Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
01 November 2025, 06:03:20

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง กรรมเก่า บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 5-6
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง กรรมเก่า บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 5-6  (Read 64 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 28 October 2025, 15:37:49 »

นวนิยายเรื่อง กรรมเก่า บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 5-6




​วันต่อมา นุชได้รับความฉงนใจยิ่งขึ้น พงศ์ผู้เป็นทั้งน้า และเป็นทั้งเพื่อนของนุชได้หายหน้าไป ไม่เยี่ยมกรายมายังบ้านพี่สาวอีกเลย นุชนำข้อสงสัยไปปรารภกับมารดาคุณหญิงก็ทำหน้าขรึมและพูดสั้นๆ ว่า “ไม่รู้เขารึบางทีเขาจะมีธุระยุ่งมากกระมัง” เมื่อได้รับคำตอบดังนั้นแล้ว นุชก็ตกลงใจเขียนจดหมายไปถึงเขาถามข่าว และขอให้เขาปลีกตัวมาเยี่ยมหล่อนบ้าง “นุชกลุ้มใจจริงๆ” หล่อนเขียน “จะหาใครปรับทุกข์ด้วยก็มิได้ พูดกับอัมพรก็ไม่เข้าใจ​กัน อัมพรมีคำพูดลับลม นุชไม่รู้เรื่องเขาพูดอะไร สอนอยู่แต่ว่าไม่ให้รักใคร ไม่ให้ไว้ใจใครตลอดจนคนที่อยู่ด้วยกันทุกวัน แปลกจริง คนเราจะให้อยู่ในโลกโดยไม่รักใคร ไม่ไว้ใจใครบ้างอย่างไรได้ อย่างนั้นนุชจะแขวนคอตายเสียดีกว่า นุชคิดถึงน้าเหลือเกิน” ส่งจดหมายไปแล้วอาทิตย์กว่าจึงได้รับตอบ แต่ก็เป็นเพียงจดหมายสั้นๆ ปราศจากข้อความสำหรับประโลมใจ ผู้รับเต็มไปด้วยดินฟ้าอากาศ ห่างเหิน และไม่มีลักษณะของพงศ์เจือปนอยู่แม้แต่น้อย ครั้ง ๑ ก็แล้ว ครั้ง ๒ ก็แล้ว ครั้ง ๓ ก็แล้ว ไม่ดีขึ้น ดูเหมือนพงศ์จะตั้งใจให้สำนวนจดหมายของเขาชาเย็น เพื่อตีห่างจากนุชเป็นลำดับ จนในที่สุดนุชก็สิ้นความพยายาม

ในระหว่างนั้นคุณหญิงสวงได้เปิดประตูบ้านของ​ท่านรับรองญาติและมิตรสหายทั้งเก่า และใหม่มิได้เว้นแต่ละวัน คุณหญิงเป็นผู้มีนิสัยและมรรยาทเหมาะแก่การเข้าสมาคมทุกอิริยาบถ ท่าทีเป็นสง่าน่านับถือกิริยาดี สีหน้ายิ้มแย้ม พูดเพราะ อีกทั้งรู้จักฟังเมื่ออยู่ในหมู่คนที่ฝักใฝ่สมัยใหม่ เข้าในหมู่ผู้ที่เคร่งครัดในขนบธรรมเนียมโบราณ คุณหญิงก็เป็นคนโบราณ เข้ากับชาวต่างประเทศ คุณหญิงก็กลับเป็นคุณหญิงทูต ประจำพระราชสำนักเซนต์เยมส์ได้อีก เมื่อมีแขกหน้าใหม่เข้ามาในบ้าน คุณหญิงคงเรียกบุตรีทั้ง ๒ ให้ออกมารู้จักด้วยเป็นนิตย์ อัมพรมักจะย่างเท้าเข้าในห้องรับแขกด้วยสีหน้าอันปั้นปึ่งและท่าทางอันไว้ตัว ประดุจจะทำให้แขกเหล่านั้นเห็นเป็นสัญญาณ บอกกล่าวว่า “ฉันไม่ต้องการสมาคมกับท่าน อย่าเข้ามาเฉียดฉันนะ” ส่วนนุชนั้นเนื่องจาก​เรื่องของนายสุนทรยังฝังแน่นอยู่ในใจ ทำให้หล่อนมองดูชายหนุ่มทุกคนด้วยความระแวง แต่นุชมิใช่หญิงที่จะฝืนนิสัยตัวเองได้นาน นิสัยของหล่อนเป็นคนตรง ชอบสนุก แจ่มใสร่าเริงอยู่เป็นนิตย์ ดังนั้น ในคราวที่ได้ฟังคำสนทนาอันสนุกสนาน หล่อนก็มักจะลืมความตั้งใจ ที่จะวางตัวห่างเหินกับคนทุกคนที่หล่อนได้พบดังเช่นอัมพร กลับปล่อยตัวให้เพลิดเพลินไปกับเขาด้วย คัดค้านคำพูดของเขาหรือส่งเสริม และหัวเราะอย่างเปิดเผยเมื่อหล่อนรู้สึกสนุก อันลักษณะของนุชนั้น ดูเหมือนธรรมชาติจะได้สร้างสรรค์มาสำหรับความสดชื่นให้แก่โลก ผู้ใดได้พบปะสนทนาด้วยเพียงครั้งสองครั้ง ที่จะไม่ติดใจในความน่ารักของหล่อนนั้นน้อยนัก เว้นเสียแต่ท่านผู้เฒ่าโดยมากพากันเห็นว่ากิริยาของหล่อนโลดโผนเกินไป ไม่นุ่มนวล​เหมือนธิดาและหลานของท่าน บางทีถึงกับได้นำไปตำหนิลับหลังว่าหล่อนมีนิสัย ‘กล้าผู้ชาย’ ทั้งนี้ ก็เพราะมรรยาทอันติดจะเป็นฝรั่งมากกว่าไทยนั่นเองเป็นเหตุ และท่านเหล่านั้นมิได้นึกถึงว่านุชได้รับการศึกษา และอบรมอยู่กับสตรีชาวยุโรปตลอดอายุของหล่อน ทั้งเป็นสตรีชาวยุโรปในสมัยศตวรรรษที่ ๒๐ ของคริสตกาลเสียด้วย

วันหนึ่ง คุณหญิงออกจากบ้านไปซื้อของแต่เวลาสาย บุรุษไปรษณีย์นำจดหมายสลักหลังถึงท่านมาส่งที่บ้านฉบับหนึ่ง นุชเป็นผู้รับเองแล้วตรงไปยังห้องคุณหญิง พอพบกับอัมพรที่ตรงประตูห้อง นุชจึงส่งจดหมายให้พี่สาว อัมพรชำเลืองดูอย่างไม่สู้เอาใจใส่ แต่พอเห็นลายมือที่หลังซองสีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนไปทันที นุชมิได้สังเกตกิริยาของผู้รับ ส่ง​จดหมายให้แล้ว หล่อนก็ไปทำธุระของหล่อนต่อไป ส่วนอัมพรเดินกลับเข้าในห้อง ไปยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือ เพ่งดูจดหมายประดุจเพ่งดูสิ่งที่แสนรัก พิศดูลายมือแล้วก็ดูดวงตาไปรษณีย์ ทันใดนั้นสีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนไปอีก ยกซองขึ้นชิดกับดวงตา เพื่อให้แน่ใจว่าตาดูไม่ผิด ครั้นแล้วดูเหมือนหล่อนเกือบจะยิ้มด้วยความตื่นเต้น และพิศวงมองดูตรงรอยผนึก พลางลูบคลำไปมาประดุจจะต่อสู้กับความใคร่ในการที่จะเปิดออกอ่านเสียก่อนผู้รับ เป็นครู่ใหญ่หล่อนจึงวางจดหมายลงไว้บนโต๊ะ ด้วยอาการบรรจงของผู้ที่วางวัตถุอันพึงถนอมฉะนั้น

