Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 14:18:22

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,290 Posts in 13,862 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพ บทประพันธ์ของ ศรีบูรพา ตอนที่ 16-19
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพ บทประพันธ์ของ ศรีบูรพา ตอนที่ 16-19  (Read 46 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« on: 29 October 2025, 19:11:44 »

นวนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพ บทประพันธ์ของ ศรีบูรพา ตอนที่ 16-19


๑๖

ที่ท่าเรือบริษัทมิตซุยบุยซันไกชา ในเช้าวันที่เรือเดินทะเลได้นำข้าพเจ้าจากประเทศญี่ปุ่นมาสู่กรุงเทพพระมหานครนั้น ไม่สู้มีผู้คนคับคั่งนัก เพราะว่าในเรือเที่ยวที่ข้าพเจ้าโดยสารมานั้น มีคนโดยสารไม่เกิน ๗-๘ คน และที่เป็นคนไทยก็มีแต่ข้าพเจ้าคนเดียว ฉะนั้นเมื่อเรือเทียบท่า ข้าพเจ้าก็สามารถแลเห็นกลุ่มคนที่มาคอยต้อนรับข้าพเจ้าได้โดยไม่ยาก.

ข้าพเจ้าแลเห็นท่านบิดาก่อนคนอื่น ท่านยืนอยู่หน้าแถวในหมู่ญาติสนิทของเราประมาณ ๑๐ กว่าคน และมีเพื่อนสนิทรุ่นราวคราวเดียวกับข้าพเจ้า ๔-๕ คนรวมอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย มีสุภาพสตรีคนหนึ่งยืนอยู่ในหมู่ญาติ ซึ่งข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่สังเกตกิริยาอาการดูแสดงว่า มีความเอาใจใส่ในตัวข้าพเจ้าไม่น้อยกว่าใคร ๆ.

ข้าพเจ้ามองไม่เห็นหม่อมราชวงศ์กีรติในหมู่คนเหล่านั้น ต่อเมื่อได้ทอดสายตาไปทั่วบริเวณนั้นข้าพเจ้าจึงแลเห็นร่างงามร่างหนึ่ง ในเสื้อผ้าชุดสีน้ำเงินยืนพิงประตูรถซาลูนคันใหญ่ แล้วได้เห็นมือน้อย ๆ ​โบกตรงมายังข้าพเจ้าช้า ๆ ข้าพเจ้าก็โบกตอบด้วยความปีติยินดีอย่างยิ่ง เพราะว่าแม้จะยืนอยู่ห่างไกลไปสักหน่อย ข้าพเจ้าก็จำได้ว่า เจ้าของร่างงามนั้นคือหม่อมราชวงศ์กีรติ.

เมื่อพนักงานในเรือทอดบันไดเรือเรียบร้อยแล้ว พวกญาติมิตรที่มาคอยรับก็พากันขึ้นมาบนเรือ ข้าพเจ้ายืนคอยรับรองอยู่ริมทางขึ้น ท่านบิดาเป็นคนแรกที่ได้แสดงความปีติยินดีต้อนรับข้าพเจ้า ท่านตรงเข้าสวมกอดบุตรชายคนโตของท่านด้วยความรักใคร่คิดถึง ที่อัดแน่นอยู่ในอกถึง ๘ ปี ข้าพเจ้าก็เข้าสวมกอดท่านด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกัน แล้วญาติและมิตรอื่น ๆ ก็รุมล้อมเข้ามา แสดงความรู้สึกในทำนองเดียวกัน ข้าพเจ้าสุดที่จะพรรณนาได้ว่า ในเช้าวันแรกถึงกรุงเทพฯ นั้น ข้าพเจ้ามีความอิ่มเอิบใจเพียงใด ระลึกถึงเหตุการณ์ในเช้าวันนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้แต่จะบันทึกลงไว้ว่า เป็นวันที่ข้าพเจ้าเป็นสุขเบิกบานที่สุดในชีวิต และจนกระทั่งบัดนี้ข้าพเจ้าก็ยังไม่พบความสุขความเบิกบานครั้งคราวใดจะมีค่ายิ่งไปกว่า.

ในขณะที่ข้าพเจ้าต้อนรับสุภาพสตรีคนหนึ่งด้วยความลังเลใจนั้น ท่านบิดาได้มาโอบไหล่ข้าพเจ้าไว้และบอกกับข้าพเจ้าว่า นี่แหละคือสตรีคู่หมั้นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงพอระลึกถึงเค้าหน้านั้นได้ เป็นดวงหน้าเรียบ ๆ ตามแบบธรรมดาสามัญ ไม่มีที่ติไม่มีที่ชม กิริยาการของเธอในขณะที่ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าข้าพเจ้ามากไปด้วยความสะเทิ้นขวยอาย ข้าพเจ้าเองก็มิใช่คนเก่งกล้านักในทางสนทนาพาที ประกอบกับความรู้จักมักคุ้นที่มีอยู่ต่อกันเพียงเล็กน้อย ข้าพเจ้าก็ได้แต่กล่าวคำปราศรัยออกไปเพียงสองสามประโยค แล้วเธอก็หลีกทางให้คนอื่น ๆ เข้ามาทักทายปราศรัยกับข้าพเจ้าต่อไป.

หม่อมราชวงศ์กีรติเป็นคนท้ายที่สุดที่ขึ้นมาพบข้าพเจ้า เธอ​แต่งกายด้วยเครื่องชุดสีน้ำเงินดารดาษด้วยดวงดอกขาว เป็นชุดเดียวกับที่ข้าพเจ้าแรกพบเธอในกรุงโตเกียวเมื่อ ๖ ปีล่วงแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเครื่องแต่งกายชุดนี้จะเป็นชุดที่ข้าพเจ้าได้จดจำฝังใจไว้ช้านานเมื่อแรกพบเธอ แต่ในเช้าวันนั้นข้าพเจ้าก็หาได้สังเกตพิเคราะห์ไม่ ซึ่งก็เป็นการประหลาดอยู่ และก็เป็นการประหลาดเช่นเดียวกันที่เหตุไฉนหม่อมราชวงศ์กีรติ จึงนำเอาเครื่องแต่งกายที่เธอได้เคยใช้มาแล้วเมื่อ ๕ ปีก่อน มาแต่งรับข้าพเจ้าในวันแรกถึงกรุงเทพฯ.

ท่วงทีกิริยาที่เข้ามาพบข้าพเจ้านั้น ยังดูสงบเสงี่ยมแช่มช้อยเหมือนเดิม จะแตกต่างไปบ้างก็ตรงที่ว่ามีอาการแช่มช้อยมากขึ้น ซึ่งประกอบเป็นความงามสง่าสมวัยของเธอ อันล่วงเข้ามาถึง ๔๐ ปีเศษแล้ว แม้ว่าจะคลายความเปล่งปลั่งลงไปบ้าง แต่เสน่ห์และความสวยงามอันมีค่ายิ่ง ก็ยังมิได้ทอดทิ้งเธอไป ยังเป็นที่จับตาจับใจแก่ผู้ได้ยลสรีรโฉมของเธออยู่.

​หม่อมราชวงศ์กีรติเข้ามาสัมผัสมือข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้บีบตอบแน่น ด้วยความตื่นเต้นยินดีดุจว่าข้าพเจ้าได้พบพี่สาวซึ่งได้จากกันไปนาน.

“คิดถึงคุณหญิงเหลือเกิน” ข้าพเจ้าปราศรัยเป็นประโยคแรก

“ฉันคิดถึงเธอเป็นเนืองนิตย์ คิดถึงเธอโดยสม่ำเสมอตลอดมานับแต่ได้จากกัน” เธอพูดช้า ๆ เรียบ ๆ ไม่ตื่นเต้นลุกลน แม้ว่าข้าพเจ้าอาจมองเห็นความปีติยินดีอย่างลึกซึ้งของเธอในดวงตาได้ถนัดชัดเจน คำพูดของเธอจับใจนัก และสะกิดใจให้นึกละอาย เมื่อได้ระลึกว่าความคิดถึงของข้าพเจ้าที่มีต่อเธอนั้น แม้ถึงหากจะรุนแรงปานใดในบางครั้งบางคราว ก็หาได้เป็นไปโดยสม่ำเสมอเนืองนิตย์ ดุจความคิดถึงของเธอที่มีต่อข้าพเจ้าไม่.

​“ผมดีใจเหลือเกินที่ได้กลับมาพบคุณหญิงอีกครั้งหนึ่ง” ข้าพเจ้าปราศรัยต่อไป.

“และฉันก็คอยเธออยู่ คอยอยู่ตลอดมา.”

“คุณหญิงดีต่อผมเป็นที่สุด.”

“ถ้าที่เธอพูดเป็นความจริง เธอก็สมควรที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนั้นจากฉันมิใช่หรือ?”

“ผมเกรงว่าผมไม่สมควรเป็นแน่ คุณหญิงดีต่อผมเกินไป” พูดแล้วข้าพเจ้าก็หัวเราะ ข้าพเจ้าไม่นำพาว่า คำตอบนั้นจะสั่นสะเทือนความรู้สึกของหม่อมราชวงศ์กีรติอย่างไร อย่างไรก็ตาม เธอได้สงบนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง.

“เธอบีบมือฉันไว้แน่น” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน “เหตุการณ์ในวันนี้ไม่เหมือนกับวันที่เราจากกันที่ท่าเรือโกเบ.”

“โอ. ผมขอโทษ” ข้าพเจ้าร้องขึ้นและปล่อยมือเธอในทันที “ที่นี่เป็นกรุงเทพฯ และเราจะไม่ต้องจากกันอีกต่อไปแล้ว เราจะไม่ต้องพบความเศร้าเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว.”

“ใครจะรู้นพพร.” เธอท้วงเบา ๆ ซึ่งทำให้ข้าพเจ้าแปลกใจนิดหน่อย.

“ก็ผมไม่คิดจะไปจากที่นี่อีกเลยในชีวิต”

“แต่นั่นไม่ใช่เหตุอันเดียวของการจากกัน และไม่ใช่บ่อเกิดอันเดียวของความเศร้า” พูดแล้วเธอเอามือแตะแขนข้าพเจ้า “แต่ว่าอย่าเพิ่งถกเถียงอะไรกันเลยเดี๋ยวนี้ ญาติของเธอกำลังกระหายต้องการตัวเธอด้วยกันทุกคน.”

“คุณหญิงก็เท่ากับญาติของผม.”

“ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ควรจะหน่วงเหนี่ยวเธอไว้แต่ลำพังในวันนี้ ​ไปเถิดคนดี ไปพบกับคุณพ่อของเธอ.”

ข้าพเจ้าก็ต้องออกเดินไปกับเธอ ตรงไปที่ห้องซาลูนซึ่งญาติมิตรส่วนมากได้มาชุมนุมรออยู่ที่นั่น แล้วญาติมิตรบางคนได้มาฉุดดึงข้าพเจ้าให้ไปที่ห้องซึ่งข้าพเจ้าได้ใช้รอนแรมมาในทะเล เพื่อดูว่าข้าพเจ้าได้เดินทางมาเป็นสุขสบายอย่างไร และเพื่อที่จะช่วยกันขนข้าวของลงจากเรือ ต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็ตกอยู่ในความกลุ้มรุมของคนทั้งหลาย และแทบไม่มีเวลาจะได้สนทนาวิสาสะกับหม่อมราชวงศ์กีรติอีกเลย.

ในขณะที่ละจากเรือ ข้าพเจ้าได้ออกปากชวนเธอให้ไปสนทนาด้วยกันที่บ้านต่อไป.

“ฉันต้องขอตัว, นพพร เธอควรจะได้ใช้เวลาในวันแรกอย่างเต็มที่กับญาติสนิทของเธอ.”

“ไม่มีญาติคนใดจะต้องการเวลาของผมตลอดทั้งวันเลย.”

“อย่างน้อยก็คุณพ่อของเธอ ท่านคงจะต้องการเวลาหลายชั่วโมงที่จะสนทนากับบุตรชายของท่านซึ่งจากไปนานตั้งแต่ ๗-๘ ปี แล้วก็ยังคนอื่น ๆ อีก.”

“คุณพ่อคงจะไม่รีบร้อนพูดทุกสิ่งทุกอย่างกับผมในวันเดียวจนหมดจนสิ้น” ข้าพเจ้าหัวเราะตอบ ถึงกระนั้นก็เป็นไปด้วยกิริยาค่อนข้างสำรวม.

“ขอให้เราได้พบกันในวันอื่นเถิด, นพพร.”

“ถ้าเช่นนั้นผมจะไปเยี่ยมคุณหญิงโดยเร็วที่สุดที่จะเร็วได้” ข้าพเจ้าอนุโลมตามความประสงค์ของเธอ

เหตุการณ์ในวันแรกพบกันในกรุงเทพฯ ระหว่างข้าพเจ้ากับหม่อมราชวงศ์กีรติ ได้ปิดฉากลงรวดเร็วและเป็นธรรมดาสามัญเกินไป.

ผ่านกลางวันอันจ้อกแจ้กจอแจด้วยการต้อนรับ และได้พักผ่อน​เล็กน้อยในตอนบ่าย ตกตอนค่ำ ภายหลังเวลารับประทานอาหารแล้ว ข้าพเจ้าได้สนทนาอยู่กับท่านบิดาในห้องนั่งเล่น ในระหว่างการสนทนาอันยืดยาวนั้น ได้มีเรื่องพาดพิงไปถึงหม่อมราชวงศ์กีรติตอนหนึ่ง.

“เธอคุ้นเคยสนิทสนมกันมากหรือ กับคุณหญิงอธิการ” ท่านถามขึ้นในขณะที่สนทนากันด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ และโดยไม่มีความหมายอะไร.

“คุณพ่อหมายถึงคุณหญิงกีรติ?” เมื่อท่านกล่าวรับรอง ข้าพเจ้าจึงพูดต่อไปว่า “ขอรับ ผมชอบพอสนิทสนมกันมาก เมื่อคราวคุณหญิงไปเที่ยวญี่ปุ่น ผมได้มารับใช้คลุกคลีอยู่กับเจ้าคุณอธิการและคุณหญิงแทบตลอดเวลา.”

