Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
01 November 2025, 06:03:27

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  อมตะนิยายเรื่อง ทหารเอกพระบัณฑูร บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: อมตะนิยายเรื่อง ทหารเอกพระบัณฑูร บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม  (Read 632 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 23 October 2025, 14:51:08 »

อมตะนิยายเรื่อง ทหารเอกพระบัณฑูร  บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม


https://vajirayana.org/%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%B9%E0%B8%A3

https://vajirayana.org/ทหารเอกพระบัณฑูร

ทหารเอกพระบัณฑูร

...................................

นวนิยายเรื่อง ทหารเอกพระบัณฑูร  บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม





๑.

https://vajirayana.org/%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%B9%E0%B8%A3/%E0%B9%91

https://vajirayana.org/ทหารเอกพระบัณฑูร/๑



เมื่อคืนนี้ เดือนหงาย แม้ว่าจะเป็นเดือน ๙ มีฝนลงชุก แต่ขณะยามเช้ารุ่งมาแล้วนี้ ฟ้าก็ปลอดโปร่งดี เพราะฝนตกเมื่อใกล้รุ่งเหมือนขจัดเมฆ จึงยามเมื่อรุ่งอรุณทั้งต้นและปลายฟ้าก็ปลอดเมฆ เขียวโปร่งจักมีขาวสลับเพราะต้องแสงตะวันบ้างนั้นแล้วเล็กน้อย

ในราชสำนักสมเด็จพระมหาอุปราชเจ้าฟ้าธรรมธิเบศ พระราชวังบวรแห่งศรีอยุธยา กรุงหลวง ถัดพระที่นั่งหลังใต้ อันมีนามพระพิมานรัตยา ก็ถึงเขตเรือนมหาดเล็กตัวเอก ซึ่งทรงปรารถนาพระทัยไว้ว่า แม้เมื่อใดพระองค์ท่านได้เสวยราชสมบัติผ่านพิภพศรีอยุธยาแล้ว ทหารนี้อันเป็นมหาดเล็กข้าหลวงสนิทที่จงรักและกอปรด้วยฝีมือเป็นยอดทหาร ทั้งรู้พระตำรับพิขัยสงครามลึกซึ้งเกินกว่าวัยหนุ่มนั้น เป็นที่พระกลาโหมเจ้าศึก

ไม้ประดู่เคียงคู่อยู่เกินหน้าเรือนมหาดเล็กบุรุษโปรดผู้นั้น แม้จะสดชื่นได้ฝนใกล้รุ่งแต่เช้านี้ แต่ประดู่คู่ช่างยืนเหงา ยิ่งเพ่งก็ยิ่งเหงาด้วยสงัดลมอันชวนใจเจ้าหนุ่มข้าหลวงผู้เสร็จซ้อมฝีมือทหารแล้ว และนั่งเพ่งประตูอยู่ให้สังหรณ์เหมือนมีทุกข์ว่าจะเกิดแก่ตัวและราชวงศ์ท่าน โดยหวาดไปเอง คิดไปเอง และตรองไปหนักหนาว่า เมื่อคืนมีพระบัณฑูรรับสั่งว่าจักต้องตามเสด็จไปพระราชวังโดยราชโองการ ก็ศัตรูพระบัณฑูรเหลือหลาย นับแต่ลงพระอาญาแก่เจ้ากรม ปลัดกรม ตลอดนายเวรของเจ้าต่างกรมทั้งสาม พระองค์อันเป็นญาติพระวงศ์ต่างชั้นชนนีแล้ว ก็ทรงอาฆาตแก่กัน แต่กูสิ สมเด็จพระบัณฑูรทรงชุบเลี้ยงมานานนัก ครั้งเมื่อรุ่น หากจะเกิดภัยถึงพระองค์ท่าน หลวงกลาโหมราชเสนาก็ต้องรบถึงชีวิตถวายกตัญญู

แล้วหลวงกลาโหมทหารยอดฝีมือก็เลยหัวเราะขันใจตัวเองที่คิดอุตริ ด้วยพระบัณฑูรท่านเป็นราชโอรสพระองค์ใหญ่ ผ่านราชสมบัติเป็นมหาอุปราชแล้ว ภัยใดเล่าจักเกิดมิเห็นเลย ทั้งพระธิดาและพระโอรสก็เป็นที่สนิทเสน่หาแก่สมเด็จเจ้าฟ้าซึ่งเป็นพระอนุชาพระมหาอุปราชทั้งสององค์ เราสิ ก้มหน้าตามมีพระบัณฑูรไว้จักกินตำแหน่งกลาโหมเมื่อผ่านราชสมบัติ จึงจำต้องฝึกฝีมือเป็น​ยอดขุนพลทั้งรบและพระตำรับพิชัยสงครามให้สมแก่ตำแหน่งครองไพร่พลทั้งหลายสู้ศึก จึงอำนาจใดเล่าเว้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวราชบิดาท่านจักมาก่อภัย ที่แว่วๆ รู้อยู่ให้หนักหนาไปได้ แต่ถ้าจะมีหลวงกลาโหมก็ต้องรบจนสุดฝีมือ

ขณะนั้น เบื้องหน้าอันเป็นเขตเรือนพระราชทานท้ายสวนพระที่นั่ง มีอิสตรีหลายคนเดินล่วงประดู่คู่มาชวนฉงนใจนัก บุรุษหนุ่มกลาโหมราชเสนาจึงเพ่งสักครู่หนึ่งก็ตระหนักใจตัวพร้อมด้วยมหัศจรรย์ยิ่ง เพราะแม่ข้าหลวงพระองค์หญิงพระธิดาท่านกับนางบ่าวสามสี่คนเดินเร่งร้อนกวาดตาเหม่อไปทางสนามฝึกฝีมือ

จนอีกครู่หนึ่ง เมื่อเหลือบเห็นแล้ว ข้าหลวงงามแม่นั้นก็มุ่งมาหาโดยร้อนรน สาวเท้าเร่งจนหลวงกลาโหมหลากในกิริยานั้น พลอยกังวลใจเพราะข้าหลวงแม่มิใช่อิสตรีสาวอื่น ด้วยหมายมั่นผิว์สมเด็จพระบัณฑูรซึ่งทรงทราบระแคะระคายแล้ว จักรับสั่งถามเมื่อใดก็จะขอพระกรุณาทูลให้ทรงทราบถึงความรักปรารถนาตัว

“พี่เดือน” ข้าหลวงแม่ยกมือเคารพ ขณะถึงและเอ่ยเรียกชื่อเดิม “เสร็จกิจพี่แล้วด้วยฝึกฝีมือทหารมิใช่หรือ”

ข้าทหารพระบัณฑูรที่เพิ่งได้รับพระราชทานยศเป็นหลวงกลาโหมราชเสนา รับเคารพแล้วยังเพ่งด้วยความพิศวงใจ

“สิ้นธุระแล้วละ ยมโดย แม่เอ๋ย ธุระแม่มานี่คงจะร้อนหนักกระมัง ดูหน้าตาตื่น”

หญิงแม่ข้าหลวงค้อนให้น้อยหนึ่งด้วยสถานเคยแก่กัน เหลียวดูนางบ่าวเห็นนั่งรวมอยู่ห่าง ก็ตอบว่า

“พี่เดือน ก็ข้าพระบัณฑูรท่าน รู้ขนบอยู่ ก็ไยเล่าจะมาถามย้ำ ยมโดยนี้เป็นข้าหลวงพระธิดา ท่านพระองค์หญิง และนี่เป็นเรือนบุรุษ ผิว์ว่าไม่มีรับสั่งมาด้วยกิจ แล้วจักแส่มาเอง มิอับอายหรือ มิต้องราชทัณฑ์ท่านหรือ”

ผู้ครองตำแหน่งออกกลาโหมพระมหาอุปราชเผยอยิ้ม ด้วยรักงอนเชิงแม่นัก ลืมถึงกิริยาอันแผกชวนสงสัยเมื่อครู่ที่แรกเห็นนี้แล้ว จึงกล่าวว่า

“แม่เอ๋ย ยมโดยพกแต่โทสะเสียยามเช้า ฉะนี้ได้เคืองใจใครเล่า และที่มาด้วยกิจรับสั่งท่านด้วยข้อใด”

“พระองค์หญิงมีรับสั่ง” นางข้าหลวงตอบตรงๆ “ทรงกำชับว่าเป็นธุระร้อนด่วน แม้พี่เดือนยังภักดีแล้ว ขอจงไปเฝ้าให้ได้”

บุรุษหนุ่มข้าพระบัณฑูรยิ่งเพ่งสาวงาม แม่ชู้ซึ่งเคยสนิทซ่อนรักซ่อนใคร่นึกไปต่างๆคดี แล้วก็พึมพำแก่ตัวและย้อนนางว่า

“พระองค์หญิงมีรับสั่งให้หา เอ ก็ด้วยกิจใดที่ท่านร้อนอยู่ แม่ทราบบ้างหรือไม่ อนึ่ง สักครู่ สามสี่โมง ฉันก็จะต้องตามเสด็จพระบัณฑูรท่านไปสู่พระราชวังหลวงด้วยมีพระราชโองการ”

เจ้าจึงพยักรับเอา พักตร์แม่เผือดก็ยิ่งเผือด ตอบขาดเป็นห้วงเป็นตอน

“ทรงทราบแล้วน่ะสิ หลวงกลาโหม พระองค์หญิงจึงได้เร่งฉันมาตามเพื่อให้เฝ้าเสียก่อนโดยเสด็จ และขอให้ไปเดี๋ยวนี้เพราะร้อนพระทัยอยู่”

กลาโหมก็ยิ่งร้อนใจนัก ทั้งสงสัยคิดไปต่างๆข้อหลายประการ อันพระองค์หญิงพระธิดานี้ หากจะเป็นเสมอพระธิดาสนมหม่อมรอง ก่อนจะได้สถาปนาเป็นพระมหาอุปราช ด้อยศักดิ์กว่าพระโอรสและพระธิดาอื่น แต่ความจงรักต่อพระบัณฑูรนั้นยิ่งนักหนา และสนิทชิดชอบกับเดือนมหาดเล็กผู้เป็นตำแหน่งกลาโหมเมื่อเร็วๆนี้ มิได้ถือพระองค์ แล้วจึงกล่าวเชื้อเชิญว่า

“กระนั้น เชิญยมโดยแม่ในเรือนพักเสียก่อนสักครู่ เพราะพี่จะแต่งตัวเมื่อเฝ้าพระองค์หญิงแล้วจะเลยไปคอยเสด็จที่ประตูทิม”

“ฮึ พูดอย่างไรอยู่นะ พี่เดือน” ข้าหลวงพระองค์หญิงขำเลืองตอบด้วยมีกิริยาเขินอาย “บนเรือนกลาโหมสิ ล้วนแต่บุรุษทั้งสิ้น และนี่ก็ลอบมาเพียงรับสั่งพระองค์หญิงเท่านั้น จะขึ้นไปกระไรอยู่ ผิว์ใครพบแล้ว พี่สิจะพลอยโทษ รู้ไหมเล่า”

บุรุษก็ถอนใจใหญ่เหมือนท้อใจที่จะเอาชนะแม่ ด้วยถ้อยคำข้าหลวงแม่ช่างดักช่างรู้ไปเสียสิ้น ก็เลยได้แต่ถือหัวเราะและขยับสบตาแม่ข้าหลวง

“กระนั้นจะทำฉันใดเล่า หรือจักกลับก่อนทูลพระองค์ท่านว่า เพียงอีกสักครู่หนึ่ง พี่แต่งกายแล้วก็จะไปเฝ้าเสียโดยเร็ว”

“สมควรอยู่หนัก เพราะพระองค์ท่านทรงดูกังวลมาก และตื่นบรรทมเช้าผิดเคย พอสระเสร็จ ก็รับสั่งให้มาตามทีเดียว อย่ามัวประดิดประดอยแต่งให้ข้าอยู่นักเล่า”

​กลาโหมหัวเราะร่วน ค่อยลดเสียงเกือบกระซิบ ได้ยินเฉพาะอยู่แต่แม่ข้าหลวงเท่านั้น มิถึงหูบ่าวเบื้องหลัง

“แม่เอ๋ย ช่างค่อนนัก พี่หรือเป็นผู้ชอบประดิษฐร่างโอ่ด้วยเครื่องแต่งตัวแต่ไหนแต่ไรมานานแล้ว มิเห็นหรือ ทหารหรือจักใฝ่งามมาใส่ตัวจนเสียกิจอื่น”

“โอ๋ พ่อหลวงกลาโหม” เป็นครั้งแรกที่สาวแม่ยิ้ม แม้จักซ่อนงอนดังหยันคำทหาร “ทราบแล้วว่ากลาโหมท่านเป็นทหารกล้าสมเด็จพระบัณฑูรชอบอยู่แต่ณรงค์สงคราม ก็แต่ว่าพ่อเดือนเมื่อก่อนหากไปไหนก็แต่งตัวเพียงกระนั้น ทั้งรวดเร็ว ไม่สู้โอ่ ตั้งแต่เป็นหลวงมีศักดิ์มา ใครเขาย่อมสังเกตพ่ออยู่ว่าแป้งก็ไม่ขาดหน้า และคงจะเสกเป่าเป็นเสน่ห์ด้วยพระมนตร์ขลัง จึงดักคอไว้ให้รู้ เอ้า อย่าชักช้าเลย เร่งไปแต่งกายเถิด ฉันจะกลับก่อน”

“เชิญยมโดยแม่กลับเถิด แล้วทูลพระองค์ท่านว่า สักครู่เดียว ขอแต่งตัวเพราะจะเลยไปเฝ้าสมเด็จท่านด้วย อย่าวิตกว่าจักช้าเลย เพราะแต่งตัวของกลาโหมไม่โอ่อื่น ด้วยมียมโดยแม่แล้ว เป็นที่สุดแห่งหัวใจมิแส่หา”

“แน้ พูดพิลึก” สาวพลั้งแสนอาย ด้วยกลาโหมโลมคำเสียซึ่งหน้า แต่ก็มิวายจะกลั้นยิ้มแย้มแล้วโบกมือไล่ “เร็วเถิด อย่ามัวชะล่าสิ้นอยู่ มิกลัวหลังลายหรือ ไปรีบแต่งตัวเสียดีกว่า”

แล้วสาวยมโดยแม่ต้นพระตำหนักก็หันให้หลังออกเดิน เพราะหากจะขืนยืนก็เกรงว่าหลวงหนุ่มพ่อชู้จักหลงเพลินชวนสนทนาอีกให้ป่วยการแก่เวลา แม้กระนั้น เมื่อออกเดินนำบ่าวไปแล้ว กระทั่งจะถึงไม้ประดู่คู่ ก็มิวายเหลียวอีกครั้งหนึ่ง แม้จักค้อนให้แต่โดยไกลก็ฝากยิ้มอยู่ในหน้า เพราะออกกลาโหมนั้นยังตรึงกอดอกยิ้มอยู่ มิได้กลับสู่เรือนแต่งกาย กระทั่งพ้นร่มประดู่จะเลี้ยวแล้วจึงเห็นทหารสมเด็จพระบัณฑูรให้หลังกลับขึ้นเรือนลับร่างไป ยมโดยแม่ข้าหลวงจึงเร่งสาวเท้าสู่พระตำหนัก

ยังเป็นยามเช้าแสงตะวันเพิ่งเรืองๆ มิจัดจ้า ส่องสวนท้ายพระตำหนัก ซึ่งพระองค์หญิงประทับเงียบอยู่ลำพัง พระพักตร์มีรอยเศร้าหมองด้วยปริวิตก แม้พระองค์ท่านจักเป็นแต่พระธิดาน้อยเพียงหม่อมห้าม แต่สมเด็จพระบัณฑูรก็ทรงปรานีอยู่ ด้วยเจียมพระองค์ภักดีอยู่หนักหนา ทรงตระหนักในกตัญญูของพระธิดาองค์น้อยที่กำพร้าตั้งแต่เยาว์ยังมิได้ทรงสถาปนาเป็น​พระมหาอุปราช

ประทับอยู่ลำพังพระองค์ ไร้นางข้าหลวงและบ่าวไพร่ เพราะต้องพระประสงค์ให้เป็นลับแก่การ และขณะที่ทรงตรึกอยู่ด้วยข้อวิตกนั้น จึงพลันเหลือบพบข้าหลวงแม่ยมโดยเร่งร้อนมาถึง รับสั่งถามว่า

