Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
01 November 2025, 06:03:28

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง นิจ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 7-8
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง นิจ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 7-8  (Read 71 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 28 October 2025, 16:42:15 »

นวนิยายเรื่อง นิจ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 7-8




เพื่อนของนิจลากลับก่อน ๑๙ นาฬิกาทุกคน คงเหลือแต่เฉลาซึ่งพี่ชายยังไม่มารับแต่คนเดียว นิจจึงพาขึ้นไปที่ห้องนอน ในระหว่างที่เจ้าของห้องกำลังคุยอย่างสนุกสนานนั้น เฉลานั่งฟังอยู่เงียบ ๆ สายตาจ้องจับดูสีหน้าของเพื่อนอย่างพินิจพิเคราะห์

“นิจ” เฉลาเอ่ยขึ้นทั้ง ๆ ที่นิจกำลังเล่าเรื่องหนึ่งค้างอยู่ เสียงของหล่อนทำให้นิจสะดุ้งและสังหรณ์ในใจว่า หล่อนกำลังจะตกฐานะเข้าด้ายเข้าเข็ม “นิจ บอกพี่ทีหรือว่าเป็นสุขเท่าที่เธอแสดงอยู่หรืออย่างไร?”

​“พี่เฉลาหมายความว่าอย่างไร?” นิจย้อนถาม เดาไม่ถูกจริง ๆ ว่าเฉลาจะมาไม้ไหน

“หมายความอย่างที่ถามนั่นแหละ เธอมีความสุข เหมือนเมื่อยังไม่ได้แต่งงานหรือ?”

“ชีวิตที่แต่งงานแล้ว กับชีวิตที่ยังเป็นโสดจะเหมือนกันอย่างไรได้”

“เธอตอบอย่างเลี่ยงสิกขาเสียแล้ว นิจเธอเข้าใจนี่นะว่าพี่หมายความอย่างไร เธอจะซ่อนความรู้สึกจากสายตาพี่ไม่ได้หรอก เธอลืมเสียแล้วหรือว่าเธออยู่ในความปกครองของพี่มาตั้งแต่อายุ ๘ ขวบ จนถึง ๑๖ ปี”

นิจนิ่งเงียบ หลบสายตาลงดูพรมซึ่งปูอยู่ตรงหน้า เฉลาลุกขึ้นจากเก้าอี้ไปนั่งลงบนเตียงข้างตัวนิจ โอบร่างอันผอมบางมากอดไว้

“สีหน้าและสายตาของเธอบอกอยู่ชัด ๆ ว่าเธอ​มีความทุกข์ เล่าทุกข์นั้นให้พี่ฟังเถอะ การที่ถามไม่ใช่เพราะความสอดรู้สอดเห็น พี่ร้อนใจจริงๆ ที่เห็นนิจของพี่มีความเศร้าโศกเช่นนี้ ถ้าพี่รู้เรื่องเผื่อบางทีจะช่วยปัดเป่าผ่อนผันได้บ้าง เธอไม่ไว้ใจพี่เสียแล้วหรือ หรือเรื่องที่จะบอกนั้นพูดยากลำบากนัก จะอายพี่ทำไม แข็งใจพูดออกมาเถอะ น้องรักของพี่”

ใครเลยจะขัดน้ำเสียงอันเต็มไปด้วยความกรุณานั้นได้ น้ำตาไหลอาบหน้านิจ หล่อนซบหน้าลงบนบ่าเฉลา ทำอาการเหมือนเมื่อ ๗-๘ ปีก่อนโน้นเมื่อหล่อนได้รับความช้ำใจจากเพื่อนก็ดี หรือจากครูก็ดี เคยนำดวงหน้าอันเลอะด้วยน้ำตามาให้เฉลาเช็ดเสมอ

เฉลาใช้มือลูบศีรษะนิจเบา ๆ ปล่อยให้สะอื้นอยู่จนซาลงแล้วจึงพูดว่า

“พี่รู้ดีนี่นะ ว่านิจของพี่ไม่สบายใจ เอ้าที่นี้เล่าเรื่องให้พี่ฟังให้ละเอียด ถึงหากพี่จะช่วยเธอไม่ได้​ก็ยังดีกว่าไม่ได้พูดเสียเลย ความทุกข์ที่เก็บไว้จนเต็มอกแล้ว ไม่พูดเสียบ้างนั้นให้โทษร้ายแรงนัก พี่เคยผจญแล้วรู้จักดี”

“นิจไม่ทราบจะขึ้นต้นว่าอย่างไร”

“ขึ้นต้นด้วยคำว่าคุณหลวงน่ะแหละ ใช่ไหมล่ะ”

“แล้วยังไง?- เขารักแม่รัศมี แทนที่จะรักเธอ ผู้เป็นภริยา?”

น้ำตาของนิจซึ่งได้เช็ดจนแห้งแล้วนั้น กลับไหลนองลงมาอีก

“เห็นไหม พี่รู้เรื่องของเธอดี ทีนี้อยากรู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด?”

“นิจก็ไม่ทราบ เป็นแต่ทราบว่าเขารักกันมาก่อนที่ได้แต่งงานกับนิจ”

​“เอ๊ะ! ทำไมเธอถึงรู้?”

“รู้สิคะ ก็นิจเคยได้ยินเขาพูดกันกับหูทีเดียว”

“เขา! คุณหลวงของเธอน่ะหรือ! พูดกับใคร?”

“พูดกับรัศมีน่ะซีคะ เขาพูดกันถึงเรื่องอะไรต่าง ๆ ซึ่งข้อความแสดงว่าเขาเคยรักกันมาก่อน”

“อ้อ! แล้วทำไมถึงไม่………...!………... แล้วทะเล้นไปขอเขาทำไมล่ะ หรือพ่อแม่ไม่ชอบรัศมีบังคับให้แต่งงานกับเธอ

“จะว่าอย่างนั้นก็เห็นจะไม่ถูกค่ะ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ท่านทั้งสองคงกรุณานิจบ้าง นี่ไม่มีเสียเลย ยิ่งคุณหญิงและก็ยิ่งแล้วใหญ่แสดงความไม่ชอบจนออกนอกหน้า คอยเกียจกันอยู่เสมอ และไม่เคยละโอกาสที่จะว่ากล่าวค่อนแคะนิจให้เจ็บใจเลย ท่านทำกับนิจเหมือนกับญาติจน ๆ คนหนึ่งที่มาขอทานข้าวสุกกินไป​มื้อหนึ่ง ๆ ตลอดจนบ่าวไพร่ นิจไม่มีอำนาจไหว้วานได้เลย ถ้าสำหรับแม่รัศมีของท่านละก็ตรงกันข้าม ท่านบูชาของท่านนัก พวกบ่าวๆ มันก็รู้ใจนาย รัศมีสั่งการในบ้านนี้ได้ดีเท่ากับคุณหญิงเอง ส่วนนิจอยู่ที่นี่มีราคาเท่ากับแมวตัวหนึ่งเท่านั้น”

“นี่เป็นความรู้ใหม่อีกข้อหนึ่ง ที่ว่าคุณหญิงก็จงเกลียดจงชังเธอด้วย นั่นมันเรื่องราวอะไร ที่นี้เจ้าคุณล่ะ?”

