Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 07:14:05

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,290 Posts in 13,862 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพ บทประพันธ์ของ ศรีบูรพา ตอนที่ 11-15
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพ บทประพันธ์ของ ศรีบูรพา ตอนที่ 11-15  (Read 29 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« on: 29 October 2025, 19:02:30 »

นวนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพ บทประพันธ์ของ ศรีบูรพา ตอนที่ 11-15


๑๑

ภายหลังที่ได้ลงรถไฟที่สถานีชินยูกุ ตามถนนหนทางสว่างไปด้วยแสงไฟแล้ว ระหว่างทางที่ขึ้นรถยนต์ตรงมาบ้าน หม่อมราชวงศ์กีรติได้กล่าวเตือนข้าพเจ้าว่า “นพพร, ดูเธอเชื่อมซึมไปนี่. เธอต้องระวังกิริยาของเธอไว้ให้ดีเมื่อไปถึงบ้าน และอย่าตกใจเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าคุณ เรากลับล่าไปหน่อย ถ้ากิริยาของเธอเปลี่ยนแปลงไป ท่านอาจจะคิด.”

“ท่านเจ้าคุณจะคิดว่ากระไร?” ข้าพเจ้าถามด้วยความตกใจนิดหน่อย.

“ท่านจะคิดว่ากระไรบ้าง ฉันก็คะเนไม่ได้ แต่เราอย่าทำอะไรผิดปรกติให้ท่านคิดเลยดีกว่า”

ข้าพเจ้ารับว่าจะพยายาม. เมื่อรถยนต์มาจอดที่หน้าบ้าน หม่อมราชวงศ์กีรติได้ก้าวลงจากรถอย่างกระปรี้กระเปร่า ใจข้าพเจ้าเต้นแรงนิดหน่อย.

เธอถามข้าพเจ้าเบา ๆ ว่า “เธอเรียบร้อยหรือนพพร?”

ข้าพเจ้าพยักหน้า พร้อมกับยิ้ม พยายามจะให้เธอเข้าใจว่าข้าพเจ้า​เป็นคนใจเย็นพอ. สาวใช้บอกกับเราว่า เจ้าคุณยังไม่กลับจากไปในงาน. ข้าพเจ้าถอนหายใจยาว ตอนนี้แหละที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าใจเย็นจริง ๆ.

คืนนั้นข้าพเจ้าลาจากหม่อมราชวงศ์กีรติมา เป็นเวลาราว ๓ ทุ่ม ข้าพเจ้าไม่ได้ตรงกลับบ้าน เพราะไม่รู้ว่าจะกลับมาบ้านทำไม ข้าพเจ้าไม่มีสมาธิพอที่จะดูหนังสือ หรือแม้แต่จะข่มใจให้นอนหลับก็คงจะทำไม่ได้ ในสมองของข้าพเจ้ามันสว่างโพลงไปด้วยความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะกลับบ้าน. จากบ้านหม่อมราชวงศ์กีรติ ข้าพเจ้าขึ้นรถย้อนกลับเข้ามาในเมืองอีก. โตเกียวสว่างไสวไปด้วยแสงไฟ ลงรถที่หน้าสวนเวียนโน ข้าพเจ้านำตนเข้าไปเดินอยู่ในสวนอันกว้างใหญ่และงดงามนั้น.

​ข้าพเจ้าเดินไป โดยไม่ได้ใส่ใจว่าจะชมอะไร และไม่ได้ดูว่ามีใครได้เที่ยวเล่นอยู่ในที่นั้นบ้าง. สุดแต่ว่ามีทางให้เดิน ข้าพเจ้าก็เดินไป คิดคำนึงไป. เมื่อรู้สึกเมื่อย ข้าพเจ้าก็ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นสนามริมสระน้ำ. ข้าพเจ้าทอดกายเอกเขนกด้วยความเหนื่อยเมื่อยที่ได้เที่ยวมาตลอดทั้งวัน. พยายามรำลึกว่า ข้าพเจ้าได้ทำอะไรไปแก่หม่อมราชวงศ์กีรติในบ่ายวันนี้ที่บนเขามิตาเกะ. ข้าพเจ้าได้ประคองกอดและจุมพิตเธอด้วยสุดแสนเสน่หา ข้าพเจ้าได้พรรณนาความรักของข้าพเจ้าแก่เธอ. ข้าพเจ้าได้ทำไปถึงปานนั้นเจียวหรือ บังอาจบอกความรักและจุมพิตหม่อมราชวงศ์กีรติ ซึ่งเป็นภรรยาของเจ้าคุณอธิการบดี ผู้เป็นที่นับถืออย่างสูงของข้าพเจ้าเจียวหรือ ข้าพเจ้าได้ทำไปถึงปานนั้นแล้วจริง ๆ!

ข้าพเจ้าเสียใจหรือเป็นสุขที่ได้กระทำไปเช่นนั้น ข้าพเจ้าอึดอัดใจหรือปลอดโปร่งโล่งใจที่ได้พรรณนาความรักออกไปให้หม่อมราชวงศ์กีรติทราบ. ข้าพเจ้าตอบปัญหาเหล่านี้ให้เป็นที่เด็ดขาดออกไปไม่ได้ ข้าพเจ้าปรารถนาคำตอบอยู่เหมือนกัน ข้าพเจ้ารู้แน่แก่ใจอยู่อย่างเดียวว่า ข้าพเจ้ารักหม่อมราชวงศ์กีรติด้วยชีวิตจิตใจ รักอย่างจะกลืนกิน.

ลองตั้งปัญหาถามตัวเองว่า ข้าพเจ้าต้องการหม่อมราชวงศ์กีรติหรือไม่. ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ถ้าปราศจากหม่อมราชวงศ์กีรติแล้ว คงจะว้าเหว่หงอยเหงาและคิดถึงเธอเป็นที่สุด นี่จะเรียกว่าไม่ต้องการเธอได้หรือ? แต่ข้าพเจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะเรียกร้องต้องการตัวเธอ ในเมื่อเธอมีเจ้าของครอบครองอยู่แล้ว. ฉะนั้นข้าพเจ้าตั้งใจจะเข้ายื้อแย่งช่วงชิงเอาหรือ? ข้าพเจ้าไม่เคยมีความตั้งใจเช่นนั้นเลย ในข้อแรก ข้าพเจ้าไม่อยู่ในฐานะที่จะทำเช่นนั้นได้ ข้าพเจ้ายังอยู่ในระหว่างศึกษาเล่าเรียน อีกทั้งเจ้าคุณอธิการบดีก็เป็นที่เคารพนับถือของข้าพเจ้า นอกจากนั้นข้าพเจ้าไม่หาญพอที่จะเข้าใจเอาว่า หม่อมราชวงศ์กีรติจะ​ยอมพร่าเกียรติยศของเธอเพื่อเห็นแก่ความรัก ความต้องการของข้าพเจ้า หรืออาจจะรวมทั้งเพื่อเห็นแก่ความรักความต้องการของเธอด้วย.

ฉะนี้แหละ ข้าพเจ้าจึงยังตอบไม่ได้ว่า ข้าพเจ้าเสียใจหรือเป็นสุขที่ได้กระทำไปเช่นนั้น ที่ได้แสดงความรักต่อหม่อมราชวงศ์กีรติอย่างเปิดเผย. ในหัวของข้าพเจ้าพร่าพราวไปด้วยความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ซึ่งเลือนรางไม่แจ่มแจ้ง. ในที่สุดข้าพเจ้าก็ลงความเห็นว่า ไม่เป็นการสมควรที่จะหมกมุ่นครุ่นคิดถึงปัญหาร้อยแปด ในสถานที่อันสงบเงียบเช่นนั้นต่อไป. ออกจากสวนเวียนโน ข้าพเจ้าจับรถยนต์นั่งเรื่อยเปื่อยไปตามถนนที่ยังเกลื่อนกล่นด้วยฝูงชน ผ่านถนนนั้น ออกถนนนี้ โดยไม่มีที่หมายปลายทาง ในที่สุด ข้าพเจ้าให้รถมาหยุดส่งข้าพเจ้า ณ กาเฟสถานแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นกาเฟสถานชั้นกลาง ไม่ต่ำช้าจุ้นจ้านจนเกินไป.

ตามจริงข้าพเจ้าไม่คุ้นเคยกับสถานที่เช่นนี้นัก เคยมาเที่ยวที่กาเฟสถานนี้นาน ๆ ครั้งหนึ่งในฐานะของผู้นำทางท่านผู้อื่น. การที่ได้หาญนำตนเองแต่ลำพังเข้าไปในวันนั้น ก็เพราะว่าข้าพเจ้าต้องการความเปลี่ยนแปลง ต้องการความเอิกเกริกเฮฮา เพื่อที่จะบรรเทาความมึนงงในปัญหาร้อยแปดในหัวของข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าขึ้นบันไดไปชั้นบน แม่สาวหน้าตาแฉล้มนางหนึ่งวิ่งเหยาะออกมารับ. ข้าพเจ้าประหลาดใจที่หล่อนบอกว่าจำข้าพเจ้าได้ ทั้งที่นานแสนนานข้าพเจ้าจึงได้มาเหยียบสถานที่นี้สักครั้งหนึ่ง หล่อนชี้แจงว่าที่จำได้แม่นก็เพราะว่า ข้าพเจ้าพูดภาษาของหล่อนได้คล่องแคล่วกว่าคนไทยทุกคนที่มาที่นี่ นอกจากนั้นหล่อนว่าหล่อนจดจำความสุภาพเรียบร้อยของข้าพเจ้าได้แม่นยำเช่นเดียวกับภาษาของข้าพเจ้า. ข้าพเจ้าก็กล่าววาจาขอบใจหล่อน.

เมื่อได้ดื่มเบียร์แก้วแรกไปได้ราว ๕ นาที และได้สนทนาหยอกเอิน​ตามสมควรกับแม่สาวคนนั้น ที่ตามมานั่งปรนนิบัติ คอยรินเบียร์และจุดบุหรี่ให้ข้าพเจ้าสูบ ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ค่อยคลายความมึนงง และปรากฏความแจ่มใสขึ้น ความคิดคำนึงก็เอนเอียงไปในทางบันเทิงเริงรมย์ใจ. ความรู้สึกในขณะที่ข้าพเจ้าได้ตระกองกอดและจุมพิตหม่อมราชวงศ์กีรติด้วยสุดแสนเสน่หา ได้มาปรากฏแก่ข้าพเจ้าอีก ข้าพเจ้าจิบเบียร์ไปพลาง และคิดคำนึงไปพลาง อา! ข้าพเจ้าเป็นสุขนี่กระไร เมื่อได้คิดเห็นไปว่า ข้าพเจ้าได้ชนะความรัก ได้ชนะดวงใจของสตรีที่ทรงเสน่ห์ และแสนฉลาดแสนดี ดังเช่นหม่อมราชวงศ์กีรติ. ข้าพเจ้าเพลิดเพลินด้วยความคิดคำนึง และสนทนาหยอกเอินอยู่กับแม่สาวผู้ปรนนิบัติข้าพเจ้า ราวชั่วโมงเศษ ข้าพเจ้าก็จากสถานที่นั้นมา และเดินทางกลับบ้านด้วย ความมึนครั้งนี้มิใช่ด้วยปัญหาร้อยแปด แต่ด้วยเบียร์ซึ่งช่วยให้ข้าพเจ้าเพลิดเพลินไปในความมึนนั้น.