“น่าเสียดาย ที่เจ้าคุณอธิการมาด่วนตายเร็วไปหน่อย” ท่านบิดากล่าวต่อ “เมื่อเจ้าคุณอธิการยังมีชีวิตอยู่ พ่อเคยได้ยินสรรเสริญภรรยาคนนี้มาก และเท่าที่พ่อได้พบ ภายหลังที่เจ้าคุณอธิการถึงแก่กรรมแล้ว ​พ่อก็เห็นว่าคุณหญิงอธิการ เป็นสตรีที่น่ารักสมจะได้รับสรรเสริญจริง ๆ.”

“ผมเป็นผู้ที่นับถือเลื่อมใสในตัวคุณหญิงมาก.” ข้าพเจ้าตอบสนอง “แม้ว่าผมได้พบคุณหญิงในชั่วเวลาไม่นาน แต่ผมก็รู้จักคุณหญิงดีมาก เป็นสตรีที่ฉลาดอย่างยิ่ง เท่ากับที่เป็นคนดี. ผมไม่เคยพบใครที่จะฉลาดหลักแหลมยิ่งไปกว่าคุณหญิงกีรติ ผมคิดว่า คุณหญิงควรจะแต่งงานอีกครั้งหนึ่ง และก็คงจะหลีกเลี่ยงความต้องการของใครคนใดคนหนึ่งไปไม่พ้น.”

“แต่พ่อไม่แน่ใจนัก เพราะว่าเมื่อสิ้นเจ้าคุณอธิการแล้ว พ่อได้ทราบว่า คุณหญิงดูไม่ใคร่จะยินดีในการสมาคม เธอครองชีวิตอย่างสงบเสงี่ยมเป็นที่สรรเสริญของบรรดาเพื่อนสนิท ของเจ้าคุณอธิการทั่วไป. เมื่อเร็ว ๆ นี้ พ่อได้ทราบว่ามีใครคนหนึ่งไปติดพัน และดูเหมือนถึงได้ทาบทามเรื่องการแต่งงาน แต่คุณหญิงปฏิเสธ มีผู้กล่าวกันว่าดูเธอจะเป็นผู้ที่มีความในใจอันเร้นลับอย่างใดอย่างหนึ่ง”

ข้าพเจ้านิ่งฟังด้วยกิริยาสงบ ครั้นแล้วท่านบิดาก็เปลี่ยนการสนทนาไปสู่เรื่องอื่น.

 


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« Reply #1 on: 29 October 2025, 19:12:49 »


๑๗

หลังจากได้มาถึงกรุงเทพฯ ประมาณ ๕ วัน ข้าพเจ้าจึงได้พบเวลาอันเหมาะที่จะไปเยี่ยมเยียนหม่อมราชวงศ์กีรติ ที่จริงก็ออกจะล่าไปสักหน่อย ข้าพเจ้าควรจะได้เยี่ยมเธอเร็วพลันกว่านี้ แต่ข้าพเจ้าก็มีกิจธุระด่วนหลายอย่าง ที่ควรทำให้เสร็จสิ้นไป และโดยมากก็เป็นกิจธุระที่เกี่ยวกับงานอาชีพ ซึ่งในเวลานั้นข้าพเจ้ามีความสนใจอยู่ยิ่งกว่ากิจอื่นใดทั้งหมด.

ข้าพเจ้าไปเยี่ยมเธอที่บ้านตำบลบางกะปิ ปลูกเป็นตึกย่อม ๆ ชั้นเดียว ในบริเวณอันกว้างใหญ่ประมาณ ๓ ไร่ โดยรอบมีรั้วต้นมอร์นิ่งกลอรี่ ซึ่งสะพรั่งไปด้วยใบสีเขียวและดอกสีม่วง แลดูหนาทึบ ตัวบ้านตั้งอยู่บนเนินลึกเข้าไปในบริเวณ ดูเด่นเห็นถนัด. บริเวณหน้าบ้าน ทำเป็นสนามสำหรับเดินเล่น ผ่านไปในสวนดอกไม้นานาชนิด มีสระใหญ่อยู่ทางด้านซ้ายของบริเวณ ใกล้กับริมประตูทางเข้า มีศาลาเล็ก ๆ ตั้งอยู่กลางสวนดอกไม้ ปกคลุมด้วยพรรณไม้เลื้อย ดูเป็นที่รื่นรมย์ใจ.

​ความรู้สึกอันแรกที่เกิดแก่ข้าพเจ้า เมื่อไปถึงบ้านหม่อมราชวงศ์กีรติ ก็คือรู้สึกว่า เป็นบ้านที่น่าอยู่ที่สุดหลังหนึ่งในตำบลบางกะปิ เมื่อได้เปรียบเทียบกับบ้านจำนวนสิบกว่าหลัง ที่ข้าพเจ้าได้ผ่านมาในระหว่างทาง บ้านเหล่านั้นล้วนเป็นบ้านที่สวยงามทุกบ้าน แต่ภูมิฐานการตบแต่งภายในบริเวณจะได้บรรจุเอาความสงบรื่นรมย์ใจไว้ เสมอด้วยบ้านของหม่อมราชวงศ์กีรตินั้นหามีไม่ เมื่อทอดทัศนาดูสวนดอกไม้ซึ่งมีหลายแห่ง ประกอบด้วยหินก้อนโต ๆ ก็ชวนให้ข้าพเจ้ารู้สึกประหนึ่งว่า ได้คุ้นเคยกับบ้านหลังนี้มานาน ทั้งนี้เนื่องแต่ลักษณะวิธีการตบแต่งสวน ซึ่งคล้ายคลึงกันมาก กับลักษณะวิธีของชาวญี่ปุ่น พรรณไม้ต่าง ๆ ไม่จัดสรรไว้เป็นหมวดหมู่อย่างมีกำหนดกฏเกณฑ์ หากตบแต่งปลูกขึ้น ไว้ปะปนกัน และแลดูหนาทึบคล้ายสวนธรรมชาติ มากกว่าจะเห็นเป็นการประดิษฐ์ขึ้น แม้ว่าความจริงจะได้ตั้งใจประดิษฐ์ขึ้นก็ตาม ดูเป็น​ธรรมชาติดังสวนพฤกษชาติอันกว้างใหญ่ไพศาลที่นิกโกซึ่งข้าพเจ้าได้เคยไปเที่ยวมาหลายครั้ง.

ประตูเปิดอยู่ก่อนแล้ว รถผ่านเข้าไปช้า ๆ และในขณะที่ทอดทัศนาไปในท่ามกลางสวนดอกไม้ ข้าพเจ้าแลเห็นศีรษะของสุภาพสตรี โผล่อยู่ข้างพุ่มต้นแก้ว ข้าพเจ้าจำทรงผมนั้นได้ จึงสั่งให้รถหยุด ก่อนที่จะแล่นไปเทียบถึงหน้าตึก เมื่อข้าพเจ้าลงมายืนอยู่บนถนน หม่อมราชวงศ์กีรติก็โผล่ออกมาจากหว่างซุ้มไม้ แลเห็นได้ถนัดเต็มตัว.

“นพพร” เธอร้องทักมาแต่ไกล.

ข้าพเจ้าเปิดหมวกให้เธอ และเดินตัดทางตรงไปพบกับเธอที่นั่น.

พอข้าพเจ้าถึงตัวหม่อมราชวงศ์กีรติ สุนัขพันธุ์แอลเซเชียนซึ่งวิ่งเล่นอยู่ในที่ใกล้ ๆ นั้น ได้วิ่งเข้ามายืนอยู่เคียงข้างเธอ และจ้องมองดูข้าพเจ้าอย่างน่ากลัว หม่อมราชวงศ์กีรติย่อกายลงเอามือตบศีรษะมันเบา ๆ และออกชื่อมันสองสามครั้ง มันก็หมอบลงแทบเท้าของเธอโดยอาการสงบ.

“คุณหญิงเลี้ยงสุนัขใหญ่โตน่ากลัวมาก” ข้าพเจ้าเริ่มคำปราศรัย “มันจ้องมองดูผมอย่างสงสัย.”

เธอยิ้ม.

“โตวัลด์เป็นองครักษ์ของฉัน เราอยู่ที่นี่ด้วยกันไม่กี่คน จึงต้องอาศัยโตวัลด์เป็นยามระวังคนร้าย. ถูกแล้วโตวัลด์มักจะสงสัยใคร ๆ ไว้ก่อนเสมอ เดี๋ยวนี้ฉันทำให้เขาเข้าใจแล้วว่า เธอเป็นมิตรของฉัน เธอมาดีมิใช่มาร้าย” พูดแล้วหม่อมราชวงศ์กีรติก็ย่อกายลงลูบศีรษะโตวัลด์ แล้วบอกให้ไปวิ่งเล่นที่อื่น มันก็ยินยอมไปโดยดี.

“ฉันควรจะต้อนรับเธอในบ้าน” เธอเงยหน้าขึ้นพูดต่อไป.

ขณะนั้น เรากำลังยืนอยู่ข้างโต๊ะเก้าอี้สนาม ซึ่งตั้งอยู่ในท่ามกลาง​สวนดอกไม้ และเป็นที่ซึ่งหม่อมราชวงศ์กีรติได้นั่งเล่นอยู่ก่อน.

“ผมออกจะพอใจที่นี่. ดูร่มเย็นสบายดี และจำเริญตาด้วยพรรณดอกไม้นานาชนิด” พูดพลางข้าพเจ้าวางหมวกลงบนโต๊ะ.

“ถ้าเธอพอใจ ฉันก็จะรับรองเธอที่นี่.”

เมื่อเราทั้งสองนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าได้พูดขึ้นว่า.

“ผมขอโทษคุณหญิง ที่มาเยี่ยมล่าไปหน่อย เป็นด้วยผมต้องไปพบท่านผู้ใหญ่หลายคน เกี่ยวด้วยการงานที่ผมจะเข้าทำ ผมไม่อยากจะทอดทิ้งเวลาให้หมดเปลืองไปเปล่า.”

“ฉันขออนุโมทนากับเธอ เป็นการถูกต้องแล้วนี่นพพร ที่เธอควรจะคิดถึงเรื่องการงานก่อนอะไรทั้งหมด.”

​“ผมต้องรับกับคุณหญิงว่า ในระหว่างสองสามปีมานี้ ผมออกจะหมกมุ่นครุ่นคิดถึงเรื่องการงานมาก มิใช่เพราะเหตุว่าอยากจะได้เงินมาบำรุงบำเรอความสุข ความปรารถนาข้อใหญ่อยู่ที่ต้องการทำงาน ผมเชื่อว่าผมจะมีความสุขอย่างยิ่งถ้าได้ทำงานตามวิชาความรู้ที่ผมได้เล่าเรียนมา ข้อนี้แหละที่อาจจะทำให้ผมบกพร่องในการอื่น ๆ เป็นต้นในทางการสมาคม เช่นในการมาเยี่ยมคุณหญิงนี้.”

“เป็นความบกพร่องที่กลับทำให้เธอน่าเอ็นดูยิ่งขึ้น.” เธอพูดยิ้ม ๆ เป็นยิ้มที่แสดงความกรุณา อ่อนโยนและมีความหวานเจือปนอยู่ครบครัน เป็นยิ้มที่ข้าพเจ้าได้รู้จักมานาน และสามารถที่จะระลึกถึงได้เมื่อได้มาพบอีกครั้งหนึ่ง “เธอเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ทีเดียว นพพร. เธอรู้ตัวไหมว่า เดี๋ยวนี้น่ะ กิริยาการอย่างเด็กหนุ่มของเธอเกือบไม่มีเหลืออยู่อีกแล้ว.”

“ผมคิดว่า ผมคงจะเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ผมยากที่จะทราบสำนึกได้ด้วยตนเอง.”

“เธอเป็นชายหนุ่มใหญ่เต็มที่ และดูเคร่งขรึมผิดกว่าแต่ก่อน.”

“ผมไม่รู้ตัวเลยข้อนั้น ในส่วนตัวคุณหญิง ผมแลเห็นความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย.”

“ฉันแก่ลงไปมาก.”

“ผมไม่เห็นดังนั้นเลย ประทานโทษ คุณหญิงอายุเท่าไหร่แล้ว”

“๔๐ เศษ.”

“ประทานโทษ คุณหญิงยังดูสาว....”

“อะไรกัน นพพร ประทานโทษไม่ได้หยุด” เธอพูดด้วยเสียงดุ ๆ “เธอพูดดังกับว่าฉันจะคอยเอาโทษเธอไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ดูเธอเปลี่ยนแปลงไปมากจริง ๆ.”

​“ผมเกรงว่า ผมจะพูดในสิ่งที่ไม่สมควร.”

“ถึงกระนั้นก็ไม่จำต้องขอโทษอะไร เมื่อได้พูดออกมาเสียแล้ว. เดี๋ยวนี้ฉันไม่ใช่สตรีคนที่เธอได้พบที่โตเกียวแล้ว เวลามันห่างกันเกือบ ๖ ปี ถ้าเธอไม่ตั้งใจจะยกยอฉันจนเกินไป เธอก็จะพูดว่า ฉันยังดูเป็นสาวต่อไปอีกไม่ได้.”

“แต่นั่นเป็นความรู้สึกจริงใจของผม.”

“เธอมีอุปาทานมากเกินไป. เชื่อฉันเถิด นพพร เดี๋ยวนี้ฉันมีอายุถึง ๔๐ เศษแล้ว ฉันรู้ตัวดีว่าฉันแก่ไปมาก.”

“ข้อนั้นอาจเป็นอุปาทานของคุณหญิงยิ่งกว่าของผมก็เป็นได้.” แล้วข้าพเจ้าก็เปลี่ยนหัวข้อเรื่องใหม่ “คุณหญิงคงจะอยู่เป็นสุขสบายดีในบ้านหลังนี้ มันสวยงามสมที่คุณหญิงจะอยู่ โปรดเล่าเรื่องราวของคุณหญิงให้ผมฟังบ้าง.”

เธอจ้องมองดูข้าพเจ้าอย่างไม่แน่ใจ.

“เธอเชื่อว่าเธอยังมีความสนใจโดยแท้จริงในความเป็นอยู่ของฉันอยู่อีกหรือ?”

“ผมมีความสนใจในความเป็นอยู่ของคุณหญิงตลอดมา.”

