Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 22:00:40

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง อุบัติเหตุ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนหนึ่ง บทที่ 21-25 (จบตอนหนึ่ง
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง อุบัติเหตุ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนหนึ่ง บทที่ 21-25 (จบตอนหนึ่ง  (Read 86 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 28 October 2025, 19:53:32 »

นวนิยายเรื่อง อุบัติเหตุ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนหนึ่ง บทที่ 21-25 (จบตอนหนึ่ง)


๒๑

ยืนอยู่บนฝั่งซึ่งสูงพ้นน้ำประมาณ ๔๐ เมตร สุนทรีมองดูความชุลมุนในเรือสองลำที่จอดอยู่หน้าท่าด้วยความสนใจอย่างยิ่ง

เรือสองลำนั้น ลำหนึ่งเป็นเรือยนต์ อีกลำหนึ่งเป็นเรือมาดขนาดใหญ่ ท้องแบน ทั้งสองลำกินน้ำไม่เกิน ๓๐ เซ็นต์

หลวงเอนกประชากร ชี้แจงแก่ผู้ที่จะโดยสารเรือไปว่า เรือยนต์จะเป็นเรือพ่วงเรือมาด พร้อมกันนั้นจะได้บรรจุคน เรือที่จะต้องทำหน้าที่เข็น ถ่อ ฉุดเรือเมื่อถึงที่จำเป็นด้วย

ความชุลมุนที่ในเรือเกิดจากการขน และการจัดสิ่งของต่างๆ ของผู้โดยสารลงในท้องเรือให้เรียบร้อย เพื่อจะได้มีที่สำหรับผู้โดยสารได้นั่งนอนได้สบาย

คณะเที่ยวไทรโยค มาถึงจังหวัดนี้เมื่อสายจัดใกล้จะเที่ยง ​มีเวลาพอดีสำหรับพักร้อน รับประทานอาหารที่จวนข้าหลวงแล้ว และพักอิ่มก่อนที่จะมายังท่าเรือ

เขาเหล่านี้รู้สึกความผิดหวังค่อนข้างแรงมาก เมื่อได้ทราบว่าข้าหลวงติดความยุ่งยากเกี่ยวแก่การเทศบาลจังหวัด จะเดินทางไปด้วยไม่ได้ แต่เมื่อข้าหลวงได้รับรองความปลอดภัยของเขาพร้อมกับชี้แจงว่า ได้จัดให้มีผู้แทนตัวถึงสองนาย คือนายร้อยตำรวจกับปลัดอำเภอ กับทั้งได้เรียกเจ้าของเรือผู้เป็นทั้งผู้ใหญ่บ้าน และผู้ชำนาญในการเดินทางแถบนี้มาให้พบ เขาได้เห็นลักษณะเจ้าของเรือมีท่วงทีบึกบึน แต่สีหน้าแสดงความสุจริต เขาจึงค่อยโล่งใจขึ้น

อนึ่ง นางสะอาดผู้เป็นหัวหน้าในการเที่ยวครั้งนี้ เป็นผู้ที่มีความคุ้นเคยกับหลวงเอนกฯ เป็นอย่างดีอยู่แล้ว โดยที่หลวงเอนกฯ และสามีของนางสะอาด เป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงมหาดไทย ด้วยกัน นางสะอาดเล็งเห็นว่าการที่ธิดาของหลวงเอนกฯ ยังคงเป็นคนหนึ่งในจำนวนผู้ที่จะเดินทางไปด้วย ย่อมจะเป็นประจักษ์พยานแสดงให้เห็นชัดว่า หลวงเอนกฯ มีความแน่ใจในความปลอดภัยแห่งการเดินทางคราวนี้ดีอยู่

เฉพาะตัวสุนทรี หล่อนได้รับความผิดหวังมาแล้วครั้งหนึ่ง ประจิตรได้รับปากต่อหล่อน - โดยไม่กระตือรือร้น แต่โดยทันทีที่หล่อนออกปากชวน - ว่าเขาจะไปไทรโยคกับหล่อนด้วย แต่ครั้นใกล้วันที่จะออกเดินทาง เขาก็ปรารภถึงการแข่งขันกอล์ฟที่สนามหัวหิน มีน้ำเสียงแสดงว่าเขาใคร่ที่จะได้ใช้ความสามารถของเขา ในทางการกีฬาที่เขาจะใช้กำลังแขนกำลังขาของเขาได้มากกว่าที่จะนั่ง​งอมืองอเท้าไปในเรือเพื่อผจญกับความกันดาร ฝ่ายสุนทรีก็เป็นผู้ที่ไม่ชอบฝืนให้ผู้ใดทำสิ่งใดเพื่อตัว จึงกล่าวอย่างง่ายๆ ว่า “ยังงั้นก็อย่าไปไทรโยค” ประจิตรก็รับเอาคำของหล่อนด้วยน้ำเสียงแสดงความอิดออดแต่เพียงเล็กน้อย

แต่ภายหลังเขาบอกแก่หล่อนว่า เขาจะขึ้นรถไฟไปส่งหล่อนจนถึงต้นทางที่หล่อนจะลงเรือ เพื่อดูลาดเลาว่าเขาควรจะปล่อยให้หล่อนเดินทางไปโดยไม่มีเขาหรือไม่ หากเห็นว่าไม่ควร เขาก็จะลงเรือไปกับหล่อน แต่สุนทรีได้ตัดบทเสียว่า “ไม่จำเป็น” อธิบายว่าหล่อนไว้ใจผู้ที่เขาจัดการให้หล่อนไป ประจิตรก็รับเอาคำของหล่อนอีก โดยโต้แย้งแต่เพียงเล็กน้อย เช่นเดียวกับคราวก่อน

ก่อนที่สุนทรีจะขึ้นรถไฟเล็กน้อย ท่านบิดาได้ถามหล่อนเรียบๆ แต่ด้วยสีหน้าแสดงความประหลาดใจมากว่า “ไปกันเท่านี้แหละหรือ?” สุนทรีได้รีบตอบด้วยน้ำเสียงร่าเริงแสดงความั่นใจว่า “ผู้ชายคอยอยู่ทางโน้นเยอะค่ะ” พระวนศาสตร์ฯ ก็นิ่งไป แต่ท่านหันไปมองดูนายจี๊ด - ผู้ชายคนเดียวที่อยู่ในกระบวน - อย่างตรึกตรอง - ราวกับท่านจะหยั่งดูจิตใจของชายคนใช้ผู้นั้น ว่าจะช่วยเหลือนายสาวของเขาได้อย่างไรบ้างในเมื่อถึงคราวคับขัน

บัดนี้การตระเตรียมต่างๆ ได้ถึงที่สุดแล้ว เรือยนต์ก็ติดเครื่องเสร็จ ทอดเชือกจากท้ายเรือมาที่หัวเรือมาดและเตรียมค้ำเรือออกจากฝั่ง หลวงเอนกฯ นำสตรีลงมาตามตลิ่งอันสูง และคอยส่งให้ลงเรือจนครบทุกคนเสียงสั่งการค้ำเรือดังโหวกเหวกมาจากหมู่ผู้ชายที่อยู่ในเรือยนต์ เสียงวุ้ยว้ายด้วยความตื่นเต้นดังอยู่ในเรือมาด บุตรี​ข้าหลวงยืนเกาะเอวบิดาอยู่ไม่ห่าง หัวเราะมาก หวีดหวาดมาก ตื่นเต้นมากพูดมาก และเป็นผู้ที่ทุกๆ คนเอาใจใส่ห่วงใยมาก หล่อนเป็นคนสุดท้ายที่ลงเรือ

เรือยนต์เหหัวออกจากท่า มิช้าเรือมาดก็ถูกกระชากเบาๆ แล้วก็เหหัวออกตาม ข้าหลวงยืนโบกหมวกอยู่ริมฝั่ง ส่งศรีเต้นพลางโบกผ้าเช็ดหน้าพลางอยู่ที่ท้ายเรือ หญิงอื่นๆ ช่วยโบกแต่พอเป็นพิธี

นางสะอาดเป็นผู้ที่ค่อนข้างชินต่อการเดินทางทางเรือ และเคยเที่ยวในลำน้ำแถบนี้บ้างแล้ว และเจ้าหล่อนเป็นผู้ที่ได้ทำงานครูมาถึง ๑๒ ปี ย่อมเคยกับการต้องทำทุกๆ สิ่งให้เป็นระเบียบ ไม่ว่าในที่แห่งใด ฉะนั้นพอเรือยนต์ตั้งลำได้เรียบร้อยแทนที่จะตื่นเต้นต่อทางเดินแห่งเรือและภูมิประเทศดังคนอื่นๆ เจ้าหล่อนก็เริ่มคิดถึงสิ่งของและที่นั่งที่นอนในลำเรือ แล้วและไม่แต่เพียงคิดเท่านั้น ได้พาตัวมานั่งในประทุนกลางลำ เริ่มโยกย้ายสิ่งของที่ชาวเรือเขาจัดไว้ เพื่อจะจัดใหม่เป็นที่ถูกใจตน มิหนำซ้ำหมั่นตะโกนถามคนอื่นในปัญหาที่ว่า ใครจะนอนที่ใด และสิ่งของชิ้นนั้นชิ้นนี้เป็นของใครด้วย

สายใจกับฤดีได้เคยเป็นศิษย์ครูสะอาดในวิชาคำนวณ อยู่ตลอดเวลาสองปีที่หล่อนเรียนอยู่ในชั้นมัธยมปีที่ ๖ และมัธยมปีที่ ๗ แล้วยังได้ครูสะอาดเป็นครูประจำชั้นในปีที่แล้วมาอีกเล่า ย่อมจะเคยต่อการที่ต้องเคารพและต้องเกรงกลัวครูสะอาดเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นครูสะอาดออกกำลังยกนั่นขนนี่ก็เกิดความเกรงใจทำให้นั่งไม่เป็นสุข จึงต้องลุกจากที่มาช่วยครูด้วยกิริยาของเด็กที่ห่วงเล่นก็​ห่วง ส่วนงานก็จำใจต้องทำ

นางสาวบุญช่วยกับนางสาวฉลวย เป็นเพื่อนครูทำการสอนอยู่โรงเรียนเดียวกับครูสะอาด แต่เป็นครูที่มีนิสัยชอบมีครูเหนือตน คือชอบเป็นผู้ตามมากกว่าเป็นผู้นำ ก็เข้าช่วยครูสะอาดด้วยทั้งสองคน

สุนทรีนั่งพับเพียบอมยิ้มอยู่ที่หัวเรือ หันมาทางกลางลำเรือบ้าง ดูภูมิประเทศรอบข้างบ้าง ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนต่องานที่เพื่อนเร่งรีบโดยไม่จำเป็น ครั้นเมื่อความตื่นเต้นอันย่อมเกิดแก่ผู้เริ่มออกเดินทางได้คลายลงแล้ว สุนทรีก็เริ่มนึกถึงเพื่อนร่วมเรืออีกสองคน ซึ่งหล่อนพึ่งจะได้พบในวันนี้เป็นครั้งแรก

คนหนึ่งคือส่งศรี สุนทรีรู้เรื่องราวของส่งศรีอยู่แล้วตั้งแต่แรกเริ่มกะการเดินทาง และยังรู้ต่อไปอีกในชั่วเวลาที่หล่อนจับตาดูส่งศรีเพียงสองชั่วโมง ว่าส่งศรีเป็นลูกกำพร้าที่บิดารักอย่างตรงกับคำ ว่า ‘ทูลหัวทูลเกล้า’ แต่ไม่เลยไปถึงกับรักอย่างหลับตาเสียทีเดียว โดยเหตุนั้นการที่ส่งศรีเป็น ‘หนู’ หรือเสียงดังมาก หรือหัวเราะเกินกว่าเหตุ จึงไม่เป็นข้อประหลาดสำหรับสุนทรี....ซึ่งสุนทรีคิดถึงส่งศรีในขณะนี้ หล่อนคิดแต่เพียงว่าส่งศรีจะรู้จักอดทนต่อความลำบากซึ่งคอยอยู่เบื้องหน้าได้มากหรือน้อยเพียงใด

แต่คนที่สอง หญิงสาวรุ่นเดียวกับส่งศรี รูปร่างก็ขนาดเดียวกัน แต่ผิวขาวกว่าส่งศรีมาก ถึงแม้จะมีลักษณะแสดงว่าคร้ามแดดคร้ามฝนก็ตาม หญิงคนนี้ผู้ซึ่งสวมแว่นตานั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ริมประทุน ท่าทางเจียมตัว คล้ายกับว่าตนเป็นผู้ที่ไม่มีราคาเลย ​แม้แต่น้อยภายในเรือลำนี้ สุนทรียังไม่ทราบว่าหล่อนเป็นใคร

สุนทรีไม่ได้เห็นหล่อนที่จวนข้าหลวง ไม่ได้เห็นว่าหล่อนโผล่มาจากที่ใด พอเห็นครั้งแรกก็เห็นเจ้าหล่อนกำลังเดินก้มหลีกข้าหลวงมาลงเรือ แม้แต่มือของข้าหลวงที่ยื่นคอยพยุงสุภาพสตรี เจ้าหล่อนก็ดูเหมือนจะไม่เห็น แต่สุนทรีจำได้ว่าข้าหลวงตะโกนส่งหลังเจ้าหล่อนมาเป็นเชิงล้อ

“ระวังแว่นตาจะหลุดลงน้ำนะ”

มองดูเสื้อผ้าที่เจ้าหล่อนใส่อยู่ ผ้าถุงดำ เสื้อขาวคอปก หน้าอกและแขนก็ดูรัดรูปสมกับสมัย แต่เอวเสื้อนั้นดูหิ้วและอยู่ผิดที่มาก จะว่าหลวมก็ไม่ใช่ จวนจะคับก็ไม่เชิง สุนทรีดูด้วยตาของผู้ชำนาญอยู่ครู่หนึ่งก็จับความจริงได้ว่า เสื้อนั้นน่าจะตัดเมื่อขนาดตัวผู้ใส่ยังไม่เจริญขึ้นถึงเท่านี้

เสียงครูสะอาดตะโกนถามอยู่ข้างในประทุน

“จำนงพิทักษ์ราษฎร์ ! ใครเป็นขุนหลวงหรือนางจำนงพิทักษ์ราษฎร์ ที่นี่?”

ผู้ที่อยู่ทางหัวเรือหันไปทางที่เสียงมา พร้อมกับส่งศรีหัวเราะดัง และชี้มือไปทางหญิงสวมแว่นตาพร้อมกับพูดว่า

“นี่ค่ะ นี่ค่ะ คนนี้?”

จำนงพิทักษ์ราษฎร์ นามนี้สะกิดใจสุนทรีทันที ผู้ที่ส่งศรีชี้ได้เข้าไปคุกเข่าอยู่เบื้องหลังครูสะอาดแล้ว และนางสะอาดพูดพร้อมกับหัวเราะว่า

“เปล่าจ้ะ ไม่ว่ากระไรหรอก ถามสำหรับจะได้บอกให้เธอรู้ ​ว่าฉันเอากระเป๋าของเธอไว้ที่ไหนเท่านั้นแหละ เวลาเธอจะเอาของจะได้ไม่ต้องหา”

สุนทรีถามส่งศรีด้วยเสียงค่อนข้างเบา

“เจ้าของกระเป๋าน่ะแกชื่ออะไร?”

“ชื่องามพิศค่ะ เพื่อนหนู เป็นหลานคุณนายนายอำเภอที่นี่”

อาการเย็นวาบเกิดขึ้นในอกสุนทรี ความสมเพชเวทนาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พองามพิศโผล่ออกมานอกประทุน หล่อนก็พูดด้วยเสียงมีกังวานไม่เป็นปกติว่า

“มานั่งที่นี่แน่ะ” พร้อมกันนั้นสุนทรีตบพื้นกระดานที่ข้างตัว

แต่เมื่องามพิศได้นั่งลงแล้ว ห่างจากที่ๆ สุนทรีชี้ให้เพียงเล็กน้อย สุนทรีเห็นดวงตาอันดำและโตฉายแสงแห่งความสนเท่อยู่ในกระจกแว่น ความอึกอักอ้ำอึ้งเกิดขึ้นแก่สุนทรี มิรู้ที่จะต่อการปราศรัยอันค่อนข้างเต็มไปด้วยความตื่นเต้นของตนโดยสถานใดดี ในที่สุดสุนทรีจึงพูดว่า

“เธอเป็นน้องนายประพันธ์ไม่ใช่หรือ? ฉันรู้จักกับพี่ชายของเธอ”

“ใช่ค่ะ” แล้วดวงตาอันใหญ่และวาวก็ตั้งคำถามเอาแก่สุนทรีอีก

“ประพันธ์กับฉันเคยพบกับหลายหน” สุนทรีชี้แจงต่อไป แล้วรู้ได้จากสายตาที่ยังคงจ้องดูหล่อนว่าผู้ฟังยังไม่หยุดตั้งคำถาม จึงเสริมความให้กะทัดรัดขึ้น “คนๆ หนึ่ง....เพื่อน....ผู้ชายเขาเป็นคน​ชักนำให้รู้จัก”

เห็นว่าผู้ฟังดูเหมือนจะพอใจแล้ว สุนทรีก็นึกอยากจะเป็นฝ่ายถามบ้าง แต่ก็ยังไม่อาจจะตัดสินใจลงไปทีเดียว จึงยังคงนิ่งอยู่

ครูสะอาดโผล่ออกมาจากประทุนเรือ ขาข้างหนึ่งพับขึ้นบนพื้นเรือ อีกข้างหนึ่งห้อยอยู่ที่ท้องเรือ ถามอย่างไม่มีพิธีรีตอง

“เป็นนักเรียนโรงเรียนไหน แม่คนนี้น่ะ?”

งามพิศบอกชื่อโรงเรียน พร้อมกับขยับตัวเพื่อละที่ให้แก่ผู้ถาม

“อ๋อ ! โรงเรียนเดียวกับส่งศรี รู้จักสงวนไหม สงวน วรประพาฬ?”

“รู้จักค่ะ”

“ปีนี้เขาจบ ๘ แล้ว จะเข้ามหาวิทยาลัยปีหน้า เราน่ะจบหรือเปล่า?”

“จบค่ะ”

สุนทรีคิดว่างามพิศคงรู้สึกเสียวปลาบในใจ พร้อมกับที่ตอบคำถามนั้น แล้วสุนทรีก็ช่วยเสียวด้วย ให้นึกใคร่ที่จะลูบหลังงามพิศ หรือมิฉะนั้นก็บีบมือเบาๆ เพื่อประเล้าประโลม

ส่งศรีพูดขึ้นว่า

“งามพิศก็เคยเข้ามหาวิทยาลัยเหมือนหนูเหมือนกันแล้วก็ออกปีเดียวกัน แต่งามพิศออกเพราะพ่อเขาตายไม่มีใครออกค่าเรียนให้ หนูออกเพราะคุณพ่อไม่มีแม่บ้าน”

​เนื่องจากที่ผู้ฟังเคยรู้เรื่องของส่งศรีอยู่แล้ว ทุกคนจึงไม่เอาใจใส่ต่อคำพูดประโยคหลังของหล่อนนัก สายตาหลายคู่พุ่งตรงไปที่งามพิศ และสุนทรีสังเกตเห็นว่าลำคองามพิศนั้นเต้นแรง และริมฝีปากของเจ้าหล่อนก็สั่น

“คุณพ่อเป็นอะไรตาย?” ครูสะอาดถาม สีหน้าซึ่งสำแดงความเป็นผู้มีใจดีเป็นนิสัยอยู่แล้วนั้น ยิ่งสำแดงความปรานีเด่นชัดขึ้นอีก แต่สุนทรียกมือบีบขาสหายไว้และพูดว่า

“อย่าไปซักแกเลย สงสาร เดี๋ยวแกจะเศร้าใจเลยหมดสนุก ฉันรู้เรื่องของแกดี แล้วจะเล่าให้ฟัง” แล้วสุนทรีก็พยักหน้าอย่างมีความหมาย

นางสะอาดพิศดูงามพิศอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับถอนใจเบาๆ แล้วก็นิ่งอยู่ มิช้าก็มีผู้อื่นเริ่มคุยถึงสิ่งอื่นต่อไปใหม่ แล้วแม่สาวน้อยๆ ที่มิใช่ตัวเจ้าทุกข์ และมีสิ่งสำคัญคือวัยของหล่อนเอง เป็นเครื่องขับไล่ความเศร้าให้ปลาศนาการไปโดยง่าย ก็พากันลืมเรื่องงามพิศเสียสิ้น คงเหลือแต่ผู้ใหญ่ต้องทนความอยากรู้ต่อไปตามลำพัง

บัดนี้เรือแล่นไปตามลำแด่วน้อย ผ่านตลิ่งทราย ตลิ่งแดง ตลิ่งหิน สลับกันไป แลดูไม่เบื่อตา บางแห่งหาดใหญ่ขึ้นขวางอยู่ กลางลำแคว ปลายหาดมีสีดังทองแดง กลางหาดหนาแน่นด้วยต้นตะไคร่น้ำ มองดูแต่ไกลคิดว่าเกาะ น้ำใสจนมองเห็นกรวดทรายได้ถนัด กระแสเชี่ยว บางแห่งลึก บางแห่งตื้น และเมื่อถึงที่ตื้นลำเรือก็กระเทือนและสั่นเบาๆ พอทำให้ผู้โดยสารตกใจได้บ้างแล้ว​ก็พากันสรวลเสเฮฮาในความตื่นเต้นของตน

อีกเวลาหนึ่ง ตลิ่งเป็นศิลาสูง กลม ชะโงกง้ำออกมาเหนือน้ำ ต้นไม้ต่างชนิดขึ้นคลุมอยู่ระเกะระกะเหมือนเขาเล็กกระเด็นใสจากเขาใหญ่มาตกอยู่ริมธาร ครั้นมองไกลออกไป ก็เห็นเขาใหญ่ตั้งเป็นพืดสูงตระหง่าน ดูดังแม่เขาเขม้นมองดูลูกที่มาหลงเล่นอยู่ริมแคว

อีกเวลาหนึ่ง แควน้ำคดเคี้ยว เขาที่เห็นอยู่เบื้องขวาก็ย้ายมาอยู่เบื้องหลัง บางคราวดูเหมือนเขาขวางหน้า ครั้นเรือแล่นเข้าหา เขาก็แหวกช่องให้

อาศัยเหตุที่ภูมิประเทศเปลี่ยนแปลงสลับซับซ้อนกันเป็นที่น่าดูเช่นนี้ ผู้โดยสารก็พากันเพลิดเพลินจนไม่รู้ว่าเวลาล่วงไปเท่าใด เมื่อสุนทรีเผอิญมองดูนาฬิกาข้อมือโดยมิได้ตั้งใจ หล่อนจึงอุทานด้วยความพิศวง ทั้งนี้เพราะเข็มนาฬิกาบอกเวลา ๑๗ นาฬิกำกับ ๔ นาที

ทันใดนั้นหล่อนรู้สึกทั้งหิวทั้งกระหาย ด้วยนึกขึ้นได้ว่า ถึงเวลาที่เคยรับประทานน้ำชา จึงลุกจากที่นั่งไปที่ท้ายเรือ

หล่อนกำลังพิจารณาถึงการที่จะหุงต้ม จะสะดวกดีหรือลำบากอย่างใดบ้าง นางสะอาดก็ตามมาด้วยอีกผู้หนึ่งและปรารภว่า

“นี่เราจะเตรียมการกินเดี๋ยวนี้ หรือจะรอให้เรือจอดเสียก่อน”

“อย่ารอดีกว่า” สุนทรีตอบ “ฉันได้ยินเจ้าของเรือแกบอกกับข้าหลวงว่า กว่าจะได้จอดก็ค่ำ เพราะต้องไปให้ถึงที่ที่เขากะไว้ สำหรับจะให้เหมาะกับโปรแกรมวันต่อๆ ไป”

​ผู้ถือท้ายเรือเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแปร่งอย่างชาวชนบท

“กว่าจะถึงบ้านตะเข้เผือกก็มืดมากเทียวครับ”

“แล้วคนเรือมิหิวข้าวแย่หรือ?” สุนทรีว่า

“หิวก็กิน” อีกฝ่ายหนึ่งตอบอย่างง่ายๆ พร้อมกับหัวเราะ

“ยังงั้นก็ดี” สุนทรีหันไปทางสหาย “ฉันก็หิวแล้ว หิวน้ำชา มีเวลาพอให้เขาติดไฟตั้งน้ำชาไหม แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร อดน้ำชาไม่ถึงกับตายหรอก”

“ก็ทำได้จะไปอดมันทำไม” นางสะอาดตอบแล้วหันไปทางคนใช้ที่ถูกเลือกมา “จี๊ดจัดแจงติดไฟซี”

“นายจี๊ดชงน้ำชาให้ฉันนะ” สุนทรีสั่งต่อ แล้วออกตัว “กินวันนี้แล้วต่อไปไม่กินทุกวันหรอก วันไหนเหมาะถึงจะกิน”

แล้วเจ้าหล่อนกับครูสะอาด ปรึกษากันต่อไปถึงเรื่องอาหารและการรับประทาน และเมื่อจบเรื่องแล้วครูสะอาดก็ถือโอกาส ‘จับตัว’ สุนทรีไว้ในประทุนเรือเพื่อถามถึงเรื่องราวของงามพิศ

ราวอีก ๑๕ นาทีต่อมา นายจี๊ดก็นำน้ำชาใส่ถ้วยเบเคอไลต์บ้าง ถ้วยแก้วบ้างเป็นจำนวน ๘ ถ้วย มาตั้งที่หัวเรือพร้อมด้วยผลไม้ ผู้ที่ไม่เคยต่ออาหารมื้อนี้ หรือผู้ที่เกรงใจเจ้าของอาหาร พากันปฏิเสธบ้าง แต่ครั้นเมื่อเจ้าของคะยั้นคะยออย่างจริงใจก็พากันรับด้วยความยินดี

