Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 22:00:26

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง อุบัติเหตุ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนหนึ่ง บทที่ 1-5
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง อุบัติเหตุ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนหนึ่ง บทที่ 1-5  (Read 90 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 28 October 2025, 19:25:39 »

นวนิยายเรื่อง อุบัติเหตุ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนหนึ่ง บทที่ 1-5


https://vajirayana.org/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%95%E0%B8%B8
https://vajirayana.org/อุบัติเหตุ





ครองใจอยู่ในอุเบกขา

..

​ครองใจอยู่ในอุเบกขา

อุตส่าห์ในศุภกิจให้ผลิตผล

ค้ำจุนผู้อ่อนแอแลอับจน

แต่ส่วนตนอย่าต้องของ้อผู้ใด

ชีวิตนี้มิได้ผิดฟองสบู่

เราอยู่เพื่อทำทุนไว้ชาติใหม่

กรุณาผู้ลำบากตกยากไร้

เข้มแข็งในเมื่อทุกข์มาถึงตัว

.....

อุบัติเหตุ

ตอนหนึ่ง   ๑-๒๕

ตอนสอง   ๑-๗

.....




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #1 on: 28 October 2025, 19:27:12 »




​เวลาดึกในต้นฤดูฝน ทั้งดินฟ้าอากาศก็ทำหน้าที่ถูกต้องตามฤดูกาล หลังคาเรือนไม้สองชั้นดังสนั่นด้วยสายน้ำที่ตกจากฟ้า ตัวเรือนไหวยวบเมื่อถูกพายุปะทะเอาโดยแรง เสียงครืน ! เปรี๊ยะ ! ครืน ! ดังกระชั้น แสงสีขาวฉายวาบลงตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง ต้นไม้ใหญ่น้อยลู่ปลายกิ่งราบลงตามกัน ประดุจจะหลบหลีกอำนาจเบื้องบนด้วยความหวาดเกรง

แต่ถึงแม้ในที่แจ้งจะมีภาวะปั่นป่วนเห็นปานนี้ ในที่กำบัง คือในเรือนหลังน้อยมิได้มีสภาพไกลจากความสงบเท่าใดนัก เจ้าสุนัขจูนอนอยู่ยามประจำหน้าบันได ขดตัวให้สั้นเข้าอีกหน่อย และซุกจมูกเข้าในหว่างเท้าหน้าให้ลึกที่สุดที่จะลึกได้ เด็กชายผู้มีหน้าที่รับใช้ ฝันว่านอนอยู่ในเรือซึ่งถูกคลื่นซัดโดยแรง หัวใจเต้นผิดปกติเล็กน้อยอยู่ขณะหนึ่งแล้วก็สงบ นางแม่ครัวขยับตัวอยู่ในผ้าห่ม นึก​เสียดายน้ำฝนที่ไหลลงดินเสียเปล่าไม่ได้รองไว้ใช้ แล้วก็หลับต่อไป นายคนทำสวนนึกถึงแรงที่จะได้เป็นกำไรในวันรุ่งขึ้น เพราะต้นไม้ได้น้ำฝนแล้วไม่ต้องการน้ำที่คนเคยตักรด นึกแล้วก็หลับต่อไปด้วยความยินดี บุตรชายคนใหญ่แห่งเจ้าของบ้านลืมตาดูหน้าต่างข้างเตียงนอน ครั้นเห็นว่าปิดสนิทเรียบร้อยแล้ว ก็รีบหลับตาลงดังเก่าพร้อมกับยกหมอนข้างขึ้นวางบนอกต่างผ้าห่มหลับสนิทต่อไป ลูกหญิงเล็กนอนนิ่งเหมือนตุ๊กตา เป็นการนอนตามธรรมชาติแห่งร่างกาย และจิตใจที่กำลังเจริญ และโดยนัยนี้ก็ต้องการความพักผ่อนอันสนิท อย่างที่ฝนและพายุเพียงเท่าที่กล่าวยังไม่เป็นเหตุเพียงพอที่จะรบกวนได้ แทนความอลเวงแห่งดินฟ้าอากาศ หล่อนฝันถึงสถานที่อันสงบ มีลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยม โปร่ง มีระเบียงงดงามเรียงรายกันหลายห้อง มีหญิงรุ่นเด็กและรุ่นสาวนับร้อยและมีหญิงคนหนึ่งซึ่งมีลักษณะพิเศษบางประการ เป็นผู้ควบคุมเขาเหล่านั้น หญิงซึ่งมีลักษณะพิเศษก็ตัวผู้ฝันนั่นเอง

ก็แต่ว่าเจ้าของบ้านเล่า ตัวผู้เจ้าของบ้านนี้เป็นอย่างไรบ้าง? หลับอยู่หรือตื่นอยู่หรือหลับแล้วตื่นแล้วก็หลับเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในบ้านที่อยู่ในความปกครองและความระแวดระวังของเขา?

บุคคลทั้งห้าซึ่งอยู่ภายใต้อารักขาของเขานั้น ไม่มีใครสักคนที่จะบอกถูกว่าเขาอยู่แห่งใด ถ้าจะมีผู้ถามขึ้นหรือมีการถามตัวเอง บางคนจะตอบว่าเขาอยู่ในห้องนอน บางคนจะตอบว่าอยู่ที่บ้านพระยาวิจิตรสารการ บางคนจะตอบว่า “เห็นจะอยู่บ้านโน้น”

เป็นที่ทราบกันตั้งแต่เย็น ว่าค่ำวันนี้คุณหลวงจะไม่บริโภค​อาหารค่ำที่บ้าน เพราะคุณหลวงได้รับเชิญพระยาวิจิตรสารการไว้แล้วว่าจะไปรับประทานร่วมกับท่าน เนื่องในการที่ท่านทำบุญอายุครบห้ารอบ ต่อจากการรับประทานอาหารจะมีละครตลกแสดงให้ดู “เจ้าคุณท่านบอกให้พาหนูไปด้วย” คุณหลวงกล่าวแก่บุตรี “แต่...”

“แต่...” คำนี้มีความหมายเป็นสองนัย นัยหนึ่งผู้ฟังเข้าใจได้ตรงกับผู้พูด คือหมายถึงว่า “แต่หนูคงไม่ไป” เพราะ “หนู” มีนิสัยไม่ค่อยชอบสมาคมกับคนแปลกหน้า ส่วนอีกนัยหนึ่ง ผู้พูดหมายอย่างหนึ่ง และก็ไม่มีความประสงค์ที่จะให้ผู้ฟังเข้าใจถึง

หลวงประเสริฐเวชชศาสตร์ ได้เป็นแพทย์ประจำบ้านพระยาวิจิตรสารการมาเกือบสองปีแล้ว ย่อมจะมีความสนิทสนมกับบุคคลในบ้านนั้นมาก เมื่อมีการมงคลรื่นเริง ซึ่งเป็นการนานทีจะสักหน ก็เป็นธรรมดาที่จะกำหนดได้โดยยากว่าคุณหลวงจะลาจากเจ้าภาพได้เวลาใด

นอกจากนี้ในระยะ ๓-๔ เดือนที่แล้วมา คุณหลวงถือการออกจากบ้านที่ลูกอยู่ไปยัง ‘บ้านโน้น’ เป็นกิจวัตรประจำวัน และใช้เวลาอย่างน้อยที่สุดวันละสองชั่วโมง และ ‘บ้านโน้น’ ก็ตั้งอยู่ในที่ใกล้บ้านพระยาวิจิตรสารการนั่นเอง

คุณหลวงไม่เคยแรมคืนที่ ‘บ้านโน้น’ ไม่เคยเลยแม้แต่สักคืนเดียว คุณหลวงจะไปถึงที่นั่นกี่โมงกี่ทุ่มกี่ยามก็ตาม คุณหลวงจะต้องกลับมาตื่นนอนเช้าในบ้านที่ลูกอยู่ทุกวัน ทั้งนี้จึงย่อมหมายถึงว่า ไม่มีผู้ใดในบ้านเก่าจะกำหนดถูกว่าคุณหลวงจะกลับบ้านเวลา​ใดแน่ และก็เพราะเหตุนี้ คนในบ้านเก่าก็สิ้นความพะวงต่อการที่คุณหลวงจะกลับมาถึงเมื่อไหร่ เพียงแต่เชื่อมั่นว่าคุณหลวงต้องกลับเป็นแน่แท้ ก็เป็นที่พอใจแล้ว

มูลเหตุที่ทำให้คุณหลวงต้องมีบ้านสองบ้านนั้น ได้แก่ความ ‘หน้าบาง’ ของคุณหลวงเอง ภรรยาเก่าของคุณหลวงได้สิ้นชีวิตไปเสียเมื่อสามปีก่อน คุณหลวงได้ครองตัวเป็นพ่อหม้ายผู้รักลูกยิ่งกว่าความสุขของตัวอยู่ตลอดมาจนถึงบัดนี้ แต่คุณหลวงเป็นชายอายุเพียง ๔๘ ยังไม่เข้าในวัยชรา ร่างกายยังมีความต้องการบางอย่างเพื่ออนามัย ทั้งยังเป็นปุถุชน ตามธรรมดาปุถุชนทั่วไปย่อมจะต้องแสวงหาเครื่องหย่อนใจบ้างไม่มากก็น้อย ชายอื่นมีทั้งภรรยา บุตรา บุตรี อยู่พร้อมหน้ายังต้องหา ‘อื่น’ เป็นเครื่องประกอบความสุข หลวงประเสริฐฯ ได้พบเครื่องประกันสุขภาพและเครื่องหย่อนใจมีลักษณะเป็นหญิงสาว แต่เผอิญเจ้าหล่อนอ่อนอายุกว่าบุตรชายใหญ่ของคุณหลวงถึงสามปี คุณหลวงจึงไม่มีความพอใจที่จะให้ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหล่อนและคุณหลวงเป็นที่ประจักษ์แก่ตาของลูก...

พายุและฟ้าค่อยสงบลง แต่สายฝนถี่ขึ้นจนชวนให้คิดว่าแผ่นดินกระเทือน เพราะน้ำหนักแห่งสายน้ำเหล่านั้นซึ่งทุ่มเทกันลงมาอย่างรวดเร็ว ในระยะนี้เสียงกระดิ่งที่ประตูหน้าเรือนได้ดังขึ้น เป็นเสียงกระชากอย่างรุนแรงหลายครั้ง พร้อมกับเสียงตะโกนอย่างเร่งร้อน และเสียงกระชากประตู เขย่าประตูจนรั้วสังกะสีสั่นสะเทือนไปทั้งแนว

สุนัขที่หน้าเรือนคลานออกมานอกเก้าอี้อย่างตื่นๆ แล้วก็เห่า​กระโชกด้วยเสียงอันแหลมพอที่จะทะลุลอดเสียงฝนขึ้นมาได้ นายคนทำสวนสะดุ้งตื่นขึ้นคิดพิศวงอยู่ในมุ้ง เสียงนางจูเห่ากระชั้นยิ่งขึ้น จนนางแม่ครัวตื่นขึ้นอีกคนหนึ่ง มิช้าบานประตูห้องชั้นล่างก็เปิดออกช้าๆ พร้อมกันทั้งสองห้อง ผู้เปิดทั้งสองคนมองเห็นกันและจำกันได้ ต่างคนต่างตั้งคำถามต่อกัน ในที่สุดนายคนทำสวนจึงตัดใจลงจากเรือนไปยังประตูรั้ว

ในเวลาเดียวกันนี้หน้าต่างชั้นบนได้เปิดออกอีกบานหนึ่ง มีแสงไฟฉายจากที่นั้นตรงไปยังประตู ผู้ฉายไฟพยายามตะโกนถามเรื่องราวจากผู้ที่อยู่เบื้องล่าง แต่เสียงฝนซึ่งยังดังอยู่คั่กๆ ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ยินคำตอบ เขาจึงต้องละความพยายาม ฉวยได้ไม้เท้าอันใหญ่ที่สุดและอยู่ใกล้มือที่สุด แล้วก็รีบวิ่งลงมายังหน้าเรือนโดยเร็ว

ถึงเชิงบันได เขาพบบุรุษแปลกหน้าสองนาย นายหนึ่งสวมเสื้อคลุมยาวถึงเข่า และสวมหมวกเครื่องแบบตำรวจมือถือคบไฟฟ้า อีกนายหนึ่งเปียกปอนไปทั้งตัว จนผู้ดูไม่สามารถจะรู้ได้ว่าเขาแต่งกายแบบไหน เขาผู้นี้กิริยาตื่นเต้นร้อนรนจนดูคล้ายวิกลจริต....

คำพูดของเขา? ในชั่วอึดใจเดียวเขาพูดหลายสิบคำ ทุกๆ คำปนอยู่ด้วยความละล่ำละลัก และความเดือดร้อนที่พลุ่งขึ้นจากใจ บุตรชายหลวงประเสริฐฯ ได้ยินทุกคำแต่เข้าใจน้อยคำที่สุด แม้แต่กระนั้นเพียงเท่าที่เขาเข้าใจ ก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกดังหนึ่งหินก้อนใหญ่ตกลงมาทับตรงกลางอก ตกตะลึงชาแข็งไปทั้งตัว ชายผู้เป็นตำรวจพูดว่า

​“รีบไปเดี๋ยวนี้บางทีจะทันเห็นใจ”

นายคนทำสวนยังมีสติดี เตือนชายหนุ่มว่า

“คุณเอาเสื้อฝนไปด้วยดีกว่า”

ชายหนุ่มวิ่งกลับขึ้นไปบนเรือน พอถึงบันไดขั้นบนที่สุดก็พบกับน้องสาว

“อะไรกัน?” เจ้าหล่อนถามเสียงสั่น

“คุณพ่อ....พี่...” เขาอ้อมแอ้มอยู่ในคอ

“อะไร? ทำไม?” หล่อนถลันเข้าถึงตัวเขา ความตกใจถึงขีดที่สุดปรากฏอยู่ในแววตา สีหน้าของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคำตอบที่แจ่มแจ้ง เสียงของหล่อนก็เบาลงเกือบเป็นเสียงกระซิบ “เจ็บ? ตาย?”

“อยู่ที่โรงพยาบาลกลาง พี่จะไปเดี๋ยวนี้”

เขาผละจากหล่อน แต่หล่อนคว้าข้อมือเขาไว้ได้ข้างหนึ่ง และวิ่งตามเขาไปด้วย

ชายหนุ่มฉวยเสื้อฝนได้แล้วก็หันหน้าสู่บันได เขาไม่อาจที่จะสะบัดมือจากน้องสาว แต่ก็ไม่ลดฝีเท้าให้ช้าลงเพราะหล่อน ส่วนปากพูดว่า

“ทั้งฝนทั้งพายุยังงี้ พี่ไปคนเดียวดีกว่า...”

“หนูจะไป” หญิงสาวพูดในคอ ปล่อยมือพี่ชายแล้ววิ่งลงบันไดนำหน้าเขาไปทันที

ราวสามชั่วโมงภายหลัง ชายหนุ่มผู้หนึ่งมีร่างกายชื้นแฉะ เครื่องแต่งตัวยู่ย่น นั่งรถลากมาหยุดตรงประตูแห่งเคหะใหญ่หลังหนึ่ง กิริยาที่เขาผู้นั้นตบประตูแต่เพียงเบาๆ และเป็นระยะเท่ากัน​แต่เพียงสองครั้งแล้วก็มีเสียงโซ่และกุญแจดังขึ้น แสดงว่าเขาเป็นผู้คุ้นเคยกันสถานที่นี้ และเมื่อเขาเข้าไปในบ้านแล้วตรงขึ้นบันไดตึกชั้นล่าง ไขกุญแจประตูห้องด้านหน้าที่สุดนั้น ถึงแม้จะทำไปด้วยทีท่าของผู้ที่ตื่นเต้นและอ่อนแรงระคนกัน ก็ยังเป็นที่เห็นชัดว่าเขาเป็นบุคคลที่อยู่ประจำในเคหะนี้นั่นเอง

เดินผ่านห้องนั้นเลยไป โดยมิได้ปิดประตูเสียก่อน เขาขึ้นบันไดชั้นที่สอง ตรงไปยังห้องมุมที่สุด ยกมือขึ้นเคาะประตูห้องนั้นพร้อมกับเรียกด้วยเสียงอันแหบเครือ

“พี่ พี่ สุนทรี พี่”

เขาต้องเคาะประตูหลายครั้ง และกล่าวคำสองคำนั้นซ้ำอยู่หลายหน ถึงแม้กระนั้นเขามิได้มีกิริยาที่จะทุบประตูหรือแผดเสียงให้ดังขึ้นเพื่อแก้ความอัดใจ เมื่อเขาได้ยินเสียงขานรับแล้ว ก็พูดสืบไปว่า

“ฉันเอง ออกมาหาหน่อยเถอะ.....ตามไปที่ห้องฉันนะ ยืนคอยไม่ไหวแล้ว จะตาย”

ผู้ที่เปิดประตูออกมาเป็นหญิงสาว นุ่งซิ่นแพรเนื้อดีอย่างเอก แต่เห็นชัดว่าได้เคยรับใช้เจ้าของมานาน จนถูกเลื่อนชั้นลงมาเป็นเครื่องใช้ในเวลานอน เสื้อชั้นนอกของหล่อนก็ค่อนข้างหลวม เห็นได้อีกว่าทำพิเศษสำหรับใช้ในเวลาที่ต้องการความสบายโดยเฉพาะ นอกจากนี้เจ้าหล่อนยังมีเสื้อคลุมทับเสื้อชั้นนอกอีกชั้นหนึ่ง

เมื่อตัวหล่อนปรากฏอยู่ท่ามกลางความสว่าง มองดูผู้ที่มารบกวนหล่อนในยามดึกเช่นนี้ วงหน้าอันเกลี้ยงเกลาของหล่อนสำ​แดงความตื่นเต้นและพิศวงไม่น้อย แต่น้ำเสียงที่พูดคงราบรื่นและสงบเสงี่ยมเป็นปกติดี “เกิดอะไรขึ้นล่ะ?”

