Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 14:11:19

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,290 Posts in 13,862 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง นันทวัน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 11-15
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง นันทวัน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 11-15  (Read 81 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« on: 28 October 2025, 20:52:32 »

นวนิยายเรื่อง นันทวัน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 11-15


๑๑



​ภัททิยะ ท่านสำคัญว่ากระไร สารัมภะ (ความแข่งดีกัน) ย่อมเกิดขึ้น

เพื่อประโยชน์หรือเพื่อความเสื่อมเสีย ?—

ภัททิยะ บุคคลเหล่าใดเป็นสัตบุรุษ–บุคคลเหล่านั้นย่อมชักชวนสาวกว่า “แนะผู้เจริญ—ท่านจงละสารัมภะเสียเถิด เมื่อท่านละสารัมภะเสียได้ จะได้ไม่ทำกรรมที่เกิดเพราะสารัมภะ ด้วยกายวาจาใจ”

 

จิตราจับแขนสามี บอกให้เขาดูคนหมู่หนึ่งที่กำลังขึ้นบันไดไปเบื้องหน้าหล่อน พร้อมกับพูดเป็นเชิงตำหนิแกมเห็นขัน

“ดูๆ ดูพ่อโฉมเอกของฉัน ! ให้เราไปทาบทามขอลูกสาวเขาไว้จนจะหมั้นกันอยู่แล้ว ยังมาเที่ยวกับผู้หญิงเป็นกองโต !”

“เอ๊ะ เขามากันเมื่อไหร่ เราไม่ยักเห็น” เจริญว่า

ในทันใดนั้นเอง ผู้ที่เขาทั้งสองกำลังกล่าวขวัญอยู่ก็หันหลังกลับ ลงบันไดมา เมื่อเห็นจิตรากับเจริญ สีหน้าของเขาซึ่งมีรอยยิ้มอยู่แล้ว ก็มีลักษณะยิ้มมากขึ้นอีก ตรงเข้ามายังสามีภรรยาและพูดว่า

​“แหม คุณ ! เคราะห์ดีจริงได้พบที่นี่ กำลังคิดถึงใจจะขาด”

“ตอแหล !” จิตรากล่าว “มากับสาว ๆ เป็นกองโตหรือจะมาคิดถึงคนแก่อย่างฉัน ระวังนะ ฉันเวลานี้รักษาการณ์ในตำแหน่งแม่ยายเธอ”

เขาทำเสียง จุ๊! จุ๊! แล้วว่า “อะไร ช่างไม่ระวังตัวกลัวแก่กลัวเฒ่าเสียมั่งเลย”

“ดูเถอะ” เจริญเสริม “จะมาทำเอากันแก่ไปด้วยน่ะนะ”

“แล้วใครเขาไม่รู้ เขาจะว่าผมเลี้ยงต้อย” บันลือต่ออีก

“กลัวแม่สาวกองโตนั่นเขาจะได้ยินยังงั้นรึ?” แล้วจิตราถามต่อไปโดยเร็ว “แล้วนี่มายืนทำหน้าฉะเอ๋ยอยู่ ว่าไงเมื่อตะนี้เห็นลงกระไดออกเร็วจี๋ ราวกับจะรีบไปไหน ทำไมถึงมาหยุดกึกอยู่ยังงี้ ?”

“ก็เพราะมาติดแม่เหล็กเสียแล้วละซี ขอรับ”

ตอบแล้วบันลือทำท่าจะนั่ง เจริญมองดูเขาอย่างสงสัยพร้อมกับขยับที่ให้ จิตราพูดว่า

​“เอ๊ะ นี่จะมานั่งอยู่ที่นี่จริงๆ รึ? ไม่ต้องประจบถึงยังงั้นหรอกน่ะ ถึงรักษาการณ์ตำแหน่งแม่ยายก็—”

“เมื่อตะกี้คุณว่าผมว่าให้ระวังนะ คุณรักษาการณ์ตำแหน่งแม่ยาย นั่นหมายความว่ายังไง ?” บันลือถาม “ลูกเขยคิดถึงแม่ยายใจจะขาดไม่ได้ยังงั้นรึ ถ้ายังงั้นละก็ผมไม่ขอรับลูกสาวของคุณละ”

“ไม่ใช่ยังงั้น” เจริญอธิบาย “เขาหึงแทนลูกสาวเขา”

“หึงใคร ?” บันลือถามอย่างทะลึ่ง

“หึงผู้หญิงที่มากับแกน่ะซิ”

“อ๋อ” บันลือหัวเราะ “แหม หนักมือ ! ยังไม่ทันหมั้นกันเลย พึ่งจะว่าราคากันเท่านั้น จะให้ลูกเขยถือพรหมจรรย์เสียแล้ว”

“ฟังพูด” จิตรากล่าว ทำเสียงโกรธ “ว่าราคา ! เห็นลูกสาวฉันเป็นผักเป็นปลาไปรึ แหม เกลียด ลูกเขยอย่างนี้ไม่อยากได้”

“โธ่ ผมไม่ได้ว่าเป็นผักเป็นปลา” บันลือตอบเสียงวิงวอน “ลูกสาวคุณจิตรา จะเอาไปเปรียบกับผักกับปลายังไงได้ ผมว่าเป็นเพชรน้ำหนึ่ง จึงได้มีราคาถึง ๘,๐๐๐ หรือไม่​ยังงั้นก็เป็นที่ดินที่อยู่ในชัยสมรภูมิดีที่สุด ใครได้อยู่ในที่นั้นจะสมบูรณ์ด้วยประการต่าง ๆ ราคาถึงได้แพงนัก”

สีหน้าจิตราเริ่มมีลักษณะขรึมอย่างจริงจัง หล่อนถามเรียบ ๆ “นี่หมายความว่ากระไร ที่มาพูดอย่างนี้ ?”

เขารีบตอบโดยเร็วด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ทำให้ผู้ฟังต้องสิ้นโกรธ “หมายจะยั่วคนสวยให้ทำท่าโกรธให้ดูหน่อย” หันไปทางเจริญในทันที “เมื่อกลางวันกันพบแก ว่าจะถามเรื่องสำคัญแล้วก็ลืมบ้าแท้ ๆ” หันมาทางจิตราอีก “ผมต้องการประวัติย่อของนางสาวภรณี” เขาทำลิ้นรัวเสียงอย่างยืดยาวเมื่อกล่าวอักษร ‘ร’ “อายุเท่าไหร่ ลูกใคร เคยเรียนหนังสือโรงเรียนไหน สูงกี่เซ็นต์ หนักกี่กิโล ผิวเหมือนสำลีหรือเหมือนถ่าน ได้รู้จักกับคุณจิตราตั้งแต่ครั้งไหน ทำไมแม่ถึงตาย ทำไมพ่อถึงยังอยู่ พบใคร ๆ ก็ถาม ไม่ข้อนั้นก็ข้อนี้ เมื่อวันก่อนน้องสาวผมแกทำท่าจะเป็นลมตาย เพราะแกถามผมว่าแม่คนนี้เคยอยู่โรงเรียนไหน แล้วผมตอบแกไม่ถูก”

ในขณะที่จิตรายังจ้องดูผู้พูดด้วยความคิดลังเลไปในแง่ต่าง ๆ เจริญถามด้วยสีหน้าเป็นงานเป็นการอย่างที่สุด

“จะต้องการให้จดคำตอบให้ไหม ?”

​“อ๋อ แน่ !” บันลือตอบด้วยสีหน้าอย่างเดียวกัน “ไม่จดใครจะไปจำไหว”

“ต้องการเดี๋ยวนี้ ?”

“เดี๋ยวนี้ได้ก็ยิ่งดี”

ชายทั้งสองทำท่าค้นกระดาษดินสอหรือปากกา จิตรานิ่งดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พูดขึ้นอย่างเหลือที่จะกลั้นความหมั่นไส้ไว้ได้

“เมื่อไหร่จะกลับไปหาแม่สาว ๆ แส้ ๆ ที่พาเขามาเสียทีล่ะ ? เจริญก็พลอยไปด้วย ขวางเหมือนจะตายอยู่แล้ว”

บันลือลุกขึ้นจากที่ “เขาคงนึกว่าผมหาผ้าคลุมหัวของเขาไม่พบ” เขาพูด แล้วถาม “จะขึ้นไปเต้นรำกันไหมนี่ ? เผื่อไปจะได้ขออนุญาตพ่อตาเต้นรำกับแม่ยายสัก ๒–๓ เที่ยว ลาไปชั่วคราวนะขอรับ เดี๋ยวพบกันใหม่”

เขาคล้อยหลังไปแล้ว จิตราก็ปรารภขึ้นว่า

“เป็นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยปัญหา จนน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด”

เจริญหัวเราะแล้วว่า “เธอเองน่ะแหละเป็นคนที่ชอบสร้างปัญหาเหลว ๆ ขึ้น แล้วก็คิดให้มันยุ่งไปต่าง ๆ นี่ นี่แหละ เขาว่าคนไม่เด็ดขาด ทำลงไปแล้วเอามาคิดท่าโน้นท่านี้ ก่อนที่จะริ ทำไมไม่คิดเสียให้เสร็จ”

​“แน่ะ ฉันเป็นคนริเมื่อไหร่ เธอต่างหากเป็นคนริขึ้น”

“ก็แล้วเธอมาหนุนหลังฉันทำไมล่ะ”

“ไม่รู้เรอะ ก็ฉันเห็นว่าเธอริดีน่ะซิ”

“ดีแล้วก็ปล่อยให้มันดีเรื่อยไปซี นี่เธอไปคิดจะให้มันเสียโดยที่ไม่มีมูลอะไรเลย”

จิตรานิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงว่า “ที่จริงก็ไม่น่าคิดแต่ฉันหมั่นไส้บันลือ พูดขวาง ๆ อะไรไม่รู้”

“ตั้งแต่ฉันรู้จักเขามา ฉันก็เห็นเขาขวางอยู่อย่างนี้ไม่เคยเห็นเป็นอย่างอื่น แล้วเชื่อว่าตั้งแต่แรกที่เธอรู้จักก็คงไม่เคยขวางน้อยกว่านี้เลย”

ทั้งสองฝ่ายนิ่งเงียบไปด้วยกัน จนกระทั่งผู้รับใช้ประจำสถานที่นำอาหารจานใหม่มาวางให้บนโต๊ะ จิตราจึงพูดแก่สามีว่า

“ฉันเกือบจะอิ่มอยู่แล้ว กับข้าวยังอยู่อีกเป็นสองอย่าง รับประทานมาก ๆ หน่อยเถอะ เธอน่ะเมื่อบ่ายรับประทานน้อยเหลือเกิน”

อีกครู่หนึ่งต่อมา เจริญเอ่ยขึ้นว่า

“เธอกับภรรู้จักกันตั้งแต่ครั้งไหน ฉันเองก็ลืมเสียแล้ว”

“โธ่!” จิตราร้อง “ก็รู้จักเมื่ออยู่โรงเรียนน่ะซี”

“อายุไกลกันเป็นไหน ๆ ทำไมถึงทันกันได้”

​“สิบปี” จิตราบอก “ในระหว่างปีหลังที่ฉันจะออกจากโรงเรียนนั่นแหละแกก็ไปเข้า ตัวนิดเดียว แต่น่าเอ็นดูพิลึก พอรุ่งขึ้นอีกปีคุณพ่อท่านไปเมืองนอก ฉันไปเสียเกือบแปดปี กลับมาเห็นแกเป็นสาวเบ้อเร่อ จำแกไม่ได้ แต่แกจำฉันได้ดี แล้วมาตอนหลัง อีหมู่ที่ฉันไป ๆ มา ๆ ติดต่ออยู่กับโรงเรียน แกเรียนจบแล้วเลยเป็นครูสอนเด็กเล็ก ๆ ตอนนี้สีที่ได้รู้จักคุ้นเคยกันมาก ทุกข์สุขของแกเป็นยังไงแกก็ขยายให้ฟังหมด ถึงได้ติดต่อกันเรื่อยมาจนกระทั่งแกลาออกจากโรงเรียน ไปอยู่หัวเมืองกับพ่อแก ตอนนั้นออกจะห่างเหินกันมาก เพราะฉันเป็นโรคไม่ชอบเขียนจดหมาย แกเขียนมา เราก็ลืมเสียมั่ง ผลัดตัวเองมั่ง ไม่มีได้ตอบ จนทีหลังมาอีก แกกลับเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ แกเขียนจดหมายบอก ไอ้ความที่เราขี้เกียจเขียนนี่แหละ ต้องอุตส่าห์ไปหาแกด้วยตนเอง เธอคงจำไม่ได้เสียแล้ว เมื่อฉันพาเธอไปเที่ยวหาบ้านแกนะ พอพบตัวแก เธอเล่าให้แกฟังว่าเธอขับรถหาบ้านเสียเหงื่อตก พอกลับมาถึงบ้านเรา เธอว่าหาบ้านแล้วไปพบคนในบ้านสวยอย่างนั้น เธอไม่เสียดายแรง เผอิญฉันปิดประตูรถหนีบมือเธอเข้า เธอเลยว่าฉันแกล้งเพราะโกรธว่าเธอชมยายภร”

​เจริญยิ้มในหน้า ไม่แต่เพียงเวลาโน้นที่เขาเชื่อดังที่จิตรากล่าว แม้ในเวลานี้เขาก็ยังเชื่อเช่นนั้น ภายในระยะปีแรกที่ได้แต่งงานกัน เขามองเห็นจุดอ่อนแอในนิสัยภรรยาของเขาได้เกือบทุกจุด แต่เมื่อเห็นแล้วเขายังรู้ด้วยว่า จุดเหล่านั้นมิใช่จุดที่เกิดแต่สันดาน หากเป็นจุดที่เกิดแต่เหตุการณ์และเครื่องแวดล้อม ทั้งเป็นจุดที่มักจะเกิดแก่ผู้ที่เคยประสบแต่ความสุข ความพอใจ และความหรูหราเกือบไม่เว้นคน เพราะเช่นนั้นเขาจึงไม่ถือเอาเป็นข้อเสียหายในนิสัยของหล่อน

ในกรณีอันเกี่ยวกับเรื่องที่จิตราทำประตูรถหนีบมือเขานั้น เขามิได้คิดว่าหล่อนเจตนาทำร้ายเขา แต่รู้ว่าหล่อนกระแทกประตูโดยแรง เพราะความที่หล่อนไม่พอใจในคำพูดของเขาที่กล่าวชมความสวยของหญิงอื่นนอกไปจากตัวหล่อนด้วยน้ำเสียงชื่นชอบมากไป จิตราเป็นบุตรีของผู้ที่มีเกียรติ มีอำนาจ มียศ มีทรัพย์ ตัวหล่อนเองเป็นผู้ที่มีชื่อในความสวยงาม ทั้งได้เคยไปอยู่เรียนในเมืองแก้วทั้ง ๒ ทวีป เป็นเวลาเกือบ ๑๐ ปี จึงเป็นธรรมดาที่สมาคมต่างๆ ย่อมจะยกหล่อนเป็นเอกในทางความสมบูรณ์ด้วยรูปสมบัติ คุณสมบัติ และก็เป็นธรรมดาอีกที่จิตราจะเชื่อเอาว่า ความยกย่องเหล่านั้นเป็นความจริงที่เหมาะสมแก่ตัวหล่อนทุกประการ เมื่อเชื่อเช่นนี้แล้วผู้ใดมากล่าว​ความให้ผิดไป หรือแม้แต่เพี้ยนไปจากความที่หล่อนเชื่อ ความขัดเคืองก็เกิดขึ้นแก่หล่อนทั้งที่หล่อนมิได้มีเจตนา และโดยที่หล่อนก็ไม่ทันรู้สึกตัว

