User Info
Welcome,
Guest
. Please
login
or
register
.
01 November 2025, 06:03:24
1 Hour
1 Day
1 Week
1 Month
Forever
Login with username, password and session length
Search:
Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ
http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303
Posts in
13,871
Topics by
70
Members
Latest Member:
KAN
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
|
เรื่องราวน่าอ่าน
|
นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง
(Moderators:
LAMBERG
,
moowarn
) |
อมตะนิยายเรื่อง แสนแสบ บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
« previous
next »
Pages:
[
1
]
Author
Topic: อมตะนิยายเรื่อง แสนแสบ บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม (Read 384 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 11,133
อมตะนิยายเรื่อง แสนแสบ บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม
«
on:
23 October 2025, 16:38:04 »
อมตะนิยายเรื่อง แสนแสบ บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม
https://vajirayana.org/%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%9A
https://vajirayana.org/
แสนแสบ
แสนแสบ
.
https://vajirayana.org/%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%9A/%E0%B9%91-%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87
https://vajirayana.org/
แสนแสบ/๑-บ้านข้างเรือนเคียง
๑. บ้านข้างเรือนเคียง
เมื่อตะวันบ่ายข้ามทุ่ง แลท้องน้ำแสนแสบผ่านยอดเจดีย์หักวัดบางกะปิ ตกท้ายบางกอกโน้นแล้ว เพลาคาบบ่ายคาบเย็นก็มาถึง แม้เนื้อนาและกล้าเขียวของบางกะปิต้นน้ำ ยังอบอุ่นได้แสงตะวันอยู่ แต่นาลุ่มนาเขินท้ายน้ำของตำบลแสนแสบกำลังจะเป็นเงียบเชียบด้วยตะวันทิ้งดวงไปแล้วไกล
หัวน้ำขึ้นของเดือน ๑๑ กุ้งปลากำลังหลากมากับน้ำใหม่ ข้าวก็ตั้งท้อง บางแห่งแก่ใกล้เกี่ยว พวกบ้านนาที่ว่างงานก็หาลำไพ่อื่น แต่ที่ผู้ขยันเป็นอย่างยอดคือ เจ้าแผลง ลูกเจ้าท้ายน้ำแสนแสบ เจ้าหนุ่มที่คิดจะหาทรัพย์ในดินสินในน้ำด้วยบากบั่นมานะ เพราะมันถือว่าจนไม่เหมือนยังเพื่อนหนุ่มอื่น
เมื่อตะเพิดควายขึ้นจากปลักต้อนเข้าคอกแล้วก็คว้าข้องและสวิงตรงมาหน้าศาลจ้าวขวัญ ซึ่งปลูกอยู่ชายน้ำหว่างแสนแสบต่อบางกะปิด้วยกุ้งปลาชุมกว่าแห่งอื่น โดยพวกบ้านทุ่งบ้านนาทั้งหลาย หามีใครกล้ามาลงสวิงหรือทอดแหไม่ ต่างพากันคร้ามเกรงความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าทุ่งตนนี้ ทั้งหน้าศาลก็เป็นวังท้ายน้ำคุ้ง บนฝั่งเป็นนาดอนสุมทุมไปด้วยมิ่งไม้และเถาวัลย์ และไกลหลังศาลมืดทึบ
สวิงอีกคันหนึ่งยังโหว่รูเบ้อเร้อ เป็นสวิงของนังโปรยที่วานถัก นัดจะมาเอาเย็นๆ แล้วจะเลยลงปลาด้วยกัน เจ้าแผลงนั่งเหยียดขาปากร้องเพลงเอื่อย ใจก็ตั้งอยู่ว่าจะถักให้สวยเพื่อถูกใจเจ้าโปรย แต่ก็ถักผิดคร่อมตาสวิงบ่อยๆ เพราะตามันชำเลืองไปจับอยู่ที่หัวคุ้ง คอยฟังเสียงจ๋อมของใบพายจุ่มน้ำ คอยเหลือบดูหัวเรือเพรียวที่จะโผล่หัวคุ้ง เมื่อถักผิดก็ต้องแก้ใหม่ แล้วก็ผิดอีกและแก้อีกเลยยุ่งกันใหญ่ ตะวันก็รอนลง สวิงก็ไม่แล้ว ซ้ำเจ้าโปรยยังไม่มา สวิงจึงถูกเหวี่ยงไปทางหนึ่ง แล้วก็เอนเอกเขนกนึกเพลงอะไรนิดๆ หน่อย ก็ร้องแก้รำคาญจนกว่านังหน้ามนจะมาตามนัด
ร้องเองรับเองทั้งลิเกและเพลงเกี่ยวข้าวที่จำได้หมดพุง ยังแถมเพลงฉ่อยที่ถนัดก็หมด ถึงต้องใช้ด้นมันเพลิดเพลินที่จะหาคำเกี้ยวเพราะๆ ผูกกลอนไว้แทงใจเจ้าโปรยเล่น จึงหารู้ไม่ว่าที่ริมน้ำท้ายพงกกได้มีผู้หญิงมาซุ่มฟังเพลงฉ่อยอย่างขบขันด้วยกลอนด้นมันตาย แลก็เงียบเหลือแต่เสียงผิวปากรับกลอนสด
นังผู้หญิงในเรือหัวเราะคิกๆ ขำใจ เมื่อปักพายผู้กเรือมั่นคงดีจึงตะโกนเย้าโยนขึ้นไปให้เจ้าคอเพลงบนตลิ่งว่า
“ด้นสวิงเฮอะ อย่าด้นเพลงเลยปลามันจะไม่เหลือกิน” รีบผลุบลงบังกราบเรือพงกก
เจ้าแผลงถลันยืนมองไปหัวคุ้ง และชายคลอง หามีใครนอกจากน้ำกระเพื่อมฝั่ง รอบๆ ตัว แลหลังศาลเป็นนาเขิน มีแต่พงแขม และอ้อถูกลมพัดเกรียวกราวท้ายโน่นก็ดงโสน ใครเล่าลองดี แต่มันเสียงผู้หญิงหรือนังพวกคอเพลงบางกะปิเตลิดมาหาปลาถิ่นปลายน้ำนี่ จะว่าผู้ชายอ้ายหนุ่มนาโน้นก็ผิดไป นี่มันบ้านท้ายคุ้งปลายน้ำ ทุ่งนี้มันลือมาแต่เจ้าขวัญเจ้าพ่อยังทรงชีวิตอยู่เป็นเสือขวัญมาแล้วใครจะห้าวเข้ามาเหยียบมั่ง
เบิ่งข้ามพงกกไปฟากคลองโน้น แล้วป้องไปรอบๆ เพื่อหาตัวคนขัดคอ แต่เมื่อตรวจถ้วนถี่ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครอื่นอีก แม้ควายจะดุ่มอยู่ในนาสักตัวก็ไม่มี จึงคิดว่าหูตาฝาดไปเองก็นั่งลง ซึ่งทำให้นังร่างงามที่อยู่ในเรือขำในท่าทางเก่งก๋าของมัน
จึงกู่ขึ้นคล้ายเสียงนกกุ๊กบ้าง สุนัขหอนมาแต่ไกลบ้าง บางครั้งฟาดขาลงน้ำเหมือนปลาใหญ่ผุดแล้วก็หลบลงกลางลำเรือ ก้มหน้าหัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว
เจ้าแผลงเอะใจ นกหนูร้องกันแซ่หมาก็หอนวิเวก ซ้ำปลาใหญ่ผุดโผงอยู่เมื่อครู่ กำลังหัวเราะคิกหลบหน้าชอบใจ ประเดี๋ยวเถอะจะแก้ลำเจ้าให้รู้สำนึก เจ้าหนุ่มบ้านใกล้จึงวางสวิงย่องกริบเข้าชิดเกาะท้ายเรือเพรียวลำเล็ก กระโชกขึ้นจนสุดเสียง ทั้งโห่ร้องป้องปีกมือก็เขย่าโคลงเรือแทบจะล่ม
นังสาวผมประไหล่ร้องกรี๊ดขวัญหนีดีฝ่อ ตะโกนร้องไปตามความตกใจ “ต๊าย พี่แผลงเร็วช่วยฉัน” แล้วลุกเผ่นตะกายจะขึ้นตลิงตัวสั่นไม่เป็นท่า
แผลงหัวเราะก้ากที่สมอุบาย พอนางปลาใหญ่น้ำหลากโผนก็รวบตัวไว้แนบอก
“ขวัญเอ๋ยพี่เอง โปรย โปรยเอ้ยเจ้าอยู่ในอกพี่เองใช่ใครอื่นหรอก”
ความสงัดของท้องน้ำหน้าศาล แลทุ่งวิเวกบนฝั่งใกล้พลบ เมื่อถูกกระโชกโฮกฮากไม่รู้ตัว เจ้าโปรยก็แทบสิ้นสติ แม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นใครก็ยังตัวสั่น หลับตากอดเจ้าแผลงแน่น ปากพร่ำเรียกชื่อเจ้าหนุ่มที่ถูกกู่หลอนอยู่เมื่อกี้ พอได้ยินคำรับขวัญและเรียกชื่อทั้งกอดรัดแน่นขึ้นจึงรู้ว่าเสียกลเจ้าเพื่อนชายบ้านเคียง
เสียรู้และตกใจทำให้โมโหเกิดแล้วแสนงอนก็ตามติดๆ ข่วนอกเจ้าแผลงทั้งหยิกและปากช่วยเป็นแว่นๆ เพื่อสลัดให้พ้นจากอ้ายคนอวดดี
“ปล่อยนะ เล่นอะไรพรรค์นี้เฮิบจนตกใจขวัญบินไปหมดแล้วยังจะ...” คำก็ห้วนลงด้วยกระดากนึกอายที่เสียรู้มันกอด
“ยังจะอะไรล่ะโปรย บอกให้รู้ไปเรอะเออแน่ เจ้าจะกอดพี่เองหรอกนะ” แผลงเป็นคนสนุกเมื่อพูดแล้วก็จับแขนเจ้าโปรยให้กอดคอมันเอง “เมื่อภัยก็เรียกหาอ้ายแผลง ครั้นพ้นแล้วจะไล่ส่ง รางวี่รางวัลก็ไม่มี มันจะใช้ได้ที่ไหนล่ะเจ้าโปรย”
ฟังคำเจ้าหนุ่มท้ายน้ำพูดเอาแต่ได้ถอนฉิว ทุบแทบว่าหน้าอกจะพังมันก็ยังทำหน้าที่รื่นหัวร่อ เจ้าโปรยดิ้นสุดแรงแล้วโถมตัวชนมันเซเลยรั้งเจ้าล้มจมพงกกไปด้วยกัน
“ปล่อยน่ะพี่แผลงผ่าซีเอ้อ ข่มเหงหัวใจอะไรกันยังงี้ล่ะ” สะบัดจะลุกขึ้นแต่กลับถูกรั้งให้นั่งลงไปอีก ต้นกกหักราบเป็นทาง
“ข่มเหง” แผลงล้อคำทำตาปรือๆ ยังเอกเขนกลุกไม่ขึ้น “พี่รึจะข่มเหงเจ้าลงคอ นั่งราบลงเถอะโปรยฉันใช่คนดุร้ายสามหาวอย่างไรหรอก เราบ้านข้างเรือนเคียงยังต้องเห็นหน้ากันไปอีก นานๆ ก็พอจะคบจะพูดกันได้อยู่ไม่ใช่หรือไร”
เจ้าโปรยหน้าก่ำกลัดเลือดตอบเปื่อยๆ ว่า “ก็พี่ปล่อยมือข้าซียึดไว้ยังงี้ข้ากลัว”
“กลัว” เจ้าแผลงชะโงกศีรษะขึ้น “เออแน่ะช่างว่าแท้แม่ะล่ะ เจ้ากลัวผีหรือกลัวพี่ล่ะโปรย จะเย็นจะค่ำอยู่แล้วทำห่างข้าไป ผีมันจะหลอกเจ้าล่ะนาไม่ว่า”
ถึงเป็นลูกบ้านนา เจ้าโปรยก็มีนิสัยกลัวผี ยิ่งรู้ว่านี่เป็นหน้าศาลเจ้าขวัญเจ้าทุ่งปิศาจกล้า ก็อดจะหวาดไม่ได้ แผลงก็ไม่ยอมปล่อยข้อมือซ้ำคอยดักมองพบหน้าให้นึกบัดสีใจพิกล
ชั่วครู่ที่นังโปรยเลื่อนไปอื่น ข้อแขนที่อยู่ในกำมือสั่นเทิ้มกำดัดสาวของเจ้าโปรย ทั้งที่เขินที่เบือนเหลือที่เจ้าแผลงจะอดใจรัก จึงขยับตัวขึ้นแล้วรั้งรวบเจ้าโปรยไว้ ลอบพบปะกันนักต่อนักแล้วไม่ชื่นเหมือนมื้อนี้เลย
“หายตกใจแล้วรึโปรย แม่คุณขวัญอ่อนแท้” แข็งใจถือวิสาสะจูบเพียงเบาๆ แต่นังโปรยเป็นสาวบริสุทธิ์ไม่เคยต้องมือชายก็ปัดป้องหลบหลีกดิ้นเร่าๆ เมื่อเห็นไม่พ้นเขาแน่ก็ซุกหน้าแอบ
ถอนใจครั้งนี้ก็ถูกรัดแน่นอีกครั้งหนึ่ง จนต้องวอนขอตัว
“คลายพอฉันหายใจออกมังเถอะพี่แผลง ยังงี้เมื่อยแทบขาเป็นเหน็บปวดหมดทั้งตัว”
เสียงเจ้าโปรยน่าสมเพช พูดสั่นๆ แหลมลึกแทงใจ อยากจะกอดโปรยจูบโปรย แล้วก็สบถสาบานให้มันฟังว่าเมืองมนุษย์ที่แสนแสบนี่มันสุขเหลือ ตายไปแล้วสวรรค์สิบชาติก็หาปรารถนาเท่ากอดเจ้าโปรยมื้อเดียว
“นั่งตามสบายซิโปรย นั่งให้เต็มตักพี่ก็แล้วกันได้หายเหน็บ อย่าเกรงใจเลย ฉันน่ะจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ายังไรก็ยอมที่จะให้โปรยรับสบายทุกอย่าง”
“ฉันขอนั่งดินเถอะจ้ะพี่แผลง” โปรยวอนถอยตัว แต่เจ้าผู้ชายก็หายอมไม่คงกอดแน่นหนาจูบถนอมเจ้าจนสั่นเทิ้มไปทั่ว ปากก็พร่ำว่าด้วยคำหวานต่างๆ
ตะวันรอนลมก็โกรกแรง พงกกที่ยังตั้งลำก็โอนเอนโน้มยอดชายน้ำข้างหน้าเล่าเรือเพรียวของเจ้าโปรยกำลังโต้ระลอกลม แต่ในหัวอกเจ้าของมันระลอกรักกำลังวิ่งพล่านกายหวั่นไหวมิผิดเรือเพรียวโต้ระลอก
“โปรยเงยหน้าทีรึ ฉันจะพูดอะไรด้วยสักหน่อย” จับคางเชยขึ้นหน้าตาโปรยยังร้อนผ่าวด้วยความอายแทบจะแทรกดิน
“กวนเสียเรื่อยจะพูดอะไรก็พูดไปซิ”
แผลงหัวเราะฮาใหญ่ นังลูกสาวกำนันแสนแสบมันยิ่งงอนยิ่งงามหลับตาปี๋กัดริมฝีปากจะยิ้มแต่ลักยิ้มมันผุดบุ๋มอยู่บนแก้ม จะเข้าสองหน้าเกี่ยวแล้วที่รักกันก็เพียงเฉียดฉวยข้อมือยังปลื้มนอนไม่หลับ นี่มิอิ่มใจลืมข้าวน้ำไปชั่วปีล่ะหรือนี่
“ความมันก็ไม่มีอะไรนักหรอกโปรยเอ๋ย, มันก็พี่รักเจ้าแลอยากให้โปรยรักฉัน เหมือนฉันรักโปรยนั่นแหละ”
“อ๊อ-” นังผู้หญิงลากเสียงคราง “นึกว่าขออื่นขอไกล พี่หามาเปรียบเอากะคนยังฉัน แล้วก็ฉันขอขึ้นมามั่งนั่นจะขัดใจไหมล่ะ”
“ขอไรล่ะ ฉันก็รักโปรยอยู่เป็นหนักหนาแล้วขออะไรอีกรึว่าจะขอไม่ให้รักอีช้อยก็พูดมาให้มันเกรงใจเถอะ ฉันจะสาบานเสียต่อหน้าตะวันมันจะตกแล้วจะเอาเจ้าขวัญนี่แหละเป็นองค์พยาน”
ถูกใจดำเจ้าโปรยยิ้มแฉ่ง แต่ซ่อนหน้าไปเสียอื่น มือแหนบสีข้างเจ้าหมอ ที่ทำนายเก่งเข้าให้ ตอบเป็นคำเปรย เหมือนความนั้นมันไม่สำคัญ “ก็สาบานไปซะซี่ ฉันจะว่าไรคน เมื่อปากมันไม่เกรงใจแล้วควายมันก็จะดีกว่าคน”
“เอานั้น” เสียงแซมและหัวเราะสิ้นแต้ม “เรื่องการคารมล่ะฉันกลัวเจียวแม่เอ๊ยพับผ่าเถิดแล้วที่ฉันพูดน่ะมันถูกมั่งไหมล่ะ เมื่อถูกก็บอกกันตรงๆ แต่ไอ้ที่จะให้ฉันพูดพล่อยสาบานไปคนเดียว ไม่รู้ความนั้นมันจะทำให้ฉันเป็นบ้าอยู่นะแม่โปรย เอ้องั้นน่ะซี ไม่ต้องกระซิบพูดดังก็ไม่มีใครมาซุ่มฟังอยู่หรอก เอ้อเฮอ” แล้วแผลงก็เต้นหัวเราะให้ดังขึ้นอีก “ห้ามจนถึงว่านอนร่วมชายคาเทียวเหรอะ เอาละวะทุกวันนี้ฉันก็นอนเฝ้าควายที่ห้างอยู่ทุกๆ คืนน่ะปะไร อือโปรยฮึ่มมันช่างสมเป็นลูกกำนันจริงๆ ออกข้อบังคับแต่ละข้อ นายอำเภอยังสู้ไม่ได้ เออ-เออ เมื่อมองอีช้อยนานไม่ได้ ฉันก็จะเบิ่งไปดูควายกลางนาก็เห็นจะไม่ผิด”
“อ้ายปากพูดนี่น่ะนี่....นี่” เจ้าโปรยคว้าริมฝีปากบิดเสียเป็นเกลียว “ปากนี่มันไม่น่าจะมาอยู่เป็นคนท้องนาช่างพูด มันต้องอยู่บางกอกถึงจะเหมาะสมัยสาบานก็สาบานซีจะฟัง ถ้าใครไม่เกรงคำก็อย่าให้มันแคล้วเลย เจ้าขวัญแม่เรียมที่ตายอยู่กลางน้ำขอให้ยินคำเขาไว้มั่ง”
“เออซีน่าเจ้าโปรย ยิ้มให้แก้มบุ๋มๆ เสียก่อนปะไร เมื่อจูบแล้วก็จะได้สาบานเสียให้สมกะที่จูบ”
ถึงไม่คิดจะยิ้มก็อดยิ้มไปไม่ได้ เพราะเจ้าหนุ่มลูกบ้านนามันพูดชวนขันอยู่ร่ำไป แกล้งหลบยิ้มไปทางหนึ่ง มันจับได้ก็ถูกปล้ำจูบเสียอ่อนใจ ยังแถมบังคับให้ตอบว่ารักมันหนา แล้วอ้อนออดมาแต่คำเหมือนจะเด็ดหัวใจไปไว้ในอกมัน แต่ก็เพลินฟังเสียจนลืมว่าจะค่ำมืดอยู่เดี๋ยวนี้แล้วน้ำก็ท่วมฝั่งขึ้นมาจนเกือบต้องนั่งแช่
เตือนขึ้นว่า “เอาซี เมื่อเพียงพอแล้วก็อย่าให้มันคลาดสัญญาเนิ่นนานไปเสียแล้ว”
“พอ-ฮะ! จูบโปรยน่ะรึจะพออิ่ม ให้ตกนรกไปเถอะ มันจะตายโหงหรือตายดีก็แล้วแต่ เมื่อตายก็ขอให้โลกันตร์มาสูบไปทีเดียว ทว่าใจมันรักโปรยน้อยไปกว่าปาก ถึงเมื่อไม่ตายก็ขอให้ฉิบหายมีอันเป็นไปยังว่าเถอะ เถอะตัวอย่างก็มีอยู่แล้ว เจ้าแม่และเจ้าพ่อขวัญนั่นปะไรก็เหมือนฉันมันเสียคำก็ให้มันตายฉิบหายไปยังว่าซิเล่า” คำที่กล่าวเน้นแน่นแต่ละคำก็มีน้ำหนักเป็นความเต็มใจของลูกผู้ชายที่จะสาบานให้สมกับที่มันรักนังผู้หญิงนิ่งฟังนึกหวาดๆ ไป คำว่าสาบานนันมันจะเป็นลางให้ร้าย
เห็นเจ้าโปรยงันตั้งอกตั้งใจ แผลงก็แหวกแขนหักพงกกราบเป็นช่อง ตรงข้างหน้าที่แลเห็นคือศาลเจ้าขวัญ ซึ่งมีรูปเจว็ดเบื้องซ้ายเป็นรูปตุ๊กตาผู้หญิงห่มแพรแดงคือเจ้าแม่เรียม
“ฟังซิโปรย บางทีเจ้าจะยังไม่จำความได้กระมังเมื่อเจ้าขวัญแกตายฉันก็ยังยอมอยู่ ฟังไว้เสียเถอะจะได้จำเรื่องของแกรำลึกถึงเราเวลานี้ และเวลาชิงพลบนี่แหละเจ้าขวัญกับเจ้าเรียมแกกำลังสิ้นใจอยู่กลางน้ำ แกเรียกหากันได้ ๓-๔ คำแล้วก็ขาดใจไปด้วยกันทั้งคู่ปลายน้ำนี่เอง” แผลงชี้มือไปอีกฟากหนึ่งตอนหัวคุ้งแล้วก็เล่านิยายของเจ้าสองคนให้โปรยฟังย่อๆ แต่เมื่อถึงตอนที่เจ้าคนผู้หญิงจะตายเพราะเสียสัตย์ต่อความรักนั้น เจ้าหนุ่มย้ำแล้วย้ำอีกเพื่อให้นังคนรักฟังแปลบเข้าหัวใจ
ฟังนิยายของเจ้าถิ่น แล้วมองดูเจว็ดบนศาลนึกเสียวใจ หวาดกลัวเจ้าโปรยจึงห้ามขึ้นว่า
“แต่พอการเถอะพี่แผลง ฉันออกกลัวขึ้นมาทีเดียว กลับเสียทีล่ะจะดี ค่ำมืดแล้วฉันโกหกพ่อแกว่าจะมาลงปลา สวิงที่วานถักนั่นแล้วกันมั่งหรือยัง”
“เออ-ลืมสนิท ยังไม่แล้วเลยถักๆ แก้ๆ อยู่นั่นแหละ เพราะใจมันไปรออยู่ที่หัวคุ้งโน้นน่ะซี ผ่าเถอะนะโปรย อ้ายหัวใจฉันนี่มันจะยังไงๆ เสียแล้วนึกอยากให้คนมันตายกันหมดทั้งแสนแสบ เหลือแต่ฉันกับโปรยสองคน ไร่นามันก็จะเป็นของเราข้าวน้ำมันก็เป็นสมบัติเราลงกุ้งลงปลาให้มันสบายกันแต่สองคน มันคงเอ้อระเหยสนุกอยู่ในน้ำวันยังค่ำ แสนสบายเชียวนะ-โปรย”
“ฉันถามสวิงคำเดียว พี่แผลงตอบเป็นกองแล้วก็เอาเรื่องข้าวเรื่องน้ำอะไรเปื่อยมาให้ฉันฟังไม่รู้” ขัดคอแลชี้นิ้วยันหน้าผู้ชายหงึก “มันยังงี้นี่เล่า อ้อ อ้ายคนหน้านี้มันสำคัญเมื่อลับหลังคนมันชวนใจคนให้เสียยังงี้เอง พอใกล้คนละเหมือนควายหน้าไถ ไม่พูดไม่จาโด่งจะเอาแต่งาน พอเดือน ๑๑ ขึ้นดอนเข้าคอกแล้วควายมันก็เป็นคน มันก็เป็นค้น” เมื่อเน้นเจ้าโปรยก็เน้นฟันลงที่แขนของอ้ายควายเจ้าชู้
“โอ๊ยน่าแม่โปรย” สูดปากเพราะเจ้าโปรยเน้นอย่างมันเขี้ยว “คงจะระแวงไปอีช้อยอีกละซีบอกว่าอีช้อยมันลูกของลุง ฉันก็เลี้ยงมันมาแต่เล็กและมันจะมาไยดีอะไรกับฉันนะ อ้ายเทียมมันมีไร่นาสาโทแลสวยกว่าฉันเป็นกองสองกอง”
“ก็ใจนังช้อยเขาจะชอบพี่ขึ้นมาล่ะ จะไปว่าไรฮะ ก็โจนงับไปเท่านั้นเอง ผู้ชายนะเร้อมันก็เหมือนสวิงลงปลานั่นแหละยิ่งตักได้ทีละหลายๆ ตัวมันก็ยิ่งซอบ ปากสวิงมันก็อ้ายใจผู้ชายนั้นแหละรับปลาไม่รู้จักอิ่ม อย่าทำเอียงเข้ามาออเซาะเลย พอลับตาฉันตักนี้มันก็เป็นห้างนอนของอีช้อยดูควายที่มันจะแปลงเป็นคน แล้วอ้ายปากนี่มันก็สาบานให้ฟังยังงี้อีกใช่แมะล่ะ”
แผลงร้องเอ๊อ “พิพากษาไปตามตัวใจซีแม่ะอ้าย ฉันมันเป็นชายเชลยแล้ว ก็ต้องฟังอยู่วันยังค่ำน่ะแหละ”
“ฟังแล้วก็จำซี”
“อย่าให้มันมากข้อนักซิล่ะ กระดาษดินสอฉันก็ไม่ติดจะมาจดข้อบังคับของแม่โปรย ที่จำได้แม่นใจก๊อว่าห้ามนอนร่วมชายคาเรือนกะอีช้อยและก็ห้ามมองมันนานๆ ก็ถ้าเผื่ออีช้อยมันด่าฉันอยู่ทางนี้มิต้องเมินไปอีกทาง แล้วก็ด่าตอบมันออกไปกลางนางั้นรึ”
“มันไม่ด่า ฉันก็ไม่ด่าเพราะรักพี่แผลง ถ้ามันด่าฉันก็ต้องไม่หนักใจซี นี่มันไม่ด่าเพราะมันรัก”
แผลงครางอ่อยๆ “โอ้ย-นี่ฉันไม่ต้องให้ผู้หญิงแสนแสบด่าเสียทุกๆ คนก่อนรึนี่ หาแม่โปรยก็ยังจะว่าเขามารักอยู่กะฉัน”
โปรยเลยนึกขันคำเปรียบฝ่ายเดียวของเจ้า กลั้นหัวเราะแล้วก็ยังคิกๆ ออกมา แต่เมื่อเห็นเป็นทีก็ต้องเข้ากะตัวไปก่อน เพราะถือว่าควายถ้าสวมแอกมันก็ต้องก้มหน้าลากไถทำงาน พอแอกออกพ้นคอก็จะเบิ่งออกทุ่ง มันกลัวกันเมื่อรักแล้วถึงเมื่อชังก็ยังจะเกรงไม่เลวหลาย
“ยิ่งพามาด่าเสียต่อหน้าฉันจะยิ่งดี ฉันลูกผู้หญิงเสียเปรียบก็ต้องพูดกันไว้ก่อน เพราะเผื่อพี่ไปเหลิงขึ้นเมื่อหน้าแล้วฉันจะลำบากเจ็บใจ” สีหน้าโปรยที่เง้างอนเมื่อสักครู่หาย แล้วก็เก็บเอาความคิดต่างๆ ในเรื่องที่เจ้าแผลงจะเป็นอื่นขึ้นตรึกตรอง แลก็นึกไปเองว่าเจ้าต้องช้ำใจ ความร่าเริงเพลิดเพลินไปด้วยความรักก็จาง แลครู่นั้นเจ้าโปรยก็เป็นผู้หญิงที่โศกเศร้า หัวใจเปลี่ยนหม่นหมองทุกข์ร้อน
“ถ้าจริงยังว่าแล้วแสนแสบ นี่มันก็เป็นเมืองสวรรค์ในหัวอกฉันนั่นแหละ แต่ถ้าว่าไว้มันไม่จริงทั้งนรกและนาแสนแสบมันก็สุมหัวฉันคนเดียว พ่อแม่แกเลี้ยงฉันแกก็หวังได้พึ่ง แต่อ้ายคนที่แกจะหวังพึ่งก็กำลังจะเสียคนเพราะมันใจไม่ดี มันกรรมพ่อกรรมแม่นะพี่แผลงที่มีลูกอย่างฉัน เสมียนอำเภอเขามาขอฉันไม่ยอมพ่อแกก็ตามใจ แต่ถ้าแกรู้ว่าฉันเป็นยังงี้ไปแล้วแกคงร้องไห้ตาย ไม่ตียับแล้วไล่ส่ง”
แผลงนิ่งฟังตาปรอยคิดเห็นอกนังคนรัก แล้วก็หวนนึกถึงตัวเองขึ้นมามั่ง ที่อาศัยอยู่กับลุงและป้าไม่ผิดอยู่กะนายเงินที่จ้องจะเคี่ยวเข็ญเอาแต่งาน
“พรรค์นั้นน่ะอย่าเป็นทุกข์เลยแม่โปรย ว่าแต่เรามาช่วยปรึกษาก้นจะทำยังไงดี ผู้ใหญ่เขาถึงจะยกยอขอให้ ยอมเห็นงามกับเราล่ะแม่โปรยเอ๋ย ฉันเองมีนาก็เหมือนไม่มี เพราะพ่อแกตายก็มอบให้ลุงดูแล แต่ลุงแกก็ผัดแล้วผัดเล่า ไม่เห็นโอนให้สักทีจะไปอยู่ที่อื่นก็ไม่ได้ ใจตั้งไว้ว่าเดือน ๑๒ ใกล้เกี่ยวจะขึ้นหนองจอกรับจ้างเขาเกี่ยวข้าวหาเงินพอได้ซื้อผ้าผ่อนของเรานุ่งมั่ง ที่เหลือจะเก็บประสมประเสไว้สู้ความเพราะทำไงแกคงโกงฉันแน่ เมื่อนามันเป็นของเราแล้วน่ะโปรยเอ๋ย สามสิบไร่นี่สองคนผัวเมียเหลือกินทีเดียว ฉันโอนใส่ชื่อโปรยให้หมด ถึงท่านกำนันรู้คงไม่ขัด”
เพลินฟังแผลงพูดโปรยหัวใจค่อยชุ่มชื่น ยังอดนึกสงสารเจ้าชู้รักไม่ได้ กำพร้าทั้งพ่อและแม่ซ้ำยังจะถูกลุงโกง แล้วมันก็คงไม่มีสมบัติติดตัวนอกจากสวิงกับข้องหาปลา เมื่อเห็นเจ้าแผลงเหงาจึงคิดปลอบใจว่า “เรื่องถ้อยเรื่องความนั่นพ่อแกก็พอจะรู้ประสาอยู่มั่ง ฉันจะลองปรึกษาแกดูดีไหมพี่แผลง เพราะทุกวันนี้พ่อแกไม่รู้หรอกว่านาเป็นของพี่ ฉันก็เพิ่งรู้เมื่อบอกนี่เอง ดีทีเดียวเผื่อพ่อแกรู้ว่าพี่มีนา บางทีแกจะรักพี่ขึ้นอีกมั่ง แล้วเราก็คง...”
