User Info
Welcome,
Guest
. Please
login
or
register
.
01 November 2025, 06:23:36
1 Hour
1 Day
1 Week
1 Month
Forever
Login with username, password and session length
Search:
Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ
http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303
Posts in
13,871
Topics by
70
Members
Latest Member:
KAN
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
|
เรื่องราวน่าอ่าน
|
นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง
(Moderators:
LAMBERG
,
moowarn
) |
อมตะนิยายเรื่อง รอยไถ บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
« previous
next »
Pages:
[
1
]
Author
Topic: อมตะนิยายเรื่อง รอยไถ บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม (Read 391 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 11,133
อมตะนิยายเรื่อง รอยไถ บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม
«
on:
23 October 2025, 16:03:25 »
อมตะนิยายเรื่อง รอยไถ บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม
https://vajirayana.org/%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%96
https://vajirayana.org/
รอยไถ
..
รอยไถ
.
https://vajirayana.org/%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%96/%E0%B9%91
https://vajirayana.org/
รอยไถ/๑
๑
ในกระท่อมเล็ก ชายทุ่งบางเขนเมื่อโน้น
เจ้าผู้ชายล่ำสันหน้าคล้ำ ยืนเยี่ยมหน้าต่างโรงนามองฝนที่เพิ่งขาดเม็ดปรอยไปได้สักครู่ อ้ายเอี้ยงฝูงใหญ่ถลาลงเนื้อนาไซ้ปีกรับแสงแดดอ่อนที่ส่องมาอีกเมื่อฝนหาย เห็นทุ่งโล่งสว่างเวิ้งว้างแจ่มใส เจ้าลือหนุ่มที่ยืนเยี่ยมหน้าต่างก็ถอนใจยาว ผืนนาใหญ่ลิบๆ นี้หลุดเป็นของเจ้าอ่อนไปสิ้นแล้ว และที่เจ้าอ่อนยอมให้เช่าทำกิน ก็เพราะมันเห็นแก่บัวเผื่อนเมียรักเจ้าลือ ซึ่งเคยเป็นคู่ติดพันกันมาแต่เก่าก่อนเท่านั้น
แดดจ้าขึ้นอีกเพราะกำลังบ่าย เจ้าลือรู้สึกเมื่อยเพราะยืนมาตั้งแต่ฝนยังไม่หาย จึงถอยมาที่แคร่นอน ตั้งใจจะนอนเอนหลัง แม่เอ๋ย บัวเผื่อนเจ้าหลับไหลสนิทอยู่ก่อน เพราะเมื่อคืนอ้ายแดงไม่สบายกวนตลอดรุ่ง อ้อ เจ้าบัวผันน้าสาวกำลังนั่งเหยียดขาหลังอิงเสาไกวเปล แต่เจ้าแดงอายุครึ่งขวบก็ยังนอนดิ้นกระทุ้งขาไม่หลับ
พอเหลือบพบกัน น้าอ้ายแดงก็ค้อนให้ขวับ แล้วตะเพิดเสียง
“เอ้า เมื่อไหร่จะหลับเสียสักทีเล่า รู้ว่าจะนอนยากนอนเย็นยังงี้ละก้อ ทำไมไม่ให้พ่อมึงจ้างขี้ข้ามานั่งไกว”
เจ้าพี่เขยลืมสะดุ้ง เจ้าบัวผันมันพลอยนิสัยเสียตามพี่สาวมันไปแล้วอีกคนหนึ่ง แต่บัวผันมันยังอ่อนแก่การนัก เพราะเป็นสาวอยู่เมื่อท้ายปีกลายนี้เอง ก็ทำดัดจริตใส่งอน
มันหัวเราะก๊าก ลือหัวเราะจนบัวผันนึกเคือง ร้องถามว่า
“หัวร่ออะไร?”
“อ้าว แน่ะ อีผันนี่ เอ็งจะพิกลเสียใหญ่แล้ว”
นังน้องเมียยิ่งเคืองพูดย้ำๆ ว่า “อีผัน หนอยเรียกอีฉันเป็นขี้ปากพี่ลือเร๊อะ จะได้มาเรียกอี”
“อูว๊ะ ก็ข้าเคยเรียกยังงี้มาแต่ไหนแต่ไรนี่ล่ะ เอ็งมันพาลเสียสิ้นดีเชียวโว้ย ผัน”
“พาลอะไร?”
“ทำไมจะไม่พาล” เจ้าพี่เขยยืนยัน แล้วชี้ไปที่ลูกชาย “แน่ะ ข้าขอถามหน่อยเถอะว่า อ้ายแดงไม่หลับน่ะ หน้าที่ของเอ็งมันควรจะกล่อมดีกว่าจะด่าอ้ายแดงป่ายมาถึงข้าใช่ไม๊ล่ะ?”
“ฉันไม่ได้ด่า ฉันพูดจริงๆ เมื่อร้อนหูใครก็อย่าฟังซี” แล้วก็ค้อนขวับๆ หันหลังให้
เจ้าพี่เขยนึกระอาที่จะต่อล้อต่อเถียงอีก จึงหลบไปยืนอยู่ที่ประตูโรง มองแดดกล้าซึ่งส่องทุ่งเป็นตัวยิบๆ กำลังจะเพลินก็เป็นแน่แล้วที่เจ้าบัวผันคงจะคลายโมโหสิ้นงอนไปบ้าง เพราะส่งเสียงกล่อมอ้ายแดงอย่างเพราะเจาะหลายเพลงมาแล้ว ที่เจ้าลือมันนิ่งฟังชมเชยเสียงกล่อมของนังน้องเมีย จนกระทั่งถึงอีกเพลงหนึ่ง
“วัดเอ๋ยวัดโบสถ์ มีต้นข้าวโพดสาลี ลูกเขยมันตกยาก แม่ยายก็พรากลูกสาวหนี โอ้ข้าวโพดสาลี ป่านฉะนี้จะโรยรา”
พูดสุดเสียงกล่อม เจ้าลือก็หันขวับมาเพราะข้อความเนื้อเพลงกล่อมนั้นกินใจลึก เจ้าผันจึงกล่อมเป็นลางปาก
พูดกับน้องเมียสีหน้าไม่ค่อยดีว่า “เอ็งกล่อมเพลงอื่นเถอะว๊ะผัน”
น้าเจ้าแดงกลับนึกฉิวไปว่าพี่เขยจะย้อนมาแขวะหาเรื่อง
“เอ๊! นี่มันจะไม่รู้แล้วกันมังรึไร ฉันกล่อมอ้ายแดงก็เพราะจะให้มันหลับนอนหรอก จะได้ไปทำงานอื่นมั่ง ก็แล้วจะห้ามปากห้ามเสียงกันยังงี้น่ะ ใครเป็นคนพาล?”
“เปล่าหรอกว๊ะ ผัน” ลือตอบเสียงอ่อย นึกอายหัวใจตัวเอง “ใช่ข้าจะพาลรีพาลขวางหรอก แต่เพลงนี้ข้าไม่ชอบ”
บัวผันทิ้งสายไกว “ฉันกล่อมให้อ้ายแดงฟัง แต่เมื่อทำดีไปแล้ว มันไม่มีคุณก็ไม่กล่อม”
“ฟังข้าก่อน” ลือว่า และโบกมือห้ามน้องเมีย “เอ็งอย่าอึกทึกนักซี เดี๋ยวเจ้าเผื่อนตื่น ก็จะหันมาเล่นข้าอีกแน่ะผัน เอ็งน่ะเข้าใจผิดรู้ไม๊ เอ็งทำคุณแก่อ้ายแดงก็เหมือนทำคุณแก่ข้า แต่เพลงอื่นถมไปนี่ว๊ะผัน เพลงไหนๆ ก็ได้ ออกถมเถไป หูฟังอย่างอ้ายแดงน่ะมันไม่รู้เพราะรู้เจาะหรอก”
บัวผันประหลาดหัวใจนัก คิดไม่ออกว่า ทำไมจึงถูกห้ามกล่อมเพลงนี้ ครั้นจะว่าพี่เขยมันพาลชวนทะเลาะ แต่สีหน้าและคำกล่าวก็ไม่มีวี่แวว หากนิสัยเอาชนะหัวดื้อของเจ้าผันมีอยู่มาก จึงเถียงไปเสียอีกข้างๆ
“จำได้เพลงนี้ก็กล่อมเพลงนี้แล้วประเดี๋ยวจะกล่อมอีก”
เจ้าลือส่ายหน้าหนักใจ ทั้งพี่ทั้งน้องมันงอนไม่ทิ้งนิสัยกันเลย และครู่นั้นก็ใจคอหาย เพราะเจ้าบัวเผื่อนมันตื่นขึ้นมอง
“อะไรกันพี่ลือ ฮึ!” เจ้าถามเสียงขุ่น “แม๊พอจะได้ม่อยพักมั่งงีบสองงีบ ก็เถียงกันขึ้นมาอีก เหมือนยังกะจะแกล้ง มันเรื่องอะไรกันวะ ผัน?”
“จะมีอะไรเสียอีก” ผันตอบพี่สาวฉุนๆ “ข้าไม่เห็นมีเรื่องอะไรเลย นอกจากข้ากล่อมอ้ายแดงพอจะหลับ พี่ลือก็เกิดมาห้ามกล่อมเสียอีก ข้าก็แปลกนัก”
พอฟังตอบน้องสาว บัวเผื่อนก็ค้อนแปล๊บมายังผัว
“พิลึกคน ไม่กล่อมแล้วทำไมมันจะหลับนะ รึว่าจะให้มันอยู่กวนคนกวนโลกเล่นแล้วน้ำหน้าแกนะจะมาอยู่เลี้ยงเร๊อะ”
ลือนั้นขี้เกรงใจเมีย แต่เห็นช่องจะได้พูดถึงความหวาดระแวงในใจที่เก็บไว้นาน ก็ตอบอ้อมแอ้มเหมือนจะเย้าเมียเล่น
“เจ้าผันมันกล่อมเพลงวัดโบสถ์ ก็เพราะดีหรอก แต่พอฟังๆ ไปมันรำคาญหัวใจฉัน”
“รำคาญบ้าอะไร”
ลือหัวเราะไม่สนิท “มันน่ารำคาญน่ะแม่เผื่อนเพราะกลอนกล่อมมันไปลงลูกเขยตกยาก แม่ยายก็พราก-เอ้อ อ้ายฉันน่ะมันอดระแวงที่จะคิดไปเสียมิได้เท่านั้น ถึงได้ขอให้มันเลิกกล่อม”
บัวเผื่อนแค่นหัวเราะ “อ้อ มิน่าล่ะ อ้ายคนเราลงหัวใจมันไม่หมดบ้าแล้ว ก็มักจะคิดบ้านอกทางไปเสมอ เถอะ เมื่อคิดได้แล้วข้าก็ทำได้เหมือนกัน แล้วจะมาว่าไม่ดีนะ”
“ว๊ะ บัวเผื่อน” เจ้าผัวร้องเต็มเสียง “เราพูดเย้ากันเล่นหรอกน๊ะ แล้วทำไมจะโกรธเอาเป็นจริงเป็นจังไปเล่านั่น”
“ไม่รู้” เจ้าโบกมือ “คนเราถ้าใจไม่คิดแล้วปากมันไม่พูดหรอก”
“โธ่เอ๊ย! เย้าเล่นเท่านั้นก็โกรธ” ลือทรุดนั่งลงใกล้ๆ นึกเป็นกรรมของมันเองที่ได้เมียสวยแล้วต้องร้อนหัวใจไม่สร่างแล้วเลยพูดปะโสปะเสไปอีก “ผัวกันเมียกันก็ต้องเย้ากันมั่ง ถึงแม่เผื่อนก็พูดเย้าฉันไม่เป็นจริงไปได้ ใช่ไม๊ล่ะ อะไร ลูกเต้าเราก็มีด้วยกัน จะเป็นไปงั้นเชียวเร๊อะ แน่ะ อย่ามัวทะเลาะกันอยู่เลย ฉันน่ะตั้งใจจะปรึกษาว่า จะให้แม่เผื่อนออกปากยืมควายแม่แกมาสักครู่หนึ่ง เพราะในวันมะรืนฉันคิดจะออกทุ่งไถดะเสียก่อนเร็วๆ พอ ๓ วันเสร็จก็ไถแปรเห็นเป็นไง?”
แต่เมียถามขัดคอว่า “ยืมมาขายเล่นไปอีกงั้นเร๊อะ”
“แล้วกัน” เจ้าผัวหน้าสลด “พูดจริงๆ นาแม่เผื่อน นาโธ่! อ้ายเรื่องหลังที่มันแล้วกันไปน่ะ จะเก็บมาฟื้นอีกทำไมนะแม่เผื่อน ฉันน่ะรึเห็นว่าฝนมันลงราวฟ้าจะแตก พอจะลงไถได้แล้วสบายถึงได้คิดจะให้ออกปากยืมแม่แกสักคู่หนึ่งก่อน”
“เฮ๊อะ” เมียหัวเราะใส่หน้า “ฉันได้ห้ามแล้วแต่เมื่อปีกลายก็ไม่เชื่อ งัดเอาโน่นนี่มาอ้าง จะเลิกนาซื้อเรือล่องแลกข้าวละอะไรสารพัด โฮ่ย ขี้เกียจฟังไหนล่ะอ้ายควาย ๒ คู่ที่ขายน่ะได้ซื้อเป็นแจวมาได้มั่งไม๊สักครึ่งค่อนเล่ม”
ลือหัวเราะไปแกนๆ พอหลบตาจากเมียก็พบเจ้าผันกำลังค้อนเอาค้อนเอา แถมพูดว่า
“หลักแจวไว้ตีหมาก็ไม่ได้”
“เอานั่นอีผัน” เจ้าพี่เขยอดหัวเราะไม่ได้ “เอ็งมันคอยเป่ากันเป็นพายุอยู่ยังงี้ข้าก็แย่”
“แปลว่าฉันหูเบางั้นซิ” เผื่อนสอดขึ้นมา “ดีละน่าที่แม่แกไม่อยู่ ถ้าอยู่ก็จะต้องโดนด่าแหลกกว่านี้”
ลือได้แต่พยักหน้า เพราะคำของเผื่อนเป็นคำจริง ยายบัวที่มันตกเข้ามาเป็นเขยนั้น ไม่ว่าใครต้องออกปากหมดทุ่งบางเขนตลอดทั้งทุ่งสองห้องและบ้านกูบแดงใครๆ ก็ให้สติเตือนมันแล้วหนักหนา
“ฉันตั้งใจแท้นาเผื่อนนา” ลืออดแก้ตัวไปอีก “ฉันคิดตกแล้วว่า จะตั้งหน้าทำมาหากินจริงๆ เพราะอ้ายแดงมันก็นับวันแต่จะโตขึ้นทุกวัน”
“โฮ่ย อย่าเลย อย่าไปคิดไถคิดหว่านให้มันเหนื่อยยากทำไม ปากท้องอ้ายแดงกะฉันน่ะไม่อดหรอกเพราะแม่แกยังมีชีวิตอยู่ พี่ตั้งหน้าหาเงินทำทุนเล่นโปกินเหล้าเลี้ยงเพื่อนต่อไปดีกว่า”
ฟังเมียแล้วสิ้นปัญญา สิ้นข้อคำที่จะอธิบายพอเข้าใจได้อีก แล้วก็นึกหนักอกไปถึงแม่ยายที่จะคอยด่าซ้ำเติมช่วยลูกสาว ชั่วครู่นั้น เจ้าลือก็ตะลึงงัน เพราะได้ยินเสียงตะโกนร้องเรียกชื่อบัวเผื่อน ไม่ช้ายายบัวก็ปราดโผล่มาที่ประตู
มันใจคอหาย เพราะยายบัวแกเหมือนปีศาจนึกไม่ผิดเลยว่า สัญชาติอีคนนานตาย พอนึกถึงคราวไรเป็นมาเสียทุกที
ยกมือไหว้แกสีหน้าเรี่ยๆ “เอ้อ-เชิญนั่งซียะแม่”
แกโยนพายโครมเป็นการรับไหว้ มองหน้าลูกสาวลูกเขยแล้วก็เดาความเอาเอง
“อะไรกันขึ้นอีกล่ะฮึ อีเผื่อน” ค้อนปราดมาหาเจ้าลือ “กัดกันอีกแล้วซิ เออ ให้มันได้ยังงั้นซีวะ แน่ะเจ้าลือข้าจะบอกให้อีเผื่อนน่ะ มีเถ้าแก่มาสู่ขอตบแต่ง มิใช่แล่นตามเอ็งมารู้ไม๊ล่ะ แล้วเอ็งจะมานั่งเคี่ยวเข็ญชวนทะเลาะวิวาทน่ะ มันจะไม่เกรงใจล้างอำนาจกันมากเกินไปเสียละ”
“ฉันตายโหง” ลือหันไปทางแม่ยายที่กำลังเท้าเอวพูด ตรัสรู้เอาเองแล้วก็ลั่นสาบาน “ให้ตายไปเถอะแม่อะไรฟังกันยังไม่ทันได้ศัพท์ก็พูดกันเสียเป็นคุ้งสองคุ้ง แม่ลองถามนังผันมันดูซีล่ะ ว่าฉันปรึกษากันหรือทะเลาะเบาะแว้งกัน”
“ข้าไม่รู้” ยายบัวไม่ฟังเสียง “ข้าน่ะแสนจะรำคาญนัก พอมาถึงนี่คราวไรก็เห็นปั้นหน้ายักษ์เข้าใส่กันทุกทีแล้วจะให้ข้านึกว่ายังไง อีผันก็เหมือนกัน เมื่อว่าหลานมันค่อยหายสบายดีแล้วก็ควรจะกลับบ้านช่องเสียทีซิ จะมาจมกินแก้วอะไรอยู่ล่ะ”
บัวผันนั่งนิ่ง เจ้าลือนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ สิ้นศรัทธาที่จะพูดชี้แจงตัวเองว่า ถ้าดูหางเสียแต่แรกแล้วก็จะรู้ว่าช้างเพราะตัวมันก็รู้นิสัยสันดานยายบัวอยู่ดีก่อนจะตกมาเป็นเขยว่าเป็นคนเช่นไร แต่ก็ไม่นึกว่าหญิงงามอย่างเจ้าเผื่อนจะมีนิสัยเช่นแม่
กระทั่งเย็น กว่าเจ้าลือลูกเขยจะเข้ารอยยายบัวได้ ก็ต้องประจบประแจงเสียอ่อนใจเพราะมาคิดว่าชั่วๆ ดีๆ ก็ยังเกี่ยวข้องเป็นเขย และสันดานของยายบัวเมื่อนิ่งทนให้ด่าแล้วโมโหก็หมดไปเอง แล้วก็เข้ารอยกันได้ตลอดจนกระทั่งเจ้าเผื่อนและน้องเมียมันเองก็กำลังอุ้มเจ้าแดงขึ้นจากเปลเมื่อตื่น
เมื่อให้สัญญาเป็นคำแน่แล้ว เจ้าลือก็แทบจะโลดเข้ากอดยายบัวที่แกให้อนุญาตยืมควายคู่หนึ่ง สำหรับจะใช้ไถในวันรุ่งขึ้น และก็ปล่อยให้เจ้าบัวเผื่อนกับแม่เจ้าคุยกันตามลำพัง ส่วนตัวเองเลี่ยงไปทางน้องเมีย หาเอาใจใส่กับการซุบซิบสนทนาของสองแม่ลูกไม่
พื้นนิสัยเดิมของเจ้าลือนั้น เมื่อสบายใจก็มักจะเป็นคนขี้เล่นขี้เย้า ครั้นบัวผันกำลังกอดฟัดอ้ายแดงก็ถามว่า
“เอ็งรักมากรึผัน ข้าให้เอาไม๊ล่ะ?”
“แค่นจะพูด” เจ้าผันสะบัดเสียง “มีอำนาจยังไงจะมาบอกอนุญาตให้อ้ายแดง?”
“ก็ข้าเป็นพ่อมัน แล้วทำไมจะให้ไม่ได้”
ผันชี้มือไปทางประตูโรง ซึ่งพี่สาวกำลังยืนพูดซุบซิบกับแม่ “โน่นแน่ะ เขาจะได้เหยียบอกเอาปะไร แต่ถึงพี่เผื่อนจะอนุญาตข้าก็ไม่อยากจะได้พันธุ์นี้ไว้หรอก”
“เอ๊ะ เป็นไงว๊ะผัน?” พี่เขยมันหัวเราะถามอมยิ้ม “ข้าก็ไม่ใช่คนเสียหายอะไรนี่ล่ะ”
“ย่ะไม่เสีย“ ผันประชดให้ “กะล่อนเป็นกรดจนจะไม่มีใครเขาคบแล้ว รู้ไม๊?”
“ช่างหัวมันเถอะคนอื่นน่ะ รักกะชังใครจะไปห้ามใจใครได้ ว่าแต่อ้ายแดงเถอะ กะพ่อมันใครจะน่ารักกว่ากัน?”
ผันเจ้าตอบคำเดียว “บ้า” แล้วก็ค้อนให้ “ไปออเซาะพี่เผื่อนเขาเถอะ อย่ามาทำปากพล่ามทีเล่นทีจริงหน่อยเลย ฉันไม่ชอบหรอก”
“อ้าว” ลือหัวเราะหน้าเจื่อน “เอ็งทำไมถึงระแวงไปนั่นล่ะ?”
ผันชี้หน้า “อย่าแก้ตัวเลยรู้เท่าหรอก ทำปากเปราะไปน่ะทุกวันนี้รู้สำนึกตัวมั่งรึเปล่าว่าเป็นยังไร”
เห็นน้องเจ้าเผื่อนพูดจาขึงขัง และก็ล้วนเป็นข้อพิศวงมืดแปดทิศ ลือก็แปลกใจนัก ครั้นจ้องหน้าจะถามเจ้าผันก็เมินหลบไปอื่น แต่มาคิดไปอีกที คำเจ้าผันก็คงไม่มีหมายอะไรผิดไปกว่าที่จะแกล้งว่ามันให้เจ็บๆ แสบๆ ในเรื่องแม่ยายเกลียด จึงตอบไปอย่างคำตลกคะนองไม่มุ่งไปอื่นว่า
“ข้าก็รู้ว่าใครๆ เขาเกลียดข้า แต่แม่แกไม่เกลียดข้าแล้วเท่านั้นเป็นพอ ถึงเอ็งก็เหมือนกัน ไม่เกลียดข้าไม่ใช่รึ?”
“โอ้ย! ไม่ต้องมาทำปะเหลาะ ทั้งทุ่งสองห้องย่านบางเขนนี่แหละ ไม่เคยจะเกลียดหน้าใครมากเหมือนพี่ลือเลยจะบอกให้”
มันหัวเราะก๊ากแกล้งให้งอหาย “เออ! งั้นซีวะพี่ชอบใจเอ็งนักผัน ว่าแต่เอ็งรักข้ามากจริงๆ ล่ะรึ?”
“บ้าซี เออ! คนเรานะนี่มันจะบ้าไปถึงไหนกันบอกอยู่หยกๆ ว่าเกลียด-เกลียด”
ฟังคำเน้นของเจ้าผัน ลือยิ่งชอบที่จะยั่วใหญ่ “เกลียดมันก็คือว่ารักนั่นแหละว๊ะผัน ใช่ไม๊ล่ะ”
ผันหน้าเง้าแล้วเอ่ยปากตะโกนพี่สาว “พี่เผื่อน”
ลือใจหายวาบ ถ้าอีผันคิดเขวไปว่าเกี้ยวมันแล้วคงจะเดือดร้อนอีกจึงจุปากห้าม แต่ก็ไม่ทันกันเพราะเสียงแหวมาจากเจ้าเผื่อน
“อะไรกันอีกล่ะ?”
“ดูพี่ลือซี” ผันชี้ไปที่เจ้าพี่เขยซึ่งยืนหน้าถอดสี “พี่ลือตามมายั่วข้าอีก”
ค่อยโล่งใจถนัด ที่ผันมันตอบไปอีกทางจึงหัวเราะกลบเกลื่อน แต่ก็ไม่วายจะถูกเมียลงขอเอาอีก
“พี่ลือก็เป็นเด็กไม่รู้สึกเลย โตจนมีลูกเต้าแล้วยังจะทะเล้นเป็นเด็กๆ”
“เปล่าหรอก แม่เผื่อน”
“อย่าเปล่า ข้ารู้สันดานพี่ลืออยู่ดีหรอกอย่าเถียงนะ อย่าเถียงเป็นอันขาด”
เจ้าคนขี้เกรงเมียก็ยอมเงียบเป็นปลิดทิ้ง นอกจากหัวเราะอารมณ์ดีเข้าต่อ แล้วพูดเถลไถลถึงเรื่องงานนาที่จะไถในวันรุ่งขึ้นกับแม่ยาย และก็น่าประหลาดที่ยายบัวมิได้ด่าซ้ำซากเพิ่มเติมเหมือนอย่างก่อน เป็นแต่บอกให้บัวผันเก็บผ้าผ่อนเข้าห่อเตรียมกลับบ้าน เพราะเจ้าแดงก็พอจะหายสบายดีแล้วจึงเป็นอันที่เจ้าลือจะต้องรับหน้าที่เลี้ยงลูกไปก่อน เพราะบัวเผื่อนจะต้องส่งแม่ที่ลำคลองชายนาโน้น
เรือแจวเกยเลนอยู่ชายตลิ่ง ถัดเรือสำปั้นยายบัวไป ข้างหน้าคนในประทุนนั่งชะโงกหน้า เฝ้าจ้องและชะเง้อตามองไปตลิ่งบ่อยครั้ง แล้วบ่นกับคนแจวที่นั่งง่วงอยู่ท้ายลำว่า
“น้าแกบอกกะเอ็งว่า สักเมื่อไหร่จะกลับวะเปลี่ยนเอ็งจะฟังไม่แน่ละกระมัง?”