อีกฝ่ายหนึ่งทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ที่สุด ยกมือขึ้นปิดหน้าสั่นศีรษะอย่างแสยงขน

‘พี่’ ก้าวเท้าเข้ามาไปใกล้ โน้มตัวลงแตะเสื้อตรงต้นแขนของเขา ออกวาจาคล้ายปรารภกับตัวเอง

“แช่เปียกอยู่จนแห้ง” ทำท่าเหมือนจะพูดอีก แต่หาพูดไม่ เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวจากที่แขวน นำมาคลุมตัวให้เขา คลุมแนบเนียนดีแล้วจึงถาม

“ไม่หนาวหรือ กินบรั่นดีเสียหน่อยเอาไหม? เลินเล่ออย่างนี้น่ากลัวปอดบวมตาย แข็งใจลุกขึ้นผลัดผ้าเสียหน่อยเถอะน่ะ”

เสื้อชั้นใน กางเกง ออกจากลิ้นชักมาด้วยมือของหล่อน เมื่อชายหนุ่มทำตามที่หล่อนแนะนำ หล่อนเดินเลี่ยงไปยืนอยู่ตรงหน้าต่าง

ในทันทีที่สวมกางเกงเข้ากับตัวแล้ว ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงพิกล

“มานี่เถอะพี่ มาอยู่ใกล้ๆ กัน เย็นเหลือเกิน”

“ขึ้นเตียงนอนห่มผู้ให้อุ่นเสียประเดี๋ยวซี” หล่อนแนะนำอีก มองไปที่โต๊ะล้างหน้า “ขวดบรั่นดีเคยวางอยู่ที่นี่หายไปไหนเสียล่ะ?”

ชายหนุ่มร้องขึ้นทันใด “ไม่เอา ไม่เอา เรื่องเหล้าขอเสียที” เดินตรงไปเปิดมุ่ง ขึ้นเตียง คลี่ผ้าคลุมขาเอนตัวลงนอน ชักผ้า​ขึ้นคลุมหน้าอก แต่พอศีรษะถึงหมอนก็ผงกตัวขึ้นนั่งอีก พูดด้วยเสียงต่ำและเร็วปรือ

“ฉันขับรถชนคนตาย”

“อุ๊ย !” เจ้าหล่อนหันมาจ้องดูเขาทันที

“มานั่งที่นี่เถอะ” เขาว่า ปัดชายมุ้งกระเด็นไปทางหนึ่ง แล้วตบที่ข้างตัวเขา

หล่อนขยับเข้าไปใกล้อีก แต่หานั่งไม่ เขาวอนซ้ำอีกหลายหนจึงทำตาม

ชายหนุ่มขยับจากที่เดินมาเคียงหล่อน จนไหล่ประชิดกัน ดูท่าทางแข็งแรงขึ้น แต่ความตื่นเต้นยังมีอยู่ เขาตั้งต้นเล่าว่า

“ฉันขับรถมาตามถนนราชดำเนิน เวลานั้นฝนกำลังตกจั่กๆ ตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา พายุกับฟ้าก็เหลือทน เผอิญไอ้เครื่องกวาดน้ำฝนมันเกิดฝืด เราจะทำให้มันเดิน พอดีถึงสี่แยกคอกวัว ไอ้รถอีกคันหนึ่งมาทางซ้าย ตัดหน้าเราไป ไอ้เราไม่ทันรู้ตัว ตรงรี่เข้าใส่มัน ผางเข้าให้ทางล้อหลังหรือยังไงแหละ กลิ้งไม่เป็นท่า ไอ้รถเราก็ดันเข้าไปกอดแน่นอยู่กับฟุตบาธ”

‘พี่’ นิ่งเงียบ ไม่ออกเสียง ไม่เคลื่อนไหว ความรู้สึกทั้งมวลปรากฏอยู่ที่แววตา

“สักเกือบๆ จะตี ๒ เห็นจะได้ เงียบราวกับป่าช้าหมาสักตัวก็ไม่มี เรารีบไปดูรถที่ถูกชน ไอ้อ๊อสตินจิ๋วมองดูคนในรถเท่าไหร่ก็ไม่เห็นว่ากี่คน เห็นแต่เป็นก้อนขาวโร่ ไอ้ก้อนขาวนั้นไม่กระดุกกระดิก ดูเหมือนหลับสบาย แต่ไอ้เรา....”

​“ตายทันทีเทียวหรือ?” เจ้าหล่อนถาม

“เปล่า” เขารีบตอบ “ไปถึงโรงพยาบาลเป็นนานถึงได้ แต่ก็เท่ากันนั่นแหละ โอ๊ย ! ไปตามเอาแม่ลูกสาวมาร้องไห้เสียเป็นบ้า จนไอ้เราเกือบคลั่งด้วย”

“พ่อของเขาทั้งคน !”

“โอ๊ย ! พ่อของเราก็เคยตายนี่นา เธอไม่เห็นร้องเป็นบ้าเป็นหลังยังงั้นเลย.....”

แววตา ‘พี่’ แสดงอาการนึกขำเล็กน้อย แต่หล่อนถามเรียบๆ ว่า

“ลูกสาวนั่นสาวมากรึ?”

ชายหนุ่มแสดงอาการคิด ในที่สุดก็ขยับไหล่และว่า

“ไม่รู้สาวหรือเด็ก ดูแก่ๆ เด็กๆ พิกล” ย่นจมูกขึ้นและนิ่วหน้า “ใส่ไอ้เสื้อ ไอ้อย่างที่แม่ครัวเขาใส่กันน่ะ”

คราวนี้เจ้าหล่อนยิ้ม ด้วยอดที่จะนึกขันไม่ได้ “เอาเถอะช่างเขาเถอะ” หล่อนว่า “ทีนี้เขาเป็นใคร อยู่ที่ไหน?”

“หลวงประเสริฐเวชชศาสตร์ ชื่อนี้ฉันคงลืมไม่ได้เลยจนตาย” ความเดือดร้อนปรากฏในสีหน้า “โธ่ ! ฉันไม่นึกเลยว่าฉันจะต้องมาเป็นคนที่ทำให้คนตายไปเพราะฉัน”

สายตาอันเต็มไปด้วยความปรานีของหญิงสาวมองไปยังมือชายหนุ่ม มือของหล่อนก็เขยื้อนตามสายตา แต่เมื่อเขยื้อนแล้วหาไปไกลไม่ ยังคงวางอยู่บนตักเจ้าหล่อนนั่นเอง เจ้าหล่อนถอนใจแล้วถาม

​“ตกลงคนในรถมีกี่คน?”

“คนเดียว ก็ยิ่งเสียกว่าพอ....”

“รู้ถึงตำรวจแล้วหรือยัง?” หล่อนถามตัดความ

“รู้แล้ว” เขาลงเสียงตอบ “ตำรวจน่ะซีเขาพาคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล เผอิญเคราะห์ดีอยู่หน่อย รถของเราที่ชนทั้งขอบถนนควรจะบอบไม่กระดิกน่ะ ยังอุตส่าห์ใช้การได้ ฉันลองเดินเครื่องถอยหลังมันก็ถอยออกมาดีๆ ใจมาขึ้นเป็นกอง ออกได้ก็เบ่งไปโรงพักฉวยเอาตำรวจมาได้สองคน ตำรวจมาถึงที่เกิดเหตุแล้วก็ยังทำอะไรไม่ได้อีก ต้องกลับไปโรงพักโทรศัพท์เรียกรถโรงพยาบาลกลาง โอ๊ย ! มันแสนที่จะทุเรศ ไอ้ฝนก็ตก ไอ้เลือดก็นองเลอะเทอะ ไอ้คนเจ็บก็หน้าไม่เป็นหน้า หวือ !...”

หญิงสาวจึงช่วยเขาเรียงความ

“เธอขับรถชนรถคันหนึ่ง คนเจ็บหนัก ๑ คน เธอไปรายงานตำรวจ แล้วรับคนเจ็บไปส่งโรงพยาบาล แล้วไปตามลูกสาวคนเจ็บ....”

“ทั้งลูกสาวลูกชาย” เขาแก้

“อ้อ ! ลูกชายด้วย? ตกลงกี่คนด้วยกัน?”

“เท่านั้นแหละ สองคน...”

“ตกลงเธอก็ได้ทำหน้าที่ของเธอถูกต้องแล้ว แล้วทีนี้ทางตำรวจจะเอาอะไรกะเธอมั่ง?”

“ยังไม่รู้ เขานัดสามโมงเช้าพรุ่งนี้ นี่รถเราก็ตายอยู่ที่โรงพยาบาลนั่นเอง ฉันมารถลาก มันเอาตั้งบาทแน่ะ”

​“แล้วนั่นมากี่ชั่วโมงถึงได้ถึง?”

“ยังไงก็ยังดีกว่าเดิน”

ทั้งสองฝ่ายต่างนิ่งเงียบด้วยกัน ภายหลังหญิงสาวมองดูนาฬิกาตั้งบนโต๊ะเครื่องแป้งแล้วก็ปรารภขึ้นว่า

“สามโมงเช้าพรุ่งนี้ ! นี่มันก็จะเช้าอยู่แล้ว เธอนอนเสียทีซี ยังมีเวลาอีกเกือบ ๒ ชั่วโมง ฉันจะปลุกเธอสองโมงตรง”

ชายหนุ่มไม่ตอบว่ากระไร นั่งนิ่งขรึมอยู่ด้วยความใจลอย ต่อเมื่อเจ้าหล่อนลุกขึ้นจากเตียงจะเดินห่างไป เขาจึงมีอาการสะดุ้งคว้าข้อมือหล่อนไว้พลางถามว่า

“ไปไหนล่ะ?”

หล่อนหัวเราะเบาๆ “นั่นอะไร นั่งหลับหรือ?” หล่อนว่า “พอตื่นขึ้นก็ตกอกตกใจ นอนเสียซีจ๊ะ...แหม ! มือเย้นเย็น”

“ก็เธอจะไปไหนล่ะ? ฉันน่ะนอนไม่ได้หรอกคนเดียว ยังไงๆ ก็ไม่ยอมอยู่คนเดียว”

หญิงสาวดึงมือจากมือเขา มาแตะหน้าผากเขาเบาๆ เลื่อนจากหน้าผากมาจับต้นคอและแขน แล้วก็หัวเราะอีก ภายหลังจึงว่า

“คิดว่าไข้เส้นประสาทกินเสียแล้วอีก แต่เปล่าหรอกตัวไม่ร้อนเลย นอนเสียเถอะ ถ้านอนคนเดียวไม่ได้จริงๆ ก็คงจะต้องมีคนคอยเฝ้าอยู่เป็นเพื่อน แต่ฉันขอให้เธอนอนเดี๋ยวนี้”

เขาขยับตัวไปถึงกลางที่นอน แล้วก็ทำตามที่หล่อนสั่งอย่างเด็กว่าง่าย ยกผ้าห่มขึ้นคลุมถึงคอ อ้าปากหาวอย่างยืดยาว แต่​ยังไม่ยอมหลับตา

หญิงสาวเดินไปยังกางเกงและเสื้อ ทั้งชั้นนอกชั้นในซึ่งกองสุมกันอยู่หน้าเก้าอี้ หล่อนหยิบเสื้อชั้นนอกขึ้นก่อน ถือหิ้วทำตัวเสื้อให้ห้อยตรง พลางหยิบของจากกระเป๋าออกวางบนเก้าอี้ทีละสิ่ง เมื่อหยิบซองบุหรี่จากกระเป๋าบนเบื้องขวา สีหน้าของหล่อนเผือดลง เพราะเหตุว่าซองนั้นซึ่งทำด้วยเงินและมีลวดลายเป็นถมมีรอยเยินลึกเป็นเส้นขวางตลอดความกว้างขวางแห่งตัวซอง !

วางวัตถุนั้นลงไว้ แล้ววางเสื้อลงเสียด้วย หล่อนเดินกลับไปที่ชายหนุ่ม ยืนชิดหน้าเตียง มองดูเขาทั่วตัวประดุจจะตรวจค้นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แล้วถามด้วยเสียงอันแผ่วเบาจนกังวานแห่งความกังวลมิได้ปรากฏแก่ผู้ฟัง

“ตัวเธอเองน่ะถูกเจ็บที่ไหนบ้างหรือเปล่า คุณจิตร?”

เขาสั่นศีรษะโดยแรงและตอบอย่างพื้นเสีย

“ไม่มีเลย เขียวสักนิดหรือขีดสักนิดก็ไม่มี ฉันน่ะอยากจะให้ตัวเจ็บที่ไหนมากๆ สักแห่ง แขนไปสักข้างหนึ่งก็เอาเถอะ ยังจะเห็นว่าเสียอะไรมั่ง.....”

“ไอ้เสียน่ะเธอจะต้องเสียเป็นแน่ อย่าวิตกไปเลย ให้ถึงเช้าเสียก่อนเถอะ ว่าแต่เดี๋ยวนี้น่ะ ตามหน้าอกหน้าใจไม่เจ็บมั่งหรือ?”

“ไม่เจ็บ” ลงเสียงหนักขึ้นอีก “นิดเดียวก็ไม่มี”

“ดูเสียอีกทีเถอะจ้ะ ตรวจดูเสียให้แน่ เมื่อแรกเธออาจจะตื่นเต้นเกินไปจนไม่รู้สึกเจ็บ”

“พิโธ่ ! บอกว่าไม่มี” เขายืนยันเสียงแข็ง “หน้าอกหรือหัว ​หรือแขน หรือขา ยังอยู่ดีทั้งนั้น”

หล่อนนั่งลงบนเตียง เลิกผ้าห่มจากทรวงอกของเขา “ขออนุญาต” หล่อนกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างกระดาก แล้วใช้นิ้วมือกดเบาๆ ตามที่ๆ หล่อนกะว่าจะตรงกับกระเป๋าเสื้อนอกในเมื่อเขาสวมเสื้อเข้ากับตัว

ครั้งหนึ่งเขาร้อง “อุย ! นิ้วมือราวกะมือหมอนวดเชียวนะ” หล่อนมิได้เปลี่ยนสีหน้า คงทำงานของหล่อนต่อไป เมื่อนิ้วกดลงที่ตรงนั้นทีไร ทีนั้นชายหนุ่มก็สะดุ้ง ในที่สุดหญิงสาวจึงว่า

“หน้าอกเธอต้องกระแทกกับอะไรอย่างหนึ่งเป็นแน่ ปลดดุมเสื้อออก ฉันจะทาน้ำมันให้”

ดูเหมือนเขาจะพอใจอย่างยิ่งที่จะได้ ‘พี่’ มานั่งคอยปรนนิบัติอยู่ข้างๆ รีบปลดดุมที่คอเสื้อโดยมิได้โต้แย้ง แล้วก็เหยียดแขนในท่าปล่อยตัว และหลับตาลงทันที

น้ำมันซึ่งเป็นยาทาแก้บวม เขียว ช้ำ ออกฤทธิ์แรงทำให้ร้อนๆ เย็นๆ ตามผิวหนังเป็นที่น่ารำคาญ แต่นิ้วมืออันอ่อนละมุนที่คลึงอยู่ตามที่นั้นมีอำนาจเหนือสิ่งอื่น ความรู้สึกสบายเริ่มจากที่นิ้วกดก่อนแล้วกระจายไปทั้งตัว ทำความอบอุ่นให้แก่ผู้รับสัมผัสภายในมิช้า ความปั่นป่วนแห่งดินฟ้าอากาศ ร่างแห่งชายผู้เคราะห์ร้ายมีเนื้อตัวเปรอะเปื้อนด้วยโลหิต รวมทั้งหญิงสาวที่ร้องไห้คร่ำครวญเป็นที่น่าเวทนา จนทำให้ชายหนุ่มชังน้ำหน้า ทั้งหมดนี้ซึ่งเป็นภาพหลอนสิงอยู่ในสมองของชายหนุ่ม ก็ค่อยๆ เลือนหายตามกันไปโดยเร็ว

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #2 on: 28 October 2025, 19:28:21 »




​เมื่อบุคคลถึงความตายด้วยอุปัทวเหตุ เป็นอกาลมรณะ ทั้งเขาเมื่อยังคงมีชีวิตอยู่มิใช่ผู้ที่มั่งคั่งมีหน้ามีตา วิธีจัดการศพที่ดีที่สุดที่ญาติผู้อยู่หลังของเขาระลึกได้ก็คือ ฝากศพไว้ในวัดใดวัดหนึ่ง ตามที่ชนชั้นสามัญทั่วไปมักจะทำกันนั่นเอง

แต่เพราะเหตุที่หลวงประเสริฐเวชชศาสตร์เป็นแพทย์ ตามธรรมดาของแพทย์ ถ้าแม้ไม่มีนิสัยเสียอันน่ารังเกียจเหลือเกินนัก ก็ย่อมจะเป็นผู้ที่กว้างขวางกว่าบุคคลอื่นทั่วไปที่อยู่ในฐานะเดียวกัน ความตายของหลวงประเสริฐฯ ซึ่งได้ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ จึงเป็นเรื่องที่บุคคลหลายครอบครัวปรารภรำพันแสดงความเสียใจ และความอาลัยกันมาก

แต่ก็มีอีกน่ะแหละ เขาเหล่านั้นเล่าเรื่องสู่กันระหว่างคนรู้จักโจษจันกันตามที่เริงรมย์เช่นโรงมหรสพอันครึกครื้น หรือปรารภกัน​ระหว่างผู้เป็นที่ชอบพอในเคหะอันร่มเย็น ในใจของเขาสมเพชเวทนา มีความต้องการที่จะช่วยเหลือเจืออยู่ด้วย แต่ไม่เห็นช่องทางที่เหมาะ เขาปรารภแล้วก็พูดเรื่องอื่นต่อไป มิช้าก็ลืมเรื่องนายแพทย์ที่เคยรักษาไข้ให้เขาเสียสนิท

ในระหว่างนั้นศพหลวงประเสริฐฯ ก็ตั้งอยู่บนศาลาเก่าคร่ำคร่าในเขตอารามแห่งหนึ่ง มีเครื่องตั้งประกอบไปด้วยแจกันต่างชนิด ที่เป็นเคลือบก็ดำด่าง ที่เป็นแก้วก็หนาและขุ่นมัว ปักด้วยดอกไม้ใบไม้ซึ่งทำด้วยผ้าชุบขี้ผึ้ง ยับและคร่ำด้วยรอยฝุ่นจนคิดไม่ออกว่าผู้ทำดั้งเดิมทีเดียวมีความตั้งใจจะให้เป็นดอกใบชนิดไหน หรือสีอะไรแน่ อาศัยความสว่างจากหลอดไฟฟ้าอันขุ่นมัวไม่แพ้วัตถุอื่นที่ทำด้วยแก้ว สายไฟฟ้าที่โยงจากเพดานมาสู่หลอดก็เก่าจนไม่มีสี ทั้งเป็นปุ่มปมและมีห่วงที่ผูกไว้ตามธรรมดาของดวงไฟที่ต้องเปลี่ยนที่แขวนและเลื่อนขึ้นลงบ่อยๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ไฟ