เมื่อคุณหญิงกลับมาถึงบ้าน นุชรีบลงไปต้อนรับตามเคย แต่อัมพรได้ลงไปถึงก่อนหล่อนแล้ว ซึ่งเป็นการผิดปกติอยู่บ้าง พอพบหน้าคุณหญิงอัมพร​ก็รายงานว่า

“มีจดหมายถึงคุณแม่ฉบับหนึ่งค่ะ”

ในขณะที่พูด สายตาของหล่อนจับดูคุณหญิงอย่างมีความหมายซึ่งท่านคงจะเข้าใจ จึงหันไปสั่งนุชว่า

“เอาเนยสดกับลูกไม้กระปองไปให้เขาแช่น้ำแข็งเสียไป๊ ประเดี๋ยวแม่จะลงมารับประทานข้าว”

สั่งแล้วท่านก็ขึ้นบันไดไปชั้นบน อัมพรตามขึ้นไปติดๆ กัน

เกือบครึ่งชั่วโมงภายหลัง คุณหญิงจึงลงมาที่ห้องรับประทานอาหาร นุชคอยอยู่ในนั้นก่อนแล้ว เมื่อไม่เห็นพี่สาวหล่อนจึงถามว่า

“อัมพรล่ะคะ?”

​“อัมพรไม่รับประทาน บอกว่าท้องไม่ค่อยดี”

คุณหญิงตอบพลางนั่งลง

“ควรจะไปให้หมอตรวจเสียสักที” นุชกล่าว พลางนั่งลงตรงหน้าคุณหญิง “ประเดี๋ยวหัวประเดี๋ยวท้อง ยุ่งพิลึก”

คุณหญิงไม่ตอบว่าอะไร สีหน้าของหล่อนค่อนข้างขรึม ไม่แสดงว่าท่านอยากพูด นุชจึงไม่รบกวนต่อไป เมื่อได้บริโภคอาหารอยู่ด้วยกันเป็นครู่ใหญ่ ท่านจึงเอ่ยขึ้นว่า

“นุชต้องจัดแจงเตรียมกระเป๋าเดินทาง อีก ๓ วันเราจะไปหัวเมือง”

“โอ! ดีจริง” นุชร้องด้วยความลิงโลด “ไปไหนคะ?”

“ไปหลังสวน”

​“หลังสวน อยู่ที่ไหนคะ?”

“อยู่ในมณฑลนครศรีธรรมราช”

สีหน้าของนุชไม่แสดงว่าฉลาดขึ้นกว่าเดิมแม้แต่น้อย แต่จะยืนคำถามเดิมอยู่อีกก็รำคาญใจตัวเองในการพูดซ้ำ หล่อนจึงเดาขึ้นว่า

“อยู่ทางเหนือหรือคะ?”

คุณหญิงหัวเราะ “ไม่รู้ละก้ออย่าเดาหน่อยเลย” ท่านว่า “ศรีธรรมราชอยู่ทางใต้ ทางเดียวกับที่เรามาจากปีนัง”

“เราเตรียมของสำหรับกี่วันคะ?”

“เอาไปพอใช้สัก ๒ อาทิตย์ก็พอ ขัดข้องอย่างไรจึงค่อยจัดการใหม่”

“เมืองนั้นสนุกไหมคะ?” นุชถามต่อไปด้วยน้ำเสียงแสดงความตื่นเต้น

“ไม่รู้เลย แม่ก็ยังไม่เคยเห็น”

​“อ้าว, นุชนึกว่าคุณแม่เคยไปแล้ว นี่คุณแม่จะไปเที่ยวหรือคะ หรือไปธุระ”

“ทั้ง ๒ อย่าง แม่จะพานุชไปเยี่ยมญาติ”

“โอ! เขาเป็นอะไรกับนุชคะ?”

คุณหญิงอึ้งไปอึดใจหนึ่ง ในที่สุดจึงตอบว่า

“เป็นลุง”

“พี่ของคุณแม่?”

“อิ๊, ไม่ใช่” คุณหญิงขัดขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่นุชจะพูดจบประโยค

“อ้อ, เป็นพี่ของคุณพ่อ” หญิงสาวพูดต่อ รู้สึกประหลาดใจในน้ำเสียงของคุณหญิงเล็กน้อย “ทำไมเราไม่รอให้คุณพอกลับมาเสียก่อนละคะ จะได้ไปพร้อมกัน”

“รอไม่ได้ เขากำลังป่วยอยู่ เราต้องรีบไปเยี่ยม” เป็นคำห้วนๆ

​หญิงสาวทำหน้าเศร้า

“โถ! น่าสงสาร ป่วยมากเชียวหรือคะ เป็นโรคอะไร?”

“ก็ไม่มากนักหรอก แต่ว่ารีบไปเสียดีกว่า” พูดแล้วคุณหญิงก็ก้มหน้าลงทำธุระกับอาหาร มีความปรารถนาจะหยุดพูดเสียที แต่บุตรีของท่านยังถามต่อไปอีก

“เขาเป็นใคร...เอ้อ...เรียกว่าอะไรคะ?”

คุณหญิงทิ้งช้อนส้อมลงในจาน “ช่างซักเสียจริงๆ จนไม่มีเวลาเคี้ยวข้าว” ท่านพูดอย่างเบื่อหน่าย ครั้นแล้วกลับนึกได้ว่า ยังไม่มีเหตุผลสมควรที่จะแสดงความฉุนเฉียวเช่นนั้น จึงเสยิ้มและพูดต่อไป “เอาไว้ไปพบกับตัวเขาก่อนเถอะ จะรู้ว่าเขาเป็นใคร”

วันก่อนวันเดินทาง นุชตระเตรียมเครื่องใช้​ลงกระเป๋าพร้อมแล้ว จึงเลือกหาเสื้อชั้นนอกที่จะใส่วันขึ้นรถไฟ เสื้อตัวที่ต้องการหายไปไม่อยู่ยังที่ หาเท่าไรก็ไม่พบ นึกเฉลียวใจว่าบางที่คนใช้จะจำผิด จึงเก็บไปไว้ในห้องอัมพร เปิดตู้และกระเป๋าทิ้งไว้พลาง นุชรีบไปยังห้องพี่สาว พบเจ้าของกำลังทำธุระอย่างหนึ่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง นุชตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าลูกกุญแจ ติดอยู่ที่ช่อง หล่อนก็ไขออก พอตู้เปิดหล่อนอุทานด้วยความพิศวง ภายในตู้นั้นว่างเปล่า วัตถุสิ่งใดไม่มีเหลืออยู่ ไม่มีเหลือแม้แต่กระดาษแผ่นเดียว

