลึกลงไป ถัดจากชั้น ของความเสียอกเสียใจ รู้สึกผิดเต็มประตู คือชั้นของความโล่งอก สบายใจกับชีวิตใหม่ที่ได้ความ

เป็นไทกลับคืนมาเสียที

อีกอย่างหนึ่ง มองหน้าด้วยตาเปล่าไม่ต้องใช้จิตสัมผัสใดๆ ก็ทราบว่าสาวโสดสวยๆค่อนประเทศพร้อมจะเฮโลกระโจนใส่เขาทุกวัน แค่หันไปยิ้มให้ผู้หญิงคนไหน ก็มัดใจ บาดอารมณ์ขนาดตะลึงตะไลจับจ้องหลงติด ไม่คิดอยากห่างหรือกระทั่งไม่อาจขาดเขาไปจนตาย...

เหมือนอย่างแจ๊บ!

มะแมเห็นว่าเขามีดี แต่ใจกลับไม่หลงยินดีในความเป็นเช่นนั้นสักเท่าไร ปายกลายเป็นเครื่องพิสูจน์ใจว่าหล่อนไม่อาจเป็นผู้หญิงธรรมดา ไม่มีทางหลงเขา อย่าว่าแต่จะฆ่าตัวตายบูชาเขา!

"ถ้าไม่มีอะไรแล้ว มะแมขอตัวกลับก่อนนะคะ"

หญิงสาวลุกขึ้นยืน ปายยืนตาม รู้สึกใจหายอยากคุยกับหล่อนนานกว่านั้น

"พรุ่งนี้ขอเป็นลูกค้าของคุณมะแมสักคนได้ไหม? ผมจะบินกลับช่วงค่ำ ก่อนหน้านั้นขอปรึกษาอะไรเพิ่มเติมสักหน่อยเถอะ"

มะแมส่ายหน้า

"ตารางนัดของมะแมเต็มยาวค่ะ แต่มะแมให้คำปรึกษาคุณได้สั้นๆเดี๋ยวนี้เลย"

"ได้เหรอครับ?"

"สำหรับชีวิตของคุณ รักส่วนใหญ่มีไว้ให้คุณวุ่นวาย เพราะต้องพยายามเป็นอะไรเกินๆ จากที่เป็น ผู้หญิงที่วิ่งเข้ามาหาต่างต้องการความฝันสำเร็จรูป ไม่ได้มาช่วยกันยกระดับความจริงให้ดีขึ้น คุณจะต้องเหนื่อยกับการทำตัวเป็นความฝันสมบูรณ์แบบไปเรื่อยๆ จะหล่นลงมาเป็นความจริงที่บกพร่องไม่ได้ พวกเธอไม่มีทางยอมรับ"

ปายทำหน้าเหวอนิดๆ

"ผมไม่เข้าใจ"

"งั้นจำเป็นข้อสรุปก็พอค่ะ อย่าใจอ่อนให้กับความสวยของผู้หญิงช่างฝัน มันไม่มีความสุขในชีวิตคู่ที่แท้จริงรออยู่ ให้ใจเย็นรอความงามของผู้หญิงใจดี แล้วชีวิตของคุณจะถูกเติมเต็มด้วยเหตุผลและความเหมาะสมที่หายไปมาตลอด"

ดอกเตอร์หนุ่มค่อยๆคลี่ยิ้มออกมา นั่นทำให้เขาดูเปลี่ยนไปเร็วมาก จากที่เพิ่งระทมระทวยทนทุกข์ กลายเป็นเปี่ยมพลังแจ่มใสทันตา

"คนงามกับความใจดีคือสิ่งที่ผมรอมาตลอด และผมก็คิดว่ายากมากกว่าจะได้พบได้คบกัน"

มะแมแน่ใจว่าเห็นประกายกรุ้มกริ่มในแววตาของเขาฉายออกมา ทบทวนคำพูดของตนเองเมื่อครู่ ก็นึกได้ว่าเขาอาจเข้าใจอะไรผิดไปกระมัง จึงรีบเอ่ยลาพร้อมทั้งค้อมศีรษะให้เล็กน้อย

"สวัสดีค่ะ ขอให้คุณสบายใจโดยเร็วนะคะ"

ว่าแล้วก็ลุกขึ้นยืน ซึ่งก็ดึงให้ปายผุดลุกยืนตามทันใด

"เอ้อ! คุณมะแม ผมขอร้อง พรุ่งนี้ขอเวลาผมพบคุณก่อนกลับได้ไหม จะต้องให้ค่าเสียเวลาเพิ่มอีกเท่าไหร่ก็ยินดี ผมต้องปรึกษาคุณหลายเรื่องเลยนะ จะเป็นมื้อกลางวันใกล้บ้านคุณก็ได้"

มะแมย่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความฉงนครามครัน ไม่อยากเชื่อว่าหนุ่มรูปงามที่ทำให้ไฮโซสาว เจ้าเสน่ห์คนหนึ่งฆ่าตัวตายได้ จะไร้ชั้นเชิงขนาดนี้

"ไม่ได้จริงๆค่ะ ขอโทษนะคะ"

ปฏิเสธอย่างสุภาพแล้วมะแมก็ออกเดินไม่เหลียวหลัง กลัวเขาเดินตามเหมือนกัน คงอึดอัด

น่าดูถ้าต้องปฏิเสธซ้ำกันอีกรอบ

เป็นครั้งแรกที่สงสัยว่า "เทวดา" จะพลาดเป็นบ้างหรือเปล่า ถึงขนาดต้องให้หล่อน "ระวัง" ว่าถ้าจะมีความรัก อย่าไปหลงสิ่งล่อตาภายนอก โธ่เอ๋ย! กะแค่ตานี่จะทำให้หล่อนอยากรับนัดยัง

ทำไม่ได้เลย เรื่องหลงเรื่องรักจะตามมาไหวหรือ?

______________________________________________________________________________________________________________
บทที่ ๘

มะแมแวะซื้อของเข้าบ้าน กว่าจะกลับมาถึง จึงปาเข้าไปสี่ทุ่ม ซึ่งหล่อนขีดเส้นไว้ให้อิ๊กเข้านอนพอดี

วินัยขั้นพื้นฐานประเภทนี้ แสดงความเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายของอิ๊ก อิ๊กปฏิบัติตามที่หล่อนตีกรอบไว้ทุกเรื่อง และมะแมก็ตีกรอบพร้อมอธิบายเหตุผลเสมอ ไม่ใช่จู่ๆบังคับให้ทำโน่นทำนี่ดื้อๆ หล่อนบอกอิ๊กว่าเด็กที่นอนตั้งแต่หัวค่ำจะฉลาด สมองแจ่มใส เติบโตอย่างแข็งแรง จิตใจที่เศร้าหมองไปช่วงหนึ่งจะฟื้นคืน กลับสดใสเหมือนเดิมได้อย่างรวดเร็ว

อิ๊กช่วยเหลือตัวเองได้ทุกเรื่อง กับทั้งช่วยหยิมทำงานบ้านอย่างขมีขมัน มะแมได้ยินสองคนคุยกระหนุงกระหนิงทุกครั้งที่อยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ รู้สึกว่านี่คือรังนอนอันสว่าง อบอุ่น หาใช่สักแต่เป็นที่อยู่ที่กิน เดินไปที่ตรงไหนสัมผัสได้แต่พลังความมีชีวิตชีวาและความน่าอยู่ที่ตรงนั้น

นี่เอง จุดเริ่มต้นของความเป็นบ้าน สร้างกันด้วยความผูกใจผูกพัน ไม่ใช่ด้วยการผูกอิฐผูกไม้

หยิมออกมาช่วยปิดประตูรั้ว และขอแบ่งถุงพะรุงพะรังไปช่วยถือเข้าบ้าน มะแมหยิบจากท้ายรถส่งให้ส่วนหนึ่ง

"อิ๊กขึ้นนอนหรือยัง?"

"เพิ่งขึ้นค่ะ"

เข้ามาถึงครัวด้วยกัน ขณะช่วยกันจัดข้าวของเข้าตู้เย็นและช่องชั้นต่างๆ มะแมก็ถามอีก

"ช่วงค่ำครูสอนภาษาอังกฤษมาตามนัดไหม?"

"มาตรงเวลา หน้าตาดุนะคะ แต่ก็สอนดีค่ะ สอนๆไป ท่าทางหลงรักน้องอิ๊กอีกคน"

"ใครไม่รักไม่เอ็นดูก็แปลกคนล่ะ"

แต่พูดเสร็จใจก็ไพล่นึกไปถึงสองลุงป้ามหาภัยซึ่งจำใจอุปการะอิ๊กอยู่ช่วงหนึ่ง ทั้งสองนับว่าแปลกคนจริงๆที่ใจร้ายกับอิ๊กได้ลงคอ

นึกอีกทีจะแปลกอะไร ขนาดลูกเต้าแท้ๆแต่ละคนกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง หนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุไม่ถึง ๑๘ กันหมด และที่ยังอยู่ด้วยกันก็เป็นไปแบบซังกะตาย แยกย้ายไม่รอด ไม่ใช่เพราะมีความรู้สึกแสนดีอยู่ที่นั่น อย่างนี้จะเอาหัวใจที่ไหนมารักเด็กซึ่งเป็นลูกของญาติเล่า?

ความกล้ำกลืนฝืนใจทำให้ยุพินเลี้ยงอิ๊กด้วยโทสะ กับทั้งเล็งโลภ มาดหมายอยู่ในใจว่าวันหนึ่งจะต้องเอากำไรคืนให้ได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ส่วนนิพนธ์ไม่เห็นอิ๊กเป็นอะไรอื่นมากไปกว่าเด็กผู้หญิงไม่มีทางสู้ น่ารักน่ารังแกเป็นที่สุด แถมไม่มีทางไป ล่วงเกินอะไรใครจะรู้

ลุงกับป้าเป็นแผลกาย บอกตัวเองว่าหล่อนจะเป็นยาสมานใจให้อิ๊กหายขาดจากทุกแผล

เพียงช่วงสั้นๆที่มาอยู่ด้วยกัน อิ๊กได้รับการรักษาทั้งส่วนของกายและส่วนของใจอย่างรวดเร็ว สามวันแรกที่เธอแน่ใจว่าได้มาอยู่ในบ้านใหม่ อันจะเป็นหลักประกันความมั่นคงและความปลอดภัยไปตลอดชีวิต อิ๊กก็ร่าเริงขึ้น เจรจาพาทีน่ารักน่าพิศวาส แสดงพื้นฐานจิตใจของเด็กที่โตมากับครอบครัวอบอุ่น

"หยิม..."

"ขา"

"ทุกวันนี้พี่ไม่ได้คิดว่าหยิมเป็นลูกจ้างแล้วนะ เธอเป็นน้องสาวพี่คนหนึ่ง"

"รู้ค่ะ"

เด็กสาวไม่ได้หันมอง แค่ยิ้มตอบสั้นๆ แต่เสียงก็บอกว่า "รู้" ตามที่พูดจริงๆ

"ถ้าเธออยากได้อะไร หรือไม่ชอบอะไร ก็บอกพี่ได้ทุกอย่าง ไม่ต้องคิดว่าพี่เป็นเจ้านาย"

"จะพยายามกล้าๆนะคะ"

"แล้วนี่... เธอจะรู้สึกไม่ดีไหม ถ้าพี่เอาเด็กที่ไหนไม่รู้ มาเลี้ยงดูอย่างดี ให้ได้เรียนหนังสือ..."

"ส่งน้องอิ๊กให้ถึงปริญญาเอกเลยนะคะ ขอหยิมได้มีส่วนไปร่วมงานวันรับปริญญาตรีที่เมืองไทยก่อนด้วย"

สุ้มเสียงสดใสนั้น มีผลให้มะแมชะงักมือที่กำลังจัดของลง แปรสายตาไปอีกทาง ชั่งใจดีๆ อยู่ครู่ก่อนถาม

"พี่ส่งเธอเรียนต่อบ้างเอาไหม?"

"ไม่เอาหรอกค่ะ"

"ไม่อยากเรียนหรือ? ศึกษาผู้ใหญ่ก็ได้"

"เรียนดึกๆน่ะ ถูกตีหัวตอนกลับบ้านกันเยอะนะคะ"

"งั้นก็เรียนภาคกลางวัน!"

มะแมกัดฟันพูด แต่ก็ตั้งใจตามนั้น

"ตอนกลางวันหยิมสมองทึบค่ะ คิดอะไรไม่ค่อยออก ต้องตอนกลางคืนค่อยโล่ง หัวแล่นหน่อย"

หยิมจัดของส่วนของตนเสร็จก็หันมาหยิบของที่เหลือจำพวกกระดาษม้วนไปจัดวางตามจุด เฉพาะอันมีความแน่นอน ตามระเบียบของผู้เป็นนาย ระหว่างจัดอย่างคล่องแคล่วก็พูดไปด้วย

"ถ้าหยิมเรียนสูงกว่านี้แล้วเห็นช่องทางทำงานอื่น ตอนตายหยิมอาจเสียดายที่ไม่ได้อยู่รับใช้พี่มะแม แทนที่จะได้รับอะไรดีๆจากพี่ กลับดันทุรังออกไปหาเรื่องรับอะไรเลวๆจากโลกข้างนอกมาใส่ตัวแทน ไม่เอาหรอก"

มะแมตาค้างอยู่กับที่ เพิ่งได้ยินประโยคคำพูดยาวๆชนิดนั้นจากหยิมเป็นครั้งแรก เหมือนฟังตัวเองพูด ทั้งน้ำเสียง ทั้งสำนวน ต่างแต่ว่าเป็นหยิมคิด หยิมเอ่ยปากมาจากอีกฟากหนึ่งของห้อง หาใช่น้ำเสียงของหล่อนเองไม่

อยู่ใกล้หล่อน แล้วกลายเป็นเงาสะท้อนของหล่อน ควรเป็นเรื่องน่าชอบใจมิใช่หรือ?

"พี่จะตามใจหยิมก็แล้วกัน"

หญิงสาวเอ่ยยังคงไม่เหลียวมา

"งานในบ้านกับงานออฟฟิศเราสามคนผลัดกัน คงมีเวลาให้เธอทำอย่างอื่นไม่ยากนัก ถ้าวันหน้าเธอเปลี่ยนใจ พี่จะสนับสนุนทุกอย่าง เงินเก็บของพี่มีพอสำหรับปริญญาของเธอแน่นอน!"

พูดจบก็ทิ้งของที่เหลือไว้ให้เด็กสาวจัดการตนเองเดินออกจากห้องครัว ฉวยกระเป๋าถือเดินขึ้นข้างบนไปเงียบๆ

ชั้นสามมีห้องนอนสามห้อง มะแมให้อิ๊กนอนห้องเล็กสุด พอขึ้นมาถึงก็มองไป เห็นประตูแง้มไว้หน่อยหนึ่ง ไม่หับปิดให้สนิท ก็ทราบว่าฝ่ายนั้นจงใจ ด้วยความอยากให้หล่อนแวะหาสักนิด

ย่องไปผลักบานประตูเปิดอ้า เห็นร่างน้อยบนเตียงนอนขยับหน่อยๆเป็นปฏิกิริยาตอบรับ จึงก้าวเข้าไป และเปิดไฟอ่อนที่โคมข้างเตียง มะแมให้หยิมไปเลือกซื้อตู้ เตียง และโต๊ะสำเร็จรูปมาจากร้านเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งก็โชคดีที่เจอของถูก แต่ดูน่ารักเหมือนสมบัติคุณหนูบ้านคนมีอันจะกิน

"ยังไม่หลับเหรอ?"