“เดี๋ยวนี้ เมื่อเธอได้กลับมาอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วเธอก็มีการงานและคนที่รู้จักมักคุ้นกับเธอเป็นอันมากที่เธอจะต้องติดต่อเอาใจใส่ ฉันเกรงว่าเธอจะมีเวลาน้อยเต็มที สำหรับที่จะมาเอาใจใส่ในความเป็นอยู่ของฉัน. ในเวลานี้เป็นเวลาที่ต่างกันมากกับเวลาที่เราได้พบกันในโตเกียวจริงไหม นพพร ?”

ข้าพเจ้าออกจะเห็นจริงตามคำของหม่อมราชวงศ์กีรติ ข้าพเจ้าไม่มีเวลาและความรู้สึกฟุ่มเฟือยที่จะคิดถึงเธอดังแต่กาลก่อน เหตุการณ์แต่ปางหลังได้เลือนไปจากความทรงจำของข้าพเจ้า แม้ที่สุดจนเหตุการณ์​บนยอดเขามิตาเกะ ซึ่งครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ได้พิมพ์ประทับลงไปอย่างแนบแน่นในชีวิต ข้าพเจ้าก็แทบจะมิได้ระลึกนึกไปถึง ทุกสิ่งทุกอย่างดูจะผ่านพ้นไป ดุจว่าได้จากกาลสมัยของมันเสียแล้ว กาลสมัยที่ได้ตั้งต้นขึ้นใหม่ ในวิถีชีวิตของข้าพเจ้าบัดนี้คือกาลสมัยแห่งการงาน และความเป็นอยู่ที่จะเข้ามาปรากฏเฉพาะหน้า. เป็นความจริงว่า ข้าพเจ้าไม่ได้มีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งรุนแรง ดุจที่ได้เกิดขึ้นในกาลสมัยหนึ่งเมื่อ ๖ ปีล่วงแล้ว.

ในส่วนตัวหม่อมราชวงศ์กีรติเองนั้น ข้าพเจ้าไม่อาจจะคาดคะเนได้ว่า เธอกล่าวความเช่นนั้น ด้วยมีประสงค์เพียงแต่จะกล่าวตามที่เธอรู้สึกว่าเป็นความจริง หรืออาจเป็นด้วยเธอมีที่ประสงค์อย่างอื่นอีก. ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเธอจะมีกาลสมัยอันใหม่มาผลัดเปลี่ยนกาลสมัยเดิมของเธอหรือไม่.

“ผมรู้สึกว่าผมเอาใจใส่ต่อคุณหญิงพอเพียงที่จะฟังเรื่องราวของคุณหญิงได้” ข้าพเจ้าพูดไปตามที่เห็นว่าควรจะพูดอย่างไร.

“เอาเถิด ฉันจะเล่าให้เธอฟังในฐานที่เธอเป็นมิตรเก่าของฉัน โดยไม่ต้องคำนึงว่าเดี๋ยวนี้เธอจะเป็นอะไร.”

หม่อมราชวงศ์กีรติพูดอย่างค่อนข้างจริงจัง แล้วก็หยุดครู่หนึ่งเพื่อรำลึกเรื่องราวของเธอ.

“เรื่องราวตอนใหม่ของฉันควรจะตั้งต้นภายหลังที่เจ้าคุณได้ถึงแก่กรรมแล้ว การเล่าถึงการป่วยเจ็บของท่านนั้นออกจะเป็นเรื่องเศร้า และดูเหมือนฉันจะได้เคยเขียนเล่าไปให้เธอฟังบ้างแล้ว” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดช้า ๆ ด้วยความตรึกตรอง “ฉันเศร้าโศกอย่างไรภายหลังการตายของท่าน ก็ไม่น่าจะนำมาเล่าอีกเหมือนกัน ฉันจะเล่าแต่เหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ตัวฉัน. ในข้อแรกท่านทำให้ฉันเป็นคนมั่งมีขึ้น ​โดยแบ่งทรัพย์สมบัติของท่านประมาณหนึ่งในสามส่วนให้เป็นมรดกแก่ฉัน ทรัพย์สมบัติของท่านอีกสองส่วนตกได้แก่ลูกของท่านสองคน. แท้จริงฉันไม่ได้คาดหมายจะได้ส่วนแบ่งอะไรในกองทรัพย์สินของท่าน เพราะว่าฉันได้อยู่กินกับท่านมาก็เพียง ๒-๓ ปี ทั้งไม่ได้เกิดบุตรด้วยกัน การที่ท่านมีเมตตาต่อฉันถึงปานนี้ ทำให้ฉันอดสงสัยไม่ได้ว่า ฉันดีพอสมที่จะได้รับความเมตตาถึงปานนั้นเจียวหรือ. นพพร เธอเห็นว่าฉันเป็นคนโชคดีหรือโชคร้ายเล่า?”

“เป็นปัญหาที่ตอบยากอยู่ครับ” ข้าพเจ้าตอบอย่างค่อนข้างระมัดระวัง.

“นั่นซิ ฉันเองก็เห็นว่าเป็นปัญหาที่ตอบยาก.” เธอพูดนัยน์ตาเลื่อนลอยไปตามความคิดคำนึง “ฉันดำรงชีวิตแต่งงานไม่เกินสามปี แล้วสามีก็ตายจากไป แล้วฉันก็กลับกลายเป็นคนมั่งมีคนหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องดำรงชีวิตสันโดษเดี่ยว ดูเป็นชีวิตที่สับสนน่าประหลาด จริงไหม นพพร?”

“ก็ทำไมคุณหญิงไม่กลับไปอยู่กับท่านพ่อ?”

“ฉันอยู่กับท่านมา ๓๕ ปีแล้ว ฉันรักท่านพ่อของฉันอย่างที่สุด ฉันได้ไปเยี่ยมและพักอยู่กับท่านเป็นครั้งคราวบ่อย ๆ แต่ว่าฉันจะไม่กลับไปมีชีวิตเช่นนั้นอีก ชีวิตที่กดฉันไว้กับความอาภัพ แห้งแล้งและขมขื่น จนฉันไม่อาจลืมได้ตลอดชั่วชีวิตของฉัน.”

“ถ้าเช่นนั้นคุณหญิงก็คงจะเลือกข้างการใช้ชีวิตคบหาสมาคมกับคนทั่วไป”

“ที่จริงก็น่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ฉันก็หาได้เลือกเช่นนั้นไม่” เธอพูดประหนึ่งว่ามีความพิศวงสงสัยในการตัดสินใจของเธอเอง “ฉันจะเล่าเรื่องของฉันโดยย่อต่อไป ภายหลังเจ้าคุณถึงแก่กรรม ฉันก็ย้ายมาอยู่​ที่นี่ บ้านเดิมของเราท่านยกให้ลูกชายคนโตเป็นผู้ครอบครองสืบต่อไป ฉันเองก็ไม่มีความประสงค์จะอยู่ต่อไปในบ้านหลังนั้น เพราะว่ามันใหญ่โตเกินไปประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง มันจะชวนให้ฉันคอยจดจำถึงการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของเจ้าคุณโดยไม่สุดสิ้น ที่ดินผืนนี้เจ้าคุณได้มาจับจองซื้อไว้ก่อนหน้าจะถึงแก่กรรมหลายปี และเราได้เคยปรารภกันไว้ก่อนแล้วว่าจะมาปลูกบ้านย่อม ๆ ไว้เป็นที่พักผ่อนที่นี่ ครั้นท่านถึงแก่กรรมลง ฉันก็ได้ลงมือดำเนินการตามความดำรินั้น ต่างกันก็ที่ว่า แทนที่จะถือเป็นบ้านพักชั่วคราว มันกลับเป็นบ้านอันถาวรของฉันเลยทีเดียว.”

“และควรจะเป็นบ้านที่ให้ความสุขอย่างยิ่งแก่ผู้เป็นเจ้าของด้วย” ข้าพเจ้ากล่าวต่อ เมื่อเธอจบระยะการเล่าลงตอนหนึ่ง.

“มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น” พูดพลางเธอทอดสายตาไปตามที่ต่าง ๆ ในบริเวณบ้านด้วยความพึงพอใจ “ใคร ๆ ที่มาที่นี่ มักจะออกปากว่า บ้านของฉันน่าอยู่ และอยากอิจฉาในความสุขของฉันนัก แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่า ความคิดเห็นเช่นนั้นเป็นการถูกต้องหรือไม่.”

“นอกจากบ้านที่น่าอยู่นี้แล้ว มีอะไรอีกบ้างที่ประกอบเป็นความสุขของคุณหญิง.”

“เธอยังอดเป็นนักตั้งกระทู้ไม่ได้” หม่อมราชวงศ์กีรติยิ้มด้วยรู้สึกมีเอ็นดู “นี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในนพพรที่ฉันได้พบในโตเกียว.”

“ผมถามล่วงเกินไปหรือครับ?” ข้าพเจ้าทวนถามโดยสุภาพ.

“ไม่ถึงกับล่วงเกินอะไรดอก แต่ก็มีน้อยคนนักที่จะตั้งกระทู้ถามกับฉันเช่นนี้ เธอช่างคิดตั้งคำถาม เพราะว่าดูเหมือนฉันเองก็ไม่เคยคิดไว้ก่อนว่า ความสุขของฉันประกอบด้วยอะไรบ้าง” เธอหยุดตรองครู่หนึ่ง ​แล้วพูดต่อไป “ฉันมาระลึกนึกดู ก็อดประหลาดใจในตัวเองไม่ได้ เพราะว่าส่วนสำคัญที่ประกอบเป็นความสุขของฉันในกาลที่ล่วงแล้วมา แทนที่จะเป็นของแท้ของจริงที่ได้บังเกิดแก่ตัวฉัน กลับกลายเป็นแต่ความหวังหรือความคาดคอยในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตกมาในบัดนี้วิถีชีวิตของฉันก็ยังไม่เปลี่ยนไปจากแนวทางเดิม ความสุขอันแท้จริงของฉันยังคงเลื่อนลอยอยู่ข้างหน้า ฉันเป็นแต่ไล่ไขว่คว้าติดตามและหวังในสิ่งนั้น และคอยอยู่.”

“ดูเป็นชีวิตที่น่าเหน็ดเหนื่อยแทน” ข้าพเจ้าปรารภขึ้นด้วยความสงสารเห็นใจ.

“จะทำอย่างไรได้. นพพร สิ่งที่เป็นใหญ่เป็นประธานในโลกได้กำหนดชีวิตของฉันไว้เช่นนั้น ฉันดิ้นรนเท่าใดก็ออกมาจากเส้นกำหนดไม่ได้ ก็จำต้องเผชิญชีวิตไปตามยถากรรม ชีวิตของเธอมีค่ากว่าของฉัน และดำเนินไปโดยสะดวกราบรื่นกว่าของฉัน. ในชีวิตของเธอมีแต่ของ​แท้ของจริง เธอได้รับความพอใจในเหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นในชีวิตของเธอทุกขณะ และเมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไป เธอก็ลืมมันได้สนิท แล้วเธอก็เผชิญกับเหตุการณ์ใหม่ด้วยความพอใจอันใหม่ มันดำเนินไปและได้รับการผลัดเปลี่ยนอย่างมีระเบียบ. ส่วนชีวิตของฉันมันสับสนด้วยความเลือนราง ความคำนึงนึกฝันความสุขมีจริงในบางครั้งคราว แต่ว่าไม่เป็นของแจ่มแจ้งและแน่นอน มันเป็นคล้าย ๆ ความฝัน เป็นสิ่งที่ล่องลอยอยู่เหนือศีรษะ ฉันคว้ามันถูกบ้าง ผิดบ้าง บางคราวก็เพลิดเพลิน บางคราวก็เหน็ดเหนื่อยอ่อนใจ. นี่แหละเป็นสภาพชีวิตของฉันซึ่งฉันก็ตั้งใจจะเล่าให้เธอเข้าใจ แต่ก็คงเป็นการยากที่เธอจะเข้าใจได้.”

“เป็นชีวิตที่แปลกและน่าเห็นใจอย่างยิ่ง และเข้าใจยากด้วย.” ข้าพเจ้ารำพึงด้วยความรู้สึกจริงใจ และได้ตั้งข้อถามอีกว่า “เดี๋ยวนี้คุณหญิงก็ได้ชื่อว่าเป็นคนมั่งมีคนหนึ่ง เหตุใดไม่ใช้ความมั่งมีนั้นเปลี่ยนความหวังให้เป็นความจริงขึ้น คุณหญิงจะได้มีความสุขอย่างครบถ้วนสมบูรณ์.”

“เงินมีอำนาจจริง, นพพร แต่ก็ไม่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง. บังเอิญสิ่งที่ฉันหวังและคาดคอยอยู่นั้น ก็มักจะไม่ใช่สิ่งที่อาจได้มาด้วยอำนาจของเงิน. นี่เป็นเคราะห์ร้ายอย่างฉกรรจ์ของฉัน.”

พูดถึงตอนนี้หม่อมราชวงศ์กีรติลุกขึ้นยืน.

“นี่แน่ะ, นพพร ขอให้ฉันหยุดเล่าเรื่องของฉันเสียที มันน่ารำคาญมากกว่าจะน่าสนใจ. ฉันอยากจะฟังเรื่องราวของเธอบ้าง เราจะเดินเล่นกันนิดหน่อย และระหว่างนั้นขอให้เธอเล่าเรื่องของเธอไป แล้วเราจะขึ้นบ้าน และฉันขอให้เธออยู่รับประทานอาหารกับฉันในค่ำวันนี้ เพื่อว่าฉันจะได้มีโอกาสฟังเรื่องราวของเธอโดยละเอียด.”