เจริญรู้ว่าดวงใจแห่งภรรยาของเขานั้น เข้าลักษณะที่เรียกว่า ‘ดีเป็นแก้ว’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ความโอบอ้อมอารีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์แทบจะไม่เลือกบุคคล ผู้ใดมาปรับทุกข์ให้ฟังหรือแม้แต่แสดงความเดือดร้อนหรือความรำคาญให้รู้ จิตราไม่เคยที่จะเพิกเฉยเสียก่อนที่จะได้พยายามจนเต็มความสามารถ เพื่อจะแก้ทุกข์หรือแก้ความเดือดร้อนแก้ความรำคาญให้เขา แต่ถ้าผู้ใดมากล่าวขวัญแก่จิตราถึงคุณสมบัติอันเด่นของหญิงคนหนึ่งคนใดหลายคำนัก โดยมิได้ยกจิตราขึ้น เทียบในทางที่ฟังได้ว่า หญิงนั้นวิเศษจริง แต่จิตรายังวิเศษยิ่งไปกว่า ความรู้สึกหงุดหงิดจะเกิดขึ้นในใจจิตราโดยเร็ว

จุดอ่อนแอมีลักษะดังกล่าวแล้วนี่ก็ดี มีลักษณะเป็นอย่างอื่นก็ดี เจริญเห็นแล้ว อภัยให้แล้วก็มิได้คิดที่จะแก้ไข แต่นิสัยของเจริญเป็นผู้ที่อกพูดตรงตามความคิดมิได้ความเห็นของเขาจึงหลุดปากเขาออกมาบ้าง ส่วนจิตราเป็นหญิงมีปัญญา มีสมองที่ฝึกแล้วลับแล้วด้วยการศึกษา เมื่อสามีพูดคำหนึ่ง หล่อนเข้าใจความกว้างขวางไปได้เท่ากับเขาพูดสัก ๑๐ คำ และตาม​วิสัยของผู้มีปัญญา ถ้าไม่หลงใหลตัวเองจนเข้าลักษณะ ‘เมาไม่มีเวลาสร่าง’ ย่อมจะมีเวลาสำนึกได้ว่าตนต้องตำหนิ เมื่อนั้นเมื่อนี้ เพราะเหตุใดเรื่องใด จิตราเป็นหญิงที่รักคุณสมบัติของตนยิ่งนัก เมื่อเห็นว่าสิ่งใดมาเป็นเหตุให้คุณสมบัติด่างพร้อยก็ไม่ทอดธุระที่จะพยายามทำลายสิ่งนั้นเสีย

เมื่อสามีภรรยาต่างบริโภคเสร็จแล้วเขาปรึกษากันว่าจะขึ้นไปยังที่ลีลาศดีหรือไม่ดี จิตรากล่าวว่าหล่อนเบื่อสถานที่นั้น แต่อยากจะเห็นหญิงสาวที่มากับบันลือ เจริญลุกขึ้นสวมเสื้อชั้นนอกพร้อมกับพูดว่า

“ก็คงไม่ใช่ใคร นอกจากที่เรารู้จัก ๆ แล้วทั้งนั้นแต่จะดูก็ตามใจเธอ เผื่อเวลาที่เขามากับเจ้าบันลือเขาจะมีปีกมีหางงอกออกไปจากที่เราเคยเห็นเวลาเขาไปกับคนอื่น”

จิตราตอบอย่างเป็นงานเป็นการ “จริง ๆ ด้วยอย่างที่เธอว่านี่น่ะ รู้ไหมผู้หญิงเวลาที่เขาอยู่กับคน ๆ หนึ่งเขาทำท่าอย่างหนึ่ง พอไปถึงอีกคนหนึ่งเข้า ท่าเขาเป็นอย่างอื่นไปอีกแล้ว”

“ก็จะรู้ได้ยังไง ! เธอไม่เคยปล่อยฉันไปหาความรู้จากผู้หญิงอื่นมั่งเลยนี่ ฉันจะรู้อะไรเรื่องผู้หญิง ก็รู้จากเธอคนเดียวเท่านั้นเอง”

​เจ้าหล่อนหัวเราะคำพูดนั้น ซึ่งตรงกับความจริงและเป็นที่พอใจหล่อน เปิดกระเป๋าถือ ชำเลืองดูผู้ที่อยู่ในเขตสายตา เห็นเขาไม่มองมาทางตน ก็ฉวยโอกาสใช้ฝุ่นแตะหน้าสองสามครั้ง แต้มสีที่ริมฝีปากอีกเล็กน้อย พอเสร็จปิดกระเป๋าแล้วเงยหน้าเตรียมจะลุกจากที่ ก็เห็นบันลือกำลังเดินเข้ามาหา

“อ้าว มาอีกแล้ว ทำไมอีกล่ะ ?” หล่อนถาม

เขาหัวเราะแล้วตอบว่า “มาดู กลัวจะหนีกลับเสียก่อน ผมกะเวลาแม่นไหมล่ะ คะเนว่าถ้าจะกินอิ่มพอดี แล้วก็รีบลงมา”

“เรื่องราวอะไร วันนี้ถึงมายุ่งกับคนแก่เสียจริง ๆ สาว ๆ เป็นกองไม่ไปนั่งเฝ้า”

“หรือจะมาเร่งเอาประวัติย่อ ?” เจริญถาม

“ผมจะบอกให้ว่าทำไม” บันลือกล่าว สีหน้าแสดงความรู้สึกขึ้นในใจ “วันนี้ผมถูกน้องสาวเขาฉุดตัวมาแล้วในหมู่แม่สาวกองโตที่คุณเห็นน่ะมีสาวที่น้องเขาอยากได้เป็นพี่สะใภ้คนที่สามปนอยู่ด้วย เข้าใจหรือยัง ?”

“ไม่เข้าใจ” จิตราตอบทำหน้าขรึม “ไม่เข้าใจว่าเอาเรื่องนี้มาบอกผู้ทำการตำแหน่งแม่ยายทำไม หรือจะให้ฉันล่าทัพ ?”

​“ไม่ถึงกับยังงั้นหรอก เป็นแต่อยากให้คุณบอกผมหน่อยว่าของคุณน่ะจะเอาเข้าประกวดกับของน้องผมได้ไหม ?”

“โอ๊ย อย่าว่าแต่คนเดียว ต่อให้หามาเป็นร้อย ๆ ไม่เชื่อถามเจริญดูซี”

“ยังไม่ทันจะได้เห็นข้างหนึ่งเขาเลย !” สามีของหล่อนกล่าว

“นั่นน่ะซี” บันลือเสริม “ขึ้นไปข้างบนหน่อยเถอะคนดีของบันลือ อีกสักครู่เดียวเท่านั้น ผมจะพาขึ้นไปให้คุณดู”

เจ้าหล่อนยิ้มอย่างเห็นขัน เจริญพูดว่า

“กำลังจะขึ้นไปอยู่แล้ว เมื่อแกมาถึงน่ะ บ่นอยู่ว่าอยากจะเห็นผู้หญิงที่แกพามา ระวังเถอะ ทำการแม่ยายที่จะร้ายกว่าตัวแม่ยายหรือตัวลูกสาวเองเสียอีก”

ทั้งสามต่างหัวเราะ แล้วบันลือก็ผละจากสามีภรรยาวิ่งขึ้นบันไดไปโดยเร็ว

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« Reply #1 on: 28 October 2025, 20:54:38 »


๑๒



​บัณฑิตย่อมไม่แสดงอาการขึ้นลง (เพราะดีใจหรือเสียใจให้ปรากฏ)

 

เสียงเด็กชายเพิ่มพงศ์ แสดงความตื่นเต้นถึงขีดสูง เกือบจะทำให้ภรณีอกสั่นด้วยความตกใจ

“พี่ภร พี่ภร เร็วเข้า คุณพ่อเรียกบอกให้ลงไปข้างล่าง ผู้ชายเขามาดูตัวพี่ภร”

หญิงสาวยังงงงันอยู่ เด็กชายก็เร่งเร้าโดยลุกลนยิ่งขึ้น และทำท่าดังจะตรงเข้าฉุด

“เร็วเข้าซี พี่ภร ยังยืนเฉยอยู่อีก คุณพ่อบอกให้ไปเร็ว ๆ”

ภรณีมิรู้ที่จะคิดจะทำอย่างไรถูก “มาดูตัว!” เมื่อชายที่เป็นคู่หมั้นมาดูตัว หญิงที่เป็นคู่หมั้นเขาเคยปฏิบัติกันอย่างไร ? นำตัวซึ่งละจากเตารีด จากไม้กวาด สด ๆ ร้อน ๆ ไปให้เขาดู​กระนั้นหรือ ? ตัวที่มีหน้าอันไม่ได้ถูกแป้งมาเกือบ ๑๒ ชั่วโมงเต็ม มีผมที่ไม่ถูกหวีตลอดครึ่งวัน ? แล้วคิดขึ้นได้จึงถาม

“ใครบอกว่าเขามาดูตัว”

“หนูก็รู้มั่งน่ะซี” เด็กชายตอบทำท่าภาคภูมิ

ภรณีถอนใจอย่างเบาใจ

“โธ่!” หล่อนอุทาน แล้วว่า “ช่างรู้จริงเทียวมาบอกเสียตกอกตกใจ”

“อื๋อ นายแม่ก็บอกย่ะ พอเขามานายแม่ไปบอกยายเจิมที่ครัว บอกเขามาดูตัวลูกสาวคุณพ่อแล้วพอหนูวิ่งขึ้นมาดู คุณพ่อก็ให้หนูมาเรียกพี่ภรไปเร็ว ๆ”

ภรณีกลับว้าวุ่นขึ้นอีก แล้วว่ากับน้องชายพร้อมกับจับแขนน้องไว้

“ไปด้วยกันนะ”

เพิ่มพงศ์มองดูพี่สาวอย่างสงสัย กิริยาอาการของหล่อนค่อนข้างจะแปลกตาเขา ครั้นแล้วก็รับโดยเต็มใจ “ไปสิ ไปหรือยังล่ะ ?”

ภรณีหนักใจเป็นอย่างยิ่ง หนักใจด้วยผงที่หล่อนกวาดมารวมไว้เป็นกองโตยังมิได้เก็บทิ้ง หล่อนจำเป็นจะต้องละกองผงไว้ เพราะจะรีบไปให้คู่หมั้นเขาดูตัวกระนั้นหรือ ? แต่​เพิ่มพงศ์ไม่ละให้หล่อนคิดนานไปอีก หล่อนจับแขนเขาไว้ บัดนี้เขาจับมือหล่อนดึงให้ตามเขาไปไม่รั้งรอ

ลงบันไดได้ ๓ ขั้น ได้ยินเสียงบิดาร้องสั่งลูกหญิงเล็กให้เร่งพี่สาวใหญ่ พอเห็นน้องกำลังจะวิ่งขึ้นบันได ภรณีรีบแผ่วเสียงบอกไปทันที

“มาแล้วอย่าวิ่งเลย อะไรทำยังกะไฟไหม้บ้าน”

ใจหายเมื่อแลไปเห็นมารดาเลี้ยงยืนอยู่ไม่ห่างจากบันไดเท่าใดนัก รีบก้มหน้าลงบันไดไปอีก ๕ ขั้น ยึดแขนน้องชายไว้แน่น กลัวเขาจะทิ้งตัวไปเสีย ใจคิดอยากจะจับมือน้องหญิงจูงไปเป็นเพื่อนด้วยอีกคนหนึ่ง แต่พอมองเห็นประตูห้องที่บิดานั่งรับแขก ก็ได้ยินเสียงนางจำนงฯ พูดว่า

“นั่นจะลากมือถือแขนกันไปไหน สะเออะไม่เข้าเรื่องไอ้พงศ์ ! มานี่ หมูเขาจะหามเอาคานเข้าไปสอด”

เด็กชายทำเสียงดังฮึ่ด!–อยู่ในคอ ภรณีปล่อยมือของหล่อนออกจากแขนของเขา–อีก ๓–๔ ก้าวจะถึงประตู รู้สึกว่าขาเพลียยังจะก้าวต่อไปอีกไม่ไหว

อย่างไรก็ตาม ขาที่เพลียนั้นได้พาตัวภรณีมาถึงประตูห้องจนได้ หล่อนหายใจสะดวกขึ้นบ้าง เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่อยู่ในห้องนั้นนั่งหันข้างให้ประตู ทั้งกำลังเอื้อมมือไปยังหีบบุหรี่​ที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้าเขาด้วย ลดฝีเท้าเบาลงอีก เพื่อจะได้ไม่แว่วไปถึงหูเขา แต่ในทันใดนั้นเอง ท่านบิดาของหล่อนผู้ซึ่งนั่งหันหลังให้ประตูอยู่แท้ ๆ กลับเหลียวมาเห็นหล่อนเข้าแล้วก็ทักขึ้นด้วยเสียงอันดังแต่อ้อมแอ้มอย่างไรพิกล

“อ้าว มาแล้ว ! ทำไมถึงช้านักล่ะลูก คุณท่านมาคอยเป็นนาน—มัวแต่งตัวรึ ?”

ภรณีก้มหน้า หลบตาลงพื้นในทันใด เกิดความอายดังตัวจะละลายไปในบัดนั้น เก้าอี้ที่อยู่ใกล้ที่สุดยังอยู่ห่างจากตัวอีกหลายก้าว ภรณีอยากจะทรุดนั่งเสียบนพื้นกระดานตรงหน้า ‘เขา’ คู่หมั้นของหล่อนลุกขึ้นยืน ชักบุหรี่ที่เขากำลังจะจุดออกเสียจากริมฝีปาก พลางหันมาทางภรณีช้าๆ หล่อนไม่เห็นเขา ไม่เห็นตัวส่วนบนของเขา เห็นแต่รองเท้าสีเทาแกมขาว ขากางเกงสีเทากับมือที่ถือไม้ขีดไฟ

หลวงจำนงฯ เปล่งเสียงต้อนรับ “นั่งสิลูก มะ เออ บทบาทมากจริงกว่าจะลงมาได้ ทุกที ๆ ไม่เคยเห็นแต่งตัวช้ายังงี้เลย วันนี้ท่าจะตั้งใจมาก”

เออ! นี่เรื่องราวอะไรท่านบิดาจึงยืนยันว่าลูกสาวแต่งตัวช้า ในเมื่อหล่อนไม่มีเวลาแม้แต่จะล้างรอยถ่านและรอยฝุ่นออกจากมือ ‘เขา’ ก้มตัวลงเล็กน้อย เลื่อนเก้าอี้ให้หล่อน ภรณี​คิดขึ้นได้ว่าหล่อนควรต้องทำความเคารพแก่เขา กำลังคิดอยู่ว่าจะไหว้เขาในบัดนั้น หรือจะไหว้ต่อเมื่อได้นั่งลงแล้ว ท่านบิดาก็พูดขึ้นอีกว่า

“ไหว้คุณท่านเสียลูก เต็มที ลูกผมมันไม่รู้จักกิริยา เหมือนกับเด็กบ้านนอก อายุเพิ่งจะได้ ๒๓ ปีนี้ เมื่อเล็ก ๆ ไม่ได้อยู่กับผม พวกข้างแม่เขาเอาไปไว้เสียในโรงเรียนประจำ แต่ดีอย่างพูดฝรั่งเก่ง จดหมายมาถึงเขาละก็เป็นฝรั่งทั้งนั้น ผมดูไม่รู้เรื่องของเขาหรอกต้องให้เขาบอกให้ฟัง นี่น้องสาวก็ยังอยู่โรงเรียนอีกคนหนึ่ง อยู่กับคุณท่านละก็อุตส่าห์ฝากเนื้อฝากตัวท่านนะลูกนะ พ่อแม่จะได้พึ่งพาอาศัย”

หล่อนได้นั่งลงแล้ว ได้ทำความเคารพเขาแล้วโดยมิได้เงยหน้าขึ้นดูเขาแม้แต่สักแว่บเดียว เหนือความรู้สึกอื่นที่ครอบใจหล่อนเมื่อขณะก่อน ในอึดใจนี้ความรู้สึกรำคาญด้วยคำพูดของบิดากำลังเด่นอยู่ แล้วหล่อนได้ยินเสียงชายหนุ่มพูดว่า

“ขอโทษที่มาไม่เหมาะแก่เวลา แล้วโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า มิหนำซ้ำไม่ได้คิดจะหาคนนำมาด้วย” ดูเหมือนน้ำเสียงของเขาจะมีกังวานหัวเราะเมื่ออยู่เล็กน้อยเมื่อเขาพูดต่อไป “แต่ผมก็ได้รับโทษพอควรอยู่แล้ว ขับรถกลับไปกลับมาอยู่ในถนนนี้ถึง ๓ เที่ยวถึงได้เข้าประตูถูก”

​“โอ๊ย ต้องขอโทษขอโพยอะไรกันครับคุณก็อยากมาเมื่อไหร่ก็มาก็แล้วกัน แต่บ้านแถวนี้มันเต็มที รั้วสังกะสีเหมือน ๆ กัน ผมเองไปไหนกลับมาดึก ๆ วันไหนเดือนมืดก็ชวนจะเข้า ๆ บ้านผิดร่ำไป”

คราวนี้ไม่มีเสียงตอบจากฝ่ายเขา ความเงียบอย่างจริงจังได้เกิดขึ้น เพราะเหตุที่เขานั่งอยู่ข้างหล่อน และเยื้องไปข้างหน้า ถึงแม้หล่อนจะมิได้แลไปไกลกว่า สูงกว่าระดับโต๊ะ หล่อนก็รู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ ไปเพราะฤทธิ์แห่งสายตาที่มองตรวจดูหล่อนตลอดทั่วทั้งตัว

หลวงจำนงฯ หัวเราะเหอะ ๆ ขึ้นลอย ๆ แล้วก็นิ่งไป อีกครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า

“คุณภรรยาเสีย ๆ หลายปีแล้วหรือครับ ?”

