Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 22:00:29

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง นันทวัน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 6-10
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง นันทวัน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 6-10  (Read 73 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 28 October 2025, 20:41:58 »

นวนิยายเรื่อง นันทวัน บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 6-10





​ดูกรคฤหบดีบุตร มารดาบิดาเป็นทิศเบื้องหน้า—ย่อมอนุเคราะห์บุตรด้วยสถาน ๕ อย่าง คือ ห้ามบุตรจากความชั่ว ๑ ให้ตั้งอยู่ในความดี ๑ ให้ศึกษาศิลปวิทยา ๑ ให้ประกอบด้วยภรรยาที่สมควร ๑ มอบทรัพย์ที่ตนควรให้ในสมัย (อันควร) ๑

 

“แหม ขอโทษที เธอขา ปล่อยให้คอยนานไปหน่อย”

เมื่อได้ยินคำเหล่านี้ ดังมาในเสียงเจือหัวเราะ พร้อมกับที่ได้เห็นตัวผู้พูด บันลือก็หันไปโค้งคำนับอย่างงามแล้วตอบว่า

“ไม่เป็นไรมิได้ เมื่อแน่ใจว่าจะได้พบ ถึงจะให้คอยนานกว่านี้สักสองเท่าก็ไม่เดือดร้อน เพราะรู้สึกว่าไม่ได้เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์”

“ทุเรศ!” อีกฝ่ายหนึ่งร้อง “พอเปิดฉากก็ใช้บทเคลือบน้ำตาล แต่ขอบอกกล่าวล่วงหน้าเสียเร็ว ๆ วันนี้อย่าแสดงบทนี้จะดีกว่า”

“ทำไม ? กำลังใจไม่ดีหรือขอรับ ?”

หล่อนหัวเราะ “กำลังใจฉันน่ะดีเสมอ ฉันเตือนสำหรับคุณหรอกเชิญเข้ามาข้างในซีคะ”

​หล่อนนำเขาเข้าในห้องรับแขกพร้อมกับพูดสืบไปว่า

“พูดกับทำไม่เหมือนกัน ไม่รู้จักอายมั่งหรือพูดละก็ราวกับอยากพบจะเป็นจะตาย แต่ทั้งที่รับแล้วว่าจะไม่ให้คอย ก็ไม่ทำเหมือนที่รับ วันนี้เป็นวันครบอาทิตย์พอดีจะแก้ตัวว่ากระไร ?”

หล่อนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง บันลือก็ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้าไปใกล้หล่อน แล้วจึงนั่งลงและตอบว่า

“ข้อแก้ตัวของผมไม่มี มีแต่คำสารภาพ ใจผมคิดถึงคุณเหลือเกิน แต่ผมเอาคำตอบมาให้คุณยังไม่ได้ก็เลยไม่กล้ามา แม้แต่วันนี้ได้คำตอบมันก็ยังไม่กระจ่าง แต่ว่าวันนี้เป็นวันที่จะครบอาทิตย์ ก็จำเป็นต้องมาสำหรับรักษาสัญญาไว้ก่อน”

“ทำไมนะ” จิตรากล่าว มองดูคู่สนทนาของหล่อนอย่างทึ่งแกมความรู้สึกขัน “กะอีจะตอบว่าเอาหรือไม่เอาเท่านั้น มันยากนักเทียวรึ”

“โธ่ ถ้าเป็นเรื่องผักเรื่องหญ้าก็ง่ายซีคุณ นี่เป็นเรื่องคนทั้งคน ตรองแล้วมันแสนยาก—นี่ภัสดาคุณยังไม่กลับอีกหรือ ?”

“ยังค่ะ หมู่นี้เขากลับเกือบ ๕ โมงทุกวัน”

​“มิน่าล่ะ คุณจิตราจึงไม่พร้อมที่จะรับแขกเวลา ๔ โมง เวลานั้นเห็นจะเป็นเวลาแต่งองค์ทางเครื่องสำอาง ภัสดามาถึงจะได้รับขวัญให้ชื่นอกชื่นใจ—”

“พิลึกจริง!” จิตราว่า พร้อมกับหัวเราะและค้อนให้ “ธุระอะไรมานั่งขอดค่อนเขา คุณควรจะขอบใจที่ฉันแต่งตัวเรียบร้อยสะอาดสะอ้านมานั่งพูดอยู่กับคุณ นี่เป็นเพราะฉันตั้งใจแต่งตัวไว้รับภัสดาของฉัน ถ้าไม่ยังงั้นคุณจะต้องมานั่งพูดอยู่กับผู้หญิงหน้าตาสกปรก เป็นมันเยิ้ม หัวยุ่งเป็นอีบ้า คุณชอบเรอะ ผู้หญิงสกปรกอย่างนั้น”

“ผู้หญิงอื่นยังไง ๆ ผมก็ไม่ชอบ ถ้าผู้หญิงจิตราละก็ยังไงๆ ก็ชอบทั้งนั้น แต่ว่าผมอดอิจฉาไม่ได้”

หล่อนค้อนให้อีกแล้วว่า “ขวาง พูดกับเธอฉันเกิดความหมั่นไส้ชั่วโมงละร้อยหน วันนี้เลิกยั่วเสียทีไม่ได้เรอะ เมื่อจะพูดธุระอะไรก็ให้มันเป็นธุระหน่อยเถอะ ว่ายังไงคำตอบเรื่องเด็กของฉัน โธ่เด็กของฉันน่ารักมากนะ เธอเห็นแล้วจะติดใจ”

เขาหัวเราะอย่างเห็นขันและไม่รู้สึกเชื่อในคำกล่าวขวัญนั้นเลย ตอบว่า “เห็นหรือไม่เห็นไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่คุณจิตราว่าดี บันลือก็เห็นดีด้วย แต่ทีนี้ผมไม่รู้ว่าผมจะมีเมียไปทำไมกัน”

​“เออ!” จิตราอุทาน “ไอ้นี่ก็ตอบยาก ในโลกนี้ใคร ๆ เขามีเมียทำไมกันฉันก็ไม่เคยศึกษาไว้เสียด้วย”

“คนอื่นก็ตามทีเขาเถอะ แต่ผมน่ะ ผมมีเมียมาแล้วถึงสองคน ก็ไม่เคยยืดสักคนเดียว จะมีคนที่สามอีกเดี๋ยวก็—”

เจ้าหล่อนขัดขึ้นกลางคำ “นี่ บันลือ เธอลืมเสียแล้วรึ เมื่อมาในเรืออีตาฝรั่งรัสเซียแกดูลายมือเธอ แล้วแกพยากรณ์ว่าอะไรที่เกี่ยวกับเธอ จะต้องจำนวน ๓ จึงจะสมบูรณ์”

เขาหัวเราะและถาม “ใครจะเป็นคนหาให้ผมได้ จำนวนมันไม่ใช่น้อยนะ”

“อย่ารวนน่า บันลือ พูดกันจริงๆ”

ชายหนุ่มทำท่าสงสัย “ผมจำตาหมอดูได้ แต่ลืมเสียแล้วแกทายผมว่ากระไรบ้าง” เขาตอบแล้วหัวเราะอีก และพูดต่อไป “อ้อ ผมจำได้ว่าแกทายคุณว่ากระไร แกว่าคุณมีนิสัยชอบอยู่เหนือคนอื่น”

หล่อนค้อนให้และมีการฉิวเล็กน้อย

“แล้วคุณก็มีนิสัยชอบจำแต่ไอ้เรื่องเลว ๆ ของคนอื่นไว้ แล้วก็จำผิดด้วย แกว่านิสัยของฉันน่ะไม่ว่าอยู่กับใครจะบังคับคนนั้นได้เสมอ นิสัยมันชอบเหนือเองต่างหาก ไม่ใช่ว่าฉันชอบเอาตัวเองไปเที่ยวข่มคนอื่นเมื่อไหร่”

​เขารีบยอมแพ้โดยดี “ผมก็เข้าใจอย่างคุณว่า แต่ใช้ภาษาสับเพร่าไปหน่อย” หัวเราะด้วยอดนึกขึ้นไม่ได้ “ชอบอยู่เหนือกับนิสัยบังคับให้อยู่เหนือ สองคำนี้หมายความผิดกันไกลนะครับ”

จิตราทำหน้าเฉยแล้วก็นิ่งอยู่ บันลือเห็นดังนั้นจึงว่า

“โธ่ พูดผิดไปนิดเดียวก็โกรธด้วย”

“พูดผิด” จิตราทวนคำ “เธอตั้งใจจะว่าฉัน ฉันรู้หรอก แต่ฉันไม่อยากโกรธเธอให้เสียหัว ฉัน—”

เขารีบขัดขึ้นก่อนที่หล่อนจะได้ทันพูดต่อ “สาธุ! ดีนักหนาที่คุณไม่ได้โกรธ ผมรู้สึกว่าถูกชกสัก ๕ ทีจะเจ็บน้อยกว่าเวลาที่เห็นคุณโกรธผมแม้แต่เพียงสักอึดใจเดียว”

“ว่าเขาละก็ว่าได้ เขาโกรธละก็ไม่ชอบ—”

“โธ่ คนอื่นโกรธผมสักร้อยสักพัน ผมไม่หวั่นเลย ขอแต่อย่าให้จิตราโกรธก็แล้วกัน ยิ้มหน่อยเถอะขอรับ คนสวย ที่จริงถึงจะบึ้งก็สวยไม่น้อย แต่สวยดุผมกลัว รู้สึกว่าไม่เป็นตัวจิตรา เคยเห็นแต่จิตราเป็นคนสวยหวานอยู่เสมอ พอเห็นหน้าเห็นยิ้มใจผมก็บาน”

​“ตบหัวแล้วลูบหลัง” จิตรากล่าว พยายามกลั้นยิ้มไว้ได้โดยยาก “ยังไง เรื่องเด็กของฉันจะต้องการหรือไม่ต้องการก็บอกมา”

บันลือหัวเราะอีก “เดี๋ยวก่อน” เขาว่า “เมื่อตะกี้เรากำลังพูดเรื่องหมอดูลายมือ โปรดช่วยความจำผมหน่อยก่อน ผมจะมีเมียได้ถึงทีละ ๒ คนใช่ไหม ? ผมจำได้ว่าอย่างนั้น”

“เอาอีกแล้ว!” จิตราถอนใจ “แกว่าสิ่งสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวกับชีวิตของเธอจะต้องเป็น ๓ ทั้งหมด จึงจะเป็นผลสมบูรณ์ ที่แกแน่ใจที่สุดคือว่าเธอจะได้รับมรดกถึง ๓ หน แต่งงาน ๓ หน มีลูก ๓ คน หรือ ๓ คู่ หรือ ๓ โหล”

บันลือร้องว่า “โอ้ยตาย ถ้ามีลูกถึง ๓ โหลเห็นจะต้องหัดให้กินหญ้าแทนข้าวละ”

“ก็ดีเหมือนกัน ฉันจะฝากลูกฉันไปหัดด้วย เรื่องภรว่าอย่างไร ตอบมาน่ะ”

“ภร” บันลือบ่น แปลความหมายแห่งชื่อเอาตามสำเนียงที่ได้ยิน แล้วนึกติอยู่ในใจ แล้วถามเป็นเชิงปรารภ “นี่ผมควรจะแต่งงานอีกเป็นครั้งที่ ๓ รึ เพราะเหตุใด ?”

จิตราไม่ตอบ หล่อนได้ตั้งใจไว้แต่เดิมว่าจะไม่ใช้เหตุผลอันหนึ่งอันใดส่งเสริมบันลือในเรื่องนี้ หล่อนจะทำแต่ชักชวน​เขาอย่างยินดียินร้ายแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น หล่อนเชื่อว่าถ้าบันลือได้ฟังเหตุผลแสดงถึงประโยชน์ที่เขาจะได้รับ เมื่อแต่งงานแล้วมากเพียงใด เขาก็จะยิ่งหาเหตุผลในทางตรงกันข้ามมาแสดง เพื่อคัดค้านมากขึ้นเพียงนั้น

แต่ความเชื่อของจิตราที่กล่าวแล้ว เกิดจากจิตราได้ไว้จากการสังเกตนิสัยส่วนรวมของบันลือ เฉพาะในกรณีเกี่ยวกับการมีคู่เป็นครั้งที่ ๓ นี้ เนื่องจากบันลือรู้สึกตัวอยู่ว่าความคิดที่ทำให้เขานึกอยากแต่งงานใหม่ มีความเห็นแก่ตัวฝ่ายเดียวเป็นต้นเหตุสำคัญ ซึ่งนับว่าไม่เป็นการยุติธรรมแก่หญิงที่จะมาเป็นคู่ของเขา บันลือจึงต้องการผู้สนับสนุน ยิ่งมากเท่าไรก็ยิ่งดี เพื่อเขาจะได้หลอกตัวเองว่า เขาแต่งงานครั้งนี้เพราะพ่ายแพ้แก่ความเห็นของญาติและมิตร

เขาเอ่ยขึ้นภายหลังที่นิ่งไปเป็นครู่ใหญ่

“ก่อนที่ผมจะให้คำตอบ เราต้องปรึกษากันอย่างตรงไปตรงมา”

“เราน่ะ คือใครบ้าง ?”

“คือจิตรา ผู้ซึ่งได้แนะนำแม่สาวภรให้กับผมและผมผู้ซึ่งได้รับการแนะนำ”

​“ที่ปรึกษาว่ากระไร ?” เจ้าหล่อนถาม กระแสเสียงคล้ายกับว่าจะถามแต่เพียงเท่านั้นแท้ๆ แต่นิสัยของหล่อนนั้นเป็นผู้ที่มีความอารี ฝักใฝ่ในการช่วยเหลือผู้อื่น ทั้งเมื่อคิดจะช่วยผู้ใดแล้ว ก็มักจะเพ่งเล็งช่วยจนเต็มกำลังกายกำลังใจ เหตุฉะนั้นการที่จะสงวนปากสงวนคำ เพื่อเอาเชิงแก่ผู้ที่หล่อนกำลังตั้งใจช่วยอยู่ จึงเป็นสิ่งที่เหนือความสามารถ เพียงชั่วขณะจิตเดียวที่จิตรารู้สึกอึดอัดใจในข้อที่ตัวต้องฝืนตัวไว้ หล่อนก็ลืมความตั้งใจเดิมเสียสิ้น พูดต่อไปว่า

“จิตราน่ะ พูดอะไรก็พูดตรงไปตรงมาเสมอ ไอ้เรื่องยักเยื้องไม่ใช่นิสัยของบันลือ” ชายหนุ่มกล่าวแกมหัวเราะ “แต่นั่นเป็นความเห็นของคุณนะ ผมรีบรับเอาเสียเพราะจะได้ตัดข้อโต้เถียงไปข้อหนึ่ง แล้วผมจะพิสูจน์ให้เห็นเสียเดี๋ยวนี้ว่า ในเรื่องที่ผมกำลังจะปรึกษาคุณ ผมไม่ยักเยื้องเลย ผมจะบอกคุณตรง ๆ ว่าผมอยากหาแม่ให้ลูกสองคนของผม แต่ผมไม่อยากได้เมีย”

ความเอาใจใส่อย่างยิ่งเกิดขึ้นแก่จิตรา “ก็ลูกของเธอก็มีป้ามีอาเป็นแม่อยู่แล้วไม่ใช่เรอะ ?” หล่อนถามด้วยเสียงอ่อนโยน

​“โดยทางใจ พี่สาวผมเป็นแม่ของลูกผมจริง แต่โดยทางสมอง ทางความรู้ เด็กสองคนนั้นไม่มีแม่”

“พูดให้แจ่มแจ้งกว่านั้นหน่อยเถอะค่ะ”

บันลือเป็นผู้มีนิสัยซื่อตรง จงรักต่อญาติของเขายิ่งนัก ด้วยเหตุนี้ แม้เขาจะเป็นผู้ที่ไวในการเห็นข้อบกพร่องของมนุษย์ทั่วไป รวมทั้งข้อบกพร่องของญาติของเขาเองด้วย เขาก็ถือมั่นในข้อที่ไม่ชอบกล่าวความบกพร่องของพี่น้องให้เข้าหูผู้อื่น เขานิ่งไปเป็นครู่ ก่อนที่จะอธิบายว่า

“พี่สาวผมเป็นคนช่างตามใจคน แล้วนิสัยลูกผมดูเหมือนจะต้องการคนกด”

“ก็อาล่ะคะ ?”