“อย่างไร ยมโดย พบพ่อเดือนกลาโหมหรือเปล่า”

แม่ข้าหลวงรับคำ และกราบทูลตอบว่า

“ออกหลวงกำลังแต่งตัว เพราะเมื่อมาเฝ้าแล้วจะต้องตามเสด็จทูลกระหม่อมแก้ว”

ทรงถอนพระทัยใหญ่ โบกพระหัตถ์ไล่บ่าวให้ไปบอกข้าหลวงอื่นนำเครื่องจัดมาถวายแล้วจึงรับสั่งปรารภในพระวิตก

“ศัตรูทูลกระหม่อมแก้วนี้มากนัก พระองค์ท่านก็ตระหนักพระทัยอยู่ดี อนึ่ง มิได้เฝ้าเหินห่างทูลกระหม่อมปู่มาช้านานแล้ว ยมโดย เจ้าจะคิดอย่างไรบ้าง ในเมื่อมีราชโองการให้เจ้าจอมจันทน์มาทูลเชิญเสด็จเช่นนี้”

“คงจะเป็นราชกิจส่วนพระองค์” แม่ข้าหลวงกราบทูลเชิงปลอบพระทัย แต่ยมโดยก็ได้แว่วๆ แก่ข่าวอยู่ “หม่อมฉันเห็นมิมีจะผิดอื่นไปกว่าทรงรำลึกถึงทูลกระหม่อมแก้ว เพราะประชวรเสียมิได้ขึ้นเฝ้า”

“ฮือ เจ้ายมโดย” ทรงขึงพระพักตร์ค้อนให้ “เราเป็นเด็กกระนั้นหรือยมโดย เจ้าจึงจักมาปลอบให้หายอ้อน แน่ะ กระเถิบมานั่งด้วยกันทางนี้เถอะจะบอกให้”

แม่ข้าหลวงยมโดยกราบขอขมา จะขึ้นร่วมที่ประทับที่ไม้ล้อมโคนต้นสารภีแล้วก็คอยฟังรับสั่งอยู่

“ยมโดยเอ๋ย ตลอดเมื่อคืนนี้ หญิงนอนมิหลับเลย ใจคอหวาดๆ หวิวพิกลไป ฝันเลือนๆ รางๆ ล้วนแต่ร้าย มิเป็นมงคลทั้งสิ้น เพราะรู้พระราชโองการให้ทูลกระหม่อมเข้า จึงวิตกนักว่า ว่าเสด็จอาในกรมทั้งสามคงจะกราบทูลสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพราะกิริยาเจ้าจอมจันทน์มาเชิญเสด็จ ดูชอบกล ปิดๆ บังๆ และสีหน้าเผือดไม่เหมือนเคย ดีร้ายคงมีใครกราบทูลเป็นคดีขึ้น”

“หม่อมฉันคิดว่ามิถึงกระนั้น เพราะทูลกระหม่อมแก้วก็เป็นสมเด็จพระราชโอรสโปรดอยู่ และทรงถึงพระมหาอุปราช ก็ใครเล่าจักกล้าใส่ร้ายกราบทูล”

​“อ้าว ยมโดย ไยมาเขลาไปเสียกระนั้นเล่า แม่นึกถึงสาเหตุที่เกิดบ้างปะไร ที่ทูลกระหม่อมให้พระตำรวจของท่านไปเกาะตัวเจ้ากรมและปลัดกรมของเสด็จอาทั้งสามมาลงพระราชอาญานั้นแหละ ข้างภายนอกเขารู้กันแซ่อื้ออึงนัก ถึงลือว่าทหารทูลกระหม่อมเพลาค่ำคืนไปด้อมอยู่แถวประตูสระแก้วจนเสด็จกรมหมื่นสุนทรเทพต้องไปบรรทมที่ทิมข้างโรงเตียบหลายวันมาแล้ว มิรู้หรือ”

แม่ข้าหลวงมิรู้การ ก็เบิ่งตาจับพระพักตร์ ฉงนนัก

“หม่อมฉันมิทราบเลย และการนี้จริงอยู่หรือ”

“เราก็ไม่รู้ว่าจะจริงจะเท็จ แต่เมื่อข่าวลือมากระนี้ ผู้ใหญ่ท่านก็พี่ๆ น้องๆ ใครจะกล้าเกี่ยว มีแต่สมเด็จปู่เท่านั้น ดังนี้แหละ ยมโดยเอ๋ย เมื่อมีราชโองการเราจึงวิตกไปหลายสถานนัก”

มิทันแม่ข้าหลวงจะได้ตอบ พระองค์หญิงก็ทอดพระเนตรเห็นแต่ไกลที่จ่าโขลนนำหน้าทหารตรงมา

“แหม ดีใจ” รับสั่งเมื่อมาถึง และโบกพระหัตถ์ให้จ่าโขลนถอยไปห่างที่เฝ้า แล้วกวักพระหัตถ์เรียก “มาใกล้สักหน่อยเถิด พ่อเดือน”

ทหารยอดฝีมือรักษาองค์พระบัณฑูรก็คลานมากราบประนมมืออยู่เพ่งพักตร์พระองค์หญิง ยามนี้ให้รู้สึกประหลาดใจครัน เพราะเคยเห็นแต่ทรงเริงรื่นสำราญอยู่แต่ไหนแต่ไร

“คงทรงธุระร้อนจะใช้หม่อมฉัน”

“ก็ไม่เชิง” พระองค์หญิงทรงฝืนแย้มพระสรวล ค่อยมีพระพักตร์ชื่นด้วยออกหลวงกลาโหมบุรุษยอดทหารทูลกระหม่อมนี้ ประหนึ่งพระกรขวาพระบัณฑูรไว้พระทัยนัก จึงรับสั่งสืบไปว่า “การใดที่แล้ว กลาโหมพ่อก็รู้ดีอยู่อย่าให้พูดเลย และวันนี้จะตามเสด็จทูลกระหม่อมไปพระราชวังหลวงนั้น มีทหารแห่ห้อมพระองค์ท่านมาพอแก่การแล้วหรือ”

ทหารพระบัณฑูรเบิ่งตา เอะใจนัก

“ครบตามอิสริยยศตำแหน่งพระมหาอุปราชทุกประการ แต่ที่รับสั่งนี้หม่อมฉันฉงน”

พระพักตร์เศร้าพยักอยู่

“ถูกของพ่อเดือน ควรฉงนแล้ว แต่พ่อเดือนรู้เหตุใด ก็เหตุนั้นที่ฉันวิตก”

​ข้าทหารพระมหาอุปราชก็ตรึกอยู่ขณะหนึ่งด้วยความกังวล แล้วกราบทูลว่า

“หม่อมฉันก็ทราบสาเหตุนั้น แต่เห็นมิเกี่ยวข้องที่น่าจะทรงวิตกเลย เพราะทูลกระหม่อมจะเสด็จขึ้นเฝ้า”

ทรงพระสรวลแต่น้อยหนึ่ง เสมือนจะเห็นแววประมาทของบุรุษ

“เดือน พ่อเป็นทหารพระบัณฑูร แล้วไฉนจึงมิเกิดเฉลี่ยวบ้างเล่า อันแผ่นดินแต่เก่าก่อนครั้งโบราณ มิมีหรือที่ราชโองการเชิญเสด็จแล้วก็ลอบปลงพระชนม์ทำร้ายเสีย แล้วหลวงกลาโหมจะว่าอย่างไร”

“อ๊า พระองค์หญิง” บุรุษทหารร้องเต็มเสียง ใจคอระทึก ประนมมือถวายบังคมแล้วก็ตบอกตัวเอง ทูลด้วยเหี้ยมหาญ ต้องรบให้สิ้นชีพอ้ายเดือนก่อนสิ จึงจะถึงองค์พระบัณฑูร อ๋อ เท่านี้เองที่ทรงพระวิตก การนี้หม่อมฉันก็ได้คะเนอยู่ จึงคัดทหารเราเลือกล้วนยอดฝีมือไว้ใจได้สักยี่สิบให้ตามเสด็จ เมื่อเป็นราชโองการก็จนใจอยู่ หากมีผิดมีพิรุธแล้ว หม่อมฉันให้ตั้งล้อมก็จะรบเชิญเสด็จพระบัณฑูรมาสู่พระตำหนักมิให้ทรงตระหนกเลย”

พระองค์หญิงทรงปีติ น้ำพระเนตรคลอ จบศรีอยุธยานี้ก็เลื่องลือตลบแล้วว่า ออกหลวงกลาโหมทหารกล้าของพระบัณฑูรเป็นยอดทหาร ผิว์เสวยราชสมบัติขณะใด ก็จักทรงโปรด อย่างน้อยถึงออกพระ

“ขอบใจพ่อหลวงนัก แต่หญิงนี้ อย่างไรมิรู้ ใจคอช่างสังหรณ์เป็นห่วงทูลกระหม่อมแก้วเหลือเกิน จึงเรียกพ่อหลวงมากำชับ”

ข้าพระบัณฑูรหนุ่มยิ้มปลอบพระทัย เหลือบสาวยมโดยแม่ชู้ แล้วทูลเป็นสนุกเสีย

“หม่อมฉันขอถวายชีวิตตัวเป็นประกันไว้ แต่ผิว์ภักดีนี้สืบไปเมื่อหน้าได้ประจักษ์แล้ว พระองค์หญิงคงจะประทานรางวัลบ้าง”

จับพระเนตรอยู่ที่กิริยาทหารชำเลืองสาวและข้าหลวง ก็ค้อนให้ จึงตระหนักพระทัย ทรงพระสรวลพลอยสำราญ รับสั่งตอบอ้อมๆ

“หัวใจคน ฉันให้ไม่ได้ ต้องสุดแต่พ่อเดือนจะชนะเขาเสียก่อนเถิด แล้วหญิงจึงจะประทานได้”

“ต้องปรึกษาแม่ยมโดย” หลวงกลาโหมเปรยขึ้น “หม่อมฉันปัญญาเขลาอยู่ในเชิงนี้ จึงต้องขอพึ่งปัญญาเขาอื่น”

​“พิลึกนักหนาแล้ว พี่เดือน” ข้าหลวงค้อนให้อีก ผิว์หน้าระเรื่อบังเกิดอาย “ด้วยเชิงไหนเล่าที่เกิดมาให้แจ้งสักหน่อย หรือว่าเชิงใดจะปรึกษา” แล้วแม่ข้าหลวงต้นพระตำหนักก็ทูลพ้อเอาอีกคนหนึ่ง “เสด็จพระองค์หญิงก็เหมือนกัน ทรงเข้ากับพี่เดือนเสียทุกครั้งเสมอ”

“อ้าว ยมโดยมาพาลฉันอีกคนแล้ว แม่เก้อเองก่อเอง มิใช่หรือ”

เจ้าหนุ่มทหารวังหน้าก็ถือคล้อยตามรับสั่งนั้น

“จริงเชียวพ่ะย่ะค่ะ ที่รับสั่ง แม่ยมโดยก่อสำคัญนัก”

“โมโหเกิด” สาวสะบัดใส่ งอน เน้นสำเนียงเหมือนจะให้ด้วยแพ้คารม

“อยู่ๆ มายั่วกันให้เกิดโทสะ เห็นเป็นสนุกไปได้”

“โธ่ ยมโดย แม่อย่าเพิ่งให้...” หนุ่มกลับยิ่งยุพิษแง่งอนนั้นด้วยพึงใจ “แม้แม่ยมโดยมาให้แล้ว ใครหนอจักเข้าปลอบให้นิ่งได้ ด้วยเป็นข้าหลวงนางห้าม”

“ไม่เกรงพระอาญาทูลกระหม่อมจะลงหลัง ก็เชิญพ่อสิ” แม่ข้าหลวงย้อนให้บ้าง ซ้อนงอนซ้อนขันอยู่ในเชิง หมุนกำไลมือประทานไปมาแก้ขวยแล้วแสร้งหัวเราะ “ฮะ ตั้งแต่ได้ท่องกาพย์โคลงของทูลกระหม่อม พอจำได้ หมู่นี้ฉันดูกล้าฝีปากนักหนา”

ออกหลวงกลาโหมหัวเราะเชิงงอนสาว แล้วเพ่งพักตร์พระองค์หญิง ทูลว่า

“ทรงฟังเถิด ข้าหลวงฝ่าพระบาทจักให้หม่อมฉันหลังลายด้วยพระอาญา ทูลกระหม่อม อพิโธ่เอ๋ย แม่ยมโดย อันพระราชวังจันทรเกษมเรานี้มิชั่ว แต่เจ้าเดือนดอกนะที่ท่องกาพย์โคลงของทูลกระหม่อมสมเด็จฯ แม่ข้าหลวงอื่นๆ ใครๆก็หัดท่องกันอยู่ทุกคน ยิ่งรู้ว่าจะใกล้ถึงเดือน ๑๒ หน้าน้ำอีกไม่กี่เดือน บทเห่เรือของสมเด็จฯ ที่ทรงไว้ ก็เห่กันแซ่อยู่พระราชวังมิใช่หรือ แม่ยมโดย แม่ก็เคยเห่”

“ใครบอก”

ข้าหลวงแม่ค้อนควับ และพระองค์หญิงก็ทรงพระสำราญชอบที่จะเห็นออกหลวงหนุ่มกับนางข้าหลวงทะเลาะกัน จึงรับสั่งเป็นเชิงตั้งพระองค์อยู่กลาง

“ฉันไม่รู้ด้วย ใครอย่ามาอ้างหญิงนี้เป็นพยานเลย แต่ยมโดยนั้นเห่อยู่เสมอ”

“ไหมล่ะ” กลาโหมชี้นิ้ว หัวเราะร่า “พระองค์หญิงยังทรงยินแล้วยมโดยแม่จะว่ากระไร”

สาวข้าหลวงต้นพระตำหนัก และทรงโปรดประดุจเพื่อนทุกข์เพื่อนสุขกลับค้อนให้พระองค์หญิง

“ก็เห่ด้วยกันทั้งนั้น มิเลือกใคร แม้พระองค์หญิงก็ทรงโปรดกาพย์ติดพระโอษฐ์อยู่”

“กาพย์ใดล่ะ แม่ยมโดย”

ข้าหลวงสาวชำเลืองพระพักตร์แล้วหัวเราะ

“ห้าทุ่มสิเพคะ พอฆ้องห้าทุ่มคืนไร พระองค์หญิงแม้มิบรรทมเสียก่อนก็ทรงเห่ว่า

๏ เพลาห้าทุ่ม   คือเพลิงรุมสุมกลางใจ
ร้อนเรียมเทียมร้อนไฟ   อีกหนามรุมกลุ้มเสียบทรวงฯ”
“จำแม่นนัก”

ทหารพระบัณฑูรชี้นิ้วทางแม่ข้าหลวงแล้วเพ่งมวยผมสูดลมหายใจเข้า ประหนึ่งบอกจุมพิตแต่โดยห่างด้วยหัวใจ กล่าวว่า

“๏ ไรน้อยรอยระเบียบ   เป็นระเบียบเทียบตามแนว
ริมเกล้าเพราสองแถว   ปีกผมมวยรอยไรนางฯ”


พระธิดาพระบัณฑูรทรงพระสรวลกิ๊ก และแม่ยมโดย แม่ยิ่งอายเมื่อเห็นกิริยาสูดหายใจของออกหลวง และยิ่งท่องกาพย์ห่อโคลงพระบัณฑูร แม่ค้อนให้ทั้งทหารกล้าและพระองค์หญิง แล้วก็ค่อนว่า

“พิลึกนัก พี่เดือน ดูหรือมาท่องกาพย์ดุจทำเพลงยาว ช่างจำฝีพระโอษฐ์ทูลกระหม่อม พระองค์หญิงก็ช่างเมตตาเข้าด้วยดีนัก”

“แน้ ยมโดย” ทรงออกพระโอษฐ์แล้วทรงพระสรวลอีก “ฉันเป็นคนกลาง ฟังอยู่ ไฉนยมโดยจักมาถือเคืองว่าเป็นฝักใฝ่ข้างกลาโหม ผิว์ลับตาฉันสิ ยมโดยคงจะมิเคืองแท้กระมัง”

แม่ข้าหลวงยกสองมือปิดหน้า แต่ใช่จะให้ หากแสนอาย ออกหลวงก็ชอบอกชอบใจนัก แล้วขณะนั้นยามฆ้องก็ลั่นบอกเพลาทรงเครื่องเสร็จแล้ว