เจ้าคนแจวท้ายที่ชื่อเปลี่ยน ก้มมองมาในประทุน “แกบอกว่าพลบแน่นี่พี่อ่อน”
“อูบ๊ะ” นายอ่อนเอ็ดเจ้าเปลี่ยน “ก็นี่มันร่วมจะพลบอยู่แล้ว เห็นไม๊ล่ะ แล้วเรื่องแม่เผื่อนว่าไง เขาบอกเอ็งรึเปล่า?
เจ้าเปลี่ยนสั่นหน้า “เอาแน่ไม่ได้ แม่เผื่อนบอกว่าหากเหมาะลางทีจะมาส่งน้าบัวด้วย”
“บ๊า!” นายอ่อนเพิ่มความกระวนกระวายขึ้นอีก “คอยก็นานอยู่นักแล้ว ถ้าไม่พบก็เลยเสียเวลาเปล่า”
แต่ครู่นั้น เจ้าเปลี่ยนก็ชะเง้อตัวชี้มือข้ามประทุนไปบนตลิ่ง “โน่น มันมากินลับๆ โน่นใช่ไหมนั่น?”
“ฮึ! ใช่แน่รี อ้ายลือมาด้วยหรือเปล่าหนอ?”
เจ้าเปลี่ยนยืนป้องหน้าอยู่สักครู่ “ผู้หญิงทั้งนั้น อ้อ! แม่เผื่อนก็มา อ้ายลือคงจะถูกเลี้ยงลูกถึงไม่เห็น”
นายอ่อนดีใจนัก โมโหหายเป็นปลิดทิ้งที่จะได้พบเจ้าเผื่อนชิ้นเก่า ถึงจะมีลูกไปแล้วก็ดี แต่ความงามของเผื่อนไม่ลดเลย บัวผันเสียอีกทั้งๆ ที่ยังกำลังสาวก็งามไม่ลบแม่เผื่อนไปได้
“เข็น อ้ายเปลี่ยน” นายอ่อนพยักหน้ากับสมุนแจวท้าย “ต้องลงเข็นให้ใกล้ตลิ่งเข้าไปอีกหาไม่ข้าจะขี่คอเอ็งบุกเลน”
เจ้าเปลี่ยนเต็มใจลงเข็นเรือมากกว่าให้ขี่คอ เมื่อฟังคำสั่งนายอ่อนแล้วก็โดดลงท้ายเรือ ไหล่ดันเต็มแรงจนเรือเขยิบเข้าใกล้ห่างอีกเพียงชั่วแขนกว่าๆ แล้วชู้คอยของเจ้าเผื่อนก็เผ่นแผล็วขึ้นตลิ่ง
ยายบัวใกล้เข้ามาอีก บัวเผื่อนช่วยน้องสาวหิ้วห่อผ้าอยู่กลางถัดไปเจ้าผันถือพายเดินตามมาหงอยๆ ทั้งแม่และพี่สาวที่เดินไปข้างหน้าหารู้ไม่ว่า เจ้าผันนั้นมันเหลียวหลังไปดูโรงนาที่เห็นลิบๆ อยู่ข้างหลังโน้นด้วยหัวใจพิกล
ไม่ทันจะถึงตลิ่งที่ผูกเรือไว้ นายอ่อนก็รีบวิ่งไปรับห่อผ้าจากบัวเผื่อน
“แหม นึกว่าจะไม่มาเสียอีก” แล้วมองไปทางคนสุดท้าย “อ้อ แม่ผัน จะกลับบ้านวันนี้ด้วยละมัง?”
ผันพยักหน้าหงอยๆ ได้ยินพี่สาวตอบนายอ่อนว่า
“เพิ่งจะรู้จากแม่เมื่อครู่นี้เองว่าพี่จะมา แล้วก็กะทันหันเหลือเกิน”
“ฉันเพิ่งกลับจากบางกอก หัวใจร้อนเหมือนจะตาย” ชู้รักเจ้าเผื่อนพูดแก้ก็เลยขยายถึงความมั่งมี และธุระที่ไปบางกอก “จะตกลงกันในวันสองวันนี้แหละแม่เผื่อน คือว่าฉันคิดจะเหมาไม้ไปปลูกตลาด และโรงแถว ให้เช่าเพราะที่ทางที่รับจำนำ เขาก็เพิ่งจะหลุดมา หากจะทิ้งเปล่าให้ที่เหลือไว้ก็นึกเสียดาย
ยายบัวแกฟังปลื้มสมบัติอยู่ห่างๆ กระทั่งลูกสาวคนเล็กไขกุญแจโซ่เรือเสร็จเดินมารับห่อผ้าจากนายอ่อน
“อะไร จะรีบกลับล่ะรึ แม่ผัน?”
ยายบัวรีบตอบก่อน “เย็นมากแล้ว ตะเกียงก็ไม่มีติดมาหน่อยมืดเสียกลางทางจะเกิดลำบาก”
“อ้อ!” นายอ่อนพยักหน้า “งั้นก็ตามใจน้า แต่ถ้าไงค่ำนี้ฉันจะไปคุยที่เรือน”
แกรีบเชื้อเชิญเต็มใจ แล้วเข็นเรือจากชายเลนที่เกยสองคนกับเจ้าผันพายออกกลางน้ำบ่ายหัวล่องลงข้างใต้ หากว่าสายน้ำลดลงเชี่ยวสักเพียงไร หัวใจร้อนของนายอ่อนก็ยังเร็วกว่าที่จะเร่งให้เรือยายบัวพ้นคุ้งไปเสียเร็วๆ
“น้าแกไปแล้ว” นายอ่อนเศรษฐทุ่งบางเขนบอกกับเจ้าเผื่อน “เราไปนั่งคุยกันในเรือก่อนเป็นไร”
“เย็นมากอยู่แล้ว” เผื่อนอิดออด “ที่โรงก็ไม่มีใครนอกจากพี่ลือกับอ้ายแดง”
“อ้าว ก็มีกันอยู่เท่านั้นแล้ว แม่เผื่อนจะให้มีใครอีกล่ะเถอะเราไปคุยกันก่อน แหมฉันน่ะ เพียงไปบางกอกชั่วเมื่อเช้าเท่านั้นเองแต่ดูมันนานยังกะสักปี”
เผื่อนเจ้าค้อนสลัดแขนที่นายอ่อนเกาะ “อายพ่อเปลี่ยนเขามั่งเถอะ ไม่เหมาะหรอกที่จะคุยกันน่ะ เดี๋ยวเขามาตามพบเข้าก็จะเกิดเป็นความกันใหญ่แน่ และหมู่นี้ก็ดูเขาระแวงๆ พิกล”
“ช่างหัวมันเถอะแม่เผื่อน” นายอ่อนตอบไม่เห็นสลักสำคัญ “เถอะเมื่อกลัวก็ให้อ้ายเปลี่ยนมันขึ้นมาดูต้นทางก็แล้ว เฮ้ยเปลี่ยนขึ้นมาอยู่บนตลิ่งนี่”
พอคนแจวท้ายบุกเลนมาขึ้นตลิ่ง นายอ่อนก็กระซิบที่ข้างหูว่า
“เอ็งไปซุ่มอยู่หลังพุ่มข่อยโน้น คอยเฝ้าต้นทางถ้าใครมาต้องบอกให้ข้ารู้ตัว” และผลักเจ้าเปลี่ยนรุนหลังให้ออกวิ่ง ตัวเองโดดลงเรือไปก่อนแล้วยื่นแขนมาให้เจ้าเผื่อนเกาะก้าวพาลงประทุนเรือ
เผื่อนนั่งอิงกระทงเรือพับเพียบเรียบร้อย แต่นายอ่อนเหนี่ยวรั้งให้ชิดเข้ามาอีกจนรวบกอดได้
“คิดถึงนัก แม่เผื่อน เออ แล้วหนังสือที่ฝากน้ามานั่นอ่านแล้วรึยัง?”
ถึงมีลูกมีผัว แต่การผิดมือชายเผื่อนก็เกิดประหม่า เสียงตอบสะทกสะเทิ้น
“ยังเลย เขาอยู่จะอ่านยังไง เลยต้องเหน็บซ่อนไว้ นั่งท่างหน่อยไม่ได้เร๊อะ?”
“โธ่เอ๋ย เผื่อน ถ้ารวมตัวกันเสียได้ฉันก็จะรวมแม่เผื่อนไว้เสียในหัวใจทีเดียว”
เผื่อนเงยหน้าค้อน “เพราะหูนัก ก็เห็นจะเป็นแต่เดี๋ยวนี้หรอก ต่อไปก็ยากจะเชื่อ เพราะพี่มีเงิน และสาวนางก็มีออกตลอดทุ่งบางเขนพี่จะเลือกใครก็ได้”
“โอ๊ย! เผื่อน” อ่อนหัวเราะเหลือขัน จูบเผื่อนเมื่อเผลอแล้วหยอกเย้า “คนเราลงมันถูกหัวใจแล้วจะต้องมาเลือกสาวเลือกนางอยู่ว่าไร จริงหรอกอีสาวๆ บ้านอื่นนะ ถมเถไปถ้าจะต้องการ แต่หัวใจมันไม่รักแล้วจะทำยังไง?”
เผื่อนโห่ให้ “รักเมียเขา เฮ่ว! เขาชมจนช้ำหมดแล้วก็มาหลงเก็บ”
“แต่เผื่อนของพี่ยังไม่หายหอม” นายอ่อนพูดดื้อๆ มือกอดเจ้าเผื่อนๆ ก็รั้งให้เอนนอนเหนือตัก แม่เอ๋ย เมียงามอ้ายลือยิ่งมีลูกยิ่งมีเพิ่มกระบวนงาม สองแก้มบ่มสีเลือด ร่มแขนที่พ้นแดดเผานั่นขาวเกลี้ยงขึ้นนวลตลอดเอวตลอดร่างมันอวบเกือบจะเป็นคนเจ้าเนื้อ ยิ่งเมินเมียงตะแคงข้าง ก็ยิ่งเห็นเผื่อนเจ้างามสี่ด้าน ก็เหลือที่ชู้เจ้าจะอดใจ ทอดหน้าลงเกลือกอกเจ้าเผื่อน
“เชื่อเถอะ-เผื่อน เชื่อรักของพี่เถอะว่าไม่มีเป็นอื่นอีกแล้วเป็นแท้”
เผื่อนกำลังตื่นหัวใจ ลืมหน้าอ้ายแดงลูกรัก และเสือลือที่ทิ้งเกเรมาเป็นผัวเสียสิ้น ผิดมือผิดชายก็ทำให้เผื่อนเคลิ้มไปอย่างหลงใหล มีแต่คำเพ้อในรักเท่านั้น
“เวลานี้ก็เชื่อแล้ว แต่ต่อไปพี่ทิ้งฉันเสียเผื่อนคงช้ำใจตาย”
“ทิ้งกระไรได้ เผื่อนเอ๋ย” นายอ่อนพูดกระชั้นหน้าชิดใกล้หู “รักเผื่อนเกินอื่นใด และฉันก็รักของฉันมาก่อนไอ้ลือใช่ไม๊ล่ะ โธ่ หากเป็นชายอื่นผิดฉันแล้วใครเขาจะคอยอยู่อีก ผันมันก็เป็นสาวใหญ่แล้ว และมันสวย ทั้งน้าแกก็เต็มใจจะยกให้แต่หัวใจมันไม่รักก็ต้องยอมทำบาปผิดลูกผิดเมียเขาเช่นนี้แหละ”
หัวใจเผื่อนเจ้าหวนไปถึงลูก ถึงอ้ายลือนักเลงทุ่งสองห้องเมื่อก่อนแล้ว เผื่อนก็ร้องไห้
“ฉันสงสารพี่ลือ” เจ้าว่า “พี่ลือรักฉันเสียมากมายและกลัวเกรงตลอด แต่ฉันก็มาเป็นไป”
“ถูกแล้ว แม่เผื่อน แต่หากแม่เผื่อนขืนจมอยู่กะมันแล้วเพียงผ้าจะพันกายก็คงไม่มี เถอะ เมื่อว่าจะคิดถึงคุณเขาฉันจะออกเงินส่งมาให้คราวหลังอีกก็ได้”
เผื่อนท้อแท้หัวใจนัก เจ้าผัวลือจะหาใครรักเมียเหมือนมันอีกมิได้ แต่นิสัยนักเลงพนันและใจเติบเลี้ยงเพื่อนนั้นแก้ไม่หายจนสิ้นเนื้อประดาตัว แต่เมื่อคิดถึงคุณพ่ออ่อนที่ค้ำชูแม่เจ้าและอุตส่าห์คอยจนหวนมารักกันอีกก็ยากใจ
“ถ้าฉันทำไปจริง พี่ลือคงร้องไห้ถึงฉันแทบขาดใจ ทั้งอ้ายแดงคงได้ลำบากไม่น้อย”
“ให้น้าแกไปรับทีหลังก็ได้” คนหนุ่มที่เฝ้ารักเจ้าเผื่อนมานานแสนนานปลอบน้ำใจ “การณ์ข้างหน้าอย่าคิดนักเลยแน่ะแม่เผื่อน ตะวันก็โพล้เพล้ลงนักแล้วฉันน่ะไม่เคยจะนึกรังเกียจข้อไรเลย ตลอดตัวแม่เผื่อนว่ามีผัวแล้วถึงอ้ายแดงก็เถอะ เมื่อต่อไปมื้อหน้าเจ้าลือเขายินยอมฉันจะรับเลี้ยงและรักมันเหมือนกะลูกของฉันเองทีเดียว”
เมื่อพูดถึงลูก ความสุขสบายของเจ้าแดงเมื่อเติบโตข้างหน้าจะได้อุปการะ หัวใจเผื่อนก็โอนอ่อนระลึกเป็นบุญคุณ เขารักไปตลอดลูกและซ้ำออกเงินจะช่วยบำรุงผัวเผื่อนเจ้าก็เห็นว่าผู้ชายอย่างเขานั้นหายาก เจ้าลือมีแต่รูปและรักอย่างเดียว แต่หัวใจสนุกมันไม่สิ้น พอมีเงินติดตัวก็เหลิงจนลืมลูกลืมเมียเตลิดไปสนุก ยิ่งอยู่ยิ่งอายเพื่อนสาวบ้านอื่นรุ่นกันที่เขาได้ผัวดีเป็นหลักเป็นฐานไปแล้ว
ยิ่งตรอง เผื่อนก็ยิ่งเวียนความคิดไปข้างฝ่ายจะอยากตายเสียมากกว่าอื่น กระทั่งเสียงกู่ของเจ้าเปลี่ยนลอยลมมาจึงผละขึ้นนั่ง
“ตายละ คงเป็นพี่ลือมาตามแน่”
นายอ่อนก็พลอยใจเสีย แต่ฝืนตอบว่า “อย่าเพิ่งตกใจก่อนบางทีจะเป็นคนอื่น”
“งั้นก็เถอะ ใครเห็นก็ไม่งามแน่ ฉันกลับก่อนล่ะ”
นายอ่อนสุดจะขัด จึงก้าวไปเหยียบตลิ่งและรับเผื่อนให้เผ่นไป
“อย่าลืมอ่านหนังสือนะ แม่เผื่อน” เขารีบร้อน “ต้องอ่านให้ได้อย่างช้าก็พรุ่งนี้”
เผื่อนพยักหน้ารับ เจ้าเช็ดหน้าเช็ดตาแห้งแล้วเดินออกจากซุ้มไม้ เลาะชายคลองเป็นที่เจ้าผันกับแม่กลับไปแล้ว พอบ่ายหน้าออกทุ่งโน่น กระท่อมตะคุ่มลิบๆ หลังคามัว เพราะตะวันจะสิ้นแสงตกดิน ประหลาดใจที่เจ้าเปลี่ยนกู่ขึ้นเพราะไม่มีใครสวนทางมาเลย แต่เหลือบอีกทีจึงเห็นคนอุ้มเด็กอยู่หน้าประตู พี่ลืออ้ายแดง โธ่เอ๊ย! พ่อลูกมันหลงคอยหารู้ชั่วของเผื่อนไม่แล้วเผื่อนก็วิ่งมั่งเดินมั่งจนถึงหน้าโรง อ้ามือรับอ้ายแดงมากอด
ลือมันสนเท่ห์ เผื่อนไปเกินนานก็ฉงนอยู่แล้ว แต่การกลับของเผื่อนเจ้านองน้ำตา เมื่อจูบอ้ายแดงก็อดจะถามไม่ได้
“แม่เผื่อนทำไมร้องไห้?” เจ้าผัวค่อยปลอบเมื่อเผื่อนมาถึงแคร่นอนโรงนา “บอกให้ฉันหายกลุ้มสักหน่อยเถอะ ว่าทำไมร้องไห้?”
เผื่อนยิ่งร้องไห้หนัก วางอ้ายแดงลงกับเบาะแล้วตอบอย่างแสนยากเย็น
“แม่แกด่า”
ค่อยโล่งใจเมื่อฟังเจ้าเผื่อน แล้วมันก็หัวเราะชวนพูดไปข้างสนุก
“อ๋อ! จะถือสาอะไรแกเล่าแม่เผื่อน คงจะด่าเรื่องฉันยืมควายแกเป็นแน่ เถอะ พรุ่งนี้แต่หัวมืดถ้าเจ้าลอยเอาควายมาให้ฉันจะนั่งกอดเข่าฟังแกด่าให้สนุกหูเสียก่อนแล้วถึงจะไปไถนา กินข้าวเสียเถอะแน่ะ ฉันหุงหาไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะเห็นแม่เผื่อนไปนานเกินเวลา”
แต่เมียคงสะอึกสะอื้นยิ่งขึ้นอีกเมื่อฟังมันพูดสารพัดที่เจ้าลือจะถนอมใจ แต่กรรมก่อนตามมาทันแล้ว มันเองก็มองไม่รู้ตัว
“พี่กินเถอะ ฉันไม่หิวเลย”
ลือประคอง เชยคางเผื่อนแสนสงสารที่เห็นน้ำตา
“พี่คอยเผื่อน” แล้วก็ถอนใจ “มีปลาตัวเดียวเท่านั้นเองเผื่อน กินพร้อมๆ กันเถอะ”
“อย่าห่วงเลย ฉันกินมั่งแล้วแต่เมื่อบ่าย”
“แล้วกลางคืนจะหิวแย่” ลือไม่สิ้นหวังและก็ไม่สิ้นสงสัยว่าเจ้าเผื่อนเคยถูกแม่ด่าจนแทบจะนับหนไม่ถ้วนก็ไม่เห็นร้องไห้มากเหมือนวันนี้ และเจ้าเผื่อนก็ไม่เคยลงรอยดีกับมันมากเหมือนวันนี้เช่นกัน
เมื่อถูกเมียคะยั้นคะยอหนัก เจ้าลือก็จำใจเข้าครัวเปิบข้าวอย่างเอร็ดอร่อยอิ่มไม่อิ่มข้าวครึ่งหม้อเล็กก็ต้องแบ่งไว้ให้เจ้าเผื่อน เมื่อเสร็จแล้วก็ควานมีดไปหาบน้ำมาจากชายคลอง เผื่อเผื่อนเจ้าจะอาบน้ำก่อนนอนเสร็จแล้วมันก็หยอกเย้าสำราญใจพร้อมหน้าลูกและเมียรัก
.
«
Last Edit: 23 October 2025, 16:45:00 by ppsan
»
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 11,133
Re: นวนิยายเรื่อง รอยไถ บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม
«
Reply #1 on:
23 October 2025, 16:04:27 »
https://vajirayana.org/%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%96/%E0%B9%92
https://vajirayana.org/
รอยไถ/๒
๒
เมื่อคืนฝนตกหนัก ตกจนแทบท้องฟ้าจะถล่มทลาย ผืนนาอิ่มน้ำ ดินแห้งระแหงก็ลบรอยหมดท้องฟ้าขาวได้อรุณ ทุ่งบางเขนก็เวิ้งว้างปลอดโปร่ง ควายคู่ซึ่งเดินกรำฝนมาจากกูบแดงเมื่อตี ๕ ซึ่งเจ้าบัวลอยน้องสุดท้องของบัวเผื่อนต้อนมาให้ก็เข้านอนคอกคอยเวลาไถ
จนเจ้าลอยกลับไปแล้ว สีหน้าเจ้าลอยบอกบุญไม่รับและไม่ค่อยจะพูดจากับพี่สาวเหมือนเคย เจ้าลือนั้นยืนแลน้องเมียที่เดินตัดทุ่งเห็นอยู่ลิบๆ พอลับตาก็หวนกลับจากประตูโรงนามาหาเผื่อน
นั่งลงเคียงและพูดจายิ้มแย้ม “ไถเสียวันนี้แหละนะเผื่อนนะ”
“ตามใจพี่ลือเถอะ” เผื่อนตอบก้มๆ หน้า แล้วหวนคิดถึงเพลาดึก เมื่อคืนที่เจ้าลุกไถลเข้าไปกินข้าวแล้วแอบอ่านหนังสือที่ซุกไว้ก็เกิดสลดในหัวใจ จนอดถามไม่ได้ “เมื่อวานพี่ลือกินข้าวหรือเปล่า?“
“เอ๊ะ แม่เผื่อน” เจ้าผัวทำหน้าฉงน ไม่เคยเลยที่เผื่อนจะปรานีไต่ถามเอาเป็นธุระถึงเรื่องการกิน “พี่กินอิ่มหนำแล้วยังแบ่งไว้ให้เผื่อนอีกครึ่งหม้อ”
“พี่บอกว่ามีปลาอยู่ตัวเดียว แต่เมื่อฉันไปกินตอนดึกปลาก็ยังอยู่เต็มตัวตลอดหาง”
“อ๋อ เท่านั้นเอง” ลือหัวเราะร่วน “พี่กลัวเผื่อนจะหิวลุกขึ้นกินเมื่อดึกถึงได้ไม่กินปลา”
“แล้วกินกะอะไร?”
“ข้าวเปล่า” ลือตอบหน้าสลด หัวใจนั้นบอกไม่ถูกเป็นประการไร “แต่พี่ก็กินจนอิ่ม น้ำคำเผื่อนที่เตือนให้พี่กินข้าวนั่นแหละ อร่อยเกินกับแกล้มอื่นๆ เสียอีก”
เมียน้ำตาคลอ ถึงจะรู้ว่าคำผัวนั้นประจบประแจง แต่น้ำใจผัวที่ห่วงหิวของเมียก็ทำให้เผื่อนใจแห้งเพราะเจ้าไปกินทีหลังพร้อมด้วยกับที่ผัวหวงไว้ให้ แม้แต่ท้องมันเองเจ้ากินพร้อมด้วยคำหวานของชู้รักที่เขียนบอกเป็นตัวหนังสือจาระไนทรัพย์สมบัติและความสุข ที่จะโอบอุ้มเจ้าตลอดจนแม่และน้องๆ อ้อนวอนที่จะให้เผื่อนหนีเคราะห์และความยากแค้นอดอยาก แต่แล้วเผื่อนก็ต้องอิ่มท้องด้วยข้าวกับปลาที่ผัวเจ้าหวงไว้ให้เท่านั้นหาใช่ทรัพย์สมบัติในหนังสือไม่
ลือมันแสนจะประหลาดใจ ที่ในหมู่สองวันนี้เผื่อนช่างเป็นคนขี้ร้องไห้นัก ค่อยๆ ถามเอาใจว่า
“แม่เผื่อน พี่ไม่อยากจะกวนถามให้รำคาญใจหรอก แต่เห็นเผื่อนร้องไห้แล้ว หัวใจฉันสั่นไปหมดเรื่องอะไรรึ!”
เผื่อนส่ายหน้า น้ำตาคลอก็หยดลงต้องอ้ายแดงตอบได้เพียงคำเดียวว่า
“สงสารพี่ลือ”
“ก็เรื่องราวไปมายังไง?”
