Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
01 November 2025, 06:03:19

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง นิจ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 9-10
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง นิจ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 9-10  (Read 71 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 28 October 2025, 16:45:41 »

นวนิยายเรื่อง นิจ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 9-10




แสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์ในเวลาเช้าสาดเข้ามาในห้องเต็มที่ ต้องกายของหญิงสาวซึ่งกำลังหลับสนิทอยู่บนเตียง หล่อนขยับตัวและลืมตาขึ้นมองดูรอบห้องอย่างประหลาดใจ ที่เห็นตัวเองอยู่ในห้องซึ่งผิดจากห้องที่เคยอยู่ พอสมองได้รับความพักผ่อนพอแล้วเริ่มทำงาน จึงนึกได้ว่าหล่อนนอนอยู่ในบ้านพักที่ตำบลหัวหิน ซึ่งหล่อนมาถึงในตอนบ่ายวันก่อน นิจลุกขึ้นนั่งยกมือขึ้นลูบผม พอนึกอะไรขึ้นได้อย่างหนึ่งก็โดดลงจากเตียงโดยเร็ว และวิ่งไปที่ประตูก้มตัว​ลงมองลอดช่องกุญแจออกไปข้างนอก

“ตายจริง! คุณหลวงตื่นแล้ว!” หล่อนรำพึง พลางลงมือล้างหน้าและแต่งตัว “มีอะไรล้างหน้าล้างตาหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผ้าเช็ดตัวก็อยู่ในนี้ ถ้าเห็นจะนึกแช่งเราในใจเป็นแน่ ช่างปะไรเอาให้เข็ด ดูทีหรือจะกล้าว่าอะไรบ้าง” หล่อนหัวเราะด้วยความพอใจ เมื่อนึกถึงภาพที่หล่อนแอบเห็นทางช่องกุญแจเมื่อคืนนี้ สามีของหล่อนแสดงความประหลาดใจ แลฉุนเฉียวเป็นอันมาก เมื่อเห็นเตียงผ้าใบตั้งอยู่หน้าห้อง มีหมอนและผ้าห่มของเขาเองวางอยู่พร้อม เขาถามละไมด้วยเสียงห้วน ๆ ตามเคยว่า

“เตียงนี้ตั้งไว้สำหรับใคร?”

“สำหรับท่านเจ้าคะ!”

“ใครเป็นคนสั่ง” เขาถามเสียงเขียว

​“คุณเจ้าค่ะ” เสียงละไมชักสั่นเล็กน้อย

นิจเห็นเขาหันมาดูประตู ที่หล่อนลงกลอนไว้เรียบแล้ว และถามเบาๆ เกือบเท่ากระซิบ

“คุณหลับแล้วหรือ?”

“ยังไงก็ไม่ทราบเจ้าค่ะ”

“ฉันถามว่านอนนานแล้วหรือ?” เสียงอย่างเกรี้ยวกราด

“ไม่นานนักหรอกเจ้าค่ะ พอดิฉันหยิบหมอนกับผ้าห่มออกมาแล้วก็ปิดประตู ประเดี๋ยวท่านก็มาถึง”

เขาไม่พูดว่ากระไรอีก เอามือกอดอกมองดูเตียงมองดูโคมซึ่งแขวนอยู่ตรงหน้า แล้วก็มองออกไปนอกบ้าน นิจไม่ทราบว่าเขาทำอะไรอีก ต่อจากนั้น หล่อนขึ้นเตียงและนอนหลับเหมือนตุ๊กตา

​นิจแต่งตัวเสร็จ รีบออกจากห้องโดยเร็ว ที่ระเบียงหน้าห้องไม่มีใครอยู่ จึงเดินเรียบระเบียงไปทางข้างห้อง ซึ่งอาจมองเห็นหาดทรายและทะเลได้ชัดเจน หลวงธนสารกำลังเดินหันหลังมาทางนิจ ก้มหน้าก้าวเท้าหนักดังตึกๆ เห็นได้จากควันโขมงไล่หลังเขาไป ว่ากำลังดูดบุหรี่ถี่ๆ อันเป็นกิริยาที่เขาเคยแสดงเสมอในเวลาพื้นเสีย นิจแสร้งลากรองเท้าแตะให้ดังขึ้น แล้วเดินไปยืนพิงลูกกรง มองดูทะเลซึ่งอยู่ห่างจากสายตาเพียง ๔-๕ เส้น จากหางตาหล่อนเห็นเขาหยุดเดิน เหลียวมามอง แล้วกลับหลังหัน เดินลงส้นให้หนักยิ่งขึ้น ผ่านหล่อนไป นิจยืนนิ่งอยู่จนแน่ใจว่าเขาเข้าห้องแล้ว หล่อนก็ไปครัวช่วยละไมเตรียมอาหารจนเสร็จแล้ว กลับออกมาเห็นสามีนั่งอยู่บนอาสน์ที่เขานอนเมื่อตอนกลางคืนนั่นเอง และสูบบุหรี่ตามเคย