“เสด็จทรงเครื่องแล้ว” ทหารคู่พระทัยพระมหาอุปราชกล่าวขึ้น ยกสองมือประนมต่อพระพักตร์ “กระหม่อมฉันจะต้องทูลลาตามเสด็จ อันการใดขอเป็นพนักงานไว้พระทัยแก่หม่อมฉัน”

​พระธิดาพระบัณฑูรพระพักตร์เผือดจากที่ทรงสำราญ อึ้งอยู่ รับสั่งเป็นพรว่า

“หลวงกลาโหมจงจำเริญ ที่หญิงกล่าวไว้อย่าประมาทเสีย”

“ให้ล้อมสักหมื่นหนึ่ง” หลวงหนุ่มกราบทูล ยืดกายโดยองอาจ “หม่อมฉัน อ้ายเดือน ขอให้ล้อมสักหมื่นหนึ่งหรือเรือนแสน ผิว์หลวงกลาโหมหักมิออกก็จะขอเชือดคอตัวตายเสียก่อน”

“เคยเห็นฝีมือ” รับสั่งปีตินัก “ทูลกระหม่อมเคยรับสั่งอยู่เสมอว่าทั้งแผ่นดิน ข้าหลวงกลาโหมอยู่แล้วไม่เกรงใคร”

ยมโดยแม่มองยอดทหารสมเด็จฯ คำนึงอยู่โดยปีติแทนว่า

“พ่อชู้ฉันเอง มิเสียแรงยมโดยนี้เลือกพ่อแล้ว เป็นยอดทหาร ผิว์พระบัณฑูรเสวยราชย์ พ่อหลวงสิ อย่างน้อยก็คงออกญากลาโหมแต่ยังหนุ่ม อันศึกเสือเหนือใต้ พ่อยอดทหาร พ่อคงจักล้างศึกเสียชั่วพริบตาหนึ่งโดยฝีมืออันตระหนักแล้วจบศรีอยุธยา”

เสียงฆ้องย่ำหึ่งก็เงียบหายแล้ว จึงออกหลวงก็ประนมมือถวายบังคม

“เชิญกลาโหม พ่อเถิด” พระองค์หญิงรับสั่งด้วยกิริยาทรงเศร้าและย้ำอีกถึงเนื้อความ “หลวงกลาโหม พ่ออย่าได้ประมาทเลย เพราะทูลกระหม่อมมีศัตรูเหลือหลายนัก”

ออกกลาโหมหนุ่มก็จำยิ้มปลอบพระทัยอีกครั้ง กราบทูลว่า

“พระองค์หญิงก็ได้ทรงทราบแล้ว อ้ายเดือนกลาโหมนี้เป็นข้าสมเด็จพระบัณฑูรมาแต่ไหน อย่าว่าแต่เพียงศึกกันเองกระนี้เพียงพลหมื่นแน่ะ กระหม่อมฉันขอให้หงสาวดีราชศัตรูเก่าพลแสนมาล้อมพระองค์ท่าน ผิว์อ้ายเดือนหักศึกล้อมมิได้แล้วจักขอเชือดคอตัวตาย”

“เชื่อน้ำคำพ่อนัก” รับสั่งด้วยสุรเสียงจักสะอื้นด้วยปีติ น้ำพระเนตรคลอ “ฝีมือพ่อเดือนยิ่งยอดทหาร หญิงรู้อยู่ตลอดน้ำใจแล้ว แม้ทูลกระหม่อมเสด็จพ่อท่านจึงประทานเป็นกลาโหมทหารศึก หากแต่ที่หญิงกล่าวนี้ใช่จักประมาทฝีมือและน้ำใจพ่อเดือนเลย เพราะหญิงเป็นห่วงทูลกระหม่อมนักหนา”

ออกหลวงก็กราบอีกครั้งหนึ่ง ทูลให้มั่นพระทัย ทั้งบอกยมโดยแม่ข้าหลวง

​“แน่ะ พระองค์หญิงและยมโดยแม่เอ๋ย อย่าถึงองค์ทูลกระหม่อมจักอันตรายที่ทรงวิตกนี้เลย ฮะ...พระองค์หญิงและแม่ยมโดย อันราชวังจันทรเกษมท่านนั้น ผิว์ถูกทหารล้อมสักสามชั้นหรือสี่ชั้น หากอ้ายเดือนมิเชิญเสด็จพ้นอันตรายนั้นแล้ว ก็ทรงลงพระอาญาเถิด อนึ่ง ทหารสมเด็จพระบัณฑูรก็ได้คัดแล้วเป็นเยี่ยมเป็นเอก จักยอมอยู่แต่ทหารหลวงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น ผิดอื่นอ้ายเดือนขอรบสุดชีวิตทีเดียว”

พระองค์หญิงทรงสะอื้น มั่นพระทัยทั้งปีติคำออกหลวง แม่ข้าหลวงยมโดยก็ตื้นตันอยู่เต็มอก

“กลาโหมพ่อจงมีชัยเถิด” พระธิดาพระบัณฑูรทรงกล่าวพรแล้วกันแสงเพราะปีตินั้น “หญิงขอฝากทูลกระหม่อมแก่พ่อเดือนเป็นคำท้ายเท่านั้น กลาโหมพ่อจงจำเริญเถิด”

ทหารเจ้าฟ้าสมเด็จพระบัณฑูรจึงรับพรนั้น แล้วสาวยมโดยข้าหลวงแม่ ซึ่งธรรมดาถืองอนอยู่ ก็อ่อนคล้อย ทั้งกล่าวคำพรเช่นพระองค์หญิง จึงออกกลาโหมก็ปีติปลื้มนัก ถวายบังคมอีกครั้ง จึงถอยลาไปพร้อมด้วยจ่าโขลน

ก็เสด็จจากสวนขึ้นสู่พระตำหนัก แม้กระนั้นแล้วตลอดทางพระองค์หญิงก็มิวายจักหวาดหวั่นพระทัยเพราะทรงตระหนักอยู่ เหลียวครั้งหนึ่งเมื่อขึ้นพระตำหนักก็เห็นออกกลาโหมทหารกล้าพระบัณฑูรจักพ้นประตูแล้วจึงรับสั่งแก่ข้าหลวง

“ยมโดยเอ๋ย พ่อเดือนกลาโหมนี้หญิงมีอยู่แต่เขาคนเดียว ยมโดยเจ้าเห็นประการใด”

“ภักดีและฝีมือกลาโหมนั้น ยมโดยกล้าถวายชีพเป็นประกัน” สาวข้าหลวงทูลรับคำด้วยมั่นใจ “พี่เดือนเป็นข้าสมเด็จกระหม่อมท่านและยอดทหารพระบัณฑูร จึงมิควรทรงวิตก เพราะเขาก็รับคำเป็นมั่นแล้ว ซึ่งทหารเสด็จในกรมทั้งสามนั้นก็เกรงฝีมืออยู่”

ท่านทรงพระสรวลสำเนียงเครือ

“ถูกแล้ว ยมโดยเจ้าเอ๋ย ใครเล่าจักล้างกลาโหมทูลกระหม่อมได้ ฉะนี้แหละ หญิงจึงได้เชิญมาฝากอีกครั้งหนึ่งให้มั่นน้ำใจเสีย”

​ครั้นแล้ว ขณะนั้นทั้งพระองค์หญิงและข้าหลวงยมโดยก็ลับกายสู่พระตำหนัก และออกหลวงก็ออกพ้นเขตไปแล้ว เป็นแต่คำนึงอยู่ตลอดทางว่า ไฉนหนอพระธิดาทูลกระหม่อมมาทรงวิตก ทั้งแม่ยมโดยด้วยเหตุนี้ อนึ่ง กรมหมื่นสุนทรเทพ และกรมหมื่นเสพภักดี หรือขุนจิตร ซึ่งรับพระอาญาเมื่อเร็ววัน ก็ใช่จักประเสริฐฝีมือเกินกว่ากลาโหม

เมื่อถึงพระพิมานแล้ว ก็เห็นทหารอื่นที่คัดฝีมืออยู่ครบทั้งหัวพันและนายหมู่เรียงรายคอยเสด็จลง แล้วในครู่นั้นจึงกลาโหมผู้เพิ่งมาถึงก็เร่งขึ้นสู่พระที่นั่ง เพื่อเชิญเสด็จห้อมล้อม ประจวบกับเสียงประโคม อันราชวังจันทรเกษมขณะนี้ แม้เสียงสังข์ประโคมเคยเป็นราชกิจ แต่เสียงประโคมนั้นก็ฟังประหนึ่งเป็นเสียงไห้อยู่ตลอด แล้วตราบเสด็จลง ซึ่งข้าหลวงหรือเหล่ามหาดเล็กรักษาพระองค์ สมเด็จพระมหาอุปราชและต่างพระตำหนัก พระลูกเธอภายในพระราชวังจันทรเกษม ซึ่งมาเฝ้าอยู่ต่างสังหรณ์สยองไปเอง

ออกหลวงชู้แม่ยมโดยจึงเข้าเฝ้ากราบทูลเชิญเสด็จโดยประเพณีแล้วจึงเข้าชิดพระองค์ ทูลแต่โดยนัย

“ข้าพระพุทธเจ้าจะโดยเสด็จครั้งนี้ ได้จัดทหารแล้วเสมอยี่สิบโดยฝีมือ หากเพิ่มลดอีกอย่างไร พระอาญาไม่พ้นเกล้า”

ทรงพระสรวล เอื้อมพระหัตถ์ลูบศีรษะออกหลวงหนุ่มทหารคู่พระทัย

“เดือนเอ๋ย ราชโองการทูลกระหม่อมนี้ ชะรอยจักร้ายหรือดี เรารู้อยู่ แต่ว่าเจ้าอย่าได้วิตกโดยข่าวกระซิบนั้น”

“ข้าพระพุทธเจ้าถวายอยู่ใต้ฝ่าละอองพระบาท อ้ายเดือนต้องรบสิ้นชีพ”

“เอ๊ะ เจ้าเดือน นี้เป็นราชโองการ จอมจันทน์มาเชิญเรา อย่าเลย มิว่าการใด เป็นรับสั่งแล้ว เจ้าจะระงับ”

โองการพระบัณฑูรแม้จักเพียงน้อยที่รับสั่ง แต่หลวงกลาโหมก็ยิ่งสำนึกว่า มิใช่การน้อย ทั้งรำลึกคำพระองค์หญิงที่ทรงพระวิตก รับสั่งฝาก

​“อ้ายเดือนต้องกบฏ” หลวงกลาโหมกระซิบทูลเสียงสะอื้น “ผิว์ใต้ฝ่าละอองจักเกิดภัยด้วยใช้อาญาแล้ว อ้ายเดือนจักรบให้สิ้นชีพสิ้นทหาร”

ทรงพระสรวลอีกครั้งหนึ่ง ลูบไล้ด้วยปรานี ทรงดำรัสว่า

“อ้ายเดือน มึงนี้ยอดทหารพระบัณฑูร สมใจ กูเชื่อแล้วว่าศรีอยุธยาจักต้องใช้มึงยิ่งกูใช้ ฉะนั้นมึงต้องเป็นทหารศรีอยุธยา อย่าคิดอื่น”

“ทหารพระบัณฑูร” หลวงกลาโหมตอบห้วนๆ หัวใจทหารขณะนี้สำนึกแล้วว่าศึกภายในจะต้องเกิด “ชายชาตรี หาใช่จักเกิดมาเป็นข้าสองเจ้ามิได้ฉันใด ทหารพระบัณฑูรย่อมฉันนั้น”

“มึง อย่า” รับสั่ง พระเนตรคลอด้วยปีติ “กลาโหม กูเชื่อฝีมือมึง แต่ราชโองการนี้ยังมิแน่อย่างไร ฉะนั้นหากถึงราชวังหลวง ผิว์จักกล่าวคำมิชอบบ้าง จงเฉยเสีย คอยฟังแต่คำกู”

ออกหลวงหัวเราะด้วยน้ำตา

“พระอาญามิพ้นเกล้า ผิว์โองการพระบัณฑูรเสมอรบ เสียงพระดำรัสหนึ่งอ้ายเดือนจักตีเมืองถวาย”

“มึงชวนกูกบฏ”

รับสั่งเท่านั้นแล้วก็เสด็จพระดำเนินเร่งมากระทั่งชั้นต่ำพระตำหนักพิมานขึ้นประทับพระเสลี่ยง จักไปสู่เรือนพระที่นั่ง

ออกหลวงจึงประกาศทหารด้วยกิริยาฮึดฮัดผิดเคย

“ล้อมพระองค์ตลอดเพลา ผิว์ใครห่างมิเห็นแก่ราชการท่านแล้ว จักตัดหัวเสียบมิเลือกใคร”

“มึงดุเกินการแล้ว อ้ายเดือน” พระบัณฑูรทรงดำรัสทั้งทรงพระสรวล “ทหารพระบัณฑูร กูเชื่อแม้จะสักเพียงยี่สิบเศษก็รบทัพนับหมื่น”

“ให้ห้อมอยู่เรือนแสน” ออกกลาโหมถวายบังคมทูล “อ้ายเดือนแต่เพียงหนึ่งจักต้องรบหมื่น มิต้องทรงวิตกประการใด”

ขณะนั้น ทั้งแตรสังข์และกลองชนะประโคมเสด็จลงก็แซ่ด้วยศัพท์สำเนียงนฤนาท ทหารทั้งหลายเมื่อฟังประกาศต่างก็พรั่นสะท้านใจ หวั่นอยู่ด้วยอำนาจออกกลาโหม ต่างเข้าห้อมล้อมพระองค์ประชิดยิ่งกว่าที่เคยและฉงนอยู่

ตราบถึงเรือพระที่นั่งซึ่งเทียบคอยหน้าพระราชวังจันทรเกษมแล้ว ออกหลวงจึงเชิญเสด็จลงประทับและเฝ้าอยู่ประชิดพระองค์ อันรับสั่งพระองค์หญิง​ที่เคยฟังว่าเป็นขำขันนั้น บัดนี้ออกหลวงก็เห็นว่าเป็นการใกล้จริง เพราะตลอดเพลาขณะเมื่อเรือจอดมีทั้งข้าราชวังหลวงและเหล่านครบาลออกันหนาผิดตาอยู่นัก

แล้วเรือพระที่นั่งสมเด็จพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรสถานมงคลจึงล่องเลียบพระราชวังหลวง จะเสด็จขึ้นฉนวนวังหน้า อันมหาดเล็กมีฝีมือซึ่งออกหลวงได้จัดให้ล่องมาคอยรับเสด็จอยู่ก่อนนั้น จึงกราบทูลว่า ประตูเสาธงชัยปิดอยู่ก็หาเสด็จขึ้นไม่ กลับล่องลงมาประทับที่ฉนวนน้ำประจำท่า ประตูฉนวนก็ปิดอีก จึงล่องลงมาเสด็จขึ้นที่สะพานใต้ระหัดน้ำ

ขึ้นทรงพระเสลี่ยงแวดล้อมด้วยเหล่าทหารกล้า หลวงกลาโหมเข้าชิดพระเสลี่ยง รู้สึกสังหรณ์หัวใจว่า นับแต่ถวายตัวเป็นมหาดเล็กข้าพระองค์สืบมาจนบัดนี้ เป็นยอดทหารรักษาพระองค์ เป็นที่วางพระหฤทัยพระมหาอุปราช มิเคยเลยจะนึกหวาดระแวงการใดเยี่ยงกาลนี้ ทั้งตลอดทางที่ดำเนินพระเสลี่ยงตราบมาถึงศรีสำราญ แล้วเห็นฝูงคนชุมนุมหนาแน่นนัก กระทั่งถึงศาลาลูกขุนนอกพระที่นั่งทรงปืน ก็ยิ่งเห็นประชุมซุบซิบและเพ่งมององค์พระมหาอุปราช จึงรับสั่งแก่ออกหลวงหลวงกลาโหมว่า

“เดือนเอ๋ย มึงให้กลับพระเสลี่ยงกูเถิด เพราะมิชอบกลเสียแล้ว”

“พุทธเจ้าค่ะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า”