ข้าพเจ้าปฏิบัติตามความประสงค์ของเธอ. เรามีเวลาเดินเล่นอยู่​ได้ไม่นานก็ถึงเวลาพลบค่ำ ในขณะที่เราเดินคลอเคียงสนทนากันไปในระหว่างทางที่ผ่านไปตามสวนไม้ดอกอันมีบริเวณกว้างขวางนั้น ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาขัดจังหวะเลย เราอยู่ด้วยกันแต่ลำพัง ในกลางความสงบ และภูมิฐานที่น่าจะเรียกร้องความรู้สึกรุนแรงแต่ปางหลังเมื่อ ๖ ปีก่อน ให้กลับคืนมาเสียเหลือเกิน แต่ประหลาดที่ความรู้สึกของข้าพเจ้าไม่ได้รับความกระทบกระเทือนให้หวั่นไหวไปแต่ประการใด ทั้งนี้มิใช่เพราะเหตุว่า หม่อมราชวงศ์กีรติได้สูญเสียความงามและเสน่ห์เก่าแก่ไปเสียแล้ว ข้าพเจ้ายังคงมองเห็นความงามและเสน่ห์ของเธอได้อย่างถนัดชัดเจน หากแต่ว่าข้าพเจ้าได้มองดูสิ่งนี้ด้วยความสรรเสริญยกย่อง และโดยมิได้รับเอามาปะปนกับอารมณ์ของข้าพเจ้าเลย.

ข้าพเจ้าได้อยู่รับประทานอาหาร และสนทนากับเธอจนถึง ๓ ทุ่ม​จึงได้ลากลับ. หม่อมราชวงศ์กีรติเล่าว่า เธออยู่กับน้าและหลานสาวคนหนึ่ง แต่บังเอิญในวันนั้นทั้งสองคนออกไปเยี่ยมญาติ แลอาจไปค้างแรมที่บ้านญาติ จึงเป็นอันว่าข้าพเจ้าได้ใช้เวลาอยู่กับหม่อมราชวงศ์กีรติแต่ลำพัง รวมเวลาราว ๔ ชั่วโมง ข้าพเจ้ามีความพอใจมากตลอดเวลาที่อยู่กับเธอ เล่าเรื่องของข้าพเจ้าให้เธอฟัง และฟังเรื่องของเธอโดยไม่เบื่อหน่าย.

ที่โต๊ะรับประทานอาหาร ภายใต้ดวงโคมอันมีแสงสว่างจ้า เราทั้งสองนั่งรับประทานไปพลางสนทนากันไปพลาง เป็นเวลานานไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั่วโมง ข้าพเจ้าได้สังเกตว่าวัย ๔๐ ปีของหม่อมราชวงศ์กีรติ ได้ปรากฏออกให้เห็นเล็กน้อย จากริ้วรอยบางแห่งตามพื้นผิวอันงามของเธอ แต่ในส่วนกิริยาการและการพูดจาพาทีนั้น เธอมิได้เปลี่ยนแปลงไปจากหม่อมราชวงศ์กีรติคนเดิมเลย แช่มช้อยและหวานอย่างไรก็อย่างนั้น ในระหว่างที่เธอเป็นธุระตักโน่นตักนี่ให้รับประทาน ข้าพเจ้าก็อดระลึกไปถึงความกรุณาปรานีเก่าแก่ของเธอไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าได้ระลึกถึงเพียงว่า เธอนั้นเปรียบเหมือนพี่สาวคนหนึ่ง จิตใจของข้าพเจ้ามิได้เพ่นพ่านเตลิดเพริดไปในโลกอันร้อนแรงไปด้วยความรู้สึกดุจในกาลก่อน.

ตลอดเวลา ๔ ชั่วโมงนั้น ข้าพเจ้าอ่านไม่ออกว่าหม่อมราชวงศ์กีรติมีความมุ่งหมายในวิถีชีวิตอย่างไร.

 


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« Reply #2 on: 29 October 2025, 19:13:54 »


๑๘

หลังจากวันนั้นแล้ว ข้าพเจ้ามิได้ไปเยี่ยนเยียนเธออีก เนื่องด้วยมีความหมกมุ่นอยู่ด้วยกิจธุระงานการ จนกระทั่งเวลาได้ล่วงไป ๒ เดือนเศษ และท่านบิดาได้บอกกล่าวให้ข้าพเจ้าทราบว่า ท่านได้กำหนดวันประกอบการพิธีวิวาหมงคลของข้าพเจ้าไว้แล้ว ซึ่งจะตกในเวลา ๓ เดือนข้างหน้า.

เมื่อได้ทราบกำหนดการแต่งงาน ข้าพเจ้าก็เห็นว่าเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะไปรายงานเรื่องราวให้หม่อมราชวงศ์กีรติทราบโดยคารวะ. ในการเยี่ยมครั้งที่สอง หม่อมราชวงศ์กีรติได้รับรองข้าพเจ้าในห้องรับแขก แต่ถึงกระนั้นก็ปราศจากผู้ที่จะมารบกวนขัดขวางการสนทนาของเรา.

จากการสนทนาปราศรัยในตอนแรก ๆ แม้ว่าหม่อมราชวงศ์กีรติจะมิได้ตั้งใจแสดงให้ทราบว่า เธอออกจะผิดหวังไม่น้อย ในการที่ข้าพเจ้าได้ทอดระยะเวลาการเยี่ยมครั้งแรกและครั้งที่สองห่างจากกันถึง ๒ เดือน แต่ข้าพเจ้าก็สังเกตเห็นได้ว่า เธอรู้สึกผิดหวังจริง ๆ และดูจะมีความ​เสียใจอยู่ที่ข้าพเจ้าได้วางตนผิดไปจากความคาดหมายของเธอ อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเองไม่อาจล่วงรู้ได้ว่า อะไรเป็นมูลเหตุก่อให้เธอเกิดความรู้สึกเช่นนั้น จะเป็นเพราะเธอมีความปรารถนาดีต่อข้าพเจ้า เกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะคาดหมายได้ หรือเพราะเหตุอันใดก็เหลือที่ข้าพเจ้าจะทราบได้.

แต่แม้จะได้สังเกตเห็นในน้ำใจของหม่อมราชวงศ์กีรติดังนั้น ข้าพเจ้าก็มิได้กล่าวความสังเกตออกมาให้เป็นที่แจ้งประจักษ์ เพราะว่าข้าพเจ้าไม่มีประสงค์จะแก้ว่า ต้องติดโน่นติดนี่ จึงมาเยี่ยมเธอไม่ได้บ่อย ๆ ด้วยถ้าจะแก้ดังนั้นแล้วก็อาจจะกลับเพิ่มความขมขื่นใจของเธอทับทวีขึ้น ข้าพเจ้าจึงเป็นแต่รับทราบความผิดหวังของเธอไว้เงียบ ๆ

ภายหลังที่ได้สนทนาด้วยเรื่องต่าง ๆ พอสมควรแล้ว ข้าพเจ้าก็เริ่มเรื่องที่ได้ตั้งใจจะมาบอกเล่าให้เธอทราบ

“ผมมีข่าวใหม่จะมาบอกคุณหญิง.”

“ฉันหวังว่าเป็นข่าวดีมากแก่ตัวเธอ และคงจะเป็นข่าวเกี่ยวกับ​ความก้าวหน้าในทางงานการของเธอเป็นแน่” เธอคอยฟังคำตอบจากข้าพเจ้าด้วยความสนใจ.

“หามิได้ เป็นข่าวดีจริง แต่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานการ คุณหญิงคงจะดีใจมากถ้าผมจะแต่งงานในไม่ช้านี้.”

ข้าพเจ้าสังเกตว่าคุณหญิงมีอาการสะดุ้งนิดหน่อย อาจเป็นด้วยข่าวใหม่นี้ไม่อยู่ในความคาดหมายของเธอ.

“นพพรจะแต่งงาน?” เธอทวนคำอย่างไม่แน่ใจ “เธอจะแต่งกับสุภาพสตรีที่ไปรับเธอในวันแรกที่ถึงกรุงเทพฯ ใช่ไหม?”

“คุณหญิงรู้เรื่องของเราตลอดแล้วหรือครับ?”

“เปล่า ฉันไม่รู้เลย ฉันเป็นแต่คาดคะเนเอา เธอมีการติดต่อกันมานานแล้วหรือ?”

“เธอเป็นคู่หมั้นของผม.”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” สีหน้าของหม่อมราชวงศ์กีรติแทนที่จะ​เปล่งปลั่งด้วยความยินดี กลับแสดงว่าเต็มไปด้วยความพิศวงสงสัย.

“ตั้ง ๗-๘ ปีมาแล้วครับ ก่อนหน้าผมออกไปญี่ปุ่นนิดหน่อย.”

“แต่ตลอดเวลาที่ฉันพบเธอในโตเกียว เธอไม่ได้บอกเรื่องคู่หมั้นของเธอให้ฉันทราบเลย” เสียงของเธอแสดงว่ามีความพิศวงสงสัยยิ่งขึ้น.

“อาจเป็นด้วยผมเองไม่ได้สนใจในเรื่องการหมั้นนั้นเลย.”

“และเดี๋ยวนี้เธอได้ตกลงปลงใจจะแต่งงานกับสตรีที่เธอไม่เคยสนใจมาก่อน.”

“เป็นความประสงค์ของคุณพ่อท่าน และผมก็ไม่มีข้อขัดข้องอะไร อันที่จริงเธอก็เป็นสตรีที่ได้รับการศึกษา และมีฐานะดีพอ. การแต่งงานคงจะช่วยให้ชีวิตของผมเป็นหลักฐานดีขึ้นกว่าเดี๋ยวนี้.”

หม่อมราชวงศ์กีรติจ้องมองข้าพเจ้าด้วยสายตาที่ยากจะเข้าใจในความหมายได้เป็นครู่หนึ่ง เธอจึงพูดขึ้นว่า “เธอยังไม่ได้บอกนามสตรีคู่หมั้นของเธอแก่ฉัน.”

“ชื่อปรีดิ์ครับ ปรีดิ์ บูรณวาท.”

“รูปงาม นามเพราะ” เธอยิ้มอย่างเลื่อนลอย อย่างไม่มีความแน่นอนใจ “ฉันขอแสดงความยินดีอย่างยิ่งต่อเธอ.”

แล้วเธอยื่นมือมาให้ข้าพเจ้าสัมผัส ระหว่างนั้นข้าพเจ้าได้บอกกับเธอว่า “คุณหญิงเป็นคนแรกที่ได้แสดงความยินดีต่อผม”

“นับเป็นเกียรติยศอย่างสูงที่ฉันได้รับ” เธอตอบโดยกิริยาเสงี่ยม.

เรานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ระหว่างที่ข้าพเจ้ายังนึกไม่ออกว่า จะสนทนากับเธอด้วยเรื่องอะไรต่อไป หม่อมราชวงศ์กีรติได้พูดขึ้นก่อน.

“นพพร, เธอมีอุดมคติอย่างไรในการแต่งงาน?”

“ผมแทบจะจำนนคำตอบ ผมไม่ถนัดในการตอบปัญหาเช่นนี้.”

“เธอเคยถามปัญหาจุกจิกกับฉันมาก และฉันไม่เคยหลีกเลี่ยงเลย ​เมื่อถึงคราวฉันถามเธอบ้าง เธอก็จะหลีกเลี่ยงไม่ได้.”

“ผมไม่ตั้งใจจะหลีกเลี่ยง แต่ผมเกรงว่าผมไม่มีอุดมคติอะไรในการแต่งงานที่จะชี้แจง.”

“ประหลาดที่เธอบอกว่า เธอไม่มีอุดมคติในการแต่งงาน” พูดแล้วหม่อมราชวงศ์กีรติก็ถอนใจ

“ผู้ชายทุกคนเป็นอย่างเธอหรือ, นพพร?”

“ทุกคนคงจะไม่เหมือนกัน แต่ส่วนมากอาจเป็นเช่นผมก็เป็นได้” ข้าพเจ้าตอบไปตามความรู้สึก“ผู้ชายคงจะมีอุดมคติในเรื่องการงาน ยิ่งกว่าจะมีในเรื่องอื่นเช่นผมเป็นต้น.”

“นี่เธอรักคู่หมั้นของเธอหรือเปล่า?”

“เรามีเวลาพบปะกันน้อย เราต่างก็มีความพอใจในกันตามสมควร และผมหวังว่าเราจะรักกันได้เมื่อได้แต่งงานกันแล้ว.”

“สำหรับหนุ่มสาว ความรักไม่สู้จำเป็นนักดอกหรือ ก่อนที่จะได้ตกลงปลงใจแต่งงานกัน?” เป็นคำถามที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ฉันเคยได้ยินแต่ว่า รักกันไว้เถิดแต่อย่าแต่งงานกัน แต่นี่นพพรจะแต่งงาน และจะไปรักกันต่อภายหลัง.”

“ถ้ามีความรักต่อกันก่อนแต่งงานก็คงจะเป็นการดียิ่งขึ้น. อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่าความรักเป็นเรื่องยุ่งยากเหลือทน และเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน.”

“อะไรทำให้เธอมองเห็นความรักไปในแง่นั้น?”

“เพราะว่าครั้งหนึ่งผมเคยรัก.”

“โปรดเล่าเรื่องของเธอไปให้ตลอด” ความแจ่มใสปรากฏขึ้นในแววตาของหม่อมราชวงศ์กีรติ.

“คุณหญิงทราบเรื่องนั้นละเอียดลออดีอยู่แล้ว เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อคุณหญิงไปญี่ปุ่นและกระทั่งได้จากผมมา. ความรักให้ความชุ่มชื้นใน​เบื้องต้น แต่ได้จบลงด้วยทุกข์ทรมานอย่างแสนร้ายกาจ ผมได้คิดในตอนหลังว่า ผมได้ปล่อยตัวให้เตลิดเพริดไปอย่างไม่สมควรยิ่ง ผมควรจะรักและนับถือคุณหญิงดุจพี่สาวของผม ผมรู้ตัวว่าผมได้ทำผิดไปมากในระหว่างนั้น. ตั้งแต่นั้นมา ผมได้พยายามลืมเหตุการณ์ครั้งนั้นอย่างเด็ดขาด และก็ในครั้งนั้นเหมือนกันที่ผมได้เรียนรู้ด้วยตัวของผมเองว่า ความรักที่ร้อนเป็นไฟเช่นนั้นเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ทรมานเพียงไร ผมเชื่อว่าผมจะไม่มีความรักเช่นนั้นอีกแล้ว.”

หม่อมราชวงศ์กีรติมองอย่างเหม่อ ๆ ไปข้างหน้า ไม่ได้ตอบว่ากระไร.