“ต๊าย..ตาย!” นุชกล่าวแกมหัวเราะแล้วมองดูกระเป๋าใหญ่ที่วางอยู่ข้างตู้ “อัมพรเอาของไปหมดตู้เทียวหรือ? คุณแม่ให้นุชเตรียมไปสำหรับ ๒ อาทิตย์เท่านั้น”

​เจ้าของห้องผู้กำลังทำธุระเพลินอยู่ เหลียวมามองดูทันใด เมื่อแลเห็นตู้เปิดอยู่ แววตาของหล่อนแสดงความตกใจเล็กน้อย แต่เป็นอยู่เพียงอึดใจเดียวก็หัวเราะห้วนๆ และพูดว่า

“ไม่แต่หมดตู้ ต้องเรียกว่าหมดห้อง พี่ไปแล้วจะไม่กลับมาอีก”

ในขณะที่พูด สีหน้าและแววตาของอัมพรดูเคร่งเครียด เมื่อเห็นน้องมองดูอย่างไม่เข้าใจ จึงละจากที่เดิมเดินเข้าไปใกล้ ก่อนที่หล่อนจะพูดอะไรต่อไป นุชก็ถามขึ้นว่า

“หมายความว่ากระไร?”

“หมายความอย่างที่พูด” อัมพรตอบอย่างดุดัน “เราจะไปอยู่บ้านของเรา และจะไม่กลับมาที่นี่อีก”

“เรา! เห็นจะไม่หมายถึงนุชด้วย คุณแม่​เตรียมของสำหรับอยู่นานเท่ากับนุช ถ้าเราอยู่เสียที่โน่น คุณแม่กลับมาจะอยู่กับใคร?”

“คุณแม่! ฮะๆ เป็นห่วงคุณแม่!” ลดเสียงให้ลงกว่าเดิม “คุณแม่นับวันนับจะไม่ต้องการเรา”

“ทำไม?” นุชถามขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “พูดบ้าๆ ไม่เห็นรู้เรื่อง”

อัมพรยืนตัวตรง มองดูน้องอย่างเคืองแกมสมเพช นิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงถามว่า

“จะต้องการอะไรที่ในตู้ฉัน”

“เสื้อ” นุชตอบห้วนๆ “เสื้อสีนวลของนุชหายไป”

“อยู่บนเตียงนั่นแน่ะ” อัมพรบอกแล้วกลับไปที่โต๊ะเครื่องแป้งตามเดิม

.




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #1 on: 28 October 2025, 15:39:20 »




รถด่วนกรุงเทพฯ-ไปร แล่นเข้าชานสถานีหลังสวน เวลา ๒๒.๓๐ นาฬิกา นุชยืนอยู่หน้าห้องชั้นที่หนึ่ง สีหน้าของหล่อนระบายอยู่ด้วยความทึ่ง หล่อนกำลังประหลาดใจที่ได้เห็นสถานีนั้นช่างมีความสว่างน้อยเสียนี่กระไร ไม่มีไฟฟ้า มีแต่โคมดวงเดียวแขวนอยู่ จะมองไปที่ใดก็เห็นแต่ความขมุกขมัว แทบจะเห็นไม่ได้ว่าสัณฐานของสถานีนั้นเป็นอย่างไร แต่นุชไม่มีเวลานึกถึงสภาพเหล่านั้นได้นาน หล่อนได้ยินเสียงคุณหญิงสั่งให้คนใช้ชายหญิง รีบขนของออกจากห้อง พอดีกับรถจักรแล่นเลยหน้า​สถานีไปเล็กน้อย พาเอารถคันที่หล่อนยืนอยู่ไปหยุดตรงชานชาลา นาทีหนึ่งต่อมานุชก็ลงมายืนอยู่เบื้องล่าง

คนหมู่หนึ่งเป็นชายทั้ง ๓ เดินเข้ามาใกล้และมองดูหล่อนอย่างไม่แน่ใจ แล้วก็มองไปที่บันไดรถ พอเห็นคุณหญิงสวงกับอัมพร ชายที่มีอาวุโสกว่าเพื่อน ก็หันไปบอกกับคนหนุ่มอีก ๒ คนเบาๆ ว่า “ใช่แล้ว” แล้วเขาทั้ง ๓ ก็โค้งตัวลงคำนับอย่างต่ำพร้อมกัน

คุณหญิงรัตนวาทีก้าวลงจากรถ มีกิริยาดังหนึ่งนางพญา เดินเข้าใกล้ชายผู้มีอายุแล้วถามว่า

“คุณหลวงบำรุงประชาราษฎร์ใช่ไหม?”

ชายผู้นั้นประนมมือไหวคุณหญิงเป็นการแสดงความเคารพครั้งที่ ๒ แล้วตอบคล้ายคนเป็นอ่าง

​“ผมเองขอรับ”

“ฉันเกือบจำไม่ได้ สบายดีหรือคุณหลวง?”

“ประทานสบายดี”

คุณหญิงหันไปทางบุตรีพลางว่า

“นี่ไงล่ะ หลานคนเล็ก”

นุชสังเกตเห็นว่า อัมพรได้ไหวชายผู้นั้นแต่ต้น เมื่อเขาหันมามองดูหล่อนอย่างเอาใจใส่ หล่อนจึงไหว้บ้าง ส่วนในใจนึกถึงภาพของพระยารัตนวาทีผู้เป็นบิดา นำมาเปรียบเทียบกับชายนี้ ทั้งรูปร่างท่าทางและกิริยา ช่างไกลกันราวกับฟ้ากับดิน น่าพิศวงเสียนี่กระไร

“เชิญพระเดชพระคุณไปพักที่บ้าน ของให้เขาขนตามไปทีหลังก็ได้” คุณหลวงกล่าวแล้วเหลียวหาชายหนุ่มอีก ๒ คน เห็นเขากำลังสาละวนขนของอยู่ ก็ตะโกนออกไปว่า “เฉลียว…..เฉลียว! มานี่​เถอะ ของให้เจ้าชัดเขาดูก็ได้ อ้อ! เจ้าชัด มานี่ก่อน มากราบคุณหญิงท่านเสียก่อน”

ชายหนุ่มทั้ง ๒ รีบวางกระเป๋าลงไว้ แล้ววิ่งมาหาเสียงที่เรียกตน

“กราบคุณหญิงท่านเสีย” ผู้เฒ่าสั่ง “นี่หลวงประกอบธุรการ บุตรกระผม นี่เจ้าชัด บุตรของน้อง”

คุณหญิงพยักหน้าน้อยๆ แล้วถามว่า

“ทำอะไรอยู่ที่นี่?”

“ประทานเขาเป็นนายอำเภอขอรับ เจ้าชัดเขาก็เป็นธรรมการอำเภอ”

“อ้อ, ดี, พี่น้องทำงานอยู่ด้วยกัน ก็แล้วคุณหลวงเลื่อนขึ้นเป็นอะไร?”