สุนทรีนั่งพิงประทุนเรือ ขาขวาพับอยู่ ขาซ้ายยันกราบเรือ จิบน้ำชาด้วยท่าทีของผู้ที่เสพอาหารอันเป็นที่พึงพอใจอย่างยิ่ง และระหว่างนั้น หล่อนมีน้ำใส มีโขดเขาลำเนาไม้เป็นที่ดู และมีแสง​แดดอ่อนๆ ลมพัดเฉื่อยๆ เป็นเครื่องสบาย และเรือลำที่หล่อนนั่งนั้นแล่นไปโดยเรียบ ไม่มีเสียง ไม่มีกระเทือน ความสำราญกาย สบายใจก็เกิดขึ้นแก่หล่อนโดยเต็มเปี่ยม

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #1 on: 28 October 2025, 19:54:24 »


๒๒

คืนที่สองแห่งการเดินทาง สุนทรีตื่นขึ้นในยามดึก พอรู้สึกตัวก็นึกได้ว่าตนนอนอยู่ในที่แห่งใด และพร้อมกันนั้น หล่อนก็มองไปยังร่างของดรุณีที่นอนอยู่เบื้องซ้ายของหล่อน

คืนนี้เดือนหงายกระจ่าง เข้าลักษณะที่ว่าอ่านลายมือได้ สุนทรีมองเห็นวงหน้าที่แนบอยู่กับหมอนใกล้หมอนของหล่อนเองได้อย่างถนัด เป็นหน้าของผู้ที่นอนหลับอย่างสงบและสนิทจริงสมกับวัยของผู้นอน มือซ้ายสอดไว้ใต้หมอน มือขวากอดผ้าห่มที่ซุกอยู่ตรงอก ริมฝีปากหุบสนิทจนเป็นเส้นเดียวกัน ถึงแม้กระนั้นก็ดูเหมือนมีร่องรอยอาการยิ้มอย่างเด็กที่กำลังฝันดีแฝงอยู่ที่ใดที่หนึ่งในวงหน้านั้น

สุนทรียิ้มน้อยๆ เมื่อใจของหล่อนนึกเอ็นดูต่อผู้ที่กำลังหลับ ​แล้วค่อยๆ ยกมือขึ้นบรรจงลูบเส้นผมเจ้าหล่อนผู้นั้นแต่เบาๆ แล้วนึกสงสัยว่าเจ้าหล่อนจะหนาวหรือไม่ ค่อยๆ จับมือหล่อนให้คลายจากผ้าห่ม ก็มีความรู้สึกเหมือนจับเนื้อเด็กเจ้าเนื้อ--เมื่อคลี่ผ้าห่มออกคลุมตัวให้ตั้งแต่เท้าถึงเหนือเอว สุนทรีก็รู้สึกมีความพอใจ เสมือนได้ปรนนิบัติเด็กที่หล่อนเคยรักมาเป็นเวลานาน

ทันใดนั้นสุนทรีนึกประหลาดตัวเองว่า เหตุใดจึงมีใจชอบงามพิศถึงเพียงนี้

“ชอบหรือสงสารกันแน่?” หล่อนถามตัวเองแล้วหล่อนก็ตอบตัวเองว่า งามพิศมีข้อที่น่าเมตตาอยู่หลายประการ

สุนทรีเห็นว่า งามพิศไม่มีจริตที่หล่อนดัดให้เป็นขึ้น เพื่อประกอบความเป็นสาวดังหญิงสาวอื่นๆ

สุนทรีเห็นว่างามพิศเป็นผู้เอางานเอาการอย่างแท้จริง ผู้ใดเริ่มจับงาน งามพิศต้องเข้าช่วย ผู้ใดทิ้งงาน งามพิศต้องเข้าต่อ ดังเช่นการรับประทานอาหารในเรือนี้ ผู้ใดหิวก่อนผู้นั้นเป็นผู้เริ่มตระเตรียม งามพิศก็เตรียมด้วย ครั้นเมื่ออิ่มแล้ว หาผู้เก็บได้ยาก งามพิศก็เป็นผู้เก็บทุกมื้อ

แต่สุนทรีเห็นต่อไปอีกด้วยว่า งามพิศไม่มีท่าเป็นจังหวะอันทำให้ดูงาม เมื่อจับต้องสิ่งใด แม้เป็นของเบางามพิศก็จับดังของหนัก เช่นในเวลาจับมีดโต๊ะตัดอาหารในจานข้าว งามพิศทำกิริยาดังหนึ่งหล่อนหั่นหมูที่อยู่บนเขียง

“ถ้ามีเวลาได้อยู่ใกล้ๆ กันนานๆ จะค่อยๆ สอนให้จนกว่าจะดี”

​คิดแล้วสุนทรีพลิกตัวจากท่าเดิม หันหน้าเข้าทางประทุน ตั้งใจจะหลับ แต่แสงเดือนที่ส่องจับไม้อันประกอบกันเป็นประทุนเรือนั้น ดูแจ่มแจ๋ว เป็นสีนวลยั่วอารมณ์ให้ตื่นอย่างไรพิกล

หล่อนพลิกกลับมาทางเดิม ทอดตามาทางปลายเท้าเห็นตลิ่งสีมัวๆ อยู่รำไร เหนือตลิ่งขึ้นไปนั้นเป็นที่คนอยู่ มีกระท่อมและไร่ซึ่งชาวพื้นเมืองทำพอสักว่าทำ หรืออย่างดีที่สุด ก็ทำแต่พอกินตามนิสัยของไทยแท้ ที่นั่นสุนทรีมองเห็นมิได้ แต่หล่อนรู้ว่าคนเรือที่ร่วมทางมากับหล่อนได้ขึ้นไปอาศัยนอนอยู่สี่คน

ทางท้ายเรือ มีแพเล็กๆ จอดอยู่สองหลัง ครอบครัวที่แพนั้นเป็นจีนเขยสู่อยู่ปนกับชาวไทย อาชีพของเขาคือการล่องแพไม้ไผ่ไปขายทางปลายน้ำ ที่แพนี้นายสวงปลัดอำเภอกับนายร้อยตำรวจได้อาศัยนอน

ทางหัวเรือคือทิศเบื้องซ้ายสุนทรี เรือยนต์ที่พ่วงเรือมาดมาจอดอยู่ แสงจันทร์จับลำเรือเป็นสีนวลในท่ามกลางความสงัดและวิเวกเช่นนี้ ดูเป็นภาพที่น่าชม กลางลำเรือเห็นภาพดำเป็นรูปคนนอนสลัวๆ ผู้ที่นอนคือตัวผู้ใหญ่บ้านเจ้าของเรือและคนเรืออีกสามนาย

นึกเบื่อต่อภาพที่หล่อนดูอยู่บัดนั้น สุนทรีก็เปลี่ยนท่าอีก พังพาบ มองดูไปตรงหน้า ครั้นแล้วก็ลุกขึ้นนั่งโดยที่อารมณ์ของหล่อนยิ่งสว่างและเบิกบานขึ้นเป็นลำดับ ตรงข้ามกับที่เรือจอด ตลิ่งเป็นเนินลาดหรือหาดทรายจรดขอบน้ำ และค่อยๆ สูงขึ้นจนเป็นฝั่งห่างจากน้ำประมาณสักสองเส้น

​ดูไปบนฝั่งที่กล่าวนี้ ดูเหมือนแสงจันทร์จะแจ่มจ้าขึ้นกว่าเก่า ต้นไม้ใหญ่น้อยเป็นรูปร่างชัดเจน เห็นกระจ่างกระทั่งใบ เสียงการ้องขึ้นสองครั้ง ชะรอยจะหลงว่าแสงจันทร์เป็นแสงทอง

สุนทรีนึกถึงหลวงชาญยนตรกิจ ถ้าเขามาด้วยได้เห็นลักษณะภูมิประเทศในเวลานี้ เขาคงจะกล่าวบทกลอนอันเหมาะแก่กาละให้หล่อนฟัง

ลดสายตาจากที่สูงเลื่อนลงต่ำจนจรดปลายหาด ทันใดนั้นสุนทรีกะพริบตา พร้อมกับที่ความตื่นเต้นเกิดขึ้นเป็นอย่างมาก อะไรนั่น ดำ ยาว ขึงเหยียดอยู่ริมน้ำขนาดสักเด็กอายุ ๑๕-๑๖ ปี “อุ๊ย! จระเข้” สุนทรีบอกกับตัวเอง จระเข้ขึ้นมานอนเกยหาด ! ความปิติที่ได้เห็นสิ่งประหลาดทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นทันที ความอยากเห็นเจ้าสัตว์น้ำโดยถนัดทำให้รู้สึกว่าแสงจันทร์อ่อนไปมาก ไม่สว่างพอกับที่หล่อนต้องการ

สุนทรีบรรจงหยิบไฟฉายที่ใต้หมอน ด้วยความพยายามอย่างยิ่งในอันที่จะไม่ให้เกิดเสียงกุกกักแม้สักนิด หล่อนจำได้คนที่แพเขาบอกไว้เมื่อตอนเย็นว่า จระเข้เคยขึ้นมานอนเล่นที่หาด และตราบเท่าที่ไม่มีเสียงสิ่งใดรบกวน ก็จะนอนให้ดูอยู่นาน สุนทรีก็มีความประสงค์ที่จะดูจระเข้ให้นานเท่าที่สัตว์นั้นจะยอมให้หล่อนดู

เล็งปลายท่อนไฟฉายไปทางเงาดำ แล้วสุนทรีก็ผลักไกแสงไฟพุ่งตรงไปยังศีรษะจระเข้พอดี อุ๊ย ! ตาวาวอะไรเช่นนั้นนั่นน่ะ ดูไม่ผิดกับตาสุนัขหรือวิฬารเมื่อไฟฉายไปต้อง แต่ตาจระเข้งามกว่าเพราะเป็นสีแดง ใสแจ๋วแวววาว มิได้ผิดกับแสงทับทิม

​ท่อนหางของเจ้าแห่งสัตว์น้ำชี้ตรงไปทางฝั่ง หัวหันลงทางริมหาด สุนทรีนึกถึงคำที่ชาวบ้านแถบนี้ว่าไว้เมื่อจระเข้ขึ้นเกยหาด หันศีรษะไปทางบกย่อมหมายความว่าตัว ‘เขา’ เป็นนักเลงโตในย่าน กล่าวคือไม่มีจระเข้ใดใหญ่กว่า ‘เขา’ หาก ‘เขา’ หันหัวลงทางน้ำ ย่อมแสดงว่า ‘เขา’ เป็นแต่ผู้น้อย ในย่านใกล้ยังมีนักเลงดีไปกว่า เจ้าจระเข้ที่สุนทรีเห็นก็มีท่วงทีเหมาะสมกับคำกล่าวนั้นไม่น้อย อาการของมันคล้ายกับมันมีความระแวงภัย และดวงตาที่แดงโพลงอยู่ ก็คล้ายกับว่ามันคอยจับจ้องสังเกตความเคลื่อนไหว ที่จะเกิดขึ้นในที่ใกล้ด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด

แต่สุนทรีจะดูอยู่แต่ผู้เดียวมิได้ มาเที่ยวไทรโยคอันเป็นถิ่นที่ลือนามว่าชุกชุมไปด้วยสัตว์ป่า ใครๆ ก็ต้องอยากเห็นสัตว์สำคัญในย่านน้ำ มือไวเท่าความคิด สุนทรีเอื้อมมือไปจับแขนงามพิศเบาๆ และกระซิบปลุก

“ลุกขึ้นดูจระเข้เร้ว” หล่อนบอกเมื่องามพิศลืมตา แล้วกำชับ “ค่อยๆ นะ อย่าทำเสียง เดี๋ยวจะหนีไปเสีย ไม่ต้องลุกขึ้น พังพาบก็เห็น”

งามพิศขยับตัวโดยมิได้ทำเสียงให้เกิดขึ้นแม้แต่น้อย แล้วสุนทรีได้ยินเสียงเจ้าหล่อนอุทานเบาๆ แสดงความตื่นเต้นหลายครั้ง

“ค่อยๆ ย่องไปปลุกคนอื่นมาดูด้วยถี” สุนทรีกระซิบ “ไม่ยังงั้นเขาจะอิจฉาเรา เร็วเข้า แล้วเบาๆ ด้วย”

แต่เมื่องามพิศยืดแขนยันตัวเพื่อจะลุกขึ้น จระเข้ก็เริ่มไหวตัวด้วย และในวินาทีนั้นเองก็เกิดเสียงวัตถุหนักกระทบน้ำดังโครม ! ​ซ่า ! จระเข้ฟาดหางสองครั้งแล้วก็ลงน้ำหายไป

“แล้วกัน !” งามพิศอุทาน วางตัวลงบนเสื่อที่นอนดังเดิม “แหม ! ขยับตัวนิดเดียวแหละนะคะทำไมมันถึงรู้ตัวได้”

“ไม่ใช่ลาภตาของคนอื่น” สุนทรีตอบแกมหัวเราะ ดับไฟฉายสอดเข้าไว้ที่ข้างหมอนดังเก่า “ลาภของเราสองคนเท่านั้น”

“เผื่อคุณไม่ปลุกดิฉันก็อดดูกัน” งามพิศกล่าวด้วยความรู้สึกบุญคุณอย่างจริงใจ

“ฉันไม่ปลุกเธอฉันก็ไม่มีพยานน่ะซี เวลาได้เห็นของแปลกต้องรีบหาเพื่อนดู ไม่ยังงั้นเล่าให้ใครฟัง เขาจะหาว่าเรากุ”

สีหน้างามพิศแสดงการคัดค้านที่เกิดขึ้นในใจ... ใครนะจะบังอาจคิดว่าคุณสุนทรีคนงามนี้กล่าวเท็จ?

งามพิศเกยคางลงบนมือทั้งสอง ซึ่งประสานกันอยู่บนหมอน มองดูภูมิประเทศเบื้องหน้า ภายหลังหล่อนปรารภขึ้นเบาๆ

“แหม ! เดือนหงายจริ๊ง ไม่น่านอนเลย”

แต่สุนทรีกำลังไม่ต้องการเพื่อนสนทนาอย่างเอก จึงพูดว่า

“แต่เธอควรจะนอนเสียดีกว่า เพราะพรุ่งนี้จะออกเรือแต่เช้า ถ้านอนกลางคืนไม่อิ่ม เดี๋ยวไปง่วงนอนกลางวันเลยหมดสนุก เขาว่าทางที่จะไปพรุ่งนี้จะงามกว่าทางที่ผ่านมาวันนี้อีก”

เมื่อสุนทรีพูด งามพิศตะแคงหน้ามาฟัง เมื่อพูดจบแล้วเจ้าหล่อนก็ยกคางขึ้นจากแขน วางศีรษะลงบนหมอนแล้วหลับตา แล้วในเวลาไม่ถึงสองนาทีก็หลับสนิท

หญิงสาวผู้อาวุโสกว่ามองดูด้วยความขำแกมพิศวง เมื่อ​ได้ยินเสียงหายใจดังเป็นระยะสม่ำเสมอที่ดังอยู่ที่ข้างตัว ขำในข้อที่คำแนะนำของตนช่างศักดิ์สิทธิ์เสียนี่กระไร พิศวงในข้อที่บุคคลคนหนึ่งสามารถหลับได้เร็วถึงเพียงนี้ แล้วปรารภในใจ “นี่แหละเขาว่าเด็กหลับง่ายหลับดาย !”

หล่อนพยายามจะหลับบ้าง แต่สมองของหล่อนกลับไปนึกถึงจระเข้และประจิตรขึ้นพร้อมกัน ถ้าเขามาด้วยหล่อนคงจะปลุกเขาให้ตื่นขึ้นดูด้วย ถ้าเผอิญโชคเขาดีกว่าคนอื่นจระเข้ไม่ชิงหนีไปเสีย เขากับหล่อนบางทีก็จะมีข้อวิวาททุ่มเถียงกันตามเคย เพราะเขานั้นเป็นนักยิงสัตว์ เมื่อมีจระเข้เป็นเป้าในระยะใกล้ๆ เขาหรือจะปล่อยให้โอกาสผ่านไปเปล่า ส่วนสุนทรีก็จะต้องขัดขวาง เพราะหล่อนสังเกตน้ำเสียงชาวบ้านแถวนี้ดูเหมือนจะพากันถือว่าจระเข้เป็น ‘เกลอ’ กับเขามากกว่าศัตรู เขาเล่าว่าจระเข้เคยลักปลาที่เขาตากไว้ตามริมแพไปเป็นอาหารเสียบ่อยๆ แต่มันมีคุณสมบัติในข้อที่ไม่เคยประทุษร้ายชาวถิ่นเดียวกับมัน แต่ย่อมจะไม่ละเหยื่อที่มาจากถิ่นอื่น สุนทรีย่อมจะไม่ปล่อยให้ผู้ที่ใกล้ชิดหล่อนกระทำการข่มเหงน้ำใจชาวบ้านแถบนี้ ผู้ซึ่งได้แสดงความอารีต่อคณะท่องเที่ยวอย่างดีที่สุด

ยุงตัวหนึ่งบินมาทำเสียงวี้ๆ อยู่ที่ข้างหูสุนทรี แล้วในที่สุดก็ไปเกาะนิ่งอยู่ที่แก้มของผู้ที่กำลังหลับ สุนทรีมองเห็นก็รีบปัดให้ แล้วนึกถึงว่ายุงมาเพราะลมสงัดกระมัง ถ้ากระนั้นหล่อนควรจะจัดกางมุ้งดีหรือไม่ ทั้งลำเรือนี้ก็มีแต่หล่อนกับงามพิศสองคนเท่านั้นที่พร้อมใจกันไม่ใช้มุ้ง เพราะต้องการความโล่งโถงยิ่งกว่าสิ่งอื่น

หล่อนตกลงใจว่าจะรอดูไปอีกสักครู่หนึ่ง แล้วอารมณ์ของ​หล่อนก็พาหล่อนย้อนกลับไปตามทางที่ได้ผ่านมาตลอดวัน....สุนทรีติดใจมากในหาดทรายอันใหญ่ยาวที่เรือจอด เพื่อให้ผู้โดยสารได้อาบน้ำ หาดนั้นลาด ทรายละเอียด น้ำลึกพอควรแก่การว่ายน้ำ บางตอนที่ใกล้ตลิ่ง หาดเป็นแอ่งมีก้อนกรวดขนาดใหญ่อยู่บนทราย น้ำใสแจ๋ว เห็นปลาตัวน้อยๆ ว่ายวนอยู่ระหว่างก้อนกรวด แม่สาวๆ พากันช้อนมาชมเล่นได้หลายตัว

นึกถึงแม่สาวๆ แล้วก็นึกไปถึงชายหนุ่มสองนายที่ร่วมทางมาด้วย นายร้อยตำรวจดูเหมือนจะเป็นคนช่างอายผู้หญิง ดังจะเห็นได้จากการที่เขาไม่ยอมร่วมวงรับประทานอาหารกับหมู่สตรีแม้แต่มื้อหนึ่งมื้อใด และในเวลาที่อาบน้ำ เขาก็เลี่ยงไปอาบให้ไกลที่สุด มิหนำซ้ำยังพยายามที่จะใช้เรือเป็นที่กำบังตัว

แต่ส่วนนายสวง เห็นจะเป็นผู้ที่เข้าไหนเข้าได้อยู่เสมอ และเข้าได้มากที่สุดกับธิดาข้าหลวง เมื่อตอนเย็นระหว่างที่กำลังอาบน้ำ นางสะอาดได้ปรารภกับสุนทรีว่า

“ต่อหน้าพ่อเขาน่ะ ตุกติกกันอย่างนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เดี๋ยวเกิดรักกันอีตรงที่มาเที่ยวกับเราละก็แย่ทีเดียว พ่อเขาด่าเราด้วย”

“พ่อเขาคงไม่ว่า ไม่ยังงั้นเขาคงไม่เจาะจงเลือกนายสวงมาให้ไปกับเรา”

แต่เมื่อพูดเช่นนั้นแล้ว สุนทรีก็มิใช่ว่าจะนอนใจ หล่อนได้ตั้งคำถามอย่างฉลาดเพื่อหาความจริงจากงามพิศ จนในที่สุดก็ได้ความพอที่จะช่วยครูสะอาดให้คลายความกังวล

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #2 on: 28 October 2025, 19:55:58 »


๒๓

คณะเที่ยวไทรโยค ถึงที่หมายในตอนบ่ายวันที่ ๖ แห่งการเดินทาง

ภูมิลำเนาแถบนี้มีลักษณะแปลกประหลาด บางแห่งเป็นป่าก็ป่าอย่างแท้จริง ทั้งลำน้ำ หาดทราย เขาใหญ่ ต้นไม้ มีลักษณะชวนให้คิดเห็นว่าหวงแหนความอิสระไม่ยอมขึ้นต่ออำนาจของมนุษย์เหล่าใด จระเข้ในแดนนี้ก็เป็นจระเข้เจ้า เป็นที่เกรงขามแก่ชาวเรือ ลิงก็เป็นลิงที่ขึ้นอยู่แก่เจ้าแห่งขุนเขา มนุษย์ไม่บังอาจที่จะกล้ำกราย ตลอดจนถึงนกก็มีนางไม้เป็นที่พึ่ง ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดในแถบนี้กล้าหาญพอที่จะทำร้าย

ในบางแห่งที่อยู่ห่างจากป่าไม่ถึงคุ้งน้ำ มีลักษณะเป็นบ้านก็เป็นบ้านอย่างแท้จริง เขาใหญ่กลายเป็นที่เที่ยว หาดทรายเป็นที่ลงเล่นน้ำ ต้นไม้เป็นที่ร่มเย็น และสัตว์ เช่น ปลาและจระเข้ ​ก็คุ้นเคยกับมนุษย์เป็นอันดี

ดังนี้ เรือเที่ยวทั้งสองลำจึงเลือกที่ใกล้หมู่บ้านเป็นที่จอดเพื่อความปลอดภัย แต่ที่นั้นก็ไม่ไกลจากป่านัก เพราะความงามแห่งภูมิประเทศอันเป็นป่าแท้ๆ ย่อมเป็นที่พึงปรารถนาของนักเที่ยว

ครั้นเลือกที่ได้แล้ว ผู้โดยสารก็ย้ายจากเรือมาดมาลงเรือยนต์ แล่นขึ้นไปทางเหนือเพื่อชมภูมิประเทศอันแปลกตาต่อไป และเพื่อจะได้อาบน้ำที่น้ำโจน อันเป็นที่ขึ้นชื่อลือนามว่างดงามน่าพิศวงที่สุดในถิ่นนี้

เรือยนต์แล่นช้าๆ ไปตามลำน้ำ ซึ่งมีกระแสนิ่งสนิทและดูใสแต่เขียวคล้ำดังหนึ่งน้ำทะเล ตลิ่งสองข้างทางทั้งซ้ายขวาเป็นเขาชันสูงลิ่วเกินขนาดคอตั้งบ่า ยอดตัดตรงดิ่งลงถึงใต้พื้นน้ำ เมื่อเรือแล่นไประหว่างกลาง ก็ดูประหนึ่งแล่นอยู่ระหว่างกำแพงเขา และโดยที่เขานั้นเป็นพืดต่อไปไม่สิ้นสุด และดูขึงขังตระหง่านพิลึกมหึมาและปราศจากพืชพันธุ์อันเขียวสด ก็ชวนให้ใจนึกหวาดไปว่า อาจมีมนุษย์หรือสัตว์ร้ายมายืนเด่นให้เห็นตัว ในขณะใดขณะหนึ่งก็ได้ บางแห่งหน้าผาชะโงกออกมาเป็นเพิงใหญ่ สูงจากน้ำในระยะท่วมศีรษะคน และกว้างพอที่จะบรรจุเรือลำเขื่องๆ ได้ทั้งลำ ที่นั้นคนเรือกล่าวว่าเป็นวังจระเข้ บางแห่งน้ำใสไหลรินออกมาตามช่องเขาแตก ทำพื้นหินใต้เพิงให้เป็นสีเขียวคล้ำด้วยตะไคร่น้ำที่จับอยู่จนหนา เหนือนั้นไม้ใหญ่แลดูไกลก็เห็นเป็นไม้เล็ก ฝูงลิงไต่เต้าตามยอดเขาโล้นแลดูขนาดเท่าตุ๊กแก ถึงกระนั้นก็ดูเห็นเป็นสัตว์ดง ซึ่งถ้ามนุษย์เข้าใกล้ก็จะเป็นภัยแก่ตัว

​เสียงเครื่องยนต์ อันเป็นสิ่งที่เป็นไปด้วยอำนาจมนุษย์ มิได้ทำให้ลักษณะความป่าเถื่อน แห่งภูมิประเทศลดถอยลง ตรงกันข้าม เมื่อเสียงเครื่องเรือกระทบขุนเขาทำให้เกิดเสียงก้องอยู่ไม่ขาด ก็ยิ่งทำให้เกิดความวังเวงเยือกเย็นเป็นทวีคูณ

สภาพแห่งภูมิประเทศเหล่านี้ ทำให้ใจคนตื่นเต้นอย่างแรงกล้า แต่ก็สภาวะเหล่านี้แหละมีอำนาจกดความตื่นเต้น ให้อยู่ในความเงียบเชียบ นักท่องเที่ยวทั้งหมดเก็บความรู้สึกไว้ในใจ หวาดหวั่นเสียงสะท้านอย่างไรพิกล