กลาโหมกระซิบทูลแล้วเขม้นตาอยู่ ขณะนั้นก็เหลือบเห็นขุนปลัดกรมและเจ้ากรมซึ่งเคยต้องพระอาญาพระบัณฑูร ยืนรายเรียงอยู่กับบรรดาทหารด้วยทีท่าประหนึ่งจักเย้ยด้วยถือแค้น และจ้องกันถมึงอยู่

“เบนพระเสลี่ยง”

กลาโหมออกคำสั่ง สำเนียงห้าวห้วน แล้วเร่งทหารทั้งหน้าหลังให้ประชิดขึ้นโดยสำนึกแล้วว่า อย่างไรเสีย รับสั่งพระองค์หญิงนั้นใกล้จริงหนักหนา

ขณะนั้นหลวงศรีภวังค์ผู้มาคอยเฝ้ารับเสด็จจึงกรากมาถึง แต่กลาโหมก็เข้าต้านหน้าไว้

​“ช้าก่อน หลวงศรี ท่านมาด้วยราชกิจกระนั้นหรือ จักเข้าเฝ้าสมเด็จพระมหาอุปราช”

ทรงได้ยินจึงรับสั่งว่า

“ปล่อยเขาเถิด กลาโหม หากจะถือพระราชโองการจงปล่อยศรีภวังค์มาหาเราเถิด”

แล้วก็กวักพระหัตถ์อนุญาต จึงหลวงศรีภวังค์ก็กราบทูลว่าซึ่งประตูอื่นปิดแล้ว แต่หากมาถึง พระศรีสำราญนี้สมควรจักขอพระราชทานทูลเชิญเสด็จขึ้นเฝ้าจึงจะชอบ สมเด็จพระบัณฑูรเชิญเสด็จขึ้นไปประทับรออยู่ ณ ทิมดาบ

บัดใจจึงมีพระราชโองการตรัสสั่งมหาดเล็กให้ออกมาเชิญเสด็จไปเฝ้า ณ ตำหนักสองห้องข้างทิมสงฆ์ ขณะที่จะเสด็จจากไปประหนึ่งจะทรงสำนึกสิ่งไรขึ้นได้ ก็หวนรับสั่งกระซิบด้วยราชปรารภ พระพักตร์เศร้าคล้ำอยู่ว่า

“เดือนเอ๋ย ผิว์ล่วงเย็นล่วงค่ำมิกลับแล้ว เจ้าจงเร่งกลับราชวังเถิด จักได้เอาตัวรอด”

หลวงกลาโหมก็ตกใจ จ้องพระพักตร์ แล้วคะเนการณ์ในพระสุรเสียงและรับสั่งพระบัณฑูรด้วยพิศวงน้ำใจ

“พระอาญาเป็นพ้นเกล้า รับสั่งนั้นหลากใจอ้ายเดือนเป็นพ้นแล้ว”

“แล้วก็รู้เอง ไปเถิด อย่าลืมที่สั่งเมื่อครู่เสีย”

ทรงโบกพระหัตถ์รับสั่งแล้วบ่ายพระพักตร์เบื้องพระราชวังจันทรเกษม ถอนพระทัยบอกพระกิริยาปั่นป่วนลังเลนัก

ตราบนั้นพระตำรวจหลวงจึงเข้าเชิญเสด็จห้อมล้อมหนาแน่น กลาโหมแจ้งการนั้นก็กรากเข้าประชิดองค์สมเด็จพระบัณฑูร ฮึดฮัด

“รับสั่งสักคำเถิดพุทธเจ้าค่ะ”

“รับสั่งอะไร”

“รบ”

“จนใจกูแล้ว เดือนเอ๋ย กลับเสียเถิด”

อันหลวงกลาโหมผู้ฮึดฮัดนั้น ย่อมเป็นที่ตระหนักอยู่ตบศรีอยุธยาทั่วตัวทหาร จึงบรรดาพระตำรวจหลวงซึ่งเข้าล้อมจักเชิญเสด็จพระบัณฑูร ก็ต่างกระจัดกระจายถอยไปเองและตกตะลึงอยู่

พระตำรวจหลวงตัวนายซึ่งเป็นพวกขุนจิตรจึงกรากเข้ามา พ้อว่า

​“หลวงกลาโหมท่านผิดพระราชโองการแล้ว จงถอยเสียเถิด มิฉะนั้นข้าพระเจ้าจักกราบบังคมทูล”

“ว่ากระไร”

ขุนฤทธิ์พระตำรวจจึงชี้เอา

“ท่านฝ่าล้อมวงมาฉะนี้น่ะสิ”

กลาโหมหัวเราะลั่น แลเหล่าพระตำรวจหลวงไปทั่วทุกตัวคน แล้วชี้หน้าย้อนเอาบ้าง

“อพิโธ่ ขุนฤทธิ์ท่านเอ๋ย และท่านก็รู้อยู่ว่าเรานี้เป็นข้าทหารรักษาพระองค์ทูลกระหม่อมแก้วมิใช่หรือ แม้ท่านจักมาด้วยพระราชโองการพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ดี แต่หากกิริยาท่านและเหล่าพระตำรวจทั้งหลายที่ล้อมนี้หลากใจนัก เถอะ พูดกันเสียแต่โดยตรงว่าไม่เชื่อกตัญญูท่านจักเป็นสุริต”

ทันใดนั้น ทั้งเจ้ากรมและปลัดของขุนจิตรและหมื่นสุนทรเทพก็ปราดมาถึง

“ฮ้า ดีแล้ว หมื่นสุนทรเทพ” ขุนฤทธิ์ประกาศดัง “ท่านทั้งสองจงเป็นพยานด้วย ดูเถิด หลวงกลาโหมจักหักล้อม”

“กบฏน่ะซี” ขุนจิตรกล่าวขึ้นไม่เกรงใจ “ขุนฤทธิ์ท่านถือพระราชโองการ เมื่อหลวงกลาโหมประพฤติฝ่าฝืนเช่นนี้ก็ต้องกบฏ มิมีอื่น”

“อูบ๋า กบฏ” ทหารพระบัณฑูรร้องอื้ออึงรำลึกรับสั่งพระองค์หญิงเมื่อสักครู่นี้ แล้วจึงย้อนถามเย้ยว่า “ขุนจิตรเอ๋ย มิเสียแรง ท่านก็เป็นข้ามีเจ้า ไฉนหนอมาพูดได้ดังเด็กแต่พล่อยไปเช่นนี้ ก็พระมนเทียรบาลบทใดเล่าที่อ้างมาตัดสินง่ายๆ ว่าเราเป็นกบภฏ เราเป็นข้าทูลกระหม่อมแก้ว เมื่อเห็นฝ่าละอองพระบาทจักข้องอยู่ด้วยภัยร้ายแล้วเข้ามารักษาพระองค์ไว้เยี่ยงนี้หรือ เรียกกบฏ เอ้า บอกมาสักคำหนึ่งก่อน ท่านขุนฤทธิ์ ว่าจักเชิญทูลกระหม่อมแก้วฉันใด”

“ต้องล้อมพระองค์”

“อ๋า ไม่ได้” หลวงกลาโหมกล่าวเด็ดขาด “ทหารสมเด็จพระมหาอุปราชมีพอแล้ว จักล้อมรักษาพระองค์ท่าน จักมิยอมให้ผู้อื่นล้อมเป็นอันขาด ขอให้ถอยเดี๋ยวนี้”

ขุนจิตรและกรมหมื่นสุนทรเทพ ทั้งขุนฤทธิ์กลับเรียกทหารตัวและพระตำรวจหลวง อ้างรับสั่ง

​“เราถือราชโองการ ขอให้ล้อม เพราะหลวงกลาโหมเป็นกบฏแล้ว”

มิทันที่ทหารกรมหมื่นและพระตำรวจหลวงจักเข้าล้อมพระองค์ จึงหลวงกลาโหมก็ถอดดาบ ปราดตะโกนอยู่กึกก้องเช่นกัน เรียกเหล่าทหารยอดฝีมือ

“ทหารพระบัณฑูรถอดดาบถวายชีพทูลกระหม่อมแก้ว”

ขาดคำหลวงกลาโหม เสียงกรากกร่างดาบแล่นจากฝักตลอด ๒๐ ทั้งนายและพล อันเป็นข้ามหาอุปราช หลวงกลาโหมจึงเขม้นอยู่ด้วยเตรียมเชิงทั้งพยักแก่ศัตรูว่า

“ทั้งสามท่านถือราชโองการก็จงสั่งรบก่อนเถิด เราจะได้หัก มิฉะนั้นแล้วจักว่าอ้ายเดือนก่อกบฏ”

อันหมื่นและขุนทางฝ่ายพระตำรวจหลวงและเจ้ากรม ปลัดกรมนั้นเป็นแท้จริง ครั่นคร้ามฝีมืออยู่ด้วยเป็นธรรมดา ทหารพระมหาอุปราชมหาดเล็กคนสนิทจักต้องเตรียมฝีมือตัวไว้ปราบเสี้ยนหนามแผ่นดิน เมื่อทรงเสวยราชย์ทแกล้วทหารย่อมจักต้องกลั่นแต่ล้วนที่แกล้วที่หาญ อนึ่ง อันออกกลาโหมนี้ก็เป็นที่เลื่องลือหนักหนาในเชิงลึกซึ้งด้วยพระตำรับพิชัยสงคราม ตลอดฝีมือกลดาบดั้งตั้งค่าย และอาวุธอื่นแต่ยังหนุ่ม

จึงทั้งขุนและหมื่น ปลัดกรม เจ้ากรม ผู้อ้างราชโองการให้เพียงเชิญเสด็จหาใช่ห้อมล้อมพระเสลี่ยงมิได้ และยังมิทราบขัดถึงกาลข้างหน้า ก็วิตกเกรงพระบัณฑูร หากจะเสวยราชย์ ขุนจิตรจึงแสร้งหัวเราะ ว่า

“หลวงกลาโหมเอ๋ย ท่านสั่งวิวาทฉะนี้ แพ้เปรียบเรานัก แต่เราก็ถือราชการและยุติธรรมเป็นใหญ่ เพราะหลวงท่านกับเราเคยมีอริกันอยู่ก่อน แม้คดีเกิดขึ้น จักเห็นว่าขุนจิตรอาฆาต แล้วอ้างตำแหน่งในราชกิจท่านมาแก้แค้น แต่ถึงกระนั้นก็จำต้องทำไปตามราชโองการพระพุทธเจ้าอยู่หัว”

“อ๋อ แน่นักหนา” ขุนฤทธิ์พระตำรวจหลวงยืนยัน “มีราชโองการให้มาทูลเชิญเสด็จ แล้วผิว์เรามิทูลเชิญก็หัวขาด”

ออกกลาโหมรู้เชิง จึงหัวเราะเย้ยใส่หน้า

“เรารู้แล้วว่าให้มาทูลเชิญเสด็จ มิฉะนั้นทูลกระหม่อมแก้ว ไฉนจักเสด็จมาให้เสียพระเกียรติต้องล้อมฉะนี้ อพิโธ่ แม้พูดเสียสักคำหนึ่งว่าทูลเชิญเสด็จเป็นธรรมดาแล้ว ทำไมจะต้องมาทะเลาะกัน”

​สมเด็จพระมหาอุปราชซึ่งประทับอยู่บนพระเสลี่ยงคงสงบพระกิริยาฟังอยู่ มิได้หวั่นไหวพระทัยแก่การนี้ เพราะเคลื่อนทหารแล้ว แม้จักน้อยตัวกว่าเพียง ๒๐ กับ ๕๐ ก็ทหารพระบัณฑูรและออกกลาโหม ผิว์ครบแล้วก็หักทัพพ่ายได้ จึงคำนึงแก่การข้างหน้าเป็นปฐม

ขุนฤทธิ์จึงสั่งพระตำรวจพลให้เข้าเรียงเป็นระเบียบเช่นเชิญเสด็จ เพราะพลนั้นแม้จะถอดดาบอยู่สิ้นก็มีท่วงถดถอยเสมือนเกรงนัก แล้วจึงนายพระตำรวจหลวงก็เข้ากราบทูลเชิญเสด็จ ก็รับสั่งแก่หลวงกลาโหมให้อนุโลมตามราชโองการ

“ข้าพระพุทธเจ้าจักคอยตราบสิ้นเพลาฆ้องที่รับสั่ง”

กลาโหมกระซิบกราบทูลสำเนียงเครือ เหลือบพระพักตร์ครั้งหนึ่งก็ใจหายนัก ด้วยองค์พระบัณฑูรมีพระกิริยากระสับกระส่าย พระหัตถ์ฉวยพระแสงดาบ รับสั่งเป็นปริศนาขณะยื่นประทาน

“จักเข้าราชวังหลวง ทูลกระหม่อมแก้วออกกลาโหม เจ้าจงถือพระแสงเราเชิญไว้เถิด แม้ผิว์เพลา เจ้ากลับแล้ว องเร่งสู่ราชวังจันทรเกษม และพระแสงนี้ก็เสมือนโองการบอกแก่พระองค์หญิง เพราะรู้การอยู่”

กลาโหมกราบถวายบังคมเบื้องพระบาท น้ำตาซึ่งคลอก็พลันหยาดลง

“พระอาญาและกรุณาเป็นพ้นเกล้า ขอถวายชีพอ้ายเดือนฉลองพระเดชพระคุณ ขอเชิญเสด็จด้วยสวัสดิมงคลกระทั่งกลับ”

ทรงแย้มพระสรวล หากฝืนผิว์รู้พระทัยแล้ว ออกกลาโหมจักตระหนักว่า มิทรงหมายเลยว่าราชวังจันทรเกษมนั้นจักมาประทับได้อีก เมื่อยื่นประทานพระแสงแล้ว ทั้งลูบไล้ศีรษะประทานพร จึงหักพระทัย มีพระโองการให้พระเสลี่ยงเคลื่อนต่อไปพ้นศาลาลูกขุนล่วงเข้าพระราชวัง

ฆ้องชัยย่ำพระสุริย์ศรีบอกเพลาอัสดงคตแล้ว ทั้งฟากฟ้าแม่น้ำเบื้องทิศทุ่งแก้วและทุ่งขวัญโน้น อันเป็นตรงข้ามกับราชวังหลวงเพียงแม่น้ำคั่น ก็เห็นแสงตะวันแต่เพียงเรื่อเหมือนแรกเมื่อขึ้นเพลาอรุณ จึงภายในพระราชวังจันทรเกษม พนักงานก็ประโคมฆ้องแซ่ด้วยศัพท์สังข์คุ้นเคยเช่นเสด็จประทับอยู่

แต่สมเด็จพระบัณฑูรหาได้ประทับอยู่ไม่ ด้วยยังมิเสด็จกลับจากราชวังหลวง พร้อมทั้งมหาดเล็กและเหล่าข้าหลวงสนิททหารคู่พระทัย อนึ่ง อันเสียงฆ้องย่ำตะวันลับปลายไม้ตกดินเพลานี้ ครวญหึ่งกว่าจะสิ้นเสียงก็เยือกเย็นแปร่งสำเนียงไป แม้แตรสังข์งอนประโคมก็ฟังแล้วประหนึ่งเสียงนางไห้ ตราบตะวันลับดวง มิ่งไม้ก็เหงาตลอดสิ้นไร้สาเหตุ

กระนั้นก็ดี พระองค์หญิงยังทรงเยี่ยมพระแกลทอดพระเนตรเพริดไปต่างๆ ฝ่ายเบื้องพระพิมานที่ประทับดังหนึ่งจักขับพระเนตรคอยดูเสด็จ กับพร้อมด้วยสังหรณ์พระทัยเองนั้นหลายครั้งหลายหน ว่ากระไรหนอ วันนี้ช่างเงียบเหงา แล้วตลอดราชวังจันทรเกษม ฟ้าก็อับลม แม้จักเพียงใบไม้ไหวก็มิได้ พุ่มแก้วไม้ประดับตามหนทางหลังพระที่นั่งเคยสว่างไสว แล้วป่านนี้ ดูหรือ เจ้าพนักงานยังหาตามประทีปไม่ ทั้งเสียงฆ้องกลองประโคมเล่า ก็ครางอยู่ดังคนต้องเจ็บปวดเป็นสาหัส

ยิ่งทรงคำนึงก็ยิ่งพรั่นพระทัยเป็นที่สุด และในขณะนั้นประทีปบนพระพิมานโน้นก็ตามขึ้น หากแต่พระประทีปหาได้รุ่งเรืองเสมือนก่อน เพียงแต่สลัว จึงดูพระพิมานสมเด็จฯ เหงายืนเสียดฟ้าตะคุ่มอยู่ แม้พระองค์เองก็ใคร่จักทรงกันแสงเสียเอง โดยมิทราบในพระทัย