“ครับ ๕ ปี”

“แล้วคุณก็ไม่ได้มีเมียอีกตั้งแต่นั้นมา ? แหม เก่งจริง วิเศษมาก ช่างอยู่มาได้ เรื่องมันจะต้องมาเจอกับลูกภรของผม ๕ ปี ! นี่แหละเขาว่าเนื้อคู่กันแท้ ๆ ผมจะทายเอาไหมล่ะ นี่แหละลูกคนแรกยังไง ๆ ต้องเป็นผู้ชาย”

​สายตาของชายหนุ่มซึ่งจับอยู่ที่หน้าผู้พูด ชายกลับมาอยู่ที่หญิงสาวตามเดิม พร้อมอาการยิ้มปรากฏในวงหน้าเขาด้วย แล้วเขาจุดบุหรี่ด้วยไม้ขีดไฟที่เขายังถืออยู่ในมือและถามขึ้นว่า

“เห็นจะมีเพื่อนฝรั่งหลายคน ?”

หล่อนไม่เข้าใจว่าเขาถามหล่อน เพราะนึกไปไม่ถึงเหตุที่ทำให้เขาเกิดความคิดเช่นนั้น จนเขาอธิบายในเสียงหัวเราะ

“ผู้หญิงก็เรียกว่าฝรั่งได้ไม่ใช่รึ ? หรือต้องเรียกว่าแหม่มถึงจะถูก ?”

คราวนี้หล่อนเริ่มเข้าใจความคิดของเขา จึงตอบ “จดหมายภาษาฝรั่งที่คุณพ่อเล่า มาจากครูทั้งนั้นค่ะ”

ตอบแล้วภรณีหลบตาลงโดยเร็ว ด้วยไม่สามารถจะทนต่อการจ้องมองอย่างออกนอกหน้าของอีกฝ่ายหนึ่งได้

“ลูกภรนี่แกก็เคยเป็นครูนะครับ” หลวงจำนงฯ เล่า “เป็นครูอยู่หลายเดือน สัก ๓–๔ เดือนได้ไหมลูก ทีหลังถึงได้ออกมาอยู่บ้าน น้องเขาที่เรียนอยู่เดี๋ยวนี้ จบแล้วก็ว่าจะรับจ้างเขาเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนเก่าเหมือนกัน ยังอยู่อีก ๒ ปี ๒ ปีละได้การละ—ลูกภรรินน้ำชาให้คุณมั่งซิ รับแขกไม่เป็นเสียเลย ลูกเอ๊ย ไม่หัดเสียแต่เดี๋ยวนี้ละไม่เป็นการละคุณต้องสอนแย่”

​“ผมยังไม่รับประทาน ขอบคุณ”

“อ้าว!” แล้วหลวงจำนงฯ หัวเราะแหะ ๆ ปรารภอยู่ในใจว่าทำอย่างไรจึงจะต้อนรับผู้ที่จะเป็นเขยในอนาคตให้สมกับที่เขาเป็นผู้ควรแก่การต้อนรับได้ เกิดความต้องการคู่คิดและผู้ร่วมมือเป็นกำลัง จึงถามขึ้น

“นี่นายแม่เขาหายไปไหน ?”

“เมื่อตะกี้เห็นอยู่ทางหลังเรือนค่ะ”

“ไปตามมาไป๊ จะได้มารู้จักกับคุณบันลือ”

“ขอบพระคุณครับ ผมกำลังนึกอยู่เหมือนกันว่ายังไม่ได้พบ—ท่าน”

“อ้าว ไปตามมาไป๊ ลูกภร บอกให้มาเร็ว ๆ นะ อย่าให้คุณท่านต้องคอย บอกว่าคุณท่านถามถึง”

ภรณีลุกขึ้นจากที่โดยระมัดระวัง ยิ่งเห็นบันลือลุกขึ้นยืนให้แก่หล่อนด้วย ยิ่งเกิดความประหม่าจนรู้สึกว่าขาแกว่งจะก้าวเท้าก็ขัดเขิน เดินมาได้หน่อยหนึ่ง ให้นึกอยากออกวิ่งเป็นกำลัง จะได้พ้นไปเสียจากสายตาเขาโดยเร็ว

ภรณีไม่เห็นมารดาเลี้ยงในที่ ๆ หล่อนเห็นเมื่อครู่ก่อน แต่ไม่เป็นการยากสำหรับหล่อนที่จะตามให้พบ ไม่ต้องสงสัย นางจำนงฯ คงไปสนทนาอยู่กับนางเพิ่มแม่ครัว

​หล่อนลงจากเรือน ตรงไปยังห้องที่ใช้เป็นที่ประกอบอาหาร ก็พบนางจำนงฯ จริงดังคาด นั่งลงตรงประตูด้วยกิริยาเรียบร้อยที่สุด หล่อนบอกว่า

“คุณพ่อให้มาเชิญนายไปที่โน่นค่ะ” อึกอักเล็กน้อย ก่อนที่จะออกนามเขา “คุณ—บันลืออยากรู้จัก”

นางเยื้อนร้อง ‘อี้!’ แล้วทำคอแข็ง แต่สีหน้าคลายความเคร่งเครียดลงในทันใด พูดเป็นเชิงบ่น

“ยังไงกัน มาอยากรู้จักฉัน คุณหลวงให้มาเรียกรึ ? เออ! เบื่อ ! จะนั่งให้สบายหน่อยก็ไม่ได้ ธุระอะไรถึงฉันด้วยก็ไม่รู้!”

พูดแล้วก็ลุกขึ้น ภรณีรีบหลีกทางให้ หล่อนเดินตามนางจำนงฯ ไปด้วย แต่เมื่อถึงเรือนแล้วหล่อนก็เลยขึ้นไปเสียยังชั้นบนทีเดียว เวลากี่นาทีก็ตามที่หล่อนต้องต่อต้านกับความอึดอัดอันเกิดแต่คำพูด กิริยา อาการ ของบิดานั้นพอดีอยู่แล้ว สำหรับความอดทนของหล่อน ถ้าจะต้องทนอีก เพราะคำพูดกิริยาอาการของแม่เลี้ยง บางทีจะเกินความสามารถของหล่อนไป

ภรณีตรงไปยังห้องที่ทำความสะอาดค้างไว้ เริ่มทำงานต่อโดยเร็ว ในสมองเต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่ได้ผ่านมา ภายใน​ระยะแห่งชั่วโมงนี้ มีชายสองคนเป็นส่วนสำคัญแห่งเหตุเช่นเกี่ยวกับตัวหล่อนเอง คิดถึงชายที่เป็นบิดา ดูผิดไปจากท่านบิดาที่หล่อนพบเห็นอยู่ทุกคืนทุกวัน ! คิดถึงชายที่เป็นคู่หมั้น หล่อนจำหน้าเขาไม่ได้ แต่กระแสเสียงของเขาเท่าที่หล่อนได้ฟังเป็นที่ถูกหูหล่อน ฝ่ายเขาเล่าเห็นหล่อนเป็นอย่างไร ? เขาจะคิดว่าหล่อนเป็นหญิง ‘ทึ่ม’ หรือคิดว่าเป็นหญิงชนิด ‘นางอาย’ ที่จริงเขาก็ควรคิดเช่นนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา หล่อนไม่มีความรู้สึกอย่างอื่น นอกจากความพรั่นพรึงและความอดสู ภรณีถอนใจอย่างยืดยาว นี่มารดาเลี้ยงของหล่อนก็จะไปแสดงตัวให้ปรากฏแก่เขาอีกผู้หนึ่ง ! หญิงคนนั้นจะแสดงกิริยาวาจาอย่างใดต่อเขาบ้าง ! จะระรานเขาด้วยความชิงชัง หรือด้วยนิสัยชอบระราน หรือจะยกย่องเขาเป็น ‘คุณท่าน’ ยิ่งไปกว่าที่บิดาของหล่อนได้ยกไว้แล้ว ? ภรณีถอนใจอีกครั้งหนึ่ง—ความพอดีนี่ช่างเป็นสิ่งที่หล่อนไม่ได้พบไม่ได้เห็นเสียจริง ๆ หนอ !

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« Reply #2 on: 28 October 2025, 20:56:48 »


๑๓



ดูกรคฤหบดี บุตร ภรรยาเป็นทิศเบื้องหลัง สามีพึงบำรุงด้วยสถาน ๕ อย่าง คือ ด้วยความยกย่องนับถือ ๑ ด้วยความไม่ดูหมิ่น ๑ ด้วยความไม่ประพฤตินอกใจ ๑ ด้วยการมอบความเป็นใหญ่ให้ ๑ ด้วยการเพิ่มให้ซึ่งเครื่องประดับเนือง ๆ

 


“๒ ข้าวหลามตัด”

“ผ่าน”

“ผ่าน”

จิตรามองดูคู่มือของหล่อน กระแอมเบา ๆ อยู่ในคอ

“๒ โพแดง” คนที่สี่กล่าว

จิตรามองดูไพ่ในมือ แล้วมองดูคู่มือของหล่อนอีก เขาหมายความว่ากระไรในการที่บอก ‘ผ่าน’ ไปอย่างหน้าตาเฉย ในมือหล่อนได้ ‘ขึ้น’ ถึง ‘๒’ ในการ ‘เรียก’ ครั้งที่ ๑

“๒ โพดำ” หล่อนกล่าว

“๓ โพแดง” ผู้ที่อยู่ถัดไปประมูล

​“ผ่าน” บันลือกล่าวอีก

จิตราร้อง ‘เอ๊ะ’ ออกมาครึ่งคำ แล้วก็ยั้งไว้ทัน แต่ขยับตัวไปมาด้วยความอึดอัดใจ

โดยปกติหล่อนเคยไว้ใจในวิธีที่บันลือ ‘เรียกไพ่’ หรือ ‘ขึ้นไพ่’ เสมอ แต่ระหว่างชั่วโมงเศษ ๆ มานี้ ปรากฏว่าเขากับหล่อนไม่มีความเข้าใจในกันและกันเสียเลย

ฝ่ายคู่แข่งขันซึ่งทำหน้าที่ลงคะแนนด้วย มองดูตัวเลขนหน้าสมุดเล่มน้อย แล้วกล่าวอย่างพอใจ ‘ผ่าน’

จิตราลังเล ไพ่ในมือหล่อนงามมาก ข้าวหลามตัดเป็นชุดยาวและมีโพดำแต้มสูงถึง ๔ ตัว แต่บันลือมิได้ให้ความสว่างเป็นการช่วยเหลือหล่อนเสียเลย มุมานะด้วยความทิษฐิ ดีแล้ว ! เมื่อเขาอยากจะทำตัวให้เป็นคู่มือที่เหลวไหลหล่อนจะ ‘ขึ้น’ ไปตามใจของหล่อนแต่ผู้เดียว

“๓ โพดำ” หล่อนกล่าวเกือบเป็นเสียงกระแทก

“๔ โพแดง”

“ลิตเติล สแลม โน ทรัมพ์”

ฝ่ายคู่แข่งขันหันไปดูเขา พร้อมกับหัวเราะด้วยความประหลาดใจ จิตราร้องขึ้นด้วยยั้งปากไว้ไม่ทัน

“ตาย อะไรกัน !”

​“พึ่งตื่นขึ้นมารึ ?” นายพะเนียงคู่แข่งขันคนหนึ่งกล่าว “ผมยอมแพ้คุณ— ผ่าน”

“ฉันก็ผ่านเหมือนกัน ใครจะไปพูดอะไรถูก” จิตราว่า หน้าแดงด้วยความที่นึกฉิวเป็นกำลัง

“ผ่านค่ะ” เกสรคู่มือของพะเนียงกล่าว

บันลือคว่ำไฟในมือลงไว้บนโต๊ะ แล้วคว้าหาบุหรี่ เมื่อได้แล้วกำลังขีดไม้ขีดไฟ เห็นคู่แข่งขันทิ้งไพ่ตัวแรก เขาพูดว่า

“รู้สึกว่าไพ่ขาดหรือยังไงไม่รู้ แบลงมา คุณจิตราให้ผมดูถี คุณมีอะไรบ้าง ?”

จิตราจัดไพ่วางบนโต๊ะอย่างเร่งรีบ ใจเต้นด้วยความที่อยากเห็นไพ่ในมือบันลือ เมื่อวางไพ่ลงหมดแล้ว หล่อนลุกไปยืนอยู่เบื้องหลังเขา ทันใดนั้นหล่อนกำมือเงื้อขึ้น และพูดว่า “นี่ ขอทุบที” กำปั้นของหล่อนลงไปที่บ่าของเขาโดยแรง “เป็นครั้งแรกที่ฉันทำร้ายร่างกายเธอ มีอย่างรึ หลับอยู่ได้! นี่ถ้าฉันไม่เกิดบ้าดันทุรังไปคนเดียว ก็เสียรับเบ้อร์เปล่า ๆ”

บันลือไม่แสดงอาการสะดุ้งสะเทือนในการที่ถูกทุบ ทั้งไม่โต้ตอบว่ากระไร อมยิ้ม สูบบุหรี่พ่นควันโขมงมองดูไพ่ของคู่มือ จิตรายืนดูเขา ‘เรียก’ ไพ่อยู่ ๒–๓ รอบแล้ว แต่ก็เดิน​ห่างไปจากเขา และแวะนั่งลงบนเก้าอี้คู่ ตัวที่สามีของหล่อนนั่งอยู่

เขาผู้นี้กำลังอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลิน หล่อนฉวยหนังสือมาเสียจากมือเขา พร้อมกับหัวเราะและว่า

“สมาธิดีจริง ภรรยาโมโหจะฆ่าเพื่อนเสียแล้ว ยังไม่เหลียวแล”

“ไม่สำคัญ” เจริญตอบ “อย่าให้เพื่อนฆ่าภรรยาก็แล้วกัน” พยายามจะแย่งหนังสือกลับคืน “เล่นไพ่อยู่ดี ๆ แล้วมากวนทำไมนี่”

“โมโหบันลือ” หล่อนว่าแล้วหัวเราะคิก ๆ

“โธ่ !” บันลือส่งเสียงตอบมา “ทุบเอาดังตุ้บเบ้อเร่อ แล้วยังไม่หายโกรธอีก—มา คุณเกสร ปล่อยนางควีนของคุณออกมา”

จิตราเบือนหน้าไปทางวงการเล่น เมื่อเกสรทิ้งไพ่ แล้วหล่อนก็ถาม “ได้ยายควีนไหมบันลือ ?”