ความงามของสถานที่ตั้งศพชั่วคราวนี้ มีอยู่แห่งเดียวคือที่พวงหรีดดอกกล้วยไม้ ซึ่งวางอยู่บนหลังหีบศพ ถึงแม้จะได้วางอยู่ถึง ๓๖ ชั่วโมงเต็มแล้วดอกไม้ก็ยังสวยสดงดงาม เป็นเครื่องเชิดชูสถานที่ได้สถานหนึ่ง

คืนนี้เป็นคืนที่สามที่ศพได้มาตั้งอยู่ ณ ที่นี้ และจะเป็นคืนที่สุดแห่งการสวดหน้าศพตามประเพณีนิยม

ที่ในศาลาตรงริมฝาด้านหนึ่ง มีสตรีนั่งรวมกันอยู่สี่นาง คนหนึ่งเป็นพี่ร่วมท้องของผู้ตาย เพิ่งมาจากต่างจังหวัดเมื่อวันก่อนนี้เอง คนหนึ่งคือแม่ครัวประจำบ้าน คนหนึ่งเป็นเพื่อนบ้านข้างเคียง ​เป็นผู้ที่มีความระลึกในบุญคุณของผู้ตายยังกรุ่นอยู่ในอก เพราะบุตรชายคนเล็กเพิ่งจะหายไข้ด้วยน้ำมือของผู้ตายเมื่อเดือนก่อนนี้ คนหนึ่งคือ งามพิศ ธิดาคนเดียวของหลวงประเสริฐฯ

ห่างจากคนทั้งสี่นี้ไปมาก ทางอีกฟากประตูหนึ่งมีสตรีอีกสองนางนั่งอยู่ นางหนึ่งอยู่ในขั้นปัจฉิมวัยเป็นมารดา นางหนึ่งสาวพริ้งหมดจดเป็นบุตรี ทั้งสองนางนี้หญิงฝ่ายเจ้าภาพไม่รู้จักว่าเป็นใครมาแต่แห่งใด

พระสงฆ์สี่รูปแยกย้ายกันนั่งตามสบาย อยู่ในที่ต่างๆ องค์หนึ่งอยู่บนอาสนะ ห้อยเท้าเหยียดยาวออกมาข้างหน้า องค์หนึ่งเอกเขนกพิงหมอน อีกสององค์อยู่บนม้ายาว เคี้ยวหมาก และคุยกันอย่างร่าเริง มีจีวรเลื่อนไหลจนเห็นหน้าอกส่วนบนได้ตลอด

ทางด้านหน้าตรงบันได นายคนทำสวนประจำบ้านผู้ตาย ผู้รักษาศาลา ผู้รักษาโรงเก็บศพ ทายกประจำอารามนั่งเล่นหมากรุกอย่างเพลิดเพลิน นายประพันธ์บุตรชายคนเดียวของผู้ตายเดิน ‘แกว่ง’ อยู่ในที่แจ้ง

ตอนดึกหน่อย มีบุคคลแปลกหน้าใหม่อีกผู้หนึ่งเป็นชายหนุ่มรูปร่างสันทัด ท่าทางประเปรียว เค้าหน้าคมสัน มาโดยรถยนต์ซึ่งเขาขับเลยเข้ามาถึงข้างศาลาแล้วเขาลงจากรถ มีพวงมาลัยขนาดใหญ่อยู่ในมือ นายประพันธ์รับวัตถุสิ่งนั้นจากเขา ทั้งสองมองดูกันอย่างกึกกักในใจ และแลกเปลี่ยนคำพูดกันอย่าง ‘ไม่เต็มปาก’ ซึ่งต่างฝ่ายต่างเข้าใจคำของกันได้โดยยาก

หมู่บุรุษที่เล่นหมากรุกเงยหน้าขึ้น หันมาดูพร้อมกัน ดูแล้ว​จ้องอย่างเปิดเผยประดุจได้เห็นสัตว์ประหลาดพลัดมาในหมู่คน ฝ่ายชายหน้าใหม่เมื่อ ‘ถูก’ ดูเช่นนั้นก็มีสีหน้าเฝื่อนหนักขึ้น และดวงตาขุ่นมัวหนักลง ในเวลาไม่ถึง ๕ นาทีเขาก็กลับไปขึ้นรถ

วันรุ่งขึ้นราว ๑๐ นาฬิกา หลังจากการถวายอาหารแด่พระสงฆ์และบังสุกุลศพแล้ว ก็มีการยกศพเข้าในที่รับฝากศพแรมปี เป็นการยกเท่านั้นอย่างแท้จริง คนหามสี่คน หามหีบศพไปตั้งไว้บนฐานเตี้ยเคียงกับหีบอื่น ซึ่งตั้งเรียงรายอยู่ก่อนแล้ว ธิดาคนเดียวของผู้ตายหน้ามืดซวนเซอยู่ตรงกลางห้อง พี่ชายคว้าตัวไว้ทันรีบประคองออกมาภายนอก ในเวลาเดียวกันนี้ รถยนต์ที่ได้มาจอดริมศาลาเมื่อคืนก่อนก็มาถึง

เจ้าของรถโดดแผลวลงจากรถอย่างว่องไว และปราดมาถึงตัวหญิงสาวทันที แขนข้างหนึ่งประคองหลังหล่อนไว้ ปากถามว่า

“เป็นอะไรไปล่ะ?”

“เป็นลมครับ” ประพันธ์ตอบ “เป็นลมมาจากในโรงนั่น”

“พาไปหาที่นั่งร่มๆ ซี” เหลียวมองไปรอบตัวเห็นที่ร่มมีอยู่หลายแห่ง แต่หาแห่งอันควรเป็นที่นั่งเอนสบายไม่ได้ เขาจึงพยักหน้าไปทางรถของเขาเอง แล้วก็ยกร่างอันปราศจากสติขึ้นด้วยกำลังแขนทั้งสองข้างนำไปยังที่หมาย

วางร่างลงบนเบาะหลัง ประคองจัดให้ศีรษะเอนอยู่พอเหมาะส่วน ควักผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อคลี่ออกโบกลมไปมา ดวงตาก็จับจ้องอยู่ที่หน้าอันซีดปราศจากโลหิต

เขาเห็นวงหน้าเป็นรูปรีใกล้จะเป็นรูปไข่ แต่เป็นหน้าของหญิง​ที่จะเป็นสาวก็ไม่ใช่ เป็นเด็กก็ไม่เชิง มีเนื้อหนาเกินไปที่ๆ ไม่ควรมี และบางเกินไปในที่ๆ ควรจะหนา ส่วนแห่งตาถูกทำให้เลื่อนด้วยแว่นกรอบกระอันใหญ่เกินควร สันคิ้วโก่ง แต่มีเส้นน้อยจนนับถ้วน เส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้ามีลักษณะแสดงว่าอ่อนนุ่ม แต่เหยียดตรงราวกับเส้นด้าย

ทันใดนั้นเขาเห็นเจ้าหล่อนเบิกตาขึ้นช้าๆ เห็นดวงตาใต้กระจกแว่นเป็นเงาโตผิดขนาดธรรมดา ก่อนที่เขาจะทอดแขนต่ำลงจากกิริยาที่กางผ้าโบกลม หญิงสาวก็เบนตัวหนีเขาโดยแรง พร้อมกับยกมือทั้งสองทำอาการดังจะผลักอกเขาให้กระเด็นไป

พอดีกับประพันธ์วิ่งมาถึง มือชูขวดยาดมซึ่งได้ไปขอมาจากผู้ชราคนหนึ่ง เมื่อเห็นน้องสาวไหวตัวปุบปับอยู่ในรถ เขาก็ร้องว่า “อ้าวฟื้นแล้ว !” มองดูขวดแก้วที่ในมือ “รีบเสียเกือบตกกระได”

หญิงสาวไม่เอาใจใส่ต่อบุคคลที่ห้อมล้อมอยู่ เลื่อนตัวออกให้หมิ่นที่นั่งมากที่สุดจะหมิ่นได้ ส่วนมือก็พยายามจะเปิดประตูรถ เจ้าของรถเอื้อมมือข้ามตัวหล่อนไปเปิดให้ พอเปิดแล้วหล่อนก็ก้าวลงแล้วเดินดุ่มห่างจากรถไปโดยเร็ว

ชายหนุ่มทั้งสองมองดูกัน ฝ่ายหนึ่งเลิกคิ้วแล้วก็เม้มริมฝีปาก แล้วก็ฝืนยิ้มออกมาเป็นลักษณะไม่สนใจแกมสมเพช อีกฝ่ายหนึ่งจะบึ้งก็ไม่ใช่ จะหัวเราะก็ไม่เชิง ในที่สุดก็ยกขวดยาดมขึ้นจรดจมูกเพื่อแก้ขวยพอขอไปที

เจ้าของรถยกพวงหรีดจากที่นั่งตอนหน้า พร้อมกับถาม “ที่บรรจุศพอยู่ที่ไหน?”

​“อยู่ที่โน่นครับ” ประพันธ์ตอบพร้อมกับชี้มือประกอบคำพูด

“ที่ไหน?” อีกฝ่ายหนึ่งถามอีก ตามองตามมือที่ชี้ แต่ตามองเลยจากที่หมายไปมาก ครั้นรู้สึกตัวว่ายังไม่ฉลาดขึ้นกว่าเก่า จึงว่า

“คุณช่วยนำผมไปหน่อยก็แล้วกัน”

ประพันธ์มีสีหน้าอันจะอธิบายได้โดยยาก อึกอักอยู่ขณะหนึ่งแล้วจึงพูด

“ผมเอาไปวางให้ก็ได้” แล้วเอื้อมมือไปยังพวงมาลา แต่อีกฝ่ายหนึ่งเบนแขนหนี พร้อมกับพูดอย่างมั่นคง

“วันนี้ผมต้องวางเอง”

พูดแล้วเขาลงจากรถ พยักหน้าชวนประพันธ์ให้ออกเดิน

มาใกล้เรือนซึ่งมีลักษณะควรเรียกว่าโรง มีฝาก่อด้วยอิฐและปูน แต่หลังคามุงสังกะสี บุคคลสวมเครื่องแต่งกายไว้ทุกข์ยืนเป็นกลุ่มอยู่ ๑๕-๑๖ คน เข้าใกล้อีกจึงเห็นว่าเขายืนอยู่หน้าประตูโรงนั่นเอง และชายคนหนึ่งทำการปิดประตูโรงนี้

ความกึกกักในใจประพันธ์ทวีขึ้นทุกที จนถึงกับปรากฏออกมาในกิริยาที่เดิน และเมื่อเขาพูดเสียงของเขาก็ฟังดูปร่าพิกล

“ศพอยู่ในนี้”

“อ้อ !” อีกฝ่ายหนึ่งอุทานโดยมิได้ตั้งใจ แววตาเต็มไปด้วยความสนเท่ห์ ตรวจดูลักษณะแห่งโรงอย่างพินิจพิเคราะห์ “แหม ! ใหญ่โตมาก...” มองไปยังหมู่คน แล้วพูดดังขึ้น “ผมมาช้าไปหน่อย ได้ยินว่าจะบรรจุตอนเช้า ไม่ทันถามว่ากี่โมง...ถ้าเปิดประตูให้ผมเข้าไปสักหน่อยจะลำบากมากไหมครับ?”

​ดวงตาหลายคู่มองดูเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ผู้ถือกุญแจกล่าวตอบอย่างอารมณ์ดี

“ไม่ลำบากเท่าไหร่หรอกครับ แต่มันมืดหน่อย ปิดหน้าต่างเสียหมดแล้ว”

“ไม่เป็นไร” เขาตอบค่อนข้างห้วน พร้อมกับผู้พูดก้าวเท้าไปข้างหน้าโดยเร็ว

แต่เมื่อประตูเปิดออกพร้อมกับส่งเสียง เอี๊ยด ! อย่างยืดยาว ชายหนุ่มชะงักอยู่ขณะหนึ่งก่อนที่จะก้าวข้ามธรณีเข้าไปภายใน สายตาละจากแสงสว่างเข้าสู่ที่มืดโดยปัจจุบันทันด่วนเช่นนั้น ก็มีอาการเหมือนหยุดทำงานเสียเฉยๆ และกลิ่นประหลาดชนิดหนึ่งก็แล่นมาปะทะจมูกโดยแรง มีเสียงหัวเราะดังขึ้นข้างๆ ตัวเขา แล้วมือของบุรุษผู้หัวเราะจับแขนเขา ผลักครึ่งจูงให้เดินไปข้างหน้า เขาเดินตามมือนั้นไปอย่างมึนงง ประสาททุกส่วนตึงเครียด เสียงบอกว่า “ตรงนี้แหละ” แล้วมีเสียงมือสัมผัสกับไม้กระดาน เขานึกเอาว่านั่นคงเป็นหีบศพ ก็ยกพวงมาลาขึ้นวางบนที่นั้น ก้มศีรษะคำนับพอเป็นพิธี แล้วก็หันหลังกลับเดินตามทางแสงสว่างมาสู่ประตู โดยมิได้หายใจแม้แต่สักครั้งเดียว

เมื่อประจิตรขับรถออกมาตามทางเก่า เขาพบคนหมู่หนึ่งประมาณสัก ๑๐ คน เดินอยู่ริมทางเป็นชายเกือบทั้งหมด มีหญิงปนอยู่ด้วยเพียง ๒ คน ทุกคนสวมเครื่องแต่งกายไว้ทุกข์อย่างสุภาพเรียบร้อย ประจิตรเดาว่าเขาเหล่านั้นคงจะมายังพระอารามนี้ เพื่อเหตุผลอย่างเดียวกับตนเอง แล้วนึกสงสัยว่า เขาจะมีความรู้สึกสังเวช​และงงเช่นเดียวกับตนหรือไม่

ความจริงก็เป็นอย่างที่ประจิตรเดา เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลชั้นข้าราชการ และคหบดี เป็นเพื่อนของหลวงประเสริฐฯ ผู้ตาย เมื่อได้ทราบเหตุร้าย ก็ได้พบกับนายประพันธ์ เพื่อทราบถึงวิธีการจัดศพต่อไป ในวันต้น นายประพันธ์ให้คำตอบว่า “คุณป้าจะมาจัดการ” แล้วภายหลังนายประพันธ์ได้ให้ข่าวใหม่ว่า “คุณป้าจะเอาศพไว้ที่วัด” ผู้ได้รับข่าวก็คาดกันว่าคงจะมีการฝังและก่อที่ฝังตามสมควร ก็บอกข่าวต่อๆ ไปยังเพื่อนฝูง แล้วเขาก็พากันมาตามกำหนดเวลาที่ประพันธ์ได้แจ้งไว้ และได้ประสบกับเหตุการณ์ที่ผิดจากความคาดหมายอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ ทำให้เขาพากันเกิดความเศร้าสลดและมึนงงไปตามกัน

ตอนค่ำแห่งวันที่ได้กล่าวแล้ว ประจิตรกลับถึงที่อยู่พร้อมกับเพื่อนชายสามคนซึ่งมาในรถคันเดียวกันกับตัวเขา และอีกสองคนซึ่งมาในรถอีกสองคัน เกือบทุกคนในหมู่เขาเหล่านั้น อยู่ในเครื่องแต่งกายอันแสดงว่าเขากลับจากการเล่นกีฬา พอดับเครื่องเสร็จก่อนที่ตัวจะได้ลงจากรถ ประจิตรก็แหงนหน้าป้องปากตะโกนขึ้นไปยังหน้าต่างตึกชั้นบน

“สุนทรี ! สุนทรี ! เฮ...พี่ พี่สุนทรีจำ ลงมาข้างล่างหน่อย”

มีเงายาวฉายขึ้นบนฝาผนังห้อง แล้วเคลื่อนที่ช้าๆ หญิงสาวเยี่ยมหน้าออกมาตรงช่องหน้าต่าง

“แหม ต้องเรียกว่าพี่ถึงจะได้ยินนะ” ชายหนุ่มที่อยู่เบื้องล่างพ้อ

“ได้ยินก่อนแต่ยังเดินไม่ถึง” อีกฝ่ายหนึ่งตอบพร้อมกับหัวเราะ ​“อย่าตะโกนอีกนะ ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้”

ประจิตรหันมาชวนสหาย “ไปซี แหม อยากกินน้ำจัง”

แล้วเขานำหน้าพาชายทั้งห้าคนไปยังห้องรับแขก ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้นวม เหยียดแขนเหยียดขาอย่างสบายเต็มที่ พอดีกับสุนทรีเข้าประตูมา

มองไปพบหน้าที่เคยคุ้นแล้วทุกหน้า เจ้าหล่อนก็ยิ้มอย่างร่าเริงแล้วว่า

“อ๋อ ไม่มีคนแปลกเลย เมื่อกี้ตะโกนลงมาแล้วมองเห็นรถหลายคัน ใจหายนึกว่ามีใครมาด้วย ขายหน้าเขาตาย อยู่ดีๆ ก็ตะโกนกันโหวกเหวก นี่มาจากสโมสรด้วยกันทั้งนั้นหรือคะ?”