“พี่อุตส่าห์กินข้าวเปล่า”
ลือถอนหายใจเฮือก “เราจนนี่เผื่อนเอย ปากท้องของพี่น่ะจะอดสัก ๔-๕ มื้อก็ไม่เป็นไร แต่เผื่อนต้องให้ลูกกินนม ไม่ใช่อิ่มท้องแต่คนเดียวอย่าคิดมันเลยเผื่อน มันชั่วของฉันเอง ฉันเองที่ลืมคิด เมื่อพอจะมีหยิบมีฉวยกับเขามั่ง ใจมันอยากชั่ว ก็ต้องทรมานมันเสียให้เข็ด”
“แต่พี่ต้องใช้แรงทำงาน”
“ก็ถูก” ลือตอบเสียงสั่น เศร้าหัวใจเมื่อนึกถึงปากท้องตัวเอง และลูกเมีย “แต่อย่าห่วงพี่เลยไม่เป็นไรหรอก พี่จะไถดะให้สิ้นในเร็ววัน แล้วก็ไถแปรและหว่านให้เสร็จ เพลาที่เหลือนอกนั้นจะไปรับจ้างเขานาอื่น ถึงไม่ได้เงินจะเป็นกับหรือข้าวก็ยังดี พี่ไม่อายหรอกถึงเราเคยมั่งมีศรีสุข แต่ปากท้องของเผื่อนกะอ้ายแดงมันสำคัญ”
เผื่อนคงยากใจจะโต้ตอบหรือเชื่อคำผัว เพราะฤทธิ์เหลวของมันที่เห็นๆ มาแล้ว ก็สบถสาบานทุกครั้งและก็ต้องทะเลาะวิวาทกันเพราะเรื่องนี้มานักต่อนัก หากมาหวนคิดถึงเวลาเหลืออีกชั่วไม่กี่วัน ก็ควรจะถนอมน้ำใจมันพอเป็นเครื่องตอบแทน
ไม่ทันสาย แต่เพื่อนนาใกล้นาเคียง นาทุ่งหมดแล้วเจ้าลือที่เพิ่งจะเป็นคนเริ่มขยันงาน ก็ปลดไถมาปัดเขม่าคว้าสายแอกหางถือขึ้นบ่าตรงไปคอก พอเปิดก็นึกหลากใจนัก นึควายอ้ายอ่อนทั้งคู่ ที่จำได้ว่าเป็นควายเจ้าอ่อนก็เพราะเคยเป็นควายมันอยู่ก่อน แล้วขายไปแต่ปีกลายแต่มานึกอีกว่า บางทีแม่ยายจะรับซื้อต่อหรือยืมมาก่อนก็แล้วกันไป เพราะในชั่วตะวันสายนั้น หญ้ารกและนาร้างของเจ้าลือก็ไถดะเป็นทางอย่างรีบร้อน
เลยพลบมาจนเข้าไต้เข้าไฟ เรือนฝากระดานท้ายทุ่งกูบแดง จุดตะเกียงแสงโพลงอยู่กลางนอกชานสำรับกับข้าวนั้นยกพ้นไปแล้ว ยังเหลือแต่ขวดเหล้าตั้งเรียงอยู่กลางวง ผู้คนนั่งล้อมรอบจิบเล็กจิบน้อยเพิ่มไปอีก คนนั่งขัดสมาธิสองชั้นผู้เป็นเจ้าของเรือน พูดกับคนนั่งตรงข้ามข้างหน้าว่า
“ฉันน่ะ รำคาญหรอกพ่อแปลกที่จะเอาแม่เผื่อนมาไว้บ้านนี้ก็เพราะว่าอยู่มั่งไม่อยู่มั่งเท่านั้น ลางทีก็ขึ้นบางกอกตั้งคืนสองคืนก็มี หน่อยอ้ายลือจะตามมาอาละวาดฉุดคร่า ก็ไม่มีใครจะรับหน้ามัน เพราะเจ้าเปลี่ยนก็ยังเยาว์นักข้าก็กลัวมันเสียยังหนูกับแมว
๓-๔ คน มองไปยังเจ้าเปลี่ยนคนเฝ้าเรือนและแจวเรือไปเมื่อวานซืน พี่ชายนายเปลี่ยนจึงต้องแก้แทน
“อ้ายเปลี่ยนมันเด็กกว่าอ้ายลือนักพ่ออ่อน อีกประการหนทางนักเลงก็ไม่ค่อยจะเคย อ้ายลือมันต้องกะฉันถึงจะได้เถอะน่ะ ส่งแม่เผื่อนไปอยู่กะฉันที่เรือนลุงแล้วก็เป็นอันนอนตาหลับไม่ต้องห่วงใยอะไรทั้งสิ้น”
คนนั่งข้างพ่อแปลก ซึ่งเป็นลูกน้องมาด้วยค้านตามรู้ตามเห็นว่า
“เอ๊ะ พี่แปลก ก็เผื่อว่ามันจะอ้างว่าเป็นลูกเป็นเมียมันหนีมาแล้วเราจะทำไงล่ะ?”
นายอ่อนพอจะเห็นคล้อยตามจึงจ้องหน้านายแปลก นักเลงบ้านกูบแดงจึงพูดเสียงดุๆ เจ้าคนถาม
“เซ่อบัดซบเทียวมึง อ้ายแอบ เมื่อมันมาตีอ้างว่าเป็นเมียก็ให้มันไปฟ้องเอาซี กว่าจะไปถึงโรงพักเอาหมายอำเภอมาก็พาแม่เผื่อนยักย้ายไปอื่นเสียแล้ว ข้าว่าหนีไปจะเอาอะไรกะข้า แต่ทว่าจะมาฉุดน่ะไม่สำเร็จหรอกกูให้ ๑๐๐ อ้ายลือก็ต้องฝัง” แล้วลดเสียงกระซิบถามนายอ่อนดูอีกให้แน่ใจ “ว่าแต่แม่เผื่อนน่ะเขาตกลงปลงใจกับพ่ออ่อนแน่ล่ะรึ?”
“อ๋อ! ข้อนั้นเรียบร้อย”
“สำคัญ” นายแปลกพยักหน้าชมเชยเชิงเจ้าชู้ของนายอ่อน แล้วก็พูดลามปามไปด้วยฤทธิ์สุรา “ว่าแต่อย่าลืมแบ่งนังผันให้มั่งก็แล้วกัน ซักหน่อยสำเร็จแล้วจะเทครัวเสียคนเดียว”
นายอ่อนหัวเราะ พยักมาทางเจ้าเปลี่ยน “เขาก็เก็งยายบัวไว้แล้ว”
“ตายโหงเชียวฉัน” เจ้าคนขลาดเชิงนักเลงร้อยเอ็ด “แกก็ยังไม่แก่เฒ่านักหรอกพี่ แต่ว่าปากยายบัวนี่แหละฉันกลัวยิ่งกว่าหมากัดไปอีก”
ฮากันตึงใหญ่ อีกคนหนึ่งกำลังคะนองรุ่นเจ้าเปลี่ยนนั่งติดแจอยู่ข้างนายแปลกเอ่ยขึ้นมั่งเพราะเห็นสนุก
“เอ้อะ! มึง อ้ายเปลี่ยน ทำพูดตะโกนดังไปเหอะหน่อยอ้ายลอยมันย่องมาฟังจะถูกเหยียบหน้าพรุ่งนี้”
เจ้าเปลี่ยนสีหน้าสลด รู้สึกว่าคำเตือนของเจ้าหนุ่มแฉล้มมีประโยชน์ แต่ยังแก้อายไปว่า
“ข้าไม่ผิดก็ลองดูซี”
“สันดานคน” พี่ชายด่าโขมง “จะกลัวทำเจ้าอะไร้วะคนเหมือนกัน และเอ็งกะอ้ายลอยก็ล่ำสันพอฟัดพอเหวี่ยงดูเหมือนจะมีภาษีกว่ามันเสียอีก”
“มันเล่นมีดนี่พี่” เสียงแก้อ่อยๆ ของเจ้าเปลี่ยนเลยทำให้คนอื่นขัน แต่นายแปลกเพิ่มฉุนขึ้นอีกมาก
“แล้วมีดมึงไม่มี ถุย! อ้ายสันดาน ไปใส่งอบพายเรือขายของเถอะวะอ้ายเปลี่ยน เดี๋ยวปั้ด โธ่ อ้ายนี่”
เจ้าเปลี่ยนยกมือปิดแล้วหลบวูบ นายอ่อนเห็นจะไปกันใหญ่ เพราะนายแปลกเป็นคนเมาดุร้ายจึงพูดจาห้ามปราม
“ขอทีพ่อแปลก ที่จริงก็ไม่ใช่คนไกลหรอก อีกสักหน่อยเจ้าลอยมันก็จะตกมาเป็นน้องเมียฉันแล้ว เด็กมันก็รักใคร่กันไปเอง” แล้วหันไปดูเจ้าหนุ่มแฉล้มผู้ก่อความแล้วรินเหล้าแจกจ่ายกันไปอีกจนทั่วตลอดจนปรึกษาข้อความนัดแนะกันเป็นที่แน่ถึงเรื่องจะทำการให้สำเร็จต่อไป
ใต้ถุนเรือนสูง ระหว่างคนบนเรือนนั่งคุยปรึกษากันตลอดเวลามีคนยืนอิงเสาซุ่มฟังความ แม้คำสนทนาของคนเหล่านั้นจะได้ยินบ้างไม่ชัดบ้าง แต่เจ้าคนที่แอบเสาฟัง ก็ฉุนเฉียวเจ้าเปลี่ยนที่พูดชะล่าเอ่ยไปถึงแม่มันกับพี่สาว และแค้นไปถึงนายแปลกนักเลงบ้านกูบแดงพี่เจ้าเปลี่ยนต่างๆ นานา กระทั่งได้ยินคนเหล่านั้นบอกลาจะกลับ จึงรีบหลบจากใต้ถุนเข้าเงามืดมุ่งเข้าไผ่กอคู่ข้างหน้าที่อยู่ถัดไปโน้น
พออ้อมท้ายคอก ก็เห็นคนที่นั่งชานห้างสำหรับนอนเฝ้าควายของมัน พอก้าวไปใกล้เห็นถนัดก็ถูกถามว่า
“อ้ายลอยรึ เอ็งไปไหนมา?”
เจ้าบัวลอยรุ่นหนุ่มเกิดพิรุธ จะตอบตามจริงก็ยังหารู้ไม่ว่าพี่สาวจะเป็นพวกพ้องข้าใครแน่เลยปฏิเสธ
“เปล่า”
“เปล่า หนอยโกหก ก็ข้าลงมาสุมยุงควายเป็นนานสองนานทำไมไม่เห็น แล้วเพิ่งจะมาเห็นเดี๋ยวนี้เอง”
“ฉันมาจากนาทางโน้นจ้ะ พี่ผัน” บัวลอยแบ่งรับอ้อมแอ้ม “เพิ่งไปล่ะย่ะ ไม่พบอ้ายเปลี่ยนเลยกลับ”
ได้ยินถึงชื่อเจ้าเปลี่ยน บัวผันก็หลับตานึกถึงเรื่องราวเมื่อเย็นวานซืนที่เจ้าเปลี่ยนแจวเรือไปส่งนายอ่อนและนึกย้อนไปถึงคำกล่อมอ้ายแดงของเจ้าเอง ดูช่างเป็นลางประหลาดสังหรณ์ใจนึกถึงเจ้าลือพี่เขยที่มาพูดจาล้อเลียนอย่างหลับตาไม่รู้เวลาเคราะห์แล้วผันก็พลอยสลดใจแทน
“เอ็งไปจนถึงเรือนรึ?” บัวผันถามตรงๆ อย่างเจ้าลอยไม่คาด “ใครอยู่มั่งที่เรือน?”
“เปล่า ฉันไม่ได้ขึ้นเรือนหรอก”
“งั้นไปอยู่ที่ไหน?”
“ใต้ถุน”
“เอ๊ะ! อ้ายลอย” พี่สาวฉงน “เอ็งไปทำไมใต้ถุนซุ่มขโมยเขารึ พูดมาตามตรงเดี๋ยวนี้แหละ”
ถึงเจ้าลอยจะย่างเป็นหนุ่ม และอ่อนกว่าบัวผันเพียง ๒-๓ ปี แต่ก็เกรงพี่สาวมากเพราะยายบัวให้อำนาจและตั้งแต่คบกับเจ้าเปลี่ยน นิสัยขโมยที่ติดมาบ้างเล็กๆ น้อยๆ เมื่อถูกซักไซ้จะเอาความก็เลยเล่าให้ฟังหมดถึงความจริง ที่แอบได้ยินมาเพื่อเป็นการแก้ตัว
ข้างนอกหน้าของบัวผันนั้น ก็มักจะไม่ค่อยลงรอยกับเจ้าลือเลย จนใครๆ เห็นแต่การไปมาเยี่ยมพี่สาวและหลานชายบ่อยๆ เจ้าผันที่เคยเกลียดหน้าพี่เขยว่าเป็นคนเหลวไหลเกเรก็ออกสมเพชหน้า ที่เจ้าลือกลัวเกรงและรักลูกเมียอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ยิ่งรู้ว่าเจ้าลือจะต้องเคราะห์โดยไม่รู้ตัว ก็อดจะเกิดสงสารไม่ได้
แต่ด้วยความกลัวแม่เจ้า จะพลอยเป็นคนเสียก็ห้ามน้องชายว่า
“แล้วเอ็งอย่าเที่ยวพูดไปล่ะ แม่รู้แกเป็นตีเอ็งหัวแตกทีเดียว”
“ฉันไม่พูดหรอก แต่แหม เกลียดหน้าอ้ายแปลกเหลือเกิน”
“เขาทำไมให้เอ็ง?”
“จะเอาพี่เป็นเมียซีล่ะ” เจ้าลอยไขหมดแล้วชี้มาทางพี่สาว “มันพูดนัดกะพี่อ่อน จะขอแบ่งพี่เป็นเมียมันแล้วอ้ายหมาเปลี่ยนก็พูดล้ำมาถึงแม่”
บัวผันไม่เอาเป็นอารมณ์ในคำท้าย แต่นึกฉิวที่นายแปลกพูดจาไว้อำนาจ
“พี่แปลกน่ะรึพูดอวดวิเศษถึงปานนั้น” เมื่อเห็นน้องชายนิ่งเป็นแต่พยักหน้ารับ บัวผันเจ้าพูดไปตามใจแค้น “ทำฝีปากดีเดี๋ยวแม่ไขเปิงหมด ก็ลองเข้าหูพี่ลือซีมันจะได้รู้ว่าใครดีกว่าใคร”
เจ้าลอยขยับปากจะรับอาสาอยู่แล้ว ที่จะเก็บความนี้ข้ามไปทุ่งสองห้องบอกพี่เขย ถึงเดี๋ยวนี้จะอย่างไร แต่เสียงเลื่องลือเมื่อก่อนเชิงนักเลงของพี่เขยมันยังคงกึกก้องรู้จักกันอยู่ตลอดบางเขน แต่ไม่กล้าพูดพล่อย ก็เพราะยังไม่รู้ความแน่ว่า พี่สาวคนเล็กกับเจ้าลือจะมีนิสัยต้องกันหรือไม่ ส่วนเจ้าผันด่าแช่งปากนายแปลก ที่พูดจาเราะรานไว้อำนาจไม่หยุดกระทั่งขึ้นเรือน เจ้าลอยก็เพิ่มฟืนสุมยุงแล้วหลบเข้าห้องนอน
แสงแดดกล้า เหนือทุ่งสองห้องในรุ่งขึ้นหากจะเป็นเวลาเพิ่งบ่าย เพื่อนนาอื่นยังทิ้งทุ่งกลับเรือน แต่เนื้อนาตามกำหนดของเจ้าลือที่เช่าไว้ ก็ไถดะเป็นทางยาวสำเร็จแล้ว มันเร่งงานจนแทบควายคู่จะหมดแรงล้มลง เพราะไม่มีเวลาพักเลยกระทั่งเสร็จมองนาโล่งลิบๆที่หัวผาลชำแรกเดินเป็นรอยไถดะเพราะฝีมือมันแล้วปลื้มใจ
มันต้อนควายกลับคอกก่อนเวลาอย่างสบายใจ ทั้งผิวปากร้องเพลง บางครั้งหัวใจอุตริระแวงไปไม่รู้ตัว จำเอาเพลงกล่อมของอีผันขึ้นมาร้องจนสะดุดใจ แต่ก็ช่างหัวมันคิดอยู่แต่ว่ากลับไปนี่จะอวดเจ้าเผื่อนชี้ให้ดู ฝีมือมันที่พลิกแผ่นดินสำเร็จเป็นผืนนาไถดะแล้วลิบๆ
ปลดแอกปล่อยควายตะเพิดไปที่ลำกระโดง แล้วก็ย่างเข้าประตูโรง แม่เอ๋ย เผื่อนหลับสนิททอดกายอยู่เหนือแคร่นอนเคียงลูก ผ้าผืนเดียวที่เผื่อนเจ้านุ่ง ทั้งรอยปะรอยขาด แต่ตลอดร่างแม่เผื่อนที่พันกายด้วยผ้าขาดนั้นงามมีค่าเกินสมบัติอื่น
มันหมุนเข้าครัวไฟ ล้างหน้าให้มันหมดเหงื่อแล้วเช็ดจนแห้ง ย่องมาที่แคร่นอน แม่คุณของพี่หลับสนิท เอ๋! คราบน้ำตาและเผื่อนเจ้าถอนสะอื้นทั้งๆ หลับ เผื่อนคงทุกข์ว่าเรายากจน ผ้านุ่งก็ปลีกไปผูกทำเปลอ้ายแดงเสียแล้วคงเหลือนุ่งแต่ผืนเดียว แล้วมันก็ซบหน้าลงแอบอกเมียกอดรัดด้วยความสงสาร
เผื่อนกำลังหลับสนิท ถอนสะอื้นของเผื่อนก็เรื่องในฝันนั้นวิปลาสน่ากลัว เจ้าเห็นอ้ายแดงพลัดจากอุ้มตกน้ำ ในฝันพ่อมันโดดตามเล่า ก็จมหายสูญหน้าไม่โผลอีก กระทั่งตกใจตื่นเพราะผัวก้มกอด
“ตื่นแล้ว” ลือทักเมื่อเผื่อนลืมตา แล้วช้อนเมียขึ้นมากอดดังเด็กอ่อน “ชั่วไปนาเท่านั้น ก็คิดถึงเผื่อนเหลือหลาย อะไรยังไม่สิ้นง่วงอีกหรือ?”
เผื่อนหลับตาอีก กระทั่งถูกจูบแก้มก็ทำเสียงเอ็ดแสนงอน “ไม่อิ่มมั่งเลย จนอ้ายแดงโตแล้ว พี่ลือก็ยังกวนให้รำคาญอยู่อีก”
มันหัวเราะ ลืมเหน็ดเหนื่อยสละทุกข์ยากอื่นใดหมด แก้มเรื่อผิวมะปรางของเผื่อนยั่วเย้าหัวใจรักให้เหิม
“ไม่รู้อิ่ม” มันย้ำคำเมียและก้มหน้าแนบ “เอ้า จูบอีกจะว่าไร โธ่เอ๋ย! จะบังคับให้พี่เบื่อ ที่รักนี่น่ะยังคิดอยากจะตะโกนให้ใครๆ มันรู้เสียอีกล่ะนา ว่ายังน้อยกว่าหัวใจอีกหลายร้อยนัก ถ้าหากว่ามั่งมีศรีสุขอย่างเขาละก้อพี่อยากจะให้แม่เผื่อนมีลูกช้อนกันทุกๆ ปีไปกระทั่งครบโหลด้วยซ้ำไป”
“เอา บ้าน้ำลาย” เผื่อนดุและถึงจะเป็นผัวแท้ก็เกิดอายที่ฟังมันพูด “แกล้งรักไปงั้นแหละ พอพบเขาอื่นก็ลืมเราหรอก”
“ลืม” เจ้าลือทำเสียงอ่อย “ตลอดทุ่งสองห้องจนจบบางเขนนี่แหละเอ้าแม่เผื่อน ไม่ใช่ว่าจะมายกยอพูดประจบเลย ใครล่ะมันจะมางามเกินเผื่อนของพี่เพียงชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าบัวเผื่อน มันงามลบบัวอื่นหมด ถ้าน้ำหลากไม่มาบัวเผื่อนก็หายากไม่มีเสียด้วยเอ้า....”
“เออ! สวยเหมือนจะตายหละ”
มันหัวเราะสนุกสนาน รัดเผื่อนเต็มแรงทั้งจูบฟอดใหญ่ “ผ่าเถอะนาแม่เผื่อน ไม่ใช่จะเอาลมปากมาทำหวานล่อให้เกินเลย ไม่เชื่อก็คอยดูไปซีล่ะ ตลอดบางเขนนี่แหละให้ใครมาลองเกี้ยวลองรักเมียอ้ายลือดูสักทีเหอะ เผื่อนเอ๋ย ฉันจะตามไปให้ถึงบ้าน ถึงจะหลับจะตื่นก็ต้องฆ่ามันเสียทีเดียว”
เผื่อนสะดุ้งใจหาย หากเป็นคำพูดคำเย้ากันก็จริงแต่คำเดาของผัวลือนั้นแทงถูกตลอดหัวใจ เผื่อนเบนหน้าซ่อนพิรุธแล้วก็เย้ากลบเกลื่อนว่า
“เผื่อฉันตามเขาไปแล้ว พี่ลือมิฆ่าเผื่อนด้วยรึ?”
“ฮึ!” เจ้าผัวขี้หึงพูดใจผิดปกติ “อย่าพูดงั้นนะแม่เผื่อนน่ะ?”
“จะถือสาอะไรกะอีปากพูด” เมียว่า “แต่ฉันน่ะถ้าว่าลงผิดไปงั้นจริงๆ ก็ก้มคอให้พี่ฆ่าเหมือนกัน”
“ป้ะโธ่!” ลือร้องเอ็ด “บอกว่าเลิกพูดเรื่องนั้นเสียทีก็ไม่ฟังเลย ใครนะจะไปฆ่าแกงเผื่อนได้ลงคอ มีอยู่อย่างก็ว่าถ้าเผื่อนสิ้นรักฉันตามไปอยู่กะเขาอื่นแล้ว อ้ายทุ่งบางเขนพี่ก็อยู่อีกไม่ได้ กระท่อมนี่ก็ต้องเผามันทิ้ง แล้วขอเตลิดเปิดเปิงร้องไห้คิดถึงเผื่อนไปกว่ามันจะสิ้นกรรมฉันให้มันตายเอง”
เผื่อนตันหัวใจ ทั้งคำจริงคำเล่นของผัวล้วนแต่ชวนร้องไห้ทั้งสิ้น ลือเอ๋ย โง่นักหนาหากจะตื่นก็เหมือนหลับไหลไม่รู้เรื่อง นักเลงลือกระฉ่อนตลอดบางเขนเมื่อก่อนโง่เง่าก็เพราะรัก
ไม่ทันตอบ เจ้าลือก็นึกได้เมื่อเหลือบแลเห็นเปลอ้ายแดง
“เอ้อ! แม่เผื่อน ผ้านุ่งที่ทำเปลอ้ายแดงน่ะแก้มานุ่งเสียปะไร แล้วผลัดเอาผืนนี้ไปผูกแทนจะดีกว่า เพราะขาดจนจะรอบอยู่แล้ว
เผื่อนก็เพิ่งนึกออก แต่นึกของเผื่อนแล่นเลยไปถึงว่าเจ้าผลัดผ้าใหม่ ก็เหมือนจะเปลี่ยนชู้ใหม่มาเป็นผัว-ผัวเก่าและอ้ายลือ ก็นับแต่จะหมกไหม้ขาดวิ่นวินาศไปกับกระท่อมเก่านี้
ตะวันบ่ายหนีทุ่งสองห้องไปแล้ว แดดออกและลมตกทุ่งยิ่งพัดกระพือ ควายคู่ขึ้นจากลำกระโดงนอนเอื้องหญ้าเพลินเห็นกระท่อมเจ้าลือโดดอยู่ลิบๆ เมื่อใกล้เข้าอีกจนเกือบถึงประตูนา หญิงแก่กลางคนที่มาจากกูบแดงก็หันมาพูดกับลูกสาวว่า
“เอ็งไถลคอยข้าอยู่ข้างนอกนะ ผัน”
ลูกสาวมองแม่แปลกๆ “ฉันไม่ต้องเข้าไปด้วยงั้นเร๊อะ?”
