Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
01 November 2025, 06:23:39

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง นิจ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 1-2
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง นิจ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 1-2  (Read 77 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 28 October 2025, 16:30:00 »

นวนิยายเรื่อง นิจ บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 1-2


https://vajirayana.org/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%88
https://vajirayana.org/นิจ





คำนำ

ด้วยเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔ นางสุนทรี ชมธวัช ทายาทลิขสิทธิ์หนังสือนวนิยายและเรื่องสั้นของหม่อมหลวงบุบผา นิมมานเหมินท์ ผู้ใช้นามปากกาว่า “ดอกไม้สด” ได้มีใจเอื้อเฟื้อแก่ราชการ และได้มอบลิขสิทธิ์หนังสือนวนิยายและเรื่องสั้นของ “ดอกไม้สด” ให้แก่หอสมุดแห่งชาติ เพื่อให้หอสมุดแห่งชาติได้มีรายได้ อันจะได้นำไปใช้สอยในกิจการต่างๆ เป็นการบำรุงหอสมุดแห่งชาติ ให้เป็นประโยชน์ในการศึกษาหาความรู้ของประชาชนมากยิ่งขึ้น

การที่เอกชนมีจิตศรัทธาในงานสาธารณประโยชน์และให้ความร่วมมือแก่ทางราชการ โดยการบริจาคทรัพย์สิ่งของ เพื่อให้งานสาธารณประโยชน์ดำเนินไปด้วยดีนั้น นับว่าเป็นการเสียสละเพื่อส่วนรวมที่น่าสรรเสริญ การให้ความรู้เป็นวิทยาทาน เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของไทยเรา และเป็นการกระทำที่แสดงให้เห็นความนิยมในคุณค่าของวิทยาการ ตลอดจนความปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นมีความรู้ในวิชาต่างๆ ซึ่งเป็นความปรารถนาที่ดี และมีส่วนช่วยในการทะนุบำรุงสติปัญญา และความคิดของแต่ละคน ซึ่งจะมีผลส่งถึงส่วนรวมด้วย

​พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนครขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ และได้พระราชทานหอพระสมุดวชิรญาณซึ่งเป็นของส่วนพระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ ให้เป็นส่วนหนึ่งของหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ราษฎรทั้งหลายได้มีโอกาสอ่านหนังสือในหอพระสมุด ซึ่งหลังจากเปลี่ยนการปกครองแล้ว ได้เปลี่ยนชื่อเป็นหอสมุดแห่งชาติ สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ดำเนินการโดยเสด็จพระราชประสงค์เป็นแหล่งวิทยาการสำหรับประชาชนชาวไทย การทะนุบำรุงหอสมุดแห่งชาติด้วยประการใดๆ ก็นับว่าเป็นการเอื้อต่อวิทยาการของชาวไทยทั้งปวง

กรมศิลปากรมีความยินดีที่ นางสุนทรี ชมธวัช ได้มีจิตศรัทธาต่อวิทยาการ และได้มีความเสียสละอันน่าชมเชยยิ่ง ขอให้ท่านผู้อ่านหนังสือนี้ รำลึกถึงกุศลจิตของผู้บริจาค รำลึกถึง หม่อมหลวงบุบผา นิมมานเหมินท์ ผู้ประพันธ์ ช่วยกันอนุโมทนาขอให้ความดีนี้ช่วยส่งสนองให้ นางสุนทรี ชมธวัช ผู้บริจาคได้ประสบความสุขความเจริญ ให้หม่อมหลวงบุบผา นิมมานเหมินท์ ผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้ถึงซึ่งความสงบสุขชั่วนิรันดร.

กรมศิลปากร

.....


คำชี้แจง

​นวนิยายของ “ดอกไม้สด” มีอยู่ด้วยกัน ๓๒ เรื่อง เป็นนวนิยายขนาดยาว ๑๒ เรื่อง และเป็นเรื่องสั้นอีก ๒๐ เรื่อง บทละครหนึ่งเรื่องกับเรื่องยาวซึ่งแต่งไม่จบคือ “วรรณกรรมชิ้นสุดท้าย” นั้น ท่านผู้ประพันธ์แต่งได้เพียงตอนแรก และไม่อาจแต่งต่อไปให้จบได้ เพราะสุขภาพไม่อำนวย

หม่อมหลวงบุบผา นิมมานเหมินท์ (นามสกุลเดิม กุญชร) เจ้าของนามปากกา ดอกไม้สด ได้เริ่มงานประพันธ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ โดยเขียนลงในวารสารไทยเขษม และเรื่องแรกที่แต่งคือเรื่อง ศัตรูของเจ้าหล่อน รวมเล่มพิมพ์ครั้งแรกโดยกองอาสากาชาด ขออนุญาตพิมพ์จำหน่ายเพื่อการกุศล และต่อมาก็ได้ตีพิมพ์อีกหลายครั้ง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๔ “ดอกไม้สด” ได้เขียนไว้ในคำนำฉบับที่ตีพิมพ์ครั้งนั้นว่าเคยคิดอยากจะแก้ไข เพราะได้เห็นความบกพร่องหลายอย่าง แต่เมื่อตรวจดูแล้วก็เห็นว่าที่จะแก้ไขมีมาก จนถึงกับจะเป็นการเขียนใหม่หมด จะไม่มีเรื่อง “ศัตรูของเจ้าหล่อน” อย่างเดิมอีกต่อไป จึงไม่ได้แก้ไข นับว่าเป็นโชคดีที่ท่านผู้อ่านจะได้เห็นวิวัฒนาการในการแต่งนวนิยายของ “ดอกไม้สด” มาตามลำดับ นวนิยายเรื่องแรกที่คิดอายุก็ได้ ๔๔ ปีแล้ว

​ถ้อยคำสำนวน ความคิด ความนิยม หลายอย่างได้เปลี่ยนไป เรื่องศัตรูของเจ้าหล่อน เป็นเสมือนบันทึกเหตุการณ์ในอดีตการที่ยังมีผู้นิยมอ่านมาจนทุกวันนี้ แสดงให้เห็นว่ายังมีหลายอย่างในเรื่องนี้ ที่จะเป็นกาลปัจจุบันอยู่ตลอดไป กาลเวลาเป็นอย่างหนึ่งซึ่งใช้ยืนยันได้ว่า คุณค่าของบทประพันธ์จะยืนยงหรือไม่เพียงไร