กลับมาถึงบ้านแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังหาได้เข้านอนไม่ จนกระทั่งเวลาล่วงเลยหนึ่งนาฬิกา ข้าพเจ้าจึงได้ล้มตัวลงนอน มีปัญหาข้อหนึ่งตามรบกวนข้าพเจ้าแม้ได้หลับตาลงแล้ว. ตามที่ข้าพเจ้าได้เข้าใจเอาว่า ข้าพเจ้าได้ชนะความรัก ได้ชนะดวงใจของหม่อมราชวงศ์กีรตินั้น เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วหรือ? หม่อมราชวงศ์กีรติได้บอกข้าพเจ้าดังนั้นหรือ? ข้าพเจ้าระลึกขึ้นได้ในบัดนั้นว่า หม่อมราชวงศ์กีรติยังมิได้ให้ถ้อยคำแก่ข้าพเจ้าเลย. อย่างไรก็ตาม ในที่สุดข้าพเจ้าก็ได้หลับไป ทั้งที่ยังมีความมืดมัวอยู่ในปัญหาบางข้อ.

 


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« Reply #1 on: 29 October 2025, 19:03:50 »


๑๒

​วันที่เราพากันไปเที่ยวเขามิตาเกะนั้น เป็นวันในต้นสัปดาห์ที่ ๘. ตามกำหนดการเดิม เจ้าคุณกับหม่อมราชวงศ์กีรติจะได้เดินทางออกจากโตเกียว เพื่อกลับคืนประเทศสยามในวันใดวันหนึ่งของสัปดาห์นั้น แต่สองวันต่อมาหลังแต่นั้น ข้าพเจ้าได้ทราบจากหม่อมราชวงศ์กีรติว่า เจ้าคุณยินดีจะยืดเวลาอยู่โตเกียวออกไปอีกสองสัปดาห์. ในระหว่างเวลาที่ได้ยืดออกไปนั้น มีกำหนดการสำคัญอยู่สองอย่าง. อย่างหนึ่งเจ้าคุณกับหม่อมราชวงศ์กีรติจะได้ไปใช้วันที่อาตามิสักสองวัน เพื่ออาบน้ำร้อนและชมภูมิประเทศอันเป็นที่ขึ้นชื่อลือนามแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น. กำหนดการอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในระหว่างทางจากโตเกียวไปโกเบ ท่านทั้งสองจะหยุดยั้งที่เมืองโอซากาสักสองสามวัน เพื่อชมความเจริญของเมืองอุตสาหกรรมชั้นเอกของญี่ปุ่นและชมสำนักละครตาการะซูกะ ซึ่งเป็นสำนักละครสำนักใหญ่ที่สุดในประเทศนั้น.

ในระหว่างวันที่เหลืออยู่นี้ ข้าพเจ้าได้มาเยี่ยมเยียนและมีการติดต่อกับหม่อมราชวงศ์กีรติ และเจ้าคุณอธิการบดีเหมือนเช่นเคย. ข้าพเจ้า​จำต้องสารภาพว่า ในการติดต่อกับหม่อมราชวงศ์กีรติในครั้งหลัง ๆ นี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าสามีของเธอ ข้าพเจ้าหามีความปลอดโปร่งโล่งใจดังแต่ก่อนไม่ ข้าพเจ้าต้องใช้ความพยายามบังคับกิริยาของตนเองอยู่เสมอ เพื่อที่จะมิให้เป็นการผิดปรกติไป. ความหวาดหวั่นปั่นป่วนใจของข้าพเจ้าในเวลานั้น คงจะไม่ผิดแผกแตกต่างไปจากความรู้สึกของคนร้าย ที่ได้ลอบประกอบอาชญากรรมอันร้ายแรงและได้นำตนเข้ามาปะปนสมาคมอยู่ในหมู่ชนผู้บริสุทธิ์.

เป็นการประหลาดมากที่ข้าพเจ้าได้พบว่า หม่อมราชวงศ์กีรติมิได้มีกิริยาการเปลี่ยนแปลงผิดปรกติไปแม้แต่น้อยหนึ่ง. เธอคงประพฤติตนสนิทสนมกับข้าพเจ้าเหมือนเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นในเวลาลับหลังหรืออยู่ต่อหน้าเจ้าคุณสามี. เฉพาะความสนิทสนมที่เธอได้แสดงต่อข้าพเจ้าในเวลาที่อยู่ต่อหน้าท่านเจ้าคุณนั้น ได้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกใจหายบ่อย ๆ อย่างไรก็ตาม การที่เธอได้แสดงกิริยาเป็นปรกติกับข้าพเจ้าตลอดมานั้น ก็เป็นเครื่องอุ่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่า เธอยังคงเป็นหม่อมราชวงศ์กีรติคนเก่าของข้าพเจ้า เธอมิได้มีความชิงชังข้าพเจ้า ภายหลังที่ข้าพเจ้าได้สร้างเหตุการณ์อันกระเทือนใจที่สุดขึ้น ณ ที่เขามิตาเกะนั้นแล้ว.

เมื่อมีโอกาสครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง ข้าพเจ้าได้เพียรจะรื้อฟื้นเรื่องเดิมอีก แต่ก็ได้ถูกเธอตอบตัดบทเสีย. เย็นวันหนึ่งที่อาตามิ หม่อมราชวงศ์กีรติได้ชวนข้าพเจ้าออกไปเดินเล่นแต่ลำพัง.

“ยังเหลืออีก ๖ วันเท่านั้น” เรากำลังพูดถึงเรื่องที่จะต้องจากกัน.

“เธอคอยนับวันอยู่เสมอเทียวหรือ, นพพร?”

“ผมนับทุกชั่วโมง ทุกนาที หรือแทบจะว่าทุกลมหายใจเข้าออกก็ได้.”

“เธอจริงจังกับการจากของเรามากเกินไป. คนดี. ฉันขอเตือน​เธอ เธออาจจะไม่สบาย เธอต้องพยายามข่มใจ” น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความปรานี น้ำเสียงเช่นนี้เป็นที่เสียดแทงใจข้าพเจ้ายิ่งขึ้น.

“ผมไม่อยากจะทำเช่นนั้น ผมมองไม่เห็นเหตุผลว่า ทำไมผมจะต้องข่มขู่ความรักที่เกิดเอง เป็นเองด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง ความรักที่ไร้ความผิดที่น่าสงสาร น่าสมเพชเวทนา ผมทำดังนั้นแก่ความรักไม่ได้.”

หม่อมราชวงศ์กีรติถอนหายใจ.

“เราหลีกเลี่ยงความจริงไม่ได้, นพพร.”

“ความจริงอะไร?”

“ความจริงที่เราจะต้องจากกันใน ๖ วันต่อจากนี้ไป.”

“เป็นความจริงที่ร้ายกาจมาก!” ข้าพเจ้าพูดอย่างแค้น.

“เพราะเหตุนั้นน่ะสิ ฉันจึงขอให้เธอพยายามข่มใจ. โปรดเชื่อฉัน, คนดี.”

“ผมจะพยายาม แต่ผมคิดว่าไร้ประโยชน์.”

“เราไม่ควรจะได้มาพบกันเลย” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดเป็นเชิงรำพึงแก่ตนเองมากกว่าที่จะพูดกับข้าพเจ้า “การตั้งต้นของเราดีเหลือเกิน แต่การตั้งต้นเช่นนั้นกลับเป็นเครื่องทรมาทรกรรมเราในตอนท้าย.”

“มันทรมานคุณหญิงด้วยหรือ ?”

“ฉันปวดร้าวใจด้วยความสงสารเธอ สงสารเพราะว่าเธอมาจริงจังกับฉันเกินไป.”

“ผมคิดว่า ความจริงจังเป็นลักษณะสำคัญของความรักแท้” ข้าพเจ้าพูดด้วยเสียงกระด้างนิดหน่อย.

หม่อมราชวงศ์กีรติพูดต่อไป ด้วยการสำรวมกิริยาเป็นปรกติ.

“ถ้าฉันทำอย่างไรให้เธอไม่พอใจฉันเสียได้แต่ในชั้นต้น การณ์ก็จะไม่เป็นเช่นนี้.”

​“แต่ผมก็พอใจในฐานะของผมในเวลานี้อย่างที่สุดแล้ว. แม้ว่าความรักจะทรมานผมเพียงใด แต่ความรักก็เป็นพรอันประเสริฐสำหรับชีวิต ตามคำของคุณหญิงเอง. ผมไม่เข้าใจผิดไปมิใช่หรือ ว่าคุณหญิงก็รักผมด้วยลักษณะของความรัก เช่นเดียวกันที่ผมได้รักคุณหญิง รักด้วยชีวิตจิตใจ รักอย่างจริงจัง.”

“โปรดเชื่อฉัน, นพพร. เธอต้องพยายามข่มใจ.”

ในที่สุดข้าพเจ้าก็ไม่ได้รับคำตอบอันแจ้งชัดจากปากคำของเธอ ในการที่ได้ไปใช้วันคืนร่วมกันที่อาตามินั้น.

□ □ □

เราพักที่โอซากาโฮเต็ลสองวัน หม่อมราชวงศ์กีรติกับข้าพเจ้า​แทบจะไม่มีโอกาสได้สนทนาล่ำลาไว้อาลัยกันแต่ลำพังเลย. เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันที่เราจะออกเดินทางไปโกเบ หม่อมราชวงศ์กีรติมาเคาะประตูห้องพักของข้าพเจ้า. เมื่อข้าพเจ้าถอดกลอนเปิดประตูออก และเธอเห็นข้าพเจ้าอยู่ในเครื่องสักหลาดชุดสีน้ำเงิน สวมกั๊กและผูกเน็กไทเรียบร้อย แทนที่จะอยู่ในเครื่องนอน เธอก็แสดงความประหลาดใจ.

“ฉันคิดว่าเธอยังไม่ตื่นนอน เพราะว่าเมื่อคืนนี้เราก็เข้านอนดึก. และนี่เธอจะแต่งตัวไปไหน ? เราจะไม่ออกเดินทางก่อน ๓ โมงเช้า”

“ผมทราบแล้ว แต่ว่าผมนอนไม่หลับ ก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าแต่งตัว และคิดว่าประเดี๋ยวจะลงไปเดินเล่นข้างล่าง เพราะรู้สึกอึดอัดใจมาก.”

“วันนี้อากาศหนาวเย็นกว่าเคย และภายนอกมีหมอกลงจัด ฉันหวังว่าเธอจะยังไม่ออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้.”

