Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
15 December 2025, 17:58:05

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,529 Posts in 14,020 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  หมวดหมู่ทั่วไป  |  สาระน่ารู้ (Moderators: CYBERG, MIDORI)  |  เหตุใด 1 วันจึงมี 24 ชั่วโมง? ทำไมจึงไม่เป็น 25 หรือ 20 ชั่วโมง?
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: เหตุใด 1 วันจึงมี 24 ชั่วโมง? ทำไมจึงไม่เป็น 25 หรือ 20 ชั่วโมง?  (Read 348 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,351


View Profile
« on: 06 November 2025, 20:56:56 »

เหตุใด 1 วันจึงมี 24 ชั่วโมง? ทำไมจึงไม่เป็น 25 หรือ 20 ชั่วโมง?


https://www.blockdit.com/posts/690b32a126a7922fef68673d

Timeless History (ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา)
เมื่อวาน เวลา 18:18 • ประวัติศาสตร์





เหตุใด 1 วันจึงมี 24 ชั่วโมง? ทำไมจึงไม่เป็น 25 หรือ 20 ชั่วโมง?


คุณเคยจ้องมองนาฬิกาแล้วสงสัยไหม ทำไมต้อง 24 ชั่วโมง?

ทำไมไม่เป็น 10 หรือ 100? ใครเป็นคนตัดสินใจให้เวลาทั้งหมดของเราหมุนรอบตัวเลขลึกลับนี้?

คำตอบนั้นจะพาเราย้อนกลับไปหลายพันปีก่อน สู่ทะเลทราย วัดโบราณ และอารยธรรมใต้ผืนฟ้า ตั้งแต่ก่อนจะมีนาฬิกาข้อมือหรือสมาร์ตโฟนเสียอีก

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ “เวลา” แต่มันคือเรื่องราวของมนุษย์ที่พยายามเข้าใจจังหวะของจักรวาล และระหว่างทางนั้นเอง พวกเขาได้กำหนดวิธีที่เรามีชีวิต ทำงาน และความฝันมาจนถึงทุกวันนี้





ก่อนจะมีนาฬิกาหรือปฏิทิน “ดวงอาทิตย์” คือตัวกำหนดเวลาของทุกคน

เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น ผู้คนก็ตื่นจากการหลับใหล เมื่อดวงอาทิตย์ตก ผู้คนก็พักผ่อน

ดวงดาวคือตัวบอกเวลายามค่ำคืน เคลื่อนไปอย่างเงียบงันบนท้องฟ้า

ชาวอียิปต์โบราณที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำไนล์เมื่อกว่า 4,000 ปีก่อน เป็นหนึ่งในผู้คนกลุ่มแรกที่พยายามวัดเวลา

พวกเขาสังเกตเห็นสิ่งหนึ่ง นั่นคือเงาที่ทอดจากเสาหินสูง ซึ่งสามารถแบ่งช่วงเวลาของวันได้ และสิ่งนั้นเองคือจุดเริ่มต้นของ “นาฬิกาแดด (Sundial)“





พวกเขาแบ่งช่วงเวลากลางวันออกเป็น 12 ส่วน อาจเพราะพวกเขานับโดยใช้ข้อต่อของนิ้วมือ (ไม่นับนิ้วโป้ง) ซึ่งมือหนึ่งมี 12 ข้อต่อพอดี และนั่นเองคือเหตุผลที่เลข 12 ปรากฏอยู่บ่อยในชีวิตเรา ทั้ง 12 เดือน 12 ราศี หรือ 12 ชั่วโมง

ดังนั้น ชาวอียิปต์ได้มอบทั้ง “12 ชั่วโมงของกลางวัน” และ “12 ชั่วโมงของกลางคืน” รวมกันเป็น 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันเต็ม

แล้วทำไมต้อง 12 ไม่ใช่ 10 หรือ 100?





เราอาจคิดว่าทุกอย่างควรยึดจากเลข 10 เพราะเรามี 10 นิ้ว แต่คนโบราณมองเห็นรูปแบบบนท้องฟ้ามากกว่าที่มือของพวกเขาเอง

เลข 12 มีจังหวะแห่งจักรวาลอยู่ในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น

-ดวงจันทร์หมุนรอบโลกครบหนึ่งปีได้ประมาณ 12 รอบ

-ดวงอาทิตย์เคลื่อนผ่านกลุ่มดาวสำคัญ 12 กลุ่ม

-ฤดูกาลเพาะปลูกและพิธีกรรมทางศาสนาก็ผูกพันกับเลข 12 เช่นกัน

ดังนั้น “เวลา” จึงไม่ได้เป็นเพียงเรื่องคณิตศาสตร์ แต่มันคือเรื่องของ “จิตวิญญาณ” และ “ท้องฟ้า”





ต่อมา ชาวบาบิโลนรับแนวคิดนี้ไปพัฒนาต่อ โดยพวกเขาใช้ระบบนับเลขฐาน 60 (sexagesimal) ซึ่งหมายความว่าคณิตศาสตร์ของพวกเขาหมุนรอบเลข 60 ไม่ใช่เลข 10

และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงยังมี “60 วินาทีในหนึ่งนาที” และ “60 นาทีในหนึ่งชั่วโมง” จนถึงทุกวันนี้

เรียกได้ว่าตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาดิจิทัลของเราในตอนนี้ คือเสียงกระซิบจากนักบวชบาบิโลนผู้เคยเฝ้ามองดวงดาวเดียวกันกับที่เรามองอยู่ในคืนนี้นั่นเอง





นาฬิกาแดดรุ่นแรกๆ สามารถวัดได้เฉพาะชั่วโมงของกลางวันเท่านั้น แต่แล้วกลางคืนล่ะ? จะนับเวลายังไงเมื่อไม่มีแสงอาทิตย์?