ถามพลางย่างเท้ามาวางน้ำหนักตัวลงบนขอบฟูก ใช้มือละมุนเสยปอยผมของอิ๊กแล้วลูบไปถึงกระหม่อมช้าๆหลายครั้ง จำได้ว่าชอบสัมผัสแบบนั้นจากแม่ เมื่อครั้งยังอยู่ในวัยเดียวกับอิ๊ก และตอนนี้ก็นึกอยากถ่ายทอดไปให้อิ๊กบ้าง

"ยังค่ะ"

"วันนี้เรียนภาษาอังกฤษสนุกไหม?"

"สนุกค่ะ"

"พรุ่งนี้พี่ให้ครูสอนเลขมาแต่เช้านะ วันเสาร์ อาทิตย์พี่ต้องทำงาน วันจันทร์ถึงจะพาไปเที่ยว"

"ค่ะ"

เงียบกันไปครู่ มะแมสัมผัสได้ถึงอาการหน่วงหนักในใจของเด็กหญิง ก็ทราบว่าฝ่ายนั้นกำลังอยากขออะไรบางอย่าง

"จะขออะไรพี่ก็ขอเถอะ"

อิ๊กชินแล้วที่ผู้มีพระคุณรู้ใจตน เธอแค่เอ่ยแบบเอียงอายหน่อยๆ

"ให้อิ๊กเรียกพี่มะแมว่าแม่ไม่ได้เหรอคะ?"

หญิงสาวอึ้งไปเล็กน้อย เกิดความอึดอัดขึ้นมา หล่อนยังต้องเห็นแก่ความรู้สึกส่วนของตนเช่นกัน ยังสาว ยังโสดอยู่แท้ๆ จะให้เด็กอายุเฉียดวัยรุ่นเรียกแม่ แหม...

คิดครู่หนึ่งก่อนเลือกคำปฏิเสธที่นุ่มนวล

"พี่เลี้ยงอิ๊กเหมือนลูกได้ แต่จะให้มาแทนที่คุณแม่ของอิ๊กไม่ได้หรอก เร็วๆนี้อิ๊กจะเป็นวัยรุ่นและไม่นานอิ๊กจะเป็นผู้ใหญ่ ตอนอิ๊กเป็นผู้ใหญ่ พี่มะแมเพิ่งสามสิบต้นๆ ถึงตอนนั้นเราจะเขินๆกันนะ จะแก้ก็ไม่ทันแล้ว เพราะมันติด"

อิ๊กทำหน้าสลด หลบตาลงต่ำอย่างผิดหวัง มะแมเห็นแล้วสงสาร แต่ก็ไม่ใจอ่อน

"เรียกพี่นั่นแหละ! แต่ถ้าอยากเรียกเป็นอย่างอื่นจริงๆ ให้ผสมแม่กับพี่ เป็น 'มี่' ก็แล้วกัน"

มุขนั้นกระทุ้งเอาเสียงหัวเราะขำคิกคักออกมาจากปากของเด็กขี้อ้อนได้

"หลับซะนะ"

มะแมตบศีรษะเด็กน้อยอย่างตั้งท่าจะจากไป ซึ่งฝ่ายนั้นก็รีบยื้อทันที

"พี่คะ"

"หือม์?"

"พี่มะแมบอกให้อิ๊กเลิกคิดมาก แต่อิ๊กก็ยังคิดมากอยู่เลยค่ะ"

ฟังแล้วรู้ทันทีว่าคนอยากเป็นลูกสาวคิดถึงเรื่องใด แม้ความอบอุ่นปลอดภัยในบ้านน้อยหลังนี้ จะเป็นยาสมานแผลที่ได้ผลขนาดไหน อย่างไรก็คงเอาชนะประสบการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิตเมื่อถูกลุงลวนลามไม่ได้

ยังดีอยู่หรอก สิ่งที่ล่วงล้ำเข้าไปทำร้ายอิ๊กใช่สวะแห่งชาย แต่ก็เป็นอย่างอื่นที่บัดสีน่าอดสูอยู่ดี

"ก่อนนอนตอนยังไม่หลับ อิ๊กรู้สึกอาย รู้สึกแย่ เพราะย้ำคิดถึงคนโหดร้ายกับเราทุกคืนเลยใช่ไหม?"

"ใช่ค่ะ"

"งั้นเอางี้นะ คืนต่อๆไปเราต้องทำให้ช่วงเวลาก่อนนอนมีความคิดดีๆเกิดขึ้นแทน"

"อิ๊กก็สวดมนต์ตามที่พี่มะแมบอกนะคะ แต่... มันไม่ได้ผล"

"คราวนี้พี่จะให้เพิ่มความคิดเข้าไปด้วย คิดอย่างนี้นะ"

เว้นวรรคทำหน้าขึงขังเรียกความตั้งใจฟัง ก่อนเอ่ยเป็นน้ำริน

"เรื่องน่าอายก่อนนอนมีอยู่อย่างเดียว คือนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้เรายังไม่ได้ทำความดีอะไรเลย"

อิ๊กกะพริบตาปริบๆอย่างพยายามทำความเข้าใจ มะแมลูบศีรษะเด็กในอุปการะอย่างอ่อนโยน

"คนทำดีไม่มีเรื่องให้น่าอายตัวเองก่อนนอนหรอก มีแต่คนชั่วเท่านั้นที่ต้องละอายจนกว่าจะหลับไปกับฝันร้าย!"

เก้าโมงสิบสองนาที ลูกค้าคนแรกยังไม่มาตามนัด จนมะแมต้องโทร.ภายในถามหยิม

"เขายังไม่มาอีกเหรอหยิม?"

"ค่ะ หลงทางหรือเปล่าก็ไม่ทราบ อาจจะมาจากต่างจังหวัด"

หยิมคาดเดาไปเรื่อยตามนิสัย

"คิวที่สองล่ะ? ถ้ามาแล้วก็ส่งเข้ามาเลย ขี้เกียจรอละ"

"ยังไม่มาเหมือนกันค่ะ หยิมย้ำเสมอนะคะว่าให้ช่วยมาก่อนเวลา... อ้อ! เอ้อ! ท่าทางจะ มะ... มาแล้วค่ะ"

หยิมพูดตะกุกตะกักในตอนท้าย มะแมวางกระบอกโทรศัพท์ลงแป้น พับหนังสือพิมพ์ที่นำมาอ่านฆ่าเวลา แล้วลุกขึ้นยืนเตรียมต้อนรับลูกค้ารายแรกของวัน ปกติหล่อนจะต้องเป็นฝ่ายไหว้ก่อน เพราะเกินครึ่งของลูกค้าอายุมากกว่า

ประตูเปิดออกกว้าง รัศมีกระจ่างผิดธรรมดานำหน้ามาให้สัมผัส ร่างสูงสง่าของชายหนุ่มวัย ๓๐ ในชุดสูทสีเทาก้าวตามรัศมีนั้นมา และมีพลังสะกดโลกของมะแมให้หยุดไว้ เพื่อต้อนรับการปรากฏตัวของเขาชั่วขณะ

ตั้งแต่วันแรกที่ทำอาชีพที่ปรึกษา เพิ่งมีวันนี้เองที่มะแมเผลอจ้องลูกค้าแบบลืมหายใจไปเป็นครู่ ก่อนรู้สึกตัว ค้อมศีรษะพนมมือไหว้แช่มช้อย

"สวัสดีค่ะ"

เงยหน้าขึ้นถามเสียงใสเป็นปกติ

"คุณอัคระหรือเปล่าคะ?"

ถามให้รู้ว่าเป็นลูกค้าคิวแรกหรือคิวที่สองตามบัญชีรายชื่อที่หยิมพิมพ์มาวางบนโต๊ะเช้านี้

"ครับ! ผมอัคระ ขอโทษที่มาช้าไปหน่อย เมื่อครู่ติดธุระด่วน"

"ไม่เป็นไรค่ะ เชิญนั่งก่อน"

บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปหมด ห้องของหล่อน แต่กลับรู้สึกว่ากลายเป็นห้องของเขา เขาเป็นผู้ครอบครอง ส่วนหล่อนแค่ขอมามีส่วนร่วมชั่วคราว

โอ้! คนอะไรจะดูยิ่งใหญ่ปานนั้น?

เมื่อต่างฝ่ายต่างนั่งเรียบร้อย หญิงสาวก็บอกให้เขาทราบล่วงหน้า เป็นการปรับภาวะความเป็นเจ้าของห้องให้กลับมาอยู่ในความรู้สึกฝ่ายตน

"มะแมจำเป็นต้องรักษาเวลานิดหนึ่ง คิวต่อไปจะเป็นเก้าโมงครึ่งนะคะ เว้นแต่ทางนั้นจะมาช้า เราถึงจะคุยกันต่อให้ครบครึ่งชั่วโมงได้"

"เข้าใจครับ... งั้นเริ่มเลยนะ ผมอยากทราบว่างานใหญ่ที่กำลังเตรียมการกันอยู่นี้ จะสำเร็จลุล่วงด้วยดีไหม แล้วระหว่างผมกับคู่แข่ง ใครที่จะต้องสมหวังหรือผิดหวัง"

"ค่ะ จะดูให้นะคะ"

ขณะมะแมทำความรู้สึกที่ความปรากฏแห่งชีวิตเขา และยังไม่ทันเลือกว่าจะอาศัยสิ่งใดเป็นเครื่องมือในการดูตามโจทย์ หล่อนก็สัมผัสกลุ่มพลังอะไรชนิดหนึ่งถาโถมเข้าสู่ตน จนเวียนหัวไปชั่วขณะ คล้ายงงๆง่วงนอนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนในยามเริ่มงานเช้าวันใหม่

พยายามตั้งหลัก เรียกสติให้กลับมาครบๆ แต่พอทำความรู้สึกไปที่ "งานใหญ่" ของอัคระก็เอาอีก เหมือนกำแพงพลังไร้ตนโต้กลับอย่างแรง คราวนี้มึนกว่าเดิม ไม่ต่างจากกระดกเหล้าเข้าปากรวดเดียวหมดแก้ว โดยไม่ทันทราบล่วงหน้าว่านั่นคือเหล้า นึกว่าเป็นน้ำเปล่า

"เอ่อ..."

มันเป็นการครางอย่างไร้จุดหมายมากกว่าจะเริ่มพูดอะไร มะแมสลัดหน้าเล็กน้อย จึงนึกออกว่าจะเปลี่ยนวิธีดูอย่างไรดี

"ขออนุญาตใช้บัตรประชาชนของคุณอัคระเป็นสื่อหน่อยได้ไหมคะ? คือ... มะแมจะลองจับจากเอกลักษณ์บนบัตรดู"

เลี่ยงไปทางนั้นเพื่อแตะจิตเข้าไปที่รหัสประจำตัว แทนการส่งจิตไปกระทบเขาตรงๆ ซึ่งอัคระก็ไม่รังเกียจ

"ได้ครับ ไม่มีปัญหา"

ชายหนุ่มล้วงกระเป๋าสตางค์จากเสื้อนอกออกมาหยิบบัตรประชาชนยื่นให้ตามคำขอ มะแมรับมาและรีบวางไว้บนโต๊ะ เพราะไม่แน่ใจว่าถ้าถือดูแล้วมือจะสั่นให้ขายหน้าเขาหรือเปล่า

นายอัคระ เมธานฤบาล

เคว้งงงวูบหนึ่ง ทำความรู้สึกเข้าไปที่ชื่อ นามสกุลแล้วขนลุกได้ ชีวิตคนๆนี้ไม่ธรรมดา มะแมพยายามจับกระแสความไม่ธรรมดานั้นไว้เป็นตัวตั้ง แล้วรอว่าจะเกิดสัมผัสรู้หรือมีนิมิตใดปรากฏในห้วงมโนทวารของตน

แต่ยิ่งรอก็ยิ่งกลายเป็นตาลายฟุ้งซ่านวกวนจนต้องขมวดคิ้วจ้องบัตรประชาชนของเขาใหม่ให้เห็นชัดขึ้น แก้งงด้วยการตรวจเก็บรายละเอียดทั้งหมดทีละจุด นับแต่เลขประจำตัว วันเดือนปีเกิด ศาสนา หมู่เลือด ที่อยู่ ไปจนกระทั่งวันหมด อายุบัตร

มะแมไม่รู้ตัวนักว่าการทำงานของจิตสัมผัสหายไป เปลี่ยนเป็นการทำงานของสมองคิดนึกขึ้นมาแทน ด้วยสายตาของคนไม่รู้หลักโหราศาสตร์ รู้แต่หลักบวกลบปีเกิดเทียบอายุเขากับหล่อน ทำให้ทราบว่าห่างกัน ๖ ปี

แก่กว่าแค่ ๖ ปีหรือนี่? พลังบารมีทำไมดูเกินวัยไปกว่านั้นมากนัก อ้อ! หลักแหล่งที่อยู่ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านหล่อนเท่าไหร่ เลือดกรุ๊ปโอ สูง ๑๘๑ หน้าตาในรูปถ่ายไม่ยักแย่เหมือนคนอื่นๆตอนถ่ายบัตรประชาชนกันเลย

เอ... ประมวลแล้วหล่อนได้อะไรมามั่งล่ะนี่? ทุกอย่างได้สัดส่วนเหมาะเจาะไปหมด ราวกับเครื่องประดับของผู้ยิ่งใหญ่ที่เข้าชุดกันอย่างดียิ่ง

อ่านกวาดจากบัตรประชาชนอย่างเดียว เหมือนเขาเหมาะจะเป็นได้เพียงหมายเลขหนึ่งเท่านั้น แล้วอันที่จริง... ชื่อหล่อนกับนามสกุลเขาก็เข้ากันได้เพราะทีเดียว!

เอ๊ย! นี่หล่อนกำลังเป็นบ้าหรืออย่างไร? มะแมกระตุกมุมปากที่ค่อยๆคลี่ออกเป็นยิ้มหวานให้กลับเข้าที่ สำรวมจิตขรึม สำรวมกายตั้งท่าจริงจัง

"อือม์..."

ระหว่างยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หญิงสาวก็ทำทีก้มหน้าก้มตาวิเคราะห์เป็นงานเป็นการ

"ชื่อนี้ตั้งเองหรือใครตั้งให้คะ?"

"คุณพ่อตั้งให้แต่เกิดครับ"

"ชื่อนามสกุลและองค์ประกอบอื่นๆในบัตร นับว่าเป็นบารมีกับคุณมากๆเลย"

"แล้วมีผลถึงงานใหญ่ข้างหน้ายังไง ผมจะชนะหรือแพ้?"

มะแมอึกอัก คล้ายหล่อนเป็นคนธรรมดาที่แสร้งทำท่าเหมือนแม่มดผู้ทรงอภิญญาวิเศษอย่างไรไม่ทราบ

ขณะนั้น คลื่นรบกวนชนิดหนึ่งแทรกแซงเข้ามา อยู่ๆมะแมก็นึกถึงคำเตือนในจดหมายจากเทวดาแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้

ถ้าจะมีความรัก ระวังการหลงสิ่งล่อตาภายนอกให้ดี ข้างในอาจไม่ใช่อย่างที่เห็น

ใช่แล้ว... ถ้าถูกบังคับให้ยอมรับก็จะยอมรับว่าหล่อนกำลังหลง เป็นความหลงอย่างไม่เคยมีให้ใครเท่านี้มาก่อนเลยด้วย!

หรี่ตานิดหนึ่ง จดหมายฉบับล่าสุดจาก "เทวดา" น่าจะหมายถึงอัคระนี่เอง และถ้า "ท่าน" บอกใบ้ถูกต้องตามเคย มิแปลว่าที่หล่อนเห็นมาทั้งหมดล้วนหลอกตา ลวงใจ ไม่มีอะไรจริงเลยกระนั้นหรือ?

หล่อนกำลังจะตกหลุมรัก หรือว่าตกหลุมพรางแห่งมายาชนิดไหนกันแน่นี่?