นวนิยายเป็นแบบการประพันธ์ ซึ่งนับว่าเรารับมาจากต่างประเทศในยุครัตนโกสินทร์ ตอนที่มีการติดต่อกับประเทศในยุโรปมากขึ้น อย่างน้อยเราก็รับเอาชื่อของการประพันธ์แบบนี้ที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า Novel แล้วก็มีผู้แปลเป็นไทยว่า นวนิยาย เป็นนิยายแบบใหม่ต่างกับเรื่องนิยายหรือนิทานคำกลอนที่เราเคยนิยมกันมาแต่ก่อน ซึ่งเขียนเป็นคำกลอน ตัวละครเป็นคนในอดีต และส่วนมากเป็นท้าวพระยามหากษัตริย์ ชีวิตอยู่ในอำนาจของความลี้ลับเหนือมนุษย์ต่างๆ กฎเกณฑ์ของการเขียนที่กำหนดไว้สำหรับนักวิจารณ์พิจารณานวนิยาย ว่าจะต้องมีองค์ประกอบ ๕ ประการ คือ ตัวละคร ฉาก บทสนทนา โครงเรื่อง และเนื้อหา อย่างไรก็ดี ถ้าจะมองให้ลึกลงไปแล้ว นิยายคำกลอนแต่ก่อนเก่าของเรา และนวนิยายอันขึ้นชื่อว่าได้มาแต่ฝรั่งก็มีพื้นฐานอันเดียวกัน คือ ชีวิตมนุษย์ เรื่องราวของปุถุชน ซึ่งมนุษย์ด้วยกัน​อยากรู้อยากเห็นหนักหนา นวนิยายจึงเป็นที่นิยมของคนไทยอย่างรวดเร็ว

“ดอกไม้สด” มีผลงานปรากฏแก่ผู้อ่านเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ อันเป็นระยะที่วงการประพันธ์ไทยกำลังสมัยใหม่ยิ่ง บทประพันธ์ของท่านจึงทันกาลเวลาสำหรับสังคมของหนุ่มสาวสมัยใหม่ในเมืองหลวงขณะนั้น และคงอยู่ตลอดมา เนื่องจากว่าดอกไม้สดเขียนนวนิยายโดยมีกฎเกณฑ์ ซึ่งท่านได้นำออกมาใช้อย่างสม่ำเสมอกันเกือบทุกเรื่อง เป็นต้นว่า ศึกษาอุปนิสัยตัวละคร (จากคนจริง) ให้ถ่องแท้เสียก่อน แล้วจึงสร้างเรื่องสำรวมในการแสดงความรู้สึกมัธยัสถ์ในการใช้ถ้อยคำ และผูกเรื่องราว จนแทบจะกล่าวได้ว่า ถ้าตัดคำใดและเนื้อเรื่องตอนไหนออกเสียแล้ว ถึงจะไม่ล้มทั้งเรื่อง ก็จะเสียรส ดังนั้นถึงแม้ว่าขณะนี้รสนิยมของคนรุ่นปัจจุบันจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่นวนิยายของดอกไม้สดก็ยังอาจให้ความพอใจแก่ผู้อ่านในด้านความบันเทิง ความคิด ความงดงาม และความละเมียดละไมแห่งความรู้สึกอยู่เสมอ

การที่สำนักพิมพ์ถึงสามแห่ง ขออนุญาตพิมพ์นวนิยายของดอกไม้สดพร้อมๆ กันนี้ ย่อมเป็นเครื่องวัดได้ว่า ความนิยมอ่านหนังสือของดอกไม้สดยังมีอยู่มาก เป็นที่น่ายินดีและ​ภูมิใจที่หอสมุดแห่งชาติได้รับมรดกวรรณกรรมของดอกไม้สด ผู้ล่วงลับไปแล้ว น่าภูมิใจที่เราได้มีนักประพันธ์อย่างท่าน ผู้ซึ่งสร้างงานด้วยความประณีต มีความปรารถนาจะให้แนวทางที่ดีแก่ผู้อ่าน ทั้งเป็นผู้ซึ่งเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม การที่หอสมุดแห่งชาติได้รับมรดกลิขสิทธิ์ในงานประพันธ์ของท่าน ก็เพราะว่าเป็นความปรารถนาอย่างหนึ่งของท่าน ในการที่จะทำประโยชน์ให้แก่สังคม

การที่คุณสุนทรี ชมธวัช ทายาทลิขสิทธิ์ในวรรณกรรมของดอกไม้สด ได้ยกลิขสิทธิ์อันจะเกิดผลประโยชน์ให้แก่หอสมุดแห่งชาตินั้น นับว่าเป็นการเสียสละที่น่าสรรเสริญ จึงขออนุโมทนาในการกุศล และขอขอบคุณ คุณสมภพ จันทรประภา ที่ได้ช่วยเหลือแนะนำให้หอสมุดแห่งชาติ ได้รับลิขสิทธิ์ไว้

ได้เขียนไว้ในคำอุทิศของหนังสือเรื่อง “ศัตรูของเจ้าหล่อน” ซึ่งกองอาสากาชาด ขอตีพิมพ์จำหน่ายเพื่อการกุศล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๗ ตอนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าขอเชิญชวนเพื่อนพุทธศาสนิกทั้งหลาย เชิญร่วมงานเมตตากรณียกิจกับกองอาสากาชาด เชิญตั้งจิตมั่นในเมตตาอธิษฐานตามเยี่ยงอย่างแห่งบุรพชนของเรา สัตว์โลกทั้งหลายจะเป็นผู้ไม่มีเวร สัตว์โลกทั้งหลายจงอย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกัน สัตว์โลกทั้งหลายจงอย่า​เป็นไข้ใจ สัตว์โลกทั้งหลายจงพ้นจากทุกข์ สัตว์โลกทั้งหลายจงอยู่เป็นสุขรักษาตน สัตว์โลกทั้งหลายจงอย่าพ้นจากสมบัติอันตนได้แล้ว และขอสันติภาพ จงบังเกิดแก่สัตว์โลกทั่วพิภพเทอญ”

ขอสันติสุขจงบังเกิดแก่วิญญาณของ “ดอกไม้สด” ชั่วนิรันดร.

แม้นมาส ชวลิต

หอสมุดแห่งชาติ

๗ มีนาคม ๒๕๑๖

.....