“เจ้าคุณเปรียบเหมือนเต่าตัวหนึ่ง กับภรรยาของท่านละก็เผยอไม่ขึ้นทีเดียว ที่จริงนิสัยใจคอของท่านก็ไม่ใช่ว่าเหี้ยมโหด แต่เป็นคนอ่อนแอเสียเหลือเกิน เห็นคุณหญิงไม่ชอบนิจก็เลยต้องทำตาม บางคราวมีเหมือนกัน คุณหญิงพูดอะไรต่าง ๆ อันเป็นเชิงกระทบกระเทือนนิจ เจ้าคุณแสดงท่าไม่พอใจออกมาบ้าง และ​รีบหนีเข้าห้องสีซอ”

“ขันดีนะ ในบ้านนี้มีอะไรต่างๆ ทีนี้พี่อยากรู้ว่ายายคุณหญิงตาเหลือกน่ะแกเกลียดเธอทำไม ก็ตัวเองไม่ใช่หรือที่เป็นคนไปขอ ครั้นได้มาแล้วกลับไม่มีความกรุณา เธอเคยทำอะไรให้แกเจ็บช้ำน้ำใจหรือ?”

นิจนิ่งตรองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วทำท่าเหมือนจะยิ้ม ขณะที่ตอบว่า

“บางทีจะเคย แต่ใจไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจหรอก คือเมื่อนิจมาอยู่ที่นี่ใหม่ ๆ นิจพาอีแต้มแมวของนิจมาอยู่ด้วย อีแมวตัวนี้มันซนนัก เคยทำอะไร ๆ ที่บ้านคุณพ่อแตกมาหลายหนแล้ว นิจรู้ดีถึงได้คอยระวังมิให้มันไปทางบริเวณของเจ้าคุณและคุณหญิงเลย วันหนึ่งนิจกำลังเล่นหีบเพลงอยู่ในห้องรับแขก ได้ยินเสียงตุ้บที่ไหนล่ะ อีแต้มขึ้นไปอยู่บนหลังตู้เครื่อง​ลายคราม บนนั้นมีนาฬิกาตั้งวางอยู่ด้วย นิจกลัวอีแต้มจะกระโดดลง และพานาฬิกาตามมาด้วย จึงวิ่งไปจับตัวมันไว้กำลังจะอุ้มลง พอดีแขนนิจเองปัดเอานาฬิกาตกลงมา หน้าปัดแตกละเอียดทีเดียว นิจวิ่งไปรายงานตัวเองทันที เจ้าคุณไม่อยู่ อยู่แต่คุณหญิง พอนิจเรียนท่าน ท่านยิ้มอย่างปากเบี้ยวตามเคยน่ะแหละ แล้วว่า “ดีย่ะผู้ดีแท้ มาอยู่บ้านผัวไม่ทันถึงสามวันมีเวลาต่อยของแตกแล้ว” นิจจึงตอบท่านว่า โธ่! คุณอาคะเราต้องการเวลาไม่ถึงนาทีสำหรับให้หัวของเราเองแตก”

เฉลาหัวเราะกิ๊ก แล้วพูดว่า

“เธอก็สำคัญ! ไปตอบกันแกอย่างนั้นเข้าด้วย แล้วตั้งแต่นั้นมาแกก็เลยจงเกลียดมาเรื่อยซี!”

“อาจจะเป็นได้ละกระมังคะ แต่ตามความเห็นของนิจ รู้สึกว่าท่านไม่ชอบนิจมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ​ดั่งจะเห็นได้ว่าเพียงแต่นาฬิกาแตกไปเรือนเดียวเท่านั้น ทำไมจึงจะต้องเอ่ยถึงว่าเป็นผู้ดีหรือเป็นไพร่ แต่ว่าเรื่องความรู้สึกของคุณหญิงที่มีต่อนิจนั้น เป็นแต่เครื่องช่วยให้นิจมีความร้อนใจมากขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้อสำคัญอยู่ที่คุณหลวง”

“อ๋อ! ข้อนั้นน่ะแน่ละ พี่เข้าใจดี และลูกชายของแกไปเที่ยวกับหลานสาวจนดึกดื่นนะแกไม่ว่าดอกหรือ?”

“ไม่เคยได้ยินว่า อาจจะไม่รู้ก็ได้”

“อะไร ไม่รู้ แต่พี่อยู่ไกลร้อยโยชน์พันโยชน์จากบ้านนี้ยังรู้นี่นา น่าประหลาดแท้ ๆ ทำไมตาหลวงหนวดนั่นถึงได้เจ๋อไปขอเธอโดยไม่รักและทั้งที่ตัวมีคู่รักอยู่แล้ว มันจะมีอะไรกันหนอจะว่าพ่อแม่​บังคับ เพราะเหตุใด? เห็นแก่สมบัติหรือ? ก็ไม่น่าจะเป็นได้ พวกนี้เขามั่งมีมาแต่ไหนแต่ไร ถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังคงมั่งมีเช่นเดิม หรือพ่อแม่ของรัศมีเขาไม่ยอมให้ลูกของเขา? เป็นไปไม่ได้อีกน่ะแหละ อีตาขุนขาข้างเดียวกับอียายชมบอแจหลีหรือจะหวงลูก ไม่ยอมให้กับอำมาตย์ตรี หลวงธนสารสมบัติ ปัญหานี้ขบยากจริง”

“นั่นน่ะซีคะ นิจก็พยายามขบอยู่ทุกวัน ลงท้ายก็ต้องบอกกับตัวเองว่า เมื่อเขาไปขอนิจนั้นเขาคงตั้งใจจะรักนิจเหมือนกัน แต่ครั้นมาอยู่ด้วยกันเข้าเขาค้นพบอะไรที่ไม่ดีในตัวนิจจนเขารักไม่ลง”

เฉลายกมือขึ้นปิดปากเพื่อนพูดว่า

“อย่า! ไม่ต้องพูดคำนั้น ไม่เป็นความจริงเลย นิจของพี่ไม่มีอะไรน่าเกลียดสักนิจเดียวมีแต่น่ารักเท่านั้น ​ถึงจะไม่มีจริตดีดดิ้นอย่างผู้หญิงบางคน ก็มีกิริยามารยาทน่าเอ็นดูอยู่ในตัว คนที่ไม่มีใจเท่านั้นถึงจะไม่ชอบนิจ อีตาหนวดนั่นแกคงไม่มีหัวใจ หรือมีก็คงหลงเสน่ห์นังมวยโตนั่นจนตาบอดไปแล้ว”

คำพูดและกิริยาของเฉลาทำให้นิจต้องหัวเราะทั้งน้ำตา

“เธอจับกิริยาของเขา ว่าไม่ชอบเธอได้ตั้งแต่เมื่อไร?”