สง่าราศีหลอกกันไม่ได้แน่ เหมือนเขาไร้จุดอ่อน เป็นรองใครได้ยาก ดูด้วยตาเปล่าไม่ต้องใช้สัมผัสพิเศษก็รู้ว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นผู้ชนะ ไม่ใช่คนที่จะยกธงขาวให้ใคร

แต่แล้วก็เริ่มเอะใจ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง แล้วเขามาหาหล่อนเพื่ออะไร? คำถามของอัคระบ่งชัดว่าเห็นหล่อนเป็น "หมอดู" ไม่ใช่ "ที่ปรึกษา" และความอยากรู้ของเขาก็ประกาศความไม่มั่นใจ ว่าระหว่างเขากับ "คู่แข่ง" ใครจะได้สิ่งที่อยากได้ไปครองกันแน่

คนไม่ยอมเป็นสองรองใคร จะขาดความมั่นใจในตนเอง และเลือกเชื่อคำตัดสินจากหมอดูอย่างนี้หรือ?

หล่อนอาจมองเขาผิด เพียงเพราะโดนสิ่งล่อตาภายนอกหลอกเอาจริงๆก็ได้!

ทำความรู้สึกเข้าไปที่ความว่าง เพื่อล้างสิ่งที่เห็น ลบสิ่งที่เชื่อออกจากหัว แล้วย้อนกลับไปตั้งต้นใหม่หมด หญิงสาวปิดตาลง คงสติไว้กับใจที่ปราศจากอคติใดๆ จากนั้นจึงระลึกถึงน้ำเสียงและจังหวะจะโคนของอัคระขณะเอ่ยคำว่า "คู่แข่ง"

มีความทะมึนมืดชนิดหนึ่งที่ไม่รู้จักมาก่อนปรากฏขึ้นกระทบจิต ไม่แน่ใจว่านั่นคือกระแสชีวิตของคู่แข่งอัคระ หรือเป็นกำแพงกั้นขวางไม่ให้หล่อนได้รู้อะไรกันแน่

ช่วงนี้ช่างมีแต่เรื่องเกินกำลังมาให้สัมผัสอยู่เรื่อย มะแมไม่พยายามเอาชนะ ไม่ฝืนเพ่งให้ผ่านกำแพงทะมึนชนิดนั้น เพราะเรียนรู้แล้วว่าดันทุรัง สู้ไปจะเหนื่อยเปล่า นอกจากไม่ได้อะไรมา ยังเสียกำลังใจไปแบบกู้คืนยากอีกต่างหาก

เปิดเปลือกตา ไหล่กระตุกไหวหน่อยๆเมื่อเห็นอัคระมองมา สบตากับเขาแล้วจังงัง คล้ายถูกสะกดให้พูดอะไรไม่ออก สนามพลังของเขาแผ่กว้างและครอบหล่อนได้ รู้สึกคล้ายเป็นนักเรียนถูกครูจับจ้องอยู่ ว่าจะแก้ข้อสอบปากเปล่าอย่างไร และมะแมก็ไม่แน่ใจว่าตอนนี้มีความรู้ในหัวพอจะตอบข้อสอบแค่ไหน

เงียบนานกระทั่งเขาต้องเป็นฝ่ายถามสะกิด

"เห็นอะไรบ้างครับ?"

เอ้อ! นั่นน่ะสิ เมื่อกี๊เห็นอะไรบ้าง? ลืมไปหมดแล้ว ตอนนี้เห็นแต่หน้าคุณนั่นแหละ!

เป็นครู่กว่าจะนึกออกว่าควรกะล่อมกะแล่มแก้ขัดท่าไหน

"ยากที่ใครจะเอาชนะคุณอัคระได้นะคะ"

"หมายความว่างานจะสำเร็จ และคู่แข่งของผมแพ้แน่ใช่ไหม?"

มะแมเกิดความอึดอัด อยากตอบว่า "ไม่ทราบ!" ให้รู้แล้วรู้รอด แต่นั่นก็หาใช่วิสัยที่หล่อนจะตอบลูกค้า จึงกลั้นใจตอบแบบไถๆไปก่อน

"คุณอัคระกับคู่แข่งไม่ธรรมดาด้วยกันทั้งคู่ตอบยากเหมือนกันค่ะ"

ตอบเสร็จก็โล่ง อย่างน้อยผ่านไปได้เปลาะหนึ่ง ด้วยถ้อยคำที่หล่อนเองฟังยังเห็นว่าเข้าใจได้ สมเหตุสมผล ไม่ใช่โกหกเอาตัวรอด

เหลือบมองบัตรประชาชน คิดว่าคงไม่ใช้อีก เลยจะหยิบคืนเขาโดยเอาปลายเล็บจิก แต่งัดอีท่าไหนไม่ทราบ จับไม่อยู่ บัตรจะพลิกหล่น ถึงกับต้องใช้สองมือตะครุบปุบก่อนหลุดมือร่วง

รู้สึกว่าท่าทางของตนตลกเหมือนเด็กตกประหม่า น่าอายเหลือที่จะกล่าว ถึงกับต้องทำใจดีๆเพื่อที่จะไม่ให้มือไม้ออกท่ากระงกกระเงิ่นขณะส่งบัตรประชาชนคืนเขา

"เอาบัตรไปเก็บก่อนนะคะ"

"ครับ"

หัวใจเต้นผิดจังหวะ เร่งพินิจซ้ำๆว่า "อนาคต ออกหัว ออกก้อย ออกหัว ออกก้อย ฯลฯ" แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สัมผัสผลแบบไหนเลย จะให้แกล้งเดามั่วก็ผิดแบบแผนความเป็นตัวตนของหล่อน ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ทรยศอาชีพของตนแม้แต่ครั้งเดียว

ออกหัว ออกก้อย เออ! จริงสิ! ขอดูพลังเสี่ยงทายของเขาหน่อยดีกว่า ไวเท่าความคิดมะแมดึงลิ้นชักโต๊ะ หยิบกระเป๋าสตางค์เปิดและนำเหรีญสิบออกมายื่นให้อัคระ

"ช่วยโยนเหรียญให้มะแมดูหน่อยได้ไหมคะ?

เขาทำหน้าตกตะลึง ถามเสียงสูงเหมือนจะให้แน่ใจว่าหูไม่ได้ฝาด

"ให้ผมโยนหัวโยนก้อย?"

คำขอความแน่ใจของเขาเล่นเอามะแมหน้าม้าน อยากคืนคำ แต่ก็คืนไม่ได้แล้ว หลุดปากไปแล้ว จึงต้องรีบอธิบายให้ดูดี

"อาจฟังแปลกๆหน่อยนะคะ คุณอัคระถามถึงผลแพ้ชนะ มะแมเลยสัมผัสเข้าไปที่พลังผู้ชนะของคุณ แล้วรู้สึกว่าปิดประตูแพ้คนทั้งหลายได้ แต่เมื่อพยายามรู้คำตอบว่างานใหญ่ของคุณกับคู่แข่ง ใครจะแพ้หรือชนะ นิมิตของผลลัพธ์กลับไม่ปรากฏ ซึ่งมะแมเดาว่าน่าจะเป็นเพราะคู่แข่งของคุณไม่ใช่เล่นเหมือนกัน"

อัคระสงบท่าทีลง แววตาส่อว่าเข้าใจและยอมรับ มะแมจึงค่อยใจชื้น อธิบายต่อได้รื่นขึ้น

"ถ้าคุณอัคระจะบอกชื่อคู่แข่ง และบอกรายละเอียดงานใหญ่ให้มะแมรู้ แทนที่จะช่วย ก็อาจยิ่งก่อให้เกิดอคติ เพราะมะแมเชื่อว่ายิ่งฟังรายละเอียด จะยิ่งเห็นความทัดเทียมยากจะคว่ำอีกฝ่ายลงได้"

ชายหนุ่มพยักหน้า ซึ่งมีค่าเหมือนคำชมให้มะแมยิ้มออก

"ธรรมดาถ้าโยนเหรียญตามปกติ ธรรมชาติความเป็นไปได้ของเหรียญสองด้านจะบังคับให้ออกหัวออกก้อยอย่างละครึ่ง แต่สำหรับงานใหญ่มากๆ ความใหญ่ของมันอาจบังคับให้เกิดผลตามแรงอธิษฐานขอรู้ของเรา"

มุมปากของอัคระจุดยิ้มน้อยๆ มะแมมองไม่ออกว่าหมายความอย่างไร แต่หล่อนก็สบายใจที่จะสาธยายจนจบ

"เมื่อได้หัวได้ก้อยออกมา ก็ไม่ใช่มะแมตัดสินแค่ง่ายๆว่าชนะหรือแพ้ มันแค่ช่วยเป็นเครื่องกระทบจิตให้เกิดปฏิกิริยาบางอย่าง อาจมาในรูปของนิมิต หรืออาจเป็นความรับรู้ถึงแนวโน้มในอนาคต ซึ่งถ้ามะแมสามารถขยายรายละเอียดให้คุณอัคระรับเหตุรับผลได้ ก็จะไม่ใช่แค่รู้ผลเสี่ยงทายธรรมดา แต่เป็นการเข้าใจว่าถ้าจะแพ้ แพ้เพราะอะไร และถ้าจะชนะ ชนะด้วยท่าไหน"

"เอาล่ะ ผมเข้าใจแล้ว"

อัคระรับเหรียญสิบของมะแมมาโดยดี เขามีวิธีปั่นเหรียญตามแบบฉบับของตนเอง คือคีบเหรียญไว้ระหว่างปลายนิ้วชี้กับนิ้วกลาง แล้วใช้สองนิ้วนั้นดีดเหรียญให้ลอยขึ้นปั่นตัวในอากาศสูงเกือบถึงเพดาน เพื่อให้มันตกลงบนพื้นห้อง ไม่รับด้วยแขนหรือหลังมือ เป็นการไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผลลัพธ์ในทางใดๆ

แต่เหรียญเจ้ากรรมดันเอาสันหล่นลงมากระทบพื้น แล้วแทนที่จะคว่ำหงาย กลับเด้งดึ๋งแล้ว กลิ้งหลุนๆ วิ่งยาวลอดใต้โต๊ะ เฉียดผ่านล้อเก้าอี้ทำงานของมะแม แล่นเลยไปเสียบระหว่างกลางซอกแฟ้มกระดาษสองกอง ซึ่งหล่อนเพิ่งเอามาตั้งชั่วคราวเมื่อวานนี้เอง

อุ้ย! เอาล่ะสิ แล้วจะให้ทายยังไง มะแมเกือบยกมือเกาหัว ทว่ายั้งไว้ทัน เมื่อนึกได้ว่านั่นเป็นการแสดงความบ้อท่าโจ่งแจ้งไปหน่อย

อัคระยืนขึ้นชะโงกหน้ามองผล ซึ่งพอเห็นเข้าก็ย่นคิ้ว

"มันแปลว่าอะไรครับ?"

มะแมรีบคำอธิบายทันที

"ค่อนข้างชัดค่ะว่าไม่มีวิธีใดๆจะรู้ ขนาดขอให้พลังธรรมชาติช่วยตัดสิน เขาก็ไม่ช่วย"

ขณะนั้น เสียงตู๊ดจากอินเตอร์คอมดังขึ้นเป็นสัญญาณที่ส่งมาจากหยิมเพื่อบอกว่าลูกค้ารอบต่อไปมารอแล้ว และเกินเวลารอบเดิมแล้ว มะแมโล่งอกเหมือนได้ระฆังช่วย

"คุณอัคระคะ..."

หญิงสาวรวบรัดตัดความด้วยท่าทีนิ่งขึ้น

"งานของคุณจะเกี่ยวกับอะไรมะแมไม่รู้ รู้แต่ว่าคู่แข่งมีในสิ่งที่คุณมี หรือเผลอๆก็เป็นในสิ่งที่คุณเป็น ผลลัพธ์ข้างหน้ายังไม่อาจตัดสินด้วยปัจจัยของวันนี้ คำแนะนำของมะแมคือ คุณอัคระต้องเพิ่มปัจจัยบางอย่างเข้าไปให้เหนือกว่าปัจจัยทางฝั่งโน้น"

"ปัจจัยอะไรพอบอกได้ไหมครับ?"

"ลูกค้ารอบต่อไปมารอแล้ว เอาอย่างนี้นะคะ..."

ทำทีชั่งใจทั้งที่ตกลงใจไปแล้ว

"คุณอัคระ ทิ้งเบอร์ไว้ให้เด็กของมะแมแล้วใช่ไหมตอนนัด?"

"ครับ! ผมให้น้องเขาไว้แล้ว"

"เนื่องจากเรื่องของคุณค่อนข้างเห็นได้ยาก และมะแมก็อยากได้ไว้เป็นกรณีศึกษา เพราะฉะนั้น มะแมจะช่วยทบทวนให้อีกที แล้วโทร.ไปบอกเมื่อรู้คำตอบ"

"ถ้าได้อย่างนั้นก็ดีเลยครับ ขอบคุณมาก"

"ไม่เป็นไรค่ะ แต่บอกไว้ก่อนว่ามะแมไม่รับรองผล ถ้าไม่รู้ก็จะบอกว่าไม่รู้นะคะ"

"ผมพอเข้าใจ"

ยิ้มละไมลา พิมพ์ตาเหลือบรรยาย อัคระกลับหลังหันเดินจากไปราวกับภาพในจินตนาการอันงดงาม

นิลเนตรทอประกายเจิดจรัส มะแมกระแทกตัวกลับลงนั่งอย่างคนใจเต้นแรง แค่ไม่แกล้งหลอกตัวเองก็รู้ว่าหล่อนอยากกรี๊ด เป็นครั้งแรกในชีวิตกระมัง ที่หล่อนคือผู้หญิงธรรมดาที่กรี๊ดหนุ่มเซ็กซี่เป็น!

__________________________________________________________________________________
บทที่ ๙

นับจากลูกค้าคิวที่สองจนคิวสุดท้ายก่อนเที่ยงผ่านไปโดยดี เหมือนมีพลังปีติช่วยส่งเสริมการรับรู้ให้คมชัด แม่นยำ และพูดแนะนำได้ไหลรื่นเป็นธรรมชาติ พอว่างงาน ถึงเวลารับประทานอาหารกลางวัน มะแมก็ปล่อยจิตปล่อยใจ นึกถึงอัคระ ใบหน้ากับกระแสตาของเขาทรงอิทธิพล ยามจดจ้องมาที่หล่อนคล้ายคมธนูที่ชำแรกเข้ามาปักกลางใจแล้วถอนยาก เพราะทรงพลังประทับหนักแน่นยิ่งคล้ายบัดนี้ตัวจริงของเขายังอยู่ใกล้แค่เอื้อมนี่เอง

คิดเล่นๆ ถ้าอัคระโทร.มาชวนไปดูหนังเดี๋ยวนี้ หล่อนจะตอบตกลงไปกับเขาทันที ไม่เล่นตัวใดๆทั้งสิ้น!

ทอดตามองออกนอกหน้าต่างไปไกล ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหยิมถือถาดอาหารกลางวันเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด กระทั่งฝ่ายนั้นเอ่ยลอยๆ

"เหมือนเจ้าชายเลยนะคะ"

มะแมถึงกับใจหายวาบ สะบัดหน้าขวับมาหาต้นเสียง พอเห็นหยิมยืนยิ้มหน้าทะเล้นก็นึกฉิว

"เล่นอะไร ตกใจหมด"

ทำเสียงขุ่นดุๆในเชิงกล่าวโทษว่าอีกฝ่ายแกล้งย่องมาเงียบๆไม่ให้เสียง หยิมหัวเราะคิกคักอย่างรู้ทันว่านั่นเป็นปฏิกิริยากลบเกลื่อนร่องรอยเคลิ้มฝันของนายสาว

"ขอโทษค่ะ หยิมเดินเข้ามาเอาข้าวปลาไปวาง นึกว่าพี่มะแมเห็นหยิมแล้วเสียอีก"

แล้วก็ยื่นสิ่งที่ติดมือมาให้

"จดหมายค่ะ!"

