Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 14:18:16

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,290 Posts in 13,862 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพ บทประพันธ์ของ ศรีบูรพา ตอนที่ 6-10
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพ บทประพันธ์ของ ศรีบูรพา ตอนที่ 6-10  (Read 43 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« on: 29 October 2025, 18:57:05 »

นวนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพ บทประพันธ์ของ ศรีบูรพา ตอนที่ 6-10




​เหตุการณ์ต่อมาดำเนินไปเป็นปรกติ หรืออาจจะมีสิ่งที่ผิดปรกติบ้าง ก็อาจจะไม่เป็นการสลักสำคัญนัก. เหตุการณ์ใหม่ที่เร้าใจข้าพเจ้าเกิดขึ้นที่กามากูระ ในกาลปลายฤดูร้อน.

กามากูระ เป็นตำบลชายทะเล อยู่ห่างจากนครโตเกียว กินเวลาเดินทางโดยรถไฟประมาณ ๑ ชั่วโมง. ล้อมรอบด้วยเทือกทิวเขาซึ่งเขียวชอุ่มด้วยพรรณพฤกษาทั้ง ๓ ด้าน เปิดด้านที่เหลืออีกด้านหนึ่งออกสู่ทะเล เป็นตำบลชายทะเลที่มีภูมิภาพสวยงามแห่งหนึ่ง ประกอบกับมีประวัติศาสตร์อยู่เบื้องหลัง และมีโบสถ์วิหารทั้งของพุทธศาสนาและชินโตประดิษฐานอยู่ พร้อมด้วยพุทธปฏิมาองค์ใหญ่งดงาม มีค่าสูงในทางศิลปะ ซึ่งเรียกกันที่ญี่ปุ่นว่า ไดบัตสุ จึงเป็นที่เชิดชูชื่อเสียงของกามากูระให้เด่นขึ้น.

ในวันเสาร์และอาทิตย์ ชาวนครโตเกียวมักจะเดินทางไปอาบน้ำทะเล พักผ่อน รื่นเริงกันที่นั่นคับคั่ง เพราะว่าการเดินทางไปอาบน้ำทะเลที่กามากูระอาจจะใช้เวลาเพียงวันเดียวก็ได้ และเฉพาะในวันเสาร์​อาทิตย์นั้น เขาได้จัดให้มีการเล่นต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ที่ไปพักผ่อนได้เลือกใช้เวลาหาความบันเทิงตามความพอใจ.

ท่านเจ้าคุณกำหนดว่าจะไปพักผ่อนที่กามากูระ ๕ วัน. หม่อมราชวงศ์กีรติและข้าพเจ้าก็เห็นชอบด้วย. เราออกจากนครโตเกียวในวันพุธ เมื่อเราไปถึงกามากูระ ผู้คนที่นั่นบางตาลงไปบ้าง เพราะว่าเป็นปลายฤดูร้อนแล้ว แต่ที่โฮเต็ลไกฮิน ซึ่งเป็นโฮเต็ลที่หรูหรา เป็นที่เชิดหน้าชูตาของกามากูระ ก็ยังบริบูรณ์ไปด้วยผู้คน. ข้าพเจ้าได้ติดต่อบอกจองห้องล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว ฉะนั้นเมื่อเราไปถึงจึงได้ต้อนรับและความสะดวกทุกประการ. ท่านเจ้าคุณและคุณหญิงพักอยู่ห้องคู่ซึ่งประกอบด้วยห้องนั่งเล่นและห้องน้ำ. ข้าพเจ้าพักอยู่ห้องเดี่ยว. ความภาคภูมิและสง่างามของโฮเต็ลไกฮิน เป็นที่พอใจท่านทั้งสองเป็นอันมาก.

​ที่โฮเต็ล เจ้าคุณบังเอิญได้พบกับมิตรสหายของท่านบางคน เป็นผัวเมียชาวญี่ปุ่นคู่หนึ่ง และเป็นผัวเมียชาวอเมริกันคู่หนึ่ง. โดยเหตุที่มีมิตรสหายเป็นเพื่อนสนทนาอยู่บ้าง ท่านเจ้าคุณยินดีให้อนุญาตหม่อมราชวงศ์กีรติและข้าพเจ้า ได้ปลีกตัวไปเที่ยวกันตามลำพังในบางคราว.

การใช้วันคืนที่กามากูระร่วมกัน ได้เพิ่มเติมความสนิทสนมลงไปในหัวใจของเราจนเต็มปรี่, บางวันการพบปะสนทนาของเราเริ่มต้นที่โต๊ะรับประทานอาหารเช้า และบางวันก็เริ่มต้นก่อนหน้านั้น. เราได้อยู่ด้วยกันแทบตลอดเวลา บางเวลาก็อยู่ในชุมนุมมิตรสหายของท่านเจ้าคุณ และบางเวลาเราก็ไปเที่ยวเล่นด้วยกันในตอนกลางวัน ไปแล่นเรือบ้าง ไปเล่นซนและไปดูคนอื่น ๆ เขาเล่นซนตามชายหาดบ้าง. ในเวลาเย็นข้าพเจ้ามักปลีกตัวไปอาบน้ำทะเลแต่ลำพัง เพราะว่าในเวลานั้น ท่านเจ้าคุณมักพอใจที่จะออกเดินเล่นไกล ๆ ไปตามชายหาด และข้าพเจ้าก็เห็นเป็นการสมควรที่ท่านควรจะได้มีเวลาเพลิดเพลินกับภรรยาสาวของท่านแต่ลำพังสองต่อสอง. ฉะนั้น เมื่อได้รับคำชักชวนจากท่านเจ้าคุณ ซึ่งแม้ข้าพเจ้าเห็นได้ชัดว่าเป็นคำชักชวนด้วยความเต็มใจ ข้าพเจ้าก็ปฏิเสธเสมอ โดยอ้างเหตุว่า ข้าพเจ้าปรารถนาจะอาบน้ำทะเลเที่ยวเล่นซนบ้าง. ท่านเจ้าคุณก็อนุญาตด้วยความเห็นใจ.

มีอยู่วันเดียว ที่หม่อมราชวงศ์กีรติได้ลงมาเล่นน้ำทะเลกับข้าพเจ้า เห็นได้ว่าเธอได้รับความสนุกสนานมาก แม้ว่าโดยปรกติเธอจะไม่สู้ใส่ใจในการอาบน้ำทะเลนัก ตามที่ข้าพเจ้าได้ทราบจากคำบอกเล่าของเธอ.

การนำสุภาพสตรีไทยลงเล่นน้ำร่วมกับชาวญี่ปุ่นนั้น มีข้อที่น่าอึดอัดใจอยู่ข้อหนึ่ง กล่าวคือ ญี่ปุ่นสาว ๆ มักจะไม่สู้ระมัดระวัง​ในการปกป้องร่างกายส่วนบน หล่อนไม่สู้จะนำพากับเสื้ออาบน้ำอันไม่รัดกุมพอ. ญี่ปุ่นสาว ๆ อาจมีเหตุผลของหล่อนเป็นอย่างดีที่จะคลายความระมัดระวังในเรื่องเช่นนั้น แต่ว่าสตรีพวกเราที่เคยไปใช้เวลาตามชายทะเล ก็ต้องเบือนหน้าและออกปากบ่นไปตาม ๆ กัน. ข้าพเจ้าหวาดเกรงว่า หม่อมราชวงศ์กีรติจะได้รับความรำคาญในเรื่องนี้ แต่ความหวาดเกรงล่วงหน้าของข้าพเจ้าผิดพลาดไปบ้าง เธอเป็นแต่แสดงความประหลาดใจโดยมิได้ออกปากบ่นว่ากระไร.

คืนสุดท้ายของเราที่กามากูระคือคืนวันอาทิตย์ ที่โฮเต็ลไกฮินจัดให้มีการเล่นเต้นรำอย่างเอิกเกริก ซึ่งเป็นกำหนดการปรกติของโฮเต็ลนั้นทุกคืนวันอาทิตย์. ผู้ที่มิได้พักอยู่ในโฮเต็ลก็มีสิทธิ์จะเข้าไปร่วมรับความบันเทิงเริงรมย์ได้ ถ้าหากได้ซื้ออนุญาตบัตรของโฮเต็ล. ในวันอาทิตย์คืนนั้น มีผู้คนมาชุมนุมกันอยู่ในห้องลีลาศอย่างอุ่นหนาฝาคั่งทั้งสุภาพบุรุษและสตรี. นอกจากชาวญี่ปุ่นแล้ว ก็มีคนไทย ๕-๖ คน รวมทั้งพวกเรา ๓ คนด้วย นอกจากนี้ก็มีชาวยุโรป อเมริกัน และฟิลิปิโน ปะปนอยู่ด้วยหลายคน. เจ้าคุณอธิการบดีใช้เวลาในคืนวันนั้นด้วยความเริงรมย์ดุจคนหนุ่มคนหนึ่ง ท่านเจ้าคุณเต้นรำหลายเพลง กับสุภาพสตรีผิวขาวบ้าง กับสุภาพสตรีญี่ปุ่นบ้าง และเปิดแชมเปญหลายขวด. หม่อมราชวงศ์กีรติเต้นรำสองสามเพลงกับสุภาพบุรุษมิตรสหายของท่านเจ้าคุณ และจิบแชมเปญด้วย. ข้าพเจ้าก็ได้เต้นรำสองสามเพลงกับสุภาพสตรีสาวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ซึ่งข้าพเจ้าได้รู้จักคุ้นเคยกันมาแต่ก่อน และจิบแชมเปญด้วยเหมือนกัน.

ด้วยเหตุที่ว่า คืนนั้นเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะพักอยู่ที่กามากูระ หม่อมราชวงศ์กีรติจึงอยากจะได้ออกมาเที่ยวเล่นภายนอกบ้าง. ท่านเจ้าคุณเมื่อทราบความประสงค์แล้วก็อนุญาตด้วยความยินดี เพราะว่า​ในเวลานั้น ท่านก็กำลังได้รับความสนุกอยู่แล้วอย่างเต็มที่กับบรรดามิตรสหายของท่าน.

หม่อมราชวงศ์กีรติได้ชวนข้าพเจ้าไปเที่ยวเดินดูการเล่นต่าง ๆ มีการเล่นกอล์ฟ สเกต และเที่ยวดูการเล่นตามร้าน แล้วก็ไปเดินเล่นตามชายหาด รับลมเย็น ฟังเสียงลูกคลื่นที่ซัดสาดชายหาด ชมดวงดาวบนท้องฟ้า. ในที่สุด เรากลับไปนั่งพักเล่นในสวนภายในบริเวณโฮเต็ล มีคนเพียงสองสามคนลงมาเดินเล่นในสวนในเวลานั้น. ในเวลาที่เราปลีกตัวออกมาเสียจากชุมนุมชน และอยู่ด้วยกันแต่ลำพังในความแวดล้อมของธรรมชาติ ความรู้สึกนึกคิดของเราก็มักจะมาจดจ่ออยู่ที่เรื่องราวของเราเอง. น้ำแชมเปญผสมกับรสละมุนละไมของการเต้นรำ ปรุงจิตใจของข้าพเจ้าให้เบิกบานด้วยความคิดคำนึงยิ่งกว่าเวลาปรกติหลายเท่า. เสียงแจซซ์ทำเพลงรุมบาก้องกังวานมาจากห้องเต้นรำ.

“เจ้าคุณคงจะเต้นรำสนุกใหญ่ เพลงรุมบาเร้าใจเหลือเกิน” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้น.

​“แต่ว่าเจ้าคุณคงจะไม่ยอมเต้นเพลงรุมบาเป็นแน่ มันดูลุกลี้ลุกลนนักสำหรับผู้ใหญ่อย่างท่าน แต่คนหนุ่มอย่างเธอคงจะชอบกระมัง.”

“ผมยังไม่สนใจการเต้นรำพอจนถึงจะชอบเพลงใดเพลงหนึ่งเป็นพิเศษ ผมชอบเหมือน ๆ กันไปหมด.”

“ฉันสังเกตเมื่อเธอเต้นเพลงสโลว์ฟอกซ์ทรอด ฉันเห็นว่าเธอเต้นได้งดงามไม่น้อย.”

“นั่นเป็นเพราะคู่ของผมเขาชำนาญมาก.”

“ใครกันน่ะ คู่ของเธอ ดูหล่อนปราดเปรียวจนไม่น่าจะเป็นสาวญี่ปุ่น.”

“หล่อนเป็นบุตรีพ่อค้าใหญ่คนหนึ่ง ถูกแล้ว กิริยาท่าทางของหล่อนดูไม่สมกับที่จะเป็นสตรีญี่ปุ่นเลย เพราะว่าหล่อนเกิดในอเมริกาและอยู่ที่นั่น จนอายุ ๑๕ ปี หล่อนมาญี่ปุ่นก่อนหน้าผมปีเดียว ฉะนั้นหล่อนจึงดูเป็นญี่ปุ่นน้อยมาก. เมื่อแรกรู้จักกับผม หล่อนปรารภว่าหล่อนยังเข้ากับชนชาติของหล่อนไม่ได้ถนัด หล่อนจึงพอใจคบค้าสมาคมกับชาวต่างประเทศ. จะด้วยความจริงใจหรือเพียงแต่จะเยินยอเราก็ตาม หล่อนบอกกับผมว่า หล่อนชอบคนไทยเป็นพิเศษ หล่อนว่าคนไทยมีอะไรแปลก ๆ ไปในทางน่ารัก.”

“หล่อนวินิจฉัยคนไทยจากตัวเธอ.”

“หล่อนไม่ได้บอกกับผมเช่นนั้น และผมก็มิได้ประสงค์ให้เป็นไปดังนั้น.”