“ทั้งนั้น นอกจากนายแมน” นายอนุชาติตอบ

“นายแมนน่ะ จิตรเขาเก็บได้ข้างถนน” นายแสงเสริม

“อ้าวคุณแมนทำไมไปอยู่ตามถนน ให้เขาเก็บมาล่ะคะ ทำชื่อเสียงเสียหมด”

“เทวดาเดินดินนี่ครับ” นายแมนตอบอย่างอารมณ์ดี หัวเราะเห็นฟันเกือบครบชุดทั้งล่างทั้งบน

“เทวดาเดินดินกินข้าวแกง” หลวงชาญยนตรกิจกล่าว

“ไม่ถึงอย่างนั้นหรอกน่ะ” นายอนุชาติค้าน

หลวงชาญฯ หัวเราะแล้วว่า

“เทวดาเดินดินกินเหล้า”

“เปล่าเลย” ผู้ถูกล้อขัดด้วยเสียงอันดัง “ตั้งแต่ห่างสโมสรก็ห่างเหล้าไปด้วย”

​“ยังงั้นลื้อกินอะไร?” นายแสงถาม

“กินอะไร? ก็กินน้ำน่ะซี แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหล้าติดบ้านเสียเลย ยังมีพอที่จะเลี้ยงลื้อทุกๆคนที่อยู่ที่นี่”

ไม่มีใครตอบว่ากระไร เพราะทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นรู้ดีว่า หากนายแมนจะมีเหล้าไว้ในบ้าน ก็คงจะเป็นเหล้าที่ผู้ขายต้องเพียรส่งบัญชีราคาหลายสิบหน จึงจะได้รับเงินตามบัญชีสักครั้ง สุนทรีรู้ไม่แพ้คนอื่น เพราะได้เคยเห็นต้นขั้วใบสั่งจ่ายเงินของประจิตร มีนามนายแมนปรากฏอยู่มากกว่าครั้งหนึ่ง แต่เจ้าหล่อนเป็นผู้ระงับความรู้สึกได้เร็ว จึงพูดว่า

“ไม่ใช่น้อยนะคะ” แล้วก็มองไปยังศีรษะอันมีผมบางของอนุชาติพร้อมกับยิ้ม

“เฮ้ย ! หมวกของอั้วหายไปไหน?” เขาผู้นั้นร้องขึ้น เจ้าหล่อนก็หัวเราะแล้วว่า

“ถึงจะใส่หมวก ดิฉันก็ต้องจำคุณได้เสมอ”

คนอื่นๆ พากันหัวเราะ หญิงสาวหันไปทางบุรุษอีกนายหนึ่ง ผู้ซึ่งนิ่งฟังคำพูดของคนอื่นๆ อยู่เงียบๆ แล้วปราศรัยว่า

“คุณสิงห์ยังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ กระแสสบายดีหรือคะ ดิฉันไม่ได้พบนานแล้ว”

“หมู่นี้ออดแอดหน่อยครับ” นายสิงห์ มุสิกกุล ตอบ “เขากำลังจะให้ลูกผมเป็นคนที่สอง”

“แล้วทำไมคุณถึงหนีมาเที่ยวคนเดียว?” หล่อนทำหน้าตาขึงขัง แต่แววยิ้มปรากฏในดวงตา

​“เขาอนุญาตครับ” อีกฝ่ายตอบ ทำท่าสงบเสงี่ยม

“อ๋อ !” สุนทรีลงเสียงอุทาน “น่าเอ็นดูจริง ได้รับอนุญาตแล้วถึงได้มา”

ประจิตรเอ่ยขึ้นด้วยเสียงค่อนข้างดัง

“แหม หิวน้ำจริง ! พี่จ๋าพี่ พวกเราคอแห้งกันทุกคน ไม่เลี้ยงอะไรมั่งหรือ?”

“หิวน้ำ ทำไมถึงถามว่าไม่เลี้ยง ‘อะไรมั่ง’ หรือ หิวน้ำก็เลี้ยงน้ำซีจ๊ะ”

“ผมหิวอื่นคร๊าบ” อนุชาติตอบแทนเพื่อน

“หิวขนมหรือคะ?” เจ้าหล่อนถามอีก วางหน้าเป็นคนซื่อ “หรือหิวข้าว?” และในขณะที่พูดนั่นเอง หล่อนเอื้อมมือไปกดกริ่งไฟฟ้า

อนุชาติเอ่ยขึ้นว่า

“ได้ยินใครพูดแว่วๆ ว่าประจิตรสาปเหล้าตั้งแต่ขับรถชนคนตาย....”

“สาปว่ายังไง?” สุนทรีถามกลางคำ “สาปให้เหล้าหายไปจากโลกยังงั้นหรือ?”

“โอ๊ะ แหม ยังงั้นก็ทำให้คนอื่นพลอยเดือดร้อนไปด้วยซีครับ สาปว่าจะไม่กินอีกต่อไป”

“อ้อ จริง ดูเหมือนสาปอยู่ได้ ๑๘ ชั่วโมง เป็น ๑๘ ชั่วโมงเทียวนะคะ เล็กน้อยอยู่เมื่อไหร่” คนใช้เข้ามาในห้อง หล่อนจึงหันไปสั่ง “ยกถาดที่ฉันสั่งให้เตรียมไว้เข้ามา” แล้วหล่อนหันไปพูดกับแขกของหล่อนต่อไป “ถ้าเหล้าสาบสูญไปจากโลก พวกผู้ชายคง​เดือดร้อนกันพิลึก จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้เสียก็ไม่รู้ แต่พวกผู้หญิงคงสาธุไปตามๆ กัน”

“ทำไมผู้หญิงถึงเกลียดเหล้านัก?” หลวงชาญฯ ถาม

“นั่นสิ” ประจิตรเสริม “ทำไมถึงเกลียดเหล้ากันนัก?”

“เพราะผู้หญิงไม่รู้จักค่าของการสมาคม” อนุชาติตอบ

“เอ๊ะ ทำไมพูดยังงั้นล่ะ” ผู้ตั้งปัญหาค้านขึ้นโดยเร็ว “ดูถูกผู้หญิงเกินไปนี้ คุณสุนทรีครับ โปรดแก้ปัญหาทีเถอะ คุณเป็นผู้หญิงคนเดียวในที่นี้”

“ดิฉันคนเดียวจะตอบแทนผู้หญิงทุกคนยังไรได้”

“ได้ซิครับ ผู้หญิงชั้นคุณต้องตอบได้แน่ๆ”

“เอ๊ะ คุณหลวงก็มีผู้หญิงข้างเคียงที่พอจะถามได้”

เขาตอบด้วยน้ำเสียงปกติ แต่เป็นงานเป็นการ

“อ๋อ อย่างนั้นให้เขาตอบสำหรับตัวเขาคนเดียวถึงจะได้ จะเอาคำตอบที่มีเหตุมีผลให้เป็นกลางต้องฟังจากคุณ”

“เออ นี่ผู้หญิงคนไหนเขามาตั้งให้ดิฉันเป็นผู้แทน ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ” เบือนหน้าไปทางอนุชาติ หล่อนพูดแกมหัวเราะ “ผู้หญิงเกลียดเหล้าเพราะผู้ชายมีความเห็นว่า เหล้าสำคัญกว่าสิ่งอื่นๆ ในการสมาคม”

“นั่นไหมล่ะ” นายแมนอุทาน “ลื้อมันพูดอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าเสมอ”

“จำไว้ซี พูดกับครูต้องระวังให้มากๆ หน่อย” ประจิตรเสริม “พลาดไม่ได้ ขึ้นพลาดละด่าเอาเจ็บๆ”

คราวนี้เจ้าหล่อนไม่ตอบ และไม่ยิ้มด้วย คำพูดเช่นนี้หรือที่​คล้ายกับอย่างนี้ ประจิตรได้เคยใช้บ่อยๆ ในเมื่อเขากับหล่อนมีข้อโต้แย้งกัน และเขาเป็นฝ่ายแพ้ เหตุฉะนั้นจึงกลายเป็นคำที่หล่อน ไม่พอใจฟัง พอดีกับคนใช้ยกถาดใหญ่เข้ามาในห้อง ถาดนั้นรองขวดเครื่องดื่มหลายชนิด มีถ้วยแก้วพร้อม ประจิตรผุดลุกขึ้นจากที่ พยักหน้าชวนสหายทั้งหลาย แล้วคนใช้กลับไปนำขนมปังและเนยแข็งชนิดที่เป็นเครื่องแกล้มเข้ามาอีก เมื่อได้ผสมวิสกี้โซดาให้ตัวเองแล้ว ประจิตรรินเวอรมุธใส่ในถ้วยเชิงนำไปส่งให้สุนทรี

หล่อนกล่าวคำขอบใจ แล้วรับถ้วยวางไว้บนโต๊ะใกล้ตัว เขาพยักหน้าเป็นเชิงขอร้องพร้อมกับกระซิบว่า

“เอาหน่อยน่ะ ไม่งั้นพวกนั้นจะเกรงใจ”

หญิงสาวค้อนให้แทนคำตอบ ยื่นมือไปจับถ้วยแก้วแต่ยังไม่ยกขึ้น ประจิตรดื่มเหล้าของเขาแล้วพยักหน้าซ้ำ หล่อนจึงจิบเหล้าสีแดงจากถ้วย แล้วถามอย่างเป็นงานเป็นการ

“ไปฝังศพหลวงประเสริฐหรือเปล่า?”

“ไป” เขาตอบโดยเร็ว “แหม เหม็นจัง เหม็นฉิบหายวายร้าย”

“อะไร ศพสามวันเท่านั้นแหละเหม็นแล้ว?”

“สามวันอะไร ศพตั้งร้อยปีก็มี ก็ฝังเฝิงเมื่อไหร่ล่ะ เอาไปใส่ไว้ในไอ้โรงบ้าอะไรก็ไม่รู้ แหม ! โผล่เข้าไปเกือบขาดใจตาย ขืนอยู่ช้ากว่านี้อีกวินาทีเดียวเป็นตายแน่”

สีหน้าผู้ฟังแสดงว่า หล่อนเชื่อเขาอย่างมากก็เพียงครึ่งเดียว ฝ่ายประจิตร อาศัยที่คุ้นเคยกับสีหน้าและนิสัยของเจ้าหล่อนยิ่งนัก ก็อ่านความคิดของหล่อนได้ จึงรีบยืนยันต่อไปโดยเร็ว

​“พนันกันก็ได้ เธอไม่เคยเห็นไอ้ที่บ้าๆ พรรค์นั้นหรอก ฉันเองยังเซ่อแทบตาย แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจะต้องเข้าไปในที่ผีๆ ยังนั้น เหม็นยิ่งกว่าเวลาไปเผาศพอีก ยายลูกสาวน่ะถึงกับเป็นลม ก็แน่ละซี ใครจะทนไอ้กลิ่นเหม็นฉิบหายนั้นได้”

“ฮื้อ อย่าด่าผีซี เสียกิริยาจริงๆ เทียว”

เขาหัวเราะ ยกถ้วยเหล้าขึ้นดื่ม แล้วเงยหน้าขึ้นพูดอีกอย่างรวดเร็ว คล้ายกับเพิ่งนึกขึ้นได้

“จะเล่าถึงยายงามพิศนะ ชื่อไม่สมตัว ให้ดิ้นตาย ! พิศแล้วไม่งามเลย แล้วหยาบคายที่สุด เป็นลมนะ เราอุ้มมาใส่รถของเรา เพราะไอ้ที่แถวนั้นหาที่นั่งสำหรับคนเป็นลมไม่ได้เป็นอันขาด แล้วเราอุตส่าห์นั่งพัดให้ พัดด้วยผ้าเช็ดหน้า กระพือๆ เข้า ไอ้พี่ชายวิ่งทะเลิ่กทะลั่กหายหัวไปไหนก็ไม่รู้ กลับมาแม่น้องสาวฟื้นแล้ว แล้วทำไมรู้ไหม พอโงหัวขึ้นเท่านั้นแหละ เขาผลักเราแทบกระเด็นเชียว ถ้าจะนึกว่าเรากำลังจะไปจูบเจิบ หรืออะไรอย่างนั้นแหละ บ้าฉิบหายราวกับน่าจูบเสียเต็มที...”

“พิโธ่ ก็แกเป็นสาว ไม่เคยกับผู้ชาย แกก็ตกใจน่ะซี...”

“บ๊ะ ผู้ชายเป็นเสือเป็นช้างยังงั้นหรือ ก็เห็นแล้วว่าเขานั่งพัดให้ตัวอยู่ดีๆ พอผลักแล้วแม่เผ่นลงจากรถ จะขอบใจสักคำก็ไม่มี”

สุนทรียิ้ม อาศัยหล่อนเป็นครูประจำโรงเรียนใหญ่โรงเรียนหนึ่ง ย่อมมีความเคยชินต่อการพบเห็นบุคคลแปลกๆ ต่างวัยต่างชั้น ต่างชนิด ต่างมรรยาท ต่างจิตต่างนิสัย หล่อนไม่เห็นข้อแปลกในเนื้อความที่ประจิตรบรรยาย อนึ่งหล่อนตระหนักดีว่า ประจิตรก็เช่น​เดียวกับชนส่วนใหญ่ เมื่อเกิดความไม่พอใจในใครคนหนึ่งเสียแล้ว ก็เห็นความบกพร่องในเขาคนนั้นมากเกินกว่าที่เขาเป็นจริงไปเสียเสมอ

“แปลกอีตรงที่เอาศพไปฝากไว้ในที่ยังงั้น” ในที่สุดหล่อนปรารภ “ทำไมไม่จัดการฝังหรือทำอะไรให้ดีกว่านั้นสักหน่อย”

ดื่มวิสกี้อีก รวดเดียวหมดถ้วย แล้วประจิตรปรารภตอบอย่างตรึกตรอง

“ฉันก็เห็นแปลกเหมือนกัน วิธีจัดงานศพนะทุเรศเหลือเกิน สถานที่ก็บุโร เหมือนกะแค่นทำโดยเสียไม่ได้---อย่าพูดถึงเขาเลย บ้า เราไม่เข้าใจเขาหรอก”

“แล้วเงินค่าปรับเอาไปให้เขาแล้วหรือ?”

“แล้วเสร็จกันไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้หละ” กลับหลังหันจะเดินไปยังหมู่เพื่อนซึ่งเฮฮากันอยู่รอบถาดเครื่องดื่ม แล้วหันกลับมาอีก “อียายลูกสาวน่ะแกเห็นฉันเป็นตัวเหี้ย หรืออะไรอย่างนั้นแน่ๆ ไม่มีปัญหา”

ประจิตรเดินห่างไป สุนทรีเอนหลังพิงพนักเก้าอี้มองตามเขา พลางยิ้มอย่างเศร้าแกมขำในใจ

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #3 on: 28 October 2025, 19:29:15 »




​ตอนค่ำแห่งวันรุ่งขึ้น ทางบ้านหลวงประเสริฐฯ ผู้ตายกำลังมีการอภิปรายถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของประพันธ์และงามพิศ ทั้งในปัจจุบันและภายหน้า

หลวงประเสริฐฯ มีญาติสนิทอยู่สองคนคือ พี่สาวซึ่งเป็นภรรยานายอำเภอคนหนึ่ง กับน้องชายซึ่งรับราชการเป็นนายทหารชั้นนายพันโท ทั้งสองคนอยู่ต่างจังหวัด แต่ในคราวที่หลวงประเสริฐฯ ถึงมรณภาพนี้ ฝ่ายผู้เป็นอายังมิได้ส่งข่าวอย่างหนึ่งอย่างใดมาถึงหลาน ฝ่ายหลานเมื่อโทรเลขบอกข่าวร้ายไปแล้ว ก็มิได้ติดใจคอยการเกี่ยวข้องจากฝ่ายอาโดยประการหนึ่งประการใด ฉะนั้นการตกลงในเรื่องผู้กำพร้าทั้งสอง จึงขึ้นอยู่กับความเห็นของ ‘คุณป้า’ แต่ผู้เดียว

แต่ความเห็นนั้น พองามพิศได้ยินเข้าก็ร้องไห้ออกมาด้วยเสียงอันดัง เป็นเหตุให้ ‘คุณป้า’ คือ คุณนายเชย จำนงพิทักษ์ราษฎร์ ​เอ่ยขึ้นอย่างฉุนเฉียว

“รู้แล้วว่าหล่อนน่ะไม่อยากไปอยู่กับฉัน เพราะไอ้ฉันน่ะมันอยู่บ้านนอกบ้านนา แต่ว่าหล่อนจะอยู่ในกรุงเทพฯ น่ะ หล่อนจะอยู่กะใคร?”

งามพิศนึกถึงโรงเรียนที่เป็นสถานศึกษาเดิมของหล่อน นึกถึงบรรดาครูที่เคยกรุณาต่อหล่อน แล้วนึกถึงเพื่อนที่เคยสนิทสนมกันมาก แต่พอนึกแล้วก็ได้คิดว่า ตนไม่มีสิทธิและหน้าที่อันใดที่จะไปขอพึ่งเขา

“พ่อประพันธ์น่ะก็ตามทีเถอะ เขาเป็นผู้ชาย อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ แล้วเขาก็ต้องเล่าเรียนให้จบ แกน่ะเรียนแล้วไปทำอะไร เสียเงินเสียทอง แล้วที่สุดเข้ามันก็ไอ้หุงข้าวกวาดเรือน แกน่ะเวลานี้ก็ไม่เป็นประสาอะไรเลย ไปอยู่กับฉันเสียอีกฉันจะได้ให้หัดให้ทำไปทีละน้อย ลุงเขยหรือเขาก็รักแกออกจะตาย ลูกเต้าเขาก็ไม่มี”

ในร่างกายของงามพิศนั้น มีธรรมชาติซึ่งจะก่อเกิดเป็นคุณลักษณะประจำตัวอยู่หลายประการ แต่ธรรมชาติเหล่านั้นยังอ่อนอยู่ทุกส่วน เพราะงามพิศพึ่งจะมีอายุได้ ๑๗ ปี เหตุฉะนั้น การที่จะแถลงความคิดเห็นของตนโดยอาศัยเหตุผลแย้งความเห็นของผู้อื่น จึงเป็นสิ่งที่เหนือความสามารถของหล่อนในปัจจุบันนี้

เมื่องามพิศอยู่กับบิดา ความปรารถนาของหล่อน เปรียบเหมือนความปรารถนาของท่านบิดาเอง งามพิศไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหาเหตุผล เพื่อนำออกแสดงแม้แต่สักครั้ง ทั้งนี้ก็เพราะว่างามพิศไม่มีความปรารถนาอันใด ที่นอกเหนือไปจากความเห็นชอบของ​หลวงประเสริฐฯ งามพิศปรารถนาจะเรียนให้จบหลักสูตรมัธยมบริบูรณ์ หลวงประเสริฐฯ ก็เห็นชอบด้วย เรียนจบแล้วหล่อนปรารถนาจะศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย หลวงประเสริฐฯ ก็เห็นชอบด้วยอีก ส่วนความปรารถนานอกไปจากนี้ เช่น ปรารถนาเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย หรือปรารถนาเที่ยวเตร่บ้างบางครั้งบางคราว หลวงประเสริฐฯ ก็เห็นว่าสมควรแล้ว

ในขณะที่คุณป้าเพ่งเล็งถึงแต่ความครึกครื้นแห่งพระมหานคร และความเงียบเหงาในต่างจังหวัด งามพิศนึกถึงอยู่แต่การศึกษาในวิชาอักษรศาสตร์ ซึ่งหล่อนได้ตั้งต้นมาแล้วเกือบเต็มเทอมและมีความสามารถที่จะศึกษาได้ดีไม่แพ้เพื่อนนิสิตชั้นเดียวกัน แต่ในขณะนี้สมองของหล่อนช่างมืดคลุ้มเสียนี่กระไร คำพูดอันเป็นกิจลักษณะดูเหมือนจะสูญจากความจำไปเสียสิ้น จนปัญญาเข้าแล้วหล่อนก็ได้แต่ร้องไห้

คุณป้าเอ่ยถึงสิ่งที่ใจของท่านจ่ออยู่อีกเป็นครั้งที่สอง

“แล้วไอ้ที่เรียนน่ะ แกเรียนของแกเปล่าๆ ได้เมื่อไหร่ ต้องไปเสียเงินให้เขาไม่ใช่หรือ ปีหนึ่งตั้งร้อยตั้งชั่ง เก็บเอาไว้ยังจะได้ซื้อเข็มขัดนากเข็มขัดทองคาดสวยๆ เงินที่ได้ทำขวัญน่ะ แบ่งให้พ่อประพันธ์เขาครึ่งหนึ่ง แล้วไอ้ที่เหลือก็จะทำดอกเบี้ยได้เดือนละหลายบาท แล้วเวลาหนูไปอยู่กับป้าแล้ว อะไรๆ ก็ไม่ต้องซื้อต้องหา ลุงป้ากินยังไง ใช้ยังไง หนูก็ยังงั้น เวลาที่ตัวเป็นสาวเป็นนางออกบ้านออกเรือนไปก็จะได้มีหน้ามีตา ยังไม่ดีอีกหรือ?”