“ตั้งแต่วันแรกที่ได้แต่งงานแล้วทีเดียวค่ะ

“อือ! แปลก! แล้วเธอทำอย่างไรกับเขา?”

“นิจทำหน้าที่ภริยาทุกอย่าง มีดูแลเครื่องแต่งตัวและห้องหับกับธุระที่เกี่ยวกับเขาโดยตรง เมื่อมีธุระก็พูดกับเขา ถ้าไม่มีก็ต่างคนต่างอยู่ นิจรู้สึกตัวเองว่ายังมีกิริยามารยาทไม่ค่อยถูกแบบแผน ก็ได้พยายามฝืน​อิริยาบถจนสุดความสามารถเพื่อจะให้ถูกใจเขา และคุณพ่อคุณแม่เขาด้วยการวิ่งเล่นกระโดดโลดเต้น ร้องเพลง เอ็ดตะโรหัวเราะอย่างคึกคะนองอย่างนี้เลิกหมด ถึงยังงั้นก็ไม่ทำให้ฐานะของนิจดีขึ้น”

“เจ้าคุณอารู้เรื่องนี้ไหม?”

“ไม่ทราบเลย นิจไม่เคยปริปากสักคำเดียว คุณพ่อท่านสอนให้นิจอดทน นิจจะทนไปจนกว่าจะหมดเวร จะทนอกแตกตายดีกว่าที่จะให้คุณพ่อคุณแม่ร้อนใจ โดยที่ช่วยอะไรก็ไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งนิจต้องทำหน้าที่ของภริยาที่ดี ภริยาไม่ควรจะเอาสามีไปเที่ยวนินทาจริงไหมคะ?”

“ถูกแล้ว เท่าที่เธอเล่าและเท่าที่พี่ได้เห็นกับตาเอง พี่เห็นว่าเธอทำหน้าที่ของหญิงที่ดีแล้วครบ บริบูรณ์ เธอทำมาเป็นเวลาไม่ใช่เล็กน้อยตั้ง ๔-๕ ​เดือนแล้ว แต่เมื่อมันไม่ทำให้เธอสบายขึ้น เราก็จะต้องหาวิธีใหม่ การที่จะเอามือกอดอกรออยู่จนหมดเวรอย่างเธอว่านั้นไม่ได้ ผิดทั้งทางโลกทางธรรม ในโลกนี้แม้จะเต็มไปด้วยความทุกข์ มีสภาพเป็นอนิจจัง ไม่มีอะไรแน่นอน แต่สุขกับทุกข์เป็นของคู่กัน เมื่อเรามีทุกข์เราต้องต่อสู้เอาชนะให้ทุกข์แพ้เราให้จงได้ หรือมิฉะนั้นก็ต้องหนีทุกข์ มีอยู่สองอย่างในฐานะเช่นเธอ ต้องต่อสู้ เพราะเธอยังหนีไม่พ้น ไม่มีทางจะหนี เรื่องหย่ายังพูดถึงไม่ได้ เพราะในบ้านเมืองของเรานี้ผู้หญิงที่เลิกร้างกับสามีมักเป็นขี้ปากครหา...และยิ่งกว่านั้น บางทีเธอจะรักเขาด้วย”

นิจก้มหน้านิ่ง เฉลาเดาคำตอบได้เอง จึงพูดต่อไป

“นั่นไหมละ ทายละไม่มีผิด เรื่องร้ายของผู้​หญิงเรามันอยู่ตรงนี้แหละ อุปทานแรงนัก ขึ้นชื่อว่าเขาเป็นสามีละก็เป็นต้องรักทีเดียว จะเลวทรามอย่างไร หรือโหดร้ายกับตัวอย่างไร ก็อุตส่าห์ก้มหน้าก้มตารักอยู่ได้” นิ่งตรองครู่หนึ่ง “เธอรักเขาแต่เขาไม่รักเธอ เพราะฉะนั้นเธอต้องต่อสู้ ต่อสู้กับคู่แข่ง เพื่อความรักของสามี”

นิจสั่นศีรษะอย่างไม่มีหวัง

“นิจจะทำอะไรได้ ไม่เห็นมีทางจะสู้เขาได้สักนิด”

“ได้! ต้องได้! เพราะถึงเวลาจำเป็นจริงๆ พี่บอกแล้วถ้าเธอขืนอยู่อย่างนี้อกจะเป็นหนองตายก่อน ถึงจะอดทนเท่าไรก็อดได้แต่ภายนอกภายในเธอจะห้ามไม่ให้ทุกข์ไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องแก้ไข พี่จะสอนให้ ถึงพี่ไม่เคยแต่งงานก็จริง แต่พี่มีน้องหลายคนทั้ง​หญิงและชาย พี่เคยเป็นคนที่พี่สาวและพี่สะไภ้มาปรับทุกข์ด้วยเสมอ แม้พี่ชายก็เคย ฤทธิ์แต่ได้ยินได้ฟังมามากจนเข้าใจเรื่องพรรค์นี้ได้ดี เมื่อคราวแม่จำนงกับพี่จำลองก็หยอกเมื่อไหร่ละ ในที่สุดเดี๋ยวนี้ก็เรียบร้อยกันแล้ว

เฉลาหยุดพูด ข้อศอกเท้าเข่าไว้เอาหน้า วางลงบนฝ่ามืออีกทีหนึ่ง นิจมองเพื่อนอย่างร้อนรน ถึงแม้หล่อนจะได้บอกกับเฉลาเองว่าไม่มีทางจะต่อสู้ได้ ถึงกระนั้นก็ยังหวังว่าคำแนะนำของเฉลาจะเป็นยาขนานวิเศษสำหรับปัดเป่าให้หล่อนพ้นจากทุกข์