“ผมไม่คิดจะพูดเรื่องนี้กับคุณหญิงอีกเลย” ข้าพเจ้ากล่าวต่อไป “มันทำให้ผมละอายและชังตัวเอง.”

“คนเรามีความคิดเห็นในเรื่องความรักแตกต่างกัน และฉันเห็นด้วยกับเธอ ในข้อที่ว่าความรักบีบคั้นทรมานใจเรามาก และในบางคราวก็เหลือที่จะทนทาน เธอทำถูกต้องอย่างคนทั้งหลายทั่วไปแล้ว ที่ปลีกตนออกมาพ้นจากความทรมานนั้นได้ และลืมความหลังเสียได้ แต่คนโง่ ๆ บางคนอาจปฏิบัติไม่ได้เช่นเธอ. ฉันขอแสดงความยินดีต่อเธออีกครั้งหนึ่ง” เธอหยุดนิ่งไปเป็นครู นัยน์ตาไม่ได้แลจับนัยน์ตาข้าพเจ้า และเมื่อเบือนหน้ากลับมาเผชิญหน้ากัน เธอถามว่า “นี่เธอกำหนดจะแต่งงานเมื่อไหร่?”

“คุณพ่อบอกกับผมว่าอีกประมาณ ๓ เดือน.”

“ฉันขออวยพรล่วงหน้าไว้ก่อน ฉันเป็นผู้ที่มีความเชื่อถือในความรัก ฉะนั้นฉันขออวยพรให้เธอทั้งสองได้รักกัน จะก่อนหรือหลังแต่งงานก็ตาม แต่ขอให้รักกันอย่างดีที่สุดและโดยเร็วที่สุด” เธอหยิบถ้วยน้ำชาซึ่งวางอยู่ตรงหน้าและชูขึ้นด้วยกิริยาการที่ค่อนข้างกระปรี้​กระเปร่า ยิ้มอย่างเปล่งปลั่งให้ข้าพเจ้าก่อนที่จะได้พูดต่อไป “ฉันขอดื่มให้เธอ มิตรที่รักของฉัน สำหรับความสุขและความรักของเธอทั้งสอง” จิบน้ำชาแล้วเธอวางถ้วยลงและพูดต่อไปว่า “ฉันเป็นคนแรกที่จะรับช่วยทุกสิ่งทุกอย่างในการแต่งงานของเธอ.”

เมื่อได้อยู่สนทนาต่อไปอีกครู่ใหญ่ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าเธอมีอาการไม่ใคร่สบาย แต่ดูเหมือนเธอพยายามจะซ่อนเร้นมิให้ปรากฏ เพื่อที่จะได้แสดงความชื่นชมยินดีต่อข้าพเจ้าได้เต็มที่ ข้าพเจ้าไม่ได้แสดงความสังเกตให้เธอทราบ เป็นแต่ได้รีบลาเธอกลับโดยอ้างว่ามีกิจที่จะต้องกระทำ ถึงกระนั้นก็ตาม ข้าพเจ้าก็ได้อยู่สนทนากับเธอเกือบสิ้นเวลาสองชั่วโมง ข้าพเจ้าเสียดายที่มาบอกข่าวสำคัญ ประจวบกับเวลาที่เธอไม่ใคร่สบาย ถ้าเป็นในเวลาปรกติแล้ว หม่อมราชวงศ์กีรติคงจะแสดงความตื่นเต้นยินดียิ่งกว่านั้นหลายเท่า และจะไม่ยอมให้ข้าพเจ้าลาจากมาโดยไวเป็นแน่. นี่เป็นความคิดเห็นของข้าพเจ้าในเวลานั้น.

 


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« Reply #3 on: 29 October 2025, 19:15:02 »


๑๙

ข้าพเจ้าไม่ได้คิดฝันไปเลยแม้แต่น้อยว่า การไปเยี่ยมหม่อมราชวงศ์กีรติในครั้งนั้น จะเป็นการเปิดฉากแห่งกาลอวสานของเธอ และร้ายกาจอะไรเช่นนั้นเล่าที่ฉากใหม่ได้ปิดลงในเวลาอันรวดเร็วนัก!

การแต่งงานระหว่างข้าพเจ้ากับปรีดิ์คู่หมั้น ได้กระทำลงตามวันเวลาที่ได้กำหนดไว้ ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวถึงว่าการแต่งงานของเราได้เป็นไปอย่างเอิกเกริกมโหฬาร เป็นที่ปลาบปลื้มยินดีแก่ตัวข้าพเจ้าและภรรยาของข้าพเจ้าเพียงใด. ข้อที่ข้าพเจ้านึกเสียดายอยู่ไม่วายก็คือ หม่อมราชวงศ์กีรติมิได้มาในวันแต่งงานของเรา เธอให้คนถือหนังสือมาให้ข้าพเจ้าในตอนบ่าย บอกว่าเธอป่วยไม่สามารถจะมาได้ และได้ประสาทพรมาในจดหมาย และได้บอกไว้ด้วยว่าจะมาเยี่ยมข้าพเจ้าเมื่อคลายป่วยแล้ว.

ข้าพเจ้าได้กะการไว้แล้วว่า จะพาภรรยาไปพักผ่อนที่หัวหินสักสองสัปดาห์. ก่อนจะลงไปหัวหิน ข้าพเจ้าได้พาภรรยาไปเยี่ยมหม่อมราชวงศ์กีรติที่บ้าน ซึ่งเป็นเวลาหลังจากแต่งงานแล้ว ๓ วัน. ​เธอบอกกับเราว่าค่อยคลายจากความป่วยไข้แล้ว และตั้งใจจะไปเยี่ยมเยียนเราในเร็ววัน. ข้าพเจ้าสังเกตเห็นได้ถนัดชัดเจนว่าเธอซูบเซียวลงไปกว่าปรกติ. เมื่อได้รับคำซักถามถึงอาการเจ็บป่วย เธอบอกว่ารู้สึกอ่อนเพลียและในวันแต่งงานของเรานั้นมีอาการเป็นไข้ด้วย. ในวันนั้นหม่อมราชวงศ์กีรติดเชื่อมซึมไป พูดน้อย. เธอขอให้เราเล่าถึงความเป็นไปในวันแต่งงาน แล้วเธอก็นิ่งฟัง และซักบ้างเป็นครั้งคราว และถามถึงความรู้สึกของปรีดิ์ในวันแต่งงาน. ข้าพเจ้าใช้เวลาเยี่ยมเธอในวันนั้นประมาณ ๑ ชั่วโมงก็ลากลับ ด้วยเกรงว่าเธอจะไม่มีความผาสุกเนื่องด้วยยังไม่สบายเป็นปรกติ.

ออกมาข้างนอก ปรีดิ์ออกความเห็นว่า “อ่อนหวานและยังสวย แต่ว่าดูเป็นคนลึกลับอยู่สักหน่อย.”

□ □ □

๒ เดือนผ่านไป. เหตุการณ์ที่เต็มไปด้วยความอกสั่นขวัญหาย และเปิดเผยความลับทั้งมวลได้อุบัติขึ้นในเย็นวันหนึ่งของเดือนธันวาคม!

ในเย็นวันนั้น เมื่อข้าพเจ้ากลับจากที่ทำการมาถึงบ้าน และยังไม่ทันผลัดเครื่องแต่งกาย เด็กเข้ามาบอกว่ามีสุภาพสตรีผู้หนึ่งมาหา ต้องการพบข้าพเจ้าเป็นการด่วน ข้าพเจ้าจึงรีบไปพบในห้องรับแขก. สุภาพสตรีผู้นั้นคือน้าของหม่อมราชวงศ์กีรติ ซึ่งนั่งคอยข้าพเจ้าอยู่ด้วยสีหน้าท่าทีที่เต็มไปด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย.

“คุณหญิงต้องการพบผมเป็นการด่วนหรือครับ?” ข้าพเจ้าเริ่มคำปราศรัย

“คุณหญิงกำลังป่วยหนัก” หล่อนพูด.

“เมื่อผมไปพบครั้งหลังนั้น ก็กำลังสบายดีขึ้นแล้วไม่ใช่หรือครับ?” ​ข้าพเจ้าตั้งคำถามด้วยความตกใจและประหลาดใจระคนกัน “นี่ป่วยเป็นอะไรไปอีก.”

หล่อนเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า หม่อมราชวงศ์กีรติได้ป่วยเป็นวัณโรคอ่อน ๆ มาประมาณสองปี เดิมทีก็เป็นที่เข้าใจกันว่า ถ้าได้รับการรักษาพยาบาลเป็นอย่างดีแล้ว อาการของโรคก็จะไม่กำเริบรุนแรงจนถึงจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตโดยรวดเร็ว และมีหวังว่าจะหายได้ แต่ต่อมาเมื่อ ๒ เดือนล่วงแล้ว อาการของโรคได้ผันแปรไปในทางรุนแรงขึ้น และในระยะ ๒-๓ วันมานี้มีอาการหนักขึ้นอย่างเป็นที่น่าวิตกมาก มีไข้อย่างแรง มีอาการเพ้อเป็นครั้งคราว และในเวลาที่เพ้อนั้นมักจะพรรณนาถึงเมื่อครั้งไปเที่ยวญี่ปุ่นกับเจ้าคุณสามี และออกชื่อข้าพเจ้าเนือง ๆ.

“เวลามีคนไปเยี่ยม และยังไม่ทันจะออกนาม เธอมักจะถามทุกครั้งว่า ‘นพพรมาเยี่ยมฉันหรือ?’ เธอถามในเวลาที่มีสติ.” หล่อนเล่าให้ข้าพเจ้าฟังต่อไป “เมื่อตอบว่าไม่ใช่ เธอก็ถอนใจใหญ่และไม่พูดอะไร ครั้นดิฉันถามว่าต้องการพบคุณนพพรหรือ เธอก็ส่ายหน้าและซ้ำกำชับแข็งแรงว่า ‘อย่าไปตามนพพร อย่าไปรบกวนความสุขของเขาเป็นอันขาด’ แต่เมื่อมีคนมาเยี่ยมอีก เธอก็ถามถึงคุณอีก ดิฉันเชื่อแน่ว่าเธอต้องการพบคุณอย่างที่สุด แต่ดิฉันก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเธอจึงไม่ให้มาตาม. ดิฉันสงสารเธอเหลือเกิน และทนดูต่อไปไม่ได้ จึงได้ปลีกเวลามาพบคุณ. แต่ดิฉันไม่ได้บอกให้เธอทราบ ดิฉันหลอกเธอว่าหมอให้มาซื้อยา และหมอทราบความจริงดีว่าดิฉันจะไปไหน.”

ข้าพเจ้าแทบไม่เชื่อว่าการณ์จะเป็นไปจริงตามนั้น. เหตุใดหม่อมราชวงศ์กีรติจึงล้มเจ็บลงอย่างหนักโดยเร็วพลันนัก และเหตุใดเธอจึงเพ้อพูดออกนามข้าพเจ้ามิหยุดหย่อน แต่การณ์ก็เป็นไปจริงตามที่คุณน้าของเธอได้เล่าให้ฟังทุกประการ. ข้าพเจ้าไม่ได้ซักถามอะไรอีก​เมื่อผู้เล่าได้เล่าจบลง. ข้าพเจ้าตกใจและเป็นห่วงชีวิตของเธออย่างยิ่ง. เรารีบตรงไปบ้านหม่อมราชวงศ์กีรติทันที. ใกล้จะถึงบ้านข้าพเจ้าได้รับกำชับว่าอย่าได้แพร่งพรายให้เธอทราบเป็นอันขาดว่า ได้มีผู้มาตามข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้ารับคำอย่างมั่นคง.

คุณนายผู้นั้นนำข้าพเจ้าไปพักในห้องรับแขก สักครู่หนึ่งนายแพทย์ผู้ทำการรักษาพยาบาลหม่อมราชวงศ์กีรติ ได้เข้ามาสนทนากับข้าพเจ้า. ท่านนายแพทย์ได้บอกให้ข้าพเจ้าทราบว่า อาการของคนไข้อยู่ในที่หมดหวัง จะเร็วหรือช้าเท่านั้น. ข้าพเจ้าได้ทราบจากท่านนายแพทย์ด้วยว่า พวกญาติของหม่อมราชวงศ์กีรติทุกคนลงความเห็นว่า เราทั้งสองคงจะต้องมีความสัมพันธ์ต่อกันเป็นพิเศษ และโดยเหตุฉะนั้น หม่อมราชวงศ์กีรติก็ควรจะได้พบข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งก่อนจะตาย. ข้าพเจ้านั่งฟังอยู่โดยอาการสงบสำรวม ในใจเต็มตื้นไปด้วยความกำสรดโศกสุดที่จะพรรณนา.

ข้าพเจ้ารอคอยอยู่ประมาณ ๑๐ นาที คุณนายผู้นั้นจึงได้ออกมาพบและรายงานให้ทราบว่า ข้าพเจ้ามาเหมาะกับเวลา เพราะว่า​หม่อมราชวงศ์กีรติกำลังมีสติค่อนข้างเป็นปรกติ.

“คุณหญิงพร้อมที่จะให้ผมเข้าไปพบหรือยัง?” ข้าพเจ้าถาม.

“โปรดค่อยอีกสักครู่เถิดค่ะ เธอกำลังแต่งตัว.”

“เอ๊ะ! ทำไมต้องแต่งตัว?” ข้าพเจ้าอุทานด้วยความแปลกใจ “ก็คุณนายบอกผมว่าคุณหญิงเจ็บหนักไม่ใช่หรือครับ? ทั้งนายแพทย์ก็ยืนยันเช่นนั้น.”

คุณนายนั่งลงแล้วเล่าเรื่องให้เราฟัง.