“ได้” เป็นคำตอบสั้น ๆ

ส่วนเจริญดึงหนังสือจากมือภรรยาได้แล้ว ก็พลิกหาหน้าที่อ่านค้างอยู่พลางบ่นพึมพำ “เกะกะจริงเทียว เห็นเล่นเพลินดีอยู่แล้ว คิดว่าจะหาความสบายสักหน่อยเท่านี้แหละ”

​“โถ ฉันอยากให้เธอสบายยิ่งขึ้น เอาวิศกี้อีกไหม ?”

เจริญแลไปดูถ้วยเปล่าที่วางอยู่ข้างตัว แล้วตอบว่า “ดีเหมือนกัน”

จิตราจึงลุกขึ้นไปผสมวิศกี้โซดา แล้วนำมาส่งให้ต่อมือเขา

“วางไว้” เจริญบอก

“เธอยังไม่ได้ขอบใจฉันนี่” ภรรยาของเขาตอบ

“ขอบใจ กลับไปที่ของเธอไป ยุ่งจริงเทียว”

จิตราหายจากความอึดอัดใจ เพราะเหตุที่โกรธบันลือ แล้วก็กลับไปยังที่ของหล่อน พอดีกับบันลือทิ้งไพ่ ๔ ใบสุดท้ายลงบนโต๊ะ แสดงความแน่ว่า ‘ทริค’ สุดท้ายทั้ง ๔ ‘ทริค’ จะเป็นของเขาทั้งสิ้น

เที่ยวใหม่นี้เกสรจะต้องเป็นผู้แจก จิตราตัดไพ่แล้ว ก็ลุกขึ้นไปรินวิศกี้โซดาเติมลงในถ้วยของบันลือ และถ้วยของพะเนียง เมื่อยืนอยู่ข้างคู่มือของหล่อน จิตรากล่าวว่า “อย่าหลับอีกนะ บันลือ ไหว้ละ”

เขาหันมามองดูถ้วยแก้ว ซึ่งจิตรากำลังทำให้เต็มขึ้นด้วยน้ำสีเหลืองแก่ แล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มกับหล่อน พร้อมกับพูดว่า

“ขอบพระคุณอย่างยิ่ง ขอรับ”

​การเล่นนี้ได้เริ่มต้นมาประมาณเกือบ ๓ ชั่วโมงแล้ว ในเดือนหนึ่งประมาณ ๒ หรือ ๓ ครั้ง บางทีถึง ๔ ครั้ง จิตรามักจะมีแขก ซึ่งนับว่าเป็นเพื่อนค่อนข้างสนิทกับหล่อนและสามีของหล่อนมารับประทานอาหารและเล่นไพ่ด้วยกัน หรือมิฉะนั้นจิตรากับสามีก็เป็นฝ่ายไปสู่บ้านเพื่อน เจริญพอใจให้มีแขกมาที่บ้านของตน มากกว่าพอใจไปเป็นแขกที่บ้านอื่น เพราะเขาต้องการหาความสบายมากกว่าที่จะใฝ่ใจหาความสนุก เมื่อมีแขกมาที่บ้าน เขาต้องช่วยจิตราทำหน้าที่รับแขกในชั่วเวลาอันสั้น คือระหว่างก่อนเวลารับประทานอาหารจนถึงเวลาเล่นไพ่ ต่อจากนี้ไปเขามักจะได้นั่งอย่างสบายกับเพื่อนที่ ‘เหลือ’ จากเป็นขาไพ่ หรือมิฉะนั้นก็นั่งอย่างสบายกับหนังสือเล่มหนึ่ง ดังเช่นคืนวันนี้ ยิ่งกว่านั้น บางที เมื่อขาไพ่เป็นบุคคลชุดที่สนิทสนมกับเขามาก เขาเคยหลบขึ้นห้องนอนแล้วเลยหลับสบายไปจนเช้าก็มี แต่ในเวลาที่ตัวเขาเป็นแขกอยู่ในบ้านเพื่อน ถึงแม้จะเป็นเพื่อนที่คุ้นเคยกันมากเพียงไร เขาก็ยังต้องรักษากิริยาของผู้เป็นแขก ถึงแม้จะเบื่อ จะเกียจคร้าน จะง่วงนอนก็ไม่อาจจะแสดงกิริยาให้ปรากฏแก่เจ้าของบ้าน ข้อร้ายที่สุดอีกข้อหนึ่งคือ เมื่ออยู่ในฐานะเป็นแขก เขามักจะเลี่ยงจากการเป็นขาไพ่คนหนึ่งไม่พ้น ​และในน้ำใสใจจริงของเจริญนั้น เขาไม่ชอบเล่นไพ่ชนิดใดนอกจากไฟไทยแต่อย่างเดียว

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้เจริญถือความพอใจแห่งภรรยาของเขาเป็นใหญ่ ในการเที่ยวเตร่ก็ดี การสมาคมก็ดี จิตราต้องการให้สามีของหล่อนร่วมกับหล่อนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทุกโอกาส เจริญเห็นว่าความต้องการเช่นนี้ไม่เป็นสิ่งเหลือบ่ากว่าแรงที่เขาจะทำให้แก่หล่อนได้ เขารู้ว่าหญิงที่เคยแก่การสมาคมเช่นจิตรา จะกลายเป็นหญิงที่อยู่เหย้าเฝ้าเรือน และพอใจในการเฝ้าปรนนิบัติสามีกับลูก แต่ส่วนเดียวโดยเด็ดขาดหาได้ไม่ เมื่อหล่อนมีความสุขในการคบหาสมาคมกับเพื่อนฝูง และความสุขเช่นนี้มิได้ทำความเสื่อมหรือความเดือดร้อน ให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด เขาเห็นเป็นการสมควรที่จะอนุโลมตามหล่อน ถึงแม้ว่าความสุขเช่นนี้จะเป็นการเปลืองทรัพย์โดยไม่จำเป็นแก่การครองชีพ เขาถือเสียว่าบุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะซื้อหาความสุขให้แก่ตน เท่าที่กำลังทรัพย์ของตนจะอำนวย และกำลังทรัพย์นี้จิตราไม่ขาดแคลน รายได้ทั้งหมดของสามีที่เขานำมามอบให้แก่หล่อนทุก ๆ เดือนนั้น เพียงพอแก่การครองชีพอย่างสะดวกสบายภายในครอบครัวของเขา นอกจากนี้จิตรายังมีรายได้ส่วนตัวของหล่อนอีกไม่น้อย

​เมื่อใกล้เวลาที่สามีภรรยาคู่นี้จะได้บุตรคนแรก เขาปรึกษากันจะตัดรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยลงให้สิ้น เพื่อสงวนไว้ใช้ในในการเลี้ยงดู และให้การศึกษาแก่เด็กที่จะเกิดใหม่ “ถ้าเผื่อเราไม่มีแขกมากินข้าวด้วย เดือนหนึ่งเราจะทุ่นไปหลายบาท” จิตรากล่าว “วันไหนเหงา เบื่อเต็มแก่ เราก็ไปดูหนังดูละครกันสองคนก็แล้วกัน”

เผอิญในปีนั้นเอง เมื่อบุตรของเขาทั้งสองเกิดแล้วได้ ๒–๓ สัปดาห์ หมอยังไม่อนุญาตให้จิตราได้รับความกระเทือน เจริญก็ได้เงินเดือนขึ้นเป็นจำนวนใกล้เคียงกับส่วนของรายจ่ายที่นับเนื่องในทางฟุ่มเฟือย สามีภรรยาก็ตกลงกันว่าเขาทั้งสองไม่มีความจำเป็นที่จะตัดรายจ่ายส่วนใดแล้ว

วันนี้จิตราเชิญแขกไว้ ๒ คู่ แต่คู่หนึ่งสามีเป็นนายแพทย์ ถูกเรียกไปรักษาไข้โดยปัจจุบันทันด่วน ภรรยาของเขาเป็นหญิงที่มีมติคล้ายคลึงกับจิตรา คือไม่ชอบไปหาความสำราญนอกบ้านโดยปราศจากสามี จึงโทรศัพท์บอกจิตราถึงความจำเป็นที่หล่อนมาตามนัดไม่ได้ ในระหว่างรับประทานอาหาร เจริญกำลังเบื่อในข้อที่ตัวจะต้องเป็นขาไพ่ แทนผู้ที่ขาดไป บันลือก็เผอิญมาถึง

​ไม่ต้องสงสัยว่าจิตรากับเจริญจะไม่ต้อนรับชายหนุ่มผู้นี้ด้วยความยินดี ในตอนแรก บันลือกล่าวคำขอโทษและปฏิเสธที่จะรับประทานอาหาร อ้างว่าเขาตั้งใจแต่เพียงจะมาเยี่ยมเยียนและสนทนากับเจ้าของบ้านชั่วครู่เดียว เจริญกล่าวว่าบันลือเล่นตัว จิตราพ้อว่า “๒ ปีแล้วนะ เธอรู้ไหม เธอไม่ได้มากินมาเล่นกับฉันเหมือนแต่ก่อนเลย” แล้วจับตัวเขาให้นั่งลงที่โต๊ะโดยไม่แยแสต่อการเบี่ยงบ่ายของเขา ในที่สุดบันลือก็พ่ายแพ้ต่อคำวิงวอนและคำตัดพ้อของเพื่อนทั้งสอง เขาได้รับประทานอาหาร แล้วก็รับชวนเล่นไพ่ด้วย

เมื่อจบรับเบอร์หลัง เวลาล่วงไปเกือบถึง ๑.๐๐ นาฬิกา ทุกคนพากันแสดงความประหลาดใจ เมื่อรู้ว่าเป็นเวลาดึกถึงเพียงนั้น ขณะที่พะเนียงรวมคะแนนเพื่อดูว่าฝ่ายใดแพ้ฝ่ายใดชนะ เกสรหาวแล้วหาวอีก บันลือลุกขึ้นสวมเสื้อชั้นนอก ทำทีดังจะรีบกลับบ้านในทันที แม้แต่จะทนรอดูผลสุดท้ายของการเล่นก็จะช้าไป จิตรา ‘อุทธรณ์’ “ของว่างของฉันจะเก้อ วันนี้ฉันมีแซนด์วิชตับห่านเลี้ยง” เกสรแก้ว่าอาหารชนิดนั้นไม่เสียง่าย ๆ จะใช้ประโยชน์ได้อีกในวันพรุ่งนี้ พะเนียงกับเกสรก็บอกลา

​จิตรากับเจริญไปส่งสามีภรรรยาคู่นี้ที่รถ โดยไม่ทันสังเกตว่า บันลือมิได้ตามออกมาด้วย ครั้นส่งแขกไปแล้วนึกขึ้นได้ว่าบันลือหายไป แล้วคาดว่าเขาคงจะไม่หายอยู่นานนัก ก็เดินเตร่อยู่ที่หน้าตึก คอย ๆ บันลือก็ยังไม่ออกมา เกิดความสงสัยอยากรู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ จึงชวนกันกลับไปที่ห้องนั่งเล่น

เห็นบันลือนั่งสบายอยู่บนเก้าอี้นวมใหญ่ มือถือหนังสือ เสื้อชั้นนอกพาดอยู่บนหน้าเก้าอี้ตัวเดียวกับที่เขานั่ง สามีภรรยาร้องเอ๊ะ ! ด้วยความพิศวง แล้วจิตราถามไปทันที

“นั่นทำอะไรนั่นน่ะ ?”

“อ่าน เยนอ๊อสติน๑” เขาตอบ แล้วก็หัวเราะ แล้วถาม “ใครอ่านอยู่ เห็นมีรอยคั่น—ไพรด์แอนด์เพรจุดิ๊ส!๒”

“ฉันเองแหละ” จิตราตอบ เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา “ทำไมอยากอ่านมั่งหรือ รออีกสัก ๒ วันซี ฉันยังอ่านค้างอยู่ จบแล้วจะส่งไปให้”

บันลือหัวเราะอย่างเห็นขันเป็นที่สุด ปิดหนังสือวางไว้ข้างตัวแล้วเงยหน้าขึ้นถาม “คุณจิตราว่าจะเลี้ยงสัปเปอร์ไม่ใช่หรือ”

​เจ้าของบ้านสาวอุทานด้วยความประหลาดใจว่า “ก็ไหนว่าไม่กินจะรีบไป ง่วงนอนจะตายยังไงล่ะ”

“ผมไม่ได้บอกสักทีว่าผมไม่กิน แต่ผมไม่อยากให้คนอื่นกินด้วย”

เจริญมองดูผู้พูดด้วยความประหลาดใจ หัวเราะด้วยอดขันคำพูดอย่างตรงไปตรงมานั้นไม่ได้ จิตราร้องว่า

“ดู ตายจริง นี่ไปติดโรคใจแคบอย่างนี้มาจากไหน”

“ความจำเป็น เป็นกฎหมาย ขอรับ” บันลือตอบ “โธ่ ทนอัดใจมากี่ชั่วโมงนี่ ตั้งแต่ทุ่มกว่า ๆ จนตี ๑ ดูถี ๖ ชั่วโมง ผมอยากพูดอะไรกับคุณสักคำเดียวเท่านั้น ไม่ได้โอกาสสักที เล่นเสียครึ่งคืน ถ้าจะให้รอไปอีกจนคุณเกสรหน้าวัวแกกินสัปเปอร์เสร็จผมก็ตายกันเท่านั้น”

เจริญหัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดัง เขาเคยนึกหามานานแล้วว่า ลักษณะของเกสรเหมาะที่จะเป็นเกสรของดอกไม้ชนิดไหน และนึกหาทุกคราวที่เขาได้พบหล่อน เพราะเกสรเป็นหญิงที่มีรูปร่างดี และเค้าหน้าก็พอดูได้ แต่หล่อนผอมมากและกิริยาท่าทางรวมทั้งอิริยาบถที่เคลื่อนไหว มีอาการแข็งๆ อย่างอธิบายยากปรากฏอยู่ด้วยเสมอ

​จิตราเองก็อดขันไม่ได้ แต่เห็นว่าเป็นหน้าที่ ๆ หล่อน ๆ ต้องออกรับแทนเพื่อนร่วมเพศ เมื่อผู้ต่างเพศมาพูดเช่นนี้จึงว่า

“อะไรกันนะ เกสรหน้าวัว! ค่อนเขา พอเขาคล้อยตัวเท่านั้นแหละ ฉวยโอกาสนินทา !” หล่อนทำท่าจะนั่ง แต่แล้วก็ชะงัก พูดว่า “ลืมไปยังไม่ได้สั่งของกิน เดี๋ยวเด็กมันหนีนอนหมด” แล้วหล่อนเดินไปทางประตูด้านหลัง เจริญกำลังในวิศกี้ใส่ในถ้วยของเขาเอง แล้วหาถ้วยสะอาดเพื่อจะรินให้บันลือด้วย แต่โซดาที่วางอยู่ขวดหนึ่งนั้นชืดเสียแล้ว เขาหันไปมองดูประตูเพื่อจะตะโกนบอกภรรยา แต่เมื่อจิตรากลับมาถึงประตูนั้นหล่อนถือขวดโซดามาด้วยแล้ว