แล้วเรือก็ออกจากกำแพงเขา มาสู่ทางระหว่างตลิ่งหินอันมีรากอยู่ใต้พื้นน้ำ และส่วนบนที่สุดอยู่เสมอแผ่นดิน แถบนี้ใบไม้ต้นไม้เขียวสดขึ้น มีลิงซึ่งแสดงความทึ่งในมนุษย์ มีนกบินไปมาตามยอดไม้ ความมีชีวิตจิตใจปรากฏอยู่โดยทั่ว ทำใจคนให้คิดเห็นเป็นที่สำราญ

และแถบนี้มีเสียงก้องสนั่นหวั่นไหว เป็นเสียงน้ำกระทบน้ำกระทบหิน ไม่ช้าผู้โดยสารเรือก็พร้อมกันอุทานขึ้นด้วยความพิศวง เมื่อมองเห็นเขาน้ำโจนปรากฏเด่นอยู่ตรงหน้า

เป็นลูกเขาขนาดน่าเอ็นดู ขาวโพลน ปกคลุมด้วยกระแสน้ำที่โจนลงมาเป็นหน้ากระดาน ด้านข้างแยกย้ายไปตามแอ่งหินรูปกลม ซึ่งเรียงเป็นลดหลั่นดังขั้นบันได ด้านกลางตกลงบนเพิงผา อันมีลักษณะเป็นอ่างลึกขนาดใหญ่ ล้นจากอ่างกลางจึงหลั่งลงในอ่างย่อย ซึ่งเรียงแถวเป็นขั้นๆ ติดต่อกันไปอีก จากนั้นโจนลงในลำแคว หยดน้ำที่กระเด็นเป็นฝอยเป็นแสงแวววาวระยับมิได้ผิด​แสงแก้ว

ความงามแห่งน้ำตกนี้ ทำให้งามพิศผุดลุกขึ้นจากที่นั่ง ชะโงกหน้าออกนอกเก๋งเรือ บีบมือตัวเองพลางร้องว่า

“ต๊ายตาย ! เกิดมาไม่เคยเห็นอะไรสวยอย่างนี้”

คนอื่นๆ หันมามองดูพร้อมกัน พิศวงด้วยเหตุที่เขาได้เห็นหล่อนแสดงความตื่นเต้นถึงขีดสุดเช่นนี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ออกเดินทางมา แล้วเขาก็พากันยิ้มบ้าง หัวเราะบ้างพร้อมกับสนับสนุนด้วยคำพูดหรือสีหน้า งามพิศเองมิได้รู้สึกตัว ทั้งดวงตาและจิตใจของหล่อนยังจับแน่วอยู่ที่น้ำพุนั่นเอง

เรือแล่นจากพุนี้ไปสู่พุที่สอง เป็นลูกเขาขนาดน่าเอ็นดูอีกเหมือนกัน แต่กลมกว่า กะทัดรัดกว่า กระแสน้ำพุ่งกระจายออกมาถึงกลางลำแคว........มีการโต้เถียงกันระหว่างผู้ดูว่า พุนี้กับพุแรกไหนจะงามกว่ากัน จนเรือเข้าเทียบริมตลิ่ง แล้วยังไม่เป็นที่ตกลงกันได้

เรือหยุดเพื่อให้ผู้โดยสารขึ้นดูต้นน้ำพุ ตลิ่งแถบนั้นรกด้วยพงหญ้า เถาวัลย์ และรากไม้ อีกทั้งเป็นตลิ่งชันยากแก่การปีนป่าย ผู้นำทางขึ้นไปก่อนมีมีดคู่มือตัดเถาวัลย์ และพงหนามที่เกะกะเป็นอันตรายแก่ผิวหนังและลูกตา นายสวงตามขึ้นไปเป็นคนที่สอง หาที่ยืนได้มั่นแล้ว มือหนึ่งจับกิ่งไม้ อีกมือหนึ่งเตรียมที่จะคอยช่วยรั้งตัวสตรีพยุงให้ขึ้นได้ สุนทรีเป็นคนคล่อง จึงถือเอาความช่วยเหลือของนายสวงเป็นประโยชน์ได้ก่อนใครโดยไม่ยากนัก งามพิศคล่องไปกว่าสุนทรีและใจกล้ากว่ามาก อีกนัยหนึ่งไม่​ทันนึกกลัวว่าถ้าล้มลง คนอื่นเขาจะหัวเราะให้ตัวอาย ก็หาทางขึ้นได้โดยไม่ต้องอาศัยลำข้อของนายสวง และขึ้นได้โดยสวัสดิภาพพร้อมกับสุนทรี ครูสะอาดอ้วนมาก จะปล้ำตัวขึ้นที่สูงได้ด้วยความยากยิ่ง ก็มองดูตลิ่งอย่างท้อแท้ และขอร้องว่าจะเป็นผู้ขึ้นทีหลังที่สุด ส่งศรีหวีดหวาดหลายครั้ง ไม่แน่ใจว่าจะวางเท้าลงแห่งใด ครั้นวางลงแล้วก็ลื่น ทำท่าจะล้มไม่หยุด นายสวงต้องละจากที่มั่น ประคองตัวไปส่งจนถึงบนตลิ่ง

ในระหว่างนั้น ครูฉลวยกับครูบุญช่วยเริ่มปรึกษากันว่า ต้นน้ำพุนั้นจะงดงามเพียงไหน คนเรือคนหนึ่งก็พูดเปรยๆ กับเพื่อนของเขาว่า

“ก็มีแต่ดินกับน้ำกับรากไม้” แล้วเขาก็หัวเราะ

ครูฉลวยกับครูบุญช่วยมองดูตากัน ครูสะอาดพูดว่า

“จริงๆ นะ มีเท่านี้แหละ ฉันเคยเห็นมาหลายแห่งแล้ว ไอ้ที่งามมันอยู่ตรงปลายน้ำต่างหาก”

“รึคะ?” ฤดีถามอย่างสนใจที่สุด แล้วหันไปทางสายใจ “ถ้าจะไม่คุ้มกับความลำบากเสียละกระมัง?”

แล้วทั้งสี่ก็สั่นศีรษะอย่างท้อแท้

เหตุฉะนั้น เมื่อนายสวงกลับมาถึงที่มั่นเดิม ครูสะอาดจึงตะโกนขึ้นไปว่า

“ไม่มีใครขึ้นอีกแล้ว ขี้เกียจคลาน ที่ขึ้นไปแล้วก็ไปกันเถอะ กลับเร็วๆ หน่อยก็แล้วกัน”

การปีนตลิ่งก็ยากอยู่แล้ว เพราะที่ชัน ครั้นพ้นตลิ่งมาถึงที่ราบ​ก็ยังยากไม่น้อยกว่า เพราะที่ลื่นที่แฉะ เบื้องต่ำรากไม้เกะกะขัดขวางการก้าวเท้า ก้าวไม่เหมาะก็ประทุษร้ายแข้งขา เบื้องสูงเถาวัลย์พันกิ่งไม้มีหนามระยะพอเหมาะกับคอและหน้า ผู้เดินต้องก้มที เงยที เหลียวที หลีกหลบเครื่องกีดขวาง และเท้าก็ต้องก้าววางอย่างระมัดระวัง เพราะที่ลื่นมีอยู่ทั่วไป

ผู้นำทางเดินนำไปข้างหน้า สุนทรีพยายามจะเดินให้ทันแต่ไม่เป็นผล เพราะเขาเดินเร็วเสียยิ่งกว่าที่สุนทรีจะเดินได้บนถนนลาดยางในพระนคร งามพิศจวนจะล้มหลายครั้งเพราะตาคอยมองจับอยู่ที่สุนทรี และใจก็คอยเป็นห่วงกลัวสุนทรีจะล้ม ขาของหล่อนจึงก้าวเร็วไม่ทันสายตา ตอนหนึ่งหล่อนหักห้ามความขลาดเสียได้กล่าวแก่สุนทรีว่า

“คุณคะ ให้ดิฉันไปหน้าเถอะ ดิฉันจะคอยช่วยคุณ”

สุนทรีหยุดเดิน หันมาดู แล้วหัวเราะพร้อมกับพูดว่า

“ฉันอยากรู้ว่าทำไมเธอถึงจะเก่งกว่าฉัน?”

งามพิศตอบอย่างหน้าตาเฉย

“เก่งกว่าค่ะ ดิฉันไม่กลัวล้ม”

สุนทรีมองไปตามทางที่หล่อนผ่านมาแล้ว เห็นนายสวงกับส่งศรีอยู่ห่างเกือบสี่วา เขาทั้งคู่จับมือกันอยู่ นายสวงเดินเยื้องมาข้างหน้า ทั้งนี้เห็นจะเป็นเพราะเขาต้องทำทั้งหน้าที่นำและหน้าที่จูง นายร้อยตำรวจกับคนเรืออีกสองคนเดินตามมาเบื้องหลัง คนเรือมองดูหนุ่มสาวคู่นี้อย่างเห็นสนุก

เหงื่อหยดตามหน้าสุนทรี ทั้งที่รู้สึกว่าความเปียกเย็น มีอยู่​ทั่วไปในบริเวณที่หล่อนยืนอยู่นี้ หล่อนใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อพลางปรารภว่า

“แหม ! ผู้ชายอยู่เปล่าๆ สามคน มาให้เราขอยืมคนละคนก็จะดีหรอก”

“ป่วยการค่ะ” งามพิศตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงอย่างเดิม “ลองให้เขามานำเราเดี๋ยวเดียวเขาก็จะหนีออกหน้าเราไป เหมือนอีตาคนโน้น”

สุนทรียังปรารมภ์ต่อไปอีก

“เสียดายไม่ได้เอานายจี๊ดของเรามาด้วย”

งามพิศมองดูผู้พูด ครั้นแล้วก็ตัดสินใจเด็ดขาด หลีกขึ้นหน้าสุนทรีพร้อมกับชวน “ไปเถอะค่ะ” แล้วออกเดินทันที

งามพิศมีวิธีช่วยสุนทรีได้จริงเหมือนว่า เมื่อหล่อนหาทางด้วยตาแล้ว ทั้งลำตัวลำขาของหล่อนก็ทำหน้าที่หลบหนาม และข้ามเครื่องกีดขวางได้ว่องไว จนมีเวลาเหลือพอที่จะให้คำเตือนแก่สุนทรี ในวิธีคล้ายบอกแถวทหาร กล่าวคือ เมื่อหล่อนลอดกิ่งไม้แล้ว หล่อนก็บอกว่า “ระวังที่เท้า” และในเมื่อไม่มีเสียงบอก สุนทรีก็ก้าวไปตามสบาย

เดินไปพอจะเต็มเหนื่อย ก็พบผู้นำทางยืนอยู่ เขามองดูหญิงทั้งสองอย่างเห็นขัน บอกแก่หล่อนว่า “ถึงแล้ว” พร้อมกับชี้มือไปเบื้องหน้า แล้วก็หัวเราะคล้ายจะถามว่า “วิเศษยังไงมั่ง?”

สุนทรีมองดูเขาอย่างฉงน แล้วเดินตามงามพิศไปอีก ๒-๓ ก้าว จึงเห็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่เกือบเท่าสระ มีน้ำใสท่วมท้นขึ้นพ้น​ขอบ ไหลบ่าไปทางริมตลิ่ง ที่ใกล้แอ่งนี้มีก่อไผ่ลำใหญ่ถนัด ขนาดโตกว่าไม้ไผ่บ้านจนเกือบจะจำไม่ได้ว่าเป็นพันธุ์เดียวกัน อีกทั้งมีใบใหญ่ดกหนา จึงทำที่ตามแถวธารให้ร่มมืดจากดวงตะวัน ในแอ่งน้ำมีไม้ใหญ่ รากยาวไขว้เขวเห็นร่ำไรอยู่ในน้ำ ลำต้นคดค้อม ใบบาง แต่ยิ่งใหญ่แยกจากคบน้อมลงจรดกลางธาร แอ่งน้ำนี้เองเป็นที่ส่งน้ำไปยังพุริมตลิ่ง แต่ที่เกิดอันแท้จริงแห่งน้ำในแอ่งนี้จะอยู่ที่ใดไม่มีผู้ยืนยัน

ด้วยความที่อยากรู้ อยากเห็น อยากสนุกมากกว่ากลัวอันตราย งามพิศรั้งชายซิ่นขึ้นเพียงเข่า ค่อยๆ หยั่งเท้าลงในแอ่ง แล้วใช้มือจับกิ่งไม้ ค่อยพยุงตัวบ้างโหนบ้าง ปีนบ้าง ไปจนถึงขอบแอ่งอีกฝั่งหนึ่ง ที่ตรงนั้นมีหินเป็นหย่อม งามพิศปีนข้ามหินไป มีช้าก็ถึงปลายทางแห่งลำธาร

งามพิศตบมือด้วยความปิติ หันกลับมาเรียกสุนทรี แต่เสียงน้ำตกดังกลบเสียงหล่อนเสีย ก็กวักมือพร้อมกับพยักเพยิด สุนทรีหัวเราะและส่ายหน้า งามพิศก็โดดจากชะง่อนหินกลับมาที่ริมแอ่ง

“มาซีคะ” หล่อนตะโกนสุดเสียง ใช้มือป้องปากไว้ด้วย “งามเหลือเกินค่ะ” สุนทรีสั่นศีรษะอีก งามพิศก็ก้าวลงในแอ่ง แล้วสาวเท้ามาตามทางเก่าอย่างว่องไว

หยุดยืนในที่นั้น ระยะใกล้สุนทรีพอพูดกันได้ยิน งามพิศกล่าวอย่างร้อนรน

“ไปเถอะค่ะ น่าดูเหลือเกิน มาถึงแล้วไม่ดูให้จบยังไงได้ ​เดินมาง่ายๆ นี่คะ ไม่ลำบากอะไรเลย”

สุนทรีมองดูผู้นำทางเป็นเชิงหารือ แต่ฝ่ายเขาหาเข้าใจไม่ก็ ก็ยืนยิ้มเฉยเสีย แล้วสุนทรีก็เกิดนึกสนุกขึ้นบ้าง จึงก้าวเท้าลงในแอ่งน้ำ

งามพิศเดินมารับ จับมือสุนทรีไว้มั่น ช่วยพยุงให้เดิน

พอหญิงสาวคู่นี้ขึ้นจากแอ่งได้ ก็เห็นส่งศรีกับนายสวงยืนอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม ใช้ภาษาใบ้ส่งมายังอีกฝ่ายหนึ่ง

งามพิศใช้ใบ้ตอบ ชวนให้เขาบุกน้ำมา เขาปรึกษากัน นายสวงต้องการจะไปให้ถึงที่สุด ส่งศรีไม่เต็มใจ เท้าข้างหนึ่งของนายสวงอยู่ในแอ่งแล้ว ส่งศรีถอยหลังไปยืนเกาะต้นไม้ งามพิศทำท่าคะยั้นคะยอยิ่งขึ้น ครั้นเห็นเพื่อนยังเฉย หล่อนก็หันไปพยักเพยิดกับนายสวง เป็นเชิงสนับสนุนความตั้งใจของเขา ครั้นแล้วก็ขึ้นไปยืนเคียงอยู่กับสุนทรีบนชะง่อนหิน

จากที่นั่น หญิงทั้งสองมองเห็นทางน้ำที่ไหลบ่าลงบนลูกเขาได้ถนัด ความแรงแห่งกระแสน้ำทำให้กอไม้อันใหญ่และหนาลู่ราบลงกับดิน น้ำจึงไหลข้ามและโจนลงบนเนิน ตกลงบนหย่อมเขาอีกทีหนึ่ง เสียงดังแห่งน้ำนั้นดังจริง ดังสะเทือนเลื่อนลั่น ความเร็วแห่งกระแสน้ำนั้นเล่า แม้ใบไม้ตกลงระหว่างริมทาง แล้วก็จะหายลับไปกับตาในขณะที่ไม่ถึงอึดใจ ชะง่อนหินที่หญิงสาวทั้งสองยืนอยู่นั้น มีอาการสะเทือนบ่อยๆ ด้วย ชวนให้สุนทรีคิดว่า ถ้าหินพลิกแม้แต่นิดเดียว ตัวของหล่อนก็จะไหลไปกับน้ำ และหล่นบนเนินเขา ก่อนที่หล่อนจะได้ใช้ความพยายามแม้แต่สักนิดเพื่อช่วยตัว

แต่ความงามแห่งธรรมชาติที่มีภัยเจือปนอยู่ด้วยนั้น เป็น​ความงามที่มีอำนาจตรึงใจอย่างแรงกล้า สุนทรีคิดถึงอันตรายก็จริงอยู่ แต่หล่อนหาคิดที่จะรีบหนีอันตรายไม่ คงยืนมองดูสายน้ำไหลกระทบหินอย่างเพลิดเพลิน

อีก ๑๕ นาทีภายหลัง หญิงสาวทั้งสามนางกับนายสวงจึงเดินทางกลับ งามพิศหิ้วรองเท้ายางไปด้วย เพราะรองเท้านั้นเมื่อเปียกเสียแล้วก็ทำให้ลื่นหนัก แต่เมื่อสุนทรีจะถอดบ้างเพราะรู้สึกลื่นอยู่เหมือนกัน งามพิศก็ห้ามไว้ กล่าวว่าหล่อนจะเป็นผู้จูงสุนทรี และรับรองจะมิให้ล้มเป็นอันขาด

ขาลงจากตลิ่งไปสู่เรือ ไม่มีความลำบากมากนัก ด้วยเจ้าของเรือนั่งอยู่เปล่าในเรือ ก็เกิดความคิดที่จะให้ความสะดวกแก่ผู้โดยสาร จึงจัดการสับดินที่ตลิ่งชันให้เป็นขั้นๆคล้ายบันได พอเท้าเหยียบได้ถนัด

ในทันทีที่สุนทรีนั่งอยู่ในเรือแล้ว หล่อนพูดแก่เพื่อนครูของหล่อนว่า

“ไม่เสียแรงที่ลำบากไปถึงที่ๆ น้ำตกทีเดียว น่าดูจริง แต่ก็น่าเสียวไส้จริงเหมือนกัน แล้วฉันเองถ้าไม่ได้งามพิศก็คงไม่ได้เห็นที่สำคัญ” ลดเสียงเบาลงมาก “คนนำทางใช้ไม่ได้ แกไม่เอื้อเราเลย ดูเหมือนจะเห็นเราเป็นบ้า ที่อุตส่าห์ปืนป่ายย่องแย่งไปดูที่พรรค์นั้น งามพิศนำเสร็จคนเดียว”

“ทำไมแกถึงนำถูกล่ะ?” ครูสะอาดถามขึ้นอย่างทึ่ง

“เพราะว่าแกเก่ง กล้า เหมือนเด็กผู้ชายไม่มีผิด” แล้วสุนทรีก็ทอดตาไปสบตางามพิศ พร้อมกับยิ้มอย่างชื่นชม

​“ถีบรถก็เก่งนะครับ คุณงามพิศน่ะ” นายสวงเสริม “เคยถีบไปเที่ยวทางไกลด้วยกัน ผมสู้แกไม่ได้” หันไปทางส่งศรี ด้วยเจตนาจะสัพยอก เพราะถือว่าเป็น ‘ของตน’ “ยิ่งคุณส่งศรีละยิ่งแล้วเลย ไม่ถึงครึ่งทางหรอกทิ้งรถขอนั่งสามล้อกับคุณพ่อ”

เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเห็นธิดาข้าหลวงหันข้างให้เขาเฉยอยู่ ไม่หันมาโต้ตอบกับเขาเหมือนเช่นเคย

สุนทรีเล่าถึงสิ่งที่หล่อนได้เห็นมาเมื่อครู่ก่อน ฤดีกับสายใจฟังอย่างทึ่ง แล้วก็นึกเสียใจในข้อที่ตนมีความอุตสาหะน้อยนัก สายใจอยากโทษฤดีที่เป็นต้นคิด ให้หล่อนล้มความตั้งใจเดิมเสีย ฤดีนักโทษสายใจที่ได้สนับสนุนความเกียจคร้านของหล่อน ในที่สุดก็บ่นว่า

“เราไม่ควรขี้เกียจเลยนะ ได้เห็นน้ำตกแต่ไม่รู้ว่ามันตกลงมายังไง คุยไม่ได้เต็มปาก”

“ฉันก็ไม่ได้เห็น” ส่งศรีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหัวเราะขื่นๆ “ไปกับเขาหรอก แต่ไม่ได้เห็นกับเขา”

“ทำไมล่ะ?” ฤดีถามโดยซื่อ

“ไม่ใช่คนเก่งเหมือนงามพิศ” แล้วส่งศรีก็ยิ้มและยักคอนิดหนึ่ง

พอดีกับเรือมาถึงพุต้น หมู่สตรีก็ขอให้บุรุษออกจากเก๋งเรือ ปลดม่านผ้าใบลง แล้วก็จัดแจงเตรียมตัวเพื่อจะไปอาบน้ำ

เมื่อเรือจอดได้ที่ เจ้าหล่อนทุกคนก็พร้อมที่จะขึ้นจากเรือเว้นแต่ส่งศรี เพื่อนๆ พากันท้วงว่าจะอาบน้ำทั้งเครื่องแต่งตัวอย่างนี้หรือว่าไร ก็ได้รับคำตอบอย่างห้วนๆ ว่า

​“ฉันไม่อาบ”

“อ้าว ! ทำไมล่ะ?” งามพิศถาม “พิโธ่ ! ที่น่าเล่นออกจะเมื่อไหร่จะได้มาอาบที่ๆ ยังงี้อีกสักที”

“ช่างฉันเถอะ” ส่งศรีตอบ “ฉันกลัวตกเขา ฉันไม่ใช่คนกล้า”

งามพิศมองดูเพื่อนด้วยความสนเท่ห์ ฉงนในน้ำเสียงที่ได้ฟังแล้วเป็นอย่างยิ่ง สายใจนั้นเป็นทั้งญาติ คือเป็นลูกของน้าของส่งศรี และเป็นทั้งผู้ที่เคยอยู่กินร่วมกับส่งศรีเป็นเวลานาน ก็ทายใจส่งศรีได้ จึงตัดบทขึ้น

“ทำบ้าไปได้ !”

ส่งศรีหันไปทำตาเขียวกับญาติ ฝ่ายฤดียังซื่ออยู่เช่นเดียวกับงามพิศ ก็บ่นว่า

“ที่ออกเบ่อเร่อ จะตกลงไปได้ยังไง หรือขี้เกียจปีนตลิ่งอีกเป็นครั้งที่สอง”

งามพิศก็เสริม

“อีทีนี้ถึงจะขี้เกียจก็ควรจะทน ไปเถอะน่ะ ไปอาบด้วยกัน ขาดเธอเสียคนหนึ่งก็ไม่สนุกเท่านั้นแหละ”

“เฮอะ ! ขาดฉันจะเป็นอะไรไป อย่ามาเซ้าซี้เลยน่ะ บอกแล้วว่าไม่แล้วก็ไม่มั่งซี” พูดแล้วส่งศรีก็หลีกเพื่อนไปเสียทางหนึ่ง

ท่านพวกผู้ใหญ่ยืนอยู่ที่ชายตลิ่งแล้วทั้งสี่คน ฤดีกับสายใจกำลังจะกระโดดจากหัวเรือ เมื่อโดดแล้วก็รีบแจ้งข่าวว่า ส่งศรีจะไม่ขึ้นอาบน้ำ งามพิศยังคงช้าอยู่ เพราะต้องหาที่วางแว่นตาให้พ้นมือพ้นเท้าคน แต่ในที่สุดก็ไม่เห็นที่ใดดีไปกว่าที่บนเสื้อของหล่อน​เอง ซึ่งวางอยู่ข้างที่ถือท้ายเรือ

ทางขึ้นตรงนี้ก้อนหินเป็นปุ่ป่ำพอเท้าเหยียบได้ถนัด อาศัยลำแขนของบุรุษช่วยด้วยเพียงเล็กน้อย แล้วสตรีทั้งเจ็ดนางก็ขึ้นไปถึงน้ำพุได้โดยไม่ยาก

ครูสะอาดลงนั่งสบายอยู่ในอ่างกลาง สุนทรีและคนอื่นๆ แยกกันไปตามอ่างย่อย ต่างคนส่งเสียงกิ๊กกั๊กประชันกับเสียงน้ำ น้ำนั้นเย็นเฉียบ อาบอยู่นิ่งๆ ก็ทำให้เกิดความหนาว และที่นั้นก็ชวนให้เกิดความตื่นเต้น จะยืนอยู่นิ่งมิได้ เขาจึงพากันย้ายที่ไปมา ออกจากอ่างใหญ่ไปอ่างเล็ก ออกจากอ่างเล็กลงในอ่างน้อย น้ำที่กระเซ็นก็กระจายเป็นฝอย ที่ไหลลงก็ลงแรง กระทบผิวหนังด้วยกำลังหนัก ทำให้รู้สึกดังถูกมือทุบ ยิ่งเพิ่มความสนุกขบขันให้เป็นอย่างยิ่ง

ผู้ชายที่มาในลำเรือขึ้นมาอาบด้วยหลายคน แต่นายสวงมิได้รวมอยู่ด้วย เมื่อเขาส่งสุภาพสตรีขึ้นบนแล้ว เห็นว่าขาดส่งครีไปคนหนึ่ง เขาก็ย้อนกลับไปที่เรือ

เขาถามหล่อนว่าเหตุใดจึงยังไม่ขึ้นบนฝั่ง หล่อนตอบว่าหล่อนจะไม่ขึ้น ถามว่าเป็นเพราะเหตุใด ได้รับคำตอบค่อนข้างกึกกักเล็กน้อยว่า “ขี้เกียจ” เขาจึงพูดวิงวอนเพื่อให้หล่อนเปลี่ยนใจ

“ผมไม่นึกเลยว่าคุณจะขี้เกียจอย่างนี้” เขาว่า “เพียงแต่จะผลัดเสื้อเสียก่อนก็ขี้เกียจได้ ทางขึ้นก็แสนที่จะสะดวก ไม่เหมือนกับทางโน้นเลย”

“กลัวตกเขาค่ะ ดิฉันไม่ใช่คนเก่ง”

เขาไม่รู้เท่าหล่อนจึงตอบว่า

​“ผมอยู่ด้วยทั้งคน คุณยังจะกลัวอีก ! หรือไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อความสามารถว่าจะช่วยอะไรคุณได้?”