“เออ-ไม่ต้องหรอก เพราะข้าจะให้เจ้าลือเขามาข้างนอกแล้วจะพูดธุระกับพี่เอ็งสัก ๒-๓ คำ เอ้อ! เหมาะทีเดียว” ยายบัวชี้มือไปฟากลำกระโดง “ควายยังนอนอยู่โน่น”
แล้วสองแม่ลูกก็มาถึงประตูโรงนา ยายบัวเดินลับหายเข้าไปแล้ว แต่ผันเจ้านั่งแอบอยู่บนขอนไม้ข้างประตูและชั่วบัดเดี๋ยวใจนั้นก็ได้ยินเสียงแม่เจ้าเอ็ดตะโรเจ้าพี่เขยว่า ปล่อยควายคู่ที่แกให้ยืมไว้ตามลำพังไม่นอนคอก และน้ำหน้าเจ้าลือจะเอาที่ไหนมาใช้ ในเมื่อควายคู่นั้นถูกคนต้อนเปิดไปอื่น
ไม่ทันเงียบเสียงยายบัว เจ้าลือก็ลนลานออกมาข้างนอก มันหัวเราะอารมณ์ดีไม่โกรธเคืองในคำด่าของแม่ยาย เพราะสำนึกว่าตัวผิดและก็เพื่อซื้อรำคาญมิให้เมียต้องร้อนหูถูกด่าร้องไห้อีก ครั้นเหลียวเห็นผันนั่งแอบหลบอยู่ก็นึกหลากใจ
“ผัน” เจ้าพี่เขยเรียกแล้วจับไหล่เขย่าจนผันตกใจ “เอ็งมานั่งอยู่ว่าไรถึงไม่ขึ้นบ้านรึเห็นเข้าจน?”
“พิลึก เล่นผีๆ อะไรพันนี้”
“อ้าว ข้าพูดจริงๆ เกิดหาว่าเล่นเสียอีกก็เอ็งมากะแม่ไม่ใช่เร๊อะ?”
“ก็แล้วทำไมต้องโฮกฮากจับไหล่เขย่าด้วยล่ะ ตกใจพันนี้มันชักฉุนติดขึ้นมาทีเดียว”
ลือนั่งยองๆ ลงใกล้ขอนไม้ตรงหน้าน้อง “ขวัญอ่อนจริงนะ ข้าถามว่าเอ็งทำไมไม่เข้าบ้าน ไม่ใช่จะปลอบเอ็งให้หายตกใจ”
ผันค้อนขวับ สันดานคนทะเล้นถึงท้องจะแห้งไม่มีกินแต่ปากก็ไม่วายจะกวนโลกอยู่เสมอ
“กงการอะไรจะต้องมาปลอบ” เจ้าทำเสียงฉุนๆ แต่เจ้าพี่เขยกลับหลิ่วตามองแล้วล้อเลียนอีกจึงผลักเข้าให้ “น่ะอยากอวดดีมายักคิ้วเหมือนลิง เกี้ยวเร๊อะ”
ลือหงายหลังมือยันดิน หัวเราะก๊าก “ข้าเผลอไปนึกว่าเป็นเจ้าเผื่อน”
ผันอดหัวเราะไม่ได้ “อ้อ ตั้งแต่เช้ามืดพี่ลือมิยักคิ้วอยู่วันยังค่ำซีล่ะ เพราะพี่เผื่อนเขาอยู่ แต่อย่าทำเผลอบ้าเผลอบอกะข้าบ่อยนักไม่ได้หรอกถ้าลมไม่ดีจะถูก....”
“เผลอหนนี้เท่านั้นหละวะผัน แต่ถ้าเผลออีกเอ็งจะทำไมข้า ฮึ!”
“เผียะซี ทำไม”
“หนอยจะตบ แก้มข้าพี่เอ็งจูบอยู่ทุกๆ วันนะผันนะ”
ผันอายสีหน้าเรื่อ โทโสตามมาติดๆ ทันที “เอาใหญ่แล้วพี่ลือเห็นข้าเป็นคนยังไงถึงได้นั่งเกี้ยวเอาเกี้ยวเอา”
“ข้าจะเกี้ยวเอ็งทำไมวะผัน” ลือตอบไม่ค่อยสนิทปาก แต่ก็แคลงใจในคำพูดของเจ้าผันอยู่นัก “ถามจริงเถอะวะผัน อ้ายที่เอ็งรู้ว่าข้าเกี้ยวน่ะใจเอ็งนึกว่าเช่นไรก่อน?”
ผันสะดุ้งหาทางอื่นใดตอบไม่ได้ดีเท่าโมโห จึงขึ้นเสียง
“แล้วพูดจูบพูดกอดน่ะว่าไรล่ะ”
“อุ๊ อีผัน เดี๋ยวแม่กะแม่เผื่อนได้ยินเข้าจะฉิบหายเถอะ ข้ายอมแพ้เอ็ง ว่าแต่เข้าไปข้างในเสียเถอะคนดีอย่าโกรธพี่เลย โอ้ ไปเถอะ” แล้วเจ้าลือก็เห็นสนุกจับข้อมือผันทำท่าจะประคอง เจ้ายิ่งเกิดโทโสทั้งอับอายเลยส่งเสียงเอ็ดตะโร แล้วก็ชกต่อยเจ้าลือและคว้าไม้ขว้างเมื่อวิ่งหนีหัวเราะร่วนไปทางลำกระโดงพร้อมกับยายบัวตะเพิดเสียงแหวออกมา
จนตะวันโพล้เพล้ใกล้เข้ามา เมื่อทอดหญ้าทอดฟางแล้วสำเร็จ เจ้าลือก็ต้องแบกพายเดินตามอยู่หลังออกจากกระท่อมเพื่อไปส่งแม่ยายกับเจ้าผันที่ชายคลอง หว่างทางเจ้าผันที่เดินตามแม่อยู่กลางก็ถูกเย้าไปตลอด มันปัดขาให้เดินสะดุดและด้ามพายเขี่ยหัว ทั้งแกล้งเดินประชิดจนชนหลัง หากบัวผันจะเคืองมันมากเช่นไรก็ได้แต่หันมาค้อนและชี้หน้าเท่านั้น หาอาจจะส่งเสียงเอ็ดไม่เพราะนึกสงสารหน้าที่จะต้องถูกด่าและก็มองเห็นทุกข์ของมันที่จะต้องกอดหมอนร้องไห้นอนเศร้าไปตลอดชีวิตอยู่ในเวลาเร็วๆ นี่แล้ว
จนถึงตลิ่งชายคลอง เจ้าลือก็จัดแจงไขกุญแจโซ่เรือส่งแม่ยายลงไปก่อน แต่เรือห่างตลิ่งมันจึงย่ำเลนมาอีกแล้วทำปากกระซิบกับเจ้าผัน
“อุ้มไปส่งไม๊ล่ะ?”
“บ้า!”
“มึงสวยตรงงอนวะ อีผัน”
“บ้า-บ้า” เจ้าผันว่าติดๆ แล้วชี้ที่เรือขึ้นเสียงดังให้แม่ได้ยิน “ฉันจะไปไงล่ะ เลนลึกจนเลยเข่าผ้าเปื้อนหมด”
ยายบัวซึ่งนั่งอยู่หัวเหลียวมา “อ้ายลือเข็นท้ายเข้าไปอีกซี”
มันมองเลนแล้วเท้าสะเอวหอบ “ห่างอีกตั้งเกือบจะ ๒ วา แน่ะย่ะแม่ เลนก็ออกสูงเท่ากะเข็นเรือขึ้นตลิ่งน่ะไม่ไหวหรอก”
“แล้วผันมันจะมาไงล่ะ?”
“ก็เมื่อขามามันขึ้นบกยังไงล่ะ?”
“น้ำยังไม่แห้ง” เจ้าผันตอบแทนแม่ “ลองเข็นดูก่อนเถอะ”
มันมองเจ้าผันชั่วแวบ อีนี่แก้เผ็ดสำคัญคน ยายบัวก็เตือนให้เข็นเลยต้องเข็น แต่จะเอาเขยื้อนอีกสักฝ่ามือก็ทั้งยาก
พอยายบัวเห็นช่องทางก็หัวเราะกิ๊กและก็ชั่วนานๆ จะมีสักครั้งเดียวที่แกหัวเราะด้วยเต็มปาก เจ้าลือก็พลอยอมๆยิ้มผสมตามทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่องถามว่า
“หัวร่ออะไรยะ แม่”
แกหัวเราะใหญ่ “อ้าว! ก็เมื่อกี้เข้ามายังไง”
“แม่ขึ้นคอฉันมา”
“ช่วยอีผันมันมั่งซี”
เจ้าลือหน้าเลิกลั่ก “จะให้มันขี่คอฉันงั้นเร๊อะ?”
แกพยักหน้าแล้วว่า “ไม่งั้นแล้วมันจะมาไงได้”
เสียงหัวเราะบนตลิ่ง เหลียวไปเจ้าผันก็ยิ้มฟันขาว อีผันก็เพิ่งหัวเราะวันนี้เอง อีนี่หัวเราะสวยมีลักยิ้มทั้งสองแก้มแล้วก็กวักมือ
“มาเถอะ จะมืดอยู่แล้ว พี่เผื่อนเขาอยู่บ้านคนเดียว”
มันต้องยอมแพ้ ก้มหน้าลุยเลนกลับมาเพราะหางเสียงบ่นของแม่ยายชักจะปร่าหูขึ้นมาอีก พอถึงตลิ่งไม่กล้าแหงนมองเจ้าผันเป็นแต่หันหลังให้
ผันเจ้าก้าวลงนั่ง สองแขนโอบคอมัน ร่างกายพี่ลือมันพอไว้ใจได้ว่าคงไม่พาไปล้ม
“สบายเหมือนขี่ควาย” เจ้ารำพัน “อยากอวดดีปากดีแพ้รึยังล่ะ?”
“เงียบว๊ะ อีผัน เดี๋ยวกูปล่อยตกเลน”
“จะได้ถูกตะพดปะไร” แล้วผันก็หัวเราะคิก กระซิบถามว่า “ลงคุณพระคุณเจ้าไว้มั่งรีเปล่าหรอก?”
“อีเวร?”
“พรุ่งนี้ไปวัดรดน้ำมนต์เสียบ้างเถอะ”
“เสือก” เจ้าลือฉิวจนเกินนึกขันตัวเองที่ซวยสิ้นดี เพราะรักเมียต้องเป็นควาย ถูกขี่ตลอดครัวเรือน ถูกขี่ตลอดครัวเรือนขาดแต่อ้ายลอย เมื่อเห็นเจ้าผันยังยั่วไม่สิ้นก็หันมาพูดให้สะใจมันว่า
“มึงขี่กูแล้วอย่ารักกูนะ”
มันถูกตบหน้าฉาดโดยไม่มีมือจะยกปิด มันถูกหยิกต้นคอได้แต่สูดปากร้อง
“โอ้ย! อีผัน”
“พูดบ้าทำไมล่ะควายตีสีปากมีอย่างเร๊อะ”
“ก็มึงขี่คอกูนี่ล่ะ แหมปีนี้ตัวมึงเพิ่มหนักขึ้นแยะวะผัน”
“พูดอีก” ผันหยิกซ้ำ “เอ้า ถึงแล้ว”
พอก้าวลงท้ายเรือ ผันก็ยกมือไหว้ขอขมาโทษมันลือก็ได้แต่ยิ้มอายแม่ยาย ที่ถูกเจ้าผันตบหัวแล้วลูบหลังเล่น กระทั่งเข็นเรือออกกลางน้ำ อีผันคัดท้ายวาดคอพับคออ่อน พอจะลับคุ้งเหลียวมาชูมือโบกเห็นหัวเราะฟันขาว เออ! สิ้นเคราะห์ไปที แต่นุ่มเนื้ออีผันยังแนบหลังอยู่สนิทจำได้ แล้วผัวเจ้าเผื่อนก็ลุยเลนกลับขึ้นตลิ่ง โฉมหน้ามุ่งไปกระท่อมเห็นที่ตะคุ่มอยู่กลางนามืด ป่านนี้แม่เผื่อนคงจะตั้งตาคอย
.
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 11,133
Re: นวนิยายเรื่อง รอยไถ บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม
«
Reply #2 on:
23 October 2025, 16:05:19 »
https://vajirayana.org/%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%96/%E0%B9%93
https://vajirayana.org/
รอยไถ/๓
๓
เช้ามืดดาวเพิ่งร่วงจากฟ้าเจ้าลือผวาตื่นขึ้นอย่างตัวสั่นงันงก สองมือควานหาลูกหาเมียแล้วก็ถอนหายใจยาวโล่งอกเผื่อนเจ้าตื่นอยู่ก่อน แต่ที่จริงแล้วเจ้าเผลอหลับๆ ตื่นๆ มาแต่หัวค่ำไม่สนิท ผัวก็หารู้ไม่ว่าเผื่อนนั้นร้องไห้ตลอดคืน
พอถูกมือควานและเห็นเจ้าลือนั่งกอดเข่าถอนใจใหญ่จึงถามว่า
“อะไร พี่ลือ?”
“เปล่าหรอกเผื่อน พี่ฝันไปเอง”
เมื่อพลิกตัว ๒-๓ กลับแล้วลุกนั่ง “ฝันอะไร ฉันไม่เคยเห็นพี่ลือบอกว่าฝันกะใครสักที”
“จริง แต่เมื่อครู่พี่ฝัน”
“ฝันดีเร๊อะ?”
มันพยักหน้า “จ้ะพี่ฝันดี แต่จะต้องไปแก้ที่ลำกระโดง”
“ทำไมจะต้องไปนั่นเล่า คงฝันไฟไหม้ละซี จะถือสาอะไร แก้กะฉันก็ได้ เมียก็เหมือนน้ำที่จะรดให้พี่เย็นเหมือนกัน”
มันกอดเผื่อน ปลื้มที่เผื่อนพูดปลอบใจมันแล้วเล่าฝันว่า
“พี่ไม่กลัวอะไรหรอก เพราะไม่ใช่คนถือดูแต่เย็นวานซี ยังให้แม่กะอีผันขี่คอไปลงเรือได้ พี่ฝันว่าฝนมันตก แต่ฝนไฟไม่ใช่น้ำ” แล้วก็ชี้ไปบนหลังคาไม่ทันมอง “ตกมากรงนี่แหละ หลังคาไหม้โหว่ทะลุมาถึงมุ้ง ไหม้แม่เผื่อนกะไอ้แดง
เผื่อนใจหวิว ไม่อยากจะแหงนมองหลังคาที่มันชี้เลย และถึงหากจะเป็นเพลาสว่างเห็นแสงเงินแสงทองแล้วเจ้าเผื่อนก็ไม่วายหวาดในคำเล่า นี่พี่ลือมันยังไม่เห็นหลังคาถ้ามันรู้เรื่องหลังคาแล้ว ถึงหัวใจมันจะห้าวปานไร ก็คงนึกหวาดไม่น้อยกว่าเจ้า
แล้วก็แกล้งกลบเกลื่อนทำนาย “สิ้นเคราะห์ละพี่ลือ อ้ายแดงกะฉันจะอายุยืน เพราะผีมันให้แรง”
มันรับพรเมียอ่อยๆ “พี่ก็ว่างั้นแหละตื่นกันทีรียังล่ะ วันนี้พี่จะออกนาแต่เช้าด้วยเพราะตั้งใจจะไถแปรเสียเลย ไม่ต้องพักเสียเวลา”
“ฉันจะหุงข้าวเหมือนกัน” เผื่อนว่า และไม่ทันจะขยับตัวลุก ผัวมันก็กรากอุ้มเจ้าลงจากแคร่นอน กับกระซิบข้างหู “เจ้าทำนายฝันพี่ดีนัก ต้องตกรางวัล” แล้วก็จูบเมียแสนรักแสนใคร่ แต่เจ้าผัวก็หารู้ไม่ว่าเผื่อนนั้นหัวใจรอนๆ เหมือนจะดับอยู่ในอ้อมแขนผัว
พอล้างหน้าเสร็จหวนมาที่แคร่ เพราะเจ้าแดงมันตื่นต้องขรมแสงตะวันอ่อนส่องเฉพาะตรงเจ้าแดงกับที่แม่เผื่อนนอน เจ้าลือหลากใจจึงแหงนมองดู มันสะดุ้งดูตัวใจคอหาย ขนซู่เกรียวหนาวเข้าหัวใจ แล้วตะลึงมองหลังคาโหว่ เป็นแห่งเดียวกับที่มันฝันว่าลูกไฟตกเป็นฝนไหม้ทะลุมาต้องอ้ายแดง คลอกแม่เผื่อนดิ้นเร่าๆ แล้วตายไปต่อหน้า นี่อย่างไรกัน เมื่อเย็นวันวานตอนมันไปส่งแม่ยายกับเจ้าผัน หลังคายังไม่รั่วเลยสักนิด พอฝันเมื่อค่อนสว่างก็ทะลุโล่งเห็นฟ้าลอดได้สัก ๓-๔ ชั่วคน
“แม่เผื่อน” ลือตะโกนเรียกเมียในครัวเต็มเสียง “แม่เผื่อนมานี่เร็ว”
เผื่อนวิ่งมา “อะไรกันตะโกนเสียงหลง”
มันชี้หลังคา “โหว่เมื่อไหร่นี่ เมื่อวานยังดีอยู่แท้ๆ เออกรงกันเผงกะที่ฉันฝันเทียวล่ะ”
เผื่อนหน้าสลด แค้นตัวเองนักหนาแต่ก็ต้องให้เลยตามเลย และโกหกว่า
“ฉันลืมบอกพี่ เมื่อเย็นวานตอนที่ไปส่งแม่กะนังผันพายุมา”
ลือยิ่งฉงนใหญ่ “ฮึ! มีพายุ ฉันอยู่โน่นไม่รู้สึกเลย เอ๊ะ! ก็ทุ่งเดียวกันแท้ๆ ทำไมมันจะพัดแต่ที่นี่” เมื่อแหงนมองไปบนหลังคา มันก็พูดขึ้นตามความคิด “ดูซีล่ะแม่เผื่อน มันโหว่ลอดได้ตั้ง ๓-๔ คน และถ้าเป็นพายุก็คงจะเปิงไปเท่านั้น นี่ทั้งจากและแฝกที่แซมมันขาดยังกะคนขึ้นเรือทิ้ง ให้ตายเถอะถ้าหากแม่เผื่อนไม่บอกว่าพายุตีแล้ว ฉันเป็นต้องเหมาไอ้พวกนาเคียงๆ นี่แหละ แล้วจะออกหาตัวให้ได้ เป็นไรก็เป็นกันเถอะ ตึกะมันให้รู้ฤทธิ์สักหน่อยที่ลอบมาข่มเหง”
เห็นจะมากความ เผื่อนก็เลยขึ้นเสียงกลบ “อย่าพาลไปเลยใครเขาจะมาแกล้ง พี่ลือก็นอนอยู่ทั้งคนและมันก็ถูกพายุจริงๆ จะให้ฉันตอแหลว่าเป็นคนรื้อยังไงพิลึกคนแท้ๆ อ้ายเรื่องเกะกะพี่ลือฉันดูไม่สิ้นสักที ไหนสบถสาบานว่าจะเลิกยังไงล่ะ เมื่อโหว่ไปแล้วก็แซมเสียซี”
ลือเสียงอ่อน “เปล่าหรอก นึกว่าคนมันแกล้งกำลังโมโหก็พูดไปงั้นเอง”
“ท้าลมท้าแล้งอะไรไม่รู้” เผื่อนบ่นปอดแปด “ฝนลงฟ้าคะนองวานซืนที่แล้ว อ้ายเรากลัวเป็นจะตาย บ้าตะโกนทำให้ฟ้าผ่าหัว”
“ก็อ้ายแดงมันตกใจนี่ย่ะ แม่เผื่อน”
เมียเร่เข้ามา “ปากนี่อดเถียงได้เสียเมื่อไหร่”
มันหัวเราะที่ถูกเมียตบปาก คว้าข้อมือรั้งมาจูบเผื่อนเสียอีกแล้วปล่อยตัว
“หายกัน ตบฉัน ๒ ที ฉันจูบ ๒ หน ไปหุงข้าวเถอะไป๊”
เวลาที่เหลืออีกเล็กน้อย ทำให้เผื่อนเผลอคิดกอดคอมันโน้มลงมา
“จูบเสียอีกเถอะ ถ้ายังไม่อิ่ม”
มันร้องเอ็ด “เอ๊ะแน่ะ! ฉันเห็นจะสิ้นซวยแล้วแม่เผื่อนเอ๋ย แม่คุณ ถ้าตื่นขึ้นลมแล้งดียังงี้ทุกๆ เช้าละก้อ ถึงควายไม่มีฉันก็จะเอาแอกแทนควายให้แม่เผื่อนจับหางไถ” แล้วไม่รอช้าอีกอุ้มเมียขึ้นจูบเต็มรัก ทุกๆ ก้าวกระทั่งส่งตัวเข้าครัว
ตะวันสายค่อน ๓ โมง ฝนตกหยิมๆ เพิ่งขาดเม็ด ท้องฟ้าก็แจ่มแจ้ง “พวกบ้านทุ่งสองห้องกำลังเอิกเกริกจากเรือนนาใครนามัน ต่างก็มุ่งหน้าแต่จะพลิกดินเพื่อคอยหว่าน เจ้าผู้ชายโพกหัว บ้างก็สวมหมวกเก่าบังแดดลานงอบของนังพวกสาวๆ เป็นแสงมันยับ หัวเราะต่อกระซิกเมื่อเทียบไถดินเคียงหัวผาลก็ปักดินพลิกชำแรกขึ้นมาเป็นทางตรง ไถดะบ้าง ขวางไถแปรแล้วกระซิบกันว่าหน้าหว่านจะสนุกกว่านี้ พอข้าวตั้งท้องออกรวงทุ่งนี้จะเป็นทุ่งข้าวที่อาศัยนั่งแอบคุย ยิ่งถึงหน้าเกี่ยวก็คงจะเดินเกี่ยวก้อยกันสนุกเมื่อรวบกอข้าวยกเคียว ทำนองและกลอนเกี่ยวก็จะเป็นเนื้อเพลงได้สนุกสนานครึกครื้น
พ้นผืนนาไปชายไม้หัวคุ้งโน้น น้าในคลองไหลขึ้นแรงค่อนตลิ่ง เรือแจวประทุนใหญ่จอดอยู่ข้างไม้รก แอบๆ ถึงจะห่างไกลผู้คน แต่เจ้าหนุ่มที่นั่งท้ายเรือก็หวาดระวังจนเสียงเอ็ดมาจากในประทุนว่า
“ทำไมไม่ขึ้นวะ อ้ายเปลี่ยน มัวนั่งป้องหน้าอยู่ยังงั้นจะไปเห็นอะไร”
เจ้าเปลี่ยนอิดออด “นั่งก็เห็นจ๊ะ นี่พี่เห็นกระท่อมลิบๆโน่นแล้ว เห็นประตูโรงด้วย”
“ไม่เอา ขึ้นบก” แล้วคนดุก็คลานออกจากประทุนเรือ “ไปกะกู”
เจ้าเปลี่ยนถูกคว้ามือ ก็โดดขึ้นตลิ่งตามอย่างเสียไม่ได้
“ซุ่มอยู่ตรงนี้ก็ได้จ้ะ พี่แปลก”
“ไม่เอา” นายแปลกพี่ชายรั้งข้อมือ แล้วเอาฝักดาบตีหลัง
“ไปด้วยกันทางโน้น จะได้คอยดูพ่ออ่อนกะอ้ายแร่มด้วย ประเดี๋ยวจะคลาดกัน”
“เดี๋ยวเรือหาย”
“อ้ายบ้า ใครมันจะมาขโมย ไปเถอะ” พอลากตัวน้องชายเดินเลียบคุ้งมา เรืออีกลำหนึ่งก็แจวทวนน้ำอู้มีคนชะโงกหน้ามาจากประทุนร้องเรียก
“พ่อแปลก”
นักเลงทุ่งกูบแดงขานรับ แล้วถามหา
“อ้ายแร่มล่ะ?”
นายอ่อนชี้ไปในประทุน “อยู่นี่ เจ้าพลอยก็มาด้วย”
พอเรือประทุนเทียบ คนอีก ๒-๓ คนก็ก้าวขึ้นตลิ่งมายืนรวมกลุ่มปรึกษากันซุบซิบ และครู่ต่อมา เจ้าแฉล้มและคนอื่นๆ อีก ๓-๔ คน ก็ออกเดินเลียบชายนาเหนือขึ้นไปเหมือนคนเดินทางมีธุระ แต่นายอ่อนกับนายแปลกคงเดินอยู่วนเวียน และป้องกันคอยมองไปทางกระท่อมโดดกลางนาโน้น
ในกระท่อม สว่างเพราะแสงแดดส่องลอดหลังคาโหว่ เมื่อกินข้าวปลาอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าผัวลือซึ่งนั่งสูบบุหรี่ใบจากพ่นควันโขมง แหงนมองหลังคาก็นึกไปต่างๆ และพิศวงในความฝันของมันที่ช่างตรงเรื่องตรงราวกับหลังคาเปิงเสียจริงๆ
เผื่อนย่องเข้ามาข้างหลังกอดคอผัว “เพลินถึงอะไร?”
ลือมันยิ้มแย้มชื่นใจเมีย “บ้านเราดีจริงแม่เผื่อนมองทะลุฟ้า พี่ก็เลยชมเมฆเล่นแก้รำคาญ”
“มัวแต่นั่งชมอยู่เถอะ เมื่อฝนเทลงมา คืนนี้จะไม่มีที่นอน ฉันน่ะไม่อยู่นอนด้วยหรอก”
“เอ๊ะ” ลือแปลกใจเมีย “แม่เผื่อนจะไปนอนไหนล่ะ?”