เจริญรีบเดินไปรับของต้องการจากมือภรรยา ถือถ้วยแก้วทั้งสองใบติดมือมาด้วย แล้ววางลงบนโต๊ะตรงหน้าเพื่อน หันกลับไปหยิบขวดวิศกี้มาวางไว้อีก บันลือกล่าวคำขอบใจ แล้วก็ลุกขึ้นเดินบ้างโดยไม่มีเจตนา จิตราผู้ซึ่งได้นั่งลงแล้วกำลังรับจานแซนด์วิชและกระเช้าเงินใส่ผลไม้จากมือคนใช้ จัดวางไว้บนโต๊ะมองเห็นขากางเกงที่สะบัดไปสะบัดมาอยู่ตรงหน้า หล่อนก็เงยหน้าขึ้นพูด “กางเกงเธอสีสวยจริงบันลือ เพิ่งเห็นเดี๋ยวนี้เอง”

​เขาก้าวหน้าไป ๒–๓ ก้าว เมื่อจะนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้โต๊ะ เขาดึงขากางเกงขึ้นเล็กน้อยด้วยความเคยมือ จิตรามองเห็นถุงเท้าของเขาได้พร้อมกับรองเท้า ก็ขยับปากจะทักอีก ก็พอดีบันลือพูดขึ้น มือลูบคลำหนังสือที่เขาวางไว้เมื่อครู่ก่อน

“ผมแพ้คุณร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม เรื่องที่ท้าแข่งกันเมื่อคืนวันซืน จริงเจ้าหล่อนของไพฑูรย์สวยสู้—เด็กของคุณไม่ได้”

“อ้าวไหมล่ะ! ไปเห็นมาแล้วรึ ?” น้ำเสียงจิตราเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “เอ๊ะ ดอดไปเห็นเขาเมื่อไหร่”

เขาหัวเราะแกล้งทำไม่ได้ยินคำหลัง ตอบว่า “เห็นแล้ว อมยิ้มอยู่แสดงอาการใช้ความคิดและพูดสืบไป “นี่คุณจิตรา ผมคิดว่า ผมจะได้พบ—” เขามองไปเห็นชื่อหนังสือไพรด์แอนเพรจุดิ๊ส “คิดว่าจะได้ไปพบมิส เยนเบ็นเนต๓ แต่ไปถึงเข้าจริงกลายเป็น ซินเดอเรลลา๔”

ถามว่า “ไปเห็นเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“วันนี้เอง” เขาตอบเมื่อหมดทางเลี่ยง “เผอิญมีธุระผ่านไปทางนั้น ที่จริงผม–ไม่ได้ตั้งใจ—”

​จิตราไม่รอให้เขาพูดจบเอ่ยขึ้นว่า “อ้อมิน่าล่ะ แต่งตัวสวยเช้งทั้งตัว ดูซีเจริญ ฉันก็เพิ่งสังเกตเห็นเมื่อตะกี้นี้เองกำลังจะทักว่าถุงเท้า—”

“โธ่ จิตรา” บันลืออุทาน “ผมไม่ใช่เด็กหนุ่มอายุ ๑๘ นะจะต้องแต่งตัวอวดผู้หญิง” เขาเปลี่ยนเสียง “แต่ถ้าผมตั้งใจแต่งจริงมันก็เป็นเกียรติยศอันหนึ่งที่ผมให้แก่—เด็กของคุณใช่ไหม ?”

“อ๋อ แน่นอน ถูกแล้ว” จิตราตอบ “แต่เห็นสวยก็อดชมไม่ได้ แล้วก็เด็กน่ะเดี๋ยวนี้เป็นของเธอแล้ว ทำไมยังเรียกว่าเด็กของฉันร่ำไป–เอ้ารับประทานเสียทีซีคะ มัวแต่พูดเจ้าของบ้านเลยกินเสียเองคนเดียว รับประทานเสียทีน่า แล้วเล่าไป ว่าไปพบเขาทำอะไรอยู่”

บันลือหยิบแซนด์วิชใส่ปากภายหลังจึงพูดว่า

“เวลาพบไม่ได้ทำอะไร นั่งเฉย” เขาหัวเราะ “พ่อทำแทน”

“ทำอะไร” จิตราถามอย่างฉงน เจริญมองดูเขาอย่างทึ่ง

“ก็ทำ—อย่างที่คนขายของหน้าร้านเขาทำกัน—” หัวเราะอีก “ช่างเถอะ–ๆ”

“อะไร ? คนขายของหน้าร้านทำอะไร ?” จิตราซัก

​“ก็โฆษณาสินค้าน่ะสิคุณ แต่ช่างเถอะ ผมอยากจะปรึกษาคุณว่า เมื่อคุณยายท่านไปหมั้นเขาบอกท่านมาว่าเขาข้องใจเรื่องผมจะไม่ให้มีการรดน้ำ เขาอยากให้ทำอะไรมีหน้ามีตาสักหน่อย แล้วก็วันนี้เขาก็พูดอีก ผมอยากทราบว่าไอ้ที่มีหน้ามีตาน่ะเป็นอย่างไร”

“อ๋อ ก็ให้มีงานใหญ่ เชิญแขกมาก ๆ มีคนมาในงานเยอะ ๆ อย่างที่เขาเชิญแขกรดน้ำน่ะ แต่เธอไม่ยอมรดน้ำจะไปทำอะไรให้ครึกโครมได้ยังไง”

“ก็ไอ้วันที่จะลงทะเบียนแต่งงานกันนั่นแหละ มีงิ้วเข้าสัก ๓ โรง” เจริญออกความเห็น

“จริงนะ” บันลือเสริม แล้วหันไปทางจิตรา “เอาอย่างงั้นรึ ?”

“อุ๊ย อะไรก็ไม่รู้” เจ้าหล่อนว่า “อย่ายุ่งไปหน่อยเลย เขาอยากให้ทำแต่เราไม่ทำ เขาจะมาว่าอะไรเราได้อย่างอื่นจะเรียกร้องเอาอะไร เราก็ให้จนหมดแล้ว”

“แต่ผมอยากจะทำให้เขาจริง ๆ อยากให้ถูกใจเขาทุกอย่าง ขออย่างเดียวอย่าให้ต้องรดน้ำเท่านั้น”

“อ้อ นึกได้แล้ว” เจริญเอ่ยขึ้น ทันใดนั้นจิตราก็หันขวับไปทางเขาและขัด

​“เอาอีกละ ยี่เกตลกละซี”

“ไม่ใช่” เจริญตอบ “ที่นี้พูดจริง ๆ มีงานเลี้ยงให้เขาหน่อยซีบันลือ เลี้ยงวันแต่งงานหรือก่อนสักวันหนึ่งก็ได้”

“ฉันนึกอยู่เหมือนกัน” บันลือรับอีก “แต่อยากจะทำในเรื่องการหมั้น เพราะว่าไม่อยากจะต้องเกี่ยวข้องกับท่านผู้ใหญ่เราไม่ได้เชิญท่านรดน้ำ แล้วขึ้นชื่อว่าเลี้ยงในวันแต่งงานก็ไม่เชิญท่านอีก เป็นเกิดความแน่ ทีนี้ถ้าจะเชิญผู้ใหญ่แท้ ๆ ของเราไม่มีจะรับรองท่าน เราคนเดียวรับแขกท่านผู้ใหญ่ด้วย รับเพื่อนฝูงด้วย ไม่ไหว เคยคิดดูแล้วท่านผู้ใหญ่ลุง อา น้าทั้งข้างพ่อข้างแม่สัก ๓๐ แล้วยังเพื่อนของพ่ออีกล่ะ ถ้าเชิญขาดไปสักคนก็แล้ว ถูกด่า ผู้หลักผู้ใหญ่ไม่นับถือ พ่อมันตายแล้วมันไม่ดูดำดูดีกับผู้ใหญ่ ถ้าในงานหมั้นละก็อย่างหนึ่ง เราเอาแต่คนรุ่นเรา ท่านผู้ใหญ่ท่านก็ไม่นึกจะว่า เห็นเป็นอย่างไรขอรับ คุณแม่ยาย”

“ก็ได้เหมือนกัน” จิตราตอบ “เลี้ยงในการหมั้นก็ครึกโครมเหมือนกันนี่ เสร็จแล้วคนก็เอาไปโจษกันครึ่งเมือง หรูหรากันใหญ่ แต่ฉันเชื่อว่ายายภรแกไม่– –ไม่ยุ่งอะไรกับอะไรพวกนี้เลย”

​“อย่างน้อยที่สุดแกจะต้องแต่งตัวมาในงาน” บันลือตอบแล้วหัวเราะ “ผมหมายความว่ายุ่งไม่ยุ่งก็จะต้องมีตัวแกอยู่ในงานนั้นจนได้”

แล้วเขาพูดเป็นงานเป็นการ

“ถ้าจะทำกันก็ทำกันเร็ว ๆ นี่แหละ กลางเดือนหน้าผมจะออกการ์ดเชิญทันที คุณกรุณาบอกเด็กของคุณด้วยต้องการจะเชิญใครบ้างให้เขาส่งรายชื่อโดยเร็ว”

จิตราทำตาคว่ำ “อย่าลืมให้เวลาเจ้าสาวเขาเตรียมเครื่องแต่งตัว” หล่อนว่า “แล้วฉันอยากรู้ว่าทำไมฉันถึงจะต้องเป็นคนสื่อสารให้เธออีก ในเมื่อเธอก็ไปรู้จักมักคุ้นกันมาแล้ว ...”

“คุ้น !” บันลือหัวเราะ แต่แล้วก็พูดเรียบ ๆ “กรุณาอีกสักครั้งเถอะขอรับ ช่วยชี้แจงให้พ่อเขาเข้าใจแล้วก็ตัวเขาด้วย อ้อ” เขาชะงักความลังเลปรากฏในสีหน้า “คือยังงี้ ผมชอบวิธีแต่งตัวของคุณ ไม่ทราบเป็นยังไงไม่ว่าพบคุณจิตราที่ไหน เห็นแต่งตัวสวยไม่มีที่ติทุกคราว ผมหวังว่าลูกศิษย์ของคุณจะใช้วิธีแต่งตัวแบบเดียวกับคุณ”

จิตราทำหน้าสนเท่ห์ แต่ความพอใจปรากฏชัดในแววตา “ฉันเองฉันก็ไม่รู้ว่าฉันแต่งตัววิธีไหน” หล่อนว่า “จะสอนลูกศิษย์ก็ไม่รู้จะสอนยังไงถูก”

​“ไม่รู้ละ” บันลือตอบโดยเร็ว “คืนนั้นผมจะโฆษณากับทุกคนที่มาในงาน ว่าผู้หญิงที่ผมหมั้นนั้นคุณจิตราเป็นคนแนะนำ แล้วคุณอย่าลืมด้วยว่า ในพวกแขกที่มา จะมีผู้หญิงที่พี่ผมน้องผมเคยคิดจะเลือกให้ผมหลายคน แล้วยังมีพวกที่เพื่อนของพี่เพื่อนของเพื่อนของพี่มอง ๆ ไว้ให้อีกล่ะ” พูดแล้วบันลือก็หัวเราะ

.

๑. Jane Austen ↩

๒. Pride and Prejudice ↩

๓. Jane Bennet ↩

๔. Cinderella ↩




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« Reply #3 on: 28 October 2025, 20:58:52 »


๑๔



​ดูก่อนภิกษุ ธรรมบท ๔ ข้อ—คือความไม่มีโลภจัด (จนถึงอิจฉาปองร้าย) ความไม่พยาบาท ความมีสติสัมปชัญญะ ความมีใจตั้งมั่น แน่วแน่น ปรากฏว่าเป็นข้อธรรมอันเลิศ ยั่งยืนเป็นแบบแผนมาแต่ก่อน — ไม่เคยถูกทอดทิ้ง (ในอดีต) ไม่ถูกทอดทิ้ง (ในปัจจุบัน) จักไม่ถูกทอดทิ้ง (ในอนาคต)—

 


ภรณีใจหายวาบ เมื่อได้ยินคำว่าแต่งงาน แต่งงานวันที่ ๑๙ ต่อจากงานวันเลี้ยงสำหรับการหมั้นเพียง ๒ วัน

“ก็….ก็….” หล่อนพึมพำ “ก็ไหนว่าจะยังไม่แต่งยังไงคะ ?”

จิตราหัวเราะอย่างเบิกบาน “เมื่อแรกก็ว่าอย่างนั้นแหละ แต่ทีหลังเกิดมีเรื่องหาฤกษ์ไม่ได้ขึ้น ตลอดปีนี้ไม่มีวันดีสำหรับที่เธอกับบันลือจะแต่งงานกันได้ นอกจากวันที่ ๑๙ เดือนหน้า วันไหนดีสำหรับเธอไม่ดีสำหรับบันลือ วันไหนดีสำหรับเขาไม่ดีสำหรับเธอ ถ้าจะให้ดีสำหรับสองคนต้องรอไปจนต้นปีหน้า ผู้ชายเขาบอกเด็ดขาดว่าเขารอไม่ได้”

​“ทำไมถึงรอไม่ได้คะ” ภรณีถาม

“ก็เขาอยากแต่งงานกับเธอเร็ว ๆ น่ะซี” สีหน้าจิตราแสดงความร่าเริงยิ่งนัก “เป็นของธรรมดานี่ภร ผู้ชายเวลาเขารักผู้หญิงแล้วละก็ เขาก็อยากแต่งงานเร็ว ๆ ทุกคนแหละ อะไร เท่านี้ก็ไม่เข้าใจ ก็เหมือนกับเราเวลาชอบใจของสิ่งไหนเราอยากได้มาเป็นของเราเร็ว ๆ ใช่ไหม ผู้ชายก็เหมือนกัน เขารักผู้หญิงเขาก็อยากได้ผู้หญิงไปเป็นของเขาเร็ว ๆ เข้าใจหรือยัง ?”