เมื่อได้ใช้ความคิดหาเครื่องล่อใจหลานสาว จนเต็มความ​สามารถเช่นนี้แล้ว เห็นหลานยังก้มหน้าร้องไห้เรื่อยไป คุณป้าก็เริ่มโมโหอีก จึงตวาดเอาว่า

“อุ้ย จะพูดอะไรก็ไม่พูด เอาแต่ร้องไห้ผะอืดๆ โทโสเกิดแล้วนะ เป็นลูกเป็นเต้าแม่ตีตาย”

ถึงแม้จะตกใจกลัวอำนาจคุณป้ายิ่งนัก แต่อำนาจของตัวที่จะบังคับตัวให้หยุดร้องไห้ก็แรงไม่พอ คุณป้าฉุนโกรธหนักขึ้น จึงหันหลังให้หลานสาวเสียทันที เริ่มต้นปรึกษากับหลานชายสืบไป

“เข้าของๆ พ่อแกน่ะ ป้าไม่เกี่ยวข้องด้วย แกจะขายหรือทำอะไรก็ตามใจแก แต่บ้านนี้ล่ะ แกจะว่ายังไง?”

“ผมจะอยู่ครับ”

“แกจะอยู่เองหรือ? เอ้อเฮอ ผีหลอกตาย ขายเสียไม่ดีหรือ เอาเงินสดมาทำดอกเบี้ยดีกว่า ป้าจะรับไปทำให้เอง ตามหัวเมืองหาดอกเบี้ยได้งามๆ เหมาะๆ เข้าได้ตั้งร้อยละสิบทีเดียว”

“ขายเสียแล้วผมก็ไม่มีที่อยู่” ชายหนุ่มพึมพำตอบ

“ก็เช่าเขาชี เดือนละสี่บาทห้าบาทก็พออยู่ถมไป แกตัวคนเดียวน้องนุ่งก็ไม่มีแล้ว”

ประพันธ์นิ่งอึ้ง ภายหลังจึงตอบว่า

“ผมไม่ทราบจะไปหาที่ไหน”

“โอ๊ย ที่ไหนๆ ก็หาได้ถม ป้าไม่ได้บอกให้แกขายวันนี้พรุ่งนี้นี่นะ หาที่อยู่ได้เมื่อไหร่ถึงค่อยขาย แต่ไอ้โฉนดน่ะป้าจะเอาไปด้วย เอาไว้กับแกเดี่ยวหายเหยไปจะลำบาก”

คำที่ว่า ‘หาที่อยู่ได้เมื่อไหร่ถึงค่อยขาย’ เป็นเครื่องปลอบใจ​ประพันธ์พอแล้ว เขาจึงไม่ได้แย้งว่าอะไรอีก การอภิปรายก็ยุติลงเพียงนี้

เมื่องามพิศอยู่กับพี่ชายเพียงสองต่อสอง หล่อนก็หยุดร้องไห้และเอ่ยถามขึ้นอย่างวิงวอน

“พี่พันธ์ ให้หนูอยู่ด้วยคนไม่ได้หรือ?”

“พี่ พี่...” ชายหนุ่มอึกอัก ใจหายวาบด้วยความสงสาร “พี่ไม่รู้รึ ก็คุณป้าจะเอาหนูไปด้วยนี่”

“ก็หนูไปอยู่หัวเมือง หนูก็ต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยน่ะซี โธ่หนูไม่อยากเลย หนูอยากเรียนของหนูให้จบ” พอขาดคำน้ำตาก็ร่วงพรูออกมานองแก้ม

ตื้นตันในลำคอยิ่งขึ้น ความฉลาดก็ยิ่งน้อยลง ประพันธ์มิรู้ที่จะตอบว่ากระไร

“พี่พันธ์ไม่ช่วยหนูมั่งนี่นา” เด็กสาวพ้อพลางสะอื้น

“โธ่ ทำไมพี่จะไม่อยากช่วย” เป็นคำตอบอันจริงใจที่สุด ทั้งเป็นเสียงร้องของหัวใจด้วย “แต่พี่ไม่มีอำนาจอะไรนี่”

อำนาจ ? ! ! ! ประพันธ์เป็นนิสิตแผนกวิศวกรรมศาสตร์ปีที่ ๒ และมีอายุ ๒๒ ปี แต่เขาก็ยังหารู้ไม่ว่าอำนาจของเขามีหรือไม่เพียงไหน ในกรณีเช่นไร

วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่นางจำนงพิทักษ์ราษฎร์ สั่งให้หลานสาวจัดการเก็บของลงหีบ “พรุ่งนี้โมงเช้าต้องไปทีเดียว ธุระมีทางโน้น” คุณป้ากล่าวแก่หลานสาว

‘ธุระ’ จะหาความได้จากคำที่นางจำนงพิทักษ์ราษฎร์ปรารภแก่​หญิงเพื่อนบ้านของหลวงประเสริฐฯ ว่า “ไม่ได้หรอก ท่านขุนของฉันน่ะเปรียวนัก ทิ้งไว้คนเดียวมากวันละเกิดความทุกที อีคนแถวนั้นก็ชอบให้ท่าเสียด้วย”

สั่งแล้วคุณนายก็ออกจากที่พักไปซื้อของบางอย่างที่ต้องการ นายประพันธ์ไปยังสถานศึกษาตามที่เคยตั้งแต่เวลาเช้า งามพิศก็ร้องไห้พลางทำงานตามคำสั่งของคุณป้าไปพลาง มีนางแม่ครัวมาอยู่เป็นเพื่อน คอยปลอบโยนไปตามความสามารถที่จะทำได้

ตอนกลางคืนเมื่อนอนอยู่ในมุ่งแต่ผู้เดียว และร้องไห้จนสิ้นน้ำตา โดยมิได้บรรเทาทุกข์ลงได้เลย แล้วความคิดแปลกๆ หลายประการได้เกิดขึ้นแก่งามพิศ ซึ่งเมื่อสรุปเข้าก็เป็นรูปอุบายที่จะหลบหลีกการเดินทางในวันพรุ่งนี้ งามพิศยังมิได้เขียนหนังสือลาออกจากมหาวิทยาลัย ด้วยยังไม่ยอมเชื่อว่าตัวเองจะต้องออกเป็นแน่ “เราจะแกล้งทำเจ็บเสีย” หล่อนบอกแก่ตัวเอง “พอคุณป้าไปแล้วเราก็จะไปเรียนใหม่” และอีกขณะหนึ่ง “เราจะหนีไปมหาวิทยาลัยแต่เช้า เราเข้าห้องเล็กเชอร์แล้วคุณป้าจะทำอะไรเรา เย็นลงเราจะไปเสียกะเพื่อน อาศัยเขานอนสักคืนหนึ่งหรือสองคืน พอคุณป้าไปแล้วเราก็กลับมาอยู่บ้านเรา” ต่อจากนั้นก็นอนคิดถึงสหายหญิงบรรดาที่คุ้นเคยกันมาก ทั้งที่เป็นนักศึกษาด้วยกันและไม่เป็น ส่งศรี ประจง ประคอง ฯลฯ ยังไม่เหมาะ ไม่เป็นที่ไว้ใจพอ เหลือแต่อัปษรเป็นเพื่อนรักร่วมใจกัน ตั้งแต่เมื่อเรียนอยู่ในชั้นสามัญ ครั้นล่วงมาถึงขั้นนักศึกษาแล้วก็ยังรักใคร่กันอยู่มาก เห็นทีจะไปอาศัยนอนด้วยได้

แต่ครั้นรุ่งเช้าขึ้นแล้ว ได้ยินเสียงคุณป้าเดินพูดทำนั่นทำนี่ ​ความอ่อนแอก็เกิดขึ้นแก่งามพิศ แผนการทั้งสิ้นที่คิดไว้ก็จะละลายไป วงหน้างามพิศนั้นซีดขาวทั้งตัว ทั้งใจ ทั้งมือ ทั้งเท้า สั่นระริก กระนั้นงามพิศก็ไม่อาจที่จะลงนอนแสดงตัวเป็นคนไข้ คุณป้าเดินวุ่นอยู่ทางหนึ่ง จัดและตรวจของต่างๆ งามพิศอยู่อีกทางหนึ่งโดยลำพัง หล่อนก็ไม่อาจคิดถึงเสื้อผ้าที่เคยสวมไปมหาวิทยาลัย จนกระทั่งคุณป้าเตือนให้แต่งตัว คุณป้าเองแต่งอยู่ทางอีกห้องหนึ่ง งามพิศนุ่งดำและสวมเสื้อคอปกแบบเดียวกับที่แต่งไปศึกษาทุกวัน แต่หล่อนหาอาจที่จะเดินออกประตูบ้านไปขึ้นรถเมล์ดังที่เคยทำทุกๆ เวลาเช้าไม่

ถึงเวลาจะออกจากบ้านไปขึ้นรถยนต์เช่า ซึ่งคุณป้าสั่งให้นายคนสวนไปตามมาไว้ นางแม่ครัวขนของพลางร้องไห้พลาง จนถูกนางจำนงฯ ตวาดเอาอย่างดัง นางสุนัขจูร้อง เต้น หอน อยู่รอบๆ ตัวนายสาว งามพิศมีความรู้สึกเสมือนหัวใจของหล่อนพยายามจะทำลายทรวงอกให้แยกออก เพื่อหาทางหนีออกจากร่าง เกิดความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะให้เหตุการณ์เป็นเช่นนั้นจริง แต่เท้าของหล่อนก็พาตัวหล่อนขึ้นนั่งบนรถเคียงกับคุณป้าโดยเรียบร้อย

ยานยนตร์เคลื่อนออกจากที่ ความบีบเค้นในทรวงอกงามพิศทวีขึ้นโดยแรง เหลียวดูแม่ครัว เด็กชายรับใช้ รวมทั้งนางจู ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความวิงวอน ประดุจจะร้องขอให้ทั้งสามช่วยฉุดตัวไว้จากกำมือคุณป้า ถอนสายตาจากคนและสัตว์ มองหน้าต่างห้องบิดาเป็นครั้งที่สุด ก็พอดีกับรถเลี้ยวมุมถนน ภาพบ้านที่เคยอยู่ลับหายไปทันที

 

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #4 on: 28 October 2025, 19:30:38 »




วันที่นางจำนงพิทักษ์ราษฎร์พาหลานสาวไปจากกรุงเทพฯ นั้นเป็นวันเสาร์ สุนทรีเลิกจากการสอน กลับถึงที่อยู่เร็วกว่าวันธรรมดาสองชั่วโมง เมื่อขึ้นมาถึงตึกชั้นบน ก่อนที่จะเลี้ยวเข้าห้องส่วนตัว หล่อนมองเห็นร่างของชายผู้หนึ่งนอนเหยียดยาวอยู่บนเก้าอี้นวมในห้องหนังสือ หนังสือพิมพ์ที่ถืออ่านอยู่ปิดหน้าเขาไว้ ประหลาดใจและสงสัย สุนทรีจึงเดินมาที่ประตู

ครู่หนึ่ง เขาพับหนังสือพิมพ์ ตามองไปข้างหน้า พอหญิงสาวขยับจะทัก เขาก็เห็นหล่อนและพูดขึ้นก่อนว่า

“อ้าว ! กลับแล้วหรือ? เอ๊ ! ทำไมวันนี้กลับเร็ว?”

“ก็วันเสาร์นี่ เธอล่ะ ทำไมนอนอยู่นี่ ไม่ไปทำงาน”

“เมื่อเช้าตื่นขึ้นเพลียเหลือเกิน ปวดแขนจากไอ้เทนนิสเมื่อวาน เลยโทรศัพท์ไปบอกนายเขาว่าไม่ไปล่ะ”

​หล่อนไม่พูดว่ากระไร พยายามที่จะไม่เปลี่ยนสีหน้า ยืนนิ่งอยู่กับที่นานพอสมควร แล้วก็เดินห่างออกไป

ทันใดนั้นความฉุนโกรธก็เกิดขึ้นในใจประจิตร...งานของเขา เขาไม่รู้หรือว่าเขาหยุดได้หรือไม่ได้...ทำไมถึงจะต้องมาคอยว่าคอยกล่าว ตัวเป็นใคร มาถึงจะมาบังคับกะเกณฑ์ให้เขาทำนั่นทำนี่....

หนังสือพิมพ์ทั้งฉบับกระเด็นหวือ ไปกระจายอยู่กลางห้อง ประจิตรลุกขึ้นนั่งหน้าบึ้งอยู่บนเก้าอี้....เขาเล่นเทนนิสเมื่อวานนี้ไม่ใช่เพื่อความสนุกถ่ายเดียว เขาเล่นเพื่อจะเอาชื่อให้แก่สมาคม และเพื่อจะเอาชื่อให้แก่ชาติ เพื่อมิให้ชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศชนะเจ้าของชาติได้ !!! เมื่อนึกถึงข้อแก้ตัวได้เช่นนี้แล้ว ประจิตรก็ค่อยคลายโมโห เตรียมพร้อมที่จะให้อภัยแก่ผู้ที่มาก่อกวนให้เกิดความรำคาญ เขาเอนตัวลงบนเก้าอี้ดังเดิม ‘ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงไม่ค่อยมีความคิดสำหรับเรื่องพรรค์นี้ !...’

พยายามจะทำที่ตั้งใจไว้ คือนอนพักสักชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ตื่นขึ้นแล้วจะได้ไปสโมสรเพื่อเล่นกอล์ฟซ้อมมือ ไว้เข้าแข่งขันในเดือนหน้า แต่สมองที่ได้ถูกสะกิดให้ตื่นตัวเสียแล้วนั้นไม่ยอมอยู่นิ่ง.... ‘ไม่ทันนึกว่าวันนี้วันเสาร์ ไม่ยังงั้นก็....’

หลับตาอยู่ได้ไม่ถึงนาทีก็ต้องลืมตาขึ้นอีก.....มนุษย์ผู้หญิงคนนั้นทำไมจึงเข้มงวดนัก? จุกจิกอย่างยายแก่ก็ไม่ !...เป็นครูเสียจนเคยตัว เห็นใครๆ เป็นนักเรียนไปเสียหมด....รู้ได้อย่างไรว่าการขาดงานเดือนละครั้งสองครั้ง จะทำให้นายเขาติลับหลัง นายเป็นผู้ชายย่อมจะรู้ว่า ความมีชื่อในทางกีฬาก็เป็นเกียรติอันหนึ่ง....ผู้หญิงก็ดีแต่จู้จี้ ​ยิ่งเป็นครูเคยแต่รักษาระเบียบของโรงเรียน เอะอะก็ระเบียบ.....ระเบียบ....ระเบียบจนเป็นเถรตรง....

สมองทำการคิดต่อไป คิดเร็ว คิดลึก จนเจ้าของสมองไม่รู้ว่าคิดอะไรบ้าง ทันใดเขาเกิดความรู้สึก ในความรู้สึกอยากรู้ ซึ่งบังเกิดขึ้นอย่างแรงกล้า อยากรู้ว่าในขณะนี้สุนทรีมีความคิดในเรื่องตัวเขาประการใดบ้าง เขาเกลียดการที่เขาต้องทายความคิดของหล่อนโดยเดา ทั้งที่รู้ว่าหล่อนกำลังคิดถึงเขาในแง่ที่ไม่ดี ผุดลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้ แล้วก็ลุกจากเก้าอี้เดินออกไปนอกห้อง

ฝีเท้าของเขาทำให้สุนทรีรู้ตัว หล่อนจึงเตรียมตัวไว้รับหน้าเขา ฉะนั้นเมื่อเขาเข้ามาในห้อง จึงเห็นหล่อนนั่งก้มหน้าเคร่งอยู่กับโต๊ะเขียนหนังสือ เขาเดินเข้าใกล้และถามว่า

“ทำอะไร?”

“ตรวจสมุดนักเรียน” หล่อนตอบโดยไม่เงยหน้า

เขาขยับเข้าใกล้อีก เท้าแขนซ้ายลงบนโต๊ะในระยะที่ทำให้ทรวงอกของเขาเกือบประสานกับบ่าของหล่อน สุนทรีไม่ไหวตัว แต่มือถือปากกาหมึกซึมนั้นคงเดินหน้าหรือหยุดนิ่ง แล้วแต่เนื้อความแห่งตัวอักษรบนหน้ากระดาษ เขามองดูตัวอักษรเหล่านั้นโดยไม่เอาใจใส่ ใจคิดถึงผู้ตรวจตลอดเวลา....เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เขามองดูเส้นผมดำเป็นมันซึ่งปกคลุมศีรษะ แล้วลงมารวบเป็นมวยยาวรีรอบท้ายทอย ริมๆ มวยนี้ เขาเห็นผมเส้นละเอียดม้วนบิดตามธรรมชาติเป็นวงน้อยๆ อยู่ตามต้นคอ เขาเคยเห็นเช่นนี้หลายครั้ง ทุกครั้งเขามีความรู้สึกอยากจะจับเล่น และเดาว่าวงผมน้อยๆ นี้คง​อ่อนนุ่มดังเส้นไหมชนิดแท้และละเอียดที่สุด แต่เขายังไม่เคยกล้าที่จะลองทำตามใจ คราวนี้ก็อีก เขายกมือขวาขึ้นแล้ว...แต่ก็ต้องทิ้งมือให้ห้อยลงข้างตัวตามเดิม

มองกลับไปที่สมุด เห็นปลายปากกาขีดปราดลงใต้ประโยคที่มีข้อความว่า ‘ท่านจงรักใครๆ’ เขาถามขึ้นด้วยความสนเท่ห์

“เอ๊ นั่นหมายความว่ากระไร?”