“ประทานกระผมถูกปลดแล้ว ครบเกษียณอายุ ตั้งแต่ปีกลาย”

​“อ้อ, แล้วเลยมาอยู่รวมกันพ่อลูก ดีจริง” พูดพลางคุณหญิงออกเดิน หลวงประกอบ ฯ สาวเท้าออกหน้าไปก่อน นุชเพิ่งสังเกตเห็นว่าเขาสวมถุงเท้าสักหลาดสีโศกอ่อน รองเท้ายางสีขาวและนุ่งผ้าม่วงในขณะนี้เอง เนื่องจากดูเหมือนเขาจะเดินไม่ได้เร็วทันใจ เพราะผ้านุ่งกระตุก และเขาต้องกุมชายกระเบนซึ่งบัดไปปัดมาแน่นอยู่ ลับตัวไปทางที่พักคนโดยสารเพียงอึดใจเดียวก็กลับมาพร้อมด้วยโคมตาวัวจุดเสร็จใบหนึ่ง ถือโคมนั้นนำหน้าพาแขกของเขาออกจากสถานี

รถที่มารับเป็นรถ ๒ แถว ขนาดใหญ่พอบรรจุคนได้สัก ๒๐ คน เก่าคร่ำคร่าแต่ทว่ายังแข็งแรงดี หลวงประกอบฯนำคุณหญิงมาทางท้ายรถ ซึ่งเป็นทางขึ้น แต่คุณหญิงจะก้าวขึ้นหาได้ไม่เพราะพื้นรถอยู่สูงกว่าระดับพื้นดินมาก

​“ชั่วจริง! เจ้าแสงดันเอารถคันกะไดหักมาได้อีกคันหนึ่งไม่เอามา” หลวงบำรุงฯ พูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง “เจ้าเฉลียวไปหาอะไรมารองเร็ว”

หลวงประกอบฯ บ่นอะไรอุบอิบในลำคอ เหลียวหน้าเหลียวหลังมองเห็นลังไม้ฉำฉาใบหนึ่ง วางอยู่ในลานสถานี ยังไม่แน่ใจว่าจะไปหยิบได้ เพราะเป็นห่วงโคมที่ถืออยู่ ใกล้กับที่รถจอดมีรถลากจอดอยู่ ๒ คัน จีนเจ้าของรถยกคานรถไว้คอยมองดูคนที่จะออกจากสถานี หลวงประกอบ ฯ ก็ตะโกนออกไปว่า

“เฮ้ยเจ๊ก! เอาลงมาที ลังอยู่นั่นเห็นไหม วางรถเสียก่อน-บอกว่าให้วางรถเสียก่อน”

จีน ๒ คนอ้าปากมองดูผู้พูดโดยไม่เข้าใจว่ากระไร ก็พอดีชายคนหนึ่ง แบกกระเป๋าใหญ่ของอัมพรออกมา ​หลวงประกอบ ฯ ก็ตะโกนออกไปอีก

“แฮะ, ตาบุด! ผู้ใหญ่บุด วางกระเป๋าเสียก่อน ยกลังมานี่ ลังอยู่นั่นเห็นไหม บอกว่าให้วางกระเป๋าเสีย”

ฝ่ายจีนเจ้าของรถคันหนึ่ง จะเข้าใจว่านายอำเภอประสงค์อะไรก็ตาม แต่ตนเองประสงค์จะหาผู้จ้างรถของตนอยู่ จึงรีบวางรถของตนเสียตรงเข้าไปคว้ากระเป๋าที่มือผู้ใหญ่บุด เมื่อไม่ยอมให้ก็ยื้อแย่งดึงกระเป๋าพลางตะเบ็งเสียงพูดว่า

“อานายอำเภออีให้อั๊วอาวไป”

“ไอ้บ้า!” หลวงบำรุงฯ ตะโกน “บอกว่าให้ยกลังไม่ยก ทะเล้นไปยกกระเป๋า” พูดแล้วก็เดินไป ยังของที่ต้องการ และยกมาด้วยตนเอง

ในระหว่างที่บุคคล ๔ คน กำลังตื่นเต้นกันอยู่ นุชได้ใช้กำลังแขนของหล่อน โหนตัวขึ้นไปอยู่บนรถ​เรียบร้อยแล้ว และอาศัยแสงโคมที่หน้ารถ ยังได้สังเกตเห็นว่าผู้ใหญ่บุดนั้นนุ่งผ้าสีแดงแก่ เปิดขึ้นไปอยู่เหนือเข่าเป็นอันมาก และที่หน้าอกเสื้อนอกซึ่งคงจะเคยเป็นสีขาวแต่บัดนี้เป็นสีหม่นนั้นมีวัตถุ ทำด้วยโลหะสีขาว เป็นรูปสัตว์ชนิดหนึ่งติดอยู่ด้วย

จากสถานีรถแล่นไปตามทางอันมืด และเงียบสงัดปราศจากผู้คน คืนนั้นเป็นคืนข้างแรมอาศัยแต่แสงดาวส่อง เห็นหลังคาเรือนดำตะคุ่มอยู่ในหมู่ไม้ จะแลไปทางไหนก็ดูมืดทึบไปหมด ประดุจเดินทางอยู่กลางดง แต่เป็นเช่นนั้นอยู่ประมาณ ๑๕ นาที จึงมาถึงที่สว่าง

รถหยุดตรงหน้าประตูบ้าน เสียงสุนัขเห่าเกรียวใหญ่ มองจากถนนเข้าไปในรั้วบ้าน เห็นเด็กรุ่นหนุ่ม​คนหนึ่ง ถือตะเกียงลานเดินตรงมา หลวงบำรุงฯ จัดการให้คุณหญิงลงจากรถ แล้วก็ออกเดินนำตามเด็กนั้นเข้าไปภายใน

เดินมาตามลานหญ้า ภายใต้เงาไม้อันหนาแน่นสลับซับซ้อนกันอยู่พักหนึ่ง จึงถึงที่หมายคือตึกแบบเก่าสมัยรัชกาลที่ ๕ หลังย่อมๆ หลังหนึ่ง

“เชิญพระเดชพระคุณเข้าไปข้างใน” หลวงบำรุง ฯ กล่าวเมื่อคุณหญิงหยุดยืนบนบันไดขั้นที่ ๑ ใน ๓ ขั้น ที่คั่นอยู่ระหว่างพื้นตึกกับพื้นดิน ที่ตรงนั้นเป็นส่วนหน้าที่สุดของตึก และควรจะเรียกได้ว่าหน้ามุข มีโคมสังกะสีขนาดเขื่องใบหนึ่งแขวนอยู่ ในเข้าไปอีกเป็นห้องกว้างพื้นราดซีเมนต์มียกพื้น สำหรับนั่งอีกชั้นหนึ่งสูงจากพื้นประมาณศอกเศษ โคมที่แขวนอยู่กลาง​ห้องนั้น เป็นโคมชนิดใหญ่ อย่างที่เรียกกันว่าโคมบิลเลียด ตามขนาดแห่งตะเกียงและหลอด น่าจะให้ความสว่างประมาณเท่าไฟฟ้า ๓๐ แรงเทียนเป็นอย่างน้อย แต่โดยที่หลอดนั้นดำด้วยเขม่าประกอบทั้งหยากเยื่อพาดพันอยู่ดังตาข่าย จึงมีแสงสว่างมองพอเห็นหน้ากันได้เท่านั้นเอง

เมื่อคุณหญิงย่างเท้าเข้าไปภายใน ผู้ที่อยู่ในนั้นพากันขยับเขยื้อนเพื่อต้อนรับ เขาทั้งหมดเป็นหญิงชั้นผู้ใหญ่ ๒ คน เป็นหญิงสาวอายุไล่เลี่ยกัน ๓ คน และเป็นเด็กชายขนาดโต ๒ คน

“แม่ชม นี่ยังไงล่ะคุณหญิง” หลวงบำรุง ฯ บอกภรรยา “แน่ เด็กๆ กราบท่านเสียซี”

อัมพรคลานเข้าไปใกล้นางชม ไหว้พลางถามว่า

“จำหลานได้ไหมจ๊ะ?”