เข้าใจ ? ความจริงภรณีก็ควรจะเข้าใจในเรื่องของคู่อื่น เท่าที่หล่อนเคยได้ยินได้ฟัง เมื่อหญิงชายคู่หนึ่งหมั้นกันแล้ว ฝ่ายชายย่อมเป็นฝ่ายเร่งเร้าที่จะทำการวิวาห์เสมอ แต่ในเรื่องของหล่อนเองนี้–! “เขารัก–เขาอยากแต่งงานเร็วๆ–!” คำพูดนี้หมายความว่า ‘เขา’ ของหล่อนรักหล่อน—? ตั้งแต่หมั้นกันมาแล้วเกือบเข้า ๓ เดือน เขาได้มาหาหล่อนครั้งหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นที่แน่แก่ใจหล่อนนัก ว่าเขาตั้งใจมาหาหล่อน พูดกับหล่อนประโยคหนึ่งหรือสองประโยค ซึ่งไม่เป็นที่แน่แก่ใจหล่อนนักว่าเขาจงใจพูดกับหล่อนโดยตรง นอกจากนี้ก็—ไม่มีอะไรอีกเลย—‘เขา’รักหล่อน– –? ภรณีสนเท่ห์และรันทดอยู่ในใจ

​แต่ก็ช่างเขาเถอะ นั่นเป็นเรื่องของเขา หล่อนไม่ควรจะคิดยุ่งไปให้มากนัก ว่าถึงเรื่องของหล่อนเอง—แต่งงานภายใน ๒๒ วัน นับจากวันนี้ คิดแล้วใจสั่นดังจะเป็นลม ก็หล่อนยังไม่รู้จักเขาเลย และเขาก็ยังไม่ได้รู้จักหล่อน ๒๒ วัน นับจากวันนี้มีหวังหรือไม่ที่หล่อนจะได้รู้จักเขาขึ้นบ้าง และ และ — และทำให้เขารู้จักหล่อนขึ้นสักเล็กน้อย ? โดยไม่รู้สึกตัว ภรณีได้ใฝ่ฝันถึงเวลาที่เขากับหล่อนจะได้พบกันในวันที่ ๑๗ ซึ่งหล่อนหวังเป็นหนักเป็นหนาว่าจะทำตัวของหล่อนให้ ‘ดี’ ขึ้นกว่าเมื่อเขากับหล่อนพบกันในคราวแรก หล่อนหวังไว้ว่าจะคุมสติให้มั่น มิให้ความพรั่นพรึงความอายและความประหม่ามีอำนาจเหนือตัว เพื่อเขาจะได้เห็นหล่อนเป็นตัวของหล่อนตามธรรมชาติและตามปกติที่หล่อนเป็นโดยแท้จริง หล่อนหวังไว้ด้วยว่าต่อจากวันที่ ๑๗ ไปแล้ว บางที—บางที—เขา—เขาอาจจะ—บางที–หล่อนจะได้รู้อารมณ์ของหญิงที่—ที่มี—คู่รักบ้างก็เป็นได้ แล้วความกลัว ความหวาดที่เกิดขึ้นแก่หล่อนทุกคราวที่นึกถึงเขาในฐานะเป็นผู้ที่หล่อนจะแต่งงานด้วย ก็คงจะตกไป แต่บัดนี้—

บัดนี้นอกจากความยุ่งยากทางจิตใจ ความลำบากทางวัตถุก็ปรากฏขึ้นด้วย จิตราพูดว่า

​“ความจริงพี่ก็เห็นใจภรเหมือนกัน วันมันกระชั้นไปจริง ๆ แต่งเร็ว แต่งช้านะไม่แปลก แต่ควรจะมีเวลาเตรียมตัวนานกว่านี้หน่อย ทีนี้มันจำเป็นไม่รู้จะทำยังไง ที่จริงตัวบันลือเองน่ะเขาไม่ถือหรอกเรื่องฤกษ์เรื่องดาว แต่คุณยายของเขาน่ะซี ท่านว่าหลานท่านแต่งงานตั้งสองหนแล้วไม่เห็นยั่งยืน ท่านโทษว่าเป็นเพราะดวงชาตาของผู้หญิงไม่ถูกกับเขา หรืออย่างนั้นก็ไม่หาฤกษ์ให้ดี สำหรับเธอน่ะนัยว่าดวงชาตาเหมาะกันจี๋เลยกับดวงชาตาของบันลือ แต่เจ้ากรรมเวลาตั้ง ๔–๕ เดือนมีฤกษ์วันเดียวเพราะยังงั้นก็ต้องแต่งในวันนั้น หรือไม่ยังยังงั้นก็รอไปจนปีหน้า”

“๒๒ วัน !” ภรณีพึมพำ “จะต้องทำอะไรบ้างก็ไม่ทราบ ?”

“ที่จริง มันไม่ใช่หน้าที่ของเธอจะต้องยุ่งกับเรื่องทำอะไรหรือไม่ทำอะไร แต่เธอน่ะ—” สีหน้าจิตราออกบึ้ง “เธอน่ะลูกไม่มีแม่ เพราะงั้น แหม พี่อยากเป็นแม่เธอเสียเองเหลือเกิน” แล้วจิตราก็นึกขันตัวเอง “รู้ไหมล่ะ คู่หมั้นของภรน่ะ เขาเรียกฉันว่าแม่ยาย” ย้อนกลับมาคิดเป็นงานเป็นการ “เดี๋ยวก่อน มีอะไรที่จะต้องทำมั่ง เครื่องเหย้าเครื่องเรือนน่ะเราไม่​ต้องเกี่ยวละผู้ชายเขาจะจัดเอง เรื่องของเราก็มีแต่เรื่องเครื่องแต่งตัวเธอทำอะไรไปแล้วมั่งล่ะ?”

“ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ตอบแล้วภรณีรู้สึกเหมือนน้ำตาจะหยด หล่อนกลั้นไว้ได้ด้วยความลำบาก

“ต๊ายยังไม่ได้ทำอะไรเลยรึ เอ๊ะยังไงกัน?” จิตราทำหน้านิ่ว หล่อนอยากจะกล่าวคำร้ายให้มารดาเลี้ยงของภรณีสัก ๒–๓ คำ แต่เว้นเสีย พูดว่า “ฮื้อ ช่างเถอะแล้วคิดจะทำอะไรมั่งล่ะ ? อย่างเสื้อผ้าชั้นนอกชั้นในจะต้องหาอะไรมั่ง?”

“ก็เห็นจะต้องแล้วแต่นาย” เป็นคำตอบอย่างแผ่วเบา

จิตราร้องฮื้อ! ด้วยความรำคาญจนยั้งปากไว้ไม่ทัน “เมื่อไหร่เธอจะออกจากปีก— อุ๊ยไม่ใช่ปีกด้วยซ้ำ ไอ้ปีกนี่เขากกกันให้อุ่นให้พ้นอันตราย อย่างเธอนี่เขากดหัวเธอ ขอโทษเถอะ พูดตรงไปหน่อย แต่มันถึงเวลาแล้วนะที่เธอจะทำอะไรตามใจของเธอมั่ง”

ภรณีไม่ติดใจจะโต้แย้ง หล่อนตอนเรียบ ๆ “เกี่ยวกับเรื่องเงินค่ะ นายเป็นคนเก็บเงิน”

“ก็เงินของเธอไม่ใช่รึ ? ของเธอแท้ ๆ เธอต้องการก็เรียกเอาสิ”

ภรณียังไม่ติดใจที่จะแย้งอยู่นั่นเอง “คุณพี่กรุณาพูดหน่อยสิคะ” หล่อนว่า แล้วอดไม่ได้จึงอธิบาย “ดิฉันไม่อยาก​จะทำอะไรให้เกิดขัดใจกันขึ้นเวลานี้ เพราะ—” สีหน้าของหล่อนแดงเรื่อขึ้น “เพราะไหน ๆ เราก็จะพ้นเขาไปในไม่ช้า ดิฉันอยากจะให้พ้นไปโดยดี”

“ก็ถูกเหมือนกัน คิดอย่างนั้นน่ะถูกที่สุด แต่พี่รำคาญผู้ใหญ่ไม่ทำหน้าที่ผู้ใหญ่ เอ้า ไหนว่าไปถีเธอจะให้พี่พูดอะไร?”

“พูดอะไรก็แล้วแต่คุณพี่เถอะค่ะ คือว่าให้นายเห็นความจำเป็น ว่าดิฉัน— ก็จะย้ายบ้านไป— อยู่กับคนอื่น— อย่างน้อยก็ต้องมีเสื้อผ้า– –”

จิตราลุกจากที่ปราดไปยืนอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้าของภรณี “ฉันจะเป็นแม่ยายนายบันลือของเธอเสียจริง ๆ ละ” หล่อนว่า “ไหน ๆ เปิดตู้ออกดูถีเธอมีอะไรอยู่แล้วมั่ง จะต้องหาอะไรเพิ่มเติมมั่ง เราต้องทำแต่ที่จำเป็น เพราะเวลาของเรามันมีน้อยนัก อีกอย่างหนึ่งตามเสียงพระเอกของเธอก็ดูเหมือนว่าเขาจะพาเธอไปเก็บไว้กับเขาคนเดียวที่หัวเมือง เธอคงยังไม่ต้องการเครื่องแต่งตัวหรู ๆ มากนัก อ้อ พูดถึงเรื่องนี้เมื่อคืนวานเขาถามฉันว่าเธอจะไม่เบื่อรึ ไอ้ที่ ๆ เขาอยู่น่ะมันก็ป่าเราดี ๆ นี่เอง”

เขาถาม ? อ้อ เขาปรารภถึงหล่อนบ้างเหมือนกัน ? ภรณีตอบอย่างมั่นคงด้วยน้ำใจอันแน่วแน่

​“อะไรที่เป็นหน้าที่ ดิฉันไม่เคยท้อถอยเลยค่ะ แล้วที่จริงเวลานี้ดิฉันก็ยิ่งกว่าอยู่ป่า”

“ตกลง” จิตราหันกลับไปหาตู้อีก ภรณีกระดากใจที่จะให้จิตราเห็นสมบัติส่วนตัวของหล่อนซึ่งแสดงถึงความขัดสนแห่งผู้เป็นเจ้าของอย่างจะแจ้ง แต่หล่อนหักความรู้สึกเช่นนั้นเสียโดยเร็ว ไขกุญแจเปิดตู้ตามความประสงค์ของจิตรา พร้อมกับพูดแกมหัวเราะ

“เปิดออกมาคุณพี่จะเห็นว่าเท่ากับตู้เปล่า”

จิตราไม่แสดงความเห็นอย่างไร เมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่ในตู้แล้ว ความคิดอันหนึ่งเด่นอยู่ในใจของหล่อน หล่อนได้ชักจูงหญิงที่มีแต่ตัวแท้ ๆ ไปยกให้แก่บันลือ แต่หล่อนเชื่อว่าหญิง ๆ คนนี้มีคุณสมบัติซึ่งเป็นค่าล้ำแห่งสมบัติทั้งหลาย และด้วยเหตุนี้หล่อนไม่เสียใจในการกระทำของหล่อน ทั้งยังหวังเต็มเปี่ยมอีกด้วยว่าต่อไปภายหน้า หล่อนจะได้ภูมิใจในการกระทำของหล่อน

ครึ่งชั่วโมงล่วงไปโดยการคิดในการจดสิ่งของที่ต้องการลงในกระดาษแผ่นหนึ่ง แล้วจิตราพูดถึงสิ่งสำคัญที่จำเป็นที่สุดแก่ภรณี คือเครื่องแต่งตัวชุดที่จะใส่ในวันแต่งงาน “ไอ้นี่แหละ ช้าไม่ได้” จิตราว่า

​หล่อนพูดต่อไปเมื่อได้ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “พี่รู้แล้ว พี่ต้องพูดทีเดียวให้เสร็จตลอดเรื่อง พี่จะต้องมารับเธอไปนั่นมานี่บ่อย ๆ ไอ้เสื้อน่ะถ้าช่างเขาไม่เคยกับเรา เราต้องลองทุกตัว ถ้าพี่นัดเมื่อไหร่เธอจะต้องไปได้ทุกที แหมยายเยื้อนแกคงเกลียดหน้าพี่ขึ้นอีกร้อยเท่า” หล่อนหัวเราะ แต่คราวนี้พี่ต้องขู่แกให้อยู่มือ ต้องขู่ว่าถ้าแกรวนผู้ชายเขาเบื่อ เขาอาจจะถอนหมั้น เอ๊ะ แต่พูดอย่างนี้ แกอยากแกล้งเธอ แกยิ่งรวนใหญ่ก็ไม่รู้”

ภรณีหัวเราะ ค่อยแช่มชื่นขึ้นเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่ามีผู้เอาใจใส่ช่วยเหลือตนอย่างจริงจัง จิตราพับกระดาษใส่ไว้ในกระเป๋า พลางพูดว่า

“เสร็จเรื่องแล้วนะ พี่จะต้องกลับบ้าน หมู่นี้เจริญเขากลับเร็วทุกวัน ถ้าเธอคิดอะไรได้อีกก็จดไว้ก็แล้วกัน ปิดตู้เสียเถอะเร็วเข้า วันนี้เธอต้องพาพี่ไปหายายแม่ร้าของเธอ แต่เวลาพี่พูดกับแกเธอเลี่ยงไปไหนเสียก่อนก็ได้ ให้พี่พูดกับแกคนเดียวดีกว่า”

ภรณียิ้มแทนคำตอบ เมื่อรู้ว่าจะมีเหตุทำให้มารดาเลี้ยงเกิดความไม่พอใจ หล่อนไม่มีความปรารถนาอันใดยิ่งไปกว่าที่จะหลีกเลี่ยงไปเสียไกลที่สุดที่จะไกลได้ ปิดบานตู้ลั่นกุญแจแล้ว​หยิบสิ่งของที่วางเกะกะอยู่เข้าที่เสียดังเดิม แล้วก็ออกจากห้องไปพร้อมกับแขกของหล่อน

ประมาณ ๒๐ นาทีภายหลัง เมื่อรถของจิตราออกประตูบ้านไปแล้ว ภรณีไปที่ครัว เพื่อดูงานของหล่อนเหมือนอย่างเคย หล่อนคิดว่านางจำนงฯ คงยังอยู่บนเรือนในที่ ๆ จิตราได้พบและสนทนาด้วย แต่นางจำนงฯ ได้ลงไปที่ครัวแล้วในระหว่างที่ภรณีเดินไปส่งเพื่อนผู้มีอาวุโสของหล่อนนั่นเอง นางเยื้อนกำลังพูดกับนางเจิมด้วยกิริยาของผู้ที่จะพูดเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยยืดยาว แต่เมื่อเห็นภรณีนางเยื้อนก็หยุดชะงักดังถูกมนต์จังงัง ทำอาการขบฟันปลอมอันเป็นอาการที่นางเยื้อนกระทำเสมอเพื่อให้ฟันเหล่านั้นกระชับกับเหงือกยิ่งขึ้น เห็นสายตาที่มารดาเลี้ยงมองมาดูตนพร้อมกับทำคอแข็ง ภรณีเกิดความคิดคล้าย ๆ กับจะเห็นว่ากำหนด ๒๒ วันที่จิตราแจ้งแก่หล่อนในวันนี้ เป็นกำหนดที่ไม่กระชั้นไปเสียแล้ว

ความจริงนับแต่วันที่หลวงจำนงฯ พร้อมด้วยภรรยาได้รับของหมั้นไว้จากสุภาพสตรีชราผู้เป็นยายของบันลือ นางจำนงฯ ได้ยุติการว่ากล่าวเสียดสีลูกเลี้ยง อย่างที่เกือบจะกล่าวได้ว่าโดยเด็ดขาด ถ้าภรณีได้ฟังคำแสลงหูบ้าง นาน ๆ ครั้งหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะนางเยื้อนเผลอตัวเสียความตั้งใจไปชั่วขณะ แต่ทั้งนี้เป็นเรื่องของการเสียดสีต่อหน้า ซึ่งแต่ก่อนนี้ภรณีเคยได้รับอยู่​เป็นนิจ ส่วนการเสียดสีลับหลัง ไม่ต้องสงสัยว่าจะไม่ทวีขึ้นตามส่วนของความดันแห่งความอดกลั้นที่นางเยื้อนผจญอยู่ เคราะห์ร้ายที่คู่สนทนาของนางเยื้อน ซึ่งนางเยื้อนใช้เป็นเครื่องระบายความคิดความรู้สึกของตนนั้น ได้เริ่มพยายามทำตัวจะเป็น ‘พวก’ ของภรณี พร้อมกับที่นางเยื้อนเริ่มอดกลั้นวาจาเมื่ออยู่ต่อหน้าภรณีด้วย นางเยื้อนนินทาว่ากล่าวภรณีอย่างใด นางเจิมก็เล่าให้ภรณีฟังจนสิ้น ภรณีฟังแล้วก็นิ่งอยู่ นิ่งทั้งโดยวาจา โดยกิริยา และโดยสีหน้า ภรณีรู้ว่าหล่อนควรจะต้องติตัวเองอย่างหนัก ในการที่ปล่อยให้หญิงผู้เป็นแม่ครัวเก็บเรื่องที่นายพูดให้ฟัง มาแจ้งแก่หล่อนผู้มีฐานะเป็นลูกอยู่ในบ้าน หลายครั้งหล่อนนึกจะห้ามปรามตัดบทเสียมิให้นางเจิมพูดอีก แต่ทุกครั้งหล่อนเกิดนึกเสียดาย กลัวจะไม่ได้รู้ข้อความที่ตนถูกนินทา จึงยึดการ ‘นิ่งเสีย’ มั่นไว้ก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่นี้ เมื่อภรณีมองเห็นทางที่จะพ้นจากนางเยื้อนปรากฏอยู่รำไร หรืออีกนัยหนึ่ง หล่อนแน่ใจว่าหล่อนจะเป็นผู้ชนะอยู่แล้ว หล่อนสนใจมากยิ่งนักในความร้ายนานัปการที่นางเยื้อนกระทำแก่หล่อน หล่อนต้องการจะรู้ให้ละเอียด รู้ให้ตลอดจนถึงที่สุด ว่าความร้ายของนางเยื้อนมีความแรงปานไหน ยิ่งรู้มาก สะสมจำไว้ได้มาก ชัยชนะของหล่อนก็ยิ่งจะมีรสหอมหวาน ชวนชื่นชวนเสพสำหรับใจของหล่อนเป็นทวีคูณ

