Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
01 November 2025, 06:03:26

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง กรรมเก่า บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 1-2
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง กรรมเก่า บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 1-2  (Read 65 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 28 October 2025, 15:28:33 »

นวนิยายเรื่อง กรรมเก่า บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด ตอนที่ 1-2


https://vajirayana.org/กรรมเก่า

นวนิยายเรื่อง กรรมเก่า บทประพันธ์ของ ดอกไม้สด (หม่อมหลวงบุปผา นิมมานเหมินท์)





คำนำ

ด้วยเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔ นางสุนทรี ชมธวัช ทายาทลิขสิทธิ์หนังสือนวนิยายและเรื่องสั้นของหม่อมหลวงบุบผา นิมมานเหมินท์ ผู้ใช้นามปากกาว่า “ดอกไม้สด” ได้มีใจเอื้อเฟื้อแก่ราชการ และได้มอบลิขสิทธิ์หนังสือนวนิยายและเรื่องสั้นของ “ดอกไม้สด” ให้แก่หอสมุดแห่งชาติ เพื่อให้หอสมุดแห่งชาติได้มีรายได้ อันจะได้นำไปใช้สอยในกิจการต่างๆ เป็นการบำรุงหอสมุดแห่งชาติ ให้เป็นประโยชน์ในการศึกษาหาความรู้ของประชาชนมากยิ่งขึ้น

การที่เอกชนมีจิตศรัทธาในงานสาธารณประโยชน์และให้ความร่วมมือแก่ทางราชการ โดยการบริจาคทรัพย์สิ่งของ เพื่อให้งานสาธารณประโยชน์ดำเนินไปด้วยดีนั้น นับว่าเป็นการเสียสละเพื่อส่วนรวมที่น่าสรรเสริญ การให้ความรู้เป็นวิทยาทาน เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของไทยเรา และเป็นการกระทำที่แสดงให้เห็นความนิยมในคุณค่าของวิทยาการ ตลอดจนความปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นมีความรู้ในวิชาต่างๆ ซึ่งเป็นความปรารถนาที่ดี และมีส่วนช่วยในการทะนุบำรุงสติปัญญา และความคิดของแต่ละคน ซึ่งจะมีผลส่งถึงส่วนรวมด้วย

​พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนครขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๘ และได้พระราชทานหอพระสมุดวชิรญาณซึ่งเป็นของส่วนพระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ ให้เป็นส่วนหนึ่งของหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ราษฎรทั้งหลายได้มีโอกาสอ่านหนังสือในหอพระสมุด ซึ่งหลังจากเปลี่ยนการปกครองแล้ว ได้เปลี่ยนชื่อเป็นหอสมุดแห่งชาติ สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ดำเนินการโดยเสด็จพระราชประสงค์เป็นแหล่งวิทยาการสำหรับประชาชนชาวไทย การทะนุบำรุงหอสมุดแห่งชาติด้วยประการใดๆ ก็นับว่าเป็นการเอื้อต่อวิทยาการของชาวไทยทั้งปวง

กรมศิลปากรมีความยินดีที่ นางสุนทรี ชมธวัช ได้มีจิตศรัทธาต่อวิทยาการ และได้มีความเสียสละอันน่าชมเชยยิ่ง ขอให้ท่านผู้อ่านหนังสือนี้ รำลึกถึงกุศลจิตของผู้บริจาค รำลึกถึง หม่อมหลวงบุบผา นิมมานเหมินท์ ผู้ประพันธ์ ช่วยกันอนุโมทนาขอให้ความดีนี้ช่วยส่งสนองให้ นางสุนทรี ชมธวัช ผู้บริจาคได้ประสบความสุขความเจริญ ให้หม่อมหลวงบุบผา นิมมานเหมินท์ ผู้ล่วงลับไปแล้ว ได้ถึงซึ่งความสงบสุขชั่วนิรันดร.

กรมศิลปากร

......................

คำชี้แจง

​นวนิยายของ “ดอกไม้สด” มีอยู่ด้วยกัน ๓๒ เรื่อง เป็นนวนิยายขนาดยาว ๑๒ เรื่อง และเป็นเรื่องสั้นอีก ๒๐ เรื่อง บทละครหนึ่งเรื่องกับเรื่องยาวซึ่งแต่งไม่จบคือ “วรรณกรรมชิ้นสุดท้าย” นั้น ท่านผู้ประพันธ์แต่งได้เพียงตอนแรก และไม่อาจแต่งต่อไปให้จบได้ เพราะสุขภาพไม่อำนวย