“ไม่ใช่ไม่เชื่อหรอกค่ะ กลัวจะเป็นภาระสำหรับคุณ ดิฉันเป็นคนอ่อนแอ”

เขายังไม่ไหวอยู่นั่นเอง ตอบว่า

“สำหรับที่จะคอยดูแลคุณ ผมไม่ถือเป็นภาระเลย ผมถือว่าเป็นยาอายุวัฒนะมากกว่า มาเถอะครับ ผมจะคอยอยู่ที่นี่จนกว่าคุณจะเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเสร็จ”

ส่งศรีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พูดว่า

“เผื่อคุณเต็มใจคอย ดิฉันก็จะไป แต่ต้องคอยนานนะคะ”

“นานเท่าไรก็ไม่ว่า ขอแต่อย่าให้คอยเปล่าเท่านั้นแหละ”

ส่งศรีหลบตัวหายเข้าไปในม่าน ราว ๓ นาทีภายหลัง จึงกลับออกมายืนที่หัวเรือ

นายสวงยิ้มอย่างยินดี ยื่นมือส่งให้หล่อยยึดเป็นหลักเมื่อกระโดดจากเรือ แล้วประคองหล่อนขึ้นไปจนถึงที่อาบน้ำ

ฤดีกับสายใจ พยายามที่จะเย้ยเพื่อนในข้อที่เปลี่ยนใจ เจ้าหล่อนต้องตะโกนเกือบสุดเสียง ส่งศรียิ้มเยื้อน ถือเอาการก้องของน้ำเป็นเครื่องช่วยมิให้ต้องโต้ตอบ สีหน้าของหล่อนขณะนี้มีลักษณะแสดงความชื่นบาน ไหนจะชื่นด้วยธรรมชาติรอบข้าง ไหนจะชื่นด้วยบุคคลที่ช่างเอาใจ หล่อนลงเล่นในอ่างข้างเคียงกับสายใจและฤดี มีนายสวงนอนหงายอย่างสบายที่สุดอยู่ในที่ใกล้

ต่อจากนั้นสักครู่ งามพิศโผล่จากที่ใดที่หนึ่งมาเข้าหมู่เพื่อน​สาวๆ ใช้กิริยาแทนเสียงชวนให้เจ้าหล่อนเหล่านั้นไปยังที่ๆ หล่อนออกมา ที่นั้นคือเชิงผาชั้นบนที่สุด ยื่นล้ำออกมาจากแผ่นดินประมาณศอกครึ่ง เป็นที่ที่น้ำโจนออกไปสู่อ่างกลาง ดูดังม่านน้ำผืนใหญ่ทิ้งตัวลงจากหน้าผาลงมาบนเพิง เมื่อชวนเพื่อนแล้วงามพิศก็ผลุบหายเข้าไปในม่านนั้น

สุนทรีมองเห็นแล้วคิดอิจฉา ตัวหล่อนไม่อาจที่จะทำอย่างงามพิศ เพราะห่วงผมซึ่งหล่อนไว้ยาว กลัวจะเปียกปอนกระจุยกระจาย ทำให้หล่อนดูเร่อร่า มองดูหญิงสาวอื่นๆ ก็ล้วนแต่มีผมเป็นลอนเพราะดัดด้วยแรงไฟฟ้า ออกนึกสงสัยว่าจะมีใครทำอย่างงามพิศบ้าง

ฤดีทำท่าว่าทึ่งกับม่านน้ำไม่น้อย แต่เห็นส่งศรีกับสายใจยังเฉยอยู่ ก็เฉยบ้าง ภายหลังสายใจก็ปืนออกจากอ่าง วิ่งเข้าไปร่วมที่กับงามพิศ แล้วนายสวงก็ลุกขึ้นวิ่งตามไปด้วย

ส่งศรีมองตาม แล้วก็เบือนหน้ากลับเหมือนไม่เอาใจใส่ แต่ในไม่ช้าหล่อนก็จ้องมองดูอีก จึงเห็นมือหกข้างระดมทุบม่านน้ำเล่นอย่างขนานใหญ่ ครั้นแล้วเห็นตัวคนสามคนลงนั่ง เหยียดเท้าออกมาพอได้ระดับกับน้ำตกแล้วหดกลับเข้าไปโดยเร็ว แล้วเขาทั้งสามก็ลุกขึ้นยืนอีก นายสวงโผล่กลับออกมาภายนอก สีหน้ายังเต็มไปด้วยอาการหัวเราะ

คะเนดูว่าเขากำลังจะดูมาทางหล่อน ส่งศรีก็เบือนหน้าไปเสียทางหนึ่ง แล้วเดินไปยังริมพุอันเป็นทางที่จะลงไปสู่ทางเดินเบื้องล่าง นายสวงสาวเท้ามาที่หล่อนโดยด่วนตะโกนถาม

​“ขึ้นละหรือครับ?”

ส่งศรีพยักหน้าโดยไม่มองให้สบตาเขา นายสวงรีบหลีกทางไปก่อน ยืนยันเป็นหลักให้หล่อนเกาะไต่ไปสู่ทางเดิน

“ทำไมขึ้นเร็วนักล่ะครับ หนาวรึ?”

“ก็ไม่หนาวนัก แต่อยากขึ้น”

“ผมก็อยากขึ้นแล้วเหมือนกัน แต่ต้องคอยก่อนเดี๋ยวเกิดเอ็กซิเด็นท์ขึ้นทางโน้น ผมจะเข้าที่ลำบาก”

เมื่อส่งศรีลงเรือได้เรียบร้อยแล้ว นายสวงก็วิ่งกลับไปทางเก่า

ธิดาหลวงเอนกฯ คลี่ผ้าเช็ดตัวออกคลุมร่าง ตัวหล่อนกำลังหนาว แต่ใจของหล่อนกำลังร้อนดังถูกไฟลน คิดเคือง....ไม่รู้ว่า เคืองใคร....แล้วก็ปรารภ “ดีว่าได้เราถึงได้มา ไม่ยังงั้นก็....” จักษุประสาทไปกระทบกระจกแว่นที่วางอยู่ตรงนั้น โทสะจริตพลุ่งขึ้นโดยแรง มิทันได้ยั้งคิด ก็ฉวยแว่นตาเหวี่ยงออกไปตรงช่องม่านทันที

น้ำกลืนแว่นหายไปแล้ว ส่งศรียังไม่รู้ตัวว่าได้ทำสิ่งใดลงไป เป็นครู่หนึ่งความตกใจจึงปรากฏขึ้นบนสีหน้า แล้วความเสียใจปริวิตกก็เกิดขึ้นตาม ส่งศรีผลัดผ้าด้วยมือและแขนอันไม่มั่นคง คำถามเกิดขึ้นในใจ เจ้าหล่อนลังเลอยู่นาน ภายหลังจึงตอบได้ว่า

“ไม่รู้ไม่ชี้”

ส่งศรีรู้สึกหัวใจเต้นแรงขึ้นอย่างประหลาด เมื่อหล่อนได้เห็นผู้ที่อยู่บนฝั่งเดินเป็นแถวเข้ามาใกล้จะถึงเรือ ตามองไปที่กองเสื้อผ้าของงามพิศ แล้วมองขึ้นไปบนฝั่ง แล้วกลับมาจับจ้องที่​กองเสื้อผ้าอีก ริมฝีปากเม้มสนิท ท่องอยู่ในใจว่า

“เราไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้ไปแตะต้อง ไม่ได้เฉียดเข้าไปที่นั่น”

เรื่องแว่นตาหายกลายเป็นเรื่องมีผลไปในทางขบขัน แทนที่จะเป็นผลในทางเดือดร้อนดังที่ผู้ต้นเหตุได้คาดไว้

มีการค้นหากันอย่างวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง พร้อมกับที่ทุกๆ คนพากันฉงนสนเท่ ว่าของนั้นหายไปได้อย่างไร สายใจกับฤดีเป็นพยานว่าได้เห็นงามพิศถอดแว่นตาออกไว้ก่อนที่จะขึ้นฝั่ง สวงก็ยืนยันว่า เมื่อเขารับงามพิศขึ้นจากเรือนั้น เขาเห็นงามพิศมิได้สวมแว่นตาอยู่

เจ้าของเรือตั้งปัญหาเป็นข้อแรก ว่าแว่นตานั้นมีกรอบทำด้วยโลหะชนิดใด ครั้นได้รับตอบว่าเป็นแว่นตากรอบกระ นายเรือก็พึมพำถ้อยคำที่แสดงว่า ถ้ากระนั้นลูกเรือของเขาคงจะบริสุทธิ์ปราศจากมลทินในเรื่องนี้ทุกคน

งามพิศจำได้แม่นยำว่าได้วางแว่นตาไว้บนเสื้อซึ่งพับซ้อนไว้บนซิ่น หล่อนไม่อาจที่จะเชื่อลงไปได้ว่าตนจำผิดราวกับฝันไปเช่นนั้น แต่เมื่อมองไม่เห็นเหตุที่จะทำให้ผู้หนึ่งผู้ใดมาโยกย้ายของนั้นไปเสีย ก็จำเป็นต้องทนนิ่งให้ผู้อื่นเขาคิดว่าตนเผลอเรอ

ข้อขำเรื่องนี้อยู่ที่ตรงว่า เมื่อมีผู้ปรารภแสดงความกังวลในข้อที่หล่อนจะมองเห็นสิ่งต่างๆ ไม่ได้ชัด เพราะขาดแว่นที่เคยใส่ประจำ หล่อนก็เล่าขึ้นอย่างหน้าตาเฉยเป็นความว่า หล่อนได้ให้นายแพทย์ตาตรวจตาหล่อนเมื่อก่อนที่บิดาจะสิ้นชีวิตราวสักปีเศษ นายแพทย์ได้แจ้งแก่หล่อนว่าสายตาของหล่อนใกล้ที่จะเป็นปกติสม​แก่อายุ แล้วได้เปลี่ยนกระจกแว่นให้ใหม่ และสั่งว่าอีก ๖ เดือนให้ไปตรวจอีกครั้ง บางทีจะถอดแว่นได้ทีเดียวใส่แต่เฉพาะเมื่อสายตาต้องใช้ความเพ่งเล็งอย่างจริงจัง จากวันนั้นมาถึงวันนี้ก็เกินกำหนดที่นายแพทย์นัดเป็นเวลานานแล้ว งามพิศก็ยังมิได้ไปหานายแพทย์ทางตาอีกเลย

“พิโธ่ เวรกรรม !” ครูสะอาดอุทานเสียดัง “ช่างทนให้ดั้งจมูกแบกแว่นอยู่ได้เป็นนมเป็นนาน ไอ้เราจำเป็นต้องใส่เวลาอ่านหนังสือหรือดูหนัง ยังเกลียดแทบตาย ถ้าไม่จำเป็นละไม่ใช้เสียเลย”

“ดิฉันใส่มาตั้งแต่เจ็ดขวบค่ะ” งามพิศอธิบายวางหน้าตาเฉยอยู่เช่นเดิม “เลยเคย ไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลก”

“แล้วเวลาถอดแล้วรู้สึกเป็นยังไง?” สุนทรีถาม

“รู้สึกเหมือนจมูกมันหายไปค่ะ”

ผู้ฟังหัวเราะขึ้นพร้อมกัน แล้วสุนทรีถามว่า

“ฉันถามถึงความรู้สึกที่ตาเธอน่ะ มันฟางหรือเห็นอะไรมัวไปบ้างไหม เอ้า ! อย่างเวลานี้แหละ เธอมองเห็นลิงบนยอดเขาหรือไม่เห็น มันมีกี่ตัว?”

งามพิศมองไปในที่ไกลครู่หนึ่ง แล้วก็ตอบว่า

“แปดตัวค่ะ”

“อะไรแปด !” สายใจท้วง “เห็นเกินตาคนดีไปอีก”

“แปดจริงๆ” งามพิศว่า “ที่ซอกหินสองก้อนนั่นน่ะสามตัว เห็นไหม บนยอดทีเดียวอีกสี่...”

​“ถูกแล้ว สามกับสี่เป็นแปดรึ?”

“ก็มันอยู่ในโพรงนิดนั่นอีกตัวหนึ่ง...........นั่นยังไงนั้นๆ เร็วเข้า เดี๋ยวเรือจะเลยไปเสีย แน่ะมันชะโงกดูทำหน้าพิก๊ล !”

มีการหัวเราะอย่างสนุก และตื่นเต้นเล็กน้อยอีกครั้งหนึ่ง เมื่อทุกคนเห็นเจ้าวานรตัวนิดยงโย่ขึ้นยักหน้าไปมาอยู่ในโพรงแล้วมันก็วิ่งบนยอดเขา และลับตาหายไป

เมื่อกลับมาถึงที่พัก นักเที่ยวต่างหิวจัดอยู่ด้วยกันจึงต่างถือเอากล้วยน้ำว้าที่ซื้อจากชาวบ้านเป็นอาหารสิ้นไปทั้งหวี สุนทรีสั่งงดน้ำชาเพราะเห็นว่าเย็นมาก แล้วไม่ช้าก็จะถึงเวลาอาหารค่ำ นางจิ๋วลงมือติดไฟจะตั้งหม้อข้าว ครูสะอาดตื่นเต้นอยู่กับปลานวลจันทร์ซึ่งชาวแพนำมาขาย เกี่ยงกันด้วยเรื่องราคาไม่ค่อยจะตกลงกันได้ ครั้นซื้อขายกันเสร็จก็ยังเป็นปัญหา ในข้อที่ยังมิรู้ว่าจะใช้ปลาประกอบเป็นกับข้าวชนิดใดดี

สุนทรีเป็นผู้ที่จะเข้าครัวก็ต่อเมื่อหล่อนเห็นแก่ลิ้นและกระเพาะของผู้อื่น นิสัยของหล่อนแท้ๆ ไม่ค่อยจะชอบทางนี้นัก เมื่อเดินทางมากับนางสะอาดผู้ซึ่งเป็นนักประกอบอาหารชั้นเอก และมีศรัทธาที่จะประกอบอยู่เป็นนิจ มิหนำซ้ำยังมีนางสาวบุญช่วย นางสาวฉลวยเป็นผู้ที่ชอบทำทุกๆ สิ่งตามครูสะอาด สุนทรีก็ทอดธุระเรื่องอาหารเสียทีเดียว

แล้วคณะเที่ยวก็พากันขึ้นฝั่งไปดูไร่ของชาวบ้าน และภูมิประเทศที่ติดต่อกับแถบนี้ แล้วเขาพักนั่งที่ริมตลิ่งไม่ห่างกับเรือนัก หญิงแปดชายหนึ่งคุยกันอย่างเพลิดเพลิน ภายหลังจึงมีผู้เห็นว่า ​บัดนี้เขาทั้งหมดมีจำนวนเพียงแปดคนเท่านั้น คืองามพิศได้หายไปจากที่เดิมแล้ว

พอดีกับตะวันลับไม้ ความเยือกเย็นวังเวงเกิดขึ้นทีละน้อย เขาจึงพากันกลับมาลงเรือ

“เอ๊ะ ! นี่งามพิศหายไปไหน?” สุนทรีปรารภขึ้นทันที เมื่อไม่เห็นงามพิศอยู่ในเรือมาด แต่พอถามขาดคำหล่อนมองไปข้างหน้า ก็เห็นงามพิศอยู่ในเรือสำปั้นลำเล็กขนาดจุคนได้ไม่เกิน ๔ คน เรือลอยลำอยู่กลางน้ำงามพิศถือท้ายอย่างทะมัดทะแมง มีเด็กชายอายุสัก ๑๓-๑๔ ปีนั่งมาด้วย เรือน้อยนั้นเป็นหัวมาทางเรือใหญ่

เมื่องามพิศขึ้นอยู่บนเรือมาดแล้ว กำลังส่งพายคืนให้เด็ก สุนทรีพูดเป็นเชิงตำหนิแกมข้น

“เธอนี่ซนพอใช้ ซนอย่างนี้เสมอหรือเปล่านะ?”

งามพิศยิ้มมีลักษณะวิตกเจืออยู่ด้วย เพราะเกิดความเห็นขึ้นว่าตนค่อนข้างจะ ‘แผลง’ ไปหน่อยจริง สุนทรีถามซ้ำอีก

“ถามจริงๆ ซนยังงี้เสมอหรือเปล่า?”

“ไม่เสมอค่ะ” หญิงสาวตอบโดยสุจริต “อยู่กับคุณป้าไม่ซน กลัวท่านดุ อยู่กับคุณพ่อก็ไม่มีที่ซน นอกจากที่โรงเรียน”

“แล้วไปหัดพายเรือมาจากไหน?”

“เมื่อเล็กๆ ดิฉันเคยอยู่กับคุณยายที่บ้านในคลองบางกอกน้อยค่ะ เย็นๆ พายเรือเล่นทุกวัน”

“แล้วเดี๋ยวนี้คุณยายท่าจะเสียๆ แล้ว”

“ค่ะ ท่านเสียก่อนคุณแม่สองปี” แล้วงามพิศก็ถอนใจเบาๆ

​สุนทรีรู้สึกว่าความเศร้ากำลังจะเกิดขึ้นในใจคู่สนทนา ไม่มีความปรารถนาที่จะให้เป็นเช่นนั้น จึงเบือนหน้าไปพูดกับครูสะอาดถึงเรื่องอื่นต่อไป

ทุกๆ วันตลอดเวลาที่เดินทางมานี้ คณะเที่ยวรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายระหว่าง ๑๘ กับ ๑๙ นาฬิกา พอเสร็จการรับประทานแล้ว ต่างคนก็จัดที่นอนของตน ต่อจากนั้นผู้ใดสมัครจะนอนก็นอน ที่สมัครนั่งเล่นหรืออ่านหนังสือก็กระทำตามอัธยาศัย เฉพาะคืนนี้ เมื่อการบริโภคพ้นไปสักครู่ ครูสะอาดก็ตั้งต้นหาวอย่างเปิดเผย นายสวงจึงขยับจากที่ ทำอาการจะขึ้นจากเรือ ดรุณีทั้งสี่นางปรึกษากันจะตามเขาไปด้วยก็พอดีได้ยินเสียงคนโจษกันว่าจระเข้ขึ้น ทำให้ความเอาใจใส่ของผู้ที่อยู่ในเรือทุกคนไปรวมอยู่ในเรื่องนั้น

ชาวแพที่อยู่ฝั่งน้ำโน้น มาหานายท้ายเรือยนต์ซึ่งเป็นผู้คุ้นเคยกับเขา ระหว่างทางเขาเห็นจระเข้ลอยตัวอยู่กลางน้ำ จึงเล่าให้สหายของเขาฟัง

สาวชาวกรุงฯ ปรารภกันว่า จระเข้ขนาดใหญ่อาจหนุนเรือมาดให้ล่มได้หรือไม่ คนเรือที่อยู่บนฝั่งได้ยินก็หัวเราะ แล้วถือวิสาสะปลอบขวัญลงมาว่า “จระเข้แถวนี้ไม่ทำคนบนเรือ” มีเสียงหัวเราะอีก แล้วเสียงที่สองเสริม “แต่โดดลงไปหาละก็ฮุบเลย”

“แล้วทำยังไงเราถึงจะได้เห็นมั่งล่ะ?” ผู้ที่อยู่ในเรือมาดปรารภอีก

“ลงเรือไปดูก็ได้ครับ” เสียงหนึ่งตอบมาเป็นเหตุให้เกิดเสียงอุทานหลายเสียงประสานกันขึ้น

​“ตายละ ใครจะกล้า !”

เจ้าของเรือผู้ซึ่งนั่งอยู่ในเก๋งเรือยนต์ ลุกขึ้นมาที่ท้ายเรือ และพูดอย่างเป็นงานเป็นการ

“เอาไฟฟ้าฉายดูก็ได้ครับ”

สุนทรีลุกขึ้นจะไปหยิบไฟฉาย งามพิศรู้เท่าก็ลุกขึ้นวิ่งไปหยิบมาเสียก่อน สุนทรีได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็พูดแก่เจ้าของเรือว่า

“เชิญนายคนที่เขามาจากแพให้มาที่นี่หน่อยได้ไหมจ๊ะ ให้เขาช่วยฉายไฟให้หน่อย จระเข้อยู่ที่ตรงไหน”

พอหล่อนพูดจบ ก็มีผู้ฉายไฟจากเรือยนต์ พุ่งไปทางกลางน้ำ แล้วส่ายไฟไปมาเพื่อหาตัวจระเข้ สุนทรีก็ฉายไฟของหล่อนไปตามแนวนั้นด้วย ในที่สุดมีเสียงพูดมาจากเรือยนต์ว่า

“นั่นแน่ะ ตรงโน้น มองเห็นตาแดงๆ”

ข้างฝ่ายสุนทรีก็เห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งแดงแว๊บๆ อยู่อีกทางหนึ่ง ผู้ที่อยู่ในเรือมาดก็เห็นเป็นพยานหล่อนด้วยเสียงจากทางเรือยนต์ว่าจระเข้ขึ้นสองตัว มีเสียงค้านว่าไม่ใช่ จุดแดงที่สองเป็นพรายน้ำ หรือมิฉะนั้นก็ตัวแมลง ทางเรือมาดสาวน้อยทั้งสี่นางยืนเขย่งบ้างก้มบ้าง ชวนกันดูไปตามทางไฟฉายทั้งสองทางมีเสียงร้องวุ้ยว้าย ฝ่ายผู้ใหญ่ก็เตือนให้ระวังตัวหน่อย จะพลัดลงน้ำเป็นเหยื่อจระเข้ เสียงสาวน้อยพอกันว่าอีกฝ่ายหนึ่งเบียดตนเกินไปจนยืนไม่อยู่ ทางเรือยนต์ก็ยังเถียงกันว่าจุดแดงสองจุดนั้นจุดใดเป็นตาจระเข้ เพราะไฟฉายต้องจุดนานเท่าไร ก็เห็นแต่เพียงจุดมิได้เห็นสิ่งใดมากไปกว่านั้น งามพิศผู้ซึ่งหมอบอยู่กับกราบเรือปรารภขึ้นว่า

​“นี่เราลงเรือไปดูก็หมดเรื่องกัน”

“โอ ! ฉันละไม่ขอไปด้วยละ” ส่งศรีเอ่ยขึ้นทันที

“ฉันก็ลา” ฤดีรับ “เดี๋ยวมีขาข้างเดียวเหลือกลับไปบ้าน”

สายใจกระหายอยากเห็นมาก แต่เป็นผู้ที่ไม่เคยผจญภัยอย่างใดเลย ก็พึมพำเบาๆ

“จะไม่เหลือเอาเลยน่ะซี สงสารคุณแม่”

“ก็คนเรือเขาพายเรือผ่านมา มันก็ไม่ทำอะไรนี่” งามพิศแย้ง “ทำไมจะต้องทำแต่จำเพาะเวลาเราไปกับเขาด้วย ชาวแพเขาบอกฉันว่าไม่ดุเท่าไหร่ นอกจากเราจะเอาเรือขึ้นไปเกยหลังมัน ยังงั้นก็เซ่อเต็มที่ควรให้จระเข้กินเสียให้เข็ด”

สุนทรีกำลังใคร่ครวญถึงคำพูดของงามพิศ เพราะความทิษฐิกำลังเริ่มเข้าจับใจหล่อน ขึ้นชื่อว่าจระเข้ใหญ่ทั้งที ได้เห็นแต่เพียงลูกตา มิหนำซ้ำยังมิรู้ว่าจระเข้แน่หรือมิใช่ ดูก็น่าอัดใจไม่น้อย

ครูสะอาดปรารภขึ้นว่า

“นี่ตาไหนมันตาจระเข้กันแน่นะ”

นายสวงได้ไปสนทนากับชาวแพ ที่มาจากฝั่งโน้นแล้ว เขากลับมาแจ้งแก่สุภาพสตรีว่า

“คนที่พายเรือมาเขาว่าเราจะไปดูก็ได้ เรือเขาจุคนห้าได้สบาย แต่ขอว่าพอเข้าไปใกล้จระเข้แล้วถึงจะตกใจอะไร ก็ขอให้อยู่นิ่งๆ ผมบอกเขาแล้วว่าผมจะไป”

“นิ่งซีคะ” งามพิศรับคำโดยเร็ว “ไปเร็ว ใครไปมั่ง?”

สุนทรีนึกในใจว่า กลางคืน มืดเช่นนี้ การที่จะลงเรือเล็ก​ออกไปกลางลำน้ำอันกว้างใหญ่ แม้ไม่มีสัตว์ร้ายก็น่ากลัวพออยู่แล้ว....ถึงกระนั้นหล่อนก็ลังเล !...

ครูสะอาดนึกพอใจ ในข้อที่ฤดีกับสายใจเบือนหน้าอย่างหวาดกลัว เพราะถ้าเจ้าหล่อนทั้งสองจะไป ครูสะอาดก็จำต้องขัดขวาง ส่งศรีกลัวแทนนายสวงเป็นกำลังแต่ไม่อาจทักท้วง

เมื่อเรือน้อยถอยมาถึงเรือใหญ่ งามพิศก็หันไปถามสุนทรีด้วยเสียงอ่อยๆ ว่า

“คุณไม่ไปหรือคะ?”

อีกฝ่ายหนึ่งถอนใจขณะที่ตอบ

“อยากไป....แต่.....”

“ดิฉันไปก่อน แล้วเผื่อไม่เห็นมีอันตรายจะกลับมารับ....”