“อาก็เหมือนป้า”

จิตรานิ่งตรอง “เอ ยายภรแก้รู้จักกดใครเป็นหรือไม่ก็ไม่รู้” หล่อนปรารภในที่สุด “เห็นแกเลี้ยงเด็กก็—ตามใจเด็กยังกะอะไร”

“ผมอยากจะเลี้ยงลูกของผมเอง” บันลือกล่าว “แต่จะให้เลี้ยงด้วยตัวผมเองคนเดียวก็ไม่ไหว ใจเย็นไม่พอ อีกอย่างหนึ่งผมจะออกไปทำงานอยู่หัวเมือง”

​“นั่นน่ะซิ แต่ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะเอาลูกไปไว้หัวบ้านหัวเมืองด้วย—เอาไปยังไงกัน เดี๋ยวแกไปเจ็บไข้–อ้อ แล้วแกจะต้องเรียนหนังสือหนังหา”

“มันยุ่งไปหมดทั้งนั้นแหละคุณ” บันลือกล่าวสีหน้าเคร่งขรึม ขณะนั้นจิตราเห็นเขาเป็นแต่เพียงนายบันลือบิดาหนุ่มที่มีลูกเล็ก ๆ สองคน และมีความกังวลถึงความเป็นอยู่ของลูกเหนือสิ่งใด ๆ ในโลก มิใช่นายบันลือคนโก้คนเก๋มีกิจสำคัญอยู่แต่เพียงจะแสวงหาความสุขให้แก่ชีวิตของตัว

“ถ้าเธอจะเอาแกไปหัวเมืองด้วย” จิตรากล่าว “ฉันคิดว่าเอาแกเข้าโรงเรียนประจำเสียจะดีกว่า เว้นเสียแต่ว่าเธอจะหาเมียเอาไว้เลี้ยงลูกอย่างจริงจัง คือทิ้งเมียกับลูกไว้ในกรุงเทพฯ แล้วเธอเองก็เที่ยวไปในป่าในดงตามใจของเธอ แต่ไอ้บทนี้ฉันก็เห็นว่ามันไม่เหมาะ ไม่ควรสำหรับอายุคนหนุ่มแค่เธอ”

“พูดถึงโรงเรียน ผมกลัวลูกแกจะทนระเบียบของโรงเรียนไม่ไหว—” เห็นจิตรามีสีหน้าแสดงความคิดในเชิงค้าน เขารีบพูดต่อไปโดยเร็ว “ผมรู้แล้วคุณกำลังจะค้านผมว่า ลูกคนอื่นเขาทำไมทนได้ ผมยอมรับว่าผมอ่อนแอเกินไป แต่ผมรู้สึกว่าลูกคนอื่นเขาเคยได้รับการฝึกหัดให้อยู่ในระเบียบตั้งแต่อ้อนแต่ออก เพราะยังงั้นเมื่อไปเข้าโรงเรียนประจำ ถึงระเบียบจะตึงไป​สักนิดสักหน่อยเด็กก็ทนได้ แต่ลูกของผมเป็นเด็กที่ไม่เคยถูกหัดในทางใดเลย ถ้าไปโดนระเบียบจริงๆ จัง ๆ เข้าแล้ว ผมกลัวว่าจะเป็นการหักน้ำใจเด็กรุนแรงเกินไป”

หล่อนพ่ายแพ้แก่คำของเขา ถอนใจแล้วว่า “แหมตาย ฉันอยากเป็นคนตัวเปล่าเหมือนแต่ก่อนจริง ฉันจะเลี้ยงลูกให้เธอ บันลือ ฉันจะเลี้ยงให้จริง ๆ แล้วเลี้ยงให้ดีเหมือนใจเธอด้วย”

เขาเอื้อมมือไปจับมือหล่อนแล้วยกขึ้นจูบ “น่ารักจริงจริ๊ง จิตราของผม ถ้าคุณยังอยู่ตัวเปล่า ตายเสียจะไม่มีเมียเป็นครั้งที่สาม”

หล่อนรู้สึกหวั่นหวาด สะท้อนสะท้านในใจจึงพูดให้เป็นเชิงเล่น พร้อมกับทำหน้าเศร้าจนเกินความจริง

“พิโถ นึกว่าจะบอกว่าจะแต่งงานกับเรา กลับบอกว่าจะไม่แต่งงานเสียเลย ร้ายกาจจริง”

“พูดเป็นเล่น” บันลือตอบ สีหน้าค่อนข้างขรึม “ราวกับผมจะจำไม่ได้ คุณบอกผมเกือบจะว่าในวันแรกที่รู้จักกันว่า หัวเด็ดตีนขาดคุณจะไม่แต่งงานกับผู้ชายที่เด็กกว่าคุณ”

อารมณ์จิตรากลับเป็นปกติดังเดิม แล้วหล่อนพูดแกมหัวเราะ

​“แล้วเผอิญฉันก็เคราะห์ดีมาได้พระเอกแก่กว่า ๕ ปี เป็นอันว่าสิ้นเรื่องไป ที่นี้ว่าแต่เธอเถอะอยากจะหาแม่ให้ลูก แต่ไม่อยากได้เมีย จะทำอย่างไรกัน เรื่องมันยุ่งนี่”

บันลือมีความฉลาดเกินที่จะแสดงแผนการที่มีอยู่ในใจเขาให้ปรากฏแก่หล่อนโดยแจ่มแจ้ง–แผนการที่มีอยู่ว่าหญิงที่จะมาเป็นภรรยาคนที่ ๓ ของเขานั้น จะต้องเป็นผู้ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขา ไม่ว่าในทางกายทางใจหรือทางวัตถุ นอกจากเวลาที่เขาอนุญาตให้หล่อนเกี่ยว หล่อนจะต้องไม่เรียกร้องสิ่งใดจากเขานอกไปจากที่เขาจะได้ให้แก่หล่อนด้วยความสมัครใจของเขาเอง เขาฉลาดพอที่จะรอให้ความหวังอันดีอันแท้จริงของจิตรา นำความคิดของจิตราใกล้เข้ามาในแผนการของเขา แล้วเขาจึงจะวิงวอนด้วยโวหารและเหตุผลอันสมควรแก่กรณี ให้หล่อนผ่อนตามความต้องการของเขามากที่สุดเท่าที่จะมากได้

จิตราพูดสืบไปเมื่อเห็นบันลือนิ่งอยู่

“ฉันเห็นว่ามีอีกทางหนึ่ง หาคนที่เขามีนิสัยชอบเด็ก มีการศึกษาดี เลี้ยงเด็กเป็น แล้วเอาลูกไปฝากเขาเลี้ยง ให้ค่าป่วยการเขามาก ๆ”

​“โอ อย่างนั้นไม่ได้เป็นอันขาด พี่น้องผมก็จะน้อยใจกันใหญ่ จะหาว่าผมไม่ไว้ใจเขา เห็นคนอื่นดีกว่าญาติของตัวเอง อีกอย่างหนึ่งเอาไปฝากเขาเลี้ยงผมก็ไม่ได้ช่วยเลี้ยงด้วยน่ะซี”

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาคนที่เขาเคยเป็นครู หรือเป็นนางพยาบาล มีความรู้เรื่องเด็ก ให้เขามาอยู่ให้เงินเดือนเขามาก ๆ ให้พอแก่ใจเขาทีเดียว—”

“วิธีนี้ไม่เลว ผมเคยคิดแล้ว แต่มันรู้สึกขัด ๆ ยังไงพิกล คือว่าคน ๆ นั้นก็จะเป็นแต่เพียงลูกจ้างรับจ้างเลี้ยงเด็ก—” เขาหัวเราะ “อีกอย่างหนึ่งผู้หญิงชั้นที่ว่านั้นที่ไหนเขาจะยอม เพราะไอ้ลูกจ้างแบบนี้ ลงท้ายมันมักจะกลายเป็นอื่น—” เขาหัวเราะอีก “ถึงผมจะเป็นนายจ้างที่เก่งกว่านายจ้างอื่น ๆ ก็ไม่มีใครในโลกนี้เขาจะยอมเชื่อว่าผมเก่งจริง ทีนี้สมมติว่าลูกจ้างก็เก่ง นายจ้างก็เก่ง ตกลงก็เป็นแต่เพียงลูกจ้างรับจ้างเลี้ยงเด็ก ไม่ใช่แม่ของเด็กแท้ๆ”

“เออ ! ก็แม่ของเด็กแท้ ๆ น่ะ ถึงเธอจะแต่งงานใหม่ ผู้หญิงที่เป็นเมียเธอก็เป็นแต่เพียงแม่เลี้ยงของเด็กอยู่นั่นเอง”

“ก็ถูกละ แต่ว่าแม่เลี้ยงน่ะลาออกไม่ได้ง่าย ๆ ส่วนลูกจ้างน่ะเขานึกจะออกเสียเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ใช่รึ ผมบอกคุณแล้วว่าผม​อยากให้ลูกของผมมีแม่ เพราะรู้สึกว่าเด็กที่เกิดมาไม่มีโอกาสรักใครเหมือนแม่ของตัวเสียเลยนะ เป็นเด็กที่น่าเวทนามาก คือแกขาดสิ่งสำคัญที่มนุษย์ทุกคนเขาเคยมีเคยได้ด้วยกันทุกคน”

ตลอดเวลาที่เขาพูดอยู่ จิตรานั่งฟังพร้อมกับมองดูเขาอย่างถึงที่สุด เมื่อเขาพูดจบแล้ว หล่อนเอ่ยขึ้นว่า

“ฉันไม่เคยนึกเลย ว่าเธอจะคิดถึงเรื่องลูกของเธอละเอียดลออถึงเท่านี้”

บันลือหัวเราะ “ผมก็เพิ่งจะเริ่มคิดเมื่อ ๒–๓ เดือนมานี่เอง” เขาตอบ

“อะไรเป็นต้นเหตุให้เธอคิด ?”

เขายกไหล่ และตอบว่า “คนเราอายุมากขึ้นความคิดก็มากขึ้นด้วยเป็นธรรมดา อีกอย่างหนึ่งบางทีจะเป็นเพราะผมไปอยู่หัวเมืองนาน ๆ ก็คิดถึงลูก ครั้นพอมาเห็นลูกก็รำคาญ” หัวเราะน้อย ๆ และพูดสืบไป “แต่ผมรู้แล้วคิดมากยุ่งมากสู้ไม่คิดเลยไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งหาทางออกไม่ถูกยิ่งบ้าหนัก”

ทั้งสองฝ่ายนิ่งไปด้วยกัน จิตราวิจารณ์คำพูดของบันลืออยู่ในใจ ส่วนบันลือก็คิดต่อไปในเรื่องที่เขาพูดแล้วนั้น ภายหลัง​เขาขยับตัว และเอื้อมมือไปยังหีบบุหรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะไม่ไกลจากเขานัก พร้อมกับพูดว่า “ขออนุญาตนะขอรับ ?”

“อ้าว ! ขอโทษ” จิตราร้อง “ฉันควรจะบอกเชิญเธอ เอ๊ะ แต่ฉันคิดว่าเธอเลิกสูบบุหรี่มาหลายปีแล้วไม่ใช่หรือ ? กลับตั้งต้นสูบใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ ?”

“อีหมู่ไปอยู่หัวเมืองนาน ๆ หมดท่า ไม่มีอะไรจะเป็นเพื่อน เลยหันเข้าหาบุหรี่อีก”

“พิโธ่ อยู่ ๆ ก็ทรมานตัว –!”

“ทรมานทางไหน ?” เขาถามโดยเร็ว

“ก็มีความจำเป็นอย่างไรที่จะต้องไปทนลำบากทนเหงาอยู่ในป่าดง”

“พิโธ่” เขาเลียน แล้วพูดต่อไปในเสียงหัวเราะ “ตามหลักของคนที่มีอุดมคติ เขาว่าต้องเสียสละความพอใจเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับความสำเร็จส่วนใหญ่ไม่ใช่หรือ ?”

หล่อนค้อนให้ แล้วว่า “ตามใจเธอเถอะ” แล้วถามสืบไป “แต่เมื่อคืนที่ฉันไปกินข้าวกับเธอ เธอไม่ได้สูบบุหรี่เลยใช่ไหม ? ถ้าไม่ยังงั้นฉันจะต้องรู้สึกสะดุดใจแล้วต้องถามเธอเป็นแน่”

​“เห็นจะไม่ได้สูบเลย อธิบายได้ว่าผมมัวแต่ชื่นใจที่ได้พบคุณโดยไม่ได้คาดไว้ก่อน ตามปกติผมนึกถึงบุหรี่แต่เวลาที่ผมอึดอัดใจ แก้ปัญหาอะไรของผมไม่ตกเท่านั้น” พูดแล้วเขาจุดบุหรี่และพ่นควันออกมาเป็นทางยาว

“ฉันเกรงว่าคราวนี้เธอจะต้องสูบบุหรี่สิ้นหลายหมื่นตัวกว่าจะแก้ปัญหาตก” จิตรากล่าวแกมหัวเราะแล้วพูดสืบไปช้า ๆ อย่างตรึกตรอง “เมื่อแรกฉันคิดว่าจะยกเด็กของฉันให้เธอ เพราะเห็นว่าแกเป็นคนสวย คนดี น่ารัก ส่วนเธอก็—ตัวเปล่า ควรจะมีแม่บ้านแม่เรือน มีเพื่อนคู่คิด แต่ว่า—เอ–มันเป็นยังไงนะ ? ทำไมเธอถึงเกิดจะเกลียดการมีเมียขึ้นมาเสียมากมายจนถึงอย่างนี้ ?”

บันลือค้านขึ้นโดยเร็วและอย่างแข็งขัน “ไม่ถึงกับเกลียดนะขอรับ เป็นแต่เพียงไม่อยาก คือว่า คนอายุเท่าผมนี่ ถึงจะเป็นพ่อหม้ายก็จริงหรอก อายุมันยังไม่ยอมให้แก่ ถ้าผมจะแต่งงานอีก ผมก็จะต้องแต่งกับคนสาว ส่วนสาว ๆ สมัยนี้เจ้าหล่อนก็เคยกับผู้ชายแบบพระเอกสมัยใหม่ ต้องมีอาการเมารักจี๋ ๆ จนพูดไม่เป็นภาษาคน แล้วพอแต่งงานกันแล้วก็จะต้องเป็น​ผัวที่กกเมียแจ หรือไม่อย่างนั้นก็ปล่อยให้เมียกก ห่างกัน ๕ นาทีก็ใจขาด ไอ้สิ่งเหล่านี้ผมทำไม่ได้เพราะผมเคยมีเมียมาแล้วถึงสองคนจะ ให้ผมไปเที่ยวรักใครจนหัวหมุนเหมือนเมื่อผมอายุ ๒๑–๒๒ ได้ยังไง ขืนทำผมก็จะนึกว่าตัวผมเป็นบ้าไปแล้วเท่านั้นเอง”

“เท่านี้ละเรอะ เหตุขัดข้องที่ทำให้เธอไม่อยากได้เมีย ?” จิตราถาม น้ำเสียงแสดงความพิศวง ส่วนบันลือก็ย้อนถามหล่อนโดยเร็ว

“เอ๊ะ ก็เท่านี้ยังไม่พอขอรับ ?”

แล้วเขาพูดต่อด้วยเสียงอันหนักแน่น “เท่านี้น่ะใหญ่มากนะ คุณจิตรา ถ้าหากว่าเราทำให้ตรงกับความต้องการของเขาไม่ได้ละก็มันใหญ่มากทีเดียวคุณลองคิดดูให้ดีเถอะ”

“แต่แม่ภรของฉันไม่ใช่คนจี๊ดจ๊าดอย่างที่เธอพูดนี่หรอก”

“อ้าว ? อย่าไปนึกติว่าเขาผิดเสียสิคุณ ต้องนึกว่าถูกแล้วที่เขาเป็นอย่างนั้น เขามีสิทธิที่จะเรียกร้องให้ผู้ชายแสดงความรักมาก ๆ เพราะเขาเองเขารักผู้ชายมากและอยากจะทำต่อคนที่เขารักอย่างนั้นเหมือนกัน ผมไม่ติเขาเลย ผมกลัวแต่ว่าผมจะทำให้เหมือนใจเขาไม่ได้เท่านั้น”

​“บ้า !” จิตรากล่าว “ใครจะว่ายังไงไม่รู้นะ ฉันเห็นว่าบ้า แต่แม่ภรของฉันไม่ใช่ผู้หญิงชนิดนั้น แกเป็นคนมีความรู้มีความคิดทุกข์สุขอย่างไรแกเคยรู้จักแล้ว ชีวิตเป็นอย่างไรแกก็พอสมควรกับอายุของแก เหตุผลต่าง ๆ แกก็รู้จักดี ไม่ใช่แม่พวกสมัยใหม่ มีแต่เรื่องเครื่องแต่งตัว เรื่องหนังอยู่ในหัว นอกจากนั้นไม่มีรู้อะไร”

“ในกรณีนี้ รู้อะไรไม่สำคัญเท่ารู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวได้รับ ถ้ารู้ตรงนี้แล้วก็—พอที่จะพูดกันได้ ผมไม่อยากแต่งงานอีกก็จริง แต่ถ้าผมแต่งเพราะเห็นแก่ลูกของผม ผมจะต้องทำหน้าที่ผัวที่ดีครบทุกอย่าง คนที่เป็นผัวเขาให้อะไรเมียเขายังไง เขายกย่องเมียเขาเท่าไรผมจะทำไม่ให้ขาด ส่วนที่ผมจะขอให้เขาทำให้ผมมีอยู่สองอย่างเท่านั้น หนึ่งช่วยรักลูกของผมให้เหมือนกับลูกของเขาเอง สองอย่าจุกจิกจู้จี้กับผมโดยไม่มีเหตุผล”

จิตรานิ่งคิด และยิ่งคิดก็ยิ่งมีความเห็นไปในทางยกประโยชน์ให้แก่ผู้พูดโดยสิ้นเชิง ถูกของเขาแล้ว หญิงที่มีนิสัยฉูดฉาดในทางความรักอาจเป็นผู้ที่กวนเส้นประสาทสามีอย่างรุนแรง ถ้าแม้ว่าฝ่ายเขาเป็นผู้มีนิสัยตรงกันข้าม ถูกของเขาอีก ​เมื่อบันลือเป็นผู้ที่ได้ผ่านการร่วมรักกับหญิงมาแล้วถึง ๒ ครั้ง จิตใจของเขาย่อมจะมีลักษณะค่อนไปข้างจืดจางในความรักระหว่างเพศ ความกังวลของเขาจึงเป็นข้อที่หล่อนและคนทั้งหลายควรยกให้ ว่าเป็นความกังวลที่สมเหตุสมผล และโดยนัยนี้ ก็เป็นการสมควรที่หล่อนเอง และคนอื่น ๆ ผู้หวังดีต่อเขาจะช่วยกันคิดตัดความกังวลให้เขาด้วย

หล่อนเอ่ยขึ้นเมื่อได้ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้ว “ฉันเชื่อเหลือเกินว่า ภรณีของฉันจะไม่เป็นผู้หญิงจี๊ดจ้าดอย่างที่เธอกลัว ฉันเชื่อว่าแกมีความคิดพอที่จะทำตัวของแกให้เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ได้ นิสัยของแกเป็นคน—ไม่รู้ละ แกคงไม่เป็นคนนิวแซนสำหรับเส้นประสาทของเธอก็แล้วกันเถอะ”

“เพราะเหตุใดคุณถึงต้องการให้ผมได้กับผู้หญิงคนนี้ ?” บันลือถาม

เจ้าหล่อนชะงัก เกิดความระแวงว่าเขากำลังจะเอาเปรียบหล่อนมิโดยทางใดก็ทางหนึ่ง แต่จับเหตุจับผลไม่ได้ถนัด ก็ตอบไปในทางที่ใกล้ความจริงใจมากที่สุด และเป็นทางที่หล่อนเชื่อว่า เขาไม่อาจฉวยโอกาสเอาเปรียบหล่อนได้

​“เพราะฉันรักเธออย่างเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ ที่คุ้นเคยกันเป็นที่หนึ่งในบรรดาเพื่อนของฉัน แล้วก็รักภรณีเหมือนน้องของฉันแท้ ๆ ฉันอยากให้คนที่ฉันรักสองคนรวมกันเป็นคนเดียว พอหรือยัง เหตุผลเท่านี้ ?”