​นิจกลับเข้าห้องเพื่อทำความสะอาด บ้านที่ทั้งสองพักนั้น เป็นเรือนเตี้ยๆ ชั้นเดียว หันข้างให้ทะเล บ้านนี้เป็นบ้านหนึ่งในจำนวนหลายบ้านซึ่งเป็นของเจ้าพระยานครินทร์ฯ อยู่ใกล้ๆกับบ้านที่ท่านอยู่เอง ชั่วแต่มีบ้านอีกบ้านหนึ่ง ที่พระยาสุรแสนกับคุณหญิงพัก คั่นอยู่ตรงกลาง บ้านที่นิจอยู่นั้นเล็กกะทัดรัดมีห้องสองห้อง ซึ่งนิจยกให้คนใช้ทั้งสองคนห้องหนึ่ง ห้องที่นิจนอนใหญ่กว่า มีหน้าต่างซึ่งอาจมองเห็นทะเลได้ถนัด อาศัยความอารีของเจ้าคุณนครินทร์ ฯ เจ้าคุณได้จัดหาโต๊ะเครื่องแป้งกับโต๊ะเขียนหนังสือให้บุตรสาวกับบุตรเขยได้ ยังมีของสิ่งหนึ่งที่ไม่จำเป็นก็อุตส่าห์มี คือกระจกกรอบทองเก่าๆ สำหรับแต่งตัว ติดอยู่บนฝาห้องตรงกันข้ามกับโต๊ะเครื่องแป้ง นิจจัดโน่นนิดนี่หน่อยเรียบร้อยแล้วก็ออกจากห้องไปหาสามี

​“จะรับประทานอาหารหรือยังคะ?” หล่อนถาม

“กินก็ได้” หลวงธนสารตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่กำลังอ่านอยู่

นิจเลือกเฉลียงทางที่อยู่ใกล้ทะเลเป็นที่รับประทานอาหาร โต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กๆ ปูผ้าขาวสะอาดเอี่ยมขวดปักดอกไม้ขวดเล็ก จัดด้วยดอกเทียนตั้งกลางโต๊ะ ผ้าเช็ดมือซักรีดเป็นมันอยู่ในปลอกเงิน ช้อน ซ่อม มีด เครื่องนิ้วและขวดเจียระไนที่ใส่ผักดอง ทุกสิ่งทุกอย่างดูสะอาดน่าดึงใจให้ผู้รับประทานรู้สึกเอร็ดอร่อย นิจจัดการเหล่านี้ด้วยตั้งใจจะให้ถูกอารมณ์สามี

ระหว่างรับประทาน หนุ่มสาวต่างไม่ปริปากพูดเลย การรับประทานอาหารด้วยกันเฉพาะสองอย่างนี้ไม่ค่อยมีบ่อยนัก สามีทำหน้าเจิ่นๆ กลืนอาหารไม่ลงคอ ภริยาทำท่าเหมือนอร่อยเสียเต็มที แท้ที่จริงรับประทานไส้กรอกไม่ทันหมดสิ้น และขนมปังไม่ทันหมดแผ่น​ต้องอาศัยน้ำช่วยตั้งครึ่งถ้วยแก้ว กาแฟได้รับเกียรติยศมากกว่าอาหารอื่นเพราะกลืนง่าย หลวงธนสารรับประทานทั้งสองถ้วย ซึ่งเกินกว่าปกติถึงเท่าตัว ขณะที่ถ้วยที่สองจวนจะหมด ไม่ทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้น ทำให้เปิดปากออก

“เมื่อคืนคุยกับตาจำลองเพลินไป กลับช้าหน่อยเดียวปล่อยให้นอนตากฝนได้”

“อ้อ! เมื่อคืนฝนตกหรือคะ?” นิจถามอย่างซื่อที่สุด

“ตก! มากด้วย สาดเข้ามาจนถึงที่นอน นึกว่าหวัดจะกินเสียแล้ว ผ้าห่มก็หนาไม่พอ”

“อ้าว! นิจก็ไม่ทราบ เอาผ้าห่มมาเฉพาะสองผืนเท่านั้น แต่ไม่เป็นไร ลองไปถามที่คุณแม่ บางที่จะมี ถ้าหาไม่ได้เอาผืนของนิจก็แล้วกัน นิจจะปิดหน้าต่างเสียให้หมด ในห้องไม่หนาวเท่าไหร่”

​สามีทำท่าอึดอัด นิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า

“ผ้ากี่ผืนก็หนีละอองฝนไม่พ้น ฉันนอนคลุมหัวไม่เป็น”

นิจเอามือเท้าคางทำท่าตริตรอง

“ถ้ายังงั้นเห็นจะต้องหามู่ลี่ผ้าใบ” หล่อนว่า

นิ่งอึดอีกครั้งหนึ่ง “ไม่ไหวละ ฟ้าแลบเข้าตาออกจะตายไป คืนนี้ต้องเข้าห้อง เมื่อคืนนี้คุยเพลินจนเผลอไป”

นิจยกมือขึ้นปิดปาก กลืนหัวเราะลงในคอด้วยความลำบาก ในที่สุดลุกขึ้นยืนพูดว่า

“คุณพ่อสั่งนิจให้ไปหาเจ้าคุณนครินทร์เช้านี้ จะไปด้วยกันไหมคะ?”

“ไปไหนก็ไปทั้งนั้นแหละ” เขาตอบห้วนๆ “นี่” เขาเอ่ยขึ้นอีกเมื่อนิจเดินห่างออกไป “ฉันจะ​ต้องนุ่งผ้าไหม?” หรือไปทั้งกางเกงอย่างนี้ได้?”