​สุภาพสตรีผู้นั้นนิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วกลับย้อนถามว่า

“แม่อัมพรหรือนี่”

“ใช่ซี เห็นไหม โตขึ้นจนผิดหูผิดตา” หลวงบำรุง ฯ ตอบแทน

“อพิโธ่! แม่คู้น อาจำไม่ได้จริงๆ ไหนให้อาดูหน้าหน่อยซี” พูดพลางนางชมขยับผ้าห่มเป็นอาการแสดงความตื่นเต้น

อัมพรยิ้มน้อยๆ เอียงหน้าเข้าไปจนใกล้นางชม กระซิบถ้อยคำอย่างใดอย่างหนึ่งที่หู

สีหน้านางชมเปลี่ยนไปเล็กน้อย หันหน้าไปทางเบื้องขวาของตน ชี้ให้หลานสาวดูประตูห้องๆ หนึ่ง

“ไม่สบายมากหรือ” คุณหญิงถามขึ้น “เดินได้ไหม?”

​“เดินได้ค่ะ” นางชมตอบ “แต่...” ลดเสียงให้เบาลง “แต่ไม่กล้าออกมา”

พูดไม่ทันขาดคำ ประตูห้องนั้นก็เปิดออก ร่างมนุษย์ปรากฏอยู่ระหว่างบานประตู มือเท้าฝาผนังยันตัว มือซ้ายรวบแพรเพลาะที่คลุมไหล่ ก้าวเท้าออกมาเบื้องหน้า ๒-๓ ก้าว แล้วก็หยุดนิ่ง

“อ้าว! ออกมานั้นแล้วไง!” หลวงบำรุงฯ พูดด้วยความดังตามเคย คุณหญิงสะดุ้งเล็กน้อย หันไปมองดูผู้มาใหม่อย่างตรงหน้า และด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง นุชเห็นท่านประณมมือไหว้อย่างแช่มช้า

แต่ดูเหมือนบุคคลผู้นั้น จะมิได้เห็นท่านเสียเลย สายตาของเขามองตรงไปที่อัมพร ได้เห็นหญิงสาวผู้นั้นก้มลงกราบแล้วเขาก็มองข้ามศีรษะไปหล่อนจับอยู่ที่ร่างของนุช

​ในขณะนั้น หญิงสาวรู้สึกว่าเห็นร่างของชายผู้นั้นสั่นดังหนึ่งจะล้มลง เขาปล่อยมือซ้ายจากแพรเพลาะขึ้นลูบหน้า แล้วก็หันหลังช้าๆ กลับเข้าประตูไป

โดยมิได้รั้งรอ อัมพรลงจากยกพื้นตามเขาเข้าไปในห้องทันที

“ประเดี๋ยวก็เป็นลมอีกหรอก” หลวงบำรุงฯ เอ่ยขึ้น “แม่เฉลาเอายาหอมเข้าไปให้ที่”

หญิงสาวคนหนึ่งลุกขึ้นโดยเร็ว ในขณะที่คุณหญิงถามอย่างตรึกตรอง

“นี่เป็นลมบ่อยๆ ด้วยหรือ?” และโดยมิได้รอฟังคำตอบ “ฉันจะเข้าไปหาสักหน่อย คุณหลวงช่วยพาหลานเล็กนี่ไปห้องพักทีเถิด”

พอคุณหญิงพูดขาดคำ หญิงสาวคนหนึ่งก็ลุกขึ้น ​นางชมยิ้มอย่างใจดี แล้วบอกกับนุชว่า

“ตามแม่ฉลวยเขาขึ้นไปซีจ๊ะ”

นุชมองดูมารดาแวบหนึ่ง แล้วก็ขึ้นบันไดไปกับผู้นำอย่างไม่สู้จะเต็มใจ

ห้องที่หล่อนมาถึง มีตะเกียงลานจุดอยู่แล้วแม่ฉลวยไขตะเกียงให้สว่างขึ้น ยืนอยู่จนนุชเดินไปถึงกลางห้องแล้วก็กลับออกไป

เหลืออยู่คนเดียว นุชเหลียวมองดูรอบตัวทั้งห้องนั้นไม่มีเครื่องประดับประดาอันใด นอกจากเตียงไม้ ๑ เตียง เตียงผ้าใบ ๑ เตียง ทั้ง ๒ เตียงมีที่นอนหมอนมุ้งพร้อม นุชขมวดคิ้วด้วยความยุ่งยากใจ หน้าต่างด้านหน้าตึกเปิดอยู่ทั้ง ๒ บาน หล่อนจึงเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปภายนอก เบื้องสูงท้องฟ้าสีน้ำเงินหม่น ดวงดาวดวงนิดๆ ส่องแสงเพียงยิบๆ ลมบนกำลังแรง พัดพาเอาก้อนเมฆมาบดบังแสงจันทร์ ​เมื่อมองดูเบื้องล่างจึงมองเห็นต้นไม้ใหญ่ทมึนดูน่ากลัว จักจั่นเรไรส่งเสียงเซ็งแซ่ นกเค้าแมวบินผ่านหลังคาตึกเสียงร้อง ‘แช้ก!’ ท่ามกลางความสงัดควังเวง นุชรู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัว “พี่ไปแล้วไม่กลับมาอีก!” นี่เป็นคำพูดของอัมพร-ไม่กลับ! ไม่กลับจากที่นี่! ที่อันป่าเถื่อน จะแลไปที่ใดก็พบแต่ความมืดเปลี่ยวและเยือกเย็น เห็นปานนี้นุชยกมือขึ้นกอดอก ตัวสั่นด้วยความหนาวแล่นเข้าหัวใจ

รุ่งเช้านุชตื่นแล้ว แต่ยังคงเสียดายความสบายในที่นอน หล่อนพลิกตัว เปลี่ยนท่าคิดจะนอนต่อไปอีกสักหน่อย พอสายตาเหลือบเห็นมุ้งสีน้ำตาลทำให้เกิดความฉงนสนใจ มองดูที่นอน หมอน ผ้าห่ม ก็เห็นความแตกต่างกับที่ตนเคยใช้เป็นอันมาก ความจำในเรื่องเมื่อตอนกลางคืนก็ผุดขึ้นในสมอง นุชยกตัวขึ้น​นั่งเหยียดเท้า ปัดผ้าห่มทิ้งเสียทันที แล้วเปิดมุ้งออกมายืนอยู่หน้าเตียง