“นพพร, เธอเป็นเด็กที่น่ารักและสมควรจะรักจริง ๆ” ด้วยคำพูดประโยคนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกเสียวแปลบที่หัวใจ และยังไม่ทันที่ข้าพเจ้าจะโต้ตอบ เธอพูดต่อไปว่า “เมื่อตอนหัวค่ำวันนี้ ท่านเจ้าคุณก็ได้พูดกับฉันว่า ท่านมีความยินดีมากที่เห็นเธอกับฉันมีความสนิทสนมรักใคร่กันดี ​ท่านบอกว่าเธอเป็นเด็กที่น่ารัก และท่านได้คาดถูกแล้วว่าฉันจะพอใจเธอมาก.”

“ท่านแสดงความยินดีด้วยน้ำใสใจจริงโดยแท้หรือ? ท่านไม่รังเกียจในความสนิทสนมระหว่างคุณหญิงและผมจริงหรือ?”

“เพราะเหตุใดเล่าเธอจึงถามเช่นนี้.” เธอกลับย้อนถาม “มีอะไรในความสนิทสนมของเราที่จะน่ารังเกียจ และด้วยเหตุผลอะไร ที่ทำให้เธอสงสัยน้ำใสใจจริงของเจ้าคุณ.”

ข้าพเจ้างงไปครู่หนึ่ง.

“ผมเสียใจที่ถามออกไปเช่นนั้น ผมเองก็ไม่ทราบว่ามีอะไรมาดลใจให้ตั้งคำถามอย่างไร้เหตุผลเช่นนั้น ผมรู้สึกว่า ผมไม่มีเหตุผลอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ที่จะสงสัยความรู้สึกอันดีของท่าน.”

“เธอแน่ใจหรือ?” หม่อมราชวงศ์กีรติกลับย้อนถาม.

ข้าพเจ้าก็กลับงงไปอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าไม่อาจที่จะตอบคำถามของเธอได้ทันทีทันใด.

“คืนนี้เธอเป็นอะไรไป ดูตอบคำถามของฉันไม่คล่องแคล่วเหมือนอย่างเคยเลย.” เธอตบที่แขนข้าพเจ้าเบา ๆ แล้วเราก็ยิ้มให้กันเมื่อแลสบตากัน “เธอกลัวว่าเจ้าคุณท่านจะหึงเธอใช่ไหม?”

ข้าพเจ้าสะดุ้ง.

“ผมมีเหตุผลที่จะคิดกลัวไปเช่นนั้นหรือ?”

“เธอยังไม่ได้ตอบฉันว่า ฉันทายความคิดของเธอถูกหรือไม่?”

“คุณหญิงเป็นคล้าย ๆ พวกแม่มด.”

“น่ากลัวจะตายไป” เธอหัวเราะ “เธอมีเหตุผลอะไรเล่าที่คิดไปว่า เจ้าคุณท่านจะหึงเธอ, เธอไม่สมควรจะได้รับความไว้วางใจอย่างเต็มที่จากท่านดอกหรือ?”

​“ท่านเจ้าคุณและคุณหญิงไม่ใช่หรือ ที่ควรจะตอบคำถามข้อนี้.”

“จิตใจของเธอไม่บริสุทธิ์พอหรือ?”

“จริงนะ ผมไม่ควรจะนึกกลัวไปเลย.”

“ถูกแล้ว. เมื่อจิตใจของเธอบริสุทธิ์พอ. ท่านเจ้าคุณไม่ใช่คนขี้หึง.”

“ผมรู้จักท่านมานานแล้ว ท่านเป็นคนใจดีมาก และดังนั้นคุณหญิงก็คงจะรักท่านมาก.”

หม่อมราชวงศ์กีรติตกเป็นฝ่ายที่นิ่งอึ้งไปบ้าง.

“ฉันชอบท่าน อย่างที่เด็ก ๆ ควรจะชอบบุรุษชราผู้ใจดี.”

“คุณหญิงยังไม่ได้ตอบผมถึงเรื่องความรัก ผมหมายถึงความรักฉันสามีภริยา – ฉันชายกับหญิง.”

“เธอก็เห็นแล้วว่า ฉันเป็นอะไร ท่านเจ้าคุณเป็นอะไร วัยของเราแตกต่างกันมาก. สิ่งนี้เปรียบเหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่กั้นระหว่างความรักของเรา ทำให้ความรักของเราพบกันไม่ได้.”

“แต่ว่าความรักระหว่างคนแก่กับหญิงสาว ก็อาจมีได้ไม่ใช่หรือครับ?”

“ฉันไม่เชื่อในความรักระหว่างคนสองจำพวกนี้. ฉันไม่เชื่อว่าจะมีได้จริง นอกจากเราจะรับเอาเองว่าเป็นเช่นนั้น ซึ่งอาจเป็นการรับเอาอย่างผิด ๆ.”

“แต่คุณหญิงก็ดูมีความสุขดีในการแต่งงาน ซึ่งตามความเห็นของคุณหญิงก็ว่า ความรักของทั้งสองฝ่ายจะพบกันไม่ได้.”

“ความผาสุกที่ฝ่ายหญิงแสดงว่าได้รับหรือได้มีอยู่นี่แหละ อาจทำให้คนโดยมากเข้าใจไปว่า ความรักย่อมอุบัติขึ้นได้ในระหว่างวัยแก่และวัยสาว. นอกจากนั้น เจ้าตัวผู้หญิงเอง เมื่อมีความผาสุกพอสมควรแล้ว ก็มักไม่สนใจในปัญหาที่เกี่ยวกับความรัก เพราะว่าจะเป็นความรักหรือ​ไม่ก็ตาม เมื่อมีความผาสุกแล้วจะต้องการอะไรอีก. คนทั้งหลายอยู่กันโดยวิธีนี้ และคนโดยมากเชื่อถือว่า ความรักเป็นมารดาของความผาสุก ซึ่งตามความเห็นของฉันแล้ว ฉันเห็นว่าไม่ใช่ของจริงเสมอไป. ความรักอาจให้กำเนิดความขมขื่น หรือความร้ายกาจต่าง ๆ นานาแก่ชีวิตก็ได้ แต่ว่าในดวงใจของผู้ที่มีความรักเช่นนั้น จะมีน้ำทิพย์แห่งความหวานชื่นหล่อเลี้ยงอยู่ชั่วนิจนิรันดร – เป็นความหวานชื่นที่ซาบซึ้งใจอย่างประหลาดมหัศจรรย์. ฉันยังไม่เคยประสบสิ่งนี้ด้วยตนเอง ฉันพูดตามความเชื่อถือของฉัน.”

“แล้วคุณหญิงยังต้องการอะไรอีกเล่า ในเมื่อคุณหญิงก็มีชีวิตอย่างผาสุกแล้วเช่นนี้.”

“ฉันไม่ได้บอกว่าฉันต้องการอะไรอีก – หรือจะพูดให้ตรงตามที่ฉันเดาว่า เธออยากจะพูด-ฉันไม่ได้บอกว่า ในเวลานี้ฉันก็ยังปรารถนาความรัก. ฉันหมายถึงความปรารถนาที่มีการขวนขวาย. ฉันไม่แสวงหาความรัก. ฉันรู้ว่าฉันไม่มีสิทธิ์ในข้อนั้นแล้ว. แต่ฉันรู้ไม่ได้ และฉันก็รับประกันไม่ได้ว่าความรักจะอุบัติขึ้นในชีวิตหรือไม่ทั้งที่ฉันไม่ได้แสวงหา. ฉันอาจจะมีความผาสุกแล้วก็จริง แต่ขอให้เธอเชื่อเถิดว่า ความผาสุกที่ปราศจากความรักก็ย่อมจะมีได้.”

“และถ้าความรักอุบัติขึ้นเล่า คุณหญิงจะทำอย่างไร?”

“โอ, ฉันไม่เตรียมคำตอบปัญหาในเรื่องเช่นนี้ไว้ล่วงหน้าดอกเธอ. เพราะว่าปัญหาอาจไม่มีขึ้นเลยในชั่วชีวิตของเรา. การคิดฝันถึงปัญหาเช่นนี้ มันจะทำให้เรากลับไร้ความผาสุก. ไม่มีอะไรจะเขลาเท่ากับก่อให้เกิดความกังวลขึ้นในสิ่งที่ยังไม่มีตัวตน หรือเป็นแต่เพียงความเคลิ้มฝัน. เธออย่าลืมว่ามีนกตัวหนึ่งอยู่ในมือ ดีกว่าหวังได้นกสองตัว​ในพุ่มไม้. การมีความผาสุกที่ไร้ความรัก คงจะดีกว่าการใฝ่ฝันกังวลถึงความรักด้วยปราศจากความผาสุก.”

“แล้วเจ้าคุณเล่า ท่านรักคุณหญิงหรือไม่?”

“ฉันตอบแทนท่านไม่ได้ ฉันรู้ว่าท่านมีความเอ็นดูฉัน ท่านอาจจะรักฉันอย่างผู้ใหญ่รักเด็ก ๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่ความรักตามความหมายที่เธอต้องการจะฟังมิใช่หรือ? ฉันบอกแล้วว่า ฉันไม่เชื่อในความรักระหว่างชายแก่กับหญิงสาว และเพราะฉะนั้น ฉันก็ไม่ได้คาดหมายความรักอันรัดรึงใจจากท่าน.”

“คุณหญิงหมายความว่าท่านไม่ต้องการความรัก ท่านไม่แสวงหาความรัก แม้กระทั่งในภริยาของท่านเช่นนั้นหรือ?”

“ถูกแล้ว ฉันหมายความเช่นนั้น และฉันเชื่อว่าความจริงเป็นเช่นนั้น”

“เพราะเหตุใดเล่า?”

“เพราะว่าน้ำรักของท่านได้เหือดแห้งไปพร้อมกับวัยชราของท่าน​เสียแล้ว. วัยแห่งรสรักได้ผ่านพ้นท่านไปเสียแล้ว. เดี๋ยวนี้ท่านไม่รู้ว่าท่านจะรักได้อย่างไร. ท่านรักฉันไม่ได้ เพราะว่าท่านไม่มีสิ่งที่จะประกอบขึ้นเป็นความรักความรักตามอุดมทัศนีย์ของฉัน.”

“แต่ทำไมท่านจึงดูเป็นสุขมากในการร่วมชีวิตกับคุณหญิง?”

“เธอลืมเร็วจริง. ฉันได้บอกเธอแล้วว่า ความผาสุกที่ปราศจากความรักย่อมจะมีได้ ท่านเจ้าคุณก็อยู่ในฐานะเช่นเดียวกับตัวฉัน”

“ถ้ามิใช่ด้วยความรัก ท่านแต่งงานกับคุณหญิงเพราะอะไรเล่า?”

“ท่านต้องการความผาสุก ตามที่บุคคลเช่นท่านจะพึงมีได้. ความผาสุกเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการและแสวงหาจนกระทั่งชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต และไม่จำกัดว่าจะเป็นชีวิตในวัยใด. ท่านแต่งงานกับฉันเพราะท่านเชื่อว่า ท่านจะได้รับความผาสุก.”

“แล้วคุณหญิงเล่า มีเหตุผลอย่างไรในการแต่งงานกับท่านเจ้าคุณ ในเมื่อคุณหญิงเองก็ไม่ได้แต่งงานเพราะความรัก.”

“เธอต้องการจะทราบว่า ทำไมฉันจึงแต่งงานกับท่าน? โอ, มันเป็นเรื่องที่จะต้องสนทนากันยืดยาว เราไม่มีเวลาพอที่จะสนทนากันในคืนวันนี้” หม่อมราชวงศ์กีรติลุกขึ้นยืน “เราออกมานานมาก. กลับไปข้างในเถอะ, นพพร. เจ้าคุณคงจะคอยอยู่แล้ว.” เมื่อข้าพเจ้าลุกขึ้น และเราเริ่มออกเดิน เธอพูดต่อไปว่า “คืนนี้เธอซักถามฉันมาก, นพพร ฉันได้ตอบคำถามที่ไม่ควรจะตอบหลายข้อ. แต่ฉันคิดว่าเธอต้องการจะศึกษาเรื่องเหล่านี้.”

“หามิได้ ผมถามเพราะว่าผมสนใจความเป็นไปในชีวิตของคุณหญิง” ข้าพเจ้าตอบอย่างเปิดเผย.

“ถ้ารู้ว่าเธอถามเพราะเหตุนี้ ฉันคงจะไม่ตอบคำถามของเธอหลายข้อ. เธอไม่ควรเลยที่จะมาสนใจในการส่วนตัวของฉัน.”

​“คุณหญิงคงไม่ปฏิเสธว่า เราสนิทสนมกันเป็นอย่างยิ่ง.”

“แต่นั่นก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่เธอจะมาแสดงความสนใจใคร่ครวญความในใจของฉัน.”

“แต่ผมก็ได้แสดงความสนใจไปเสียแล้ว และคุณหญิงก็ได้ตอบคำถามของผมสิ้นเชิงแล้ว.”

“เพราะว่าฉันถูกโกง.”

“การถูกโกงด้วยความผาสุกก็ย่อมจะมีได้.”

“ฉันเริ่มเบื่อเธอแล้วละ” หม่อมราชวงศ์กีรติดึงแขนข้าพเจ้าให้เร่งรีบเดิน “เดินเร็วอีกหน่อย ฉันเป็นห่วงเจ้าคุณ.”

 


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« Reply #1 on: 29 October 2025, 18:57:58 »




​เราได้ใช้วันคืนที่กามากูระด้วยความผาสุก เฉพาะอย่างยิ่งในคืนวันอาทิตย์ซึ่งเป็นคืนสุดท้าย.