“คุณหญิงกำลังเจ็บหนักถูกแล้วค่ะ และดิฉันก็ไม่ทราบว่าเหตุใดเธอจึงจะต้องแต่งตัว. ดิฉันได้ท้วงว่าคุณนพพรมิตรสนิทของเธอมาเยี่ยม ไม่จำเป็นจะต้องเอาใจใส่ในการแต่งตัวอะไร. เธอยิ้มตอบ. เป็นครั้งแรกที่ดิฉันเห็นเธอยิ้มอย่างมีชีวิตจิตใจ นับแต่เธอล้มเจ็บหนักเป็นต้นมา. เธอตอบคำท้วงของดิฉันว่า ‘เป็นการจำเป็นมากที่ฉันจะต้องแต่งตัวอย่างสะสวยเพื่อรับรองมิตรที่รักของฉัน. สุธารจงช่วยแต่งตัวให้พี่’ เธอหันไปพูดกับน้องสาวของเธอ ‘แต่งอย่างดีที่สุดตามที่เธอทราบแล้วว่าพี่พอใจอย่างไร. แต่งผมให้พี่ใหม่ และทาริมฝีปากตามแบบของพี่ แล้วไปขนเสื้องาม ๆ ในตู้มาให้พี่เลือกดู. สุธาร จงช่วยชุบพี่ให้งามอีกสักครั้งหนึ่งก่อนที่พี่จะตาย’ เธอยิ้มอย่างอ่อนแรง แต่ว่าดิฉันกับสุธารหน้าเศร้าและแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ด้วยความสงสารอย่างจับใจ. ในที่สุดเราก็จำต้องยอมผ่อนตามความประสงค์ของเธอ นี่สุธารกำลังแต่งตัวให้เธออยู่ค่ะ.”

ขณะที่เล่านั้น มีน้ำตาคลออยู่ในดวงตาของผู้เล่า และเห็นได้ว่า ได้พยายามกล้ำกลืนอาการสะอื้นไว้อย่างเต็มที่. ท่านนายแพทย์ก้มหน้าฟังด้วยกิริยาสงบ.

“เธอถามดิฉันว่า ‘ได้บอกหรือเปล่าว่าฉันเจ็บหนักใกล้จะตาย’” ​คุณนายเล่าต่อไป “ดิฉันจำต้องพูดเท็จเพื่อเอาใจเธอ เพราะรู้ดีว่าเธอไม่ประสงค์ให้คุณทราบว่าเธอเจ็บหนัก. แล้วเธอพูดด้วยความพอใจว่า ‘ดีมาก คุณน้า, ขอให้บอกนพพรเพียงว่า ฉันไม่ใคร่สบาย อย่าให้เขาตกอกตกใจ.’”

เมื่อคุณนายหยุดเล่า เราทั้งสามคนก็พากันนิ่งเงียบกริบ. ไออากาศในห้องรับแขกเต็มไปด้วยความโศกและวิเวกวังเวง. สักครู่คุณนายก็ลุกไป เพื่อไปดูว่าหม่อมราชวงศ์กีรติแต่งตัวพร้อมแล้วหรือยัง. ประมาณ ๑๐ นาทีต่อมา หล่อนมาบอกข้าพเจ้าว่าพร้อมแล้ว และนำข้าพเจ้าไปยังห้องคนเจ็บ. ระหว่างที่เดินไปนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกเศร้าเหงาใจประหนึ่งว่ากำลังเดินไปเยี่ยมศพของคนที่รักที่สุดคนหนึ่ง มากกว่าจะไปเยี่ยมบุคคลที่ยังมีชีวิตอยู่.

หม่อมราชวงศ์กีรตินอนเจ็บอยู่ในห้องนอน. เมื่อข้าพเจ้าย่างเท้าก้าวล่วงธรณีประตูห้องเข้าไปนั้น ข้าพเจ้างงไปชั่วขณะหนึ่ง. ข้าพเจ้ามุ่งคิดไปแต่ว่า จะต้องเผชิญกับภาพของคนเจ็บที่ใกล้จะตาย นอนอยู่ในห้องที่ออกจะขมุกขมัวด้วยอับอากาศ เกลื่อนไปด้วยขวดยา และมีคนสองสามคนนั่งดูอาการอยู่ ฟูมฟายไปด้วยน้ำตา.

แต่มโนภาพของข้าพเจ้าคลาดจากความจริงไปหมด ภายในห้องนั้นเปล่งปลั่งไปด้วยแสงสว่างของยามเย็นเวลาประมาณ ๕ โมง ซึ่งสาดเข้ามาทางหน้าต่างทุกบานซึ่งเปิดอ้าออกเต็มที่. หม่อมราชวงศ์กีรตินั่งอยู่บนที่นอน หลังพิงหมอนด้านหัวเตียง เหยียดเท้าไปตามส่วนยาวของเตียง. มีผ้าขาวลวดลายศิลปะแบบจีนสีเขียวคลุมกายท่อนล่าง สวมเสื้อสีเดียวกับลวดลายของผ้าคลุมนั้น และยังมีเสื้อคลุมกำมะหยี่สีดำสวมอยู่อีกชั้นหนึ่ง เป็นการปกป้องกำบังมิให้ข้าพเจ้าได้แลเห็นส่วนต่าง ๆ แห่งร่างกาย ซึ่งจะชวนให้ลงความเห็นได้ว่า ร่างนั้นกำลังเคลื่อนเข้ามา​อยู่ใกล้แดนมรณะเต็มทีแล้ว. ทรงผมและดวงหน้าได้รับการตบแต่งอย่างประณีตบรรจง สามารถพรางความเหี่ยวแห้งทรุดโทรมอันแทบจะถึงซึ่งภินทนาการไว้ได้ในชั่วขณะที่ได้เหลือบดูไปแต่ผาด ๆ. รูปสามเหลี่ยมสีแดงสามรูปบนริมฝีปากงามคู่นั้น แทบจะทำให้ข้าพเจ้าหลงไปว่า หม่อมราชวงศ์กีรติมิได้ประสบความป่วยเจ็บแต่อย่างใดเลย.

บนโต๊ะเล็ก ๆ ข้างเตียงตั้งแจกันแก้วเจียระไน บรรจุช่อคริสต์มาสสีแดงสดชื่นระรื่นตา. ที่ริมหน้าตาข้างเตียงนอนมีกรงนกคีรีบูนแขวนอยู่สองกรง เจ้านกน้อยกำลังโลดเต้นและส่งเสียงร้องอยู่อย่างผาสุก. ทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องได้รับการตบแต่งจัดไว้อย่างสวยงาม ไม่มีร่องรอยว่าจะเป็นห้องของบุคคลที่กำลังเจ็บหนักใกล้ถึงกาลอวสานเลย. ข้าพเจ้าแทบจะสงสัยไปว่า นี่ถูกหลอกหรืออย่างไร.

เมื่อเหลือบเห็นข้าพเจ้าเข้ามายืนอยู่ในห้อง หม่อมราชวงศ์กีรติได้วางหนังสือที่ถืออยู่ในมือไว้ข้างกาย เพื่อจะแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นว่าหล่อนกำลังอ่านหนังสืออยู่ ก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าจะเข้าไป.

“นพพร, เชิญนั่งที่นี่” เธอชี้เก้าอี้ที่ตั้งไว้ริมเตียง “ฉันไม่สบายไปนิดหน่อย จึงต้อนรับเธอบนที่นอน.”

ได้สดับเสียงเธอ ข้าพเจ้าใจหายวาบ เพราะว่าเสียงนั้นแหบแห้งและแผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยินถนัด. ข้าพเจ้าเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยกิริยาสงบ.

“ผมมาเยี่ยมคุณหญิงด้วยความคิดถึง.”

“ขอบใจมาก. ฉันรู้ว่าเธอยังไม่ลืมฉันเสียทีเดียว.” เธอยิ้มอย่างชื่นใจ พลางเลี้ยวศีรษะไปทางสุภาพสตรีสาวผู้หนึ่ง ซึ่งยืนคอยระแวดระวังเธออยู่ทางด้านหัวเตียง “นี่สุธารน้องสาวของฉัน เป็นผู้ซึ่งประสบความรักและความสุขในการแต่งงานตามที่ฉันเคยพูดถึง.”

​ข้าพเจ้าก้มศีรษะให้สุธาร.

“ทุกคนจะออกไปพักข้างนอกก่อนก็ได้ และรวมทั้งสุธารด้วย” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดต่อไป “ปล่อยฉันไว้กับนพพรแต่ลำพัง.”

คนเหล่านั้นมองดูตากัน ส่วนข้าพเจ้าสงบนิ่ง.

“ขออย่าเป็นห่วง เพราะว่าฉันไม่ได้ป่วยเจ็บนักหนาอะไร.”

สุธารเดินมาปรึกษากับคุณน้า สักครู่หนึ่งท่านนายแพทย์เข้ามากระซิบบอกข้าพเจ้าว่า อย่าอยู่สนทนากับเธอนานนัก จะทำให้เธออ่อนเพลียมากเกินไป.

เมื่อทุกคนออกไปนอกห้องแล้ว หม่อมราชวงศ์กีรติทอดสายตามองมาทางข้าพเจ้าด้วยแววตาที่แสดงว่ามีความผาสุก ข้าพเจ้าลากเก้าอี้เข้าไปจนชิดเตียง.

“ฉันไม่คิดเลยว่าจะได้พบเธอในวันนี้ ฉันไม่คิดว่าจะได้พบเธออีกเลย แม้จะเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตของฉัน” นัยน์ตาเธอจ้องมองข้าพเจ้าอยู่ไม่วาง.

“เดี๋ยวนี้ผมก็ได้มาอยู่ต่อหน้าคุณหญิงแล้ว และผมจะอยู่ตลอดไป ตราบเท่าที่คุณหญิงต้องการ” ข้าพเจ้าตอบด้วยเสียงหนักแน่น.

“เป็นไปไม่ได้ดอกนพพร เพราะว่าเธอไม่ใช่ของฉัน.”

“ผมไม่เข้าใจว่า คุณหญิงหมายความว่ากระไร.”

“ถูกแล้วเธอไม่ควรจะเข้าใจ เพราะว่าเธอไม่เคยเข้าใจฉันเลย นับแต่วันแรกที่เราได้รู้จักกัน” ดูเหมือนความรู้สึกเย้ยหยันจะได้ปรากฏขึ้นในแววตาของเธอ.

“โปรดบอกผม ว่ามีอะไรอีกบ้างที่ผมยังไม่เข้าใจ.”

“เธอไม่เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง เธอไม่เข้าใจทั้งหมด. ไม่เข้าใจแม้แต่ตัวของเธอเอง.”

​ข้าพเจ้าแปลความหมายของเธอไม่ออก ข้าพเจ้ามองดูเธอด้วยความฉงนสนเท่ห์ใจ.

ขณะนั้นเธอสอดมือลงไปใต้หมอนอีกใบหนึ่ง และล้วงเอากระดาษภาพแผ่นหนึ่งมาถือไว้ในมือ.

“นี่เป็นภาพที่ฉันได้วาดขึ้นด้วยฝีมือของฉันเอง ภายหลังที่ฉันกลับจากญี่ปุ่น. ฉันขอมอบภาพนี้ให้เป็นของขวัญในการแต่งงานของเธอ.”

ข้าพเจ้ารับมาพินิจดูด้วยความสนใจ ภาพนั้นวาดด้วยสีน้ำ แสดงถึงภาพลำธารที่ไหลผ่านเชิงเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หนาทึบตามลาดเขา อีกด้านหนึ่งของลำธารเป็นทางเดินเล็ก ๆ ผ่านไปบนชะง่อนหิน บางตอนก็สูงบางตอนก็ต่ำ ตะปุ่มตะป่ำไปด้วยก้อนหินใหญ่น้อย มีพรรณไม้เลื้อยและดอกไม้ป่าสีต่าง ๆ บนต้นเล็ก ๆ ขึ้นเรียงรายอยู่ตามหินผานั้น ไกลออกไปบนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง อยู่ต่ำลงไปจนเกือบติดลำธาร แสดงภาพของคนสองคนนั่งอยู่ ภาพนั้นเป็นภาพที่วาดให้เห็นในระยะไกล ตอนล่างของมุมหนึ่งเขียนไว้ด้วยตัวหนังสือเล็ก ๆ ว่า “มิตาเกะ”.

ข้าพเจ้าพยายามจะค้นคว้าความหมายของหม่อมราชวงศ์กีรติ ในการที่ให้ของเล็กน้อยสิ่งนั้นแก่ข้าพเจ้า.

“ฝีมือไม่ดีดอกนพพร แต่ว่ามีชีวิตและดวงใจอยู่ในภาพนั้น มันจึงสมที่จะเป็นของขวัญในวันแต่งงานของเธอ” เมื่อข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นสบตาเธอ เธอถามว่า “จำได้ไหม นพพร ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่นั่น.”

ข้าพเจ้าระลึกเห็นเหตุการณ์ที่เขามิตาเกะได้อย่างแจ่มกระจ่าง และข้าพเจ้ากำลังจะเข้าใจในความหมายของหม่อมราชวงศ์กีรติได้ราง ๆ.

“ความรักของผมเกิดที่นั่น” ข้าพเจ้าตอบ

​“ความรักของเรา, นพพร” พูดแล้วเธอหลับตา และพูดต่อไปอย่างแผ่วเบาเหลือเกิน “ความรักของเธอเกิดที่นั่น และก็ตายที่นั่น แต่ของอีกคนหนึ่งยังรุ่งโรจน์อยู่ในร่างที่กำลังจะแตกดับ.”

น้ำตาไหลซึมออกมาจากเปลือกตาที่ยังปิดอยู่. หม่อมราชวงศ์กีรตินั่งนิ่งสงบไปด้วยหมดแรง.

ข้าพเจ้าพินิจดูร่างนั้นด้วยความรักความอาลัยแทบใจจะขาด.

□ □ □

อีก ๗ วันต่อมา หม่อมราชวงศ์กีรติก็ถึงแก่กรรม. ข้าพเจ้าอยู่ต่อหน้าเธอ พร้อมด้วยบรรดาญาติของเธอในระหว่างชั่วโมงอันมืดครึ้มนั้น ก่อนหน้าจะสิ้นใจ เธอขอดินสอกับกระดาษ เธอต้องการจะพูด ประโยคสุดท้ายกับข้าพเจ้า แต่หมดเสียง หมดเรี่ยวแรง เธอจึงเขียนลงบนกระดาษว่า :

ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน.

แต่ฉันก็อิ่มใจว่า ฉันมีคนที่ฉันรัก.

 


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« Reply #4 on: 29 October 2025, 19:20:09 »


ภาคผนวก
“นพพร-กีรติ”

..