บัวเผื่อนก็เพิ่งได้คิด ลางปากเจ้าออกไม่ทันรู้ตัวก็เลยไถลแก้ไปว่า
“ฉันก็เข้าไปนอนในครัวกะอ้ายแดง”
“งั้นฉันเข้านอนในครัวมั่ง”
“อย่าเลยย่ะ” เมียทำตาค้อน “ว่าแต่ขึ้นแซมให้มันเร็วๆ เข้าเหอะ”
“ต้องกลับจากนาเสียก่อนชิ แม่เผื่อน”
“ไม่ต้องไปหรอก” เผื่อนตอบซ่อนๆ เบือนหน้า “วันนี้ไถแปรไม่ใช่รึ ดินอ่อนไม่หนักแรงหรอก ฉันจะไปเอง”
“โอ้ย! มือจะด้านเสียเปล่า อยู่เลี้ยงลูกเถอะ กะอึหลังคาเท่านี้ แซมสัก ๒-๓ ชั่วโมงก็แล้ว ไม่ทันค่ำ”
“แล้วเผื่อฝนเทลงมาก่อน จะว่ายังไร” เผื่อนเถียงไม่ยอมฟังค้านของผัว “ขี้เกียจประจำตัวอยู่เสมอ ทำไมฉันไม่เคยไถรึไม่ต้องมาไยดีหรอกกะอีกรำแดดอยู่กลางนา ถึงที่ลูกเมียจะอดตายน่ะไม่คิดห่วง เอาแต่อารมณ์บ้าอยู่ งั้นก็นั่งกอดกันให้มันอิ่มไปซี”
มันหัวเราะชอบใจ แม่งามทั้งแง่งอนและปากก็ช่างว่า และครั้งนี้มันก็ลั่นคำสัญญาเป็นที่แน่แล้วว่าจะคิดตั้งหน้าทำมาหากิน เพราะห่วงเผื่อนกะอ้ายแดง และก็ได้คิดว่า แม่เผื่อนคงจะร่วมหัวจมท้ายกับมันสนิทใจจึงอุตส่าห์จะออกกรำแดดถือหางไถ
มันค้านไปอีก ๒-๓ คำ ที่จะไม่ยอมให้เมียลำบาก แต่คำค้านนั้นเกือบจะกลายเป็นต้องทะเลาะกัน จึงต้องแพ้ แล้วก็ยืนดูเผื่อนสวมเสื้อคว้างอบจะไปนา
“มาให้จูบเสียก่อนซิ ถึงค่อยไป” มันอ้าแขนทำหน้าเก้อๆ “จูบให้เต็มรักเสียก่อนแล้วก็ไปเถอะ”
“ไล่รึ?”
“อ้าว!” ลือร้องหัวใจระแวง “ก็แม่เผื่อนจะไปนาที่ก็อนุญาต มาซี”
มันแปลกหัวใจ เผื่อนยืนมองมันตาเศร้าๆ แล้วก็เดินมาหาอย่างง่ายดาย โผกอดคอผัวน้ำตาไหล
“สงสาร พี่ลือ”
“โธ่! ร้องไห้อีก” นักเลงลูกทุ่งสองห้องรับขวัญปากคออกใจ เขม่นพิกล “ทำไมร้องไห้บ่อยนักล่ะแม่เผื่อน?”
“สงสารพี่ลือ จะต้องอยู่กับลูก”
“ป้ะโธ่! เดี๋ยวพอแซมหลังคาแล้ว ฉันก็จะออกไปทำแทนนี่นา ว่าแต่อย่าไปมัวห่วงไถมันนักเลย พอสายๆ กลับมาให้นมลูกกินหน่อยก็แล้วกัน”
เผื่อนยิ่งใจหาย หากหัวใจที่เต้นริกๆ นี้บอกได้แล้วก็จะบอกผัว เพราะแม่ที่ให้กำเนิดนั้นสร้างกรรมให้เผื่อนคนเดียว
“จ้ะ พี่ขึ้นแซมหลังคาเถอะ”
“แซมซีเผื่อน แซมเดี๋ยวนี้แหละ เผื่อนจะไปรียัง?”
เผื่อนโน้มคอมันมาใกล้ จูบแก้มผัวถอนสะอื้น
“เผื่อนจะไปละ พี่ขึ้นหลังคาเถอะ”
มันชื่นอกชื่นใจเมียจูบแต่เพียงครั้ง ก็ซาบซึ้งเข้าหัวใจลึก เมื่อจูบตอบพอปลื้มใจเผื่อนแล้ว ก็ไต่เสากลางโหนตัวขึ้นหลังคา
อ้ายแดงผวาตื่นร้องจ้า บัวเผื่อนแทบจะล้มเป็นลมแล้วหักใจหวนมาหาลูก อุ้มอ้ายแดงจากแคร่นอนให้กินนมโยกตัวอยู่ครู่ ทั้งจูบจอมถนอมเกล้า แห่งนมองบนหลังคาโธ่เอ๋ย! พ่ออ้ายแดงกำลังรื้อจากง่วน แล้วเจ้าก็ลอบหยิบเชือกมงคลที่เตรียมไว้ผูกมืออ้ายแดงปากก็พึมพำ “ขวัญเอ๋ยแม่จะห่างลูกเพราะกรรมมาทัน ยายเจ้าคิดชั่วถลำอุบายเข้าไปแล้ว อยู่เถิดอ้ายแดงเอ๋ย! อยู่เป็นเพื่อนทุกข์พ่อเขาไปก่อน แล้วแม่จะมารับ”
เผื่อนน้ำตาหยดอย่างกลั้นไม่ได้ อ้ายแดงผวาอีกครั้งแล้วก็หลับไหล บัวเผื่อนจึงวางลงเปลผลักให้ไกว ๒-๓ กลับ แล้วหักใจลุกจากอ้ายแดงมายืนที่ประตูกระท่อม
เสียงตะโกนมาจากข้างบน และผัวเจ้าชะโงก “แล้วรีบกลับมาให้ลูกกินนม”
“ฉันให้กินแล้ว พี่อยู่เลี้ยงอ้ายแดงนะ”
“ฮึ” ลือมันแปลบใจ “ฉันก็มุงหลังคาอยู่นี่แหละจะไปไหน”
เผื่อนก้มหน้า พอเงยก็แกล้งบอกผัวว่าผงจากปลิวเข้าตา แต่หากเจ้ากลั้นน้ำตาไม่ได้เอง
“ผงปลิวเข้าตา” เผื่อนบอก “ฉันไปละ พี่อยู่เถิดแล้วห่วงอ้ายแดงมั่ง”
ลือตะลึง ไม่ทันเรียกทันตอบ เผื่อนก็ผละพ้นประตูไปทุกก้าวที่มันชะเง้อดูเมียตั้งแต่เปิดคอกจนเทียมควายเจ้าไถ ใจหายใจแห้งบอกอะไรไม่ถูก แต่แล้วมันก็เห็นว่าหัวใจมันบ้าคิดไปเอง เผื่อนเจ้ารักลูกมากไม่เคยห่าง เมื่อต้องห่างไปนาก็เลยหัวใจอ่อนร้องไห้
ตะวันเพิ่งเที่ยง น้ำในคลองไหลงวดกำลังลงเรือประทุนที่จอดอยู่ต้นลำกระโดงท้ายนา กำลังขนข้าวของลงบรรทุกเต็มทั้งสองลำ แต่ถัดท้ายนามาที่เรือนนอกจากใต้ถุนจะมีคนถือดาบระวังระไวแล้ว ที่ประตูเรือนยังมีนายแปลกยืนคุมดูเฝ้าต้นทางอยู่อีก
สามคนแม่ลูกที่เป็นผู้หญิง นั่งร้องไห้อยู่ในเรือน ยายบัว แกพูดปลอบน้ำใจที่จะมิให้เผื่อนคิดมาก ส่วนบัวผันนั้นไม่พูดจาประการไร นอกจากเห็นพี่สาวร้องไห้คร่ำครวญเจ้าก็พลอยร้องตามไปอีกคน กระทั่งคนขึ้นมาบอกว่าขนของบรรทุกเรือสำเร็จพร้อมแล้ว เผื่อนจึงลุกมาหาน้องสาวจูงมือมาที่หน้าต่างเรือน
“ผัน-หากพี่ลือเขาพาอ้ายแดงมาฝาก เอ็งช่วยรับเลี้ยงดูไว้ด้วย” พูดได้เพียงเท่านี้เผื่อนก็ร้องไห้อีก
“แล้วจะสั่งอะไรถึงเขามั่ง?”
“ขอโทษเขา” เผื่อนว่า “เอ็งบอกเขาเถิดว่าพี่ยังรักเขาอยู่มาก แต่มันเป็นกรรมแท้ของพี่เอ็งก็รู้เห็นชีวิตข้าคงไม่ยืดแน่ผัน หากพี่ตายเอ็งอย่าลืมว่าอ้ายแดงต้องเป็นลูกเอ็ง”
ผันปิดหน้าร้องไห้ แล้วมองแม่ตัวเองที่ออกจากประตูเรือนอย่างยายบัวเป็นยักษ์มารมากกว่าแม่
“พี่ต้องมามั่ง หาไม่บอกที่ไว้แล้วฉันจะพาอ้ายแดงไปเอง”
ข้าไม่รู้เขาจะพาไปอยู่หนไหน ได้ยินแว่วๆ ก็ว่าบางกอก เออ” เผื่อนถอนใจ “ข้าขออธิษฐานเป็นลูกแกแต่ชาตินี้หนเดียวเท่านั้น โธ่เอ๋ย พี่ลือ”
เผื่อนเซไป จนน้องสาวต้องประคองและเรียกคนช่วย ครู่นั้นนายอ่อนก็กรากเข้ามากับยายบัวพูดจาเล้าโลมมากมายเร่งให้เผื่อนเจ้าแต่งตัวด้วยผ้าใหม่ที่เตรียมไว้ ทั้งทองหยอง/*64*และแหวนเพชรอันเป็นเครื่องบำเรอใจแล้วเผื่อนก็ถูกยายบัวจัดแจงเป็นเจ้ากี้เจ้าการ พรากตัวไปส่งเองแต่เพลานั้น
ผันชะเง้อตามพี่สาวทางหน้าต่าง กระทั่งเห็นลับตัวลงเรือประทุนแจวจากท่า เวรใดของพี่เผื่อนพี่ลือที่เกิดมาเวรอ้ายแดงที่มันจะต้องว้าเหว่เหมือนกำพร้าแม่แต่ยังเล็ก แล้วผันก็คิดถึงอกตัวเองที่ร่วมท้องกับพี่เผื่อนมีแม่เป็นนักเลงพนัน เมื่อสิ้นตัวก็กู้ยืมคดโกงเขา จนต้องแยกลูกสาวขายไปเหมือนควายคอก แล้วผันก็ซบหน้าลงกับขอบหน้าต่าง แต่แปลกใจที่เสียงคนสะอื้นอยู่โคนไม้ข้างล่าง
“อ้ายลอย“ ผันเรียกชื่อน้องชายซึ่งยืนแอบร้องไห้ “เอ็งไปไหนถึงเพิ่งมา”
ลอยแหงนหน้าตอบพี่สาว “ฉันอยู่ตั้งแต่พี่เผื่อนยังไม่ไป” แล้วเจ้าลอยที่ย่างหนุ่มก็สะอื้น นึกแช่งด่า “คนฉิบหาย เดี๋ยวฉันจะไปบอกพี่ลือ”
ผันโบกมือห้าม “เอ็งอย่าบ้า แม่แกไปด้วยจะพลอยเสียผู้ใหญ่ เอ็งรู้ไม๊เขาจะพาพี่เผื่อนไปอยู่ไหน?“
“ฉันได้ยินเขาพูดเหมือนกัน”
ผันกวักมือ “งั้นขึ้นมานี่เถอะ”
เจ้าลอยวิ่งปราดขึ้นเรือนโดยเร็วแล้วกระซิบกับพี่สาวว่า
“เขายังไม่ขึ้นบางกอกวันนี้หรอก ฉันได้ยินกะหูเชียว”
“แล้วเขาจะอยู่ไหน?”
“ท่าแร้งนี่แหละ บ้านญาติไอ้แปลกไงล่ะ พี่” เจ้าลอยอธิบาย “แม่ปรึกษากะอ้ายอ่อนว่า จะให้รอแต่งที่ท่าแร้งก่อนสัก ๓ วัน ถึงจะหนีขึ้นอยู่บางกอก และนี่อ้ายอ่อนไม่ได้ไปท่าแร้งด้วยหรอก”
“อ้าว! ทำไมเอ็งรู้”
เจ้าน้องชายรับปากทันควัน “รู้ซี-มันต้องกลับบางกอกค่ำนี่แหละ เพราะจะไปเอาเงินและซื้อข้าวของมาให้ทันแต่งงานในวันปะรืน แหมอยากจะไปบอกพี่ลือแท้ ดูมันตีกันเล่นให้สนุกใจ”
“อย่านะ อ้ายลอย” เจ้าผันคาดคั้นเพราะรู้สันดานเจ้าลอยอยู่ดีว่า ลงเกลียดใครแล้วต้องอาฆาตไปนานและก็เกรงจะเสียหายไปถึงแม่
“เอ็งไม่รู้เร๊อะ ว่าพี่ลือเป็นคนไง แม่ทำเขาเจ็บแสบครั้งนี้ แลพี่เผื่อนก็ไม่ได้อยู่กะเขาแล้ว หากเขาหมดเกรงขึ้นมาแม่ก็จะต้องเดือดร้อน”
เจ้าลอยกลับเถียง “สมน้ำหน้า เล่นสกปรกพันนี้ หากฉันโตมีเมีย พบแม่ยายพันนี้เป็นได้ถอง”
“พูดเกินไปล่ะมึง” ผันเอ็ดเอาอีก แต่ใจแท้นั้นนึกขันท่าทางเจ้าลอยนัก “ว่าแต่อย่าเสือกย้อนไปสองห้องบอกพี่ลือล่ะ
แล้วเอ็งรู้ไม๊ว่าแม่จะกลับเมื่อไหร่?”
“คงพรุ่งนี้หรือวันปะรืน”
“เอ๊ะ! งั้นเอ็งก็อยู่เรือนกะข้าสองคนซิ”
“ก็จะเป็นไรไป”
ผันนึกเคืองแม่ขึ้นมาติดที่จะอยู่จะไปไม่บอก ทิ้งให้เรือนเหงา และอยู่ลำพังกับเจ้าลอยคุ้มอะไรไม่ได้ และเมื่อหวนคิดถึงเจ้าคนบาปหนาที่ทุ่งสองห้องแล้ว พลอยสลดหัวใจแทน
กระทั่งบ่าย หลังคาแซมแล้วสำเร็จไปเป็นนาน เจ้าผัวที่อิ่มอกอิ่มใจว่าเมียคงรีบกลับมาให้นมลูก แต่อ้ายแดงตื่นเสียก่อนจึงต้องอุ้มขึ้นจากเปล โอ๋และกล่อมมันไปตามเรื่องตามราวกระทั่งนิ่ง แต่ก็คงคอยหาย เผื่อนเจ้าเพลินงานเสียจนลืมลูกหาไม่ก็พบอีสาวเพื่อนนาเคียงชวนสนทนานินทาคนอื่นเพลินไป แต่แล้วเจ้าพ่อก็อุ้มลูกคอยเลยกระทั่งบ่าย
มันด่าตัวเองที่เซ่อบัดซบ ไม่ทันสังเกตด้ายมงคลผูกมือลูก เอ๋ใครผูก มันนั้นไม่ได้ผูกทำขวัญแน่ ทั้งด้ายมงคลก็ไม่เคยมีติดกระท่อมเลย เมื่อเช้าก็เห็นถนัดว่าไม่ได้ผูก ยิ่งคิดยิ่งหวั่นใจเจ้าเผื่อนร้องไห้เมื่อจะจากอ้ายแดงคำเผื่อนพูดสั่งพิกลให้มันอยู่เลี้ยงลูกหรือเผื่อนเจ้าจะตั้งพี่ทิ้งลูกเตลิดไปแล้ว
ความคิดมันกลุ้มอกขึ้นทุกขณะ วางลูกลงบนแคร่นอนพอได้ยินเสียงเขากู่เขาต้อนควายกันอยู่กลางทุ่ง ก็ระแวงสงสัยว่าจะเป็นบัวเผื่อนจึงไปชะเง้อคอยที่ประตู เปล่าเลยหาไม่เห็นพวกลงทุ่งก็ต้อนควายกลับเหย้าเรือนหมด เหลือแต่ทุ่งโล่งลิบๆ จึงป้องหน้าดูควายตะคุ่มนอนเอื้องหญ้าอยู่ทั้งคู่ ควายคู่นั้นเอง ควายเก่าที่แม่ยายยืมเจ้าอ่อนมาให้ แต่เผื่อนของพี่เล่า
เหลือที่จะอัดใจคอยและคิดอื่นต่อไปอีก เมื่อเห็นเจ้าแดงหลับสนิทมันก็ผลุนผลันออกจากโรง วิ่งมั่งเดินมั่งจนถึงกลางนา มองรอบตัวแล้วก็เห็นแต่ทิวไม้กับตะวันเย็นสุดทุ่งลิบๆจึงป้องปากกู่
“เผื่อน”
เสียงก้องคงกระท้อนกลับ ได้ยินคำเผื่อนย้อนมาเข้าหูมันอีกเหมือนล้อเลียน ทั้งสองและสามเผื่อนเสียงกู่ก็คงกระท้อนขึ้นฟ้าสูญไปเหมือนเผื่อนเจ้าสูญหน้า
ก้มมองผืนนาที่เจ้าควายหมอบอยู่สบาย โอ๋รอยไถ เผื่อนเจ้าไถแปรขวางรอยของพี่ไว้แต่เพียงชั่วสุดคันนา แต่ไถหักเดินตามจนสุดลอย โธ่ เผื่อนเอ๋ยสุดทางไถของเจ้าแต่เพียงนี้แล้ว หัวผาลยังจมดินลึก แน่แล้วเผื่อนทิ้งพี่ไปหาสุขอื่น แต่ฝีมือเผื่อนยังเป็นรอยดินให้พี่เห็น แล้วมันก็ทรุดตัวลงคุกเข่ามองรอยดินที่เผื่อนไถแปรทิ้งไว้ หัวใจก็หวิวระริกไปเหมือนจะขาด แม่คุณเสียแรงที่พี่รักและถนอมเผื่อนเอ๋ย เจ้าร้องไห้จะบอกผัวมา ๓ วันแล้ว แต่ก็เกรงภัยแม่เจ้าถึงขัดแค้นจะไม่มีเลย แต่ก็เป็นกรรมแท้ของพี่เองพี่พอจะรู้เค้า ตั้งแต่อีผันกล่อมอ้ายแดงเป็นอุบายบอกอยู่วานซืน เออ-แม่เผื่อน รักใคร่ของเราดูชั่วเดียวเท่านั้นสุดแล้วสุดเหมือนทางไถที่หัวผาลหัก
น้ำตามันหยดลงรอยไถฝีมือเมีย นึกมองรางๆ เป็นสีหน้าอ้ายอ่อน อ้อ-ควายยืมก็ของมึง ก็มึงกับอีบัวหละที่เจ้าเล่ห์เพทุบาย แล้วหัวใจเศร้าก็เปลี่ยนเป็นแค้นฉับพลันต้องขึ้นกูบแดง หากดึกคืนนี้เผื่อนไม่กลับพอรุ่งสว่างกูต้องถึงกูบแดง ไม่เลือกแล้วใครๆ ไม่ละมันทั้งสิ้น
มันถลันยืน พอจิตกระหวัดไปถึงอ้ายแดงก็ออกวิ่งกระทั่งถึงลูกเอ๋ยเจ้าตื่นแล้วไม่ร้องกวน แล้วก็พูดกับอ้ายแดงเหมือนคนเพ้อ
“แม่เองเขาหนีไปแล้ว เออ-กรรมแท้ของมึงจะต้องอดนมลูกเอ๋ย”
“เจ้าแดงเบ้ร้องไห้ มันก็เลยก้มลงกอดลูกรักได้ดังสิ้นจะอายใครอีก เหลียวมองเปล โธ่ผ้านุ่งเผื่อนเจ้าผลัดไว้หยกๆ จึงอุ้มอ้ายแดงลงเปล หัวใจเศร้านักจึงจำกล่อมของเจ้าผันมันกล่อมขึ้นทั้งร้องไห้ พอคลายทุกข์
“วัดเอ๋ยวัดโบสถ์ มีต้นข้าวโพดสาลี ลูกเขยมันตกยาก แม่ยายก็พรากลูกสาวหนี โอ้ข้าวโพดสาลี ป่านฉะนี้จะโรยรา”
.
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 11,133
Re: นวนิยายเรื่อง รอยไถ บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม
«
Reply #3 on:
23 October 2025, 16:06:14 »
https://vajirayana.org/%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%96/%E0%B9%94
https://vajirayana.org/
รอยไถ/๔
๔
สว่าง-เจ้าลอยที่ขึ้นมานอนเป็นเพื่อนพี่สาวบนเรือนได้สบายกว่าที่ห้างเฝ้าควายจึงยังไม่ตื่น กระทั่งบัวผันเข้าครัวหุงข้าวสุกออกมานั่งพักที่ชานเรือน ฉงนใจสุนัขเห่าก็พอได้ยินเสียงตะโกนเรียก
“แม่-แม่อยู่ไม๊?”
ผันจำเสียงได้หน้าสลดไม่ทันลุกไปดู เจ้าพ่อลูกอ่อนก็อุ้มอ้ายแดงมาทั้งเมาะและผ้าอ้อมห่ม มีข้าวของใส่ย่ามทั้งสะพายดาบมารุงรัง
“แม่ไปไหนล่ะผัน?” ลือถามกวาดตามองไปทั่ว “รึยังไม่ตื่น เอ้อ แม่เผื่อนเขามานี่หรือเปล่า?”
ผันรู้สีหน้าและสายตามอง จึงอึกอักที่จะตอบความจริงเลยเลี่ยงไปว่า
“ไม่มีใครอยู่หรอก แม่ไปธุระ”
“แม่เผื่อนมานี่รึเปล่า?“
ผันสั่นหัวแล้วหลบตาไปที่อื่น ถามไถลว่า “พี่ลือหอบอ้ายแดงจะไปไหน?”
พี่เขยมิได้ตอบ วางอ้ายแดงลงข้างน้าสาวปลดดาบปลดย่าม แล้วก็ทรุดนั่งกอดเข่าที่ตรงหน้า
“ผัน พี่ถามจริงๆ เถอะ เอ็งไม่รู้เรื่องกะเขาเลยเร๊อะ!”
เจ้าแข็งใจปดมัน “เปล่าจริงๆ ฉันไม่รู้เขาหรอก”
มันชี้ลูกชาย “นี่-อ้ายแดง โธ่เอ๋ย! อดนมมาแต่วานนี้แล้ว เมื่อคืนต้องเอาน้ำข้าวต้มป้อน เผื่อนเขาทิ้งข้าไปเสียแล้วเอ็งรู้ไม๊”
ผันสะอื้นขึ้นมาติดๆ เจ้ารู้ความดีและเห็นเรื่องตลอดจึงยากจะกลั้นน้ำตาได้ แต่ก็ต้องปดมันอีก
“ฉันไม่รู้เลย”
“ข้าพูดก็ยอมบาปปากละ ว่าแม่แกเสือกไสให้อ้ายอ่อน” พูดแล้วมันเองก็น้ำตาไหล “ข้าจน ผันเอ๋ย แต่เผื่อนจะทิ้งข้าก็ควรเอาลูกไปด้วย เพราะมันยังไม่อดนม เขาเพทุบายรื้อหลังโรงให้ข้าขึ้นแซม แล้วเขาออกมาทุ่งรับจะไถแปรแล้วหนีเปิดมา ควายก็ลากไปตามเรื่องมันจนไถหักหัวผาลฝังดินอยู่ลึกโน่น
ผันก้มมองหลานชาย แล้วช้อนเบาะขึ้นวางตักนึกถึงคำฝากพี่สาวได้ จึงตอบเปรยๆ ว่า
“อ้ายแดงฉันจะรับเลี้ยงเอง”
“เอ็งรับปากงั้นได้ก็ดีหละ ถึงข้าจะไปตายก็พอจะสิ้นห่วงตายตาหลับ”
“พี่ลือจะไปไหนอีก?”