นี่เป็นคราวแรกที่หลวงธนสารขอความแนะนำจากภริยา นิจยิ้มอย่างอ่อนหวาน ขณะที่ตอบว่า

“นุ่งผ้าเสียเถอะค่ะดีกว่า เราตั้งใจไปหาท่านจริงๆ ถ้าเราไปเที่ยวพบท่านเข้าโดยบังเอิญ ถึงจะนุ่งกางเกงก็ไม่เป็นไร”

นิจเข้าห้องหยิบผ้าม่วงสีเขียวแก่ออกวางไว้พร้อมกับเสื้อชั้นนอก พอเสร็จหลวงธนสารก็ตามเข้ามา นิจนั่งลงหวีผมมองเห็นเงาของสามีในกระจก กำลังนุ่งผ้าและม้วนชายกระเบนเป็นเกลียว เสร็จแล้วมือหนึ่งจับชายพกไว้ อีกมือหนึ่งจับชายกระเบน หันหลังเข้าพิงเสาเตียงปล่อยชายกระเบนเสีย หยิบเข็มขัด แต่ด้วยความเผลอเขาหยิบทางหัว ห้อยทางปลายลงห่วง จึงร่วงหลุดตกไปที่พื้น สีหน้าแสดงความอึดอัดใจ​ฉายเด่นอยู่ในกระจก ทำให้นิจต้องกัดริมฝีปากไว้ เพื่อไม่ให้หัวเราะ ถ้าสามีเดาความคิดของหล่อนออก เขาจะเดือดแค้นเพียงไหน แม้ยังไม่รู้สึกตัวว่ามีคนคอยมองดู ยังพลุ่มพล่ามถึงเพียงนั้น แท้จริงเขากำลังอึดอัดอย่างที่สุด จะก้มลงเก็บห่วงหลังห่างจากเสาเตียง ชายกระเบนคงหลุด ก็จะเกิดลำบากขึ้นอีก การนุ่งผ้าให้ตัวเอง ตั้งแต่เกิดมาเป็นหนูยศ แล้วเป็นเด็กชายยศ เป็นนายยศ จนเป็นหลวงธนสารสมบัติ เพิ่งเคยทำคราวนี้เป็นคราวแรก เขานึกตำหนิตัวเองที่ไม่คิดหาคนใช้ของตัวมาสักคน ฮึดฮัดอยู่ครู่หนึ่ง จึงมองไปทางภริยา

“นี่ ช่วยหยิบห่วงเข็มขัดทีเถอะ”

นิจค้อนเงาในกระจกที่หนึ่ง จึงลุกขึ้นเดินมาทำตามสั่ง ทั้งช่วยเหน็บชายกระเบนให้เรียบ​ร้อยด้วย หลวงธนสารหยิบเสื้อสวม แล้วไปยืนที่ม้าเครื่องแป้ง

“เอ๊ะ!” เขาอุทานเบาๆ ตามองดูรูปๆ หนึ่ง ที่พิงอยู่กับกรอบกระจก ยกมือข้างที่ไม่ได้ถือหวีขึ้นเกาศีรษะ “ใครเอารูปมานี่หื่อ” เขาไม่ได้นึกว่าภรรยาควรจะได้ยินคำรำพึงนั้น แต่หล่อนเดินเข้าไปใกล้ แววตาสีหน้าเต็มไปด้วยความล้อเลียน

“นิจเป็นคนเอามาเองแหละค่ะ”

หลวงธนสารงงไปครู่หนึ่ง แล้วคิดไปว่าบางทีแม่รัศมีจะได้ให้รูปนี้แก่นิจด้วย จึงยกขึ้นดูก็เห็นลายเซ็นให้ไว้กับเขาน่ะเอง

“รูปที่เขาให้คุณหลวงยังไงล่ะคะ นิจเห็นว่าอยู่ในห้องไม่มีใครอยู่ ประเดี๋ยวจะเงียบเหงาเศร้าใจจึงพามาด้วย

สามีไม่ตอบว่ากระไร วางหวีลงเสีย โดยไม่​หวีผม แล้ววางรูปที่ถืออยู่อีกมือหนึ่งคว่ำทับหวีเสียด้วย ฉวยหมวกได้ออกจากห้องไป

เจ้าพระยานัครินทร์ ฯ กำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่ที่นอกชานใหญ่หน้าห้องนอนของท่านเอง ท่านนั่งอยู่บนเบาะซึ่งปูอยู่บนพรมสี่เหลี่ยมผืนใหญ่อีกผืนหนึ่ง โต๊ะสำหรับวางอาหารสูงไม่เกินหนึ่งศอก ตั้งอยู่ตรงหน้าท่าน นอกจากคุณเฉลา ผู้มีหน้าที่โดยตรงสำหรับปรนนิบัติเจ้าคุณบิดาเวลารับประทานแล้ว ยังมีบุตรและภริยาอีกหลายคน นั่งสำรวมอิริยาบถอย่างเรียบร้อยอยู่ในระยะห่างจากตัวท่านเจ้าคุณพอสมควร

คุณฉลาดเป็นผู้นั่งอยู่ปลายแถว เท้าข้างหนึ่งห้อยอยู่ที่นอกชานซึ่งลดลงมาอีกชั้นหนึ่ง เขาเป็นผู้เห็นนิจกับหลวงธนสารก่อนคนอื่น จึงลุกขึ้นเดินไปรับที่บันได แล้วพาขึ้นมาข้างบน

หลวงธนสารนั่งลงกราบเจ้าคุณอยู่ทางปลายพรม​ตรงหน้าท่าน นิจคลานอ้อมหลังผู้ที่นั่งอยู่ก่อนเข้าไปจนถึงตัวเจ้าคุณ แล้วกราบลงบนตักอันเป็นกิริยาที่นิจเคยแสดงต่อท่านเสมอทุกคราวที่ได้พบกัน