หม่อมหลวงบุบผา นิมมานเหมินท์ (นามสกุลเดิม กุญชร) เจ้าของนามปากกา ดอกไม้สด ได้เริ่มงานประพันธ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ โดยเขียนลงในวารสารไทยเขษม และเรื่องแรกที่แต่งคือเรื่อง ศัตรูของเจ้าหล่อน รวมเล่มพิมพ์ครั้งแรกโดยกองอาสากาชาด ขออนุญาตพิมพ์จำหน่ายเพื่อการกุศล และต่อมาก็ได้ตีพิมพ์อีกหลายครั้ง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๔ “ดอกไม้สด” ได้เขียนไว้ในคำนำฉบับที่ตีพิมพ์ครั้งนั้นว่าเคยคิดอยากจะแก้ไข เพราะได้เห็นความบกพร่องหลายอย่าง แต่เมื่อตรวจดูแล้วก็เห็นว่าที่จะแก้ไขมีมาก จนถึงกับจะเป็นการเขียนใหม่หมด จะไม่มีเรื่อง “ศัตรูของเจ้าหล่อน” อย่างเดิมอีกต่อไป จึงไม่ได้แก้ไข นับว่าเป็นโชคดีที่ท่านผู้อ่านจะได้เห็นวิวัฒนาการในการแต่งนวนิยายของ “ดอกไม้สด” มาตามลำดับ นวนิยายเรื่องแรกที่คิดอายุก็ได้ ๔๔ ปีแล้ว

​ถ้อยคำสำนวน ความคิด ความนิยม หลายอย่างได้เปลี่ยนไป เรื่องศัตรูของเจ้าหล่อน เป็นเสมือนบันทึกเหตุการณ์ในอดีตการที่ยังมีผู้นิยมอ่านมาจนทุกวันนี้ แสดงให้เห็นว่ายังมีหลายอย่างในเรื่องนี้ ที่จะเป็นกาลปัจจุบันอยู่ตลอดไป กาลเวลาเป็นอย่างหนึ่งซึ่งใช้ยืนยันได้ว่า คุณค่าของบทประพันธ์จะยืนยงหรือไม่เพียงไร

นวนิยายเป็นแบบการประพันธ์ ซึ่งนับว่าเรารับมาจากต่างประเทศในยุครัตนโกสินทร์ ตอนที่มีการติดต่อกับประเทศในยุโรปมากขึ้น อย่างน้อยเราก็รับเอาชื่อของการประพันธ์แบบนี้ที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า Novel แล้วก็มีผู้แปลเป็นไทยว่า นวนิยาย เป็นนิยายแบบใหม่ต่างกับเรื่องนิยายหรือนิทานคำกลอนที่เราเคยนิยมกันมาแต่ก่อน ซึ่งเขียนเป็นคำกลอน ตัวละครเป็นคนในอดีต และส่วนมากเป็นท้าวพระยามหากษัตริย์ ชีวิตอยู่ในอำนาจของความลี้ลับเหนือมนุษย์ต่างๆ กฎเกณฑ์ของการเขียนที่กำหนดไว้สำหรับนักวิจารณ์พิจารณานวนิยาย ว่าจะต้องมีองค์ประกอบ ๕ ประการ คือ ตัวละคร ฉาก บทสนทนา โครงเรื่อง และเนื้อหา อย่างไรก็ดี ถ้าจะมองให้ลึกลงไปแล้ว นิยายคำกลอนแต่ก่อนเก่าของเรา และนวนิยายอันขึ้นชื่อว่าได้มาแต่ฝรั่งก็มีพื้นฐานอันเดียวกัน คือ ชีวิตมนุษย์ เรื่องราวของปุถุชน ​ซึ่งมนุษย์ด้วยกันอยากรู้อยากเห็นหนักหนา นวนิยายจึงเป็นที่นิยมของคนไทยอย่างรวดเร็ว

“ดอกไม้สด” มีผลงานปรากฏแก่ผู้อ่านเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ อันเป็นระยะที่วงการประพันธ์ไทยกำลังสมัยใหม่ยิ่ง บทประพันธ์ของท่านจึงทันกาลเวลาสำหรับสังคมของหนุ่มสาวสมัยใหม่ในเมืองหลวงขณะนั้น และคงอยู่ตลอดมา เนื่องจากว่าดอกไม้สดเขียนนวนิยายโดยมีกฎเกณฑ์ ซึ่งท่านได้นำออกมาใช้อย่างสม่ำเสมอกันเกือบทุกเรื่อง เป็นต้นว่า ศึกษาอุปนิสัยตัวละคร (จากคนจริง) ให้ถ่องแท้เสียก่อน แล้วจึงสร้างเรื่องสำรวมในการแสดงความรู้สึกมัธยัสถ์ในการใช้ถ้อยคำ และผูกเรื่องราว จนแทบจะกล่าวได้ว่า ถ้าตัดคำใดและเนื้อเรื่องตอนไหนออกเสียแล้ว ถึงจะไม่ล้มทั้งเรื่อง ก็จะเสียรส ดังนั้นถึงแม้ว่าขณะนี้รสนิยมของคนรุ่นปัจจุบันจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่นวนิยายของดอกไม้สดก็ยังอาจให้ความพอใจแก่ผู้อ่านในด้านความบันเทิง ความคิด ความงดงาม และความละเมียดละไมแห่งความรู้สึกอยู่เสมอ