“โธ่ ทูลกระหม่อมแก้ว” ทรงถอยจากพระแกล รับสั่งอยู่พึมพำ แลภายนอกมืดสนิท เหลือบเห็นยมโดยสาวข้าหลวงเป็นที่เสน่หาพระทัย ก็รับสั่งปรารภว่า “ป่านนี้ทูลกระหม่อมแก้วยังมิได้เสด็จกลับอีก ยมโดยเอ๋ย”

“น่าจะติดราชกิจกระมังเพคะ องค์หญิง” แม่ข้าหลวงชู้ใจของกลาโหมทูลตอบด้วยคะเนพระทัยถูก “หาไม่ คงเสด็จเลยไปวังในกรมหมื่นเทพพิพิธ”เพราะรับสั่งอยู่”

“ไม่น่าเชื่อ” รับสั่งเหมือนรำคาญที่ยินแก้ตัว แล้วเสด็จมาบนพระแท่นอันสาวนางข้าหลวงอื่นก็หมอบเฝ้าอยู่รายเรียงหน้า จึงรับสั่งอีกด้วยกำลังกลุ้ม “นี่แน่ะ ทุกๆคน ข้าหลวงของฉัน ใครเคยเห็นบ้างว่า ทูลกระหม่อมแก้วขึ้นเฝ้าจะช้าผิดสังเกตเช่นเวลานี้”

ต่างทูลว่ามิเคยเห็นด้วยกันทุกคน และรับสั่งถามนั้นเองตลอด พระพักตร์และอิริยาบถก็บ่งพิรุธอยู่ จึงพลอยพากันพรั่นใจเหลียวจับตากัน ยมโดยแม่ต้นพระตำหนักจึงคิดว่า พระองค์หญิงซึ่งทรงพรั่นเป็นห่วงแล้วนี่ จะหาใดอื่น​มากราบทูลมิได้ดีไปกว่าอ้างทหารสมเด็จฯ ซึ่งเคยไว้วางพระทัยจึงจะสมควร

“กลาโหมก็กราบทูลแล้วว่า ได้จัดทแกล้วทหารไปเป็นอันมาก คงจะเสด็จเลยเยี่ยมเยือนหรือติดราชธุระอื่นหรอกกระมัง อย่าพระทัยร้อนนัก อีกสักครู่น่าจะเสด็จกลับเป็นแน่”

“อย่าหัดเท็จหน่อยเลย ยมโดย”

มิทันจะรับสั่งอันใดอีกก็ได้ยินฟ้าคะนองครางครืน ฟ้ากับลมอ้าว ฝนก็พลันเกิดพายุแรงร้ายกาจ ทั้งเสียงไม้โค่น ใบขาดปลิวว่อนสลอนเข้าทางพระแกลเกลื่อนพระตำหนักหมด ทรงกอดยมโดยไว้ด้วยความตระหนก รับสั่งให้ข้าหลวงปิดพระแกลและทวารประตูสนิทหมด แล้วทรงกันแสงแก่ยมโดย

“วันนี้คงเกิดเหตุร้ายเป็นแท้แล้ว ยมโดย ดูเถิด ดินฟ้าอาเพศพิลึกนัก ไม่เคยเห็นเลย”

“ตั้งพระทัยดีๆเถิด” ข้าหลวงต้นพระตำหนักปลอบไปตามการ แต่หากหัวใจยมโดยนั้นก็หวาดสังหรณ์อยู่ตั้งแต่เช้า เมื่อรับสั่งให้ไปตามทหาร “ทูลกระหม่อมแก้วทรงตำแหน่งถึงพระมหาอุปราชจักเสวยราชย์ ก็ภัยใดเล่าจะสู่ถึงพระองค์ได้”

“ราชภัยซี เจ้ายมโดยมิรู้หรือ ที่เสด็จอาทรงกราบทูลจนมีรับสั่งให้หาขึ้นเฝ้า”

“หม่อมฉันยังมิทราบ” ข้าหลวงทูลความให้ฉงนนัก “หม่อมฉันมิทราบเลย เป็นความสัตย์แท้ ด้วยข้อไรหนอ”

จึงทรงเล่าสู่ยมโดยแต่ค่อยพอได้ยินว่า

“เสด็จอาทั้งสอง กรมหมื่นจิตรสุนทรและกรมหมื่นสุนทรเทพกราบบังคมทูลกล่าวโทษทูลกระหม่อมว่าลอบเข้าสู่ราชวังหลวง ทรงชู้ด้วยเจ้าฟ้านิ่มพระสนมเอก ก็ดูหรือ ป่านนี้ยังไม่เสด็จกลับ อีกอย่าง หาไม่ คงถืออาฆาตแอบอ้างราชโองการล่อไปทำร้าย”

“ข้อนี้หม่อมฉันมิเกรง เพราะพี่เดือนคงจักถวายกตัญญูเชิญเสด็จมาได้”

“นั่นสิ ถ้าเป็นเซ่นนั้น ป่านนี้เห็นจะรบกัน เออ จะข้อไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น เพราะทูลกระหม่อมเพิ่งหายประชวร”

“ก็ดูเถิด” แม่ข้าหลวงรับคำและทูลแก้ข้อหานั้น “เมื่อประชวรแล้วไฉนจะลอบสู่ราชวังหลวงได้”

​ทรงโบกพระหัตถ์ห้าม

“อย่าอึงไป ยมโดย แม้ทูลกระหม่อมจะทรงเป็นถึงพระมหาอุปราชก็ศัตรูมากนัก อันกลของศัตรูนั้นใช่น้อย”

ภายในพระตำหนักแม้จะปิดสนิทหมด มีแต่แสงประทีปสว่างไสวและอบอ้าว ก็พลันรู้สึกเยือกเย็นและเสียงซ่าภายนอกทั้งแสงฟ้าแลบ

“ฝนตกแล้ว” พระธิดาน้อยพระบัณฑูรที่ทรงกำพร้ามารดาแต่เยาว์ยิ่งรับสั่งวิตก “ดูเถิด ค่ำแล้ว ยังไม่เสด็จกลับ และฝนมาตกเสียเช่นนี้ แม้หนักตลอดรุ่งก็เหมือนจะให้เราคอยเสด็จอยู่ด้วยความทุกข์จริงๆ”

เสียงฟ้าผ่าภายนอก พายุฮือดังเสียงโห่ของเหล่าบุรุษศัตรูจนตระหนกพระทัย ทรงร้องหวีด เรียกข้าหลวงให้ล้อม แล้วสาวยมโดยก็รัดพระองค์ไว้มั่น อีกขณะหนึ่ง ก็ได้ยินแว่วๆ ดังสำเนียงปี่ประโคมรับ

“เอ๊ะ ถ้าเสด็จฝ่าฝนกลับหรืออย่างไร ยมโดย แน่ะ ฟัง” รับสั่งชี้ทางพิมานรัตยา “ช่วยกันฟังที หรือใช่ปี่และสังข์ประโคมหรือมิใช่”

ต่างเงี่ยหูฟังฝ่าเสียงฝน ก็ไม่แน่ เพียงแว่วๆ ก็ยินเสียงฟ้าคำรนกลบเสีย

“รำคาญฝนเหลือเกิน ทั้งฟ้าคะนองจนฟังไม่เป็นศัพท์แล้ว ใครก็ได้ไปแง้มหน้าต่างดูทีเถิด กลับใช่ไหม”

ยมโดยก็ทักว่า

“จะเห็นหรือ พระองค์หญิง เพราะทางโน้นเจ้าพนักงาน เขาคงปิดเปิดพระแกลเหมือนกัน เกรงฝนสาด”

ก็ตอบด้วยพระทัยร้อน

“ถึงงั้นก็ต้องตรวจดู ไปปิดเถอะ บางทีจะยินชัดขึ้นบ้าง เร็วหน่อย เดี๋ยวจะหยุดเสียง”

ข้าหลวงหนึ่งก็เร่งไปเปิดพระแกลชะโงกมอง ก็จริงดังคำสาวยมโดย เพราะพระพิมานที่ประทับปิดพระแกลตลอดหมด เห็นแต่ประทีปวับวามอยู่ทั้งสุดเสียงประโคมแล้ว ถึงกระนั้นด้วยพระทัยผูกพันอยู่ พระองค์หญิงจึงลุกผละจากยมโดย เสด็จไปชะโงกด้วยพระองค์เอง แม้หากละอองฝนจะสาดกระเซ็นมาต้องพระพักตร์และพระเกศาแทบจะชุ่ม ก็ยังจับพระเนตรเพ่งอยู่

ขณะนั้นเอง พระธิดาพระมหาอุปราชก็ฉงนพระทัยนัก ทั้งทรงตื่นตะลึงหันกวักเรียกข้าหลวง

​“ยมโดย มานี่เร็วสักหน่อยเถิด โน่น แม่เอ๋ย มาดูโน่น”

ข้าหลวงยมโดยรีบลุกมาถึงพระแกล

“พระเนตรฝาดไปกระมัง”

“ดูก่อน ยมโดย อะไร ฉันหรือจะตาฝาดหวาดไปอย่างแม่ว่า”

สาวยมโดยก็ชะโงกตามที่ชี้พระหัตถ์ให้ เมื่อเพ่งอยู่อีกครู่แล้ว สาวข้าหลวงก็อึ้งตะลึงดุจพระองค์หญิงเช่นกัน ด้วยแสงประทีปวับวามซึ่งส่องจากพระพิมานนั้น แม้จะกระหน่ำอยู่ด้วยสายฝนก็พอจะเห็นชุลมุนด้วยผู้คนวิ่งวุ่น และรอบพระพิมานเบื้องหลังที่ยมโดยเจ้าเห็นถนัดเล่า มิผิดกว่าเหล่าทหารล้อมพระที่นั่ง

“ทหารและเหล่าพระตำรวจมิใช่หรือเพคะ”

“นั้นซี ยมโดยมาว่าฉันตาฝาด ดูเถิด” รับสั่งด้วยตระหนกหนักทั้งปรับทุกข์ว่า “เกิดอะไรกันหนอ หรือทหารสมเด็จทูลกระหม่อมท่านเพิ่งกลับ แต่มิเคยจะเห็นต้องห้อมล้อมให้ฉุกเฉินเช่นนี้เลย โอ้ ยมโดย ชะรอยร้ายจะเกิดแล้ว”

สาวข้าหลวงยิ่งสั่นพรั่นพลอยวิตกนัก และขณะที่จ้องขึงตะลึงด้วยกันทั้งข้าหลวงและพระองค์หญิงก็ตระหนกตกใจหวีดร้อง

“ปิดหน้าต่างเร็ว ยมโดย” รับสั่งแล้วผละถอยจากพระแกล บอกแก่ข้าหลวงอื่น “ปิดประตูมั่นดีแล้วหรือเจ้า ผิว์ใครเรียก ขออย่าได้เปิดเป็นอันขาด โธ่เอ๋ย ราชวังจันทรเกษม กรรมมาถึงแล้ว”

ยมโดยยังตะลึง ก็เห็นถนัดว่ามิใช่ทหารทูลกระหม่อมมหาอุปราช เพราะมีเหล่าพระตำรวจหลวงผสมมาและซ้ำยังได้ยินเสียงสั่ง

“ล้อมเร็ว อย่าปล่อยให้ใครเข้านอกออกในหนีได้เป็นอันขาด”

พลัน แม่ข้าหลวงก็หับบานพระแกลสนิทแน่น ถลาออกสู่พระองค์หญิง

“ขุนจิตรแล้วเพคะ พระองค์หญิงจะเสด็จหนีไปไหนพ้นเล่า เพราะเขาสั่งล้อมพระตำหนักสิ้นแล้ว”

“โธ่ ภัยเกิดแก่ทูลกระหม่อมแก้ว” ทรงกันแสง รับสั่งแล้วรำลึกถึง “ทหารทูลกระหม่อมไปไหนเสียหมดเล่า ดูหรือ ทั้งพระพิมานและพระตำหนักน้อยสารภีต้องถูกเขาล้อม”

แต่ยมโดยแม่มีสติจึงคว้าข้อพระหัตถ์เข้าสู่ห้องบรรทมอีกชั้นหนึ่ง พร้อมด้วยเหล่าข้าหลวงอื่นทุกตัวนางเข้าห้อมล้อม เสียงไห้มิเป็นศัพท์ รำพัน​ถึงชีพตัว ทุกข์ภัยต่างๆ ตลอดเพลา กระทั่งเสียงฝีเท้าระทึกกระเทือนพระตำหนัก

และข้างภายนอกนั้นเล่า ฝนยิ่งตกกระหน่ำหนักพร้อมพายุ แม้กระนั้นทหารขุนจิตรประจำวัยก็วิ่งวุ่น ทั้งล้อมและจุกช่องทางตลอดในสวน ขุนจิตรผู้คุมมาถึงนั้น ถอดดาบพาทหารคู่ใจขึ้นสู่พระหนักเข้าทุบประตู

“ทรงเปิดเดี๋ยวนี้ พระองค์หญิง” ขุนจิตสุนทรออกคำสั่ง สันดาบก็กระทุ้งเร้านัก ทั้งอำนาจ “หม่อมฉัน...ขุนจิตรถือรับสั่งเป็นราชโองการมาเชิญเสด็จเดี๋ยวนี้ ต้องเปิดเดี๋ยวนี้”

คงเงียบเสียงตอบ ขุนทหารกรมหมื่นก็ยิ่งร้อนใจนัก จึงระดมทหารให้ทุบประตูเรียก ประหนึ่งจะทลายลงด้วยความสะเทือน จึงสักครู่ แล้วเบื้องพระแกลเหนือประตูนั้นก็ยินเสียงเปิด ข้าหลวงสาวหนึ่งชะโงกหน้ามาถาม ยังมีเสียงไห้

“ใคร นั่นใครทุบประตูพระตำหนักเล่น”

“ทุบจริงซี แม่เอ๋ย จะเล่นทำไม” ขุนจิตรแหงนหน้าตะโกนฝ่าเสียงฝน

“ทูลพระองค์หญิงให้เปิดรับเดี๋ยวนี้ เร็วเถิด”

“ทรงบรรทม”

“ปลุก บรรทมก็ต้องปลุก เราถือราชโองการมา มิฉะนั้นจะให้ทหารพังประตู”

กลับเห็นข้าหลวงนั้นหลบหน้าหาย อีกสักครู่ก็โผล่พระแกลมารับหน้า อีกคนหนึ่งป้องปากถามลงมา

“ใครก็ไม่ทราบเลย นี่ค่ำคืนและทรงบรรทมแล้ว”

ฟ้าแลบแสงปลาบ ขุนจิตรได้สังเกตเพียงขณะฟ้าแลบก็จำได้ ทั้งน้ำเสียงแค้นหลังและริษยาก็ประดังขึ้นแก่หัวใจทหารหนุ่ม

“อ้อ ยมโดยรูปสวยของฉันหรอกหรือ แม่เอ๋ย นี่ขุนจิตร แม่จำมิได้หรือ แม่เปิดประตูเถิดเพราะเราถือราชโองการมาเชิญเสด็จพระองค์หญิงและหน่อพระบัณฑูรทุกองค์ก็เชิญไปหมดแล้ว ไม่เหลือสักพระตำหนักเดียว”

“เรื่องอะไรจะให้เปิด”

“แล้วกัน แม่ยมโดย ไยจะต้องให้ฉันมาเล่าเรื่องอยู่กลางฝนเล่า ก็ราชโองการนี่แหละจะบอกเรื่อง หากข้าจะให้ทหารพังประตูเดี๋ยวนี้แล้ว จะเกิดผิดทุกคนที่ขืนราชโองการ”

​ยมโดยก็กลับพระแกลหายไปขณะนั้น มินานอีกชั่วครู่ก็เสียงกุกกักถอดสลักประตู แต่เป็นข้าหลวงสาวอื่นมิใช่แม่ยมโดยออกมาเชิญ ขุนทหารกรมหมื่นจึงสั่งพลให้ตามตัวไปแต่สถานนอกนั้น จุกล้อมไว้แล้วขึ้นสู่พระตำหนัก