“หลวงธนสาร” เฉลาเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่คนเลว ทางราชการก็ดี พี่ได้ยินคุณพ่อเล่าว่า นายโปรดว่าขยันขันแข็งและซื่อสัตย์ ความประพฤติส่วนตัวก็ดี แต่เขามีข้อเสียอยู่ข้อหนึ่งที่ผู้ชายโดยมากเคยเสีย คือ ถ้าลงรักแล้วเป็นหลง ผู้ชายชนิดนี้ชอบคนยั่วยวน และ​จริตของแม่รัศมีหล่อนไม่ใช่เล่น ส่วนเธอจะไปทำจริตดีดดิ้นอย่างเขาคงทำไม่เป็นจริงไหม? ทั้งเธอก็จะหยิ่งเกินที่จะล่อสามีให้รักเพราะความยั่วยวน เพราะฉะนั้นเธอไม่ควรต้องทำอะไรให้ผิดกับตัวจริงของเธอสักนิดเดียว ตรงนี้พี่หมายความว่าเธอไม่ต้องแต่งจริตให้มากขึ้น แต่เธอไม่มีสิทธิที่จะซ่อนความน่าเอ็นดู ความรื่นเริงที่เคยมีในตัวเธอไว้ภายใต้กิริยาอันหงิมเหงาเช่นนี้ เพราะให้โทษหลายประการ เธอกำลังจะค้านว่าหัวใจของเธอไม่มีความสุข จะแสดงกิริยารื่นเริงอย่างไรได้ พี่กำลังขอให้เธอฝืนกิริยา นิจ ขอให้เธอมีความทุกข์เสียให้มากที่สุดที่จะลืม แล้วฝืนตัวให้เป็นคนสนุกสนานอย่างแต่ก่อน นึกจะเล่นอะไรก็เล่น นึกจะร้องเพลงก็จงร้อง จงทำอะไรทุกอย่างที่เธอต้องการจะทำ เพื่อความรื่นเริงของเธอเอง”

​“คุณหญิงท่านจะได้ค่อนนิจตาย”

“เธอกลัวด้วยหรือนิจ พี่เข้าใจว่าคนเราตราบใดที่อยู่ในทางที่ถูก ตราบนั้นเราเป็นอิสระไม่ต้องกลัวใคร พี่เชื่อว่าเธอจะทำอะไรที่อยู่ในเขตถูกเสมอนิจ เพราะฉะนั้นถ้ายายคุณหญิงแกอยากจะค่อนเรา เราก็ค่อนแกเป็นเหมือนกัน เธอเคยยอมกลัวแกมามากแล้ว แกก็ยิ่งอยากจะบังคับเธอให้แบนเหมือนกับผ้าที่เขาอัดไว้ในคอบปี้ ทีนี้เธอเลิกกลัวเสียที่อย่ายอมแพ้ทีเดียว ดูทีหรือแกจะกล้าทำอะไรเธอได้ สามีของเธอก็เหมือนกัน หน้าตาท่าทางไม่ไช่เป็นคนหัวแข็งใจแข็ง มีความรู้สึกที่ถูกกระทบง่ายและเอนไปทางขลาด ธรรมดาคนขลาดถ้าเห็นใครยอมกลัวก็ยิ่งข่มใหญ่ เพราะฉะนั้นเธอจะทำตัวอย่างนี้ไม่ได้ เขาอาจจะเหมาเอาว่าเธอเป็นเต่าเป็นตุ่นไม่มีความรู้สึก ไม่มีหัวใจ ต่อไปเธอต้อง​เปลี่ยนกิริยาให้เหมือนเมื่อยังไม่ได้แต่งงาน การพูดคำตอบคำต้องเลิก นึกจะพูดอะไรกับเขาเป็นพูดออกไปทีเดียว ไม่ต้องกลัวไม่ต้องอาย นึกว่าเขาเป็นสามีของเธอ เธอมีสิทธิในเขาเท่ากับเขามีสิทธิในเธอ อีกอย่างหนึ่งสามีของเธอดูซื่อๆ เซื่องๆ เหมือนคนหลับใน เธอควรจะยั่วและล้อให้เขาหัวหมุนเล่นบ้าง จะได้ตื่นจากหลับในบางครั้งบางคราว ส่วนแม่รัศมีคอยาวนั้น เธอคงแค้นเขาบ้างจริงไหม เธอว่าอะไรเขาเล่นบ้างก็ได้ ไม่ต้องกลัว แต่ระวังอย่าให้ร้ายแรงจนเกินขีดของผู้ดีเท่านั้น เธออยู่ในฝ่ายถูก เขาพยายามจะแย่งสามีของเธอ ใครบ้างจะไม่โกรธ ถ้าพาดเราเป็นฉะทีเดียว เตือน ๆ ให้รู้สึกไว้บ้างว่า เธอเป็นภริยาของหลวงธนสารตามกฎหมาย อย่างที่เธอตอบกับเขาเมื่อเวลาเขาใช้เธอให้หาน้ำให้เมื่อตอนเย็นนี้แหละดี แต่อีตอนที่​เธอเชิญเขามานั่งใกล้ขนมนั้นเกินไปหน่อย เขาไม่ควรได้รับความปรานีจากเธอถึงเท่านั้น เธอดีกับเขามามากแล้วพอที ทีหลังไม่ต้องเอาใจใครทั้งหมด ทำใจของเธอให้แข็ง ลืมทุกข์เสียบ้าง ในชั้นต้นเธอทำแต่เพียงเท่านี้ก่อน ถ้าไม่ได้ผลเราจะคิดอุบายกันใหม่

นิจนั่งฟังอย่างเอาใจใส่และตรึกตรอง เมื่อเฉลาพูดจบลง หล่อนจึงตอบว่า

“นิจจะลองดู”

“ไม่ต้องละ ต้องทำจริง ๆ ทีเดียว พี่เชื่อว่าเธอจะทำได้ เธอเป็นลูกของทหารนี่นาต้องทำให้กล้าหาญซี ให้สัญญากับพี่ได้ไหม?”

นิจก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงเงยหน้าขึ้น ยิ้มอย่างเด็ดเดี่ยว

“ค่ะ นิจสัญญา” หล่อนตอบอย่างมั่นคง

“ชะโย! อย่างนั้นซี มาขอจับมือทีเถอะสัญญา​ต้องเป็นสัญญานะ!” เฉลาร้องอย่างยินดีพลางจับมืออันเรียวเล็กของเพื่อนเขย่าอย่างร่าเริง แล้วดึงตัวมากอดไว้

“โธ่! จะบอกพี่เสียตั้งแต่แรกก็ไม่ได้ อมพะนำไว้คนเดียวจนผอม ดูหรือสายเลือดที่แก้มซึ่งใครๆ เคยอิจฉานั้นไม่มีเหลืออยู่เลย ถ้าปรับทุกข์กับใครเสียบ้าง ก็จะไม่แฟบไปถึงเพียงนี้ นี่หากว่าพี่สังเกตเห็นเอง”

“ตาพี่เฉลาละคมเหลือเกิน ความสังเกตก็เป็นที่หนึ่ง ช่างทายเรื่องราวนิจถูกต้องเสียหมดทุกอย่าง”

เฉลาทอดสายตาไปตรงหน้าอย่างใจลอยด้วยกลัวเพื่อนจะช้ำใจยิ่งขึ้น หล่อนไม่กล้าจะคัดค้านคำชมเชยของนิจ แท้ที่จริงเฉลารู้เรื่องเหล่านี้ ก็เพราะสังเกตเห็นหลวงธนสารไปบ้านรัศมีซึ่งอยู่ติดกับบ้านของหล่อนเสมอและไม่เลือกเวลา ในที่สุดหล่อนตอบแต่เพียงว่า