การที่สำนักพิมพ์ถึงสามแห่ง ขออนุญาตพิมพ์นวนิยายของดอกไม้สดพร้อมๆ กันนี้ ย่อมเป็นเครื่องวัดได้ว่า ความนิยมอ่านหนังสือของดอกไม้สดยังมีอยู่มาก เป็นที่น่ายินดีและ​ภูมิใจที่หอสมุดแห่งชาติได้รับมรดกวรรณกรรมของดอกไม้สด ผู้ล่วงลับไปแล้ว น่าภูมิใจที่เราได้มีนักประพันธ์อย่างท่าน ผู้ซึ่งสร้างงานด้วยความประณีต มีความปรารถนาจะให้แนวทางที่ดีแก่ผู้อ่าน ทั้งเป็นผู้ซึ่งเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม การที่หอสมุดแห่งชาติได้รับมรดกลิขสิทธิ์ในงานประพันธ์ของท่าน ก็เพราะว่าเป็นความปรารถนาอย่างหนึ่งของท่าน ในการที่จะทำประโยชน์ให้แก่สังคม

การที่คุณสุนทรี ชมธวัช ทายาทลิขสิทธิ์ในวรรณกรรมของดอกไม้สด ได้ยกลิขสิทธิ์อันจะเกิดผลประโยชน์ให้แก่หอสมุดแห่งชาตินั้น นับว่าเป็นการเสียสละที่น่าสรรเสริญ จึงขออนุโมทนาในการกุศล และขอขอบคุณ คุณสมภพ จันทรประภา ที่ได้ช่วยเหลือแนะนำให้หอสมุดแห่งชาติ ได้รับลิขสิทธิ์ไว้

ได้เขียนไว้ในคำอุทิศของหนังสือเรื่อง “ศัตรูของเจ้าหล่อน” ซึ่งกองอาสากาชาด ขอตีพิมพ์จำหน่ายเพื่อการกุศล เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๗ ตอนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าขอเชิญชวนเพื่อนพุทธศาสนิกทั้งหลาย เชิญร่วมงานเมตตากรณียกิจกับกองอาสากาชาด เชิญตั้งจิตมั่นในเมตตาอธิษฐานตามเยี่ยงอย่างแห่งบุรพชนของเรา สัตว์โลกทั้งหลายจะเป็นผู้ไม่มีเวร สัตว์โลกทั้งหลายจงอย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ​สัตว์โลกทั้งหลายจงอย่าเป็นไข้ใจ สัตว์โลกทั้งหลายจงพ้นจากทุกข์ สัตว์โลกทั้งหลายจงอยู่เป็นสุขรักษาตน สัตว์โลกทั้งหลายจงอย่าพ้นจากสมบัติอันตนได้แล้ว และขอสันติภาพ จงบังเกิดแก่สัตว์โลกทั่วพิภพเทอญ”

ขอสันติสุขจงบังเกิดแก่วิญญาณของ “ดอกไม้สด” ชั่วนิรันดร.

แม้นมาส ชวลิต

หอสมุดแห่งชาติ

๗ มีนาคม ๒๕๑๖

..........................




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #1 on: 28 October 2025, 15:29:17 »




สุภาพบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้าประตูบ้าน ‘เศกสม’ มาหยุดยืนที่หน้าตึกใหญ่ สายตามองดูรถยนต์สีดำและสีเทารวม ๒ คัน ที่จอดอยู่เบื้องหน้า คิ้วขมวดเป็นเชิงตรึกตรอง ในทันใดนั้น มีเสียงรองเท้าผู้หญิงกระทบแผ่นกระเบื้องที่ปูพื้น เสียงแหลมแสดงความพิศวงและปิติว่า “Aullo! Uncle พงศ์!” ครั้นแล้วรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ เจ้าหล่อนผู้เป็นเจ้าของเสียงได้วิ่งมาถึงตัวชายหนุ่ม โถมเข้ากอดคอไว้แน่น

ในวาระนี้ชายหนุ่มผู้มีนามว่า พงศ์ มีสีหน้าแดง​จัด แววตาที่ก้มลงดูศีรษะอันซบเซาอยู่บนบ่าเขานั้นมีลักษณะอันจะอธิบายได้โดยยาก มือซ้ายประคองหลังหล่อนแต่เบาๆ มือขวาค่อยๆ คลายมือที่โอบรอบคออยู่ ส่วนปากพูดว่า

“พี่สวงสบายดีหรือ?”