“ฮึ ! ปล่อยให้เด็กนำเรื่อย” สุนทรีว่า แล้วหัวเราะเบาๆ “ออกขายหน้าเสียแล้ว ไปฉันไปกับเธอเดี๋ยวนี้แหละ”

ความยินดีปรากฏขึ้นในวงหน้างามพิศอย่างเด่นชัด ครูสะอาดถามสุนทรีอย่างพิศวง

“ไปจริงๆ แหละหรือ?” ครั้นเห็นสุนทรีเตรียมจะลงในเรือเล็ก ก็พูดอย่างหวาดเสียว “กล้าจริงแฮะ”

เรือเล็กมาไกลจากฝั่งเรือจอดราวเส้นเศษ นายสวงเป็นผู้ฉายไฟ เมื่อมองอยู่แค่ระยะไฟฉาย สุนทรีก็มีความรู้สึกเป็นปกติ แต่ครั้นมองไกลไปอีก เห็นแต่ความมืดและความว่างเปล่า หล่อนก็รู้สึกใจหายเยือกเย็นอย่างไรพิกล จะเป็นด้วยเรือน้อยมาไกลเรือใหญ่มาก หรือจะเป็นที่หล่อนต้องสำรวมใจมิให้ตื่นเต้น สุนทรี​รู้สึกคล้ายกับว่าเรือที่หล่อนนั่งอยู่ห่างจากมนุษย์ทั้งหลายสัก ๑๐๐ คุ้งน้ำ หูของหล่อนไม่ได้ยินเสียงสิ่งใดนอกจากเสียงพายกระทบพื้นน้ำดังจ๋อมๆ กับเสียงผู้ถือท้ายพูดพึมพำ

หล่อนสะดุ้งเมื่องามพิศสะกิดแขนหล่อนเบาๆ ชี้ให้ดูตรงไปที่แสงไฟฉาย....เจ้าแห่งสัตว์น้ำลอยเทิ่งอยู่เห็นชัดตั้งแต่ศีรษะไปจนตลอดตัว ขนาดเท่าลำพาหนะที่สุนทรีนั่งมา ลักษณะน่าเกรงขามสมกับที่เป็นเจ้าแห่งถิ่น คนเรือพายเรือเข้าไปใกล้อีก คัดท้ายให้เรือตั้งลำขนานกับตัวจระเข้ พอตั้งได้ ท่อนหางของจระเข้ก็จมลง....ท่อนหัวจมตาม น้ำกระเพื่อมฮวบ แล้วหมุนเป็นวงกลมใหญ่ถนัด สุนทรีใจหายวาบราวกับรู้สึกว่าเรือกำลังจะจม

ขากลับ สุนทรีค่อยหายใจสะดวกขึ้น ด้วยมองเห็นแสงไฟจากเรือใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้า และขากลับนี้ก็ดูเหมือนเรือแล่นเร็วมาก เพียงครู่เดียวก็ถึงปลายทาง

“เออ ! นึกๆ ไปแล้วอยากเป็นลิง !”

สุนทรีนั่งอยู่ในเรือสำปั้นเล็ก ซึ่งมีงามพิศเป็นผู้พายหัว และชาวแพเป็นผู้ถือท้าย เมื่อได้ฟังงามพิศกล่าวประโยคนั้น สุนทรีก็หัวเราะ พร้อมกับถามว่า

“ทำไม เห็นว่าตัวเองยังไม่คล่องพอยังงั้นหรือ? อยากจะปีนป่ายตามต้นไม้ได้เหมือนลิง?”

งามพิศราพายยกขึ้นวางพาดตัก ตาจับอยู่ที่ฝูงวานร ซึ่งไต่ยั้วเยี้ยอยู่ตามต้นไม้บนเนินเขา บางตัวกำลังยงโย่ทำเสียงขู่ตะคอก​เมื่อเห็นเรือพายเข้าใกล้ แล้วหล่อนถอนใจอีกพร้อมกับตอบว่า

“เป็นลิงดีกว่าสัตว์อื่น เพราะไม่มีประโยชน์อะไรกับมนุษย์ ไม่ถูกจับ ถูกฆ่า เป็นสัตว์อื่นถูกรังแกเรื่อย”

“ไม่มีสัตว์อะไรในโลกที่ไม่ถูกรังแก” สุนทรีตอบ “ชั่วแต่มากหรือน้อยเท่านั้น ว่าแต่เธอเป็นคนอยู่มิดีกว่าเป็นลิงอีกหรือ?”

“เป็นคนเบื่อค่ะ เดี๋ยวคิดยังงั้นเดี๋ยวคิดยังงี้ อยากเป็นนั่นเป็นนี่แล้วก็เป็นไม่ได้สักอย่าง เป็นลิงไม่มีหัวคิดไม่ต้องคิดถึงอะไร สบาย ขอแต่ให้ปืนไปปืนมาตามต้นไม้เท่านั้น”

ตั้งแต่ได้ร่วมทางกันมา ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่งามพิศรำพึงถึงตัวเองเป็นวาจาให้เข้าหูสุนทรี ดังนั้นจึงเป็นผลให้ผู้ฟังเกิดความสนใจเป็นอย่างยิ่ง

“เธออยากเป็นอะไร งามพิศ?” สุนทรีถาม

อีกฝ่ายหนึ่งนิ่งไปนาน จนผู้ถามคิดว่าเจ้าหล่อนใจลอยไปเสีย หรือมิฉะนั้นก็ไม่ได้ยิน จึงถามซ้ำ

“เธออยากเป็นอะไร งามพิศ?”

คราวนี้งามพิศหัวเราะ และเนื่องจากที่หล่อนหันหลังมาทางท้ายเรือ สุนทรีจึงไม่อาจเห็นความรันทดและความกระดากใจในสีหน้าของหล่อนได้ ในขณะที่หล่อนพูดว่า

“อยากไม่เป็นเรื่องค่ะ ล้วนแต่เป็นไปไม่ได้ทั้งนั้น”

“เถอะน่ะ” สุนทรีกระเซ้า “ถึงเป็นไปไม่ได้ก็บอกเถอะ ฉันอยากรู้”

งามพิศนิ่งไปอีก ขณะที่ใจของหล่อนกำลังต่อสู้อยู่กับความ​ใคร่ที่จะเปิดความคิดออกปรับทุกข์กับผู้ที่หล่อนรักและ ‘ติด’ อย่างที่เด็กสาวย่อมจะ ‘ติด’ บุคคลใดบุคคลหนึ่งด้วยเหตุผลบางประการ แต่ในที่สุดงามพิศก็ตอบอย่างเด็ดขาด พร้อมกับตั้งต้นพายเรืออย่างขนานใหญ่

“ป่วยการค่ะ เหลวๆ ทั้งนั้น....เอ๊ะ หาดนี่ตื้นจริง” หล่อนฉวยโอกาสออกอุทาน เมื่อพายกระทบสิ่งที่แข็งอยู่ใต้พื้นน้ำ “ท่าเราจะต้องขึ้นเสียที่ตรงนี้แล้วละ ยิ่งไปต่อไปก็จะไกลออกไปทุกที”

“ขึ้นก็ขึ้น” สุนทรีตอบ ติดใจในเรื่องที่พูดค้างมากกว่าที่จะนึกถึงจระเข้ใหญ่ที่ตนพยายามพายเรือมาคอยดู แล้วถามผู้ถือท้ายเรือ “ที่ๆ ลาดน้อยกว่านี้มีไหม ที่ไม่ต้องย่ำน้ำมากน่ะ ฉันเสียวไส้กลัวจะย่ำเอาเจ้าเข้า”

‘เจ้า’ ที่สุนทรีกล่าวนั้นหมายถึงจระเข้ สุนทรีทำตามลัทธิของชาวบ้านนี้ เขาถือกันว่าถ้าออกชื่อจระเข้ จระเข้อาจขึ้นได้ไม่ทันให้รู้ตัวและอาจหนุนเรือให้คว่ำไปได้

“ที่ตื้นเจ้าไม่อยู่หรอกครับ โน่น ! ต้องทางโน้นตรงปากน้ำกับลูกเขานั่นแน่ะ เห็นกันบ่อยๆ”

เขาคัดท้ายเรือเหหัวเข้าชนหาด งามพิศหยั่งน้ำด้วยใบพาย แล้วรั้งผ้าซิ่นขึ้นและก้าวออกจากเรือ สุนทรีจึงทำตาม แล้วคนเรือก็ไสเรือขึ้นเกยหาดแห้งไว้

เดินมาตามริมหาด เพื่อจะตัดทางตรงไปยังชะง่อนเขา พอถึงแง่หาดแง่หนึ่ง เห็นผีเสื้อฝูงใหญ่เป็นจำนวนพันบินว่อนอยู่ มองดูคล้ายทองใบถูกลมพัดปลิวไปมา ทั้งงามพิศและสุนทรีอุทานขึ้น​พร้อมกัน แล้วงามพิศก็แล่นเข้าในหมู่ผีเสื้อประกบมือเข้าด้วยกัน ช้อนเอาเจ้าสัตว์สีทองไว้ได้ตัวหนึ่ง ตัวอื่นๆ ในกลุ่มก็แตกกระจายขึ้นแล้วก็กลับมาบินล้อมรอบตัวหล่อน บ้างก็เกาะติดมากับเสื้อ บ้างก็ติดมากับผม งามพิศวิ่งกลับมาที่สุนทรี ประคองหยิบสัตว์ที่จับได้ขึ้นให้ดู

ชมเชยเจ้าสัตว์ตัวทองปีกทองอยู่พักหนึ่ง แล้วหล่อนก็ชูแขนข้างที่มือถือผีเสื้อขึ้น คลายนิ้วมือเพื่อปล่อยให้สัตว์น้อยเป็นอิสระ พร้อมกับพูดว่า

“กลับไปหาเพื่อนของเจ้าไป เราไม่ข่มเหงเจ้าหรอกเดี๋ยวชาติหน้าจะลำบากยิ่งกว่าชาตินี้”

น้ำเสียงเศร้าซึ่งผู้ฟังสังเกตได้ว่า หลุดจากปากโดยมิได้มีความตั้งใจเช่นนี้ กระเทือนใจสุนทรีไม่น้อย แต่เวลานี้มิใช่เวลาเหมาะแก่การสนทนาถึงเรื่องลึกซึ้ง เช่นเรื่องของจิตใจและทุกข์สุข สุนทรีจึงได้แต่มองงามพิศนิ่งอยู่

ถัดจากที่นั้นไปใกล้จะถึงชายเขา มีหย่อมหินอยู่ระเกะระกะ มีต้นไม้ต้นน้อยๆ ชนิดล้มลุกขึ้นอยู่เป็นพืด เกือบทุกต้นมีดอกกลีบแดงเกสรเหลืองลักษณะคล้ายดอกชบาหนูที่บานเต็มที่ แต่มีกลีบเพียง ๔ กลีบ และบางประดุจแพร ดอกไม้เหล่านี้เองเป็นเครื่องชักจูงผีเสื้อให้มาสู่ สุนทรีและงามพิศชี้ให้กันดูด้วยความตื่นเต้น แล้วเก็บดอกไม้เสียบผม และห่อผ้าเช็ดหน้าไว้คนละหลายดอก

แล้วผู้นำทางนำเจ้าหล่อนทั้งสองไปถึงเชิงเขา ต่อจากนั้นก็ปีนป่ายไปตามก้อนหินจนถึงชะง่อนหินเขาส่วนหนึ่งคนเรือชี้ที่จระเข้​เคยขึ้น แล้วเขาปีนต่อไปยังที่สูงและนั่งอย่างสบายอยู่ ณ ที่นั้น

จากที่ๆ สุนทรีกับงามพิศยืน มองไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ เห็นปากน้ำไทรโยคได้ถนัด ที่นั่นเป็นที่ๆ จระเข้เคยขึ้นบ่อยๆ เพราะเป็นทางที่ปลาไหลตามกระแสน้ำในลำน้ำน้อยมาสู่ลำน้ำใหญ่ มองไกลออกไปอีกเห็นที่ๆ เรือจอดเห็นแพที่อยู่ของผู้นำทาง ทางทิศใต้ หาดใหญ่ขนานกับลำน้ำ กำลังถูกแสงแดดฉายทำให้เห็นเป็นสีทองแดงต่อกันเป็นพืดสุดสายตา

เมื่อได้ยินชมภูมิประเทศอยู่ครู่หนึ่งแล้ว สุนทรีเลือกที่นั่งได้ตรงใต้ต้นไม้ งามพิศเลือกได้อีกที่หนึ่งอยู่บนยอดแห่งชะง่อนผาทีเดียว เท้าทั้งสองข้างยันไว้กับหินก้อนเล็ก หลังพิงกับหินก้อนใหญ่ ศีรษะหงายพิงหินก้อนเดียวกันนี้ งามพิศทำท่าสบายดังนั่งอยู่บนเก้าอี้นวม

เวลานั้นเป็นเวลาราวๆ ๑๕ นาฬิกา ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงกล้า แต่ลมพัดมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสายพอดับความร้อนให้หายได้ เสียงนกตีทองร้อง ป๊ก ป๊ก ป๊ก เป็นจังหวะ นกอื่นๆ อีกหลายพันธุ์เกาะอยู่ตามกิ่งไม้เจรจากันจู๋จี๋ เอียงคอดูมนุษย์อย่างทึ่ง มิได้แสดงความหวาดสะดุ้งอย่างไรเลย

สุนทรีมองดูภูมิประเทศรอบข้าง พลางนึกถึงเพื่อนเที่ยวอีก ๖ นางที่มิได้มากับหล่อนด้วย เนื่องจากเมื่อตอนเช้าคณะเที่ยวได้ไปในป่าโดยทางรถ เช่ารถยนต์ของกำนันตำบลนี้เป็นพาหนะ ทางนั้นเป็นทางลำบาก ข้ามห้วยข้ามธารหลายครั้ง รถกระเทือนกระแทกตรงกับคำที่ว่าฟัดผู้นั่งเสียจวนเจียนจะหายใจไม่ทัน จน​รู้สึกบอบช้ำปวดเมื่อยไปทั้งตัว เมื่อรับประทานอาหารกลางวันแล้ว สามครูจึงพากันนอนหลับอย่างสนิท

สุนทรีได้จัดการให้นายจี๊ดและนางจิ๋วไปดูน้ำโจน นายสวงกับนายร้อยตำรวจไปยิงปลาในลำน้ำไทรโยค กับเจ้าของเรือและผู้นำทางคนหนึ่ง เนื่องจากที่ลำน้ำนั้นตื้นมาก และน้ำใสมาก ชาวถิ่นนี้จึงใช้ปืนยิงปลาเล่นบางคราว แทนที่จะใช้เบ็ดหรือเครื่องดักอย่างอื่น

งามพิศเป็นผู้ริชวนให้สุนทรีมาเที่ยว ซึ่งสุนทรีก็รับด้วยความเต็มใจ เพราะนิสัยของหล่อนเป็นผู้ไม่ชอบหลับในเวลากลางวันอยู่แล้ว และการนั่งเปล่าอยู่ในเรือก็มิใช่สิ่งที่สนุกนัก

สุนทรีเพลินชมธรรมชาติจนลืมสิ่งใดๆ ในโลกรวมทั้งตัวเอง ภายหลังสายตาของหล่อนแลไปยังหญิงสาวเพื่อนร่วมทาง หล่อนก็ตื่นจากภวังค์ ด้วยเห็นเพื่อนร่วมทางของหล่อนนั้นปิดหน้าไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ดูท่าทางอ่อนระทวยเป็นอย่างยิ่ง สุนทรีจึงถามขึ้นว่า

“เหนื่อยหรือ งามพิศ? หรือง่วงนอน?”

อีกฝ่ายหนึ่งขยับตัว ยกมือจากวงหน้าช้าๆ สุนทรีรู้สึกว่าวงหน้าเจ้าหล่อนนั้นหม่นหมองผิดจากที่เคย อาการที่ยิ้มก็ดูแห้งแล้งดังยิ้มของคนเจ้าทุกข์ ก่อนที่สุนทรีจะได้ออกปากถามว่ากระไรต่อไป งามพิศพูดขึ้นว่า

“คุณรู้จักคนชื่อประจิตรไหมคะ? ผู้ชายค่ะ”

สุนทรีตกอยู่ในอาการลังเล ในที่สุดจึงตอบว่า

“คนชื่อประจิตรมีหลายคน ฉันก็คงต้องรู้จักเข้าสักคนหนึ่ง ​แหละ”

งามพิศหดขาเข้าหาตัว วางคางบนเข่า นิ่งอยู่อึดใจหนึ่งแล้วจึงว่า

“คนที่ชนรถคุณพ่อของดิฉันน่ะค่ะ เขาชื่อประจิตร?”

“แล้วยังไงล่ะ?”

“ดิฉันอยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงมั่ง” งามพิศตอบช้าๆ “ดิฉันอยากให้เขาตายเร็วๆ ดิฉันแช่งเขาทุกวัน”

โลหิตฉีดขึ้นหน้าสุนทรีโดยแรง ความฉุนโกรธก็แล่นขึ้นสมอง แต่เป็นอยู่เพียงขณะจิตเดียว แล้วหล่อนก็พูดแกมหัวเราะ

“ประจิตรคนนั้นแหละที่ฉันรู้จัก”

ดวงตางามพิศแสดงความประหลาดใจ และตกใจด้วยถามขึ้นทันที

“เขาเป็น....คุณรู้จัก...รู้จักกันมากหรือคะ?”

สุนทรีตอบแกมหัวเราะเช่นเดียวกับคราวก่อน

“ก็มากอยู่ แต่ไม่มากถึงกับทนฟังเธอนินทาเขาไม่ได้ ฉันถือตัวเป็นกลาง เธออยากจะว่าอะไรเขาอีกก็ว่ามาเถอะ”

งามพิศกัดริมฝีปาก ตาขุ่น เบือนหน้าไปทางหนึ่ง ภายหลังจึงหันกลับมาทางสุนทรีและพึมพำ

“ดิฉันไม่ได้นึก....เมื่อตะกี้ดิฉันไม่ทราบ”

“แล้วเมื่อทราบแล้วเป็นยังไงไปล่ะ?” น้ำเสียงสุนทรีมิได้แปลกไปจากเดิม “ถึงฉันจะเป็น....เพื่อนของ....นายประจิตร ฉันก็ยังเป็นเพื่อนของเธอได้ต่อไปไม่ใช่หรือ ฉันไม่เก็บคำที่เธอว่าไปบอกเขา​หรอก”

งามพิศนึกในใจว่า หล่อนอยากจะให้คำแช่งด่าของหล่อนได้เข้าหูประจิตร จะทำให้หล่อนดีใจเป็นอันมาก เว้นแต่ว่าหล่อนจะเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าสุนทรีนำความไปบอกเพราะหล่อนโกรธแทนเขา

หล่อนไม่พูดว่ากระไรอีก และสุนทรีก็ไม่ชักชวนให้พูด สุนทรีรำพึงอยู่ว่ามรณกรรมแห่งบิดาของงามพิศคงจะได้นำความทุกข์มาให้งามพิศอย่างมหันต์ ถ้ามิฉะนั้นไหนเลยเด็กหญิงผู้มีหน้าซื่อและบริสุทธิ์เช่นนี้ จะจองเวรจองกรรมมุ่งร้ายหมายขวัญต่อผู้เป็นต้นเหตุแห่งมรณกรรมของหลวงประเสริฐฯ ถึงปานนี้

เป็นครู่หนึ่งต่อมา งามพิศจึงเอ่ยขึ้น

“ดิฉันไม่อยากให้วันพรุ่งนี้มาถึงเลย”

“ทำไม?” สุนทรีถามน้ำเสียงอ่อนโยนด้วยความสงสารที่มีอยู่ในใจ

“ก็พรุ่งนี้เราจะออกเรือกลับนี่คะ” แล้วงามพิศก็ถอนใจยาว

“ฉันก็ยังไม่อยากกลับ แต่จำเป็น เรากะวันกันไว้เท่านี้ แล้วธุระทางบ้านก็มีอยู่ด้วย”

งามพิศนิ่งเงียบไปอีก สุนทรีเว้นระยะครู่หนึ่งแล้วก็พูดสืบไป กระแสเสียงอ่อนหวานยิ่งขึ้น

“ขอแนะนำอะไรเธอสักอย่าง ด้วยความหวังดีแท้ๆ ไม่ใช่อย่างอื่น เธออย่าไปผูกเวรกับคนที่เขาทำให้เธอเป็นทุกข์ คิดเสียว่าเขาไม่ได้แกล้ง เวรย่อมไม่ระงับด้วยเวร การผูกเวรจึงไม่ใช่ทาง​ที่คนฉลาดคนดีจะนำมาใช้ ตั้งหน้าอดทนทำความดีไว้ดีกว่าต่อไปภายหน้าจะเห็นผล การเรียนของเธอน่ะอย่าทิ้งเสีย อุตส่าห์พยายามแล้วเธอจะหาความสุขได้มาก เมื่อเวลาที่เธอทำงานหาเลี้ยงตัวของเธอได้เอง ฉันกลับไปกรุงเทพฯ แล้วจะคอยฟังข่าวจากเธอ ขัดข้องเรื่องหนังสือหรืออะไรละก็บอกไปทันทีทีเดียว สิ่งใดที่เกี่ยวกับเธอละก็ฉันช่วยได้ ฉันจะช่วยทั้งนั้น”

แทนคำตอบใดๆ งามพิศพนมมือขึ้นไหว้สุนทรีดวงตาของหล่อนมีน้ำตาคลอตา และริมฝีปากของหล่อนก็สั่นระริก

สุนทรีก็รู้สึกหายใจไม่สะดวกเหมือนกัน รีบเบือนหน้าไปเสียทางหนึ่ง แล้วก็ตะโกนถามผู้นำทางถึงเรื่องจระเข้

ได้รับคำตอบอย่างหัวเสียเล็กน้อย ว่าจระเข้ไม่ขึ้น และในเวลานั้นดวงตะวันกำลังต่ำลงทางทิศตะวันตกมาก แสงแดดลอดใต้พุ่มไม้เข้ามาทำให้เกิดความร้อน สุนทรีจึงชวนงามพิศกลับ

ขามานี้เรือทวนน้ำ ต้องใช้เวลานานกว่าจะถึงเรือใหญ่ ผู้โดยสารเรือทั้งสามคนมีเหงื่อโชกตัว ทางเรือมาดพอสายใจเห็นผู้ที่กลับมาถึงใหม่ก็ตะโกนพ้อ

“แหม คุณครูไปเที่ยวไม่ชวนหนูมั่งนี่คะ”

“ก็จะชวนยังไงล่ะ หนูนอนหลับออกปุ๋ย”

“สนุกไหม?” สายใจหันไปถามงามพิศ

สุนทรีเป็นผู้ตอบแทน “สนุก แต่ร้อนหน่อยอยากอาบน้ำจะตายอยู่แล้ว”

คนอื่นก็พากันปรารภถึงเรื่องอาบน้ำด้วย เจ้าของเรือสำปั้น​ผู้ซึ่งกำลังรับรางวัลจากสุนทรีจึงว่า

“แถวนี้อาบได้ แต่อย่าออกไปลึกนัก ไม่ดี”

“ทำไมจ๊ะ จระเข้หรือ !” สุนทรีถาม

คนเรือหัวเราะและพยักหน้าแทนคำตอบแล้วก็ออกเรือไป

ในเวลานั้น เรือที่พานายจี๊ดกับนางจิ๋วไปดูน้ำตกก็มาถึง สุนทรีร้องว่า

“แหมนายจี๊ดกลับมาพอดี ฉันกำลังจะหิวอยู่แล้ว”

งามพิศผลัดเสื้อผ้าอย่างว่องไว แล้วโดดโพล่งลงไปอยู่ในน้ำ

ฝูงปลาตะเพียนที่แหวกว่ายอยู่ริมเรือแตกกระจายไป แต่ในครู่เดียวก็กลับมาวนเวียนอยู่รอบตัวงามพิศอีก สีแดงเหลือบทองของปลาเป็นประกายไหวๆ อยู่ในน้ำอันใสแจ๋ว หญิงสาวนุ่งแดงใส่แดง มีข้าวสุกที่เตรียมไว้แล้วอยู่ในมือ แบมือไว้ใต้พื้นน้ำเจ้าปลาก็ว่ายลอยตัวฮุบเอา บางตัวฮุบจนเพลินชะล่าใจขึ้นก็ฮุบเอานิ้วมืองามพิศเข้าไปด้วย ขนาดของปลาใหญ่กว่าฝ่ามือของงามพิศ บางตัวขนาดเท่าพัดเท่าด้ามจิ้วเล็ก หางปลาโบกว่ายไหวๆ ทำให้น้ำเป็นจุดนิดๆ แววๆ เหมือนเศษแก้วที่แดดส่อง ตาปลาแจ๋วลอดความแจ๋วของผิวน้ำขึ้นมาให้เห็น ตาของดรุณีผู้ที่ให้อาหารปลาก็ออกแสงเป็นประกายด้วยความรื่นรมย์

ครั้นคนอื่นๆ พากันลงอาบน้ำ งามพิศก็กล้าขึ้นโผออกไปนอกแนวที่เรือจอด แล้วก็แหวกว่ายกระแสน้ำทวนกลับมายังที่ บางคราวก็ทอดตัวให้ลอยปล่อยให้สายน้ำพัดพาออกไปไกล แล้วจึงว่ายกลับมาที่หาด ท่าทางคล่องแคล่วแข็งแรงราวกับมีชีวิตอยู่ในน้ำ​มาเป็นเวลานาน