“ก็ดีเหมือนกัน แต่โปรยต้องสั่งแกให้ปิดเป็นความลับเทียวนาหาไม่เขารู้ตัวเราจะเสียท่าเพราะหนังสือของพ่อเขาเป็นคนเก็บไว้ทั้งสิ้น”
เจ้าโปรยรับรองแข็งแรง ที่จะทำเรื่องนี้ให้สนิทแล้วความในใจของนายแผลงที่เก็บไว้แต่หน้าเกี่ยวปีก่อน ในเรื่องสาวโปรยก็เป็นอันเบาอกไป ความรักกำลังจะเก็บเกี่ยวได้ผล แล้วเจ้ารักเจ้างามก็กอดกันกลมอยู่ชายตลิ่ง
พอหมดวันก็มาคืน แต่มิใช่คืนที่ค่ำมืดเหมือนข้างแรม พระจันทร์ขึ้นแจ่มแต่หัวค่ำในคลองน้ำก็ท่วมฟาก ไหลเลื่อยลงและน้ำจะถอยลดในกลางดึก ทางขวาของสายน้ำแลดูเคี้ยวไปตามจรดคลองไม่มีสวะหรือแหนสาหร่ายใดๆ เหมือนจันทร์ที่หมดเมฆทรงกลดบนฟ้า เจ้าหนุ่มซึ่งนั่งประคองสาวชมจันทร์เหนือทุ่งชมน้ำท่วมฝั่งจนจะลืมว่าทางบ้านคงเที่ยวติดตามค้นคว้าหาเจ้าโปรยที่หายมาแต่เย็น กระทั่งนังผู้หญิงเตือนขึ้นจึงคว้าสวิงอีกคันลงคลองด้วยความคุ้นเคยชำนาญมามาก ในชั่วครู่ที่เจ้าแผลงดำลงเพียงโผล่ ๔-๕ ครั้ง ปลาก็เต็มข้องที่จะมอบให้เจ้าโปรยไปเป็นประกันแก้ตัว
ต่อมา เรือเพรียวเล็กนังคนเดียวก็เบนพ้นตลิ่ง พายมากลางกระแสน้ำตัดเข้าคุ้ง แม้ว่าเจ้าของเรือเพรียวจะเป็นหญิงพายมากลางสายน้ำที่ปราศจากเรืออื่น เป็นสถานที่เปลี่ยวสองฝั่งวิเวกไปด้วยทิว ไม้ไผ่และมิ่งไม้ขึ้นสลับซับซ้อนเป็นหมู่ ผ่านไปอีกชั่วคุ้งก็เป็นทุ่งเข้าเนื้อนาก็ดีจะได้คิดหวาดไปในโจรฉกชิงหรือว่าชาติพาลเกกมะเหรกหนุ่มอื่นก็หาไม่ เพราะในน้ำข้างเรือมีอ้ายหนุ่มทรหดข้อลำแข็งขันแหวกว่ายมาด้วยฤทธิ์คะนอง ราวกับผีประจำท้องน้ำ จะเข้าสองคุ้งอยู่แล้ว เรือว่าเร็วก็ยังไม่ทิ้งให้มันอยู่ล้าไปได้ น้ำถึงจะเย็นเยียบเป็นวังวน เจ้าชาติผู้ชายลูกแสนแสบก็คงว่ายคู่มากับเรืออย่างร่าเริง ตะโขงตะเข้ที่ดูร้ายเมื่อมันไม่นึกกลัวเสียแล้วก็หลีกลงวังไปเอง กระทั่งส่งเรือลับเข้ากระโดงในเนื้อนากำนันแปลก
.
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 11,133
Re: อมตะนิยายเรื่อง แสนแสบ บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม
«
Reply #1 on:
23 October 2025, 16:39:06 »
https://vajirayana.org/%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%9A/%E0%B9%92-%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%87%E0%B8%94
https://vajirayana.org/
แสนแสบ/๒-ผู้หญิงเดือนสิบเอ็ด
๒. ผู้หญิงเดือนสิบเอ็ด
รุ่งขึ้นเป็นวันพระ ๑๕ ค่ำ
แม้นเดือน ๑๑ น้ำจะนอง ฤดูหนาวกำลังกรายเข้ามาในแสนแสบ น้ำในนาตอนเช้าเย็นเฉียบน้ำค้างจับใบข้าวขาวพราว แต่พอตกสายแดดขึ้นอ่อนๆ ท้องนาก็เป็นสบายไม่หนาวไม่ร้อน
กำนันแปลกเป็นผู้ที่มั่นในศีลทานมาก การไปวัดของแกไม่เคยขาดสักวันพระ บางวันก็ถึงค้างวัดเพราะอยู่รักษาอุโบสถ ไม่ก็เพลินโขกหมากรุกกับตาเชื่อมลุงเจ้าแผลง ผู้ที่ร่ำรวยอยู่คนหนึ่งในย่านแสนแสบนี่ ต่อรุ่งสว่างก็พากันกลับบ้านตั้งหน้าทำไร่ไถนาต่อไป จนกว่าจะถึงวันพระข้างหน้าอีก
ถึงเมื่อคืนจะไม่หลับสักงีบเดียว แต่วันนี้แผลงก็ต้องรีบตื่นเช้าโยนหญ้าและฟางเข้าไปในคอกให้ควายมันเอื้องและเก็บกวาดห้องซึ่งรกไปด้วยขี้บุหรี่และก้นยาใบจากกว่าจะเสร็จเรียบร้อย ได้กินข้าวกินปลาก็สาย แดดขึ้นสูงโผล่ขึ้นไปบนเรือนก็รู้จากป้าว่าลุงเชื่อมชวนอีช้อยไปวัดแต่เช้า เพื่อให้พระดูชะตาราศี เหลือบไปที่ครัวไฟซึ่งมีกระดานกั้นเป็นฝาอยู่สัก ๓-๔ แผ่น ก็เห็นตัวหนังสือโป้งๆ เขียนด้วยดินสอพองติดไว้ว่า “เมื่อคืนควายมันกลับคอกดึก”
หนังสือ ๓-๔ ตัวนั้นสะกิดใจเจ้าแผลงแปล๊บ ลายมือก็จำได้ว่าอีช้อย แลเมื่อวันวานก็ไม่เห็นมี เพิ่งจะมาเขียนเมื่อเช้านี่เอง ชะรอยมันจะรู้อะไรสักอย่างไม่ดักคอกราดหน้าเล่น ใจคอก็ไม่ดีนึกเลยไปถึงว่านังช้อยจะแอบได้ยินความที่ปรึกษาจะฟ้องชิงนาจากพ่อมัน ออกได้ก็ผลุนคว้าลูกระหัดขึ้นบ่ามุ่งไปหัวกระโดง ระบายน้ำเก่าออกหมดแล้วก็ก้มหน้าก้มตาถีบด้วยความมานะบากบั่น นานๆ ก็เงยข้ามตาจับไปชายนากำนันแปลก
เจ้าโปรยเข้าหน้าท่านกำนันไม่สนิท ตั้งแต่เมื่อคืน ถึงแม้จะมีปลามาแก้ขวยจนเต็มข้องก็ยังไม่วายถูกพ่อเอ็ดที่มัวเพลินลงปลาจนลืมค่ำลืมมืด แต่เมื่อเจ้าแก้ได้สนิทเรื่องก็เป็นอันระงับ คงเหลือข้อสงสัยไว้ให้ท่านกำนันคิดก็คือในลำกระโดงแกเกิดกุ้งปลาชุมขึ้นผิดเคย
วันนี้แม่ไปวัดด้วยที่บ้านจึงไม่เหลือใครนอกจากยายกับน้าๆ อีก ๒ คน แลคนที่เจ้าโปรยจะกลัวก็มีอยู่แต่พ่อนอกไปกว่านี้เจ้าโปรยก็หาเกรงใครไม่
เสียงระหัดชักน้ำเข้านาลั่นเอี๊ยดอยู่ต้นลำกระโดงตาเชื่อม ใจไม่อยู่กับตัว ที่นาตาเชื่อมพ่ออีช้อยรูปสวยคงไม่มีใครเขาจะขยันเกินพี่แผลงด้วยความในใจมีอยู่คิดมาค่อนคืนจนนอนไม่หลับ นังลูกสาวงามของกำนันก็คว้างอบสวมหัว ดิ่งมาคอกเปิดอีเผือกออก ขี่ไถลเรื่อยมาตามชายนาข้าวได้น้ำกำลังงามรวง แต่ละกอหนักแทบจะทรงลำไม่อยู่เห็นกอข้าว และน้ำใสในนาเปี้ยว ปูแลปลาเล็กกำลังวนว่าย เลยนึกไปถึงปลาใหญ่ของกำนันเมื่อคืนที่เต็มอยู่ในข้อง พงข้าวโอนลมไม่ผิดพงกกหน้าศาลเจ้าขวัญ
เสียงระหัดกลืนน้ำอยู่เรื่อย จึงเตือนอีเผือกบุกลงคันนามาได้ค่อนทาง ก็เห็นเจ้าตัวดีกำลังก้มหน้าก้มตาถีบอย่างเอางานเอาการหลังแลขาเนื้อขึ้นเป็นมัดๆ ทั้งนาและเรี่ยวแรงเป็นของมัน แต่ว่าอาณาประโยชน์เป็นของคนอื่น ตั้งใจจะกู่ล้ออีกเช่นเมื่อวันวานเผอิญเหลียวมาพบเข้าเสียก่อน
“เอ้อเฮ้อ กำลังนึกถึงอยู่เชียว โปรยเออใจมันตรงกันอย่างนี้ฉันก็ปลื้มตาย” แล้วระหัดก็หยุดเงียบ น้ำก็นิ่งนองเจิ่ง พอดีอีเผือกเข้ามาใกล้เจ้าแผลงก็ลงจากระหัดยืนสนตะพายไว้ เอียงหน้าเข้าเกือบชิดถามว่า
“เมื่อคืนนอนหลับมั่งไหมโปรย”
ฟังถามอายหน้าแดง เพราะไม่นึกว่าเจ้าแผลงจะอวดดีถามตรงๆ เจ้าโปรยรีบก้มหน้าเอางอบบัง
“กลางคืนมันสำหรับคนนอน ทำไมฉันจะไม่หลับถามพิลึกคน”
“แต่ฉันมันหลับไม่ลงนี่ยะโปรย ถึงจะเป็นมันก็อ้ายคนไม่มีหัวใจเป็นของฉันเอง”
เจ้าโปรยไขว้ขาแผล็วลงจากหลังอีเผือก มือแซมลานงอบที่แตกแก้ขวยปากก็ว่า
“คนมีพิรุธน่ะซีมันถึงไม่นอนกลางคืน นอนเฝ้าควายหรือคอยเบิ่งดู เผื่อว่าคนมันจะลงมาจากเรือนกลางดึกมั่ง”
แม้เจ้าโปรยจะพูดกราดหน้าดักคอส่งๆ ก็ไม่วายให้คิดความมันเกี่ยวไปถึงอีช้อยแต่ตัวหนังสือที่ครัวไฟเมื่อเช้านั่นมันเกี่ยวมาหาเจ้าโปรย แล้วอ้ายคนกลางมันก็เหมือนคนที่เข้าห้ามควายที่ประลองเขา
“พิพากษาเสียแต่เช้าเชียวนะโปรย อ้ายฉันรึนอนหนาวอยู่ที่ห้างก็เพราะนับถือข้อบังคับของแม่โปรยเมื่อใจมันไม่ง่วงก็หลับไม่ลง ถึงลมเดือนสิบเอ็ดมันจะพัดแรงหนาวเข้าหัวใจ แต่พอรำลึกถึงพงกกเมื่อวันวานก็อุ่นยิ่งกว่าผ้าผวย ๒ ผืน เบิ่งขึ้นไปบันเรือนน่ะมันป่วยการมันสู้เห็นนากำนันแต่เพียงยอดข้าวไม่ได้จริงมั้ยล่ะ”
โปรยทำหน้าเง้ากลบความอาย “เรื่องสีปากประจบละเป็นเอกในแสนแสบนี่ทีเดียว อย่ากลัวเลยฉันยังไม่ใช่มดหรอกจะได้ตายเพราะกินแต่หวาน” ค้อนเป็นวงเป็นกงแล้วพาลตะเพิดตีท้ายอีเผือกตะโพงลงลำกระโดง
ถึงจะยืนยันว่าไม่ใช่มดหลงน้ำตาลอยู่เมื่อกี้ แต่ในครู่ต่อมานังผู้หญิงก็หลงเพลินประจบประแจงตลกคะนองของอ้ายหนุ่มนาบ้านใกล้แล้วมันชักชวนนั่งลงบนคันนาหลังระหัด ต้นข้าวสูงเป็นพงแตกกอให้ร่มเงาพอบังแสงแดดกล้าในตอนสาย
“เรื่องนั้นปรึกษาท่านกำนันแล้วรึยังล่ะโปรย อย่ามัวช้าความนะจะเสียเปรียบเขา” แผลงถามไถลพอเกลื่อนอายของนังผู้หญิงที่มันลอบจูบเอาเมื่อกี้ “พอเกี่ยวเดือนอ้ายนี่ยังไงฉันจะได้รีบฟ้องเสียก่อน เพราะเจ้าชวนพี่อีช้อยมันจะมานาปลายเดือนสิบเอ็ดนี่แหละ”
“อ้อชวนจะมานา” โปรยย้ำคำ นึกแปลกใจว่าเจ้าชวนไปอยู่บางกอกแต่เล็กๆ ไม่เคยโผล่มานาเลยตั้งสิบกว่าปีจะมาเที่ยวนา “มาทำไมกันทำงานบางกอกได้เงินแพงๆ แต่งตัวสวย มิดีกว่ามาทำนากับพวกเราหรือฉันว่า”
แผลงส่ายหน้า เจ้าโปรยมันช่างไม่รู้จักความหนักเบาเสียบ้างเลย
“ทำไม-ฮะ จะมาทำไมเสียอีกล่ะถ้าไม่ผิดอ้ายเรื่องรายนี้ มันคงไม่เป็นอื่นไปได้ เมื่อแรกยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าอ้ายชวนมันไปอยู่บางกอก อายุ ๑๐ กว่าขวบยังไม่เคยย่างมาแสนแสบเลย อีคราวนี้มันจะมาก็เพราะลุงมีหนังสือไปบอก ข้างพวกศาลอำเภอก็มาหาคุยกะลุงบ่อยๆ มันจะมีอะไรเสียอีกอีช้อยก็แย้มพรายอยู่เสมอๆ ถึงเรื่องจะแบ่งนาให้เขาเช่า”
โปรยนิ่งฟังพลอยนึกเสียดายแทนเจ้าแผลง นาตั้ง ๓๐ จะเป็นของคนอื่นเสียเปล่า ใจลอยๆ นึกไปหาเจ้าแผลงเป็นคนสิ้นตัวแล้วไหนเลยพ่อเจ้าจะพลอยเห็นงามยกยอขอให้ ข้างผู้ชายเมื่อพูดแล้วก็นั่งเหม่อๆ อดใจหวั่นใจไม่ได้ว่าถ้าสู้ความแล้วจะต้องแพ้ลุง เพราะเจ้าชวนก็เท่ากับเป็นคนบางกอกรู้ถ้อยรู้ความดี
“ฉันจะไปปรึกษาพ่อแกแต่เมื่อคืนแล้วก็กลัวความจะแตก หน่อยแกจะรู้ว่าเรามานัดพบกันถึงยังไม่กล้า”
เจ้าแผลงได้ยินเพียงครึ่งกลาง มันรักอยู่เท่าใดก็กลัวไม่สำเร็จอยู่เท่านั้น ความคิดกำลังเดินคลองเดียวกับเจ้าโปรยที่ว่าไหนเลยกำนันแปลกจะยินยอมยกลูกสาวสวยให้แก่คนอย่างมัน
เห็นคนรักมันอ้ำอึ้ง โปรยก็ผัดวันพอให้มันสิ้นทุกข์อุ่นใจ “อดใจอีกซักที ๓ วันถึงมาฟังข่าวได้ไหมล่ะฉันจะปรึกษาพ่อให้รู้ในราววันมะรืนเป็นอย่างช้า”
“แล้วแต่โปรยจะเห็นงามซี” แผลงตอบเรื่อยๆ “ยิ่งเร็ววันก็ยิ่งดีน่ะแหละ แต่ว่าโปรยเอ๋ยในวันสองวันนี้ใจคอฉันมันเป็นไงไม่รู้ ตึ้กตั้กเขม่นพิกลเห็นทีจะเกิดความอะไรขึ้นสักอย่างเป็นแท้ นั่นแหละนะโปรย ฉันจะพูดไว้เสียก่อน ถ้าเหมือนยังกะว่าฉันแพ้ความลุง แล้วเขาก็คงไล่ฉันไม่ให้อยู่แล้วก็ฉัน...”
“ฉันพอเห็นจะช่วยอยู่ได้มั่ง”
“ช่วยได้ เออ ก็จริงละไอ้เรื่องที่อยู่ที่กินน่ะฉันไม่เห็นสำคัญหรอกมีเรี่ยวแรงขยันเป็นลูกจ้างทำนาให้เขาที่ไหนๆ ก็พอจะอยู่ได้ ก็แต่ว่าฉันกะโปรยมันมิต้องเลิกรากันไปรึ?”
โปรยไม่ตอบนั่งก้มหน้า วักน้ำสาดกอข้าวอย่างไม่ตั้งใจ แผลงก็กระเถิบชิดฉวยมือเจ้า “ฉันหวังยึดนา โปรยถึงได้คิดเป็นทุกข์ไปยังว่าโปรยลองตอบให้ฉันฟังสักคำเรอะ หากเมื่อหน้าฉันถูกขับจากบ้านแล้วเราจะทำยังไงกัน?”
โปรยสลดใจลงอีกถนัด น่าจะจริงยังที่มันคิดวิตก เพราะกำนันแปลกแลเจ้าเอง เป็นคนชอบมีหน้ามีตาพวกในบางกอกมากมายไหนเล่าจะเห็นงามยกลูกสาวให้แก่เจ้าคนท้องนาที่มีแต่ตัวเปล่า
ทั้งสองนั่งอิงกันมองเงาตัวในน้ำ ปลาหมอว่ายผ่านเงาไปเป็นคู่ๆ ปลาซิวหลบเมียงอยู่ในหลุมตื้นทั้งตัวผู้ตัวเมีย ลัดเข้าแฝงกอข้าวเดรัจฉานมันรักกันด้วยใจสมัครไม่ต้องสู่ขอ ที่ไหนมีห้วงน้ำเย็นก็พากันไปสู่ห้วงนั้นด้วยใจสำราญ เออ-นังโปรยก็น้ำตาลงอาบแก้ม
“โปรย-ถ้าฉันอธิษฐานได้ก็ขอเป็นปลาเสียเดี๋ยวนี้ล่ะ มันสุขเบาไปรึ ว่ายไหนก็ไปด้วยกัน แต่ว่าอ้ายเราเป็นคนมันช่างเกิดมาเสียชาติจะทำเอายังใจเหมือนปลามันก็ไม่ใช่คน”
“มันกรรมเวรน่ะพี่แผลง จะคนหรือปลาก็ช่างถ้าว่าเรารักกันยืดเหมือนเมื่อแรก ถึงเมื่อหลังจะนุ่งผ้าคนละครึ่งผืน ตายแล้วให้ไปอยู่เสียด้วยกันที่นรกทนเวร ฉันก็ว่ามันสุขเกินปลา เพราะว่าคนมันรักกันที่ใจชอบ แต่ปลานั่นมันแล้วแต่ชอบใจ เมื่อน้ำใหม่โพงเข้านาอีตัวเมียมันก็ติดน้ำมาให้ตัวผู้เลือกใหม่”
“เจ้าช่างเปรียบ” แผลงว่า แล้วรัดนังลูกสาวกำนันแน่นขึ้น “พี่ชอบปลาเพราะมันทำไรได้ยังใจไม่ถูกนินทาว่าขาน แต่ถ้าโปรยจะไปอยู่กะมันถึงจะรักแรงแข็งขอบกันอย่างไร ความมันก็ออไปทั้งแสนแสบนี่แหละมันจึงว่าปลามันดีกว่าคน”
“แต่ขอให้คนมันเป็นคนยังว่าเถอะ” แล้วมองเจ้าคนรักเป็นปัญหา “ฉันกลัวว่ามันจะเป็นคนแต่เมื่อเราพอไปเมื่อหลังก็จะเป็นปลาคะนองน้ำใหม่ที่หลากเข้านาเสียแหละมากกว่าอื่น”
แผลงร้อง “อ๋อ” แล้วจูบผมเจ้าโปรยอย่างน่าเวทนา “นั้นหรอกรึผู้ชายเป็นอย่างนั้นมันก็มีอยู่มากๆ ล่ะโปรย แต่ที่ไม่เป็นยังว่าน่ะมันจะมีอยู่มั่งไหม? ถ้ามันมีก็ขอให้เชื่อว่ามันเป็นข้าอีกสักคนเถอะน่าฮะ โปรยเอ๋ยถ้าว่าเราจะไม่โกรธกันแล้วฉันก็จะพูดให้ฟังว่า อีช้อยน่ะถึงใครจะเห็นมันสวย แต่ว่าฉันอุ้มมันมาแต่เด็ก แล้วก็จะให้ไปรักอีเด็กที่อุ้มจนกระเอวเป็นหนามงั้นรึ ฉันน่ะลงใจมันไม่ชอบแล้ว ให้มันงามเป็นรูปหล่อมีสมบัติล้นหัว ข้าวในนามันเอารวงขึ้นมาเป็นทองเสียอีกด้วยเอ้า ฉันก็จะขอหลับตากอดคออีคนที่ฉันรักมีผ้าแต่ผืนพร้าเล่มตายไปเสียด้วยกันให้มันสาใจที่เรารักกัน”
ถึงจะนั่งกอดคอกันอยู่ต้นข้าวสูงท่วมหัวมิดชิดก็สักแต่ว่ากอดกันเพราะอยู่ใกล้ส่วนหัวใจต่างคนต่างตรองสงสารอกเองที่รักกันแล้วแต่มองไม่เห็นว่าจะได้กันอย่างหน้าชื่นตาบาน
นังผู้หญิงน้ำตานอง เจ้าผู้ชายเห็นก็เบือนไป แม้กลางนาจะกำลังแดดเปรี้ยง เพราะเป็นแดดย่างเข้าหนาว ร้อนจัด หัวใจของหนุ่มสาวก็คงเงียบวังเวงไม่เปลี่ยนเป็นอื่น กลองเพลซึ่งดังมาแต่วัดฟากทุ่งโน้นก็ได้ยินเหมือนคนเคลิ้มใกล้หลับ
“ก็แล้วแต่เวรล่ะพี่แผลง พ่อแกฟังเทศน์ยังเคยเล่าให้ฟังว่า คนเรานี่แหละมันมีเวรมีกรรมต่อกันไว้แต่ชาติก่อน เมื่อถึงกำหนดมาชาตินี้จะทำยังไงๆ ก็หนีเวรที่ผูกกันไว้เมื่อก่อนไปไม่พ้น เอ๊อ-เมื่อคิดยังพระท่านว่าแล้วฉันจะยอมปล่อยไปตามเวรที่เราผูกกันไว้”
ยินคำอีโปรยแทบหัวใจจะแตก ขนลุกเกรียวปีติไปทั่วกาย คำเดียวของเจ้าเกิดมานะอีกร้อยปี
“ชื่นใจนักโปรย เออ-คำเดียวของเจ้ามันชุ่มหัวอกพี่จนตาย อย่าว่าแต่จะต้องไถนาเลี้ยงโปรยเลย เมื่อยากเมื่อแค้นมื้อหน้าควายงัวเราไม่มี ฉันก็จะลากไถต่างควายพลิกแผ่นดินเลี้ยงจนชีวิตหาไม่”
ฟังน้ำใจเจ้าแผลง ก็ก้มลงกราบบนตัวอ้ายผู้ชายที่จะมีคนเดียวในแสนแสบหาอีกไม่ได้ เมื่อแรกก็เพียงแต่รักมันด้วยหัวใจเหลิง แต่เดี๋ยวนี้จะขอกอดคอตายไปกับมันเป็นผีไปเสียด้วยกันทั้งคู่ยังจะสบายกว่านั่งเป็นคนทุกข์
อันนาที่นั่งพร่ำรักกันอยู่มุมหนึ่ง แต่อีกมุมหนึ่งหลังระหัดออกไปมีคนบังกอข้าวแอบอยู่ข้างหลัง สักครู่คนที่แอบจึงย่องใกล้เข้ามาถึงระหัด
ไม่ชั่วแต่เจ้าโปรยสะดุ้งและผละจากอก แม้เจ้าแผลงคนที่ขวัญดีและกล้าอย่างสุดใจของแสนแสบก็โหยงขึ้นจนสุดตัวจนไปทางหนึ่ง
พอรู้ว่าใครเป็นใครโมโหจนตัวสัน ยิ่งเห็นเจ้าโปรยยืนปิดหน้าร้องไห้แทบจะโลดเข้าจับมันสองตีนฟาดแล้วกดคนฆ่าเสียในลำกระโดง
ชี้หน้าว่า “อีช้อย นี่เป็นมึงหรอกน่ะ เออ-นี่ดีแต่เป็นมึง อ๋อจะตามมาแกล้งกูน่ะเรอะ แล้วมึงรู้ไหมว่ามึงหยามหน้ากูเท่าไหร่?”