“Oh! that’s ashame! ทำไมถามถึงคุณแม่ก่อน พบนุชต้องถามถึงนุชก่อนซี” พูดพลางใช้ดวงตากลมและดำขลับมองดูเขาเชิงตัดพ้อ ครั้นแล้วหล่อนก็ยิ้มอย่างอ่อนหวาน “มาพอดีเวลาเรามีแขกมากินน้ำชา ด้วย” พูดพลางหล่อนจับข้อมือเขาจูง

“ถ้าเผื่อว่าน้าปฏิเสธ?” ชายหนุ่มถามและยืนนิ่งอยู่กับที่

“Oh! no! you are not going to....why should you?”

​“เพราะว่าน้าไม่ได้อยู่ในจำนวนผู้ที่เป็นแขกของนุช แต่กลับมาถึงเมื่อไรยังไม่บอกน้า”

“พระอนิจจัง!” เสียงของหล่อนแปร่งผิดจากหญิงสยามทั้งหลายเป็นอันมากในเมื่อหล่อนกล่าวคำนั้น พงศ์ยิ้มด้วยความเอ็นดูเพราะเขาจำได้ว่า ภาษามคธคำนี้หล่อนได้จำไปจากเขาตั้งแต่ได้พบกันคราวแรกในกรุงลอนดอนเป็นเวลาประมาณ ๙ ปีมาแล้ว นุชพูดต่อไป

“สิ่งแรก ที่นุชทำเมื่อมาถึงกรุงเทพฯ ก็คือส่งจดหมายไปที่ออฟฟิศน้า แต่น้าเงียบ เมื่อนุชมาถึง น้าไม่ได้ไปรับแล้วไม่ได้มาหา แล้วไม่ตอบจดหมาย what’s your excuse?”

“น้าไม่อยู่ไปเชียงใหม่ เพิ่งกลับมาก็มาหาวันนี้แหละ”

“There you are! ความผิดของใคร?” เอียง​คอและทำตาหวานมองเขา “มาเถอะค่ะคุณแม่จะสงสัยว่าเราปรึกษาความลับอะไรกัน... by the way นุชมีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ในห้องนั้น a wonderful boy! You will love him, we all love him!”

คิ้วอันดกดำของพงศ์ขมวดเข้าด้วยกัน ทำทีเหมือนจะหยุดยืนเสียเพียงประตู แต่หญิงสาวมิให้ โอกาสเขาทำเช่นนั้น หล่อนจูงมือเขาเข้าไปด้วยจนได้

ภายในห้องรับแขกที่นุชพาพงศ์เข้าไปนั้น มีบุรุษอยู่ ๓ นาย ล้วนกำลังหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน เขาทั้ง ๓ ลุกขึ้นยืนเมื่อนุชเข้าไปถึง พงศ์มองดูปราดเดียวก็จำได้ว่าเขาเคยรู้จักแล้วสองคน ส่วนคนที่ ๓ เค้าหน้าบอกว่าอ่อนอายุกว่าอีก ๒ คนนั้น พงศ์ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

พงศ์เดินเข้าไปใกล้เก้าอี้ ที่คุณหญิงเจ้าของบ้าน​นั่งอยู่ ทำความเคารพ แล้วหันไปรับไหวหญิงสาวอีกผู้หนึ่งในขณะที่คุณหญิงสวงพูดว่า

“พ่อพงศ์นั่นเอง นึกว่าใครที่ไหน ใช้นุชออกไปดูก็เงียบหาย ราวกับใช้แมวไปขอไฟ”

“นั่นหมายความว่า แมวมันไปกินปลาเสียในครัว? I know that expression!” พูดแล้วนุชก็มองดูพงศ์อย่างภูมิใจ

เขาแลดูหล่อนแต่เพียงนิดเดียว แล้วก็หันไปตอบคำพูดของคุณหญิง

“ผมได้เห็นหนังสือพิมพ์ลงข่าวคุณพี่กลับถึงบ้านเมื่อเดือนก่อน กำลังมีธุระยุ่งอยู่ที่เชียงใหม่เพิ่งกลับมาเมื่อวานนี้เอง”

คุณหญิงพยักหน้าน้อยๆ แล้วหันไปทางแขกหนุ่มทั้ง ๓ ถามว่า

​“รู้จักกันแล้วหรือยัง พ่อพงศ์น้องชายของฉัน นี่พ่อสุนทรเป็นญาติกับพี่เหมือนกัน นี่คุณแสวง นั่นคุณหลวงดำรงนิติศาสตร์”