“ยังไง ยายนิจ แกมาถึงเมื่อวานนี้ไม่ใช่หรือ?” ท่านเจ้าคุณถาม เสียงของท่านใหญ่และกังวานเป็นสง่า สมกับรูปร่างอันยิ่งผายและดวงหน้าอันแสดงอำนาจอยู่ในตัว

“เจ้าค่ะ” นิจตอบ

“บ้านเป็นอย่างไรบ้าง ไม่เล็กไปไม่ใช่หรือสำหรับสองคนผัวเมีย ฉันว่าจะให้แกอยู่หลังโน้นข้างหลังเรือนฉันนี่แหละ เพราะว่ามันโตกว่าหลังที่แกอยู่ แต่พ่อแกว่าคงชอบเรือนที่เขาเลือกให้มากกว่า เพราะมันใกล้ทะเล

นิจยิ้มและไม่ตอบว่ากระไร เป็นกฎธรรมดาระหว่างผู้น้อยกับผู้ใหญ่สนทนาต่อปากคำกันไม่ได้นาน

​“เฉลา แกไม่หาอะไรมาเลี้ยงเพื่อนแกหรือ? ลูกหมากรากไม้มีไม่เอามาสู่กันกิน นี่กินข้าวเช้ากันแล้วหรือยัง?”

“รับประทานแล้วเจ้าค่ะ พอเสร็จก็มานี่”

เฉลาหันไปพยักหน้ากับน้องชายคนหนึ่งให้ยกกระเช้าลูกไม้มาให้นิจ หลวงธนสารกำลังสนทนาเบา ๆ อยู่กับคุณฉลาด ชำเลืองดูภรรยาเห็นหล่อนกำลังปอกลางสาดรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย เจ้าคุณนครินทร์มองดูกิริยาแสดงความสนิทสนมอย่างเด็กๆ ด้วยความพอใจ ครั้นเห็นนิจกำลังรับประทานเพลินท่านจึงพูด สัพยอกขึ้นว่า

“นั่นจะกินเสียคนเดียวหรือยายนิจ คนที่เขามาด้วยไม่ให้เขากินบ้างหรือ?”

นิจเงยหน้าขึ้นยิ้ม แล้วก็ผลักกระเช้าลูกไม้ไป​ให้ห่างตัว แต่ไม่ลืมที่จะหยิบลางสาดวางไว้บนตักเป็นช่อใหญ่

นิจอยู่ที่บ้านเจ้าคุณนัครินทร์ คุยเล่นกับเฉลาและพี่น้องผู้หญิงของเฉลาจนเที่ยงเศษ หลวงธนสารเล่นสะกากับคุณจำลองเพลินอยู่เหมือนกัน ต่อภริยามาชวนกลับจึงรู้สึกว่าหิว ทั้งสองกลับไปรับประทานอาหารกลางวันที่ที่พัก แล้วนิจทิ้งสามีไว้บ้านแต่คนเดียว ตัวเองไปอยู่ที่บ้านเจ้าคุณสุรแสน เย็นลงอาบน้ำทะเลกับเพื่อน ๆ และกลับถึงที่พักพอดีเวลาเตรียมอาหารค่ำ

“ละไม” นิจเอ่ยขึ้นทันทีขณะเมื่อรับประทานอาหารค่ำเสร็จ “ก่อนที่แกจะกินข้าวไปที่ที่พักคุณพ่อ บอกให้นายวันมารับฉันยามหนึ่งตรง ฉันจะไปนอนที่บ้านโน้น”

สามีของหล่อนวางผ้าเช็ดมือกระแทกลงบนโต๊ะ

​“มีใครเป็นอะไรไปหรือ?” เขาถาม

“เปล่าค่ะ!”

“อ้าว! ก็ว่าจะไปนอนที่บ้านโน้น คิดว่าจะไปนอนเป็นเพื่อนใคร หรือพยาบาลใคร?”

“ถูกแล้ว นิจจะไปนอนที่โน่น แต่ไม่ใช่สำหรับเป็นเพื่อนใคร หรือพยาบาลใคร”

“.............”

“.............???

“ละไม แกไปกินข้าวเถอะ ที่คุณสั่งน่ะฉันจะจัดการเอง” หลวงธนสารสั่งแล้วจุดบุหรี่ดูดถี่ๆ หลายหนซ้อนกันในอึดใจเดียว จนควันฟุ้งตระหลบไปหมด

“นึกอย่างไรถึงจะไปนอนที่บ้านโน้น?” เขาถามเมื่อบุหรี่หมดเข้าไปแล้วครึ่งตัว

“ก็คุณหลวงจะนอนในห้อง!”