ท่านทั้งหลายพิจารณาจากการสนทนาของเราในสวนที่โฮเต็ลไกฮินคืนนั้น ท่านได้เห็นแล้วว่า ความสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้ากับหม่อมราชวงศ์กีรติได้ก้าวมาไกลถึงแค่ไหนแล้ว. ท่านย่อมจะเห็นว่าความสัมพันธ์ของเรามีความแน่นแฟ้นรัดรึงใจเพียงใด. ท่านอาจคาดหมายได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในไม่ช้า ความคาดหมายของท่านจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าจะถูกก็แต่บางส่วนเท่านั้น เพราะว่าแม้แต่ตัวข้าพเจ้าเอง ซึ่งได้ใช้ชีวิตแสดงบทบาทสำคัญร่วมกับหม่อมราชวงศ์กีรติในเรื่องนี้ ก็ยังได้คาดหมายอวสานของเรื่องราวอันประหลาด แต่ทว่าเป็นความจริงนี้ ผิดพลาดไปอย่างสำคัญ. เป็นความคาดผิดที่ได้สั่นสะเทือนใจข้าพเจ้าตลอดมาตราบกระทั่งปัจจุบันกาล. ขอให้ข้าพเจ้าดำเนินเรื่องต่อไป.

กลับจากกามากูระแล้ว บุปผาแห่งความสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้า​กับหม่อมราชวงศ์กีรติก็เบิกบานเต็มที่. เราทั้งสองต่างรู้สึกเหมือนหนึ่งว่าเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเป็นเวลานับปี เราพากันลืมเสียสนิทว่า มิตรภาพของเราได้ถือกำเนิดและเติบโตเจริญวัยขึ้นเพียงชั่วฤดูร้อนฤดูเดียวเท่านั้น. เราไม่เคยคาดคิดว่า ดวงตาของฤดูออทัมน์จะได้ทันมีโอกาสทัศนามิตรภาพพฤกษ์ของเราออกดอกงามสะพรั่งไปทั้งต้น. ตำแหน่งของข้าพเจ้าในชั้นต้น ซึ่งเป็นแต่เพียงผู้นำทางท่านเจ้าคุณและภรรยาของท่าน ในการไปกิจธุระหรือไปเที่ยวชมสถานที่ต่าง ๆ ก็ได้เปลี่ยนแปรไปอย่างรวดเร็ว. ข้าพเจ้าได้กลายไปเป็นส่วนหนึ่งแห่งความต้องการในชีวิตประจำวันของหม่อมราชวงศ์กีรติ และอาจเป็นส่วนสำคัญที่สุดในความต้องการทั้งหลายแหล่ของเธอด้วย. ข้าพเจ้ามิได้หมายจะโอ่อวด ข้าพเจ้าเพียงแต่จะกล่าวความตามที่เป็นจริงเท่านั้น.

ในส่วนตัวข้าพเจ้าเล่า ข้าพเจ้าย่อมสำนึกตระหนักแน่ยิ่งขึ้นว่า ความพอใจของข้าพเจ้าได้เปลี่ยนแปรไปอย่างที่ตัวเองก็ไม่อาจจะเข้าใจได้. ในชั้นต้นข้าพเจ้าก็เพียงแต่พอใจในการที่ได้รับใช้ทำประโยชน์ให้แก่ท่านเจ้าคุณ โดยฐานที่ข้าพเจ้าได้รู้จักนับถือท่านมาแต่ก่อน ต่อมาความพอใจนั้นก็ได้กลายเป็นความต้องการของข้าพเจ้า ที่จะได้รับโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับภรรยาของท่านมากที่สุดที่จะมากได้. ในตอนหลัง ๆ ข้าพเจ้าต้องยอมสารภาพว่า การที่ข้าพเจ้าได้สละเวลาไปคลุกคลีอยู่กับท่านและภรรยาของท่าน เป็นส่วนมากนั้นมิใช่เพราะเห็นแก่ตัวท่าน หากเพราะเห็นแก่ตัวข้าพเจ้าเอง. แต่ก็แน่ละ ท่านเจ้าคุณคงจะไม่ทราบ.

ภายหลังที่กลับจากกามากูระ ความต้องการของข้าพเจ้าได้ไปไกลจนถึงกับได้ตั้งปัญหาถามตัวเองว่า เมื่อเวลาที่หม่อมราชวงศ์กีรติจะต้องจากประเทศญี่ปุ่นคืนสู่เมืองไทยได้มาถึง ข้าพเจ้าจะเผชิญกับเวลานั้นได้อย่างไร ข้าพเจ้าจะเผชิญกับความเป็นอยู่ที่ปราศจากหม่อมราชวงศ์กีรติ​ได้อย่างไร ข้าพเจ้าแน่ใจแล้วว่า ข้าพเจ้าจะทนดูการจากไปของเธอที่สถานีโตเกียวไม่ได้ เพราะรถไฟจะพาดวงหน้าและมือน้อย ๆ ของเธอ ที่โบกลาข้าพเจ้าลับตาไปอย่างรวดเร็ว. ข้าพเจ้าได้กะการไว้แล้วว่า ข้าพเจ้าจะต้องอยู่กับเธอจนกระทั่งนาทีสุดท้าย. ข้าพเจ้าจะเดินทางออกจากโตเกียวไปพร้อมกับเธอ ไปคอยจับเรือที่เมืองโกเบ ข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดกับเธออีกนับตั้ง ๑๐ ชั่วโมงขึ้นไป และข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสสุดท้าย คือจะได้มีโอกาสโบกมือลาให้แก่เธอเป็นเวลานานที่ท่าเรือ. เรือเดินทะเลลำใหญ่จะค่อย ๆ พาเธอห่างข้าพเจ้าไปช้า ๆ มิใช่ด้วยอาการฮวบฮาบรุนแรงดุจรถไฟ ซึ่งข้าพเจ้าคงจะรู้สึกเหมือนหนึ่งว่า ได้กระชากเอาตัวเธอไปจากความต้องการของข้าพเจ้าอย่างหฤโหดทารุณ และข้าพเจ้าคงแทบจะล้มฟุบลง ณ ที่สถานีนั่นเอง. ข้าพเจ้าเชื่อว่าหม่อมราชวงศ์กีรติก็คงปรารถนาที่จะให้การล่ำลาจากไปได้ใช้เวลาเนิ่นนานที่สุดเหมือนกัน.

บัดนี้ หม่อมราชวงศ์กีรติคนแรก ผู้เคร่งขรึมและดูเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แม้ว่าจะอ่อนโยนและหวาน ซึ่งข้าพเจ้าได้พบที่สถานีโตเกียวนั้นได้เลือนหายไปจากความรู้สึกของข้าพเจ้าแล้ว. ข้าพเจ้าจะจดจำภาพแรกของเธอได้ก็แต่ในเวลาที่ได้คำนึงนึกถึง. ภาพของหม่อมราชวงศ์กีรติที่สิงอยู่ในความรู้สึกของข้าพเจ้าเป็นเนืองนิตย์นั้น เป็นภาพของสตรีสาวที่แสดงตนเป็นเพื่อนรักสนิทของข้าพเจ้า เป็นเพื่อนที่มีความฉลาดหลักแหลมและปรานีต่อข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง เป็นเพื่อนสตรีที่น่ารัก น่าเอ็นดูที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าได้เคยรู้จักมา เป็นผู้ให้ความชุ่มชื่นอเนกประการแก่ชีวิตอันเปล่าเปลี่ยวของข้าพเจ้า จนเมื่อนึกถึงว่าเธอจะต้องจากข้าพเจ้าไปในไม่ช้า และข้าพเจ้าจะต้องอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นต่อไปอีกนานปีโดยปราศจากเธอแล้ว ก็แทบเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้.

​ความลี้ลับในเรื่องราวความเป็นไปของหม่อมราชวงศ์กีรติ ก็ได้เปิดเผยแก่ข้าพเจ้าจนแทบหมดสิ้นแล้ว และถ้ามีอะไรอีกที่ข้าพเจ้าประสงค์จะทราบ ข้าพเจ้าก็อาจจะทราบได้โดยสะดวก. บัดนี้ระหว่างข้าพเจ้ากับหม่อมราชวงศ์กีรติ ไม่มีอะไรที่ข้าพเจ้าจะถามเธอไม่ได้ และไม่มีอะไรที่เธอจะไม่ตอบข้าพเจ้า.

เหตุการณ์ได้ดำเนินต่อมา จนกระทั่งถึงวันที่เราได้ไปใช้เวลาร่วมกันแต่ลำพังที่มิตาเกะ. ก่อนหน้าที่วันนั้นจะมาถึงหลายวัน ความรู้สึกได้เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าว่าดูเหมือนจิตใจของข้าพเจ้าจะได้ลอบหนีไปจากตัวข้าพเจ้า ท่องเที่ยวไปในโลกอีกโลกหนึ่งอยู่เนือง ๆ. เป็นโลกใหม่ที่ได้ปรากฏขึ้นในความคิดคำนึงของข้าพเจ้าเป็นครั้งแรกในชีวิต เต็มไปด้วยความงดงาม มีสง่าราศี และสุดแสนสราญเริงรมย์. ความแปลกใหม่ที่ซาบซึ้งตรึงใจในโลกแห่งความคิดคำนึงนั้น ได้เหนี่ยวรั้งจิตใจของข้าพเจ้าให้เพลินชม เพลินสำราญ จนแทบว่าจะลืมความเป็นไปแต่หนหลังของตนเองเสียสิ้น. ในชั้นแรกข้าพเจ้าได้พยายามจะป้องกันมิให้จิตใจของข้าพเจ้าได้ท่องเที่ยวไปในโลก ซึ่งข้าพเจ้ามิคุ้นเคยมาแต่ก่อน. ข้าพเจ้าหวาดเกรงว่า จะประสบสิ่งที่น่าตระหนกตกใจหลบซ่อนอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งในโลกใหม่อันเป็นที่น่าพิสมัยนั้น แต่ต่อมาข้าพเจ้าก็ถอนความพยายาม ด้วยบอกแก่ตนเองว่า เป็นการเหลือวิสัยที่จะป้องกัน. ข้าพเจ้าไม่สามารถจะต่อต้านกับความยียวนใจในโลกใหม่นั้นได้ ข้าพเจ้าจำต้องปล่อยให้จิตใจกำจัดหนุ่มของข้าพเจ้าท่องเที่ยวไปโดยอิสระ.

ในที่สุด วันซึ่งข้าพเจ้าได้ย่างเหยียบเข้าไปสู่โลกนั้นด้วยตนเองก็ได้มาถึง วันที่ชีวิตอันแท้จริงของข้าพเจ้าได้สัมผัสกับความเป็นอยู่ของโลกนั้น ข้าพเจ้าได้ป่ายปีนขึ้นไปจนบรรลุถึงยอดเอเวอเรสต์แห่งความสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้ากับหม่อมราชวงศ์กีรติ. ข้าพเจ้าไม่ทราบว่า​ข้าพเจ้าได้ป่ายปีนขึ้นมาได้อย่างไรจนถึงยอดที่สูงที่สุดนี้. ข้าพเจ้าไม่ทราบจนกระทั่งว่า ข้าพเจ้าได้ตั้งใจจะป่ายปีนขึ้นมาหรือไม่ ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าไม่ได้ตั้งใจเลย. เหตุการณ์ที่ประกอบด้วยความรู้สึกรุนแรงและร้อนเป็นไฟนี้ ได้เกิดขึ้นที่มิตาเกะ ในท่ามกลางกระแสลมหนาวอ่อน ๆ แห่งฤดูออทัมน์ และท่ามกลางความแวดล้อมด้วยภูมิภาพธรรมชาติที่สดงาม ท่านคงจำชื่อมิตาเกะได้ ท่านคงจำภาพที่ข้าพเจ้าได้พรรณนาถึงนั้นได้ ภาพที่ดูเป็นธรรมดาสามัญ ไม่มีสิ่งที่น่าสะดุดตาสะดุดใจอะไรเลย แต่บัดนี้ท่านกำลังจะได้ประสบชีวิตจริง ๆ ข้างหลังภาพนั้น.

 


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« Reply #2 on: 29 October 2025, 18:58:48 »




​วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ท่านเจ้าคุณได้รับเชิญจากท่านอัครราชทูตให้ไปร่วมในงานพิธีแห่งหนึ่ง. หม่อมราชวงศ์กีรติจึงขออนุญาตท่านไว้แต่ในวันเสาร์ว่า จะไปใช้เวลาเที่ยวเล่นที่มิตาเกะกับข้าพเจ้า. เธอนัดให้ข้าพเจ้ามาถึงบ้านแต่เวลาโมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่ท่านเจ้าคุณยังไม่ตื่นนอน เราช่วยกันจัดหาของรับประทานเล็กน้อยบรรจุใส่หีบ และของใช้อื่น ๆ ที่สมควรจะนำไป เพื่อให้การเที่ยวเล่นพักผ่อนของเราได้รับความพอใจทุกประการ. หม่อมราชวงศ์กีรติดูสนุกร่าเริงในการตระเตรียมมาก เราออกจากบ้านแต่เวลาสองโมงครึ่ง และเฉพาะหม่อมราชวงศ์กีรตินั้น มิได้ออกไปก่อนที่จะเข้าไปบอกลาท่านเจ้าคุณในห้องนอนอีกครั้งหนึ่ง เธอยิ้มร่าเริงออกมา.

“ท่านกำลังตื่นนอนพอดี” เธอพูด “ท่านบอกว่าตั้งใจจะช่วยเราจัดข้าวของ ไม่คิดว่าเราจะหนีท่านไปแต่เช้ามืด. ฉันตอบท่านว่า เช้ามืดที่ไหน ตั้งสองโมงกว่าแล้ว. แต่ว่าเราก็ไม่ได้ตั้งใจจะลอบหนีไปจากท่านไม่ใช่หรือ, นพพร ?” เธอหัวเราะ.