​“เปล่า, ผมจะยังไม่ออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้.”

ข้าพเจ้าปิดประตูแล้ว ก็เดินตามหม่อมราชวงศ์กีรติมานั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เตียงนอน ส่วนหม่อมราชวงศ์กีรตินั่งลงที่ขอบเตียง ข้าพเจ้าดีใจเหลือประมาณที่ได้พบหน้าเธอแต่เช้าในวันนั้น แม้ว่าข้าพเจ้าจะมีความประหลาดใจนิดหน่อย ว่าเธอมีกิจธุระสำคัญอะไรหนอที่ต้องการจะพบข้าพเจ้าแต่เช้าตรู่.

อยู่ต่อหน้าหม่อมราชวงศ์กีรติในเช้าวันนั้น เช้าวันสุดท้ายที่เราจะจากกัน หัวใจของข้าพเจ้าเต้นแรง. ข้าพเจ้านั่งสำรวมกิริยาด้วยความสร้อยเศร้า และหม่อมราชวงศ์กีรติก็ไม่เอ่ยออกวาจาว่ากระไร เราปล่อยให้เวลาผ่านไปในความเงียบกว่า ๓๐ วินาที

ในที่สุด เธอได้พูดขึ้นอย่างแช่มช้าว่า

“เราจะออกจากโอซาการะหว่าง ๓ โมงครึ่งถึง ๔ โมง จะไปรับประทานอาหารกลางวันที่โกเบ โดยคำเชิญของสหายคนไทยที่นั่น กำหนดเรือออกจากท่าบ่าย ๒ โมง.”

ข้าพเจ้าใจหายวาบ เมื่อได้ฟังประโยคท้าย.

“เมื่อไปถึงโกเบ เราคงจะอยู่ในระเบียบการรับรองตลอดเวลา” เธอกล่าวต่อไปอย่างแช่มช้าเช่นเดียวกับในตอนต้น “เราคงไม่มีเวลาที่จะอยู่ด้วยกันแต่ลำพังอีกเลย.”

เธอหยุดครู่หนึ่ง ข้าพเจ้ากลืนน้ำลาย หลบนัยน์ตาเธอ และนัยน์ตาข้าพเจ้ากะพริบหลายครั้งในเวลานั้น.

“ฉันคิดว่าเธอคงต้องการเวลาอย่างน้อยก็สัก ๑๐ นาที เพื่อที่เราจะได้กล่าวคำอำลากันเป็นการพิเศษเฉพาะตัว ฉันจึงเข้ามาหาเธอแต่เช้าในวันนี้ ”

น้ำเสียงของเธอเยือกเย็น ทำให้ข้าพเจ้าตื้นตันใจเป็นแสนสุด.

​“ผมกระหายที่จะได้เวลาอย่างที่ว่าเหลือเกิน ผมขอบใจคุณหญิงอย่างที่สุดที่ให้โอกาสแก่ผม” ข้าพเจ้าพูดได้เท่านั้นก็นิ่งไป.

“เธอจงตั้งหน้าศึกษาเล่าเรียนให้สำเร็จสมความปรารถนา อยู่ทางเมืองไทย ฉันจะภาวนาเอาใจช่วยเธอ.”

“ขอให้คิดถึงผมตลอดเวลาด้วย ขอจงเห็นใจในความรักภักดีของผม.”

“ฉันขอรับรองว่าจะปฏิบัติตาม. แล้วมีอะไรอีก, นพพร ?”

“ผมมีคำพูดอีกตั้งล้านคำที่จะพูด แต่เวลามีไม่พอ ผมอยากจะเลือกสรรคำพูดเพียงร้อยคำ เพื่อที่จะให้คุณหญิงเข้าใจความทั้งล้านคำนั้น แต่ผมยังนึกหาคำไม่ออก.”

“เธอจงพูดเท่าที่จะพูดได้ ส่วนที่เหลืออยู่นั้นฉันจะอ่านจากดวงตาของเธอ.”

ข้าพเจ้าแลสบตาเธอ ด้วยความรู้สึกละห้อยสร้อยเศร้าทวีขึ้น.

“จงอ่านดูเถิด ผมยังไม่รู้ที่จะพูดว่ากระไร.”

เราถ้อยทีถ้อยแลสบตากันอยู่เป็นครู่ ในที่สุดหม่อมราชวงศ์กีรติลุกขึ้น และมายืนอยู่เคียงข้างข้าพเจ้า เอามือยึดไหล่ข้าพเจ้าไว้พลางพูดว่า

“คนดีของฉัน. ขอได้โปรดรับคำแนะนำของฉันเป็นครั้งสุดท้าย. เธอจากบ้านเกิดเมืองนอนมาญี่ปุ่นเพื่อการศึกษาเล่าเรียน มิใช่เพื่อจะมารักฉัน. จงจำจุดหมายปลายทางของเธอไว้ให้แม่น จงยึดไว้ให้มั่น. ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฉันในชั่วเวลา ๒ เดือนเศษนี้ เธอจงลืมเสีย จงนึกเสียว่ามันเป็นความฝัน”

ข้าพเจ้าเอื้อมมือไปจับมือเธอแล้วลูบคลำเบา ๆ

“นี่เป็นเลือดเนื้อโดยแท้ นี่เป็นคุณหญิงโดยแท้ มิใช่รูปภาพหรือ​เงาในฝันเลย จะให้ผมนึกไปว่าเป็นความฝันได้กระไร. ผมรักเลือดเนื้อนี้แทบใจจะขาด.”

หม่อมราชวงศ์กีรติค่อยดึงมือออกและเบือนหน้าไปทางอื่น.

“เจ้าคุณอาจจะตื่นในไม่ช้า ประเดี๋ยวฉันจะต้องกลับไปห้อง เวลาของเราเกือบหมดแล้ว, คนดี.”

ข้าพเจ้าลุกขึ้นยืน.

“คุณหญิงรักผมไหม ?” เสียงที่ถามนั้นเบาจนแทบเป็นกระซิบ.

“ฉันเป็นเพื่อนตายของเธอ” หม่อมราชวงศ์กีรติตอบ พลางดึงผ้าพันคอไหมที่พันอยู่กับคอเธอส่งให้ข้าพเจ้า “โปรดรับสิ่งนี้ไว้เป็นที่ระลึกต่างตัวฉัน.”

เธอยื่นมือมาให้ข้าพเจ้าสัมผัส ข้าพเจ้าสุดที่จะกล้ำกลืนความโศกไว้ได้. ด้วยน้ำตาคลอตา ข้าพเจ้ามองดูมือที่ยื่นมานั้น จับและบีบแน่นด้วยความพิศวาส แล้วข้าพเจ้ายกมือนั้นขึ้นจูบ เธอยินยอมโดยดี.

​หม่อมราชวงศ์กีรติยืนก้มหน้าสงบอยู่ครู่หนึ่ง.

“ฉันลาไปห้องก่อน ประเดี๋ยวเราจะได้พบกันอีกที่ห้องรับประทานอาหาร. โปรดบังคับใจให้ดี” จบประโยคท้าย เธอแลสบตาข้าพเจ้า แล้วก็หันหลังเดินตรงไปที่ประตูช้า ๆ.

□ □ □

บ่ายโมงครึ่งเรามาถึงท่าเรือ มีมิตรสหายทั้งชาวไทยและญี่ปุ่นมาส่งท่านเจ้าคุณและคุณหญิง ๑๐ กว่าคน. เรารวมกลุ่มสนทนากันอยู่ในห้องซาลูน ข้าพเจ้าไม่ได้เอาใจใส่กับผู้ใด ได้แต่ลอบชำเลืองดูหม่อมราชวงศ์กีรติ เพื่อที่จะถ่ายภาพดวงหน้านั้นยังลงไว้ในดวงใจของข้าพเจ้า.

เวลาสุดท้ายได้มาถึงแล้ว เรือเปิดหวูด และมีเสียงตีฆ้อง เตือนบรรดาผู้ที่มาส่งให้ละเรือขึ้นบก เจ้าคุณกับคุณหญิงจับมือล่ำลามิตรสหายโดยทั่วหน้าภายในห้องซาลูนนั้น. มาถึงข้าพเจ้า ท่านเจ้าคุณจับมือสั่นอยู่นาน และกล่าวคำขอบคุณข้าพเจ้ายืดยาว.

“ฉันจะไม่ลืมบุญคุณของเธอ, พ่อหลานชาย เธอทำประโยชน์ให้แก่เรามากมาย” ท่านพูดประโยคสุดท้าย. ข้าพเจ้าทั้งตื้นตันใจและเสียวใจจนไม่รู้ที่จะตอบไปว่ากระไร. ข้าพเจ้าเป็นคนสุดท้ายที่หม่อมราชวงศ์กีรติเข้ามาอำลา เธอยื่นมือมาให้ข้าพเจ้าสัมผัส

“ลาก่อน, คนดีของฉัน” เธอพูดเบามาก แม้กระนั้นเสียงของเธอยังสั่น แล้วก็หยุดนิ่งไป เธอเม้มริมฝีปากแน่น.

“โปรดคิดถึงผมเสมอ.”

“ฉันจะคิดถึงเธอเสมอ. ลาก่อน.”

“ลาก่อน” ข้าพเจ้ากัดกรามแน่น ข้าพเจ้าต้องพยายามที่จะไม่ให้น้ำตาหยดลงต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเกียรติยศของสตรีที่ข้าพเจ้ารักเป็นที่สุด.

​“ลาก่อน.”

เราเดินตามคนอื่น ๆ ออกมาจากห้องซาลูน. ตอนจะผละจากเรือเจ้าคุณต้องรับการล่ำลาอย่างชุลมุนอีกครั้งหนึ่ง. ในระหว่างความชุลมุนนั้น ข้าพเจ้ามีเวลาชั่ว ๑ นาทีที่อยู่ใกล้ชิดหม่อมราชวงศ์กีรติ และห่างจากคนอื่น ๆ.

เธอยื่นมือให้ข้าพเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย.

“คุณหญิงรักผมไหม ?” ข้าพเจ้ากระซิบถามเป็นครั้งสุดท้ายเช่นเดียวกัน.

“รีบลงไปเสียเถิด, นพพร” พูดแล้วเธอยกมือขึ้นปิดหน้าชั่วขณะหนึ่ง “รีบไปเสีย ฉันแทบใจจะขาด.”

เธอกัดริมฝีปากล่าง ข้าพเจ้าทำเช่นเดียวกัน เรามีน้ำตาคลอตาด้วยกันทั้งสองคน แต่ยังไม่หยาดหยดออกมา ด้วยความพยายามกล้ำกลืนฝืนไว้อย่างสุดกำลัง.

“ลาก่อน” ข้าพเจ้ากระซิบคำสุดท้าย.

เมื่อปล่อยมือเธอ ข้าพเจ้ารู้สึกประหนึ่งว่าดวงใจของข้าพเจ้าได้ติดไปกับอุ้งมืองามนั้น.