เขาทำตาโตมองดูหล่อน นิจยิ้มขรึมๆ ดวงตา​ดำขลับและหวานซึ้ง จ้องตาเขาเต็มไปด้วยความหมาย ซึ่งหลวงธนสารอ่านไม่ออกชัด เขาหลับตาลงทันที ตั้งต้นอัดบุหรี่พักใหญ่แล้วจึงพูดว่า

“ฉันจะนอนข้างนอกเอง เหมือนเมื่อคืนนี้”

เป็นคราวเคราะห์ของหลวงธนสาร จะว่าเคราะห์ดีหรือร้ายก็ได้เท่ากัน คืนวันนั้นฝนตกตั้งแต่เที่ยงคืนจนตี ๓ เขาต้องนอนคลุมศีรษะอึดอัดและไม่ได้หลับเกือบตลอดคืน รุ่งเช้าขึ้นจามเสียพักใหญ่ และทำจมูกฟิดๆ แสดงว่าตั้งต้นจะเป็นหวัด อาการของเขาทำให้นิจใจหายต้องกลัวว่าถ้าเขาเกิดเจ็บไข้ขึ้น ความผิดนั้นจะต้องเป็นของหล่อนโดยตรง จึงตกลงใจจัดห้องนอนของคนใช้เป็นห้องนอนของหล่อนเองอีกห้องหนึ่ง และให้นายสอนคนใช้ผู้ชายนอนที่หน้าห้อง




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #1 on: 28 October 2025, 16:46:43 »


๑๐

ฝนแห่งเดือนตุลาคม มิได้ทำให้หัวหิน ลดความงามลงทรายเมล็ดละเอียดและขาวสะอาด ลูกไฟดวงใหญ่ซึ่งโผล่จากขอบทะเล แสงอาทิตย์ในเวลาเช้าเหลืองและอบอุ่นทอจับน้ำสีเขียวเป็นแวววาม สีเขียว ๆ แดง ๆ แห่งเสื้อผ้าอาบน้ำ ลมแรงพัดกิ่งไม้โยกและโอนเอนไปมา สิ่งเหล่านี้ยังเป็นภาพที่ชวนชมอยู่เช่นเดิม

หลวงธนสารกลับจากสนามกอล์ฟ และส่งหลวงบรรเจิดคู่แข่งขันที่โฮเต็ลแล้วก็เดินเรื่อย ๆ มาตาม​ชายหาด พอใกล้จะถึงที่พักเห็นหนุ่ม ๆ สาว ๆ กำลังเล่นน้ำกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ เขาเหล่านั้นพอเห็นหลวงธนสารก็โบกมือและร้องชวนให้ลงอาบด้วย หลวงธนสารมองดูตัวเองและเห็นว่าเสื้อนอกชุ่มอยู่ด้วยเหงื่อ เขานึกในใจว่า ถ้าได้ลงแช่ในน้ำทะเลสักพักก็จะสบายขึ้นมาก แต่อีกใจหนึ่งนึกถึงภริยาว่าป่านนี้คงจะรอรับประทานอาหาร ถ้าเขากลับไปผลัดเครื่องแต่งกายเสียทีหนึ่ง แล้วกลับมาอาบน้ำกว่าจะเสร็จคงกินเวลานาน ผู้ที่คอยอยู่น่าจะหิวโหยเกินไป เพราะฉะนั้นเก็บไว้อาบวันหลังดีกว่า คิดดังนั้นแล้วจึงสาวท้าวเข้าไปใกล้ และโบกมือตอบ

“กี่หลุมครับ คุณหลวง?” หลวงอำนวยสุรกิจ บุตรชายคนโตของเจ้าพระยานัครินทร์ถาม

“๑๘ ครับ” หลวงธนสารตอบ

“โชกซี”

​“เอาอยู่ เคราะห์ดีที่ไม่ร้อน”

มาอาบน้ำกันเถอะ คุณหลวงคะ” จำนงร้องชวน “นิจอยู่โน่นแน่ะ” แล้วชี้มือไปที่ก้อนหินก้อนใหญ่ ซึ่งใกล้ ๆ นั้นมีคนสามคนกำลังแช่น้ำอยู่ครึ่งตัว

หลวงธนสารมองตามมือจำนงไป เห็นร่าง ๆ หนึ่ง สวมเสื้อสีแดงแช็ดและหมวกสีเดียวกัน กำลังลอยกระเพื่อมอยู่เหนือคลื่น ถึงร่างนั้นจะอยู่ไกล และแสงอาทิตย์เข้าตาทำให้มองไม่ถนัด เขาก็ยังจำได้ว่า ร่างนั้นคือภริยาของเขาเอง สีหน้าของเขาเผือดลงเมื่อเห็นว่า หล่อนกำลังเล่นหัวร่อต่อกระซิกอยู่กับผู้ชายอีกสองคน ซึ่งคนหนึ่งเขาเห็นไม่ถนัดว่าเป็นใคร แต่อีกคนหนึ่งนั้นคือคุณฉลาด

“คุณหลวง ไปผลัดเครื่องแต่งตัวเสียซีเราจะคอย” หลวงอำนวยว่า

​“ผมว่ายน้ำไม่เป็น” หลวงธนสารตอบอย่างขอไปที แล้วก็หันหลังกลับเดินไปเสียเดื้อ ๆ

ตั้งแต่วันนั้นต่อมา หลวงธนสารไม่ลงอาบน้ำพร้อมกับหนุ่มๆ สาวๆ เหล่านั้นอีกเลย ถ้าจะอาบ ก็อาบคนเดียว ในเวลาที่ไม่มีใครอาบ ทุกๆ วันเขาและภริยามักไปเที่ยวกับบุตรชายบุตรสาวของเจ้าพระยานัครินทร์ บางทีก็กลับบ่าย บางทีก็กลับเย็น ทุกคนแวะผลัดเครื่องแต่งกายที่ที่พัก แล้วพากันลงเล่นน้ำพร้อมทั้งนิจด้วย แต่สำหรับหลวงธนสาร ใครจะชักชวนอ้อนวอนสักเท่าใดก็ไม่ยอมเข้าพวกด้วย อ้างว่าหนาวบ้างมีธุระบ้าง ต้องเขียนจดหมายบ้าง เขาเหล่านั้นจะประหลาดใจเพียงไร ถ้าเขารู้ความจริงว่าหลวงธนสารไม่เคยทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย ในเวลาที่ภริยาอาบน้ำอยู่กับเพื่อนฝูง หรือได้เห็นเขาขณะที่ยืนส่องกล้องจับอยู่ที่ร่างของหญิงสาวสวมเสื้อแดง