“นพพร-กีรติ”

​• เรื่อง “นพพร กีรติ” เป็นบทพิเศษของเรื่อง “ข้างหลังภาพ” เป็นจดหมาย ๒ ฉบับ ระหว่างนพพร กับ กีรติ ที่ “ศรีบูรพา” ประพันธ์ขึ้นใหม่ ซึ่งจัดพิมพ์เป็นครั้งแรกในหนังสือ “ผาสุก” โดยสำนักพิมพ์อุดม เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๔๘๖

• ตีพิมพ์เป็นครั้งที่สองใน “พิมพ์ไทยรายเดือน” ฉบับเดือน มิถุนายน ๒๕๕๒

• จัดพิมพ์เป็นครั้งที่สาม โดยสำนักพิมพ์สยาม ในหนังสือชื่อ มณีพรรณราย - รวมเรื่องสั้น ๑๒ นักประพันธ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖

• ตีพิมพ์ในนิตยสาร “โลกหนังสือ” ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ นับเป็นครั้งที่สี่

• จัดพิมพ์ครั้งที่ ๕ ในหนังสือเรื่อง “ศรีบูรพากับบทประพันธ์ ๔ เรื่อง” โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้าเมื่อเดือน มีนาคม ๒๕๒๘.

• จัดพิมพ์เป็นภาคผนวก ในเรื่อง ข้างหลังภาพ โดยสำนักพิมพ์ดอกหญ้า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๙. เป็นครั้งที่ ๖

----------------------------

 

​                                                                                                      โตเกียว

คุณหญิงที่รักของผม

ผมคอยจดหมายของคุณหญิง ด้วยความรู้สึกของคนเจ็บหนักเฝ้าคอยหมอ คุณหญิงเชื่อไหมว่ากลับจากมหาวิทยาลัยมาถึงบ้านในตอนบ่ายทุกวัน ผมเป็นต้องตรวจดูจดหมายที่ตู้รับจดหมายทุกครั้ง วันหนึ่งขณะนั่งถอดรองเท้าอยู่หน้าประตู ด้วยความเศร้าเหงาใจเป็นที่สุดนั้น โนบูโกะลูกสาวเจ้าบ้านได้วิ่งมาหา แล้วส่งซองจดหมายให้ผม พินิจลายมือหน้าซอง และถนัดแน่ว่าเป็นลายมือของใครแล้ว ผมสลัดรองเท้าออกไปจากเท้าโดยเร็วพลันและโดยไม่รู้สึกตัว จนแม่หนูโนบูโกะตะลึง แล้วผมก็วิ่งถลาเข้าไปในห้องของผม ปิดประตู ฉีกจดหมายด้วยมืออันสั่น และนอนอ่านจดหมายนั้นแต่ลำพัง ถ้าในโลกนี้มีสิ่งที่เรียกกันว่าสวรรค์ชั้นดุสิตจริง ในเวลาที่อ่านจดหมายของคุณหญิง ผมก็ อยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิตกับพระอินทร์ พระพรหม หรือพระนารายณ์ก็ตาม.

ผมดีใจแท้ที่ได้ทราบว่าการพรรณนาถึงความรู้สึกของผม ที่มีต่อคุณหญิงในจดหมายสองฉบับแรกนั้นทำให้ผม “กลายเป็นชายหนุ่มที่ฉันจะต้องระมัดระวังในการติดต่อด้วย เธอไม่เป็นนพพรยอดยุวมิตรของฉันเสียแล้ว ความน่ารักน่าเอ็นดูอย่างเด็ก ๆ ของเธอเกือบสูญหายไปหมดแล้ว ดูเธอเป็นชายใหญ่ที่น่ากลัวพอใช้” ตามที่คุณหญิงได้เขียนมาในจดหมาย และผมยิ่งดีใจหนักขึ้นเมื่อได้ฟังคุณหญิงบ่นมาว่า คุณหญิงแทบจำนพพรคนที่คุณหญิงแรกพบไม่ได้.

ผมอยากให้เจ้าหนูนพพรมันตายไปเสียที ผมอยากเป็นชายหนุ่มใหญ่คนที่คุณหญิงได้รู้จักในจดหมายที่ผมได้เขียนไปถึงเพื่อว่าคุณหญิง​จะได้ไม่รู้สึกขบขันในความรักของเขา ไม่เล็งแลเห็นความรักของเขาไปในทางเหลวไหลไร้สติ.

ในจดหมายของคุณหญิง แม้ว่าจะล้วนแล้วไปด้วยคำเตือน คำขอ คำวอนให้ผมกลับคืนไปสู่ความเป็นเด็กเล็กแห่งมหาวิทยาลัยริคเคียว แต่ก็เต็มไปด้วยความกรุณาปรานีอย่างลึกซึ้ง และก็ในความกรุณาปรานีขนาดนั้น คุณหญิงจะให้ผมสิ้นหวังหรือว่าจะไม่มีความรักอันหวานฉ่ำระคนปนปรุงมาด้วย?

การที่จะให้ผมกลับไปที่หนังสือ และความใฝ่ฝันถึงชีวิตแห่งการงานอันเต็มไปด้วยเกียรติคุณอันรุ่งเรืองยิ่งนั้น ผมอาจที่จะรับคำขอนั้นด้วยความเต็มใจได้ แต่ที่คุณหญิงกล่าวว่า นพพรมีอนาคตงดงามน่าใฝ่ฝันยิ่งกว่าสตรีผู้นั้น ซึ่งเป็นแต่หลงเข้ามาในเส้นทางดำเนินชีวิตของเขาเพียงชั่วครู่ยามเดียวนั้น ผมจำต้องขอปฏิเสธอย่างรุนแรง.

ผมไม่คิดว่าจะมีความใฝ่ฝันใดในชีวิตของผมจะงดงามยิ่งไปกว่าความใฝ่ฝันถึงสตรีที่ผมลุ่มรักด้วยความรัก ซึ่งผมขอท้าทายไม่เลือกว่า ความรักของโรเมโอ หรือของใคร มาตรว่าผมยังเยาว์วัยอยู่ก็ตามที แต่ผมมีเลือดเนื้อพอที่จะรักสตรีซึ่งแสนที่จะน่ารักนั้นได้ ทั้งที่มีเจ้าของครอบครองอยู่แล้ว ผมไม่อาจจะช่วงชิงร่างกายของคุณหญิงจากเจ้าคุณอธิการบดีนั้นแน่นอน แต่ผมจะขอเป็นเจ้าของครอบครองดวงใจของคุณหญิงไว้อย่างเงียบ ๆ จะมิได้เจียวหรือ ถ้าเพียงแต่คุณหญิงจะออกปากยกให้สักคำเดียว.

คุณหญิงเชื่อไหมว่า หลังจากที่คุณหญิงจากโกเบไปได้สัปดาห์เดียว ผมได้เดินทางไปใช้เวลาในวันอาทิตย์ที่เขามิตาเกะอีกครั้งหนึ่ง ผมไปที่นั่นแต่ลำพัง ไปชมแดนดินถิ่นกำเนิดรักของเรา หรืออย่างน้อยก็ของผม ผมได้เดินทางไปถึงต้นทางน้ำตก กระแสน้ำในลำธารกว้าง​ใหญ่ยังคงไหลกระโชกกระชากไปบนก้อนหิน แล้วต่อไปก็ไหลแรงบ้างรวยรินบ้าง ผมเลาะลัดลงไปยืนอยู่บนก้อนหิน ซึ่งเท้าอวบงามของคุณหญิงได้เคยเหยียบลงที่นั่น คุณหญิงคงไม่ลืมดอกไม้ป่าสีม่วงที่ผมเก็บเสียบให้ที่เรือนผมของคุณหญิง และดอกไม้ป่าสีแดงที่คุณหญิงเก็บมาเสียบให้ที่รังดุมเสื้อของผม ณ ที่นั้นในกาลครั้งหนึ่ง เราพักผ่อนสำราญอยู่ด้วยกัน มีอิสระดังอาดัมและอีฟ ครั้นแล้วผมก็เดินทางต่อไปตามไหล่เขาจนขึ้นไปสู่ยอดเนินสูง แล้วผมก็หยุดยั้งอยู่ใต้ร่มไม้ซีดาร์ซึ่งแผ่กิ่งก้านแลสล้าง.

ผมพักผ่อนอยู่บนเขาลูกนั้นเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามชั่วโมง เพื่อจะสูดประทิ่นกลิ่นกายของคุณหญิง เพื่อจะสูดกลิ่นความรักของผมที่ได้ระเบิดออกมาบนเนินสูงนั้น เพื่อจะชื่นชมอนุสรณ์แห่งเหตุการณ์อันได้ประทับตรึงตราอยู่ในชีวิตของเรา ดูเหมือนว่ารอยเท้าและรอยร่องของคุณหญิงยังคงปรากฏอยู่ในที่ทุกแห่ง ซึ่งคุณหญิงได้เคยทอดเท้าและทอดร่างลงไป.

“นพพร, เธออย่ามองฉันด้วยแววตาเช่นนั้นซิ” เสียงสั่นน้อย ๆ ของคุณหญิงยังแว่วกังวานอยู่ในโสตของผม และในบัดดลนั้นผมก็รู้สึกเสมือนคนสิ้นสติ ประคองกอดคุณหญิงไว้แนบแน่น และจุมพิตด้วยสุดแสนเสน่หา.

“นพพร, เธอไม่รู้ว่าเธอได้ทำอะไรลงไป” เสียงของคุณหญิงยังคงสั่นสะเทือนอยู่.

“ผมรู้ว่า ผมรักคุณหญิง.”

“เป็นการสมควรหรือที่เธอจะแสดงความรักต่อฉันโดยวิธีเช่นนี้”

“ผมไม่ทราบว่า เป็นการสมควรหรือไม่ แต่ความรักมีอำนาจเหนือผม ความรักรัดรึงใจผมอย่างที่สุด ทำให้ผมหมดสติ”

​แล้วคุณหญิงมองดูผมด้วยแววตาโศก พลางพูดว่า “เธอแสดงความรักของเธอในเวลาที่ไร้สติ? เธอไม่รู้หรือว่า ไม่มีการกระทำอะไรที่เราจะต้องเสียใจในภายหลัง เท่าการที่เราได้กระทำไปในเวลาที่ไร้สติ”

แล้วผมก็จำนนต่อเทศนาอันหวานฉ่ำยืดยาวของคุณหญิง แต่เหตุข้อนั้นไม่มาบั่นทอนบรรเทาความรักของผม ความรักที่ดื่มด่ำอยู่ในดวงใจ ความรักที่ผสมกลมกลืนอยู่ในสายเลือด ความรักเช่นนั้นย่อมท้าทายศีลธรรมจรรยาที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์ขึ้น ความรักเช่นนั้นย่อมสถิตอยู่เหนือเหตุผล ความรักดำเนินไปในวิถีทางตามความบังคับของกฎธรรมชาติ.

ผมจำนนต่อเหตุผลของคุณหญิงก็จริง แต่ผมหาอาจบังคับความรักของผมให้คุกเข่าต่อเหตุผล และกฎเกณฑ์แห่งศีลธรรมจรรยาที่คุณหญิงยกขึ้นมากล่าวอ้างได้ไม่.

ผมยังจดจำภาพที่คุณหญิงได้ผลักดันผมโดยละม่อมออกห่างจากทรวงอกของคุณหญิง และภาพที่คุณหญิงยืนพิงต้นซีดาร์หายใจหอบระทวยอยู่ และมองดูผมด้วยสายตาซึ่งผมอ่านไม่ออกจนกระทั่งบัดนี้ ว่ามีความรู้สึกอะไรปรากฏอยู่ในดวงตานั้นบ้าง.

ผมได้ใช้เวลาในวันนั้นสูดกลิ่นเหตุการณ์ความสัมพันธ์ของเรา ด้วยความรู้สึกชื่นฉ่ำในทิพยรสจนผมเพลียไปด้วยเหตุนั้น ครั้นแล้วผมก็ทอดกายลงนอนพักอยู่ใต้ร่มซีตาร์ บนพื้นที่เดียวกับที่คุณหญิงได้เคยทอดร่างลงพักผ่อนมาแล้วครั้งหนึ่ง ไอดิน ณ ที่นั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นกายของสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งผมมีความรักภักดีอย่างแสนสุด.

ครั้นแล้ว ความรำลึกรำพึงของผมได้ย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์ที่หาดกามากูระ ไปสู่เหตุการณ์เมื่อเราไปลอยเรือกรรเชียงอยู่ในสวน​สาธารณะแต่ลำพังในราตรีเดือนหงาย ซึ่งคุณหญิงงามเฉิดฉายดังดอกคริสแซนติมัมที่มีชีวิตวิญญาณ ความรำลึกรำพึงของผมดำเนินต่อไปถึงเหตุการณ์ที่โอซากาโฮเต็ล ซึ่งผมยังมีเวลาจะอยู่ใกล้ชิดคุณหญิงเพียง ๖-๗ ชั่วโมงเท่านั้น.

“คุณหญิงรักผมไหม?” ผมถามเมื่อคุณหญิงเข้ามาเยี่ยมผมในห้องนอน.

“ฉันเป็นเพื่อนตายของเธอ” ตอบพลางคุณหญิงดึงผ้าไหมที่พันอยู่กับคอส่งให้ผม “โปรดรับสิ่งนี้ไว้เป็นที่ระลึกต่างตัวฉัน”

แล้วคุณหญิงยื่นมือมาให้ผมสัมผัส ผมก้มลงพิศดูมือที่ยื่นมานั้นด้วยความโศกและป่วนใจ จับและบีบแน่นด้วยความพิศวาส ครั้นแล้วผมยกหัตถ์อ่อนละมุนแดงเรื่อด้วยสายเลือดนั้นขึ้นจุมพิต คุณหญิงยืนก้มหน้าสงบ แล้วพูดให้สติผมว่า “โปรดบังคับใจให้ดี”

ตอนที่ผมจะผละจากเรือเดินสมุทรซึ่งจะพาคุณหญิงกลับคืนไปสู่ประเทศไทย และในชั่ววินาทีสุดท้ายที่เรากำลังจะจากกัน ผมได้กระซิบถามเป็นครั้งสุดท้ายว่า “คุณหญิงรักผมไหม?”