“ทุกแห่งหละที่ข้าสงสัยว่าเผื่อนจะอยู่ พูดก็พูดเสียเถอะวะผัน เอ็งก็เป็นน้องแท้เขา ข้าก็รักเอ็งเหมือนน้องถึงได้บอก ข้ารักเผื่อนมากแต่เผื่อนทำข้าแค้นมาก น้ำตาข้าตกแล้วก็ขอให้ดูข้าไป”
“พี่อย่าอาฆาตเขาเลย” ผันห้ามใจคอไม่ดี “เขาไม่รักพี่แล้วก็ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า”
“เผื่อนยังรักข้ามาก-ข้ารู้ เผื่อนร้องไห้มาก่อน ๓-๔ วัน เผื่อนของข้าถึงจะชั่วไปข้าก็ไม่ทำหรอก แต่อ้ายอ่อนต้องฟันให้ละเอียด” มันพูดถ้อยเน้นคำ “อ้ายพวกกูบแดงลบหน้าข้านัก ข้าเลิกนักเลงโยนดาบเข้าครัวไฟเพราะข้ารักแม่เผื่อน ไม่ใช่กลัวนักเลง นี่ข้าก็เสียเผื่อนแล้ว ข้าก็จะหันเข้าเป็นนักเลงล้างมันให้สิ้น ขอเป็นเสือละบอกกรงๆ”
ผันสังหรณ์ใจและเรียกมัน “พี่ ต้องเป็นห่วงอ้ายแดงมั่ง”
“ก็เอ็งรับเลี้ยง”
“จริงหละ แต่ฉันเป็นผู้หญิงจะเลี้ยงตลอดไปยังไง แล้วเผื่อพี่เผื่อนมาขอคืน”
“ให้ผัวใหม่มันมาเอาชีวิตข้าเสียก่อนซีว๊ะผัน” เสียงพูดมันหนัก เลือดหัวอกเหมือนจะเดือดทีละปุดจนพล่าน “ข้าให้เอ็งเป็นลูก ข้าจน ข้าสิ้นปัญญาแล้ว ที่จะอุปถัมภ์อ้ายแดง แต่อ้ายแดงมันคนโง่เง่าบัดซบเหมือนพ่อมัน มันโตขึ้นมันคงจะไม่เนรคุณเอ็งแน่”
“ถึงงั้นพี่ก็อย่าเตลิดไปนัก ห่วงหลังมั่ง”
มันหัวเราะอย่างช้ำใจ “ไม่มีใครนี่ผันที่ข้าจะเป็นห่วง”
เจ้าผันจนปัญญาที่จะห้ามปรามมันอีก ทั้งเห็นเจ้าพี่เขยกำลังทุกข์ร้อนและใจมุทะลุก็เลยต้องนิ่ง พอดีเจ้าลอยที่ตื่นมาเงอะงะไม่รู้เรื่อง พี่สาวจึงใช้ให้เข้าครัวยกสำรับกับข้าวที่หาไว้มาให้พี่เขย
“กินข้าวเถอะพี่ลือ” ผันวางเจ้าแดงแล้วเลื่อนสำรับไปตรงหน้า “กินพร้อมๆ กันอร่อยดี”
“ข้าไม่อร่อยหรอก จะกินไม่ลงเสียด้วยซ้ำ เอ็งเรียกอ้ายลอยมันกินเถอะ”
“มาเถอะนะ” ผันคะยั้นคะยอแล้วตะโกนเรียกน้องชาย “ลอยมากินข้าว”
เสียงตอบมาจากข้างล่าง “เดี๋ยว เก็บผ้านุ่งก่อน”
“ผ้าใครกันอีกล่ะ?”
“พี่” แล้วเจ้าลอยก็เอาสองนิ้วคืบผ้านุ่งมาอย่างเป็นคนถือ พอผ่านหน้าพี่เขยก็ถูกตะโกนเรียกจนตกใจ
“หยุด อ้ายลอย ผ้าแม่เผื่อนใช่ไม๊นั่นกูจำสีจำขาดได้”
ผันหน้าซีดใจหายสิ้นสติหมด พอมันเหลียวมาก็รีบหลบตาแล้วก็ถูกถาม
“ไง อีผัน โกหกข้าสดๆ ว่าแม่เผื่อนไม่ได้มาอยู่ไหนบอกมาเดี๋ยวนี้”
ผันตัวสั่น เจ้าลอยทิ้งผ้านุ่งวิ่งเปิดลงจากเรือน เจ้าคนตามหาเมียโดดเข้ารวบผ้ากำไว้
“ข้าถามว่าเดี๋ยวนี้เผื่อนอยู่ที่ไหน?”
ผันแสนกลัวจนเผลอยกมือไหว้ “ฉันไม่รู้เลยจริงๆ”
“ตอแหล ทำไมมานี่แล้วไม่รู้ว่าไปไหนกะใคร”
“รู้แต่ว่าไปบางกอกกะพี่อ่อน”
มันตบมือกระทืบพื้นเรือนสนั่น “เอาละ กูจะควานหามันทั้งบางกอก”
แล้วมันก็ถลันยืน คว้าดาบสะพายผลุนผลันจะไป
ผันรู้อยู่เต็มใจว่า มันจะเดินเก้อสว่างเปล่าและเจ้าพี่เขยยังไม่ได้กินข้าวเลย ทั้งอัฐพลไม่มีติดตัวจึงโดดยุดเสื้อมันไว้
“อย่าไปเลยพี่ โธ่ ห้ามไม่เชื่อ”
“ตอแหลแล้วยังจะมาห้ามอีก เอ็งสมคบเป็นพวกอ้ายอ่อนงั้นรึ?”
“เปล่าเลย สงสารพี่จริงๆ ข้าวปลายังไม่ได้กิน”
“ตายไหนก็ช่างข้า” มันแกะมือเจ้าผันพอจ้องหน้ามันก็แปลกใจ “มาร้องไห้เรื่องข้าทำไม?”
“บางกอกกว้างนัก” เจ้าตอบเมินๆ “ฉันเคยไปหลายหนแล้ว เชื่อเถอะพี่ เดิน ๓ วันก็ไม่จบ ทั้งผู้คนบ้านช่องมากมายจะพบเขายังไง?”
“ให้ ๑๐ วันข้าก็จะเดินหา”
“แต่พี่ต้องกินข้าวกะผันก่อน”
เห็นน้ำตาเจ้าผันและคำวอนต่างๆ มันก็ใจอ่อนหวนเข้าหยิบผ้านุ่งเมียดูอีก เผื่อนผลัดมาไถแปร หัวใจเผื่อนแปรเหมือนรอยไถของเจ้าแล้ว เผื่อนเอ๋ย ค่ำเมื่อคืนเจ้าคงจะเสียตัวมันแล้วเป็นแน่ ลูกคนผ้านุ่งผลัดสองผืนกับรอยฝีมือไถเท่านั้นที่ทิ้งไว้ต่างหน้าให้ดู
มันกินข้าวเพราะเสียงวอนเจ้าผันไม่ได้ แต่ข้าวสุกก็บาดสะดุดไปทุกๆ เม็ด เมื่ออยู่ทุ่งสองห้องกินข้าวกับเผื่อนอร่อยจนข้าวเปล่า แล้วมันก็ต้องอิ่มในครึ่งชามนั้น พอเสร็จก็บอกลาน้องเมีย
“พี่ไปละผัน ถ้าไม่กลับก็ขอให้ผันนึกว่าอ้ายแดงมันเป็นลูกแท้ช่วยเลี้ยงให้มันโตไปด้วย”
ผันรีบอิ่ม พอล้างชามเช็ดมือเสร็จก็ตรงไปหามัน
“ถ้าพี่กลับจากบางกอกแวะมาพักที่นี่ก็ได้”
“เผื่อแม่แกมาจะทำไง?”
“คงยังไม่มา เดี๋ยวก่อนคอยเดี๋ยว” แล้วผันก็วิ่งเข้าเรือนกลับออกมา “เอ้าเงิน ๓๐ บาทไปเถอะ”
มันรีรอคิดกลุ้มไปต่างๆ อีผันให้เงินพอเป็นกำลังเมื่ออยากพอจะซื้อกิน เมื่อขอบบุญคุณมันแล้วก็ก้มจูบอ้ายแดงลงเรือนไป หากมันย้อนมาเหลียวหลังเห็นคงจะหลากใจที่เจ้าบัวผันยืนอิงประตูร้องไห้มองดูมัน
ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๖
บ้านท่าแร้งท้ายทุ่งโน้น ที่บ้านผู้ใหญ่ทิมลุงนายแปลกกำลังกะเกณฑ์ผู้คนตักน้ำล้างพื้นกระดานเรือนตั้งแต่เช้า เพราะเย็นนี้นายอ่อนซึ่งเป็นเจ้าของผืนนาใหญ่เช่าถือ จะยืมทำเรือนหอพอรดน้ำแต่งเมียเป็นพิธีแล้วจะขึ้นบางกอกไปอยู่อื่น พอตะวันสายบ้านช่องก็ปูเสื่อสาดเรียบร้อย บ้านช่องสะอาดทั้งแม่ครัวฝีมือกับข้าว และเพื่อนเจ้าบ่าวก็พากันมาช่วยเรื่อยๆ
ห้องในเรือนเล็กที่กั้นไว้ต่างหาก หญิงกลางคนนั่งสอนลูกที่จะเป็นเจ้าสาว กำลังนั่งร้องไห้
“เอ็งมันควรจะดีใจนะเผื่อน เอ็งพ้นจากอ้ายลือมาเสียได้น่ะ ควรจะดีใจให้มากเท่ากะหนีนรก”
ลูกสาวตอบไปทางอื่น “ฉันคิดสงสารเขา พี่ลือรักฉันมาก ใครๆ ก็รู้ แต่ฉันทิ้งเขาทิ้งลูกมาทำชั่วหาสุขคนเดียวถึงอดคิดไม่ได้”
ยายบัวถอนฉุน “แล้วเมื่อแรกมึงตกลงทำไม ฮึเมื่อแรกที่ชอบกะพ่ออ่อนเข้าก็เห็นดี แต่แล้วพอเห็นอ้ายลือสวยกว่าเก่งทางนักเลงก็เอ็งก็หลงคำมัน มึงกลับไปอยู่อีกซีจะได้นุ่งใบไม้”
“ไม่นุ่งอะไรเลยก็ยังดีกว่า แต่ฉันผิดไปแล้ว ถึงกลับไปไม่มีพะยิงพยานแน่ เขาก็คงจะฆ่าฉันตาย”
“นั่นแหละ ผัวดีของมึง” แกประชด “มึงไม่ชั่วแต่ตายคนเดียว ซ้ำจะพลอยกูเข้าคุกไปด้วย”
เผื่อนสิ้นเกรงจึงย้อนให้ “ก็แม่ขี้โกงให้เชาจับมือมัดได้ทำไมล่ะ และพ่ออ่อนหากเป็นคนดีก็คงจะไม่บังคับทำนองนี้”
แกเถียงไม่ออก ด้วยความจริงที่ปลอมหนังสือพ่ออ่อนไปทวงเงิน แล้วเขาจับได้ และนอกจากโมโหโทโสแล้วยายบัวก็หมดแต้มอื่นที่จะดีไปกว่านี้ จึงกรากเข้าจิกหัวตบ
“มึงไม่รักแม่” ยายบัวรามือพักเหนื่อย “นี่ดีแต่บ้านคนอื่นเขาหรอก มึงหาไม่จะต้องโดนมากกว่านี้”
“ฆ่าเสียเถอะ” เผื่อนเถียงสิ้นกลัว “ฉันหักหัวใจมาเพราะเห็นแก่แม่ แล้วกลับมาทำยังงี้ห้ามจนร้องไห้น่ะไม่เคยเห็น”
ยายบัวค่อยได้สติ เพราะหากขืนทำเอาแต่ใจแล้วหากเผื่อนหวนกลับไม่ยินยอม จะยากแก่การ และก็นึกเห็นใจว่าเผื่อนเพิ่งจะจากลูกจากผัวมาใหม่ๆ แกจึงค่อยผ่อนตามอารมณ์
นายอ่อนซึ่งเพิ่งมาจากบางกอกเมื่อเช้า เมื่อเข้ามาในเรือนเห็นแม่ลูกทะเลาะกัน จึงห้ามปรามแล้วก็เปิดกระเป๋าหิ้วใหญ่ชูข้าวของอวด
“นี่แม่เผื่อน นาฬิกาเล็กผูกข้อมือ ผู้หญิงบางกอกเขาใช้ผูกกัน เอ้า เก็บไว้ผูกรดน้ำและแต่งเข้าบางกอก นี่แหวนใส่เสียอีกวงเถอะ”
เผื่อนมองเครื่องแต่งตัว นิสัยเผื่อนเป็นคนเปลี่ยนอะไรง่ายดาย เมื่อแรกก็นึกเห็นคล้อยตามแม่ ครั้นใกล้จะถึงวันก็สงสาร และเพิ่มรักเจ้าลือขึ้นที่เห็นมันแสนซื่อจนจะหวนคิดกลับใจ แต่เมื่อนึกถึงความทุกข์ยากลำบากแล้ว และความใจดีนักเลงไม่เสียดายของนายอ่อนก็เกิดความเรรวน
ผลักของนั้นคืนไปแล้วว่า “พี่เก็บไว้เสียก่อนเถอะ เมื่อถึงคราวค่อยแต่ง”
พอนายอ่อนบุ้ยปาก ยายบัวก็หลบออกข้างนอก จึงเป็นช่องทางของนายอ่อน แล้วก็รวบตัวกอดอย่างแสนรัก
“แม่เผื่อนยังไม่เห็นหัวใจอีกรึ โธ่! ตั้งแต่มาด้วยกันวานซืนแล้ว ฉันแยกขึ้นบางกอก คิดถึงเหลือเกินกินอะไรเห็นอะไรก็คิดถึงแม่เผื่อนหมด ทีนี้อย่าร้องไห้ถึงมันอีกเลยนะ”
เผื่อนสั่นหัว “อย่างอื่นพอจะคล้อยตามได้แต่ถึงฉันจะมาจากเขาแล้วก็ต้องขอสรรเสริญเขา พี่ลือดีทุกอย่างเสียแต่จน”
“แล้วฉันล่ะ แม่เผื่อน?” นายอ่อนเอียงหน้าจนจมูกสูดแก้ม “ฉันรักเกินเจ้าลืออีกแล้วจะว่าไร เพียงนาฬิกาที่ซื้อมาให้นั่นน่ะ ฉันให้อ้ายลือไถนาจนตายก็หาให้เมียแต่งไม่ได้”
“ก็เขาจนมากจะเอาอะไร?”
“ทีแรกเมื่อมันยังพอมีหยิบมีฉวยอยู่น่ะหาให้รึเปล่าล่ะ? ก็เปล่าอีก เล่นไปเลี้ยงเหล้าเพื่อนหมด”
เผื่อนแพ้สนิท ที่จริงเมื่อพูดถึงปากคำเจ้าชู้แล้วนายอ่อนก็มีภาษีเกินเจ้าลือ หากแต่รูปโฉมและสง่านักเลงมันมีเสน่ห์เกินกว่า และหัวใจเจ้าบัวเผื่อนก็เยี่ยงเดียวกับบัวน้ำ ซึ่งคอยจะกระเพื่อมไปตามระลอกลม เมื่อใกล้นายอ่อนแล้วสิ่งอื่นที่เศร้าในใจก็พอจะหักไปชั่วคราวได้ เมื่อลองผูกนาฬิกาและสวมแหวนแล้วนายอ่อนก็เรียกร้องรางวัลจูบกระทั่งยายบัวแอบเห็น และแอบยิ้มขึ้นอย่างโล่งหัวใจแก
ก่อนบ่าย
เรือนใกล้คลองชายทุ่งกูบแดงที่เงียบเหงา บัวผันนั่งไกวเปลเจ้าหลานชายที่ตกมาเป็นลูกบุญธรรม แม้แต่เช้าวานซืนที่พ่อมันมามอบให้แล้วก็หายหน้าไป จนบัดนี้ปากกล่อมและใจคิดของเจ้าผันต่างๆ นานา บนเรือนก็เงียบสงัด ท้องฟ้าครึ้มเหมือนฝนตกแล้วไกลๆ ยิ่งเพิ่มเหงาให้ผันขึ้นอีกมากเจ้าบัวลอยก็หายไปตั้งแต่กินข้าวเช้า
กระทั่งเจ้าแดงหลับ ผันก็นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย แล้วหยิบย่ามกับผ้าห่อของเจ้าลือที่ทิ้งไว้มาแก้ดู โธ่! ผ้านุ่งพี่เผื่อนขาดรวมกับผ้าอ้อมเจ้าแดงอีก ๒-๓ ผืนกำลังค้นและคิดไปเพลินเสียงฝีเท้าคนย่างขึ้นเรือนมาคาดว่าบัวลอยมันกลับจากนาก็เหลียวไป
“ผันเอ๋ย” เจ้าคนย่างเรือนที่หน้าชูบซีดเรียกเสียงแหบ “พี่หลงอยู่บางกอก ๒ คืนเต็มไม่มีแล้ว ทั้งบางกอกไม่มีแม่เผื่อนเลย”
“โธ่! พี่ลือ” ผันปลงสังขารในรูปร่างมัน “บอกพี่ไม่เชื่อว่าหาอย่างไรก็ยากจะพบ”
มันเดินหงอยกลับนั่งใกล้ๆ “อ้ายแดงหลับแล้วรึ เออ อ้ายแดงมึงต้องกำพร้าแน่”
ผันร้องเต็มเสียง “ฮ๊ะ-พี่ลือ ไงพูดเป็นลางปากงั้นล่ะ”
มันฝืนหัวเราะ “ข้าไม่ตายหรอกผัน ที่ว่าถ้ายแดงจะต้องกำพร้าก็เพราะแม่เผื่อนเขาคงไม่กลับมาอีก นี่แล้วแม่แกยังไม่มาเลยรึตั้งแต่ข้าไป?”
“เปล่าเลย” ผันตอบเศร้าๆ “บ้านช่องไม่มีใครอยู่ ฉันกลัวเหลือเกิน”
“อ้ายลอยก็อยู่ทั้งคน”
“โอย-เอาเป็นที่พึ่งไม่ได้เลยคนอย่างอ้ายลอย”
มันถอนใจยาว “อือ-ลำบากแย่ อ้ายข้าก็อยู่ไหนถึงข้ามคืนไม่ได้เลย บอกกรงๆ วะผันเข้าบ้านใครเห็นหลังคาแล้วช้ำหัวใจนักอยากจะเตลิดไปนอนมันตามหญ้าตามดินเรื่อยๆไปชั่ววันกว่าจะตายเท่านั้น”
“หักคิดเสียมั่งเถอะ พี่ลือ” ผันให้สติและนึกอุ่นใจขึ้นมาที่เจ้าลือมันย่างมาเป็นเพื่อนเรือน เพราะแม่เจ้าคงจะเดาความล่วงหน้ารู้ว่าจะต้องพบมัน จึงหลบไปเสียยังไม่กลับ
เจ้าลือล้วงชายผ้าขอดที่แนบเอวออกมาแก้แล้วส่งคืนให้
“เหลือยี่สิบห้า เอ้า คืนไปเถอะ”
“อ้าว ผันมองตา “ใช้หมดห้าบาทเท่านั้นเอง แล้วไม่ซื้อนมมาให้อ้ายแดงด้วย”
“ข้าไม่นึกว่าจะได้มาละซี จนมาได้ครึ่งทางนึกเกรงฝนถึงได้แวะมา” แล้วมันก็แหงนมองไปบนฟ้าสูง “ครึ้มยังงี้ข้าเกลียดจริงๆ แต่ถ้าเป็นฤกษ์ใครจะแต่งเมียละก็ดี”
หากจะเป็นคำเพ้อเจ้อของคนทุกข์ แต่บัวผันก็สะดุ้งหัวใจ เพราะวันนี้เป็นวันแต่งของพี่เผื่อนตามคำอ้ายลอย เออ-หากแว่วเข้าหูมันสักเพียงคำเดียว พิธีนั้นก็คงจะถูกล้างเสียฤกษ์หมด
บัวผันจัดแจงหาข้าวให้มันกิน เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วยความเหน็ดเหนื่อยที่หลงทางและเดินมาแต่บางกอกเจ้าลือก็หลับไหลสนิท บัวผันซึ่งนั่งไกวเปลอยู่ใกล้ๆ ก็คิดไปต่างๆ นานา กระทั่งเคยขี่คอมันลุยเลนมาลงเรือ และก็วันนั้นเองที่พี่สาวแอบรื้อหลังคาทำอุบาย
จนตะวันเย็น เจ้าลือพลิกตัวตื่นเจ้าบัวผันเจ้าเข้าครัวหุงข้าว จึงย่องออกหลังเรือนไปชายคลองหวังจะอาบน้ำแต่เสียงพายจ่อมน้ำมาใกล้จวนโผล่คุ้งจึงหลบตัวดู ถุยอ้ายลอยผ้าห้อยสองไหล่กินหมากทำกรุ้มกริ่มจึงตะโกนเรียก
“อ้ายลอย”
เจ้าน้องเมียสะดุ้งเรือแทบล่มด้วยยังไม่รู้ว่าเป็นใครกระทั่งเหลือบแลเห็น
“อ้อ พี่ลือ มาเมื่อไหร่เล่านั่น?”
“เพิ่งถึงเมื่อก่อนบ่าย” เจ้าลือตอบแล้วหย่อนตัวลงนั่ง “เอ็งไปไหนมา?”
“กลับจากคุ้งคดโน้น” แล้วก็เหลียวมองไปรอบๆ ความอึดอัดใจที่รู้เรื่องและอยากจะเอาหน้า ก็ยากที่เจ้าลอยจะงำความลับไว้อีก จึงเทียบเรือมาใกล้ๆ และกระซิบข้างหู “ฉันมีเรื่องที่จะบอกพี่ลือ”
“เรื่องอะไร?”
น้องเจ้าผันใจเต้นตึ้ก แต่เมื่อคายไปบ้างแล้วก็จำต้องคายให้หมด
“พี่เผื่อน”
“ฮ่ะ อ้ายลอย อย่าล้อกูนามึงโดนเทียว”
“จริงย่ะ” ลอยรีบรับคำปากสัน “แต่พี่ต้องสาบานว่าอย่าทำแม่กะพี่เผื่อน”
“ลือตะลึง ใจเต้นเกินเจ้าลอยไปอีกเพราะดีใจที่จะได้เค้าเจ้าเผื่อนเมียรัก
“บอกกูเร็วเถอะ อะไรๆ กูสาบานต่อหน้าน้ำไหลทั้งสิ้น”
เจ้าบัวลอยโดดขึ้นฝั่ง เกาะกราบไว้มือหนึ่งแล้วก็เล่าโดยเร็ว
“อ้ายอ่อนจะบังคับแต่งพี่เผื่อนวันนี้”
“ที่ไหนว๊ะ อ้อนี่แม่เผื่อนไม่ได้กะอ้ายอ่อนหรอกรึ?”