นังคนชื่อช้อยหัวร่อเก๋ ที่จริงหน้ามันก็คมคายเก๋ดี แต่เป็นสาวรุ่นจะเด็กกว่าเจ้าโปรย ยืนเท้าเอวฟังอ้ายแผลงผู้ที่พูดปากคอสั่น มองไปทางแม่โปรยที่ชมกันตลอดลำน้ำแสนแสบว่าสงบเสงี่ยมนักก็อดขันไม่ได้ ชาติคนหงิมมันก็นิ่งไม่กระฉอกให้ใครรู้ แต่ว่าตะเข้มันกบอยู่ใต้พื้นน้ำนี่หรือแม่คนงามแสนแสบ
แกล้งแก้ตัวไปข้างๆ คูๆ ว่า “จะไปรู้เรอะนึกว่านังอยู่คนเดียวซี เดินมาข้างหลังอ้ายระหัดก็บังอยู่ทั้งอัน ใครจะไปเห็นว่ามีคนนั่งค่อนตัวอยู่อีก พอกระแอมขึ้นจึงเกิดเป็นสองคน”
อ้ายแผลงแทบจะคลั่ง ถ้าเป็นน้องแท้รึว่าอ้ายผู้ชายอื่นก็จะเตะมันเสียให้ครอกลงลำกระโดง
โบกมือแล้วชี้หน้าห้ามคำขาด “หยุดนามึง อีช้อยมึงหยามน้ำหน้ากูมากนัก ก็อยากจะรู้ว่ากงการอะไรของมึงถึงได้ตามมาเสือกแกล้งกูนี่”
เจ้าช้อยหน้าซีด เพราะเคยรู้เคยเห็นมาว่าเสียงนี้มันเป็นคนจริงถึงผู้ชายอื่นมันยังเกรงเสียงห้วนๆ พรรค์นี้อยู่ทุกคน
ปากสั่นริกตอบไปอย่างมีแค้น “ฉันเห็นระหัดมันหาย ได้ยินก็ไม่ได้ยินถึงมาดู กลัวพี่แผลงลืมหน่อยใครมันจะยกไปกินเสียฮิ” แล้วก็นึกน้อยใจเช็ดน้ำตาป้อย “ฉันขอโทษเสียเถิด ที่พลั้งกะอีเรื่องเท่านี้ก็ถึงชี้หน้าคาดตาแทบจะกินเนื้อ เมื่อฉันมันรุนแรงยังว่าก็ตบเอาซีจะเป็นไรมี จะได้จำใส่หัวใจไว้จนวันตาย” พูดไม่ออกอีกจนน้ำตาร่วงเผาะกลับหลังออกเดินจากคนทั้งสอง คิดร้อยพันไปตลอดจนกระทั้งถึงเรือน
ช้อยไปแล้วตั้งครู่ใหญ่ คนทั้งสองเห็นความไม่งามจะเกิดขึ้นขืนอยู่ช้า เมื่อนัดแนะสั่งเสียว่าจะพบกันอีกเมื่อไหร่เป็นแน่แล้ว อีเผือกก็ถูกต้อนขึ้นจากลำกระโดงที่มันยังแช่น้ำแสนสบาย เจ้าแผลงยืนแลนังคนที่รักกันแต่ปีกลายจนเลี้ยวเข้าคันนาชายคลอง ต้นข้าวงามสูงท่วมหัวอีเผือกเดินหลีกลัดไปเห็นหลังไรๆ งอบเอนเอียงไปตามคออ่อนของคนสวมที่นั่งปล่อยสติกระทั่งลับหายเข้าไปหว่างกอไผ่
อีก ๓ วันต่อมา
เป็นข้างแรมเดือนมืด ท้องนาแจ่มใสตั้งแต่เช้าอรุณ พอตะวันเยี่ยมฟ้าขึ้นไรๆ ข้าวงามรวงก็ตื่นขึ้นรับแดด ที่ใกล้เกี่ยวก็เหลืองดังทองทั้งรวง ที่ปลูกกล้าเพิ่งเขียวหม่นแกมเหลืองคอยวันสุก กำลังจะย่างเข้าเดือน ๑๒ น้ำเหนือที่หลากมาแต่หนองจอกเมืองมินจึงขาวทุ่ง ข้าวคู่นา ปลาคู่น้ำคือ ท้ายเดือน ๑๑ ย่าง ๑๒ นี่แล้วก็ปล่อยผลให้งอกงามจนกระทั่งถึงวันชายเกี่ยวหญิงเก็บคู่กันอีก เมื่อปลายเดือนอ้ายคาบเดือนยี่แล้วข้าวจะเกลี้ยงนา น้ำหลากก็ลดหนีตลิ่งไปตามฤดู แต่หนุ่มสาวที่คบกันเมื่อหน้าเกี่ยวยังจดจำกันไว้เพลงเกี่ยวยังจับใจ ไม่ลืมกระทั่งแล้งพอย่างฝน ก็จะได้คบกันอีกเมื่อไถดะไถแปร
ถึงใครจะหวังกันได้ แต่อ้ายแผลงเห็นจะไม่ได้หวังกะเขา หว่านรักไว้กับเจ้าโปรยแต่หน้าเกี่ยวปีกลาย พอจะเก็บปีนี้อีช้อยก็มาทำให้พิธีแตก สามวันเหมือนสามปีก็ไม่พบกัน นัดไว้แล้วแต่วันนั้นว่าบ่ายจะพบกันเพื่อฟังความไปถีบระหัดคอยจนน้ำล้นนาเจ้าโปรยก็หายหน้าเงียบ เกลียดหน้าอีช้อยไม่มองหน้ากันมา ๓ วันแล้วเพราะมันเอาความไปฟ้องลุงเชื่อม และแกก็ด่าไม่เว้นแต่ละวัน
ตกค่ำนอนก่ายหน้าผากอยู่บนห้างคนเดียว เดือนมืดเมื่อข้างแรมยังไม่เท่าหัวใจมัน เมื่อคิดถึงเจ้าโปรยแล้วก็แค้นอีช้อยอีเด็กที่อุ้มมาแต่เล็ก มันขี้แยก็พาขึ้นหลังควายหลอกล่อร้องเพลงให้ฟัง กระทั่งมันเป็นสาวก็ยังขี่คอว่ายข้ามน้ำ พอรักกับอ้ายเทียมก็เป็นอื่น อ้ายเทียมก็เป็นคนกันเอง พอหัวไม่รู้สำนึก
แสงไฟฉายสว่างวาบเข้ามาในห้างแล้วก็ส่องหยุดอยู่ตรงหน้ากำลังเพลินคิดกลุ้มอยู่ พอไฟส่องปลาบเข้าตาก็ผงะขึ้นนั่ง
“ใครวะนั่น?”
คนที่ฉายไฟตอบมาห้วนๆ “ฉัน”
คิดประหลาดอีช้อยลงมาทำไมกันกลางค่ำกลางคืนทั้งไม่พูดกันมาตั้ง ๓ คืนแล้ว
แผลงก้าวลงจากห้างถามว่า “เอ็งมีธุระอะไรหรือช้อย?”
“ไม่ใช่ธุระฉัน ธุระพ่อแกให้มาเรียก” เสียงเจ้าช้อยตอบไม่เหมือนปกติ ฉายไฟไปดูควายในคอกบนดอน แล้วก็ฉายออกไปนาหันกระบอกไฟฉายแวบวาบผ่านไปทุกแห่งรอบด้าน แล้วหยุดส่องที่หัวคันนาซึ่งเจ้าพี่ชายเคยไปถีบระหัดจนเกิดความ
ยังหนักๆ ใจที่ลุงเรียกผิดเวลา ก่อนร่อนชะไรก็ไม่เห็นจะถึงกับตามตัวในกลางคืน เมื่อคิดว่าคงจะถูกเทศน์เรื่องนั้นอีกก็ทำใจดีกับเจ้าช้อย
“เอ็งรู้มั้ยว่าแกตามไปเรื่องอะไร?”
“ไม่รู้ มันไม่ใช่ธุระของฉันจะแส่ฟังเรื่อง”
“ช้อยเอ็งเห็นพี่เป็นอะไรไปแล้วรึ?”
“เป็นคน”
แผลงแทบอึ้ง “เอ็งไม่ตอบคำนี้ข้ายังจะไม่ช้ำใจเหมือนเอ็งตอบ”
เจ้าช้อยเมินไปเสียทางหนึ่ง เดือนจะมืดพอจะเห็นหน้ากันเพราะยืนใกล้ เจ้าแผลงหน้าซูบชีดหม่่นหมอง ช้อยก็ดูคล้ำๆ หน้าตาโรย
“ฉันตอบตรงๆ แต่พี่อดคิดไปเอง พ่อแกใช้ให้มาเรียก ใครจะไปรู้ใจแกว่าเรียกเรื่องอะไรก็ไปฟังแกดูเองซี”
“รู้หรอกว่าเอ็งปิด ช้อยถึงข้าจะไม่ใช่พี่คลานออกมาก่อนเอ็ง แต่ข้าก็เลี้ยงเอ็งมา มึงซนสาหัสเล่นไฟเผาฟางทั้งกองลุงจะตีมึงก็ยังรับเอาเสียเอง กูหลังแตกมีแผลนี่เพราะกูรักหลังมึง กูสงสารน้องกู แต่ว่าน้องกูไม่รักกูเลย”
เจ้าช้อยร้องไห้ออกมาดังๆ “ก็เพราะรักพี่ล่ะซีจนเกือบจะถูกตบเตะ ก็ไม่เพราะน้องมันรักพี่รึ” กว่าจะพูดลงคำท้ายฝืนใจเสียเหลือเกิน แล้วก็หันจะกลับไปเรือน
แผลงก็โดดรั้งข้อมือไว้ ลืมข้อสัญญาและคำห้ามของเจ้าโปรย เพราะคิดสมเพชนังลูกสาวคนงามของลุงเชื่อม
“หะ-ช้อย ข้ายังไม่รู้เรื่องเลย เอ็งมันใส่ความข้าหนักไปล่ะ”
ช้อยสะบัดเต็มแรงร้องไห้ดังขึ้นกว่าเก่า แค้นไม่รู้จะไปทางไหนเมื่อสะบัดไม่หลุด
“ปล่อย บอกว่าปล่อยๆ ข้าไม่ใช่คอซ้อมสำหรับพี้เกรียมไว้ประกะอีโปรย ปล่อยนะ ถ้าไม่ปล่อยจะฟ้องพ่อ”
“ข้าไม่ปล่อย เมื่อข้าจะถูกลุงตีหัวแตกเพราะช้อยฟ้องข้าก็ให้มันรู้ไป เอ็งเล่าให้ข้าฟังก่อนว่ามันเรื่องอะไรที่เล็งจะมาแค้นข้าถึงไม่ยอมพูดยอมจา”
เจ้าช้อยไม่ยอมฟังเสียงและไม่ยอมเล่าความ อ้ายพี่ชายมันกินอยู่กับปากเอง สาบานกับอีโปรยหงับๆ อยู่เมื่อวันพระข้างขึ้น พอข้างแรมเดือนมืดจะมาตีเป็นสองหน้าลืมคำเมื่อข้างขึ้นเดือนหงาย
ยิ่งคิดยิ่งน้อยใจ สะบัดอีกเท่าไรก็ไม่หลุด ยิ่งซ้ำหนักอ้ายแผลงกลับดึงตัวเจ้าเข้าไปให้ใกล้ ท่าทางไม่ผิดทำกับอีโปรยเมื่อก่อนวานซืน
“ข้าไม่ใช่อีโปรยนะพี่แผลง ถึงพ่อข้าจะไม่เป็นกำนัน ใครจะมาดูถูกข้าไม่ได้ ข้าบอกตรงๆ ว่าข้าไม่นับถืออ้ายคนหน้าด้านยังงี้ ถ้าข้าไม่เกรงใจอาแกในหลุมแล้ว ข้าจะตวงให้สิ้นปราณเดี๋ยวนี้ทีเดียว”
ขณะนั้น ควายในคอกบนดอนลุกพรวดพราดตกใจถอยหน้าถอยหลัง เบิ่งไปทางท้ายคอกแล้วก็หมอบลงไปเอื้องหญ้าตามเดิม แต่เจ้าแผลงมัวคิดมาถึงคำเจ้าช้อย
“หนักเกินไปละอีช้อย พ่อกูอยู่ในหลุมมึงก็ยังขุดขึ้นมาว่ามึงดูถูกกูเกินไปเสียแล้วละ” เมื่อใจคิดไปถึงอ้ายเทียม ก็เอาอ้ายเทียมขึ้นมาพูด “มึงสนิทกะอ้ายเทียมพักเดียวถึงกับจะขุดโคตรกูก็ดีละวะอีช้อย กูน่ะอโหสิให้มึงที่เบาความคิดก็เพราะอ้ายเทียมมันหนุน แต่ถ้ากูไม่ปล่อยมือแล้วอ้ายเทียมมันจะช่วยมึงได้แมะล่ะ”
โมโหขึ้นหน้ายิ่งกว่าเดิม เมื่อถูกตราหน้าว่ารักกะเจ้าเทียม เพราะเวลานี้เจ้าเทียมยังคุยกะพ่อที่บนเรือน ทำบ้าระห่ำรวบแขนรวบตัวรั้งไว้ไม่ให้กลับแล้วยังพูดพาลไปอื่น
“ถ้าไม่ปล่อยเป็นเห็นดี” เจ้าช้อยว่า
“กูก็อยากจะดูดี ถ้าไม่พูดกันแต่โดยดี กูก็ไม่ยอมปล่อย”
เมื่อเจ้าแผลงทั้งดื้อทั้งด้าน ข่มเหงขัดใจกันเกินพี่เกินน้อง หรือคนที่จะรักจะใคร่ เจ้าช้อยก็เหลืออดพอมือที่ถือไฟฉายสลัดหลุดก็ฟาดไปเต็มแรง จนกระจกแตกตกลงดินแล้วหัวเราะอย่างแค้นสมน้ำหน้า
เจ้าแผลงเซมานั่งอยู่ที่ห้าง ไม่คิดเลยว่าอีช้อยจะดุร้าย เมื่อแรกก็เพียงมึนหน้ามืด อีกครู่จึงรู้ว่าหัวแตกเพราะมืออีช้อย แม้บางนี้จะได้ชื่อว่าเป็นคนดุแต่ความคิดมันยังมี ยกมือลูบเลือดเหนียวหนับลื่นหน้าอีช้อยน่ะยืนตัวสั้นเท่าที่จะรู้ผิด เมื่อหายมึนแล้วเจ้าแผลงก็ลุกจากห้างที่นั่ง
“ช้อย ข้าเพิ่งเชื่อเดี๋ยวนี้เองล่ะว่าเอ็งเกลียดข้า เออ อย่าตกใจเลยวะ ข้าไม่ทำเอ็งหรอก เพราะข้ามันระยำเอง ข้ามันระยำอีช้อย ทั้งแสนแสบนี่ก็มีมึงแหละเอาเลือดกูออก” ก้มหน้าเช็ดเลือดด้วยผ้าเคียนพุงน้ำตาปนเลือด แค้นตัวเองที่วางใจผู้หญิงเมื่อคิดถึงได้เลี้ยงดูอีช้อยมาแสนลำบาก แล้วก็อดร้องไห้ไม่ได้ “กลับเรือนเสียเถอะไปแล้วก็บอกลุงว่าข้าไม่อยู่ห้างแล้ว เอ็งกะข้าก็อโหสิกันเสียที ข้าไม่รู้เสียเลยช้อยเอ๋ย เมื่อข้างขึ้นเอ็งยังกอดคอให้ข้าพาข้ามน้ำ พอตกข้างแรมชะตาข้าก็ตก เพราะเอ็งเกิดถือตัวไปเถิดน้องเวรกรรมเอ็งไม่มีกะข้าอีก”
ช้อยยืนร้องไห้ นึกชังตัวเองที่โมโหไม่ทันคิด หากว่าเจ้าแผลงตรงมาตบคืนเสีย ๓-๔ ที หรือสลบไปคามือยังจะดีกว่ามันพูด ๓-๔ คำ
“พี่แผลง” เจ้าช้อยเรียกแล้วเดินเข้าหา “ฉันผิดนักแล้วไม่รู้จะทำยังไง”
“กลับเรือน อีช้อยมึงอย่าเข้ามาใกล้มือ มึงอย่ามาแตะเลือดกูจนนิดเดียวไม่ได้ กูนักเลงถึงกูจะไม่ตอบกุ๔ก็ต้องถือนักเลงไม่ให้ใครคัดเลือดกู ไปขึ้นเรือนบอกลุงว่ากูไม่อยู่”
เจ้าช้อยต้องชะงัก เสียงนี้ใครมั่งเล่าจะไม่กลัวทั้งแสนแสบ ถอยออกมายืนร้องไห้ด้วยตันใจ จะช่วยมันก็ไม่ยอมจะกลับก็ใช่ที่ยืนตรองแล้วตรองอีก ยังตัดใจไม่ลงว่าจะทำยังไง
ไฟฉายจากหลักคอกมุมเรือนมาอีกดวงหนึ่ง แสงผ่านวูบวาบแล้วมาหยุดสว่างจ้าอยู่ที่คนทั้งสองและครู่นั้นลุงเชื่อมก็เดินมากับผู้ชายอีกคนหนึ่งยืนหยุดอยู่ข้างหลัง
“อีช้อยมึงไถลสิ้นดี มัวทำอะไรอยู่วะฮะ?” แล้วตาเชื่อมก็ฉายไฟปราดไปทางเจ้าหลานชาย แกตกใจเมื่อเห็นหน้าเจ้าแผลงยังโซมเลือด “เอ้อ นั่นเป็นอะไรวะเฮ้ย อ้ายแผลง เลือดออกซิก ฮิมันอะไรกัน?”
เจ้าแผลงมิรู้จะตอบเท่าไร ยิ่งเหลือบเห็นอ้ายเทียมมายืนเคียงลุงเป็นที่เย้ยแล้วเจ็บใจตัวเอง
“กลับไปเรือนแล้ว ให้อีช้อยมันเล่าให้ฟังเหอะ”
ลุงเชื่อมร้อง “เอ๊ะ นี่มันยังไงกันวะ” หันมามองลูกสาวเห็นปิดหน้าร้องไห้ “มันยังไงกันอีช้อยบอกตรงๆ ฮะ?”
เจ้าช้อยนิ่งอั้นเอาแต่ร้องไห้ เลยทำให้ตาเชื่อมเกิดโทโสหันมาทางเจ้าเทียมซึ่งยืนทำกริ่ม “ว่าไงกันพ่อเทียมเล่าไปเถอะตรงๆ เมื่อพ่อเทียมจะลงมาตามอีช้อยแล้วทำไมถึงย้อนกลับขึ้นไปตามข้าให้มาดูอะไร-เล่าซี”
เจ้าหนุ่มบ้านเหนือนาต่อขึ้นไปยืนลังเล จะทับถมเจ้าแผลงก็รู้สึกอยู่ว่าตัวยังมิใช่มือดีของแสนแสบเหมือนมัน แต่ก็เป็นทีอยู่หนักที่จะกันเจ้าแผลงออกนอกทางมิให้ตาเชื่อมไว้ใจอีก
“ฉันก็พูดเป็นกลางๆ และพ่อเครือว่าฉันจะลงมาตามแม่ช้อย พอมาถึงท้ายคอกก็เห็นกำลังทะเลาะกันและพ่อแผลงยุดข้อมือแล้วกอดแม่ช้อย”
“อือ!” ตาเชื่อมดูดปากเจี๊ยบแล้วหันมามองหลานชายกับลูกสาว
ฟังออกว่าอ้ายเทียมกำลังจะใส่ร้ายทับถม เจ้าแผลงก็พรวดถึงตัวผลักอกจนเจ้าเทียมกระเด็นไปชนตาเชื่อม
“อ้ายโกหก มึงมันโกหก”
ตาเชื่อมเข้ากั้นกลางปะทะไว้ เมื่อเห็นเจ้าแผลงจะซ้ำ
“ช้า-อ้ายแผลง มึงมันจังไรคนเสียแล้ว ผิดถูกยังไงค่อยพูดค่อยจาซี กูหัวหงอกยืนอยู่ทั้งคนจะทำกันอย่างงั้นมันจะได้หรือ แล้วทำไมมันหัวแตกฮะ”
“ถามอีช้อย”
“ลองถามแล้วมึงว่าไงวะ อีช้อย?” เมื่อเห็นลูกสาวยังปิดหน้าร้องไห้อยู่อีกแกก็ว่า “เฮ้ย กูผิดใจเสียแล้ว กูถามมึงคนละสองหนก็ไม่ตอบ แล้วนี่กูจะถามหมาที่ไหนดีเล่า? เอ้า พ่อเทียมเล่าอีก “อย่านาอ้ายแผลงเมื่อมึงไม่เล่าแล้วขืนเสือกเป็นโดนอีกแผลทีเดียว ขยับไฟฉายในมือและออกยืนบังเจ้าเทียมกั้นหน้าอ้ายหลายชายไว้
เจ้าเทียมเมื่อแรกนึกเกรงๆ แต่พอถูกผลักกระเด็นไปก็แค้นเจ้าแผลงเพราะอายนังคนรัก จึงเล่าความแต่ต้นกระทั่งเจ้าแผลงถูกตีหัวแตกตาเชื่อมพอรู้ความก็เต้นเหย็งหันเข้าใส่หลานชายชี้หน้าด่าจนเต็มโมโหและออกปากขับไล่
เจ้าแผลงยืนนิ่งไม่เถียงจนคำ เช็ดเลือดป้ายเลือดปนน้ำตาไหลเป็นทางหยดดิน ธรณีแสนแสบเพิ่งจะได้กลิ่นเลือดเห็นน้ำตาของอ้ายคนดี
ตาเชื่อมค่อยคลายโมโหนึกแปลกอยู่ว่า วันนี้อ้ายแผลงแสนดีไม่เถียงสักคำ ยืนหันๆ รีๆ อยู่ครู่หนึ่งก็เรียกลูกสาวและเจ้าเทียมกลับบ้านอย่างไม่รู้ไม่ชี้ คงปล่อยเจ้าหลานชายคราวเคราะห์ให้ยืนไปตามกรรมของมัน
แผลงนอนไม่หลับตลอดคืนด้วยความคิดที่วนเวียนไปต่างๆ ถึงความที่เกิดแต่เมื่อคืนนี้ ทั้งไม่กล้าที่จะอยู่สู้หน้าลุงหรือมองอีช้อยได้อย่างไร จึงคิดว่าจะหลบไปเที่ยวหากุ้งหาปลาเสียชั่ววันหนึ่ง ทั้งเพื่อพบปะเจ้าโปรยจะได้เล่าความให้ฟัง เพื่อช่วยกันปรึกษาปรับทุกข์ปรับร้อนและคิดการข้างหน้าสืบไป
ไม่กล้าขึ้นไปเอาสวิงบนเรือน ครั้นจะไปเฉยๆ มือเปล่าก็ดูกระไรอยู่ จึงคว้าหอกติดไปด้วย ชั่วๆ ดีๆ ได้ปลาใหญ่กลับมา ก็พอจะอ้างธุระได้บ้าง แดดเพิ่งขึ้นอ่อนๆ เดินเลียบตามชายนากำลังจะย่างเข้าหนาวลมแรงหวน รวงข้าวกร่างไปทั้งทุ่ง เมื่อเลาะมาตามลำกระโดงก็เบิ่งไปจับอยู่ชายคลองหลังบ้านกำนันแปลกเดินกลับไปกลับมาหลายตลบกระทั่งสาย แดดกล้าเกรงจะมีพิรุธไม่ก็อีช้อยไถลมาถีบระหัดพบเข้าอีกจึงเปลี่ยนทางเดินเลาะเลียบชายคลองแทงปลาไปตลอดทาง
ล่วงเพลแดดกล้าลมก็พัดจัด เจ้าแผลงร้อยปลาที่แทงได้มาเป็นพวง เมื่อมีปลาเป็นพยานพอจะทำไก๋กับท่านกำนันได้ จึงเดินบุกมาตามชายคลองกระทั่งถึงเนื้อนากำนันแปลก ซุ่มปลายหอกลงตามกอข้าวริมน้ำ ตาก็สอดส่ายไปพอเหลือบมาทางหลังเรือนอีกที เจ้าแผลงก็ต้องหลบลงหมอบบังพงแขม เพราะเจ้าเทียมกำลังเบนหัวเรือพ้นบันไดท่าน้ำหลังบ้าน ส่วนเจ้าโปรยตามมาส่งที่หัวสะพานน้ำ
หลบอยู่กระทั่งเรือสำปั้นของเจ้าเทียมลับท้ายคุ้ง นึกเฉลียวอยู่ว่า เจ้าเทียมเสือกมาบ้านกำนันแปลกทำไมวันนี้ สันดานล้ายเทียมลงเหยียบบ้านใครต้องมีเรื่องของเพื่อนบ้านติดซากอยู่เสมอ แต่ถ้าเป็นเรื่องอีช้อยตีหน้ากูแตกเมื่อคืนก็จะเอาหอกร้อยปากอ้ายเทียมเสียให้เหมือนอย่างปลา
เจ้าโปรยนั่งทอดใจปล่อยสติอยู่หัวสะพานมองดูน้ำ เห็นเงาตัวเองแล้วคิดสงสารตัว คำพ่อเทียมมาเล่าเมื่อเช้าแม้จริงยังว่า ลิ้นอ้ายแผลงมันก็ไม่ผิดระหัดเดือน ๑๒ ที่วิดน้ำเก่าแล้วก็โพงน้ำใหม่เข้านา กังหันกินลมก็ยังไม่หมุนเร็วเหมือนลิ้นอ้ายแผลง ยิ่งคิดยิ่งกลุ้มใจ แม้นปะหน้าเวลานี้แล้วจะด่าเสียให้สมแค้นแล้วก็เลิกคบเลิกหากันที
เสียงกอข้าวสวบสาบ พอเหลียวไปก็พบหน้าอ้ายหนุ่มที่กำลังแค้นถึง มันยิ้มเซียวๆ ชูพวงปลาให้ดูแล้วรีบบุกข้ามฟากตรงมาหา
“โปรย เลือกเอาสัก ๕-๖ ตัวปะไร”
เจ้าโปรยค้อนขวับ ถอนสะอื้นขึ้นมาติดๆ น้ำตาหยดในต้องมองไปทางอื่น คิดจะกลับขึ้นเรือนแต่อยากจะฟังมันหน้าด้านโกหก ส่วนเจ้าแผลงยังมั่นอยู่ว่าเป็นด้วยที่แสนงอนของเจ้าโปรยเอง จึงเย้าขึ้น
“ที่จะโกรธว่าน้อยไปงั้นเรอะ เอ้า เอาเหอะทั้งพวงนี่แหละ ของเราถมเถไป หอกอยู่กะมือแล้วอดอะไรกะปลา เนรมิตเอาประเดี๋ยวก็ได้”
“อ้ายปลาเขาทุบหัวแล้วข้าไม่ต้องการ”
แผลงสะดุ้งเฮือกทั้งตัว เจ้าโปรยพูดถึงไม่หันมาก็รู้ว่าร้องไห้และมันพูดเข้าเค้ากะเรื่องเมื่อคืน
แข็งใจกลบไปเสียทางอื่นว่า “ไม่ใช่ทุบมานะแม่โปรย ฉันพุ่งเอามาหรอก มีอย่างที่ไหนปลาอยู่น้ำจะเอาไม้ไปทุบ”
เจ้าโปรยหันขวับมาสู้หน้า ถึงน้ำตาจะไหลแต่ปากเจ้าก็หัวเราะแลแกล้งหัวเราะใส่จนมันต้องถอย
“ย่ะ ข้าทราบ ปลาอยู่น้ำมันก็ต้องถูกหอกพุ่ง แต่อ้ายปลานอนห้างมันถูกทุบด้วยท่อนไฟฉายนี่แน่ะยะพ่อแผลงข้าจะบอกให้ว่า อ้ายคนตีสองหน้าหมาสองรางนั่นข้าเหลือจะคบ แม้แต่หลุมตีนข้าก็ไม่ต้องการให้เหยียบลงบนผืนนาข้า แล้วเราก็...” เจ้าโปรยสะอื้นขึ้นมาติดๆ ปัดมือมาจนเฉียดหน้าเจ้าแผลง “อโหสิไม่ต้องดูหน้ากันอีกต่อไป ข้าก็จะก้มหน้าตามเวรของข้า เพราะข้ามันชั่วใจคอมันง่ายหลาย แต่ขอให้พระภูมิเจ้าที่เจ้าทุ่งเจ้าทางจงจำสาบานของมันไว้เถิด”
แผลงยืนงัน อ้ายเทียมทำเสียแล้ว เจ้าโปรยเข้าใจผิดยกใหญ่เพราะอ้ายเทียมปากเดียว แต่เมื่อแผลมันยังเป็นพยานอยู่แก้ลำบากยืนดูเจ้าโปรยสะอึกสะอื้นแล้วเห็นใจ
“เห็นจะเข้าใจผิดไปเสียแล้วหละแม่โปรย ฉันจะว่าให้ฟัง แม่โปรยต้องฟังเสียงฉันก่อนค่อยพูดยังงั้น”
“โอ้ย-ข้าฟังเสียงแกมามากแล้ว ก็เห็นแต่โกหกตะพืด!”