“ดูเหมือนเราเคยรู้จักกันแล้ว” หลวงดำรงฯ พูดพลางก้มศีรษะ

“รู้จักแล้วทั้ง ๒ คน” พงศ์ตอบเมื่อนายแสวง มองดูเขาอย่างสงสัย

“ถูกแล้ว” นายแสวงรับ “ผมเคยเห็นคุณหลายหน แต่ไม่เคยได้พูดกัน”

ชายหนุ่มทั้ง ๓ กลับนั่งลงในที่ของตนดังเดิม พงศ์ลากเก้าอี้มานั่งใกล้หญิงสาวอีกคนหนึ่ง แล้วถาม

“สบายดีหรืออัมพร?”

หญิงสาวผู้นั้นมีสีหน้ามึนตึงอยู่เป็นปกติ ขนตาของหล่อนดกดำมาก และขอบตามีสีออกเขียว จึงดู​ดวงตาของหล่อนลึกและโตกว่าธรรมดา หล่อนตอบคำถามของพงศ์ด้วยน้ำเสียงไม่แสดงความยินดียินร้ายว่า

“สบายดีค่ะ ขอบพระคุณ”

คุณหญิงสวงลงมือปรุงน้ำชาแจกอาคันตุกะฐานหน้าที่แม่บ้าน เมื่อได้ปรุงถึงถ้วยของพงศ์เป็นถ้วยสุดท้าย ท่านก็ถามขึ้นอย่างเดียวกับที่ท่านได้ถามคนอื่นมาแล้ว

“พ่อพงศ์ น้ำตาลกี่ก้อน”

นุชผู้กำลังคุยอยู่กับสุนทรอย่างเพลิดเพลินนั้นหยุดพูด หันมาตอบคุณหญิงทันทีว่า

“Four and no Milk.”

“ขอบใจนุช” พงศ์กล่าวสั้นๆ น้ำเสียงและสีหน้าขัดกับแววตาที่เขามองดูหล่อนเป็นอันมาก คุณหญิงขมวดคิ้วแต่ไม่พูดว่ากระไร

​“เจ้าคุณจะกลับถึงกรุงเทพฯ เมื่อไรครับ?” พงศ์ถามขึ้น

“เห็นจะราวเดือนมีนาคม” คุณหญิงตอบ

“โอ! ร้อนแย่! มาถึงเดือนมกราคมละก้อดีทีเดียว จะได้พบอากาศกำลังหนาว แล้วค่อยหัดทนร้อนไปทีละน้อยๆ อยู่กับอากาศหนาวมาตั้งหลายปี มาพบร้อนทันทีทันใดถ้าจะไม่ได้การ แต่ผมอยู่ไม่กี่ปียังจำได้ว่า เมื่อกลับมาใหม่ๆ จะคลั่งเสียให้ได้”

“ถึงคราวจำเป็นก็ต้องทน ราชการเป็นใหญ่” คุณหญิงตอบเรียบๆ “พี่เกือบจะพาเด็ก ๒ คนนี้ไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์เสียพักหนึ่งแล้วค่อยกลับมาพร้อมกับเจ้าคุณทีเดียว แต่ท่านไม่ยอม เกณฑ์ให้มาจัดบ้านจัดช่องไว้รับ แล้วเด็กสองคนนี่ก็เคยเห็นเมืองนั้นแล้ว เขาอยากจะรีบมาเห็นบ้านเมืองของเขามากกว่า”

​“คุณยังไม่เคยเห็นสยามมาก่อนเลยหรือ?” หลวงดำรงฯ หันมาถามอัมพรอย่างยิ่ง

“เคยเห็นแล้ว” อัมพรตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงอันชาเย็น

“นุชสิไม่เคยเห็นเลยทีเดียว คราวนี้เป็นคราวแรก” คุณหญิงกล่าวแล้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ขณะที่พูดต่อไปว่า “เป็นเคราะห์ดีเสียอีกที่แกพูดไทยได้ เพราะฉันบังคับให้พูดอยู่เสมอ”

“อ้อคราวนั้น เมื่อคุณพี่มากรุงเทพฯ พาอัมพรมาคนเดียว นุชอยู่โรงเรียนในลอนดอนใช่ไหม?” พงศ์ถามขึ้น

“ใช่ค่ะ” นุชตอบ “แหม! คราวนั้นนุชอยากมาแทบตาย คุณแม่ไม่พามา”

ครั้นได้สนทากันถึงเรื่องทั่วไป จนพระอาทิตย์​จวนจะลับขอบฟ้า หลวงดำรงฯ ก็ลุกขึ้นลา นายแสวงกับนายสุนทรก็ลุกขึ้นตามกัน นุชส่งมือให้คนทั้ง ๓ ด้วยท่าทางที่เป็นธรรมดาที่สุด เช่นเดียวกับว่าหล่อนอยู่ในประเทศที่ใช้การจับมือเป็นธรรมเนียม และเมื่อมือของหล่อนอยู่ในมือของสุนทร ผู้ที่มองดูอยู่อาจสังเกตได้ว่า เขาทั้ง ๒ บีบมือกันนานกว่าปกติเล็กน้อย และนุชได้พูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า

“Come again.”