​ความจริงหลวงธนสารจำต้องสารภาพกับตัวเองว่า ตั้งแต่เขามาถึงหัวหิน ได้อยู่ใกล้ชิดกับภริยาได้เห็นดวงหน้าอันหวานบริสุทธิ์ ดวงหน้าซึ่งบางคราวมีความเศร้าสลดเจืออยู่ เห็นดวงตาดำขลับและอ่อนโยนขณะที่มองดูเขา และครั้นเขามองดูบ้างก็เมินเสีย ครั้นหันมาใหม่ ก็มีแววแห่งความล้อเลียนอยู่แทนที่ ได้เห็นความนิ่มนวลอันมีประจำอยู่ในมารยาทของหล่อนตลอดเวลา ความรอบคอบในหน้าที่ที่เกี่ยวกับตัวเขา สิ่งเหล่านี้ทำให้เขามีความรู้สึกแปลกไปกว่าเดิม การมองของเจ้าหล่อน การยิ้มการเดินตลอดจนการเคลื่อนไหว อิริยาบถทุกอย่างซึ่งเต็มไปด้วยความสุภาพ พากันเข้าฝังอยู่ในสมองของเขาทีละน้อย โดยที่เขาไม่รู้สึกตัว ตามเขาไปทุกหนทุกแห่ง เวลาใดที่ตัวของหล่อนไม่ได้อยู่ในเขตสายตา ภาพของหล่อนก็คงอยู่ในสมองเสมอ

​หลวงธนสารพยายามผลักไสความจำเหล่านั้น โดยคิดว่าเขากำลังจะทำบาป คือเสียสัตย์ต่อสตรีที่เขารัก ความเห็นเช่นนี้เป็นความเห็นที่โง่ชัดๆ แต่มนุษย์เรามีเวลาโง่อย่างประหลาด คนโง่ และไม่รู้สึกตัวว่าโง่เสียด้วย คืนแรกที่หลวงธนสารเข้านอนในห้อง เขาได้พบรูปของแม่รัศมีอยู่ใต้หมอน เขาหยิบรูปขึ้นดูแล้วยิ้ม ไม่ทราบว่ายิ้มกับรูปหรือกับผู้ที่นำรูปมาใส่ไว้ใต้หมอน ครั้นแล้วกลับบึ้ง เพราะแน่ใจว่าควรจะขอบใจหรือโกรธผู้ที่รักการนี้ดี อย่างไรก็ดี ทุกคืน ก่อนหลับเขาคงชมรูปนั้นเสมอ พร้อมกับนึกถึงคำพูดอันหยดย้อยเต็มไปด้วยความรักของเจ้าของรูป และกิริยาอันเต็มไปด้วยความยั่วยวนของเจ้าหล่อนไปด้วย ครั้นหลับลงก็ฝันถึงอะไรต่ออะไรร้อยแปดที่เกี่ยวกับเจ้าหล่อนผู้นั้น แต่พอรุ่งเช้าขึ้น​เหมือนวันคืนในมนุษย์โลก ความมืดล่วงไป ความสว่างเข้ามาแทนที่ เขากลับจำได้แต่ภาพของเด็กหญิงอันมีรูปร่างอ้อนแอ้นแทนหญิงสาวอันมีรูปร่างระหงเป็นสง่าผ่าเผย ในส่วนความรู้สึกของนิจที่มีต่อเขา หลวงธนสารไม่เคยพยายามอ่านว่าเป็นอย่างไร ความเขลาของคนที่เคยทำความผิด เพราะเหตุที่ตัวเคยทอดทิ้งไม่แยแสในเขา จึงเข้าใจเอาเองว่า เขาคงไม่แยแสในตัวเช่นกัน เพราะเหตุนี้เองหลวงธนสารเริ่มมีความริษยาต่อเพื่อนฝูงทุกคนที่นิจสนิทสนมด้วย เขารู้สึกว่าเขาไม่ชอบบุตรชายและบุตรสาวของเจ้าพระยานครินทร์สักคนเดียว และเพราะเหตุนี้อีกน่ะแหละ ที่หลวงธนสารไม่ยอมลงอาบน้ำพร้อมกับภริยา เพราะเจ็บใจตั้งแต่ได้เห็นหล่อนเล่นน้ำกับคุณฉลาดอย่างสนุกสนาน ส่วนกับเขาในคราวที่เขาลงอาบน้ำพร้อมกับหล่อน ๆ กลับตีห่างและไปเล่นเสีย​กับคนอื่น