“พอ” เขาตอบสั้น ๆ แต่หนักแน่น ดวงตาเป็นประกายด้วยความพอใจ “ผมจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ถ้า—เขาจะแต่งงานกับผม”

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #1 on: 28 October 2025, 20:43:50 »





​คนดีทั้งหลายย่อมยินดีในการเกื้อกูลสัตว์ (มีมนุษย์และเดรัจฉาน) ผู้เจริญเมตตาย่อมเป็นที่รักของหมู่มนุษย์ ผู้เจริญเมตตาดีแล้วย่อมหลับแลตื่นเป็นสุข

 

จิตราชะงักคำพูดไว้กลางคำ มีอาการอ้ำอึ้งแล้วในที่สุดก็นิ่งเงียบไป.

หล่อนมองดูหญิงสาวผู้ที่นั่งอยู่เคียงหล่อน ผู้ที่มองดูหล่อนด้วยสายตาแสดงความสนเท่ห์ เพราะได้เห็นอาการค่อนข้างแปลกประหลาดของหล่อนนั้น

เป็นหญิงสาวที่มีความงามพร้อมทุกส่วนสัด ตั้งแต่เส้นผมอันละเอียดอ่อน วงหน้า ทรวดทรง ผิวพรรณตลอดจนถึงมารยาท ท่วงที วาจา แต่เป็นความงามที่ขาดความผุดผาดอันจะเป็นเครื่องสะดุดตาสะดุดใจ เป็นความงามที่มีความหม่นหมองเจือปนอยู่มาก ถ้าจะเปรียบก็ได้แก่ดวงจันทร์ที่เมฆก้อนใหญ่มาบดบังจนอับแสง แต่สำหรับสายตาของจิตรา ผู้ซึ่งรู้จักหญิงสาวผู้นี้มาแต่เล็กแต่น้อย ทั้งได้มาคุ้นเคยสนิทสนมกันยิ่งขึ้น เมื่อ​เจ้าหล่อนเติบโตเป็นสาวเต็มที่ได้เล็งเห็นความงามแห่งดวงใจของหล่อนอย่างกระจ่างแจ้ง ความหม่นหมอง อันเป็นแต่เพียงแสงสะท้อนที่เกิดจากความเศร้าแห่งอารมณ์ ย่อมจะพ่ายแพ้แก่ความงามตามธรรมชาติแห่งกายและใจอย่างราบคาบ

เพราะเหตุนี้จิตราจึงอ้ำอึ้งอึกอักขัดข้องใจ จิตรามาพบกับภรณีในวันนี้ด้วยความตั้งใจจะชวนภรณีให้แต่งงานกับบันลือ หล่อนคิดว่าการที่จะพูดชวนภรณีในเรื่องนี้เป็นการง่าย เช่นเดียวกับที่จะพูดถึงเรื่องอื่น ๆ ทั่วไป และตามความจริงก็ควรจะง่ายเหมือนอย่างที่จิตราคิด ก็เมื่อจิตรากับภรณีรักใคร่สนิทสนมกันคล้ายพี่กับน้อง ความทุกข์ความสุข เรื่องราวส่วนตัวส่วนครอบครัวก็เปิดเผยให้แก่กันได้มาก เหตุไฉนจิตราจะพูดเรื่องการแต่งงานซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดแก่ภรณีไม่ได้เล่า แต่ถึงกระนั้น ภายหลังที่จิตรานั่งพูดกับภรณีอยู่ถึงครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว เมื่อจะเอ่ยปากพูดเรื่องที่ตนตั้งใจมาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะพูด จิตราก็หาอาจที่จะเอ่ยปากได้ไม่

ทั้งนี้เป็นเพราะว่า ในเวลาที่อยู่ลับหลังภรณี จิตรามีความรู้สึกว่า ภรณีเป็นแต่เพียงหญิงสาวเด็ก ๆ ที่มีชีวิตและความเป็นอยู่อันน่าสมเพช หญิงสาวเด็ก ๆ ที่รอรับความช่วยเหลือจากผู้ที่มีความเห็นอกเห็นใจและกรุณาต่อตน เมื่อจิตรามอง​เห็นทางที่จะช่วยภรณีให้ไปสู่ความสุขได้ จะแนะนำทางนั้นแก่ภรณี ก็ควรจะทำได้ง่ายเท่ากับจะหยิบวัตถุสิ่งหนึ่งให้เป็นของกำนัลแก่ภรณีนั่นเอง แต่ครั้งเมื่อจิตรามาอยู่ต่อหน้าภรณีแล้ว หล่อนกลับรู้สึกว่าภรณีมิได้เป็นแต่เพียงหญิงสาวเด็ก ๆ ที่รอรับความกรุณาของเพื่อนมนุษย์ ลักษณะแห่งสีหน้าและท่าทางของหล่อนรวมทั้งกังวานแห่งน้ำเสียงและถ้อยคำที่หล่อนพูด แสดงว่าภรณีเป็นเด็กแต่โดยวัย และโดยทางความรู้ในสภาวะอันแท้จริงของโลกเท่านั้น ในส่วนทางความคิดความรู้สึก ภรณีมีความคิดอย่างหญิงสาวที่อยู่ในวัยสาวเต็มตัว เฉียบแหลม สุขุม รอบคอบ แต่มุ่งไปในทางที่มีอุดมคติและความใฝ่ฝันอันเลิศลอยของตนเป็นเครื่องนำ ความรู้สึกของภรณีเล่าก็ละเอียด ประณีตลึกซึ้ง แต่แรงกล้าตามแบบของผู้ที่มีการเล่าเรียนและการอบรมทางใจมาแต่น้อย หญิงสาวที่มีลักษณะแห่งจิตใจเป็นเช่นนี้ จะรับฟังคำชวนให้แต่งงานอย่างง่าย ๆ คล้ายกับคำชวนให้ไปดูภาพยนตร์ย่อมจะไม่ได้อยู่เอง

จิตรานึกเคืองบันลือ เขาช่างทุ่มเทเอาความรับผิดชอบในเรื่องนี้มาไว้ในมือหล่อนแต่ฝ่ายเดียวเสียจริง ๆ และโดยมิได้ให้เครื่องมือสักชิ้นสักส่วนสำหรับประกอบความสำเร็จมาด้วย!!! เขาไม่ถามแม้แต่ชื่อบิดามารดาของภรณี ไม่ถามแม้แต่ชื่อของ​โรงเรียนที่ภรณีได้รับการศึกษา ไม่ถามแม้แต่รูปพรรณสัณฐานของภรณีจะสูงต่ำดำขาวประการใด เขาบอกแก่หล่อนว่าเขาตกลงจะแต่งงานกับภรณี เพราะหล่อนมีความเห็นว่าเขาควรทำเช่นนั้น แล้วเขาขอให้หล่อนขอร้องต่อฝ่ายหญิงอย่าให้เขาต้องสวมมงคลเข้าพิธีแต่งงานเป็นครั้งที่ ๓ เพราะเขาได้ทำเช่นนั้นมาแล้วถึง ๒ ครั้ง มีความกระดากที่จะทำซ้ำอีก นอกไปจากนี้ ถ้าฝ่ายหญิงหรือบิดามารดาของหญิงจะเรียกร้องสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามประเพณีนิยม เขามอบให้จิตราเป็นผู้ตกลงเด็ดขาดโดยสิ้นเชิง

ถ้าหากว่าบันลือจะได้เห็นตัวภรณีสักครั้งหนึ่ง เพียงครั้งเดียวเท่านั้น จิตราก็ยังจะกล่าวแก่ภรณีได้อย่างเต็มปากว่ามีชายชื่อบันลือได้เห็นภรณีแล้วมีความพอใจ แล้วจิตราก็จะได้กล่าวถึงคุณสมบัติของชายที่ชื่อบันลือให้ภรณีเกิดความนิยมในตัวเขา ชื่อเสียงและฐานะของบันลือย่อมจะเป็นที่ปรารถนาแก่บิดาของภรณีอย่างไม่ต้องสงสัยอยู่แล้ว เรื่องราวก็จะดำเนินไปสู่ความสำเร็จโดยง่าย แต่การที่จิตราจะบอกแก่ภรณี ว่าชายหนึ่งต้องการหญิงหนึ่งไปเป็นมารดาให้แก่ลูกของเขา จึงขอให้ภรณีแต่งงานกับเขานั้น หญิงเช่นภรณีจะคิดไปในทางที่ว่าชายนั้นดูถูกตน สำคัญว่าตนเป็นหญิงสิ้นคิด ถึงกับจะยอมสละความเป็นสาว ความ​เป็นโสด ความอิสระทางใจ รวมทั้งสละความใฝ่ฝันและอุดมคติในแง่ชีวิตสมรสเข้าแลกกับผลประโยชน์ที่จะได้จากการรับจ้างเป็นแม่เลี้ยงให้กับลูกของชายคนหนึ่ง ดังนี้ความหวังของจิตราที่จะให้ภรณีกับบันลือเป็นผู้มีประโยชน์แก่กัน ก็จะไม่มีโอกาสแปรรูปเป็นความสำเร็จขึ้นได้เป็นอันขาด

“แล้วยังไงอีกล่ะคะ ?” ภรณีถามเมื่อได้รอฟังจิตราอยู่ครู่หนึ่งแล้ว และเมื่อเห็นจิตรายังนิ่งอยู่หล่อนก็หัวเราะแล้วว่า

“คุณพี่ใจลอยไปคิดถึงอะไร เมื่อตะกี้กำลังเล่าถึงเรื่องเชิญตัวเอง ไปรับประทานกับข้าวฝรั่งกับเพื่อนคุณเจริญ”

“เขาชื่อบันลือ” จิตราบอก ตาจับอยู่ที่ตาภรณีด้วยความปรารถนาจะให้แววตาของตนบอกแก่ภรณีว่าเขาผู้ที่ตนกล่าวถึงนั้น มีความสำคัญเกี่ยวกับตนและกับภรณีมิใช่น้อย แต่คู่สนทนาของจิตราไม่เข้าใจความหมายนั้นเลย เจ้าหล่อนพูดว่า

“ที่จริงดิฉันก็พอจะทำได้มั่งหรอก กับข้าวฝรั่งน่ะแต่—ขาดเครื่องมือ ถ้าไม่ยังงั้นดิฉันจะทำให้คุณพี่”

จิตราโบกมือ “อย่ายุ่งเลย” หล่อนว่า “งานของเธอมันมากพออยู่แล้ว พี่อยาก—ภร พี่อยากให้เธอ—ได้ไป—เที่ยวกินอะไร ๆ อร่อยกับพี่มั่ง”

​อีกฝ่ายหนึ่งยิ้มแทนคำตอบ แล้วก็นิ่งอยู่

จิตรารู้ว่าอาการนิ่งของภรณี ก็คืออาการที่หล่อนครุ่นคิดถึงสิ่งที่หล่อนไม่ปรารถนาจะกล่าวออกมาเป็นคำพูด เพราะเหตุว่าจะเป็นการกล่าวซ้ำกล่าวซาก ถึงเรื่องที่จิตราเคยรู้แล้วจนเจนใจนั่นเอง เฉพาะวันนี้จิตราอยากจะให้ภรณีพูดอีกถึงเรื่องที่ภรณีกำลังคิดอยู่ จิตราอยากจะให้ภรณีพูดถึงเรื่องความคับใจของภรณีโดยละเอียด อยากให้ภรณีแสดงความอ่อนแอ สมกับที่เป็นสาวเด็ก ๆ ที่ต้องการจะระบายความทุกข์ของตนให้ผู้อื่นฟัง เพื่อร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ที่มีความหวังดีต่อตนเช่นจิตรา

แทนที่จะเป็นดังนั้น ภรณีพูดขึ้นว่า

“คุณพี่ค่อยหายคลื่นไส้มั่งหรือยังคะ อาทิตย์หลัง ๆ นี้”

“ค่อยหายน่ะซี ถึงได้เจ๋อไปนั่งกินอยู่ที่โฮเต็ลกับเขาได้ แล้วตั้งแต่วันนั้นมาเลยทำท่าจะหายขาดไม่ค่อยคลื่น ไม่ค่อยเวียน นอกจากเวลาโมโหหรืออัดใจ”

“เมื่อกลางวันนี้ มีคนมานั่งพูดถึงคุณของยาหอมกับนาย แล้วนายก็รับรองว่าดีจริง ดิฉันเกือบจะถามหาซื้อไว้แล้ว เพราะจะจำไว้บอกคุณพี่ แล้วเกิดนึกสงสัยว่าคุณพี่จะไม่รับประทานกระมัง ยาหอมยาเหิม”

​“ไม่เคยกิน” จิตราบอก “แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ยอมกินเสียทีเดียว แต่ก่อนเมื่อคุณแม่ยังอยู่ เอะอะท่านก็แนะนำยาหอมเรื่อย พี่ก็รับ ๆ กับท่านไปยังงั้น ลงท้ายก็ไม่กิน โธ่ ก็เราเป็นคนกินยายากจะตาย”

“เคราะห์ดีที่เป็นคนไม่เจ็บไม่ไข้นะคะ แหม, อีหมู่ที่คุณพี่ออดแอดคลื่นไส้เวียนศีรษะบ่อย ๆ น่ะ ดิฉันไม่ค่อยสบายใจเลย สงสารคุณพี่ว่าจะต้องฝืนใจกินยา—”

จิตราหัวเราะ “โธ่ อุตส่าห์สงสาร ควรจะสมน้ำหน้าถึงจะถูก เจริญละเขาเป็นเดือดเป็นแค้นเสียเหลือเกินเรื่องฉันกินยายาก พอบ่นไม่สบายเขาแช่งให้เจ็บมาก ๆ เพราะเขาเกลียดเรื่องเราดื้อไม่กินยานี่แหละ”

“ก็แช่งแต่ปาก” ภรณีว่า “เจ็บมากจริงเข้าก็ขี้คร้านจะวิ่งหาหมอให้ไม่ทัน”

ทั้งสองฝ่ายต่างหัวเราะอย่างพออกพอใจด้วยกัน แล้วจิตราถามขึ้นโดยอาศัยความคิดอย่างหนึ่งเป็นเครื่องนำคือ ความคิดที่จะล่อให้ภรณีออกความเห็นในเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตสมรสโดยทั่ว ๆ ไป

“รู้ได้อย่างไรว่าเขาแช่งแต่ปาก ?”

​ฝ่ายที่อ่อนอายุกว่ามีสีหน้าพิศวงในคำถามนั้นแล้วพูดแกมหัวเราะ

“สามีภรรยาอยู่ด้วยกันสองคน คนหนึ่งจะอยากให้อีกคนหนึ่งเจ็บมากมีหรือคะ เพราะคนหนึ่งเจ็บอีกคนหนึ่งก็ต้องลำบาก ไหนยังจะสงสาร ไหนยังจะรำคาญ”

“ผัวบางคนเขาชอบให้เมียเจ็บก็มี เพราะเขาจะได้หนีไปเที่ยวกับผู้หญิงอื่น”

“แต่คงไม่ใช่สามีของคุณพี่เป็นแน่” เป็นคำตอบอย่างมั่นใจที่สุด

“ไม่แน่นัก” จิตรากล่าว “เราเพิ่งจะอยู่ด้วยกันมาเพียง ๕ ปีเศษ ๆ เท่านั้นเอง อาจจะเป็นเวลาสั้นเกินไปสำหรับที่เขาจะเบื่อเรา ถ้าอยู่ด้วยกันไปนาน ๆ กว่านี้ จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ได้”

“อุ๊ย อย่างคุณพี่ดิฉันว่ากี่ปี ๆ คุณเจริญก็คงไม่เบื่อ คุณพี่ออก—น่ารักจะตาย” แล้วภรณีหัวเราะมีอาการกระดากเล็กน้อย เพราะได้ชมอีกฝ่ายหนึ่งออกไปตรง ๆ เมื่ออยู่กันต่อหน้าเช่นนั้น

จิตราหัวเราะและลูบแขนภรณีเบา ๆ ในท่าแสดงความเอ็นดู “เรารักกันเราก็ว่ากันดี” หล่อนกล่าว

​“ก็แน่ซิคะ แล้วคุณเจริญก็รักคุณพี่–”

“ก็เผื่อเขาหมดรักล่ะ—”

“อุ๊ย ดิฉันว่าไม่มีวันหมดค่ะ ผู้หญิงอย่างคุณพี่” ภรณีหัวเราะอีก คราวนี้มีลักษณะเกรงใจปนอยู่กับความกระดากด้วย “–คุณพี่ไม่ใช่คนที่จะปล่อยตัวของคุณพี่ให้เสื่อมลง เพราะได้แต่งงานไปแล้วนาน ๆ ดิฉันเห็นคุณพี่เจริญขึ้นทั้งทาง—ความสวยงาม และ—ทางนิสัยใจคอ”

“โอ แม่น้องสาว ยอพี่ใหญ่” จิตราอุทานพร้อมกับหัวเราะอย่างชื่นบาน “ภรเชื่อหรือว่าความดีของเมียน่ะจะมัดผัวไว้กับตัวได้เสมอ ?”

ภรณีมองดูคู่สนทนาอย่างพิศวงอีก “ก็คุณพี่ไม่เชื่ออย่างนี้หรอกหรือคะ ?” หล่อนถาม

“เชื่อ พี่น่ะเชื่อ แต่อยากรู้ว่าเธอเชื่อสำหรับคู่อื่นทั่วไปด้วย หรือเชื่อแต่สำหรับคู่ของพี่เท่านั้น”

“สำหรับคู่คุณพี่น่ะเชื่อแน่ แต่สำหรับทั่ว ๆ ไปดิฉันเชื่อตามหลักที่ว่าทำดีก็ต้องได้ผลดีตอบแทน แต่อาจจะมีผู้หญิงบางคนเผอิญเป็นคนอาภัพสามีไม่เห็นความดีก็ได้”

“อ๋อ อย่างนั้นน่ะรึ ความอาภัพของเขามันตั้งต้นอีตรงที่เลือกเอาคนไม่ดีมาเป็นผัว คนดีต้องรู้จักความดีด้วยกันทุกคน ​ถ้าเรารู้จักเลือก ดูนิสัยใจคอให้เห็นว่าเขาไม่เจ้าชู้นัก ไม่เป็นนักเลง มีปัญญาความรู้ รู้จักผิดรู้จักชอบ แล้วก็มีฐานะดีพอที่จะให้ความสุขแก่เราได้อย่างนี้ก็ใช้ได้แล้ว ทีนี้ผู้หญิงรุ่นใหม่นี่น่ะ ชอบเลือกเอาคนที่ปรูดปราด เวลาอยู่ต่อหน้าเราแสดงความรักจี๋ ๆ ลับหลังไปแล้วความรักไม่มี มีความใคร่”

ภรณีใช้อาการยิ้มแล้วนิ่งอยู่เป็นคำตอบอีกครั้งหนึ่ง จิตราจึงพูดสืบไป

“คนสมัยนี้เขาถือว่าผู้หญิงกับผู้ชายจำเป็นจะต้องรักกันก่อนแล้วถึงจะควรแต่งงานกัน ภรเห็นอย่างนั้นไหม ?”