“ก็ดูเถอะ” สุนทรีอุทานโดยเร็ว “นักเรียนชั้น ม. ๘ ยังเขียนภาษาที่ไม่เป็นภาษามาได้”

“ที่ถูกน่ะมันควรจะเป็นอย่างไร” เขารีบถาม มีความดีใจที่จะทำให้หล่อนต้องพูดกับเขามากกว่าที่ได้พูดแล้ว

“ภาษาฝรั่งเศสมีว่า ‘Aimez-vous les uns les autres’ เขาเลยแปลว่า ท่านจงรักใครๆ” แล้วหล่อนก็แก้รูปประโยคนั้น

แต่ประจิตรไม่ทันได้เห็นข้อความที่หล่อนเขียน เขาได้ขยับไปยืนทางหลังโต๊ะตรงหน้าหล่อน พอสุนทรียกมือขึ้นจากสมุดเล็กน้อย เขาก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งมาปิดหน้ากระดาษในสมุดนั้นเสีย หล่อนเงยหน้าขึ้นมองดู เขาก็พูดอย่างครึ่งเล่นครึ่งวิงวอน

“Donnes-moi un peu de ton amour”๑

หล่อนก้มหน้าลงดังเก่าและตอบอย่างเด็ดขาด

“ไม่”

“Je t'an supplie”๒

​“ไม่” หล่อนยืนคำ

“Pourquoi ?”๓

คราวนี้หล่อนเงยหน้าขึ้นแล้วตอบ

“ฉันเกลียดคนไถล”

ดวงตาของหล่อนเพ่งอยู่ที่ดวงตาเขา สีหน้าของหล่อนนั้นขรึม แต่แววตาของหล่อนมีลักษณะดังหยาดลงมาจากฟ้า ประจิตรพูดพร้อมกับถอนหายใจอย่างอ่อนแรง

“Comme tu severe !”๔

คราวนี้หล่อนตอบเป็นภาษาเดียวกับที่เขาพูด

“Non, je suis se’reuse”๕

เขายกมือจากแผ่นกระดาษ สุนทรีก็ผลักกระดาษนั้นไปเสีย แล้วลงมือขีดเขียน เสมือนไม่รู้สึกว่าเขายังยืนอยู่ในที่นั้น

ประจิตรยืนนิ่งดูใจหล่อน ครั้นทนดูอยู่เฉยอีกต่อไปไม่ได้ก็เอ่ยขึ้นว่า

“Je t'aime”๖

เขาเคยแสดงความรู้สึกของเขาในแง่นี้ต่อสุนทรีหลายครั้ง และทุกครั้งเขาแสดงในภาษาที่ไม่ใช่ภาษากำเนิดของเขา เขาถือคำพูดที่เขากล่าวโดยยืมภาษาอื่นมาใช้ย่อมจะไม่มัดตัวเขา แต่ย่อมจะมีความ​หมายตรงกับที่เขาตั้งใจ โดยนัยนี้ถ้าสุนทรีโกรธ เขาก็จะแก้ได้ว่าเขาพูดเล่น ถ้าหล่อนไม่โกรธแต่ปฏิเสธ เขาก็ถือว่าคำปฏิเสธของหล่อนก็เป็นเช่นเดียวกับคำขอของเขา คือไม่เป็นหลักฐานอันใด แต่ถ้าหากหล่อนไม่โกรธด้วย ไม่ปฏิเสธด้วย.....เขาก็...

ถ้าหากหล่อนไม่โกรธด้วย ไม่ปฏิเสธด้วย ? ? ?...ไม่มีวันเสียหละ !!! - ทั้งไม่โกรธ ? ทั้งไม่ปฏิเสธ ?!!...จุ๊ย์ๆๆ เขายังไม่เคยคิดเลยมาถึงเพียงนี้

“Je t’aime”๗ เขากระซิบอีกอย่างร้อนรน

หล่อนทำเหมือนไม่ได้ยิน แต่แก้มทั้งสองข้างร้อนผ่าว

“J'aime ta severite Cherie, je t' adore”๘

หล่อนหัวเราะเป็นเสียงเบาๆ แต่ยังคงเงยหน้าแล้วพูดอย่างเห็นสนุก

“นี่จะมาซ้อมบทรักไปแสดงที่ไหน?” เหลือบตาขึ้นดูเขาแว็บหนึ่ง พอให้เขาเห็นอาการเย้ยหยัน “หรือตาฝาดเห็นฉันเป็นแหม่มปารีส !”

หล่อนก้มหน้าลงเขียนต่อไป ประจิตรมองดูมือที่ถือปากกา ดูด้ามปากกาที่อยู่ในมือ ดูสมุดที่เปิดวางอยู่ตรงหน้า ดูแล้วก็โกรธทุกๆ สิ่งที่ตนดูอยู่นั้น นึกอยากแย่งปากกาจากนิ้วผู้ถือแล้วโยนออกไปทางหน้าต่าง แย่งสมุดมาขว้างออกไปทางประตู อยากจะฉวยมือ....

​มือ ! ถูกแล้ว เขาอยากจะฉวยมือที่ถือปากกา แต่เมื่อฉวยมาได้แล้ว เขาจะทำอะไรกับมือนั้น ?....

ประจิตรถอยห่างจากโต๊ะไปยืนพิงเก้าอี้....

ถ้าเขาหาญพอที่จะจับมือหล่อนในขณะนี้ ย่อมหมายถึงว่าเขาจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่มือ... “จูบเข้าสักที คงโกรธราวกับไฟไหม้ป่า” เขาคิดแล้วก็ยิ้ม

ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่อง

“อย่าลืมว่าวันนี้อย่างน้อยแขกสามคน แล้วไปฟังคอนเสิร์ทที่ราชกรีฑา”

“จุ๊ย์ ! เบื่อ” สุนทรีอุทาน

“ใจแคบ” เขาว่าหล่อนด้วยภาษาที่ไม่ใช่ภาษากำเนิดของเขาตามเคย

“ฮื้อ ! ฉันเบื่อเธอน่ะ จะไปไหนก็ไม่ไป เขาจะทำงานของเขา”

“วันนี้ไม่ตั้งใจจะไปไหน อยากจะอยู่กับพี่สุนทรี”

หล่อนอดยิ้มมิได้ขณะที่ว่า

“สำออย ! ฉันไม่ต้องการอยากอยู่กับเธอ ฉันต้องการจะทำงานของฉันมากกว่า”

“แล้วฉันอยู่ด้วยมันกีดขวางอะไร ฉันไปยึดมือถือแขนเธอไว้รึ ฉันขอแต่เพียงให้ได้อยู่ใกล้ๆ เธอเท่านั้นแหละ”

“โธ่ยังงั้นก็อย่ามาชวนฉันพูดซี ฉันจะรีบตรวจสมุดให้แล้ว คืนนี้ก็จะต้องนอนดึกอีก”

​“ยังงั้นขออาศัยนอนในนี้พอได้เห็นหน้ากันหน่อย ได้ไหมล่ะ เธอจะทำงานก็ทำไป ส่วนฉันจะหลับก็หลับไป” พูดแล้วเขาบ่ายหน้าไปทางเตียงของหล่อน

สุนทรีลุกขึ้นจากโต๊ะทันที “เธอจะมานอนบนเตียงฉันไม่ได้” หล่อนพูดพร้อมกับหัวเราะ แต่สีหน้าแสดงความร้อนใจ

“ทำไม?” เขาย้อนถาม ทำหน้าซื่อ มีความยินดีที่จะได้ทรมานหล่อน

“เพราะเธอเป็นหนุ่มแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ เหมือนแต่ก่อน”

เขานึกขำในคำที่หล่อนว่า จนอยากหัวเราะออกมาดังๆ

“ถึงเป็นหนุ่ม ก็ยังคงเป็นน้องชายเธออยู่ไม่ใช่หรือ” เขาเถียง “แต่ก่อนทำไมถึงนอนด้วยกันได้ ตักแม่เล็กกว่าเตียงเป็นไหนๆ ฉันนอนกินนมข้างหนึ่ง เธอก็นอนกินอีกข้างหนึ่ง.....”

“นั่นมัน ๒๕ ปีมาแล้ว เหมือนกันหรือกับเดี๋ยวนี้ อย่าทำเป็นคนไม่รู้ภาษาไปหน่อยเลย พูดกันหลายสิบทีแล้วไม่ต้องรู้จักเข้าใจ”

หล่อนพูดโดยไม่หัวเราะ และถึงแม้ดวงตาของหล่อนจะหวานฉ่ำอยู่เป็นปกติ ก็มีแววแห่งความฉุนโกรธเจืออยู่ด้วย ประจิตรจึงเหออกอีกทางหนึ่ง

“ตั้งแต่เกิดเรื่องอีตาหลวงที่ตายมาแล้ว ก็เป็นโรคไม่อยากอยู่คนเดียว” เขาว่า “จริงๆ นะไม่พูดเล่น แล้วอยู่กับใครก็ไม่อุ่นใจเหมือนอยู่กับพี่” ถอนใจเล็กน้อย “ไอ้โรคนี้คงติดตัวฉันไปจนตาย”

​หล่อนตอบอย่างไม่ปรานี

“ไม่จริงหรอก ไม่มีฉันเสียเมื่อไหร่โรคก็หาย”

“ไม่จริงหรอก” เขาเลียน “ไม่มีพี่เมื่อไหร่ฉันก็ตาย”

“โอ้ ฉันจะคอยดู คงได้เห็นสักวันหนึ่งหรอก...ราวกับใครเขาจะหลงเชื่อ”

“ก็เมื่อไม่มีพี่ แปลว่าพี่ไม่มีตัวอยู่ในโลก จะจ้างใครไว้ดูแทนจ๊ะ”

“ฉันอาจจะยังอยู่ในโลก แต่....ไม่ได้อยู่ที่นี่ ทำไมฉันอาจ จะ....ไปไหนๆ เสียก็ได้”

“จะไปไหน? ไปไหน? บอกมาทีรึ” ฉวยข้อมือหล่อนมากำไว้แน่น มีอาการคล้ายกับว่าหล่อนทำให้เขาเกิดโทสะขึ้นโดยทันที “กลับไปอยู่กับพ่อ? พ่อเขาก็มีเมีย เธอกินนมแม่ฉันมาตั้งแต่อายุได้เจ็ดวัน เธอจะเห็นพี่น้องของเธอทางโน้นดีกว่าฉันหรือ?”

สุนทรีมองดูเขาอย่างยิ่ง ประหลาดใจและขันระคนกัน แล้วเกิดความนึกสนุกจึงแย้งขึ้นว่า

“ถึงไม่ไปอยู่กับพ่อ ฉันอาจจะ.....”

เขาเริ่มโกรธอย่างจริงจัง “จะอะไร?” เขาถามเร็วแล้วต่ออย่างฉุนเฉียว “แต่งงานรึ? ชะ ยังไงๆ เธอก็แต่งไม่ได้....” ตกใจในคำยืนยันของตนเองจึงแก้ “อย่างน้อยที่สุดในเวลานี้เธอแต่งไม่ได้ เพราะยังไม่มีตัวเจ้าบ่าว สิงห์หรือ? จริงแหละ สิงห์เป็นคนโปรดของเธอ แต่เมียเขาเป็นเพื่อนของเธอเอง แล้วมีใครอีก? แสง? อนุชาติ? เฮ้อมันมีเมียแล้วทั้งนั้น ชั่วแต่มันไม่เอาออกแสดง อ้อ ​หลวงชาญ ! คนโปรดอีกคนหนึ่งก็แต่งงานแล้วอีกเหมือนกัน แต่ว่าสันดานมันป่าเถื่อน เมียมันๆ เก็บไว้ในบ้าน ตัวมันเองมันไปทุกหัวระแหง”

เขาหยุดพูด ฉงนตัวเอง ไม่เข้าใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นแก่ตัว ขมวดคิ้ว กะพริบตา แล้วมองดูสุนทรี บัดนี้เขาโกรธว่าสุนทรีไม่โต้ตอบเขา แทนที่จะทำดังนั้น หล่อนมองตอบเขาแล้วก็หัวเราะใส่หน้าเขาโดยไม่เกรงใจ

ประจิตรผละจากสุนทรี เดินลงส้นกลับไปยังห้องหนังสือ กิริยาวาจาของเขาเองซึ่งพลุ่งพล่านขึ้นโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจนั้นทำให้เขาอาย และเมื่ออายแล้วก็นึกโกรธสุนทรี หาว่าหล่อนเป็นต้นเหตุแห่งความวิปริตของตน ฝ่ายสุนทรีนึกเคืองว่าประจิตรทำกิริยาฉุนเฉียวใส่หล่อนโดยไม่มีเหตุผล ก็หมายใจไว้ว่าจะไม่พูดดีต่อเขาเลย จนกว่าจะถึงเวลาที่เขากับหล่อนอยู่ต่อหน้าแขกด้วยกัน

ครั้นเมื่อใกล้จะ ๑๗ นาฬิกา ประจิตรตื่นนอนและอาบน้ำ แต่งตัวเสร็จเตรียมจะไปสโมสร ในเวลาเดียวกับที่เขากำลังจะลงบันไดไปขึ้นรถ มีรถยนต์อีกคันหนึ่งแล่นเข้ามาจากนอกบ้าน ประจิตรมองเห็นหน้าขาวและบางอยู่ในรถสองหน้า เขาจึงหยุดยืนอยู่บนเชิงบันได แสดงท่วงทีเป็นเจ้าของบ้านเต็มที่

ดรุณีทั้งสองมีอาการประหม่า เมื่อเห็นชายหนุ่มยืนภูมิอยู่ ณ ที่นั้น เจ้าหล่อนซุบซิบกันและเกี่ยงกันให้ลงจากรถก่อน แล้วต่างฝ่ายต่างก็ไม่ลง ประจิตรจึงช่วย เขาลงบันไดไปสองขั้นและถามไปโดยเดา

​“มาหาคุณสุนทรีหรือครับ !”

“ค่ะ” คนหนึ่งตอบ “อยู่ไหมคะ?”

“อยู่ครับ เดี๋ยวผมจะไปบอกให้ เชิญคุณคอยในห้องรับแขกก่อน นั่น ห้องอยู่นั่น”

พูดแล้วเขาหันหลังกลับขึ้นตึก และพอรู้ว่าลับตาหญิงทั้งสองแล้วก็ออกวิ่ง ขึ้นบันไดทีละสองขั้น หยุดชะงักพรืด ! ที่ตรงประตูซึ่งแง้มอยู่ เมื่อได้ยินเสียงร้องดังมาจากข้างในว่า

“ใคร ใคร อย่าเข้ามานะ ฉันกำลังแต่งตัว”

“มีแขกมาหาสองคน” ชายหนุ่มบอก

“เอ๊ะ ใครนะ? เธอไปรับเขาก่อนซี บอกเขาว่าพี่กำลังแต่งตัว”

“รับไม่ได้ เขาเป็นผู้หญิงทั้งคู่ แล้วเกิดมายังไม่เคยเห็นหน้า”

เสียงหัวเราะและฝีเท้าดังใกล้เข้ามาทางประจิตร แล้วเสียงพูดดังอยู่ข้างประตู

“ท่าเห็นจะสวย ไม่ยังงั้นคงไม่ตื่นเต้นถึงกับลงทุนวิ่งขึ้นมาบอกเอง”

“คงสวยสู้พี่เวลากำลังแต่งตัวไม่ได้”

“พิลึก ! สองคนที่มาน่ะเขาไม่ได้แต่งตัวมาหรอกหรือ?”

เขาหัวเราะเยาะความเขลาของหล่อนอยู่ในคอ แล้วจึงตอบ

“เขาแต่งมาแล้ว ที่ไหนจะเหมือนพี่เวลาที่กำลังแต่ง อยากเข้าไปเห็นเวลานี้จัง”

หล่อนเริ่มเข้าใจ จึงท้า

​“อยากเห็นก็เข้ามาซี”

เขาก็เข้าจริงอย่างหล่อนว่า แต่เขาเห็นหล่อนอยู่ในเครื่องแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เพราะเมื่อหล่อนเดินมายืนข้างประตูนั้น หล่อนกำลังขัดกระดุมเสื้อนอก เห็นผิดหวังเขาก็ทำหน้านิ่ว

“พิโธ่ ! ยังงี้เอง นึกว่าจะได้ดูอะไรแปลกๆ”

หล่อนหัวเราะกิ๊ก จับตัวเขาหันและรุนให้ออกนอกประตูพร้อมกับพูด

“ไปเร็ว ไปรับแขกแทนประเดี๋ยว ฉันยังไม่ได้หวีผม”

“ขอตัวที” เขาตอบ ครั้นสุนทรีมองดูเป็นทีถามก็ทำหน้าเบ้

“นักเรียน ! เมื่อแรกคิดว่าเป็นครู แต่พอเห็นใกล้ๆ เลยเกิดนึกรู้ขึ้นมา”

ประจิตรเป็นชายหนุ่มที่ ‘ชอบ’ ผู้หญิงมากก็จริง แต่เขาถือมติของเขาอยู่อย่างหนึ่ง คือไม่ข้องแวะกับหญิงที่ยังเป็นนักเรียนเป็นอันขาด เขามักจะกล่าวแก่เพื่อนชายของเขาบ่อยๆ ว่า “ผู้ชายที่เฟลอร์ดกับนักเรียนน่ะบาปเท่ากับผู้หญิงที่สึกพระ” สุนทรีมีความเห็นว่ามติข้อนี้แสดงถึงความมีหิริโอตตัปปะของเขา และคิดนิยมอยู่ในใจหลายครั้ง ในบัดนั้นหล่อนจึงตอบเขาว่า

“ยังงั้นก็แล้วไป อีกสัก ๒ นาทีฉันก็จะเสร็จ”

ดรุณีที่มาหาสุนทรีเป็นนักเรียนจริงดังประจิตรทาย คนหนึ่งชื่อสายใจ เป็นศิษย์สุนทรีโดยตรงในวิชาภาษาไทยและภาษาฝรั่งเศส อีกคนหนึ่งชื่อสงวน เรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ ๗ ในโรงเรียนของคณะมิชชันนารีคาทอลิก

​สายใจแจ้งแก่ครูของหล่อนว่า สงวนเป็นเพื่อนบ้านข้างเคียงที่รักใคร่สนิทสนมกับหล่อนมาก บัดนี้ สงวนมีความประสงค์จะย้ายจากโรงเรียนเก่ามาเข้าโรงเรียนใหม่ เพื่อจะได้อยู่โรงเรียนเดียวกับเพื่อนรัก แต่เพื่อทั้งสองจะได้เรียนร่วมชั้นเดียวกัน สงวนขอร้องให้หล่อนได้เข้าเรียนในชั้นมัธยม ๘ เสียแต่ในเทอมหน้าทีเดียว “หนูก็เลยพามาปรึกษาคุณครู” สายใจกล่าวในตอนท้าย “เผื่อปีหน้าเราสองคนสอบไล่ได้ ปีหน้าจะได้เข้ามหาวิทยาลัยพร้อมกันอีก”

สุนทรีถามถึงระดับความรู้ของสงวน ถามถึงหนังสือที่ใช้เป็นแบบเรียน ถามแล้วหล่อนนิ่งตรองอยู่ครู่หนึ่ง ภายหลังจึงปรารภ

“น่าเสียดายที่ไม่ได้ย้ายมาเสียแต่ต้นปี เสียเวลาไปเทอมหนึ่งเปล่าๆ”

“เวลานั้นยังไม่ทันคิดค่ะ” สายใจตอบแทนเพื่อน

“แล้วเธอน่ะ แต่ก่อนเห็นว่าจะไม่เข้ามหาวิทยาลัยไม่ใช่หรือ เห็นว่าขี้เกียจแล้วยังไง?”