“อ้ายเทียมบอกใช่แมะล่ะเรื่องนี้”
“ไม่ต้องพ่อเทียมพูด ใครๆ เขารู้ออกแซ่ไปทั้งบาง หัวคุ้งท้ายคุ้งเขาก็รู้กันสิ้นว่าหัวแตกเพราะเจ้าชู้ยักษ์”
“ตายโหง! นี่ฉันเสียถึงเพียงนั้นเทียวรึโปรย?” ย้อนถามเสียงปร่าใจคอมันเริ่มขุ่นเหมือนกวนตม ถ้าหากว่าเรือสำปั้นอ้ายเทียมย้อนมาอีกหนแล้ว พ่อแม่จะต้องมางมศพเอาก้นคลอง “เอาละแม่โปรยถึงจะเชื่อปากอ้ายเทียม แต่เสียแรงเรารักกันก็ขอให้ฟังปากฉันมั่ง จะเชื่อไม่เชื่อมันก็ยังเป็นปากคนพูด เมื่อจะว่าปากฉันมันโกหกได้ก็ขอให้คิดว่ามันก็พูดจริงได้อยู่หรอกแม่โปรย อีช้อยมันลงไปตามฉันที่ห้าง ฉันถามมันดีๆ สัญชาติคนงอนมันไม่ทิ้ง ฉันก็ไม่ยอมปล่อยให้มันไป มันเกิดมุตกมันขึ้นมาก็เหวี่ยงฉันด้วยไฟฉาย ความจริงมันมีอยู่แค่คืบนี่แหละแม่โปรย แต่ฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะกลายเป็นศอกเป็นเส้นเพราะปากอ้ายเทียม”
“ไม่ต้องย้อนยอกให้เจ็บใจ” นังผู้หญิงร้องไห้แค้นคำ “จะศอกจะเส้นมันก็อยู่ในหัวขมองด้วยกันทั้งสิ้น แต่ข้าขอพูดเป็นคำขาดว่าที่นี่เนื้อนาแลบ้านกำนันมิใช่ที่ทางของใครจะมาตีสีปาก ฮึ! ข้ามันชั่ว เพราะใจข้ามันชั่วเองจึงช้ำใจเพราะลมปาก”
สิ้นคำ นังสาวงามลูกกำนันแปลกก็ป่องๆ ลงส้นกลับไปเรือน ทิ้งให้เจ้าคนรักคนใคร่กันเมื่อแต่หน้าเกี่ยวปีกลายยืนอ้างว้างสลดใจอยู่คนเดียว
แผลงตะลึง ตกใจผีสางอื่นยังไม่เหมือนความที่เกิดเคยเห็นเจ้าโปรยงอนมานักต่อนัก ไม่ร้ายกาจเหมือนครั้งนี้เลย ปากอื่นแท้ยังเชื่อเขาได้ แต่ว่าคนมันพาลจะหาเรื่องอยู่ก่อน วาสนามันจะสิ้นคนเสียในเดือน ๑๑ นี่กระมังโปรยเอ๋ยเดือน ๑๑ นี่มันน้ำเหนือหลากเข้ามา แต่ว่าผู้หญิงเดือน ๑๑ หัวใจมันจะหลากหลายเยี่ยงน้ำเหนือกระไร อีช้อยก็คนหนึ่งแล้ว เจ้าโปรยจะแถมเป็นสองก็กรรมของกู
เดินกลับหงอยๆ บุกสวบสาบไม่เลือกนาใครนามัน เมื่อพอใจจะไปแล้ว ก็ด้นดั้นทะลุไปจนได้เพราะใจคอกำลังพาลหงุดหงิด เผ่นเข้านาไหนก็หักราบเป็นกอๆ ตามหนทาง เมื่อร้อนก็ลงคลองทิ่มแทงปลาไปตลอดทางเถลไถล กว่าจะกลับถึงนาก็ร่วมบ่ายร่วมเย็น
ข้าวเช้ายังไม่ตกท้องสักเม็ด แถมข้าวเย็นก็กินไม่ลง นอนไม่หลับอยู่ในห้างคนเดียวจนกระทั่งเพล สักครู่ก็ถูกเรียกตัวขึ้นไปบนเรือน ใจคอไม่ดีคิดว่าลุงเชื่อมคงจะย้อนเอาเนื้อความเก่าขึ้นมาชำระ
กลับตรงกันข้ามจนแปลกใจ เมื่อเจ้าหลานชายหนุ่มขึ้นไปถึงตาเชื่อมยิ้มแย้มรับรองดีแล้วนับเงินส่งให้ชั่งหนึ่ง บอกให้รีบขึ้นหนองจอกให้ทันวัน ๗ ค่ำ เพราะที่บ้านกำนันหนองจอกจะขายควายคู่ละ ๘๐ บาท เจ้าแผลงเป็นนักเลงควายที่ตาแม่น ลงได้รับซื้อแล้วเป็นออกตัวได้กำไรตั้งค่อน
เมื่อแรกอิดออดไม่ยอมไป เพราะยังทุกข์หนักเรื่องเจ้าโปรย โกรธกะเจ้าโปรยอยู่เมื่อกลางวันหัวล้นต้นไฟ ขืนทิ้งให้เนิ่น กว่าจะได้กลับมาแก้สงสัยกันอีกก็ร่วมเดือนน่าจะเลิกร้างถึงโกรธนักเลย แต่เมื่อลุงเชื่อมอ้อนวอนตั้งหลายครั้งหลายหนยังแถมสัญญาว่าเมื่อไปธุระสำเร็จกลับมา จะได้จัดแจงโอนนาคืนให้ พอรู้ว่าจะได้นาคืนความมานะก็เกิดขึ้น มองเห็นทางสว่างที่พอจะเข้ารอยกับเจ้าโปรยได้สำเร็จแล้วก็จะให้ลุงแต่งขันหมากมันเสียรู้แล้วรู้รอด เลยตกลงรับปากกับลุงง่ายดาย และคุยกันอยู่จนดึก
วันรุ่งขึ้นพอได้แสงอรุณตะวันสูงพ้นทิวไม้ พวกบ้านทุ่งทั้งหลายอื่นจากบันไดเรือนไปแล้ว พร้อมด้วยงอบสวมหัวและพร้าหวดมืดไม้ติดมือไปนาตรวจดูทรัพย์ในดินกำลังออกรวงอยู่ดกดื่นทุ่ง บ้านตีเกราะชักตะขาบไล่นกฝูงใหญ่ที่ลงจิกรวงข้าว ถึงจะนาใครนามันก็ทำกันไป พอไปพอเลี้ยงท้องตามประสาของพวกบ้านทุ่ง
เจ้าแผลงเตรียมตัวเสร็จแต่หัวมืด เมื่อปลงอารมณ์อาราธนาแล้ว พระเครื่องในผ้าก็คาดแขนมันอ้ายคนหนุ่มลูกบ้านท้ายคุ้ง ใส่เสื้อกุยเฮงนุ่งเพลาะดำแผนนักเลงบ้านนาตัวเอกหอกสั้นข้อคร่ำเงินคู่มือกับห่อผ้าขึ้นสะพานบ่า เจ้าแผลงจะต้องเดินไปจนกว่าจะถึงหนองจอก เพราะเป็นฤดูน้ำหนทางบางแห่งเดินไม่ได้ จึงต้องเดินสำรวจเสียแต่ขาไปเพื่อสะดวกที่นำควายเดินในขากลับ
นึกประหลาดใจที่ขึ้นไปลาลุงไม่พบหน้าอีช้อยตั้งใจไว้ว่าจะยอมเป็นคนหน้าด้านพูดดีกับมัน เพื่อฝากหนังสือให้อ้ายเทียมไปส่งเจ้าโปรยอีกต่อหนึ่ง เดินลังเลใจมากระทั่งจะพ้นเขตนาแลเห็นทางรถไฟลิบๆ ข้างหน้าโน้น
พอเลี้ยวละเมาะไผ่ชายเขตนาของลุง มันต้องไม่คาดว่าจะได้พบอีช้อยมันน่าจะเห็นอยู่ก่อนแต่ฤทธิ์งอนของมันไม่สิ้นจึงแกล้งยืนให้หลังงอบเปิดหน้าไพล่ตกมาท้ายทอยมือกำพร้าหวดไขว้หลังกำ อีช้อยถึงเป็นผู้ชาย สาวๆ ต้องหลงมันทั้งบางเพราะท่าเก๋ดีนัก
“ช้อย เอ็งออกมาแต่เช้าเชียวเรอะ วันนี้ทำไมมายืนอยู่ถึงนี่ล่ะ?”
ถึงเจ้าแผลงจะพูดใกล้ข้างหลัง นางช้อยท่าเก๋ก็ไม่สะดุ้งเพราะรู้ตัวอยู่ก่อนนึกแค้นอ้ายแผลงแต่ก็แสนสงสาร มันเป็นคนซื่อและโง่ใจหายคนมันกำลังย่าง ๒๕ เบญจเพสเปล่าละกำลังรนไปหาเคราะห์
เหลียวมาพบหน้าพี่ชายวางสีหน้าลำบากเพราะใจมันเป็นอริกันอยู่
“ข้าชอบดูทางรถเช้าๆ เพลินตาดี จะไปละรึนั่น”
“ฮึ-แต่ก่อนๆ ข้าไม่พบเอ็งเลยที่นี่ข้าก็มาทุกเช้า”
“ข้าเพิ่งจะชอบ” แล้วไถลนอกเรื่อง “นั่นพี่จะเดินไปรึจะลงเรือ”
“เดิน” ตอบอีน้องสาวแล้วล้วงหนังสือจากกระเป๋าเสื้อกุยเฮงที่เขียนเตรียมไว้ “ช้อย เอ็งแทนคุณพี่สักครั้งเถอะวะ เรื่องอะไรๆ เอ็งก็รู้อยู่ดี นังโปรยเขาโกรธข้า แต่เมื่อวานเพราะปากอ้ายเทียม” แล้วก็เล่าความที่เกิดให้ฟังแลอ้อนวอนเจ้าช้อยให้มันช่วยถึงเรื่องส่งหนังสือ
ไม่มีใครรู้หัวอกเจ้าช้อยเท่าตัวนังช้อยเอง ทั้งรักทั้งแค้นอ้ายผู้ชายแสนโง่ ยืนมองมันน้ำตาคลอครั้นจะพูดความจริงออกมา พ่อก็จะเสียอ้ายแผลงก็จะอาละวาดไปกันใหญ่ จะปล่อยตามเรื่องเสียละ อ้ายคนเคราะห์มันก็จะยิ่งเคราะห์หนักขึ้นไปอีก
ตอบให้มันตรองปัญหาเองว่า “ก็จะช่วยหละเพราะพี่เลี้ยงข้ามา แต่ว่าพี่รู้หรือเปล่าว่ากำลังเป็นคนเคราะห์”
“เอ๊ะช้อย” หัวเราะชอบใจที่อีช้อยทำแก่เกินอายุมัน “เอ็งไปวัดกับลุงสองสามมื้อเท่านั้น ก็มีวิชาติดปาก เออ ข้าก็รู้ละว่ากำลังมีเคราะห์ ฮะ-ฮะเอ็งแม่นโว้ยช้อย หัวข้าแตกแล้วยังแถมอ้ายเทียมทำพิษเสียอีก ทำไมจะไม่รู้ว่ามีเคราะห์”
ช้อยกระดากที่มันรื้อความเดิมขึ้นมาพูด แต่แล้วก็สลดใจที่มันทั้งโง่และดื้อเหลือหลาย
“ก็ตามเหอะจะว่าอย่างไร แต่ว่าพี่แผลงยังจะมีเคราะห์เกินกว่าที่ฉันว่า” พูดแล้วก็เศร้าใจ ยื่นมือไปรับหนังสือมองหน้าพี่ชายอย่างพิเคราะห์ หน้ามันหมองดำคล้ำบอกไม่ดี “แล้วฉันจะวานพ่อเทียมเขาเอง แต่เมื่อพี่กลับจากหนองจอกแล้วจะว่าไม่เตือนไม่ได้”
แผลงงัน คำอีช้อยมันยากใจพิกล ความฟังกินหูกินใจลึก แต่ก็คิดเสียว่านังน้องสาวคงหมายถึงเจ้าโปรยจะไม่ย้อนคืนดีมากกว่าเรื่องอื่น
“เออ ขอบใจเองละว่ะช้อย มันจะสำเร็จไม่สำเร็จก็ขอให้หนังสือถึงนังโปรยก็แล้วกัน สายโขอยู่แล้วพี่จะต้องรีบไป เพราะหากค่ำกลางทางจะหาที่ค้างยาก”
แล้วร่ำลาน้องสาว จิตนึกเอ็นดูเหมือนเก่าก่อน ลืมถึงว่าอีช้อยตีหัวแตกอยู่เมื่อวานซืน ออกได้เดินดุ่มมุ่งเข้าทาง พอให้หลังไปเพียง ๗-๘ วา เจ้าช้อยทิ้งมีดยืนปิดหน้าร้องไห้ เออ-พี่แผลงมันจะไปเคราะห์มีเคราะห์
.
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 11,133
Re: อมตะนิยายเรื่อง แสนแสบ บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม
«
Reply #2 on:
23 October 2025, 16:40:25 »
https://vajirayana.org/%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%9A/%E0%B9%93-%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%81
https://vajirayana.org/
แสนแสบ/๓-คนบางกอก
๓. คนบางกอก
เจ้าแผลงจากไปแล้วเพียง ๗-๘ วัน
ที่นาตาเชื่อมก็มีคนมาแทนเจ้าแผลงคือนายชวนพี่ชายเจ้าช้อย ซึ่งจากแสนแสบบ้านเกิดเมืองนอนไปแต่ยังเล็ก และรับการศึกษาในพระนครอยู่กับลุง ภายหลังเมื่อนายชวนได้รับนาโอนกรรมสิทธิ์ของตนแล้ว สิ่งสำคัญซึ่งแฝงอยู่ในแสนแสบก็เหนี่ยวรั้งนายชวนให้วนเวียนกลับมาบ้านเกิดอีกบ่อยๆ
ธรรมชาติที่งามเองเช่นห้องฟ้าแลทิวไม้งามลึกซึ้งไม่เบื่อฉันใด แม่โปรยซึ่งผุดขึ้นระหว่างธรรมชาติแลแฝงอยู่บนฝั่งเหนือของคุ้งน้ำแสนงามก็งามเอาเยี่ยงธรรมชาติ แม้จะปราศจากการตบแต่งความงามของแม่โปรย ก็ยังลึกล้ำจับใจ นายชวนแลคิดว่าหญิงงามเองเยี่ยงแม่โปรยนี้ แม้ได้รับความสว่างไสวเปิดหูเปิดตาเยี่ยงสาวพระนครเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็พอจะได้ไว้เป็นคู่ที่พอจะอวดเพื่อนได้แล้วก็มุ่งเข้าทอดสนิทโดยไม่สู้ยากเป็น เพราะมีเจ้าช้อยน้องสาวซึ่งสมัครใจอยู่ก่อนที่จะให้เจ้าแผลงกับแม่โปรยแตกกันเป็นเครื่องมือ ยังแถมมีเจ้าเทียมหนุ่มแสนแสบเป็นผู้คอยสนับสนุนทางกำนันแปลกเพื่อหวังประจบนายชวนพี่นางช้อยคนรัก จึงสู้ยอมติดหน้าตามหลังเป็นทหารเอกของนายชวน
ชั่วปลายเดือน ๑๒ เจ้าโปรยกับนายชวนก็เป็นคนกันเอง แล้วนายชวนก็เป็นผู้นำคนทั้งสาม คือเจ้าโปรย เจ้าช้อย เจ้าเทียมให้เปลี่ยนชีวิตจิตใจจากที่หลงหลับอยู่ในสภาพท้องทุ่งท้องนาหันเข้าสู่ความรุ่งเรือง โดยพาทั้งสามเข้าเยี่ยมกรายในพระนครเกือบจะว่าทุกอาทิตย์ตลอดจนแนะนำให้มีเพื่อนเป็นคนบางกอกอีกหลายคน เมื่อพบมากเห็นมาก คนทั้งสามก็ทะยานใจที่จะให้เจริญเท่าที่พบเห็น แล้วก็พากันเคลิบเคลิ้มไปว่าเขามิใช่ลูกบ้านแสนแสบ แม้แต่อ้ายคนเคราะห์ร้ายที่มันหายหน้าไปซื้อควายเมื่อ ๒-๓ เดือน ก็เกือบจะพากันลืมว่าชื่ออ้ายแผลง
ต่อเดือนยี่น้ำลดตลิ่ง แสนแสบก็กำลังเก็บเกี่ยวนาส่วนมากของรายอื่นๆ เกี่ยวกันจนหมดแล้ว เหลืออยู่ก็แต่นาตาเชื่อมที่ทิ้งแลไว้คอยกลางเดือนยี่ เพื่อจะบอกแขกขอแรงบ้านใกล้เรือนเคียงให้ระดมกันเกี่ยว
แล้วกลางเดือนยี่ก็มาถึง วันนัดวันเกี่ยวก็กำหนดขึ้นที่นาตาเชื่อม แต่งานเกี่ยวปีนี้ออกจะครึกครึ้นผิดเคยเพราะการเลี้ยงกับข้าวของกินตลอดจนเหล้ายาปลาปิ้งนั้นเหลือเฟือ และแม่งานที่จะเลี้ยงก็คือเจ้าช้อย เจ้าโปรย เจ้าเทียม ซึ่งแต่ก่อนทุกปีเคยสวมงอบจับเคียวลงมือเอง แต่ปีนี้กลับแต่งตัวสวยจนจำกันไม่ได้ว่าเป็นคนบ้านนา พร้อมด้วยนายชวนกับเพื่อนกรุงเทพฯ อีก ๒ คน ที่สมัครใจมาเที่ยวและปะปนอยู่กับพวกแขกอย่างสนุกสนาน
เมื่อเหล้าล่วงลำคอไปแล้วคนละ ๒-๓ กะลา น้ำตาลเมาเพิ่มมาอีกเป็นไหๆ งอบก็ถูกเขวี้ยงไม่มีประโยชน์เพราะร้อนแดดมันแพ้เหล้าเพลงเกี่ยวก็เริ่มประ ที่ไม่สันทัดก็หันเข้าหาเพลงฉ่อย แต่ทั้งคอเพลงเกี่ยวแลเพลงฉ่อยบางครั้งต้องหยุดชะงักเอียงหูฟังเพลงสากลของนายชวนกับเพื่อน เจ้าโปรยเจ้าช้อยและพ่อเทียมรู้สึกปลื้มมีหน้ามีตาที่ได้ร่วมอยู่กับวงเพลงสากลและฝรั่ง แล้วมองชายมาทางพวกแสนแสบด้วยกันเป็นเชิงว่าเพลงเกี่ยวมันพ้นสมัย ถึงเพลงฉ่อยก็เป็นโบราณบ้านนอกที่ไม่น่าจะมาร้องคู่กับเพลงสากลเสียกระมัง
จากทิวไม้ลิบๆ โน้น จากฟากทุ่งโล่งที่เกี่ยวแล้วเหลือแต่กองฟางหัวซังเหลืองทุ่ง กระบือขนาดเปลี่ยวดำมะเมื่อมคู่หนึ่งด้อมตามกันมา ตัวหลังถูกจูงและเตือนสนตะพายให้กระชั้นตัวหน้าซึ่งมีคนขี่ เมื่อถึงที่เรียบก็แล่นตะโพงที่ลุ่มก็อืดอาดไปอย่างควายไม่ทันใจอ้ายคนขี่เสียเลย ด้ามหอกก็ลงสีข้างแทนตะพดอยู่ไม่ขาด เจ้าควายหนองจอกก็คงไม่เร็วเป็นม้าไปได้
พอเลี้ยวคุ้งไผ่ แผลงอ้ายคนขี่ที่หายหน้าไปจากแสนแสบก่อน ๓ เดือนก็ใจเต้นตึ้ก ไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้คงจะได้เห็นหน้าเจ้าโปรย แล้วก็คงเป็นมะรืนที่ลุงจะโอนนาคืนให้ และเฒ่าแก่ก็จะออกนำหน้านำขันหมากไปหมั้นราวๆ ปลายเดือน แต่ว่าเจ้าแผลงก็ไม่วายหวั่นใจ เพราะไม่คิดว่าปีนี้น้ำจะมากเกินการถึงเดินกลับไม่ได้ ต้องยังอยู่หนองจอกจนกระทั่งหน้าเกี่ยว ความที่โกรธกะเจ้าโปรยก็ยังไม่แน่ว่าจะไปกันแค่ไร เขาว่าพ้นกระได ๓ เดือน คั่นจากผู้หญิง ๓ วันจะเป็นอื่น ถ้าเมื่อมันจริงยังเขาว่าใจเจ้าโปรยมันก็เหลวไหลเหมือนเดือน ๑๑ น้ำนอง
ถึงละเมาะไผ่อดนึกคำอีช้อยเมื่อ ๓ เดือนไม่ได้ มันทำแก่ช่างทาย ช่างทักว่าเคราะห์ร้าย เคราะห์อื่นกรรมใดก็หากลัวมันไม่หรอก ชาตินักเลงถึงตายก็ให้มันสมนักเลงแล้วไม่ว่าเลย บ้านไหนบ้างเล่าที่ว่ากินเหล็กกินไหลแท้มันก็อ้ายกินข้าวเดินดินอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ดูแต่เมื่อข้าไปดูรึอ้ายนักเลงดีรู้แกวดักแย่งเงินที่ปลายแสนแสบ ยังแทงเสียอ้าวไปตามกัน อ้ายแผลงมันเลวแล้วเงินชั่งมันก็สูญไม่ได้ควายกลับเท่านั้นจะยอมอยู่อย่างก็เรื่องเจ้าโปรยนี่แหละ เคราะห์อื่นขอให้เรียงเข้ามาให้รู้สักหน่อยเถอะ
เสียงเพลงเกี่ยวเริ่มประกันขึ้นอีก ลอยละลิ่วมาเป็นเสียงแก้ของผู้หญิง เจ้าแผลงประหลาดใจมันรีบเตือนควายให้พ้นละเมาะไผ่บังพอออกพ้นทางลัดป่าสะแกสัก ๗-๘ วา ก็เห็นงอบชาวทุ่งแถบผู้หญิง ส่วนทางกลุ่มเจ้าหนุ่มๆ เห็นแต่หัวดำกับผ้าขาวม้าโพก บ๊า-นาลุงเพิ่งจะเกี่ยววันนี้เอง บอกแขกมาเยอะแยะพอเหมาะวันกูกลับ แล้วความลำพองใจก็เกิดแก่เจ้าแผลงที่คิดว่ามาทันส่งท้ายของนาเกี่ยว จะดื่มเหล้าให้แประแล้วเข้าว่าเพลง ถึงจะไม่ใช่คอเพลงก็จะด้นไปข้างๆ คูๆ ตามสนุกเมื่อมันหนักหนาผิดหูอย่างไรก็ตีกัน
เนื้อเต้นริกๆ เมื่อเสียงผู้ชายขึ้นสองมือวางเดียวตบจังหวะสนั่นชะ-แลฮ้าไฮ้ ก้องทุ่ง เจ้าหนุ่มที่เพิ่งมาเหยียบแสนแสบลิงโลดคะนองใจ ลุกชะเง้อปล่อยตัวหลังให้แล่นตามตัวหน้าแล้วก็เตือนออกตะโพงไปราวกะม้าเร็ว หอกก็กวัดแกว่งโห่ร้องรุดเข้ามา
ทั้งหญิงและชาย ซึ่งตาเชื่อมบอกระดมขอแรงกำลังเพลินฟังคอเอกทางฝ่ายชายที่เริ่มประฉานไปตามกัน ในเมื่อลูกคู่ที่ตบจังหวะหายไปทีละคน ๒ คน แล้วก็พากันเงียบกริบสักครู่ก็เสียงโห่กันเกรียวบ้างถอดงอบแกว่งไกว แสงเดียวขาวรับๆ เข้าแสงแดด ปากตะโกนกู่ก้องออกชื่อเจ้าแผลง แต่บางคนก็พิศวงอยู่ว่าตามคำเล่าคำลือกันว่าอ้ายแผลงขโมยเงินลุงชั่งหนึ่งหนีเข้าบางกอก แล้วทำไมจะเสือกหน้ามาให้เขาจับ ที่ชังก็อยากจะคอยดูน้ำหน้ามันถูกจับ ส่วนที่รักใคร่นับถือก็โห่ร้องป้องปีกดีใจที่เจ้าแผลงกลับมาอีก
เจ้าแผลงถูกซักถามแทบจะตอบไม่ทัน แต่คำถามมีสะกิดใจอยู่มั่งที่ว่ามันไปอยู่บางกอกสนุกไหม เจ้าแผลงไม่ทันตอบพอเหลียวก็พบลุงเชื่อมกับคนอื่นๆ ซึ่งมันไม่รู้จักแต่งตัวสะสวย ทั้งผู้หญิงผู้ชายยืนออดูมันอยู่นึกฉงนตื่นเต้นใจ จึงลงจากหลังจูงควายงามคู่ที่ซื้อมาแต่หนองจอกเข้าไปหาลุง
พวกนั้นพากันหลบเข้าโรงนาทุกคน เหลือแต่ตาเชื่อมยืนรับหน้าอยู่คนเดียว กำลังมากลางแดดหน้ามืดมองไม่เห็นในโรงนาว่าผู้หญิงสวยและเจ้าหนุ่มๆ ทำกริ่มเหล้านั้นเป็นใคร
“ฉันเพิ่งจะถึงเดี๋ยวนี้เองล่ะลุง” ยกมือไหว้ลุงเชื่อมที่จากแกไปนานแต่ตาอดชำเลืองดูในโรงนาไม่ได้ “ลุงเพิ่งจะเกี่ยวกันวันนี้เองล่ะหรือนี่?”