ชายหนุ่มผู้นั้น ใช้สายตารับคำเชิญของหล่อนแทนคำตอบ แล้วก็ออกจากห้องไป

หันหน้ากลับมา เห็นพงศ์กำลังจะเตรียมตัวกลับด้วยเหมือนกัน นุชก็กดตัวเขาให้นั่งลงดังเก่าพร้อมกับพูดว่า

“You can’t go now, uncle พงศ์ คุณแม่ต้องไม่อนุญาต”

​“อะไรจะกลับแต่ป่านนี้” คุณหญิงว่า “นั่งลงเถอะ เล่าอะไรๆ ให้พี่ฟังบ้าง”

ชายหนุ่มเลื่อนตัวเข้าในเก้าอี้ นุชก็นั่งลงบนพนักข้างตัวเขานั่นเอง

นายพงศ์ กัลยาณเวทย์ เป็นน้องต่างมารดาของคุณหญิงรัตนวาที สวง กัลยาณเวทย์ พี่น้องคู่นี้มีอายุแตกต่างกันมาก คุณหญิงแก่กว่าน้องชายถึง ๑๖ ปี ในเวลาที่กล่าวนี้อายุของท่านย่างเข้าปีที่ ๔๘ แต่ตัวของท่านเองนั้นยังกระชุ่มกระชวยสะสวยสมสมัย ถ้าแม้ว่าคุณหญิงไม่มีบุตรีเป็นสาวถึง ๒๑ ปีแล้ว จะไม่มีใครคาดว่าอายุของท่านเกิน ๓๓ ปีไปเลย

พงศ์เป็น Docteur en Droit แห่งประเทศฝรั่งเศส เป็น Barrister at Law แห่งประเทศอังกฤษ และเป็นเนติบัณฑิตสยาม บรรพบุรุษของเขา ล้วน​แต่ได้เคยรับราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินมาโดยตลอดทุกชั้น จนถึงตัวพงศ์เอง บิดาของเขาได้สิ้นชีวิตไปเสียตั้งแต่เขาเพิ่งรุ่นหนุ่ม เป็นโอกาสให้พงศ์ได้เลือกทางอาชีพของตนเอง เขาจึงได้เลือกเป็นทนายความตามที่ใจรัก

.




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #2 on: 28 October 2025, 15:30:29 »




​เจ็ดวันต่อมา เวลาเดียวกับวันที่ได้กล่าวแล้ว หนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังเดินเคียงคู่กันอยู่ใน สวนด้านหลังบ้าน ‘เศกสม’ มือของชายหนุ่มอยู่ในกระเป๋าเสื้อทั้ง ๒ ข้าง ส่วนมือขวาของหญิงสาวถือดอกกุหลาบอยู่ดอกหนึ่ง ทั้ง ๒ กำลังสนทนาโต้ตอบกันอย่างเพลิดเพลิน บางครั้งชายหนุ่มได้กล่าวประโยคใดประโยคหนึ่ง ทำให้แก้มอันผุดผาดของหญิงสาวแดงเรื่อขึ้น หล่อนจึงยกดอกไม้ขึ้นดมแก้ขวย ครั้นหล่อนทำดังนั้นซ้ำๆ กันถึง ๒-๓ ครั้ง เขาก็พยายาม​จะแย่งดอกไม้ดอกน้อยจากมือหล่อน และยกดอกไม้ขึ้นดม โดยมิได้นำพาว่ามือของเจ้าของเดิมยังกำดอกไม้อยู่ ต่อจากนั้น สีแดงของดอกกุหลาบก็ไปปรากฏอยู่กับสีขาวของเสื้อแบบข้าราชการ...