“แต่ก่อนว่าจะไม่เข้าค่ะ ทีนี้เห็นเพื่อนๆ เขาเข้ากันได้ เลยอยากลองมั่ง”

“เธอน่ะแหละ จะเป็นคนที่เข้าได้ดีกว่าคนอื่นๆ อีกหลายคน” สุนทรีตอบพลางยิ้ม “ขอแต่ให้ตั้งใจเรียนนิดเดียวเท่านั้น”

สาวน้อยซึ่งยังมีกิริยาเป็นเด็กอยู่หลายประการนั้น ยิ้มด้วยความพอใจ แล้วตอบตรงๆ ตามนิสัย

“แต่ถ้าเผื่อสงวนไม่ได้เข้าปีหน้า หนูก็ไม่เข้าค่ะ เอาไว้เข้าพร้อมกันปีโน้น”

​“อ้าว ! จะยอมเสียเวลาปีหนึ่งเทียวหรือ?”

“ก็คุณครูไม่ช่วยสงวนนี่คะ”

น้ำเสียงนี้ สำนวนเช่นนี้ ในจำนวนนักเรียนทั้งหมด จะมีสายใจแต่คนเดียวที่บังอาจใช้ต่อครูสุนทรี ทั้งนี้เพราะสายใจเป็นนักเรียนที่ฉลาดที่สุด และเรียนดีที่สุดในชั้น ความฉลาดและความเรียนดีของหล่อนนั่นเอง เป็นเครื่องลบความบกพร่องในส่วนวาจาและมรรยาทของหล่อน ให้เห็นปรากฏน้อยลงมาก

สุนทรีตอบคำของศิษย์ว่า

“ช่วยรับไว้เรียนชั้น ๘ น่ะได้ คนอื่นเขาเคยมาเข้ากันได้ถมไป แต่กลัวคณิตศาสตร์กับวิทยาศาสตร์จะเรียนไม่ทันคนอื่นเขา เธอต้องช่วยกันเองระหว่างเพื่อนได้ไหมล่ะ หรือไม่ยังงั้นก็หาครูพิเศษสอนเวลาเย็น....”

สายใจหันไปดูเพื่อน แล้วด้วยความใจเร็วก็ถามขึ้นว่า

“หาได้ไหมล่ะครูพิเศษ?”

“ต้องถามคุณพ่อดูก่อน” อีกฝ่ายหนึ่งตอบอ่อยๆ

เคยชินต่อการที่ตนเองย่อมได้สิ่งที่ปรารถนา จากบิดามารดาอยู่เป็นนิจ สายใจกล่าวอย่างมั่นคง

“ได้ซิน่า ฉันจะไปช่วยพูด เมื่อไม่ได้จริงๆ ฉันจะสอนให้เอง”

สุนทรีอมยิ้มด้วยนึกเอ็นดู “มีเพื่อนคอยช่วยอย่างนี้เห็นจะได้การหรอก” หล่อนหนุน “แล้วติดขัดอย่างไร ทีหลังมาปรึกษากันใหม่ ปีนี้สอบไม่ได้ ปีหน้าสอบอีกก็แล้วกัน”

สายใจตบมือขึ้นทันทีด้วยความปราโมทย์อย่างยิ่ง

.

๑. ขอความรักให้ฉันมั่ง ↩

๒. กราบละ ↩

๓. ทำไม ↩

๔. ช่างเข้มงวดเหลือเกิน ↩

๕. ไม่ใช่ ฉันไม่เหลาะแหละ ↩

๖. ฉันรักเธอ ↩

๗. ฉันรักเธอ ↩

๘. ฉันรักความเข้มงวดของเธอ ที่รัก ฉันบูชาเธอ ↩



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #5 on: 28 October 2025, 19:31:50 »




​ที่พักสำหรับนายอำเภอ คือบ้านที่ขุนจำนงพิทักษ์ราษฎร์อยู่นั้น อยู่บนตลิ่งลำน้ำสำคัญที่สุดของจังหวัด ตัวเรือนเป็นเรือนชั้นเดียวแต่ตั้งเสาสูงประมาณ ๓ วา และยกแคร่ไว้ใต้พื้นเรือนเป็นแห่งๆ ขนาดกว้างยาวพอเป็นที่เก็บวางของด้วย นั่งเล่นนอนเล่นด้วยได้สบายในฤดูแล้งเมื่อน้ำขอดก้นแม่น้ำ จะแลเห็นว่าเรือนนี้สูงโพนเพนอยู่บนตลิ่ง ซึ่งแห้งเกราะและแดงด้วยแดดเผา ในฤดูเมื่อน้ำเต็มฝั่งสภาพแห่งเรือนนี้ดูงาม เพราะตั้งอยู่จรดขอบฝั่ง ซึ่งมีต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม แต่ถ้าปีใดน้ำไหลบ่ามาจากทางเหนือมาก เขตบ้านนายอำเภอก็กลายเป็นที่ ตัวเรือนกลายเป็นเรือนชั้นเดียวที่คับแคบ เพราะพื้นที่ใต้ถุนเรือนมีสภาพเป็นใต้ถุนอันนองด้วยน้ำที่ขุ่นเป็นตม สรรพสิ่งของที่เคยวางอยู่กับพื้นต้องถูกยกขึ้นตั้งบนแคร่ ของที่ตั้งอยู่บนแคร่ต้องถูกยกขึ้นบนเรือน

​วันที่นางจำนงพิทักษ์ราษฎร์ พาหลานสาวมาอยู่ด้วยนั้น อยู่ในปีที่ชาวจังหวัดนี้กล่าวกันว่า ‘น้ำมากอักโข’ เหตุฉะนั้นเมื่อรถจะเลี้ยวเข้าประตูที่พักนายอำเภอ ผู้ที่อยู่บนรถและเป็นผู้ใหม่ต่อเมืองนี้ ก็จะมีความคิดว่ายานที่ตนนั่งมาจะพาตนลงน้ำ ความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นแว่บหนึ่งในสมองอันมึนตื้อของงามพิศ

อันความโทมนัสของบุคคล หากว่าได้เกิดขึ้นมากจนท่วมขีดที่จะแสดงออกด้วยกิริยาภายนอกแล้ว ก็กลับเป็นเหมือนกระแสไฟฟ้าที่ทำความชาจนแข็งให้เกิดแก่จิตใจ งามพิศไม่มีความรู้สึกถึงเวลาอันยืดยาวที่ใช้ในการเดินทาง ไม่มีความรู้สึกถึงภูมิประเทศซึ่งตนไม่เคยเห็นมาแต่ก่อน ไม่มีความรู้สึกถึงผู้ร่วมทาง ไม่มีความรู้สึกถึงบุคคลหน้าแปลกใหม่ ซึ่งพากันจ้องมองดูด้วยความทึ่ง ตลอดจนคำปราศรัยของลุงเขย หล่อนก็ไม่มีความรู้สึกว่ามีน้ำหนักไปในทางใด

งามพิศรู้สึกตัวเป็นตัวขึ้นเมื่อหล่อนอยู่ในมุ้ง กำลังจะสวดมนต์ก่อนที่จะลงนอน เกิดความรู้สึกว่าห้องนี้ขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง และสิ่งนั้นคือไฟฟ้าที่ข้างเตียง ซึ่งมืออันเคยชินของหล่อนจะต้องกดสวิทช์ให้สว่างก่อนที่จะพนมมือกราบพระ เพื่อว่าเมื่อสวดมนต์จบแล้ว เอนศีรษะลงกับหมอน มือข้างหนึ่งก็จะหยิบหนังสือขึ้นเปิดอ่านได้ทันที

ครั้นเมื่อรู้สึกตัวว่า ไม่มีไฟสำหรับจะเปิดอ่านหนังสือแล้ว ก็รู้สึกต่อไปว่าตนได้ถูกพรากจาก ‘หนังสือ’ มาเสียแล้วตั้งแต่เมื่อเช้า ‘หนังสือ’ กับตนจะต้องขาดกัน ชีวิตแห่งการศึกษาของตนขาดสะบั้น​ลงแต่บัดนี้ ทันใดนั้นก็เกิดความรู้สึกทั้งปวง ทั้งแสบ ทั้งร้อนในดวงใจ อาการคลุ้มคลั่งประดังกันขึ้นในอก หายใจไม่ทันกับความต้องการ งามพิศอ้าปากเตรียมพร้อมที่จะร้องออกมาให้สุดเสียง

แต่ในอึดใจเดียวกันนั้น มีแสงสว่างสลัวๆ ฉายเข้ามาในห้อง ด้วยมือของคุณป้า ซึ่งแง้มประตูออกแต่เบาๆ แล้วเดินเข้ามาข้างใน งามพิศหมอบลงกับหมอนโดยเร็ว แล้วค่อยๆ เหยียดเท้าออกในท่านอน คุณป้าชะโงกหน้าเข้ามาชิดมุ้ง พึมพำเบาๆ “หลับแล้วรึ” งามพิศบีบตาแน่นและนอนนิ่งที่สุดที่จะนิ่งได้ ได้ยินเสียงฝีเท้าคุณป้าเดินไปมาอยู่รอบมุ้ง ได้ยินเสียงแปะๆ เป็นเสียงประแป้ง ได้ยินเสียงพัดโบก มิช้าความนิ่งนั่นเองก็ทำให้งามพิศหลับไป

เมื่อหล่อนตื่นขึ้นในเวลาเช้า สมองและจิตใจของหล่อนมิได้เปลี่ยนไปจากที่เป็นอยู่ในตอนกลางคืนเมื่อก่อนหลับ ทั้งความบังคับตัว ซึ่งมีอำนาจหนักมากจนถึงกับทำตัวให้เหมือนเครื่องจักร ทั้งความเดือดร้อนกระวนกระวายซึ่งเผากรุ่นอยู่ภายใน ยังคงมีฤทธิ์อยู่เช่นเดิม ทั้งนี้เพราะความหลับแห่งภายนอกคือร่างกาย มิได้ทำให้ภายในคือจิตและสมองหลับลงด้วย โดยนัยนี้แม้ภายนอกซึ่งเป็นแต่เพียงวัตถุจะได้รับการพักผ่อนเพียงพอ ภายในซึ่งเป็นสภาวะไม่ขึ้นอยู่กับวัตถุใดๆ ได้โลดเต้นพลุ่งพล่านอยู่ในโครงร่างอันปราศจากสติ

ขณะแรกที่หล่อนลืมตาขึ้น ก็เห็นรูปจมูกของคุณป้าดุนผ้ามุ้งให้โป่งเข้ามาข้างใน เช่นเดียวกับเมื่อตอนกลางคืน แต่คราวนี้คุณป้าถามว่า “ตื่นแล้วรึ” แล้วท่านก็พูดต่อไปด้วยเสียงซึ่งเป็นคำสั่งมาก​กว่าจะเป็นคำแนะนำหรือเชื้อเชิญ

“ตื่นก็ลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาเสีย ขันอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง น้ำมีแล้ว ป้าตักไว้ให้เสร็จ”

ตามปกติ งามพิศเคยอาบน้ำในเวลาตื่นนอนเช้าเสมอ แต่เมื่อมีผู้สั่งให้ล้างหน้าเจ้าหล่อนก็ทำตาม

เมื่อหล่อนใช้แป้งลูบๆ ไปตามพื้นหน้าพอสักแต่ว่าได้ทาแป้งและหวีผมแล้วใช้คลิ้บสองอันกลัดไว้พอกันรกหน้า คุณป้าพูดว่า “ล้างหน้าแล้วละก็เก็บที่นอนหมอนมุ้งของตัวเองเสียด้วยนะ”

งามพิศหันมาทางเบื้องหลัง เห็นมุ้งกางอยู่ข้างฝาห้อง เกิดความรู้สึกเป็นครั้งแรกในเช้าวันนี้ ว่านั่นคือที่ๆ ตนนอนเมื่อตอนกลางคืน ที่นอนปูอยู่บนเสื่อเหนือพื้นห้อง มิใช่ปูอยู่บนเตียงดังที่ตนเคยนอนเมื่ออยู่ที่กรุงเทพฯ

งามพิศเข้าในมุ้ง ตั้งต้นพับผ้าห่ม เสร็จแล้วเลิกผ้าปูที่นอนขึ้นพับ ช่วงแขนสองข้างของหล่อนยาวกว่าส่วนความกว้างของมุ้ง คุณป้าเห็นมือที่กระตุ้นผ้ามุ้งให้โป่งออกมาบ่อยๆ ก็ทักว่า

“ทำไมไม่แก้มุ้งเสียก่อนจะได้ไม่เกะกะ”

หล่อนวางผ้าปูที่นอน ออกจากมุ้งไปปลดสายมุ้งจากตะปูทั้งสี่มุม แล้วก็ตั้งท่าจะพับมุ้งตามสติปัญญาของหล่อน คือตอนต้นทีเดียว พยายามจะพับด้านยาวเป็นสองทบตามวิธีที่พับผ้าชนิดอื่นทั่วไป แต่มุ้งมิใช่ผ้าที่มีแต่ส่วนยาวและส่วนกว้าง มุ่งมีส่วนสูงด้วยอีกส่วนหนึ่ง คุณป้าผู้ซึ่งกำลังจะออกประตูไปอยู่แล้ว กลับหยุดชะงักหันกลับมาทักว่า

​“เอ ! ลูกคนนี้พับมุ้งก็ไม่เป็น”

คำนี้แทงใจงามพิศโดยแรงเป็นครั้งแรกในระยะ ๒๔ ชั่วโมง ที่หล่อนเกิดความรู้สึกเพราะการกระทบจากสิ่งภายนอก เกิดความอายแล้วประหม่า จนไม่คิดที่จะใช้สติปัญญาหาวิธีให้ดีขึ้น แล้วฮึดฮัดอยู่ในใจ คุณป้าหัวเราะและตรงเข้าจับหูมุ้งข้างที่อยู่ในมือของหลานสาว ปากพูด “ดูไว้นะ เขาพับกันยังไง?” มือก็พับมุ้งที่งามพิศโทษว่าใหญ่โตเกินกำลังแขนของหล่อน มิช้าก็เสร็จเรียบร้อย มีขนาดกว้าง ยาว หนา เท่ากับผ้าห่มนอนนั่นเอง

เสร็จจากการเก็บที่นอนหมอนมุ้ง คุณป้าเรียกงามพิศให้รับประทานอาหาร อาหารนั้นมีข้าวต้มและกับสามจาน งามพิศไม่สนใจในอาหารแม้แต่น้อย แต่เมื่อเห็นลูกหนำเลี้ยบผัด หล่อนรู้สึกปลาบในใจเป็นคำรบสองในเช้าวันนี้

ด้วยเหตุใด? เพราะเหตุที่ว่าลูกหนำเลี้ยบเคยเป็นกับข้าวต้มในเวลาเช้าที่บ้านเก่าของหล่อน เพราะเหตุที่ว่าบิดาของหล่อนชอบกับชนิดนี้ และเพราะเหตุที่ว่าหล่อนเองไม่รู้จักที่จะหัดทำตัวให้รับประทานกับชนิดนี้ได้เลย แล้วงามพิศนึกถึงคำท่านบิดาและมารดาของหล่อนเคยปรารภต่อกัน นึกขึ้นเองโดยมิได้ตั้งใจในสมองอันมึนชาคล้ายกำลังฝัน แต่เห็นภาพและจำคำได้เหมือนกับได้เห็น และได้ยืนอยู่เฉพาะหน้าบัดนั้น มารดากล่าวว่า “ลูกคนนี้หัดยากเหลือเกิน กระทั่งจะหัดให้กินก็ไม่ค่อยยอมเชื่อ” และบิดากล่าวตอบ “บทมันจะเป็น มันเป็นของมันเอง”

ลุงเขยนุ่งโสร่ง ใส่เสื้อชั้นใน นั่งอยู่เบื้องขวา คุณป้านุ่งผ้าลาย ​ใส่เสื้อชั้นในเหมือนกัน นั่งอยู่เบื้องซ้าย พูดว่า “เออ ! กินข้าวได้มากดีจะได้อ้วน” งามพิศจึงนึกได้ว่าตนกำลังจะปล่อยให้คุณป้าตักข้าวต้มให้เป็นทัพพีที่สาม

รับประทานแล้ว คุณป้าลุกจากที่เก่าไปนั่งที่เฉลียง ชวนงามพิศให้ไปนั่งด้วยโดยคำว่า “มานั่งเล่นทางนี้แน่ะ ยกเชี่ยนหมากของป้ามาด้วย”