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,120


View Profile
« Reply #4 on: 28 October 2025, 21:01:12 »


๑๕



​ดูกรคฤหบดี อริยสาวกนั้นย่อมเป็นผู้ทำปัตตกรรม ๔ ประการ—

อริยสาวกในพระธรรมวินัยนี้ เลี้ยงตน เลี้ยงมารดา บิดา, บุตร ภรรยา บ่าว คนอาศัย เพื่อนฝูง ให้เป็นสุขเอิบอิ่มสำราญดีด้วยโภคทรัพย์ ที่ได้มาด้วยความหมั่นขยัน ที่สะสมขึ้นด้วยกำลังแขน ที่ต้องทำงานจนเหงื่อไหล ที่ชอบธรรม ที่ได้มาโดยธรรมนี้ เป็นปัตตกรรมประการหนึ่งของอริยสาวกนั้น เป็นการชอบแก่เหตุแล้ว เป็นการสมควรแล้ว เป็นการใช้ (โภคทรัพย์) โดยทางที่ควรใช้แล้ว

 


อำนาจแห่งแสงและสีทำให้ตาพร่า ค่อย ๆ ลดลงทีละน้อย ๆ ภรณี เริ่มมองเห็นคนเป็นคน ชัดเจนขึ้นทีละคนสองคน เห็นตัว เห็นหน้า เห็นเสื้อผ้าที่เขาใส่ เขาเหล่านั้นมากคนด้วยกัน เฉพาะแต่ที่ร่วมโต๊ะกับหล่อน ก็ดูเหมือนประมาณสัก ๑๕–๑๖ คน ส่วนที่โต๊ะรอบนอก ซึ่งล้อมโต๊ะหล่อนอยู่สามด้านอีกเล่า ทั้งหญิงทั้งชายน่าจะไม่น้อยกว่า ๕๐–๖๐ คน

​เสียงห้าว แต่อ่อนละมุนละม่อม พูดอยู่ที่ข้างหูหล่อน เสียงนี้ทำให้ภรณีกลับมีอำนาจเหนือประสาทของหล่อนเอง ประสาทที่ได้มึนชาไปเพราะความตื่นเต้น ความประหม่าและความกลัว

เสียงนี้บางทีก็กังวานไปไกลหน่อย กังวานไปทางซ้าย กังวานไปทางขวา กังวานไปทางข้างหน้า แต่กังวานไปทางใดก็ตาม ภรณีไม่มีความรู้สึกว่าเสียงนั้นดังขึ้นกว่าเมื่อพูดอยู่กับหล่อน เหตุไฉนผู้อยู่ไกลถึงปลายโต๊ะก็ฟังได้ยินถนัด ?

ครั้งแรกที่เสียงกังวานขึ้นเบา ๆ สำหรับหูหล่อนโดยเฉพาะแต่ผู้เดียวนั้น เป็นคำถามว่า

“ร้อนไหม ?”

หล่อนตอบว่าไม่ร้อน ที่จริงหล่อนไม่รู้ตัวว่าร้อนหรือหนาว รู้สึกแต่เพียงว่ามือทั้งสองข้างชื้นไปด้วยเหงื่อ

“ที่จริงถ้าเราเลี้ยงกันสัก ๒๐ คน อากาศในห้องนี้กำลังดีทีเดียว นี่คนมากไป ๒ เท่า เครื่องดูดอากาศไม่พอกับจำนวนคน”

หล่อนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เพื่อดูว่าวัตถุที่เขากล่าวถึงนั้น รูปร่างเป็นอย่างไร ดูไปจนทั่วทั้งที่ฝาผนัง ทั้งบนเพดานที่พอจะดูได้โดยไม่ต้องแหงนคอ ก็ไม่เห็นสิ่งใดมีลักษณะควรแก่ชื่อวัตถุที่เขากล่าว แล้วการค้นหาวัตถุนั้นทำให้เกิดความสังเกตว่าไม่มี​ดวงไฟปรากฏอยู่ในห้องนี้แม้แต่ดวงเดียว แต่แสงสว่างสีชมพูแกมเหลืองก็ส่องอยู่ทั่วทั้งห้อง ทันใดนั้นหล่อนเกิดความรู้สึกว่า ตนของตน ช่างหูป่าตาเถื่อนยิ่งนัก แล้วรู้สึกต่อไปว่า ตนเป็นผู้ต่ำด้อยจนเหลือที่จะประมาณ เมื่อเทียบกับเขาผู้ที่นั่งอยู่ทางเบื้องซ้ายของตัว เขากำลังโต้ตอบอยู่กับผู้ที่อยู่คนละฟากโต๊ะเยื้องไปทางเบื้องขวาของหล่อน หล่อนลอบมองดูเขาได้โดยเต็มตา ความพิศวงแล่นเข้าจับใจ เป็นไปได้หรือที่เขาผู้นี้เป็นคู่หมั้นของหล่อน และ—จะเป็นของหล่อนโดยแท้จริงตามกฎหมาย และตามประเพณีนิยมภายในสองวันข้างหน้า ? ตลอดทั้งตัวของเขามีส่วนที่หล่อนอยากจะติอยู่นิดเดียว ดวงตาของเขามีลักษณะที่ทำให้หล่อนกลัว เขาควรจะหรี่ประกายตาของเขาลงเสียบ้าง เมื่อเขามองดูหล่อน

กังวานแห่งเสียงอันกลม และนุ่มนวล ตั้งอยู่ที่ข้างหูหล่อนอีก

“ต้องการเกลือไหม ? ซ้อสสำหรับปลานี่ออกจะอ่อนเค็มไปหน่อย” เขาหยิบถ้วยเกลือส่งให้หล่อน

“คุณ คุณ บันลือ !”

เขามองไปทางเสียงที่เรียกเขา “ขอโทษ ไม่ทันได้ยิน”

​“แล้วกัน ! หูเหืองอื้อหมด ตาก็จะฟางไปเสียด้วยก็ไม่รู้”

“โธ่ เป็นใครบ้างใครก็ฟาง” เสียงออกรับมาจากอีกทางหนึ่ง

“เพียงแต่ฟางน่ะ ยังน้อยไปเสียอีกนะนา !” เสียงข้างภรณีตอบ

อีกครู่หนึ่งเสียงนี้ชวน “รับประทานถั่ว” เขาหยิบจานเชิงน้อยที่ใส่ถั่วส่งให้หล่อน

ภรณีมองไปตรงหน้าโดยเร็ว วิธีที่จะให้ถั่วออกจากภาชนะนั้นเขาทำกันอย่างไร และก่อนที่ถั่วจะเข้าปากจะต้องพักอยู่ที่ไหน มองไปไม่เห็นตัวอย่าง หล่อนจึงปฏิเสธ

“ไม่รับประทานค่ะ ขอบคุณ”

บันลือ หยิบถั่วปากอ้าใส่ไว้ในจานขนมปังของเขา ๒–๓ ซีก แล้วส่งต่อไปให้สุภาพสตรีที่อยู่ต่อไปทางเบื้องซ้าย เมื่อเจ้าหล่อนผู้นั้นหยิบไว้แล้ว และเขาเองก็ได้รับประทานแล้วด้วย เขายกจานเชิงน้อยกลับมาวางให้ตรงหน้าภรณีอีก

“ลองหน่อย กรอบดีนะ หรือไม่ชอบ ?”

คราวนี้ภรณีไม่ปฏิเสธ

​เมื่อผู้รับใช้นำห่านอบมาเลิฟ และภรณีได้แบ่งไว้ครบเครื่องด้วยความรู้สึกเชื่อในความรู้ของงานดีขึ้นกว่าเก่ามากแล้ว เสียงที่เพราะหูหล่อนได้ถามขึ้นอีก

“โดยปกติชอบรับประทานกับข้าวฝรั่งไหม ?”

“บางทีก็ชอบ”

“แล้วขยันทำด้วยหรือเปล่า ?”

หล่อนนึกถึงเวลายังอยู่โรงเรียน ชั่วโมงสำหรับการครัวเป็นชั่วโมงที่หล่อนได้รับความเพลิดเพลินมากและหล่อนสามารถที่จะประกอบอาหารฝรั่งได้หลายอย่าง แต่เมื่ออยู่บ้าน—หล่อนตอบตามตรง

“ขยันค่ะ แต่ที่บ้านขาดเครื่องมือ”

“พี่สาว—พี่มุกดาแน่ะเก่งทางนี้ อ้อ จิตราอีกคนหนึ่งยังไงล่ะ ผู้เชี่ยวชาญทั้งนั้น เรื่องเครื่องมือเห็นจะหาเก่ง”

แล้วเขาย้ายความสนใจของเขาไปเฉลี่ยให้แก่แขกคนนั้นคนนี้บ้าง แล้วแต่แขกคนใดจะพูดเท้าความมาเกี่ยวข้องกับตัวเขา บางทีเขาหันมาทางหล่อน เป็นเชิงขอให้แสดงความเห็นในเรื่องที่เขากำลังโต้ตอบอยู่ ภรณียังไม่กล้าพอจะทำดังที่เขาเชิญชวนด้วยกิริยา ก็ยิ้มแทนคำตอบไว้พลางก่อน ระหว่างนี้หล่อนเริ่มจับเสียงดนตรี ที่บรรเลงอยู่ในกระโจมหน้าตึกได้บ้าง ​เป็นเสียงเพลงทำนองเรียบ ๆ ไม่ดังนัก ไม่ค่อยนัก พอฟังได้เพราะหู แล้วสุภาพบุรุษที่นั่งอยู่ทางขวาหล่อนก็ชวนหล่อนพูดบ้าง แต่เขาพูดเรื่องภาพยนตร์ซึ่งหล่อนไม่มีความรู้ที่จะโต้ตอบกับเขาได้เลย ไม่ช้าเขาก็หันไปพูดกับหญิงอีกคนหนึ่งทางเบื้องขวาของเขา ภรณีไม่เสียใจ หล่อนต้องการจะฟังคำพูดจากเสียงที่เพราะหูหล่อน มากกว่าที่จะพูดเอง หรือตั้งใจฟังเสียงอื่น และสมองของหล่อนกำลังเริ่มแจ่มใสขึ้น พอที่จะสนใจในบุคคลที่อยู่รอบข้าง ไม่ต้องสงสัย เขาเหล่านั้นทุกคนย่อมรู้จักแล้วว่าหล่อนเป็นใคร ฝ่ายหล่อนไม่รู้จักเขา มีนามหลายนาม ทั้งนามหญิงนามชายอยู่ในความจำของภรณี เพราะมีผู้กล่าวแนะนำให้หล่อนรู้จักเมื่อแรกที่เจ้าของนามมาถึง แต่เขาเหล่านี้เมื่อได้รับการแนะนำแล้ว เกือบไม่มีสักคนเดียวที่ได้หยุดสนทนาอยู่กับหล่อน เขาทักหล่อน หรือเพียงแต่ยิ้ม หรือก้มศีรษะให้แล้วก็หันไปทักทายกับคนอื่น ๆ ที่รู้จักคุ้นเคยกันต่อไป ทั้งที่ภรณีมีสติไม่มั่นคง หล่อนก็อดมิได้ที่จะรู้สึกว่า ถึงแม้เขาจะสนทนากันอยู่ทางหนึ่ง แต่สายตาของเขาจับจ้องสังเกตสังกาหล่อนอยู่ ตัวหล่อนเองนั้น เมื่อเขาห่างจากหล่อนไปแล้ว หล่อนจะผสมนามเข้ากับตัวเจ้าของนามก็ผสมไม่ถูก แต่บัดนี้โดยการได้ฟังคน​นั้นเรียกคนนี้ คนนี้ออกนามคนโน้น หล่อนรู้จักเขาขึ้นทีละคนสองคน จนเกือบครบตัวผู้ที่ร่วมโต๊ะอยู่กับหล่อน

ในระหว่างการรับประทานของหวาน ซึ่งมีไอสครีมกับขนมฝรั่ง ได้มีผู้ชวนดื่มสำหรับความสุขของเจ้าของบ้าน และเจ้าสาวในอนาคตของเขาด้วย มีผู้ถามแซงขึ้นว่า “อนาคตใกล้หรือไกล ?” เจ้าของบ้านตอบในเสียงหัวเราะ “ไม่ใกล้นักไม่ไกลนัก” เขาไม่ได้บอกกำหนดวันแต่งงานที่เขากะไว้แก่แขกคนหนึ่งคนใดเลย เมื่อตอบไปแล้วเขาหันมายิ้มกับเจ้าสาวในอนาคตของเขาอย่างเป็นกันเอง

สีหน้าของหล่อนแดงเรื่อขึ้นโดยเร็ว ความรู้สึกประหลาดซ่านไปทั่วทั้งตัว

ต่อจากนี้ ผู้รับใช้ได้นำกาแฟมาเสิร์ฟ

ครั้นแล้ว เสียงขาเก้าอี้กระทบพื้นห้องหรือครูดกับพื้นห้อง ซึ่งดังขึ้นซ้อนเสียงพูดอันแซ่แต่เบา รวมกับภาพแห่งบุคคล ๖๐–๗๐ คน ลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างไม่เร่งร้อน แต่ถึงกระนั้นก็ดูเป็นภาพที่พลุกพล่านแก่ตาอยู่บ้าง ทำให้ภรณีตื่นจากอารมณ์อันคล้ายอารมณ์ของผู้ที่หลับ และฝันเห็นความวิจิตรของสิ่งต่าง ๆ หลายสิ่งพร้อมกัน ภรณีเกือบจะเป็นคนสุดท้ายในโต๊ะกลางนี้ที่ลุกจากที่นั่ง คู่หมั้นของหล่อนได้จับเก้าอี้เลื่อนที่ให้ด้วย​ท่าทางอันสุภาพงดงาม พ้นจากที่นั่งแล้วหล่อนชำเลืองดูเขา ไม่แน่ใจว่าควรจะกล่าวคำขอบคุณเขาหรือไม่ ในที่สุดหล่อนไม่กล่าว บรรดาแขกได้เข้ารวมกันเป็นหมู่ ๆ ความวิตกเกิดขึ้นแก่ภรณี หล่อนจะต้องผจญกับความรู้สึกว่าตนถูกทอดทิ้งเหมือนที่ได้ผจญเมื่อก่อนเวลารับประทานอาหารกระมัง ตนควรจะเดินไปทางไหนและไปสู่ที่ใด อยากจะให้ ‘เขา’ บอกยิ่งนัก แต่ไม่กล้าออกปากถาม เขายืนอยู่ข้างหล่อนแต่เยื้องไปข้างหลัง นอกจากนั้นเขาสูงกว่าหล่อนมาก ทั้งที่ส้นรองเท้าของหล่อนมีขนาดสูงถึง ๔ นิ้ว เมื่อเขากับหล่อนเดินคู่กันจากห้องรับแขก มายังห้องรับประทานอาหาร ศีรษะของหล่อนก็ยังอยู่เพียงบ่าเขาเท่านั้นเอง บัดนี้ ถ้าหล่อนจะดูสีหน้าหรือสายตาของเขา เพื่อรู้ว่าเขาประสงค์ให้หล่อนทำอย่างใดต่อไป หล่อนจะต้องเอี้ยวตัวและแหงนหน้าขึ้นดูเขาอย่างจริงจัง ซึ่งหล่อนไม่อาจที่จะทำเป็นอันขาด