ห้องที่หล่อนยืนอยู่คือห้องที่แม่สาวเจ้าของบ้านได้ นำหล่อนขึ้นมาเมื่อคืนนี้นั่นเอง คงเป็นห้องที่ปราศจากเครื่องตกแต่งใดๆ และยิ่งดูเก่าคร่ำคร่า ไม่น่าอาศัยเสียยิ่งกว่าเมื่อตอนกลางคืน เพราะว่าความสว่างแห่งแสงอาทิตย์ได้กระจายอยู่ทั่วทุกซอกทุกมุมห้อง ทำให้เห็นรอยน้ำที่รั่วไหลออกจากหลังคาเป็นทางยาว อีกทั้งรอยปูนที่ฝาผนังกระเทาะออกจนเห็นอิฐสีแดงออก ระกะไปเป็นธรรมดาของนุชเมื่อตื่นตอนใหม่ในเวลาเช้า หล่อนไม่ปล่อยให้ความขุ่นมัวใดๆ มารบกวนสมอง ดังนั้นหล่อนจึงละจากการพิจารณาสถานที่ และนึกถึงการชำระล้างร่างกายก่อนอย่างอื่น อย่างน้อยๆ หล่อนต้องการล้างหน้า แต่หล่อนก็ยังคงยืนงงอยู่ในที่เดิม เพราะ​ไม่แจ้งว่าห้องน้ำอยู่แห่งใด มองไปที่มุมห้อง….อ้อ! มีขันลงหินวางเคียงอยู่กับคนโท เข้าไปใกล้ก็เห็นว่ามีน้ำบรรจุเต็มอยู่ แต่น้ำเท่าในขันจะเพียงพออะไร ถ้าจะใช้น้ำในคนโทด้วย จะเทน้ำที่ใช้แล้วไว้ที่ไหน กำลังนึกฉิวมารดากับพี่สาว ตื่นขึ้นก่อนแล้วไม่ปลุกด้วย ปล่อยให้หล่อนอยู่คนเดียว ก็พอได้ยินเสียงฝีเท้าคนขึ้นบันไดมา นุชรีบหันไปดู จึงได้เห็นหน้าของหญิงมัคคุเทศก์ในตอนกลางคืน เจ้าหล่อนผู้นั้นยิ้มกับอาคันตุกะอย่างเปิดเผย จนเห็นฟันสีแดงเข้มในปากได้ถนัด

“นี่ฉันจะล้างหน้าได้ที่ไหนจ๊ะ?” นุชถามด้วยน้ำเสียงขุ่นๆ

“ที่หน้าต่างค่ะ” เจ้าหล่อนตอบ

“ที่หน้าต่าง” นุชทวนคำอย่างสนเท่ห์

​“น้ำในขันอย่างไรคะ” หล่อนบอกอีก โดยเข้าใจความสนเท่ห์ของคู่สนทนาผิดไป

นุชขมวดคิ้ว เดินไปชะโงกดูตามหน้าต่างทุกหน้าต่าง แล้วหันกลับมาถามว่า

“ล้างอย่างไรกัน?”

“ก็ล้างลงไปที่หน้าต่างซีคะ”

“รู้แล้ว รู้แล้ว!” นุชกล่าวค่อนข้างห้วน “หน้าต่างไหน?”

“หน้าต่างไหนก็ได้”

“แล้วน้ำมิไปราดหัวคนเข้าหรือ?”

เจ้าหล่อนหัวเราะอีก

“ไม่ราดหรอกค่ะ”

“ไม่ราดยังไง ก็นั่นมันทางเดินทั้งนั้น” พูดแล้วนุชกลับชะโงกไปที่หน้าต่าง

“ไม่มีใครเดินหรอกค่ะ” เจ้าหล่อนยืนยัน

​“ไม่มีคนเดินก็ฝาตึกไม่ต่างหมดหรือ?”

หญิงสาวผู้นั้นหัวเราะมากขึ้นกว่าเดิม จนนุชอยากจะแสร้งหัวเราะด้วย แต่หล่อนมิได้หัวเราะเป็นแต่เพียงยกไหล่แล้วเดินไปที่ขันน้ำวางอยู่ เมื่อหันกลับมาอีกที ก็เห็นคู่สนทนาออกประตูไปแล้ว

ล้างหน้าและแต่งตัวเสร็จ นุชออกจากห้องลงไปยังห้องกลาง

บนยกพื้นที่เดียวกับหล่อนได้นั่งเมื่อตอนกลางคืน อัมพรนั่งอยู่กับสาวสองพี่น้องและเด็กผู้ชายอีก ๒ คน กิริยาท่าทางของอัมพรทำให้นุชประหลาดใจ เพราะหล่อนกำลังพูดและหัวเราะอย่างแจ่มใสประดุจคุยกับเพื่อนที่ถูกคอกันอย่างยิ่ง เมื่อเห็นนุชหล่อนก็พยักหน้าเรียก พลางยิ้มอย่างร่าเริง

“มานั่งที่นี่แนะนุช พี่น้องเราทั้งนั้น”

​นุชยืนนิ่งอยู่เชิงบันได กล่าวถามว่า

“คุณแม่อยู่ไหน?”

“อยู่กับ…..เอ้อ..........อยู่ในห้องนั้น” อัมพรตอบและชี้มือไปทางเบื้องขวา

นุชมองตามมือขมวดคิ้ว

“มานั่งที่นี่เถอะน่านุช” อัมพรพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงร่าเริงเช่นเดิม “มารู้จักกับพี่น้องของเราเสียก่อน แล้วแกจะได้ทำกับข้าวให้เรากินอร่อยๆ”

หญิงสาวคนหนึ่งประณมมือไหว้นุชอย่างนอบน้อม พร้อมกับยิ้มอย่างแจ่มใส บุคคลอีก ๓ คน ที่นั่งอยู่ด้วยจึงทำตามหล่อนพร้อมกัน

สีหน้าอันชื่นบาน รวมกับแววตาแสดงความสนใจและหวังดีของเขาทั้ง ๔ ทำให้ความหงุดหงิดในใจนุชเสื่อมคลายลงได้บ้าง หล่อนเดินเข้ามาใกล้​ที่อัมพรนั่งอยู่ และถามพลางชี้ไปที่หญิงสาวคนหนึ่ง

“แม่คนนี้ชื่ออะไรจ๊ะ?”