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #1 on: 28 October 2025, 16:30:59 »




​เสียง ตุ้บ! เปรื่อง! ฉ่าง! ดังมาจากห้องซึ่งติดกับห้องที่เจ้าคุณสุรแสนสงครามและคุณหญิงนั่งอยู่ ท่านนายพลนอกราชการวางหนังสือพิมพ์ที่กำลังอ่านลงบนตัก เงยหน้าขึ้นดูภรรยาซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าพลางพูดว่า

“ทายกันว่าแจกันใบไหนแตก?”

สตรีผู้ภรรยา ทอดสายตาอันเต็มไปด้วยความรักและนับถือดูสามี พลางถอนใจน้อย ๆ เจ้าคุณพูด

​“ฉันทายว่า ใบลายครามใหญ่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะกลางห้อง”

คุณหญิงวางสงบที่กำลังสอยอยู่นั้นทันที พลางขมีขมันลุกขึ้น

“ไม่ไหวจริงๆ ลูกคนนี้! ของอะไรที่พ่อรักมาก มันเป็นทำลายเสียหมด”

“แม่จันทร์! แม่จันทร์! จะไปไหนนั่น? อะไรยังไม่ทันรู้แน่เลย เป็นแต่ฉันทายเดาเท่านั้นถึงจะเป็นใบนั้นก็ช่างมันประไร แตกแล้วซื้อใหม่ก็ได้”

คุณหญิงหยุดเดิน กลับมานั่งที่เดิม เงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้น

“ดิฉันทราบแล้วว่าใจของคุณนะเต็มไปด้วยความกรุณา กะของเสียไปชั้นเดียวหรือจะว่ากล่าวลูกให้ช้ำใจ ถึงดิฉันก็มิใช่จะขี้เหนียว แต่เสียใจที่เลี้ยงลูกไม่ได้สมใจนึก ตระกูลของนิจเป็นผู้ดีโดยแท้จริง พ่อของนิจก็​เป็นคนที่เกลียดชังกิริยาหยาบคายอย่างที่สุด ถึงดิฉันเองก็เหมือนกัน แต่ส่วนลูกสิกิริยามารยาทเหมือนทะโมน”

นายทหารผู้เฒ่าลุกจากที่นั่งมายืนอยู่ข้างภรรยาทำให้เห็นรูปของท่านสูงและตรง เวลา ๖๐ ปีที่ท่านได้ผ่านมาแล้ว มิได้ทำให้ร่างอันยิ่งผายของท่านหย่อนหรือค้อมลงแม้แต่น้อย ภายใต้ผมสีเทาคือศีรษะใหญ่และหน้าผากกว้าง ดวงตาโต ยังมีแววสดชื่น แสดงความสงบแห่งดวงจิต ท่านยกมืออันขาวขึ้นจับบ่าภรรยา พลางพูดด้วยเสียงที่พยายามให้เป็นเล่นว่า

“ขอเสียทีเถิดแม่จันทร์ อย่าเอาเรื่องหยุมหยิมพรรค์นี้มาเป็นอารมณ์หน่อยเลย จริงอยู่ ฉันชอบความสงบเสงี่ยมเรียบร้อย อันเป็นทายาทที่ปู่ ย่า ตา ยาย ของฉันเคยนิยม ถึงยังงั้นฉันก็ไม่เห็นว่ากิริยาของนิจมันจะร้ายกาจถึงกับต้องตีโพยตีพายในข้อที่ว่าเลี้ยงลูก ไม่​ได้สมใจนึกนั้นก็ไม่ถูกเพราะเราไม่ค่อยได้มีเวลาเลี้ยงมันมัวย้ายไปอยู่โน่นมาอยู่นี่ อ้ายลูกมันอยู่โรงเรียนฝรั่งกิริยาของมันก็ต้องผิดกับเราบ้างเป็นธรรมดา”

ขณะนั้น มีเสียงฝีเท้าอย่างคนวิ่งโหย่งตัวดังเข้ามาใกล้ เจ้าคุณหยุดพูด หันไปทางประตู

ผู้ที่เข้ามาใหม่เป็นหญิงสาว ท่าทางประเปรียว ดวงหน้าอ่อนหวานและดูไม่เดียงสา นิจมีดวงหน้าคล้ายคลึงท่านบิดา แต่รูปร่างไปข้างคุณหญิง คือเล็กและแบบบาง หล่อนเดินอย่างระวังกิริยาเข้ามาในห้อง แล้วนั่งลงทำท่าสำรวม

คุณหญิงเงยหน้าขึ้นทำตาเขียว ซึ่งบุตรีเบิกตากว้างเป็นที่ถามว่ามีอะไรเกิดขึ้น ส่วนเจ้าคุณเห็นท่าไม่ดีจึงชิงเปิดฉากเสียก่อน

“ทำอะไรแตกเมื่อตะกี้นี้?” ท่านพยายามทำเสียงแข็ง

​“นิจไม่ได้ทำหรอกค่ะ” บุตรสาวถนอมเสียงตอบและตีหน้าสลด มารดานึกอยากหยิกให้ขาเขียวแต่เจ้าคุณคงพูดต่อเรื่อย ๆ

“เสียงเมื่อตะกี้ดังฉ่างน่ะ ไม่แตกดอกหรือ-”

“แตกค่ะ แต่ใจไม่ได้ทำ”

“………….?”

“อีแต้ม มันกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะกลางห้องแล้วกระโดดลง เลยทำแจกันตกลงมาด้วย”

“นั่นยังงั้นซี!” คุณหญิงเอ่ยพลางหัวเราะอย่างหมั่นไส้ “ทายละไม่ผิด ของสิ่งไหนที่พ่อรักแม่นิจเป็นต้องทำลายเสีย”

เจ้าคุณซ่อมยิ้มไว้ในหน้า ท่านยังจำได้ว่าท่านเองเป็นคนทาย หาใช่ภรรยาทายไม่

“เอาเป็นแล้วกันที” ท่านว่า “ซัดกระทั่งแมว ​ถ้าตัวไม่พามันเข้าไปเล่นในนั้น อีแต้มคงไม่เข้าไปยุ่มย่ามในห้องรับแขก มันคงชอบอยู่ในครัวมากกว่า”

“ลูกกำลังเล่นหีบเพลง” เด็กหญิงเอ่ยขึ้น

“หยุดที!” คุณหญิงแหวโดยเหลืออด “กระบวนแก้ตัวเป็นที่หนึ่ง นิจไม่เคยผิด! จะเถียงเอาให้ผู้ใหญ่แพ้ให้จงได้”