“เออ” ตาเชื่อมรับไม่ค่อยเต็มคำ คิดร้อนๆ หนาวๆ ถึงความที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า “มึงกินข้าวมาแล้วรึ? เมื่อยังก็เข้าไปกินกะเจ้าชวนเขาเสียด้วยกันซีไปเหอะเขาอยู่ในโรงกันทั้งนั้นแหละ”
พอออกชื่อเจ้าชวนอ้ายหนุ่มหลานตาเชื่อมก็นึกหน้าออกรางๆ ว่าเจ้าหนุ่มบางกอกที่ยืนอยู่เมื่อครู่ ท่าทางละม้ายเจ้าชวนที่เดินด้อมเลี้ยงควายอยู่ด้วยกันเมื่อเด็กๆ และนังผู้หญิงสวยเห็นทีจะเป็นเมียมันที่ได้กันอยู่บางกอกเลยนึกระแวงไม่สบายใจไปถึงเจ้าชวนจะมาโอนนา
ยืนรีรอไม่กล้าจะเข้าไป เพราะถึงเจ้าชวนจะเคยอยู่มาด้วยกันแต่ก็จากกันไปนานจนเป็นคนอื่นซ้ำนึกขลาดอ้ายพวกหนุ่มที่มากะเจ้าชวนและผู้หญิงสวยผมฟูเป็นร่องริ้วน้ำ แต่เมื่อถูกลุงคะยั้นคะยอหนักเข้าก็ต้องเดินตามหลังไปอย่างหัวอกเต้นระทึก
พวกซึ่งหลบเข้ามาก่อนมีหัวใจและท่าทางต่างๆ กัน นายชวนกับเพื่อนนั้นครึกครื้นเป็นปกติ เพราะฤทธิ์สุรา พ่อเทียมนั่งภูมิฐานกระหยิ่มใจเยี่ยงเดียวกับเจ้าช้อย ซึ่งแต่งตัวสวยนั่งไขว่ห้างเก๋อยู่บนแคร่ ส่วนเจ้าโปรยตกประหม่า ใจคอไม่สบาย นั่งหลบๆ หันข้างให้บังเจ้าช้อย พอเจ้าแผลงพ้นประตูโรงนาเข้ามาพวกนั้นก็เมินไปคนละทาง
“แผลง-นี่ไงล่ะพ่อชวนเอ็งจำไม่ได้หรือ?” ตาเชื่อมบอกหลานชายแล้วกระซิบที่ใกล้หูว่า “มึงยกย่องเขาให้สมหน้าหน่อยเถอะวะ เพื่อนฝูงเขามากหลายมึงไหว้เขาก่อนเถอะนึกว่าเห็นแก่กู”
แผลงจับตาลุงแล้วมองอ้ายชวน ประหลาดแท้ที่อ้ายชวนอ่อนกว่าเป็นหลายปี ลุงจะบังคับให้ไหว้
แล้วตาเชื่อมก็เตือนขึ้นอีก “ไงล่ะ แล้วกันมึง” เมื่อเจ้าแผลงเสียรำคาญไม่ได้ก็ยกมือไหว้ แต่นายชวนพยักหน้ายิ้มๆ รับเท่านั้น “สบายดีหรือแผลงไม่ได้พบหน้ากันเสียนาน”
“อือ-แหมเอ็งไปอยู่บางกอกเสียนาน ข้าแทบจำไม่ได้” พอตอบขาดคำ นายชวนก็คิ้วขมวดเข้าหากันไม่พอใจในคำปราศรัยของเจ้าลูกของอา อายเพื่อนที่นังอยู่ก็แสนจะอาย แต่ไม่รู้จะทำยังไงได้
เจ้าแผลงไม่รู้ในสีหน้าเจ้าลูกชายลุง เมื่อพูดแล้วก็ชายตาแหลมไปทางคนอื่นๆ ผีสาง-นั่นมันอ้ายเทียมแท้ๆ นั่งทำหยิ่งกะคนบ้านนอกเอ๋อ อีช้อยหรอกนึกว่าใครคนอื่นที่ไหนนุ่งผ้าถุงปากแดงแจ๊ดยังกะกินหมากคราวเดียว ๓ คำ ผมหยิกตลอดหัวงามล้ำจนผิดตาพี่ แต่แปลกที่อีช้อยไม่ทักสักคำ
มองถัดหลังอีช้อยออกไปริมแคร่ ผู้หญิงงามพอเหวี่ยงกะอีช้อยนั่งหันข้างแล้วก็หันหลัง คนบางกอกแท้ แต่ช่างขี้อายสิ้นดี คอระหงถึงเนื้อจะคล้ำอย่างคนบ้านนาแต่มีน้ำมีนวล คงจะเป็นเมียอ้ายชวนแน่ เออบางกอกมันเมืองสวรรค์แท้ แล้วผู้ชายบางกอกมันวาสนาดีเกินหนุ่มบ้านทุ่ง เห็นเมียเขาอื่นก็ใจหวนคิดถึงแม่โปรย
เจ้าโปรยนั่งหันหลังใจริกๆ เหมือนจะเป็นลม ถึงจะไม่เห็นหน้ามันแต่นึกหน้ามันออก ห่อผ้าบนไหล่แลหอกคร่ำเงินในมือนั่นเคยงามสง่าสมนักเลงบ้านทุ่งแท้เมื่อก่อน แต่แสนจะทุเรศในความป่าเลื่อนเป็นบ้านนอกที่สุดในครั้งนี้ นึกภาวนาขอให้มันพ้นไปจากที่นี่ไปเสียโดยเร็วที่สุด ก่อนที่มันจะรู้ว่าเป็นเจ้าและได้เปลี่ยนสภาพตลอดจนการคบหาสมาคมกับผู้ชายบางกอก
เจ้าแผลงยืนลังเล เพราะไม่มีใครจะทักทายด้วยอีก อ้ายเทียมก็จองหองเหลือหลาย อีช้อยก็กระดากกระเดื่องผิดราวกับคนละคนกะอีช้อยเมื่อค่อน ๓ เดือน จึงตั้งท่าจะหนีกลับ พอดีเจ้าช้อยซึ่งนั่งไขว่ห้างอยู่นานจึงกลับตัวจะเปลี่ยนท่านั่ง ข้างเจ้าโปรยเกรงเจ้าช้อยจะยืน ไม่มีใครบังจึงเหลียวมาสะกิด
แผลงจับตาอยู่นานแล้วที่จะดูหน้านังคนบางกอกขี้อาย เจ้าโปรยเมื่อเหลียวก็อดชำเลืองไม่ได้จึงพบกันจังตา เพียงแวบเดียวเจ้าแผลงก็สิ้นสงสัยว่าเป็นผู้หญิงอื่น ความยุ่งยากร้อยพันก็ผุดในหัวอก ผีหลอกกลางวันยังไม่แปลกประหลาดเหมือนมันเหยียบแสนแสบวันนี้
“เอ๊ะ-โปรย เออ-นี่มันไปมายังไงกันล่ะนี่” แล้วก็มองหน้าไปอีกทุกๆ คน
พ่อเทียมหัวเราะก๊าก นายชวนกับเพื่อนแทบจะถึงฮา เพราะท่าทางเจ้าแผลงตื่นชวนฮา แต่ว่าโปรยน้ำตาหยด
เมื่อโปรยไม่พูดด้วยก็ต้องแก้เก้อพูดกะน้องสาว
“อีช้อย-แหมเอ็งช่างไม่ทักพี่สักคำเลย ใจดำแท้”
เจ้าช้อยใจไม่สบายคิดอายคุณพรเพื่อนของพี่ชาย ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เจ้าแผลงเป็นคนบ้านนอกไปคนเดียวแล้วยังจะพลอยคนอื่นเสียรังวัด
ตอบอ้ายพี่ชายอย่างทันสมัยว่า “เปลี่ยนคำพูดเสียใหม่เถอะพี่แผลง หัวบ้านนอกพรรค์นี้ ฉันขวางพิลึก”
แผลงคงทำหน้าประหลาดไม่เข้าใจ “เฮอะเอ็งว่ายังไงวะช้อย? เอ้อแม่โปรยก็ใจดำ ถามเป็นหลายหนไม่พูดด้วยสักที”
โปรยมิรู้ที่จะตอบอย่างไร ก็คิดสงสารมันอยู่มั่งเพราะชั่วๆ ดีๆ ก็คนรักกันมา แต่เมื่อคิดถึงคำพูดของเจ้าแผลงแต่ละคำแล้วรู้สึกที่จะพูดด้วยเกรงได้รับความอายหันมาชวนเจ้าช้อยออกเดินจากที่นั้นไปเสียเฉยๆ เหมือนจะไม่พอใจ
นายชวนกับเพื่อนเข้าใจผิดไปตามกัน คาดว่าเจ้าแผลงพูดแสลงหูของหญิงทั้งสอง ต่างก็ทำกิริยาฮึดฮัดจะรับมือกับอ้ายเสือแสนแสบ แต่เจ้าแผลงก็หารู้ทีรู้ท่าไม่เหมาะกับตาเชื่อมซึ่งเห็นความไม่งามจะเกิดจึงไพล่ชวนเจ้าแผลงไปเสียคนละทาง
งานเกี่ยวเลยไปแล้ว ๓ วัน ข้าวหมดทุ่งเหลือแต่กอซังเหลือง นายชวนกับเพื่อนก็จากแสนแสบไปแล้ว แม้แสนแสบจะยังไม่เปลี่ยนแปลงแต่ทว่าเจ้าแผลงลูกทุ่งแสนแสบก็คงจะมีหัวใจอลเวงกลับกลอกไปด้วยความผันแปรของเหตุการณ์และธรรมชาติ เมื่อมันจะจากแสนแสบข้าวยังเหลืองเต็มทุ่งน้ำยังเจิ่งตลิ่ง อีช้อยยังสวมงอบนุ่งโจงกระเบน เจ้าโปรยยังเป็นหญิงท้องนา แต่พอมันนั้นกลับเพียงค่อน ๓ เดือนข้าวก็ร้างทุ่งน้ำก็ลดลาตลิ่ง อีช้อย เจ้าโปรยกลายเป็นหญิงบางกอก ซ้ำเจ้าชวนก็มาคลุกคลีเป็นกันเองกะเจ้าโปรย แล้วทุกๆ คนตลอดจนลุงเชื่อมก็ดูเหินห่างไม่ค่อยพูดจากับมัน อื่นๆ เปลี่ยนไปหมดแล้ว คงเหลือแต่เนื้อนาท้องน้ำลำกระโดงแลห้างนอนควายในคอกเท่านั้นที่ยังจำได้ว่าเป็นแสนแสบบ้านทุ่งบ้านนา
เช้ารุ่งของวันที่ ๔ นับแต่เจ้าแผลงมาถึง ด้วยความอึดอัดกระวนกระวาย ที่เห็นความผิดแปลกเกิดขึ้น เจ้าแผลงซึ่งเหมือนคนกำลังฝันก็ตั้งใจเป็นเด็ดเดี่ยวว่าจะต้องไปซักเอาความที่ลุงแล้วจะเลยพูดถึงเรื่องไร่เรื่องนาตามที่สัญญากันไว้
ถึงบนเรือนเห็นอีช้อยกำลังอ่านหนังสือสมัยใหม่ มันเหลือบดูแวบหนึ่งแล้วก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ ส่วนลุงเชื่อมพอเห็นสะบัดหน้าฮึด อะไรๆ มันก็แปรไปหมดรีว่าที่นี่มันไม่ใช่เมืองแสนแสบ
“ธุระไรรึวะแผลง” แกถามเสียไม่ได้
แผลงไม่ค่อยสบายใจเมื่อเห็นสีหน้าลุง “ก็มีอยู่มั่งหรอกจ้ะ ลุงเห็นจะว่างกระมังวันนี้”
ตาเชื่อมพยักรับ “อือ แต่ว่าบ่ายๆ ข้าจะต้องไปบ้านท่านกำนันสักหน่อย เอ็งมีธุระเรื่องอะไรก็ว่าไปดูเรอะ”
แผลงอึกๆ อักๆ นั่งพลิกสองกลับสามแล้วก็แข็งใจตอบตรงๆ “ฉันคิดว่าหากลุงว่างอยากจะชวนไปอำเภอ”
ตาเชื่อมรีบถามแซม “ไปทำไมอำเภอ”
“ก็ตามลุงสัญญาว่า เมื่อฉันกลับจากหนองจอกแล้วจะโอนนาคืนให้ แต่ว่าเมื่อลุงยังไม่ว่างจะไว้มื้อหลังก็ได้ไม่เป็นไร”
เจ้าช้อยพับหนังสือเริงรมย์ ซึ่งอ่านค้างมองพี่ชายหัวบ้านนอกอย่างเอาใส่ ตาเชื่อมตบพื้นดังสนั่นด้วยฤทธิ์โทโส
“นาของพ่อมึงสร้างไว้ที่ไหนล่ะ หน็อยอ้ายแผลง อ้ายเนรคุณกูเลี้ยงมึงมาแต่หัวเท่ากำปั่น นี่มึงมีปีกมีหางแล้วงั้นเรอะ?”
แผลงผงะหน้า ความมันแปรไปหมดเหมือนหน้ามือหลังมือ นึกไม่ชอบใจว่าลุงชี้หน้าว่าเนรคุณ นี่หากเป็นพี่ชายแท้ของพ่อกูหาไม่ก็จะรู้ว่าใครดีใครชั่ว
“เอ้-ลุง ก็นาพ่อที่แกตายไปนั่นไม่มีหรอกเรอะ”
“นาพ่อมึง-เอ้ อ้ายแผลง พ่อมึงตายโหงไปแต่ตัวเปล่ายังไม่พอทิ้งเดรัจฉานตาดำๆ ครือว่ามึงนี่แหละไว้ให้กูเลี้ยงอีกทั้งคน ยังไม่พออีกเรอะ แล้วมึงจะเอาอะไรกะกูอีกวะอ้ายแผลง แต่เล็กจนโตข้าวสุกกูหมดไปเพราะมึงกี่เกวียนแล้วรู้มั่งมั้ย?”
เหลือที่จะอดใจเถียง เจ้าแผลงจึงถลันยืน “นี่ลุงจะโกงข้าดื้อๆ งั้นเรอะ”
“หยุดอ้ายแผลง” ตาเชื่อมลุกเก้กังชี้หน้าห้าม “เมื่อมึงเห็นกูโกงมึงฟ้องเอา แต่มึงขโมยเงินกูชั่งหนึ่งหนีไปแล้วด้านหน้ากลับมา คำน้อยกูยังไม่พูดให้มึงกระเทือน อ้ายสัตว์เดรัจฉานเนรคุณกู!”
เจ้าแผลงไม่ตกใจในคำกล่าวหาของลุง เพราะควายในคอกนี่ยังเป็นพยานอยู่ ขณะนั้นพ่อเทียมก็ก้าวขึ้นมาบนเรือน แต่งตัวสวยสะอาดคล้ายคนบางกอก
“แน่ะ-พ่อเทียมเป็นพยานไว้ด้วยอ้ายขโมยที่เอาเงินฉันไปชั่งหนึ่งน่ะอยู่นี่แล้ว ช่วยไปบอกกำนันให้ทีเถอะ” พอตาเชื่อมมาอ้างพ่อเทียมเป็นพยานเจ้าแผลงก็หัวเราะก้อง
“แล้วอ้ายควายคู่ในคอกนั่นจะว่าไงล่ะลุง?”
“อ้ายจังไร มึงปล้นควายเขามาแต่หนองจอกแทงผู้แทงคนตายป่นปี้ แล้วจะมาพลอยให้กูไปด้วยมึงรู้มั้ยล่ะว่าผู้ใหญ่บ้านหนองจอกเขาแจ้งให้อำเภอตามจับมึงนั่น จะว่ายังไง เร็วซีพ่อเทียมไปตามกำนันแปลกมาเดี๋ยวนี้หละเร็วๆ หน่อยมันจะหนีเสีย”
พ่อเทียมไม่รอช้ารีบลงเรือนไปตามตาเชื่อมสั่ง เจ้าช้อยหน้าเลิกลั่กมองเห็นว่า เลือดจะต้องนองพื้นขึ้นในครู่ข้างหน้าเมื่อกำนันมาล้อมจับ เจ้าแผลงจะรีบหลบลงเรือนไปก่อน
ถึงจะแสนโง่ เจ้าแผลงก็มองเห็นเรื่องราวข้างหลังที่ซับซ้อนกันจนตัวเองเสียกลต้องอุบายลุง คิดถึงคำอีช้อยที่เตือนว่ามันกำลังมีเคราะห์ก็ยิ่งแค้นใจหนัก
“ฉันไม่หนีหรอกลุง แต่คนอย่างฉันน่ะจะไม่ยอมให้ใครจับเหมือนกัน” แผลงตอบผางๆ เยื่อใยที่จะคิดว่าเป็นลุงหรือผู้มีพระคุณแทบไม่เหลืออยู่อีก “ฉันจะไปห้างเมื่อกำนันมาอยากได้ตัวก็ไปจับเอาถึงจะต้องติดอำเภอก็เห็นจะต้องติดกันหรอกแต่ศพ ถ้าอ้ายแผลงมันยังลืมตาอ้าปากอยู่เถอะ ทุ่งนี้ก็ยังอยากจะรู้จักหน้าอยู่มั่งว่าใครจะจับอ้ายแผลง” แล้วก็หมุนลงเรือนตรงมาห้าง
มันรวบรวมผ้าผ่อนเข้าห่อ เมื่อพระเครื่องคาดมันอยู่แขนหอกก็วางอยู่ใกล้ตัวแล้ว เจ้านักเลงลือของทุ่งแสนแสบก็จุดธูปเทียนรำลึกถึงผีพ่อบอกเล่าเก้าสิบว่า ครั้งนี้มันทุกข์หนักเมื่อผีพ่อไม่ช่วย มันก็จะสู้จนตัวตายไม่ยอมให้นักเลงอื่นมาตราหน้า
เสียงพูดกันเอะอะข้างนอก ทำให้เจ้าแผลงรู้ตัวว่ามันถึงเวลาเข้าคับขันแล้วแน่ อย่างไรเสียกำนันแปลกพ่อเจ้าโปรยคนรักคนใคร่เมื่อก่อน คงเชื่อคำอ้ายเทียมตามมาจับ แต่เมื่อเจ้าโปรยเป็นอื่นไปแล้วพ่ออีโปรยมันไม่สำคัญ เมื่อตั้งจิตแน่นอนว่าวันนี้เป็นวันจะลาทุ่งแล้วอ้ายยอดนักเลงที่ไม่เคยลงให้ใครก็คว้าห่อผ้าคู่มือควงกำออกมา
ข้างนอก กำนันแปลก ตาเชื่อมและพ่อเทียมยืนคุมเชิงอยู่กับลูกบ้านอีก ๓-๔ คน กำลังชี้มือชี้ไม้มาทางห้าง พอเห็นอ้ายนักเลงดีแต่งตัวครบเครื่องออกมายืน ก็รวมกลุ่มกันไม่กล้ากระจัดกระจายแม้ว่าจะมีคนตั้ง ๗-๘ คน แต่ไม่วายหวั่นว่ามิใครก็ใครคงเป็นศพลงมั่ง
กำนันแปลกเมื่อรู้ว่าหน้าที่จำเป็นของแกมาถึง ก็ออกนำหน้าเดินตรงเข้าใส่ “แผลง เอ็งยอมให้จับเสียดีๆ อย่าให้ต้องลงไม้ลงมือเลยวะ”
“เรื่องอะไรจะยอมให้ท่านกำนันจับ” ถามเสียงขุ่นๆ โจนจากห้างลงเหยียบดิน พวกนั้นชะงักมองตาไปตามกัน พ่อเทียมหลบบังหลังเพื่อน
ตาเชื่อมตอบแซงขึ้น “ขโมยเงินกู แล้วปล้นควายเขาที่หนองจอกแทงคนเขาไง”
“ฮ้ะ ฮ้าไม่ได้กินเสียแหละลุงข้า” มันว่ายกหอกชี้มาทางพ่อเทียม “กูรู้ทั้งนั้นว่าใครจะทำไม เออ ก็อ้ายคนที่ข้าแทงนั่นมันคนบ้านอ้ายเทียมแล้วจะว่ายังไงกันละ เอาเถอะ เมื่อลุงจะไม่ให้ข้าอยู่บ้าน แล้วจะโกงนาข้าก็ไม่ว่าอะไร แต่อ้ายที่จะเอาความมาป้ายกันเล่น แล้วพากันมาล้อมจับ อ้ายแผลงน่ะไม่ยอม ขอบอกให้รู้ทุกๆ คนว่า กูหัวเดียวคนเดียว เมื่อไม่ผิดแล้วก็ไม่ยอมทั้งสิ้นอย่าว่าแต่มาเท่านี้เลย ให้แห่กันมาทั้งแสนแสบก็จะต้องสู้”
“มึงจะตายโหงเสียเปล่า ยอมเสียดีๆ เถอะ” เสียงพ่อเทียมตะโกนมาจากข้างหลังตาเชื่อม
“ก็กูจะตายนี่วะ อ้ายเทียม มึงเห็นมั้ยล่ะ ว่ากูแต่งชุดดำนี่น่ะกูไว้ทุกข์ให้ผีกูเหมือนกัน ก็จับซีล่ะ มาเหอะมาจับชะ-ช้า อ้ายเทียมเอ๊ยเป็นทีแล้ว มึงอย่าเพิ่งหยามนักเลงซีวะ เมื่อมึงยังรักจะเป็นคนจริงละก้อไม่ต้องจริงอวดคนหรอก กลางค่ำกลางคืนพบกันที่ไหนก็ได้รึว่ามึงจะให้กูไปบ้านมึงก็บอกมาว่าเมื่อไหร่”
พ่อเทียมใจคอหาย ที่อ้ายแผลงลั่นปากออกมาหนัก ๆ แต่จะไม่ตอบเสียเลย เพื่อนบ้านที่มาด้วยกันจะสิ้นนับถือ
“ก็ตามใจมึงซิแผลง กูก็อ้ายคนแสนแสบเหมือนกัน จะแปลกอะไร”
กำนันแปลกเห็นท่าไม่เป็นการจึงห้าม ทั้งแกเองก็รู้ความนัย ที่ตาเชื่อมปรึกษาไว้แล้ว จึงคิดลังเล ถ้าจับอ้ายแผลงมันก็ต้องสู้และเมื่อความถึงอำเภอแล้วโทษโพยจะกลับเป็นของตาเชื่อมและพ่อเทียมเพราะเจ้าคนที่ถูกแทงยังนอนเจ็บอยู่บ้านพ่อเทียม ขณะนั้นเจ้าโปรยกับเจ้าช้อยก็วิ่งกระหืดกระหอบมาถึงเพราะเกรงเจ้าแผลงจะทำร้ายท่านกำนัน
เห็นหน้าเจ้าคนที่เคยรักอยู่เก่าก่อน ไม่วายสงสารผู้ชายที่ไหนจะมีอีก ซึ่งเคราะห์ร้ายอย่างมันเจ้าแผลงเล่า มองเห็นหน้าอีช้อยกับเจ้าโปรยแล้วแค้นตันคอหอย มันเป็นผู้หญิงบางกอกไปแล้วทั้งคู่โปรยเอ๋ยเจ้ากำลังเปลี่ยนสมัยจนลืมพี่ เจ้ากำลังสวยงามเป็นผู้หญิงบางกอกแล้วพี่ก็คงช้ำใจตายเพราะบางกอกที่มันเปลี่ยนเจ้าให้แปรไป
เป็นอันว่ากำนันแปลกตกลงกับตาเชื่อมปล่อยให้เจ้าแผลงพ้นข้อหา แต่ว่าอยู่ในท้องที่ของท่านกำนันอีกไม่ได้เพราะมีคดีติดตัว เจ้าแผลงหัวเราะแค้นๆ เหลียวมาดูห้างนอนซึ่งมันจะไม่ได้นอนอีก อีช้อยเมื่อก่อนๆ เคยรักใคร่มันนัก เจ้าโปรยก็หึงหวงมัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครจะแยแสมันสักคน เมื่อเดินผ่านมาถึงทางหญิงทั้งสองมันก็หยุดลา
“ช้อยเอ๋ย พี่ลาเอ็งก่อนละ นาของพี่นี่เมื่อว่ามันเป็นของเอ็งอยู่มั่ง พี่ก็เต็มใจ” มันพูดน้ำตาคลอๆ หันมาทางเจ้าโปรยกำลังเบือนหลบ “แม่โปรย-ผิดร้ายอะไรฉันก็ไม่มี อ้ายเรื่องวันนั้นก็ถามอีช้อยมันดูเองเถอะ แต่ฉันมันคนเคราะห์ร้ายก็จะขอลาไปตามเคราะห์ โปรยเอ๋ยฉันได้พูดไว้แล้วว่าเป็นปลามันสบายกว่าเป็นคน”
“นิ่งเสียเถอะพ่อแผลง” โปรยตอบเสียงสั่นคำพูดของเจ้าแผลงเป็นคำหลังที่แทงใจ “ฉันก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรเมื่อเรื่องมันแล้วไปแล้วจะงัดขึ้นมาพูดกันทำไม”
จะแสนแค้น เจ้าแผลงก็ยังเกรงใจโปรยอยู่มากคิดถึงวาสนาและความเวิ้งว้างที่จะต้องมีต่อไปข้างหน้า แล้วน้ำตาหยดดิน ไม่รู้จะพูดอะไรอีก ออกได้เดินดุ่มไป
เจ้าช้อยสะอื้นดัง “พี่แผลงจะไปอยู่ไหน?”