 


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« Reply #2 on: 29 October 2025, 19:06:28 »


๑๓

เมื่อได้คิดคำนึงไปว่า สุภาพสตรีที่ข้าพเจ้ารักสุดที่รัก และที่ข้าพเจ้าได้คลอเคลียอยู่กับเธอทุกวันคืน ได้จากไปไกล และมิใช่การจากไปอยู่คนละตำบลคนละเมือง ซึ่งข้าพเจ้าอาจขึ้นรถยนต์หรือรถไฟไปพบเธอได้ หากเป็นการจากไปสู่อีกประเทศหนึ่ง และข้าพเจ้าไม่อยู่ในฐานะที่จะตะเกียกตะกายไปพบเธอได้ก่อนที่เวลา ๕ ปีจะได้ผ่านไป ข้าพเจ้าเศร้าโศกปานใดเมื่อได้คิดคำนึงไปเช่นนั้น เป็นการสุดวิสัยที่จะพรรณนาออกมาได้.

ระหว่างทางที่นั่งรถไฟจากโกเบมาโตเกียว ข้าพเจ้ารู้สึกว่าได้รับความชอกช้ำด้วยความคิดคำนึงถึงหม่อมราชวงศ์กีรติอย่างแสนสาหัส ข้าพเจ้าเดินทางมาในเวลากลางคืน และในยามราตรีเช่นนั้น มันชวนให้ข้าพเจ้าคิดถึงเธอเสียนี่กระไร.

มาถึงโตเกียวในเช้ารุ่งขึ้น ข้าพเจ้าตรงไปที่ตำบลอาโอยามาชิฮัง ไปเยี่ยมบ้านของเธอ ความรู้สึกของข้าพเจ้าในเวลานั้น ราวกับว่าไปเยี่ยมสถานฝังศพของบุคคลที่ข้าพเจ้ารักแสนรัก ราวกับว่าหม่อม​ราชวงศ์กีรติได้ตายจากข้าพเจ้าไป. ประตูหน้าบ้านซึ่งต่ำแค่ราวอกปิดลงกลอน ข้าพเจ้าถอดกลอนออกเปิดประตูเดินไปตามถนนกรวดช้า ๆ ข้าพเจ้าเดินสำรวจตรวจดูตามบริเวณบ้านรอบนอกอย่างเงียบ ๆ รำลึกภาพที่เราได้เคยนั่งเล่นเดินเล่นอยู่ด้วยกัน ที่นี่และที่นั่น. บนบ้านประตูหน้าต่างทุกบ้านปิดสนิท เงียบสงัดปราศจากศัพท์สำเนียงใด.

ข้าพเจ้านั่งลงบนเนินหญ้าภายใต้ซุ้มต้นองุ่น ณ ที่นี้เราทั้งสองเคยมานั่งพักสนทนากันในเวลาค่ำคืนหลายครั้ง ก่อนที่หม่อมราชวงศ์กีรติจะเข้านอน ในราตรีอันผุดผ่องด้วยแสงเดือน ข้าพเจ้ายังจดจำดวงนัยนาที่ทั้งหวานและคมของเธอได้ ความรู้สึกซาบซ่านกระวนกระวายได้เกิดแก่ข้าพเจ้าเนือง ๆ ในเมื่อแลสบเนตรอันทรงมหาเสน่ห์คู่นั้น เจตสิกของข้าพเจ้าจมอยู่ในความคิดคำนึงถึงหม่อมราชวงศ์กีรตินานเท่าใด ก็เหลือที่จะจดจำ อากาศในเช้าวันนั้นครึ้มเยียบเย็นไม่เปลี่ยนแปลง และปราศจากแสงแดด เมื่อข้าพเจ้าพยุงกายลุกขึ้นจากเนินหญ้า และได้ทอดทัศนาไปโดยรอบบริเวณบ้านอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้ารู้สึกมีหยาดน้ำตาคลออยู่ในดวงตา ความเสน่หาอาลัยเกิดแก่ข้าพเจ้าแม้กระทั่งสิ่งที่เป็นเพียงนิวาสสถานของเธอ.

กลับมาถึงบ้านในวันนั้น และรับประทานอาหารค่ำแล้ว แทนที่จะเข้าไปนั่งเล่นในห้องรับแขก รวมกลุ่มกับคนอื่น ๆ ในครอบครัว อันเป็นกิจวัตรของเรา แล้วก็เปิดวิทยุฟังบ้าง ฟังเพลงจากจานเสียง บ้าง สนทนากันบ้างหรืออ่านหนังสือพิมพ์บ้าง ข้าพเจ้าต้องขอตัวคนเหล่านั้นอยู่ในห้องของข้าพเจ้าแต่ลำพัง ข้าพเจ้าไม่สามารถจะไปร่วมพักผ่อนกับคนเหล่านั้นได้ ด้วยเหตุที่ข้าพเจ้ารู้สึกแน่ในใจว่า ข้าพเจ้าจะไม่เป็นประโยชน์แก่เขาเลย. ประสาทของข้าพเจ้ามึนชาไปหมด ข้าพเจ้ามีความหมกมุ่นสนใจอยู่แต่ในเรื่อง ๆ เดียว.

​ข้าพเจ้าพยายามหาทางที่จะบรรเทาความคิดคำนึงฟุ้งซ่านถึงหม่อมราชวงศ์กีรติ ข้าพเจ้าจำต้องหาทางให้ความคิดคำนึงเหล่านั้นได้พลั่งออกมาเสียบ้าง แทนที่จะปล่อยให้อัดแน่นอยู่ในหัวอกจนเหลือที่จะทนทานได้. แต่ก็ไม่มีใครเลยที่ข้าพเจ้าเห็นสมควรระบายความรู้สึกของข้าพเจ้าให้เขาทราบ ข้าพเจ้ายังมีสติพอที่จะไม่แถลงเล่าแก่ใครคนหนึ่งว่า ข้าพเจ้ากำลังคลั่งรักหม่อมราชวงศ์กีรติ คลั่งรักสตรีผู้เป็นภริยาของบุคคลผู้เป็นมิตรของบิดาข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังมีสัมปชัญญะพอที่จะหยั่งทราบได้ว่า การแถลงเล่าเช่นนั้นจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ตัวและแก่สตรีที่ข้าพเจ้ารัก น้อยนักที่จะได้รับความปลอบโยนเห็นใจ.

ทางออกจึงเหลืออยู่แต่ทางเดียว คือระบายความรู้สึกคลุ้มคลั่งของข้าพเจ้าให้เธอทราบ ข้าพเจ้าจึงลงมือเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ถึงหม่อมราชวงศ์กีรติในค่ำวันนั้น ต่อไปนี้คือจดหมายฉบับแรกนั้น.

“คุณหญิงที่รักของผม

ผมแทบจะหมดสติด้วยความคลั่งคิดถึง เมื่อดวงหน้าของคุณหญิงห่างไกลออกไปจนผมไม่สามารถจะแลเห็นความงามในดวงหน้านั้นต่อไปได้. ผมแทบจะล้มฟุบลงไปที่ท่าเรือนั้น เมื่อมือน้อย ๆ หยุดโบกเพราะสุดกำลังที่จะโบกต่อไป. ผมไม่รู้ตัวว่าผมกลับมาโตเกียวได้อย่างไร ผมกลับโตเกียวในคืนวันเดียวกันนั้นด้วยความรู้สึกมึนงงเหมือนคนเมาเหล้าจัด.

ผมไม่สามารถจะผ่านราตรีที่สอง ซึ่งปราศจากคุณหญิงไปได้ ถ้าไม่ลงมือระเบิดความรู้สึกของผมให้ทลายออกมาจากหัวอกเสียบ้าง ผมแทบคลั่งเป็นบ้าด้วยความคิดถึง มันพลั่งอยู่ในหัวอก ผมต้องระเบิดระบายมันออกมา.

ผมว่ายน้ำข้ามทะเลมาหาคุณหญิงไม่ได้ แต่ผมก็ติดตามคุณหญิง​มาโดยทางจดหมายนี้แล้ว และขอให้ฟังผมอีกที นี่มันไม่ใช่จดหมายดอกคุณหญิง นี่เป็นคนแท้ทีเดียว เมื่อคุณหญิงไปถึงบ้านในกรุงเทพฯและได้ฉีกซองจดหมายฉบับนี้ และดึงมันออกมา คุณหญิงจงเข้าใจเถิด มันไม่ใช่อื่นไกลเลย มันคือนพพรของคุณหญิง ถ้าคุณหญิงจะกรุณาจูบมันสักครั้งหนึ่ง ผมคงสามารถรู้สึกความหวานซาบซ่านในจูบนั้นได้ แม้ว่าร่างกายของเราจะอยู่ห่างไกลกันนับตั้งหลายพันไมล์ก็ตาม

ขณะที่ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ คุณหญิงคงจะผ่านเมืองโมยu ออกนอกเขตแดนญี่ปุ่นไปแล้ว ผมพยายามจะเห็นคุณหญิงโดยทางมโนภาพ คุณหญิงอาจจะนั่งอยู่ในห้องซาลูน เพราะเพิ่งเสร็จการรับประทานอาหาร แต่ผมเกรงว่าคุณหญิงคงไม่ประสงค์จะอยู่ในหมู่คนมากนัก คุณหญิงคงจะปล่อยให้ท่านเจ้าคุณสนทนากับกัปตันและผู้โดยสารอื่น ๆ ส่วนตัว​คุณหญิงเองคงจะขึ้นมาพักอยู่แต่ลำพังเงียบ ๆ บนดาดฟ้าเรือแล้วก็เป็นได้ มโนภาพของผมออกจะทำให้ผมแลเห็นความเคลื่อนไหวของคุณหญิงเป็นไปในประการหลัง.

มีแสงเดือนอ่อน ๆ ในค่ำวันนี้ แต่ว่าในท่ามกลางท้องทะเลก็ไม่มีอะไรที่จะทอดทัศนา นอกจากระลอกคลื่นและดวงดาวบนท้องฟ้า โลกในกลางทะเลก็มีแต่ฟ้ากับน้ำเท่านั้น คุณหญิงจะขึ้นมาอยู่บนดาดฟ้าเรือเพื่ออะไรเล่า เพื่อที่จะคิดถึงผมอย่างเงียบ ๆ โดยปราศจากความรบกวนของคนอื่น หรือเพื่อที่จะคิดถึงบ้านในกรุงเทพฯ หรือเพื่อที่จะอาบแสงเดือนอ่อนและตากลมเย็น

โอ. ผมเขลาไปถนัด ! มโนภาพของผมมันช่างลำเอียงมาข้างความต้องการของผมมากเกินไป มันจะชวนให้ผมมองเห็นท่าที่อิริยาบถของคุณหญิงแต่ในทางยียวนป่วนใจ แต่แท้จริงมันออกจะเป็นไปไม่ได้ที่คุณหญิงจะมายืนตากลมอยู่บนดาดฟ้าเรือในราตรีเช่นนี้ และในขณะที่คุณหญิงยังอยู่ไม่ห่างไกลจากเกาะญี่ปุ่นเท่าใดนัก คุณหญิงคงจะหนาวเกินจะทนได้ และก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่คุณหญิงจะมายืนทนหนาวอยู่เดียวดายเช่นนั้น.