“รีบลงไปเสียเถิดนพพร” พูดแล้วคุณหญิงยกมือปิดหน้าชั่วขณะหนึ่ง “รีบไปเสีย ฉันแทบใจจะขาด”

คุณหญิงกัดริมฝีปากล่าง ผมทำเช่นเดียวกัน เรามีน้ำตาคลอตาด้วยกันทั้งสองคน.

“ลาก่อน” ผมกระซิบคำสุดท้าย และเมื่อปล่อยมือคุณหญิง ผมรู้สึกประหนึ่งว่าดวงใจของผมได้ติดไปกับอุ้งมืองามนั้น.

ผมได้ไปใช้เวลารำลึกรำพึงถึงคุณหญิง และเหตุการณ์ความสัมพันธ์อันรัดรึงใจเราอยู่บนเขามิตาเกะตลอดวัน ผมเดินทางกลับบ้าน​ในวันนั้นด้วยความรู้สึกเหมือนว่าคุณหญิงได้ออกเรือจากท่าเมืองโกเบไปเมื่อบ่ายวันวานนี่เอง.

ชั่วแต่เวลาที่ผมอาบน้ำเท่านั้น ที่ผ้าไหมผืนนั้นอยู่ห่างจากลำคอของผม มันอุ่นจิตอุ่นใจ มันรัดรึงใจผมให้จดจ่ออยู่ที่จะระลึกถึงคุณหญิงมิได้เว้นวาย ผมสูดกลิ่นผ้าไหมยังได้สูดกลิ่นกายของคุณหญิงฉะนั้น.

ผมขอกราบมาที่ตักของคุณหญิง ด้วยจะขอรับอภัยที่ได้คร่ำครวญรำพันถึงความรักมาอย่างยืดยาวในจดหมายฉบับนี้ ผมไม่ประสงค์จะละเมิดเสาวนีย์ของคุณหญิงเลย แต่ความรักของผมมันมีความสำนึกภาคภูมิและเย่อหยิ่งเกินกว่าที่ผมจะบังคับกดขี่มันได้ ขอได้โปรดอภัยผม.

ผมขอสารภาพว่า ผมไม่มีหัวคิดที่จะเขียนถึงคุณหญิงด้วยเรื่องอื่น นอกจากจะพร่ำพรรณนาถึงเรื่องความรักแต่อย่างเดียว เพราะว่าความรักท่วมท้นเนืองนองอยู่ในหัวใจผม คุณหญิงรักผมไหม?

                                                                     ผมรักคุณหญิงไม่จืดจาง

                                                                             นพพร.

----------------------------

 

​                                                                                                      กรุงเทพฯ

ยอดยุวมิตรของฉัน

เมื่อ ๒-๓ วันมานี้ ฉันได้รับจดหมายจากชายหนุ่มใหญ่คนหนึ่งในโตเกียว พรรณนาถึงความเสน่หาอันหนักต่อสตรีคนหนึ่ง ซึ่งเป็นสตรีที่ฉันเองมีความสมเพชเวทนาอย่างที่สุด ฉันขอว่าเธออย่ารับสมอ้างว่า ชายหนุ่มใหญ่คนนั้นเป็นตัวเธอ เพราะเธอเพิ่งมีอายุได้ ๒๐ ปีเศษ และกำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย ส่วนชายหนุ่มใหญ่คนนั้นเป็นผู้ที่ไม่มีหัวคิดจะทำอะไรเลย นอกจากจะพร่ำพูดถึงแต่ความเสน่หาอย่างเดียว ชายหนุ่มผู้นั้นไม่มีอะไรที่จะเหมือนกับยอดยุวมิตรของฉันเลย นอกจากจะมีนามว่า นพพร ซึ่งไปตรงกับนามของเธอเข้าเท่านั้น

แต่ถ้าในที่สุด เธอยังขัดขืนเป็นฝ่ายรับว่า ชายหนุ่มใหญ่คนนั้นเป็นคนเดียวกับเธอแล้ว เธอก็เป็นผู้ที่ก่อความพิศวงให้ฉันอย่างยิ่ง เธอทำให้ฉันรู้สึกไปว่า ในชั่วเวลาเดือนสองเดือนที่ฉันได้จากเธอมา เธอได้เติบโตเป็นชายหนุ่มใหญ่จนฉันจำไม่ได้ จนฉันคิดว่า ฉันกับเธอจะต้องตั้งต้นทำความรู้จักกันใหม่ โดยการแนะนำของใครสักคนหนึ่ง

เธอมาทำให้ฉันนึกถึงคำที่เวตาลพูดว่า แม้เทวดาก็ขืนใจคนหัวดื้อไม่ได้ ฉันดูเธอดื้อดึงนัก ในจดหมายฉบับหลังที่สุดนี้ ดูเธอไขหูต่อคำวอนของฉันเสียทุกข้อ เธอลืมที่ฉันสั่งไปหรือว่า ในเวลาที่เขียนถึงฉัน เธอควรจะเข้าไปเขียนในตู้น้ำแข็ง เพื่อว่าในจดหมายของเธอจะไม่เต็มไปด้วยความรู้สึกเร่าร้อนนัก ฉันคิดว่า ในเวลาที่เขียนถึงฉันครั้งหลังที่สุดนี้ เธออยู่ในฤดูเหมันต์ และกำลังจะได้เขียนในกองหิมะอยู่แล้ว แต่ไฉนเธอกลับไปไกลกว่าเก่าอีกเล่า?

​ยอดยุวมิตรของฉัน จดหมายของเธอมาทำให้ใจคอของฉันสั่นสะเทือนไปหมด เธอรู้ไหม? ฉันทั้งเศร้า ทั้งสงสารอย่างจับใจ และฉันนึกติตัวเองรุนแรงเพียงใด เธอรู้ไหม? เวรกรรมใดเล่าที่ส่งฉันไปโตเกียว และให้ได้ไปพบกับเธอ ครั้นแล้วเหตุการณ์ที่เศร้าสลดใจยิ่งก็อุบัติขึ้น ความรู้สึกบริสุทธิ์งามของเธอได้ถูกเผาไหม้เกรียมไป โดยความเป็นผู้หญิงของฉัน และโดยที่ฉันเป็นตัวของฉัน จิตใจหนุ่มแข็งแกร่งของเธอได้ตกสู่ความพิการไป ความละเอียดอ่อนแห่งชีวิตไร้เดียงสาของเธอ ถูกบดขยี้อย่างน่าเสียดายยิ่ง ฉันจะต้องชดใช้บาปกรรมอันนี้ไปอีกกี่ปีกี่ชาติกันเล่า จึงจะสิ้นเวรสิ้นกรรมกันที ถ้าเพียงแต่ฉันไม่ได้ไปโตเกียว และมิได้พบกับเธอเท่านั้นแล้ว เธอก็จะไม่ถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนแห่งความเสน่หาอันหนักถึงเพียงนี้ เธอก็จะไม่สูญเสียอาณาจักรแห่งความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเธอให้แก่สิ่งซึ่งพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสร้างสรรค์ขึ้นเป็นตัวตนของฉัน ถ้าเพียงแต่เธอกับฉันจะไม่ได้พบกันเท่านั้น แล้วเราทั้งสองก็จะไม่ตกสู่ความฝันร้ายถึงปานฉะนี้

แต่ในที่สุดเราก็ได้พบกันแล้ว เธอคงจะกลับเขียนมาเตือนสติฉันในจดหมายฉบับหลัง และก็จะมีประโยชน์อันใด ที่เรามัวมาคร่ำครวญวิงวอนให้สิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ให้กลับกลายไปสู่สภาพดุจที่ไม่เคยเกิดอีก นโปเลียนหรือซีซาร์ก็จะหมุนเข็มนาฬิกาของโลกกลับไปข้างหลังอีกไม่ได้ เธออาจจะเขียนตัดพ้อมาถึงฉันอย่างหัวเสียในฉบับหลัง

มิตรน้อยของฉัน ขอเธอจงมั่นใจเถิดว่า ฉันจะไม่พยายามกระทำและหวังในสิ่งที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดในโลกได้กระทำสำเร็จมาก่อน ฉันจะไม่พยายามหมุนเข็มนาฬิกาของโลกกลับไปข้างหลังเป็นอันขาด เราย่อมจะไม่พยายามทำเช่นนั้นตราบเท่าที่เรายังมีสติสัมปชัญญะดีอยู่

แต่ก็เป็นความจริงเหมือนกันมิใช่หรือว่า การที่เธอจะคงปล่อยใจ​ให้ผูกพันฝันใฝ่ในตัวฉันสืบต่อไปนั้น ก็เป็นการใฝ่ฝันในสิ่งที่ว่างเปล่าและเป็นไปไม่ได้ดุจเดียวกัน ฉะนั้นแล้ว เธอจะคงยึดถือความผูกพันอันนั้นไว้เพื่อประโยชน์อันใดเล่า นี่แหละเป็นข้อที่ฉันอยากจะขอให้เธอตั้งเป็นข้อถามขึ้นถามแก่ตัวเธอเอง

เธอย่อมทราบดีว่า ฉันมีความรักใคร่เอ็นดูเธอลึกซึ้งปานใด และด้วยความรักใคร่เอ็นดูอันนี้แหละที่จะสั่นสะเทือนใจฉันทุกครั้ง ที่เธอพรรณนาถึงความรู้สึกอันเร่าร้อนของเธอที่มีต่อฉัน ที่จะนำความเจ็บปวดด้วยพิษสงสารมาสู่ความรู้สึกของฉันอย่างเหลือที่จะพรรณนา

ฉันจึงใคร่ขอต่อเธออีกครั้ง ดังที่ได้เคยขอไปแล้วครั้งหนึ่งในจดหมายฉบับก่อน คือขอว่า เธอจงเงยหน้าขึ้นเผชิญกับของจริง ของจริงที่ว่า หน้าที่ของเธอในกาลปัจจุบันนี้มีอยู่อย่างไร และหน้าที่ของฉันมีอยู่อย่างไร ตลอดเวลาที่จะอยู่ต่อไปในโตเกียวนั้น หน้าที่ของเธอมีอยู่อย่างเดียวแต่ว่าจะต้องศึกษาเล่าเรียนจนบรรลุความสำเร็จตามความมุ่งหมายอันสูงของเธอ มิใช่ว่าจะมัวเอาเวลามาใช้ให้เปลืองไปในการรำพึงถึงสตรีผู้หนึ่ง ซึ่งจะไม่มีคุณค่าสาระอะไรต่ออนาคตอันรุ่งเรืองของเธอเลย ส่วนหน้าที่ของฉันนั้นเล่า ก็มีอยู่ว่าจะต้องภักดีต่อท่านเจ้าคุณสามีด้วยข้อผูกพันแต่เพียงว่า ฉันเป็นภรรยาของท่าน โดยไม่จำต้องคำนึงถึงอุดมคติในทางความรักแต่ประการใด สิ่งทั้งสองนี้เป็นของที่จะต้องแยกออกจากกัน ในเมื่อเรายังครองตัวอยู่ในโลกที่ถูกร้อยรัดไว้ด้วยระเบียบแห่งศีลธรรมจรรยา

ยอดยุวมิตรของฉัน ฉันขอวอนเธออีกครั้งหนึ่ง ขอเธอจงปฏิบัติหน้าที่ของเธอเพื่ออนาคตอันรุ่งเรืองของเธอเอง และขออย่าเรียกร้องให้ฉันต้องละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ของฉันเสียเลย หน้าที่ของแต่ละคนอาจมีได้ตรึงตราอยู่แต่อย่างหนึ่งอย่างเดียวจนชั่วชีวิต ประตูแห่งกาล​อนาคตย่อมเปิดอ้าไว้เสมอ สำหรับต้อนรับการเปลี่ยนแปลง และโอกาสอาจจะมีสักครั้งคราวหนึ่งที่ทุกคนจะกระทำตามความคิดความปรารถนาของเขาได้ เธอจงยับยั้งตรึกตรองและบังคับใจไว้ให้ดี

และ ณ บัดนี้ ฉันขอออกกฎหมายแก่เธอ ฉันขอห้ามเป็นเด็ดขาดมิให้เธอกล่าวถึงเหตุการณ์บนเนินเขามิตาเกะอีกเลย ฉันขอสั่งลบคำไม้ซีดาร์ออกจากปทานุกรมพฤกษศาสตร์ของเธอ เธอจะต้องไม่รู้จักพันธุ์ไม้พันธุ์นี้ตลอดไป ตราบเท่าที่ข้อบังคับของฉันยังคงใช้อยู่ ถ้าเธอละเมิดกฎหมายของฉันเมื่อใด เธอก็จะได้รับอาญาของฉันทันที ฉันจะลงโทษเธอโดยทอดทิ้งเธอไว้แต่ลำพัง โดยไม่เขียนถึงเธอมีกำหนดเวลา ๓ เดือน และถ้าเธอยังขืนกระทำความผิดซ้ำอีก เธอจะได้รับโทษเพิ่มเติมในฐานไม่เข็ดหลาบอีกด้วย ฉันขอเรียกร้องให้เธอเคารพต่อบทกฎหมายของฉันอย่างเคร่งครัด

ฉันไม่ขัดข้องที่เธอจะกล่าวถึงเหตุการณ์ที่หาดกามากูระ เหตุการณ์ในราตรีเดือนหงาย ณ สวนสาธารณะที่ตำบลอาโอยามาชิฮัง และเหตุการณ์อื่น ๆ ตลอดจนผ้าพันคอไหมผืนน้อยนั้น แต่เธอก็จะต้องกล่าวถึงแต่โดยสุภาพ และโดยปราศจากความรู้สึกเร่าร้อนรุนแรง

จงคิดถึงฉันเถิดคนดี คิดถึงแต่น้อย ๆ และนานเท่าใดก็ได้

ฉันคิดถึงและเอ็นดูเธอไม่จืดจาง จะคิดถึงและเอ็นดูเธอชั่วนิรันดร ขอลาก่อนมิตรน้อยของฉัน

                                                                       ด้วยใจจดจ่อในความผาสุกของเธอ

                                                                                       กีรติ

 



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.059 seconds with 16 queries.