​เมื่อเราเดินทางไปถึงสถานีชินยูกุ ปรากฏว่ามีผู้คนทั้งชายหญิงคับคั่งอยู่ที่สถานี และเกรียวกราวไปด้วยเด็กเล็กซึ่งกำลังรอคอยรถไฟ. หม่อมราชวงศ์กีรติยังไม่เคยเดินทางไกลโดยรถไฟในเช้าวันอาทิตย์ เมื่อเห็นผู้คนคับคั่งราวกับจะเดินทางไปในงานเทศกาลใหญ่เช่นนั้นก็มีความประหลาดใจมาก. ข้าพเจ้าได้ชี้แจงให้เธอทราบว่า ภาวการณ์เช่นนี้ ตามสถานีใหญ่ ๆ ในเช้าวันอาทิตย์ นับว่าเป็นของปรกติธรรมดา ด้วยเหตุว่าชนชาวญี่ปุ่นมีใจรักในการเที่ยวเล่นชมธรรมชาติมาก สถานที่ซึ่งงดงามไปด้วยภูมิภาพธรรมชาติ และได้รับการตกแต่งบำรุงจากทางการของบ้านเมือง ก็มีอยู่มากมายหลายสิบแห่ง ทั้งในระยะใกล้และไกล ซึ่งประชาชนจะเลือกเที่ยวเตร่ได้ตามความพอใจ และสุดแต่ฐานะของตน. เมื่อถึงวันอาทิตย์หรือวันหยุดงาน คู่ผัวเมีย และคนหนุ่มคนสาว ตลอดจนบิดามารดาก็มักจะพาบุตรธิดาเดินทางไกลไปเที่ยวเล่นตามสถานที่ต่าง ๆ.

“ผมเห็นว่าการหาทางให้ประชาชนได้ใช้เวลาว่างของเขาในทางที่ไม่เป็นเครื่องแสลงแก่ชีวิตเช่นนี้ เป็นจุดสำคัญอันหนึ่ง ที่ทำให้ประชาชาติญี่ปุ่นเป็นประชาชาติที่แข็งแรง” ข้าพเจ้ากล่าวความเห็นของข้าพเจ้าเองในที่สุด “ทางการของบ้านเมืองเขาจัดการให้ประชาชนได้ซื้อการพักผ่อนอันมีค่าเช่นนี้ด้วยราคาถูกที่สุด และด้วยความสะดวกทุกประการ คนที่มีรายได้น้อยก็มีโอกาสตามส่วน ที่จะแสวงหาการพักผ่อนหย่อนใจโดยวิธีนี้. เมื่อแรกมาญี่ปุ่น ผมยังไม่มีความคิดความอ่านอะไร ต่อเมื่อได้อยู่มาหลายปี ได้ใช้ความสังเกตใคร่ครวญ ผมก็มองเห็นคุณประโยชน์เป็นอันมาก. คนญี่ปุ่นโดยมากรู้จักบ้านเมืองของเขาดี เป็นคนขยันขันแข็ง เด็ก ๆ ไม่เป็นคนขี้เกียจ ซึมเซา ก็เพราะได้อาศัยการใช้เวลาพักผ่อนในทางที่เป็นคุณประโยชน์อันนี้.”

​เมื่อรถไฟมาหยุดที่สถานี ฝูงชนที่รอคอยกันอยู่คับคั่งก็ตรูกันขึ้นรถ และที่นั่งก็เต็มหมดในชั่วอึดใจเดียว. ข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะให้หม่อมราชวงศ์กีรติไปแข่งแย่งที่นั่งกับคนเหล่านั้น.

“รอขึ้นขบวนหลังดีกว่า” ข้าพเจ้าบอกเธอ “คงจะไม่ถึงกับเบียดเสียดแย่งกัน”

“เราจะต้องรออีกกี่ชั่วโมง น่าเบื่อ.”

“ที่ญี่ปุ่น เราไม่ต้องรอรถเป็นชั่วโมง อีกราว ๕ นาทีก็จะมีรถมาอีกขบวนหนึ่ง.”

หม่อมราชวงศ์กีรติจัดเครื่องแต่งตัว และแต่งหน้าเสร็จเรียบร้อย รถอีกขบวนหนึ่งก็มาถึง. คราวนี้เราได้ที่นั่ง แต่ก็มิใช่โดยสะดวกนัก และยังมีคนที่จะต้องรอรถขบวนหลังต่อไปอีก. เรานั่งอยู่เคียงกันบนที่นั่งสำหรับสองคน ชาวญี่ปุ่นบนรถโดยสารคันเดียวกันมองดูเราอย่างทึ่ง เพราะว่าเราเป็นชาวต่างประเทศนั้นอย่างหนึ่ง และคงจะประกอบด้วยความงาม ความแช่มช้อยของหม่อมราชวงศ์กีรติด้วยไม่ต้องสงสัย มีเด็กเล็กหลายคนในรถขบวนนั้นวิ่งเล่นและพูดจ้อกับบิดามารดาของเขา.

“ฉันเหนื่อยแต่สำราญใจ” เธอพูดภายหลังที่รถได้เริ่มแล่นต่อไปครู่หนึ่ง “ฉันนิยมชาวญี่ปุ่นที่เขารู้จักเลือกวิธีพักผ่อนที่ดีตามที่เธอได้ชี้แจง ฉันหวังว่าเมื่อเธอกลับเข้าไปเมืองไทย เธอจะจัดการให้คนไทยได้ใช้เวลาว่างของเขาในทางที่เป็นคุณประโยชน์ และทั้งได้รับความสำราญไปพร้อมกันด้วย. ฉันเชื่อว่าเธอจะจัดการได้สำเร็จ เพราะเธอเป็นนักเรียนนอก คนโดยมากเลื่อมใสความคิดของพวกนักเรียนนอก.”

“ผมก็เคยได้ยินมาเช่นนั้น และทั้งได้เคยรู้สึกเช่นนั้นเมื่อผมยังอยู่ในเมืองไทย. แต่เมื่อผมได้มาเป็นนักเรียนนอกด้วยตนเอง และได้รู้เห็น​ความเป็นไปของพวกเพื่อนนักเรียนที่นี่ ผมรู้สึกว่าพวกเราได้รับความยกย่องมากเกินไป. เรามีโอกาสดีกว่านักศึกษาในบ้านเมืองของเราหน่อย ก็ในข้อที่ว่าเราได้มาเห็นแบบอย่างความเป็นไปที่เจริญก้าวหน้าบางอย่างที่นี่ ซึ่งในเมืองไทยของเราไม่มี. แต่ว่าถ้าเราไม่แสวงหาประโยชน์จากโอกาสอันดีนี้ เราก็ไม่มีวุฒิพิเศษอะไรที่จะรับสมอ้างเอาว่า เราดีกว่าคนอื่น ๆ เลย. นอกจากนั้นเรามีทางที่จะประพฤติตัวเหลวแหลกได้มากกว่านักศึกษาในเมืองไทย. บ้านเมืองยิ่งเจริญมากเท่าใดก็มีเครื่องสำราญอันจะจูงใจไปสู่ความเสื่อมเสียได้มากเท่านั้น และคุณหญิงเห็นแล้วว่า เราอยู่กันที่นี่ปราศจากการควบคุมปกครอง เราต้องต่อสู้กับความเย้ายวนใจนานาประการด้วยตนเอง คุณหญิงคงจะเห็นว่าเรามีทางที่จะพ่ายแพ้ได้ง่าย. พวกเราไม่ใช่ว่าจะเอาชนะสิ่งนี้ไปได้ทุกคน ที่ชนะก็มี ที่แพ้ก็มาก. และถ้าเราแพ้ เราจะมีวุฒิพิเศษอะไรเล่า. เรามีสิทธิพิเศษอะไรที่จะไปเดินหน้าเชิดเป็นที่ว่าเรามีวุฒิพิเศษกว่าใคร ๆ ในวงสมาคมในเมืองไทย.”

“เธอพูดจริงจังมาก, นพพร. ฉันเองไม่มีความรู้แน่ชัดในเรื่องราวของพวกนักเรียนนอก ฉันพูดตามที่ฉันได้ยินมา. แต่เมื่อฉันได้พบรู้จักเธอ ฉันก็ออกจะเลื่อมใสนักเรียนนอกด้วยน้ำใสใจจริงของฉันเอง. ฉันมองนักเรียนนอกจากตัวเธอ.”

“คุณหญิงยกย่องผมมาก. พูดตามจริง ผมไม่อยากจะให้คนทั้งหลายมาดีกับเรามากเกินไป มาหวังในตัวเรามากเกินไป เพราะว่าถ้าเขาผิดหวังในเรา เขาอาจลงโทษว่าเราหลอกลวงเขา ทั้งที่ตามจริง คุณหญิงก็เห็นแล้วว่าผมไม่ได้คิดจะหลอกลวงคุณหญิงเลย.”

หม่อมราชวงศ์กีรติหัวเราะด้วยความสนุก พอใจ. เราสนทนากันด้วยปัญหาจำพวกนี้ต่อไปอีกพักใหญ่แล้วก็สนทนาพาทีกันด้วยเรื่อง​เบ็ดเตล็ดบ้าง และชมภูมิประเทศสองข้างทางไปบ้าง. การเดินทางของเรากินเวลาราวชั่วโมงครึ่ง เป็นการเดินทางที่หม่อมราชวงศ์กีรติกล่าวว่า ไม่เป็นที่น่าเบื่อหน่ายเลย.

คนโดยมากในรถขบวนนั้น มากกว่าครึ่งได้ลงที่สถานีมิตาเกะพร้อมกับเราทั้งสอง, ออกจากสถานีมาสู่ถนนใหญ่ เราก็อาจที่จะมองเห็นความงามของธรรมชาติ มีลำธารที่กว้างใหญ่ เนินหิน และสีเขียวของพฤกษชาติ ดารดาษอยู่ในคลองจักษุของเรา. หม่อมราชวงศ์กีรติดูมีความเบิกบานใจมาก.

เราเดินชมภูมิประเทศและร้านรวงแถบนั้นอยู่พักใหญ่ แล้วจึงแวะเข้าไปพัก หาเครื่องดื่มรับประทานในร้าน ๆ หนึ่ง. ข้าพเจ้าได้แจ้งให้หม่อมราชวงศ์กีรติทราบว่า ที่นี่ค่อนข้างเป็นที่ชุมนุมชน ข้าพเจ้ายังจะพาเธอเดินทางโดยรถบัส ซึ่งแล่นขนานไปกับลำธารต่อไปอีก จนกระทั่งบรรลุถึงเนินเขามิตาเกะ. ณ ที่นั้นแล เราจะได้เก็บตัวของเราไว้ในความสงบสงัด ในความห้อมล้อมของธรรมชาติ เป็นที่หมายปลายทางซึ่งเรามุ่งมาเที่ยวเล่นแสวงหาความสำราญใจในวันนั้น.

เมื่อได้พักผ่อนเที่ยวเตร่ตามบริเวณชุมนุมชนพอสมควรแล้ว เราได้เดินทางโดยรถยนต์ต่อไปอีก กินเวลาประมาณ ๔๐ นาที. รถแล่นขนานไปกับลำธารซึ่งมีน้ำใสสะอาดจนสามารถจะแลเห็นก้อนหินตะปุ่มตะป่ำอยู่ภายใต้พื้นน้ำ. อีกด้านหนึ่งของถนนเป็นเนินเขาลำเนาไม้เขียวชอุ่มด้วยพฤกษาใหญ่น้อยหลากพรรณ รถยนต์วิ่งผ่านมวลชนที่สมัครใจจะเดินเล่นกันไปตลอดระยะทาง มีทั้งคนแก่ คนหนุ่มคนสาวและเด็กเล็ก ดูสำราญเริงรมย์ในการเดินทางกันมาก.

เราบรรลุถึงปลายทางเป็นเวลาหลังเที่ยงเล็กน้อย. มีคนน้อยคนที่สมัครมาจนถึงปลายทาง เพราะว่าตามระยะทางที่ผ่านมา ก็มีที่พักผ่อน​ประกอบด้วยทัศนียภาพอันพึงชมเป็นแห่ง ๆ โดยตลอด ซึ่งผู้ที่ไม่สมัครจะเดินทางไกลมากนัก ก็ได้เลือกแวะเสียตามที่ใดที่หนึ่ง. ฉะนั้นเมื่อเราลงจากรถ และเดินไปตามทางเล็ก ๆ ซึ่งลาดต่ำลงไปเป็นลำดับนั้น จึงมีคนเพียงสองคนเดินตามเรามา เป็นชายกลางคนพาบุตรอายุประมาณ ๑๒ ขวบมาเที่ยวเล่น เขาจะมาเป็นเพื่อนบุตรของเขาหรือถือเอาบุตรเป็นเพื่อนของเขา เราก็ทราบไม่ได้.

ทางที่เราเดินมานั้นได้ลาดต่ำลงมา จนในที่สุดลาดชิดติดไปกับลำธาร. เราได้มาถึงต้นทางน้ำตกซึ่งเป็นบ่อเกิดของลำธารกว้างใหญ่ที่เราได้ผ่านมา กระแสน้ำไหลกระโชกกระชากไปบนก้อนหิน แล้วต่อไปก็ไหลแรงบ้าง ระรินบ้าง ไปตามลำธารที่ค่อยกว้างใหญ่ออกไป. บนทางที่เราเดินอยู่นั้นล้อมรอบด้วยเนินเขาสูง เขียวชอุ่มไปด้วยพรรณพฤกษานานาชนิด. ในบางขณะเราลงไปยืนอยู่บนก้อนหินซึ่งกระแสน้ำแทบจะไหลผ่านรองเท้าของเราไป. ทั้งหม่อมราชวงศ์กีรติกับข้าพเจ้าได้กลายเป็นเด็กคู่หนึ่งซึ่งสนุกสำราญอยู่ด้วยการกระโดดโลดเล่นไปตามก้อนหินเหล่านั้น. เราทั้งสองอาจที่จะเล่นสนุกต่าง ๆ ได้อย่างอิสระเสรีเต็มที่ เพราะว่า ณ ที่นั้นแทบจะกล่าวได้ว่า เราได้ออกมาอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่งซึ่งเพื่อนร่วมโลกของเรา ก็มีแต่สายน้ำ ก้อนหิน และลำเนาไม้เท่านั้น. แสงแดดที่ไม่ร้อนแรงจัดช่วยให้เราอบอุ่น. ชายกลางคนกับบุตรของเขาได้เดินลับตาเราไปสู่ที่อื่น. นาน ๆ มีชายหญิงคู่ผัวเมียผ่านเข้ามาในโลกของเราคู่หนึ่ง แต่ก็ไม่หยุดยั้งอยู่นานนัก. ฉะนั้นเราก็เป็นเหมือนอาดัมกับอีฟในโลกน้อยนั้น. ข้าพเจ้าเก็บดอกไม้ป่าสีม่วง แล้วขออนุญาตเสียบให้ที่เรือนผมของหม่อมราชวงศ์กีรติ และเธอเก็บดอกไม้อีกชนิดหนึ่งสีแดง เสียบให้ที่รังดุมเสื้อข้าพเจ้า. หม่อมราชวงศ์กีรติบอกกับข้าพเจ้าว่า เธอเป็นสุขมากที่ข้าพเจ้าได้นำเธอมาอยู่ในที่ซึ่ง​หอมหวนยวนใจไปด้วยความสงบสงัดและความงามของธรรมชาติ. ข้าพเจ้าก็บอกกับเธอว่า ข้าพเจ้ามีความสุขมากในการที่ได้มีส่วนนำความสุขมาสู่เธอ หรือนำเธอให้ได้มาพบกับความสุข.