ถ้าคุณหญิงไม่อยู่ในห้องซาลูน คุณหญิงก็คงจะเดินเล่นอยู่ตามกราบเรือตอนล่าง ในตอนที่ไม่ต้องปะทะกับลมเย็นอย่างรุนแรงเกินไป คุณหญิงอาจมายืนเกาะลูกกรงทางตอนท้ายเรือซึ่งมีที่กำบังลม แล้วมองลงไปในท้องทะเล แล้วก็คิดถึงผมนิดหน่อย หรือมากก็เป็นได้ นพพรของคุณหญิงได้ติดตามไปผุดขึ้นในที่ทุกแห่งที่คุณหญิงได้มองลงไป คุณหญิง มองเห็นผมในพื้นน้ำบ้างไหม ? ผมติดตามมาดุจระลอกคลื่นที่ไล่ตามเรือ ประกายคลื่นนั้นคือประกายตาของผมเอง คุณหญิงมองเห็นผมบ้างไหม ?

ถ้าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดอนุญาตให้ผมเลือกขอพรได้อันหนึ่ง ผมจะ​ขอว่าให้ผมสามารถจำแลงกายเข้าไปอยู่ในหัวใจของคุณหญิง เพื่อผมจะได้ทราบทุกเวลานาที ว่าคุณหญิงคิดคำนึงว่ากระไร คุณหญิงคิดถึงนพพรของคุณหญิงมากน้อยเพียงไร แต่คงไม่มีเป็นแน่มิใช่หรือที่คุณหญิงจะไม่คิดถึงผมเลย.

ผมเพิ่งนึกได้ว่า มีความจริงที่ร้ายกาจอยู่ข้อหนึ่งคือความจริงที่ว่า แม้ผมจะได้เพียรถามทั้งหลายครั้งหลายหนแล้ว คุณหญิงก็ไม่เคยตอบให้ผมได้ทราบเลยว่า คุณหญิงรักผมหรือไม่ ผมรู้ว่าการนิ่งเช่นนั้น ไม่ใช่เป็นการแสดงว่า คุณหญิงปฏิเสธความรักของผมดอก แต่ผมก็ปรารถนาและกระหายเป็นล้นพ้นที่จะได้ฟังคุณหญิงกล่าวออกมาให้แจ้งชัดแก่ใจ ถ้าคุณหญิงกล่าวความรักแก่ผมสักคำหนึ่ง ผมจะถือว่าเป็นพรอันประเสริฐสุดเท่าที่ผมจะพึงได้รับตลอดชั่วชีวิตของผม คุณหญิงจะกรุณาประสาทพรที่ผมวิงวอนขอมานี้ได้หรือไม่?

​คุณหญิงได้รับรองกับผมไว้แล้วว่า จะไม่ลืมคิดถึงผม แต่คุณหญิงก็ควรทราบว่า ผมไม่ประสงค์ให้คุณหญิงคิดถึงผมดุจว่าผมเป็นเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งที่น่าสงสารหรือน่าเล่นหัวด้วยก็ตาม ผมปรารถนาให้คุณหญิงคิดถึงผมอย่างว่า ผมเป็น--อ้า--ผมจะพูดว่าอะไรดี ผมจะพูดว่า ผมเป็นคนรักที่สุด หรือคนรักคนเดียวของคุณหญิงได้ไหม ?

คุณหญิงอาจกำลังสงสัยว่า ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยอาการเพ้อคลั่งไปบ้างหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ผู้ที่กำลังคิดถึงใครคนหนึ่ง ด้วยความรู้สึกทั้งมวลที่มีอยู่ในจิตใจของเขา แล้วก็พูดออกมาตามความสัตย์จริงใจ ฉะนี้จะว่าเป็นอาการเพ้อคลั่งได้หรือไม่.

ผมไม่อยากจะจบจดหมายนี้ลงเสียโดยเร็ว เพราะว่าในเวลาที่ผมเขียน ผมรู้สึกว่าผมได้นำจิตใจของผมไปอยู่ใกล้ชิดกับจิตใจของคุณหญิงอย่างที่สุด และนั่นมันทำให้ผมค่อยสบายใจขึ้น แม้ถึงว่าในเวลานี้คุณหญิงจะอยู่ห่างไกลจากผมเพียงใดก็ตาม.

แต่ผมก็ไม่รู้จะเขียนอะไรลงไปอีก เพราะว่ามันก็จะไม่พ้นไปจากการพรรณนาความรู้สึกคิดถึงอันใหญ่หลวง ความคิดถึงที่ไม่มีระยะเวลาเวลาสิ้นสุดลงได้.

ผมจึงควรจะจบจดหมายเสียที แล้วผมก็จะลาไปนอน-โอยาซูมินาไซ. คุณหญิงที่รักของผม. แม้หลับลงได้ก็เป็นบุญหนักหนา และคงจะฝันถึงคุณหญิงในยามหลับไม่ต้องสงสัย.

                                                                        รักคุณหญิงเหลือเกิน

                                                                               นพพร”

เมื่อได้เขียนจดหมายจบลงแล้ว ข้าพเจ้ายังได้อ่านทบทวนดูอีกหลายตลบ มิใช่เพื่อจะตรวจสอบดูว่าตัวเองเขียนได้ไพเราะเพราะพริ้งปานใด ข้าพเจ้าไม่มีความจำนงจงใจเลยที่จะเขียนจดหมายถึงหม่อม​ราชวงศ์กีรติด้วยถือเอาความไพเราะเพราะพริ้งเป็นสำคัญ การที่อ่านซ้ำอีกหลายตลบ ก็เพื่อจะดื่มรสหวานซาบซึ้งในความรู้สึกของตนเอง พอเป็นที่ชุ่มชื่นใจคลายโศก. จำได้ว่าข้าพเจ้าหลับไปได้ไม่ยากนักในคืนวันนั้น เนื่องด้วยความเหนื่อยอ่อนใจเป็นที่สุด ข้าพเจ้าฝันร้อยแปด แต่ก็เป็นภาพนิมิตร้อยแปดอย่างในเรื่อง ๆ เดียว หรือในคน ๆ เดียวนั้นเอง.

ข้าพเจ้าทนความเหงาเศร้าใจไปได้ไม่กี่วัน และเมื่อเหลือที่จะอดกลั้นได้ ข้าพเจ้าก็ได้เขียนจดหมายถึงหม่อมราชวงศ์กีรติอีกฉบับหนึ่ง ในระหว่างที่เธอยังเดินทางรอนแรมอยู่กลางทะเล.

 


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« Reply #3 on: 29 October 2025, 19:07:49 »


๑๔

ประมาณเดือนเศษ นับแต่หม่อมราชวงศ์กีรติได้จากไป ข้าพเจ้าก็ได้รับจดหมายจากเธอฉบับหนึ่ง ข้าพเจ้าคลุ้มคลั่งมาหลายวันก่อนหน้าได้รับจดหมาย กลับจากมหาวิทยาลัยในตอนบ่ายทุกวัน ข้าพเจ้าเป็นต้องตรวจดูจดหมายที่ตู้รับจดหมายทุกครั้ง และเมื่อไม่พบจดหมายที่ได้เฝ้าคอยอยู่ด้วยใจจดใจจ่อ ข้าพเจ้าเป็นต้องสอบถามคนในบ้านเสียอีกครั้งหนึ่งเสมอ ทำดังนี้มาเป็นกิจวัตรหลายวัน จนกระทั่งคนในบ้านออกจะประหลาดใจ และจนกระทั่งถึงวันที่ข้าพเจ้าได้รับจดหมายจากเธอ.

กำลังเศร้าใจว่า ไม่มีข่าวจากหม่อมราชวงศ์กีรติเช่นเคย และขณะที่นั่งลงถอดรองเท้าอยู่หน้าประตูด้วยกิริยาเหงาหงอยเป็นที่สุด โนบูโกะลูกสาวเจ้าบ้านได้วิ่งมาหา แล้วส่งซองจดหมายให้ข้าพเจ้า พินิจลายมือหน้าซอง และถนัดแน่ว่าเป็นลายมือของใครแล้ว ข้าพเจ้าสลัดรองเท้าออกไปจากเท้าโดยรวดเร็ว และโดยไม่รู้สึกตัว จนโนบูโกะตะลึง ความประสงค์ก็เพื่อจะรีบเข้าไปในห้องของข้าพเจ้า ปิดประตู​และนอนอ่านจดหมายนั้นแต่ลำพังด้วยความกระหายดีใจเป็นที่สุด ข้าพเจ้าพูดขอบใจโนบูโกะคำเดียว แล้วก็เข้าห้องด้วยหน้าบานไม่ต้องสงสัย จดหมายของหม่อมราชวงศ์กีรติ มีถ้อยความดังต่อไปนี้

“นพพรคนดีของฉัน

ฉันถึงบ้านได้ ๕ วันก็ได้รับจดหมายของเธอสองฉบับ เธอเขียนต่างวันกันก็จริง แต่มันมาถึงพร้อมกัน ที่จริงฉันควรจะเขียนถึงเธอ โดยไม่ต้องรอว่าจะมีจดหมายจากเธอมาหรือไม่ เพราะว่าฉันจำเป็นจะต้องรีบเขียนมาขอบใจในความเอื้อเฟื้ออารีอันมีค่ายิ่งของเธอที่มีต่อตัวฉัน ตลอดเวลาที่ได้ไปพักอยู่ในโตเกียว. ฉันจะไม่ชอบใจเธออย่างเดียว ก็ตรงที่เธอมาเอาใจใส่กับฉันมากเกินไป.

ฉันไม่คิดว่าจะได้จดหมายจากเธอเร็วพลันนัก นี่เธอจะติว่าฉันเขียนถึงเธอช้าไปเล่า. หรือเป็นด้วยเธอด่วนเขียนถึงฉันเร็วเกินไป ถ้าฉันเดิน แต่เธอเหาะ มันก็ยากที่จะนำมาเปรียบเทียบกันได้ไม่ใช่หรือ ฉันหวังว่าเธอจะไม่คิดตำหนิติโทษฉันเลย.

อย่างไรก็ตาม ฉันก็ได้ทำดีตอบแทนเธอแล้ว กล่าวคือ ฉันได้ลงมือเขียนจดหมายฉบับนี้ในวันรุ่งขึ้นจากที่ได้รับของเธอ นพพรคงไม่ใจร้อนเกินไปจนถึงจะว่า ฉันควรจะลงมือเขียนตอบเสียในวันเดียวกันนั้น ถ้าเธอออกจะใจร้อนใจเร็วในระหว่างนี้ ก็โปรดอย่าลืมความจริงข้อหนึ่งว่า ฉันไม่ฟรีเหมือนเธอ ที่บ้านในในกรุงเทพฯ ฉันมีกิจการเบ็ดเตล็ดที่จะทำอยู่ไม่น้อย ซึ่งเธออาจไม่ได้คาดหมายถึง.