งามพิศขึ้นจากน้ำ ผลัดเสื้อผ้าออกซัก ครั้นแล้วก็หายเข้าไปในประทุนเรือ ทาแป้งและหวีผม เสร็จแล้วก็ออกมานั่งทางเรือ ตรงที่ๆ คนอื่นๆ อาบน้ำกันอยู่

สุนทรียืนฟอกสบู่อยู่ตรงชายฝั่ง มองเห็นหน้างามพิศขาวเป็นนวล มีริบิ้นสีดำคาดผมกันมิให้ลงมาปรกหน้า ดอกไม้ดอกหนึ่งเสียบอยู่กับบิ้นใกล้จอนหู มีลักษณะให้เห็นได้ว่าผู้เสียบๆ ไว้ด้วยความรักดอกไม้ มากกว่าคิดถึงความสวยงามของตัวเอง สุนทรีมองด้วยความทึ่ง เกิดความเห็นว่าดอกไม้ทำให้งามพิศเป็นสาวน่าเอ็นดูขึ้นอย่างประหลาด พิศต่อไปอย่างที่ไม่เคยพิศมาแต่ก่อน เห็นริมฝีปากสีแดงเกือบเท่าสีดอกไม้ที่เสียบผม ดวงตาสีดำดูเป็นเงา และอาการที่หัวเราะอยู่กับเพื่อนสาวๆ ก็เป็นอาการของเด็กสาวที่ยังอ่อนเดียงสาต่อวิถีของโลกเป็นอันมาก

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #3 on: 28 October 2025, 19:57:13 »


๒๔

รถขบวนเพชรบุรี-กรุงเทพฯ ต้องเสียเวลาเป็นพิเศษระหว่างทางปลายระยะ จึงถึงปลายทางช้ากว่ากำหนด เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องสงสัยว่าผู้โดยสารจะไม่พากันบ่นแล้ว

บ่นอีกด้วยความเสียดายเวลาที่ต้องอยู่ในรถไฟนานกว่าที่ควรถึง ๑๐ นาที แต่ในที่สุดขบวนรถอันยืดยาวด้วยสินค้า ก็หยุดสนิทอยู่ในสถานีหัวลำโพง ผู้โดยสารที่มีของแต่พอมือพากันแย่งทางลง ส่วนผู้ที่มีของมากต้องหาผู้ช่วยขนหรือคอยรถเข็น ก็พากันแย่งช่องหน้าต่างเพื่อส่งของลง ทั้งนี้ด้วยความที่มีใจร้อนเป็นพื้นอยู่ด้วย และยังรำคาญด้วยพนักงานทำความสะอาดในรถ ซึ่งถือเครื่องมือเข้ามามีท่าทางคล้ายกับจะ ‘เชิญ’ ผู้โดยสารให้ไปพ้นเสียโดยเร็ว เพื่อเขาจะไม่ต้องเสียเวลารอ มิหนำซ้ำพนักงานบางนายยังลงมือปัดฝุ่นก่อนที่รถจะว่างคน

​คณะเที่ยวไทรโยคก็ใจร้อนไม่ผิดผู้โดยสารอื่นๆ และความอยากพูดก็มีอยู่ไม่น้อย ต่างคนรีบยกของส่งให้ผู้มารับบ้าง ยืนชี้ให้ฝ่ายเขาเป็นผู้ส่งให้คนอื่นอีกต่อหนึ่งบ้าง แล้วปากก็พูดจ้ออยู่กับผู้ที่มารับนั้นเอง โดยมิได้คำนึงว่าเขาจะมีเวลาฟังให้ตลอดหรือไม่

สุนทรีได้แจ้งกำหนดกลับอันแน่นอน ไว้แก่ผู้ที่อยู่ร่วมเคหะเดียวกับหล่อนทุกคน คือตั้งแต่ตัวประจิตรเองจนถึงคนใช้ ทั้งนี้เพื่อกันมิให้เขาพากันลืมส่งรถมารับหล่อน และเนื่องจากเวลารถควรถึงสถานีเป็นเวลาก่อนเที่ยง หล่อนไม่ได้คาดว่าจะได้พบประจิตรที่สถานีด้วย ครั้นเมื่อหล่อนเห็นเขาเดินตรงมายังหน้าต่างที่หล่อนยืนอยู่ หล่อนรู้สึกดีใจเป็นอันมาก ยื่นมือชะโงกหน้าออกไปหาเขา และพูดด้วยสีหน้าแสดงความปิติและประหลาดใจระคนกัน

“ทำไมถึงมารับได้ ไม่นึกเลยว่าเธอจะมา”

เขาจับมือหล่อนบีบแล้วก็ปล่อยในทันที หันไปสั่งคนใช้ที่ยืนอยู่เบื้องหลังให้ขึ้นบนรถเพื่อขนของ

แล้วเขาหันกลับมาทางสุนทรี และพูดด้วยน้ำเสียงซึ่งฟังดูค่อนข้างจะห้วนสักหน่อย เพราะเป็นน้ำเสียงที่ไม่เหมาะแก่เวลาและโอกาส

“รถช้าตั้ง ๑๐ นาที เมื่อแรกคิดว่าจะพาเธอไปส่งบ้านแล้วเลยกินข้าวกลางวัน แต่นี่ไม่ทันเสียแล้วต้องรีบไปหาอะไรกินที่ใกล้ๆ แล้วกลับไปที่กระทรวง”

สุนทรียิ้มอย่างอารมณ์ดีเพราะเห็นขัน ด้วยคิดว่าเขาพื้นเสียเพราะต้องคอยรถนานเกินกว่าที่เขาคาดนั่นเอง แล้วหล่อนพูดว่า

​“ยังงั้นก็รีบไปเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วง อีก ๓ ชั่วโมงพบกันใหม่”

หล่อนยิ้มให้เขาอีก เป็นยิ้มที่งามน่าดูเป็นหนึ่งจนประจิตรก้มหน้าลงเสีย แล้วหันหลังเดินจากหล่อนไปทันที

“ใจเร็วละเท่านั้นเสียเอง” สุนทรีปรารภในใจ รอยยิ้มยังปรากฏที่ริมฝีปาก

สิ่งของต่างๆ ขึ้นอยู่บนรถเข็นเรียบร้อยแล้ว มีผู้คุมรถไปข้างหน้า ผู้เป็นเจ้าของก็ออกเดินตามไปห่างๆ ห้อมล้อมด้วยผู้มารับ ซึ่งเป็นจำนวนมากกว่าผู้ที่กลับมาถึง ทั้งสองฝ่ายปราศรัยกัน ซักถามกัน กล่าวคำต้อนรับกันไม่หยุดปากจนเกือบจะถึงต้องแย่งกันพูด มารดาของฤดีจับแขนธิดาจูงไว้ไม่ห่าง ตาจับดูธิดาราวกับยังไม่เชื่อแน่ว่านั่นคือธิดาของตน คราวใดฤดีหยุดพูดเพื่อผ่อนลมหายใจ มารดาของหล่อนก็พูดสอดขึ้นว่า “แม่เป็นห่วงจะตาย” หรือมิฉะนั้นก็ “ถ้าผิดจากคุณครูสะอาดกับคุณครูสุนทรีแล้วละก็ แม่ไม่ปล่อยให้ไปเป็นอันขาด”

ครั้งที่สุด มารดาของสายใจผู้ซึ่งต้องเป็นฝ่ายที่ฟังอยู่นานแล้วเอ่ยขึ้นบ้างว่า

“ดิฉันก็เหมือนกัน ผิดจากคุณครูสองคนนี่แล้ว ไม่ปล่อยให้ลูกไปกับใครหรอก”

“แต่คุณนายยังดีนี่คะ เพราะมีญาติอยู่ทางโน้น กะว่าจะไปกับลุงแล้วยังจะต้องเป็นห่วงอะไรอีก แหม ! ของดิฉันน่ะพ่อเขารวนอยู่นั่นเอง จะไม่ยอมให้ไปท่าเดียว แม่ลูกสาวก็จะไปให้ได้” หันไปทางผู้เป็นครูธิดา “อยากนัก อยากไปเที่ยวกับคุณครูสะอาด”

​ส่วนดรุณีทั้งสองยังเยาว์นัก ไม่รู้จักเห็นอกท่านผู้บังเกิดเกล้าในความที่ท่านเป็นห่วง ก็หันไปปรารภแก่กันอย่างปลาบปลื้ม

“ที่แท้เราไปสนุกจะตายนะ”

“ไม่เห็นอะไรน่ากลัวสักหน่อย มีแต่ของสวยๆ งามๆ”

ด้วยประการดังกล่าวนี้ เขาพากันมาถึงหน้าสถานีแล้วก็ร่ำลาแยกทางกันไป

ฝ่ายสุนทรี เมื่อกลับถึงบ้าน รับประทานอาหารกลางวันแล้ว รู้สึกอ่อนเพลียและง่วงเป็นกำลัง จึงนอนหลับไปจนบ่าย

หล่อนตื่นขึ้นเมื่อ ๑๕ นาฬิกากว่า อาบน้ำแล้วก็รู้สึกสบายตัวและสดชื่นในใจ แล้วหล่อนเที่ยวเยี่ยมห้องต่างๆ บนตึกเพื่อตรวจความสะอาด ปราศรัยกับคนใช้คนละคำสองคำ ต่อจากนั้นก็ลงจากตึกไป ตรวจดูตามบริเวณอื่นต่อไป

หล่อนออกจากครัวเดินช้าๆ ไปยังที่ๆ คนในบ้านเรียกว่า ‘ที่โปรดของคุณ’ ก็มองเห็นคนแปลกหน้านั่งอยู่บนเตียงที่หล่อนเคยนั่งรับประทานน้ำชา เป็นหญิงสาวรูปร่างท้วม ผิวขาว มองเห็นถนัดได้แต่ไกล เมื่อเห็นสุนทรีเจ้าหล่อนมองดูอย่างทึ่งที่สุด แต่ครั้นสบตาอีกฝ่ายหนึ่งมองดูบ้าง เจ้าหล่อนก็ลุกขึ้นจากเตียง เดินอ้อมหลีกไปทางที่สุนทรีเพิ่งเดินออกมา

สุนทรีเดาว่าหญิงนั้นคงจะเป็นคนที่รู้จักกับคนใช้คนใดคนหนึ่งในบ้านของหล่อน มาเยี่ยมเยียนกันตามที่หล่อนเคยรู้และเห็นบ่อยๆ และเนื่องจากที่หญิงแปลกหน้ามีรูปโฉมพอดูได้ สุนทรีก็รู้สึกทึ่งเล็กน้อย และหมายใจไว้ว่าภายหลัง จะต้องถามคนใช้ดู​ให้รู้ว่าเจ้าหล่อนเป็นใคร มาหาผู้ใด

สุนทรีกลับขึ้นตึกได้สักครู่ใหญ่ ประจิตรก็มาถึงบ้าน

พอได้ยินเสียงรถ สุนทรีก็โผล่หน้าออกไปต้อนรับเขาที่หน้าต่าง ประจิตรกวักมือเรียกหล่อนให้ลงไปข้างล่าง หล่อนทำท่าสงสัยเล็กน้อยแล้วก็ทำตามโดยดี

เมื่อเห็นเขาอยู่ในห้องรับแขกมิได้นั่ง เดินกลับไปกลับมาอยู่หน้าเก้าอี้ สุนทรีจึงถามพร้อมกับทำหน้านิ่วแต่พองาม

“จะมีแขกมาอีกหรือ?”

“เปล่า” ประจิตรลงเสียงตอบ “ทำไม?”

“วันนี้ยังไม่ต้องการแขกจนนิดเดียว อยากคุยกันสองคนมากกว่า แล้วเธอเป็นยังไงถึงต้องมาพักที่นี่?”

“ขี้เกียจขึ้นกระได” ตอบแล้วประจิตรทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นวมตัวหนึ่ง

ทันใดนั้น เขาเกิดความรู้สึกถึงน้ำหนักแห่งคำพูดของสุนทรีที่ว่า “อยากคุยกันสองคนมากกว่า” เขามองดูหล่อนคล้ายกับเขาพึ่งเห็นหล่อนเดี๋ยวนี้ แล้วเกิดความคิดว่าเขาควรจะสวมกอดหรือจุมพิตหล่อนได้ ในโอกาสที่เขากับหล่อนพึ่งจะได้พบกัน หลังจากที่จากกันไปเกือบสองสัปดาห์ เมื่อคิดเช่นนั้นแล้วเขาก็อยากทำตามที่คิดเป็นกำลัง

“เธอดำไปมาก” เขาเอ่ยขึ้น “แต่สวยขึ้นเยอะ”

“ขอบใจ” สุนทรีตอบ ซ่อนความกระดากและปราโมทย์ไว้ในหน้า “เธอน่ะไม่เปลี่ยนเลยยังไงยังงั้น” หล่อนเน้นคำท้ายพร้อม​กับยิ้มและค้อนให้ด้วย

แล้วถามสืบไป

“ไปอยู่หัวหินกี่วัน?”

“สองคืน”

“เท่านั้นเองแหละ?”

“ไปสองหน หนละสองคืน พักโฮเต็ล ขี้เกียจเปิดบ้านเป็นการใหญ่แล้วก็ว้าเหว่”

หล่อนยิ้มรับคำหลังของเขา แล้วถาม

“ได้รับรางวัลอะไรมั่งไหม?”

“ได้อะไร ! เจ๊งไม่เป็นท่า หมู่นี้เรามัวแต่เท็นนิสออกเรื่อยๆ จะไปสู้ใครไหว เล่นสำหรับสนุกแปลกๆ ที่ อ้อ ต้องรีบบอกเดี๋ยวจะลืม พบคุณอรุณ....”

“อรุณไหนเพื่อนนักเรียนเก่า หรือเพื่อนครู?”

เขาหัวเราะและตอบว่า

“พบสองอรุณ ที่จะเล่าน่ะ อรุณเมียไอ้เทียมตาของผัวมีลูก ๓๐๐ คน เพื่อนนักเรียนหรือเพื่อนครูของเธอ ฉันก็เหลือที่จะจำ”

“อ๋อ! นั่นเพื่อนนักเรียนโรงเรียนเก่า พระยาวิจิตรสารการ ลูกเขาไม่ถึง ๓๐๐ คน หาว่าเขามีลูก ๓๐๐ !”

“ไม่รู้หรือ เห็นยั้วเยี้ยเหลือเกินนี่ แห่กันไปที่โฮเต็ลที่ละหลายโหลหนวกหู ซนยังกะลิง....”

หล่อนค้อนให้อีกพร้อมกับหัวเราะแล้วว่า

“เล่าเรื่องอรุณไปเถอะ”

​“เขาถามว่าเธอหายไปไหน”

“เพราะเขาพบเธอที่หัวหิน แล้วไม่ได้พบฉัน?”

“ไม่ใช่ เขาว่าเธอหายคล้ายๆ กับหายไปจากกรุงเทพฯ เพราะเขาไม่ได้พบเธอนมนานเต็มทีแล้ว ฉันบอกว่าเขาเองน่ะแหละเป็นคนหาย เธอน่ะไปไหนๆ บ่อยๆ ไม่ใช่ว่าเก็บตัวเป็นนางห้อง เขาตอบว่าเขามัวแต่เลี้ยงลูก มีลูก ๔ คนแล้ว ฉันก็เลยบอกว่าจะเตะไอ้เทียมให้ เขาสั่งบอกเธอว่าให้ไปหัวหินให้ได้จะได้พบกัน ไอ้เทียมซื้อที่ไว้กำลังปลูกบ้าน”

“แล้วอรุณอีกคนหนึ่งเล่า?”

“คนนี้สั่งให้เตือนเธอว่ากลับจากไทรโยค แล้วอย่าลืมไปหัวหิน เขาจะยังอยู่ที่นั่นอีกนาน จะกลับต่อเดือนพฤษภา แล้วก็....เขาจะเขียนจดหมายมาชวนเธออีก”

สุนทรียิ้มอย่างไม่สู้สนใจนัก ปัญหาเรื่องหัวหินนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนโรงเรียนปิดเทอม สุนทรีไม่แน่ใจว่าจะไปหัวหินอีกหรือไม่ หลังจากที่ได้ไปไทรโยคแล้ว แต่ในระยะสามวันก่อนที่จะถึงกรุงเทพฯ สุนทรีจึงตัดสินใจได้เด็ดขาด...ถ้าประจิตรจะไปหัวหินหล่อนจะไป ถ้าเขาอยู่ในกรุงเทพฯ หล่อนก็จะอยู่ด้วย

ดังนั้นหล่อนจึงถาม

“เธอจะไปอีกไหม?”

ประจิตรสั่นศีรษะ “เห็นจะไม่ แต่ก็เอาแน่ไม่ได้”

หล่อนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ด้วยเขาตอบไม่ตรงกับใจหล่อนปรารถนา แต่ไม่ยึดถือเอาไว้นาน ถามต่อไปว่า

​“กรุงเทพฯ ร้อนมากไหม? ทางที่ฉันไปร้อนแต่เวลากลางวัน ตกกลางคืนเย็นถึงกับต้องห่มผ้า ฉันนึกถึงเธอว่ากลางคืนจะคลั่งเรื่องร้อนยังไงมั่ง แต่แล้วก็นึกว่าเธอคงจะไปตากลมอยู่ทางหัวหินเหมือนกัน”

ประจิตรอึดอัด เป็นไฉนสุนทรีจึงปรานีต่อเขามากนัก น้ำเสียงของหล่อนฟังดูไม่มีแง่มีงอนเหมือนอย่างเคย ทำให้จิตใจของเขาอ่อนแอไป แล้วเขาตอบช้าๆ อย่างตริตรอง “ปีนี้ดูเหมือนจะไม่ค่อยร้อน เห็นจะเป็นที่มีฝนตกมั่ง” เว้นระยะเล็กน้อยแล้วจึงว่า “ไม่เห็นเล่า ไปเที่ยวสนุกยังไง ไทรโยควิเศษแค่ไหน”

หล่อนหัวเราะเบาๆ แล้วตอบ

“ฉันขี้เกียจฉายหนังซ้ำ เพราะตั้งใจว่าเย็นวันนี้จะไปหาคุณพระ มาถึงวันนี้ก็ควรจะไปวันนี้ ถูกไหม? แล้วก็หวังเอาอย่างแน่นอนว่าเธอจะไปด้วย เพราะฉะนั้นเล่าทีเดียวให้ได้ฟังกันทั่วๆ ดีกว่าเวลานี้ขอฟังเรื่องของเธอก่อน”

เขายิ้มอย่างไม่นึกสนุก อยากจะบอกแก่หล่อนว่า เขาก็มีเรื่องที่อยากจะเล่าให้หล่อนฟังเป็นอย่างยิ่งเหมือนกัน แต่คำพูดหาผ่านริมฝีปากเขาออกมาได้ไม่ เมื่อหล่อนอยู่ใกล้ไปจากเขา เขารู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งธรรมดา เขาอาจจะเล่าแก่หล่อนโดยไม่ต้องเลือกเฟ้นถ้อยคำอย่างใดเลย แต่ครั้นเมื่อวันกลับของหล่อนย่างเข้ามาใกล้ เขารู้สึกคล้ายกับว่าเรื่องนั้นแปรรูปเป็นเรื่องสำคัญมากขึ้นทุกที จนกระทั่งขณะนี้ เมื่อหล่อนนั่งอยู่ตรงหน้าเขา มีวงหน้างามผุดผ่อง ดวงตาหวานคม อ่อนโยนหยดย้อย เขาเกิดความรู้สึก​ว่าได้เป็นผู้กระทำผิดอย่างสำคัญ ทั้งนี้โดยไม่รู้แน่ว่าผิดในแง่ไหน แต่เขาก็กำลังพยายามยืดเวลาแห่งการเจรจาเรื่องที่ข้องอยู่ในใจเขา ให้นานออกไปมากที่สุดที่จะมากได้

“มาถึงบ้านพบอะไรแปลกมั่ง?” เขาถามขึ้น

“ไม่เห็นมีอะไรแปลก” สุนทรีตอบโดยซื่อแล้วถาม “อะไรแปลก เธอซื้อรถใหม่หรือ?”

“เปล่า” เขาลงเสียงตอบ “ถามดูเผื่อจะเห็นอะไรแปลก แม่บ้านไม่อยู่เสียหลายวัน”

สุนทรีนึกได้ถึงหญิงแปลกหน้าที่หล่อนเห็น จึงพูดแกมหัวเราะ

“อ้อ ! มีแปลกอยู่อย่างหนึ่ง ผู้หญิง สวยด้วย แต่ก่อนไม่เคยเห็นมา จะเป็นญาติหรือพวกพ้องใครใครไม่รู้ ยังไม่ได้ถาม”

สีหน้าประจิตรเปลี่ยนไปเล็กน้อย มองดูผู้พูดอย่างจะค้นหาความจริงอะไรสักสิ่งหนึ่ง ครั้นสบตาสุนทรีมองดูตนอย่างนึกฉงนขึ้นบ้าง ก็ลุกจากที่พร้อมกับพูดว่า

“จะไปหาคุณอาก็ไป ขอเวลาอาบน้ำ ๕ นาที เธอคอยอยู่ที่นี่นะ”

“เอ๊ะ ! ทำไมต้องกะเกณฑ์ให้คอยที่นี่ ฉันก็จะต้องแต่งตัวเหมือนกัน”

“ถ้างั้นก็ขึ้นไปพร้อมกัน พอเสร็จก็ไปทีเดียว”

“เสร็จแล้วต้องกินน้ำชาก่อน เธอเองน่ะไม่หิวหรือ?”

“ยังงั้นแต่งตัวเสร็จแล้วกลับลงมากินน้ำชาที่นี่ ฉันจะสั่งเขา​เอง”

สุนทรีนึกแปลกในใจ แต่หล่อนก็รู้อยู่ว่า ประจิตรเป็นบุคคลที่มี ‘ความแปลก’ แสดงต่อหล่อนบ่อยครั้ง จึงขึ้นบันไดไปกับเขาโดยไม่โต้แย้ง

เนื่องจากสุนทรีได้เสียเวลาไปเล็กน้อย ในการเจรจากับนางสาวใช้ เรื่องเสื้อผ้าที่หล่อนได้นำไปไทรโยคด้วย ประจิตรจึงแต่งตัวเสร็จก่อนหล่อน และได้มายืนคอยหล่อนอยู่บนเชิงบันไดเป็นครู่ พอหล่อนออกจากห้องเขาก็จับมือหล่อนจูง เดินเคียงกันไปจนถึงห้องรับแขก และนั่งลงรับประทานน้ำชาด้วยกัน

ระหว่างที่รถกำลังแล่น จะไปยังบ้านพระวนศาสตร์ฯ สุนทรีกับประจิตรสนทนากันถึงเรื่องเบ็ดเตล็ดต่างๆ ซึ่งเมื่อรวมกันเข้าแล้ว ก็ไม่มีเรื่องที่แปลกผิดจากเมื่อก่อนที่สุนทรีจะออกเดินทางเลย ทำให้สุนทรีนึกขำตัวเอง....ตนได้จากกรุงเทพฯ ไปเพียง ๑๒ วันเท่านั้น เหตุไฉนจึงสำคัญคิดว่าจะได้ฟังเรื่องใหม่ๆ ราวกับว่าตนได้จากที่เกิดไปอยู่ต่างประเทศเป็นปีๆ ทั้งนี้สุนทรีมิได้สำนึกว่า การอยู่ห่างไกลจากบุคคลผู้เป็นที่รักแม้เพียงเวลาอันสั้น ผู้ไปห่างมักจะรู้สึกเสมือนตนได้จากเขาไปนาน และโดยนัยนี้ก็ยึดถือเอาความนานแห่งเวลาในอารมณ์ของตนนั่นเอง เป็นปัจจัยให้คิดคาดว่าจะมีสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ เกิดขึ้นหลายประการ

ที่บ้านพระวนศาสตร์โกศล สุนทรีได้เป็นผู้พูด ที่ยึดความเอาใจใส่ของผู้ฟังไว้อย่างดียิ่ง หล่อนเล่าถึงระยะทางที่หล่อนผ่านบรรยายภูมิประเทศด้วยถ้อยคำสำนวน อันชวนให้ผู้ฟังเห็นงาม​ไปตามหล่อน เขาริมน้ำประปรายที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง บางแห่งเป็นหน้าผาชัน เกลี้ยงเกลาดังขัดด้วยมือคน บางแห่งขรุขระ เป็นช่องเป็นโพรงเป็นถ้ำ บางแห่งมีหินปูนจับเป็นช่อย้อยดูดังม่านหิน ลำธารบางแห่งแคบ บางแห่งคด บางแห่งกว้างเกือบสุดสายตา บางคราวน้ำเขียวนิ่งสนิท บางคราวน้ำใสดังกระจกเห็นก้อนกรวดโตถนัดอยู่ภายใต้ ที่บางแห่งเป็นที่เรียว น้ำไหลคว้าง ก้อนหินอยู่ระเกะระกะปริ่มพื้นน้ำ ต้องปลดเรือโยงใช้แรงคนลาก เพื่อประคองเรือให้อยู่ในร่อง บางคราวเมื่อถึงเรียวใหญ่ แรงคนหาพอกับแรงน้ำไม่ เรือกระทบแก่งจังๆ หลายครั้ง บางคราวก็จวนเจียนจะเสียท้ายขวางลำทำให้เป็นที่น่าหวาดเสียว

ในตอนท้าย หล่อนเล่าถึงการไปดูจระเข้ในยามดึก และการลงเรือไปดูจระเข้เจ้าในเวลาหัวค่ำ มารดาเลี้ยงของหล่อนทำท่าพรั่นพรึง น้องเล็กขยับตัวเข้าทับตักมารดา จับแขนมารดาไว้แน่น คล้ายกับว่าได้เห็นจระเข้ใหญ่ปรากฏอยู่ ณ ที่นั้น

ประจิตรเอ่ยขึ้นว่า “แหม ! เราไปด้วยก็ได้ยิง”

“ฉันนึกถึงเธอเหมือนกัน” สุนทรีตอบพร้อมกับยิ้ม “แต่นึกด้วยว่าไม่ยอมให้ยิ่งเป็นแน่ เพราะชาวบ้านแถบนั้นเขาถือกันมาก เขาไม่กลัวจระเข้ แต่เขากลัวคนจะทำร้ายจระเข้ เพราะถ้าทำเข้าแล้ว ทีหลังพวกเขาจะต้องลำบาก จระเข้ที่ไม่ดุ ก็กลายเป็นดุ เขาว่าผีสิง”

พระวนศาสตร์ฯ กับประจิตรยิ้มอย่างเห็นขัน แต่นางวนศาสตร์ฯ พยักพเยิดอย่างเห็นด้วย

​ราว ๒๒ นาฬิกา สุนทรีจึงลาจากท่านผู้บังเกิดเกล้า ประจิตรขับรถเร็วมากขึ้น และออกนอกทางไปไกล สุนทรีมีความแช่มชื่นเต็มเปี่ยมอยู่ ก็มิได้ทักท้วงไต่ถาม จนมาถึงที่สงัดไกลจากย่านแห่งยวดยานและชุมนุมขน ประจิตรจึงหยุดรถแอบเข้าที่ริมถนนแห่งหนึ่ง

เขาจุดบุหรี่ ดูดแล้วอัดโดยแรง ๒-๓ ครั้ง รวบรวมความกล้าให้มากขึ้น พอขยับจะพูดก็ได้ยินเสียงสุนทรีเอ่ยขึ้นว่า

“ฉันเก็บเรื่องการเดินทางไว้บางส่วน ไม่เล่าที่บ้านคุณพระ กลัวแม่เลี้ยงจะ....กรี๊ดกร๊าด....”