อีกฝ่ายหนึ่งอึกอัก แล้วก็หัวเราะและกล่าวว่า “ดิฉันยังไม่เคยคิดถึงปัญหาเหล่านี้อย่างจริงจังเลย รู้สึกว่า—ไม่เกี่ยวข้องกับดิฉัน”

“แปลว่ายกให้เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ ?” จิตราถามความยินดีระคนด้วยความประหลาดใจปรากฏอยู่ในกังวานแห่งนี้ “แหม ดี เป็นเด็กดีแท้ ๆ”

ภรณีค้านโดยเร็ว “เดี๋ยวค่ะ คุณพี่” หล่อนว่า “อย่าเพิ่งชม ดิฉันไม่ใช่เด็กดีอย่างนั้นหรอก ยกให้เป็นหน้าที่​คุณพ่อกับนาย ! ตายละ ! ป่านนี้ดิฉันไปเป็น—ต๊ายตาย–เป็นภรรยาท่านขุนอายุ ๕๐ เศษ อยู่ทางอิสานแล้ว ที่ว่าไม่เกี่ยวข้อง คือยังไง ๆ ดิฉันคงไม่ต้องแต่งงาน”

จิตราทำหน้านิ่ว “แปลว่ากระไร ?” หล่อนถาม “รู้ได้ยังไง อายุยังไม่ทันจะ ๒๐ –”

“จะ ๒๔ ปีนี้แล้วค่ะ” ภรณีท้วงพลางหัวเราะ คราวนี้จิตราทำตาโต “อะไร ๒๓ แล้ว ? ตายจริง ! วันนั้นฉันบอก—คุณ— เจริญ เขาว่าอายุเธอเห็นจะสัก ๑๘–๑๙ แต่ว่าถึง ๒๓ ก็ไม่ใช่แก่ ฉันแต่งงานเท่าไหร่รู้ไหม ? ๒๘ เกือบ ๒๙”

“ความคิดของดิฉันไม่เกี่ยวกับอายุดอกค่ะ เกี่ยวกับฐานะ กับ—กับอะไร ๆ หลายอย่าง”

“ก็เผื่อผู้ชายเขามีฐานะดีพอแล้ว เขาไม่ต้องคิดถึงฐานะของเธอ เขาคิดถึงแต่คุณสมบัติ รูปสมบัติ—”

“แบบซินเดอเรลลา หรือคะ ? ซินเดอเรลลายังเคยใส่เกือกแก้วไปเต้นรำถึงได้ไปพบกับเจ้าชาย แต่ดิฉัน—” แล้วภรณีก็หัวเราะ

“ไม่เห็นจำเป็นเลย ถึงเธอจะอยู่แต่ในบ้านร้อยปี ไม่ได้โผล่ไปไหน เผื่อไอ้หนที่เธอโผล่ไปน่ะเผอิญมีคนเขาเห็นเธอแล้วเกิดชอบขึ้นมาล่ะ หรือไม่ยังงั้นเขาได้ยินคุณสมบัติของ​เธอเขาอยากได้เธอ—มันเป็นไปได้ทั้งนั้น ถึงเวลามันจะเป็นละก็”

อีกครั้งหนึ่งภรณียิ้มแล้วนิ่งอยู่ แล้วหล่อนลากเสื่อที่ปูตรงหน้าเตียงเข้ามาใกล้จิตรา พร้อมด้วยหมอน พลางพูดว่า

“คุณพี่นอนเล่นเสียมั่งสิคะ ยิ่งยังไม่แข็งแรงดีเดี๋ยวจะเมื่อย”

จิตรามองดูเสื่อกับหมอนโดยไม่เอาใจใส่ ความคิดของหล่อนยังจดจ่อในเรื่องที่หล่อนพูด แต่ภรณีเอ่ยขึ้นอีกว่า “ลายหมอนนั่นที่คุณพี่ให้ขอยืมยังไงล่ะคะ ปักแล้วสวยดีจริง แต่ดิฉันว่าดิฉันเลือกสีผิด กลีบกุหลาบแทนที่จะใช้สีชมพู ควรจะใช้สีส้ม”

“อุตส่าห์มีเวลาปักหมอน” จิตรากล่าวสีหน้าขรึมรู้สึกหงุดหงิดในใจอย่างประหลาด “ทำแล้วมีใครชอบใครชมที่นี่?”

“ดิฉันชมของดิฉันเอง เสียอย่างเดียวลายหมอนที่ไม่เหมาะกับเสื่อ ต้องวางบนเก้าอี้ถึงจะเหมาะ” พูดพลางภรณีลูบคลำหมอนอยู่ไปมา

ผู้ฟังพิศดูหน้าผู้พูด และจับได้ว่าความเศร้ากำลังเข้าครอบงำจิตใจภรณี จิตราก็รู้สึกเศร้าและรำคาญระคนกัน เหตุ​ไฉนภรณีจึงเป็นทั้งผู้ที่อ่อนแอและผู้ที่เข้มแข็ง ภรณีปล่อยตัวให้อยู่ในอำนาจของแม่เลี้ยง กลัวเขา เกรงเขา ทำตามที่เขาสั่ง ปฏิบัติการงานให้แก่เขา หลีกเลี่ยงการที่จะถูกเขาบ่นเขาว่า แม้ในกรณีที่ตนอยู่ในทางถูกอย่างเต็มที่ แต่ถึงกระนั้น ภรณีก็รักษาความอิสระทางใจของหล่อนไว้ได้ อิทธิพลใด ๆ ของแม่เลี้ยงไม่สามารถที่จะทำให้การกระทำและความคิดความเห็นของภรณี เหไปจากแนวที่หล่อนได้ไว้จากการอบรมและการศึกษาอันดี การกระทำ คำพูดความคิดของแม่เลี้ยงซึ่งหนักไปในทางตกอยู่ในอำนาจฝ่ายต่ำบ้าง ในอำนาจความเขลาของผู้ที่ขาดการศึกษาบ้าง ขัดกับความรู้สึกและความเห็นของภรณีทั้งสิ้น เป็นเหตุให้ภรณีได้รับทั้งความรำคาญอันรุนแรง ทั้งความเดือดร้อนในใจ ภรณีมิได้ทอดตัวลงคร่ำครวญ ตีโพยตีพาย ดิ้นรนเพื่อจะหนีจากความรำคาญนั้น ๆ หล่อนใช้การนิ่งและความอดทนของหล่อน เพื่อสู้กับการขัดกันทางจิตใจระหว่างแม่เลี้ยงกับหล่อน และใช้อุดมคติอันสูงกับความเชื่อในหลักทำดีได้ดี เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจให้ฝังอยู่แต่ในทางที่ดีงาม

จิตรามองดูห้องที่หล่อนนั่งอยู่ ห้องนิด กว้างยาวราว ๆ ๔ ศอก มีหน้าต่างเพียงหน้าต่างเดียว มิหนำซ้ำเป็นห้องที่อยู่กับบันไดทางขึ้นลงระหว่างชั้นบนกับชั้นล่าง ที่ตั้งของห้องควรจะ​เป็นที่เก็บของมากกว่าเป็นห้องสำหรับอยู่ แต่ก็เป็นห้องภรณีใช้เป็นที่สำหรับนอน สำหรับแต่งตัว สำหรับทำงาน สำหรับพักผ่อนและรับแขกด้วยพร้อมเสร็จ และเมื่อภรณีใช้ห้องนี้สำหรับโอกาสต่าง ๆ ดังกล่าวแล้ว หล่อนก็ทำห้องเสียจนมีลักษณะน่าดูน่าใช้ได้อย่างสบายด้วย ที่หน้าต่างช่องเล็กนิดมีม่านสีเย็นตา เย็บโดยฝีมือประณีตไม่มีตำหนิ สะอาด ไม่มีรอยดำรอยด่าง บนเตียงนอนผ้าทุกชิ้นมีรอยฝีมือเย็บฝีมือซ่อมอย่างงดงาม บนม้าเครื่องแป้งซึ่งมีลักษณะเป็นม้าอย่างจริงจังและมีเครื่องตั้งแต่เพียงเท่าที่จำเป็นแท้ ๆ ภรณีก็ทำเสียจนม้าเครื่องแป้งอันกระจุ๋มกระจิ๋มน่าเอ็นดูด้วยวิธีจัดให้มีผ้าปู ผ้ารอง ชิ้น เล็ก ๆ บาง ๆ สีสวยลวดลายงาม ม้าเล็กลักษณะไม่ผิดกับม้าที่แม่ครัวทั้งหลายใช้รองนั่งเมื่อเวลาอยู่หน้าเตา เป็นม้าที่ไว้หนังสือในห้องภรณี แต่ถ้าดูผาด ๆ ไม่จับไม่ต้องก็คือโต๊ะหนังสือขนาดเตี้ยและเล็กอย่างที่สุด สำหรับตั้งในห้องที่ผู้อยู่ใช้พื้นห้องและเสื่อแทนเก้าอี้ เพราะภรณีได้ทำผ้าคลุมสีขาวปักเป็นลวดลายปิดบังเนื้อไม้และสัณฐานเดิมของม้าเสียสิ้น

ดูตั้งแต่เพดาน ซอกฝา ใต้เตียง หลังตู้ตลอดจนถึงช่องระหว่างตั้งหนังสือ รวมทั้งสันหนังสือและขอบหนังสือทุก​ด้าน ไม่มีหยักไย่หรือรอยฝุ่นแม้แต่สักนิด ผ้าสักชิ้น กระดาษสักแผ่น เข็มเสียบผมสักเล่มไม่มีอยู่ผิดที่ ลักษณะของห้องและสิ่งของในห้อง แสดงถึงลักษณะและจิตใจของผู้อยู่ เป็นจิตใจที่มีระเบียบ มีวินัย มีความมั่นคงหนักแน่น เป็นจิตใจที่มีอารมณ์คลุ้มคลั่งเผลอเรอ หรือ ‘ขอไปที’ ไม่เคยได้มีอำนาจเหนือ

ภรณีวางมือจากหมอน คลานไปหยิบหนังสือจากม้าแล้ว คลานกลับมานั่งข้างแขกของหล่อนตามเดิม พูดว่า

“หนังสือของคุณพี่เล่มนี้ ฉีกไปครึ่งหน้าดิฉันเลยเอากระดาษติดแป้งเปียกผนึกไว้ จวนจบแล้วค่ะ เหลืออีก ๓๕ หน้าเท่านั้นเอง ค่อนเล่มเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว—นี่ไงคะตรงที่ขาด”

จิตราพยักหน้า “จำได้แล้ว ตาตุ๊ซีแกฉีกของพี่ เด็กคนนั้นเป็นโรคเห็นหนังสือไม่ได้ เห็นเข้าต้องจับแล้วก็จับให้ขาดเสียด้วยนะ”

“มือหนักแล้วยังไม่รู้จักระวัง อยากกัด นึกเห็นมือแกตุ้ม ๆ น่ารักจัง เมื่อไรคุณพี่จะพาแกมาเที่ยวมั่งคะ ?”

“ต้องรอให้เจริญเขาว่างเวลาเย็นถึงจะได้ หมู่นี้เขากลับจากทำงานช้าทุกวัน—เธออ่านหนังสือเวลาไหน ? พี่รู้สึกว่า​เธออ่านเร็วเหลือเกิน ไม่สมกับที่เป็นทั้งแม่ครัวและต้นเรือน มิหนำซ้ำยังเป็นคนเลี้ยงเด็กอีก”

“ก็ของชอบนี่คะ ก็ต้องหาเวลาอ่านให้จงได้ โดยมากดิฉันอ่านเวลานอน คือว่าเมื่อถึงเวลาที่จะนอนได้ก็ไม่นอนเสีย อ่านหนังสือแทน บางทีตอนหัวค่ำง่วงเต็มแก่หลับไปตื่นหนึ่งแล้วก็ลุกขึ้นอ่านตอนดึก เรื่องหนังสือนี่จำเป็นเหลือเกินค่ะ ต้องอ่าน ไม่อ่านไม่ได้ แหม เพราะอย่างนั้นเวลานอนก่อนที่จะหลับดิฉันนึกถึงพระเดชพระคุณ คุณพี่กับคุณเจริญทุกคื้นทุกคืน เผื่อไม่มีคุณพี่คอยกรุณาส่งนั่นส่งนี่มาให้อ่านเสมอ ดิฉันคง—คงเป็นบ้า หนังสือของคุณพ่อที่ได้จากงานศพบ่อย ๆ ก็เป็นประโยชน์สำหรับดิฉันเหมือนกัน แต่มันหนักไปในทางวิชาธัมมะธัมโมเสียหมด อ่านบ่อย ๆ ไม่ไหวหัวสมองมันไม่ยอมรับ”

“เธอยังดียังอ่านมั่ง พี่ละไม่ได้อ่านเลย หนังสือแจกงานต่าง ๆ พอได้มาก็เก็บเข้าตู้ นอกจากที่เป็นเรื่องแปลกน่าอ่านจริง ๆ”

“ดิฉันถูกบังคับให้ดีด้วยนี่คะ รู้ตัวว่าถ้าไม่ได้อ่านก็จะโง่ลงทุกวัน อีกสักหน่อยก็จะมีความรู้ขนาดเด็กชั้นประถม เพราะอยู่แต่ในรั้วสังกะสีสี่เหลี่ยม ไม่ได้เห็นอะไร ไม่ได้ฟัง​อะไร—” หล่อนชะงัก และเปลี่ยนเรื่องในทันทีทันใด “คุณพี่ลืมอะไรอย่างหนึ่งแล้วค่ะ ขนาดตัวหนูตุ๊ เดี๋ยวถักไม่ทันใส่เวลาหนาว”

จิตราสั่นศีรษะอย่างไม่เอาใจใส่ “ที่จริงพี่ไม่ได้ลืมแต่— อะไรก็ไม่รู้ อย่าไปถักเลยเสื้อแส้ ตัวที่ถักปีกลายก็ยังใช้ได้—” หล่อนหัวเราะเมื่อเห็นภรณีมีหน้าแสดงความสงสัย “เธอน่ะขยันอย่างประหลาด อดทนอย่างประหลาด พี่เป็นผู้ใหญ่กว่าแต่ดีสู้เธอไม่ได้” หัวเราะอีก และจับมือภรณีบีบเบา ๆ “วันหลังพี่จะมาคุยด้วยใหม่ แล้วจะเอาหนังสือมาให้อ่านอีก วันนี้ต้องกลับที”

หล่อนชะโงกหน้าไปทางกระจกเงาบนม้าเครื่องแป้งของภรณี แต่มองดูเงาของตนไม่ชัดก็ขยับเข้าไปอีก ส่วนปากก็พูดว่า “หน้าพี่มันโตกว่ากระจกของเธอไปเสียแล้ว”

“กระจกบานนี้เห็นจะเล็กกว่าหน้าคนทุกคนค่ะ” ภรณีตอบ ลากเสื่อออกจากที่เก่าเพื่อมิให้กีดเท้าจิตรา เมื่อจัดเสื่อกับหมอนเข้าที่ดีแล้ว ก็พอดีกับจิตราจัดผมของหล่อนเสร็จ และหันมาพูดว่า “อย่าลงมาส่งพี่นะ เดี๋ยวยายแม่เลี้ยงของเธอจะมาว่าอะไรเธอใส่หูพี่อีก พี่น่ะมันแปลก บ้า รู้แต่ไม่เห็นก็ทนได้ ทั้งรู้ทั้งเห็นละก็ทนไม่ไหว”

​ภรณีพนมมือไหว้ แล้วยืนดูจิตราผ่านตนไป สีหน้าแสดงความสงสัยและกังวล ส่วนจิตราเมื่อลงบันไดขั้นหนึ่งแล้ว เกิดความรู้สึกว่ากิริยาและวาจาของตน อาจจะทำให้ภรณีสนเท่ห์และไม่สบายใจ ก็หันกลับมายิ้มและพูดว่า “ทำใจดี ๆ ไว้นะ อีกไม่ช้าพี่จะเอาข่าวดีมาบอก” แล้วหล่อนก็ลงบันไดไป

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #2 on: 28 October 2025, 20:45:52 »





​ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความลำเอียง ๔ คืออะไร คือ ลำเอียงเพราะรักกัน เพราะชังกัน เพราะเขลา เพราะกลัว

บุคคลใดละเมิดธรรม เพราะความรักกัน เพราะความชังกัน เพราะความกลัว เพราะความเขลา ยศของบุคคลนั้นย่อมเสื่อมเหมือนพระจันทร์ข้างแรม

 

จิตราทิ้งความฉงนสนเท่ห์ไว้ให้ภรณีไม่ไม่น้อย และถ้าไม่เป็นเพราะคำพูดประโยคสุดท้ายของจิตรา ความสนเท่ห์ของภรณีจะหนักไปในทางที่สงสัยว่าจิตราไม่พอใจภรณีด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง

บัดนี้ภรณีสงสัยแต่เพียงว่า ข่าวดีที่จิตรากล่าวนั้น จะดีในลักษณะเช่นไรหนอ และความสงสัยนั้น ทั้งที่เป็นความสงสัย ก็ได้ทำให้จิตใจของภรณีแช่มชื่นขึ้น ข่าวดี ?! สิ่งที่จัดว่าดีสำหรับบุคคลหนึ่ง ๆ คือสิ่งที่เขาคอยอยู่ หวังอยู่ อยากได้อยู่แล้ว และได้สมกับที่คอยที่หวังที่อยากได้ ชีวิตของภรณีเป็นชีวิตที่อยู่ในความบีบบังคับทั้งทางกายและทางใจ ในดวงความคิดของภรณีย่อมจะมีการคอยการหวัง การอยากได้หลายอย่างหลายชนิด​เป็นครู่ใหญ่ ภรณีเพลินไปในความคาดคะเนถึงลักษณะของข่าวดีที่จิตรากล่าวนั้น

แล้วหล่อนนึกได้ถึงงานที่หล่อนจะต้องทำ คะเนเวลาน่าจะถึง ๑๕ นาฬิกาเศษ แม่ครัวคงจะกลับจากตลาดแล้ว ภรณีจะต้องตรวจดูสิ่งของที่แม่ครัวจ่ายมา แล้วช่วยแม่ครัวประกอบอาหารมื้อหลัง ซึ่งจะต้องสำเร็จเรียบร้อยบริโภคได้เมื่อถึงเวลา ๑๗–๑๘ นาฬิกา