“ไปอาบน้ำ” เจ้าคุณสั่ง เมื่อเห็นบุตรีขยับจะเปิดปาก “วันนี้หลวงธนสารเขาจะมากินข้าวด้วย แต่งตัวให้ไวๆ เข้าหน่อย ทุ่มตรงเขาจะมาถึง”

นิจลุกขึ้นเดินอย่างสงบเสงี่ยม แต่พอลับประตูก็กระโดดขึ้นบันไดทีละสองชั้นตรงไปห้อง เจ้าคุณมองตามพลางยิ้มละไมด้วยความเอ็นดู แต่คุณหญิงสั่นศีรษะด้วยแสนระอา

“ดิฉันละกลุ้มจริงๆ เมื่อไรมันจะเป็นผู้ใหญ่กับ​เขาสักทีก็ไม่รู้ รู้ยังงี้จะเอาเข้าไปถวายเจ้านายเสียในวัง แทนที่จะเอาไปฝากไว้กับยายชีอะไรก็ไม่ว่าหรอก ที่นี้กลัวแต่เมื่อแต่งงานแล้วจะเดือดร้อนน่ะนา แม่สงวนแกไม่หยอก นิสัยของแกคอยถามมากกว่าคอยเสี้ยม พี่น้องของเขาก็มาก ถ้านิจไปทำซุ่มซ่ามเข้าเขาคงค่อนตาย”

“ฉันไม่เป็นห่วงสักนิด เจ้าคุณพูดพลางจุดบุหรี่ใบตองแห้งสูบ “หล่อนยังไม่รู้จักลูกของหล่อนดีพอ เห็นจะเป็นเพราะไม่ค่อยได้พยายามเรียนนิสัยของมันเท่าที่ฉันทำอยู่เสมอ ฉันได้ดูรอบคอบแล้วก่อนที่จะยกลูกสาวให้เขา แน่ใจว่าใจมันฉลาดพอที่จะรักษาตัวของมันได้ ทั้งนิสัยใจคอตลอดจนกิริยาก็ไม่เห็นน่าที่ใครจะเกลียดมันลง”

“นั่นแน่ความเป็นพ่อ! คุณปล่อยให้ความรักลูกทำให้คุณตาบอดเสียแล้ว คุณมั่นใจและหยิ่งสำหรับ​ลูกเกินไป” แม้คุณหญิงจะได้กล่าวคัดค้านดังนั้น แต่แววตาก็ยังแสดงความชื่นชมเจ้าคุณตอบว่า

“เปล่าเลยแม่จันทร์ ความรักไม่ได้ทำให้ฉันตาบอด หล่อนเองน่ะแหละตาบอด เพราะความเป็นห่วงลูกมากเกินไป พูดถึงความมั่นใจจะห้ามอย่างไรได้มิให้บิดามารดามั่นใจในลูก เพราะบุตรธิดามิใช่ความหวังจุดสำคัญของเราพ่อแม่ดอกหรือ?”

ในเวลาเดียวกันนี้ นิจนั่งอยู่เหนือเก้าอี้ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มือทั้งสองขาวโพลงด้วยแป้งที่ขยี้ไว้สำหรับผัดหน้า แต่หล่อนยังคงนั่งนิ่ง ข้อศอกเท้าโต๊ะ ตาจับอยู่ที่กระจก นิจกำลังฝันถึงอะไร-แทนที่จะเห็นภาพของตัวเองในกระจกนั้น กลับเห็นภาพของชายผู้หนึ่งที่มีสีหน้าซีดและตาลอย ก่อนที่ชายผู้นี้จะได้มาเป็นคู่หมั้น​ของนิจ ทั้งสองได้พบกันหลายครั้ง และนิจจำได้ว่า เจ้าคุณสุรแสนเคยเอ่ยชื่อเขาเสมอ โดยที่หล่อนไม่เคยยึดถือเอามาเป็นอารมณ์ ครั้นท่านนายพลผู้เฒ่ามาบอกกับหล่อนว่าเขามาขอหมั้น และถามบุตรสาวว่าจะตกลงหรือไม่ นิจจึงพยายามรวบรวมความทรงจำ หล่อนนึกอะไรไม่ออกมากนักนอกจากจำได้ว่า เขาเป็นคนท่าทางเรียบร้อย และมีหนวดประปราย อาทิตย์หนึ่งต่อมานิจจำได้ว่าคุณหญิงจันทร์มาช่วยแต่งตัว เสร็จแล้วก็พาลงไปที่ห้องรับแขก ที่นั่นหล่อนได้พบบิดาของหล่อน และพระยาวิชัยชาญยุทธกับคุณหญิง บิดา มารดาของหลวงธนสารกับตัวเขาเอง ท่านผู้ใหญ่สนทนากันสักครู่ แล้วบิดาของนิจดูนาฬิกาและบอกว่าได้ฤกษ์ หลวงธนสารสมบัติก็ยกโต๊ะทองคำขึ้น เดินมาที่นิจนั่งอยู่ เขาหยิบหีบกำมะหยี่สีน้ำเงินแก่ที่อยู่ในโต๊ะนั้น เปิดออกแล้ว​หยิบแหวนเพชรเม็ดเดียวสวมนิ้วให้หล่อน นิจแลสบตาเขาในขณะนั้น และรู้สึกว่าแววตาของเขาเต็มไปด้วยความสลด สงสารแล่นเข้าจับใจพร้อมกับความอุปาทาน ขณะที่เขาปล่อยมือของหล่อนที่สวมแหวนแล้วลง นิจมองดูเขาด้วยสายตาคล้ายจะถามว่า “เธอเป็นอะไร เหตุไรจึงดูเศร้าโศกนัก มีความทุกข์ร้อนอะไรหรือ? บอกมาเถิด นิจของเธอแหละจะช่วยเธอ” นิจไม่ได้กล่าวความคิดเหล่านั้นออกมาเป็นคำพูด เพราะหล่อนไม่ได้พบกับคู่หมั้นอีกเลย นับแต่วันนั้นมา

เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาย่ำค่ำ ๔๕ นาที นิจสะดุ้ง นึกถึงคำสั่งของบิดาขึ้นมาได้ รีบเอาแป้งทาหน้าพอทั่ว แล้ววิ่งไปที่ประตู ตะโกนเรียกคนใช้ให้มาช่วยแต่งตัวโดยเร็ว