“เป็นยังไง” ประจิตรถาม น้ำเสียงปร่าพิกล ลืมเรื่องที่ข้องใจเสียทันที “ธิดาข้าหลวง....”

“ทำไม?” สุนทรีถามด้วยความพิศวง

เขากลับได้สติ จึงถอนใจแล้วพูดด้วยเสียงธรรมดา

“เปล่า....เธอว่าแกเป็นพ่อม่ายไม่ใช่หรือ?”

“น็อนเซ็นส์” สุนทรีอุทานพลางหัวเราะ “บอกแล้วว่าเขาไม่ได้ไปด้วย มีคนอีกคนหนึ่ง ฉันไม่ได้นึกไม่ได้ฝันเลยว่าเขาจะไปกับเราด้วย ลูกสาวหลวงประเสริฐฯ”

“ฉันก็มีเรื่องที่เกี่ยวกับหลวงประเสริฐฯ จะเล่าให้เธอฟัง” ประจิตรกล่าวด้วยไม่อาจจะทนนิ่งอยู่ได้อีกต่อไป

“ยังงั้นหรือ? เอ้าอยากเล่าก่อนก็เล่าไป”

ประจิตรเริ่มต้นเล่าเรื่องของเขา เรื่องที่ได้ทำให้เขาอึดอัดใจมาหลายชั่วโมงเต็มทีแล้ว

​ความมีอยู่ว่า เมื่อสุนทรีไปแล้วได้สองวัน มีหญิงกลางคนคนหนึ่งมาหาเขา แจ้งว่าเป็นแม่ยายหลวงประเสริฐฯ และชื่อลำไย หญิงนั้นปรับทุกข์ว่า ตั้งแต่หลวงประเสริฐฯ สิ้นชีวิตแล้ว นางก็ตกระกำลำบาก เพราะอัตคัดขาดแคลนเป็นอย่างยิ่ง นางเที่ยวสืบเสาะหาตัวบุตรชายหลวงประเสริฐฯ หาอยู่นานจึงได้พบตัว ได้ขอร้องให้เขาเกื้อกูลนางบ้าง แต่นางได้รับคำตอบจากนายประพันธ์ว่า เขาเองก็ขัดสนหนักหนา และแนะนำให้นางมาหาประจิตรเอง

ประจิตรได้รับปากจะจ่ายเงินให้ทันทีเป็นจำนวน ๕๐ บาท นางกราบไหว้ยกยอบุญคุณ แล้วพูดอ้อมค้อมไปมาทำให้เขางงอยู่นาน ในที่สุดจึงได้ความว่า อันเงินนั้นใช้เพียงครู่หนึ่งยามเดียวก็จะหมดไป นางต้องการที่พึ่งที่ยั่งยืน ให้แก่บุตรและตัวนางเอง กล่าวโดยสั้นก็คือนางขอยกบุตรีของนางให้แก่ประจิตร เป็นข้าช่วงใช้ดังที่นางได้ยกให้หลวงประเสริฐฯ มาแล้ว

“สาธุ !” สุนทรีอุทานแล้วหัวเราะ “แล้วเธอรับไหม?”

เขาดีใจที่หล่อนพูดอย่างสนุกเช่นนั้น จึงรีบตอบ

“คอยเถอะฉันกลัวหลวงประเสริฐฯ แกมาหักคอ” แล้วเขาเล่าเรื่องต่อไป

เขาชี้แจงแก่นางลำไยว่า นิสัยของเขานั้นรังเกียจหญิงม่าย เขาเป็นนักเที่ยว เจ้าชู้ อาจจะผ่านพบนางสาวที่สาวแต่ชื่อมามากก็จริง แต่นั่นเขายกให้ เพราะเป็นอาชีพของบุคคล ในที่สุดเขาได้ให้เงินแก่นาง ๕๐ บาทตามที่ว่าไว้ นางรับแล้วก็ลากลับไป

แต่ครั้นภายหลังจากนั้นอีกสองวัน นางมาหาเขาอีกพาบุตรี​มาด้วยคนหนึ่งและแจ้งแก่เขาว่า เจ้าหล่อนเป็นน้องของหญิงที่เป็นภรรยาหลวงประเสริฐฯ หลังจากที่ได้ฟังคำวิงวอนจนอ่อนหูแล้ว ประจิตรจึงจำใจรับหญิงนั้นไว้

“อ๋อ ! ถ้ายังงั้นก็คือหญิงที่ฉันเห็นเมื่อบ่ายน่ะซี แล้วเธอรับลูกของเขาไว้ยังไง จะเลี้ยงในฐานะอย่างไหน?”

สุนทรีก็เป็นผู้ที่รู้จักโลกพอควรอยู่ แต่ด้วยเหตุที่จิตใจของหล่อนใฝ่ฝันไปแต่ในทางสูง ห้วงคิดมักจะเดินไกลจากความเป็นจริงในโลกไปบ้าง คำถามที่หล่อนถามนั้นจึงมีความหมายในทางดี แต่ประจิตรนั้นเป็นชายเคยแก่การเกลือกกลั้ว กับธรรมชาติแห่งสัตว์โลก คิดไกลไปจากความหมายอันแท้จริงแห่งคำถามที่เขาได้ฟังแล้ว ก็รีบตอบอย่างร้อนรน

“ก็รับๆ ไปยังงั้น เลี้ยงอย่างคนใช้ ไม่เอาออกหน้าออกตา ดูท่าทางก็เห็นเป็นคนซื่อ เห็นจะไม่มีพิษมีสงอะไร”

ประจิตรนิ่งไปแล้วเป็นครู่ สุนทรียังจับความจริงไม่ได้ถนัด แต่ในทันทีที่ความเข้าใจเกิดขึ้นแก่หล่อน สุนทรีรู้สึกเหมือนแผ่นดินใต้รถได้ยุบลง ทำตัวของหล่อนให้หล่นฮวบลงในที่ลึก

เมื่อรวบรวมสติได้แล้ว สุนทรียังมิรู้ที่จะพูดหรือแม้แต่คิดว่ากระไรต่อไป ครั้นแล้ว ดูเหมือนความรุ่มร้อนในใจหล่อน จะทำให้ร่างกายของประจิตรต้องความร้อนไปด้วย เขาบ่นขึ้นว่า

“แหม ! คืนนี้ร้อนจริง อ้าวฝนหรือไง”

“กลับบ้านเห็นจะดี” สุนทรีกล่าวเสียงต่ำและเบามาก

“ไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ ฉันหิว วันนี้กับข้าวบ้านคุณอา​ไม่มีอะไรถูกปากเลย”

“ถ้าเธอใจดีพอ พาฉันไปส่งบ้านเสียก่อน”

น้ำเสียงที่พูดชัดเจนและมีกังวานดีกว่าเก่า ด้วยเหตุที่ความรู้สึกของหล่อนกำลังแรงมาก สุนทรีได้พยายามอย่างดีที่สุด ที่จะมิให้อีกฝ่ายหนึ่งระแคะระคายในความรู้สึกนั้น

“พิโธ่ ! แล้วจะเกณฑ์ให้ฉันไปนั่งกินคนเดียวรึ? ไม่ไหวซี ไปด้วยกันหน่อยเถอะน่ะ เดี๋ยวเดียวแหละ”

สุนทรีมีความคิดอันแจ่มกระจ่างอยู่ในสมอง ว่าประจิตรกับหล่อนได้ขาดจากการเป็นผู้ที่จำเป็นแก่กันและกันในบัดนี้เป็นต้นไป ดังนั้น หล่อนจึงตอบอย่างเด็ดเดี่ยว

“ขอโทษ ฉันเพลียเหลือเกิน อยากนอนเร็วๆ”

“ไม่ไปก็ไม่ไปด้วยกันน่ะซี กลับบ้านนอนแต่หัวค่ำก็ดีเหมือนกัน”

พร้อมกับที่พูด ประจิตรนึกถึงการสัมผัสอันถูกอารมณ์ซึ่งเขาได้รับจากธิดานางลำไย........ฉะนี้เจ้าหล่อนคงตั้งตาคอยเขาอยู่ !

พอรถเลี้ยวเข้าประตูบ้าน สุนทรีก็เตรียมเปิดประตูรถไว้พร้อมแล้ว พอรถจอดยังไม่ทันนิ่งสนิท หล่อนก็ลงจากรถรีบสาวเท้าขึ้นบันได ตั้งใจจะให้ถึงห้องนอนและปิดประตูใส่กลอน ก่อนที่ประจิตรจะขึ้นถึงชั้นบน แต่ฝ่ายเขาก็มีความว่องไวไม่น้อย เดินตามมาทันหล่อนตรงช่องทางระหว่างหน้ามุขกับบันไดชั้นสอง จับข้อมือหล่อนไว้และพูดเสียงค่อนข้างเบา

​“เธอช่วยขยับขยายหาห้องบนตึกให้ลำเจียกอยู่หน่อยนะ ฉันรับปากกับเขาไว้ว่าจะให้แม่เขามาอยู่ด้วย เวลานี้หาที่ไม่ได้ ห้องไหนๆ ก็เต็มไปหมด”

สุนทรีมิได้ชักมือจากมือเขา แต่หล่อนรู้สึกว่าโลหิตที่มือแล่นขึ้นสู่หัวใจจนสิ้น อาศัยความคิดที่เกิดขึ้นในอึดใจนั้น ตอบเขาว่า

“เสียใจ ฉันจะไปหัวหินพรุ่งนี้” แล้วนึกเกรงเขาจะเดาความคิดของหล่อนถูกจึงเสริม “กลับมาแล้วจึงค่อยพูดกันใหม่”

“เอ๊ะ ! ไหนว่าจะไม่ไปยังไงล่ะ?” ประจิตรกล่าวด้วยความพิศวงจากใจจริง “เธอบอกว่าจะไม่ไปไม่ใช่หรือ?”

หล่อนฝืนหัวเราะแล้วตอบว่า

“ยังไม่ได้บอกว่ากระไรทั้งนั้น แต่ว่าจะไปพรุ่งนี้รถเช้า”

“มันก็มีอยู่รถเดียวเท่านั้นแหละ แต่ทำไมถึงรีบไปนักล่ะ กลับมาเห็นหน้ากันยังไม่ทันกี่ชั่วโมง พูดกันยังไม่กี่คำ”

ฟังน้ำเสียงของเขา ดูจริงใจมาก จึงทำให้สุนทรีเห็นใจมากขึ้น คิดอยู่ว่า “เท่าที่พูดมาแล้วน่ะพอเสียยิ่งกว่าพอ สำหรับที่จะไม่ต้องพูดอีกเลยตลอดชีวิต” แต่สุนทรีไม่ตอบว่ากระไรทั้งสิ้น ดึงมือจากมือเขาโดยละม่อมแล้วก็ขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอน

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #4 on: 28 October 2025, 19:58:26 »


๒๕

สุนทรีพักอยู่ที่แหลมหินสามสัปดาห์กว่า ในสัปดาห์แรกหล่อนรู้สึกว่า สถานที่ๆ เคยให้ทั้งความเพลินใจและความสบายกายแก่หล่อนหลายคราวแล้วนั้น บัดนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นสถานที่ๆ หาคุณค่ามิได้ ท้องทะเลทำให้หล่อนอ้างว้าง เสียงคลื่นเป็นเสียงรกหู หาดทรายเป็นที่เปล่าเปลี่ยว แดดเป็นเครื่องรำคาญด้วยประการทั้งปวง หมู่คนที่เดินผ่านไปมาหน้าที่พักของหล่อนก็เป็นเครื่องระคายตา สุนทรีบ่นกับตัวเองว่าอยากกลับบ้าน แต่ครั้นแล้วก็บอกกับตัวเองว่า บ้านของตัวนั้นไม่มี จำเป็นที่จะต้องพักอยู่ที่หัวหินต่อไปอีก ! ! !

ในปีก่อนๆ เมื่อโรงเรียนปิดเทอมปลายปี สุนทรีก็มาเปิดบ้านที่หัวหิน คือบ้านของคุณเนื่อง ซึ่งตกเป็นมรดกแก่ประจิตร เพื่อนครูและนักเรียนก็มาพักอยู่กับหล่อนด้วย ประจิตรมาพัก​เหมือนกัน แต่มักจะพักเป็นเวลาอันสั้นระหว่างหนึ่งถึงสองสัปดาห์ แล้วก็มักจะเวียนขึ้นเวียนล่องระหว่างกรุงเทพฯ กับแหลมหิน เกือบจะทุกวันเสาร์วันอาทิตย์ แต่ปีนี้สุนทรีอ้างเหตุว่าหล่อนมาหัวหินล่ามาก ไม่จำเป็นที่จะเปิดบ้านให้ความลำบากต่างๆ ประการเกิดขึ้น หล่อนจึงพักอยู่ที่บ้านนางสาวอรุณเพื่อนครูได้เช่าไว้ และอยู่รวมกับเด็กสาวหลายคนที่ครูอรุณพามาด้วย

วันหนึ่งในปลายสัปดาห์แรก ได้มีการนัดเที่ยวเขาตะเกียบกันขึ้น รุ่งเช้าเมื่อสุนทรีตื่นนอน หล่อนไม่เห็นเพื่อนผู้อยู่ร่วมบ้านแม้แต่สักคน ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่หายไปสิ้น เห็นแต่อาหารมีรอยรับประทานแล้วเหลืออยู่ ถามคนใช้ ได้รับคำตอบสั้นๆ ว่า “ไปแล้ว” เท่านั้น สุนทรีก็ฉุนโกรธดังใครเอาไฟฟ้ามาจุดใจ กลับเข้าห้องปิดประตูใส่กลอนเสียทันที

ประมาณ ๑๕ นาที ภายหลัง หล่อนได้ยินเสียงนางสาวอรุณพูด และมีเสียงคนพยายามเปิดประตู แล้วได้ยินเสียงคนบ่นว่า

“นั่นทำอะไรอยู่นะ ประตูประต่างปิดหมด”

แล้วเสียงนั้นเรียกชื่อสุนทรี เจ้าหล่อนขานอย่างห้วนที่สุด ครูอรุณก็พูดว่า

“วันนี้เป็นยังไงถึงเกิดตื่นสาย เราไปซื้อของจนเกือบหมดตลาดแล้วยังไม่เสร็จอีกหรือ แต่งตัวแล้วหรือยังนั่นน่ะ”

สุนทรีคิดได้ในบัดนั้นว่าตนหุนหันพลันแล่นมาก แต่ไม่ยอมสารภาพความผิดแก่ตนเอง จึงตอบออกไปว่า

​“ฉันไม่ไปแล้ว ปวดหัว”

“อ้าว !” ครูอรุณอุทานเสียงดัง “ปวดถึงไปไม่ไหวเทียวหรือ ขึ้นรถไปก็ได้นี่นา”

“ไม่เอาละ” สุนทรีตอบอย่างรำคาญ ภายหลังจึงได้ยินเสียงรองเท้ากระทบขั้นบันได แล้วก็เงียบหายไป

สุนทรีนอนลืมตาดูเพดานมุ้งอยู่นาน ภายหลังก็รำพึงว่า “เรานี่บ้าเสียแล้ว”

หล่อนลุกจากที่ เร่งมือทำกิจที่จำเป็น เสร็จแล้วรับประทานอาหารอย่างเสียไม่ได้ แล้วจึงลงจากเรือน

เดินไปตามชายหาด โดยไม่มีความมุ่งหมายว่าจะไปแห่งใด เพียงครู่หนึ่ง ก็หยุดยืนมองดูคลื่นที่แล่นไล่กันอยู่ตรงหน้า สมองคิดเพลิน โดยที่เจ้าของสมองไม่รู้ว่าคิดอะไรบ้าง ครั้นแล้วก็หยุดกึก....สุนทรีก็ถอนใจยาว

หล่อนนึกขึ้นได้ว่า หล่อนรำพึงถึงประจิตรในข้อที่เขาริเริ่มมีภรรยานอกกฎหมายไว้ในบ้าน และเขาได้เริ่มทำการเช่นนั้น ในเวลาที่หล่อนไม่อยู่เสียเพียง ๑๒ วัน

หล่อนนึกขึ้นได้อีกว่า ตนได้รำพึงถึงเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว รำพึงอยู่เสมอทุกวัน ตั้งแต่ออกจากกรุงเทพฯ จนถึงวันนี้ ยิ่งกว่านั้น รำพึงเกือบทุกขณะที่สมองมีช่องที่จะรำพึง

ด้วยเหตุนี้ หล่อนได้หุนหันโกรธเพื่อนและเพิกถอนสัญญาที่จะไปเที่ยวกับเขาเสียโดยไม่มีเหตุผล

แล้วสุนทรีก็นึกละอายตัวเองเป็นอย่างยิ่ง !

​วันต่อๆ มา สุนทรีเฝ้าตรวจอารมณ์ตนเองบ่อยขึ้นก็จับได้ว่าความฉุนเฉียวได้เข้าเป็นเจ้าเรือนแห่งอารมณ์อย่างน่าพิศวง บันดาลให้หล่อน พูด ทำ คิดผิดจากที่หล่อนเห็นดีเห็นชอบ แต่ถ้าหากผู้อื่นเขาทำผิดใจตนแม้แต่สักนิด โทสะของตนก็พลุ่งขึ้นโดยเร็ว และเมื่อพลุ่งขึ้นเสียแล้ว กว่าจะดับให้หายได้ก็ต้องเสียเวลานาน

โดยประการฉะนี้ สุนทรีก็รู้ว่า ประสาทในสมองและในจิตใจของหล่อนนั้นป่วยเป็นโรคอย่างหนึ่งเสียแล้ว และรู้ด้วยว่า สมุฏฐานแห่งโรคนั้นคือสิ่งใด หล่อนแน่ใจว่าถ้าหล่อนเรียกนามแห่งสมุฏฐานนั้นให้ตรงกับลักษณะอันแท้จริงของมันก็จะปรากฏว่า มันคือกิเลสอย่างหยาบ อย่างมีอิทธิฤทธิ์สามารถบันดาลคนผู้อยู่ในอำนาจของมันให้มีอันเป็นไปในทางเสื่อมได้หลายสถาน

และสุนทรียังรู้ต่อไปอีกด้วยว่า การที่จะตัดรากแห่งสมุฏฐานแห่งโรคทิ้งเสียนั้น หล่อนจะทำเสร็จไม่ได้ในเวลาอันสั้น แต่หล่อนอาจจะสามารถระงับอาการของโรคให้ลดน้อยลงได้ ถ้าแม้ว่าหล่อนตั้งความพยายามให้มากกว่าที่เป็นอยู่บัดนี้สักหน่อย

สุนทรีจึงพยายามหาเครื่องล่อจากสิ่งนอกกาย ให้จิตใจและสมองไปเกาะเกี่ยวจนไม่มีเวลาว่างที่จะคำนึงถึงเรื่องส่วนตัว เครื่องล่อเหล่านั้นได้แก่บุคคลทั้งหลายทั้งชายและหญิงทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ที่สุนทรีได้พบปะวิสาสะด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่อยู่ใกล้สุนทรี

หล่อนพยายามเอาใจในเขาเหล่านี้มากที่สุด เขาพูดเรื่องใด หล่อนตั้งใจฟังและโต้ตอบกับเขา เขาเที่ยวหล่อนเที่ยวด้วย เขา​สนุก หล่อนสนุกด้วย บางคราวเขาเงียบเหงาไปบ้าง หล่อนก็หาเรื่องชักชวนทำให้ความครึกครื้นเกิดขึ้น

เมื่อผู้ที่อยู่ใกล้กับหล่อนมีการต้อนรับเพื่อนฝูง หล่อนก็ช่วยเขาต้อนรับด้วย ทางฝ่ายหล่อนก็ชักชวนเขาให้ต้อนรับเพื่อนของหล่อนบ้าง และเพื่อนของสุนทรีนั้นมีมากเมื่อหล่อนทำใจของหล่อนให้เอาใจใส่ในเขาทุกคน ใจดวงนี้ก็มีเวลาที่จะคำนึงถึงสิ่งที่มีและเป็นอยู่ภายในแต่เพียงส่วนน้อย

อนึ่งสุนทรีนั้นมีความช่างพูด ช่างเล่น และความมีกิริยางาม เป็นเสน่ห์ประจำตัวก็ย่อมจะเป็นผู้ที่บุคคลเป็นส่วนมากมีความยินดีที่จะพบปะด้วยเป็นนิจ โดยนัยนี้หล่อนก็เป็นหญิงที่มีผู้เอาใจใส่และพยายามเอาใจอยู่ไม่ขาด การเอาใจผู้อื่น ตอบแทนการเอาใจของผู้อื่นที่มีต่อตัวนี้ผู้ที่ไม่มีความเห็นแก่ตัวฝ่ายเดียวหนาแน่นนักย่อมจะทำได้โดยไม่ยาก ความพยายามของสุนทรีที่จะเอาใจเพื่อนฝูง จึงไม่เป็นงานที่ลำบากจนเหลือเกิน

เมื่อสุนทรีรู้สึกว่าอาการป่วยแห่งประสาททุเลาลงแล้ว แน่ใจว่าตนเข้มแข็งพอที่จะประจัญหน้ากับประจิตรพร้อมทั้ง ‘หญิงเก็บ’ ของเขาด้วย หล่อนก็เขียนจดหมายกำหนดวันที่หล่อนจะกลับกรุงเทพฯ ไปยังประจิตร

สุนทรีพร้อมแล้วที่จะกลับไปร่วมความเป็นอยู่กับประจิตร ดังเช่นสมัยที่แล้วมา....โดย....มีข้อขีดคั่นใหม่บ้างบางประการ หล่อนจะเป็นมิตรของประจิตรเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาแต่ก่อน....ยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาแต่ก่อนด้วยทั้งนี้หมายถึงการเสียสละทางใจ ซึ่งหล่อน​จะต้องใช้มากกว่าในเวลาที่ล่วงพ้นไปแล้ว

หล่อนพบเขาคอยรับหล่อนอยู่ที่สถานี มีสีหน้าผ่องใสแช่มชื่น ตรงกันข้ามกับหล่อนผู้ซึ่งฝืนยิ้มได้โดยยาก หล่อนไม่ได้ยื่นมือให้เขาจับเหมือนอย่างเมื่อคราวก่อน แต่ในทันทีที่หล่อนก้าวลงจากรถ ประจิตรจับข้อมือหล่อนทำท่าคล้ายช่วยพยุงแล้วก็ไม่ปล่อยมือหล่อนเลย กระทั่งเขาและหล่อนเดินมาถึงที่รถจอดแล้ว

“คิดถึงเหลือเกิน” เขากล่าวแก่หล่อนในระหว่างทาง “เวลาสามอาทิตย์ดูนานราวกับสามเดือน”

ความจริงใจหลุดจากปากสุนทรีออกมาว่า

“ฉันนึกว่าเธอจะไปหัวหินมั่ง....”