ท่ามกลางข้าหลวงห้อมไว้ดุจดาวล้อมเดือนหน้าห้องบรรทมนั้น ท่ามกลางแสงประทีปซึ่งจับพระพักตร์ที่เคยงามยิ่งของพระธิดาสมเด็จฯ แต่บัดนี้ทรงกันแสงจับพระเนตรอยู่ แม่ยมโดยก็เคียงพระกายไห้เช่นกันตลอด ทุกตัวนางข้าหลวงอื่นๆ ขุนจิตรจึงคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์และยิ้มเย้ยหาได้เคารพดังแต่ก่อนๆไม่

“กระหม่อมฉันถือรับเสด็จในกรม ให้เชิญเสด็จพระองค์หญิงพร้อมข้าหลวงไปสู่พระตำหนักเดี๋ยวนี้”

ทรงฉงนพระทัย เบิกพระเนตรจ้องทหารกรมหมื่น แล้วรับสั่งว่า

“เอ๊ะ ขุนจิตร เสด็จอาท่านมีอำนาจรับสั่งอย่างไรหนอจึงให้ผู้คนมาล้อมพระตำหนักและขับฉัน”

“อ๋อ มีซี” แล้วขุนจิตรก็หัวเราะเย้ยอีก “เพราะเสด็จในกรมทรงถือพระราชโองการ แล้วจึงมีรับสั่งหม่อมฉัน อย่าว่าแต่พระองค์เลย แม้แต่พระสนมนางห้ามตัวโปรด ทั้งพระโอรสธิดาและพระหน่อองค์อื่น ขุนจิตรมันก็กุมส่งไปสิ้นแล้ว ฝ่าพระบาทจะฝืนราชโองการกระนั้นหรือ”

ยมโดย แม่ยิ่งแค้นเพราะขุนนี้เคยชอบรักตัวและเกาะเกี้ยวเสมอมา อนึ่ง เมื่อก่อนขุนนี้ผิว์จักพบเห็นหรือมาเฝ้าก็โดยนบนอบและเคารพนัก เมื่อมาสิ้นเคารพลงจึงพูดแทนพระองค์หญิงเสียเอง

“ขุนจิตรอ้างแต่ราชโองการขึ้นมากล่าว แต่หาได้ทูลให้ทรงทราบไม่ว่าราชโองการนั้นเป็นข้อใด เรื่องไร”

“ก็ได้ซี ยมโดยแม่เอ๋ย” ขุนหัวเราะด้วยทะนงใจ “ เมื่ออยากจะทรงทราบก็เป็นไรเล่า บัดนี้ทูลกระหม่อมมหาอุปราชต้องจำแล้วด้วยราชอาญาชู้สาวจึงมีราชโองการสั่งริบทุกสถาน และยังอีกหลากหลายที่ไม่ควรทูล”

ทรงกันแสงสำเนียงกรีด ทอดพระองค์อิงสาวข้าหลวงแม่ยมโดยรำพันทุกข์

“โอ้ทูลกระหม่อมสิ้นบุญแล้วพระพุทธเจ้าข้าเอ๋ย มิรู้องค์ ลูกนี้สังหรณ์ใจอยู่ ดูหรือ ทั้งฟ้าฝนก็ยังบอกอาเพศกระหน่ำหนักเสียเกินการ ผิว์ทูลกระหม่อมของลูกสิ้นบารมีแน่ หญิงก็จักขอตายตามเสด็จ”

เหล่าข้าหลวงก็ไห้ขึ้นพร้อมกันเสียงแซ่ยิ่งฝน อันแสงอัจกลับและประทีปก็วับแวมดุจสิ้นน้ำมันหมดลง พระตำหนักน้อยสารภีก็ยิ่งวิเวกวังเวงด้วยเสียงนางไห้ ราชวังจันทรเกษมซึ่งเคยสนุกสำราญดังเมืองฟ้า มีพระพิมานเป็นเอกแลเหล่าพระตำหนักน้อยทั้งพระโอรสธิดา ข้าหลวง นางห้ามเคยสำราญระรื่นนั้น พุ่มไม้ใบเขียวทั้งไม้ดอกบานกลางคืน และประทีปส่องแสง ทุกสิ่งก็นับวันจักสูญ

ฝนซาเม็ดแต่ยังพร่ำเรื่อยอยู่ ขุนทหารกรมหมื่นแม้จะพลอยเศร้าไปขณะหนึ่งเพราะเหล่าสำเนียงนางไห้ แต่แค้นหลังของขุนนั้นกับความภักดีต่อพระคุณเจ้านายของตนเป็นเหตุสิ้นกรุณาที่จักให้ช้าอีก

“ทรงทราบแล้วก็เชิญเสด็จพระองค์หญิงเถิด” ขุนจิตรกล่าวแล้วจึงถวายบังคม ลุกยืน ทูลเชิญเสด็จ “เพลาจักชักช้าอยู่อีกนั้นมิได้แล้ว เพราะหม่อมฉันจะต้องพลอยผิด แม่ยมโดยก็จะชักช้าอยู่อย่างไรเล่า เชิญเสด็จซี”

“ต้องสุดแต่พระทัยท่าน” สาวแม่ข้าหลวงตอบทั้งที่กำลังไห้ สิ้นยำเกรง “ขุนก็รู้อยู่ว่ากำลังตกพระทัย จะเร่งรัดกันถึงไหน”

“ชะ แม่ยมโดย” ขุนจิตรหัวเราะก้องพระตำหนัก “นี่ราชโองการพระพุทธเจ้าอยู่หัว มิใช่ฉันจะมาเร่งเอง รู้ไหมเล่า ไงล่ะ ฝ่าพระบาท”

“คอยสักครู่ พอฝนหายก่อนมิได้หรือ ขุนจิตร” รับสั่งวิงวอนและปรับทุกข์ว่า “ฝนกำลังตกหนักเช่นนี้ก็หนาวตายกลางทางเท่านั้นเอง”

“หม่อมฉันทูลแล้วว่าอย่าให้หม่อมฉันต้องพลอยผิดด้วยหน่อยเลย ต้องเสด็จเดี๋ยวนี้แหละ เอ้า ทหาร” ขุนจิตรทูลแล้วหันเรียกทหารที่มาด้วย และยืนอยู่เบื้องหลัง “เมื่อข้าหลวงไม่เชิญเสด็จก็ต้องถือพระราชโองการเป็นใหญ่”

เสียงกรีดแซ่ทุกตัวนาง แม้พระองค์หญิงเองก็ทรงถลาลุก

“ไปเดี๋ยวนี้ อย่าต้องฉุดเลย โอ้ทูลกระหม่อม แต่เกิดมาเพิ่งจะครั้งนี่ที่ลูกจะต้องถูกคร่า” แล้วก็จะหวนเข้าห้องบรรทม “ขอเก็บของสักเล็กน้อยเถิด”

“เป็นพระราชทรัพย์หลวงแล้ว” ขุนจิตรย้ำ “มีรับสั่งให้ริบราชทรัพย์พระบัณฑูรสิ้นทุกสถาน”

ก็ทรงพระกันแสงโฮ ทรงยืนซวนไปประหนึ่งจะล้มลง แล้วทรงรำลึกป่านนี้ทหารทูลกระหม่อมคงจะถูกเขาพิฆาตสิ้น หาไม่ก็จำไว้หมด และสาวยมโดย​เห็นกระนั้นก็ผลักประตูห้องบรรทม แล้วประคองมาสู่หว่างกลางข้าหลวงแล้วทูลว่า

“ฝืนพระทัยให้กล้าเถิด หม่อมฉันขอตามเสด็จมิเลือกแล้ว แม้จะต้องตายเสีย”

“ไม่ตายหรอก แม่ยมโดยเอ๋ย” ขุนจิตรกล่าวเมื่อได้ยินทูลเช่นนั้น “แม้จักต้องพระมนเทียรบาลลงเป็นอิสตรีในเรือนทาสแล้ว ฉันจะทูลขอยมโดยเสียเอง”

“ลวนลามใหญ่แล้ว” สาวแม่ชี้หน้า หัวเราะแค้นทั้งน้ำตา “หรือขุนจิตรเห็นว่าเราถึงกาลจะพูดหยามกันเล่นก็บอกเถิด”

เขาหัวเราะ โบกมือให้ทหารเข้าต้อนเบื้องหลังกลุ่มข้าหลวง ทั้งกำกับซ้ายขวาออกประตูพระตำหนัก อันสายฝนซานั้นก็ยังหาสิ้นทีเดียวไม่ ขุนจิตรรอนำเสด็จฝ่าฝนซึ่งกระหน่ำหนาวพ้นพระตำหนักจักลุสวนออกประตูน้อย สารภีหักเกลื่อน ทั้งมิ่งไม้ผลตลอดหนทางก็ทรงเหลียวดูพระตำหนัก รับสั่งว่า

“ลาก่อนพระตำหนักแก้วสารภี และราชมนเทียรทูลกระหม่อม”

ฟ้าแลบปลาบเข้าพระเนตร แล้วขุนจิตรจึงสั่งให้หยุดประทับอยู่ สั่งรวมทหารและพระตำรวจทั้งสิ้นพร้อมกันเข้าห้อมล้อมเป็นขบวนเสร็จ ครั้นแล้วจึงพาเสด็จจากที่ร่มไม้ที่กำบังฝนจะออกประตูพระตำหนักน้อย ก็พลันฟ้าคะนองขึ้น และอีกสักเพียงแปดเก้าวาจักถึงประตู จึงเห็นทหารที่จุกซ่องสามสี่คนวิ่งวุ่น และทันใดนั้น หมู่หนึ่งของทหารก็ตามติดมา

“ใคร นั่น ขุนจิตรตะโกนถาม “ใครสวนทางมานั่น จงหลีกทางเสด็จพระองค์หญิง”

แต่กลับเงียบเสียงตอบ เป็นแต่ทหารหนึ่งปราดขึ้นหน้า ก็ฉงนใจแก่ขุนจิตร จึงตะโกนถามซ้ำอีกด้วยโทสะ

“ใคร เฮ้ย ถามมิตอบ”

“ทหารพระบัณฑูร” เสียงตอบห้วนๆ แล้วก็เข้าประจันหน้า ห่างอยู่สักสามวา “นี่อ้ายเดือนกลาโหมทหารพระบัณฑูร ก็เจ้า ใครเล่า”

ขุนจิตรก็ชะงักลงทันใด เพราะทั้งอริและรุ่งเรืองด้วยฝีมือพร้อมทหารมาทันก็เกรงความจะแตก แต่เห็นการเกินแล้วก็จำปล่อยไปตามการนั้น

“ใครนะ”

​ขุนจิตรแสร้งถามตะโกนอีก ขณะนี้เหล่าข้าหลวงก็พากันตื่นใจ เมื่อได้ยินแว่วๆ

เสียงตอบเป็นเสียงหัวเราะครื้นเครงปะปนในน้ำเสียง

“ขุนจิตรท่านจำเสียงอ้ายเดือนกลาโหมมิได้หรือ”

ก็พลันฟ้าแลบอีก และเสียงตอนนี้ก็ยินถนัดพระกรรณแล้ว พระองค์หญิงซึ่งอ่อนพระทัยจะสิ้นแรงนั้นก็พลันตื่นพระทัยนัก ลืมพระองค์และยศศักดิ์สิ้นแล้วก็รับสั่งเป็นตะโกน

“หลวงกลาโหมช่วยหญิงพระองค์น้อยด้วยเถิด”

“พี่เดือนเอ๋ย” แม่ข้าหลวงต้นพระตำหนักซ้อนเสียงรับสั่ง “ยมโดยและพระองค์หญิงถูกเขาคร่าแล้ว”

“ฮ้า พระองค์หญิงและยมโดย แม่หรือนั่น” กลาโหมพระบัณฑูรร้องลั่น “เสด็จมาเถิด พระองค์หญิงและยมโดย เมื่ออ้ายเดือนอยู่นี่แล้วไม่ต้องพรั่น”

“เดี๋ยวก่อน ออกหลวง” ขุนจิตรโบกมือกล่าวขึ้น “เราถือราชโองการมาเชิญเสด็จองค์หญิงไปตามหน้าที่ ก็การซึ่งท่านกล่าวนั้นจะขัดพระราชโองการ เป็นกบฏหรือ”

“บ๊า ขุนจิตร หลวงกลาโหมไฉนเล่าจักเป็นกบฏ แน่ะ ขุนจิตรควรบอกสักคำหนึ่งเป็นไร ว่าราชโองการเรื่องอะไร ว่ากระไร”

“พระบัณฑูรต้องพระราชอาญาแล้วมิรู้หรือ” ขุนจิตรชะโงกหน้าถามเสียงเย้ย “ท่านสิตามเสด็จพระบัณฑูร ก็ไฉนเล่าจักแสร้งมิรู้ว่าการใดเสมือนกบฏ”

“พูดเป็นบ้าแล้ว ขุนจิตร เรานี้ตามเสด็จก็เสมอศาลลูกขุน ไฉนจักรู้การเล่า เถอะน่ะ ขุนจิตร ผิว์ทูลกระหม่อมต้องราชอาญาก็ส่วนหนึ่ง ไฉนท่านจักคุมทหารมาล่วงเกินพระธิดาท่าน หมิ่นพระเกียรติกันดังนี้ หือ”

“อ๋อ พระโองการรับสั่งรีบ”

“บ๊ะ ริบพระราชทรัพย์พระบัณฑูรหรือว่าริบคน ถ้าริบคนก็ต้องริบอ้ายเดือนไปด้วย”

“ท่านหลีกทางเถิด” ขุนจิตรกล่าวง่ายๆ โทสะค่อยเกิด เลี่ยงออกประตูน้อยแล้วก็ยังพบเข้าอีก “ขอให้หลีกเดี๋ยวนี้ หาไม่จักว่าเป็นกบฏ”

“ยอมละ อ้ายเดือนไม่เป็นข้าสองเจ้าแล้ว” กลาโหมก้าวปราดเข้ามา อีกซ้ำตะโกนทูลพระองค์หญิง และบอกเหล่าข้าหลวงให้ทราบด้วยโทสะกล้า​มิคิดแก่การอื่น “ชาตินี้ของอ้ายเดือนนั้นยากนักจะเป็นบุรุษข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย และเมื่อกล่าวหาว่ากบฏ ก็เอาละ แต่ใช่กบฏแผ่นดินเป็นการใหญ่ ขอเพียงรักษาเกียรติพระธิดาทูลกระหม่อมและข้าหลวงมิให้ใครหยามได้ กลาโหมจักเชิญเสด็จเดี๋ยวนี้ ตั้งพระทัยไว้”

พระองค์หญิงทรงตื่นพระทัยในคำภักดีของทหารสมเด็จพระมหาอุปราช และขุนจิตรเมื่อฟังเช่นนั้น ก็รู้ว่าจักต้องการเลยตามเลยแล้ว

“อ๊ะ หลวงกลาโหมจะถืออำนาจเช่นนั้นมิได้เป็นอันขาด จงถอยหลีกทางเราเสียเถิด”

ขุนทหารกรมหมื่นโบกมือสกัดห้าม

“บอกว่าไม่ถอย” กลาโหมขึ้นเสียงแหว “มีหรือ คำอ้ายเดือนเมื่อลั่นแล้วจักคืนเสีย เราจะถอยต่อเมื่อได้เชิญเสด็จพระองค์หญิง”

“เช่นนั้นก็ฝืนพระราชโองการ”

“ฝืนก็ฝืน เราไม่เชื่อว่าเป็นพระราชโองการพุทธเจ้าอยู่หัว นอกจากรับสั่งกันเอง”

“เอ๊ะ แล้วกัน นี่หลวงกลาโหมมิว่าเสด็จในกรมกระมัง

ทหารเอกพระมหาอุปราชก็หัวเราะ

“สุดแต่ท่านจะคิดเถอะ ขุนจิตร แน่ะ เพื่อนเอ๋ย ก็ท่านอ้างว่าเป็นราชโองการนั้น และเราจะอ้างบ้างว่า รับราชโองการมาเดี๋ยวนี้เอง ให้เชิญเสด็จพระองค์หญิง แล้วท่านจะว่าอย่างไร ฮะ ขุนจิตรท่านสินึกว่าเป็นผู้รู้เห็นแต่คนเดียว ทำไมเล่า อ้ายเดือนมิได้เรียนรู้แก่การเช่นนี้เตรียมไว้มั่งหรอกหรือ เมื่อเพียงรับสั่งเสด็จในกรมท่านจะถือเป็นการใหญ่ ก็สมเด็จพระมหาอุปราชนั้นข้าพเจ้าจะถือเป็นรับสั่งบ้างเล่า จะว่ากระไร”