ฉันรู้สึกความเร่าร้อนที่เธอแสดงมาในจดหมายราวกับว่า ความหนาวของปลายฤดูออทัมน์ไม่ได้สัมผัสกับจิตใจของเธอเลย ราวกับว่าเธอลอบมาเขียนจดหมายฉบับนั้นในกรุงเทพฯ ถ้าเธอยังไม่คลายความเร่าร้อนลงแล้ว ฉันต้องขอแนะนำเธอให้เข้าไปอยู่ในตู้น้ำแข็งในเวลาเขียนถึงฉัน ​หรือมิฉะนั้นก็รอไว้เขียนในฤดูหนาวในที่ที่มีหิมะตก.

ฉันพูดเช่นนี้มิใช่เห็นจดหมายของเธอเป็นของขบขัน ฉันเห็นใจและสงสารเธอเป็นอย่างยิ่ง สงสารเธอแทบใจจะขาด แต่ฉันก็รู้ว่าความคลุ้มคลั่งเช่นนั้นมันจะทำให้นพพรของฉันไร้ความสุข ฉันอยากให้เธอเป็นสุขจะด้วยอะไรก็ตาม.

ในระหว่างเดินทาง จิตใจของฉันค่อนข้างเป็นปรกติ ฉันไม่ได้นับชั่วโมงนับวันคอยเวลาถึงบ้านด้วยใจจดใจจ่อ ซึ่งมักเป็นธรรมดาของผู้ที่จากบ้านมาไม่กี่เดือน อีกอย่างหนึ่งก็ไม่มีใครในกรุงเทพฯที่ใจฉันจดจ่อถึง ทุกชั่วโมงทุกวันฉันคิดถึงท่านพ่อและน้อง ๆ แต่ก็มิใช่อย่างใจจดใจจ่อ หากเป็นความคิดถึงอย่างเรียบ ๆ.

แต่ว่าในการจากเธอมานั้น ฉันต้องยอมรับว่าจิตใจของฉันไม่สู้จะเรียบร้อยนัก ฉันรู้ว่าการจากของฉันจะทำให้เธอเหงาเศร้าใจไปหลายวัน ความรู้สึกที่เธอพรรณนามาในจดหมายไม่รู้เกินกว่าความเป็นห่วงกังวลของฉัน ข้อที่ฉันหวังก็มีอยู่ แต่ว่าเธอคงจะสะกดกลั้นลงได้บ้าง แล้วความรู้สึกในตัวฉันอย่างรุนแรงนั้นจะค่อยเลื่อนหายไปในเวลาอันควร แล้วในที่สุดฉันก็จะไม่เป็นอะไรที่สลักสำคัญในชีวิตของเธอ แล้วความผาสุกและความรู้สึกอันบริสุทธิ์งดงามและปราศจากพันธนาการของคนในวัยหนุ่ม ก็จะกลับคืนมาสู่จิตใจของนพพรเช่นเดิม ฉันภาวนาและคอยเวลาที่ว่านี้.

เธอรู้ไหมว่าในการพรรณนาถึงความรู้สึกของเธอในจดหมายสองฉบับนั้น ได้ทำให้เธอกลายเป็นชายหนุ่มที่ฉันจะต้องคอยระมัดระวังในการติดต่อด้วย. เธอไม่เป็นนพพรยอดยุวมิตรของฉันเสียแล้ว ความน่ารักน่าเอ็นดูอย่างเด็ก ๆ ของเธอเกือบสูญหายไปหมดแล้ว ดูเธอเป็นชายหนุ่มใหญ่ที่น่ากลัวพอใช้ ในจดหมายนั้นฉันแทบจำนพพรคนที่ฉันแรกพบไม่ได้.

​ฉันขอวิงวอนเธอ มิตรน้อยของฉัน เธอต้องพยายามเรียกสัมปชัญญะของเธอคืนมา เธอต้องควบคุมอารมณ์ของเธอไว้ให้มั่นคง เธอมีลักษณะแข็งแกร่งพอที่จะทำได้ ถ้าเธอไม่ปล่อยปละละเลยมันเสียทีเดียว. มันเป็นความสลดสังเวชใจเหลือเกินนักที่เธอจะร้องร่ำคร่ำครวญคิดถึงสตรีผู้นั้น ซึ่งเป็นคนอาภัพ เป็นคนที่โชคชะตาได้ทอดทิ้งไม่เหลียวแลมาช้านานแล้ว ทั้งในปัจจุบันนี้เล่าก็ไม่อยู่ในฐานะอันจะเป็นที่ใฝ่ฝันของใคร ๆ ได้เสียแล้ว.

แม้ว่าคนทั้งหลายจะยอมอภัยให้ในความลุ่มรักของเธอในสตรีผู้นั้น แต่เธอก็จะต้องรับรู้ในความเป็นจริงว่า ความคร่ำครวญคิดถึงนั่นเป็นสิ่งไร้สาระต่อตัวเธอโดยแท้ ประโยชน์อะไรที่เธอมาคร่ำครวญใฝ่ฝันในตัวฉัน ในเมื่อความปรารถนาของเธอไม่มีทางที่จะเป็นของจริงขึ้นได้ มหาสมุทรมากีดกั้นฉันไว้จากเธอหรือ ? เธอย่อมรู้ดีว่า การที่ฉันมีท่านเจ้าคุณต่างหาก ที่ได้แยกเธอกับฉันไว้คนละโลก เราไม่มีทางที่จะพบกันได้ เธอเข้าใจดีพอมิใช่หรือ ?

นพพร, เธอจะใฝ่ฝันถึงฉันสืบต่อไปทำไม ? ฉันช่วยเธอไม่ได้ ไม่มีใครในโลกจะช่วยเธอได้. ชีวิตมีทางดำเนินก็จริง แต่เทพยดาฟ้าดินได้กำหนดวิถีทางดำเนินของชีวิตมาก่อนแล้ว ฉันไม่ห้ามและไม่ขอที่เธอจะคิดถึงฉัน แต่ขอให้คิดถึงฉันอย่างเรียบ ๆ อย่างที่เธอจะพึงคิดถึงเพื่อนที่รักของเธอ หรือพี่สาวของเธอ ฉันขอไม่ให้เธอคิดถึงฉันด้วยความคิดถึงที่หักโหมเร่าร้อนรุนแรง ขออย่าคิดถึงด้วยความปรารถนาจะยึดเอาร่างกายและดวงใจของฉันไว้เป็นสมบัติของเธอ เธอรู้แล้วว่าเธอปรารถนาในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้.

โปรดกลับคืนไปที่เดิมของเธอ มิตรน้อยที่รัก กลับไปที่หนังสือ และความใฝ่ฝันถึงชีวิตแห่งงานการอันเต็มไปด้วยเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่ง เธอมีอนาคตงดงามน่าใฝ่ฝันยิ่งกว่าสตรีผู้นั้น ซึ่งเป็นแต่หลงเข้ามาใน​เส้นทางดำเนินชีวิตของเธอเพียงชั่วครู่ยามเดียว ขอให้ฉันมีหวังว่า คำเตือนของฉันจะยับยั้งรั้งใจเธอได้.

ขอเธอจงตั้งหน้าศึกษาเล่าเรียน นั่นเป็นจุดที่หมายอันเดียวของเธอในเวลานี้ ฉันคนหนึ่งที่จะคอยเอาใจจดจ่ออยู่กับความสำเร็จของเธอ เป็นคนหนึ่งและไม่เป็นรองใคร ในความปลาบปลื้มปีติที่จะแสดงออกต้อนรับในอนาคตอันเต็มไปด้วยเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งของเธอ ถ้าหากอายุของฉันจะไม่สั้นเกินไปนัก.

ฉันคอยเวลาที่จะมีข่าวมาถึงฉันว่า อารมณ์ของเธอได้เข้าสู่ความสงบเรียบร้อยดุจเดิม ด้วยใจจดใจจ่อ. ฉันหวังว่า เวลาที่ฉันคาดคอยอยู่นี้จะมาถึงไม่ช้านัก และนับแต่นั้น ฉันก็จะมีความปลอดโปร่งโล่งใจและผาสุก.

แม้ว่าในจดหมายฉบับนี้จะบรรจุล้วนแต่คำขอต่อเธอ แต่ฉันไม่ลืมเป็นอันขาดที่จะบอกกับเธอว่า ฉันต้อนรับความรู้สึกอันมีค่ายิ่งของเธอด้วยความชื่นชอบขอบใจอย่างลึกซึ้ง. ฉันรับไว้ครั้งหนึ่ง และจะจดจำไว้ชั่วกาลอวสาน เธอไม่จำต้องกล่าวซ้ำอีก. จงคิดถึงฉันเถิด, คนดี คิดถึงแต่น้อย ๆ และนานเท่าใดก็ได้.

ฉันเขียนถึงเธอยืดยาวนักแล้ว ฉะนั้นฉันขอเว้นไม่เล่าถึงความเป็นไปและเรื่องราวของคนอื่น ๆ ในจดหมายฉบับนี้ แต่ขอให้ฉันดุเธอสักหน่อยว่า ทำไมไม่เขียนถึงเจ้าคุณท่านบ้าง เธอรู้ไหมว่าเป็นการเลินเล่อเพียงใดที่เธอมัวมาสนใจแต่การเขียนถึงฉันคนเดียว ฉันแทบสะดุ้งเมื่อเจ้าคุณถามว่า เธอเขียนมาถึงฉันว่ากระไรบ้าง ถ้าเธอได้มาอยู่ด้วยในเวลาเช่นนั้น ฉันเชื่อแน่ว่าเธอจะตกใจมากทีเดียว เคราะห์ดีที่ท่านไม่ใช่คนขี้หึง และฉันก็ไม่ใช่คนที่ตื่นตกใจเอาง่าย ๆ.

ขออนุญาตให้ฉันจบเพียงเท่านี้ได้ไหมคนดี เจ้าคุณกำลังเตรียมตัว​เข้านอน และฉันไม่อยากจะให้ท่านถามอะไรฉันโดยไม่จำเป็น

ลาก่อนมิตรน้อยของฉัน ฉันคิดถึงและเอ็นดูเธอไม่จืดจาง จะคิดถึงและเอ็นดูเธอชั่วนิรันดร.