ข้าพเจ้ายังจดจำความรู้สึกในวันนั้นได้แม่นยำดีมาก. ข้าพเจ้าได้รับความสุขและความเบิกบานปานใดนั้น ไม่มีที่สงสัย. แต่แม้เช่นนั้นในบางขณะ ได้มีความรู้สึกบางอย่างมารบกวนความสุขของข้าพเจ้า มันทำให้อกใจของข้าพเจ้าเต้นระทึกด้วยหวาดหวั่นว่า จะมีอะไรอย่างหนึ่งที่รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นในชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า. มันดันขึ้นดันลงอยู่ในหัวอก. ดูเหมือนข้าพเจ้าจะได้พยายามกดดันมันไว้ไม่ให้ปรากฏออกมาภายนอก แต่ก็รู้สึกว่าค่อนข้างเป็นการเหลือวิสัยข้าพเจ้ายากที่จะป้องกันยับยั้งได้ นอกจากจะรอคอยเวลาเท่านั้น. ข้าพเจ้าทั้งเหน็ดเหนื่อยอ่อนใจและเป็นสุข.

 


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« Reply #3 on: 29 October 2025, 18:59:50 »




ภายหลังรับประทานอาหารกลางวัน และได้พักผ่อนครู่ใหญ่ ๆ แล้ว เราได้พากันออกเดินต่อไปตามทางใหญ่ที่ทอดไปตามไหล่เขาตัดสูงขึ้นไปเป็นลำดับ ไม่มีบ้านช่องอยู่ริมทาง. ไกลออกไปข้างหน้าเราบนยอดเนินสูง มีกระต๊อบปลูกอยู่ ๔-๕ หลัง แสดงว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่. เขาทำไร่เลี้ยงชีวิตอยู่กันที่นั่น และเขตแดนน้อย ๆ บนยอดเนินนั้นเป็นโลกของเขา. ตลอดทางที่เราเดินมา เราไม่พบนักท่องเที่ยวคนใดเลย จนกระทั่งบรรลุถึงปลายทางซึ่งนำเรามาอยู่บนยอดเนินสูงแห่งหนึ่ง. เราได้นั่งลงพักผ่อนภายใต้ร่มไม้ซีดาร์ ซึ่งแผ่กิ่งก้านแลสล้าง.

ข้าพเจ้าจะไม่บรรยายโดยละเอียดว่า เราได้ใช้เวลาของเราอย่างไรบ้างที่นั่น. ข้าพเจ้าจะบรรยายถึงการสนทนาตอนหนึ่ง ซึ่งเปิดเผยชีวิตความเป็นอยู่ทั้งมวลของหม่อมราชวงศ์กีรติให้เป็นที่แจ่มกระจ่างอย่างสิ้นเชิง. ข้าพเจ้าได้รื้อฟื้นปัญหาที่เราได้สนทนากันที่สวน ณ โฮเต็ลไกฮินมากล่าวขึ้นอีกครั้งหนึ่ง.

​“ผมอยากทราบถึงเหตุผลที่คุณหญิงได้ใช้ประกอบการตัดสินใจในการแต่งงานกับท่านเจ้าคุณ”

“ดูเธอสนใจในปัญหาเรื่องการแต่งงานมาก. เธอกำลังตระเตรียมตัวเพื่อการนั้นหรือ?”

“หามิได้” ข้าพเจ้ารีบตอบโดยเร็ว “ผมมิได้คิดที่จะตระเตรียมอะไรเพื่อการแต่งงานของผมเองเลย. ทั้งผมก็มิได้สนใจในปัญหาเรื่องการแต่งงานโดยทั่วไป ผมสนใจแต่เฉพาะในเรื่องราวของคุณหญิงเท่านั้น.”

“ทำไมเธอจะต้องมาสนใจกับเรื่องราวส่วนตัวที่เป็นความในใจของฉันด้วยเล่า?”

“คุณหญิงไม่เคยพูดดอกหรือว่าคุณหญิงนับผมเป็นเพื่อนตายของคุณหญิงคนหนึ่ง ในจำนวนทั้งหมดซึ่งดูเหมือนจะมีคนเดียว.”

“แต่เธอจะรู้ไปทำไม” เธอพูดอย่างอ่อนใจ “ชีวิตของฉันเป็นชีวิตของคนที่อาภัพ เหตุผลในการแต่งงานของฉัน เป็นเหตุผลของสตรีที่อาภัพที่สุดในเรื่องความรัก. ไม่มีแบบอย่างดีพอที่เธอสมควรจะฟัง และมันอาจจะทำให้เธอเศร้า เสียดายหรือสมน้ำหน้าในความอาภัพของฉัน. ไม่มีเรื่องราวอะไรที่น่าสนุกเลย. เธอได้รู้จักฉันในชีวิตที่ฉันเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็เป็นการดีแล้ว และควรจะเพียงพอแล้ว เธอไม่ควรจะรู้จักชีวิตข้างหลังของฉันมากเกินไป เธออาจจะคลายความสุขเพราะเหตุนั้น.”

“ผมไม่ใช่คนขี้ขลาด อ่อนแอ. ยิ่งรู้ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความอาภัพของคุณหญิง ก็ยิ่งรู้สึกว่าจำเป็นจะต้องได้ฟัง.”

“นพพร, เธอออกจะพูดอะไรจริงจังเสมอในตอนหลัง ๆ นี้” เธอยิ้มอย่างมีความเอ็นดู “ฉันมักจะขัดขืนเธอไม่สำเร็จเลย.”

​“เขาแต่งงานไปก่อนฉันตั้ง ๗-๘ ปี เดี๋ยวนี้เขาอยู่กับสามีของเขา และมิใช่สามีแก่ - ด้วยความสุข และมิใช่ด้วยความสุขอย่างเดียว เขาอยู่กับสามีของเขาด้วยความสุขและด้วยความรัก.”

“น้องสาวของคุณหญิงสองคนก็ได้แต่งงานไปแล้วมิใช่หรือ?” ข้าพเจ้าลงมือดำเนินเรื่อง.

“เป็นที่น่าเสียใจมาก.”

“ที่น้องสาวของฉันมีความสุขและความรักกับสามีของเขา?”

“มิได้เลย, ผมยินดีด้วยมาก. ผมเสียใจในกรณีของคุณหญิง.”

“นี่เธอต้องการจะเป็นผู้ออกความเห็นให้ฉันฟัง หรือว่าต้องการจะฟังเรื่องราวจากปากคำของฉัน”

“ผมเตรียมตัวคอยฟังอยู่แล้ว.”

“เธอได้ทราบแล้วว่า ฉันแต่งงานกับท่านเจ้าคุณโดยปราศจากความรัก” หม่อมราชวงศ์กีรติเริ่มเรื่อง “สิ่งที่เธอปรารถนาจะทราบจากฉันเวลานี้ก็คือ ทำไมฉันจึงแต่งงานกับท่านทั้งที่ฉันไม่มีความรัก เพื่อที่เธอจะเข้าใจปัญหาข้อนี้อย่างแจ่มแจ้ง ฉันจำเป็นจะต้องให้ความสว่างแก่เธอในปัญหาที่สำคัญอีกข้อหนึ่งเสียก่อน คือปัญหาที่ว่า ทำไมฉันจึงแต่งงานต่อเมื่ออายุได้ล่วงเข้ามาถึง ๓๕ ปี เป็นวัยแก่เกินควรสำหรับผู้หญิงที่เข้าสู่พิธีวิวาห์เป็นครั้งแรก. เธอย่อมทราบแล้วว่า โดยทั่วไปผู้หญิงแต่งงานในระหว่างอายุ ๒๐ ถึง ๒๕ ปี. หรืออย่างล่าที่สุด หรืออย่างเลวที่สุดก็ตามทีก็มักจะไม่เกินหรือไม่ควรอย่างยิ่งที่จะเกินกว่า ๓๐ ปี. แต่เหตุใดฉันจึงมาแต่งงานเมื่ออายุเหยียบ ๓๕ ปี เป็นวัยที่แก่เกินการ. เธอต้องไม่พยายามที่จะเข้าข้างฉัน โดยอ้างว่าฉันยังแลดูเป็นสาวพริ้งอยู่. เธอต้องยอมรับว่าเป็นวัยที่แก่เกินการจริง ๆ. จะด้วยเหตุใดก็ตาม เธอไม่เคยยกปัญหาข้อนี้ขึ้นถามฉันเลย เธออาจจะมองข้ามไปเสีย โดยเห็นว่าไม่เป็นปัญหาที่สลักสำคัญก็ได้ แต่ฉันเองรู้ดีว่ามันสำคัญ และสำคัญพอที่จะนับได้ว่าเป็นบ่อเกิดแห่งปัญหาต่อมา คือว่า​เหตุใดฉันจึงแต่งงานโดยปราศจากความรัก. ฉันจะให้คำตอบแก่เธอทั้งสองปัญหา เพื่อว่าเธอจะได้เข้าใจเรื่องราวของฉันอย่างแจ่มกระจ่าง ประดุจเธอได้แลดูท้องฟ้าในยามที่ไร้เมฆหมอก. ฉันต้องการจะดับความกระหายของเธอให้สิ้นสุดลงเสียที ฉันจะได้พ้นจากความรบกวนเร้าถามอีกต่อไป.”

หม่อมราชวงศ์กีรติหยุดมองจ้องตาข้าพเจ้า ซึ่งในขณะนั้นกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่แทบปลายเท้าของเธอ สดับตรับฟังคำพูดของเธอด้วยความสนใจ. เรานั่งอยู่บนผ้าดอกสี่เหลี่ยมผืนใหญ่ ซึ่งเราอาจจะทอดกายลงนอนเล่นก็ได้ แต่ว่าเรามิได้กระทำ. หม่อมราชวงศ์กีรตินั่งอิงหมอนพิงต้นซีดาร์.

“ผมอยากทราบจริง ๆ ว่าทำไมคุณหญิงจึงรั้งรอการแต่งงานมาจนถึงป่านนี้ ผมเขลาไปที่ไม่เคยถามปัญหาข้อนี้.”

“เธอเขลา เพราะว่าเธอมัวแต่มาคอยเยินยอว่าฉันยังสาวด้วยประการทั้งปวง” เธอพูดด้วยเสียงแกมเล่นแกมจริง “ฉันเพิ่งแต่งงาน แต่ก็มิใช่ว่าฉันรั้งรอการแต่งงาน. พูดเช่นนี้เธออาจจะนึกเดาเอาว่าในชีวิตสาว ๆ ของฉัน คงจะมีนิยายที่แปลกประหลาดเร้าใจ มีการผจญรักผจญโศก เจือปนอยู่มิใช่น้อย. ฉะนั้น เพื่อมิให้เธอเสียเวลาเดาวุ่นวายเกินไป ซึ่งเธอก็คงจะเดาผิดทั้งหมด ฉันขอบอกเธอล่วงหน้าไว้ว่า ชีวิตของฉันไม่มีการผจญรัก ผจญโศก ไม่มีการฟูมฟายน้ำตาหรือได้ขึ้นสวรรค์แล้วก็ได้ลงนรก หรือมีเรื่องน่าตื่นเต้นเร้าใจอะไรในทำนองนั้นเลย. ชีวิตของฉันอยู่ห่างไกลกับสิ่งเหล่านี้ ในชีวิตของฉันมีแต่เหตุการณ์ที่เป็นธรรมดาสามัญ และมันอาจจะเป็นธรรมดาสามัญเสียจนเกินไป จนทำให้เกิดความผิดหวัง จนทำให้ฉันกลายเป็นสตรีที่อาภัพที่สุดคนหนึ่งไปได้”

​“ผมไม่อยากจะขัด แต่ผมก็ยากที่จะเชื่อว่า ในชีวิตที่ประกอบไปด้วยปัญหาข้อสำคัญ ๆ เช่นชีวิตของคุณหญิงนี้ จะไม่มีเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดพิสดารแฝงอยู่สักอันหนึ่ง” ข้าพเจ้าอดกลั้นความสงสัยไว้ไม่ได้

“คนดีของฉัน เธอควรจะเลิกเรียนหนังสือ แล้วมีอาชีพทางหมอดู เพราะว่าเธอมักจะรู้เรื่องราวในชีวิตของฉันดีกว่าตัวของฉันเองเสมอ.”

หม่อมราชวงศ์กีรติดำเนินเรื่องต่อไป.