เมื่อภรณีมาถึงครัว พบนางเยื้อนมารดาเลี้ยงอยู่ที่นั่นแล้ว กำลังตรวจสิ่งของในตะกร้าซึ่งแม่ครัวซื้อมาจากตลาด นางเยื้อนทักภรณีว่า

“แม่เศรษฐีใหญ่ไปแล้วรึ ? คุยอะไรกันนะทีละนาน ๆ เรื่องช่างมากจริง จนลืมการลืมงานหมด จนจะสี่โมงแล้วยังไม่ได้ตั้งหม้อข้าว ไอ้ผ้าก็แห้งเต็มราวไม่มีคนเก็บ”

คำพูดเหล่านั้นมิใช่คำที่จำเป็นจะต้องมีคำตอบ ดังนั้นภรณีจึงไม่ตอบว่ากระไร และการใส่น้ำใส่ข้าวลงในหม้อยกขึ้นตั้งบนเตาก็ดี การเก็บผ้าที่แห้งแล้วก็ดี มิใช่เป็นงานที่ภรณีเคยทำประจำอยู่ทุกวัน แท้จริงกิจทั้งสองอย่างนี้ภรณีทำบ้าง ไม่ทำบ้าง สุดแต่โอกาสอันควร กล่าวคือแล้วแต่ผู้ที่มีหน้าที่ทำกิจ​สองอย่างนั้นมีงานเหลือมือ จนถึงกับต้องมีผู้ช่วยแบ่งงานไปทำเสียบ้างหรือไม่

แต่เพื่อจะเลี่ยงจากการต้องฟังคำติเตียนโดยปราศจากเหตุผลมากกว่าที่ได้ฟังแล้วด้วย และเพื่อหาเวลาอยู่แต่ลำพังสำหรับระงับความฉุนโกรธที่เกิดขึ้นในใจด้วย ภรณีออกจากครัวไปยังหลังเรือนอันเป็นที่ ๆ มีราวตากผ้าขึงอยู่

วิธีที่ภรณีใช้ระงับความโกรธนั้น เป็นวิธีที่ตื้นและง่าย เพราะเป็นวิธีสามัญชนย่อมจะใช้กันทั่วไป ในเมื่อสิ้นหนทางที่จะใช้วิธีอื่นนอกไปจากนี้ ในทันทีที่ได้ฟังคำพูดกัน ขัดกับความรู้สึกซึ่งทำให้อารมณ์โกรธพลุ่งขึ้น ภรณีก็ใช้ความนิ่งเป็นเครื่องกันความอยากโต้ตอบมิให้ปรากฏออกมาเป็นคำพูดได้ ครั้นนิ่งอยู่นานจนได้สติแล้ว ความอยากที่จะโต้ตอบ ที่จะว่ากล่าวก็สิ้นไป แต่ความโกรธขึ้งในใจของภรณีนั้นเมื่อได้ถูกระงับไว้ มิใช่ว่าจะถึงซึ่งความต้องดับลง ตรงกันข้าม ความโกรธของภรณีที่มีต่อแม่เลี้ยงนั้น เนื่องจากที่ถูกกด และไม่มีการแสดงออกมาเสียเลย ได้แปรรูปเป็นความร้อนสุมอยู่ในจิตใจของภรณีเช่นเดียวกับไฟสุมขอน และกระตุ้นเตือนภรณีอยู่มิได้ขาด เพื่อให้หาวิธีที่จะดับร้อนมีอยู่ในตัวด้วย วิธีทำความร้อนให้เกิดแก่อีกฝ่ายหนึ่ง

​และภรณีมีอายุถึง ๒๓ ปี ทั้งเป็นผู้ที่ได้เคยอยู่ในสำนักให้การเรียน และการอบรมทางใจ แก่สตรีอย่างดียิ่งสำนักหนึ่ง ตั้งแต่อายุ ๘ ขวบจนย่างเข้า ๑๙ ปี นอกจากนี้ยังเป็นผู้ที่ได้อ่านมาก ก็เป็นธรรมดาที่จะรู้ว่า บรรดาความร้อนที่เกิดขึ้นในดวงจิต ไม่มีความร้อนชนิดใดเป็นภัยร้ายแก่เจ้าของจิต เท่ากับความร้อนที่มีความริษยาเป็นมูลเหตุ ส่วนนางจำนงฯ มารดาเลี้ยงของภรณีก็เป็นผู้มีนิสัยช่างริษยา ภรณีจึงรู้ทางที่จะทำความร้อนให้เกิดแก่แม่เลี้ยงโดยง่ายเป็นอย่างดี แต่ทางนั้น ๆ ถ้าภรณีนำมาใช้ เช่นหมั่นเข้าใกล้ชิดท่านบิดา พูดจาเล่นหัวให้ถูกใจท่าน จนท่านแสดงความรักหล่อนออกนอกหน้าหรือพะเน้าพะนอน้องใหญ่น้องเล็ก จนน้องพอใจที่จะใกล้ชิดเล่นหัวกับหล่อนทั้งลับหลังและต่อหน้ามารดา หรือแต่งตัวสวยงามออกจากบ้านไปกับมิตรผู้มั่งคั่งเช่นจิตรา เหล่านี้ก็ล้วนแต่จะทำให้นางจำนงฯ รุ่มร้อนไปด้วยความริษยา ภรณีจะต้องถูกแสงสะท้อนแห่งความร้อนที่หล่อนก่อให้เกิดแก่แม่เลี้ยงกลับมาเผาจิตใจของหล่อนด้วย กล่าวคือนางจำนงฯ จะบ่นว่าขอดข้อน กล่าวร้ายใส่หูหล่อน เมื่อภรณียังถูกความจำเป็นบังคับให้อยู่ร่วมบ้านกับมารดาเลี้ยง หล่อนก็ไม่มีทางเลี่ยงจากการต้องฟังถ้อยคำเหล่านี้ ภรณีจึงเว้นเสียซึ่งการใช้ทางต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วโดยสิ้นเชิง

​แต่ยังมีทางบางทางที่ภรณีไม่เคยหยุดยั้งความปรารถนาที่จะนำมาใช้ คือการออกไปจากบ้านที่อยู่ในปัจจุบันในฐานะของผู้มีรายได้มากพอจนไม่ต้องพึ่งผู้หนึ่งผู้ใดในการครองชีพ เมื่อพ้นไปแล้ว นุ่งสวย ห่มสวย ใช้พาหนะงามมาเยี่ยมบิดา มีสิ่งของดี ๆ มาให้แก่น้อง ทางนี้ เมื่อใดภรณีมีโอกาสได้ใช้ เมื่อนั้นนางจำนงฯ จะต้องได้พบกับความร้อนที่จะตามเผาตนไปชั่วชีวิต

แต่ทางนี้มิใช่ทางที่จะได้มาโดยง่าย ภรณีรู้อยู่เหมือนกัน และรู้ประจักษ์จนเกือบจะสิ้นหวังเสียหลายสิบครั้งแล้ว หากแต่ว่าภรณียังอยู่ในวัยสาว คือวัยที่ต้องมีความหวังเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต และวัยนี้เป็นวัยแห่งความยึดมั่น ดื้อดึง ทรหด ทนทาน ถึงแม้จะรู้ว่าหวังแล้วความหวังจะอยู่ห่างความสำเร็จจนคาดคะเนไม่ถึงก็ยังหวัง หรือหวังแล้วมองไม่เห็นทางที่ความหวังจะแปรรูปเป็นความสำเร็จขึ้นได้ก็ยังหวัง ตลอดจนกระทั่งรู้ว่าความหวังจะไม่เป็นอื่นนอกจากความหวัง ก็ยังหวังอยู่นั่นเอง

ในระหว่างที่เก็บผ้าแห้งจากราว แล้วพับรวมไว้ในอ่างใหญ่ เพื่อจะรีดในเวลาหลัง ภรณีนึกถึงคำของจิตราที่กล่าวว่า หล่อน ‘อดทนอย่างประหลาด’ คำว่า ‘อย่างประหลาด’ นั้นแสดงว่าจิตราไม่เห็นด้วยกับภรณีในความอดความทน ที่​หล่อนอดให้ทนให้แก่แม่เลี้ยง ทั้งนี้ไม่เป็นข้อที่แปลก เพราะจิตรามิได้รู้ถึงแนวความคิดของภรณีในแง่ที่เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตโดยละเอียด จิตรารู้ว่าภรณีเป็นคนมีอุดมคติอันสูง เป็นผู้เพ่งเล็งไปแต่ในทางความดีงาม จิตราไม่อาจมีความรู้ได้ว่า ในอุดมคติของภรณี มีหลักการเสียสละทางกายทางใจ เพื่อความดีความงามของผู้อื่นเป็นส่วนประกอบอย่างสำคัญอยู่ด้วย

ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้าของภรณีมีจดหมายอยู่หลายฉบับ จำนวนหนึ่งในจำนวนทั้งหมดนี้ เป็นจดหมายของครูผู้มีอำนาจอยู่ในโรงเรียนที่ภรณีได้รับการศึกษา เขียนมาถึงภรณีในระยะเวลาใกล้ไกลนับเป็นวันบ้าง เป็นสัปดาห์บ้าง เป็นเดือนบ้างตลอดจนถึงนับเป็นปี เป็นจดหมายที่แสดงว่าภรณีมีวิชาสามัญและวิชาพิเศษประเภทหนึ่ง ซึ่งทางโรงเรียนเห็นว่ามีค่าเท่าเทียมกับส่วนของรายจ่ายที่ทางโรงเรียนจะจ่ายเป็นค่าอยู่ ค่าบริโภคของภรณีได้เป็นอย่างดี ถ้าภรณีจะตัดช่องน้อยแต่พอตัว หล่อนก็อาจจะเลือกทำได้ตามใจทุกเวลา

แต่ใจของภรณีในปัจจุบันและในอดีตอันใกล้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของภรณีในอดีตอันไกลนับได้ ๕ ปีเศษ เมื่อภรณีอายุ ๑๘ เป็นอายุที่จิตใจมีกำลังแรงกล้า อาจจะพุ่งไปในทางดีหรือทางชั่วทางใดทางหนึ่งก็ว่าได้ ด้วยความเร็วปาน ๆ กันทั้งสอง​ทาง และโดยปราศจากความยั้งคิดให้รอบคอบก่อนที่จะพุ่งไปในทางใดทางหนึ่งด้วย ภรณีได้มีความเห็นว่า น้องหญิงคนเล็กของหล่อนซึ่งในเวลานั้นมีอายุเพียง ๑๑ จะเติบโตขึ้นเป็นหญิงดีได้ก็ด้วยการที่เข้าอยู่ประจำในโรงเรียนที่ภรณีกำลังเรียนอยู่ แล้วภรณีก็ได้เริ่มบำเพ็ญการเสียสละเพื่อบุคคลอื่นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นมา

เวลานั้นภรณีกำลังเรียนอยู่ในชั้นสุดท้ายแห่งมัธยมตอนปลาย วันหนึ่งหลวงจำนงฯ ผู้บิดาได้มาหาหล่อนแล้วแจ้งว่า บุตรีของคุณหลวงคนแรกที่เกิดด้วยนางเยื้อน มีอายุอ่อนกว่าภรณีเพียง ๘ เดือนนั้น ได้หายไปโดยปราศจากร่องรอย แต่ตามความสันนิษฐานของข้าราชการและชาวบ้านในจังหวัดที่คุณหลวงประจำอยู่ เป็นที่เข้าใจว่าหล่อนได้หนีไปกับชายหนุ่มที่เป็นบุตรของพ่อค้าผู้มั่งคั่งคนหนึ่งในจังหวัดนี้

คุณหลวงได้นั่งปรารภถึงรายละเอียดแห่งเหตุการณ์ ให้ธิดาฟังเป็นเวลา ๒–๔ ชั่วโมง ความโทมนัสของบิดาที่ปรากฏแก่ภรณีได้เร้าความรู้สึกของภรณีทั้งในทางดีทางร้ายให้ลุกพลุ่งขึ้นโดยแรง เมื่อท่านบิดาได้จากหล่อนไปแล้ว จิตใจของภรณีก็ขุ่นมัว สมองครุ่นคิดอยู่แต่ในเรื่องของน้องหญิงคนโต ทั้งกลางคืนกลางวัน

​จากการครุ่นคิด ภรณีถูกกระตุ้นเตือนให้ใคร่ครวญถึงเหตุความเสียหายครั้งนี้ ตามความคิดของภรณี อาภรณ์เป็นผู้ที่มีนิสัยอ่อน น่ารัก น่าเอ็นดูทุกประการ แต่เป็นผู้ที่หูเบา ใจเบา โกรธง่าย หายง่าย เชื่อง่าย จำง่าย ลืมง่าย รักง่าย เกลียดง่าย มีอารมณ์เป็นทาสแก่การถูกกระทบโดยง่ายทุกเวลา ส่วนมารดาเลี้ยงของภรณี ซึ่งเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของอาภรณ์นั้น ก็มีนิสัยชอบเคี่ยวเข็ญบุคคลทั้งหลายเป็นนิสัยส่วนสำคัญ เคี่ยวเข็ญทั้งบุคคลที่ห่างไกล เคี่ยวเข็ญทั้งบุคคลที่ใกล้ชิด เคี่ยวเข็ญทั้งบุคคลที่ตนเกลียด เคี่ยวเข็ญทั้งบุคคลที่ตนรัก ผู้ที่นางเยื้อนเกลียดกับผู้ที่นางเยื้อนรัก ถูกนางเยื้อนเคี่ยวเข็ญประมาณเท่าเทียมกัน ผิดกันแต่เพียงว่าฝ่ายหนึ่งถูกเคี่ยวเข็ญอย่างไม่มีขีดคั่น อีกฝ่ายหนึ่งถูกเคี่ยวเข็ญไปในทางที่นางเยื้อนเห็นว่าเป็นทางดี ทางสบาย เช่นนางเยื้อนย่อมเคี่ยวเข็ญลูกเลี้ยงและคนอื่น ๆ ที่นางชังมิให้บริโภคนั่นบริโภคนี่ เพราะเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง มิให้ไปนั่นมานี่ทำนั่นทำนี่เพราะนางเยื้อนเดียดฉันท์ไม่อยากให้ไป ไม่อยากให้ทำ แต่นางเยื้อนย่อมเคี่ยวเข็ญสามีและบุตรธิดาของตนให้บริโภคนั่น บริโภคนี่ที่นางเยื้อนจัดหาไว้ เพราะเห็นว่าเป็นอาหารรสดี และให้ไปนั่นมานี่ ​เพราะนางเยื้อนเห็นว่าไปแล้วมาแล้วจะเป็นประโยชน์หรือจะเป็นสุข

อนึ่ง ผู้ที่นางเยื้อนเคี่ยวเข็ญด้วยความรักนั้นในบางโอกาสย่อมจะได้รับความตามใจและความพะเน้าพะนอจากนางเยื้อนอย่างน่าอัศจรรย์ใจ เช่นนางเยื้อนอาจยอมให้บุตรธิดาหยิบฉวยเงินเป็นกอบเป็นกำสำหรับไปซื้อไปจ่าย สิ่งที่อยากซื้ออยากจ่ายตามความปรารถนา และยอมให้ทำสิ่งที่เขาไม่อยู่ในฐานะและในวัยที่ควรทำ ครั้นในบางโอกาสก็ถูกนางเยื้อนบ่นว่าด้วยคำร้ายคำหนัก สุดแต่ว่าอารมณ์รักหรืออารมณ์ชังจะชักนำให้เป็นไป อาศัยความใคร่ครวญแล้ว เล็งเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ภรณีตัดสินว่า อาภรณ์น้องสาวของหล่อนเสียไป เพราะเหตุที่ได้รับการปกครองและการอบรมอันนับไม่ได้ว่าอยู่ในลักษณะที่ดี จะมีชีวิตจิตใจดวงใดบ้างในโลกนี้ที่เป็นธาตุแห่งความดีโดยบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ถึงกับจะคงความดีไว้ได้ในเมื่อถูกกระแทกไปมา ระหว่างความกดขี่อย่างรุนแรง และความบำรุงบำเรออย่างสุดขีดมิได้หยุดหย่อนดังที่อาภรณ์ได้รับเป็นเวลาเกือบ ๑๘ ปีเต็ม

ภรณีจึงทำความตั้งใจว่า จะพรากอำไพน้องคนที่สองของหล่อนมาเสียจากการเลี้ยงดู และการอบรมแบบนี้ให้จงได้

​ตามปกติในปีที่แล้ว ๆ มาเมื่อเวลาโรงเรียนปิด บางทีภรณีก็พักอยู่กับคุณยายผู้ซึ่งเป็นผู้ปกครองของหล่อน บางทีก็ไปพักกับบิดา สุดแต่ความสมัครใจของหล่อนเองบ้าง สุดแต่ความเห็นชอบของคุณยายบ้างแล้วแต่กรณี ในปลายปีนี้ภรณีขอร้องต่อคุณยายให้หล่อนได้ไปอยู่กับบิดาเพราะความที่ห่วงใยในบิดาด้วย เพราะเจตนาที่จะหาช่องทางกระทำตามความตั้งใจในส่วนที่เกี่ยวกับน้องคนที่สองด้วย หล่อนได้ยอมให้แม่เลี้ยงเคี่ยวเข็ญในประการต่าง ๆ อย่างอดได้ ทนได้ ยิ่งกว่าสมัยใดที่แล้วมา ได้ทำให้อำไพรักใคร่หล่อนจนถึงขีดที่เรียกว่า ‘ติด’ จนไม่ยอมห่าง ครั้นใกล้กำหนดโรงเรียนจะเปิด ภรณีก็ทำให้อำไพตามหล่อนเข้ากรุงเทพฯ จัดให้อำไพเป็นนักเรียนประจำในโรงเรียน ทำอุบายบอกยายว่าการเรียนของตนยังไม่เป็นผลสมบูรณ์ จำเป็นต้องเรียนต่ออีก ๑ ปี เพื่อจะได้ค่าใช้จ่ายที่ยายเคยจ่ายให้แก่ตน มาเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับน้อง หลอกบิดาและแม่เลี้ยงว่าน้องอายุน้อย เมื่อมีพี่อยู่ประจำในโรงเรียนคนหนึ่งแล้วโรงเรียนย่อมรับน้องไว้ได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายอย่างใด แล้วตนเองทำการสอนอยู่ในโรงเรียน เพื่อทดแทนค่าอยู่และค่าบริโภคซึ่งโรงเรียนต้องสิ้นเปลืองไปเพราะตน