​“เขาจะมาถึงทุ่มตรง” นิจท่องคำนี้อยู่ในใจแล้ว ลงมือเดินหมุนไปหมุนมารอบห้อง เสื้อทั้งตู้ที่เคยใช้เสมอ เฉพาะวันนี้หาให้เหมาะใจไม่ได้ตัวนั้นยาวไป ถ้าไม่สวมถุงเท้ารองเท้าก็แต่งไม่สม ตัวนั้นสั้นไปถ้าก้มตัวจะเห็นเข็มขัด ตัวนั้นพอดีแต่คอกว้าง เดี๋ยวเขาจะนึกว่าเป็นคนฉูดฉาด เสื้อทุกตัวเกิดมีที่ติขึ้นในเวลานี้ ดังนั้น เมื่ออีก ๔ นาทีจะ ๑๙ นาฬิกา นิจยังคงมีหน้าด่างผมเป็นกระเซิงเดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้อง ครั้นถึง ๑๙ นาฬิกาตรง ก็ต้องลงบันไดพร้อมกับหวีผมไปพลาง

พอนิจลงบันไดถึงขั้นที่สุด พอดีหลวงธนสารเปิดประตูรถลงที่หน้ามุข ซึ่งตรงกับห้องรับแขกและเยื้องบันไดเล็กน้อย นิจเห็นเขาก่อนและชะงัก ในใจนึกว่าจะเดินไปรับเขา หรือจะขึ้นบันไดหนีไปเสียโดยดี ช้าเสียแล้ว เขาแลเห็นหล่อน และเปิดหมวกออกด้วย​กิริยาสุภาพ นิจจึงเดินหน้ามาก้าวหนึ่งแล้วประณมมือ ไหว้พลางมองดูเขาอยู่อีกใจหนึ่ง แล้วโดยไม่พูดอะไร สักคำหล่อนเปิดบังตาแล้วเข้าในห้องรับแขก

เจ้าคุณ และคุณหญิง นั่งคอยอยู่ก่อนแล้วสายตาอันเต็มไปด้วยความสังเกตของเจ้าคุณเห็นว่านิจมีท่าทางตื่นเต้น ท่านยิ้มกับลูกสาว แล้วเรียกให้นั่งเก้าอี้ตัวเดียวกับท่าน ขณะนั้นหลวงธนสารก็เดินเข้ามา

“แหม! ตรงเวลาดีจริง!” เจ้าคุณร้องพลางลุกขึ้นยืน “ยังซีถึงจะน่าใช้นาฬิกา อ้ายคนที่ไม่รู้จักทำตัวให้ตรงต่อเวลานั้น ไม่ควรซื้อนาฬิกาให้ใช้เปลืองเงินเลย นั่งลงซีพ่อหลานชาย”

หลวงธนสาร ทำความเคารพท่านผู้ใหญ่ทั้งสองแล้วจึงนั่งลง เจ้าคุณพูดต่อไป

​“รถของหลานเงียบดีจริง ไม่ได้ยินเสียงเลยคันเก่าหรือ?”

“มิได้ครับ คันใหม่” หลวงธนสารตอบ

“อ้อ! อ้ายรถโอเปิลที่เคยเอามาให้ฉันดูใช่ไหม?”

“ถูกแล้วครับ

“อ้ายรถชนิดนี้ดีนักหรืออย่างไร เห็นคุณก็คร่ำครวญว่าจะซื้อเหมือนกัน” คุณหญิงถาม

“ดีนะซี มันไม่เปลืองน้ำมัน แต่มีเสียงติกันว่าแหนบอ่อนไปหน่อย”

ห้องรับแขกของเจ้าคุณสุรแสนจัด หรูหราทันสมัย มีเก้าอี้นวมตัวใหญ่รวม ๗ ตัว ตั้งล้อมรอบโต๊ะกลมที่ทำด้วยไม้พะยุงขัดมันเป็นเงา ตามมุมห้องมีกระถางต้นไม้ตั้งอยู่บนโต๊ะเล็กทั้งสี่มุม ที่ฝาผนังด้านหนึ่งมีตู้กระจกตั้งอยู่ ในนั้นบรรจุเครื่องกระจุกกระจิกที่ไม่ได้ใช้​เป็นประโยชน์ เช่นแหนบกระดุมเสื้อ กระดุมเชิ้ตและซองบุหรี่ ในห้องนี้มีพระบรมรูป พระรูป และรูปแขวนและตั้งอยู่หลายรูป กับมีปีอาโนอันใหญ่อันหนึ่ง เหนือปีอาโนนั้นมีกระจกเงาบานใหญ่อยู่ในกรอบบังกะลี

เมื่อได้คุยถึงเรื่องเก่า ๆ ทั่วไปอยู่จนได้เวลาแล้วก็ไปรับประทานอาหาร เสร็จการรับประทานกลับมานั่งห้องรับแขก เจ้าคุณและหลวงธนสารสูบบุหรี่ คุณหญิงจันทร์รับประทานหมาก นิจไม่มีอะไรทำก็นั่งแกะกระดุมปลอกเก้าอี้เล่น

นับตั้งแต่วินาทีแรก ที่หลวงธนสารมาถึงเจ้าคุณสุรแสนและคุณหญิงต้องทำการหนักอย่างสุดกำลัง คือพยายามให้ผู้เป็นแขกคุย ท่านทั้งสองต้องหาเรื่องและตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลา แม้กระนั้นก็ไม่ทำให้ชายหนุ่มเป็นคนช่างคุยยิ่งขึ้นกว่าเดิม บางทีจะเป็นเพราะเหตุนี้ ท่านจึงขอให้นิจเล่นปีอาโนและถามเขาว่าจะฟังเพลงฝรั่ง​หรือเพลงไทย

“อะไรก็ได้” หลวงธนสารตอบเรื่อย ๆ

คำตอบนั้น ๕ นาทีต่อมานิจจึงทราบว่าเป็นคำพูดที่ออกจากใจจริงของเขาแท้ๆ เพราะเวลาที่หล่อนเล่นเพลงลาวดำเนินทรายอยู่นั้น ได้พยายามมองดูเขาในกระจก เห็นเขานั่งพิงเก้าอี้ตาลอยไปในที่ต่างๆ เห็นได้ว่าจิตใจของเขาไม่ได้อยู่ที่เสียงเพลงเลย นิจรู้สึกว่าความเย็นแล่นเข้าจับใจและเพลงที่หล่อนเล่น ก็พลอยชืดชาปราศจากชีวิตไปด้วย