“วงชีวิตในวัยสาวของฉัน เป็นวงชีวิตที่แคบมาก ฉันไม่มีโอกาสที่จะร่าเริงบันเทิงใจในวัยรุ่นสาวของฉัน ดุจเดียวกับสตรีสาวที่เป็นคนธรรมดาสามัญทั่วไป. ฉันไม่ได้ตั้งใจจะแยกตัวฉันออกจากท่าน​สุภาพสตรีเหล่านั้นดอก แต่ความจริงฉันได้ถูกแยก. ฉันไม่ได้เป็นเจ้าแต่ฉันก็เป็นลูกเจ้า. ท่านพ่อของฉันท่านเป็นเจ้านายแท้จริง. ในสมัยที่ยังไม่เปลี่ยนการปกครองบ้านเมืองนั้น เธอก็คงจะทราบแล้วว่า เจ้านายท่านเป็นเจ้านายกันจริง ๆ โดยมาก ท่านอยู่ของท่านต่างหากในโลกอีกโลกหนึ่ง. ท่านพ่อของฉันก็พยายามที่จะให้ตัวฉันและลูก ๆ ของท่านเป็นเจ้านายเช่นเดียวกับองค์ท่าน. ฉันได้เรียนหนังสืออย่างเป็นกิจจะลักษณะที่โรงเรียนตามสมควร. พอเข้าขีดจะเป็นสาว ท่านก็เก็บตัวฉันไว้ในโลกของท่าน ท่านป้องกันฉันจากการติดต่อกับโลกภายนอก. ฉันได้เรียนหนังสือต่อมากับแหม่มแก่ ๆ คนหนึ่งที่บ้านของเราหรือวังตามที่เรียกกันในเวลานั้น. ฉันได้เรียนรู้เรื่องราวจากโลกภายนอกบ้าง จากครูแหม่มของฉัน และจากแหม่มแก่นะเธอ.. ระหว่างครูแหม่มแก่ของฉันกับแม่เฒ่าชาวไทยของเรา ก็ดูไม่มีอะไรแตกต่างกันมากนัก. การสนทนาพาทีของแกก็มีแต่เรื่องคุณธรรมความดีแม่ศรีเรือนอะไรจำพวกนี้. เป็นบุญอยู่บ้างที่แกชักนำให้ฉันรู้จักว่า ในโลกนี้มีหนังสือจำพวกโว้กและแมคคอลส์ ซึ่งช่วยแนะทางรักษาความงาม ความเปล่งปลั่งของฉันไว้ได้ยั่งยืนนาน ดุจความสดชื่นยืนนานของดอกไฮแดรนเยีย.

“ฉันอยู่บ้านเรียนหนังสือจากครูแหม่มบ้าง บางทีท่านพ่อก็ส่งฉันไปอยู่ในรั้วในวัง รับใช้เจ้านายใหญ่โตองค์หญิงบางองค์ที่เป็นญาติของเรา. ฉันใช้ชีวิตในวัยสาวของฉันในทำนองนี้หลายปี. ฉันต้องอยู่ในโลกของเจ้านายนานพอ จนฉันแทบไม่มีโอกาสจะระลึกว่าความเป็นสาวนั้นมีค่าอย่างที่สุดสำหรับสตรีเพศเพียงใด และฉันควรจะใช้ความเป็นสาวเพื่อประโยชน์แก่ตัวของฉันเองอย่างไรบ้าง. ในเวลานั้น ดูเหมือนฉันไม่เคยตั้งปัญหาถามตัวเองว่า เป็นการถูกต้องหรือที่เราจะปกป้องกำบังความเป็นสาวสดชื่นของเราไว้เสียจากนัยน์ตาของคนภายนอก? ชีวิตได้​กำไรที่ตรงไหนเล่าในการกระทำเช่นนั้น? เป็นการฉลาดหรือที่ไม่เปิดเผยวัยงามที่สุดของเรา. ฉันไม่ใคร่จะได้คิดอะไรในเวลานั้น เพราะว่าเราไม่ได้ถูกอบรมให้เป็นคนช่างคิด เรามีทางที่เขากำหนดไว้ให้เดิน เราต้องเดินอยู่ในทางแคบ ๆ ตามจารีตประเพณีขนบธรรมเนียม.”

ถึงตอนนี้หม่อมราชวงศ์กีรติได้หยุดทอดระยะครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าจึงฉวยโอกาสพูดขึ้น.

“แต่คุณหญิงที่ผมรู้จักไม่เป็นอย่างนั้นเลย คุณหญิงเป็นคนช่างคิดช่างตรึกตรอง และเฉลียวฉลาดกว่าคนธรรมดาอย่างผมมาก.”

“ขออย่าพูดว่า ฉันฉลาดกว่าเธอหรือใคร ๆ เพียงแต่ฉันพอจะไปกับคนทั้งหลายได้ก็เป็นบุญของฉันอยู่แล้ว เหตุการณ์ในปีต่อ ๆ มา อนุเคราะห์ให้ฉันเป็นคนช่างคิด นอกจากนั้น ครูแหม่มมักหาหนังสือภาษาอังกฤษดี ๆ มาให้ฉันอ่าน เป็นการช่วยกระตุ้นใจให้ฉันกลายเป็นคนรักหนังสือ แล้วก็รักศิลปะ รักความสวยงามทุกชนิด แล้วก็กลายเป็นคนช่างตรึกตรอง, ฉันคิดว่าฉันมีอุปนิสัยในสิ่งเหล่านั้นอยู่แล้ว. อนึ่งการที่ฉันรักษาบำรุงความงามความเปล่งปลั่งของฉันในเวลานั้น ก็เพียงเพื่อความชื่นใจสำหรับตัวของฉันเท่านั้น. ฉันบอกแล้วว่า ฉันยังไม่มีความคิดว่าจะทำอย่างไรกับความเป็นสาวของฉัน เพื่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตัวของฉันเอง.”

“ในฐานะเช่นนั้น ผมเห็นใจคุณหญิงมาก” ข้าพเจ้าสอดขึ้นในระหว่างเรื่อง.

“แต่ว่าศิลปะได้ช่วยฉัน” เธอดำเนินเรื่องต่อไป “ฉันไม่มีเวลาที่จะใช้ไปในความคิดคำนึง และความเปล่าเปลี่ยวมากนัก ฉันมีงานทำเกือบตลอดทั้งวัน ฉันสนใจในการวาดภาพ และใช้เวลาฝึกฝนมากตามที่เธอทราบแล้ว ฉันมีความเพลิดเพลินไปในงานนั้น. นอกจากนั้นฉันมีงาน​ที่ต้องทำประจำวันอีกอย่างหนึ่ง คือการบำรุงรักษาความงามความเปล่งปลั่งของฉัน ให้คงอยู่นานที่สุดที่จะนานได้ ฉันต้องใช้เวลาวันหนึ่ง ๆ หลายชั่วโมงเป็นกิจวัตรประจำวันของฉัน.”

“แทบไม่น่าเชื่อ” ข้าพเจ้าอดสงสัยไม่ได้ “คุณหญิงต้องทำอะไรบ้างวันละหลาย ๆ ชั่วโมง และทุกวัน. ผัดแป้ง แต่งหน้า ทาปาก สัก ๑ ชั่วโมงก็ควรจะพอ.”

เธอยิ้ม นัยน์ตาเป็นประกายด้วยความเบิกบาน.

“เรื่องจริง ๆ มันมีมากกว่าที่เธอคาดมาก. เธอไม่อาจจะเข้าใจเรื่องของผู้หญิงได้ทั้งหมด. นอกจากนั้น ฉันหวังว่าเธอจะไม่ด่วนลงความเห็นติเตียนว่า ฉันใช้เวลาวันละหลาย ๆ ชั่วโมงในทางที่ไร้ประโยชน์. เธอจงเห็นใจสตรีเพศ เราเกิดมาโดยเขากำหนดให้เป็นเครื่องประดับโลก ประโลมโลก และเพื่อที่จะทำหน้าที่นี้อย่างดีที่สุด เราจำต้องบำรุงรักษารูปโฉมของเราให้ทรงคุณค่าไว้. จริงอยู่ นี่มิใช่หน้าที่อันเดียวหรือ​ทั้งหมดของสตรีเพศ แต่เธอคงไม่ปฏิเสธว่ามันเป็นหน้าที่อันหนึ่งของเรา.”

“ผมไม่มีความเห็นแย้งเลยในข้อนี้ เพราะว่านอกเหนือจากความดี บุรุษแสวงความงามในสตรีเพศ.”

“ยิ่งกว่านั้น บางทีคุณความดีของสตรีก็ถูกมองข้ามเลยไป ถ้ามิได้อาศัยอยู่ในความงาม” หม่อมราชวงศ์กีรติพูดเน้นคำ “ระหว่างเวลาที่น้องสาวคนเล็กของฉันได้แต่งงานไป แม้ว่าฉันจะคิดคำนึงใฝ่ฝันถึงความรักบ้าง ฉันก็มีชีวิตสดชื่นอยู่ด้วยความหวัง. จนกระทั่งอีก ๒ ปีต่อมา น้องสาวคนรองจากฉันได้แต่งงานไปอีกคนหนึ่งกับชายที่เธอรัก ในวาระนั้นแหละที่ฉันเริ่มรู้สึกว่า ฉันออกจะเป็นคนอาภัพ. ในเวลานั้นฉันมีอายุได้ ๒๙ ปี น้องสาวของฉันมีอายุ ๒๖ ปีเมื่อเธอแต่งงาน. การแต่งงานและความสุขที่น้องสาวของฉันได้รับ เสียดแทงความรู้สึกของฉันไม่น้อย. นพพรต้องเชื่อว่า ฉันมิได้อิจฉาน้อง. ฉันรักน้องสาวของฉันไม่น้อยกว่าตัวฉันเอง แต่ฉันรู้สึกอเนจอนาถในโชคชะตาของฉัน. ถึงตอนนี้ออกจะเป็นการยากลำบากที่ฉันจะกล่าวความรู้สึกอันจริงใจแก่เธอ เพราะดูว่าฉันจะเป็นคนโอ้อวด หรือคิดตะเกียกตะกายไปในทางที่น่าบัดสี เธอเชื่อว่าเธอจะเข้าใจฉันดีพอหรือ?”

“ผมเป็นเพื่อนตายของคุณหญิง ผมเห็นใจและเข้าใจคุณหญิงดีที่สุด.”

“เธอเชื่อมั่นในคุณธรรมของฉันหรือ?”

“ไม่มีที่สงสัยเลย”

“เธอแน่ใจหรือ?”

“แน่นิ่ง ไม่คลอนแคลนเลยแม้แต่นิดเดียว.”

“คำรับรองของเธอมั่นคงดังคำปฏิญาณ ดังนั้น ฉันจะบรรยายความรู้สึกของฉันต่อไปอย่างซื่อสัตย์จริงใจ” เธอทอดสายตาแลข้าม​ศีรษะข้าพเจ้าไป ดวงตาของเธอยังคงมีประกายก็จริง แต่มีแววเศร้าเข้ามาเจือปน. “เมื่อฉันมีอายุได้ ๒๙ ปี ฉันก็ยังสวยงามและดูเปล่งปลั่งสดชื่นกว่าน้องสาวของฉัน ฉันเป็นคนโชคดีที่เกิดมาสวย แต่ฉันเป็นคนโชคร้ายที่เกิดมาไร้ความรัก. และก็อาจเป็นเพราะความสวยนั่นเองที่ฉันได้ถูกปกป้อง กีดกัน จากการติดต่อกับโลกภายนอกยิ่งกว่าน้อง ๆ ฉันจะไม่รู้สึกตัวว่าฉันเป็นคนอาภัพอับโชคเลยถ้าฉันเกิดมาเป็นหญิงขี้เหร่ แต่พระผู้เป็นเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ก็ตาม เมื่อได้ประทานความสวยงามให้แก่ฉันแล้ว เหตุใดไม่เปิดทางให้แก่ฉัน เหตุใดไม่ประทานความรักให้แก่ฉัน เหตุใดมาทอดทิ้งความสวยงามของฉันไว้ในความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ความสวยงามซึ่งฉันสู้ทะนุถนอมบำรุงรักษาอย่างที่สตรีเป็นอันมากก็มิอาจระวังระไวเท่าฉัน.”

ถึงตอนนี้แววเศร้าปรากฏชัดขึ้นในดวงตาของเธอ.

“เมื่อน้องสาวสองคนมีเหย้ามีเรือนไปหมด ฉันก็รู้สึกความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวทวีขึ้น. แต่ว่าเมื่อได้พินิจพิจารณาดูความงาม ความสดชื่นของตัวเองในเวลานั้น ในวัย ๒๙ ปีนั้นแล้ว ฉันก็ยังมีความหวังอยู่ว่า ฉันจะได้พบความรักและได้แต่งงานกับชายที่ฉันรัก. นพพร, เธอต้องไม่คิดเห็นการแถลงความรู้สึกอย่างซื่อสัตย์ของฉันไปในทางน่าบัดสี. ความรักเป็นพรอันประเสริฐ เป็นยอดปรารถนาของชีวิต. ฉันก็เหมือนกับคนทั้งหลาย ย่อมปรารถนาใฝ่ฝันถึงความรักและการแต่งงาน. ฉันปรารถนาที่จะพูดถึงและรู้สึกด้วยตนเองในเรื่องราวของชีวิตในโลกใหม่ ดังที่น้องสาวสองคนได้มีโอกาสเช่นนั้น. ฉันปรารถนาที่จะมีบ้านของฉันเอง ที่จะติดต่อสมาคมกับโลกภายนอก ปรารถนาที่จะมีบุตรน้อย ๆ เพื่อที่ฉันจะได้หลั่งความเมตตาปรานีจากดวงใจของฉันให้แก่เขา. ฉันปรารถนาที่จะให้ตัก ให้แขนของฉันเป็นประโยชน์แก่คนอื่น. ยังมี​ความปรารถนาที่งดงามอีกหลายอย่างที่ฉันย่อมจะบรรลุได้ ถ้าเพียงแต่ฉันได้พบความรัก.