บัวลอยสั่นหัว “เพิ่งจะแต่งรดน้ำเย็นนี่แหละที่บ้านผู้ใหญ่ทิมลุงพี่แปลกอยู่ท่าแร้ง”
ลือพยักหน้า “อ้อ-อ้อ-รู้จักแหละ แต่แน่อ้ายลอยมึงอย่าได้เอ็ดให้รู้ไปถึงหูเจ้าผันล่ะ แล้วเรือนี่ข้าต้องขอยืมเพราะเร็วทันใจ หากมัวเดินแล้วเป็นไม่ทันการแน่”
เจ้าลอยพยักหน้ารับรองแล้วเล่าต่อไปอีก “ฉันเคืองตาแปลกจริงเชียว มันพูดกับพี่อ่อนว่าจะขอแบ่งพี่ผันไปเป็นเมียแล้วอวดอภินิหารใหญ่โต”
“เออ! มึงค่อยนิ่งฟังไว้ก่อนเถอะ ไปเอาประแจมาใส่เรือไว้ให้ดีหน่อยใครจะขอยืม แล้วเอาลูกส่งมาให้ข้า”
บัวลอยดีใจจนเนื้อเต้น ที่เจ้าลือจะขึ้นท่าแร้งมันเป็นเด็กชอบนักเลงที่รักทุ่งบ้านเกิดและพวกพ้อง จัดแจงไปเอากุญแจเรือมาใส่แล้วส่งลูกให้เจ้าลือ แล้วก็แยกไปทำไม่รู้ไม่ชี้ เจ้าลือก็รีบร้อนอาบน้ำเสร็จในครู่นั่น
ตะวันโพล้เพล้ ผันเจ้ามัวทำกับข้าวเพลินหารู้ไม่ว่าเจ้าลือมันแต่งตัวแล้ว เสร็จกะทัดรัดดาบนั้นลอบส่งเจ้าลอยทางหน้าต่างให้ไปใส่เรือ แล้วก็ตรงไปบอกน้องเมีย
“พี่จะไปค้างกระท่อมคืนนี้”
“เอ๊ะ ไม่กินข้าวเสียก่อนล่ะ” ผันทำหน้าหงอยมองพี่เขยอย่างเสียดายที่มันไม่กินข้าว “นึกว่าพี่ลือจะค้างเป็นเพื่อนสักคืนก่อน หรือไม่ก็ให้พลบสักหน่อยค่อยไป”
“ไม่ละผัน เอาเถอะ ผันแบ่งมาไว้ให้ข้าก็แล้วกันเพราะเมื่อมากำลังสติเผลอประต่างประตูลืมปิด ควายแม่แก๒ ตัวที่ให้ยืมจะเป็นไงมั่งไม่รู้ ตั้งใจว่าจะไปต้อนมาคืนนี้หละ แบ่งไว้เถอะแล้วข้าคงกลับมากินทัน”
ผันสิ้นศรัทธาจะทำกับข้าวต่อไปอีก แต่ก็คิดจะถนอมน้ำใจมันไว้จึงจำต้องผ่อนตามและครู่นั้นเจ้าลือก็รีบผละไปไขกุญแจโซ่เรือเพราะช้าเกรงจะเสียการต่อไปอีก เจ้าลอยที่ยืนเมียงตลิ่งมองยกมือท่วมหัวภาวนาขอให้พี่ลือมันจงไปชนะ
พลบค่ำ เลยเพลารดน้ำมาแล้วเป็นนาน
พิธีแต่งของนายอ่อนเป็นไปอย่างเงียบๆ ไม่เอิกเกริก ลิเกหรือการเล่นสิ่งไรไม่มีเลย นอกจากเชิญพวกพ้องอยู่เลี้ยงสุราอาหารกันเป็นเพื่อน กว่าจะถึงฤกษ์งามได้ส่งตัวเมื่อค่อนยามสอง
เผื่อนแต่งตัวงามนักหนา ผิวพรรณที่เคยคล้ำหมองและซูบซีดค่อยผ่องตาขึ้นมา เพื่อนเจ้าบ่าวที่รู้ความอย่างนายแปลก เจ้าพลอยและแฉล้มแทบไม่อยากเชื่อว่า เผื่อนมีลูกแล้วคนหนึ่ง ยายบัวนั้นยิ้มแย้มสำราญใจ ต้อนรับแขกเพื่อนบ้านแทนนายอ่อน
ยิ่งดึกล่วงยาม การพูดคุยและเลี้ยงก็เพิ่มสนุกสนานยิ่งขึ้น มิช้าพวกสนุกเหล่านั้นก็คัดตัวพวกกันเองประสมขึ้นเป็นลิเกครบตัวเรื่องแล้วก็โหมโรงกันเองประสาคนเมา
เผื่อนเจ้าหลบเข้าเรือนก่อน เพราะรำคาญคำเคาะและล้อเลียนของเพื่อนเจ้าบ่าวที่เมามายมาก พอหวนมาอยู่คนเดียว และยืนเยี่ยมหน้าต่างเห็นลำน้ำมืดท้ายบ้าน ก็อดนึกถึงกระท่อมเก่าทุ่งสองห้องมิได้ ก้มมองสร้อยแหวนและนาฬิกาที่ตบแต่งแล้วใจแห้ง ในกระท่อมโน้นมีแต่ผ้าขาดเป็นผ้าขี้ริ้ว มืดค่ำผัวมันต้องกินข้าวเปล่าเพราะห่วงเมีย โอ้พี่ลือ
ต้องทรุดกายลงนั่ง เมื่อคิดถึงความหลังป่านนี้คงร้องไห้หาอ้ายแดงจักอ้อนกินนม แล้วพ่อมันกอดคอกันร้องไห้ แล้วเมียที่ปลีกหนีมาจะรับสุขด้วยประการได
เลยซบหน้าลงกับฝ่ามือ หารู้หาเห็นไม่หรอก ว่าเสือทุ่งสองห้องมันกำลังนั่งคร่อมอยู่ขอบหน้าต่างสะพายดาบกำ
“เผื่อนจ๋า”
เจ้าสะดุ้งเฮือก เงยมอง พระกาฬทุ่งสองห้องใช่แล้วหรือ มันยิ้มด้วยร้องไห้ด้วย แล้วก็ก้าวจากขอบหน้าต่าง
“พี่หลงตามอยู่บางกอก ๒ คืน โถ เผื่อนทิ้งพี่ไม่รู้ตัวอ้ายแดงมันอ้อนหา” แล้วเจ้าลือมันก็ตื้นตันพูดไม่ออกอีก มันร้องไห้มองเมียทั้งรักทั้งแค้น
เผื่อนก้มกราบเท้ามัน น้ำตานอง “เผื่อนผิดเสียแล้ว พี่หลบหน้าเอาชีวิตรอดเถอะ พวกเขามากนัก”
“พี่จะล้างให้หมดเรือน” แล้วยุดข้อมือเมียมันให้ยืน “ไปกับพี่เถิด เผื่อนต้องไปอยู่กับพี่อีก หาไม่อ้ายลือจะตายบนเรือนนี่ และจะไล่ฟันมันเดี๋ยวนี้”
มันชักดาบออก ถลันไปถอดกลอนประตู เผื่อนหน้าซีด ชู้เก่าจะมารบชิงเจ้า แต่จะรอดไปไหวหรือ เแล้วเผื่อนก็ปราดเข้ารั้งชายเสื้อ
“โธ่เอ๋ย พี่ลือไม่รักเผื่อน เถอะ จะไปด้วยพี่ถอยมาเถอะ เผื่อนจะตามไปอยู่ทุ่งสองห้องของเราอีกเร็วเข้าซี เดี๋ยวใครจะแอบเห็น”
มันชะงักหน้ามาทางเผื่อน แม่คุณของพี่ตัวเนื้อสั่นดึงกรากเข้าอุ้มส่งทางหน้าต่างไม่ทันลั่นกลอนประตู
ยายบัวเปิดเข้ามา เผื่อนโดดไปแล้ว แต่เห็นอ้ายลือกำลังปีนหน้าต่าง แกก็ร้องขึ้นสุดเสียง
“อ้ายลือเจ้าขา อ้ายลือขึ้นฉุดอีเผื่อนไปแล้ว”
ลิเกกันเองกำลังจะออกตัว จึงไม่มีใครฟังทันได้ศัพท์ ต่อยายบัวโดดไปกลางวงลิเกบอกกล่าวขึ้นเอะอะจึงรู้กัน นายแปลกแสนอับอายที่ถูกมาล้วงคอถึงบ้านก็คว้าดาบวิ่งนำหน้า ผู้ใหญ่บ้านระดมเกราะสนั่นพวกที่เป็นตัวลิเกทั้งคนดูต่างก็วิ่งคว้ามีดไม้และดาบวิ่งตามกันเป็นแถว
ลือมันจูงเมียพาวิ่งผ่านมืดมา อีกครึ่งทางก็จะถึงที่เรือจอดซุ่มไว้ แต่ไม่ทันเสียแล้ว พวกบ้านท่าแร้งวิ่งกระชั้นเข้ามาทุกที เผื่อนก็ตกใจจนสิ้นแรง จะทิ้งเผื่อนเอาตัวรอดหรืออย่าหมาย ทุ่งท่าแร้งพรุ่งนี้จักแร้งลงกินศพนับไม่ถ้วน
มันหยุดแล้วกลับหลังคิดสู้ “เผื่อนกอดหลังอย่าห่างพี่ เผื่อนเอ๋ย! ถ้าพี่ตายแล้วถึงยอมเป็นเมียมัน”
“โธ่! เราคงตายแน่” เผื่อนพูดสิ้นสติทอดอาลัย “โธ่เอ๋ย! มาหาที่ตาย”
มันหัวเราะในคอ “ก็ตายล่ะซี กอดคอกันตายไม่ชื่นใจหรือเผื่อน อ๊ะ หลบหลัง มาแล้ว”
พอเผื่อนหลบทลัง นายแปลกก็เข้าใกล้ตัวร้องทัก
“อ๋า! อ้ายลือ”
“เออ! กูมาเยี่ยมท่าแร้ง”
ไม่ได้ตอบกันอีก แล้วต่างก็กรากเข้าฟันกัน นายแปลกเป็นเจ้าบ้านรักษาคม แต่อ้ายลือมันถวายชีวิตจักชิงเมียมันคืนไปสองห้อง เจ้าแร่มเจ้าแอบกรากมาช่วยกันวิงวนไปรอบๆ คอยจ้องจะเอาเหมาะๆ ส่วนเผื่อนมันวิ่งบังหลัง และหลบหลีกคมดาบไปมา แต่วาสนาคงสิ้นแล้วพี่ลือเอ๋ย! ถูกแผลหัวเลือดสาดแล้วเผื่อนก็ผละหนีเลือด
เมื่อรู้ว่าเลือดตกทุ่งท่าแร้ง เจ้าลือก็บ้าเลือดมุทะลุไม่ปิดละฟันรวด และมิช้าเจ้าแปลกนักเลงดังเจ้าทุ่งก็ทรุดไปกับดาบ พอเหลียวหาโน่นเผื่อนเจ้าถูกอ้ายอ่อนและพวกล้อมฉุดไปโน่นแล้ว ก็กวดตามฟันไม่ละไม่เลือก ปากก็ตะโกนหา “เผื่อนเอ๋ย! พี่จะไม่กลับทุ่งสองห้องอีกเผื่อนทำศพพี่ด้วย”
แล้วมันก็ถูกล้อมในไม่ช้า แม้จะหันสู้อย่างทรหดไว้ฝีมืออย่างไร ก็หาหักออกไปถึงเผื่อนเมียรักได้ไม่ ยิ่งสู้ยิ่งถูกเจ็บ และอ่อนแรงล้มลง
ชูกวักมือเรียกเผื่อน “พี่ลาเผื่อนไปก่อนสิ้นชาติพี่แล้ว” สิ้นคำก็สิ้นเสียงสลบพับดินผืนทุ่งท่าแร้งซึ่งด้นดั้นมาตามเมียกลับเป็นแดนพ่ายแพ้ แต่ลายนักเลงจักจารึกตลอดไป
คนหนึ่งจะเข้าซ้ำ เผื่อนร้องหวีดสุดเสียงสลัดหลุดจากนายอ่อนลงกอดกายบังผัว
“อย่าทำ-ผัวฉัน โธ่เอ๋ย! พี่ลืออุตสำห์ตามมาตายต่อหน้าเผื่อน” แล้วเจ้าก็ร้องไห้โฮใหญ่ นายอ่อนกรากเข้ากั้นกลางห้ามคนเหล่านั้น
“แม่เผื่อนลุกก่อนเถอะ บางทีจะไม่ตาย”
“อย่าเลย” เผื่อนโบกมือ “หน่อยก็รุมกันฆ่าผัวฉันเท่านั้น ฉันไม่ลุก พี่ลือจะต้องสิ้นใจในแขนฉันใครอย่ามายุ่ง”
นายอ่อนให้คนไปเอาตะเกียงมาส่อง และค่อยปลอบเผื่อนให้ห่างแล้วจึงช่วยกันตรวจแผลและชีพจร
“สลบเท่านั้น” นายอ่อนบอกกับเผื่อน “ฉันจะให้คนเอาใส่เรือไปส่งจนถึงบ้านมัน”
“ฉันขอไปด้วย โธ่ ขอให้ฉันได้ไปอยู่รักษาเขาสักคืนเท่านั้น”
นายอ่อนสั่นหน้า “ไม่ได้แม่เผือนแต่งกับฉันแล้ว”
“ก็ถูก” เผื่อนรับ คิดแค้นน้ำใจนายอ่อน “ฉันเต็มใจยอมเป็นเมียพี่อ่อน แต่ขอให้ฉันได้ไปอยู่รักษาเขาก่อนสักคืนเถอะ”
นายอ่อนคงไม่ยินยอม สั่งให้คนหามเอาเจ้าลือลงเรือแจวแล้วคุมไปอีก ๒ คน เพื่อไปส่งกระท่อมที่ทุ่งสองห้อง ส่วนนายอ่อนกับเผื่อนและยายบัว ก็ตระเตรียมข้าวของที่จะขนหลบขึ้นบางกอกเช้ามืดก่อนสว่าง
.
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 11,133
Re: นวนิยายเรื่อง รอยไถ บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม
«
Reply #4 on:
23 October 2025, 16:07:09 »
https://vajirayana.org/%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%96/%E0%B9%95
https://vajirayana.org/
รอยไถ/๕
๕
จนรุ่งขึ้นเวลาสาย
เจ้าบัวลอยมิได้หลับนอนด้วยใจกังวล เพราะแน่ใจแล้วว่าทำอย่างไรเสียบ้านท่าแร้งคงลื่นเลือดและเสือลือก็น่าจะสิ้นชีวิตสูญแล้ว หน้าซ้ำพลอยเรือเล็กมันไปถูกยึดสูญด้วยอีกทั้งลำ
ผันเจ้าเพิ่งตื่น เพราะตอนแบ่งกับข้าวตั้งตาคอยมัน เจ้าแดงก็ร่ำร้องกวนไม่หยุดกระทั่งเจ้าลอยเดินหน้าสลดเข้ามา
เจ้าผันถามน้องชายทบทวนดูอีก “พี่ลือกลับรึเปล่าเมื่อคืน”
ลอยหน้าเผือดลงอีกถนัด “เปล่า” แล้วก็ถอนใจใหญ่ และด้วยความห่วงเป็นทุกข์ที่เก็บไว้นั้น เจ้าลอยก็คายหมด
“ฉันหนักใจว่าพี่ลือจะตาย”
“ฮะ-อ้ายลอย” พี่สาวชะโงกถามเสียงสั่น “เอ็งว่าพี่ลือตายรู้ได้ยังไง เรื่องอะไรจะตาย”
เจ้าลอยเริ่มเล่า “พี่ลือยืมเรือฉันนี้ขึ้นท่าแร้งแต่เย็นวันวานไม่ได้ไปทุ่งสองห้องหรอก”
“ต๊าย” ผันเจ้าร้องเอ็ด “ทำไมถึงรู้ทำไมถึงไปที่นั่น เอ็งซีเอ็งปากบอนซี”
เจ้าลอยต้องปิดป้องเพราะพี่สาวตบ แล้วผันมันร้องไห้โฮ พี่ลือต้องสิ้นชีพแน่ไหนเลยเขาจะละไว้ เจ้าลอยนั้นเมื่อหลบจากพี่สาวก็หนีลงข้างล่างเปิดออกทุ่ง แต่เจ้าเปลี่ยนซึ่งถูกใช้ให้แจวเรือมาส่งเมื่อคืนก็อดปากจะคุยกับเพื่อนหนุ่มถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้ และพอเจ้าเปลี่ยนไปแล้วลอยก็วิ่งตึงตังขึ้นเรือนเรียกพี่สาว
“พี่ผันไปสองห้องกันเถอะ”
ผันหน้าตื่น “ทำไม?”
“พี่ลืออยู่นั่น อ้ายเปลี่ยนบอกว่าเมื่อคืนถูกฟันยับเพราะเขาชิงพี่เผื่อนขึ้นถึงเรือน”
ผันหัวใจสั่น ผู้ชายแท้ของทุ่งบางเขนที่หายากก็เพราะรักเมียแท้ก็สู้ติดตามไป
ถามน้องชายเสียงพาลจะร้องไห้ “เป็นไงมั่ง เขาบอกหรือเปล่า?”
“ยังไม่ฟื้น ไปกันเร็วเถอะฉันจะไปยืมเรือบ้านโน้น ประทุนก็มีเสร็จ”
“แล้วบ้านล่ะ จะทิ้งไปไง เผื่อแม่แกจะมาวันนี้เดี๋ยวเกิดความอีก”
“โอ้ย แม่ไม่กล้ามาอีกแล้ว” เจ้าลอยทั้งโบกมือและสั่นหน้า “ทุกคนขึ้นบางกอกหนีหมด เพราะพี่ลืออาการหนักแล้วจะตายเสียมากกว่าอยู่”
ผันใจหายสลดลงไปอีก มองอ้ายแดงแล้วแสนสมเพชหน้า และยิ่งคิดว่าแม่เจ้าไม่กล้ากลับแล้ว บ้านนี้ก็ยากจะอยู่ปกครองได้ ทั้งข้าวของในเรือนก็ดูเหมือนจะรู้จึงขนไปเกลี้ยงหมด บอกว่าจะให้พี่เผื่อนตัววันนั้น
ด้วยหัวใจร้อนกังวล บัวผันจึงให้น้องชายนำควายในคอกไปฝากแล้วยืมเรือประทุนแจวมา ขนเสื้อผ้าและของเล็กน้อยอื่นๆ ลงเรือแล้วสิ้นกุญแจเรือนหมดทุกห้องอุ้มเจ้าแดงลงมือเร่งให้น้องชายเบนหัวเรือออกจากฝั่งล่องตามน้ำลิ่ว
กระท่อมเก่าทุ่งสองห้องบางเขนทั้งไถหักและหัวผาลยังคงจมดินอยู่เช่นแรก ตั้งแต่ฟากตลิ่งกระทั่งเข้าเนื้อนาตามรอยไถแปรของเผื่อน มีรอยเลือดหยดเป็นทางกระทั่งถึงแคร่นอนในกระท่อม
ลือมันนอนลืมตา ฟื้นได้สักครู่ บนหัวแผลยับทั้งไหล่จนพลิกตัวไม่ไหว แต่รอยแผลที่เจ็บยังไม่ช้ำเท่าชิงเผื่อนมาไม่ได้ เผื่อนของพี่หลุดมือไปแล้วเหมือนว่าวขาดลมลอย ยิ่งคิดยิ่งช้ำหัวใจ ยิ่งคิดยิ่งฉงน นี่ใครพามาไว้นี่ แคร่ที่เคยนอนเคียงเผื่อนหยอกเย้ากันตามประสา แต่พี่จะต้องนอนตายที่แคร่เล็กนี่คนเดียว
คนโผล่ประตูพ้นมาแต่ยังหารู้ไม่ว่าเป็นใคร จนกระทั่งมายืนอยู่สองข้างแคร่
“ผันรึ?”
“จ้ะ” ผันร้องไห้ กอดรัดอ้ายแดงที่อุ้มไว้แน่นเลือดนอง แคร่ของเจ้าลือคนเคราะห์แดงฉาน ทั้งแห้งติดแผลและปรี่ๆ เพิ่งจะหยุด
“ทำไมรู้ว่าพี่อยู่นี่?”
เจ้าลอยรีบเล่า “อ้ายเปลี่ยนบอกฉันเมื่อสายนี่เอง”
“อ้อ!” มันพยักหน้าเข้าใจความ “ข้าคงสิ้นสติมันหามมาแต่ก็คงไม่รอด”
“โธ่-พี่ลือ อย่าพูดเป็นลางปากหน่อยเลย” ผันอ้อนวอน “ฉันขนของมาจากเรือนหมด จะอยู่เป็นเพื่อนรักษากว่าจะถึงวันพี่หาย”
มันเหลือบมามองเพียงน้ำคำผัน ก็พอจะรักษาแผลเจ็บได้มั่ง แต่หัวใจนั้นเผื่อนควักไปเสียแล้ว
ยิ้มกับผัน “ขอบใจเอ็งเหลือหลาย ผันเอ๋ย ทั้งบางเขนก็เห็นหน้าเอ็งเท่านั้น แหมข้าเหนื่อย ขอนอนสักงีบเถอะ”
ผันไม่ซักไซ้อีก และห้ามเจ้าลอยชวนพูด สักครู่ลือก็หลับสนิท เมื่อผูกเปลให้อ้ายแดงนอนแล้ว ผันก็ต้มน้ำช่วยกับเจ้าลอยชำระเลือดด้วยน้ำอุ่น และส่งเงินให้เจ้าลอยเอาเรือไปตลาดซื้อทั้งยาแผลและกับข้าวของกิน
เรือนปลูกในบางกอก หญิงแม่เรือนหากจะมีชาวบ้านใกล้รู้ว่าเป็นหญิงชนบทบ้านกูบแดงบางเขนแต่ชื่อบัวเผื่อนเพราะหู และทรวดทรงและผิวคล้ำขำๆ ก็งามพอตาผู้มอง ผัวรักมากไปไหนไปด้วย แต่สีหน้าหญิงนั้นคงแลเศร้าๆ เมื่อลับหลังผัว
บัวเผื่อนนั่งอยู่หน้าประตูห้องแม่ คอยผัวที่ไปรับหมอ เพราะยายบัวเจ็บมาเกือบเดือนยังไม่หายต้องเปลี่ยนหมอ เมื่อเห็นลูกเขยยังไม่กลับมาแกจึงเรียกบัวเผื่อน
“ข้าหนักใจอยู่อีกอย่างเผื่อน” แกเพิ่งจะพูดเรื่องนี้เป็นหนแรก “นึกห่วงนางผันกับเจ้าลอยเพราะสองเดือนมาแล้วไม่ได้ข่าวกันเลย ครั้นจะย้อนไปก็เผื่ออ้ายลือมันตายก็จะเกิดยุ่งกันหมด”
เหมือนสะกิดถูกแผลเก่าในใจเผื่อน ผู้ชายรักเมียแท้คงหาไม่ได้อีกเช่นนั้น ถึงนายอ่อนจะว่ารักก็เพราะมีเงินนอนกินสบายจึงพอหาสุขได้
“พี่อ่อนให้คนไปฟังข่าวแล้ว” เผื่อนเล่าเปรยๆ “เมื่อมาก็ผลุนผลันตกใจกันหมดถึงลืมมัน แต่-โธ่เอ๋ย! อ้ายแดง”
ข้าก็คิดถึงมันนัก แต่เจ็บอยู่อย่างนี้จะไปยังไง ข้าน่ะคิดถึงบ้านอยากกลับอยู่ทุกวัน ถึงยังไงไปตายบ้านช่องเราพวกพ้องก็ยังพอมีเป็นตีนมือช่วยวิ่งเต้นมั่ง”
เผื่อนรีบห้าม เพราะไข้ยายบัวนอกจากกระเสาะกระและทรุดลงทุกวันแล้ว ตัวแกยังกลัวตายอีกมาก
“อย่าพูดงั้นซีแม่ พี่อ่อนว่าหมอบางกอกเก่งๆ มีมากคงไม่เป็นไร”
“มันแล้วแต่กรรมเราหรอกลูกเอ๋ย” แกแข็งใจพูดไปอย่างท้อแท้ ลูกสาวนั้นชะเง้อมองที่รั้วประตูเพราะเสียงรถจอด
สามีบัวเผื่อนนำหมอขึ้นเรือนเมื่อชี้แจงเล่าอาการเจ็บของยายบัวให้ฟังแล้วก็ชวนภรรยาออกมาข้างนอกปล่อยให้หมอตรวจอาการอยู่ตามลำพัง
“แม่เผื่อนอย่าทุกข์ร้อนไปนักซีนะ” นายอ่อนปลอบภรรยาเมื่ออยู่เพียงสองต่อสองข้างในห้อง “จริงหรอกอาการเจ็บของแม่น่ะหนักอยู่เหมือนกัน หมอก็บอกว่าพื้นเดิมต้องตกใจมาก ฉันก็นึกว่าเห็นจะเป็นคืนนั้นเองแต่โรคพันนี้ต้องทำใจดีๆ และค่อยหายค่อยไปถึงจะได้”
ฟังสามีพูดถึงความคืนนั้น สะกิดใจเผื่อนขึ้นมาอีก หน้าเศร้าอยู่แล้วก็เศร้าหนักไปอีก และตอบไถลไปเสียเรื่องอื่น
“แม่แกอยากกลับบ้าน เพราะเป็นห่วงเจ้าผันและข่าวคราวก็ไม่รู้เรื่องกันเลย”
“อ๋อ! มะรืนนี้เจ้าเปลี่ยนจะมา เพราะฉันจ้างคนไปส่งข่าวบอกตำแหน่งแห่งที่เรียบร้อยแล้ว อย่าเป็นทุกข์ไปเลย เจ้าเปลี่ยนมามะรืนนี้ก็คงรู้ข่าวทางบ้านหมดหรอก”
เมียร้องไห้ เมื่อปลอบถามเซ้าซี้หนักเข้าเผื่อนจึงบอกความจริง
“ฉันเป็นห่วงเจ้าแดง เพราะพ่อเชื้อมันก็...”
“คงไม่ตายหรอกแม่เผื่อน” นายอ่อนรีบบอก “แต่พ่อแปลกนั่นตายแล้วเมื่อสัก ๗ วัน เห็นจะได้ เพราะเจ็บมากแต่คืนนั้นแล้วก็เสาะแสะเรื่อยมาและรักษากันเอาเอง”
เผื่อนกลับใจหายหนัก เพราะนายแปลกกับเจ้าลือก็เจ็บมากพอๆ กันและก็กลับถามไปอีกอย่างหนึ่ง
“หากเรื่องราวมันเงียบ และพี่ลือก็ตายแล้ว ฉันจะรับเจ้าแดงมา พี่อ่อนจะเห็นประการไร?”