สูงจากที่คนทั้ง ๒ กำลังรื่นรมย์กันอยู่ประมาณ ๓ วาเศษ หญิงมีอายุคนหนึ่งแฝงม่านหน้าต่างมองดูภาพเบื้องล่างอย่างเอาใจใส่ สักครู่หนึ่งจึงถอยหลังมา ๒ ก้าว แล้วพูดกับหญิงสาวที่ยืนอยู่กับตนว่า

“ดูน้องของหล่อนนะแม่อัมพร ปล่อยตัวง่ายเสียเหลือเกิน ฉันไม่รู้ว่าจะป้องกันอย่างไร เวลาเพียงเดือนเดียวเท่านั้น”

“เขาชอบกันมาก ตั้งแต่อยู่ในประเทศอังกฤษแล้ว” หญิงสาวตอบเบาๆ “เมื่อคืนที่คุณแม่เลี้ยงส่งคุณสุนทร คุณสุนทรไม่ได้เต้นรำกับใครเลยนอกจากนุช”

​“ก็มันล่วงเลยมาตั้งเกือบ ๒ ปีแล้ว ฉันจะไปรู้หรือว่ายังไม่แล้วกันอีก”

อัมพรละจากที่ เดินหลีกคุณหญิงไปที่หน้าต่าง ด้วยกิริยาอันอ่อนน้อม มีการลู่ไหล่และก้มตัว ซึ่งเป็นกิริยาอันหาความจำเป็นมิได้ สำหรับที่จะใช้ระหว่างมารดากับบุตรีที่ได้เติบโตขึ้นในประเทศยุโรป เมื่อได้จ้องดูหนุ่มสาวทั้งคู่อยู่ครู่หนึ่งแล้ว แววตาอันเคยเซื่องซึมอยู่เป็นนิจ ก็เกิดประกายแห่งความแค้นเคือง หล่อนเม้มริมฝีปากแน่นหันหน้ามาทางคุณหญิงคล้ายจะกล่าวถ้อยคำรุนแรง แต่ครั้นเมื่อตาต่อตาสบกัน สีหน้าของหญิงสาวก็เผือดลง พร้อมกับลดสายตาลงในระดับต่ำทันที

คุณหญิงยังคงมองดูหล่อนอย่างสมเพช และชิงชังระคนกัน นิ่งเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วท่านก็​หันหลังให้ เดินช้าๆ ไปที่ประตู ในขณะที่อัมพรมองตามท่านไปด้วยสีหน้าอันเคร่งเครียด เมื่อร่างของท่านลับตาไปแล้ว หล่อนก็ยกมือขึ้นกดหน้าผากไว้ เม้มริมฝีปากแน่นเข้ารำพึงว่า

“ข้าของความกตัญญู หนักยิ่งเสียกว่าข้าน้ำเงิน!”

๕ นาทีภายหลัง คุณหญิงรัตนวาทีนำร่างอันสูงโปร่งและสง่างามออกมาที่หน้าตึก นั่งลงบนเก้าอี้หวายคลุมด้วยปลอกสีขาว และมองดูอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างใจลอย ต่อมามิช้านุชกับสุนทรก็เดินมาถึง ที่นั้น ชายหนุ่มทำความเคารพคุณหญิงแล้วกล่าวว่า

“เมื่อผมมาถึงไม่เห็นใครจึงเที่ยวหา เลยได้พบนุชที่หลังตึก”

​คุณหญิงวางสีหน้าเป็นปกติ “เชิญนั่งซี” ท่านกล่าวเรื่อยๆ

“ขอบพระคุณครับ ผมมีธุระเสียแล้ว ถ้าพรุ่งนี้ว่างผมจะมาใหม่”

คุณหญิงยิ้มและก้มศีรษะลงเล็กน้อย

“ผมกราบลา” สุนทรพูดและทำความเคารพอีกครั้งหนึ่ง นุชเดินลงบันไดไปส่งสุนทรถึงข้างล่าง แล้วส่งมือให้เขาจับตามเคย พร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนหวาน เมื่อชายหนุ่มไปแล้ว หล่อนก็วิ่งขึ้นบันได ๘ ขั้นอย่างเครื่องจักร ตรงไปที่คุณหญิงกอดคอท่านทางเบื้องหลัง ซบศีรษะปกคลุมด้วยผมเส้นดำสนิทลงกับผมสีแดงประปราย และพึมพำด้วยน้ำเสียงแสดงความสุข

“Darling Mother!” คุณหญิงขมวดคิ้วอย่างน่ารำคาญ แต่ก็ไม่ใจแข็ง​พอที่จะดุ ด้วยดวงหน้าที่ซบอยู่กับหน้าท่านเป็นหน้าที่แฉล้มน่ารักน่าเอ็นดูรวมอยู่พร้อมกัน เป็นหน้าที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ เพราะความอ่อนโยนและบริสุทธิ์ ดวงตาทั้ง ๒ ที่ปรากฏอยู่ในวงหน้านั้นเล่าก็ใสแจ๋วแสดงความ ไม่เดียงสา เด็กหญิงผู้นั้นกำลังแสดงความรักต่อท่านอยู่ด้วยความซื่อและไว้วางใจ ถึงกระนั้น...แกะมือที่กอดไหล่ท่านอยู่ด้วยกิริยาที่ฝืนให้ละม่อม คุณหญิงพูดว่า

“ขอเสียทีเถอะ อย่าปล้ำหน่อยเลยร้อนนัก เก้าอี้นั่นแน่ะ”

นุชทำตามสั่งโดยทันที นั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ ตรงข้ามกับคุณหญิง ชะโงกตัวมาข้างหน้าแล้วพูดว่า

“วันนี้เราจะทำอะไรกัน? กินน้ำชา...and then?” แบมือทั้ง ๒ ข้าง “No friends, no uncle ​พงศ์ Lets go for a drive.”