“การที่เกิดมาไร้ความรัก จนกระทั่งอายุลุถึง ๒๙ ปีนั้น ก็เป็นการเคราะห์ร้ายพออยู่แล้ว แต่ฉันเป็นคนเคราะห์ร้ายจนถึงที่สุดในเรื่องนี้. ความใฝ่ฝันของฉันไม่ได้เป็นของจริงขึ้นเลย ปีแล้วก็ปีเล่า ความหวังก็จืดจางโรยราไปเป็นลำดับ จนกระทั่งอายุล่วงไปถึง ๓๔ ปี เจ้าคุณอธิการบดีก็ผ่านเข้ามาในการพิจารณาของฉัน.

“เจ้าคุณกับท่านพ่อชอบพอคุ้นเคยกันมาก. ท่านพ่อเมื่อแก่ตัวลงท่านก็ไม่สู้มีความคิดความเห็นเคร่งเครียดอะไรนัก ฉะนั้น เมื่อเจ้าคุณแสดงความประสงค์จะขอแต่งงานกับลูกสาวคนโตของท่าน ซึ่งได้ตกค้างอยู่ในบ้านมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ท่านก็ยินดีที่จะอนุมัติให้เป็นไปตามประสงค์. ท่านเห็นด้วยความสุจริตใจของท่านว่า คำขอของเจ้าคุณเป็นโอกาสอันเดียวที่เปิดไว้ให้ฉันเดินเข้าสู่โลกแห่งการวิวาห์. ท่านหวาดเกรงว่า ถ้าฉันปฏิเสธก็จะเท่ากับว่าฉันปฏิเสธการแต่งงานตลอดชั่วชีวิต และถ้าความจริงจะเป็นไปเช่นนั้นแล้ว ท่านก็จะสลดใจในโชคชะตาของฉันมาก. ฉันรู้ดีว่าท่านพ่อรักใคร่และเห็นใจในความอาภัพของฉันยิ่งกว่าลูกทุก ๆ คน. ท่านปรารถนาที่จะได้เห็นฉันแต่งงาน เพื่อว่าฉันจะได้มีความสุขตามส่วน ท่านเชื่อว่าการที่ผู้หญิงซึ่งสะสวยอย่างฉัน จะดำรงชีวิตอยู่ตลอดไปโดยไร้คู่ครองนั้นเป็นการทรมานหัวใจเกินกว่าที่ท่านจะทนดูได้. อย่างไรก็ตาม ท่านเพียงแต่แนะนำวิงวอนให้ฉันรับคำขอของท่านเจ้าคุณ ส่วนการวินิจฉัยขั้นสุดท้ายนั้นก็สุดแต่ตัวฉัน.”

เธอทอดสายตามาสบตาข้าพเจ้า ยิ้มอย่างเศร้า ๆ และเปิดเผย. ใจคอของข้าพเจ้าก็อ่อนไหวไปตามความเศร้า ในยิ้ม และในดวงตางามคู่นั้น.

​“เมื่อฉันได้รับทราบความประสงค์ของเจ้าคุณ ใจฉันหายวาบ และเมื่อฉันได้สดับคำแนะนำวิงวอนของท่านพ่อ ที่ทรงขอให้ฉันรับรองการแต่งงานกับเจ้าคุณ ฉันก็ถึงแก่น้ำตาตก. ฉันร้องไห้ด้วยความตกใจ และด้วยความรู้สึกอย่างอื่นอีกหลายอย่าง. ท่านพ่อเข้าพระทัยฉันดี ทรงปลอบฉันว่า ‘ลูกหญิง พ่อไม่ได้ดูหมิ่นเธอ พ่อเห็นใจเธออย่างยิ่ง เธอเป็นลูกที่ดีที่สุดและสวยที่สุดในบรรดาลูกรักของพ่อ. พ่อภูมิใจด้วยลูกคนนี้เหลือที่จะพรรณนาได้. พ่อทราบดีว่าลูกไม่คู่ควรกับบุรุษผู้สูงอายุเช่นเจ้าคุณอธิการ พ่อปรารถนาที่จะให้ลูกได้แต่งงานกับชายที่เธอรัก ซึ่งมีตระกูลและวัยสมควรกับตัวเธอ. แต่โชคชะตาไม่ให้ความยุติธรรมแก่เธอ พ่อเสียดายความดีความงามของเธอมาก แต่บัดนี้ลูกก็มีอายุจะย่างเข้า ๓๕ ปีแล้ว จงแต่งงานเถิดลูกรัก กับบุรุษที่พ่อแนะนำ แม้ว่าจะแก่แต่ก็เป็นคนดี.’

“ฉันพูดกับท่านพ่อน้อยที่สุด ฉันจำได้แต่ว่าฉันก่นแต่ร้องไห้. ท่านพ่อแนะนำปลอบโยนฉันแล้วก็เข้ามาจูบฉันที่หน้าผากด้วยความสงสาร แล้วก็ปล่อยฉันไว้แต่ลำพัง. ในค่ำวันนั้น ฉันแต่งตัวหมดจดงดงาม และอยู่ที่หน้ากระจกเงาภายในห้องนอนของฉันเป็นเวลานาน. ฉันเฝ้าพินิจพิศดูรูปโฉมของฉันทุกส่วนสัดของร่างกาย. ร่างนั้นยังแลดูสาวและไม่ขาดตกบกพร่องในความงาม. ฉันรำพึงว่า ร่างที่ยังสดชื่นด้วยความสวยงามนี้หรือจะต้องวิวาห์กับวัยชรา ๕๐ ปี. เป็นความจริงหรือ ที่ร่างงามนี้อุบัติมาไร้ความรักและสิ้นหวังในความรักแล้ว. ฉันไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้เลย แต่ครั้นฉันระลึกได้ว่า ฉันมีอายุได้เท่าไรแล้ว ฉันก็ใจหายอีกครั้งหนึ่ง. หยาดน้ำตาไหลระริน เมื่อฉันรู้สึกด้วยความแน่ใจว่า คำขอของท่านเจ้าคุณเป็นสัญญาณบอกความพินาศแห่งความหวังของฉัน เป็นสัญญาณว่าโอกาสที่ฉันจะได้พบความรักและได้แต่งงานกับชาย​ที่ฉันรักได้สิ้นสุดลงแล้ว เวลาของฉันหมดแล้ว.

“ในระหว่าง ๒-๓ วันหลังแต่นั้น ท่านพ่อไม่ได้รบกวนเร้าถามฉันถึงเรื่องนั้นเลย ท่านคอยคำตอบของฉันอย่างสงบเงียบ. ฉันได้เลือกเวลาหนึ่ง ซึ่งฉันคิดว่าเป็นเวลาที่ปลอดโปร่งใจที่สุดเท่าที่ฉันจะหาได้ในยามนั้น คิดค้นคำตอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง ในที่สุด ฉันก็ตัดสินตกลงใจรับคำขอของเจ้าคุณ.”

“ทำไมคุณหญิงไม่ปฏิเสธ คุณหญิงยังสาวและสวยเหลือเกิน แม้กระทั่งเวลานี้” ข้าพเจ้าพูดอย่างจริงจัง “คุณหญิงจะได้พบความรักอย่างแน่นอน ถ้าได้รอต่อไปอีกหน่อย คุณหญิงควรปฏิเสธทีเดียว”

“นพพรพูดราวกับว่าเรื่องยังไม่ได้เกิดขึ้น” เธอยิ้มน้อย ๆ.

“โลกเหี้ยมโหดเหลือเกิน” ข้าพเจ้าครวญคราง.

“มนุษย์อาจจะเหี้ยมโหด แต่โลกน่ารักมิใช่หรือ ถ้าเธอแลไปให้ทั่วเดี๋ยวนี้” เธอหยุดจ้องมองหน้าข้าพเจ้าครู่หนึ่ง “ฉันกำลังจะบอกเธอถึงเหตุผลในการตัดสินตกลงใจของฉัน.”

“ผมมองไม่เห็นเหตุผลเลย ผมไม่คิดว่าจะเป็นเหตุผลที่ดีพอ.”

“คนดีของฉัน, โปรดอย่าหัวเสีย. โปรดอย่าลืมว่าเรากำลังสนทนากันถึงเหตุการณ์ที่ได้ล่วงมาแล้ว ที่ได้เกิดขึ้นแล้ว. ไม่มีอะไรที่เราจะต้องมาทุ่มเถียงกัน.”

 


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« Reply #4 on: 29 October 2025, 19:00:55 »


๑๐

​หม่อมราชวงศ์กีรติดำเนินเรื่องต่อไป.

“คำวิงวอนปลอบโยนของท่านพ่อเป็นเหตุหนึ่งที่น้อมใจให้ฉันรับพิจารณา ความประสงค์ของท่านเจ้าคุณด้วยคลายความขมขื่นลงมาก ฉันรู้ว่า ถ้าฉันปฏิเสธจะทำให้ท่านผิดหวังและเสียพระทัยมาก แต่นั่นมิใช่เหตุสำคัญ. เหตุผลข้อใหญ่เกิดแต่ความพอใจของฉันเอง. ฉันต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกอันแคบมาเป็นเวลาถึง ๓๔ ปีเต็ม ฉันทั้งเบื่อหน่ายและเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวเต็มที. แต่นกน้อยเมื่อปีกแข็งยังสละรัง เที่ยวโบยบินไปชมโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล ก็ฉันเป็นคน และเติบโตเต็มที่จนจะคล้อยไปในทางร่วงโรยอยู่แล้ว เหตุใดจะมาจับเจ่าเฝ้าอยู่แต่แห่งเดียว. ฉันต้องการติดต่อคุ้นเคยกับโลกภายนอก ต้องการความเปลี่ยนแปลงในชีวิต ต้องการประกอบกิจวัตรที่ผิดแผกแตกต่างไปจากที่ฉันได้ทำมาแล้วตลอดเวลา ๓๔ ปีบ้าง. ไม่มีอะไรจะช่วยให้ฉันบรรลุความต้องการเหล่านี้ได้ นอกจากการแต่งงาน. ฉันอาภัพถึงที่สุดแล้วที่เกิดมาไร้ความรัก แต่แม้เช่นนั้นก็เป็นการฉลาดหรือที่ฉันจะปิดตา ปิดความ​รู้สึกเสียจากสิ่งอื่น ๆ ซึ่งฉันอาจที่จะบันเทิงชีวิตได้ตามส่วน.

“เมื่อเจ้าคุณเป็นคนดี ฉันขาดทุนอะไรเล่าในการที่จะแต่งงานกับท่าน ท่านแก่เกินไปที่ฉันจะแต่งงานด้วย นั่นก็เป็นความจริง แต่ฉันคอยใครอยู่เล่า ฉันอาจจะคอยคน ๆ หนึ่ง แต่คนนั้นคือใคร? ฉันจะพบเขาได้ที่ไหน? ความจริงเขาอาจจะยังไม่มาเกิด หรือเพิ่งตายไปเมื่อเร็ว ๆ นี้เองก็ได้. ในเวลานั้น ความต้องการของฉันมีมากในของจริง. ฉันตกลงปลงใจแต่งงานกับท่านเจ้าคุณ ก็เพราะว่ามันเป็นของจริง. ฉันได้บรรลุความต้องการหลายอย่าง ฉันชื่นชมสมใจที่ได้รู้จักและค่อยคุ้นเคยกับความแปลกใหม่ในโลกอีกแห่งหนึ่ง. ฉันก็มีความผาสุกตามสมควร แม้ถึงว่าจะไร้ความรัก.”

หม่อมราชวงศ์กีรติขยับตัวนั่งตรง ถอนใจใหญ่ พลางเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดที่นัยน์ตา.

“นพพร, ฉันรู้สึกเหมือนหนึ่งว่าฉันเล่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ให้เธอฟัง ในขณะที่ฉันนอนหลับแล้วฝันไป. ฉันอาจจะได้พูดเพ้อเจ้ออะไรออกไปบ้าง ฉะนั้นฉันขอจบการบรรยายของฉันเสียที.”

“ผมตื่นเต้นติดใจเรื่องราวของคุณหญิงอย่างที่สุด. ดูเป็นเรื่องธรรมดาสามัญก็จริง แต่ผมก็ฟังอย่างลืมตัว. ขออนุญาตให้ผมซักถามต่อไปอีกหน่อย คุณหญิงไม่คิดบ้างหรือว่า ในวันหนึ่งคุณหญิงอาจจะรักท่านเจ้าคุณได้.”

“ดูเหมือนฉันได้ตอบเธอครั้งหนึ่งแล้วว่า ฉันไม่มีทางจะรักท่านได้. ท่านดีจริงดอก แต่เราจะเอาอะไรกับคนแก่. ท่านต้องการกินอิ่มนอนหลับและสนุกสบายไปตามทางของท่าน. วันเวลาของท่านเหลือน้อยเกินไปที่ท่านจะสร้างอุดมทัศนีย์อะไรขึ้นในชีวิต ท่านไม่สนใจในแสงเดือนหรือทะเลสาบ ตลอดจนคำเกี้ยวพาราสี ท่านไม่มีความคิดคำนึง ใฝ่ฝัน​ในสิ่งที่สวยงาม. ท่านไม่มีอนาคต ท่านมีแต่อดีตและปัจจุบัน เธอหวังจะให้ความรักเกิดขึ้นได้อย่างไรเล่า. ต้นกุหลาบไม่งอกแม้กระทั่งบนถนนซีเมนต์ดอกเธอ.”

“ความผาสุกที่ไร้ความรักนั้น จะไม่ดูแห้งแล้งเกินไปดอกหรือ?”

“นพพร, เธออย่าผูกมัดฉันด้วยคำถามมากมายนัก ฉันจะหายใจไม่ออก. จงให้เสรีภาพแก่ฉันบ้าง.”