“น้องเอ๋ย ในชีวิตของพี่ไม่ได้รับความสุข​อยู่เสมอดังที่เธอเข้าใจหรอก พี่ได้รับทุกข์มามากเหมือนกัน คิดดูถีคุณพ่อของพี่มีภริยากี่คน และแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงก็คล้ายๆก็ลูกสะใภ้กับแม่ผัวน่ะแหละ พี่ได้รับความทุกข์เพราะความอยุติธรรมของคนอื่นอยู่เสมอ

นิจใช้สายตาอันเต็มไปด้วยความเศร้า แกมประหลาดใจมองดูผู้พูด แล้วกล่าวช้าๆว่า

“นิจเสียใจเหลือเกินที่ได้ยินเช่นนี้ เพราะนิจไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร”

เฉลาเอนศีรษะลงพิงกับศีรษะนิจ ยิ้มอย่างรักใคร่แล้วตอบว่า

“อย่าเสียใจเลย พี่พูดถึงเมื่อก่อนนี้ต่างหากเล่า ส่วนเดี๋ยวนี้พี่สบายแล้ว เพราะเธอว่าพี่ช่างสังเกต พี่จึงพูดให้ฟังว่า พี่เคยได้รับทุกข์มามาก จึงเห็นทุกข์ของผู้อื่นได้ง่าย ในบางแห่งความทุกข์มีประโยชน์นะน้อง ช่วยทำให้คนเป็นคนดีขึ้น”



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #1 on: 28 October 2025, 16:44:05 »




​“คุณเจ้าคะ เจ้าคุณกับคุณหญิงลงมือรับประทานข้าวเจ้าค่ะ”

นิจมองดูนาฬิกาข้อมือ เห็นเวลาเพียงย่ำเศษเท่านั้น หล่อนเพิ่งกลับจากบ้านเจ้าคุณสุรแสน กำลังผลัดเครื่องแต่งกายไม่เสร็จ จึงรีบสวมเสื้อชั้นนอกและหวีผมให้เรียบร้อย แล้วรีบไปยังห้องรับประทานอาหาร

หล่อนเดินช้า ๆ ไปนั่งลงตรงข้ามกับสามี เขาไม่ได้แสดงกิริยาว่าเห็นหล่อน คงรับประทานอาหารอยู่เรื่อย ๆ คุณหญิงเป็นผู้ต้อนรับด้วยอาการชำเลืองค้อน จนเห็น​แต่ตาขาว เป็นวิธีแสดงความไม่พอใจในการที่ลูกสะใภ้มารับประทานอาหารช้ามาก นิจรู้ท่าจึงจ้องตอบท่าน แล้วพูดเรียบๆว่า

“ยังไม่ทุ่มหนึ่งเลยค่ะ ดิฉันไม่ทราบว่าจะรับประทานอาหารแต่หัวค่ำเช่นนี้”

“ไปไหนมายะ” คุณหญิงถามโดยไม่รู้จะพูดว่ากระไร

“ไปหาคุณพ่อมาค่ะ ดิฉันจำได้ว่าได้ลาคุณอาแล้ว”

สีหน้าคุณหญิงเฝื่อนด้วยความโกรธ ท่านไม่คุ้นเคยกับสำนวนเช่นนั้น ลงท้ายท่านพูดว่า

“ฉันน่ะ ไม่ว่าอะไรหรอก แม่คู้-ณ จะไปไหนก็ไปเถอะ แต่ฉันเห็นว่าไม่สวย เป็นสาวเป็นแส้ไปไหนค่ำๆมืดๆ”

“รับประทานโทษค่ะ คุณอา ดิฉันไม่ใช่สาว​แล้ว อีกประการหนึ่งตาวันคนขับรถเป็นคนไว้วางใจของคนพ่”อ

คุณหญิงกระแทกช้อนลงในแกง จนชามเอียง

“ดีแล้วๆ ไม่ต้องอธิบายอีกละ ฉันพูดไม่ทันหล่อนหรอก แต่ฉันหัวหงอกแล้วนะ แก่กว่าแม่นิจ หลายปี เมื่อฉันตักเตือนแม่นิจไม่ได้ก็ให้มันรู้กันไป”

“มิได้ค่ะ ดิฉันยินดีฟังคำตักเตือนของคุณอาเสมอ และตั้งใจจำไว้ด้วย แต่สำหรับเรื่องไปหาคุณพ่อนี้...”

“คุณแม่ครับ วันนี้ผมไปให้หมอตรวจ” หลวงธนสารพูดขึ้นโดยเร็ว เห็นชัดว่าการโต้เถียงระหว่างมารดากับนิจ ทำให้เขาหายใจไม่สะดวก “ผมไม่สบายมาหลายวันแล้ว ปวดศีรษะเสมอ นอนก็ไม่ค่อยหลับ”

​“เออ!” เจ้าคุณวิชัยวางถ้วยน้ำที่กำลังดื่มอยู่ทันที “แล้วหมอว่าอย่างไรบ้างล่ะ?”

“เขาว่าผมทำงานมากไป ถ้าไม่หยุดเสียบ้างจะเป็นโรคเส้นประสาท เขาแนะนำให้ผมลาพัก ไปตากอากาศเสียชั่วคราว”

ความประสงค์ของชายหนุ่มเป็นอันสำเร็จ คุณหญิงวิชัยแม้จะมีนิสัยที่นึกถึงแต่ตัวเองเป็นที่ตั้ง ก็ยังมีเวลาสำหรับนึกถึงบุตรชายที่รักดังดวงใจของท่านได้ ท่านลืมเรื่องราวลูกสะไภ้เสียทันที หันมารับขวัญบุตรชายเป็นควัน

หลวงธนสารเป็นโรคเส้นประสาท! นิจนึกยิ้มในใจ หล่อนเชื่อแน่มานานแล้วว่าเขาเป็นคนเส้นประสาทพิการ แต่ไม่คิดว่าโรคนั้นเกิดจากทำงานมากไป

อย่างไรก็ดี นิจไม่ทำให้เป็นคนชนิดรู้กว่าหมอ และเชื่อว่าหลวงธนสารต้องการพักผ่อน ยิ่งกว่านั้น หล่อน​ยินดีตามคำแนะนำของหมอเสียด้วย เพราะเผอิญมาตรงกับความต้องการของหล่อนเข้า

ตอนเช้าวันนี้ นิจได้รับจดหมายจากเฉลาฉบับหนึ่ง ถามข่าวและเตือนให้รักษาสัญญา กับบอกว่าหล่อนจะไปหัวหินกับเจ้าคุณพ่อและพี่ๆ น้องๆ อีกหลายคน หล่อนเชิญให้นิจไปด้วยจะได้สนุกด้วยกันทั้งเป็นประโยชน์แก่ร่างกายนิจด้วย