ชาวอียิปต์หันกลับไปมองท้องฟ้าอีกครั้ง

พวกเขาสังเกตเห็นกลุ่มดาวที่เรียกว่า “ดีแคน (Decans)“ ซึ่งจะปรากฏและลับขอบฟ้าเป็นช่วงๆ อย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งคืน และด้วยการเฝ้าดูการเคลื่อนที่ของดาวเหล่านี้ พวกเขาจึงสามารถบอกเวลาได้แม้ในความมืด

ต่อมาอารยธรรมอื่นๆ เช่น กรีก โรมัน และจีน ต่างก็รับแนวคิดนี้ไปต่อยอดและปรับปรุงให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น

ชาวโรมันสร้างนาฬิกาแดดขนาดใหญ่ในที่สาธารณะ และวิศวกรของพวกเขายังสร้าง “นาฬิกาน้ำ (Water Clock)” ที่หยดน้ำไหลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อใช้วัดเวลายามค่ำคืนที่ไม่มีแสงอาทิตย์





แม้ว่าการประดิษฐ์เหล่านี้จะดูดั้งเดิม หรือโบราณซักหน่อยเมื่อเทียบกับมาตรฐานปัจจุบัน แต่มันก็สะท้อนสิ่งหนึ่งที่ลึกซึ้งในความเป็นมนุษย์

นั่นคือความปรารถนาที่จะวัดสิ่งที่จับต้องไม่ได้เพื่อเก็บช่วงเวลาที่แสนสั้นไว้ในรูปของตัวเลข สัญลักษณ์ และเรื่องราว

หลายศตวรรษผ่านไป ชีวิตของผู้คนเริ่มซับซ้อนขึ้น ตลาดเริ่มเปิด  เรือแล่นข้ามทะเล และเมืองต่างๆ เริ่มตื่นและหลับตามตารางเวลา ไม่ใช่แสงอาทิตย์อีกต่อไป

และเมื่อราวศตวรรษที่ 14 นาฬิกากลไกก็ได้เริ่มปรากฏในยุโรป





นี่คือสิ่งประดิษฐ์อันมหัศจรรย์ที่ประกอบด้วยเฟืองขนาดใหญ่และระฆังดังกังวาน มักจะติดตั้งบนหอระฆังของโบสถ์เพื่อเตือนทุกคนว่า “เวลา” เช่นเดียวกับ “ศรัทธา” เป็นสิ่งสากลและทรงพลัง

ในช่วงนั้น การแบ่งเวลาแบบ 24 ชั่วโมงได้หยั่งรากลึกแล้ว

“12 ชั่วโมงกลางวัน” ของชาวโรมัน ผสานกับ “12 ชั่วโมงกลางคืน” ของชาวอียิปต์ กลายเป็นมาตรฐานที่แพร่หลายไปทั่วโลกพร้อมกับอิทธิพลของยุโรป

ตั้งแต่นั้นมา “เวลา” ก็ถูกทำให้เชื่อง ถูกบรรจุอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมของ 24 ส่วนที่เท่ากันอย่างประณีต

เมื่อคิดดูดีๆ “วันหนึ่งที่มี 24 ชั่วโมง” คือทั้ง ”ของขวัญ“ และ ”กรงขัง“ ในเวลาเดียวกัน





มันมอบโครงสร้างให้ชีวิตเรา โรงเรียนเริ่มตอนแปดโมงเช้า มื้อเที่ยงตอนเที่ยงตรง เข้านอนตอนสี่ทุ่ม

แต่ในขณะเดียวกัน มันก็กักขังเราไว้ใน “วงจรรูทีน” ที่ชวนให้รู้สึกเหมือนเครื่องจักร


คนโบราณวัดเวลาโดย “จังหวะของธรรมชาติ” ไม่ใช่เสียงปลุกจากนาฬิกา

บรรพบุรุษของเรามองพระอาทิตย์ขึ้นเป็นคำเชิญชวนให้เริ่มต้นวันใหม่ ไม่ใช่กำหนดเส้นตายที่ต้องรีบทำทุกอย่างให้ทัน

บางที สิ่งที่เราสูญเสียไปอาจไม่ใช่ “เวลา” แต่คือ ความสามารถในการ “รู้สึก” ถึงเวลา แทนที่จะมัวแต่นับมันเท่านั้น

.

References:
https://www.worldatlas.com/articles/why-is-a-day-24-hours-long.html
https://en.worldtempus.com/article/events/arts-and-culture/the-origins-of-our-24-hours-31134.html
https://medium.com/@primeeshamedicalzone/why-a-day-isnt-25-or-20-hours-the-hidden-history-of-24-hour-days-3e3957449263

.




Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.031 seconds with 16 queries.