มันเหลียวมาน้ำตานองหน้า “ไม่รู้เลยช้อยเอ๋ยน้ำขึ้นน้ำลงมันมีข้าก็จะไปตามน้ำตามลมกว่ามันจะหมดชีวิตของข้า” แล้วไม่พูดอีกจนคำเดียว ออกเดินมุ่งที่จะให้พ้นผืนนาของมันเองให้เร็วที่สุด เมื่อจะผ่านกลุ่มตาเชื่อมและกำนันแปลกกับลูกบ้านที่จะมาจับ เหลียวเห็นหน้าอ้ายเทียมแล้วยากจะร้องให้ดัง พยักหน้ากับมันครั้งหนึ่งเหมือนจะบอกว่า ถึงชายคาในแสนแสบมันจะไร้แต่ท้องน้ำและทุ่งท่าทิวไม้ยังเป็นของกู แล้วมึงก็จะได้รู้จักอ้ายคนนอนกลางดินกินกลางน้ำในวันหน้า
ทุกๆ คนมองตามด้วยหัวใจต่างกัน ชั่วๆ ดีๆ เมื่อมันอยู่นักเลงอื่นก็ไม่กล้าเหยียบทุ่งแสนแสบอย่างดูแคลน แต่ว่าพ่อเทียมมือรองดีอกดีใจที่จะได้เป็นมือเอก เจ้าช้อยหัวใจเยือกเย็นมองห้างเฝ้าควายแล้วรู้สึกอยู่ว่าทุ่งแสนแสบกำลังจะขาดอะไรไปสักอย่างหนึ่ง โปรยนั้นเหมือนปิศาจเข้าสิงหัวใจได้ยินอยู่แต่ว่าคล้ายคนพืมพำทำให้ได้ยินที่ข้างหูว่า “คนไม่รักสัตย์จะต้องฉิบหายตายเป็นผีทุ่ง” แล้วก็ยืนมองมันกระทั่งเห็นหลังไวๆ แลย่ำลับลงลำกระโดงโน้น
.
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 11,133
Re: อมตะนิยายเรื่อง แสนแสบ บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม
«
Reply #3 on:
23 October 2025, 16:41:18 »
https://vajirayana.org/%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%9A/%E0%B9%94-%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99
https://vajirayana.org/
แสนแสบ/๔-คนกลางดิน
๔. คนกลางดิน
เดือน ๕ หน้าแล้งแดดเปรี้ยง
หญ้าทุกหย่อมร้อนระอุ น้ำแลฟากตลิ่งแตกระแหง ท้องน้ำลำกระโดงก็เขินเลน แสนแสบกำลังเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูของธรรมชาติ หัวคุ้งเจ้าขวัญเงียบสงัดร่มรื่นไปด้วยเงาไม้ใหญ่แม้ว่าจะเป็นเดือน ๕ หน้าร้อนในคลองก็ยังมีน้ำใสสะอาดไหลเป็นเกลียว บัวเผื่อนและผันประชุมดอกสลอนตามตลิ่งสองฟากเป็นไม้ใหญ่ยืนต้นทั้งไกรและก็กร่างเถาวัลย์เลื้อยโยงระย้าปกคลุมมีศาลคู่ของเจ้าขวัญและแม่เรียมซึ่งชายคลองปลายน้ำบางกะปินับถือกันว่าเจ้าพ่อเจ้าแม่ซึ่งยังสถิตเสถียรอยู่เพื่อเป็นองค์พยานของคู่หนุ่มสาวลูกปลายน้ำรุ่นหลังที่จะกระทำสัตย์สาบาน ว่าจะเป็นคู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตลอดไป
เพิงมุงด้วยแฝกเพียงอาศัยคนเดียว ปลูกอยู่หลังศาลห่างออกไปจากนาเขินท้ายดงโสน ควายแตกเปลี่ยวเพิ่งรุ่นหมอบเอื้องหญ้าอยู่ใกล้ๆ กำลังบ่าย แดดเพิ่งจะตกชายทุ่งลมฝ่ายอดไม้ลงพ้องน้ำเป็นระลอก อ้ายเจ้าของควายซึ่งนอนพักร้อนก่ายหน้าผากอยู่ในเพิงอ้ายคนที่ถูกหาว่าลักเงินปล้นควายเมื่อ ๓-๔ เดือนก่อนและถูกขับออกจากแสนแสบ แต่ว่ามันก็คงหลบอยู่ในแดนบางกะปิต่อแสนแสบอย่างสบายใจสองชีวิตกับอ้ายหลักควายหนองจอกที่มันเป็นคนซื้อแต่ว่าอ้ายหลักเป็นควายเปลี่ยวอาละวาด เมื่ออ้ายแผลงคนเลี้ยงเตลิดมาแล้วก็ไม่มีใครจะยออ้ายหลักไว้อยู่ มันก็แตกคอกขวิดดะไม่เลือกแล้วก็เบิ่งไป กระทั่งมาพบเจ้าแผลงนายเก่าที่เคยขี่มันมาแต่หนองจอก อ้ายหลักก็เลยมอบตัวเป็นพาหนะเพื่อนทุกข์ เพื่อนยากอยู่กับอ้ายแผลงอาศัยหลบเป็นควายเจ้าอยู่หลังศาลเปลี่ยว
พอตะวันคล้อย ความร้อนค่อยเบาบางลมตกทุ่งเย็นสบาย มื้อเย็นที่จะต้องหาใส่ปากใส่ท้องใกล้เข้ามา เจ้าแผลงจำใจตื่นจากความคิดที่ไตร่ตรองไปถึงความหนหลังโน้น ปลดออกจากหลังคาเพิงเดินมาที่อ้ายหลัก มันลุกยืนเบิ่งจ้องหน้าเจ้าของเห็นอ้ายหลักแล้วก็คิดถึงความหลัง เพราะกูไปหนองจอกซื้อมึงแท้เทียวอ้ายหลัก กูถึงต้องยากกายช้ำใจถึงปานนี้ เออ-ปานนี้และวะอ้ายหลักที่แม่โปรยกะกูมาสาบานกันที่หน้าศาลท้ายพงกก แต่ว่ากูมันคนยากหมดตัวอ้ายน้ำคำสาบานและน้ำใจรักของแม่โปรยก็หมดไปลดไปพร้อมๆ กับน้ำหลากเดือนอ้าย
อ้ายคนหนุ่มที่อาศัยท้องน้ำแลนาเขินแอบแฝงฝากชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ยืนเพ่งพงกกชายตลิ่งข้างหน้ากอกกที่หักราบเพราะแขนมันแหวกแล้ว อุ้มเจ้าโปรยนั่งตัก จมูกจูบแก้ม ปากก็พร่ำวอนรักกันเหมือนจะขาดใจเสียด้วยกันที่หน้าศาลเมื่อก่อน แต่มื้อนี้เล่าโปรยเอ๋ยเจ้าเป็นอื่นไปเสียแล้ว พี่อกแห้งเมื่อรู้ข่าวว่าท่านกำนันรับหมั้นอ้ายชวนกะเจ้าเมื่อเดือนก่อน แล้วเดือนหกแรมข้างหน้า เจ้าก็จะต้องแต่งเป็นเมียของอ้ายชวน แล้วอ้ายชวนมันก็จะพาเจ้าไปอยู่บางกอก แลอ้ายคนแสนแสบพันยังกะพี่ก็จะต้องตายเพราะช้ำใจโอ๋บางกอก บางกอกเมืองไกลที่มันจะพรากเจ้าโปรยไปจากพี่ แม่โปรยก็คงเป็นสุขอยู่ในบางกอกเมืองสวรรค์ รวมทั้งอีช้อยกะอ้ายเทียมที่เพิ่งจะหมั้น หากว่าฉันจะตายลงเสียมื้อใดแม่โปรยก็คงจะไม่รู้ อีช้อยก็จะลืมหน้าพี่ ผีพี่ก็คงเป็นผีทุ่งอยู่กะอ้ายหลักหลังศาลนี้เอง
ถ้าขืนคิดไปอีกคงไม่กลั้นน้ำตาได้ กลับหลังเมินหน้าหนีพงกกออกเดินมุ่งลัดเข้าชายนา อ้ายหลักที่เงื่องหงอยเหมือนรู้ใจนายเพื่อนทุกข์ มันมิได้ร้องรบกวนหรือเอาสีข้างสีขาแงะหยอกล้อเหมือนอย่างเคยออกเดินตามเจ้าแผลงดุ่มร่วมทุกข์ร่วมยากไปหาอาหารมื้อเย็นด้วยกัน
คล้อยบ่ายล่วงไปแล้วอีกครู่ใหญ่ๆ ที่ท่าน้ำหลังเรือนกำนันแปลกกำลังเป็นสบาย เพราะร่มเงาไม้ริมตลิ่งกับสายน้ำเชี่ยวในคลองทำให้เพลิดเพลิน เจ้าโปรยคนสวยของแสนแสบแม้ว่าจะได้เปลี่ยนสภาพจากหญิงบ้านนาไปอย่างคนละคน กระทั่งเป็นคู่หมั้นของนายชวนคนบางกอกมีหน้ามีตา แต่แล้วความไม่แน่ทั้งหลายก็เกิดขึ้นแก่เจ้าโปรยอีก ตั้งแต่หมั้นกันแล้วร่วมเดือน นายชวนก็หายเงียบไม่เยี่ยมกรายมาแสนแสบอีก ซ้ำร้ายพ่อเทียมยังยืนยันว่าเมียของนายชวนที่บางกอกมีถึง ๒ คน เป็นอันว่าท่านกำนันและเจ้าโปรยหลวมตัวที่รับหมั้น
ข้างฝ่ายเจ้าเทียมถึงจะได้หมั้นแล้วกะเจ้าข้อย แต่ใจแท้เดี๋ยวนี้ของพ่อเทียมหาได้รักเจ้าช้อยไม่ เมื่อก่อนรู้ว่าเจ้าโปรยยังรักยังใคร่อยู่กะอ้ายแผลง พ่อเทียมจึงเสี่ยงมาชอบเสียกะเจ้าช้อย แต่นี่อ้ายแผลงซึ่งเป็นคนเดียวที่คิดคร้ามก็สาบสูญ ความรักของนายชวนก็แตกเพราะปากพ่อเทียมเอง แล้วเจ้าโปรยก็ถูกอกถูกใจและปองไว้นานนักหนาจะไปไหนเสีย
ทั้งสองนั่งอยู่ใกล้ๆ กันที่ท่าน้ำ พ่อเทียมคนเจ้าความคิดกำลังพูดจาหว่านล้อม จะให้เจ้าโปรยถอนหมั้นจากนายชวนมาตกลงปลงใจกับตัว แต่ว่าในหัวอกแท้ของโปรยกำลังชอกช้ำคิดจะไม่เชื่อผู้ชายทั้งหลายอีก เพราะสิ้นชายนั้นเหมือนไผ่ยอดอ่อนที่โอนลมรอบทิศสัญชาติไผ่หรือจะหมดหนามหรือวิสัยหนามก็ยอกไม่เลือกว่าใคร
โปรยนิ่งฟังคำของพ่อเทียมที่พูดจาหว่านล้อม แทะโลมต่างๆ ก็ให้นึกรำคาญน้ำคำจึงถามขัดขึ้นว่า
“ก็แล้วแม่ช้อยนั้นพ่อเทียมจะว่าไร?”
พ่อเทียมหัวเราะก๊าก เพราะได้เตรียมตอบคำนี้ไว้ก่อนแล้ว “อ๋าแม่โปรย ฉันก็ถอนหมั้นนังช้อยเสียเท่านั้น พี่ชายมันทำไว้กะแม่โปรยฉันก็จะแก้ตัวกะน้องมันเพื่อลบแค้นให้แม่โปรย” เมื่อเห็นโปรยไม่ตอบก็พูดต่อไปตามที่คิดมาแต่เมื่อคืน “รู้หรือเปล่าหรอกแม่โปรย ว่าอ้ายก๊กตาเชื่อมนี่มันโกงทั้งโขยง เจ้าชวนมันหมั้นกะแม่โปรยก็เพราะแม่โปรยมีนามาก เป็นลูกคนเดียวของท่านกำนัน มันจะเอาปลาเล็กมาแลกปลาใหญ่ ข้างนังช้อยมันก็รักสมบัติฉันตะหาก แน่ะแม่โปรยอย่าดูอื่นดูไกลเลย ขอให้ดูอ้ายแผลงเถอะ นาของมันตั้ง ๓๐ กว่าไร่ตาเชื่อมก็โกงเสียจนหมดตัว ซ้ำหาความใส่เสียจนต้องเตลิดออกจากแสนแสบแล้วฉันเรอะจะกล้าเข้าไปเป็นเขยตาเชื่อม มิวันไรก็วันหนึ่งหรอกที่ฉันจะต้องถูกวางตายทิ้งสมบัติไว้ให้มัน”
โปรยใจหายเมื่อได้ยินชื่อเจ้าแผลง ยิ่งรู้ว่าเคราะห์ของเจ้าแผลงนั้นเกิดขึ้นจากตาเชื่อมใส่ไคล้ ก็อกแห้งเพิ่งจะรู้ความจริงว่า อ้ายชู้รักเก่าเป็นคนบริสุทธิ์นึกเสียใจที่เจ้ามัวหลงคำเขาอื่นลืมมันเสียง่ายดาย
“ใครเป็นคนบอกพ่อเทียม?”
“จะต้องใครบอก ก็อ้ายเขียวคนบ้านฉันที่ตาเชื่อมจ้างให้ดักฆ่าอ้ายแผลง เมื่อจะไปซื้อควายนั่นถูกแทงวิงอู้มายังอยู่ทั้งคนแล้วความนี้ตาเชื่อมยังมาปรึกษากะฉันอยู่ทุกวันจนอ้ายแผลงกลับ”
โปรยมองดูสายน้ำใจคอหาย ยิ่งเห็นปลาผุดและว่ายเลาะตลิ่งก็หวนนึกถึงคำของเจ้าแผลงเมื่อวันไปถีบระหัด มันอยากเป็นปลาอยู่ในน้ำเพราะว่าสบายใจกว่าคนก็น่าจะจริงของมัน
เรือสำปั้น จ้ำมาจากหัวคุ้งลำหนึ่งมีคนนั่ง ๓-๔ คน โปรยป้องหน้ามองจำได้ว่าคนท้ายคือเจ้าช้อย กระทั่งใกล้เข้ามาจึงรู้ว่าเจ้าช้อยร้องไห้ ข้างพ่อเทียมผละห่างสีหน้าเจื่อน
แทบไม่ทันจอดเรือ เจ้าช้อยรีบโดดขึ้นตลิ่งก่อนคนหัว
“ท่านกำนันอยู่ไหม? แม่โปรย”
โปรยยังตะลึงในท่าทางและการมาอย่างผิดประหลาดของน้องสาวคู่หมั้น
“อยู่-เอ๊ะ ทำไมช้อยถึงร้องไห้ เกิดเรื่องราวอะไรขึ้นเร๊อะ?”
ช้อยยกมือปิดหน้าซัดอีกโฮใหญ่
“พ่อตาย เพิ่งขาดใจเสียเมื่อสักครู่ฉันก็รีบมาหาท่านกำนัน”
พ่อเทียมกับโปรยสะดุ้งร้องฮะขึ้นพร้อมกัน และนึกโล่งใจไปด้วยกัน ที่เจ้าช้อยมิได้ร้องไห้เพราะเห็นคนทั้งสองนั่งคุย
“นี่พูดเป็นความจริงหรือน่ะ แม่ช้อยฮะ?” พ่อเทียมคะยั้นคะยอแกะมือที่เจ้าช้อยทำท่าจะปิดหน้าอีก
“จริง-อ้ายหลักควายที่แตกคอกไปเมื่อ ๓-๔ เดือนนั่นแหละ มันบ้ามาแต่ไหนไม่รู้ขวิดควายเราที่ปล่อยอยู่กลางทุ่ง พ่อแกจึงวิ่งออกไปไล่ มันเลยขวิด ไปดูเองเถอะฉันจะไปหาท่านกำนัน ที่บ้านก็ไม่มีคนจะอยู่เป็นเพื่อนผีนอกจากแม่และเด็กๆ”
เมื่อเจ้าช้อยผลุนผลันขึ้นเรือนไปแล้ว โปรยก็นึกปลง อนิจจังตาเชื่อมยังพูดถึงแกหยกๆ เดี๋ยวนี้เอง แล้วก็ใช่ควายอื่นไกลที่แท้ก็อ้ายควายหนองจอกที่แกซื้อมานั่นเองแล้ว ก็เลยคิดไปว่า บาปก่อนแกทำไว้ที่ให้เจ้าแผลงไปซื้อหวังเพอุบายจะโกงมัน แล้วแกก็ต้องมาตายด้วยอุบายชั่วของแก เป็นอันว่าเจ้าช้อยมาแจ้งให้กำนันว่าพ่อตายและขอร้องให้เรียกระดมลูกบ้านช่วยกันออกล้อม ยิงอ้ายหลักเสียในเย็นวันนั้น โปรยหน้าซีดเมื่อรู้ว่าพ่อต้องรีบธุระออกไปยิงอ้ายหลักเกรงจะถูกชนตายเหมือนตาเชื่อม แต่พ่อเทียมซึ่งคอยหาช่องจะทำความดีอยู่แล้วเป็นผู้รับอาสาจะออกหน้านำลูกบ้านไปยิงอ้ายควายหนองจอกโปรยจึงค่อยเบาใจ
เจ้าแผลง อ้ายคนสิ้นเนื้อประดาตัวอาศัยเพิงแลร่มไม้เป็นที่ค้างกายกำลังก่อไฟหลุมจะหุงข้าววันนี้ได้ข้าวมาก เพราะอ้ายเทียมไม่อยู่ ลูกจ้างก็ออกไปเลี้ยงควายเลยเจาะยุ้งขนเสียพอแรงเผื่อไปมื้อหน้าได้อีกหลายวัน ขอเทน้ำลอยเป็นแพเสียอีกแยะ นึกขันว่าอ้ายเทียมกลับบ้านคงจะท้าขรมหาตัวคนแกล้ง วันนี้อ้ายหลักจะเตลิดเข้าไปลองเขาที่นาใครยังหารู้ไม่ได้ ควายพันธุ์ยังอ้ายหลักนี่มันถูกใจนักถึงชาติหน้าจะเกิดเป็นควายก็ขอให้เป็นควายเหลือขออย่างอ้ายหลักเถอะไม่ว่าเลย
พอข้าวหลุมสุกสักครู่ ก็เอาโคลนพอกปลาแล้วเสียบไม้ย่าง พลิกไปมายังไม่ทันจะสุก เสียงสวบสาบตะโพงลั่นทุ่งมาแต่ข้างหลัง พอเหลียวก็เห็นอ้ายหลักตัวลือยังนึกเมื่อมาถึง มันสลัดเขาเบิ่งแล้วตะกุยดินทั้งจามทั้งหอบปลายเขาเลือดยังสดๆ
เจ้าแผลงมิได้นึกผิดแปลกอะไร เพราะเป็นของธรรมดาของอ้ายควายหนองจอกที่ชอบประลองเขา ครั้นมองไปอีกทีถึงกับถลันยืนที่ปลายเขามีเศษผ้าขาดติดมาด้วย ทั้งเลือดก็ใสผิดเลือดควายอื่น เป็นคนแท้เสียละอ้ายหลักมึงวันนี้ต้องขวิดคน เออ ถ้าว่าเป็นคนก็เห็นจะไม่รอดข้ามคืนแน่ แล้วเจ้าแผลงก็วัดเลือดตามรอยปลายเขาลึกเกือบจะสองฝ่ามือ ตายโหงแน่ เอาอะไรมารอดถึงควายก็เต็มยืด
มันยืนใจคอสั่นคิดถึงคนที่ถูกอ้ายหลักขวิด ว่าป่านนี้จะเป็นประการใด คิดถึงความเดือดร้อนของอ้ายหลักที่จะต้องถูกพวกลูกหลานติดตามประหารมัน เพราะเอาไว้ไม่ได้ ข้างอ้ายหลักควายเปลี่ยวที่จะรู้ผิดมันยืนง่วงเขาตกตาปรอยๆ
เสียงกู่และตะโกนกันเอะอะมาแต่ไกล ทั้งในลำคลองและท้องทุ่งทุกด้าน อ้ายหลักตื่นเบิ่งเขาเข้าดงโสน เจ้าแผลงเองก็ตื่นไม่แพ้อ้ายหลักแต่พอเดาความได้ว่าทำไงเสียพวกพ้องลูกหลานอ้ายคนถูกขวิด คงจะต้องสะกดรอยมาเป็นแน่ หมุนเข้าเพิงคว้าหอกกับไม้รวกที่เสี้ยมเป็นแหลนมัดไว้ ๘-๙ อันกับมีดพก เผ่นขึ้นต้นไม้ใหญ่หลังศาลจนกระทังถึงยอดจึงโหนเถาวัลย์ข้ามไปอีกทีหนึ่งด้วยความช่ำชองชำนาญ
กำนันแปลกซึ่งป่าวร้องลูกบ้านได้ ๑๐ กว่าคน และส่วนมากเป็นเจ้าของควายที่ถูกอ้ายหลักรังควานมาแล้วทั้งสิ้น พ่อเทียมเป็นคนนำหน้าถือปืนยาวเดินตามรอยตีนมาทางบกกระทั่งถึงหน้าศาล
เมื่อล้อมใกล้เข้าไป ทุกๆ คนก็แปลกใจที่เห็นเพิงอาศัยสำหรับคนข้าวก็ยังร้อนๆ หุงเพิ่งสุกแถมปลาที่ยังย่างค้างไว้อีก และรอยตีนควายก็มาสิ้นสุดลงตรงนั้น เพราะเป็นที่แห้งดอน
ท่านกำนันกับพ่อเทียมไปก้มๆ ดูในเพิง แล้วก็พูดซุบซิบ
“คงจะมีคนมาลอบอาศัยอยู่เป็นแน่เชียวนะ ท่านกำนันดูซีผ้าผ่อนยังแขวนอยู่ทั้งห่อ”
ท่านกำนันแปลกพยักหน้า “เห็นจะจริง ข้าวปลายังหุงร้อนๆ แต่ก็คงไม่ใช่คนดีบริสุทธิ์เสียละมังพ่อเทียม?”
“อ๋อเป็นแน่เทียว” พ่อเทียมคล้อยตามแล้วแหงนดูคบไม้ “อ้อศาล ถูกละศาลเจ้าพ่อบางกะปิ แต่ว่าอ้ายควายนี่มันก็ดุฉกรรจ์อยู่นักทำไมอ้ายหมอนี่ถึงอยู่รวมกับมันอยู่ได้นะ โน่นไงท่านกำนัน” พ่อเทียมชี้แปลงควายและหญ้าฟาง ที่ทอดถัดหลังเพิงให้กำนันแปลกดูแล้วว่า
“รื้อมันทิ้งเสียเถอะน่ะ อ้ายเพิงหมาแหงนนี่ขืนเอาไว้ก็รังแต่จะเป็นที่อ้ายคนกลางดินกินกลางทรายอาศัยเปล่าๆ เผลอเข้าก็ขโมย ฉันกลับไปบ้านไปเอาปืนเมื่อกี้ข้าวในยุ้งก็ถูกขโมยทิ้งน้ำเป็นกองสองกองคงอ้ายนี่แน่” ขาดคำพ่อเทียมก็ยกเท้าถีบเพิง และกระชากหลังคาพังทลายวินาศหมด แถมเอาข้าวในห่อกับปลาเหวี่ยงลงน้ำไป
ลูกบ้านที่มาด้วยเที่ยวค้นหาอ้ายหลักกันตามที่ต่างๆ กระทั่งใกล้พลบด้วยความระมัดระวัง เพราะรู้อยู่ว่าอ้ายหลักมิใช่ควายธรรมดา เป็นควายที่มีปิศาจผีตายโหงของตาเชื่อมสิงอยู่ปลายเขา
เหลือดงโสนทึบอีกแห่งเดียว ที่ไม่มีใครกล้าค้น กำนันแปลงจึงให้ประชุมพร้อมๆ กัน แล้วโห่ร้องยิงกราดเข้าไป ในครู่นั้น อ้ายหลักซึ่งหมอบหลบอยู่ก็โผนตะโพงออกมาด้วยความตกใจและบ้าเลือด เพราะมันถูกปืนที่กลางตัว ออกได้วิ่งรี่ใสวิ่งเข้าขวิดกระจายไม่เลือกหน้าใครต่างหลบกำบังโคนต้นไม้ พ่อเทียมซึ่งจ้องอยู่นานพอได้ทีอ้ายหลักเบนหัวให้ก็ยิงถูกแสกหน้าอย่างจัง ล้มแด่วๆ ซ้ำอีก ๓-๔ นัดจึงเงียบหาย
การแล่เนื้ออ้ายหลักลงมือกันเดี๋ยวนั้น กระทั่งค่ำมืดต้องส่องคบแล้ว เนื้ออ้ายหลักก็เพิ่งจะแล่ได้ซีกเดียว เหตุประหลาดที่ไม่มีใครนึกถึงก็เกิดขึ้น เพราะลูกบ้านคนที่ถือคบถลาแล้วล้มฮวบลง
ช่วยด้วย-เร็วฉันถูกแทง!” พอขาดคำคนทุกทางก็มารวมอยู่ที่คนเจ็บ กำนันแปลกเป็นคนถอนหลาวไม้รวกยาวออกจากหลังแล้วมองตาทุกๆ คน
“มาจากไหน?” พ่อเทียมถาม ขยับปืนกลับหน้าตื่นเมื่อไม่มีใครตอบถูก ก็พากันพิศวงและหวาดสันหลังไปตามกัน จึงดับคบหมดทุกดวงเพื่อไม่เสียเปรียบบ้างก็เตรียมกลับ บ้างก็หมอบตัวลงแนบกับดิน
เจ้าแผลงซึ่งลอบอยู่บนคบไม้สูงอีกฟากหนึ่ง ขณะเมื่อเห็นพ่อเทียมยกเท้าถึบและรื้อเพิงที่อาศัยมันแค้นไม่มีอะไรเปรียบ มึงคนเดียวล่ะนะอ้ายเทียมที่ตามผลาญกู กูแตกกันเพราะปากมึง แสนแสบกูอยู่ไม่ได้ก็เพราะปากมึงแล้วมึงก็ยังจองล้างจองผลาญรื้อที่อยู่อาศัยค้างกายกูอีก พออ้ายหลักถูกยิงล้มลงต่อหน้าต่อตา มันก็แทบเอาแหลนพุ่งลงมา แต่หากยังคิดไว้ได้ว่าพวกนั้นมากกว่าทั้งมีปืนครบมือ จึงอุตส่าห์สะกดใจคอยจนมืดจึงพุ่งแหลนไม้รวกที่มันติดมือขึ้นมาไปถูกคนถือคบอย่างแม่นยำ
พวกนั้นตายังมืดฟางไฟอยู่ เพราะเพิ่งดับคบใหม่ๆ จึงคลำดินกันป้วน และเป็นทีข้างอ้ายแผลงซึ่งอยู่ในที่มืด มันมองหาร่างอ้ายเทียมจำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร จึงไต่คบต่ำลงมา แต่กำลังมืดจึงไม่รู้ว่าอ้ายเทียมไปซุกหัวอยู่หนไหน เมื่อไม่พบแน่ แหลนที่เหลืออยู่ ๕-๖ อันมันก็พุ่งปราดลงมา แต่ละอันไม่ผิดเพราะคนมากอยู่เป็นกลุ่มเสียงร้องเอะอะเจ็บปวด บ้างก็ยิงปืนสุ่มไปในรกแลพงโสนพอเอาเสียงปืนเป็นเพื่อน สักครู่เสียงน้ำตูมใหญ่ อ้ายคนทรหดใจเสือของแสนแสบโผนลงน้ำไปเสียแล้ว และเสียงหัวเราะก้องลำน้ำ เสียงหัวเราะลั่นที่บางคนได้ยินถนัดหูก็พอจำเค้าได้เป็นรางๆ ว่า เมื่อแล้วต้นปีก่อนมีงานก่อพระทรายที่วัด แล้วเกิดตีกับพวกบางกอก อ้ายคนเสียงหัวเราะนี้ลั่นไปถึงไหนก็แหลกกันเป็นช่องเลือดสาดดินลอยคอลงน้ำกันเป็นแพ สักครู่จึงได้ยินเสียงแขนสาวว่ายน้ำปราดและดำหาย มันจะดำไปสักกี่คุ้งโผล่ก็หามีใครจะกล้าชะเง้อขึ้นมองไม่
.