​ในตอนค่อนปี ปีนี้เอง คุณยายผู้ปกครองของภรณีได้ถึงแก่กรรมลง ลูกชายคนเดียวของท่านเป็นผู้ได้รับมรดกโดยสิ้นเชิง เขาผู้นี้ ผู้ซึ่งเป็นลุงของภรณี ได้จ่ายเงินสดจำนวนหนึ่งให้แก่หลานเป็นจำนวนใกล้เคียงกับที่ท่านผู้ตายเคยจ่ายสำหรับภรณีในระยะเวลา ๒ ปี เงินจำนวนนี้ภรณีก็ได้สละไปจนสิ้น เพื่อประโยชน์แก่อนาคตของน้อง

ครั้นถึงคราวที่เงินจำนวนนี้สิ้นไปแล้ว ภรณีจำเป็นต้องเจรจาแก่บิดาและมารดาเลี้ยงเพื่อให้ยอมสละเงินเป็นค่าอยู่ประจำในโรงเรียนสำหรับอำไพ หล่อนก็จำเป็นจะต้องแจ้งความจริง ในข้อที่ตัวหล่อนเรียนสำเร็จบริบูรณ์แล้วให้บิดาและมารดาเลี้ยงทราบด้วย หลวงจำนงฯ มีความยินดีที่จะได้ธิดามาอยู่ใกล้เคียงเป็นนิจ นางจำนงฯ พอใจที่จะได้ภรณีมาไว้ใต้อำนาจ ภรณีจึงได้รับคำสั่งอย่างเด็ดขาดให้ลาออกจากโรงเรียนในทันที แต่ส่วนอำไพ—นางเยื้อนเสียดายเงินที่ต้องจ่ายให้แก่โรงเรียนสำหรับเป็นค่าอยู่ค่าบริโภคของอำไพยิ่งนัก แต่ครั้นจะสั่งให้อำไพลาออกจากโรงเรียนพร้อมกับภรณี ก็เกรงจะมีผู้นินทาว่าตนขัดสน ไม่มีทรัพย์จะให้เป็นค่าการศึกษาของลูก จึงให้ลูกลาออกจากโรงเรียนในปีแรกที่ต้องเสียเงิน เช่นเดียวกับผู้ที่เคยร่ำรวยแล้วมาเป็นผู้อัตคัดในภายหลังทุกคนไป นางเยื้อนเกลียดกลัวการที่จะมีผู้กล่าวว่า ตนไม่มีเงินสำหรับใช้จ่ายโดยฟุ่มเฟือยยิ่ง​นัก ทิษฐิของนางเยื้อนจึงมาเป็นประโยชน์แก่ความปรารถนาของภรณีเข้าตอนหนึ่งดังนี้

แต่ประโยชน์อันนี้ก็มาเป็นความร้อนที่เกิดแก่ภรณีไม่หยุดหย่อนเหมือนกัน เมื่อใดนางจำนงฯ มีอารมณ์ขุ่นมัวในเรื่องการเงิน เมื่อนั้นภรณีก็ถูกบ่นว่าในฐานะผู้เป็นต้นเหตุให้ทรัพย์ของนางจำนงฯ สิ้นเปลืองไปโดยใช่เหตุ คือทรัพย์ที่นางจำนงฯ ต้องจ่ายไปสำหรับลูกหญิงคนที่สอง เมื่อถูกบ่นถูกว่าดังนี้ บางคราวภรณีก็ภูมิใจในข้อที่ตนกระทำความตั้งใจของตนให้เป็นผลสำเร็จได้ บางคราวภรณีก็น้อยใจแค้นใจ อยากจะตอบจะว่าให้สาสม แต่ถึงจะแค้นเพียงใด อยากเพียงใด ภรณีก็ไม่ทำให้มารดาเลี้ยงเกิดโมโหมากขึ้น เพราะวาจาของหล่อน ภรณีรู้ว่าหล่อนไม่อยู่ในฐานะที่จะชนะแม่เลี้ยงโดยเด็ดขาดได้ ตราบเท่าที่หล่อนยังไม่พ้นชายคาบ้านท่านบิดา และหล่อนจะไปให้พ้นบ้านนี้ได้ก็ต่อเมื่อหล่อนตัดรักตัดห่วง ตัดกังวล ในบิดาและน้องใหญ่น้องเล็กได้แล้ว หรือมิฉะนั้นก็ต่อเมื่อความหวังของหล่อนเข้าสู่สภาพแห่งความเป็นจริงโดยสมบูรณ์

ครั้นพับผ้าใส่อ่างหมดทุกชิ้นแล้ว ภรณียกอ่างไปวางไว้ในห้องอันเป็นที่ ๆ คนใช้และภรณีเองใช้ทำงานบางชนิด เช่น งานรีดผ้า จีบพลูเป็นต้น แล้วหล่อนย้อนกลับไปที่ครัว เพื่อ​ดูว่าแม่ครัวซื้อของสิ่งใดมาเป็นของหวานสำหรับมื้อค่ำวันนี้ และมื้อเช้าวันรุ่งขึ้น นางจำนงฯ มีธรรมเนียมที่ถือไว้เคร่งครัดนักอยู่อย่างหนึ่ง คือไม่ยอมซื้อขนมที่ทำเสร็จจากตลาดมาบริโภคเป็นของหวานเป็นอันขาด ขนมทุกชนิดที่บุคคลผู้เป็นนายในบ้านนี้บริโภคต้องเป็นขนมที่ประกอบสำเร็จขึ้นที่ในบ้านนี้เอง และหน้าที่ทำขนมมักตกอยู่แก่ภรณีเกือบทุกวัน

เฉพาะวันนี้ของหวานจะเป็นกล้วยบวชชี แม่ครัวกำลังขูดมะพร้าว ซึ่งจะใช้ทำแกงเขียวหวานด้วย และบวชชีกล้วยด้วย ภรณีตัดกล้วยเป็นชิ้นๆ ขนาดพอคำ พลางนิ่งฟังนางจำนงฯ กับแม่ครัวสนทนากันไปด้วย นางจำนงฯ มีปกติชอบสนทนากับแม่ครัวเสมอ เรื่องที่สนทนากันนั้นบางทีก็เป็นเรื่องราคาอาหาร บางทีก็เป็นเรื่องเหตุการณ์อันเกิดขึ้นที่ตลาด เช่น การวิ่งราว การวิวาท บางทีก็เป็นเรื่องในบ้านของบุคคลหมู่ใดหมู่หนึ่ง ซึ่งแม่ครัวประจำบ้านนั้น ๆ นำมาเล่าให้เพื่อนแม่ครัวด้วยกันฟัง และบางทีก็เป็นเรื่องของตัวแม่ครัว หรือเรื่องของนางจำนงฯ เอง ซึ่งนางจำนงฯ มีความพอใจที่จะเล่าให้แม่ครัวฟัง คำพูดที่แม่ครัวพูดประกอบเรื่องเป็นคำยอคล้อยตามผู้เป็นนาย คำที่นางจำนงฯ พูดประกอบเรื่องเป็นคำหยิกแกม​หยอกผู้เป็นลูกจ้าง บางทีก็เป็นคำหยาบอย่างที่ภรณีฟังแล้วหาเข้าใจว่ากระไรไม่

เมื่อภรณีตัดกล้วยเสร็จ นางจำนงฯ เรียกให้หล่อนมาหั่นหมูต้มที่จะใช้เป็นกับข้าว โดยวิธีหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ จิ้มน้ำซีอิ้ว นางจำนงฯ กล่าวว่าแม่ครัวหั่นหมูเป็นชิ้นหนา เปรียบความหนาแห่งชิ้นหมูเท่ากับครก และท้าวความไปในทางที่เคยใช้พูดกับแม่ครัวเสมอ ความชนิดที่ภรณีฟังแล้วไม่เข้าใจนั้น และเมื่อสิ้นความพอใจที่จะพูดแล้วก็ลุกออกไปจากครัว

ในระยะเดียวกันนี้ มีเสียงเด็กวิ่งไล่กัน พร้อมกับตะโกนและหัวเราะดังเข้ามาในบ้าน เด็กหญิงสุภาพอายุ ๙ ขวบ เด็กชายเพิ่มพงศ์อายุ ๑๒ ขวบ กลับจากโรงเรียนมาถึงบ้านพร้อมกัน ประมาณ ๔–๕ นาที เด็กทั้งสองก็มาที่ครัว ด้วยเจตนาที่จะพบกับพี่สาวใหญ่ด้วย และเพื่อตรวจดูว่าจะมีสิ่งของอย่างใดที่ตนจะหยิบฉวยใส่ปากได้ด้วย การหยิบฉวยสิ่งของใส่ปากเช่นนี้ ภรณีชังเป็นอย่างยิ่งและมักจะห้ามปรามตักเตือนน้องเป็นนิจ แต่บางคราวเมื่อห้ามแล้วเด็กก็เตรียมที่จะฟังแล้ว มารดาของเด็กก็ออกวาจาเป็นเชิงว่าเด็กมีสิทธิที่จะทำได้ เพราะหิวและเหน็ดเหนื่อยมาจากโรงเรียน เด็กจึงถือเอาคำของมารดาเป็นเครื่อง​สนับสนุนการกระทำของตัว บางคราวแม้ภรณีเองก็สมเพชแก่น้อง เมื่อน้องบ่นว่า “หนูหิว พี่ภร” หล่อนมักจะเก็บของหวานที่เหลือจากมื้อเช้าไว้ให้น้องรับประทานมื้อบ่ายบ่อยๆ แต่ของหวานจะเหลือให้ภรณีเก็บหรือไม่ ก็แล้วแต่ว่าเด็กทั้งสองจะรับประทานของหวานมื้อเช้ามากน้อยเท่าใดนั่นเอง ส่วนการที่ภรณีจะจัดหาของว่างไว้ให้น้องทุกวันโดยสม่ำเสมอนั้น หล่อนไม่มีโอกาสที่จะทำได้เพราะนางจำนงฯ มีความเห็นว่า ถ้าเด็กบริโภคของว่างเวลาบ่าย ๑๖ นาฬิกาล่วงแล้ว จะรับประทานอาหารค่ำได้น้อย ซึ่งจะเป็นเหตุให้เด็กผอมลง

วันนี้สิ่งของที่แม่ครัวจ่ายมา ไม่เป็นสิ่งที่เด็กจะหยิบใส่ปากเคี้ยวเล่นได้ เด็กชายจึงหยิบกล้วยน้ำว้าที่ภรณีหั่นไว้ใส่ปากเพียงสองชิ้น แล้วก็เดินไปเดินมาอยู่ในห้องครัว เด็กหญิงนั่งลงตรงประตูและกล่าวแก่พี่สาวว่า

“เลขคณิตหนูถูกหมดเลย ครูชมหนูใหญ่ ครูบอกใคร ๆ ทำไม่ถูกสักคน หนูถูกคนเดียว”

ภรณีหัวเราะ “ครูให้หนูทำให้ดูหรือเปล่า ?” หล่อนถาม “ถ้าเผื่อให้ทำ หนูก็จะทำผิดเหมือนคนอื่น”

“แน้ !” สุภาพร้อง “หนูทำต่ออีก ๔ ข้อหนูก็ทำได้หมด”

​“ครูตรวจแล้วหรือ ?”

“ยัง ครูให้เป็นการบ้าน”

“ดีละ เดี๋ยวพี่จะตรวจ ดูถีหนูเข้าใจจริง ๆ หรือเปล่า ถ้าเผื่อหนูทำผิดละก็ ครูเขารู้ทีเดียวว่าเมื่อวานนี้หนูไม่ได้ทำเอง”

แล้วหล่อนหันไปถามน้องชาย

“มีการบ้านไหม พงศ์”

“ไม่มี สบายเลยวันนี้”

“ดี ไปผลัดเครื่องแต่งตัวกันเสียทีซีไป๊”

สุภาพลุกขึ้นทันที แต่เพิ่มพงศ์ยังคงเดินเตร่ไปมาแล้วหยิบห่อเล็กห่อน้อยที่วาง ๆ อยู่ขึ้นแก้ดูเพื่อหาของต้องใจ เช่น ถั่วลิสง เต้าหู้ ครั้นแล้วก็ไปชะโงกตัวอยู่เหนือศีรษะแม่ครัวถามว่า “แกงอะไร ? หอมจัง”

“พงศ์” ภรณีทักพร้อมกับขึงตา เมื่อน้องชายรู้ตัวและถอยห่างจากแม่ครัวมาแล้วหล่อนก็พูดสืบไปว่า “แกงเขียวหวานของโปรดของเราน่ะแหละ ไปถอดเสื้อเสียไป๊ พรุ่งนี้ก็จะต้องใส่อีก มันจะได้สกปรกน้อยลงหน่อย แล้วเวลาถอดแล้วละก็ผึ่งเสีย ไอ้เรื่องถอดเสื้อแล้วทิ้งไม่ผึ่ง ไม่วางให้เป็นที่นี่แหละ พี่ขอเท่าไรก็ไม่ได้”

​เพิ่มพงศ์เดินทำส้นให้สะดุดพื้นดังตึง ๆ ตั้งแต่กลางห้องครัวจนถึงประตู แล้วก็ออกวิ่งไปที่เรือน

ในทันใดนั้นแม่ครัวก็เอ่ยขึ้นว่า

“เบื่อเหมือนจะตาย พอมาถึงละก็จับนั่นรื้อนี่ ยังกับลิงแสม”

ภรณีไม่เอาใจใส่ต่อคำเหล่านั้น ก้มหน้าทำงานของหล่อนสืบไปโดยไม่พูดว่ากระไร

ราว ๆ เกือบ ๑๖ นาฬิกา หลวงจำนงฯ ก็กลับมาถึงอีกคนหนึ่ง ต่อจากนั้นภรณีก็ได้ยินเสียงมารดาเลี้ยงพูดดังมาจากบนเรือนเป็นระยะเกือบไม่ขาด คุณนายจำนงฯ ขาดหูที่จะเป็นเครื่องรับเสียงของท่านมาหลายชั่วโมงอาศัยหูแม่ครัวและคนใช้ได้บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ย่อมไม่เป็นที่เพียงพอ และจะอาศัยหูของลูกชายลูกหญิง เด็กทั้งสองก็มีค่อยจะอยู่นิ่งให้ท่านพูดด้วย เวลาระหว่าง ๑๖.๐๐ กับ ๑๗.๐๐ นาฬิกานี้จึงเป็นเวลาที่นางจำนงฯ มักจะคอยและเร่งให้มาถึงเร็วเกือบทุกวัน

ราวๆ ๑๗ นาฬิกาเศษ งานในครัวซึ่งภรณีต้องทำและต้องควบคุมก็เสร็จลง ภรณีจึงกลับขึ้นเรือน ในเวลานั้น บิดาของหล่อนและนางจำนงฯ ยังคงพูดกันอยู่ในห้อง ๆ หนึ่ง ส่วนน้องสองคนและเด็กหญิงคนใช้ก็เล่นกันเย็ดถึงอยู่ในห้องอีกห้อง​หนึ่ง ภรณีเรียกเด็กทั้งสามนั้นมาสั่งในเชิงขอร้องด้วยถ้อยคำที่ฟังเพราะให้น้องทั้งสองช่วยหล่อนทำความสะอาดในห้องต่าง ๆ เด็กหญิงคนใช้มีหน้าที่ ๆ จะกวาดทางหน้าเรือน ภรณีก็เตือนให้ทำเสียตามหน้าที่ เสร็จจากการทำความสะอาดแล้วหล่อนเตือนน้องให้ไปอาบน้ำทำความสะอาดและความสบายให้แก่ตัวก่อนที่จะรับประทานอาหาร ภรณีเองนั้น จะอาบน้ำ ทำความสบายก็ต่อเมื่อพ้นจากงานแล้วและจะเข้านอน ในตอนเย็นนี้หล่อนทำแต่เพียงล้างมือและหวีผมให้เรียบร้อย เพราะเมื่อเสร็จจากการบริโภคแล้วหล่อนจะต้องรีดเสื้อรีดผ้าชิ้นที่ต้องการความเรียบร้อยมากกว่าชิ้นอื่น ๆ อีก เป็นต้นว่า เสื้อชั้นในของบิดา และเสื้อชั้นนอกของนางจำนงฯ รวมทั้งเสื้อผ้าของหล่อนเองด้วย

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #3 on: 28 October 2025, 20:47:47 »





​ภัสดาเป็นสง่าของสตรี

ภรรยาเป็นสหายอย่างยิ่ง (ของบุรุษ)

 

จิตราลงจากรถอย่างเร่งรีบ เมื่อเห็นรถคันเล็กที่สามีของหล่อนใช้ในเวลาไปทำงานจอดอยู่ที่หน้าตึกแล้ว ซึ่งแสดงว่าเจริญกลับจากทำงานมาถึงบ้าน ในระหว่างที่หล่อนไม่อยู่ จิตราไม่ชอบให้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ หล่อนถือว่าการที่ภรรยามิได้อยู่ต้อนรับสามีในเวลาที่เขากลับ จากการกระทำกิจในหน้าที่หัวหน้าครอบครัวของเขานั้น เป็นความบกพร่องส่วนหนึ่งในหน้าที่ภรรยา และด้วยเหตุที่จิตราถือว่าความเจริญแห่งครอบครัวหนึ่ง ๆ ขึ้นอยู่กับการที่บุคคลในครอบครัวนั้น ๆ ต่างปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยบริบูรณ์ จิตราจึงเป็นผู้ที่ระวังเป็นอย่างยิ่งในการที่จะมิให้ตนบกพร่องต่อหน้าที่โดยประการหนึ่งประการใด

ลงจากรถแล้วจิตรามองหาคนใช้ แต่มองไม่เห็นผู้ใด จึงตรงขึ้นบนตึกและตรงไปที่ห้องสามี

​เขากำลังยืนเล่นอยู่กับลูกชายคนเล็ก โยนตัวเด็กขึ้นแล้วรับไว้ด้วยแขนทั้งสองของเขา จิตรานิ่วหน้าด้วยความเสียวไส้แต่ไม่ทักท้วง ถามออกไปว่า

“วันนี้ทำไมกลับได้เร็วล่ะเธอ ? ฉันไปหาภรแล้วเลยแวะซื้อของ เลยมาช้าไปหน่อย”

“ถ้าไม่มีประชุม ก็กลับได้เร็วเสมอแหละ” เจริญตอบ วางลูกชายให้ยืนบนพื้นห้อง แล้วถามต่อไปทันที “แม่ภรตอบว่ายังไง ?”