คำชวนของเฉลาทำให้นิจติดใจมาก แต่ยังไม่กล้ารับคำเพราะมีเหตุติดขัด สตรีเป็นเพศที่ประหลาด เรื่องสามีแล้วไม่ชอบให้คลาดจากสายตา จะได้เห็นอะไรดีหรือไม่ดีที่สามีปฏิบัติก็ทนได้ ขอให้ได้เห็นเป็นพอ นิจเป็นคนหนึ่งที่เป็นอย่างว่านี้ เพราะฉะนั้นแม้ว่าคำชวนของเฉลาจะเร้าความกระหายสักเท่าไร และแม้ว่าตอนกลางวันหล่อนไปหาบิดามารดา ท่านทั้ง​สองชักชวนเกลี้ยกล่อมให้ไปกับท่าน ซึ่งท่านก็จะไปพร้อมๆ กันกับเฉลา นิจก็ยังคงไม่รับคำอยู่นั่นเอง แต่บัดนี้เมื่อได้ทราบว่าหมอแนะนำให้สามีไปตากอากาศ นิจตัดสินใจทีเดียวว่าจะหาอุบายให้เขาไปหัวหินให้จงได้

วันรุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์ นิจตื่นขึ้นราว ๗ นาฬิกา แต่งตัวเสร็จแล้วก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งลงไปนั่งอ่านที่สนามตามเคย ครั้นสายเข้า แดดขึ้นจัด อากาศชักร้อน นิจจึงปิดหนังสือเสีย แล้วเดินไปตัดดอกกุหลาบได้ช่อใหญ่ พอกับความประสงค์แล้วก็กลับขึ้นเรือน นำดอกไม้ไปจัดลงไว้ในแจกันที่โต๊ะเครื่องแป้ง เหลือไว้ ๕-๖ ดอกสำหรับปักแจกันในห้องของสามี หล่อนถือดอกไม้เหล่านั้นไปที่ประตู ซึ่งเปิดถึงห้องนอนของเขาก้มตัวลงบรรจงถอดกลอนแต่เบาๆ หัวใจเต้นแรงจนต้องเอามือ​กุมทรวงอกไว้ หล่อนพิพักพิพ่วนอยู่นาน พอได้ยินเสียง ๆ หนึ่งลอดประตูออกมา เสียงนั้นทำให้นิจเกิดความกล้า ด้วยอาการแสดงความเด็ดขาด หล่อนเปิดประตูออกโดยแรง

หลวงธนสารแต่งตัวเรียบร้อย แสดงว่าเขาตื่นนานแล้ว นอนอยู่บนเตียง หนังสือปกแข็งเล่มหนึ่งแบะคว่ำไว้บนหน้าอก เจ้าของเสียงที่นิจได้ยินนั่งอยู่ข้างตัวเขา นิจเดินเข้าไปยืนอยู่ใกล้คนทั้งสอง มองดูผู้หญิงอย่างถือดี แล้วพูดว่า

“เธอนี่เองแหละหรือรัศมี มาแต่เช้าทีเดียว ฉันอยู่ในห้องได้ยินเสียงผู้หญิงพูดเข้าใจเสียว่าไสว เพราะไม่นึกว่าเธอจะเข้ามาในห้องคุณหลวงเวลานี้”

ด้วยสีหน้าแสดงความถือดีเท่ากัน รัศมีตอบว่า

​“ไม่ใช่ไสว นั่งคนนั้นมันไม่กล้าเข้ามาในเวลาที่คุณพี่ยังนอนอยู่หรอก”

“ถ้าฉะนั้น” นิจพูดอมยิ้ม “ฉันอยากจะแสดงความยินดีกับมัน ในข้อที่มันรู้จักรักษาชื่อดีกว่าผู้ดีเสียอีก” พลางหล่อนก็ทอดสายตาอันเต็มไปด้วยความติเตียนไปทางสามี หล่อนพูดด้วยเสียงเป็นกังวานหนักแน่นและเยือกเย็น “หนังสือธัมมะเล่มหนึ่งสอนไว้ว่า “ชายผู้มีความคิด ไม่ควรอยู่ในสถานที่ลับตาคนกับธิดา พี่สาวน้องสาวแม้กับมารดาตน” พูดพลางหล่อนเดินไปที่โต๊ะหนังสือ ยกช่อกุหลาบที่ร่วงโรยอยู่ในแจกันออกทิ้งเสีย แล้วปักดอกที่ตัดมาใหม่ลงแทน

ในระหว่างที่นิจทำงานอยู่นั้น ไม่มีใครปริปากพูดว่ากระไร นิจได้ยินแต่เสียงขยับตัวและเสียงฝีเท้า ​ครั้นงานของหล่อนเสร็จแล้วกำลังเก็บกลีบกุหลาบซึ่งร่วงอยู่บนโต๊ะ สามีเดินเข้ามาใกล้ พูดเสียงห้าวๆ ตามเคยว่า

“นี่ ฉันไม่ต้องการให้เธอมาแสดงอำนาจในห้องฉัน น้องของฉันคนนี้เคยปฏิบัติวัตรถากฉันทุกอย่าง เขามีสิทธิที่จะเข้ามาในห้องฉันได้ทุกเวลา

ดวงหน้าอันขาวของนิจ กลายเป็นสีแดงจัดขึ้น หล่อนยืดตัวตรงประดุจจะวัดความสูงระหว่างตัวเขากับหล่อน ดวงตาดำคมแสดงความดูหมิ่นและท้าทาย หล่อนตอบว่า

“ถ้าคุณหลวงมีผู้ปฏิบัติอยู่แล้ว โดยไม่ต้องเสียอะไรแลกเปลี่ยน ทำไมถึงมาแต่งงานกับนิจให้เปลืองทรัพย์ ถ้าน้องของคุณหลวงจำเป็นจะต้องปฏิบัติใครคนหนึ่งเสมอ ก็ควรจะหาคนใหม่ ไม่ควรจะมาเหนื่อยแรงแย่งหน้าที่ของภริยาเขา” พูดแล้วหล่อนยืน​นิ่ง คอยฟังคำตอบครั้นเห็นไม่มี ด้วยคนทั้งสองกำลังโกรธเกินที่จะนึกหาคำพูดโต้ตอบได้ หล่อนก็ยกศีรษะตรงเดินไปที่ประตูก่อนจะออกหล่อนหันมากล่าวว่า

“นิจจะไปบ้านคุณพ่อและจะอยู่ทั้งวัน เมื่อวานนี้ ท่านบ่นว่าท่านไม่ได้พบคุณหลวงมานานแล้ว นิจเรียนท่านว่าคุณหลวงมีธุระ ไม่ค่อยมีเวลาว่าง”