“ได้ซีแม่เผื่อน” สามีรับรองแน่นหนา “ฉันก็ได้สัญญาไว้แล้วว่า จะรับอุปการะเลี้ยงดูตลอดอย่าเป็นทุกข์เลยข้อนั้น”
เผื่อนมองสามีอย่างขอบบุญขอบคุณ นึกหักหัวใจว่าหากพี่ลือจะสิ้นสูญไปแล้วจากทุ่งสองห้อง ก็ยังได้เจ้าแดงไว้ดูต่างหน้าเตือนให้ระลึกถึงความรักครั้งหลัง
หมอกลับออกมา สีหน้าหมอนั้นแบ่งรับแบ่งสู้ และเรียกนายอ่อนไปกระซิบสั่ง ทั้งกำหนดเวลาการรับประทานยาแล้วก็กลับเผื่อนกับสามีจึงเข้าไปในห้องของคนป่วยเพื่อพูดจาปลอบโยน
ย่างเดือน ๙ ฝนท้ายฤดูตกกระหน่ำเหมือนจะสั่งฟ้า ข้าวงอกที่หว่านกำลังตั้งห้อง และที่งอกรวงไปแล้วของนาอื่นก็มีมากที่แก่คอยฤดูเก็บเกี่ยวเจ้าของมันก็อิ่มเอมหัวใจ ส่วนผืนนามิได้หว่านก็เป็นนาอิ่มน้ำและโล่งเขียวไปด้วยพันธุ์หญ้างอกและพืชอื่น
ทุ่งสองห้องกำลังเป็นทุ่งข้าวที่ชูยอดไสวคอยอาบฝนและตากแสงตะวัน แต่เนื้อนาที่มิได้หว่านหน้ากระท่อมเก่าเล็กและหงอยเหงา เหมือนจะบอกแร้นแค้นยากจนแก่เจ้าของกระท่อมที่เพิ่งจะฟื้นตัวหายจากเจ็บเป็นปกติทรงชีวิตอยู่คร่ำครวญต่อไปกับทุ่งสองห้องเมื่อก่อนโน้น
ค่อนเพล ฝนขาดเม็ดสนิทแต่ฟ้ายังแลบไกลๆ ทางทิศบางกอก เจ้าผู้ชายที่นั่นนึกอะไรเพลินอยู่บนแคร่นอน ร่างกายมีแผลเป็นเลอะเทอะนวลอยู่แต่หน้า มองแสงแดดส่องทางช่องลมหน้าต่างแล้วก็รำลึกได้ว่า เมื่อต้นฝนมันยืนอิงขอบหน้าต่างลูกเมียนั้นหลับไหล อีกหญิงหนึ่งมันกล่อมเด็กเพลงวัดโบสถ์จนต้องห้ามปราม
และชั่วครู่ที่คิดนั่นเอง ถัดแคร่นอนไปทางเสากลางกระท่อม เพลงวัดโบสถ์ก็กล่อมลอยมาอีก อีคนกล่อมนั้นหัวเราะสีหน้าทะเล้น กวนตบ แต่ไม่อยากจะห้ามมัน ปล่อยไปจนจบ-ป่านฉะนี้จะโรยรา และเมื่อทอดเสียงสุดแล้วก็เจอตากัน
“ผันแกล้งข้าเร๊อะ” เจ้าคนฟังถามยิ้มๆ “ข้านะไม่ชั่วแต่โรยราอย่างข้าวโพดสาลีหรอก หัวใจมันถึงแห้งกรอบทีเดียว”
นังคนกล่อมเมินยิ้มแล้วหันมาเปรยให้ฟังว่า “นี่มันทุ่งสองห้องไม่ใช่วัดโบสถ์ แล้วจะเก็บมาคิดทำไมรึพี่ลือ จะนึกให้มันเป็นวัดโบสถ์เหมือนกล่อมเมื่อครั้งก่อนอีก”
มันกลับกวักมือ “มานี่แนะผัน อ้ายแดงหลับแล้วไม่ใช่รึ?”
“ทำไม? หลับแล้ว”
“พยุงข้าลุกให้เดินหน่อยเถอะ อยากยืนที่หน้าต่างจริงๆ”
“ก็ลุกเดินได้แล้วไม่ใช่รึ”
เจ้าลือหน้าเจื่อน ตอบหลบๆ
“พยุงดีกว่า ถ้าปล่อยแล้วเผื่อล้มไปอีกจะลำบากแก่ผันคนเดียว”
ผันลุกมาอย่างซื้อรำคาญ เข้าประคองตัวเจ้าพี่เขย แต่มันกลับยุดข้อมือให้นั่งลงเคียง
“อ้าว-” ผันทำเสียงเอ็ด หัวใจนั้นระแวงไปถึงคำมันที่เปรยอยู่เมื่อคืน “ก็จะลุกเดินไม่ใช่รึ?”
“เปล่าหรอกผัน พี่ลองใจเอ็งเล่นเท่านั้น นั่งคุยกันเถอะ” แล้วก็รั้งตัวผันลงจนได้ และย้อนเอาคำเก่ามาพูดถามอีก “เมื่อตะกี้เอ็งว่า นี่มันทุ่งสองห้องไม่ใช่วัดโบสถ์งั้นเร๊อะ”
ผันพยักหน้า “แล้วทำไม?”
ลืออมยิ้ม “ไม่ทำไมหรอก ข้าเห็นงามด้วยน่ะซี เพราะว่าทุ่งสองห้องก็เหมือนข้าเกิดสองหน บ้านก็มีสอง” มันชูนิ้ว แต่ผันกระเถิบตัวถอยร้อง “ฮึ”
“จะฮึอะไร?” ลือโอบตัวรั้งมาใกล้อีก “สงสัยรึที่ว่าข้ามีสองบ้าน เอ้าอย่าหลบหน้าพี่ซีผัน บ้านแรกก็บ้านนี้กระท่อมนี้แหละผัน แต่แม่เรือนเขาไปอยู่บางกอก แล้วทิ้งอ้ายลือให้เลือดนองอยู่คนเดียว ผันก็มาช่วยรักษาเนรมิตพี่ขึ้น บ้านนี้เป็นบ้านใหม่ ทุ่งมันก็สว่างแปลกตาเพราะบัวผันมาอยู่แทนแม่เผื่อนเมียแรกจะว่าไง?”
ผันหลบ “ไม่รู้” แต่ผันหัวใจสั่น เจ้าพี่เขยลือก็รัดและกอดแน่น หากจะเคยอยู่ร่วมและปฏิบัติรักษาพยาบาลมาใกล้ชิดก็ไม่เคยประหม่าเหมือนหนนี้ “ปล่อยเถอะ เดี๋ยวอ้ายลอยกลับจากตลาด”
“ไล่ให้กลับไปอีกก็ได้ แต่ปล่อยแล้วผันก็จะหนีฉันไปนั่งอยู่ห่างไกลกันนัก”
ผันรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ความขวยอายเมื่อสาวของผันก็จำต้องบ่ายเบี่ยง และหากมันจะเพิ่งรื้อตัวฟื้นจากไข้ ข้อลำก็ยังเป็นชายที่กำลังรัดผันไว้แน่น
มันกอดจูบผันเฉยดื้อๆ อย่างหลบไม่พ้น “ผัน ถ้าพี่ไม่ได้เอ็งก็คงจะตายไปแล้วในกระท่อมคนเดียว แต่ถ้าพี่ไม่ได้เอ็งต่อไปอีกก็คงไม่พ้นตาย เอ็งเคยขี่คอข้ามานะผันนะ”
ผันแอบหน้าซ่อนพูดเสียงเครือ “ก็แล้วมันไปเกี่ยวอะไรเล่า”
“อ้าว บัวผัน” ลือหัวร่อชอบใจ “พี่เป็นคนรักเมียมาก ทั้งกลัวเกรง ขอให้ดูแม่เผื่อนเป็นตัวอย่างเถอะ และเอ็งขี่คอพี่นั่นแหละ นึกไม่หายเชียว ผันเอ๋ย หรือมันจะเป็นลางนึกเมื่อโน้นก็ไม่รู้ ว่าถ้าพี่ได้บัวผันเป็นเมียก็เห็นจะขี่คอเสียอีกคนตลอดชาติ”
ถ้าเป็นปากอื่นพูด ผันจะไม่เชื่อเลย แต่เท่าที่รู้ที่เห็นผู้ชายอย่างเจ้าลือมันพูดจริงทุกอย่าง หากผันแสร้งปักหน้าไปว่า
“มุสา ปากผู้ชายน่ะ ฟันในปากยังมีซี่น้อยกว่าโกหก”
“เอ้อ พี่จะโกหกละว่าเกลียดบัวผันของพี่ เงยหน้าเถอะ ประเดี๋ยวอ้ายแดงตื่นจะให้มันกินนม”
ผันร้องเอ็ด “บ้า ฉันไปตกลงปลงใจเมื่อไหร่?”
“เอ็งน่ะว่าไว้ต่างหาก แต่พี่ตกลงแล้ว อีกประการบัวผันก็รับปากไว้นานแล้ว แต่เมื่อแรกว่าจะรับเลี้ยงอ้ายแดงเป็นลูกใช่ไม๊ล่ะ?”
“แล้วเกี่ยวอะไรกะพี่ลือ ถึงได้ยกเอามาอ้าง”
มันหัวเราะก๊ากที่บัวผันหลวมตัว “ก็ข้าเป็นพ่อมันนี่ผัน และเมื่ออ้ายแดงมันมีแม่ พ่อกะแม่จะเป็นอะไรกัน”
“เป็นผัวเมียกัน แต่แม่อ้ายแดงอยู่บางกอก”
“ซัดไปโน่น” ลือว่า “ก็แม่เลี้ยงกะพ่อตัวน่ะไม่ใช่ผัวเมียกันหรอกรึ”
ผันแพ้ที่จะเถียงต่อไปอีก ร่างสาวของมันก็ถูกกกกอดหัวใจเคลิบเคลิ้ม ลักยิ้มต้องจมูกมันอยู่ไม่ห่าง คนเจ็บที่เพิ่งฟื้นตัวหายใหม่ๆ มันสมนาคุณเจ้าเสียแล้ว คนที่เคยไม่ลงรอยและขี่คอมันได้ เรียกค่าปรับแก่เจ้าทุกข์อย่างมันจูบเสียละเอียดลออกระทั่งนิ้วก็จาระไนไปทั้งสิบ แล้วผันก็เคลิ้มไปว่าทุ่งสองห้องและกระท่อมน้อยนี่เป็นห้องสวรรค์ที่น่าหลับไหลลืมตื่น
กระทั่งเจ้าลอยกระหืดกระหอบเข้ามา เมื่อแรกมันชะงักที่ประตูเพราะเห็นเขากอดกัน พอผละกันเจ้าหนุ่มลอยที่เพิ่งกลับจากตลาดก็กรากมาที่แคร่
“มาแล้ว”
“อะไรมาวะ อ้ายลอย?” ลือหายฉุนที่เจ้าลอยเข้าขัดคอและพูดไม่รู้เรื่อง
“แม่” เจ้าลอยตอบห้วน “แม่มาเจ็บหนักอยู่ตั้งแต่วานซืน พี่อ่อนพี่เผื่อนก็มาด้วย”
ทั้งผันและลือตกใจไม่น้อยกว่ากัน แต่เจ้าลือมันก็คิดว่าแผลหายแล้ว เมื่อจะรบกันอีกเพราะเรื่องบัวผันมันก็เสี่ยงชีพ
“เจ็บเป็นอะไร” ผันถาม “แล้วใครบอกเอ็ง รึไปบ้านมา”
“อ้ายเปลี่ยนบอก มันว่าหนักมาก ร่อแร่อยู่เทียว”
“อือ แม่ผันควรจะไปเยี่ยมด้วยซี” ลือหันมาบอก “ฉันน่ะเห็นจะไปไม่ได้หรอก ถึงจะหายแล้วเดินเหินได้ แต่เมื่อไปพบหน้ากันเข้าก็คงจะบ้านแหลกแน่”
คนล่วงประตูมาก่อนเป็นเจ้าเปลี่ยน ผันและลือก็แปลกใจที่เจ้าเปลี่ยนกลับมา แต่แล้วกลับแปลกใจอีกที หญิงงามนุ่งซิ่นแต่งตัวบางกอก
มันถลันยืนใจเต้นระทึก ที่เห็นหญิงบางกอกคือบัวเผื่อน หลักฐานของเผื่อนที่เคยอยู่ร่วมกระท่อมนุ่งผ้าขาดอดอยากมาด้วยกันนั้นเปลี่ยนไปหมด ทั้งแหวนทองเครื่อง ประดับและผ้าผ่อนสมควรผัดหน้านวลมากกว่าเดินทุ่งมาเยือนกระท่อมเล็ก
เผื่อนสิ้นอายคนอื่น วิ่งผวามาถึงกอดตีนมันร้องไห้ หากผัวเก่าจักมีชีวิตอยู่ แต่ความยากแร้นแค้นก็คงเป็นอยู่เช่นเดิมเหมือนอ้ายลือทุ่งบางเขนเมื่อก่อน
กราบตีนเจ้าลือแล้วก็ลุกนั่งที่แคร่ “พี่ลือ”
เผื่อนเรียกไม่สิ้นสะอื้น “เพิ่งรู้ว่าพี่ไม่ตาย ฉันมารับผิดและสารภาพตลอด”
“แล้วเจ้าอ่อนเขาไปไหน?”
“ไม่กล้ามา” เมียเก่ามันตอบหลบๆ “พี่อ่อนให้ฉันมาลุกะโทษพี่ก่อน แล้วเขาจะมาเองอยากจะมารับพี่กับผันไปเยี่ยมดูใจแม่ เพราะทำไงก็คงไม่รอดไปถึง ๒ คืน อ้ายแดงอยู่ไหน?”
ลือถอนใจใหญ่มองเผื่อนเมียเก่า และน้าเจ้าแดงแล้วชี้ไปในเปล
“หลับอยู่ในเปล”
เผื่อนตรงมาหาลูก จะ ๓ เดือนอยู่แล้วเจ้าแดงเอ๋ยที่แม่ทิ้งไป หน้ามันหลับแก้มเป็นพวง เค้าพ่อเสือบ้านบางเขนถอดไว้เป็นแบบเดียว แล้วเผื่อนก็อุ้มอ้ายแดงขึ้นชมเชยทั้งหลับๆ จูบเจ้าแดงครั้งไร ก็รำลึกจิตผูกไปฝากพ่อมันทุกครั้ง
จนบ่าย เผื่อนเจ้ากลับไปก่อนและขอรับเจ้าแดงไปและความอื่นในกระท่อมเล็กที่อ้ายลอยแอบเห็น เผื่อนก็รู้หมดและก็แสนที่จะดีใจ เพราะผัวเก่าจะได้เพื่อนทุกข์ไว้แทนตัวและก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นน้าแท้ของอ้ายแดง
เจ้าเปลี่ยนเจ้าลอยเดินนำไปลิบๆ ผันชะแง้หน้าต่างกระท่อม แต่หญิงบางกอกกับคนบ้านทุ่งผัวเก่าเมื่อโน้นเดินคู่กันมา เมียอุ้มลูกส่วนเจ้าผัวตั้งใจจะตามส่งจนสุดเขต
พอสุดเขตจะเข้าหมู่นาข้าวของคนอื่น ลือชะงักตะลึง เผื่อนก็หนาวใจ มองหน้ากันเพราะหญ้าเขียวขึ้นเป็นแปลง
มันชี้มือบอกเมียเจ้าอ่อน “รอยไถ”
เผื่อนน้ำตาคลอ สะอื้นแล้วก็ร้องไห้กอดลูก
“นาผืนนี้ ฉันจะขอพี่อ่อนให้แก่พี่ตลอดแต่แปลงนี้ พี่ลือต้องหวงไว้อย่าลงข้าวเลย”
“พี่จะปลูกข้าวโพดสาลีนะ เผื่อน”
ฟังมันพูด เผื่อนก็รำลึกทุกสิ่งทุกอย่างร้องไห้จนแทบจะสิ้นน้ำตา แล้วเจ้าลือก็ชวนเดินต่อไปจนสุดรอยหญ้าเขียว
แล้วสองผัวเมียก็คุกเข่าลง มือหนึ่งของเจ้าผู้ชายสั่นแซะลงไปในดินนุ่ม มือหญิงที่สั่นกว่าหยิบไม้หัวผาลหักดึงขึ้นพ้นดิน
“ขอให้พี่ไปบูชาไว้เถิด แม่เผื่อน”
เจ้าสั่นหน้า “พี่ได้เนื้อนาไว้ปลูกข้าวโพดสาลีแล้ว ฉันขอแต่ผาลหัก จักเลี่ยมไว้บูชา เก็บไว้ให้อ้ายแดงเมื่อโต”
“ถ้างั้น นาข้าวโพดสาลี พี่ก็จะโอนโฉนดให้อ้ายแดงเมื่อโตเป็นหนุ่มเหมือนกัน” แล้วมองหน้าบัวเผื่อนที่นองน้ำตา
“เผื่อน อ้ายแดงคนเดียวแท้ที่มันจะเป็นองค์พยานของเผื่อนและพี่ไปเมื่อหน้า เรามาจูบอ้ายแดงพร้อมๆ กัน”
จมูกพ่ออยู่ซ้ายแก้มอ้ายแดง น้ำตาพ่อมันไหลอาบแม่ที่จูบแก้มขาวเล่าก็สะอื้นไม่ขาดเสียง
ลือขบฟันกรอด สักร้อยแผลที่ถูกฟันยับนั้นเจ็บอยู่แต่ข้างนอกเนื้อ แต่ใจนั้นปวดดังฝีกลัดหนอง
พูดข้ามไปแก้มขวาอ้ายแดง “เผื่อนพี่จะขอจูบเผื่อนตรงรอยไถ”
“เชิญ-และเมื่อเผื่อนจะสิ้นใจตายก็จะขอรำลึกถึงรอยไถนี่ถัดไปจากพระอรหันต์”
แล้วคนบ้านทุ่งสองห้อง ก็ข้ามแก้มอ้ายแดงไปจูบหญิงบางกอก หัวใจก็จดจ่อไปว่าจูบเผื่อนเมื่อโน้น แม่เจ้าแดงนั้นจูบตอบ ไม่นึกรังเกียจว่าเป็นชาวนา นอกจากผัวเก่าพ่อเจ้าแดงแล้วก็ยืนพร้อมกัน
เพราะเจ้าลอยและเจ้าเปลี่ยนเดินย้อนมาอีก เห็นพ้นนาเข้าครึ่งตัวชี้มือชี้ไม้ แต่ก็ว่าประหลาดที่มีคนตามหลังมาอีกคน
พอใกล้ เผื่อนก็บอกแต่เสียงปร่าไม่ปรกติ
“พี่อ่อน”
ลือหัวเราะ “คงจะมาตามเมียเขาเพราะกลัวฉันจะทำชู้”
เผื่อนหยิกมันให้สมกับปากกล้า “อย่าอวดดี อีกหน่อยก็ลืมเก่าหรอกเพราะได้ใหม่”
“เอ๋”
“ไม่ต้องเอ๋ อ้ายลอยบอกว่ากอดเจ้าผันออกกลมดิก”
เจ้าลืออายเมียมันเอง ทำไม่งามให้เด็กเห็นก็เหมือนก่อไฟที่ยากจะห้ามควันได้ ครู่นั้นนายอ่อนก็มาถึงตรงเข้ากอดเจ้าลือ
“ฉันผิดมาก พ่อลือ”
มันกอดตอบศัตรู “ผิดด้วยรักแท้ฉันไม่ว่า เพราะเมื่อเผื่อนอยู่กับพ่ออ่อนรักใคร่กันดีแล้ว ก็ต้องได้จำเริญกว่าฉัน”
ชู้น้ำตาคลอ ลูกผู้ชายที่หายากลำบากตลอดบางเขน มิตรดีที่สุดคือศัตรูเก่าที่หวนมารักกัน
“อย่าว่าดูถูกเลย ฉันโอนนานี่ให้พ่อลือหมดแล้ว เอ้า! โฉนด”
“หือ” ลือจ้องม้วนกระดาษแปลกหัวใจ
“โฉนดนาผืนนี้รึ?”
“ถูกล่ะ” นายอ่อนหัวเราะ “ฉันปรึกษากับแม่เผื่อนตั้งแต่เมื่อคืน ส่วนควายหรือเครื่องทำกินอื่นนั่น แล้วฉันจะส่งมาให้ขอให้เสร็จธุระเสียก่อน เพราะฉันจะเลิกนาขึ้นบางกอกทำมาหากินอย่างอื่น แล้วอยากจะขอเจ้าแดงไปเป็นเพื่อนเหงาแม่เผื่อนทั้งจะได้สิ้นโง่เมื่อโต”
ลือตื้นหัวใจ หากเผื่อนจะผิดไปแล้ว แต่ความดีของเผื่อนและนายอ่อนก็ฝังหัวใจมันไม่หาย เมื่อรับม้วนโฉนดมาแล้วก็ออกปากอนุญาตตามคำขอ
แต่อ้ายลอยเจ้ากี้เจ้าการ ไปตามบัวผันมาอีกคน พอถึงบัวผันก็ถามว่า
“พี่ลือ-พี่เผื่อนเรียกฉันรึ?”
เผื่อนกับลือแปลกใจ “เปล่า” พร้อมๆ กัน
“งั้นอ้ายลอยหลอกข้า” ผันชี้หน้าเจ้าลอยแล้วกรากจะจิกหัว
ลอยหลบแอบเผื่อนหัวเราะลั่น “ก็ไปเหงาอยู่คนเดียวทำไมเล่า ใครๆ เขาก็มาพร้อมกันอยู่นี่ทั้งนั้น”
เจ้าลือห้ามปรามแล้วก็พูดกับนายอ่อนเก้อๆ ชี้มาที่ผัน “ฉันจะแต่งเมียสักคน”
“บ้าแล้ว” ผันอายตะโกนว่า แล้วหลบไปยืนใกล้พี่สาว “ปากบ้าไม่สิ้น”
นายอ่อนเพิ่งทราบเรื่องก็ยินดีออกหน้า “เหมือนยังนึกเทียวพ่อลือ ผ่าเถอะนึกไว้จริงๆ ด้วย เอาแหละฉันช่วยเต็มที่เงินทองเป็นของฉันเอง”
ผันแทบจะแทรกเดินหนี เพราะอ้ายลอยคนเดียวที่มาฉีกหน้า จึงไม่มีอะไรที่จะดีกว่าเขกหัวเจ้าลอยจนเจ็บมือ
ทั้งสองฝ่ายจะแยกกัน เพราะเผื่อนและนายอ่อนห่วงยายบัวที่ฝากเพื่อนบ้านไว้ และหมอกำลังประคับประคอง
“ฉันลาพ่อลือ ถ้าไงพรุ่งนี้จะให้เจ้าลอยมาแต่เช้า”
“เชิญ” ลือรับไหว้แต่เจ้าเผื่อนลาอย่างแสลงหัวใจ
“ลาหละน้องลือ อ้ายแดงจะนอนกับป้าคืนนี้”
ลือตะโกน “แม่เผื่อน-เอ้”
ผันก็ตะโกนตาม “พี่เผื่อนจะบ้ากันยกใหญ่”
“เออ! ข้าบ้า-รีบกลับไปเถอะเดี๋ยวฝนจะลง” แล้วก็ส่งเจ้าแดงให้นายอ่อนอุ้มเดินเลี้ยวหลีกไปตามนาข้าว
เหลือกันเพียงสอง ลือมันก็ชี้เขตให้ดู “นาอันนี้ข้าจะไถไว้ปลูกข้าวโพดสาลีให้ผันกล่อมลูก”
“เห่อสิ้นดี เขายังไม่ทันจะตกลงเลยเดี๋ยวเถอะจะหัน”
“หนีเข้ากระท่อมน่ะ ข้าไม่ว่าอะไรหรอกผัน เอ้อ! ฝน”
ลือชี้เมฆครึ้มและพายุพัดปลายไม้โน้นให้ดู “รีบกลับเถอะหน้าต่างประตูยังไม่ได้ปิดทั้งนั้น”
“จะปิดทำไม-พิลึก”
มันหัวเราะ “อ้าว! พี่พูดเรื่องฝน เอ็งมันระแวงใจไป เอ็งนี่ล่ะ แต่ก็เตือนข้าดี”
ผันหยิกมัน แต่ลือเดินกอดคอประคองบัวผันหัวเราะต่อกระซิก บัวผันที่จะอยู่เป็นเพื่อนทุกข์ค้างกระท่อมมันตลอดคืนนี้แล้ว จะได้ตบแต่งเป็นเมียร่วมกันตลอดไปแทนแม่เผื่อน
พายุมืดพัดไล่หลังมา ทั้งสองที่กอดคอเดินต่างก็เร่งฝีเท้า พอย่างล่วงประตูกระท่อม ฝนก็ปรอยแลเทหนักอย่างสั่งฟ้า เป็นองค์พยานของเจ้ารักงามทุ่งสองห้องบางเขน
จบบริบูรณ์
.
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 11,133
Re: นวนิยายเรื่อง รอยไถ บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม
«
Reply #5 on:
23 October 2025, 16:18:01 »
หนังสือนวนิยายเรื่อง รอยไถ ของ ไม้ เมืองเดิม
.
Logged
Pages:
[
1
]
« previous
next »
SMF 2.0.4
|
SMF © 2013
,
Simple Machines
| Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.17 seconds with 20 queries.
Loading...