วันหนึ่งในตอนเช้า บุรุษไปรษณีย์นำจดหมายของรัศมีมาส่ง จดหมายฉบับนี้ไม่ใช่ฉบับแรกที่หลวงธนสารได้รับจากเจ้าของคนเดียวกัน เขานำเข้าไปอ่านในห้องยืน หันหลังให้กระจกแต่งตัวและหันหน้าให้นิจ ซึ่งกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง เพราะเกรงว่าถ้าหันหลังให้หล่อนเดินเข้ามาใกล้จะแอบเห็นเนื้อความในจดหมายและชื่อของผู้เขียน ซึ่งเขาหลงว่านิจไม่รู้ แต่ลายมือในจดหมายเป็นลายมือบรรจงและตัวเขื่อง เมื่ออักษรตัวนั้นเข้าไปอยู่ในกระจกแต่งตัวก็ถูกฉายย้อนกลับมาในกระจกของโต๊ะเครื่องแป้งอย่างเด่นจนเห็นถนัด นิจมองดูเงาตัวหนังสือที่อยู่ตรงหน้า ตั้งใจว่าจะไม่อ่าน แต่ก็ยังเห็นว่าในตอนท้ายของจดหมายก่อนที่จะจบมีภาษาอังกฤษปนไทย เขียนไว้ว่า

​‘Good night ยอดรักของน้อง’

บ่ายวันนั้นอากาศค่อนข้างจะครึ้ม ท้องฟ้ามืดมัวพยับฝน ลมพัดจัดทำให้คลื่นแรงกว่าธรรมดา แต่ละลูกที่กลิ้งเข้ามากระทบฝั่งดังฉาดใหญ่นั่น ดูเขียวคล้ำและดำมะเมื่อมน่ากลัว ถึงกระนั้น ก็ไม่ทำให้หนุ่มสาวที่กำลังคะนองหวั่นไหว คงพากันลอยคอเล่นอย่างสนุกเหมือนทุกวัน หลวงธนสารผู้ยืนส่องกล้องตามเคย ได้เห็นภริยาของเขาว่ายออกไปห่างจากฝั่งราว ๑ เส้นพร้อมกับคุณฉลาด แล้วปล่อยตัวให้ลอยอยู่ตามกระแสน้ำ ทันใดเขาเห็นลูกคลื่นลูกหนึ่งใหญ่เบ้อเร่อกำลังกลิ้งเข้ามา เขาเห็นคุณฉลาดชี้ให้นิจดูและพูดอะไร ๒-๓ คำ พอคลื่นนั้นแล่นมาถึงซัดเอาตัวชายหนุ่มเข้ามาด้วย กระแทกหาดฉาดใหญ่แล้วจึงกระท้อนกลับพร้อมกันนั้นเขาเห็นร่างของภริยามิดหายลงใต้คลื่น ภาพนั้น​ทำให้เขาสะดุ้งและบีบกล้องแน่นเข้า ประเดี๋ยวเห็นร่างของหล่อนกลับโผล่ขึ้นมาพอดีกับคลื่นที่กระทบหาดโดยแรงแตกเป็นละลอกออก เห็นร่างของนิจผงะหงายแล้วจมหายไป โลหิตทุกหยดฉีดลงไปอยู่ที่หัวแม่เท้าของหลวงธนสาร เขาโยนกล้องทิ้งเสีย กระโดดข้ามลูกกรงเรือนพรวดเดียวถึงหาดทราย เตรียมพร้อมที่จะโจนลงทะเล พอดีเห็นร่างภริยาโผล่ขึ้นตรงชายหาดหล่อนหัวเราะอย่างสนุกสนานที่สุด ไม่มีแววแห่งความตกใจแม้แต่น้อย เขาเกือบจะรีบลงไปฉวยอุ้มเอาตัวหล่อนพากลับบ้านอยู่แล้ว ก็ได้ยินหล่อนพูดกับเพื่อน ๆ ซึ่งพากันขวัญหายอยู่ว่า

“พุทโธ่ ตกใจกันไปได้ ก็นิจรู้ตัวอยู่แล้วว่าคลื่นจะมา แทนที่จะทำตัวให้ลอยขึ้นให้เหมาะกับระยะของคลื่น นิจกลับแกล้งดำลงเสียเพราะอยากจะเล่นสนุกๆ”

​“ทำเอาเราขวัญหนีดีฝ่อไปตามกัน” เฉลาพูดแล้วหัวเราะ

“แหม ยังเหนื่อยไม่หายเลย ใจเต้นเป็นตีกลองทีเดียว” จำนงพูดพลางเอามือกุมทรวงอก

“ฉันเองพอมาถึงฝั่ง และไม่เห็นเธอก็ปอดลอยแล้ว ถ้าเธอเป็นอะไรไปละก็ ฉันแย่ทีเดียว”

นิจหัวเราะอย่างขบขันที่สุด ถอดหมวกออกแล้วเอามือสะบัดผม ตอบว่า

“ก็คุณพี่บอกนิจเองให้เตรียมตัว นิจก็เตรียมดำลงทันที” พูดจบหล่อนมองขึ้นไปบนตลิ่ง เห็นสามีกำลังมองหล่อนเขม็ง ออกรู้สึกประหลาดใจและสงสัยว่าเขามายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไร ครั้นหล่อนมองสบตาเขาๆ ก็เมินหน้า แล้วเดินกลับไปที่ ๆ พัก นิจสวมเสื้อคลุมแล้วกล่าวคำลาเพื่อนฝูง พยักหน้าเป็นนัยแก่เฉลา แล้ว​วิ่งตามติดหลังเขาไป ทันกันตรงบันได เขาจับชายเสื้อหล่อนดึงไว้ แล้วพูดโดยไม่มองหน้าว่า

“นี่ ฉันขอห้ามเป็นคำขาดว่า ไม่ให้ทำอย่างเมื่อตะกี้อีก”