มะแมเหลือบมองจดหมายในมืออีกฝ่ายอย่างตื่นเต้นนิดหนึ่ง คาดหวังเล็กๆว่าวันนี้ "เทวดา" อาจบอกหรืออาจสอนอะไรเกี่ยวกับความรักบ้าง

"ขอบใจนะ"

รับมาและฉีกซองทันที

"วันนี้มีพัสดุด้วยค่ะ"

หยิมบอกพลางบุ้ยปากไปทางโต๊ะรับแขก มะแมพยักหน้าหน่อยๆอย่างไม่ค่อยสนใจนัก พอหยิมหันหลังเดินจากไป ก็ก้มลงอ่านจดหมาย

ระวังเสียงที่ไม่รู้จักให้ดี เบื้องหลังหวังอะไรแค่ไหนก็ไม่รู้

คำเตือนอีกแล้ว! ไม่อยากรับรู้เลยว่าเดี๋ยวอาจมีเรื่องอีก ไม่อยากต้องกริ่งเกรงไปล่วงหน้า ทำไม "ท่าน" ไม่ส่งคำทำนายดีๆเช่นเรื่องเกี่ยวกับความรักมาให้บ้าง?

ไม่น่าอ่านให้หนักใจก่อนกินข้าวเลย มะแมเรียนรู้แล้วว่า "จดหมายจากเทวดา" ไม่มีคำว่าพลาด ไม่มีการพูดเล่น แล้วก็ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ให้สืบหาต้นแหล่งอย่างเสมอต้นเสมอปลาย แม้ตราประทับก็เปลี่ยนที่ทำการไปรษณีย์ไปเรื่อยๆ

แต่จดหมายอาจเข้าถึงตัวหล่อนได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน!

เมื่อค่อยๆเรียนรู้ ก็ค่อยๆเลิกถาม เลิกสงสัย เลิกคิดวิธีสืบหาไปด้วยเช่นกัน มีใครคนหนึ่งบนโลก ที่เห็นวันพรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรืออาจจะตลอดชีวิตที่เหลือของหล่อน และก็มาช่วย ไม่ใช่จะมาเอาอะไรจากหล่อนทั้งสิ้น ไม่มีการโฆษณาตัวเอง ไม่มีการทวงบุญคุณ และไม่แม้แต่ประกาศเจตนาว่าหวังอะไร

แล้วจะแปลกอะไรถ้าหล่อนแค่รับความช่วยเหลือจากท่านไปวันๆ?

ระหว่างรับประทานมื้อเที่ยง มะแมเอาโน้ตบุ๊กมาค้นหาชื่อและนามสกุลของอัคระจากอินเตอร์เน็ต แต่ค้นไปค้นมาชักงง บุคลิกออกจะเหมือนคนสำคัญ คุมบริษัทที่มีพนักงานเรือนพันขนาดนี้ ไฉนจึงไม่มีเรื่องราวหรือรูปภาพของเขาให้เจอเลยแม้แต่ลิงก์เดียว?

เมื่อความวาบหวามค่อยๆแปรเป็นความสงสัย มะแมก็นำจดหมายฉบับเมื่อวานมาอ่านซ้ำอีกรอบแบบพินิจพิจารณาละเอียดเป็นคำๆ

ถ้าจะมีความรัก ระวังการหลงสิ่งล่อตา ภายนอกให้ดี ข้างในอาจจะไม่ใช่อย่างที่เห็น

หญิงสาวเอนหลังพิงพนัก นาทีนี้ชักระแวงขึ้นมารำไร อัคระอยากรู้เรื่อง "งานใหญ่" ตกลงมันคืองานอะไรกันแน่ แล้วเหตุใดในยุคที่คนกวาดถนนยังมีสิทธิ์ปรากฏชื่ออยู่บนอินเตอร์เน็ต จึงไร้ร่องรอยของ อัคระ เมธานฤบาล แม้แต่น้อย?

เขาอยู่เบื้องหลังธุรกิจหมื่นล้านแบบไม่ออกหน้า ไม่ออกชื่อ หรือว่าเขาเป็นคนมีเบื้องหน้า เบื้องหลัง เปลี่ยนชื่อแซ่ แล้วทำหน้าตายบอกว่าพ่อตั้งให้?

นอกจากความรู้สึกต่ออัคระจะเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือ มุมมองต่อจดหมายลึกลับยังต่างไปอีกด้วย เพราะบางฉบับแฝงนัยคลุมเครือให้ขบคิดได้หลายแง่เหลือเกิน

ชักทรมานใจขึ้นมาอีกรอบ มีใครคนหนึ่งรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับหล่อนหมด แต่บอกแนะทีละนิด จะขยักที่เหลือไว้ทำไมก็ไม่ทราบ ในเมื่อรู้หมดทำไมไม่บอกให้หมด?

ความเป็นคนมีสัมผัสทางจิต กับทั้งเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้คนจำนวนมาก ทำให้มะแมสำคัญว่ารู้จักเหตุผลของชีวิตดีหมดแล้ว แต่พอมาเจอ อะไรแบบนี้เข้า ก็ถึงกับเสียศูนย์ ย้อนกลับไปสู่ความรู้สึกขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ที่เห็นว่าตนเองไม่รู้อะไรเลย เป็นคนเดินดินที่เต็มไปด้วยข้อจำกัด เพดานความสามารถสุดจะเตี้ย เมื่อเทียบกับความสูงของท้องฟ้าและความไพศาลของมหาจักรวาล

อยากมีโอกาสสื่อสารสองทาง ไม่ใช่รับสารทางเดียวแบบนี้ แต่จะให้ทำพิธีจุดธูปกราบไหว้วิงวอนท่าไหน "ท่าน" ถึงจะรับคำาขอจากหล่อน?

เสร็จจากมื้อเที่ยง เรียกหยิมมาเก็บของ ตนเองเข้าห้องน้ำแปรงฟัน แต่ขณะแปรงก็ได้ยินหยิมส่งเสียงบอก

"อย่าลืมพัสดุนะคะพี่มะแม เห็นประทับตราว่า 'ด่วนมาก' ด้วย"

หญิงสาวส่งเสียงอือออ ความที่ไม่ใส่ใจ ทำให้คิดว่าเป็นของส่งมาโฆษณาหรืออะไรเทือกนั้น แต่พอได้ยินหยิมพูดว่า "ด่วนมาก" ใจหล่อน ก็แวบไปสัมผัสถึงบางสิ่ง จะอุปาทานหรืออย่างไรไม่ทราบ บางสิ่งนั้นแปลได้ความว่า "สำคัญมาก!" หรือ "สำคัญที่สุด!"

ชักเหนื่อยใจและชินชากับเรื่องสำคัญขั้นคอขาดบาดตาย แต่จะกลัวอะไร มั่นใจว่าสิ่งที่ทำมาตลอดคือการเปลี่ยนโลกนี้ให้ดีขึ้น ถ้าถึงเวลาจะต้องเปลี่ยนแม้เลือดเนื้อและชีวิต ก็ควรจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้นเช่นกันมิใช่หรือ?

ออกจากห้องน้ำมายืนเท้าเอวดูกล่องขนาดเท่าฝ่ามือ มันเป็นพัสดุที่ถูกส่งแบบ EMS ป้ายจ่าหน้าชื่อที่อยู่ทั้งหมดเป็นตัวพิมพ์จากพรินเตอร์ ไม่มีลายมืออยู่เลย

ค่อยๆแกะห่อกระดาษแบบไม่อยากรู้อยากเห็นของข้างในเท่าใดนัก

ปรากฏว่าเป็นกล่องสองชั้น ยกแยกออกจากกันแล้วพบว่าเป็นโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งวางติดแท่นกำมะหยี่ สีเงินวาววาม วัสดุที่ใช้ทำตัวเครื่องเป็นไทเทเนียม หน้าจอแสดงผลขนาด ๒.๔ นิ้ว แต่ออกแบบไว้พิกล เพราะแกะจากแท่นมาพลิกดูทั้งเครื่องก็เห็นปุ่มกดแค่สองปุ่ม ปุ่มหนึ่งเอาไว้เปิดปิดการใช้งานที่สันด้านบนของเครื่อง ส่วนอีกปุ่มเป็นสี่เหลี่ยมขนาดพอดีปลายนิ้ว ทำด้วยทองคำ วางไว้ใต้จอ นอกนั้นไม่มีอะไรให้กดอีก แม้หน้าจอก็ไม่ใช่แบบสัมผัสสั่งงานด้วย

จากวัสดุที่ใช้สร้างโทรศัพท์ ทำให้คำผุดขึ้น ทันทีในหัว คือ ของขวัญล้ำค่าน่าตื่นตาตื่นใจ แต่จากรายละเอียดความเป็นอุปกรณ์ใช้งาน แปลได้สถานเดียวคือเจ้าของโทรศัพท์ส่งมาให้รับสายโดยตรง อย่าว่าแต่ให้กดโทร.ออก หล่อนไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะกดวาง!

ยังคงรู้สึกเฉยๆ เนือยๆ พักนี้มีใครบางคนหรือหลายคนเห็นหล่อนเป็นอะไรก็ไม่ทราบ ให้สิทธิ์พิเศษแบบจำกัดจำเขี่ยตามแต่จะโปรด โดยหล่อนไม่มีทางเรียกร้องอะไรเพิ่มเติมได้เลย

กดปุ่มที่สันโทรศัพท์ค้างไว้ ๓ วินาที หน้าจอก็สว่างเรืองขึ้น ตามมาตรฐานการเปิดเครื่องมือถือทั่วไป จอนั้นบอกหล่อนว่า "กรุณารอ..." มะแมก็รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นเป็นอันดับต่อไป

พอคำว่า "กรุณารอ..." หายไป หน้าจอก็ปรากฏข้อความ "เชื่อมสัญญาณติด" แล้วอีกสองวินาทีถัดมาก็ปรากฏข้อความขึ้นเต็มจอแบบเดียวกับ SMS ทั่วไป

ยินดีต้อนรับคุณมะแม โทรศัพท์เครื่องนี้เป็นสิทธิ์เฉพาะของคุณเพียงคนเดียว กรุณาพกติดตัวไว้ตลอดเวลา เพื่อประโยชน์ของคุณเอง

มะแมหรี่ตาเล็งแลวัตถุในมืออย่างจะหยั่งเจตนาของผู้ให้ สัมผัสแต่ว่านี่คืออุปกรณ์ไฮเทคที่ทำได้มากกว่าพูดคุยธรรมดา ไม่รู้เท่านั้นว่าทำอะไรได้พิสดารปานไหน จู่ๆจะให้ยอมพกติดตัวไปทุกหนทุกแห่ง ก็คงเหมือนเด็กโลภที่ถูกหลอกให้กินขนมใส่ยานอนหลับหรือกระทั่งผสมยาพิษ มันจะง่ายไปหน่อยกระมัง

พินิจไปพินิจมาก็ต้องผงะ เมื่อเสียงกริ๊งยาวแบบโทรศัพท์โบราณรุ่นสงครามโลกดังขึ้นพร้อมระบบสั่น หน้าจอปรากฏข้อความ

"กรุณารับสาย!"

มะแมลังเลแบบหวาดๆอยู่หลายกริ๊ง กว่าจะยอมกดปุ่มรับ เอียงคอยกเครื่องแนบหู

"สวัสดีค่ะ"

ปลายเสียงของมะแมสั่นพลิ้ว รอฟังเสียงจากฝ่ายเรียกด้วยจังหวะระทึกของหัวใจ

"สวัสดี"

เป็นเสียงผู้ชาย นุ่มนวล อบอุ่น ฟังแล้วสบายใจทันที แต่มะแมก็ยังไม่อยากรีบสบายใจเร็วนัก

"ต้องการอะไรจากมะแมคะ?"

"ต้องการให้เธอระวังตัวไว้บ้าง ช่วงนี้ได้รับจดหมายสนเท่ห์ ทำนายทายทักไปต่างๆนานาใช่ไหม?"

หญิงสาวค่อยๆหมุนคอเบนหน้าไปอีกทางนัยน์ตาส่องแววฉงนเป็นล้นพ้น

"ทำไมมะแมต้องระวัง?"

"ไม่คิดบ้างหรือว่าเขามาช่วยเธอทำไม?

ช่วยแบบไม่เปิดโอกาสให้ถาม ไม่เปิดโอกาสให้ติดต่อกลับ ทำตัวเป็นเทวดา บีบให้เธอยอมก้มหน้าเชื่อฟังทุกอย่าง"

มะแมอึ้งงงไปหมดจนพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ฟังเสียงลึกลับตะล่อมต่อ

"คิดดูนะ พอเธอปักใจเชื่อว่าเขาพูดถูกหมดรู้ดีหมด เห็นอนาคตหมด วันดีคืนดี มีจดหมายบงการให้ออกไปทำเรื่องผิดๆ เธอจะมีสิทธิ์รู้ไหม มีโอกาสทัดทานไหม? ไม่เลย! เธอจะก้มหน้าก้มตาทำตามคำสั่งท่าเดียว โดยคิดว่าเป็นสิ่งถูกต้องที่สุดแล้ว ถ้าขัดขืนจะต้องเสียใจในภายหลัง"

หญิงสาวฝืดคอจนแม้อยากกลืนน้ำลายก็กลืนไม่ลง นี่หล่อนกำาลังฝันไปหรือเปล่า?

"เธอไม่ได้ฝันไปหรอก!"

เขาพูดเหมือนตอบคำถามธรรมดา แต่เหมือนฟ้าผ่าสำหรับมะแม ตระหนักด้วยความตระหนกจนสันหลังเย็นยะเยือก เขารู้ความคิดที่อยู่ในหัวของหล่อนสิ้นไส้จากการคุยโทรศัพท์!

"แล้วคุณเป็นใครคะ ทำไมมะแมต้องเชื่อคุณ? มะแมควรคิดว่าคุณเป็น... พวกเดียวกันหรือคนเดียวกันกับ... เจ้าของจดหมายที่ส่งมาหามะแมด้วยซ้ำ"

"ไม่ใช่หรอกน่า" เขาหัวเราะเอื่อยเฉื่อย

"ถ้ารู้จักคนๆนั้นดีพอ เธอจะรู้ว่าไม่ใช่เทวดาอย่างที่คิด มันก็แค่หัวขโมย ชอบลอกการบ้านคนอื่นเท่านั้น!"

จะให้พรั่นพรึงอภิญญาน่าอัศจรรย์ของบุรุษลึกลับทางโทรศัพท์เพียงใด อย่างไรมะแมก็ยังเคารพ "เทวดา" ของหล่อนอยู่ และนั่นก็มีผลให้รู้สึกไม่สบอารมณ์นัก ที่ "เขา" หาว่า "ท่าน" ของหล่อนเป็นหัวขโมย

"ช่วยขยายความหน่อยได้ไหมคะ มะแมจะได้ทราบว่าทำไมใครถึงควรถูกลบหลู่"

จงใจทำเสียงแข็ง เพื่อให้ "เขา" รู้ว่าไม่ควรล่วงเกินบุคคลที่หล่อนนับถือ สิ่งที่ได้ยินตอบกลับมาคือเสียงหัวเราะขำยาว ซึ่งก็น่าจะขำในท่าทีปกป้อง "เทวดา" ของหล่อนนั่นเอง

ขำเสร็จเขาก็พูดตัดบทแบบเสียไม่ได้

"ตอนนี้ฉันยุ่ง มีเวลาไม่มาก แต่อยากบอกสั้นๆว่าเธอต้องขอบคุณฉัน ไม่ใช่หมอนั่น" แล้วก็ปรับวิธีพูดเสียใหม่ เหมือนเจ้านายที่เตือนลูกน้องอย่างปรานี

"ลูกค้าคิวต่อไปของเธอกำลังจะตายภายในเย็นนี้ ให้อะไรกับเขาไว้เป็นที่พึ่ง เป็นเสบียงสุดท้ายได้ ก็รีบให้ไว้ซะ อย่ามัวแต่บอกวิธีเก็บหินเก็บกรวดกับคนที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังจะต้องเดินทางไกล"

มะแมเงียบฟัง เสียงแบบนายใหญ่นั้นบอกในตัวเอง เขารู้ว่าเขากำลังพูดอะไร

"แล้วก็ลูกค้าคิวบ่ายสามโมงครึ่งน่ะ มันบ้ามันควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ อย่าคุยกับมันบนห้อง ให้ลงมาคุยนอกบ้าน ไม่งั้นมันจะปล้ำเธอ!"