เสียงลั่นกลอน เสียงฝีเท้า และเสียงพูด หลวงธนสารคงยืนถมึงทึงอยู่กลางห้อง จนมีมือยาวๆ และอุ่นๆ มาจับไหล่เบาๆ เขาจับมือนั้นจูงมานั่งที่เตียง พูดว่า

“ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรกับเด็กคนนี้ ความผิดของเขาก็ไม่มีสักนิด คุณแม่ท่านทำกรรมให้แท้ๆ ที่ถูกท่านควรจะแต่งงานกับเด็กเสียเอง” เขาหัวเราะคำพูดอันเหลวไหลของตัวเอง “นี่แน่ะรัศมี อ้ายเรื่องกาแฟ​นรสิงห์ของเราเป็นอันล้ม พี่จะต้องไปหาเจ้าคุณสุรแสนเสียที”

ความเดือดแค้นในใจรัศมีเวลานั้นทำให้เจ้าตัวนึกว่า หล่อนอาจฆ่าคนเล่นได้โดยง่าย แต่หล่อนฉลาดพอที่จะไม่แสดงมากนัก เป็นแต่เพียงเมินหน้าและพูดว่า

“แหม! ช่างซื่อตรงต่อคำสั่งดีจริง ตัวอย่างนี้จะหาที่ไหนได้”

“เธอก็รู้อยู่แก่ใจแล้วว่า เขาไม่ได้สั่งพี่เขาเล่าให้ฟังต่างหาก” หลวงธนสารค้าน

เขาไม่เกลียดอะไรมากเท่ากับเวลาที่ใครว่าเขาทำอะไรตามคำสั่งของภริยา “ที่พี่จะต้องไปก็เพราะเห็นว่าจำเป็น เจ้าคุณสุรแสนเป็นคนที่น่านับถือ และท่านกรุณาแก่พี่เสมอ”

“เพราะเหตุฉะนั้น พี่จะต้องไปหาวันนี้ จำเพาะจะต้องเป็นวันนี้ ช้าอีกวันเดียวก็ไม่ได้ยังงั้นไม่ใช่​หรือ?”

รัศมีสะบัดหน้าแรง จนมวยเอียงมาข้างหู

“ถ้ายังงั้นดิฉันกลับละ”

“อ้าว! ไหนว่าจะอยู่คุยกับพี่ทั้งวันยังไงล่ะ”

“จะให้อยู่ทำไมอีกล่ะคะ ประเดี๋ยวคุณพี่ก็จะต้องไปหาพ่อตาแม่ยาย”

ชายหนุ่มไม่ยักตอบว่ากระไร ปล่อยให้หล่อนเดินไปจนถึงประตู แล้วหล่อนหันกลับมาอีก พูดว่า

“ไปหาเสียตอนกลางวันได้ไหมล่ะคะ?”

“เสียใจจริงๆ ที่รัก พี่มีธุระ ต้องทำงานที่เอามาจากกระทรวงให้แล้ว”

รัศมีสะบัดหน้าแรงอีกครั้งหนึ่ง แล้วออกประตูไป

​หลวงธนสารทำงานทั้งวันจริงดังพูด กว่าจะเสร็จตกราว ๑๗ นาฬิกา มีเวลาพอดีแต่งตัวตามสบายและไปถึงบ้านเจ้าคุณพ่อตาก่อนค่ำ

เขาขับรถเข้าไปจอดที่หน้าตึกตามเคย แล้วขึ้นบันไดหน้ามุข เข้าในห้องซึ่งเขารู้แน่ว่า เจ้าคุณกับคุณหญิงใช้เป็นห้องนั่งเล่นเสมอ

เจ้าคุณสรแสนสงคราม นอนตะแคงอยู่บนเตียงยาวใกล้หน้าต่าง หันหน้ามองดูคุณหญิงซึ่งนั่งอยู่หน้าเตียง กำลังถักไหมพรมสำหรับรองบาตร นิจนอนฟังพาบมือเท้าคางอยู่ข้างมารดาฝีเท้าของหลวงธนสารที่เดินเข้าไปนั้นเบามาก จึงไม่มีใครรู้สึก ต่อเขานั่งพับเพียบลงแล้วทำเสียงคล้ายเสียงกระแอม คุณหญิงจึงเงยหน้าขึ้นดู

“อ้อ! หลวงธนสารมา แหมช่างเงียบเชียบดีจริง”

นิจคงนอนอยู่ในท่าเดิม เจ้าคุณสุรแสนลงจาก​เตียงมานั่งขัดสมาธิ์อยู่ข้างภริยา แล้วพูดว่า

“ยังไง สบายดีหรือ หลานชาย ถามนิจเขาเมื่อเร็วๆนี้ ได้ความว่าธุระมาก ไม่มีเวลาว่าง ราชการงานเมืองของเราดีอยู่หรือ?”

“ดีครับ” หลวงธนสารตอบคำเดียวตามนิสัย เขาเป็นคนพูดน้อย และไม่ชอบพูดเรื่องของตัวเองเลย แต่เจ้าคุณสุรแสนเป็นคนมีนิสัยรื่นเริง และชอบเล่นชอบคุย ซึ่งนิจได้รับมรดกนั้นไว้ด้วย เพราะฉะนั้น ท่านจึงซักถามเรื่องราวต่างๆ และบังคับให้หลวงธนสารคุยจนได้

เรื่องมาลงเอยกันที่โรคเส้นประสาทของหลวงธนสาร เจ้าคุณเอ่ยขึ้นว่า

“นิจเขาบอกว่าหลานชายไม่สบาย หมอแนะนำให้ไปตากอากาศหรือ?”

บุตรเขยรับคำ ท่านจึงพูดต่อไป “เจ้าพระยานครินทร์ฤๅชัย คะยั้นคะยอให้ไปหัว​หิน ฉันไม่ค่อยชอบนักหรอก อ้ายที่นั่นฟังเขาเล่าดูมันกลายเป็นสมาคมสำหรับการแข่งความเฟ้อกันไปเสียแล้ว และยิ่งกว่านั้นออกจะกลายเป็นสถานที่เลือกคู่กันอีกด้วย ครั้นจะปฏิเสธหรือก็เกรงใจผู้ใหญ่ เดี๋ยวจะว่าท่าโน้นท่านี้ก็เลยรับคำ ทั้งท่านว่าเดือนสองเดือนนี้ไม่ค่อยมีคนด้วย เพราะยังไม่ถึงคราวของเขา ยายเฉลาก็อิดออดขอให้พานิจไปด้วยให้ได้ หลานกำลังต้องการพักผ่อน ไปสนุกกันที่หัวหินสักพักไหมล่ะ?”