“นุช” คุณหญิงขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงชาเย็น “แม่ห้ามกี่หนแล้วว่า ไม่ให้พูดฝรั่งแกมไทยหรือไทยแกมฝรั่ง ใครเขาไม่รู้จะว่าฉันเอาลูกครึ่งชาติมาเลี้ยงเห็นเป็นเก๋ไปได้”

หล่อนทำหน้านิ่วและพูดอ่อยๆ

“นุชลืมเสมอ เมื่อวันก่อนเมื่อวานนี้น้าพงศ์ก็หัวเราะเยาะนุช ดีหละให้คอยอีกสักเดือนหนึ่งเถอะ นุชจะพูดให้ดีกว่าน้าพงศ์อีก...เอ๊ะ นี่อัมพรไปไหน...เอ้อ คุณแม่คะ ทีหลังน้ำชาเราไปขับรถนะคะ”

ในระหว่างที่พูด นุชได้จัดการแบ่งขนมและปรุงน้ำชาให้คุณหญิงและตัวหล่อนเอง เมื่อปรุงเสร็จแล้ว หล่อนก็เหลียวหาคนใช้ เมื่อไม่เห็นมีใครหล่อนจึงลุกขึ้น

​“อย่าไปเลยนุช” คุณหญิงห้ามโดยเร็ว คล้ายกับท่านไม่อยากให้นุชไปพบกับอัมพรสองต่อสองในเวลานั้น “แสงอยู่ในห้องนี้เอง แสงไปเรียนคุณอัมพร มารับประทานน้ำชา”

นุชกลับนั่งลงดังเดิม และหยิบแซนด์วิชขึ้นใส่ปาก เงียบอยู่ครู่หนึ่งหล่อนจึงเอ่ยขึ้นว่า

“อีก ๒-๓ วัน สุนทรจะพาแม่เขามาหาคุณแม่”

คุณหญิงลดถ้วยน้ำชาที่กำลังดื่มลงจากระดับปาก ขยับจะพูดก็พอดีนุชถามว่า

“คุณแม่รู้จักแม่ของสุนทรไหมคะ”

“รู้จัก” เป็นคำตอบห้วนๆ นุชนิ่งตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามต่อไป

“คุณแม่คิดว่า แม่ของสุนทรจะชอบนุชไหมคะ?”

​ยิ้มอย่างประหลาด ปรากฏไปทั่ววงหน้าคุณหญิง ในขณะที่ท่านตอบว่า

“ไม่ชอบ”

แววตาของนุชแสดงความพิศวงเต็มที่ ออกจะผิดธรรมดามิใช่น้อย ที่ผู้เป็นมารดาจะลงความเห็นอย่างเด็ดเดี่ยวว่า บุคคลใดบุคคลหนึ่งชังบุตรของตน ด้วยความพอใจดังที่ปรากฏอยู่ในแววตาของคุณหญิงในขณะนั้น นุชนิ่งอึดอยู่เป็นครู่แล้ว จึงถามพร้อมกับหัวเราะเฝื่อนๆ

“ทำไม นุชไม่เสียหายที่ไหนนี่นะ คิดดู นุชเป็นลูกของคุณแม่ ถ้าเสียคุณแม่ก็ต้องแก้หายแล้ว”

แววตาอันชื่อ น้ำเสียงแสดงความเชื่อมั่นในตัวท่าน ทำให้สีหน้าของคุณหญิงอ่อนลงในขณะที่ตอบว่า

​“ทำไมจะไม่เสีย กิริยาของนุชเป็นอย่างใช้ไม่ได้ทีเดียวสำหรับคนไทย”

“Oh is that my fault? I was brought up in Europe. I can’t help it.”

คุณหญิงยิ้มจืดๆ พอดีกับอัมพรลงบันไดมา คุณหญิงมองเห็นเป็นโอกาสที่จะได้เปลี่ยนเรื่องสนทนา ท่านจึงรีบพูดขึ้นว่า

“มาเร็วๆ เข้า น้ำชาจะเย็นเสียหมดแล้ว”

.



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.079 seconds with 17 queries.