“ท่านหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนักแล้ว กลาโหม”

ทหารขุนจิตรชี้หน้า เพราะออกกลาโหมดื้อดึงนัก และเสมือนจะรอบรู้การนี้มาต่างหาก ครั้นจะปล่อยพระองค์หญิงและข้าหลวงที่กุมไว้ก็เกรงจะสมจริงและได้อับอาย เหลียวดูทหารห้าสิบเศษและเหล่าพระตำรวจหลวงกันเองของขุนฤทธิ์ที่ให้มาพอเป็นพยาน เห็นหลากหลายยากจะถอยแล้ว ก็ตกลงปลงใจ

“เราพูดอีกคำเดียวเป็นสุดท้ายนะกลาโหม ว่าท่านต้องหลีกทาง”

​“พุทโธ่ ช่างพูดเล่นเป็นเด็กไปก็ได้” ออกหลวงรำคาญใจ “เราจะถอยต่อเมื่อได้เชิญเสด็จพระองค์หญิงเอง หาไม่ ก็บอกกันคำเดียวว่าไม่หลีก รบเป็นรบ”

“ทหาร” ขุนจิตรตะโกนก้อง “กบฏขวางหน้าแล้ว ถอดดาบ แม้พระองค์หญิงหรือข้าหลวงใดหนี เจ้าจักเป็นโทษ”

เสียงร้องกรีดเซ็งแซ่ท่ามกลางฝน

“กลาโหมอย่าทิ้งหญิงให้เขาคร่าเสียเกียรติเลย ขอตายดาบข้างหน้าเถิด”

พระองค์หญิงทรงตระหนักแล้วว่า การนี้เป็นเพียงรับสั่งกันเองต่อๆหาใช่ราชโองการเป็นแน่นอนไม่ หากผู้ถือราชโองการนั้นประพฤติเกินไป

แม่ยมโดยก็เรียกหา

“พี่เดือน ชีวิตยมโดยสุดแต่พี่และพระองค์หญิงเถิด”

“อย่าพูดมาก” ขุนจิตรตวาด ถอดดาบเแล้วจึงสั่งซ้ำ “ทหารทุกคนใครถอยจะถือว่าเป็นใจกบฏ”

ออกหลวงกลาโหมราชเสนาจึงถอยไปสี่ห้าก้าว พระแสงดาบทูลกระหม่อมที่พระราชทานก็ชูร่าแก่เหล่านายหมู่นายกองของตัว

“นี่พระแสงทูลกระหม่อมพระราชทานไว้ ทหารพระบัณฑูรทุกชีวิตโน่น พระธิดาทูลกระหม่อมจักไร้พระเกียรติแล้ว ถอดดาบ ผิว์ไม่ได้พระองค์หญิงตายเสียให้หมดในราชฐานสมเด็จฯ เจ้าตามหลังเราสิ”

เหล่าทหารพระบัณฑูรแม้จักเพียงยี่สิบเศษก็ล้วนแต่สรรแล้วด้วยตัวนายหมู่นายกองมีฝีมือและคั่งแค้นอยู่ ครั้นยินคำออกกลาโหม ทั้งยี่สิบเศษก็สะพรึ่บพร้อมเพรียง เสียงรบก็ตะโกนขึ้นจากกลาโหม

ขาดคำอีกครั้งหนึ่งว่าตะลุมบอน แล้วกลางฝนกลางมืดซึ่งเคยอร่ามรุ่งเรืองด้วยแสงประทีปทั้งพระตำหนักและซุ้มไม้งามและถนนทางเดินซึ่งมีเหล่าข้าหลวงหลายพระตำหนักเดินสรวลเสระริกล้อเป็นคู่ และบ้างเล่นซ่อนหาเอาเถิดตามพุ่มแก้ว พื้นหญ้าที่สะอาดอ่อนโล่งเตียนมโหฬารดุจราชวังหลวงนั้น บัดนี้ก็กลายแล้วเป็นสมรภูมิของข้าต่างกรมแล่นเข้าปะทะกัน โดยฝ่ายหนึ่งหมายใจด้วยอำนาจจะล้างศัตรูให้สมแค้น และไม่มีหนทางจะหลีกเลี่ยง ส่วนอีกฝ่ายนั้นถือกตัญญูและห้าวหาญน้ำใจ แม้จักสิ้นบุญนายแล้วก็จะขอตอบแทนกตัญญูด้วยชีวิตตัว

​เพราะความคะเนของขุนทหารกรมหมื่นผิดไป ด้วยสำคัญว่าเมื่อสมเด็จพระมหาอุปราชต้องกุมตัวแล้ว หลวงกลาโหมคงจะเฝ้าคอยอยู่ตราบสว่างหรือถูกจับกุม แต่ก็หาทราบไม่ว่ามีรับสั่งพระบัณฑูรไว้เมื่อจะเสด็จเข้าในราชวังหลวงให้เร่งกลับในเมื่อค่ำ ขุนจิตรจึงลอบมาโดยประมาท อนึ่ง ฝีมือทหารซึ่งเตรียมมาเล่าก็ล้วนแต่เพียงพอรักษาวังกรมหมื่น แม้จักมากก็กระนั้นเอง แต่ทหารพระมหาอุปราชเหล่า ยี่สิบนี้ล้วนแล้วด้วยฝีมือขั้นขุนพลที่ตระเตรียมเสวยราชสมบัติทั้งสิ้น อันออกกลาโหมนั้น ผิว์จักหนุ่มอยู่แต่แกล้วหาญนักหนา ทั้งน้ำใจและฝีมือเป็นที่ครั่นคร้ามลือแล้วจบศรีอยุธยา ทั้งรอบรู้พระตำรับพิชัยสงครามลึกซึ้ง

ออกกลาโหมรบตะลุยมาตราบประชิดพระองค์หญิง ศพเกลื่อนและที่บาดเจ็บลำบากอีกเหลือหลาย ทั้งทหารล้อมพระองค์นั้นกระจายสิ้น

“พ่อเดือนของทูลกระหม่อมแก้วฉันเอ๋ย” รับสั่งกันแสงด้วยปีติเมื่อเหลือบเห็น “ยอดทหารพระบัณฑูรพ่อเอ๋ย ชีวิตฉันขอฝากไว้แก่กลาโหมแต่คนเดียว”

"ฆ่าให้หมด” กลาโหมตะโกนกึกก้องเมื่อได้ยินรับสั่ง “นี่เฮ้ยพระแสงสมเด็จฯ กลาโหมถือมาแล้ว ใครจักตัดหัว”

“จับอ้ายกบฏ”

ขุนจิตรตะโกนสั่งอยู่เช่นกัน แต่ทหารกรมหมื่นซึ่งแตกพ่ายนั้น เพราะเหล่าแม่กองและหัวหมู่ทหารพระมหาอุปราชล้วนเข้มแข็งทุกคน และออกหลวงเล่าก็เคยขึ้นประจัญด่านตีศึกพม่าพ่ายแล้วหลายครั้ง

พอยินคำเรียกกบฏ ออกหลวงก็เดือดน้ำใจ

“พระองค์หญิงของทูลกระหม่อมแก้วทอดพระเนตรทหารท่านเถิด จักรบให้แหลกเดี๋ยวนี้ ถวายกตัญญูเป็นครั้งสุด”

“พี่เดือนอย่าประมาทนัก” สาวข้าหลวงแม่ยมโดยร้องไห้เตือน “กลาโหมพี่จงระวังตัวสักหน่อย พลาดแล้วพระองค์หญิงและยมโดยจักเห็นใคร”

“อุบ๋า แม่เอ๋ยยมโดย แน่ะ พลหมื่นอ้ายเดือนยังเคยหักมา ก็สำมะหาอะไรเล่ากับเพียงกระหยิบมือนี้ ทหารพระบัณฑูรยี่สิบนี้ล้วนคัดแล้วจักตีทัพได้”

ฟ้าแลบอีกครั้งหนึ่ง เห็นขุนทหารกรมหมื่นถนัดตา จึงออกหลวงกลาโหมก็โผนเข้าใส่

“ขุนจิตร เรานี้กบฏแล้วดังท่านกล่าว อ้ายเดือนจึงขอรบท่าน”

​ขุนทหารกรมหมื่นถอยกรูด สำนึกตัวดังเห็นเพชฌฆาตทะลวงฟันอยู่เบื้องหน้าแต่ก็จำใจนัก หากเห็นด้วยกลว่ากลาโหมมัวเผลอเพราะโทสะจึงชิงเข้าฟันก่อน

“ชะช้า ขุนจิตร” หลวงกลาโหมยก ๒ ดาบ ป้องประกายไฟรับแวบ และยมโดยทั้งพระองค์หญิงร้องสุดเสียง แต่กลาโหมนั้นแสร้งถอยมาตราบใกล้พระองค์ กล่าวโดยหัวเราะ “ลอบกัดนัก ขุนจิตร อ๋อ ฝีมือขุนแต่เพียงกระนี้เอง เอ้า รับบ้างสิ อ้ายเดือนจะรุกบ้าง”

ขาดคำ ๒ ดาบของกลาโหมอันพระบัณฑูรราชทานไว้ก็ควงลิ่วดังหนึ่งฝีมือจักรรับแสงฟ้า ฟันตะลุมบอนทั้งตัดฉานฝานบวบกลับกลภาพ บัดใจ ขุนทหารกรมหมื่นซึ่งถอยสะดุดศพก็ล้มลง

“กลาโหม พ่ออย่า”

พระองค์หญิงเห็น ตกพระทัย ทรงวิ่งเข้ายึดแขน เพราะพระแสงมหาอุปราชกำลังเงื้อง่าจะตัดศีรษะ

กระนั้น ขณะเมื่อหลวงกลาโหมจิกศีรษะขุนทหารให้เงยขึ้นจะตัดนั้นก็หวดเสียแล้วแผลหนึ่ง

“ล้างพระบาทเสียเถิด” กลาโหมวางดาบเอาฝ่ามือรองเลือดล้างหลังพระบาทพระธิดาสมเด็จฯ แล้วเขย่ามือที่จิกอยู่ “ถวายบังคมขอขมาเสียจะไว้ชีวิตท่าน เร็วสิ”

ขุนจิตรใกล้จะสิ้นสติด้วยบาดเจ็บบาดแผล ทั้งไพร่พลก็กระจายพินาศแล้ว และแสงพระบัณฑูรก็เงือดเงื้อ ชีวิตจักแหล่นนักจึงยกมือประนมถวายบังคมขอขมาตามคำขาดของออกหลวง

แต่กระนั้นหลวงกลาโหมก็ยังหาเพียงพอแก่โทสะมิได้ เพราะขุนจิตรนี้ ผู้หนึ่งถูกต้องโทษได้รับอาญาพระบัณฑูรแล้วผูกใจเจ็บเพ็ดทูลเสด็จในกรมจนเกิดอริ กราบบังคมทูลด้วยข้อผิดร้ายต่างๆ ตราบสมเด็จพระมหาอุปราชถูกกุมตัวรับพระราชอาญา จึงเงื้อดาบสับอีก กระทั่งขุนจิตรสิ้นสมประดี

“อย่า พ่อเอ๋ย กลาโหมของหญิง” ทรงยึดแขนไว้ “พ่อเดือนไว้ชีวิตเขาเถิด เสมือนยกให้เป็นกุศลแก่ฉันสืบไป ทหารทูลกระหม่อมแก้วเอ๋ย อย่าฆ่าเขาเพราะสลบแล้ว”

​“อยากตัดหัวโยน” หลวงกลาโหมยืนฮึดฮัด “เพราะมันหลอกพระองค์หญิงทูลกระหม่อมแก้ว และข้าราชวังจึงเดือดร้อน ยังอีกวังหนึ่งทหารในกรมหนึ่งที่หม่อมฉันจักต้องล้างให้สมใจ”

“พ่อยอดทหารทูลกระหม่อม จงเชื่อคำหญิงเถิด”

“พี่เดือนถวายเถิด อย่าล้างชีวิตเขา เพียงฝืนราชโองการประหารผู้คนและทหาร ท่านก็ผิดหนักหนาแล้ว เร่งคิดเอาตัวรอดเถิด”

กลาโหมจึงได้สติ ปล่อยตัวขุนแล้วจึงดูเหล่าทหาร เห็นกระจัดกระจายหนีเตลิดหมด เหลือแต่องค์รักษ์พระบัณฑูรจึงกวักดาบเรียก

“พี่น้องกูมานี่”

พลัน เหล่าทหารกองและหัวหมู่ซึ่งดาบฉาดฉานแดงอยู่ด้วยเลือด ก็ปราดมาจับแถวกลุ่มอยู่ต่อหน้ากลาโหมและพระธิดาสมเด็จฯ

ท่ามกลางมืดและฝนฟ้าคะนองทั้งพายุกล้า ออกหลวงกลาโหมจึงประกาศขึ้น

“พี่น้องเราทั้งหลายอันเป็นข้าสมเด็จทูลกระหม่อมแก้วพระบัณฑูร บัดนี้เราทั้งหลายก็เสมือนกบฏแล้ว ดูเถิด บรรดาศพทหารกรมหมื่นที่กลาดเกลื่อนนั้นจักฟ้องเราเสมือนโจทก์ และนับจากนี้สืบไปก็สิ้นบุญทูลกระหม่อมแก้ว เราจักต้องพลัดพรากจากกัน ต้องซ่อนเร้น เมื่อข้าวของใครมียังห่วงอยู่ ทั้งบุตรภริยาก็จงเร่งไปจัดเสีย แล้วก็หนีเอาตัวรอดเถิด เพราะเรายังจักต้องเชิญเสด็จหนีอีกสืบไป”

“เราจักตามกลาโหม” เสียงแซ่ประดังขึ้นคล้ายๆทำนองกัน “ทหารพระบัณฑูรมิชอบเป็นข้าสองเจ้าอีก หลวงกลาโหมท่านองนำเราเถิด สุดแต่จะไปสารทิศใด หรือจักรบไหนก็รบกัน”

“ขอบน้ำใจพี่น้องเรานักหนา” ทหารกล้าพระมหาอุปราชกล่าวด้วยตื้นตันใจนัก “แต่เราจะทำฉะนั้นมิชอบ อยู่ด้วยเป็นข้าแผ่นดินท่าน ผิว์จักไปอยู่รวมกัน กระนี้ หนไหนแล้วก็เสมือนเรานี้ร่วมการคิดกบฏ จึงขอห้ามเสีย ขอพี่น้องจงเชื่อเราและไปจำเริญเถิด มิตายแล้วก็คงจักได้พบเห็นกันเป็นแท้”

พลันบังเกิดเสียงซุบซิบปรึกษา บ้างสะอื้นและไห้อยู่ด้วยน้ำใจรักและอาลัยแก่ความหลังในทูลกระหม่อมมหาอุปราช และออกหลวงกลาโหมชักช้าอยู่ กระทั่งพระองค์หญิงต้องรับสั่งปลอบโยน จึงต่างเข้ามาประนมมืออำลาและ​บอกชื่อตำแหน่งทั้งสถานที่อยู่เดิมซี่งจักกลับไปสู่นั้นแล้ว ต่างคนก็เร่งกลับสู่สำนักเก็บข้าวของค้นคว้า แต่บรรดาผู้มิโสดมีบุตรภริยา ส่วนครัวเรือนนั้น ถูกขุนจิตรให้ทหารคุมไปสิ้นแล้ว

พระองค์หญิงยังทรงยืนลังเลพระทัยอยู่ ตราบได้พระสติแล้วก็รับสั่งถาม

“ฉันจะทำอย่างไรดีเล่า ออกหลวงกลาโหมเอ๋ย ทูลกระหม่อมก็เหมือนสิ้นพระบารมีแล้ว ป่านฉะนี้จะอย่างไร ก็ยากจะคะเนได้ และศพทหารเหล่านี้ คงจะเหมือนโจทก์ฟ้องเราเช่นพ่อเดือนว่า”

“หนี” ออกหลวงกลาโหมกล่าวทูลห้วนๆ กวาดตามองหมู่ทหารกรมหมื่นซึ่งนอนก่ายกัน กระทั่งขุนจิตรผู้สิ้นสมประดีสลบอยู่ แม้มิมีฝนตกชะแล้ว ลานพระราชวังจันทรเกษมจักนานอยู่ด้วยเลือดคะนองแผ่นดิน แล้วออกหลวงจึงกราบทูลเศร้าๆ “ถึงหม่อมฉันก็อยู่หาได้ไม่ เพราะการครั้งนี้นับเป็นผิดใหญ่หลวงนัก ยิ่งกบฏด้วยฆ่าฟันผู้คนท่าน ไหนเลยเสด็จในกรมจะละไว้ ก็จำต้องไป แต่จะเชิญเสด็จให้ประทับเรียบร้อยเสียก่อน สุดแต่จะต้องพระประสงค์ประทับแห่งใด”

“อื่นเห็นมิพ้นพระราชอาญาและศัตรูแล้ว ผิดจากพระตำหนักสวนกระต่ายทูลกระหม่อมอา เดี๋ยวฉันจะให้ยมโดยช่วยเก็บของสักครู่เดียว”

สิ้นรับสั่ง พระองค์หญิงก็เรียกสาวยมโดยและข้าหลวงอื่นหวนกลับไปสู่พระตำหนัก ทรงรวบรวมข้าวของล้วนเครื่องประดับอาภรณ์มีค่า นอกกว่านั้นก็แจกจ่ายแก่เหล่าข้าหลวงบ้าง เพื่อแก่กาลข้างหน้า หลวงกลาโหมและแม่กองอีกสามสี่คนที่เป็นโสดและมิยอมกลับไปเก็บเข้าของก็ซุ่มระวังภัยอยู่ตามมืดและเชิงบันได ตราบรวบรวมข้าวของเสร็จจึงเสด็จลงมา เหล่าทหารพระบัณฑูรก็เข้าห้อมล้อมให้กลาโหมนำขึ้นหน้าเชิญเสด็จออกเบื้องหลังพระตำหนักน้อยสารภีแต่เพลานั้น

.