                                                                   ด้วยใจจดจ่อในความผาสุกของเธอ

                                                                                   กีรติ”

​จดหมายของหม่อมราชวงศ์กีรติฉบับแรกนี้ ได้มาดับความกระวนกระวายเร่าร้อนใจของข้าพเจ้าลงไปไม่น้อย น้ำคำของเธอทำให้ชุ่มชื่นใจนัก ราวกับว่าข้าพเจ้าได้พบและได้ฟังถ้อยคำเหล่านี้จากปากของเธอเอง. ในชั้นต้น ข้าพเจ้ามองไม่เห็นประโยชน์ในคำตักเตือนของเธอ ข้าพเจ้าไม่เอาใจใส่ โดยถือเสียว่าเป็นแต่คำพูดปลอบโยนอย่างธรรมดาเท่านั้น หม่อมราชวงศ์กีรติคงมิได้ตั้งใจจริงอะไรที่จะให้ข้าพเจ้าเลิกใฝ่ฝันคิดถึงเธอ ด้วยความคิดถึงที่ร้อนเป็นไฟ. แต่ในเวลาต่อ ๆ มาเมื่อได้อ่านจดหมายของเธอทบทวนอีกและได้ตรึกตรองตามไป ข้าพเจ้าก็ออกจะเอนเอียงไปข้างเห็นว่า คำเตือนของเธอเป็นสิ่งน่าคิดอยู่ หม่อมราชวงศ์กีรติอาจมีความตั้งใจจริงจัง ในการที่ได้วิงวอนเตือนมาเช่นนั้นก็เป็นได้.

 


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« Reply #4 on: 29 October 2025, 19:09:33 »


๑๕

หลังจากนั้น การติดต่อระหว่างข้าพเจ้ากับหม่อมราชวงศ์กีรติก็คงดำเนินต่อไปโดยการเขียนจดหมายไปมาถึงกัน. เวลาล่วงไปความคลั่งคิดถึงเธอก็ค่อยบรรเทาลง เนื่องด้วยเหตุหลายประการ ประการแรกก็คือ เมื่อลุ่มรักเธอเท่าใด เมื่อคลั่งคิดถึงเธอเท่าใด มันก็ไม่มีทางบำบัดได้ ในมิช้าความรู้สึกอันตึงเครียดนั้นก็หย่อนคลายลง และเมื่อถึงคราวที่ข้าพเจ้าจะต้องทุ่มเทเวลาในการศึกษาเล่าเรียน ข้าพเจ้าต้องใช้ความเพ่งเล็งอย่างเต็มที่ ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่ได้มาเรียกร้องจิตใจของข้าพเจ้า ซึ่งได้ท่องเที่ยวไปในแดนอารมณ์พิศวาสอันเร่าร้อน ให้กลับคืนสู่สถานะเดิม.

เมื่อได้ควบคุมบังคับตนเองได้ครั้งหนึ่ง ก็ดูเหมือนว่า ข้าพเจ้าได้ควบคุมบังคับได้ตลอดมา ต่อจากจดหมายสองฉบับแรกที่อัดแน่นด้วยการแสดงความลุ่มรักและความคลั่งคิดถึงเธอแล้ว ในจดหมายฉบับต่อมาในระยะเวลาใกล้ ๆ กันนั้น ข้าพเจ้าก็ยังกล่าวพรรณนาถึงความคลั่งคิดถึงเธออยู่ แต่ครั้นแล้วเมื่อได้ตรึกตรองตามคำเตือนของ​หม่อมราชวงศ์กีรติ ประกอบกับความเหนื่อยอ่อนใจเป็นอย่างที่สุด ระหว่างเวลาแห่งการจากของเราในระยะแรก ความรู้สึกเร่าร้อนของข้าพเจ้าก็ได้รับการบำบัดให้บรรเทาเบาลงไปเอง ฉะนั้นในจดหมายฉบับต่อ ๆ มา จึงมิได้อัดเอาความคลั่งคิดถึงเธอลงไว้ดุจในตอนต้น ๆ และระยะเวลาแห่งการเขียนก็ได้ยืดห่างออกไป จนเมื่อจิตใจของข้าพเจ้ากลับคืนสู่สถานะเดิมแล้ว การเขียนถึงเธอก็เป็นการเขียนที่แทบจะปราศจากความเจ็บปวดใด ๆ และอาจเรียกได้ว่า เป็นการเขียนถึงมิตรที่รักคนหนึ่งเท่านั้น และนั่นก็เป็นการสมตามความปรารถนาของหม่อมราชวงศ์กีรติแล้ว ตามที่ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้ในเวลานั้น.

ข้าพเจ้าได้กล่าวพรรณนาความรัก และได้วิงวอนขอให้เธอกล่าวตอบข้าพเจ้าสักคำหนึ่งในจดหมายหลายฉบับ แม้ว่าหม่อมราชวงศ์กีรติได้เขียนตอบมาเป็นที่น่าชื่นใจเพียงใด แต่เธอไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องความรักเลย ข้อนี้เป็นเหตุสำคัญอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจไปว่า หม่อมราชวงศ์กีรติต้องการจะให้ข้าพเจ้าลืมเรื่องราวอันดูดดื่มใจของเราเสียจริง ๆ หรืออย่างน้อยก็เหตุการณ์บนเขามิตาเกะนั้น ซึ่งข้าพเจ้าได้ปล่อยให้ความในใจไหลพลั่งออกมาปรากฏแก่เธอและได้ประทับริมฝีปากของข้าพเจ้าลงบนริมฝีปากของเธอจูบนั้นยังร้อนผะผ่าวอยู่ในใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังไม่ลืม แต่ก็กำลังจะเลือนไปด้วยเหตุนานาประการดังกล่าวแล้ว

จนกระทั่งเวลาล่วงไป ๒ ปี การติดต่อระหว่างข้าพเจ้ากับหม่อมราชวงศ์กีรติก็ห่างไปมาก จนแทบจะไม่มีร่องรอยแห่งความหลังเหลืออยู่ในจิตใจของข้าพเจ้า จดหมายที่ข้าพเจ้าเคยเขียนถึงเธอไม่เว้นแต่ละเดือนก็ได้ยืดห่างออกไป และดูเหมือนว่า ในปีที่ ๒ นั้นข้าพเจ้าได้เขียนถึงเธอเพียง ๓ ครั้งเท่านั้น ที่จริงข้าพเจ้าก็มีภาระในการศึกษาเล่าเรียน​ทับทวีขึ้น และเมื่อจิตใจของข้าพเจ้าปลอดโปร่งจากความคลุ้มคลั่งแล้ว ข้าพเจ้าก็หมกมุ่นใส่ใจอยู่แต่ในการเล่าเรียนและแผนการงานแห่งชีวิตในอนาคต.

ข้าพเจ้าเอง เมื่อระลึกถึงความรู้สึกในเวลานั้นแล้วก็ยังประหลาดใจและตอบแก่ตัวเองไม่ได้ว่า เหตุใดหม่อมราชวงศ์กีรติจึงเสียความสลักสำคัญไปเร็วนัก ข้าพเจ้าผู้คลั่งคิดถึงเธอ และนับเธอว่าเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในชีวิตของข้าพเจ้า เป็นสตรีที่จะแยกออกไปไม่ได้จากชีวิตของข้าพเจ้า เพราะว่าถ้าแยกไปแล้ว ชีวิตของข้าพเจ้าก็จะไม่เป็นสิ่งสมบูรณ์ ครั้นเวลา ๒ ปีผ่านไป ข้าพเจ้าก็รู้สึกในตัวเธอแต่เพียงว่า เธอเป็นคนหนึ่งในบรรดามิตรอีกหลายคนที่ข้าพเจ้ามีอยู่ในกรุงเทพฯ

ต่อมาอีกประมาณ ๖ เดือน ข้าพเจ้าได้รับข่าวจากหม่อมราชวงศ์กีรติว่า เจ้าคุณอธิการบดีได้ถึงแก่กรรมเสียแล้วด้วยโรคไตพิการ ข้าพเจ้ามีความเศร้าสลดใจด้วยเธอ ในชั่วขณะที่ได้รับทราบข่าวนั้น และได้รีบเขียนจดหมายแสดงความเศร้าสลดใจมายังเธอฉบับหนึ่ง แล้วเหตุการณ์ก็ดำเนินไปตามปรกติ. ความตายของท่านเจ้าคุณ ไม่ได้มาเป็นเครื่องสะกิดใจให้ข้าพเจ้าคาดคิดไปเลยว่า มันจะเกี่ยวข้องเป็นความสลักสำคัญอย่างยิ่งแก่ชีวิตของหม่อมราชวงศ์กีรติและแก่ชีวิตของข้าพเจ้าด้วย มันควรจะได้ทำให้ข้าพเจ้าเพ่งเล็งถึงความสัมพันธ์เก่าก่อนระหว่างหม่อมราชวงศ์กีรติกับข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง มันควรจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แต่ก็ไม่ทราบว่าภูตผีปีศาจตนใดมาปกป้องกีดกันไว้มิให้ข้าพเจ้าเพ่งเล็งไปเช่นนั้น มันเป็นสิ่งประหลาดมากที่ภายหลังได้ทราบข่าวการตายของเจ้าคุณอธิการดีแล้ว ข้าพเจ้าได้ปล่อยให้เหตุการณ์ในชีวิตดำเนินไปตามปรกติ ข้าพเจ้าหาเฉลียวใจไม่ว่า เหตุ​การณ์ที่ไม่สู้จะเป็นการสลักสำคัญสำหรับข้าพเจ้านั้นกลับเป็นสิ่งที่มีความหมายอย่างที่สุดสำหรับชีวิตของคนอีกคนหนึ่ง อนาถหนอ ชีวิต !

ข้าพเจ้าได้ใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนต่อไปอีก ๒ ปีก็บรรลุความสำเร็จ ในระยะเวลาที่ใกล้จะสำเร็จการศึกษานี้ ข้าพเจ้าได้มีการติดต่อกับครอบครัวของข้าพเจ้าในกรุงเทพฯ มากกว่าทางอื่น บรรดาพี่น้องที่ได้ทราบข่าวว่า ข้าพเจ้าเล่าเรียนเป็นผลดี และกำลังใกล้บรรลุความสำเร็จและใกล้เวลาที่จะได้กลับไปสู่บ้านเกิดเมืองมารดรได้แล้ว ต่างก็ได้มีจดหมายแสดงความชื่นชมโสมนัสมายังข้าพเจ้า และในบรรดาบุคคลเหล่านี้ได้มีสตรีคู่หมั้นของข้าพเจ้ารวมอยู่ด้วย คุณพ่อคงจะแนะนำให้เธอเขียนมาถึงข้าพเจ้าเป็นแน่ เพื่อเป็นเครื่องผูกมัดเตือนใจว่า มีสตรีอยู่พร้อมแล้วที่รอคอยการแต่งงานของข้าพเจ้าในกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าไม่พึงเกี่ยวข้องวุ่นวายกับสตรีอื่นใดในญี่ปุ่นเลย.