แต่หล่อนจะยืนอยู่เช่นนั้นอีกไม่ได้ จะเป็นพิรุธให้คนทั้งหลายรู้ว่า หล่อนมิรู้จะพาตัวไปวางไว้แห่งใด ทันใดนั้นหล่อนคิดถึงชายคนหนึ่งที่มาในงานนี้ วิชิต ! เขาคงได้รับความลำบากใจเช่นเดียวกับหล่อน และสมศรีน้องสาวของเขาก็เหมือนกัน

​ภรณีตัดสินใจเดินไปยังประตูที่ติดต่อกับเฉลียงตึกด้านหน้า แขกส่วนมากได้ออกมาทางนี้ วิชิตกับสมศรีอยู่ที่ไหน พี่น้องสองคนนี้แหละที่เป็นแขกของภรณีโดยแท้ คือเป็นผู้ที่ภรณีจดชื่อให้ไปแก่จิตรา แขกอื่นนอกไปจากนี้ล้วนแต่เป็นแขกของบันลือหรือแขกของพี่ของน้องของเขาทั้งสิ้น

หล่อนพิศวงและสบายใจขึ้น เมื่อได้ยินฝีเท้าตามหลังหล่อนมาโดยใกล้ชิด ถึงอย่างไรคงจะเป็น ‘เขา’ นั่นเองไม่ใช่ใครอื่น เขายังตามหล่อนมาด้วย บางทีเขาจะยังไม่ละหล่อนเสีย จะอยู่ใกล้ให้ความดูแลและอุ่นใจแก่หล่อนต่อไปอีกนาน

ชายผู้หนึ่งเดินตรงมาหยุดอยู่ข้างหน้าหล่อน หล่อนจำเขาได้ว่าเป็นคนหนึ่งในจำนวนแขกที่มาถึงก่อนคนอื่น ๆ และเป็นผู้ที่บันลือเองได้แนะนำให้รู้จักกับหล่อน แต่หล่อนนึกชื่อของเขาไม่ออกเสียแล้ว

“ขออนุญาตเต้นรำกับ—นางเอกของงานในเที่ยวแรกทีเดียวได้ไหม ?” ชายผู้นั้นกล่าว มองดูภรณีก่อน แล้วจึงมองไปยังผู้ที่เขาพูดด้วย

“ไม่ได้” เป็นคำตอบอย่างเด็ดขาด

อีกฝ่ายหนึ่งหัวเราะ แล้วตอบว่า

​“ไม่ได้ก็ไม่เสียใจ ขอเที่ยวที่ ๓ ที่ ๔ หวังว่าคงจะไม่หวงถึงกับไม่ให้อีก”

“เที่ยว ๓ เที่ยว ๔ หรือเที่ยวไหน ๆ ก็หวง แต่อนุญาตให้ตกลงกับเจ้าตัวเอง—ถ้า—” เขาชะงัก มีผู้เรียกชื่อเขาหลายครั้ง “ตกลงกันเองก็แล้วกัน ขอโทษ เห็นจะมีธุระอะไรเสียงเรียกถี่จริง”

“ตกลงนะครับ เที่ยวที่ ๓ ที่ ๔ เป็นของผม ที่จริงผมรู้แล้วว่าเที่ยวที่หนึ่งที่สองนะไม่ได้แน่ เป็นผม ๆ ก็ไม่ยอมให้ใคร” เขาหัวเราะ “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง –” เขามองหล่อนอย่างมีความหมาย “คุณจะออกไปนั่งข้างนอกหรือครับ ?”

“ดิฉันอยากไปหาคุณจิตรา” ภรณีตอบ ชายผู้นี้ไม่มีความอุ่นใจแก่หล่อนเลย ตรงกันข้าม—

“คุณจิตรา ?” เขาขยับไหล่ “ป่านนี้— ป่านนี้คงถูกล้อมจนมองไม่เห็นตัว คุณจิตราไปไหนก็ถูกรุมล้อมที่นั่น คนสวย” เขาหัวเราะอีก “แล้วก็แต่งงานตั้ง ๑๐ ปีแล้ว—”

“ไม่ถึงค่ะ” ภรณีค้าน ทั้ง ๆ ที่ไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเขาเลย

“เหมือนกันแหละ” เขาตอบอย่างไม่เอาใจใส่ “ ๓ ปีไปแล้วละก็—ออกไปข้างนอกหรือครับ ในนี้ร้อน เจ้าของ​บ้านเขาพิถีพิถัน ดูซีคุณ หาพัดลมไม่ได้สักอัน แต่ที่บนโน้นมี ผมหมายถึงว่าห้องเต้นรำเห็นจะไม่ร้อน”

เขาพยักเป็นเชิงชวนอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ออกเดิน หล่อนไม่อยากเดินตามเขา แต่ถ้าไม่เดินก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เขาทำท่าดังจะประคองหล่อน, แขนเสื้อของเขากระทบแขนหล่อน แล้วด้วยหล่อนหนีบแขนเข้าหาตัวโดยเร็ว การเดินคู่กับชายหนุ่มโดยใกล้ชิด เป็นสิ่งที่หล่อนไม่เคยประสบมาก่อน วันนี้หล่อนรู้ว่าผู้หญิงในสมัยปัจจุบันย่อมทำเช่นนั้นได้ ถึงกระนั้นหล่อนก็หวั่นหวาดในการที่จะทำเหมือนเขา ออกมาถึงเฉลียง เห็นผู้ที่ออกมาก่อนแล้ว ยืนอยู่เป็นกลุ่มก็มี เดินไปทางอื่นก็มี บางคนยิ้มกับหล่อนเป็นเชิงปราศรัย แต่ไม่มีใครเรียกร้องให้หล่อนเข้าไปหา หรือเข้ามาหาหล่อน นักดนตรีที่อยู่ในกระโจมเมื่อครู่ก่อน กำลังจะย้ายที่ ชายผู้อยู่เคียงภรณีบอกแก่หล่อนว่า เขาเหล่านั้นจะขึ้นไปตั้งวงใหม่ที่ในห้องเต้นรำ ภรณีหันเข้าหาพลึงลูกกรง ทำท่าดังหนึ่งมีความทึ่งในวงดนตรีนั้นยิ่งนัก แต่ในใจปรารภอยู่ว่า เมื่อไรชายผู้นี้จะไปเสียที่อื่น แต่ก็อีกน่ะแหละ ถ้าเขาไปเสียหล่อนจะมิถูกทิ้งให้ยืนอยู่แต่ผู้เดียวหรือ ?

เขายืนหันข้างให้ลูกกรง ห่างจากหล่อนประมาณสักคืบครึ่ง ภรณีค่อยพอใจขึ้นบ้าง เขาถามหล่อนว่า

​“คุณเห็นจะชอบเต้นรำมาก ?”

หล่อนยิ้มออกมานิดหนึ่ง และรีบตอบ “ดิฉันเต้นไม่เป็นเลยค่ะ”

“อ๋อ” เขาพูดอย่างไม่สงสัย “เห็นจะหมายความว่ายังไม่เคยได้รางวัลที่หนึ่งหรือที่สองอะไรอย่างนั้นใช่ไหม ? ผมไม่ชอบเต้นกับพวกเชี่ยวชาญขนาดนั้น”

“แต่ดิฉันเต้นไม่เป็นเลยจริง ๆ ค่ะ” ภรณียืนยัน มองจับตาเขาอย่างจริงจัง ครั้นรู้สึกตัวว่ากำลังทำเช่นนั้นอยู่ ก็ประหลาดใจตัวเอง ที่มิได้รู้สึกประหม่าหรือพรั่นพรึงอย่างใดเลย “ไม่เคยเต้นเลย นอกจาก—”

“อ๋อ พอแล้ว” เขาขัด “ถ้ามีคำว่านอกจาก ผมต่อเอาเองได้”

“เดี๋ยวค่ะ” ภรณีท้วง “ดิฉันยังพูดไม่จบ ดิฉันไม่เคยเต้นรำจริง ๆ นอกจากเมื่อยังอยู่โรงเรียนเต้นเล่น ๆ กับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน”

คราวนี้สีหน้าของเขาแสดงความประหลาดใจเล็กน้อย แต่แล้วก็พูดว่า

​“เข้าใจแล้ว คุณเหมือนดอกไม้ที่เพิ่งแย้มอยู่กับต้น—” เขาจ้องดูหล่อนมากขึ้น “แย้มอยู่กับต้นในเรือนกระจก บันลือเผอิญเคราะห์ดีสอดส่ายเข้าไปเห็น คงมีคนหลายคนนึกอิจฉา”

หล่อนรู้ว่านั่นเป็นคำยกย่อง แต่เป็นคำยกย่องที่ห่างไกลความจริง ทำให้หล่อนอาย ดอกไม้ในเรือนกระจก! เจ้าประคุณ! หล่อนลอบถอนใจเบา ๆ

“นั่งไหมครับ ?” ชายหนุ่มถามขึ้น “ผมจะไปหาเก้าอี้” ก่อนที่หล่อนจะได้ตอบ เขาละจากหล่อนเดินไปตามทางยาวแห่งเฉลียงโดยเร็ว

ภรณีหันกลับมาทางในตึก หมู่แขกที่ขวักไขว่อยู่เมื่อครู่ก่อนดูบางตาไป เห็นทีจะเข้าไปรวมกันอยู่ในห้องรับแขกและในห้องชั้นบน เสียงพูดเสียงหัวเราะดังมาจากที่ทั่วไป และเสียงกุบกับ กึกกัง ดังแว่ว ๆ อยู่เหนือศีรษะชายหนุ่มที่อาสาไปหาเก้าอี้เดินลับตัวไปทางมุมเฉลียง และหายไปค่อนข้างนาน “คงหาเก้าอี้ไม่ได้” ภรณีนึก “ถ้าเขาไม่กลับมาโดยเร็ว—” ความวิตกมิรู้จะพาตัวไปวางไว้แห่งใดจะกลับมาสู่หล่อน ทันใดนั้นหล่อนนึกถึงวิชิตกับน้องสาว ทั้งสองอยู่ในที่ใด เหตุไฉนหล่อนจึงไม่ได้เห็นเขาเสียเลย ?

​ชายสามคนเดินผ่านหล่อนไป แล้วหันกลับมามองดูหล่อน คนหนึ่งจับแขนเสื้อของอีกคนหนึ่งดึงให้หยุด คนที่สามจึงหยุดด้วย แล้วเขาหันหลังกลับ เดินเข้ามาหาหล่อนพร้อมกัน ภรณีเริ่มตกใจ แต่แล้วก็ตั้งสติโดยเร็ว แข็งใจต่อสายตากับผู้ที่ตั้งต้นพูดกับหล่อนและพยายามยิ้มด้วย เขาพูดว่า

“ยังไม่ขึ้นไปข้างบนหรือครับ ?””

“ยังค่ะ ข้างบนเห็นจะสบายสู้ที่นี่ไม่ได้”

“เห็นจะจริง” คนที่สองกล่าว “เผอิญคืนนี้เดือนหงายเสียด้วย ข้างนอกสบายกว่าในห้อง”

“แต่ข้างบนก็มีเฉลียง มองเห็นสนามเหมือนกัน” คนที่สามพูด “เหมาะทีเดียวสำหรับเป็นที่เต้นรำ นั่งไหมครับ ผมจะไปเอาเก้าอี้ ?”

หล่อนค้านโดยเร็ว “ไม่ต้องค่ะ คุณ— มีคนกำลังไปหาให้แล้วค่ะ”

เขาทั้งสามอ่านอาการชะงักของหล่อนผิดไปไกล คนหนึ่งพูดว่า

“มิน่าล่ะ คุณยืนอยู่คนเดียว นึกสงสัยแล้ว แต่นึกว่าคงไปยุ่งอยู่กับพวกแขก ยังบ่นกันว่าน่าสงสาร งานอย่างนี้ต้องรับแขกเองออกจะหนักอยู่สักหน่อย”

​อีกสองคนหัวเราะรับคำพูดของเพื่อน ซึ่งภรณีมิได้มีความเข้าใจแม้แต่น้อย แต่มีไหวพริบพอที่จะยิ้มไปกับเขาด้วย

“แต่งานของเขาเรียบดีมากนะ โก้ แล้วครึกครื้นพอดีๆ เครื่องสายเขาก็วิเศษมาก คืนนี้คงรุ่งคาตา” ผู้พูดมองไปยังหน้าสหายของเขาคนละที “เห็นจะเป็นงานที่หรูที่สุดสำหรับปีนี้ เว้นแต่งานของสมาคมใหญ่ ๆ”

“ถ้าไม่ยังงั้นก็ไม่คู่ควรกับ— คนสำคัญที่สุดของงาน” ผู้พูดก้มศีรษะให้ภรณีแล้วหันไปหัวเราะกับเพื่อน

ภรณีเพิ่งจะเข้าใจเนื้อความแห่งคำพูดเหล่านั้นได้ชัด สีหน้าของหล่อนแดงเรื่อขึ้นด้วยความอาย และความขันในความเขลาของตัวเอง ชายหนุ่มทั้งสามเห็นท่วงทีของหล่อนเป็นที่น่าเอ็นดู เขาพากันมองดูหล่อนด้วยสายตาแสดงความนิยมโดยจริงใจ

ชายผู้อาสาไปหาเก้าอี้กลับมามือเปล่า “บันลือเขาให้ผมพาคุณไปให้คุณจิตรา” เขาบอกมาแต่ไกล แล้วอธิบาย “ผมกำลังจะยกเก้าอี้มา” พูดได้ไม่ทันจบ มีผู้ขัดกลบเสียงเขาขึ้น

“โอ พ่อบันลือ ตัวอยู่เฝ้าไม่ได้ ต้องจัดแจงหาเฒ่าแก่ เห็นพวกเราเป็นคนป่าคนดงไปหรือยังไง”

“คุณจิตราอยู่ที่ไหน ?” ภรณีถาม

​“ไม่ทราบ ผมก็ยังไม่เห็น แต่เชื่อว่าคงขึ้นไปข้างบนแล้ว”

“ไปหาให้พบเสียก่อนซี เสน่ห์ก็ !”

เสน่ห์ ! อ้อ เขาชื่อเสน่ห์ ภรณีจะไม่ลืมอีกจนวันตาย แต่ทำไมเขาจึงชื่อเสน่ห์ในเมื่อเขาเป็นชาย หล่อนนึกรำคาญแทนเขา

“ผมเห็นคุณจิตราอยู่ในห้องรับแขก เมื่อก่อนผมเดินมานี่” คนหนึ่งบอก

“เราขึ้นไปในห้องรับแขกก็แล้วกัน” ภรณีเอ่ยขึ้น หล่อนเริ่มมีความกล้า และสัญชาตญาณความใคร่อวดของมนุษย์ก็กำลังถูกปลุก หล่อนได้ผจญกับความรู้สึกว่าตนเป็นผู้ ‘ด้อย’ น้อยหน้าคนอื่นมามากแล้ว บัดนี้หล่อนจะสำแดงความเป็น ‘เด่น’ ของหล่อนบ้าง “ไปด้วยกันทั้ง ๕ คน ถ้าเผื่อไม่พบก็—” หล่อนหยุด ไม่กล้าชวนมากไปกว่านี้

 

Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.08 seconds with 16 queries.