“ชื่อเฉลา เป็นลูกผู้หญิงคนโตของคุณอา” อัมพรตอบแทน “นี่คนที่ ๒ ชื่อฉลวย”

นุชมองผู้ถูกกล่าวนามทั้งคู่อย่างเอาใจใส่ จึงเห็นว่าเค้าหน้าของหล่อนทั้ง ๒ นั้น เหมือนกันมาก และแต่งตัวก็เป็นแบบเดียวกัน กล่าวคือ นุ่งผ้าลายกลางเก่ากลางใหม่ สวมเสื้อชั้นในคอลูกไม้ถัก ไม่สวมเสื้อชั้นนอก สวมสร้อยคอทองคำสายใหญ่ถนัดคนละสาย สร้อยข้อมือคนละหลายเส้นซ้อนเท่ากัน กับทั้งใส่ตุ้มหูดอกมะเขือเพชรซีกคนละคู่เหมือนกันอีกด้วย

“พ่อ ๒ คนนี้ชื่อ ฉลองกับชะลอ” อัมพรบรรยายสืบไป “คุณหลวงประกอบ ฯ ชื่อตัวชื่อ​เฉลียว ตัว ฉ. ทั้งนั้นเห็นไหม เพราะคุณอาชื่อฉัตร”

“ชะลอน่ะตัว ฉ. ด้วยหรือ?” นุชขัดขึ้น

“จริงนะ” อัมพรรับพลางหัวเราะ “ใครเป็นคนตั้งชื่อแก ตาชะลอ?”

“แม่ครับ”

“มิน่าล่ะ” อัมพรว่าและหัวเราะอย่างขบขันยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะหล่อนนึกถึงในสมัยที่หล่อนยังเยาว์ และอยู่กับพระยารัตนวาทีกับคุณหญิงที่เกาะสิงคโปร์ พี่เลี้ยงของหล่อนได้เคยสอนให้หล่อนอ่าน ช –ะว่า ฉะ กับ ค –ะ ว่า ขะ รวมความก็คือแกสอนให้หล่อนอ่านอักษรต่ำทุกๆ ตัว อย่างอักษรสูงนั่นเอง

“คุณพี่หิวข้าวหรือยังคะ?” แม่เฉลาถามนุชเบาๆ อย่างขลาดพร้อมกับยิ้มอย่างกะดาก ผู้​ถูกถามจึงสังเกตเห็นในบัดนั้นว่า ฟันของหล่อนก็เป็นสีแดงเข้มใกล้จะดำเช่นเดียวกับน้องสาวที่ได้ยิ้มให้หล่อนดูเมื่อครู่ก่อนเหมือนกัน

“แน่ะ น้องเขาถามว่าเราหิวข้าวหรือยัง” อัมพรว่าเมื่อเห็นนุชมองดูผู้พูดเฉยอยู่

“ยังจ้ะ ขอบใจ” นุชตอบ “อัมพรล่ะ?”

“พี่กินกับน้องๆ แกแล้ว” เป็นคำตอบ

“แหม ยังงั้นก็ตื่นนานแล้วน่ะซี แล้วไม่ยักปลุกกันด้วย!” นุชพ้อ

“พี่จะปลุกแล้ว แต่คุณแม่บอกว่าปล่อยให้นุชนอนตามสบาย”

“แล้วคุณแม่รับประทานอาหารแล้วหรือยัง?”

“ยัง ท่านคอยนุช”

หญิงสาวพยักหน้า หันไปมองประตูห้อง พลาง​นึกถึงบุรุษห่มแพรดำที่หล่อนเห็นเมื่อตอนกลางคืน จนบัดนี้หล่อนยังไม่ทราบว่าเขาผู้นั้นเป็นใคร คุณหญิงสวงผู้แสดงกิริยาต่อหลวงบำรุง ฯ อย่างแสนที่จะวางภูมิ ได้เคารพชายผู้นั้นก่อนด้วยกิริยาอันดี …... อัมพรได้ก้มกราบเขาอย่างนอบน้อม เสียยิ่งกว่าที่เคยกราบเจ้าคุณและคุณหญิงผู้เป็นบิดามารดา….ชายผู้นั้น เมื่อมองดูนุชมีอาการวิปริตผิดจากเมื่อมองดูผู้อื่น …….. นุชแน่ใจทีเดียวว่า เพราะเขาได้เห็นหล่อนนั่นเอง จึงเกิดมีอาการตัวสั่น ดังที่ใครๆ พากันเข้าใจว่าจะเป็นลม …….. ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเหตุใด

นอกจากนั้นยังมีปัญหาข้ออื่นอีกที่ทำให้นุชฉงนสนเท่ห์ยิ่งนัก คือกิริยาของอัมพร ดูหล่อนสนิทสนมกับญาติหน้าใหม่นี้เป็นอันมาก ดังหนึ่งคุ้นเคยกันมาแต่อายุยังน้อย อีกทั้งนางชมผู้เป็นภรรยาหลวง​บำรุง ฯ ยังได้กล่าวว่าอัมพรโตขึ้นจนผิดตา! ส่วนนุชเองมิได้เคยได้ยินมารดาหรือพี่สาวกล่าวขวัญถึงญาติเหล่านี้เสียเลย ถ้าจะสันนิษฐานตามความข้างหลังนี้ ก็น่าจะคิดว่าคุณหญิงรัตนวาที เพิ่งได้มีการติดต่อกับญาติของสามี เมื่อมาถึงกรุงเทพ ฯ คราวนี้เป็นคราวแรก ข้างฝ่ายอัมพรสิ ก่อนที่จะออกจากบ้านได้ลั่นวาจาเป็นคำขาดว่า จะไม่กลับไปอยู่กับมารดาอีกต่อไป นุชรู้สึกว่าเรื่องราวไขว้เขวกันอย่างไรอยู่จนหล่อนมิอาจเข้าใจได้ ยิ่งคิดยิ่งมืดแปดด้าน ความมืดนั้นเองกลับทำให้หล่อนพื้นเสียขึ้นอีก เมื่อจ้องดูบานประตูนานเข้าโดยประตูมิได้เปิดออก หล่อนก็ถอนใจพลางบ่นว่า

“คุณแม่เข้าไปอยู่ในนั้นทำไมนะ เมื่อไรจะออกมาเสียทีก็ไม่รู้!”

​อัมพรมองดูน้องสาวด้วยสีหน้าขรึมอยู่อึดใจหนึ่ง จึงกลับยิ้มอย่างใจเย็นพลางว่า

“นุชถ้าจะหิวแล้ว พี่จะเข้าไปตามคุณแม่ให้” พูดแล้วหล่อนก็ลุกขึ้นเดินไปที่ประตู

“นุชเข้าไปด้วยไม่ได้หรือ?” หญิงสาวถามพลางดึงชายเสื้ออัมพรไว้ “ใครอยู่ในนั้น?” น้ำเสียงของหล่อนเบาลงเกือบเป็นกระซิบ โดยที่หล่อนมิได้ตั้งใจ

อัมพรยืนนิ่งอยู่กับที่ สายตาจับหน้านุชเต็มไปด้วยแววตาแห่งความปรานี ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตอบว่า “ให้พี่เข้าไปก่อนดีกว่า” พูดขาดคำหล่อนผลักประตูนำตัวเข้าไปภายใน แล้วประตูกลับปิดตามเดิม

นุชมองตามพี่สาวอย่างน้อยใจ ในที่สุดหล่อน​ยกไหล่ หันไปนั่งหน้าบึ้งอยู่บนขั้นบันไดโดยมิได้เอาใจใส่กับญาติที่มองดูหล่อนอย่างตื่นๆ ไปตามกัน