เธอสบตาข้าพเจ้า ยิ้มอย่างอ่อนหวานละมุนละไม แววเศร้าในดวงตาจางหายไปแล้วมีประกายแจ่มใสร่าเริงมาแทนที่ เธอหยิบกระจกส่องดูหน้า ใช้เวลาแต่งหน้าและผมครู่หนึ่ง ข้าพเจ้าก็พิศดูเธอด้วยความวาบหวามใจ.

“คุณหญิงเป็นสุขมากไหม วันนี้?” ข้าพเจ้าตั้งคำถามเธอด้วยเสียงสั่นเล็กน้อย.

เธอพยักหน้าอย่างแช่มช้อยแทนคำตอบ และหางตาของเธอที่ชายชำเลืองมานั้นประกอบด้วยพิษสงเหลือประมาณ เพิ่มความวาบหวามใจยิ่งขึ้น.

“เป็นเวลาบ่ายมากแล้ว, นพพร. เราเตรียมตัวเดินทางกลับกันเถิด” เธอชักเท้าขยับตัวจะลุกขึ้น “โอ, ขาแข็งชาไปหมด เพราะนั่งอยู่นานเกินไป ฉันคงแทบจะเดินลงไปไม่ไหว.”

“ผมจะอุ้มคุณหญิงลงไปเอง”

ข้าพเจ้าลุกขึ้น และเข้าประคับประคองเธอช่วยพยุงให้ยืน. เธอปฏิเสธความช่วยเหลือของข้าพเจ้าด้วยเสียงเบา แต่ข้าพเจ้าไม่นำพา. เมื่อหม่อมราชวงศ์กีรติยืนทรงตัวได้เรียบร้อย ข้าพเจ้ายังคงกุมแขนของเธอไว้ และยืนแทบประชิดติดตัวเธอ.

“คุณหญิงเป็นสุขมากไหม?”

​“มองจากที่นี่ไปที่ลำธารเบื้องล่าง ฉันรู้สึกว่าเราขึ้นมาสูงมาก ฉันยังสงสัยว่าจะมีแรงเดินลงไปได้อย่างไร.”

ข้าพเจ้าขยับตัวให้ประชิดเธอเข้าไปอีก จนอกทั้งสองแทบจะแนบกัน หม่อมราชวงศ์กีรติเอนกายไปข้างหลังพิงต้นซีดาร์. ข้าพเจ้าทราบได้ว่าเราหายใจแรงทั้งสองคน.

“ฉันสเกตช์รูปไว้ได้สองรูป เมื่อตอนเที่ยวเล่นอยู่ข้างล่าง.”

“ผมเป็นสุขเหลือเกินเมื่ออยู่ใกล้ชิดกับคุณหญิงเช่นนี้.”

“นี่เมื่อไหร่เธอจะปล่อยฉัน เราจะได้ช่วยกันเก็บข้าวของ.”

“ผมยังไม่อยากจะออกห่างจากคุณหญิง.”

ข้าพเจ้าประคองร่างเธอให้เข้ามาชิดสนิทกายข้าพเจ้า.

“นพพร. เธออย่ามองฉันด้วยแววตาเช่นนั้นซิ.” เสียงของเธอเริ่มสั่น “ปล่อยฉันเสีย ฉันแข็งแรงพอที่จะทรงตัวเองได้แล้ว.”

หน้าของข้าพเจ้าซบลงที่พวงแก้มสีชมพูอ่อนของเธอ ไม่มีอำนาจอะไรในตัวข้าพเจ้าเหลืออยู่ที่จะควบคุมยับยั้งไว้ได้. ข้าพเจ้าประคองกอดเธอไว้แนบกาย และจุมพิตเธอด้วยสุดแสนเสน่หา. ข้าพเจ้าหมดสติ หมดความรู้สึกไปชั่วขณะหนึ่ง.

หม่อมราชวงศ์กีรติปลดมือข้าพเจ้าออก และค่อยดันให้ถอยห่างออกไป. ข้าพเจ้ายอมโดยดี ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นลูกแกะอย่างรวดเร็ว. หม่อมราชวงศ์กีรติพิงต้นไม้หอบดุจเดินทางไกลมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย. สีชมพูเรื่อที่ดวงหน้าเข้มขึ้นดังถูกแผดเผาด้วยความเร่าร้อนจัด.

“นพพร. เธอไม่รู้ว่าเธอได้ทำอะไรลงไป” เสียงของเธอยังคงสั่นอยู่.

“ผมรู้ว่าผมรักคุณหญิง.”

​“เป็นการสมควรหรือที่เธอจะแสดงความรักของเธอต่อฉันโดยวิธีเช่นนี้.”

“ผมไม่ทราบว่าเป็นการสมควรหรือไม่ แต่ความรักมีอำนาจเหนือผม ความรักรัดรึงใจผมอย่างที่สุด ทำให้ผมหมดสติ.”

หม่อมราชวงศ์กีรติมองข้าพเจ้าด้วยแววตาโศก.

“เธอแสดงความรักของเธอในเวลาที่ไร้สติ? เธอไม่รู้หรือว่าไม่มีการกระทำอะไรที่เราจะต้องเสียใจในภายหลังเท่าการที่เราได้กระทำไปในเวลาที่ไร้สติ.”

“แต่ผมรู้แน่ว่า ผมรักคุณหญิงด้วยความซื่อสัตย์สุจริต.”

“การแสดงความรักในเวลาที่ไร้สตินั้นจะมีความหมายอะไรเล่า”

​“ผมรักคุณหญิงด้วยชีวิตจิตใจของผมอย่างเที่ยงแท้. การที่ผมได้กระทำไปแล้วย่อมตราตรึงอยู่ในดวงใจของผม.”

“เธอคิดว่าเป็นกำไรแก่ชีวิตหรือ ถ้ามันได้ตราตรึงอยู่ในใจจริงเช่นนั้น.”

“ในความรัก คนเรายังมีแก่ใจคิดถึงต้นทุนกำไรอีกหรือ?”

“เธออาจไม่คิด และฉันอาจไม่คิด แต่ความรักอาจจะคิดเอากับเราได้” หม่อมราชวงศ์กีรติกล่าวต่อไปว่า “เธอไม่ได้คิดดอกหรือว่าฉันอยู่ในฐานะเช่นไร และเธออยู่ในฐานะเช่นไร.”

“ผมคิดมากทีเดียวในเรื่องนี้.”

“และเธอก็ยังประพฤติกับฉันดังเมื่อตะกี้นี้. เธอรู้ไหมว่าเธอได้กระทำไปอย่างไร้เหตุผล และไร้สติด้วยตามที่เธอได้รับกับฉันแล้ว.”

ข้าพเจ้ายืนคอตก สองมือกอดอก.

“ผมรู้สึกอัดอั้นตันใจอย่างที่สุด ผมไม่รู้ว่าจะตอบคุณหญิงได้อย่างไร จึงจะทำให้ผมอยู่ในที่อันถูกต้องได้. ผมรู้แน่แต่ว่าความรักมีอำนาจเหนือผม. ถึงแม้การที่ผมได้กระทำไปจะผิดต่อศีลธรรมจรรยาก็จริง แต่ผมก็อยู่ในบังคับของกฎธรรมชาติ ผมได้พยายามจะหลบ แต่ผมหลบออกมาไม่ได้ ในยามที่ได้มาเผชิญหน้ากับความรัก และเป็นการเผชิญอย่างจนตรอก ผมขอร้องคุณหญิง โปรดอย่าเอาเหตุผลมาพูดกัน โปรดอย่าเอาศีลธรรมจรรยามาพูดกัน ผมไม่มีทางจะโต้ตอบ. สิ่งเหล่านี้ได้สร้างขึ้นภายหลังกฎธรรมชาติ และเราอยู่ในบังคับของกฎธรรมชาติด้วยกันทุกคน.”

“นพพร, ถ้าเราทั้งสองจะดำรงชีวิตอยู่แต่บนยอดเขามิตาเกะนี้ตลอดไปจนชั่วชีวิตหาไม่ คำพูดของเธอก็เป็นการถูกต้องทุกอย่าง แต่ความจริง อีกประเดี๋ยวเราก็จะลงไปจากเขาลูกนี้ ไปเผชิญหน้ากับ​ฝูงชน. แล้วในไม่ช้าเธอก็จะต้องไปสนใจกับการศึกษาเล่าเรียนของเธอ และกะโครงการอันเต็มไปด้วยความมุ่งหมายสูงในชีวิตภายภาคหน้าของเธอ. ส่วนฉันก็มีหน้าที่จะต้องภักดีต่อท่านเจ้าคุณ จะต้องติดตามไปกับท่านในที่ทุกหนทุกแห่ง คอยปรนนิบัติรับใช้ท่านตามหน้าที่ของภรรยาที่ดี ตราบเท่าที่ท่านยังต้องการตัวฉัน และตราบเท่าที่ท่านยังไม่ละเลยหน้าที่ของท่านเอง เราทั้งสองจะต้องจากกันในไม่ช้า และต่างก็จะไปติดต่อสมาคมกับคนทั้งหลายที่เคร่งครัดในเหตุผลและศีลธรรมจรรยา. นี่แหละเธอจะไม่ให้ฉันยกเอาสิ่งเหล่านี้มาพูดกับเธอได้อย่างไร. เธอเชื่อหรือว่า สมาคมมนุษย์จะรับรองกฎธรรมชาติที่เธอยกขึ้นกล่าวแก้. นพพร, โปรดเชื่อฉัน เธอต้องเพียรเผชิญกับของจริง. ของจริงเท่านั้นที่เป็นคำพิพากษาโชคชะตาในชีวิตของเรา. กฎเกณฑ์และอุดมทัศนีย์อาจงามกว่า แต่ก็มักจะไร้ค่าในทางปฏิบัติ.”

ข้าพเจ้ารู้สึกว่ากำลังมาเผชิญหน้ากับสตรีที่ใจเย็นและแสนฉลาดปราดเปรื่อง จนข้าพเจ้าไม่มีทางจะตามทัน. เธอควรจะเป็นสตรีในประวัติศาสตร์ มิใช่หม่อมราชวงศ์กีรติ ซึ่งเป็นแต่สตรีธรรมดาสามัญคนหนึ่งในปัจจุบันนี้.

“ผมเสียใจมากถ้าผมได้ทำให้คุณหญิงไม่พอใจ” ข้าพเจ้าพูดเบา ๆ ข้าพเจ้าไม่มีทางใดจะพูดได้ดีไปกว่านี้.

“เธอทำให้ฉันอัดอั้นตันใจ.”

“โปรดตอบสักคำ คุณหญิงเชื่อถือในความรักของผมหรือไม่?”

“ฉันเชื่อเธอ. คนดี.”

“คุณหญิงติเตียนการกระทำของผมอย่างรุนแรงหรือไม่?”

“ฉันบอกแล้วว่า เธอไม่รู้ว่าเธอได้กระทำอะไรลงไป. ต่อไปในวันข้างหน้า เธอจะพบคำตอบด้วยตนเอง และเธอคงจะเสียใจ.”

​“คุณหญิงเริ่มเกลียดชังผมบ้างหรือยัง?”

“ถ้าเธอไม่รื้อฟื้นการกระทำในวันนี้อีก ฉันจะรู้สึกเธอเป็นนพพรคนเก่า และคนเดียวตลอดชั่วชีวิตของฉัน.”

“ผมยังคงรักคุณหญิงต่อไปได้ ด้วยความรักดุจชีวิตจิตใจ?”

“นั่นเป็นสิทธิอันชอบธรรมของเธอ แต่เมื่อเวลาเนิ่นนานออกไป เธอก็จะค่อยสละสิทธิ์นั้นด้วยความพอใจของเธอเอง”

“ผมแน่ใจว่า ผมจะไม่คลายรักคุณหญิงเลย.”

“ในวัยเยาว์เช่นเธอ คนเรามีความเชื่อมั่นในตนเองมาก แต่เราจะต้องคอยการวินิจฉัยต่อไป. ฉันอำนวยพรแด่ความเชื่อมั่นของเธอ.”

“คุณหญิงจะตอบแทนความรักของคุณหญิงแก่ผมหรือไม่?”

หม่อมราชวงศ์กีรติก้าวเข้ามายืนแทบประชิดตัวข้าพเจ้า เอามือทั้งสองวางลงบนไหล่ข้าพเจ้า และพูดว่า “คนดีของฉัน. ฉันให้อภัยเธอแล้ว เราทั้งสองจงลืมเหตุการณ์ในวันนี้เสีย. เธอต้องกลับมาเป็นนพพรคนเก่า สนุกเบิกบานกับฉันต่อไป. จงรีบเก็บข้าวของ และเตรียมตัวเดินทางกลับเถิด. เจ้าคุณจะเป็นห่วงคอย ถ้าเรากลับบ้านผิดเวลามากไป.”

ข้าพเจ้ารู้สึกน้ำเสียงของเธอดังเสาวนีย์ของนางพญาผู้เลอศักดิ์ ข้าพเจ้าไม่มีความกล้าพอที่จะกล่าวทัดทาน.

เมื่อพูดประโยคสุดท้ายแล้ว หม่อมราชวงศ์กีรติไม่รีรอ ได้ลงมือเก็บข้าวของลงบรรจุหีบ. ข้าพเจ้ายืนกอดอก มองดูเธอเก็บของง่วนอยู่ครู่หนึ่ง จนเธอเตือนซ้ำเป็นครั้งที่สอง ข้าพเจ้าจึงได้ลงมือช่วยเหลือเธอ. ระหว่างเดินทางกลับ เธอได้ชวนข้าพเจ้าสนทนาถึงเรื่องราวต่าง ๆ เป็นปรกติ ประดุจหนึ่งว่าไม่ได้มีเหตุการณ์อันสำคัญที่สุดตราตรึงลงในชีวิตของเราทั้งสอง ณ เบื้องบนเขาลูกนั้น.

 


Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.065 seconds with 17 queries.