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 11,133
Re: อมตะนิยายเรื่อง แสนแสบ บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม
«
Reply #4 on:
23 October 2025, 16:42:10 »
https://vajirayana.org/%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%9A/%E0%B9%95-%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%9A
https://vajirayana.org/
แสนแสบ/๕-แสนแสบ
๕. แสนแสบ
ผีตาเชื่อมสวดเพียงคืนเดียว เพราะถือกันว่าตายโหง
เมื่อนำไปฝังครบ ๓ วัน จึงทำบุญและเดี๋ยวนี้งานทำบุญก็เลยมาแล้ว ที่บ้านจึงเงียบหงอยทุกห้องหับบนเรือนและลานใต้ถุนเยือกเย็น พอพลบมืดความเงียบวังเวงก็ยิ่งเพิ่มขึ้น หากเป็นเมื่อก่อนถึงตาเชื่อมจะตายไปก็ยังมีเจ้าแผลงเป็นเพื่อนอุ่นบ้าน แต่เจ้าแผลงก็กลับหน้าสูญจากแสนแสบไป ห้างนอนของเจ้าแผลงเองก็เป็นห้างร้านเปิดทึบสงบอยู่ในความมืดของค่ำคืนตลอดมา เพลาคาบเย็นดวงอาทิตย์เพิ่งจะคล้อยทุ่งแสนแสบไปสักครู่ แม้ควายเนื้อนาเจ้าของอื่นจะถูกต้อนลงน้ำและเข้าคอกไปบ้าง แต่ควายตาเชื่อมไซร้ ทั้งเจ้าของและคนเลี้ยงยังคงเป็นควายนอกคอกเอื้องหญ้ามา ๑๐ กว่าวัน เมื่อครั้งตาเชื่อมยังมีชีวิตแกก็เลี้ยงของแกเอง จนหมดชีวิตเพราะควายหนองจอก ตั้งแต่วันนั้นจนวันนี้ ควาย ๕ ตัวที่ยังเหลือก็คงเป็นควายนอกคอกกินหญ้าไปชั่ววันๆ
เมื่อหมดตัวเข้าจริงๆ ถึงจะไม่เปิดคอกนำควายออกทุ่ง แต่พอตกเย็นเจ้าช้อยก็ต้องรับหน้าที่นำฝากทอดให้ควายนอนตลอดจนหญ้าน้ำทุกอย่าง กว่าจะเสร็จก็ได้เวลาใกล้พลบจึงนั่งพักเหนื่อยที่ห้างร้านของเจ้าแผลง คิดอะไรต่ออะไรอีกครู่ใหญ่จึงจะกลับเรือน
เมื่อหญ้าน้ำพร้อมเพรียงอยู่ในคอกแล้ว เจ้าช้อยคนเก๋ของแสนแสบเมื่อก่อน ก็มานั่งพักอยู่ที่ชานห้างเช่นเคย ดวงตะวันเพิ่งลับทิวไม้ ทุ่งและท้องน้ำสีคล้ำบอกกำหนดที่แปรวันเป็นคืน แม้ธรรมชาติที่เจ้าช้อยเห็นอยู่ทุกๆ วันแต่เล็กจนโตก็จริง แต่ไม่เศร้าเงียบใจเหมือนวันนี้เลย เวลาป่านนี้เมื่อค่อนปีก่อน เจ้าแผลงเคยให้เกาะคอว่ายข้ามน้ำ เมื่อคิดถึงเจ้าแผลงก็อดเหลียวดูในห้างไม่ได้ ความดีมันเหลือหลาย ผิดพ่อเทียมคู่หมั้นที่ทำให้เจ้าช้อยต้องช้ำใจเสียใจตัวเองพ่อเจ้าตายอยู่หยกๆ ไม่ถึงครึ่งเดือนพ่อเทียมเกิดมาบอกคืนหมั้น แล้วความก็จะอื้อไปทั้งแสนแสบว่าเจ้าคงจะเป็นหญิงเลวทรามจนถึงชายทิ้งหมั้น ผู้หญิงบ้านนาเมื่อถูกเขาทิ้งหมั้นแล้วต่อไปใครจะคบค้า จะเอาหน้าไปพบหน้าชายอื่นที่ไหนได้อีก
เมื่อคิดถึงข้อเสียต่างๆ นานา กระทั่งคิดถึงพ่อและความหนหลังแล้วเจ้าช้อยก็ปิดหน้าร้องไห้โฮใหญ่ ร้องเสียงดังๆ เพื่อให้สมแก่ความทุกข์ ผมแค่คอที่เคยงามเป็นลอนเมื่อก่อน รุงรังกระจายลมเพราะเจ้าเห่อจะเป็นหญิงบางกอกเองถึงกับลืมพี่แผลงเพื่อนทุกข์ ชั่วดีหากมันอยู่ก็เป็นเพื่อนอุ่นเรือนและพ่อเทียมก็คงไม่กล้าจะมาทำลบหลู่ดูหมิ่นได้ กระทั่งควายและนาจะเป็นธุระของมันไม่ต้องเดือดร้อนถึงเจ้า พี่ชวนก็หายหน้าหลบไปอยู่บางกอกกับเมียแสนสบายไม่คิดถึงคนหลัง
ช้อยยังสะอึกสะอื้นอยู่อีกนานความคิดหลับๆ ตื่นๆ แทบไม่รู้ว่าเวลานั้นกำลังโพล้เพล้ใกล้ค่ำ เสียงควายคอกจามฟืดฟัดแปลกกลิ่นแล้วสะบัดเขา ยิ่งอ้ายปลอดตัวที่เจ้าแผลงซื้อมาจากหนองจอกคู่กับอ้ายหลัก ถึงลุกยืนเบิ่งแล้วถอยหน้าถอยหลัง และในครู่นั้นเองควายทั้งคอกก็ลุกยืนพรวดขึ้นหมด บ้างส่งเสียงร้องตะกุยดินและเอาเขาแงะไม้คอก
ช้อยถลันยืน ตะวันจะชิงพลบเข้าไต้เข้าไฟขมุกขมัว คนด้อมตะคุ่มอยู่ข้างคอก แล้วหลบลงทำให้นางช้อยขวัญหายคิดไปว่า ชะรอยนักเลงดีจะรู้แกวว่าพ่อตายไม่มีคนอยู่จะเข้าเปิดคอกแต่ยังไม่ทันค่ำเมื่อคิดว่าจะเป็นคนปล้นแล้วแข้งขาอ่อนแทบจะยืนไม่ทรงตัว
ครู่นั้น เจ้าคนที่หลบก็อ้อมคอกมาโผล่ยืนอยู่ข้างชานห้างใกล้เจ้าช้อย
“ช้อย เอ็งแปลกพี่เรอะ”
ช้อยตาโพลงมือที่ประนมสั่นอยู่เมื่อกี้กางออกแทบจะยิ้มทั้งน้ำตานึกว่าโจรทั้งหลายอื่น แท้ก็อ้ายเสือแสนแสบที่เจ้ากำลังระลึกถึง จะค่อนปีแล้วเพิ่งได้ยินเสียงเห็นหน้าวันนี้เอง พยศของเจ้าที่จะเป็นหญิงบางกอกหมดสิ้นเพราะความดีใจที่เห็นหน้าอ้ายพี่ชายที่เคยทั้งรักทั้งแค้น โดยมันไม่รู้ตัว
แล้วนางหน้าเก๋ก็โผเข้าหาเกาะแขนมัน
“พี่แผลง เออ-พี่แผลง ฉันกำลังนึกถึงอยู่เทียวนี่พี่อยู่ไหนไปไหนมาล่ะนี่”
อ้ายคนอาภัพยืนหน้าเศร้า เห็นหน้าอีช้อยแล้วไม่วายคิดถึงลุง ถึงแม้ว่าลุงแกจะสารเลวทำเจ็บแสบ ก็ยังเป็นพี่ชายของพ่อที่เคยเลี้ยงมา
“ข้าก็อยู่แสนแสบนี่แหละช้อยเอ๋ย นี่ข้าเพิ่งกลับมาจากไปไหว้ผีลุงแกที่ป่าช้า ก็เลยไถลมางั้นเอง”
ช้อยคิดประหลาดใจ มันอยู่แสนแสบแต่ว่าหามีใครรู้รอยมั่งซ้ำรู้ว่าพ่อตาย
“อยู่ในแสนแสบงั้นเรอะ เออ แล้วใครบอกพี่จึงรู้ว่าพ่อแกตาย”
อ้ายคนกลางดินอ้ำอึ้ง จะบอกตรงก็เกรงอีช้อยจะทรยศ แต่ในแสนแสบนี่ จะยังกลัวใครอีกล่ะเมื่อว่าอีช้อยมันจะไม่เห็นแก่หน้า ก็ขอให้ไปป่าวร้องเรียกกำนันมาจับเอาเถอะ
“ข้าอยู่กะอ้ายหลักที่หลังศาล ทำไมจะไม่รู้ว่าลุงตาย คณี่แล่เนื้ออ้ายหลักนั่นเป็นอย่างไรบ้างว๊ะอีช้อย”
“เออน่ะ” ช้อยชะงักแทบจะไม่เชื่อว่าอ้ายเจ้าของแหลนที่หล่นจากฟ้าเป็นอ้ายแผลง “งั้นก็พี่แผลงซิ ที่พุ่งคนบ้านพ่อเทียม ถึงต้องส่งไปผ่าที่บางกอก ๒-๓ คน”
มันหัวเราะรับคำ แล้วก็เย้านางน้องสาวหน้าสวย
“ข้าจะเอาอ้ายเทียมเสียด้วยแล้ว แต่ว่าคิดถึงมึงจะเป็นม่ายขันหมากหรอกวะ อีช้อย”
ถึงพี่ชายมันจะพูดเล่น แต่ก็เหมือนหลาวเสียบอก เพราะทุกวันนี้เจ้าก็ต้องเป็นม่ายแล้ว เพราะพ่อเทียมทิ้งมันเลยอดร้องไห้ไม่ได้
แผลงไม่รู้เรื่องและความนักเมื่อเห็นเจ้าช้อยร้องไห้ก็คิดไปต่างๆ คิดว่าเจ้าช้อยติดสันดานงอนไม่ก็คงคิดถึงผีลุงแกที่วัด จึงปลอบโยนต่างๆ แต่นังน้องสาวก็ยังสะอึกสะอื้นอยู่ตามเดิม แล้วก็นั่งลงที่ชานห้างเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังถึงว่าพ่อเทียมยอมทิ้งทองหมั้นเจ้าเพื่อไปสู่ขอแม่โปรย
เจ้าแผลงกระสับกระส่ายเมื่อรู้ความแน่ น้อยหรืออ้ายเทียมทำน้องกูได้ ยังไม่พอซ้ำหวนจะไปหาเจ้าโปรยอีกยิ่งมองดูห้างนอนแล้วแค้นไม่หาย เพราะปากอ้ายเทียมแท้กูจึงต้องเตลิดไปอยู่ศาล และเพราะมืออ้ายเทียมที่รื้อเพิงนอนและยิงอ้ายหลักตายคาตา ก็ดีละอ้ายเทียมกูต้องนอนดินกินน้ำเจ็บแสบก็เพราะมึงคนเดียว ในย่านแสนแสบนี้ใครจะแสบเกินกูมึงทำอีกเห็นไม่มี อีช้อยก็ถูกมันทำเสียงามหน้าแล้วจะแว้งไปเล่นเจ้าโปรย
ยิ่งเห็นเจ้าช้อยร้องไห้ เหมือนจะเพิ่มโมโหให้มันหนัก ลุกยืนควงหอกกำสาบานไม่ขาดปาก
“เฮ้ย-จะร้องทำแก้วอะไรวะอีช้อย เถอะเมื่อว่าก็จะตายเสียในวันพรุ่งนี้ก็แล้วไป ถ้าไม่ก็คอยดูเถอะ ว่าอ้ายเทียมมันจะอยู่ยืดไปถึง ๓ วันหรือเปล่า กูแค้นนักว่ะอีช้อย มันทำกูแสบแสนร้อยสีพันอย่างนี่ แล้วเจ้าชวนกะแม่โปรยขาดกันก็เพราะปากอ้ายเทียมอีกล่ะซิ”
ช้อยพยักหน้าหงอยๆ เมื่อได้ยินคำอาฆาตก็ใจคอหวั่นไหว คนอย่างพี่แผลงมันพูดไม่เคยถึงข้ามคืนเลยสักครั้งเดียว
“อย่าเช่นนั้นจะดีกระมังพี่แผลง เพราะว่าเมื่อพี่ทำลงไป ใครเขาก็ต้องเหมาว่าความมันมาเพราะฉันถูกทิ้งหมั้น”
“ช่างหัวมัน อีช้อย เมื่อความมันออกจากปากใครกูรู้ก็จะเอาหอกร้อยปากมันเสียให้ทุกคน ทุกวันนี้กูอยู่ก็ไม่ได้รบสบายเหมือนเขาอื่นหรอกว๊ะกูต้อง...เอ้าอีช้อยเอ๋ยกูต้องนอนโคนไม้หลับใกล้ตลิ่งก็ไม่เพราะปากมันหรอกเรอะ พ่อมึงนั่นกูอโหสิเพราะว่าแกมีคุณและก็ตายไปแล้ว”
ช้อยนิ่งอั้น เพราะรู้โมโหเจ้าแผลง ว่าไม่มีใครห้ามได้ ถึงแม้เจ้าจะได้รับความเจ็บช้ำจากพ่อเทียมเท่าไรก็ไม่อยากที่จะให้เจ้าแผลงทำหุนหันเกินการ
ตะวันตกดินไม่เห็นแสงอีกเลย ท้องทุ่งที่ขมุกขมัวเมื่อกี้มืดมิดสัตว์เล็กและแมลงตามผืนทุ่งเริ่มส่งเสียงขึ้นทีละตัวสองตัว อีกชัวครู่ก็แซ่ไปทั่วทุ่ง
เจ้าแผลงยังยืนงันมือขยับหอกคร่ำเงินกริบๆ แต่ภายในหัวใจมันนั้นอยากจะพบหน้าอ้ายเทียมเสียในคืนนี้ เมื่อพบแล้วก็คงจะได้รู้กันว่า อ้ายคนแสนแสบเยี่ยงมันนั่นจะเป็นประการใด มันมองหน้าเจ้าช้อยคนเก๋เมื่อก่อนเด็กยังฟูมฟายน้ำตา
“กลับขึ้นเรือนเสียเถิดวะช้อย กลางค่ำกลางคืน หายหน้าหน่อยแม่จะเป็นทุกข์ กลับเถอะวะเชื่อคำพี่เถอะช้อยเอ๋ย”
“ข้าอยากชวนพี่แผลงไปหาแม่หน่อย เพราะแกบ่นถึงอยู่เมื่อกลางวันหยก ๆ”
“เช้-มึงพูดไรงั้นวะช้อย เมื่อก่อนกูถูกขับแกก็เห็นงาม และจนทุกวันนี้กูก็ยังเป็นคนที่มือดีกูจะไปหายังไง ไปเถอะมึงกลับไปคนเดียวแล้วอย่าอึงไปก็แล้วกันว่ากูมา”
ช้อยใจแห้งหายลงถนัด มันจากหน้าไปตั้งร่วมค่อนปีจนจะลืมหน้า พอได้เห็นกันอีกชั่วครู่มันก็จะต้องระหกระเหินจากไปอีก ห่อผ้าสะพายกับหอกคร่ำเงินชุดนี้ที่มันจากไปหาเคราะห์เมื่อคราวซื้อควายหนองจอก ทีท่านักเลงและความกล้าทรหดของมันทำให้ช้อยใจป่วนคิดถึงความหนหลัง เมื่อหนหลังโน้นครั้งพ่อยังมีชีวิต เจ้าช้อยเคยรักรูปรักใจมันนัก แต่แล้วพี่ชวนก็นำสมัยบางกอกมาครอบงำจนตัวเปลี่ยนแปลงจากอ้ายหนุ่มงามบ้านนา แล้วหวนไปชวนความกรุ้มกริ่มทันสมัยของพ่อเทียม คบคิดกับพ่อเทียมวางอุบายขับมัน ผลสุดท้ายเจ้าก็ต้องช้ำใจเพราะความเห่อเหิมเกินหน้า แต่เมื่อจะเอารักเอาซื่อกันแล้วใครจะเกินอ้ายหนุ่มงามบ้านทุ่งปลายน้ำไปอีกเห็นจะไม่มี
เจ้าแผลงเดินด้อมระมัดระวังมาส่งนังช้อยจนหัวบันไดเรือนแหงนมองบนฟ้าแล้วพูดกับน้องสายตาจับฟ้า
“พี่ลาละนะช้อย เออ จำเริญเถิดแม่คุณถ้าเดือนมันยังขึ้นหัวค่ำพี่ก็จะอยู่คุยหรอก แต่นี่มันเดือนข้างแรมขึ้นดึกไปกว่าจะไปถึง พี่จะต้องว่ายน้ำไปอีกลำบากเอาการ น้ำมันขึ้นดึก ทว่าอยู่ดึกก็จะต้องว่ายทวนน้ำห่อผ้าจะเปียกเพราะลอยคอไม่ได้”'
“แล้วพี่คงจะมาเยี่ยมฉันอีก” ช้อยพูดคล้ายจะอ้อนวอนมันหัวใจดวงเก่าเมื่อโน้นกลับมาระลึกขึ้นอีกว่า เราเป็นแสนแสบก็พอใจกัน แต่เพียงให้สมหน้ากับผู้ชายบ้านทุ่งแควเดียวกันก็สบายเหลือหลาย แต่เจ้าแผลงยืนก้มหน้าตรึกตรอง เลยช้อยจึงพูดด้วยสำเนียงน่าเอ็นดูเหมือนอีช้อยบ้านนาแสนแสบเมื่อก่อน
“พี่โกรธข้าเพราะพ่อแกงั้นเรอะ แม้หัวใจพี่น่ะจะมาเยี่ยมเป็นเพื่อนผีอีกไม่ได้เทียวเรอะ”
“อื้อ-อีช้อยมึงจะทำเวรให้พี่แท้ รู้ก็รู้ว่านี่วะช้อยว่ากูเป็นคนไง ลุงนั่นกูอโหสิแกแล้ว ไม่กูจะไปไหว้ศพแกทำเจ้าอะไรล่ะวะอีช้อย เออมึงขึ้นเรือนเหอะกูว่างกูก็มา”
แล้วมันก็ผละออกเดินลัดหลังยุ้ง เสียงหมาหอนและโห่เกรียวในชั่วครู่ก็ต้องตะคุ่มแล้วลุยข้ามลำกระโดงไปทางเนื้อนากำนันแปลก เจ้าช้อยยืนดูอ้ายหนุ่มพี่ชายจนลับตาแล้วเจ้าก็อดร้องไห้ไม่ได้ นังช้อยท่าเก๋ร้องไห้ก็เพราะชังหัวใจเจ้าเองที่คิดหวนไปหวนมา ถ้าหากใจเจ้าไม่หวนไปหลงคำพ่อเทียมชั่ว ๆ ดีๆ แม่โปรยกลายเป็นอื่นไปกับพี่ชวนหรือเจ้าเทียม เมื่อนี้เจ้าคนแสนแสบที่อาภัพก็ยังพอจะได้เห็นหัวใจจริงของอีช้อยบ้าง
ที่บ้านกำนันแปลก
ยังเลี้ยงเหล้ากันสนุกสนานครึกครื้นเฮฮา เพราะว่าพ่อเทียมที่จะเข้ามาเป็นเขยเพื่อล้างอายท่านกำนันเป็นคนมีอัฐ และกำลังกระหยิ่มอิ่มใจที่จะได้แต่งเมียงาม นับแต่หมั้นกันมาได้ ๗ วันแล้ว พ่อเทียมไม่เคยขาดการเยี่ยมเยียนเลยสักวัน และทุกๆ วันจะต้องอยู่จนดึกดื่นเสมอ สองคนกับเจ้าเขียวมือรองที่มาเป็นเพื่อนและการมาของพ่อเทียมก็เพื่อเหตุอย่างเดียวคือจะให้ท่านกำนันตกลงกะวันแต่งเสียในเดือนหน้า เพราะความร้อนใจของพ่อเทียมเท่าที่คิดอยู่ทุกวันคือหวาดไปว่ามิวันใดก็วันหนึ่งหากกิตติศัพท์ที่ตาเชื่อมตายรู้ไปถึงหูอ้ายแผลงมันคงต้องหวนมาแสนแสบอีก แล้วไหนเลยเจ้าช้อยจะปิดความเพราะเจ็บใจ และก็คงจะเป็นมื้อนั้นแหละที่พ่อเทียมจะต้องประจันหน้ามัน ทั้งยังหนักใจว่าแม่โปรยอาจกลับคืนดีกับมันอีกก็ได้ จึงคิดจะเร่งแต่งๆเสียให้รู้แล้วรู้รอดจะได้พากันหลบไปอยู่บางกอก ไร่นาทางนี้ก็ให้เขาเช่าถือเก็บเงินกินสบาย
จนล่วงยามไปแล้วเป็นท้ายข้างแรมเดือนขึ้นดึกท่านกำนันซึ่งเห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงเตือนให้พ่อเทียมกลับเสียที ครั้นจะรั้งตัวไว้ค้างที่บ้านก็เกรงนินทาเพราะเพิ่งจะหมั้นใหม่ๆ และลูกสาวก็นอนอยู่ในเรือน
พ่อเทียมกำลังจะประจบท่านกำนัน ก็จำใจลุกจากวงเหล้าอย่างว่าง่าย ชวนเจ้าเขียวแก้โซ่ลงเรือสำปั้นพายล่องตามลำน้ำเอื่อยมาปากก็ร้องเพลงไปตามหัวใจที่คิดครึ้มอยู่ว่าอีกไม่กี่มื้อหรอกแม่โปรย เธอก็จะต้องหวนมารักฉัน ถึงว่าฉันเดี๋ยวนี้เธอจะยังทำทีรังเกียจก็คงเป็นเพราะความอาย คนเราถ้าว่าร่วมหัวร่วมท้ายพายเรือลำเดียวกันแล้วมันก็ต้องร่วมหัวใจกันเป็นแน่
เจ้าแผลงเมื่อผละจากนังน้องสาว ข้ามลำกระโดงมาแล้วก็บ่ายหน้าเข้านาตาเชื่อม แม้จะเป็นเวลาค่ำคืนก่อนดึกทุ่งนาเงียบและมืดเวิ้งว้าง น้ำไหลเป็นเกลียวในคลองคดผ่านสุมทุมพุ่มไม้และปลาใหญ่ผุดอยู่ผางๆ ก็คงไม่อาจแปรหัวใจเสือที่หลบหนีซ่อนตาคนแสนแสบให้เกิดสะทกสะท้านได้ แต่ถึงความทรหดในร่างกายที่ตรากตรำกับธรรมชาติอยู่ทุกๆเวลาจะมากมายเพียงไร ส่วนหัวใจแท้ของเจ้าหนุ่มมันเหี่ยวแห้งด้วยความทุกข์ร้อน มันเป็นชายหัวใจซื่อในรักและน้ำคำสาบาน ถึงจะได้รับความเจ็บแค้นแสนแสบจากเจ้าโปรยคนรักเพียงไร แต่เมื่อรักแล้วก็จะต้องทนรักไปกว่าจะตาย พอรู้ความแน่จากนังช้อยว่า
เจ้าโปรยจะกลับตกเป็นคู่หมั้นคู่แต่งกับพ่อเทียมแน่มันก็ยิ่งเศร้าหนัก ทั้งรักทั้งแค้นในตัวเจ้าโปรยหนักหนา โปรยเอ๋ยเสียแรงพี่รักพี่รอเจ้า ทนลำบากยากกายนอนกลางดินก็หวังจะได้แอบเห็นหน้าเจ้าเพียงชั่วมื้อให้หัวใจพอชื่น แต่ก็เมื่ออ้ายชวนทิ้งหมั้นแล้ว เจ้าจะหวนคิดถึงพี่มั่งเป็นไร พี่รักเจ้านักพี่ก็ช้ำใจเจ้าเท่าที่พี่รัก เพราะว่าเจ้าหาคิดถึงอกพี่ไม่กลับเห็นอ้ายเทียมตัวศัตรูดีเกินหน้า แต่ว่าทั้งแสนแสบนี่ หาใครที่แค้นเกินอ้ายเทียมเป็นไม่มีอีก พี่ไม่ฆ่าอ้ายเทียมเพราะเห็นแก่อีช้อยมันจะเป็นม่ายขันหมาก แต่อีช้อยก็เจ็บช้ำได้อายไปแล้วเพราะอ้ายเทียม ถ้าว่าแสนแสบนี่ยังมีอ้ายเทียมพี่จะต้องช้ำใจตายเพราะเจ้าเป็นเมียมัน เจ้าหนุ่มบ้านนาคนมีเคราะห์ยังเดินวนเวียนอยู่ในเขตนากำนันแปลกด้อมๆ มองๆ เพียงเห็นหน้าชายคานังลูกสาวท่านกำนันที่รักนักรักหนา เมื่อคิดถึงเจ้าโปรยเมื่อก่อนที่เคยกกกอดก็ชุ่มชื่นหัวใจ แต่ครั้นคิดถึงเจ้าโปรยเมื่อนี้และเมื่อหน้าที่จะต้องเป็นเมียอ้ายเทียมแล้วหัวใจก็เดือดพล่าน เนื้อนวลหน้างามของเจ้าโปรยหาสมที่จะเป็นเมียคนอย่างอ้ายเทียมไม่