จบคำแค่นั้นก็มีเสียงตู๊ดสองหน มะแมเหยียดแขนจ้องดูหน้าจอแสดงผลในมือถือ ก็พบข้อความ "ตัดสัญญาณแล้ว"

หญิงสาวเดินมานอนกุมขมับ ใครไม่รู้ อยู่ๆมาเรียกตัวเองว่า "ฉัน" แทนตัวหล่อนว่า "เธอ" แล้วก็สั่งๆๆ คล้ายทำกับทุกคนบนโลกแบบเดียวกันมานานจนชิน

หล่อนเดินมาตามเส้นทางชีวิตดีๆ จู่ๆล่วงเข้าเขตไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถ้าเลือกที่จะ "รับข้อความ" ทางจดหมายและโทรศัพท์ลึกลับทุกวันอย่างนี้

ได้เวลาบ่ายโมงตรง หยิมส่งสัญญาณทางอินเตอร์คอมเป็นความหมายว่าลูกค้าคิวบ่ายหนึ่งกำลังจะเข้าไป ซึ่งมะแมก็กดปุ่มเป็นสัญญาณตอบว่าพร้อม

ชายคนหนึ่งเดินเก้ๆกังๆเข้ามา มะแมลุกขึ้นพนมมือไหว้

"คุณรัฐกรใช่ไหมคะ?"

"ครับ"

หญิงสาวผายมือเชื้อเชิญเขานั่งฝั่งตรงข้ามโต๊ะ รัฐกรเป็นหนุ่มแว่นเหลี่ยม หน้าเหลี่ยม ตัวเหลี่ยม มีพุงนิดหน่อย ท่าทางอารมณ์ดี ยิ้มง่ายตลอด แต่จากการฝึกจำแนกจิตคนมานาน มะแม บอกได้ว่าในความยิ้มง่ายนี้ เหมือนพร้อมจะร้องไห้ออกมาเมื่อไรก็ได้ด้วยเช่นกัน

ท่าทีเลิ่กลั่กฟ้องว่ารัฐกรตื่นเต้นกับการมานั่งอยู่ตรงหน้าหล่อนพอสมควร บางทีมะแมก็เกิดอัตตาจากการเห็นตัวเองมีอิทธิพลกับจิตใจของลูกค้า หลายคนได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับหล่อนจนตัวสั่นเมื่อมานั่งตรงหน้า พวกเขาและเธอตั้งความคาดหวังไว้สูง บางทีถึงขั้นเห็นหล่อนเป็นผู้วิเศษ หรือผู้ที่จะเสกชีวิตใหม่ให้

แต่เมื่อเจอ "ผู้วิเศษ" ตัวจริง มะแมถึงกับจ๋อยลงสนิท เพราะเมื่อเปรียบเทียบแล้ว หล่อนก็แค่ผู้วิเศษกระจอกๆที่หาได้ไม่ยากนัก หาใช่ผู้วิเศษระดับพลิกฟ้าพลิกดิน สมควรได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์แต่อย่างใดไม่

"ผมติดตามคุณมะแมมาตั้งแต่ข่าวแผ่นดินไหว"

รัฐกรเริ่มเปิดฉาก

"ตัวจริงสวยกว่าในรูปเยอะเลย"

ชายหนุ่มชมซื่อๆแบบไม่ได้ส่อไปในทางหลี แต่มะแมก็รีบตัดเข้าประเด็นทันที

"คุณรัฐกรสนใจคุยกับมะแมเรื่องไหนคะ?"

"อ้อ! เอ่อ... คุณมะแมครับ ผมกำาลังลงทุนเปิดร้านของตัวเองอยู่ เอ่อ... บอกตรงๆนะครับว่าไม่ค่อยมั่นใจนัก เอ่อ... แต่ผมก็ลาออกจากงานแล้วล่ะ ผมจองคิวมาพบคุณมะแมตั้งแต่สองเดือนก่อน ตอนนั้นยังไม่ได้ลาออก อ้อ! ร้านผมก็ใช้ได้นะ อยากรู้ว่าจะรวยไหม? เสียวๆเหมือนกัน"

สัมผัสแรกที่รับรู้ คือรัฐกรเป็นผู้ชายซื่อๆ มองโลกในแง่ดี ไม่ค่อยโลภ ไม่ค่อยฉลาดค้าขาย แล้วก็ไม่ค่อยจะทันคน คุณสมบัติเช่นนั้นเมื่อกระทบใจมะแม ก็แปรเป็นภาพนิมิตตามทิศทางคำถามของเขาทันที กำไรพอใช้ แต่จะโดนโกงแล้วญาติสนิทมิตรสหายก็มาตอมขอแบ่งกิน คำว่า "รวย" ในความหมายเหลือกินเหลือใช้สบายไปทั้งชาตินั้น คงยาก

แต่หล่อนสนใจนิมิตที่ผุดแทรกขึ้นมาระหว่างเห็นรัฐกรโดนเอารัดเอาเปรียบ เหมือนชีวิตเขามีปลิงดูดเลือดเกาะติดมาแต่ไหนแต่ไร มะแมรู้สึกเหมือนเป็นอะไรที่สกปรกและต่ำ จึงอยากออกหวยตรงนั้นก่อน

"ชีวิตของคุณรัฐกรจะไปไม่ถึงไหนเสียที ถ้าตัดใจจากผู้หญิงหากินคนนั้นไม่ได้"

มะแมเลือกใช้เสียงเป็นงานเป็นการราวกับการประชุมธุรกิจ ที่หล่อนถึงเวลาแจกแจงข้อผิดพลาด และเร่งเสนอเพื่อพิจารณาแก้ไขด่วน

"เอ๋อ?"

รัฐกรชะงัก หุบยิ้มแบบไม่คาดฝัน เพราะถามอย่างตอบอย่างไม่พอ มะแมยังปักฉึกลงตรงขั้วหัวใจอีกด้วย!

"คนใจดี ยอมให้ใครต่อใครเอารัดเอาเปรียบอย่างคุณรัฐกรนั้น ข้อดีคือมีชีวิตที่น่าสบายใจ แต่ข้อเสียคือจะต้องช้ำใจสลับกันไปไม่เลิก"

ชายหนุ่มกระเดือกน้ำลายแทบไม่ลง จ้องหญิงสาวตรงหน้าราวกับฟังแพทย์วินิจฉัยว่าเขาเป็นมะเร็ง

มะแมไม่เว้นวรรค ร่ายต่อเนื่องเมื่อไม่เห็นเขาโต้แย้ง

"คนบางคนน่าสงสาร แต่เมื่อช่วยแล้วก็ควรจะเลิกสงสาร ไม่อย่างนั้นเขาอาจเปลี่ยนไปเป็นอีกคนที่ไม่น่าสงสาร และถึงเวลานั้นคุณกลับจะต้องเป็นฝ่ายสงสารตัวเอง"

รัฐกรซึมลง สายตาหลบต่ำลงมองพื้นโต๊ะไม่ปฏิเสธสักคำ

"ความรู้ความสามารถของคุณรัฐกรนั้นดี คนรู้จักฝีมือเยอะ ที่สำคัญคือพวกเขาไว้เนื้อเชื่อใจ เชื่อมั่นว่าคุณรัฐกรบริการเต็มที่ เสมอต้นเสมอปลายทั้งก่อนขายและหลังขาย แต่พวกที่รู้จุดอ่อนของคุณรัฐกรก็มาก คนพวกนั้นไม่สนใจความดี แล้วเขาก็ไม่ละอายถ้าจะต้องโกงคนดีหรือกระทั่งลากคนดีมาเป็นแพะบูชายัญ คำแนะนำแรกจากมะแม คือ อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน!"

"ถึงแม้จะเป็นคนที่เรารักใช่ไหม?"

"ชีวิตของหลายคนไม่ได้อับปางเพราะคนที่ประกาศว่าเป็นศัตรู แต่ด้วยน้ำมือคนที่เคยย้ำแล้วย้ำอีกว่ารักเรา จะยืนอยู่ข้างเราตลอดไป"

โดยไม่คาดฝัน รัฐกรคว่ำหน้าลงร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างไม่อาย มะแมอึ้งไป จิตของหล่อนเลือกถ้อยคำโดยบางทีไม่ทราบรายละเอียดข้อเท็จจริงใดๆด้วยซ้ำ เดาว่าคำสุดท้ายคงกระทบใจเขาอย่างรุนแรง

มองอย่างสงสาร รู้สึกว่าเขาคือผู้ชายดีๆคนหนึ่ง แต่โลกนี้ก็ช่างเต็มไปด้วยผู้หญิงเลวๆที่พร้อมจะเห็นความดีเป็นเรื่องของควายตัวผู้...

มะแมผลักกล่องทิชชูไปให้ หล่อนเตรียมเผื่อไว้หลายกล่องเนื่องจากต้องใช้บ่อย ไม่นึกว่าจะเข้าแจ็คพอตตั้งแต่ดอกแรก แต่นั่นทำให้ง่ายขึ้น เพราะอาศัยความสะเทือนจากกายและจิตของรัฐกรขณะนั้น นิมิตสว่างพราวก็ตามมาเป็นพรวน

"ตัดใจปล่อยเธอคนนั้นไปเถอะ เธอไม่ได้น่าสงสารอย่างที่ทำท่าทำทางปวกเปียกให้คุณดู พอลับหลังก็แปลงร่างเป็นนางแมวที่กระโจนพล่านไปหาคนโน้นคนนี้ ขนาดคุณเคยจับพิรุธได้จากร่องรอยบางอย่าง ยังทำเป็นหรี่ตาข้างหนึ่งหรือไม่ก็แกล้งปิดมันทั้งสองข้างเสียอย่างนั้น ใช่ไหม?"

เชื่อสัมผัสของตนเองว่า นี่เป็นน็อตตัวแรกที่ควรคลายเกลียวออกจากใจเขา และเมื่อพูดเสร็จนิมิตใหม่ก็ผุดขึ้นรองรับ

"จิตใจคุณห่วงแต่เธอ จนต้องทะเลาะกับพ่อแม่พี่น้อง ไม่เข้าใจกัน มองหน้ากับบางคนไม่ติด ยากจะอภัยในระหว่างครอบครัวก็เพราะเธอ แถมคุณอุตส่าห์ยอมเหนื่อย ยอมเสี่ยงหมดตัว ลงทุนทำธุรกิจเอง ก็เพราะทนเธอตื๊อขอบ้าน ขอรถ ขอไปเที่ยวแพงๆไม่ได้ ขืนเป็นลูกจ้างแบบเดิมก็คงสนองความอยากของเธอไม่ไหว ทุกวันนี้ก็ใช้จ่ายแบบเกือบชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่แล้ว"

"ผมทิ้งเธอไม่ได้..."

สุ้มเสียงอ่อนแอนั้น ทำให้มะแมชะงักชั่วครู่ ทาสรักตรงหน้าดูซมซานเหมือนอยากได้คำปลอบประโลมดีๆ แต่หล่อนกำลังเครื่องร้อน แล้วก็เห็นว่าปล่อยไว้ไม่ได้ จึงเดินหน้าตอกหัวหมุดย้ำลงไปอีก

"มะแมรู้ คุณสงสารเธอ เห็นเธอเป็นลูกแมวหลงทางที่พร้อมจะอดตายอยู่ข้างถนน คุณเห็นเป็นภาระของตัวเองที่ต้องเก็บมาประคบประหงม แต่ความจริงคือคุณไม่เคยรู้เลยว่าลูกแมวตัวนั้น มันแมวป่า เต็มไปด้วยคมเขี้ยว แล้วก็แอบฝังเขี้ยวไว้ตอนคุณเผลอหลับหลายแผลแล้ว ตื่นขึ้นมาก็จับไม่ได้ไล่ไม่ทันเสียด้วยว่าแผลมาจากไหน"

หญิงสาวหยุดดูท่าที เตรียมไว้ล่วงหน้าว่า ถ้าเขาสบตาแสดงความโกรธ หล่อนจะต้องพูดเช่นใด แต่รัฐกรก็ยังคงก้มหน้าก้มตา อาการสะอื้นขาดหายไปกลายเป็นก้มหน้านิ่งรับฟังฝ่ายเดียว

"คุณไม่จำเป็นต้องทิ้งเธอ มะแมก็ไม่ใช่คนใจร้าย แต่อยากบอกว่าเพื่อที่จะไม่ใจร้ายกับผู้หญิงคนเดียว คุณก็อย่าเผลอใจร้ายกับพ่อแม่พี่น้องอีกเลย หันกลับไปพูดคุยกับพวกเขาบ้างเถอะ จะโดนเหน็บ โดนตอกหน้าอย่างไร ก็ขอให้ถือว่านั่นคือความน้อยใจที่อัดอั้นมานานของคนในบ้าน ไม่ใช่การกระโดดขึ้นขี่คอเพราะเห็นโอกาสสบช่องอย่างคนนอกบ้าน!"

มะแมพูดนิ่ม แต่เลือกคำบาดโสต เพื่อลองชกจังๆว่าเขาพร้อมจะรับฟังประโยคแรงกว่านั้นได้ไหม เมื่อเห็นปฏิกิริยาทางใจของรัฐกรยังเป็นซึมเฉื่อยอยู่เหมือนเดิม ก็รุกฆาตทันที

"เป็นโรคหัวใจใช่ไหม? คุณจะอยู่ได้อีกไม่นานนะ"

รัฐกรสะดุ้งเฮือก ลืมตาโพลง เงยหน้าขึ้นจ้องมะแมและร้อง

"ฮ้า?"

"อายุคุณยังน้อย แต่เมื่อกี๊มะแมสัมผัสสภาพร่างกายของคุณไปด้วย รู้สึกถึงความอ่อนแอและเปราะบางกลางอก เลยเดาว่าคุณเป็นพวกหัวใจผิดปกติมาตั้งแต่เด็กๆ น่าจะประมาณลิ้นหัวใจรั่วหรืออะไรเทือกนั้น แม้เคยผ่าตัดแล้วก็ยังไม่ปกติสมบูรณ์"

ชายหนุ่มหน้าซีด เขาแค่ไม่เคยได้ยินหมอคนไหนบอกว่ากำลังจะไปเร็วๆนี้ มีแต่บอกว่า รักษาตัวดีๆ อนามัยมากๆ ก็อยู่ไปเรื่อยๆทั้งนั้น

"แล้วผมจะไปเมื่อไหร่?"