งามพิศยกเชี่ยนหมากไปตั้งให้ แล้วก็เหลียวหาที่นั่ง คุณป้ามองดู คอยจะให้หล่อนทำอย่างอื่นก่อน ครั้นเห็นหล่อนไม่ทำจึงว่า

“ลูกคนนี้ให้เรือไม่ให้พาย”

‘เรือ’ หมายถึงเชี่ยนหมาก เพราะฉะนั้น ‘พาย’ ย่อมหมายถึงกระโถน แต่งามพิศไม่เข้าใจทั้งสองคำ คุณป้าจึงต้องแปล

“เอากระโถนมาด้วยซียะ”

มองจากระเบียงเรือน จะเห็นถนนสายยาวผ่านหน้าบ้าน เห็นที่ว่าการอำเภอ เห็นอาราม เห็นตัวโรงเรียนซึ่งอยู่ในเขตอาราม คนละฝั่งถนนกับที่พักนายอำเภอ หน้าตัวโรงเรียนมีที่กว้างใหญ่สำหรับเป็นที่เด็กเล่น เป็นลานดินซึ่งมีหญ้าขึ้นหรอมแหรมและบางแห่งเป็นหลุมเป็นบ่อ มีน้ำขัง เด็กนักเรียนเดินมาจากถนนอื่นก็มี ผ่านถนนสายหน้าบ้านนายอำเภอก็มี หย่อยกันมาทีละหมู่น้อยๆ หมู่ละสามคนบ้าง สี่คนบ้าง ตลอดจนถึงแปดคน และที่ใช้จักรยานสองล้อก็มี นั่งจักรยานสามล้อคันละ ๒-๓ คนก็มี บ่ายหน้าไปยังโรงเรียน บางคนร่าเริงพูดคุยหัวเราะเฮฮา บางคนขรึมแต่แจ่มใส บางคนเคร่งเครียดแต่สีหน้าชื่นบาน บางคนซนมาก เดินไม่ตรงทาง ส่าย​ไปมาดังงูเลื้อย งามพิศมองดูเด็กเหล่านั้นอยู่นาน มองอย่างเพ่งเล็ง มองทั้งหน้าทั้งตัวทั้งกระเป๋าหนังสือในมือเด็ก ครั้นแล้วเกิดความคิดขึ้นในสมอง เป็นเนื้อความที่ชัดเจนและซ้ำแล้วซ้ำอีกอยู่ เนื้อความเดียว “เด็กพวกนั้นไปโรงเรียน เด็กพวกนั้นไปโรงเรียน”

กรุ๊ก กรุ๊ก กรู๊ กรุ๊ก ! กรุ๊ก กรุ๊ก กรู๊ กรุ๊ก ! เสียงนกเขาขันอยู่ทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งงามพิศคิดอยู่ว่า “เด็กพวกนั้นไปโรงเรียน เด็กพวกนั้นไปโรงเรียน หมู่นั้นสองคน หมู่นี้ห้า อ๊ะ! ไม่ใช่สี่เท่านั้น หมู่โน้นเจ็ด เด็กพวกนั้นกำลังจะไปโรงเรียน”

ขุนจำนงฯ เดินมาจากกรงนกเขา พูดแก่ภรรยาว่า

“ไม่พาหลานไปเที่ยวตลาดมั่ง แม่เชย?”

“ฉันว่าจะไม่ไปนะวันนี้” อีกฝ่ายหนึ่งตอบ “เมื่อยมาจากกรุงเทพฯยังไม่หาย สั่งให้นางแหววซื้อกับข้าวเสร็จแล้ว หรือคุณจะเอาอะไร?”

“เปล่า ! ไม่เอาหรอก แต่เห็นว่าแม่งามพิศแกมาถึงใหม่ๆ เผื่อแกอยากจะเที่ยว”

“ไปหรือ ไปเที่ยวตลาด?”

เที่ยว? เปล่าเลย งามพิศไม่อยากเที่ยวเป็นอันขาด สิ่งที่หล่อนอยากนั้นคือ ไม่ทำอะไรเลย ! ไม่ทำ....ไม่พูด....ไม่คิด โอ ! ไม่คิด! ไม่คิด ! ไม่คิด ! ให้สมองอยู่เฉย ให้จิตใจตายด้าน ให้ร่างกายปราศจากความรู้สึก แต่เมื่อคุณป้าถามว่า “ไปหรือ ?” หล่อนก็ต้องตอบว่า “ไปค่ะ”

โรงสังกะสีมีแต่หลังคา ฝาไม่มี ยาวประมาณสองเส้นเศษ ​กว้างประมาณ ๑๒ วา ยกพื้นเป็นร้านๆ สูงระหว่างศอกหนึ่งกับสองศอก กับห้องแถวหลังคาสังกะสีปลูกติดต่อกันเป็นแถวยาว หันหน้าเข้าประจบโรงสังกะสีทั้งสองแถว คือตลาดที่งามพิศ ‘ไปเที่ยว’ ตลาดแท้คือร้านที่อยู่ในโรงสังกะสีนั้นออกขายเป็นเวลา คือเวลาเช้าผู้ขายเป็นไทยมากกว่าจีน และไทยที่ขายอยู่เป็นหญิงทุกคน ส่วนตลาดข้างเคียงคือห้องแถวยาวนั้น เปิดร้านขายตลอดวัน ตั้งแต่เช้าจนกลางคืน บางร้านเปิดจนถึงเที่ยงคืนล่วงแล้ว ทุกๆ ร้านมีจีนเป็นเจ้าของ

ทางเดินในตลาดทั้งสองเป็นดินปนทราย แต่บาทวิถีตามหน้าห้องแถวเป็นอิฐปนดิน เด็กเล็กๆ วิ่งเล่นอยู่เกรียวกราว ที่เล็กลงไปอีกดูเขาเล่นบ้าง เดินหรือคลานเตาะแตะตามหน้าร้านบ้าง ส่วนมากที่สุดของเด็กเหล่านี้เปลือยกายล่อนจ้อน หรือมิฉะนั้นก็ผูกเอี๊ยมหรือสวมกางเกง ไม่ยอมเปียก บางคนมีขนมอยู่ในมือ ครั้นเกิด ‘ทุกข์’ ขึ้นมาก็ถ่าย ‘ทุกข์’ ลงตรงบาทวิถี นางซิ้มที่เป็นมารดาวิ่งมาถึง ฉวยปีกสองข้างนิ้วเข้าไปในร้านพลางส่งเสียงขรม เด็กน้อยตกใจร้องไห้ เด็กอื่นๆ เห็นเป็นของขัน ชี้ให้เพื่อนดูแล้วก็หัวเราะ

งามพิศตามหลังคุณป้าไปตามทางเหล่านี้ เดินบ้าง หยุดบ้าง แล้วแต่คุณป้าจะนำ มองดูของต่างๆ ที่วางขายแขวนขาย โดยไม่มีความรู้ความเข้าใจว่าเป็นของชนิดใด ชาวร้านพากันมองดูหล่อนอย่างทึ่ง เพราะในต่างจังหวัดนั้น ทุกคนย่อมรู้จักว่าใครเป็นใคร เมื่อเห็นคนหน้าใหม่เขาก็พากันอยากรู้ใหม่อีก

ตอนกลางวัน ที่บ้านขุนจำนงฯ ไม่มีการรับประทานข้าว ใช้​แต่ของว่างที่แม่ค้าพ่อค้าหาบมาขาย เช่นขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ เป็นอาหาร และงามพิศก็รับประทานอาหารอย่างเดียวกับที่คุณป้ารับประทาน เพราะเหตุที่คุณป้าได้ถามหล่อนว่า “กินนี่ไหม?”

ตอนเย็นมีแขกมาหาคุณป้า คุณป้าพาแขกไปที่ระเบียงเรือนโดยมิได้เรียกหลานสาวไปด้วย งามพิศรู้สึกเหมือนกับว่าถูกจองจำอยู่ แล้วเครื่องจองจำนั้นขาดหลุดไป แต่พร้อมกันนั้นก็ให้งุนงง มิทราบจะทำอะไรกับตัวเอง หรือจะให้ตัวเองทำอะไร ที่ร้ายที่สุดนั้นหล่อนรู้สึกว่า พอห่างจากคุณป้า สมองของหล่อนก็ตั้งต้นคิด และการคิดนั้นหล่อนเข็ดคร้ามอย่างที่สุด มิอยากที่จะให้เกิดขึ้นอีก

ลุกจากที่นั่งเก่าไปยืนเท้าลูกกรงที่หลังเรือน เสียงนกเขาขันอยู่ในที่ใกล้ เสียงเดียวกับเมื่อตอนเช้าคล้ายกับว่าไม่ได้หยุดขันเลย ตั้งแต่บัดนั้นมาจนเย็น....ต้นอะไรหนอ โตใหญ่ขึ้นอยู่ที่ริมฝั่งน้ำฝูงนกนับร้อยบินขึ้นบินลงอยู่รอบๆ ส่งเสียงดังจอแจ...นั่นนกอะไรโดดไปโดดมาอยู่บนพื้นดิน แล้วบินแฉลบหายไปทางทิศหนึ่ง นี่ก็อีก บินมาเป็นคู่ๆ จะพากันไปไหน...? นกเอ๋ยนก ตัวเจ้านิดเดียว ปีกเจ้ากล้า ขาเจ้าแข็ง เจ้านึกจะร้อง เจ้าก็ร้อง เจ้านึกจะเต้นเจ้าก็เต้น เจ้านึกจะบินเจ้าก็บิน เจ้าได้ความอิสระมาด้วยบุญใด ? เรือลำเล็กๆ มีคนนั่งพอสมขนาดลอยไปตามสายน้ำ ผู้ชายนั่งหัว ผู้หญิงนั่งท้ายคอยคัดคอยวาด เด็กนั่งกลางเหยียดเท้าไปทางพ่อ แต่เบือนคอมาทางแม่ พ่อแม่ลูกเขาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า สุขหรือทุกข์ มีหรือจน เขาก็ยังได้เห็นหน้ากัน แต่งามพิศนั้นไม่เห็นหน้าใครเลย

​กู้ฮุกกู ! กู้ฮุกกู ! เสียงนกเขาขัน ! อ้อ ! เจ้านกเขาขัน เจ้าก็ขันได้ บินเจ้าก็บินเป็น เจ้าทำบาปอันใดไว้เล่าจึงมาต้องถูกกักขัง แพไม้ไผ่หันรีหันขวางมาจากทางใต้ คนถ่อเขาจะถ่อเจ้าขึ้นบน แพเอ๋ยมารับเราไปด้วย ถึงแดดร้อน น้ำเชี่ยว ลมกล้า พายุพัด น้ำค้างพรม ฝนตก เราก็จะขอไปกับเจ้า

กู้ฮุกกู ! กู้ฮุกกู ! อ้อ ! เจ้านกเขา ขนเจ้าก็งาม เสียงเจ้าก็เพราะ ปีกเจ้าก็กล้า ขาเจ้าก็แข็งเหมือนนกอื่น ทำไมเล่าเจ้าจึงบินร่อนไปมาไม่ได้เหมือนเขา.....อ้อ ! เขาจับเจ้ามาขังไว้ เพราะเจ้าขัน เพราะ เจ้าทำเวรอันใดไว้เล่าจึงมีความสามารถอันเป็นภัยแก่ตัว ? และที่อยู่ของเจ้าก็สูง ที่กินของเจ้าก็ใหญ่ เหตุใดเจ้าถึงมาถูกขังอยู่ในกรง

กรุ๊ก กรู๊ กรุ๊ก ! กรุ๊ก กรู้ กรุ๊ก เจ้านกเขา เจ้าคูหาใคร? หาพ่อหรือหาแม่ หรือหาพี่น้องหาสหาย? เจ้านกเขา เจ้าจะคูไปไย ให้เปลืองเสียง เจ้าก็เหมือนกับเราถึงจะเรียกจนคอแหบ ถึงจะร้องจนเสียงหลง ถึงจะสะอื้นจนสายตัวขาด เจ้าก็แหกกรงออกมาไม่ได้.....

พ่อ ! งามพิศรู้สึกดังใจจะขาดลงบัดนั้น เมื่อเกิดความคิดขึ้นอย่างแจ่มแจ๋วขึ้นเป็นครั้งแรกว่า การเสียไปซึ่งบิดาทำให้หล่อนสิ้นหวังที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดตามความปรารถนาตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พ่อ ! พ่อถูกเขาฆ่า !...อ้ายคนนั้น...ขอให้มันตกนรกร้อยชาติพันชาติ อย่ารู้ผุดรู้เกิด.....

“แม่พิศ... เย็นค่ำยังไม่อาบน้ำอีกหรือ? อะไรต้องให้ป้าเตือน​ไปเสียหมดทุกอย่าง....”

วันล่วงไปอีกวันหนึ่ง แล้ววันที่สอง ที่สาม ที่สี่ก็ล่วงตามไป งามพิศก็คงเป็นงามพิศในวันแรก ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง เช้าขึ้นหล่อนก็เก็บที่นอนหมอนมุ้ง แล้วรับประทานข้าวต้ม แล้วย้ายจากที่รับประทานไปนั่งทางเฉลียงหน้าเรือน เด็กนักเรียนก็เดินมาเป็นหมู่ๆ งามพิศก็มองดูราวกับดูภาพยนตร์หรือละครที่กินใจอย่างสุดซึ้ง ในเวลาที่ตาดูเจตสิกของหล่อนหวนนึกเห็นภาพศึกษาในมหาวิทยาลัย เห็นท่าอาจารย์ที่แสดงปาฐกถา เห็นความสว่างกระจ่างแจ้งที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างสูง เห็นตัวเองเขม้นขะมักจดปาฐกถาที่อาจารย์แสดง เห็นความใส่ใจอย่างยิ่งในสิ่งที่ตนได้ยินใหม่ได้ฟังใหม่ บางคราวเจตสิกถอยหลังไปไกลกว่านั้น งามพิศเห็นห้องเรียนที่เคยเรียนในสมัยเมื่อยังเป็นนักเรียนสามัญ เห็นการซุกซนของเพื่อนและของตัวเองในเวลาที่เกิดความเบื่อในบทเรียน เห็นความเบิกบานในเมื่อมีความเข้าใจในบทเรียนใหม่อย่างแจ่มแจ้ง แล้วจะทำงานที่ได้จากบทเรียนนั้นได้อย่างถูกต้อง เห็นความเกียจคร้านที่จะต้องทำงานระคนกับความดีใจที่จะได้พบเพื่อนฝูงในวันโรงเรียนเปิด เห็นความดีใจที่จะได้พักผ่อน และเศร้าใจที่จะต้องห่างเพื่อนฝูงในวันปิดเทอม

เมื่อเจตสิกของงามพิศเห็นตนเองและเพื่อนๆ เป็นอย่างไร ก็ยกเอาข้อที่เห็นนั้นไปใส่ใจเด็กที่เดินเป็นหมู่ เกิดความเชื่อว่าตนเองที่เคยเป็นเด็ก เคยมีความรู้สึกเช่นไร เด็กเหล่านี้ผ่านมาที่จะเติบโตขึ้นมาเท่าตน ก็คงมีความรู้สึกเช่นนั้น แล้วก็เกิดความรักต่อหมู่​มนุษย์เล็กๆ ซึ่งตนไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของเขาประดุจเป็นสหายสนิทสนมมานมนาน

วันหนึ่ง เมื่องามพิศลุกจากที่รับประทานอาหารมานั่งกับคุณป้าทางหน้าเรือน หล่อนไม่เห็นนักเรียนเดินผ่านมาเหมือนเช่นเคย นั่งอยู่ต่อไปจนสาย เด็กเหล่านั้นก็ยังคงไม่ผ่านมา งามพิศก็เศร้าสร้อยประดุจว่าส่วนแห่งความสุขอันมีอยู่เป็นจุดน้อย ในความรันทดอันใหญ่หลวงนั้นได้ขาดลอยไปเสียอีกส่วนหนึ่งด้วยแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะว่าจิตใจของมนุษย์จำเป็นจะต้องมีที่ยึดอันเป็นที่เย็นคือ เมื่อยึดอยู่แล้วก็ไม่ต้องรับการทรมานจากการยึดนั้น จิตใจของผู้ที่ยังไม่ถึงชราภาพย่อมมี ‘ความหวัง’ เป็นที่ยึด คือยึดเอาอนาคตกาล ซึ่งตนคาดว่าจะนำความสำเร็จผล หรือความสุขมาให้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงใจให้ชุ่มชื่น ส่วนจิตใจของผู้ที่ชราแล้วย่อมมี ‘ความจำ’ เป็นที่ยึด คือยึดเอาการกระทำและความเป็นอยู่ที่ดีของตนในอดีต เป็นเครื่องระงับความขุ่นมัวในปัจจุบัน ส่วนงามพิศเล่าว่า น่าอนาถหนักหนานัก อายุเพิ่งจะจากความเป็นเด็กเข้าสู่ความเป็นสาวทั้งร่างกายและจิตใจ กำลังก้าวหน้าไปสู่ความเจริญขึ้น และยังจะเจริญไปเช่นนี้ได้อีกนาน หล่อนต้องมาตั้งต้นใช้ ‘ความจำ’ เป็นที่ยึดเสียแต่บัดนี้แล้ว ‘ความหวัง’ ทั้งมวลของหล่อนขาดสะบั้นแหลกลาญจนไม่มีชิ้นดี

หลังจากที่ได้เล่าเรียนศึกษา จนเกิดความมักใหญ่ใฝ่สูงในทางนี้ ตลอดจนได้พบปะวิสาสะกับผู้ที่รุ่งโรจน์ไปด้วยวิชา แล้วตนเองก็พลัดมาอยู่ในหมู่ชนซึ่งมีสภาพความเป็นไปแสดงชัดว่าเขา​ไม่มีความคิดนึกถึงสิ่งอื่น นอกไปจากสิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิตประจำวัน ทั้งไม่มีช่องทางอันใดเลยที่จะพาตนกลับไปสู่สมาคมที่ตนจำต้องละไว้เบื้องหลัง งามพิศก็มีแต่จะเกลียดกลัวอนาคตกาลอันมืดดำ ซึ่งถ้าหล่อนเพ่งเล็งหนักขึ้นเท่าใด ก็จะเกิดความเศร้าแสยงหนักขึ้นเท่านั้น

 

Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.092 seconds with 17 queries.