หลวงธนสารรอคำถามประโยคนี้มาตั้งแต่ประโยคแรกแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีเวลาพอเตรียมคำตอบ เขานั่งอึกอักอยู่นาน คุณหญิงจึงพูดขึ้น

“ท่าเห็นจะไม่เต็มใจรับกระมัง ไปกับผู้ใหญ่กลัวจะไม่มีเพื่อนสนุก ก็ลูกชายลูกสาว​เจ้าคุณนครินทร์ก็ไปกันหลายคน รู้จักกันไม่ใช่หรือ?”

ลูกเขยยังคงนิ่ง โดยไม่ได้ตั้งใจ เขามองไปทางนิจ พบสายตาของหล่อนกำลังจ้องดูเขา มียิ้มแกมเยาะเย้ยอย่างรู้เท่าคล้ายจะพูดว่า

“ถึงจะมีเพื่อนสักกี่คน ก็สู้เพื่อนคนหนึ่งในกรุงเทพฯ ไม่ได้”

หลวงธนสารรู้สึกฉุนแกมกระดาก ให้กระอักกระอ่วนใจ ในที่สุดหลุดปากออกไปว่า

“ผมก็อยากไปเหมือนกัน แต่...” เขาหยุดนิ่งอยู่เพียงเท่านั้น ไม่ทราบจะหาอะไรมาต่อให้เหมาะกับ ‘แต่’ นั้นได้ การกล่าวเท็จเขาไม่ชอบและไม่อยากประพฤติ

ภริยาสาวช่วยต่อคำพูดของสามี

“แต่เป็นห่วง…...” ชะงักไว้นิดหนึ่ง ‘งาน’

​“เปล่าไม่ใช่!” สามีค้านอย่างตกใจโดยไม่มีมูล

นิจหัวเราะ หลวงธนสารรู้สึกตัวจึงพูดต่อไปเป็นปกติว่า

“ไม่มีอะไรมิได้ ผมตกลงใจแล้ว เป็นว่าไป”


ตอนกลางคืนนิจอิ่มเอิบใจเป็นอันมาก หล่อนรีบเขียนจดหมายถึงเฉลา มีใจความดังนี้

ถนนสาธร

วันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๒

พี่เฉลาที่รักของนิจ

จดหมายของเธอนิจได้รับแล้ว ขอบคุณจริงๆ ที่เป็นห่วงและเอาใจช่วยนิจนักหนา จะหาเพื่อนที่ไหนได้อย่างเธอเป็นคนที่สองเห็นจะไม่มีแล้ว นิจทำตาม​สัญญาที่ได้ให้ไว้กับเธอ และรู้สึกว่าได้ผลดี การที่เลิกตั้งคำถามกับตัวเองว่า คนนั้นทำไมถึงเกลียดเรา คนนี้ทำไมถึงไม่ชอบเราเสียได้ ทำให้นิจหายกลุ้มได้มาก นิจกำลังพยายามทำตัวให้สนุกสนานเต็มที่ เริ่มต้นด้วยการเป็นเพื่อนกับเด็กๆ ทำได้ง่ายเหลือเกิน มันพากันติดนิจทั้งบ้าน เคยมาวิ่งเล่นที่ข้างห้องนิจกลุ่มโต ๆ คุณหญิงทำท่าไม่พอใจว่าเด็กวิ่งบนสนามย่ำหญ้าของท่านเสีย นิจทำหูทวนลม นี่เป็นขั้นแรก ที่นิจเลิกเอาใจใส่ในความคิดของคุณหญิง ท่านคงทำหน้าที่ “แม่ผัวเกลียดลูกสะใภ้” ตามเคย เมื่อวานนี้เถียงกันสองสามคำ ด้วยเรื่องนิจไปหาคุณพ่อกลับจนค่ำ ขันจริงๆ ที่ท่านชอบแสดงเอาใจใส่ในตัวนิจอยากจะให้ดี อยากจะให้​เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แต่คำตักเตือนของท่านไม่เห็นถูกเรื่องสักที นิจเป็นศิษย์ที่ถือคำสั่งครูอย่างเคร่งครัด เมื่อเช้าก็ฟาดข้อกับคุณหลวงและแม่รัศมี ‘มวยโต’ ตามที่เธอเรียก จะเล่าเรื่องละเอียดให้เธอฟัง เมื่อเราพบกันที่หัวหิน

พูดถึงหัวหิน อดหัวเราะไม่ได้ คุณหลวงติดกับของนิจเข้าถนัดใจ เมื่อได้รับจดหมายเธอชวนไปหัวหินนั้น ให้นึกอยากไปเสียเหลือเกิน แต่ว่า-นี่ นิจบอกตรงๆ เธอจะนึกว่านิจเป็นบ้าหรือ อะไรก็ตามใจ ถ้านิจปล่อยให้คุณหลวงอยู่บ้าน เขา กับ เจ้าหล่อน คงสำราญกันใหญ่ เกือบจะเลิกคิดถึงหัวหินอยู่แล้ว พอดีวันนั้นเองคุณหลวงเขาเล่าว่า เขาเป็นโรคเส้นประสาท หมอแนะนำให้ไป​ตากอากาศที่ใดที่หนึ่ง นิจมองเห็นหนทางที่จะได้ไปเที่ยวสมใจทีเดียว และจะลากเอาคุณหลวงไปเสียด้วยให้เข็ด เช้าขึ้นจึงบอกกับเขาว่า คุณพ่อคุณแม่บ่นถึง เขาก็ดี อุตส่าห์ไปหาคุณพ่อในเย็นวันนั้นเอง แปลว่าเขาเอาเท้าสอดเข้าบ่วงที่นิจดักไว้ เพราะนิจหนุนคุณพ่อคุณแม่ไว้แล้ว ให้ชวนเขาไปตากอากาศพร้อมกับท่าน นิจน่ะแน่ใจว่าเขาเป็นห่วงดวงใจของเขา แต่เขาเกรงใจคุณพ่อ ทั้งหาข้อแก้ตัวไม่ได้ด้วยจึงต้องรับ นิจขอให้ท่านหาบ้านให้เราสองคนต่างหาก ถ้าท่านหาได้แล้วโทรเลขมาบอกเราจึงจะไป เพียงแต่นึกถึงความสุขที่จะได้พบกับเธอที่นั่น และเล่นหัวกันทุกวัน ก็ทำให้นิจกลืนข้าวจะไม่ลงเสียแล้ว และภาวนา​ให้วันมาถึงเร็วๆ เข้า เธอจำภาพหัวหินเมื่อสองปีก่อนได้ไหม ตั้งแต่คราวนั้นมานิจยังไม่ได้เล่นน้ำสนุกอีกเลย หวังว่าจะได้เล่นในสองสามวันนี้

ฝากความคิดถึงให้พี่ ๆ และน้องๆ ของเธอทุกคน

โดยความรัก

จากเพื่อนและน้องของเธอ

นิจ



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.089 seconds with 16 queries.