มะแมกะพริบตาถี่ๆ ปกติเมื่อเกิดคำถามกระทบหู ถ้าหล่อนจะรู้ก็รู้เดี๋ยวนั้น อาจมาในรูปของน้ำหนักความรู้สึกใช่ ไม่ใช่ ดี ไม่ดี หรือเป็นนิมิตภาพแสดงแจ่มแจ้งไปเลย

ทว่าวินาทีนั้น ทุกอย่างเงียบเชียบ ไม่สัมผัส ไม่เห็นนิมิต ไม่มีเครื่องหมายใดๆเกิดขึ้นทางจิตแม้แต่น้อย เล็งดูหัวใจของเขาอย่างไร ก็ไม่ปรากฏนิมิตหยุดทำงานด้วยอาการรวนแบบใดในเร็วๆนี้เลย จึงเพิ่งทราบว่าตนขาดความสามารถในการเห็นนิมิตมรณะของผู้คน และเมื่อไม่เห็น หล่อนก็ตอบได้เต็มปากเต็มคำว่า

"ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่คุณรัฐกรย่อมทราบอยู่ด้วยตนเองว่าชีวิตของคุณไม่ควรตั้งอยู่บนความประมาท โจทย์สำคัญของชีวิตจึงควรเป็น 'เอายังไงดี?' ไม่ใช่ 'เมื่อไหร่แน่หนอ?' ถ้าตั้งโจทย์ถูก คุณจะได้สบายใจ ไม่ว่าจะเหลืออีกกี่ปีกี่เดือน หรือ... อีกกี่ชั่วโมง"

"สิ่งที่ผมควรทำก่อนตายมีอะไรบ้าง?"

"เห็นใจคนที่ควรเห็นใจ ขอโทษคนที่ควรขอโทษ คืนดีกับคนที่ควรคืนดี อย่าช่วยคนทั้งน้ำตา อย่ายกทั้งชีวิตให้กับเขา อย่ากระโดดลงไปเป็นห่วงยางให้ใครทั้งที่ตัวเองยังว่ายน้ำไม่แข็งพอ สรุปคือ... หัดยืนช่วยอยู่บนฝั่งให้เป็น ถ้าช่วยคนที่ตกทุกข์ แล้วคุณมีความสุขไม่ได้ ก็ให้ช่วยเหลือตัวเองจนกว่าจะเป็นสุขก่อน ไม่อย่างนั้นก็แปลว่าคุณยังไม่ได้ช่วยใครจริงเลย!"

รัฐกรพยักหน้ารับ

"ผมเข้าใจแล้วครับ มีอะไรแนะเพิ่มเติมไหม?"

มะแมพินิจชายหนุ่มฝั่งตรงข้ามครู่หนึ่ง แล้วเหมือนหมดแรง ใจลอยหายไปเฉยๆ นี่หล่อนกำลังมองร่างมนุษย์ในท่านั่ง ที่กำลังจะกลายเป็นศพในท่านอน ไม่ต่างอะไรกับขอนไม้ภายในเย็นนี้กระนั้นหรือ?

ถ้าไม่รู้ก็แล้วไป แต่พอรู้ขึ้นมา ภาพเคลื่อนไหวตรงหน้าก็ดูแปลกๆ เหมือนฉากหลอกตา เป็นมายาชั่วคราวอย่างไรชอบกล

"ช่วงหลังๆนี้ คุณรัฐกรอาจแวบถามตัวเองบ่อยๆว่า เพื่อแลกกับการได้ผู้หญิงคนนั้นไว้ คุณต้องเสียอะไรไปบ้าง ในแง่ของการสูญเสีย มะแมอยากให้คิดว่า เกิดมาพวกเราไม่เคยมีอะไรจริงอยู่แล้ว ที่เคยเสียมาทั้งหมดมีสองอย่าง คือ 'เสียดาย' กับ 'เสียใจ' เท่านั้นเอง"

รัฐกรนิ่งในแบบสงบและเข้าใจ หลายคำพูดของผู้หญิงตรงหน้าช่วยให้เขาคลายใจ และระงับเสียงทะเลาะกับตัวเองที่มีมาอย่างยืดเยื้อยาวนานลงได้

ที่ปรึกษาพลังจิตให้เวลาที่เหลือไปกับการตอบคำถามแรกของรัฐกร เกี่ยวกับธุรกิจการค้าการขาย ซึ่งเป็นอันครบถ้วนตามหน้าที่ ก่อนทิ้งท้ายเมื่อใกล้บ่ายครึ่ง

"มะแมฝากไว้ข้อหนึ่งเป็นกรณีพิเศษได้ไหมคะ?"

"ครับ! ผมจะตั้งใจฟัง ว่ามาเลย"

"ออกกำลังบ้าง พักผ่อนบ้าง เที่ยวเล่นบ้าง หัวเราะบ้าง ใส่ใจพ่อแม่พี่น้องบ้าง อย่าแลกเอาเงินไร้หัวใจมา ด้วยการทิ้งเวลาในชีวิตไปจนหมด"

รัฐกรหัวเราะเนือยๆอย่างเข้าใจ

"ขอบคุณครับ ช่วงหลังๆผมอาจวุ่นกับร้านเปิดใหม่จนสุขภาพเริ่มแย่โดยไม่รู้ตัว ผมเองก็ไม่อยากแลกเอาสิ่งที่ไม่มีหัวใจมาเก็บไว้เฉยๆเหมือนกัน"

มะแมแทบต้องกัดลิ้นห้ามใจไม่ให้เผยความลับที่อ่อนไหวออกไปทั้งหมด ได้แต่ปิดฉากสนทนาด้วยประโยคคล้ายรำพึงลอยๆ

"มะแมไปโรงพยาบาล เคยเห็นคนกำลังจะตายมาหลายคน พวกเขารู้สึกชัดว่าตัวเองไม่เหลืออะไรเลย นอกจากความทรงจำว่าทำอะไรมาบ้าง"

"นั่นสินะครับ เขาถึงว่าคนเรายิ่งใกล้ตาย ก็ยิ่งเข้าใจชีวิตดีขึ้น... งั้นผมไปก่อนนะครับ หมดเวลาแล้ว"

หญิงสาวใจหาย คำสุดท้ายของรัฐกรยิ่งย้ำให้สัมผัสว่าหล่อนจะไม่ได้เห็นเขาทั้งยังมีลมหายใจอีก

"นี่ครับ"

เขายื่นเงินค่าปรึกษาให้ มะแมสั่นศีรษะ

"ไม่ต้องให้หรอกค่ะ"

ถ้าเขาจะตายจริง หล่อนก็ไม่อยากได้เงินของเขาเลย เงินของคนก่อนตายน่าจะเอาไปทำบุญเป็นที่พึ่งให้ตนเองมากกว่า

"ทำไมล่ะครับ?"

"คุณรัฐกรประทับใจคำปรึกษาของมะแมไหมคะ?"

รัฐกรขมวดคิ้วย่น

"แน่นอนสิครับ ผมได้อะไรเกินกว่าที่ต้องการไปมาก ไม่ทราบจะบอกเป็นความรู้สึกขอบคุณอย่างไรถูกด้วยซ้ำ"

"ถ้ามะแมจะขอความช่วยเหลือจากคุณรัฐกรสักครั้งเป็นค่าตอบแทน จะรังเกียจไหม?"

"ด้วยความยินดี ว่ามาเลย"

"มะแมไม่ได้ทำบุญบ่อยเหมือนเมื่อก่อนเพราะคิวลูกค้าแน่นมาก อยากไหว้วานให้คุณรัฐกรนำเงินค่าปรึกษานี้ ไปทำบุญที่ไหนก็ได้ เป็นปล่อยปลา เลี้ยงเด็กหรือคนชราตามสถานสงเคราะห์ หรือจะเป็นทำสังฆทานอย่างไร ตามแต่ใจของคุณรัฐกร ขออย่างนี้รบกวนเกินไปไหม?"

สายตาของรัฐกรเปลี่ยนจากหมอกมัวแห่งความสงสัยเป็นประกายเข้มจัด ไม่ต้องมีสัมผัสพิเศษก็รู้ว่าเขาตั้งใจจริงแน่

"ครับ! ออกจากที่นี่ ผมจะตรงดิ่งไปทำบุญเท่าที่นึกออกทันที และจะเพิ่มเป็นสามเท่าของค่าปรึกษาด้วย!"

มะแมรู้สึกโล่งไปถึงไหนต่อไหน ปรีดาปราโมทย์กว่าได้ค่าปรึกษาร้อยครั้งรวมกันเสียอีก กระทั่งมีแก่ใจพนมมืออ่อนช้อย

"ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ"

รัฐกรเดินออกไป คิวบ่ายครึ่งก็สวนเข้ามาทันที เป็นคิวง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อนหรือน่าหนักอก ตามด้วยคิวบ่ายสองและบ่ายสองครึ่งเป็นเรื่องผัวๆเมียๆทั้งสองคิว

บ่ายสามตรงเป็นช่วงว่าง ไม่มีนัดใดๆ หาใช่การเบี้ยวหรือเกิดเหตุติดขัดของลูกค้า นานทีปีหนจะมีอย่างนี้สักครั้ง มะแมถือเป็นช่วงผ่อนคลายไม่ต่างจากวันหยุดทีเดียว

นอนเอกเขนกฟังเพลง อดเก็บเรื่องของรัฐกรมาครุ่นคิดไม่ได้ หล่อนทราบจากสัมผัสว่าหัวใจของเขาไม่ดี มีสิทธิ์รวน แต่ส่งความรู้สึกซ้ำเข้าไปกี่รอบก็ไม่เห็นว่ามันจะหยุดทำงานภายในเย็นย่ำหรือค่ำคืนนี้ที่ตรงไหน

แต่ความแม่นยำของจดหมายลึกลับ ก็กลายเป็นเครดิตให้โทรศัพท์ลึกลับไปโดยปริยาย ทั้งคู่มาเหมือนกัน คือปิดบังตัวตนผู้ส่งข้อมูล ให้แต่ข้อมูลโดยไม่เปิดโอกาสให้ซักถามรายละเอียดใดๆ แถมสื่อสารด้วยมาดของคนที่รู้ดีกว่าหล่อนไปทุกเรื่อง ฉะนั้น ผลลัพธ์ของคำทำนายอนาคตระยะใกล้ ก็ไม่น่าจะหนีกันเท่าไร

และเพราะเห็นแนวโน้มเช่นนั้น มะแมจึงตื่นตัวกว่าปกติเมื่อใกล้ถึงคิวบ่ายสามโมงครึ่ง หล่อนตัดสินใจเดินเปิดประตูออกจากห้อง ก้าวจากชั้นสองลงมาชั้นหนึ่ง เข้าสู่ห้องรับแขกซึ่งจัดไว้ต้อนรับลูกค้าที่มารอคิวโดยเฉพาะ

เมื่อเห็นห้องรับแขกว่างเปล่า ก็หันไปถามหยิมซึ่งนั่งคีย์ข้อมูลรับนัดง่วนอยู่กับโต๊ะทำงาน

"คิวบ่ายสามครึ่งยังไม่มาเหรอ?"

"ยังค่ะ" เด็กสาวผมสั้นหันมาตอบ

"อาจจะเพิ่งออกจากบ้าน ให้โทร.ตามไหมคะ?"

"ไม่ต้อง"

แล้วก็ตกลงเลือกสถานที่ตามการแนะนำของโทรศัพท์ลึกลับ

"เดี๋ยวพี่จะไปนั่งรอข้างนอก และคุยกับเขาที่ม้าหินหน้าบ้านเลยก็แล้วกัน พอเขามาหยิมก็ช่วยเอาน้ำออกไปต้อนรับที่นั่นเถอะนะ"

โฮมออฟฟิศของหล่อนเป็นแบบมีพื้นที่ให้เข้ามาจอดรถคันหนึ่ง กับเหลือเศษให้ตั้งโต๊ะหินเล็กๆกับพุ่มไม้โตๆได้หนึ่งกระถาง พอจะมีความร่มรื่นอยู่บ้าง

"เอ๋! ข้างบนมีอะไรผิดปกติหรือคะ?"

"ข้างบนไม่ผิดปกติ แต่คนที่กำลังมาอาจจะผิดปกติ"

"หู! เดี๋ยวนี้พี่มะแมสัมผัสได้ก่อนเห็นตัวหรือ?"

"ยังไม่เก่งขนาดนั้น" มะแมตอบยิ้มๆ

"แบบว่ามีพรายกระซิบน่ะ ขอพิสูจน์ดูหน่อยว่าเชื่อได้แค่ไหน"

หยิมหัวเราะแล้วยิ้มให้แบบขุนพลอยพยักที่ฟังไม่รู้เรื่อง นายว่าอย่างไรก็ต้องว่าตามนายท่าเดียว

๑๕:๒๒ รถโตโยต้าอัลติสคันหนึ่งเคลื่อนมาจอดเทียบประตูรั้วซึ่งเลื่อนเปิดอ้าไว้ครึ่งหนึ่ง ผู้ลงมาคือชายร่างใหญ่ ข้อลำล่ำสันบึกบึน เขายังไม่เห็นมะแมซึ่งนั่งรออยู่ที่โต๊ะหิน มะแมจึงเป็นฝ่ายจับจ้องพินิจได้เต็มตาชั่วครู่สั้นๆ

อันเนื่องจากได้ "ทิศทางในการส่องสำรวจ" ไว้ก่อนจากพรายกระซิบทางโทรศัพท์ ทันทีที่สัมผัสความเป็นเขา มะแมก็เชื่ออย่างหมดข้อกังขา ผู้ชายคนนั้นมีจิตพลุ่งพล่านกระสับกระส่ายกระสันอยากแบบพวกมีความอดกลั้นทางเพศต่ำ รสนิยมป่าเถื่อน

สาวพลังจิตอ่านทะลุ เห็นไปถึงว่านั่นเป็นการสั่งสมแรงดันมาจากความหมกมุ่นจ้องรูปและดูคลิปวิปริตลามกจนจิตผิดปกติ

ประเมินจากสัมผัส จิตของเขาเสียหายยับเยิน ซ่อมยาก ลำบากแน่ถ้าจะหว่านล้อมหรือคุยเหตุคุยผลกันดีๆ นิมิตปรากฏออกมาเป็นฉากๆ เขาพยายามไประบายความเก็บกดอัดอั้นกับหญิงบริการ แต่มันไม่ได้ผล เพราะจินตนาการอันสุดเดชมันเลยไกลเกินกว่านั้นเยอะ

เขาไม่รู้สึกรู้สากับบทอัศจรรย์ธรรมดา จะเกิดอารมณ์ต้องได้รังแก จะให้สนุกต้องใช้กำลัง จะเมามันต้องเห็นการหลบหนีเอาตัวรอดหรือดิ้นรนปฏิเสธ แล้วเป้าหมายก็ไม่ควรเป็นสาวสาธารณะ เขาชอบการพูดจารุกรานให้ผู้หญิงดีๆกลัว ชอบการข่มขู่ให้สาวสวยๆหวีด ทำได้ถึงจะกระตุ้นอารมณ์เพศให้คุโชนขึ้นเป็นไฟลุก!

ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือ คนพวกนี้ก็ลงเอยเป็นอาชญากรทางเพศ เป็นเหตุแห่งมหาโศกนาฏกรรมของสังคม และอาจเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ทำความปวดเศียรเวียนเกล้าให้ตำรวจทั่วโลกมาทุกยุคทุกสมัย

โดยส่วนลึก ธรรมชาติแบบเพศชายจะเห็นการบังคับขืนใจเป็นความบันเทิงที่เร้าใจ เพียงแต่มนุษยธรรมจะครอบงำสัญชาตญาณดิบๆชนิดนั้นไว้ ไม่ลงมือกระทำกับผู้หญิงแปลกหน้า เพราะมันคือการทำร้ายร่างกาย คือการปล้นชิง และคือการลงไปเทียบชั้นกับสัตว์

ชายผู้สำราญกับเซ็กส์ป่าเถื่อนหลายคนสามารถปลดปล่อยกับภรรยาหรือหญิงบริการที่มีความสุขกับการเป็นฝ่ายถูกกระทำ โลกเลยไม่ปรากฏข่าวเลวร้ายออกมามากเกินจะทนรับ แต่ความบันเทิงชั้นใต้ดินในปัจจุบัน มีอิทธิพลโน้มน้าวให้กล้าทำเรื่องล้ำเส้นศีลธรรมมากขึ้น คนเถื่อนทั้งหลายจึงปรากฏตัวเป็นข่าวมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

ตอนเรียนมหาวิทยาลัย มะแมเคยทำวิจัยทางจิตวิทยา พบว่าจริงๆแล้วสื่อลามกเป็นดาบสองคม คมด้านดีคือมีส่วนปลดปล่อยความคิดระยำตำบอนออกไปได้มาก ถ้าดูและระบายออกแบบไม่ติดภาพเสียงออกมาปนเปื้อนกับโลกความจริง ก็จะรู้สึกพอแล้วกับอารมณ์ดิบในที่ลับ

แต่คมด้านร้ายนั้นน่ากลัว เพราะมันมีสิทธิ์กระตุ้นสัญชาตญาณดิบให้อยากทำในสิ่งที่ไม่เคยเป็นความคิดในหัวมาก่อน เพียงได้เห็นภาพชี้นำแรงๆหลายครั้งเข้า ก็เหมือนถูกผีสิงให้อยากทำตามเกินห้ามใจ

พวกเสพติดหนังประเภทนี้ อาจจะหนึ่งในร้อยหรือหนึ่งในพัน ที่ดูบ่อยและคิดอยากเอาจริง พอรวบรวมความกล้าทุกวัน เป็นอาทิตย์ เป็นเดือน เป็นปี ถึงวันหนึ่ง พวกเขาจะเห็นผู้หญิงในโลกความจริงเหมือนวัตถุไร้ชีวิต เห็นเสียงร้องและอาการดิ้นหนีเป็นรางวัลที่น่าพิสมัยสำหรับคนใจถึง เหมือนมีหมวกกามแห่งเดรัจฉานครอบหัวไม่ให้เห็นผู้หญิงเป็นมนุษย์ และกระทั่งลืมด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นมนุษย์!

กับลูกค้าคนนี้ หล่อนสัมผัสว่าเขาเพิ่งผ่านฝันร้ายบางอย่างมา เศษของฝันร้ายเหมือนฟ้าแลบแปลบปลาบเป็นระยะในหัว อีกทั้งกลางอกก็มีความอัดอั้นทรมานแบบคนพยายามห้ามใจตนเอง แสดงให้เห็นว่าเขาคนนี้คงมาหาหล่อนด้วยความตั้งใจดี อยากปรึกษาหาทางออก ไม่ใช่แลกหัวใจกับปีศาจสำเร็จไปแล้ว

สัมผัสรู้สึกว่าเขาเคยพบจิตแพทย์มาก่อน ประมาณไปพบเพื่อปรึกษาปัญหานกเขาไม่ขัน แต่จิตแพทย์ก็ไม่ทราบจะให้คำแนะนำอย่างไร ในเมื่อเขาเผยไม่หมด ไม่ยอมเล่าว่าเขาเสพติดอะไร นกเขาจะขันต่อเมื่ออยู่ภายใต้สภาวการณ์แบบไหน

ข้อจำกัดของการบำบัดจิตอยู่ที่ตรงนี้ หากจิตแพทย์หลอกล่อให้คนไข้พูดแบบถึงกึ๋นไม่ได้ คนไข้รู้สึกอายเสียก่อน หรือกลัวถูกตราหน้าว่าเป็นคนบาปคนเลว ปมปัญหาก็ถูกฝังค้าง เหมือนการเล่นซ่อนหาที่มีซอกหลืบให้กบดานเป็นพันๆช่อง ถ้าตั้งใจซ่อนจริงๆก็ไม่มีทางที่ใครจะค้นได้พบ

มะแมเผยอปากเล็กน้อยก่อนหุบลงสนิท รู้สึกถึงริมฝีปากอ่อนนุ่มได้รูปสวยในกรอบหน้ารูปไข่ของตน ชัดยิ่งกว่าชัดว่าเรือนกายของหล่อนเป็นเป้าล่ออย่างจัง เพราะตรงสเปกของเขาทุกอย่าง ทั้งสะสวยยวนตายวนใจ ทั้งดูดีมีค่า จึงไม่น่าสงสัย หลังจากคุยกันสองต่อสองในเรื่องปมปัญหาทางเพศ เขาต้องหน้ามืดหมดความยับยั้งชั่งใจ เหมือนยักษ์มารเข้าสิง กดสำนึกผิดชอบชั่วดีไว้อย่างสิ้นเชิง

นึกขอบคุณ "เทวดาทางโทรศัพท์" ที่เตือนหล่อนไว้ก่อน หล่อนโดนทำร้ายแน่ๆ และจะไม่มีทางสู้ด้วย นายคนนี้เป็นพวกนักกล้าม และถ้าดูไม่ผิดคงเก่งหมัดมวย ว่องไวปราดเปรียว ขนาดผู้ชายตัวโตๆด้วยกันอาจจะโดนชกคว่ำโดยปิดป้องไม่ทัน แล้วหล่อนที่แบบบางเหมือนลูกไก่เล่ามันจะไปเหลือหรือ ในเวลาที่มโนธรรมของเขาฉีกขาด?

เมื่อขอบคุณท่านหนึ่ง ก็อดนึกตัดพ้ออีกท่านหนึ่งไม่ได้ เหตุใด "เทวดาทางจดหมาย" จึงไม่เตือนภัยร้ายแรงขนาดนี้เลย เอาแต่เตือนให้

"ระวังเสียงทางโทรศัพท์" ซึ่งมีบุญคุณต่อหล่อนทันทีทันใดอย่างนี้

"เชิญค่ะ คุณพลุใช่ไหมคะ?"

นายกามวิปริตหันขวับ เขายิ้มกว้างขวางเมื่อเห็นหล่อน มะแมเกือบยกมือไหว้ไม่ลง แต่ก็ถือเป็นธรรมเนียมที่ดีของคนอายุน้อยกว่า

"ครับ! นั่นคุณมะแมเหรอ?"

พลุรับไหว้ น้ำเสียงของเขาบอกความเป็นคนร่าเริง แต่ขณะเดียวกันหางเสียงก็กระแทกห้วนอยู่ในที แสดงถึงความเป็นคนมุทะลุ ใจร้อนเป็นได้ทั้งคนดีและคนเลวตามแต่ลมเพลมพัด

เมื่อสภาพจิตใจยังปกติและอยู่นอกตัวอาคารเช่นนี้ เขาไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ขณะนั้นหยิมนำน้ำออกมาต้อนรับ และมะแมก็ผายมือเชื้อเชิญ

"นั่งกันที่นี่นะคะ"

อันเนื่องจากไม่เคยมา และไม่ทราบวิธีต้อนรับแขกของมะแมมาก่อน พลุจึงเข้ามานั่งที่โต๊ะหินโดยดี และนึกว่าด้านในคงแอร์เสีย ไฟฟ้าขัดข้อง หรือติดขัดปัญหาเฉพาะหน้าอะไร

เมื่อมะแมตรวจซ้ำจนแน่ใจว่าอาการหื่นของเขาจะไม่กำเริบในสภาพแวดล้อมแบบนี้แน่แล้ว ก็สบายใจ สามารถทำงานได้เต็มศักยภาพโดยไม่ต้องระแวงระวัง หล่อนประมวลวิธี "จัดการ" กับเขาในพริบตา และพบว่าถ้าจู่โจมทีเผลอให้ตรงจุด โดยไม่ปล่อยให้ตั้งตัว เขาน่าจะถูกน็อกไม่ยาก

พอหยิมเดินจากไป และเมื่อพลุอ้าปากจะยิงคำถาม มะแมก็ชิงตัดหน้า ลั่นหมัดตรงเข้าลิ้นปี่ทันที ไม่มีการแย็บ ไม่มีการเตะชิมลางใดๆทั้งสิ้น

"ถ้ายังขืนห้ามใจไม่ได้ หนังโป๊วิตถารพวกนั้นจะทำให้คุณต้องกลายเป็นฆาตกรข่มขืนเร็วๆนี้ คำแนะนำที่ดีที่สุดคือกลับไปเผาพวกมันทิ้งซะ แล้วอย่าซื้อมาอีก อย่างมากยอมให้ตัวเองดาวน์โหลดรูปโป๊ทั่วไปมาระบายความเก็บกดก็เกินพอแล้ว!"

พลุอ้าปากหวอเหมือนถูกผีหลอก สายตาฟ้องว่าช็อคจริง เหมือนนักมวยที่ขึ้นเวทีไม่ทันไร ก็โดนคู่ต่อสู้พุ่งมาตวงยุ้งข้าวตัวงอ

"ของพวกนั้นเหมือนมนต์สาป มันขลังพอจะสะกดให้เรายอมขายวิญญาณ ไม่ต่างกับโดนคุณไสยขั้นร้ายแรง การเผามันทิ้งก็เหมือนพิธีล้างคุณ

ไสย ชำาระมลทิน ถอดถอนคำาสาปออกจากตัวเอง คาถาที่ใช้เผาก็แค่สั้นๆ ท่องไว้ว่า ถ้าไม่เผามัน มันก็เผาเรา"

ได้ผล มะแมรู้สึกว่าผีเจ้าแม่กาลีในจิตของชายหนุ่มดิ้นพล่าน แต่ด้วยความที่เจอข้าวสารเสกและแส้เฆี่ยนโดยไม่ทันตั้งหลัก จึงร้องจ๊ากแค่ข้างใน ไม่เผ่นโผนโจนทะยานออกมาข้างนอก อีกทั้งเทวดาที่ซ่อนอยู่ในเขาก็เอาใจช่วยอยู่ก่อน สิ่งที่เห็นจึงเป็นอาการสลดใจรับฟังท่าเดียว

"ถ้าไม่เผามันให้สิ้นซาก รอจนมันร้อนได้ที่กว่านี้ มันจะเผาชีวิตคุณเป็นจุณ คุณจะจากโลกนี้ไปท่ามกลางเสียงสาปแช่งและความอยากรุมประชาทัณฑ์ศพ และมันจะไม่จบแค่นั้น เสียงร้องโอดโอยที่คุณอยากฟังจากผู้หญิงสวยๆ จะกลายเป็นเสียงในร่างอัปลักษณ์ของคุณเองที่ถูกนายนิรยบาลใช้หอกดาบ ทั้งสับ ทั้งแทง ทั้งทำทารุณ อวัยวะเพศ ตลอดจนส่วนอื่นๆที่ยังไม่โดน"

ดวงตาของพลุเบิกโพลง เพราะช่วงที่ผ่านมาฝันเห็นนรกและการทำทารุณขั้นสาหัสสากรรจ์บ่อยๆ จึงนึกภาพออกตามที่มะแมพูดอย่างถนัด

หญิงสาวเห็นอาการสั่นเทิ้ม แต่ทราบว่าเขายังไม่ใกล้เป็นลม สติยังดีพอจะฟังต่อ ก็พูดปิดเวทีชก

"อย่ากลัวไปเลยค่ะคุณพลุ การเห็นด้วยกับมะแมอยู่เดี๋ยวนี้ บอกได้ว่าทุกอย่างยังไม่สายเกินไป ดีใจที่ตัวเองพ้นปากเหวมาได้เถอะ!"

___________________________________________________________________________________________
บทที่ ๑๐

วันรุ่งขึ้น...

มะแมใจจดใจจ่อกับความมีชีวิตของรัฐกรพอสมควร ไม่เคยมีสถานีโทรทัศน์หรือวิทยุช่องไหนออกข่าวคนหัวใจวายตาย เว้นแต่คนที่หัวใจวายตายนั้น เป็นประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี หรืออะไรเทือกๆนั้น หล่อนจึงไม่อาจ "ติดตามผล" ทางโทรทัศน์หรือวิทยุใดๆ

ทำอาชีพที่ปรึกษาปัญหาชีวิตมาสองปี ยังไม่เคยทราบข่าวลูกค้าล้มหายตายจาก คือพวกเขาจะล้มหายตายจากหลังมาหาหล่อนหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่เพิ่งมีแจ๊บเป็นรายแรก และลึกๆก็ไม่อยากให้รัฐกรเป็นรายที่สอง แต่หาก "เทวดาทางโทรศัพท์" ทำนายไว้ถูกต้อง ก็แปลว่ารัฐกรตายไปตั้งแต่เมื่อวานเย็นแล้ว!

บอกตนเองไม่ให้ห่วงใยรัฐกรเกินควร หล่อนมีหน้าที่เปลี่ยนชีวิต แต่ไม่ได้มีฤทธิ์ช่วยใครให้รอด หากเขาหรือเธอจะถึงคราวแตกดับ อย่างไรก็ต้องแตกดับ แม้ตัวหล่อนเองก็เถิด ยังไม่รู้เลยว่าจะตายเมื่อใด ศพสวยหรือไม่สวย

ในระดับของหล่อน มะแมเรียนรู้จากกรณีของแจ๊บ ว่าการสัมผัสจิตยังไม่ใช่วิธีรู้ว่าเขาหรือเธอตายหรือยัง ในเมื่อการตายไม่ใช่การดับจิต และจิตก็มีสภาพอารมณ์ได้เหมือนตอนเป็นมนุษย ์ คือ เหม่อบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งบ้าง

หากหล่อนไม่ทราบว่าแจ๊บตาย สัมผัสจิตเดี๋ยวนี้ก็คงเข้าใจว่าแจ๊บเหม่อลอยยืดเยื้อผิดปกติ ยังไม่มีเครื่องหมายใดบอกให้รับรู้ว่าสภาพจิตแบบแจ๊บไม่ใช่สภาวะของมนุษย์อีกต่อไป

มะแมเชื่อว่าหากสามารถรับรู้ภาวะแห่งจิตต่างภพมากกว่านี้ ก็อาจจำแนกได้ว่าจิตใดอยู่ในภพภูมิไหน หล่อนแค่ยังไปไม่ถึงความสามารถระดับนั้น และเพราะอย่างนั้น จึงไม่เห็นเป็นประโยชน์ที่จะดูสภาวะของรัฐกร เกรงว่าดูไปก็อาจตัดสินด้วยอุปาทานเปล่าๆ

พอเริ่มงานเก้าโมงเช้า มะแมก็ตัดความพะวงห่วงใยรัฐกรทิ้ง ความเพลิดเพลินในการแก้ปัญหาชีวิตให้ลูกค้าช่วงเช้า ทำให้ลืมรัฐกรไปสนิท

เที่ยงตรง เสร็จจากลูกค้าคนสุดท้าย มะแมก็ลงนอนผ่อนพักบนเก้าอี้ยาวตัวโปรด รอหยิมนำอาหารเข้ามาให้ ปิดตาโดยไม่คิดพักงีบ แค่พักตาให้คลายอารมณ์บ้าง ความนึกคิดเกี่ยวกับ ลูกค้าช่วงเช้ายังวนๆอยู่ในหัวนิดหน่อย

แต่ด้วยการปิดตาลากลมหายใจยาวๆช้าๆครู่เดียว เรื่องอลเวงยุ่งขิงของลูกค้าก็ปลาสนาการไปจากใจหล่อนหมด และโดยไม่เตรียมใจไว้ก่อน ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชั่วขณะที่หัวโปร่ง ใจเบาในระยะสั้นนั้น นิมิตหนึ่งปรากฏชัดในห้วงมโนทวาร เป็นนิมิตมีสีสันเต็ม ดุจเดียวกับภาพยนตร์บนจอผ้าใบขาวกว้างๆ

นิมิตนั้นนอกจากมีสีสันสมจริง ยังมีความเคลื่อนไหว เต็มไปด้วยชีวิตชีวากระจ่างสว่างเรือง ใบหน้าอารมณ์ดีของรัฐกรปรากฏชัด เขายิ้มให้และยกมือไหว้หล่อนในอาการคารวะ แล้วอึดใจต่อมาก็เลือนหายไป กลายเป็นนิมิตรถตกทางคันหนึ่ง แล้วตามมาด้วยป้ายชื่อโรงพยาบาลไทยนครินทร์ปิดท้าย

จากนั้นนิมิตทั้งหมดก็เลือนหาย กลายเป็นความรู้สึกอยากลืมตาขึ้นมาแทน ขณะนั้นเอง หยิมนำสำรับอาหารเข้ามาให้ มะแมพลิกกายดึงร่างขึ้นนั่ง ส่งสายตาสำรวจมือหยิม

"ไม่มีจดหมายหรือ?"