นิจมองดูเขาด้วยความประหลาดใจ แล้วถามว่า

“ทำอะไรคะ”

“ทำจมน้ำน่ะ”

“นิจไม่ได้ทำจมนี่คะ นิจดำต่างหาก”

“นั่นแหละ ทีหลังอย่าทำอีก ทำให้ใครๆตกอกตกใจกันหมด” เขาอยากจะเสริมว่า “ถ้าไม่อาบน้ำทะเลเสียได้ก็ยิ่งดี” แต่เขาไม่กล้า จึงปล่อยชายเสื้อให้หล่อนเดินหลีกไป

ตกค่ำฝนเทมาซู่ใหญ่ ตกอยู่สัก ๑๕ นาทีก็หยุด ราว ๒๐ นาฬิกา ท้องฟ้ากลับแจ่มกระจ่างด้วยแสงเดือน หลวงธนสารรับประทานอาหารแล้วก็รีบเข้าห้องเขียนจด​หมายถึงรัศมี เขียนไปได้สักหน่อย ได้ยินเสียงร้องเพลงดังที่นอกห้อง เสียงนั้นเย็นแจ่มใสเป็นกังวานแกมโศกเต็มไปด้วยความรู้สึก เหมาะกับเพลงลมพัดชายเขาสามชั้นและบทเพลงยิ่งนัก ปากกาที่กำลังขีดเขียนอยู่โดยรวดเร็ว ลดช้าลงเป็นลำดับ จนในที่สุดก็หยุดนิ่งเสียงนั้นร้องเพลงเนื้อพระราชนิพนธ์อิเหนา ตอนที่ระเด่นมนตรี จากจินตหรามาทำศึกกับท้าวกะหมังกุหนิงยังเมืองดาหา

“เวลาดึกเดือนตกนกร้อง

ระวังไพรไก่ก้องกระชั้นขัน

เสียงดุเหว่าเร้าเร่งเร่งหากัน

ฟังหวั่นว่าเสียงทรามไวย”

เวลานี้ยามเศษ พระจันทร์ยังไม่ลับทิวไม้ไม่มีเสียงไก่และเสียงดุเหว่าร้อง มีแต่เสียงอึ่งอ่างดังเป็นระยะ และเสียงจักกะจั่นเรไรธรรมชาติที่เป็นอยู่ กำลังตรงกัน​ข้ามกับเนื้อเพลง แต่เสียงอันเยือกเย็นหวานเจื้อยและสั่นระรัวเล็กน้อยของผู้ร้องสามารถทำให้ผู้ฟังลืมสภาพแห่งความจริงเสียได้โดยด่วน หลวงธนสารถอนใจยาว เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตาลอยไปจับอยู่ที่ฝาห้อง เอ๊ะ กังวานแห่งเสียงนั้นเปลี่ยนไปเสียแล้ว... แทนความเศร้าสลดกับเป็นกังวานล้อแกมกระทบกระแทก และเยาะเย้ย คล้ายกับผู้ที่ร้องกำลังหัวเราะอยู่ในใจ บัดนี้เสียงนั้นไม่สมกับความรำพึงเร่าร้อนของอิเหนาแต่สักนิด ขณะที่ร้องคำเหล่านี้

“ลุกขึ้นเหลือบแลชะแง้หา

เจ้ามาเรียกพี่หรือไฉน

ลมชวยรวยรสสุมาลัย

ฟังหวั่นฤๅทัยถึงเทวี”

“ประหลาด นี่จะแปลว่ากระไร?”

​หลวงธนสารรำพึงแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ “นี่ร้องเพลงขับกันหรือนี่? ท่าจะรู้เสียละกระมังว่าเราเขียนจดหมายถึง...” เขาออกจากห้องเที่ยวหาภริยาพบหล่อนยืนเท้าลูกกรงหันหน้าออกไปดูทะเล เขาเดินไปใกล้หล่อนแล้วพูดว่า

“เพลงเมื่อตะกี้เพราะดีนี่”

“ขอบคุณค่ะ” นิจตอบเรื่อย ๆ

“ทำไมถึงร้องตอนต้นกับตอนปลายไม่เหมือนกันล่ะ?”

นิจหันหน้ามองดูเขาแล้วตอบว่า

“นิจร้องตามเนื้อเพลงที่จำได้”

“ถูกแล้ว แต่ฉันหมายความถึงกระแสเสียงของเธอ ตอนต้นดูละห้อยเหมาะกับเนื้อเพลงเหลือเกิน แต่ตอนปลายเป็นยังไงก็ไม่รู้”

นิจหัวเราะเบาๆ “นิจไม่มีใครจะหวั่นถึงเหมือนอิเหนาค่ะ ถ้าคนบางคนร้องจะดีกว่ามาก”

​เขายืนนิ่งลอบพิศดูใบหน้าส่วนข้างๆ ซึ่งแสงจันทร์กำลังส่องอยู่ นิจขยับตัวจากลูกกรงเดินมาห้องนอน เขาเดินตามมาด้วย หยุดที่หน้าห้องหล่อนเอามือเท้าประตูไว้

นิจหันมามองดูแล้วพูดแกมหัวเราะ

“Good night ยอดรักของน้อง”

หลวงธนสารสะดุ้ง หน้าบึ้ง ถอยจากประตูโดยไม่ตอบว่ากระไร นิจดึงบานประตูเข้ามาหาตัวแล้วก็ลั่นกลอน




Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.047 seconds with 16 queries.