พอ ๒๑ นาฬิกาเศษ หลวงธนสารก็กลับ ก่อนที่จะลาเขาเรียนเจ้าคุณว่า

“คุณพ่อให้กระผมเรียนว่า วันเสาร์นี้ถ้าใต้เท้าไม่มีธุระขอเชิญไปรับประทานอาหารค่ำที่บ้าน พร้อม ทั้งคุณหญิง……...และคุณนิจด้วย”

​ครั้นเขาลาไปแล้ว คุณหญิงสุรแสนเรียกบุตรีเข้าไปใกล้ แล้วใช้มือลูบศีรษะหล่อนเบาๆ นิจรู้สึกใจหดห่อและเต็มไปด้วยความสงสัยและประหลาดใจ ว่ามารดาของหล่อนทำไมจึงมีอาการละห้อยละเหี่ยดังนั้น ส่วนเจ้าคุณคาบบุหรี่เดินกลับไปกลับมาอยู่เงียบๆ



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #2 on: 28 October 2025, 16:32:00 »




​ครั้นถึงวันนัด พระยาสุรแสนและครอบครัวไปถึงบ้านพระยาพิชัยเวลา ๑๙ นาฬิกา หลวงธนสารสมบัติมารับที่รถแล้วนำเข้าไปยังห้องรับแขก ที่นั่นพระยาวิชัยชาญยุทธกับคุณหญิงนั่งรออยู่แล้ว เจ้าคุณวิชัยนุ่งผ้าม่วงสีน้ำตาลเข้ม สวมเสื้อชั้นนอกแต่ไม่ได้สวมถุงเท้าและรองเท้า คุณหญิงนุ่งผ้าลายสีม่วงดำและสวมเสื้อผ้ามัสลินขาว ทั้งสองลุกขึ้นยืน และกล่าวคำต้อนรับแขกด้วยกิริยาอันดี ครั้นนั่งลงเรียบร้อยแล้ว มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องนั้น

​หล่อนเป็นคนสูง รูปร่างได้ลักษณะ แต่คอออกจะยาวไปสักหน่อย รู้สึกเหมือนจะบอบบาง และไหวไปมาราวกับไม่มีกำลังพอที่จะรับน้ำหนักแห่งศีรษะอันมีมวยโตเกล้าอยู่ข้างหลังไว้ได้ ใบหน้ายาว และคิ้วดกดำ ทำให้หล่อนน่าดูมีสง่า แต่ดวงตาอันมีแววคมแต่กระด้างนั้นทำให้หล่อนน่ารักน้อยลง ด้วยท่วงทีที่แสดงความเชื่อมั่นตนเอง หล่อนเดินตรงมายังห้องกลางห้องแล้วนั่งลงบนเก้าอี้นวมยาว ซึ่งบุตรชายของเจ้าของบ้านนั่งอยู่แล้ว

คุณหญิงวิชัยกล่าวคำแนะนำว่า

“เจ้าคุณคะ นี่แม่รัศมี แสงจันทร์ ลูกของน้องสาวดิฉัน”

“แสงจันทร์! ลูกสาวขุนปราบ น้องหรือพี่ของนายร้อยตำรวจตรีน้อย แสงจันทร์ ที่ถูกผู้ร้ายยิงตายที่เมืองชล เมื่อปีกลายนี้นะหรือ?”

​คุณหญิงวิชัยรับคำ และขณะเมื่อผู้ที่นั่งอยู่ ณ ที่นั้น หวนคิดถึงวีรบุรุษที่ตายไปเพราะหน้าที่ราชการ นิจกำลังคิดอยู่ในใจว่า

“อ้อ! นามสกุลแสงจันทร์นี้มีพงศาวดารที่หรูหราอยู่ด้วย คุณหญิงป้าถึงต้องออกชื่อนามสกุลของหลานเวลาแนะนำ ซึ่งออกจะผิดธรรมดาอยู่สักหน่อย ตามปกติคนรุ่นคุณหญิงนี้ เช่นคุณแม่เป็นต้นจะแนะนำให้ใครรู้จักกับใคร ไม่เคยเห็นบอกนามสกุลสักที”

ความรักทำให้บุรุษและสตรีมีตาคมกว่าธรรมดา และทำให้ช่างคิดเกินสมควร ทั้งคิดไปข้างพาลและไม่ถูกเรื่องเสียด้วย

ขณะนั้นพอดีคุณหญิงวิชัยหันหน้ามาทางนิจ กล่าวเป็นเชิงแนะนำให้รู้จักกับหลานของท่าน ครั้นเห็นนิจอมยิ้มมองดูโดยไม่แสดงกิริยาอย่างอื่นอีก ท่านจึงพูดขึ้นว่า

“รัศมีอายุ ๒๕ ปีเต็ม แก่กว่าแม่นิจถึง ๗ ปี”

​แกล้งทำไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของคุณหญิง นิจใช้สายตาอันเต็มไปด้วยความฉลาดจับตาหญิงสาว แล้วพูดเรียบๆ ว่า

“เธอเป็นน้องของคุณหลวงธนสารไม่ใช่หรือ ดีอีกแล้วไม่ช้าฉันจะเป็นพี่สะใภ้เธอ”

คำพูดง่าย ๆ และตรงกับความจริงที่สุด แต่ทว่าสามารถทำให้ผู้ฟังมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างประหลาด คุณหญิงสุรแสนหน้าบึ้ง มองดูลูกสาวเขม็ง คุณหญิงวิชัยแสดงความหมั่นไส้และสยะแสยง ในการที่ผู้ที่จะเป็นบุตรสะใภ้ในภายหน้ามากล่าวคำเช่นนี้ต่อหน้าธารกำนัล รัศมีผู้คุ้นเคยกับขนมธรรมเนียมโบราณของคุณป้าดี ก็ยิ้มอย่างเวทนา ราวกับว่านิจได้ทำอะไรอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นการบัดซบเหลือหลาย หลวงธนสารกัดริมฝีปาก แต่เจ้าคุณสุรแสนกลับยิ้ม และพูดด้วยเสียงแกมหัวเราะว่า

​“ถูกแล้ว อีกไม่ช้านิจจะเป็นพี่สะใภ้แม่รัศมี ‘ถึงอ่อนแก่ก็เป็นพี่ศรีสะใภ้’ ไม่ใช่หรือ?”