“ฉันก็จะคอยให้เธอชวน แต่เห็นเงียบหาย หนังสือสักตัวก็ไม่เขียนมา ก็เลยไม่ไป”

สุนทรีก็โกรธและนึกอยากจะว่าให้เจ็บ แต่ระงับใจไว้ได้ จึงตอบเรียบๆ

“ทำไมถึงจะต้องให้มีการชวน หัวหินใครนึกอยากจะไปเมื่อไหร่ก็ไปได้สะดวก”

เขาไม่ตอบคำนั้น ปรารภสืบไปว่า

“หมู่นี้มีหนังดีๆ แต่ไม่มีเพื่อนดูเลยชักจะเบื่อ”

สุนทรีอยากจะถามประชด แต่ก็ไม่ทำตามใจตัวเองพูดว่า

“เพื่อนๆ ของเธอไปอยู่หัวหินหมดน่ะซี ฉันพบเกือบทุกคน นอกจากหลวงชาญฯ กับคุณสุทัศน์”

“เพื่อนดูน่ะฉันหมายถึงเธอ” ประจิตรตอบ “คนอื่นๆ ไม่​สำคัญ ไอ้พวกนั้นมันเพื่อนเที่ยวดึก”

สุนทรีไม่ตอบ สายตาจับดูแต่ทางที่รถแล่นผ่านราวกับสนใจในสิ่งเหล่านั้นเสียเต็มที

“กลับมาเที่ยวนี้ดำไปอีกเยอะ” ประจิตรเอ่ยขึ้นอีก “ดำจนแดง แต่ก็อ้วนจนแปลกตา ดูแก้มยังกะจะย้อยอยู่แล้ว”

หล่อนเบือนหน้ามาทางเขา เห็นเขากำลังจ้องดูหล่อนอยู่ จึงว่า “มัวแต่มองดูในรถ เดี๋ยวก็ได้ไปชนอะไรเข้าหรอก”

เขาหันหน้ากลับไปดูทางดังเก่าแล้วก็นิ่งอยู่

เมื่อใกล้จะถึงบ้าน เขาถามหล่อนด้วยน้ำเสียงแสดงความภูมิใจ

“คืนนี้เรากินข้าวที่บ้านคุณอาใช่ไหม? ฉันจำมติของเธอได้ ว่ามาถึงวันไหนต้องหาคุณพ่อวันนั้นถึงจะถูก”

หล่อนควรจะชื่นชม แต่ใจของหล่อนมิได้เป็นดังนั้นก็ตอบเรียบๆ

“ไปหัวหินไม่สำคัญเหมือนไปไทรโยค ฉันอยากนอนหัวค่ำมากกว่า พอถึงบ้านแล้วก็นอนทีเดียว”

ประจิตรเริ่มรู้สึกว่าตั้งแต่แรกพบกันจนบัดนี้ สุนทรียังมิได้แสดงความพอใจในคำพูดและความตั้งใจดีของตนเลยแม้แต่สักครั้งเดียว ความยินดีของเขาที่ได้พบหล่อนก็เริ่มถอยลงบ้าง น้ำเสียงของเขาจึงเย็นชาไปเมื่อเขาตอบแก่หล่อนว่า “ข้าวที่บ้านไม่มีกินหรอก เพราะฉันเลิกเสียแล้ว ถ้าเธออยากนอนแต่หัวค่ำ ก็ไปหาอะไรกินตามร้านเจ๊กแล้วก็กลับบ้านก็แล้วกัน”

​สุนทรีตอบอย่างไม่เอาใจใส่

“ก็ได้”

หล่อนแต่งตัวอย่างขี้เกียจ สวมเสื้อผ้าตามสบายมากกว่าที่จะให้ดูงาม เพราะในเวลาที่เลือกเครื่องนุ่งห่มนั้นหล่อนคิดขึ้นว่า “แต่งไปทำไมกัน”

เมื่อถึงร้านอาหารจีน เผอิญพบหลวงชาญฯ กับสุทัศน์ เขาพากันแสดงความยินดีที่ได้เห็นหล่อน และเชิญให้หล่อนกับประจิตรเป็นแขกของเขา

สุนทรีรับเชิญโดยเต็มใจ มีความยินดีที่จะไม่ต้องรับประทานอาหารร่วมกับประจิตรเพียงสองต่อสอง เพราะเกรงว่าจะไม่มีเรื่องพูดกัน ! ! !

การบริโภค ซึ่งน่าจะเงียบเหงาจึงกลายเป็นครึกครื้นอย่างผิดพลาด

“ผมไปที่บ้านคุณ ๒-๓ หน มีคนบอกว่าคุณยังไม่กลับทุกที” หลวงชาญฯ กล่าว “ออกนึกแปลก เอ๊ะ ไปไทรโยคยังไงนานนัก จนเมื่ออาทิตย์ก่อน พบประจิตรที่สโมสรถึงได้รู้ว่าคุณไปหัวหิน”

สุนทรีถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

“ก่อนนั้นไม่ได้พบกันหรือคะ?”

“ไม่ได้ครับ เป็นอย่างไรไม่ทราบ”

“แล้วคุณหลวงไม่ได้กรายไปหัวหินเลยเทียวหรือคะ?”

“ผมไม่เคยไปหัวหิน ในฤดูที่ใครๆ เขาไปกันเลย ไปหนเดียวแล้วเข็ดเลย ไม่ไปอีก เวลาร้อนๆ เป็นบ้าแล้วก็สีต่างๆ บาด​ตามากนัก โดยมากผมไประหว่างกรกฎา-สิงหา เวลานั้นที่หัวหินสบาย อากาศดี”

“แต่ฝนตกนี่คะ แล้วเราก็เล่นน้ำทะเลก็ไม่ได้”

“ฝนตกก็ตกทุกวันเมื่อไหร่ บางปีดีกว่ากรุงเทพฯ อีก ไม่มีฝนเลย แล้วอาบน้ำทำไมจะอาบไม่ได้ ผมอาบทุกวัน คอยระวังๆ ตัวหน่อย อย่าให้เพลินนักก็แล้วกัน แล้วในฤดูนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่มีแมงกะพรุนเมื่อไหร่”

“ดิฉันก็เคยไปเหมือนกัน เวลาโรงเรียนหยุดเทอมต้น แล้วก็อาบน้ำได้เกือบทุกวันเหมือนกัน” สุนทรีสารภาพแกมหัวเราะ “ที่อาบน้ำไม่ได้น่ะเป็นส่วนน้อยหรอก”

แล้วหลวงชาญฯ ถามถึงไทรโยคว่าเป็นอย่างไรและซักถามถึงน้ำตก แก่งสำคัญ และน้ำเชี่ยวอย่างที่สุดตามที่เขาจำได้จากหนังสือพระราชนิพนธ์ สุนทรีก็ตอบตามที่หล่อนเห็นมา ครั้นแล้วมิช้า สุนทรีก็เพลิดเพลินไปในการสนทนานั้น เกิดความสนุกชื่นบานดังได้เห็นไทรโยคมาปรากฏที่หน้าเป็นครั้งที่สอง

ตอนหนึ่งหล่อนหยุดตอบคำถามของหลวงชาญฯ หันไปกล่าวกับประจิตรพร้อมกับหัวเราะ

“รายนี้ฟังเป็นครั้งที่สองแล้วเบื่อไหม?”

ประจิตรพอใจราวกับว่า หล่อนได้แสดงความปรานีต่อเขาเป็นพิเศษอย่างเอก รีบตอบในเสียงหัวเราะอย่างแช่มชื่น

“ไม่เบื่อหรอก ระวังอย่าเล่าให้ผิดกับหนที่หนึ่งก็แล้วกัน ฉันกำลังคอยจ้องจะขัดคอ”

​เจ้าหล่อนหัวเราะอย่างสดใส หลวงชาญฯ เสนอปัญหาขึ้นอีกว่า

“พอคุณออกเดินทางไปทางโน้น ผมไปนึกถึงบทร้องเขมรไทรโยคขึ้นได้ คุณเห็นจะร้องเป็นกระมัง?” แล้วหลวงชาญฯ ก็กล่าวถึงพระนามท่านผู้ทรงนิพนธ์บทนั้น

“อ๋อ ร้องได้ค่ะ” สุนทรีตอบ “เราร้องกันไปตลอดทาง แต่ไม่จบสักเที่ยวเดียว เพราะเรามัวแต่ตื่นเต้นกันมากเกินไป ภูมิประเทศตามทางมันเปลี่ยนเรื่อยนี่คะกำลังร้องๆ เห็นนั่นเห็นนี่ อ้าว หยุดร้องไปทักสิ่งที่เห็นเสียแล้วพอร้องใหม่ อ้าวเห็นของใหม่ อย่างคนอ่านหนังสือยังไงบางคนอ่านฟังเพลิน บางคนอ่านฟังไม่เป็นรส”

สุนทรีวางตะเกียบพาดไว้บนปากชาม ตามองไปดูสุทัศน์ผู้ซึ่งนั่งตรงกับหล่อน เห็นเขาจ้องดูหล่อนอย่างจริงจังก็นึกกระดาก จึงพูดตามตรงพร้อมกับหัวเราะ

“แหม อายแล้วละ ให้คุณหลวงชาญฯ ว่าเถอะ”

“ผมว่าก็ได้” หลวงชาญฯ รับอย่างอารมณ์ดี แล้วเขาก็ตั้งต้น

“บรรยายความตามไท้เสด็จยาตร ยังไทรโยคประพาสพนาสนฑ์ ไม้ไล่หลายพันธุ์คละขึ้นปะปน ที่ชายชลเขาชะโงกเป็นโตรกธาร น้ำพุฟุ้งซ่าน เสียงฉาดฉาดฉานเห็นตระการ มันไหลจ็อกโครมจ็อกโครม

น้ำใสไหลจนดูหมู่มัสยา เป็นเหล่าหลายว่ายมาก็เห็นโฉม ยินปักษาซ้องเสียงเพียงประโคม ยามเย็นพยับโพยมร้องเรียกรัง ​เสียงนกยูงทอง มันร้องโด่งดังหูเราฟัง มันดังก็อกๆ กระโต้งโห่ง”

หลวงชาญฯ หยุดว่าแล้ว สุนทรีเห็นสุทัศน์ยังก้มหน้าดูผ้าปูโต๊ะนิ่งอยู่ นึกเชื่อเอาเองว่าเขาคงจะไม่รู้รสแห่งความไพเราะในบทนั้นเลย จึงถามครึ่งเล่นครึ่งจริง

“รู้สึกว่าเพราะไหมคะ?”

เขาเงยหน้าขึ้นดูหล่อน แล้วตอบช้าๆ อย่างตรึกตรอง

“ยังต่อความไม่ค่อยติด”

“ท่านผู้นี้ เป็นโรคไม่เข้าใจภาษาที่เป็นบทกลอน” หลวงชาญฯ ว่า

“ผมก็ยอมแพ้” ประจิตรกล่าว “แต่ผมคุยได้ว่าผมเคยอ่านหนังสือมหาชาติจบ”

“มหาชาติอะไร?” หลวงชาญฯ ถาม

“เอ๊ะ เวสสันดรน่ะซี คุณหลวงจะแพ้ผมหรือนี่?”

สุนทรีหัวเราะแล้วชี้แจง

“คุณหลวงหมายถึงมหาชาติสำนวนไหน มหาชาติมีหลายสำนวน มหาชาติคำหลวง มหาชาติกลอนเทศน์ มหาชาติร่ายยาว แล้วยังมีอีกหลายอย่าง ที่เธออ่านน่ะแบบไหน?”

“โอ้โฮ ยังงั้นก็จนด้วยเกล้า ใครจะไปตอบถูก”

“ผมเชื่อว่ามีคนที่จะตอบถูก” สุทัศน์เสริม

“เห็นจะจริง” หลวงชาญฯ รับอย่างตรึกตรอง “พวกที่ไปเมืองฝรั่งแต่เด็กๆ มักจะไม่ค่อยรู้เรื่องหนังสือไทย”

“เอ๊ะ ผมรู้หลายเรื่องนะ” สุทัศน์อวดเพื่อนสนุก “พระ​อภัยมณี ขุนช้างขุนแผน รามเกียรติ์ ผมเคยอ่านทั้งนั้นแหละ”

“จบไหม?” หลวงชาญฯ ถามและหัวเราะ “ผมกลัวว่าจะอ่านแต่ที่หน้าปก”

“จบบางเรื่อง” อีกฝ่ายหนึ่งตอบและหัวเราะด้วย

“แล้วชอบไหมคะ?” สุนทรีถามด้วยความสนใจจริงๆ

“ชอบมั่งไม่ชอบมั่งครับ บางเรื่องอ่านเป็นเดือนๆ กว่าจะจบ คือว่าอ่านๆ แล้วก็ทิ้ง อีกนานถึงจะจับอ่านใหม่”

“ว่างๆ ขอแรงอ่านอิเหนาอีกสักเรื่องหนึ่งได้ไหมคะ?”

“โอแหมเวลานี้กำลังอ่านอยู่แล้วครับ น้องแกเอามาทิ้งไว้ให้” เบือนหน้าไปทางหลวงชาญฯ “น้องผมเป็นพวกคุณหลวง เจ้าบทเจ้ากลอนเป็นที่หนึ่ง แล้วถ้าแกพูดอะไรผมไม่รู้เรื่องละก็ แกโกรธเอาด้วย หาว่าหูป่าตาเถื่อน”

“หูป่าตาเทดน่ะ ไม่ใช่เถื่อนหรอก” หลวงชาญฯ แก้

“‘เทด’ ของคุณหลวงสะกดยังไงคะ?”

“ไม่ทราบครับ ผมเห็นเขาสะกดกันด้วยตัว ศ. แต่ถ้าให้ผมสะกดจะสะกดด้วยตัว ด. เพราะหลักของผมมีอยู่ว่ายังไงๆ ก็ยึด กน กก กด กบ กม เกยไว้ก่อน”

“แล้วมันผิดกันยังไง ‘เทด’ กับ ‘เทศ’ น่ะ?” ประจิตรถาม

“ความหมายอันเดียวกันแหละ แปลว่าไม่ใช่ไทย”

“ขอบใจคุณสุนทรี ที่ถามถึงตัวสะกดขึ้น” สุทัศน์ว่า “เมื่อตะกี้ผมไม่เข้าใจว่าหลวงชาญฯ ว่าอะไรผม”

“แต่ถึงเข้าใจแล้วก็ไม่โกรธไม่ใช่หรือคะ?”

​“ก็มันจริงของเขา จะโกรธยังไง”

“อีกประการหนึ่ง มันถูก ‘ปมเขื่อง’ มันไม่ถูก ‘ปมด้อย’” ประจิตรว่า

“ไม่จริงเลย” สุทัศน์คัดค้าน “ผมถือว่าการไม่รู้ภาษาไทยนี่เป็นจุดอ่อนแอของผม เป็น ‘ปมด้อย’ ไม่ใช่ ‘ปมเขื่อง’ เป็นอันขาด”

“ก็ใครเขาว่าการไม่รู้ภาษาไทยเป็นปมเขื่องล่ะ” หลวงชาญฯ แย้ง “ความเขื่องมันอยู่ที่ว่าไม่รู้ เพราะเหตุว่าได้ไปเมืองฝรั่งเสียต่างหาก”

“ไม่จริง ไม่จริง” สุทัศน์ยืนยัน หน้าแดงขึ้นเมื่อเกิดความต้องการอย่างจริงจังที่จะพิสูจน์ตัวให้พ้นจากข้อหา “ผมไม่ได้ถือยังงั้น”

“ผมก็เชื่อ” หลวงชาญฯ ว่าพลางหัวเราะ “ประจิตรหาความคุณต่างหาก”

“แหม ! หลวงชาญฯ คนนี้ตลบแตลงจัง” ประจิตรเอ่ยขึ้นพร้อมกับหัวเราะดัง คนอื่นๆ ก็พลอยหัวเราะเพราะเห็นขึ้นไปกับเขาด้วย รวมทั้งตัวหลวงชาญฯ เอง

พอเสร็จการรับประทานสักครู่ สุนทรีก็พยักหน้ากับประจิตรเป็นความหมายว่า หล่อนต้องการจะกลับบ้านแล้ว หล่อนกล่าวขอบคุณหลวงชาญฯ กับสุทัศน์ และชวนให้เขาทั้งสองไปหาหล่อนยังที่อยู่ในเวลาหลัง

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ประจิตรส่งสุนทรีที่หน้าห้องของหล่อน ​กล่าวคำอวยพรสำหรับเวลากลางคืนแก่หล่อนที่ตรงนั้น แล้วก็ไปยังห้องของเขา

ต่อมาอีกสักครู่ สุนทรีได้ยินเสียงสองเสียงโต้ตอบกันเบาๆ เสียงหนึ่งเป็นเสียงหญิงผู้ใหญ่ อีกเสียงหนึ่งเป็นเสียงประจิตรเอง เสียงหญิงดังอยู่เรื่อยๆ เป็นระยะนานๆ จึงมีเสียงชายสลับขึ้นครั้งหนึ่ง แต่ภายหลังได้ยินเสียงชายหัวเราะดังกั้กๆ อยู่ในลำคอ สุนทรีทิ้งหวีลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง และกล่าวในใจว่า

“คุยกับแม่ยาย !”

หล่อนเข้ามุ้ง สวดมนต์ด้วยจิตใจอันว่อกแว่กเกือบจะไม่รู้ตัวว่าทำสิ่งใดอยู่ เพราะเสียงพูดที่ยังได้ยินอยู่เรื่อยนั้นกวนหูหล่อนอย่างประหลาด ตอนหนึ่งหล่อนหยุดสวดคิดว่า “นังคนสาวหายไปไหนเสียล่ะ” ครั้นได้สติก็สวดพระคาถาต่อไปโดยเร็ว

เมื่อล้มตัวลงนอน สุนทรีบอกแก่ตัวเองว่าหล่อนถือเอาเสียงที่ได้ยินมาเป็นกังวล ก็เพราะว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่หล่อนไม่รู้เหตุการณ์ในบ้านที่หล่อนอยู่โดยประจักษ์ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่หล่อนไม่อาจไปยังห้องประจิตรเพื่อดูว่าเขาสนทนากับใคร หรือแม้แต่จะถามเขาหล่อนก็หาอาจถามไม่ เพราะฉะนั้นจึงเป็นธรรมดาที่หล่อนต้องนึกรำคาญ

เสียงที่ทำให้สุนทรีสวดมนต์วกวนในคืนวันหนึ่งนั้น ยังคงมีอยู่เรื่อยๆ เป็นระยะติดต่อกันหลายวันบ้างหรือเว้นวันสองวันสามวันบ้าง ในเวลาต่อมา

ตลอดเวลานี้ สุนทรีสังเกตเห็นว่าประจิตร ‘รู้อยู่’ ขึ้นกว่า​แต่ก่อน

เขายังคงติดสโมสร ติดเพื่อน และลืมเวลาอาหารบ่อยๆ แต่เวลาที่เขากลับมาถึงบ้านในตอนกลางคืนนั้นหัวค่ำขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก

บางหมู่เขารับประทานอาหารค่ำที่บ้านเป็นระยะติดๆ กันหลายวัน และเมื่อรับประทานแล้ว ดูเขาไม่มีความเดือดร้อนในการหาที่ไป หรือเดือดร้อนในการหาเรื่องฆ่าเวลาในทันทีที่สุนทรีออกปากว่าจะ ‘ทำงาน’ ดูเขาช่างเคารพต่อวาจาของหล่อนเสียเหลือเกิน เขามักจะเอออวย เดินตามมาส่งหล่อนเพียงแค่หน้าห้อง แทนที่จะเข้าข้างใน และนั่งลงออดอ้อนต่อหล่อนเหมือนเช่นเคย แล้วเขาก็เข้าในห้องของเขา และเสียงสนทนาและเสียงหัวเราะดังขึ้น

คืนใดที่โปรแกรมภาพยนตร์แสดงว่า จะฉายภาพยนตร์ชั้นดี ประจิตรยังคงชวนสุนทรีให้ไปดูด้วยกันกับเขาดังแต่ก่อน ซึ่งสุนทรีก็รับชวน แต่มีบางคืนที่เขาออกจากบ้านไปโดยไม่บอกกล่าวหล่อน ในคืนเช่นนั้นสุนทรีย่อมระวังเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่พาตัวไปยืนเยี่ยมหน้าต่าง ด้วยกลัวตัวเองจะเห็นว่าประจิตรนั่งรถไปกับใคร

แต่ถ้าแม้ว่าสุนทรีจะระวังตัวเป็นอย่างดี มิให้ตัวต้อง ‘ได้เห็น’ หล่อนก็จำเป็นที่จะต้อง ‘ได้รู้’ เพราะหล่อนมีเพื่อนผู้หญิงมาก และเพื่อนของหล่อนย่อมจะรู้จักประจิตรเกือบทุกคน เขามักจะรายงานแก่หล่อนว่า เขาเห็นประจิตรกับหญิงแปลกหน้า รูปร่างท้วมๆ ขาวๆ ที่นั่นบ้าง ที่นี่บ้าง หลายแห่ง และมากที่สุดเขาเห็นในโรงภาพยนตร์

สุนทรีไม่เคยประจัญหน้ากับประจิตรพร้อมกับนางลำเจียก​แม้แต่สักครั้งเดียว ถ้าหล่อนจะได้เห็นนางลำเจียกบ้างก็เป็นเวลาที่ประจิตรไม่อยู่ในที่นั้นด้วย และส่วนนางลำเจียกเมื่อเห็นสุนทรีก็พยายามจะหลบ บางคราวอาการหลบของนางเปิดเผยเกินไป ทำให้สุนทรีเกิดโมโห

แต่นางลำใยมารดานางลำเจียกนั้นตรงกันข้าม เมื่อเห็นสุนทรีอยู่ที่ใด ก็พยายามจะเข้าหา แต่เข้าไม่ติด ด้วยคุณผู้หญิงแห่งบ้านนี้เป็นที่ยำเกรงแก่คนในบ้านมาก นางลำใยเป็นคนใหม่มาก็พลอยเกรงไปด้วย บางคราวสุนทรีสังเกตเห็นทั้งสีหน้าและแววตาของนางเต็มไปด้วยความใคร่ที่จะประจบ ใจของหล่อนอ่อนลงด้วยความเมตตา ก็ยิ้มให้นางหรือปราศรัยด้วยสักคำหนึ่ง นางก็ยิ้ม ตรงกับคำที่ว่า ‘แก้มแทบปริ’ และเก็บคำที่สุนทรีพูดด้วยไป ‘คุย’ กับคนใช้ในบ้านอีกหลายวัน

ฝ่ายประจิตรเอง ในตอนต้นก็ไม่เคยเอ่ยนามลำเจียกแก่สุนทรี สุนทรีได้จัดห้องให้นางลำเจียกและมารดาอยู่บนตึก ทั้งจัดเครื่องเรือนให้ตามที่เห็นสมควรด้วย ประจิตรได้ทราบแล้วก็หาเอ่ยปากถึงเรื่องนี้แก่สุนทรีแม้แต่สักคำหนึ่งไม่ แต่ภายหลังเมื่อเขาสังเกตเห็นสุนทรีแสดงกิริยาอาการต่อเขาเหมือนดังในกาลก่อนไม่ผิดเพี้ยน เขาได้ใจก็เริ่มกล่าวขวัญถึงนางลำเจียกและมารดาของนาง ต่อหน้าสุนทรีบ้าง

ครั้งหนึ่งเขาเล่าให้สุนทรีฟังว่า นางลำเจียกชอบเครื่องอาภรณ์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นอาภรณ์ที่ทำด้วยทองคำหรือนาก หรือเพชร หรือพลอย “เห็นเข้าละตัวสั่น อยากได้”

​แล้วเขาก็หัวเราะ สุนทรีนึกถามตัวเองว่า ข้อขำของเรื่องนี้มีอยู่ที่ตอนใด?

อีกครั้งหนึ่งเขาเล่าว่า เขาได้แนะนำนางลำเจียกให้ดัดผมของนางเป็นแบบเดียวกับผมสุนทรี แต่นางไม่เชื่อเขา แล้วเขาจึงเสริมด้วยเจตนาจะยอผู้ฟัง “โง่เหลือเกินตัวอย่างดีๆ มีไม่ดู ไปเอาอย่างไอ้บ้าๆ อะไรก็ไม่รู้”

บางคราวเขาเล่าว่านางลำเจียกนั้นเปรียบเหมือนตุ๊กตา จับวางที่ไหนก็อยู่ที่นั่น “บอกให้นั่งก็นั่ง บอกให้นอนก็นอน ร้อยวันไม่พูดสักคำหนึ่ง สู้แม่ไม่ได้ แม่เก่งรอบตัว นวดก็ที่หนึ่ง จนเดี๋ยวนี้ฉันชักจะติดมือแก”

สุนทรีฟังแล้วก็คิดอยู่ในใจว่า “กำลังรักก็อยากพูดถึง ถ้าไม่พูดก็เห็นจะอกแตก” แล้วหล่อนก็ยิ้มเพราะไม่รู้ที่จะทำสิ่งใดดีไปกว่านั้น

แล้วภายหลังประจิตรก็พูดเรื่องบุคคลสองคนนี้บ่อยขึ้น เช่นเดียวกับที่เขาเคยพูดเรื่องต่างๆ ทั่วไปแก่สุนทรี

ครั้งหนึ่ง คำพูดของประจิตรเกือบจะทำให้สุนทรีระงับถ้อยคำ อันใกล้ไปในทางหมิ่นประมาทไว้ไม่อยู่

เรื่องมีอยู่ว่า สุนทรีกับประจิตรกลับจากดูภาพยนตร์ด้วยกัน ภาพยนตร์ที่เขาดูมาแล้วนั้น เป็นเรื่องหนักไปในทางความลำบากของหญิงหม้าย ที่จะต้องเลือกความรักระหว่างลูกชายและคู่รักของนาง มีคำพูดที่ซาบซึ้ง จับใจผู้ดู สุนทรีปรารภว่า

“แหม ! หนังยังงี้ไม่ไหว ดูแล้วปวดหัว จะปล่อยให้น้ำตา​ไหลออกมาก็อายเขา”

ประจิตรก็เอ่ยขึ้นว่า

“อะไรถึงกับยังงั้น ลำเจียกไม่เห็นแกเป็นอย่างนี้เลย ยิ่งกว่าเรื่องนี้แกก็ไม่เคยร้องไห้”

สุนทรีรู้สึกว่าใบหน้าของหล่อนร้อนผ่าว คำพูดอันรุนแรงแล่นขึ้นสู่ริมฝีปาก แต่พร้อมกันนั้นความนึกทุเรศในใจก็เกิดขึ้นด้วย “ผู้ชาย ! เขาไม่เคยลืมตาขึ้นประมาณคนรักของเขาเลยว่าแค่ไหน” คิดได้ดังนี้แล้วสุนทรีก็หัวเราะขึ้นด้วยเสียงอันดัง

 

Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.082 seconds with 16 queries.