มันนั่งกอดเข่าอยู่ริมตลิ่งในเนื้อนาเจ้าโปรย เดือนเพิ่งจะขึ้นขอบฟ้า ยังขมุกขมัวเห็นแสงเดือนจับท้องน้ำแล้วหวนคิดถึงเมื่อวันที่มันว่ายน้ำคู่กับเรือมาส่งเจ้าโปรยถึงบ้านนา ปลาผุดจ๋อมข้างหน้าก็คิดถึงปลาเล็กที่ว่ายเมียงกอข้าวหลังระหัด แล้วชี้ชวนเจ้าโปรยให้ดูความสุขของปลาแล้วชวนเจ้าอธิษฐานฤดูน้ำหลากเมื่อก่อนเมื่อมันสุขเหลือ แต่น้ำลดเมื่อนี้มันกลับต้องทนทุกข์ ให้แห้งเหมือนหน้าแล้งครั้นคิดไปอีกมันก็ยิงทุกข์นัก แล้วอ้ายเจ้าหนุ่มนาคะนองทุ่งก็ซบหน้าลงน้ำตาเช็ดเข่า
กระทั่งเดือนสูงขึ้นแสงเดือนแจ่มแจ้งจับผืนนาและสายน้ำตรงที่เจ้าแผลงนั่งเป็นหัวคุ้งท้าย เขตนากำนันแปลกที่พุ่มข่อยและเข็มเป็นที่กำบังลับตา ขณะที่มันเพลินคิดเพลินแค้นในวาสนามันเอง และแค้นในความจองผลาญของพ่อเทียมก็พอได้ยินเสียงเรือพายร้องเพลงมาเอะอะ มันเงี่ยหูฟังจำเสียงได้และในครู่เรือก็พ้นเงาไม้ออกที่แจ้งแสงพระจันทร์สว่างจ้าจับเรือจนเห็นหน้าถนัดว่า อ้ายคนหัวคนท้ายคืออ้ายคนบ้านทุ่งเดียวกัน อ้ายลูกปลายน้ำคนละคุ้งที่มันแค้นแทบกระอักเลือดกำลังลอยลำตามน้ำมาหาเคราะห์เอง สมใจมันนัก อ้ายแผลงคนนอนศาลอาศัยทุ่งถอยตัวลงน้ำเงียบเชียบไม่กระเพื่อม อ้ายเทียมที่จะมาเป็นผัวแม่โปรย อ้ายเทียมที่ทำกับมันและน้องสาวแสนเจ็บแสนแสบเมื่อว่าไปไหนๆ อ้ายแผลงมันจะไม่มีสุขได้แม่โปรยแล้วอ้ายเทียมคนมีทรัพย์ มันก็จะเป็นผัวแม่โปรยไม่ได้เหมือนกัน น้ำตากูตกลงสายน้ำนี่เพราะมึงมากหลาย แต่ว่าสายน้ำนี่คืนนี้จะเป็นสายเลือด ไม่มึงก็กู อีช้อยเป็นม่ายขันหมาก แม่โปรยก็จะต้องม่ายเหมือนอีช้อย กูก็จะนอนศาลาหลับตาตายสบายอย่าว่าแต่มึงจะมากันเคียงสองให้เต็มลำกูก็จะล่มกดคอกินน้ำเสียให้สมกับที่ปากมึงดี
มันลอยเอาสวะบังหัว หอกคร่ำเงินมรดกพ่อมั่นยืนอยู่ใต้น้ำเหมือนสวะลอยไม่มีพิรุธเพราะชำนาญออกนำเรือจนกระทั่งเข้าไม้มืด พ้นแสงจันทร์จึงแอบเข้าตลิ่งก็พอเรือมาถึง
เจ้าเขียวคนท้ายคอยคัดคอยวาด ปล่อยให้เรือล่องตามน้ำอย่างสบายใจ ปากก็คอยกระทุ้งรับเป็นคอสองเมื่อพ่อเทียมว่าเพลง แต่เจ้าเขียวก็หารู้ไม่ว่าสวะที่หมุนแอบตลิงอยู่ในคุ้งมืดข้างหน้านั่นมันดุยิ่งตะโขงใหญ่ พอถึงก็คัดเลี้ยวหลีกสวะ ชั่วครู่นั้นพายที่จุ่มน้ำก็ถูกกระชากอย่างเรี่ยวแรงเสียหลัก เจ้าเขียวก็หล่นตูมลงมา พอเรือเสียท้ายพ่อเทียมเหลียวมาดูก็พอดีเรือล่มเหมือนคนจับคว่ำ
การน้ำไม่มีใครชำนาญเกินอ้ายแผลงยิ่งใจแค้นมันมีอยู่มันก็ยิ่งอาละวาดเหมือนจระเข้หวงวังน้ำ พอหยั่งถึงเพียงอกเมื่อคว้าคอเจ้าเขียวได้ก็กดลงแล้วเอาตีนเหยียบเหมือนเหยียบกุ้งเหยียบปลาที่มุดอยู่ใต้ฝ่าตีน แล้วก็ปักหอกห่มตัวตรึงอ้ายเขียวแน่วอยู่กับก้นคลอง
อ้ายเทียมยังสาละวนไม่รู้ตัว ไม่คิดว่าเป็นคนเข้าใจว่าจระเข้พลัดเข้าคลองเล็กหนุนเรือ แต่ก็วันตายของอ้ายเทียมที่พ่อแม่จะไม่รู้ ถึงแม่โปรยและกำนันแปลกที่หวังจะเป็นพ่อตาอ้ายเทียมเศรษฐีก็จะไม่ได้วี่แวว เห็นพ่อเทียมยังยืนงงไม่รู้ต้นสายปลายเหตุหมุนหาเจ้าเขียว จะโผล่ก็โผล่ในวันมะรืนเมื่อผีมันขึ้น แต่มึงก็จะได้โผล่ไล่ๆ กับอ้ายเขียวเป็นผีน้ำอยู่ด้วยกัน
สาวแขน ๓-๔ ปราดก็ถึงตัวกอดคอพ่อเทียมไว้มั่น เสียงฮะๆ ทั้งชอบใจช้ำใจที่แสนแสบเพราะอ้ายเทียม
“อ้ายเทียม มึงกะกูมากอดคอกันดำน้ำ เมื่อว่ามึงดำอึดกูก็จะยอมตายไม่โผล่”
พ่อเทียมเหมือนตายไปครึ่งตัวฤทธิ์เหล้าไม่มีเหลืออยู่เลย เสียงก็จำได้ว่าเป็นอ้ายแผลงแน่ ข้อลำที่มันกอดคอฟัดจะให้ดำน้ำก็เหนียวแน่นกอดติดพ่อเทียมดิ้นอย่างที่จะดิ้นเอาชีวิตรอดแต่ถ้าหากพ่อเทียมเคยถูกงูหลามรัด ก็จะรู้ว่าแขนอ้ายแผลงมันหนักไปยิ่งกว่างู
มันฟัดจนพ่อเทียมเสียหลักล้มลงนอนคลองกอดอ้ายเทียมไว้ กบดานอ้ายเทียมเสียเหมือนจระเข้คาบคนมากด ถ้าว่าพูดได้ใต้น้ำก็จะบอกกับมันว่า อ้ายเทียมเอ๋ยมึงทำกูแสนแสบนัก พลัดที่กินที่อยู่มิหนำซ็ยังชิงเจ้าโปรยด้วยอำนาจสมบัติ ปากมึง ปากมึงนี่แหละทำให้คนทั้งแสนแสบอยู่ไม่สุข มึงหมดอึดใจหรือยังเมื่อหมดก็กินน้ำเสียให้อิ่ม น้ำสายนี้คลองนี้มันเป็นน้ำตากูมากหลายเพราะมึงคนเดียวดื่มเถอะ อ้ายเทียมดื่มให้เต็มอิ่มของมึง เมื่อมึงไม่ขาดใจ กูก็จะไม่โผล่จะขอกอดคอตายไปด้วยกัน
เพียงครึ่งอึดใจเจ้าแผลงที่เคยดำ พ่อเทียมก็สิ้นใจอยู่แขนมัน แล้วอ้ายคนที่แก้แค้นก็ผุดขึ้นเหนือน้ำส่ายหน้าสลัดผมด้วยความเหน็ดเหนื่อย ทั้งเศร้าและสลดใจที่มันต้องสร้างบาปสังหารคน แต่เมื่อคิดว่าอ้ายคนที่มันสังหารนั่น ขืนละไว้ก็จะต้องสังหารมันก็โล่งใจไปที่ชอบเถิดอ้ายเทียมเอ๋ย ทั้งอ้ายเขียวที่เคยดักทำร้ายกูที่หนองจอกมึงกับกูสิ้นเวรสิ้นกรรมกันที
มันถอนหอกจากอ้ายเขียว แล้วกู้เรือผลักให้ลอยไปตามน้ำตามกรรม แล้วจึงขึ้นตลิ่ง ยืนปลงถึงชีวิตอ้ายสองคนที่เป็นผีน้ำอยู่อีกครู่ใหญ่ก็บ่ายหน้าเข้าทุ่งมืด เดือนกระจ่างอยู่เมื่อค่อนดึกหลบเข้าเมฆลับขอบฟ้าโน้น
ข่าวตายของพ่อเทียมกับเจ้าเขียว เลื่องลือกันทั้งแสนแสบ กระทั่ง ๗ วันมาแล้วข่าวลือก็ยังเซ็งแซ่ตลอดมา แต่ตามที่เข้าใจกันเป็นแน่แท้ก็ว่าพ่อเทียมกับเจ้าเขียวฆ่ากันเองเพราะฤทธิ์เมาหรือพูดผิดหู แต่ที่สำคัญหนักและซุบซิบกันทั้งแสนแสบตลอดหัวคุ้งท้ายคลองนั้นคือเจ้าโปรยเป็นผู้หญิงกาลี เมื่อรักกับเจ้าแผลงก็ทำเอาอ้ายแผลงต้องระหกระเหิน ครั้นมาหมั้นกับนายชวนเล่า ตาเชื่อมพ่อนายชวนก็ถูกควายขวิดตาย เรื่องยังสดๆ ร้อนๆ พ่อเทียมคู่หมั้นใหม่ ก็เกิดผิดใจแทงกะเจ้าเขียวคนในบ้านตายด้วยกันกลางน้ำ
แต่นั้นมาจนล่วง ๑๕ วัน โปรยไม่รู้จะมองหน้าใครได้ รอบทิศของแสนแสบกำลังเห็นลูกสาวงามของกำนันเป็นหญิงกาลีกินคู่หมั้นคู่แต่ง ผู้ชายทุกๆ คนที่เคยชอบพอต่างเบือนหน้าหนี คนแก่คนเฒ่าก็ลงความเห็นขอดค่อนนินทา จะโผล่ไปไหนมาไหนได้ไม่
เมื่อบ่ายบนเรือนร้อนจัด โปรยก็ได้อาศัยท่าน้ำหลังเรือนเป็นสิ่งที่สงบใจตามเคย เห็นน้ำเห็นหน้าตัวเองแล้วอยากจะตาย กรรมก่อนเจ้าที่ทำไว้มันตามทัน เห่อจะเป็นคนบางกอกก็ทำเสียเจ็บแสบ พอจะได้พ่อเทียมล้างอายก็มีอันเป็นตายจาก เมื่อย้อนคิดไปถึงเจ้าแผลงก็น้ำตาไหลขนลุกเกรียวในคำสาบานของมันที่หน้าศาล เพราะเจ้าเสียน้ำคำที่ให้ไว้ต่อหน้าศาลคู่เจ้าแม่จึงมีอันเป็นไปต่างๆ เมื่อนึกถึงศาลเจ้าองค์พยานศักดิ์สิทธิ์ของชาวแสนแสบแล้ว เจ้าโปรยก็เกิดเชื่อมั่นหวั่นใจในผีสางลางร้ายเพราะผิดคำผีคำเจ้าแท้จึงเป็นเช่นนี้ แล้วก็เลยคิดเกรงไปในภัยต่างๆ จากน้ำคำสาบานและอำนาจบันดาลของเจ้าทุ่งที่อยู่บนศาลศักดิ์สิทธิ์
เหลือที่จะระงับใจอีกต่อไป โปรยกระสับกระส่ายคิดย้อนไปในความหลังเดิม แล้วก็หุนหันขึ้นเรือนเตรียมธูปเทียนดอกไม้ตั้งใจจะไปแก้บนขอขมาในความผิดหนหลังของเจ้าเอง
แดดบ่ายตกทุ่ง โปรยผูกเรือไว้กับรากไทรข้างตลิ่งหน้าศาล เมื่อก้าวขึ้นบกมองเห็นรูปเจว็ดขนลุกเกรียวแม้จะเป็นกลางวันก็ใจหวาด เพราะเจ้าทุ่งเจ้าแม้ที่บันดาลให้ไปเห็นซากอ้ายหลักยังแห้งคาดินห่างศาล แม้จะเป็นผีควายก็ยังเปลี่ยวใจคิดไปถึงคนซื้อคนเลี้ยงอ้ายหลักแล้วใจหาย อ้ายหลักก็ตายมันก็สูญหน้า แต่คำสาบานยังก้องหู และองค์พยานก็สถิตเสถียรอยู่เหนือทุ่งท้องน้ำตรงหน้า และก็เพราะองค์พยานนี่แท้ที่เปลี่ยนใจให้ระลึกถึงมัน
พอปักธูปเทียนเสร็จ โปรยก็ก้มหน้าอธิษฐานขอขมาลาโทษในความละสัตย์สัญญาของเจ้า และก็ให้สัญญาใหม่รำลึกไปว่าแม้อ้ายคนรักกันมาเก่าก่อนเคยร่วมสาบานเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ขอเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์บนศาลจงดลใจมันให้กลับมาแสนแสบ แม้มันจะยังคุมแค้นอยู่โปรยก็จะยอมน้ำตาตกอ้อนวอนมัน แผลงเอ๋ย เมื่อว่าฉันจะใจเหเสีย สาบานไปแล้วแต่บริสุทธิ์สาวยังไม่เสียให้ใคร ยังคงเป็นของพี่แผลงอยู่ ถ้ายังเห็นแก่รักเก่าแผลเก่าลำน้ำใสนี่ก็จะเป็นสุขของเราในหน้าร้อน แสนแสบจะเป็นเมืองสวรรค์ของเราอีก แต่ถ้าหากพี่แผลงไม่กลับมาหรือว่าจะผิดใจในรักแล้ว ฉันก็จะก้มหน้าถือบริสุทธิ์เข้าวัดกว่าชีวิตจะหาไม่
เคลิบเคลิ้มไปในคำอธิษฐานแล้ว ใจตั้งก็แน่วแน่ดิ่งไปในความหลังลมหวนทุ่งพัดเกรียวกราวหัวใจก็หวนอยู่ตามลม นึกเป็นเด็ดขาดแน่นอนว่าเมื่อสิ้นสงสัยที่เจ้าแผลงจะไม่มีชีวิตอยู่ในแสนแสบแล้ว ก็จะขอบวชให้พ้นนินทาครองหัวใจให้สงบไปเท่าจะถึงวันตาย
หลังศาลเป็นดงโสนทึบและท้ายดงโสนใต้ต้นกร่างใหญ่มีคนนอนเอกเขนกหัวหนุนขอน ก่ายหน้าผากอ้ายคนหลังศาลใช่ใครอื่นไปจากอ้ายหนุ่มเจ้าทุกข์ มันทุกข์หนักหนาที่อ้ายเทียมอ้ายเขียวตายคามือ และป่านนี้ความคงจะอื้ออึงหาตัวคนร้าย แต่มาคิดแปลกที่ไม่เห็นมีวี่แววใครจะมาจับมาค้นเลย นึกไปถึงหัวอกเจ้าโปรยที่ร้างขันหมากมาแล้วถึงสองราย โปรยคงจะเศร้าใจในวาสนาเจ้าและคนบ้านนาไหนเลยจะหมั้นเจ้าอีก เพราะถือว่าเสียฤกษ์เสียลาง เจ้าช้อยก็เข้าวัดเป็นชีไปเพราะถูกนินทาเรื่องอ้ายเทียมตาย แต่ว่าช้อยเจ้านิ่งงำความไว้พี่จึงพ้นผิด
พอตะวันคล้อยเงาร่มตรงเจ้าแผลงนอนก็ถูกแดดส่องจ้า จึงลุกขึ้นตั้งใจจะหลบไปนอนโคนไม้ใต้ศาลสักครู่จึงลงน้ำหาปลาหรือเข้าไร่กล้วยฟากโน้นพอแก้หิว เมื่อเดินมาถึงมันก็ฉงนสนเท่ห์นักที่เห็นเรือจอดชายตลิ่ง เสียงคนร้องไห้กระซิบพึมพำอยู่หน้าศาล จะเป็นวันลางดีลางร้ายอย่างไรพูดไม่ถูก ที่ดลใจให้มันคิดว่าวันนี้ทั้งวันให้นึกแต่ขี้เกียจอยากนอนอยู่แถวนี้เสียทั้งวัน
โปรยกำลังนึกคิดไปต่างๆ พอได้ยินเสียงแกรก ก็ขนลุกเกรียวคิดหวนไปในลางเจ้าลางผี เมื่อเงยหน้าขึ้นก็แทบจะโผนหนีเพราะไม่นึกว่าเป็นคน
“โปรย-โปรยเอ๋ย” ขาดคำมันก็กางแขนออก โปรยตัวสั่นไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นอ้ายคนรักเมื่อเก่าก่อน ผมยาวรกรุงรังปรกคอจำแทบไม่ได้ เจ้าทุ่งบางกะปิศักดิ์สิทธิ์แท้เพียงอธิษฐานชัวครู่ก็ดลให้มันหวนมา โปรยยังพูดไม่ออก ถึงตั้งใจจะพูดกับมันก็ไม่สามารถเพราะใจกำลังตื้นยืนมองมันเล้วก็ถอนสะอื้นถี่
แผลงสืบเท้าใกล้เข้ามาอีกเสยผมตัวที่ปรกคอ
“แปลกฉันรึ? เอ้อ-โปรยเอ๋ย จะค่อน ๒ ปีแล้วที่เราไม่พบหน้ากัน ฉันสู้ทนนอนดินไม่พ้นแสนแสบก็เพราะห่วงโปรยคนเดียว” มันส่ายหน้าท้อแท้พูดขาดเป็นห้วงเป็นตอน “แม่โปรย-เจ้าขวัญท่านเป็นองค์พยานฉัน เพราะแม่โปรยแท้เทียวที่ฉันร้องไห้ตามตลิ่งทุกแห่งในแสนแสบ โคนต้นไม้หัวคุ้งท้ายคุ้งเคยเป็นที่สำราญใจของฉันกะแม่โปรยเมื่ออยู่ตรงไหน ฉันก็ต้องไปนั่งร้องไห้มันตรงนั้นเมื่อคิดถึงแม่โปรย ฉันคิดอยู่แล้วว่าเมื่อเหลือจะรอ ฉันก็จะก้มหน้าเข้าวัดเสียอย่างอีช้อยหาไม่ก็-เออฉันพูดอีกก็เห็นจะร้องไห้เป็นแน่”
โปรยนิ่งงันพูดไม่ออก อยากจะโผเข้าหาแล้วบอกความจริงในใจให้มันรู้ แต่สติเจ้าเวลานี้ก็หาอยู่กับตัวไม่กระทั่งเห็นเจ้าแผลงเซถอยไปยืนพิงโคนไม้จึงค่อยก้าวไปหา
“พี่แผลง ฉันมาศาลวันนี้ใช่อื่นใช่ไกลเลยฉันเสียสาบานแล้วใจหาย จึงมาเพื่อขอขมาลาโทษในความผิดของฉัน”
เจ้าแผลงทรงกายตรง จ้องหน้าอีคนรักเมื่อเก่าก่อนเมื่อครั้งแม่โปรยเป็นหญิงบ้านนา มันเคยกกกอดและชักชวนกันลงงมกุ้งปลาตามสายน้ำ ไต่ตลิ่งแล่นโลดเมื่อหน้าไถ เมื่อร้อนก็ดำว่ายดำผุดกันตามประสาลูกบ้านนา ครั้นมันกลับจากหนองจอกเล่า เจ้าโปรยก็มาแปรไปเป็นอื่นจนเห็นหน้าอยู่มื้อนี้
“โปรยมาขอขมา-ขอขมาใคร มาบอกเล่าเก้าสิบเจ้าพ่อเรางั้นหรือ?”
โปรยพยักหน้า เมื่อนึกถึงคำซื่อใจซื่อและความอาภัพของมันแล้วก็ถอนสะอื้น
“และฉันขอขมาพี่แผลงด้วย ฉันผิดแท้เพราะลืมตัวว่าฉันเป็นผู้หญิงบ้านไร่บ้านนา ก็แล้วแต่พี่จะเห็นงามเถอะถึงจะยังโกรธฉันก็ไม่ว่าอะไร”
มันเบิกตาโพลง หน้าตาแช่มชื่นเกือบไม่เชื่อว่าหูได้ยินแม่โปรยพูดขอโทษมัน
“โกรธโปรย-เออเจ้าพูดอะไรอย่างนั้นเล่าโปรยเอ๋ย ถ้าพี่โกรธแล้วพี่จะรักจะรอทนทุกข์กินน้ำตาอยู่ทำไมล่ะเจ้า ถ้าว่าน้ำตาพี่มันเป็นทิพย์ เจ้าก็คงจะได้เห็นมันไหลอยู่กลางน้ำแสนแสบที่เราเคยเล่นแน่ โปรยเมื่อพี่รู้ว่าเจ้ารับหมั้นกะอ้ายชวนแล้วพี่จะย้อนกลับมาสาบานต่อหน้าศาลว่า ถ้าเจ้าตบแต่งเป็นเมียอ้ายชวนวันไหน ก็ต้องเป็นวันนั้นแหละน๊ะแม่โปรย ที่พี่จะเอาหอกสวมอกพี่เองแล้วก็ลงไปตายเสียกลางน้ำเหมือนยังกะเจ้าขวัญองค์พยานของเรา แล้วศพพี่มันก็คงจะลอยผ่านเรือขันหมากของเจ้ามั่ง”
ขาดคำ โปรยก็ร้องไห้โฮใหญ่โถมเข้าหา จะต้องอับอายใครอื่นอีก ในเมื่อผู้ชายที่มันรักจริง ตลิ่งคอยน้ำหลากก็เหมือนมันคอยเจ้า ถ้าแม้นว่าโปรยเป็นอื่นไปยังว่าอกมันก็คงจะสวนหอกตาย เหมือนตลิ่งน้ำเซาะแล้วก็น่าที่แสนแสบจะต้องตั้งศาลเชิญมันขึ้นเป็นตัวรักษาทุ่ง และท้องน้ำเป็นที่เซ่นสรวงของคู่รักคู่หมั้นในวันข้างหน้า
แผลงพุ่งหอกไปปักดินทางหนึ่ง สองแขนมันกอดนางคนรักที่ไม่คิดว่าจะได้คืน จูบซ้ายจูบขวาหัวใจก็เคลิบเคลิ้มอยู่ว่ามันเมืองสวรรค์หาใช่ทุ่งแสนแสบที่มันเคยนั่งร้องไห้มาแล้วจะค่อน ๒ ปี แล้วทั้งสองก็ชวนกันหมอบลงหน้าศาลขออธิษฐานร่วมรักร่วมใคร่กันใหม่
ที่ริมน้ำมีเรือสำปั้นพายมาจอดเงียบกริบ จนคู่รักคู่ใคร่ซึ่งหมอบอธิษฐานด้วยหัวใจสงบสุขหารู้ไม่ ผู้ที่ก้าวขึ้นตลิ่งคือกำนันแปลก ถัดมาคือเจ้าช้อยซึ่งนุ่งขาวห่มขาวไปแล้วและแม่เจ้า
“พี่แผลง”
เจ้าแผลงสะดุ้งถลันยืน โปรยทำหน้าเจื่อนทั้งอายและตกใจที่เห็นพ่อ แต่กำนันแปลกพูดสีหน้าเฉย
“พ่อเที่ยวตามหาจนอ่อนใจ จึงพบแม่ช้อยและก็รู้แน่แล้ว” แกมองดูเจ้าหนุ่มที่แกนึกว่าตายไปนาน “แผลงอ้ายคดีติดตัวของเอ็งนั่นหาจริงไม่หรอกเพราะข้ารู้อยู่กะใจ”
ไม่ทันที่แกจะพูดอีก แม่เจ้าช้อยนางชีก็สอดว่า
“ช้อยเขาสละตัวเข้าวัดแล้ว และไร่นาที่เป็นส่วนของเอ็งๆก็เอาคืนไปเถอะ ขอแต่ไปอยู่เป็นเพื่อนป้ามั่งพอได้อาศัยกินอิ่มนอนหลับไปชั่ววันๆ แล้วต่อไปข้าก็คิดจะเข้าวัดเหมือนอย่างแม่ช้อย ไปเถอะ ไปเสียวันนี้หละ”
แผลงแทบจะโลด มันเคยตกทุกข์ได้ยากทรมานกายมาเกือบ ๒ ปี และก็ไม่นึกอื่น นอกจากจะต้องตายกลางดิน เมื่อการมากลับหน้าเป็นหลังก็เหมือนมันได้เกิดมาในแสนแสบอีกครั้งหนึ่งเพราะได้ทั้งนาและแม่โปรยคืน ความแค้นแสนแสบทั้งหลายแหล่ในหนหลังก็เลือนหายจากความคิดในเดี๋ยวนี้ กราบป้ากับท่านกำนันแล้วหันมาจูงมือเจ้าโปรยให้ลงเรือ ส่วนมันเองด้วยความสุขคะนองใจจึงลงน้ำดำผุดดำว่ายคู่เรือไปด้วยความสำราญ
จบบริบูรณ์
.
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 11,133
Re: อมตะนิยายเรื่อง แสนแสบ บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม
«
Reply #5 on:
23 October 2025, 16:43:34 »
หนังสืออมตะนิยายเรื่อง รอยไถ ของ ไม้ เมืองเดิม
.
Logged
Pages:
[
1
]
« previous
next »
SMF 2.0.4
|
SMF © 2013
,
Simple Machines
| Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.192 seconds with 16 queries.
Loading...