ไม่มีใครตอบว่ากระไร เจ้าคุณวิชัยพยักหน้าหงึกๆ และยิ้มแห้งๆ พอดีคนใช้เข้ามาบอกว่าอาหารเสร็จแล้ว ท่านจึงลุกขึ้นเดินนำหน้าพาแขกไปยังห้องรับประทาน

โต๊ะอาหารเป็นโต๊ะกลม ปูด้วยผ้าขาวไม่มีอะไรประดับนอกจากสำหรับของใช้ในการรับประทาน เมื่อได้นั่งลงเสร็จแล้ว นิจจึงเห็นว่าหล่อนนั่งอยู่ข้างซ้ายของหลวงธนสาร และรัศมีนั่งอยู่ข้างขวาตลอด เวลารับประทาน หนุ่ม ๆ สาวๆ ไม่ได้เอ่ยปากพูดคำ นั่งฟังท่านผู้ใหญ่สนทนากันอยู่เงียบๆ เจ้าคุณสุรแสนสงคราม แม้จะได้ลาออกจากหน้าที่ราชการแล้ว ก็ยังรักและสนใจในกิจการของกระทรวงกลาโหมอยู่มาก ท่านซักถามเจ้าคุณวิชัยผู้ยังคงอยู่ในตำแหน่งนายพล ถึงความ​เปลี่ยนแปลงของการทหารพลางออกความเห็นทั้งติทั้งชม จนการรับประทานเสร็จลง จึงพากันออกไปนั่งเล่นที่เฉลียงข้างห้องรับประทาน สนทนากันด้วยเรื่องอื่น ต่อไป

นิสัยช่างสังเกตของนิจทำให้หล่อนเห็นว่า เจ้าคุณวิชัย ผู้มีรูปร่างเล็กและสายตาอันล่อกแล่ก แสดงความไม่มั่นคงแห่งนิสัยนั้น มีความเกรงกลัวภรรยาเป็นอันมาก ในระหว่างที่พูดถึงเรื่องอะไรก็ดี ท่านมักชำเลืองดูหน้าคุณหญิงเสมอ คล้ายเด็กที่อยู่ในบังคับผู้ใหญ่จนลาน ไม่สามารถทำอะไรได้โดยไม่กลัวถูกดุมากกว่าสองครั้ง เจ้าคุณวิชัยแสดงความเห็นชนิดที่เป็นธรรมดาที่สุด ที่มนุษย์ทั่วโลกน่าจะมีความเห็นเช่นนั้น ครั้นเสียงอันมีกังวานกร้าวอย่างไว้อำนาจของคุณหญิงดังขึ้น พร้อมกับตาอันอุ่นเขียวชำเลืองค้อนเจ้าคุณก็รีบแก้ความเห็นนั้น และแก้ตัววนไปเวียนมาจนเป็นที่น่า​สงสาร ส่วนคำพูดของคุณหญิงซึ่งส่อความคิดผิดจากปุถุชน ล้วนแล้วแต่แสดงความโง่แกมหยิ่งและความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง เจ้าคุณทนฟังได้สบาย นิจนึกสงสัยว่าคู่หมั้นของหล่อนจะมีนิสัยเหมือนบิดามารดาหรือ ไม่ มองดูเขา เห็นกำลังนั่งพิงพนักเก้าอี้ ทอดสายตาดูรั้วบ้าน สีหน้าของเขาดูหม่นหมองและเหี่ยวแห้งจนดูแก่เกินอายุเป็นอันมาก ผมหยักโศกของเขานั้นแสกกลางและปรกอยู่ตามหน้าผาก ดูแห้งแล้งเหมือนหาน้ำมันเลี้ยงผมไม่ได้เลย ในเวลาอีกไม่ช้าหล่อนจะต้องสมรสกับเขา และเป็นครอบครัวเดียวกับคนเหล่านี้ เมื่อนึกถึงตอนนี้ทำให้ใจรู้สึกหนาวใจ หล่อนจะต้องเป็นบุตรสะใภ้ของเจ้าคุณวิชัย ผู้มีดวงหน้าอันซีดเซียว และกระสับกระส่ายด้วยความกลัวภรรยาอยู่เสมอ ทั้งจะต้องนับถือคุณหญิงสงวนผู้มีแววตาอันไม่น่าไว้ใจ เพราะเขาเป็นมารดาของสามี ส่วนตัวหลวงธนสารเองเขา​เป็นอย่างไร? หล่อนรู้จักหรือ?...เปล่าเลย หล่อนรู้จักแต่เพียงว่าเขาเป็นคู่หมั้นของหล่อน และเข้าใจว่าคงต้องการหล่อนมาเป็นภรรยาเขาจึงได้สู่ขอ ส่วนการที่มีอะไรทำให้เขาต้องการหล่อนนั้นนิจไม่ปรารถนานึกถึง ความมีวัยเป็นหนุ่มและเป็นสาวและมีความสมบูรณ์ด้วยกำลังกายกำลังใจ ทำให้มนุษย์ฝันถึงแต่สิ่งที่รุ่งเรืองเสมอ แม้อะไรๆ ก็ล้อมรอบตนอยู่จะน่าพรั่นพรึงสักเท่าใด ก็คงหวังที่จะหลีกเลี่ยงให้พ้นไปจนได้ อนึ่งเจ้าคุณ สุรแสนผู้เป็นทหาร ได้อบรมใจของบุตรให้กล้าแข็งเสมอมา ท่านให้ภาษิตกับนจบทหนึ่งซึ่งหล่อนจำได้ ขึ้นใจ และเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ ภาษิตนั้นคือ ‘คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้’

เจ้าคุณสุรแสน ทำลายความฝันของนิจโดยเอ่ย ขึ้นว่า

“เมื่อลูกของเราแต่งงานแล้ว จะให้อยู่ที่บ้านผมหรือให้อยู่ที่นี่?”

​“ก็เจ้าคุณจะโปรดให้อยู่ที่ไหนล่ะเจ้าคะ?”