จิตราส่ายหน้า “ไม่ได้เรื่อง” หล่อนตอบ “เดี๋ยวก่อนฉันไปดูของกินให้เธอก่อน” ก้มลงจูบแก้มลูกครั้งหนึ่งพูดว่า “หนูแดงไปไหนนี่ มาหาพ่อแล้วหรือยัง ?” แล้วทำท่าจะออกไปจากห้อง

“เดี๋ยวน่า เล่าเรื่องยายภรให้ฟังก่อน เรื่องกินชั่งมันเถอะ”

จิตราหัวเราะ “ใจร้อนจริง” หล่อนว่า “ที่จริงของกินน่ะทำไว้แล้ว ยังอยู่แต่จะเอาออกจากตู้เย็นเท่านั้นเอง เชื้อไปบอกแม้นให้จัดของว่างของคุณมาที่ไป๊ เอาหนูไว้นี่แหละ—อื๊อ เอาไปเสียด้วยเถอะ ผู้ใหญ่เขาจะพูดธุระกัน แกมันยุ่งนัก” จูบลูกชายอีกครั้งหนึ่ง แล้วตีก้นอันมีเนื้อหนาของเด็กเบา ๆ

​เมื่อพี่เลี้ยงพาเด็กไปพ้นแล้ว จิตราจึงเอ่ยขึ้นว่า

“ฉันเหลวเองเรื่องแม่ภร ไปถึงแล้วไม่รู้จะพูดกับแกว่าอย่างไร ท่าเธอจะต้องเป็นผู้จัดการแล้วละ ฉันไม่มีปัญญา”

หล่อนเดินไปนั่งที่บนเตียง เจริญมองดูหล่อนอย่างทึ่งแล้วว่า “ก็มันเป็นเรื่องของผู้หญิงทำไมจะให้ผู้ชายไปจัดการ สุ่มสี่สุ่มห้าไปหาลูกสาวเขา ยายแม่เลี้ยงแกจะได้เอาดุ้นแสมตีหัวเข้า”

“ยายบ้า ฉันเกลียดแกเหลือเกิน ทำสีหน้าฉันเป็นเจ้าของบ้าน ! ไอ้เราอุตส่าห์ไหว้ คิดว่าไหว้ให้กับยายภร รับไหว้แค่สะดือ ถามว่าภรอยู่ไหม ? เขาทำเสียงอะไรไม่รู้ เขาก็อยู่ห้องเขาน่ะซี”

เจริญหัวเราะ ยืนมือไขว้หลังมองดูภรรยาอย่างเพลิดเพลิน ตัวหล่อน กิริยาของหล่อน วาจาของหล่อน ความคิดของหล่อน การกระทำของหล่อน เป็นเครื่องชื่นชูอารมณ์แก่เขาทั้งสิ้น เมื่อหล่อนผิดโดยทางความคิดหรือทางพูด หรือทางการกระทำ เพราะความเขลาหรือพลั้งเผลอ เขาเห็นเป็นของขันและคิดเอ็นดูหล่อนยิ่งขึ้นในคราวที่หล่อนผิด เพราะนิสัยของความเป็นลูกผู้มีทรัพย์ได้รับความตามใจจนเคยตัว ชักจูงให้​เป็นไป เขาก็อภัยให้แก่หล่อนก่อนที่จะนึกโกรธ บัดนี้เขากำลังคิดว่าหล่อนทำตัวเป็นผู้ไร้เหตุผล ซึ่งทำให้เขานึกสนุกจึงว่า

“ตกลงโดยที่ยายแม่เลี้ยงแกไม่ต้องลงทุนลงแรงเลย แกก็ตัดหนทางดีของลูกเลี้ยงเสียได้ เพราะเธอมัวไปเกลียดแกเสียเลยไม่พูดธุระกับแม่ภร ?”

“อุ๊ยไม่ใช่” จิตราค้าน “มันคนละตอน ตอนยายเยื้อนน่ะตอนหนึ่ง แม่ภรน่ะตอนหนึ่ง คือยังงี้ ฉันว่าเธอไปพูดเองดีกว่าฉันพูด”

“เอาอีกแล้ว ! ฉันจะเอาเวลาที่ไหนไปพบกับยายภร จะให้ฉันปีนเข้าไปหาแกในห้องนอนรึ–?”

“ไม่ช่าย—”

“ไม่ปีนเข้าไปหา ทำไมจะได้พบตามลำพังล่ะ จะไปบอกกับผู้ใหญ่เขาว่าขอพบแม่ภรณีสองต่อสอง—”

“ไม่ช่าย โธ่ ก็ไม่ฟังฉันก่อนนะ ฉันบอกให้เธอไปทาบทามกับหลวงจำนงฯ—”

“อ้าว เรื่องนั้นก็ตกลงกันแล้วนี่นาว่าเป็นหน้าที่ของฉัน แต่ทีนี้ไอ้ที่เกี่ยวกับตัวภรณีเอง—”

“เป็นหน้าที่ของฉัน ถูกแล้ว แต่ทีนี้เวลาฉันไปถึงแม่ภรเข้า ฉันไม่รู้ว่าจะพูดกับแกว่ายังไร”

​เจริญถอยหลังไปนั่งลงบนโต๊ะเล็กตัวหนึ่ง

“แปลกแฮะ” เขาปรารภ “คนคุ้นเคยกันจนแค่นี้ยังไม่รู้จะพูดกันว่าอย่างไร”

“คืออย่างนี้จ้ะ” จิตราเอ่ยขึ้น พยายามรวบรวมความคิดและความรู้สึกของตนเพื่อจะกล่าวออกมาเป็นเนื้อความให้สามีเข้าใจแจ่มแจ้ง “ภรน่ะ แกไม่ใช่เด็กชนิดที่ว่าใครบอกให้ทำอะไรแกก็ทำตามเขาไป ยิ่งในเรื่องคู่เรื่องเคียงด้วยละก็ แกจะต้องยิ่งคิดมากเป็นพิเศษกว่าเรื่องอื่นไปอีก ที่ไหนแกจะเชื่อใครง่าย ๆ”

“ก็คู่ที่เราแนะให้แกนี่มันดีนักหนาแล้วนี่นา แกจะต้องคิดอะไรมากไปอีกล่ะ ?”

“ถ้าเราเห็นว่าดี แกก็ยังจะต้องคิดอีก และจะต้องคิดไปเรื่องความรักตามแบบของเด็กสาว ๆ เช่นว่าเขารักแกหรือ เขารักเพราะอะไร ทำไมถึงรัก คือว่าแกเป็นคนรู้คิดจริง แต่แกยังไม่รู้พอที่จะยอมเชื่อว่าคนเราไม่จำเป็นต้องแต่งงานเพราะความรักเสมอไป แต่งกันเพราะเหตุอย่างอื่นแล้วรักกันทีหลังก็ได้ ฉันกลัวแกจะมาถามฉันว่า ผู้ชายเขารักแกหรือ แล้วฉันก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปตอบกับแก”

​“ก็เอาไอ้ที่เธอพูดอยู่กับฉันนี่แหละ ตอบแกไป—”

“แล้วมันก็จะไม่ถูกใจแก เพราะแกจะต้องให้เขารักเสียก่อน แล้วถึงจะมานึกอยากแต่งงานกับแก ยายภรน่ะหัวแกเป็น—เป็นคนสมัยใหม่เหลือเกิน ไอ้ความดีในตัวของแกมันก็ดีอย่างคนสมัยใหม่แท้ ๆ มีกฎมีเกณฑ์อย่างนั้นอย่างนี้ รู้ว่าตัวของตัวต้องการอะไร เพราะเหตุใด และถ้าไม่ได้อย่างที่ตัวต้องการก็สู้ไม่เอาเสียเลย”

“ถ้าอย่างนั้นละก็ ถึงฉันจะเป็นคนพูด หรือเธอเป็นคนพูด มันก็จะผิดอะไรกัน”

“ผิดซีจ๊ะ คืออย่างนี้ เธอไปพูดกับหลวงจำนงฯ บอกว่ามีคนเขาจะมาขอลูกสาวแก แล้วเธอก็บอกไปว่าผู้ชายฐานะเขาเป็นอย่างนั้น ๆ ลูกเขยอย่างบันลือใคร ๆ ก็ต้องอยากได้ แล้วพ่อเขาก็คงพูดกับลูกเขาเอง ภรแกเกรงใจพ่อแก แกคงไม่กล้าปฏิเสธพรวดพราดไปง่าย ๆ แล้วยิ่งรู้ว่าเธอเป็นคนไปทาบทาม แกก็ต้องนึกเชื่อว่าผู้ชายต้องเป็นคนดีแน่ๆ แล้วฉันถึงจะไปหนุนแกทีหลัง ว่าคน ๆ นี้เป็นเพื่อนของเธอ แกควรจะเชื่อว่าเธอ ไม่เอาความเดือดร้อนไปให้แก ถ้าฉันทำหน้าที่แต่เพียงลูกหนุน ไม่เป็นตัวตั้งตัวตี แกคงไม่กล้าซักใช้อะไรฉันมาก ถ้าเผื่อซัก​ฉันก็จะปุโลปุเลตัดความเสียว่าฉันไม่รู้ละเอียด รู้แต่ว่าเป็นคนดี มั่งมีมาก แล้วไม่มีความประพฤติเสียหายอะไรเลย ในที่สุดแกก็คงตกลง”

เจริญเปลี่ยนอิริยาบถอีกครั้งหนึ่ง เขาไม่เข้าใจความคิด ความรู้สึกของภรรยาโดยถ่องแท้ แต่ก็บอกตัวเองว่าความคิดของผู้หญิงนั้นซับซ้อนเหลือสติปัญญาที่ตนจะเข้าใจได้ เมื่อลุกจากที่นั่งแล้ว เขาเดินไปหยิบซองบุหรี่จากกระเป๋าเสื้อชั้นนอก พร้อมกับพูดว่า

“เอายังไงก็เอา ให้ได้ตัวแกมาก็แล้วกัน เผื่อยังไงเจ้าบันลือจะได้หายบ้า”

สามีภรรยาออกจากห้องพร้อมกัน ลงบันไดไปด้วยกัน จิตรายังคงปรารภถึงจิตใจและนิสัยของภรณีต่อไปอีก เจริญฟังบ้างไม่ฟังบ้าง เขาไม่มีความพากเพียรพอที่จะเอาใจใส่ในเรื่องอันละเอียดลออ เช่นความรู้สึกนึกคิดของหญิงสาวอยู่ได้นานนัก

หลังจากที่รับประทานพลางและคุยกันพลางถึงเรื่องต่าง ๆ หลายเรื่องแล้ว เจริญจึงย้อนมาพูดถึงเรื่องการสู่ขอภรณีให้แก่บันลืออีก

“แล้วเจ้าตัวเขาน่ะจะกลับมากรุงเทพฯ เมื่อไหร่ ?” เขาถามภรรยา

​“เขาว่าเขาจะกลับก่อนกลางเดือน” จิตราตอบ “เดือนหนึ่งเขาต้องมากรุงเทพฯ หนหนึ่งเสมอ เพราะเขาต้องมาแลดูทรัพย์สมบัติของเขาเอง”

“แล้วเราล่ะ ฉันน่ะ เธอจะให้ฉันไปหาหลวงจำนงฯ เมื่อไร ?”

“ก็แล้วแต่ใจเธอซี แต่ให้มันรู้เรื่องกันเสียก่อนที่พระเอกเขากลับมาละก็ดี”

“หลวงจำนงฯ จะเรียกสักเท่าไหร่ ?” เจริญปรารภหลังจากที่ได้นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง “ท่าจะโก่งเสียหูฉี่ก็ไม่รู้ แกยิ่งกำลังโทรมอยู่ด้วย”

“บันลือเขาว่า เขาสู้ไม่อั้นประตูนี่” จิตราบอก

“งั้นเอาสัก ๒ หมื่นเป็นยังไง ?”

“อุ๊ยตาย มันเกินเหตุไปละ ธรรมดาพ่อแม่ฝ่ายผู้หญิง ถ้าจะเรียกเอาจากผู้ชายเขามาก ๆ ตัวก็ต้องมีอะไรมากองกับเขาให้พอเหมือนกัน ไม่ยังงั้นไอ้ลูกของตัวก็จะกลายเป็นสินค้าไป เธอช่วยยั้ง ๆ ไว้หน่อยด้วยนะ อย่าให้โก่งราคามากนัก เล่นกับพ่อบันลือเดี๋ยวพ่อดูถูกตาย ที่จริงหลวงจำนงฯ เองน่ะแกคงไม่กระไรหรอก แต่ยายเมียเดี๋ยวพอเห็นทางที่จะได้แม่ก็จะโกยเสียใหญ่ อ้อ แล้วเธอต้องแบ่งส่วนให้ดีด้วยนะ ต้องให้​ภรณีแกได้เป็นกรรมสิทธิ์ของแกตามสมควร ฉันกลัวยายแม่เลี้ยงจะฮุบเอาเสียหมด”

ทั้งสองฝ่ายปรึกษากันต่อไปอีกครู่หนึ่ง ช่วยกันคิดหว่านล้อมหาช่องทางให้ความยุติธรรมอยู่แก่ฝ่ายภรณีมากที่สุด เมื่อตกลงกันดีแล้ว เจริญก็ตัดสินว่า

“วันอาทิตย์นี่แหละ ไม่ต้องชักช้า ให้มันเสร็จไปเสียที” เขาหัวเราะ “บันลือนี่มันคนบ้า หรือคนเมา บทจะง่าย ผู้หญิงหน้าเป็นลิงหรือเป็นวัวยังไม่รู้เลย พอจะเอาก็เอาขึ้นมาดื้อ ๆ”

“ก็เพราะยังงั้น ฉันถึงพูดกับภรแกไม่ถูก แต่ว่าเราอยากไปก่อขึ้นเราก็ต้องสานให้ตลอด จริงนะ เอาจริงเอาจังเข้าฉันออกหวั่น ๆ ยังไงพิกล เวลาแต่งงานกันแล้ว พ่อบันลือจะทำยังไงกับแม่ภรของฉันมั่งก็ไม่รู้”

เจริญลุกจากที่โดยไม่ตอบว่ากระไร เขาถือว่า การคิดมากก่อนเวลาที่ควรคิด หรือคิดมากเมื่อสายเกินที่ควรคิดเสียแล้ว เป็นนิสัยอันหนึ่งของสตรี ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องถือเอาเป็นกังวลให้เป็นเครื่องรกสมอง

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #4 on: 28 October 2025, 20:49:37 »


๑๐



​ผู้คบคนทรามย่อมเสื่อม

ผู้คบคนเสมอกันไม่เสื่อมในกาลไหน ๆ

ผู้คบคนที่ประเสริฐกว่าย่อมเจริญเร็ว

เพราะฉะนั้นจึงควรคบคนที่ยิ่งกว่าตน

 

“สองเจ็ดสิบหก ลบสิบเก้า เหลือสองเขียนลงไปสิจ๊ะ”

ครั้นเห็นน้องหญิงถือปากกาค้างอยู่ และเงยหน้าขึ้นมาดูตน ภรณีก็พูดด้วยเสียงแสดงความหงุดหงิดใจ

“ยังไงล่ะ เขียนเข้าสิ จะได้แล้ว ๆ เสีย”

สุภาพทำท่าจะจรดปากกาลง แต่แล้วก็ชะงักอยู่อีก “สองเจ็ดสิบแปด—ฮื่อ ไม่ใช่ สองเจ็ดสิบสี่ต่างหาก แหม พี่ภรน่ะบอกผิด หนูเลยผิดไปด้วย”

ภรณีมองดูเลขซ้ำอีก จึงรู้ตัวว่าได้บอกน้องผิดไปจริง แล้วรู้ต่อไปว่า จิตใจของตัวกำลังอยู่ในความวิปริตก็หัวเราะและ​ว่า “จริงแหละ, ขอโทษ พี่ออกจะเลอะใหญ่ แต่หนูก็เข้าใจดีแล้วไม่ใช่รึ ทำต่อไปเองก็แล้วกันเศษที่เหลือเป็นเซ็นติเมตร เข้าใจไหมจ๊ะ ? พี่มีอะไรอยากจะรีบไปทำเสียให้เสร็จ”

สุภาพทำกิริยาไม่แน่ใจในตัวเอง แต่ไม่อาจที่จะคัดค้าน ก็พึมพำเพื่อซ้อมความเข้าใจ “สองเจ็ดสิบสี่ ลบสิบเก้าเหลือ ห้า—ห้านี่เป็นเซ็นต์หรือ พี่ภร ?”

ภรณีกำลังขยับตัวจะลุกจากที่อยู่แล้ว ก็ต้องหันไปดูเลขอีก แล้วตอบว่า “ถ้าจะตอบเป็นเซ็นต์ก็ห้าสิบเซ็นต์ก็หนูไม่จำสักทีนี่นาว่าร้อยเซ็นต์เป็น ๑ เมตร”

สุภาพก้มลงเขียนต่อไปโดยเร็ว ภรณีแข็งใจดูอยู่ขณะหนึ่ง เมื่อเห็นว่าน้องทำถูกต้องดีแล้วก็พูดว่า

“ข้อหลัง ๆ หนูต้องทำเอง ถ้ามีพี่คอยช่วยหนูก็จะคอยถามพี่เรื่อยละ” ตบศีรษะน้องเบา ๆ ในเชิงสัพยอก “พี่ไปละนะ” แล้วหล่อนก็ลุกจากที่และตรงไปยังห้องของหล่อน

ประมาณเกือบ ๑ ชั่วโมงมาแล้วที่ภรณีต้องต่อสู้กับตัวเองเพื่อรักษาสติสัมปชัญญะให้อยู่กับตัว รู้สึกว่าทำได้โดยยากยิ่งกว่าคราวใด ๆ ที่แล้วมา ก่อนหน้าเวลารับประทานอาหารค่ำเล็กน้อย ในขณะที่หล่อนกำลังรีดผ้า หล่อนได้ยินมารดาเลี้ยงเรียก​หาหล่อนด้วยเสียงอันดังและกร้าวอย่างไรพิกล เมื่อหล่อนออกจากห้องทำงานไปยังระเบียงเรือนที่บิดาและมารดาเลี้ยงนั่งอยู่ด้วยกันนั้น นางเยื้อนเห็นตัวหล่อนก็ลุกขึ้นจากที่ในท่าสะบัดพร้อมกับพูดว่า

“พูดกันเองสิพ่อลูก” หัวเราะเสียงปร่า ๆ “จะร่ำรวยหรูหรากันก็คราวนี้แหละ”

ได้ยินถ้อยคำและน้ำเสียงนั้น ภรณีรู้สึกว่าใจเต้น นี่เรื่องร้อนอันใดกำลังมาสู่หล่อนอีกแล้วหรือ ตั้งแต่เช้าจนบ่ายดูนางเยื้อนมีอารมณ์เป็นปกติดี บัดนี้มีอะไรเกิดขึ้นเล่า จึงทำกิริยาขึ้งเคียดใส่หล่อน สมองของภรณีทำการคิดค้นหาเหตุผลต่าง ๆ โดยรวดเร็ว มีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้างในระหว่าง ๒–๓ ชั่วโมงมานี้—?