แท้ที่จริง ไม่ควรที่จะมีใครต้องมาเป็นห่วงกังวลถึงข้าพเจ้าในเรื่อง​เช่นนี้ดอก ในเวลานั้นข้าพเจ้ามีความหมกมุ่นสนใจในความเจริญก้าวหน้าของชีวิต ในทางงานการยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด ไม่มีเรื่องราวของสตรีคนใดมาพร่าเวลาของข้าพเจ้า แม้กระทั่งสตรีคู่หมั้นของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าก็ไม่ใส่ใจคิดถึงมาก่อน. ข้าพเจ้าไม่มีเวลาเหลือพอที่จะคิดคำนึงถึงเรื่องเช่นนี้.

ข้าพเจ้าได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้วจริง แต่ความเติบโตนั้นมิได้ชักนำให้ข้าพเจ้าเพิ่งคิดไปในทางเลือกคู่ครอง ดูเหมือนยิ่งเติบโตขึ้นข้าพเจ้ายิ่งออกห่างจากสตรีเพศมากขึ้น ความเติบโตเป็นผู้ใหญ่กลับชักนำให้ข้าพเจ้าปลีกตัวจากเหตุการณ์อื่น ๆ ทั้งหมด และเพ่งเล็งอยู่แต่การดำเนินชีวิตในด้านการงานด้านเดียว.

จดหมายจากสตรีคู่หมั้น ได้ปลุกใจอันสงบของข้าพเจ้าให้ตื่นคิดถึงเรื่องการแต่งงานบ้าง แต่ก็มิได้คิดด้วยความตื่นเต้นวุ่นวายอะไรนัก ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าข้าพเจ้าจะรักเธอได้หรือไม่ เพราะว่าเรายังไม่คุ้นเคยสนิทสนมกันพอที่จะปลงใจในความรักได้ แต่การแต่งงานคืออะไรเล่า? ข้าพเจ้ายังไม่รู้แจ่มแจ้งนักในเวลานั้น ข้าพเจ้าคิดเลือน ๆ ไปในเวลานั้นว่า เธอคงจะเป็นสุภาพสตรีที่ดีพอ สมควรที่จะแต่งงานกับข้าพเจ้า มิฉะนั้นไหนเลยคุณพ่อจะเลือกเฟ้นเอามาเป็นคู่ครองของข้าพเจ้า เพราะว่าท่านก็เป็นคนฉลาด. เมื่อกลับเข้าไปกรุงเทพฯ และภายในเวลาอันควร ท่านคงจะจัดแจงให้เราทั้งสองได้แต่งงานกัน ข้าพเจ้าคงจะไม่รังเกียจเธอ แม้ว่าการแต่งงานนั้นจะไม่ได้มีขึ้นด้วยอาศัยความพิศวาสดูดดื่มในกันและกันเป็นมูลฐาน ข้าพเจ้าคงจะค่อยสนิทสนมกับเธอ จนเกิดความเอ็นดู ปรานี และรักใคร่เธอไปเองในไม่ช้า เธอก็จะดูแลบ้านช่องไป ข้าพเจ้าก็จะทำงานไป ฝ่าฟันความยากลำบากไปเพื่อความรุ่งเรืองยิ่งในการประกอบการงาน การแต่งงานก็ดูจะไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ​นี่เป็นความคิดอย่างเลือน ๆ ของข้าพเจ้าในเวลานั้น คิดอย่างไม่จริงจังนัก ข้าพเจ้าได้ตอบจดหมายเธอไปด้วยการแสดงความไมตรีไปเป็นอันดี.

เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว แทนที่จะเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองมารดรโดยทันที ข้าพเจ้าได้เข้าฝึกหัดงานในธนาคารแห่งหนึ่ง และในระยะเวลาตอนนั้น ข้าพเจ้าได้มีจดหมายส่งข่าวความเป็นไปมายังหม่อมราชวงศ์กีรติฉบับหนึ่ง ข้าพเจ้าเขียนไปไม่สู้ยืดยาวนัก และมันเป็นความจริงว่า ในตอนหลัง ๆ นี้ข้าพเจ้าไม่ใคร่จะถนัดในการเขียนถึงหม่อมราชวงศ์กีรติอย่างยาว ๆ ดังแต่ก่อน การเขียนจดหมายของข้าพเจ้าดูเป็นงานเป็นการมากกว่า เมื่อหมดใจความที่ประสงค์จะเขียนแล้ว ข้าพเจ้าก็คิดไม่ใคร่ออกว่า จะเขียนอะไรลงไปอีก เวลาช่างเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของคนเราอย่างน่าพิศวงอะไรเช่นนี้!

เพื่อที่จะให้ท่านทั้งหลายได้ทราบว่า หม่อมราชวงศ์กีรติคิดในตัวข้าพเจ้าอย่างไร ในเมื่อเวลาได้ล่วงไป ๔ ปีกว่าแล้วนับแต่เธอได้จากข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าขอเสนอจดหมายตอบของเธอในระยะนี้สักฉบับหนึ่ง

“นพพร, คนดีของฉัน” เธอขึ้นต้นจดหมายด้วยถ้อยคำเหล่านี้ตลอดมา โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย. เธอดำเนินเรื่องต่อไปว่า :

“ฉันได้รับจดหมายบอกข่าวความสำเร็จของเธอแล้ว นี่ฉันจะบอกเธออย่างไรเล่า เธอจึงจะเข้าใจถึงความปีติยินดีของฉันโดยครบถ้วน ถ้าเธอมีพี่สาวและพี่สาวของเธอเขาปีติยินดีด้วยความสำเร็จของเธออย่างไร ฉันก็แทบจะไม่ยอมให้เธอนำมาเปรียบเทียบกับความปีติยินดีของฉัน เธอรู้ดีว่า ฉันเอาใจจดจ่ออยู่กับความสำเร็จของเธอเพียงใดตลอดเวลาอันยืดยาวหลายปีที่ไม่ได้พบกันเลย ฉะนั้น ถ้าฉันจะอวดอ้างความปีติยินดีของฉันมากไปสักหน่อย ซึ่งก็ไม่เกินความจริงแล้ว เธอคงจะไม่นึกติเตียนฉันเป็นแน่.

“ฉันยินดียิ่งขึ้นไปอีก ที่ได้ทราบว่าเธอจะอยู่ทำงานที่นั่นต่อไปอีก​หนึ่งปี แล้วจึงจะกลับเมืองไทย ที่จริงนั่นมันเป็นกำหนดการดั้งเดิมของเธอ ซึ่งฉันเคยได้รับบอกเล่าตั้งแต่ระหว่างเวลาที่ฉันได้ไปอยู่ที่โตเกียวแล้ว และนั่นมันเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เธอเป็นคนมั่นคงต่อความจำนงจงใจของเธอ เพียงใด เธอย่อมมีความมั่นคงในความจำนงจงใจทุกอย่าง มิใช่แต่เฉพาะในการศึกษาอย่างเดียว ความสำเร็จใด ๆ ที่บุรุษเช่นเธอจะได้รับ แม้จะดูเป็นการเกินวิสัยสำหรับคนอื่น แต่ก็จะไม่เป็นการเกินวิสัยสำหรับเธอเลย นี่เป็นคำยกย่องอันสุจริตจริงใจของฉัน.

“อีกหนึ่งปี และกว่าเธอจะเข้ามาเมืองไทยและได้พบกัน เธอก็คงจะไม่ใช่นพพรพ่อหนุ่มน้อยคนที่ฉันรู้จักเสียแล้ว กว่าจะถึงเวลานั้น รวมเวลาที่ฉันจากเธอมาก็เกือบ ๖ ปี จากอายุ ๒๒ ปี เธอจะมีอายุ ๒๘ ปี นพพร ของฉันจะเป็นชายหนุ่มใหญ่เต็มที่ มิใช่หนุ่มน้อยดังแต่ก่อน เธอคงจะแปลกไปมาก แต่แน่ละเป็นความแปลกในข้างเติบโตจำเริญงาม ตรงกันข้ามกับตัวฉันซึ่งเธอก็คงจะเห็นแปลกเช่นเดียวกัน แต่แปลกในข้างเหี่ยวแห้งร่วงโรยลงไป อย่างไรก็ตาม เราคงจะจำกันได้ เพราะว่าเรามีบางสิ่งที่จะจำกันได้ไม่รู้ลืม.

“น่าแปลกใจเหมือนกัน ที่การติดต่อระหว่างเราในตอนหลัง ๆ นี้ ห่างเหินไปมาก เมื่อ ๒ ปีที่แล้วฉันจำได้ว่า ฉันได้รับข่าวจากเธอไม่มากไปกว่าปีละ ๓ ครั้ง แต่ที่จริงก็เป็นความประสงค์ของฉันเองที่อยากให้เธอได้มีเวลาเล่าเรียนโดยเต็มที่ ไม่ต้องมัวมาพะวงถึงการเขียนจดหมายไปมาถึงกันอยู่เนือง ๆ และเธอก็ปฏิบัติไปถูกต้องแล้ว.

“เวลาเกือบ ๕ ปีก็ยังผ่านไปได้โดยไม่ยากเย็นเข็ญใจอะไรนัก หนึ่งปีย่อมจะผ่านไปโดยรวดเร็วและสะดวกกว่านั้นมาก เดี๋ยวนี้ฉันไม่มีอะไรที่จะแนะนำสั่งสอนเธออีกแล้ว เพราะว่าเธอเป็นผู้บังคับบัญชาของตัวเธอเองได้แล้ว และดูเหมือนว่าจะเป็นได้ดีเสียยิ่งกว่าฉันอีก.

​“ฉันคอยวันกลับของเธอ. คนดี คอยเพื่อได้รู้ได้เห็นด้วยตัวของฉันเอง ในความเจริญรุ่งเรืองแห่งชีวิตของเธอ ผู้เป็นมิตรน้อยของฉัน.

                                                                     คิดถึงคนดีของฉันเสมอ

                                                                               กีรติ”

ข้าพเจ้าอ่านจดหมายของเธอด้วยความรู้สึกอย่างปรกติธรรมดา แน่ละ ข้าพเจ้าย่อมรู้สึกมีกตัญญูในตัวเธอดุจว่าเธอเป็นพี่สาวของข้าพเจ้าคนหนึ่ง เธอเป็นผู้ให้คำแนะนำตักเตือน และคำปลุกใจที่มีค่ายิ่งแก่ข้าพเจ้าตลอดมา แต่ทว่าความรู้สึกที่ร้อนเป็นไฟได้มอดไปเสียแล้ว เวลาได้พาเอาความรู้สึกลุ่มรักในตัวเธอไปเสียจากข้าพเจ้า โดยที่ข้าพเจ้าไม่รู้สึกตัวเลย.

ข้าพเจ้าไม่ได้สังเกตเห็นและเฉลียวใจเลยว่า หม่อมราชวงศ์กีรติได้ซ่อนความรู้สึกลึกซึ้งอะไรมาบ้างในจดหมายฉบับนั้น ความประณีตและความลี้ลับในชีวิต เป็นสิ่งเกินปัญญาของข้าพเจ้าในเวลานั้นที่จะเข้าใจได้.

 


Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.102 seconds with 16 queries.