นั่งอยู่เพียงครู่เดียวประตูห้องเล็กก็เปิดออกอีก อัมพรมีสีหน้าแสดงความตื่นเต้น กวักมือเรียกน้องสาวอย่างร้อนรน นุชสะบัดหน้าอย่างงอน แต่แล้วก็ลุกขึ้นจากที่ตามหลังอัมพรเข้าไป

ภาพแรกที่ปรากฏแก่สายตานุช คือร่างของชายชราผู้หนึ่งนอนเหยียดยาวอยู่บนเก้าอี้หวาย ชายผู้นี้ผงกศีรษะขึ้นในทันทีที่เห็นนุช แล้วก็กลับทิ้งศีรษะลงบนหมอนตามเดิม หญิงสาวกำลังจะเดินเข้าไปหามารดาผู้ซึ่งนั่งอยู่บนยกพื้นใกล้กับเก้าอี้ แต่คุณหญิงชี้มือไปทางผู้นอนอยู่พร้อมกับพูดว่า

“ไปกราบคุณลุงเสียลูก กราบให้ถึงตัวทีเดียว”

​นุชมีอาการลังเลอยู่วาระหนึ่ง ประหลาด! หล่อนให้รู้สึกหวาดไปว่า เมื่อหล่อนเข้าไปใกล้ชายผู้นั้นแล้ว จะมีอำนาจอันใดอันหนึ่งเหนี่ยวรั้งหล่อนไว้มิให้ออกห่างจากเขาได้ อย่างไรก็ตามเท้าได้พาหล่อนเข้าไปจนใกล้เก้าอี้ยาว และหล่อนได้คุกเข่าข้างหนึ่ง ก้มศีรษะกราบลงติดกับตัวชายผู้นั้น เมื่อเงยหน้าขึ้น เห็นมืออันผอมแห้งขวักไขว่อยู่เหนือศีรษะของหล่อน ทำให้นึกว่าเขากำลังจะลูบศีรษะหล่อนหรืออย่างไร แล้วหล่อนก็ลุกขึ้นมานั่งอยู่กับคุณหญิง

ทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นพากันนิ่งเงียบ นุชมีความปรารถนาที่จะพิศดูหน้าชายชราให้เห็นชัด แต่หล่อนไม่กล้ามองไปทางนั้น เพราะรู้สึกอยู่ว่าตัวหล่อนเองกำลังถูกมองอย่างจริงจัง ถ้าหากนุชกล้าพอที่จะประสานตากับชายชรา หล่อนจะได้พบความ​รักอันดูดดื่มรวมอยู่กับความสงสารอย่างสุดซึ้งในสายตานั้น อีกทั้งจะได้เห็นว่าหยาดน้ำตาได้แล่นขึ้นมาคลอตาของชายชราทีละน้อยๆ จนเต็มเปี่ยมด้วย

ในที่สุด คุณหญิงเป็นผู้ทำลายความเงียบขึ้นก่อน

“หิวหรือยังลูก?” ท่านถามอย่างอ่อนโยน

“ยังค่ะ” นุชตอบเบาๆ

“ยังก็นั่งคุยกันก่อน เล่าอะไรๆ ให้คุณลุงท่านฟังบ้าง”

คุณลุง! นุชนึกในใจ เหลือบมองดูชายชราแล้วหันไปมองดูคุณหญิง เห็นสีหน้าของท่านผ่องใสอยู่เป็นปกติ จึงเกิดความกล้าหันกลับไปแลดูชายชราเต็มตา แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

​“คุณลุงจะให้นุชเล่าเรื่องอะไรคะ?”

ชายชราหรี่ตาลง นิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงย้อนถาม

“หนูเล่าอะไรได้บ้างล่ะ”

หนู! สรรพนามชนิดนั้นชนิดนี้มิได้เคยถูกเรียกมาก่อน เมื่อได้ถูกเรียกเป็นครั้งแรก โดยริมฝีปากของชายแปลกหน้าผู้มีอาวุโส นั่งคุกเพราะหูพอใช้ นุชยิ้มน้อยๆ ดวงตาเป็นประกายแจ่มใส ขณะที่หล่อนตอบว่า

“เยอะแยะค่ะ แต่ต้องถามนุชถึงจะได้ ถ้ามิฉะนั้นนุชขึ้นต้นไม่ถูก”

การยิ้มของมนุษย์ทั่วไป - และหญิงสาวรุ่นกำดัดโดยเฉพาะ - เป็นสิ่งที่พึงตาแก่ผู้เห็น แต่หญิง สาวโดยมากมิได้รู้ค่าของการยิ้มว่ายังประโยชน์แก่ตนเพียงไร ความเขลาในข้อนี้ทำให้สตรีโดยมาก ทอดทิ้งความงามซึ่งธรรมชาติได้มอบให้แก่ตนเสีย​บ่อยๆ ในขณะริมฝีปากอันแดงเรื่อของนุชเผยอขึ้นจากกัน และความสดชื่นระบายไปทั่ววงหน้านั้นเปรียบประดุจแสงอรุณฉายเข้ามาในห้องอันทึบ และขมุกขมัวของชายชรา สีหน้าอันเหี่ยวแห้งแห่งเจ้าของห้องเบิกบานขึ้น น้ำเสียงที่พูดก็มีกังวานชัดเจนขึ้นกว่าเดิม

“เมืองหลังสวนเป็นอย่างไร?”

“โอ๊ย เต็มที!” นุชตอบตามตรงๆ “มี-!” หล่อนลากเสียง “มีแต่ต้นไม้ๆๆ เป็นป่าไม่ใช่หรือ คะ ทำไมถึงเรียกว่าเมือง?”

“ป่าที่ไหน?” ชายชราค้านและยิ้มน้อยๆ “ต้นไม้ที่เห็นเป็นไม้ผลทั้งนั้น เป็นสินค้าของเมืองนี้”

“ต้นอะไรบ้างคะ?” นุชถาม เอียงคอน้อยๆ แสดงความทึ่ง

​“เงาะ มังคุด มะพร้าว ทุเรียน ลางสาด ลางสาดเป็นดีที่สุด ทุเรียนเต็มที หนูรับประทานทุเรียนเป็นไหมล่ะ?”

“เหม็น!” พูดพร้อมกับทำหน้าย่น “นะคะคุณแม่”

คุณหญิงยิ้มรับแล้วหันไปทางชายชรา

“รับประทานไม่เป็นเหมือนดิฉัน เจ้าคุณเคยให้แกรับประทานตั้งแต่ยังเล็กๆ แกคายทั้งหมด”

ผู้ฟังมิได้ตอบว่ากระไร ทอดสายตามองดูฝาห้องอย่างใจลอย สีหน้าซึ่งสดชื่นขึ้นในครู่หนึ่งกลับเหี่ยวแห้งลงตามเดิม ริมฝีปากอันซีดเบ้ออกคล้ายกับคนใกล้จะร้องไห้ นุชเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ หล่อนจึงเอ่ยขึ้นว่า

“ไปรับประทานอะไรกันหรือยังล่ะคะ คุณแม่ นุชหิวแล้ว”

.




Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.054 seconds with 16 queries.