แต่คิดแล้วก็หาคำตอบมิได้ หรือว่าบิดาของหล่อนเป็นต้นเหตุ ? คุณหลวงกับภรรยาเกิดขัดใจกัน และโดยประการหนึ่งประการใดคุณหลวงหรือภรรยาได้นำชื่อนำเรื่องของภรณีเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย โดยที่ภรณีไม่มีส่วนรู้เห็นแม้แต่น้อย ?—แต่ข้อนี้ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ หลวงจำนง ฯ ได้นั่งรับแขกคือนายเจริญสามีของจิตราเป็นเวลาเกือบ ๒ ชั่วโมงตามที่เคยมาประมาณ ๒ หรือ ๓ ครั้ง คราวใดเจริญมาที่บ้านนี้มักจะคุยกับหลวงจำนงฯ ​เป็นเวลานาน ๆ ถ้าจิตรามาด้วยหล่อนจะเลี่ยงไปคุยกับภรณีตามลำพังสองคน และเมื่อเจริญลาไปแล้ว หลวงจำนงฯ ย่อมมีสีหน้าแสดงความพออกพอใจ ภรณีเคยนึกอยากรู้เสมอว่าสามีของจิตราพูดถึงเรื่องอะไรกับบิดาของหล่อนบ้าง ตัวเขาจึงเป็นที่ถูกใจคุณหลวงนัก แต่ภรณีจะอยากรู้สึกเท่าใดหล่อนก็ไม่มีโอกาสที่จะรู้ได้ เพราะคุณหลวงไม่เคยได้ปริปากพูดถึงเจริญเกินกว่า ๕ คำ นางเยื้อนจะไม่ทนฟังนามของบุคคลผู้นี้ หรือนามของภรรยาของบุคคลผู้นี้ ผู้ซึ่งมาถึงถิ่นที่นางเยื้อนเป็นใหญ่อยู่ ก็ทำอาการดังหนึ่งว่าเขาไม่มีความรู้สึกแยแสต่อนางเยื้อนเลย

วันนี้ แต่พอได้ยินเสียงรถแล่นออกจากบ้าน ภรณีก็ได้ยินเสียงของบิดาหล่อนตะโกนเรียกภรรยาด้วยเสียงแสดงตื่นเต้นไปในทางความยินดี แล้วสามีภรรยาก็ได้พูดกันอยู่นานด้วยเสียงค่อยผิดจากที่เคย คือบุคคลที่อยู่ห่างไม่สามารถจับคำพูดที่ทั้งสองพูดกันได้แม้แต่หนึ่งคำ ครั้นแล้วเสียงดังระยะแรกที่ดังขึ้นก็เป็นเสียงแหลมเสียงกร้าวที่ตะโกนเรียกภรณีนั่นเอง

เมื่อภรรยาไปพ้นแล้ว หลวงจำนง ฯ ไอแล้วกระแอม แล้วอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ตั้งต้นด้วยคำว่า “ลูกก็โตแล้วนะ ภร—” แล้วถามอายุถามปีที่ธิดาเกิด แสดงความพิศวงทุกคราวที่ได้รับคำตอบ แล้วปรารภถึงอายุของตนเอง อายุของธิดา ​วกวนไปมาอยู่นาน ภรณีรู้ว่าเรื่องเหล่านั้นมิใช่เรื่องสำคัญที่บิดาประสงค์จะพูดกับหล่อนเป็นแน่ แต่ก็เรื่องอะไรเล่าที่เป็นเรื่องสำคัญ ? พยายามระงับความตื่นเต้นอึดอัดอันเกิดจากความอยากรู้ ฟังบิดาพูดและตอบคำถามของบิดา รู้สึกว่าต้องใช้ความพยายามอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานานแสนนาน แล้วจึงได้ฟังความสำคัญตอนหนึ่ง

“มีคนเขามาขอลูก เขาจะให้ ๘,๐๐๐”

ยังมิทันที่ภรณีจะรู้ตัวว่า ความรู้สึกอย่างใดเกิดขึ้นแก่ตัวเมื่อได้ยินประโยคนั้น หลวงจำนง ๆ ก็พาความนึกคิดของหล่อนให้อลหม่านไปทางอื่น คุณหลวงปรารภถึงฐานะการเงินในบ้าน ซึ่งเป็นเครื่องร้อนแก่คุณหลวงมา ๕–๖ ปีแล้วปรารภถึงความ ‘ซวย’ จับอะไรเข้าก็วอดวาย ปรารภถึงอายุวันราชการของคุณหลวงซึ่งจะถึงที่สุดในเวลา ๒ ปีข้างหน้า ย้อนมาปรารภถึงจำนวนเงิน ๘,๐๐๐ บาท “แต่เขาขอให้เอาใส่แบงค์ เป็นชื่อของลูกครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเขาให้พ่อแม่เป็นค่าน้ำนม”

โดยคำพูดประโยคนี้ ภรณีได้ความคิดว่า มีผู้มุ่งจะมาซื้อตัวหล่อนเป็นครั้งที่สองโดยครั้งนี้ให้ราคาแพงกว่าครั้งก่อนถึงเท่าตัว !

​หลวงจำนง ฯ กลับไปพูดถึงเรื่องความสิ้นไปแห่งทรัพย์สมบัติของตน ซึ่งภรณีเคยฟังแล้วหลายหน แต่ยังไม่มีโอกาสที่จะรู้ตลอดโดยละเอียดสักเรื่องเดียว “อยู่อุบลรับเป็นคนกลางซื้อซิ่น ขายซิ่นอุบล ฉิบหาย หมดเข้าไป ๒–๓ พัน” ครั้นทางราชการสั่งย้ายให้ไปประจำจังหวัดชลบุรีได้ตั้งโรงงานย่อยรับจ้างทอผ้าพื้นก็ขาดทุนย่อยยับอีก เมื่อครั้งประจำอยู่จังหวัดกาญจนบุรี จับจองที่ดินปลูกนุ่น ทางราชการสั่งย้ายให้เข้ามาประจำกรุงเทพฯ ต้นนุ่นก็ยืนตายอยู่ในไร่ ทุนที่ออกไปจมอยู่ในดิน ภรณีฟังพลางคิดตามไปพลาง แล้วคิดขึ้นมาด้วยความรันทด ถ้าหล่อนปฏิเสธ ไม่รับข้อเสนอของผู้ที่เจตนามาจะซื้อตัวหล่อน ท่านบิดาจะเสียใจ น้อยใจและโทมนัสสักเพียงใด

“แปดพัน ! ของหมั้นต่างหาก !” หลวงจำนง ๆ กำลังย้อนมากล่าวเรื่องนี้อีก แล้วภรณีจึงได้ยินคำว่า “บันลือ !”

หล่อนรู้สึกวาบในใจ ! แล้วร้อนซ่าไปทั่วทั้งตัว

และในขณะนั้นเอง นางเยื้อนได้มายืนเท้าประตูพูดว่า

“เมื่อไหร่จะกินข้าวกันเสียทีล่ะ พ่อคุณ ลูกเต้าหิวท้องหักหมด”

ในเวลารับประทาน ตามธรรมดาภรณีต้องทำหน้าที่หยิบนั่นส่งนี่ให้ผู้ใหญ่และเด็กที่ร่วมรับประทานอยู่กับหล่อน คุณพ่อต้องการน้ำปลา คุณนายต้องการพริก น้องหญิงตักแกงไม่ถึง ​น้องชายปัดน้ำหก ภรณีต้องแก้และกันความยุ่งเหล่านี้ด้วยวิธีคาดความต้องการของทุกคนให้ได้ล่วงหน้า แล้วคอยทำคอยจัดสิ่งที่เขาต้องการให้ถึงมือเขาพอเหมาะแก่เวลา

เฉพาะวันนี้ภรณีไม่มีสติพอที่จะอ่านความต้องการของผู้ใดถูก แม้แต่สติที่จะใช้บังคับตัวให้เข้าใจคำพูดที่ดังอยู่รอบข้างก็ยังไม่มีพอที่จะใช้ ความปั่นป่วนในสมองของหล่อนนั้นมีลักษณะอย่างที่หล่อนไม่เคยประสบมาแต่ก่อน

ครั้นพ้นเวลารับประทานอาหารน้องหญิงน้องชายก็ยังยื้อยุดภรณีไว้ให้เป็นเพื่อนเล่น เพื่อนคุย เพื่อนทำงานของเขาอีก โดยปกติภรณีไม่มีความรังเกียจที่จะสนองความต้องการของน้อง อันเป็นความต้องการของหล่อนเองด้วย แต่คืนนี้—คืนนี้—ภรณีรู้สึกว่าทั้งน้องหญิงน้องชายของหล่อนช่างเป็นเจ้าหัวใจหล่อนเสียนี่กระไร

เมื่อมาถึงห้องแล้ว ภรณีปิดประตูใส่กลอนแล้วจึงเปิดไฟฟ้า และนั่งลงบนเสื้อหน้าเตียงนอนพร้อมกับถอนใจอย่างยืดยาว

ตั้งสติสำรวมใจอ่านใจของตนเอง ใจซึ่งมีอาการวับ ๆ หวำ ๆ แช่มชื่นขึ้น แล้วก็หดหู่ลง แล้วก็แช่มชื่นแล้วก็หดหู่อีก ใจดวงนี้มีความยินดีหรือความยินร้ายเป็นใหญ่อยู่ ?

​เมื่อได้ฟังจำนวนเงินที่ชายหนึ่งตั้งมาเพื่อแลกกับตัวหล่อน ภรณีปริวิตกด้วยความรันทดว่าบิดาของหล่อนจะโทมนัสสาหัสเพียงไร ถ้าหล่อนปฏิเสธเสียไม่ยอมขายตัวให้แก่ชายผู้นั้น ครั้นเมื่อภรณีรู้ว่าเขาผู้ซึ่งเจริญได้มาเป็นผู้แทนนั้นคือบุคคลคนใดแล้ว หล่อนปริวิตกด้วยความหวั่นหวาดยิ่ง สิ่งใดจะเกิดขึ้นแก่หล่อน ถ้าหากว่าหล่อนรับข้อเสนอของเขา

ภรณีเอนศีรษะพาดกับขอบเตียง เหลือบตาขึ้นดูเพดาน ใช้ความคิดอย่างเคร่งเครียดที่สุด หล่อนเห็นหน้าชายหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏอยู่ในห้วงความคิด—ชายผู้นี้ เขามีสิทธิสักเล็กน้อยหรือแม้แต่สักนิดหนึ่งหรือไม่ที่จะติเตียนหล่อน ถ้าหากว่าหล่อนแต่งงานไปกับผู้ใดที่ไม่ใช่ตัวเขา ? หล่อนตอบตัวเองได้ทันทีว่าไม่มี! เขาไม่มีสิทธิแม้แต่สักนิดที่จะติเตียนหล่อน แต่เขาจะต้องผจญกับความเสียใจอย่างสาหัส ถ้า–ถ้าแม้ว่าเขารักหล่อนจริงเหมือนดังที่เขาและน้องของเขาผู้ซึ่งชอบพอกับภรณีพยายามจะให้ภรณีเชื่ออยู่เป็นนิจ

๓ ปีแล้ว ที่เขาและน้องของเขาพยายามจะให้ภรณีเชื่อว่าเขารักหล่อนมากพอที่จะพยายามบำเพ็ญ และพยายามละทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างเพื่อความพอใจของหล่อน ในตอนต้นภรณีก็เชื่อเช่นนั้น เพราะเหตุที่หล่อนมีอายุเพียง ๒๐ ปี มีความรู้ในเรื่องของโลกแต่ในส่วนที่โลกต้องการ เพื่อดำเนินไปสู่ภูมิธรรม​อันอุดม แต่ขาดความชำนาญที่จะสังเกตเห็นว่าโลกได้ถูกความชั่วประจำโลกเองดึงดูดมิให้เลื่อนขึ้นสู่ภูมิธรรมอันสูงอยู่ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที หล่อนเชื่อว่าผู้ชายนั้นรักหล่อนพอที่จะบำเพ็ญได้ ละได้ทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างเพื่อความพอใจของหล่อน แม้แต่ละนิสัยอันเกิดแต่สันดาน คือนิสัยชอบเสพสุราจนมึนเมา !

แต่ภายหลังเขาเองเป็นผู้ที่ทำความสงสัยให้เกิดแก่ภรณี ตัวเขาและน้องหญิงของเขา กับน้องเด็ก ๆ อีก ๓ คน เป็นกำพร้าบิดา ยังชีพอยู่ด้วยรายได้เล็กน้อย ซึ่งมารดาพี่ชายใหญ่คือตัวเขา น้องหญิงใหญ่คือน้องของเขาช่วยกันทำช่วยกันหา ครอบครัวนี้อยู่บ้านใกล้เคียงกับบ้านที่อยู่ของภรณี คราวใดที่เขาผู้ซึ่งควรจะนับว่าเป็นหัวหน้าครอบครัวเสพสุรามึนเมา มารดาของเขาน้องหญิงของเขา ก็มาปรับทุกข์แก่หลวงจำนงฯ หรือนางจำนงฯหรือภรณี บางเดือนเขาเมาประมาณ ๓–๔ ครั้ง บางเดือนเขาเรียบร้อยเป็นปกติ บางเดือนเขาเมาแต่เพียงครั้งเดียว คือในตอนต้นเดือน อย่างไรก็ตามเขาทำให้ภรณีสงสัยว่า ความรักที่มีอยู่ในใจเขา จะไม่มีอำนาจพอที่จะช่วยเขาให้ละนิสัยอันเกิดแต่สันดานเสียกระมัง

เพราะเหตุนั้น ภรณีจึงยังมิได้ปลงใจอนุญาตให้เขาคิดถึงหล่อนในฐานะผู้ที่จะร่วมชีวิตกับเขาในอนาคต

​ถ้าจะกล่าวถึงตัวเขาแท้ๆ ตัวที่เห็นได้ด้วยตา ได้แก่หน้าของเขา ร่างกายของเขา ท่วงทีวาจาของเขา เหล่านี้เป็นที่พอตาพอใจภรณีไม่น้อย เพราะเขาเกือบจะเป็นชายคนเดียวในโลกทั้งโลกที่ภรณีได้พบปะและได้พูดจาด้วยบางครั้งบางครั้งบางคราว หลวงจำนงฯ เป็นผู้ที่ไม่มีเพื่อนมาเยี่ยมเยียนติดต่อที่บ้าน นางจำนงฯ มิใช่หญิงชนิดที่จูงใจเพื่อนฝูงของสามีให้มาสู่เคหะของตน ภรณีจึงเป็นผู้ที่เกือบจะกล่าวได้ว่าไม่มีผู้ใดเคยพบเคยเห็น และเป็นผู้ที่เกือบจะกล่าวได้ว่าไม่ได้พบได้เห็นบุคคลใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่เป็นเพศชาย ชายหนุ่มที่ฝากรักต่อภรณีนั้น มีมารดาเป็นผู้ประกอบการค้าเครื่องสำอางอย่างเก่า เช่นแป้งร่ำ น้ำอบไทย กับขนมบางอย่างที่หญิงรุ่นเก่ายังนิยมบริโภค เช่นขนมหน้านวล กะละแมเสวย ฯลฯ และมารดาของเขานั้นไม่มีนิสัยเป็นแม่ค้าหน้าเลือด เป็นผู้ที่ให้เก่งแถมเก่ง ส่วนนางจำนงฯ เป็นผู้ที่พอใจในการได้เล็กได้น้อย หญิงทั้งสองจึงคบหาเป็นสหายกันได้ดี และบุตรชายของผู้ที่ช่างให้ ก็ได้รับการต้อนรับและการโอภาปราศรัยอันดีจากผู้ที่ชอบรับอยู่เสมอ

อนึ่งบิดาของชายหนุ่มผู้นั้นมีบรรดาศักดิ์ชั้นเดียวกับหลวงจำนง ฯ สมัยหนึ่งคุณหลวงทั้งสองได้รับราชการอยู่ในจังหวัด​เดียวกัน นี่ก็เป็นเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ชายผู้ฝักใฝ่ในภรณี มีโอกาสได้วิสาสะกับภรณีมากครั้งอยู่

เขาเป็นชายที่สุภาพ อ่อนโยนด้วยมรรยาทและน้ำคำ แววตาของเขาแสดงความหลงใหลในรูปโฉมของหล่อน ส่วนวาจาของเขาแสดงความเข้าอกเข้าใจความไมตรีจิต และความเคารพต่อความเป็นสุภาพสตรีของหล่อน ทุกคราวหลังจากที่ภรณีได้พบเขาแล้ว สมองของหล่อนมักจะครุ่นคิดถึงเขาเรื่อยไปอีกพักหนึ่ง ๆ เป็นเวลานาน เมื่อตัวเขาเป็นที่ต้องตาต้องใจหล่อน ๆ เช่นนี้ แต่ใจเขาเป็นอย่างไรหล่อนไม่รู้ประจักษ์ ภรณีก็วาดลักษณะใจชนิดที่ตรงกับความใฝ่ฝันของหล่อน ยกให้เป็นใจของเขา และเตรียมพร้อมที่จะหลงเชื่อว่านั่นคือใจของเขาแท้ ๆ ถ้าแม้ว่าเขาเองจะไม่เป็นผู้ที่เตือนให้หล่อนได้สติขึ้นเป็นครั้งเป็นคราว ว่านิสัยอย่างหนึ่งที่เขาแสดงออกทางกายไม่ตรงกับลักษณะของใจที่หล่อนได้สมมุติขึ้นในใจของเขา

 

Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.096 seconds with 16 queries.