“ผมน่ะตามใจ ที่ถูกน่ะภรรยาต้องไปอยู่กับสามี แต่ผมมีลูกคนเดียว ถ้าหลวงธนสารจะมาอยู่กับผมได้ ผมก็ยินดี”

“ดิฉันก็เหมือนกัน มีแต่ลูกผู้ชายอยู่คนเดียวเท่านี้ ถ้าได้ลูกผู้หญิงมาอยู่ด้วยดิฉันจะรักให้หนักหนา” คุณหญิงสงวนพูดอย่างผู้ใหญ่ใจดี

โดยไม่มีผล นิจคิดเอาเองว่าคำพูดนั้นถูกตบแต่งให้ไพเราะมากกว่าออกมาด้วยน้ำใจจริง

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องให้นิจมาอยู่ที่นี่ แต่ผมต้องเรียนเสียก่อนว่า ลูกสาวของผมยังเด็กอยู่มาก ไม่รู้จักหัวนอนปลายตีน ผมยังไม่เคยนึกจะให้มันมีเหย้ามีเรือนเลย แต่เจ้าคุณกับคุณหญิงออกปากแล้วก็ไม่อยากขัด ผมเต็มใจยกให้เป็นลูก”

“เจ้าค้า! เป็นพระเดชพระคุณ! อย่างแม่นิจ​ยังงี้มาอยู่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เจ้าคุณของฉันก็หลงงอมเสียอีก ยิ่งเป่าปี่สีซอเก่งด้วยไม่ใช่หรือเจ้าคะ?

“เล่นได้บ้าง แต่ที่คุณหญิงออกชื่อมานั้นนิจเล่นไม่เป็นสักอย่างเดียว” เจ้าคุณสุรแสนตอบพลางหัวเราะ

“เขาลือกันว่า” แม่รัศมีเอ่ยขึ้นช้าๆ ดัดเสียงให้อ่อนหวานและยิ้มกับนิจ ราวกับยิ้มกับเพื่อนที่สนิทที่สุดในโลก “เธอเล่นปีอาโนเก่งนักหรือ?

“เขาไหน? เขาหลวงละกระมัง?” นิจถาม แกมหัวเราะ

“พูดจริง ๆ นะ ฉันได้ยินว่าเธอเล่นปีอาโนเพราะนัก”

นิจไม่ตอบว่ากระไร เบือนหน้าไปเสียทางอื่น

“แม่นิจ ร้องเพลงอะไรเป็นบ้างไหม?” เจ้าคุณวิชัยถาม ท่านมีนิสัยเป็นนักดนตรี และชอบสีซออู้​เท่ากับชอบอ่านหนังสือ เพราะมันเป็นเวลาเดียวที่ท่านมีโอกาสอยู่ห่างจากคุณหญิง

“ร้องได้ค่ะ” คุณหญิงสุรแสนตอบ สายตาแสดงความภูมิใจเล็กน้อย “เคยร้องให้คุณพ่อฟังบางครั้งบางคราว เสียงดีพอใช้”

“อ้อ!” น้ำเสียงของคุณหญิงสงวนแสดงความเลื่อมใสน้อยที่สุด และยังเสริมว่า “รัศมีก็เสียงดีทั้งดัง ทั้งแหลม ร้องส่งเป็นที่หนึ่ง”

เจ้าคุณวิชัยกล้าพอที่จะสอดขึ้นว่า

“เออ! ต่างคนต่างดี! เอ้าร้องฟังกันคนละเพลง แล้วมาตัดสินใครจะดีกว่ากัน”

“ขอเสียทีเถอะค่ะ” นิจร้องขึ้นด้วยความถือตัว “นิจไม่กล้าแข่งกับใครทั้งนั้นแหละ ใครจะร้องก็ร้องเถอะ”

​รัศมียิ้มอย่างเชื่อตัวเอง ชำเลืองดูหลวงธนสาร ผู้นั่งนิ่งเงียบเหมือนคนไม่มีปาก แล้วตอบว่า

“ฉันก็เหมือนกัน ไม่ชอบแข่งกับใคร เชิญเธอร้องไปเถอะ

ริมฝีปากอันจิ้มลิ้มของนิจ เม้มเข้าหากัน วิธีพูด วิธียิ้ม ของรัศมีขัดกับสายตาของนิจอย่างบอกไม่ถูก ดูช่างคมกริบและอ่อนหวานเสียจนเหลือเชื่อ

“รัศมีก้อ! ให้แม่นิจร้องซี” คุณหญิงสงวนพูดอย่างเบื่อหน่าย

ฟังดูทีหรือทำเสียงเช่นนั้น ราวกับว่านิจอยากจะออกเสียงเต็มที หญิงสาวรู้สึกเลือดขึ้นหน้าจนร้อนผ่าว กำลังคิดหาคำตอบให้เหมาะใจ พอดีเจ้าคุณสุรแสนเอ่ยขึ้น

“นิจ, เจ้าคุณท่านขอให้ร้องก็ร้องไปเพลงหนึ่งก็แล้วกัน ไม่ต้องทำกระบวน การเล่นตัวทำให้ผู้หญิง​เป็นสิ่งพึงประสงค์มากขึ้นกว่าปกติ แต่บางทีเล่นตัวนักมักน่าหมั่นไส้” น้ำเสียงของเจ้าคุณแม้จะแกมหัวเราะเชิงทีเล่นทีจริง แต่กังวานแสดงความฉุนเฉียว นิจนิ่งสงบอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง จึงร้องเพลงนางนาคสามชั้นขึ้น

โปเอ๋ยโปดก

ทั้งสองนกแขกเต้าเจ้ายังอ่อน

เมื่อลมใหญ่กระพือพัดตัดรังรอน

ขาดเป็นท่อนพาวิหคตกไปไกล

ส่วนตัวหนึ่งพึ่งพักกับนักสิทธิ์

ตัวหนึ่งติดตกกับพาลวิสัย

ที่อยู่กับวิชาติเป็นปราชญ่ไป

สำนักในโจรสถานเป็นพาลเอย ฯ

นิจร้องคำเหล่านี้ ด้วยเสียงกังวานใสเย็นแกมโศก คล้ายกับว่าเกิดสงสารในนกแขกเต้าทั้งสองนั้น จริงทีเดียวเสียงของหล่อนเต็มไปด้วยความรู้สึก นิจนึกถึง​ตัวเองว่าเมื่อแต่งงานแล้ว จะต้องเข้ามาอยู่ในความปกครองของสามี อยู่ในบ้านนี้ กับคนเหล่านี้ ซึ่งตามความสังเกตของหล่อนเห็นว่ามีกิริยา มารยาท ตลอดจนนิสัยใจคอผิดกับผู้ได้ปกครองเดิมอันเป็นที่นับถือห่างไกล จนเกือบจะเรียกได้ว่าตรงกันข้าม หล่อนจะกลับกลายมีนิสัยเหมือนเขาเหล่านี้ เหมือนกับนกแขกเต้าที่ตกไปอยู่กับโจรหรือไม่หนอ?



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.068 seconds with 17 queries.