"วันนี้ไม่มีค่ะ"

ได้ยินแล้วผิดหวัง นี่ "ท่าน" สร้างความเคยชินผิดๆให้หล่อนหรือเปล่า? หล่อนรอทุกเที่ยงวันว่าจะได้รับคำเตือน คำสั่ง หรือคำสอนใด และถึงขั้น "ผิดหวัง" ได้เมื่อเที่ยงใดไม่พบเห็นเยี่ยงนี้แล้ว

มองโทรศัพท์ไทเทเนียมที่หล่อนวางไว้บนโต๊ะทำงาน แม้จะเพิ่งฟังคำเตือนจาก "ท่าน" ครั้งแรก ชีวิตหล่อนก็พ้นภัยมาได้ และนั่นก็เป็นอีกความติดใจ อยากได้ยินสัญญาณเรียก อยากได้ยินเสียงอีก

พวกท่านจะคาดหวังสิ่งใดจากหล่อนก็ตาม บัดนี้หล่อนคาดหวังจากการติดต่อมาทุกวันจากพวกท่านไปแล้ว

เมื่อหยิมเดินออกจากห้อง แทนที่จะจัดการอาหาร มะแมกลับตรงดิ่งไปยังโต๊ะทำงาน คว้าโทรศัพท์มือถือ เลือกเบอร์โรงพยาบาลไทยนครินทร์จากสมุดโทรศัพท์ของเครื่อง หล่อนเก็บเบอร์ของโรงพยาบาลไว้อยู่แล้ว เนื่องจากอยู่ใกล้บ้าน มีอะไรจะได้โทร.ติดต่อด่วนได้

"โรงพยาบาลไทยนครินทร์ค่ะ"

ปลายสายทักมา มะแมนิ่งคิดอยู่ครู่ก่อนเอ่ย

"ขอติดต่อห้องฉุกเฉินค่ะ" คนรับโทรศัพท์โอนสายให้ตามต้องการ

อึดใจต่อมาก็มีเสียงผู้ชายขึ้นมาแทน

"แผนกฉุกเฉินครับ"

"เมื่อวานเย็นมีศพผู้ชายมาที่โรงพยาบาลไหมคะ?"

"ผู้ตายชื่ออะไรครับ?"

"รัฐกรค่ะ"

"อ๋อ! ญาติมารับศพไปตั้งแต่เมื่อเช้าครับ"

คำตอบเรื่อยๆธรรมดาๆของเจ้าหน้าที่กลายเป็นตะปูตอกตรึงร่างมะแมให้แน่นิ่งไปชั่วขณะ ก่อนหน้านี้สัก ๕ วินาทีหล่อนยังหวังว่าจะได้ยินคำปฏิเสธ ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่มีศพของคนชื่อรัฐกรจากปากเจ้าหน้าที่ เพราะมันดูจะเข้ากันได้กับความน่าจะเป็นจริงมากกว่า

แต่นี่...

ถัดจากความรู้สึกช็อค กลายเป็นความสลดเสียใจกับการจากไปของลูกค้าที่เพิ่งเห็นหน้ากัน หลัดๆ จากนั้นก็แปรเป็นความตื่นเต้นกับรสชาติประหลาด มันเป็นประสบการณ์ทางจิตใหม่เอี่ยมเหมือนยกระดับความสามารถไปอีกขั้นหนึ่ง หล่อนเพิ่งสื่อสารกับคนตาย และนี่ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!

แต่คิดดูอีกที คนตายต่างหากที่สื่อสารกับหล่อน ถ้าให้ตั้งใจคุยกับรัฐกรเดี๋ยวนี้ มะแมก็ไม่ทราบจะต้องทำเช่นไร ไม่ต่างจากเมื่อคราวฝันเห็นแผ่นดินไหว รู้สถานที่ รู้เวลาครบเสร็จ แต่ถ้าให้ตั้งใจเห็นอุบัติภัยทางธรรมชาติอื่นๆอีก ก็ไม่ทราบจะต้องทำท่าไหนถึงจะเห็น

"มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?"

เจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินถามเมื่อเห็นหล่อนเงียบยาว

"เขาตายได้อย่างไรคะ?"

"โดนรถใหญ่เบียดตกทางน่ะครับ"

มะแมนิ่งไปเป็นครู่ อย่างนี้เอง พอเพ่งดูหัวใจที่ผิดปกติของรัฐกรจึงไม่เห็นว่าจะมีอาการล้มเหลวขึ้นมาในเย็นวานได้อย่างไร

ใจหนึ่งอยากขอรายละเอียดญาติของรัฐกร เพื่อติดต่อขอทราบสถานที่ตั้งศพ แต่อีกใจก็รู้สึกว่าพอแล้ว เห็นรัฐกรยิ้มมาจากอีกโลกหนึ่งแล้วมันยิ่งกว่าไปนั่งหลับหูหลับตาส่งคนตายในงานศพตั้งเยอะ

"ขอบคุณมากนะคะ"

"เป็นเพื่อนของผู้ตายหรือครับ?"

"อ๋อ! คือ..." รอยยิ้มชนิดหนึ่งปรากฏขึ้นที่เรียวปาก จะแปลกอะไรหากพูดความจริง "ดิฉันเพิ่งร่วมทำบุญกับคุณรัฐกรก่อนหน้าที่เขาจะเสียชีวิต และเมื่อครู่เขาก็เพิ่งมาเข้าฝันน่ะค่ะ!"

"หือ?"

"ขอบคุณมากๆสำหรับการยืนยันว่าเมื่อครู่ดิฉันไม่ใช่แค่ฝันไปเอง ที่โทร.มานี่ถูกก็เพราะเขาบอกทั้งนั้น"

พูดจบก็กดปุ่มตัดสัญญาณ หล่อนไม่ได้โกหกสักคำ ส่วนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจะเชื่อหรือไม่ จะเก็บไปเล่าต่อกับเพื่อนร่วมงานอย่างไร นั่นก็คงสุดแล้วแต่

ไม่มีความหวาดกลัว ไม่มีการขนหัวลุกใดๆส่งจิตสัมผัสเข้าไปถึงรัฐกรมีแต่สบายใจ โล่งกว้าง และเป็นมิตรยิ่ง จำรอยยิ้มของเขาได้ชัดใจ และคงไม่ลืมไปตลอด

วางมือถือลง หยิบโทรศัพท์ไทเทเนียมอันเป็นอุปกรณ์สื่อสารกับ "เทวดาทางเสียง" ขึ้นมาแทน ยิ้มๆให้โทรศัพท์พลางนึกในใจว่า "แม่นจริงๆค่ะท่าน"

ต่อหน้าต่อตา เสียงกริ๊งยาวของโทรศัพท์โบราณดังขึ้นพร้อมระบบสั่น และอันเนื่องจากมะแมถืออยู่หลวมๆ ความสั่นที่เกิดขึ้นกับฝ่ามือแบบกะทันหัน ประกอบกับเสียงกริ๊งดังๆ จึงทำให้ผวาตาโต เกือบปล่อยเครื่องหล่นลงพื้น ดีว่าตั้งสติกลับกำแน่นไว้ได้ทัน

ลากลมหายใจยาวปรับจิตปรับใจ ก่อนกดปุ่มรับและส่งเสียงสวัสดีไม่ดังนัก

"สวัสดีค่ะ..."

ปลายเสียงสะอึกขาดห้วงไปแบบคนพูดไม่จบ หรือไม่ก็เพราะลังเลที่จะพูดให้ครบบริบูรณ์ คำสุดท้ายที่หายไปคือ "ท่าน!"

มะแมอยากแน่ใจว่าหล่อนสวามิภักดิ์ต่อ "เทวดา" แล้วจริงๆ แต่ตอนนี้ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าแน่ใจหรือยัง ส่วนลึกยังคงหวั่นไหวเพราะ "พวกท่าน" ไม่เคยแนะนำตัวเอง ไม่เคยบอกเหตุผลว่ามาช่วยทำไม ประสามนุษย์ธรรมดาก็ต้องระแวงอยู่ในส่วนลึกไว้ก่อน

"สวัสดีมะแม"

เสียงทุ้มลึกนั้น ฟังยิ่งใหญ่กว่าเมื่อวาน

"หนูกราบขอบพระคุณนะคะที่ช่วย"

มะแมคิดว่าตนเองใช้สรรพนามเหมาะสมแล้ว ไม่ว่าจะคุณวุฒิหรือวัยวุฒิ

"ในหัวเธอคงเต็มไปด้วยคำถาม"

"หนูแค่อยากรู้คำตอบสำาคัญที่สุด คือ หนูมีสิทธิ์ถาม เอ่อ... ท่าน... ในเรื่องไหนได้บ้าง"

ตกลงใจเรียก "ท่าน" เต็มปากเต็มคำ แม้จะยังครึ่งๆ ยังค้างๆคาใจอยู่มากก็ตาม

"เอาเป็นว่าถามมาเถอะ วันนี้ฉันพอมีเวลา ให้เธอหน่อยหนึ่ง"

"ท่านเป็นคนไทยหรือเปล่าคะ?"

"ฮ่าๆๆ!" นั่นเป็นการหัวเราะเต็มเสียง "เธอว่าใช่ไหมล่ะ?"

"หนูว่าไม่ใช่!" หล่อนลงเสียงหนักด้วยความมั่นใจ

"และตอนนี้ท่านก็ไม่ได้อยู่ในประเทศไทยด้วย!"

"เก่ง!" คำชมนั้นมีค่าเท่ากับการยอมรับ

"บางทีฉันก็ขี้เกียจนับว่าพูดได้ทั้งหมดกี่ภาษา แม้แต่ภาษาที่มีมนุษย์พูดได้ไม่ถึงพันคนฉันก็เอา ถ้าฟังมีเสน่ห์พอ"

มะแมถอนใจขับไล่ความประหม่า หล่อนกำลังคุยกับใครคนหนึ่งที่เกินคำว่า "อัจฉริยะ" ไปมาก

"ค่ะ! หนูก็ว่าท่านทำได้ทุกอย่างที่อยากทำ"

"เธอเดาถูกเพราะจับได้ใช่ไหมล่ะ ว่าวิธีคิดของฉันเป็นแบบดึงลิ้นชักภาษา ฉันไม่ขึ้นใจภาษาไทยเต็มร้อยหรอก อาจมีหน่วงๆเพราะเค้นคิดอยู่บ้าง แต่ถ้าคนไทยทั่วไปฟังโดยไม่มาจับจิตกัน ก็ไม่มีทางรู้ไต๋ฉันได้แน่"

มะแมไม่สนใจประเด็นอัจฉริยภาพทางภาษาของท่าน และพยายามดึงเข้าเรื่องที่ตนอยากรู้ ในเมื่อเวลามีน้อย

"หนูอาจเป็นลูกหนูอยู่ต่อหน้าราชสีห์ใหญ่ หนูเคารพนบนอบต่อท่าน หนูซาบซึ้งในพระคุณของท่าน แต่หนูก็มีชีวิต และมีความทรมานใจกับความไม่รู้ หนูแค่อยากกราบขอให้ท่านกรุณาอธิบายความเป็นมาเป็นไป ว่าเหตุใดจึงต้องลดตัวมาช่วยหนู คำถามนี้โอเคไหมคะ?"

ยินเสียงหัวเราะนุ่มนวลในลำคออีกฝ่าย ซึ่งฟังมีความปรานีประดุจเทพยดาสรวลต่อความน่าสงสารของมนุษย์ตัวน้อย

"เธอไม่ใช่ลูกหนู เธอมีค่ามากกว่าที่ตัวเองคิด" เอ่ยแล้วเว้นวรรคเป็นครู่คล้ายจะใคร่ครวญบางสิ่ง

"แต่ฉันตอบคำถามข้อนี้ในวันนี้ไม่ได้เพราะบันไดอนาคตอาจถูกรื้อใหม่หมด ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป"

"หนูจะน้อมรับการตัดสินใจของท่านเจ้าค่ะ และไม่ดื้อรั้นขอคำตอบใดๆอีก แต่ถ้าต่อไปหนูนึกถึงท่าน หนูควรจะนึกถึงในนามว่าอะไร?"

"เรียกฉันว่า 'บอส' ไปพลางๆก็แล้วกัน"

"ตกลงค่ะบอส"

มะแมยอม "คุกเข่า" ให้เขาด้วยการเอ่ยสรรพนามตามบัญชาอย่างเต็มใจ จะต้องเรียกบอส เรียกนาย เรียกอาจารย์ หรือพระองค์ท่าน อย่างไร ใจรับได้หมด ยอมลงให้ไม่ฝืนเลย

"ฉันมีเวลาให้เธออีกนิดเดียว จะถามอะไรอีกก็รีบว่ามา"

"บอสเห็นว่าวันนี้ควรสั่งอะไรหนูล่ะคะ?"

"ช่วงนี้เธออาจทรมานใจหน่อย ที่ฉันเข้ามาในชีวิตโดยปราศจากคำอธิบาย แต่สุดท้ายเธอจะพบว่าทั้งจดหมายจากหมอนั่น ตลอดจนโทรศัพท์จากฉัน มันไม่ใช่อะไรสักอย่างที่เธอคิด ฉะนั้นก็อย่าเพิ่งไปคิดอะไรสักอย่างในตอนนี้"

"ค่ะ! มะแมไม่รู้อะไรเลยก็ได้ รู้แต่ท่านมาดีก็พอ"

"อือม์! วันนี้ฉันไม่มีอะไรจะบอก แต่เห็นเธอจับโทรศัพท์ด้วยความคิดถึง เลยโทร.มาทักไปอย่างนั้นแหละ"

วินาทีนั้น มะแมสัมผัสว่าบอสกำลังจะวางสาย จึงรีบละล่ำละลัก

"ขอให้หนูพบบอสได้ไหมคะ? สักครั้งในชีวิตก็ยังดี"

"เธอยังแค่ระดับสี่ เอาไว้รอให้ถึงระดับห้าก่อน แล้วฉันจะส่งคนไปพาตัวมาพบเอง!"

จบคำก็ตัดสายไปเฉยๆ ไม่มีการล่ำลาตามมารยาทหรือบอกกล่าวให้รู้ตัวล่วงหน้าแต่อย่างใด ปล่อยให้มะแมถือโทรศัพท์ค้างด้วยความผิดหวังเป็นนาน

ระดับสี่... มันระดับอะไรกัน?

ช่างเถอะ! ถึงไม่รู้ว่าแค่ไหน ชั้นใด แต่ก็รู้ว่าต้อง "ไม่เบา" ทีเดียว เพราะใกล้ถึงระดับห้า เฉียดจะมีสิทธิ์พบบอสในเร็วๆนี้แล้ว!

_________________________________________________________________________________________________
ขอเชิญดาวน์โหลดเพื่อนำไปแบ่งปัน หรือ นำไปอ่านได้อีกหลายช่องทาง ที่ไม่ต้องออนไลน์ ตามลิงค์ข้างล่างนะครับ

http://www.dungtrin.com/index.php?option=com_content&view=category&id=99&Itemid=278


Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.183 seconds with 18 queries.