« Last Edit: 23 October 2025, 16:45:37 by ppsan » Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #1 on: 23 October 2025, 14:52:23 »


https://vajirayana.org/%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%B9%E0%B8%A3/%E0%B9%92

https://vajirayana.org/ทหารเอกพระบัณฑูร/๒




ตั้งแต่มีพระราชโองการตรัสรับสั่งมหาดเล็กให้ออกมาเชิญเสด็จพระมหาอุปราชไป ณ ตำหนักสองห้องข้างทิมสงฆ์ แล้วดำรัสตรัสสั่งพระมหาเทพให้ลงพระอาญาจำห้าประการแล้ว จึงให้มีกระทู้ถามคำฟ้องและพิจารณาเป็นสัตย์

ครั้นถึงวันแรมค่ำ ๑ ในเดือน ๕ ปีกุนนั้น มีพระราชโองการรับสั่งให้ผูกกรมพระราชวังบวร แล้วจึงให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนได้ ๒๐ ที ลมจุก กรมหมื่นสุนทรเทพก็กราบทูลว่า จุกหนักจักขอพระราชทานแก้เสีย ครั้นวันแรม ๒ ค่ำ รับสั่งให้เฆี่ยนอีกสองยกเป็น ๖๐ ที แล้วให้นาบพระบาทด้วย แลให้กระทู้ต่อว่ากรมพระราชวังบวรว่า อ้ายปิ่นกลาโหมคบทาทำชู้กับมารดาเจ้ามิตรเป็นเมีย ให้เฆี่ยนถึง ๗๐๐ ตายอยู่กับคา แต่นี่คบทาทำชู้กับสามีเมียเจ้าทั้งสองพระองค์ แล้วก็มีพระราชบุตรด้วยสามสี่พระองค์ และ ๗๐๐ นั้นโปรดให้แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน จะให้เฆี่ยนแต่ส่วนหนึ่ง ๒๓๐ จะว่าประการใด

กรมพระราชวังบวรก็ให้การกราบทูลว่า จักขอรับพระราชอาญาสุดแต่จะทรงพระกรุณาโปรดเถิด กรมหมื่นเทพพิพิธจึงเอาคำให้การขึ้นกราบบังคมทูล ดำรัสถามว่าเฆี่ยนได้เท่าไรแล้ว กรมหมื่นเทพพิพิธก็กราบบังคมทูลว่าลงพระอาญาได้ ๖๐ ทีแล้ว จึงดำรัสสั่งว่าให้เฆี่ยนยก ๓๐ ทีไปกว่าจะครบ ๒๓๐ ที แล้วให้เสนาบดีแลลูกขุนพิพากษาโทษว่าจะเป็นประการใด จึงท้าวพระยามุขมนตรีก็พร้อมกันปรึกษาโทษต้องด้วยพระราชกำหนดกฎมนเทียรบาล จึงกราบทูลพระกรุณาว่า กรมพระราชวังบวรโทษเป็นมหันต์ถึงประหารชีวิตเป็นหลายข้อ จักขอพระราชทานสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ตามขัตติยราชประเพณี จึงทรงพระกรุณาตรัสขอชีวิตไว้ แต่ให้นาบพระนลาฏถอดเสียจากเจ้าเป็นไพร่ และเจ้าฟ้าสังวาลนั้นให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนยกหนึ่ง ๓๐ ที ให้ถอดลงเป็นไพร่จำไว้กว่าจะสิ้นชีวิต และเจ้าฟ้าสังวาลนั้นอยู่ได้ ๓ วันก็สิ้นพระชนม์ แต่กรมพระราชวังบวรสมเด็จพระมหาอุปราชนั้น ต้องรับพระราชอาญาเฆี่ยนอีก ๕ ยก เป็น ๑๕๐ ที ก็ถึงดับสูญสิ้นพระชนม์ จึงรับสั่งให้เอาศพทั้งสองไปฝังไว้ ​ณ วัดไชยวัฒนาราม

เมื่อกรมพระราชวัยบวรฯ สิ้นพระชนม์ในระหว่างโทษแล้ว แต่นั้นมาเจ้าฟ้าอีก ๒ องค์ ซึ่งเป็นพระอนุชาธิราชก็เป็นอริกับเข้าต่างกรมทั้ง ๓ พระองค์ตลอดมา จนลุปีฉลูนพศก เดือน ๕ กรมหมื่นเทพพิพิธจึงปรึกษาด้วยเจ้าพระยาอภัยราชาที่สมุหนายก และเจ้าพระยามหาเสนา พระยาพระคลัง พร้อมกันแล้วกราบบังคมทูลพระกรุณาว่า จะขอพระราชทานให้สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตขึ้นประดิษฐาน ณ ที่มหาอุปราชกรมพระราชวังบวรสถานมงคลสืบไป จะได้บำรุงรักษาแผ่นดิน ฝ่ายเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตนั้นแม้จักทรงเฉลียวฉลาดแต่ด้วยเสด็จไปศึกษาขณะสมัยอยู่ในสำนักสงฆ์แต่ยังทรงพระเยาว์ จึงนิยมทางพระศาสนาเสียมาก ก็ทรงมักน้อย ทั้งเห็นท่วงทีว่าพระราชวงศ์มิสู้จะปรองดองกัน จึงทรงทำเรื่องราวกราบบังคมทูลพระกรุณาว่าสมเด็จพระเชษฐาธิราชเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรียังมีอยู่ ขอพระราชทานให้เป็นกรมพระราชวังบวรจึงจะสมควร ก็มีพระบรมราชโองการตรัสว่า กรมขุนอนุรักษ์มนตรีโฉดเขลาหาสติปัญญาและความเพียรมิได้ ถ้าจะให้ดำรงฐานาศักดิ์สำเร็จราชการกึ่งหนึ่งนั้น บ้านเมืองจะเกิดภัยพิบัติฉิบหายเสีย เห็นแต่กรมขุนพรพินิตกอปรด้วยสติปัญญาฉลาดหลักแหลม สมควรจะครองเศวตรฉัตรรักษาแผ่นดินสืบไปได้เหมือนดังคำปรึกษาท้าวพระยามุขมนตรีทั้งปวง จึงดำรัสสั่งเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีให้ไปบวชเสีย อย่าอยู่ให้กีดขวาง จึงเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีเกรงพระราชอาญา ก็มิอาจฝืนพระราชโองการ ต้องจำพระทัยทูลลาไปทรงผนวช แล้วเสด็จไปจำพรรษา ณ วัดละมุดปากจั่น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีอุปราชาภิเษก ณ พระที่นังสรรเพ็ชญ์ปราสาท อัญเชิญเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตเถลิงถวัลย์ราชย์ ณ ที่กรมพระราชวังบวรฯ แต่มิได้เสด็จขึ้นประทับ ณ พระราชวังบวรจันทรเกษม คงประทับอยู่ ณ พระตำหนักสวนกระต่ายเช่นเคยแต่ก่อนมา

ครั้นลุปีขาล ย่างเดือน ๖ แล้ว นานอกพระนครเพิ่งจะได้ฝนแผ่นดินอ่อนพอจะลงไถตามฤดูกาล ทุ่งแก้วและทุ่งขวัญฟากแม่น้ำทุ่งภูเขาทองโน้น ตลอดจนลุมพลีอันเป็นย่านทำกิน และนับเป็นเมืองเอก ก็ต่างไถดะและบ้างไถแปรจักเริ่มหว่านแลดำ

​ศาลาตระเวนท่าสิบเบี้ยนั้น ขณะนี้เรือตรวจด่านยิ่งกวดขันเสมือนยามศึก ด้วยเป็นขณะสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประชวรหนัก ถึงตรัสมอบราชสมบัติแล้วแก่กรมพระราชวังบวรมหาอุปราช ทหารก็เข้าจุกช่องล้อมวังอยู่ตลอดเวลา เจ้าต่างกรมทุกพระองค์ก็คอยสดับแต่เหตุว่าจักเกิดการณ์ใดมิแน่ เมื่อสวรรคตแล้วเหล่าข้าราชบริพารก็เตรียมกันพร้อมอยู่เสมอ

จวบกับเวลาน้ำขึ้น เรือเก๋งสี่แจวจึงตามน้ำล่องลิ่วเข้าปากคลอง พันแคว้นหมู่บ้านชาวเมืองเข้าสู่ย่านชนบทเอกนาเหนือพันเขตตระเวนด่านจึงแยกเข้าคลองน้อยใต้วัด แล้วเก๋งนั้นก็จอดเทียบท่า มหาดเล็กนายหนึ่งก็เข้ายึดกราบไหว้ ขณะอิสตรีสาวทั้งสองสามคนก้าวขึ้นจากเรือ

“พระองค์หญิงรับสั่งบอกตำแหน่งเถิด หม่อมฉันจักไปตามหลวงกลาโหมมาเฝ้าเอง ประทับคอยอยู่ดีกว่า”

“อย่าเลย” รับสั่งแก่มหาดเล็กนั้น “ฉันอยู่นี่ลำพัง ผิว์ใครมาพบแล้วมิลำบากหรือ และฉันเป็นห่วงหลวงกลาโหมเหลือเกิน โธ่เอ๋ย ตั้งแต่สิ้นบารมีทูลกระหม่อมแล้ว ก็เกือบ ๒ ปี ไม่พบเลย พ่อเดือนคงลำบากมากนะ ยมโดย”

นางข้าหลวงก็รับเสียงเครือ

“พระองค์หญิงเป็นเจ้านาย ได้พึ่งพระประยูรญาติยังทรงลำบากย้ายสถานพระตำหนักไม่หยุดหย่อน ก็พี่เดือนจะปานไหน หม่อมฉันเกรงจะไม่อยู่ที่เก่าตามบอกไว้ด้วยซ้ำ”

รับสั่งว่า “คงอยู่จริงนะ ยมโดย หลวงกลาโหมและทหารเสด็จพ่อฉันไม่ไว้ใจใครเหมือนหลวงกลาโหมนี้เลย โธ่ ป่านนี้จะทุกข์ยากสาหัสอย่างไรไม่รู้กัน”

ด้วยเป็นเพลาเกือบค่ำ พวกชาวบ้านชาวนาต่างคืนบ้านกันเกือบสิ้น จึงหามีผู้ใดจะเอาใจใส่แก่การเสด็จหรือจักติดตามสงสัยแต่สักคน จักมีบ้างก็แต่เพียงชะเง้อมอง แล้วก็สำคัญว่าอิสตรีในกรุงคงมาเยี่ยมเหล่าญาติเช่นธรรมดา จึงรับสั่งให้แฝงเรือไว้ แลมีมหาดเล็กตามเสด็จไปเพียงคนหนึ่งกับนางข้าหลวงเท่านั้น แม้กระทั่งพระทัยพระองค์หญิงก็ระทึกหวาดไหวไปหลายสถาน เพราะนอกจากจะลอบมาแล้ว หลวงกลาโหมยังมีโทษเป็นสถานร้าย ฝืนพระราชโองการฆ่าฟันทหารในกรมหมื่นทั้งสองนั้น อันเป็นอุกฤษฎ์โทษและบัดนี้ก็เสมือนถูกถอดแล้ว เพราะแม้แต่สมเด็จพระมหาอุปราชก็ยังมี​พระราชโองการให้ถอดลงเป็นไพร่ และรับพระราชอาญาถึงดับสูญสิ้นพระชนม์ระหว่างโทษ

ถึงหน้าพระอุโบสถซึ่งมีพรรณไม้ประดู่ขึ้นครึ้มอยู่เรียงราย จึงพระองค์หญิงรุ่นงาม พระธิดาสมเด็จฯ ก็ทรุดพระองค์สไบเฉียง ทรงประนมอธิษฐานขอคุณรัตนตรัย ทั้งทรงรำลึกไปถึงพระบัณฑูรซึ่งดับสูญไปแล้ว ขอบารมีให้คุ้มเกรงรักษา และถ้าพบยอดทหารสมเด็จพระมหาอุปราชผู้บันลือฝีมืออันจักได้ช่วงใช้เป็นกำลังของบ้านเมืองสืบไปอีก และทรงตั้งสัตยาธิฐานอีกต่างๆประการแล้ว จึงเสด็จทรงพระดำเนินต่อไป

อาทิตย์อัสดงคตแล้วจักสู่เพลาค่ำ เมื่อพ้นท้ายวัดเห็นแต่แสงเพียงรอนๆ ยมโดยและมหาดเล็กนั้นจำตำแหน่งไว้จะแจ้ง มิสู้ลำบากนัก แม้จะต้องเดินหลีกเลี้ยวหลายครั้งหลายหน สักครู่ก็เห็นกระท่อมปลายนามิสู้ไกลนัก จึงต่างเร่งฝีเท้าจักให้ถึงในก่อนพลบ เพราะหากผิดกระท่อมนี่แล้วก็จำต้องรีบกลับ ด้วยเพลามืดมาถึง

พระทัยก็สั่นหวั่นไหว เมื่อขณะถึงประตูอันปิดสนิท เสียงสาธยายมนตร์และอ่านโองการตลอดพิธียุทธและพระพิชัยสงคราม...พ่อเอ๋ย ใช่แล้ว ทหารพระบัณฑูรมาซุ่มอยู่...แล้วทั้งพระองค์หญิงและสาวนางข้าหลวงยมโดยก็นิ่งฟังตราบสาธยายมนตร์นั้นจบ

สักครู่เดียวที่เงียบก็พลันได้ยินเสียงอ่านฉันท์และกาพย์ห่อโคลงสำเนียงครวญ ซึ่งเป็นนิราศที่สมเด็จพระบัณฑูรทรงพระนิพนธ์ไว้


๏ ย่ำฆ้องค่ำแล้วเจ้า   เพลาเล่าเข้าสนธยา
จุดเทียนเวียนส่องหา   เจ้าแห่งใดไม่เห็นเลยฯ

๏ ราตรีรวีเลื่อนเลี้ยว   ลับตา
มัวมืดมนสนธยา   ค่ำแล้ว
ถือเทียนเวียนส่องหา   นางทั่ว
อยู่แห่งใดน้องแก้ว   ห่อนได้เห็นเลยฯ


พระองค์หญิงหวิวพระทัย แล้วทรงกันแสง รับสั่งแก่ข้าหลวง

​“ฟังเถิด ยมโดยเอ๋ย คิดถึงทูลกระหม่อมนัก โอ้ ผิว์มิสิ้นป่านนี้ก็ต้องล้อมวงเตรียมประทับเศวตฉัตร แล้วพวกเราคงมิต้องมาอยู่ทุ่งเดินนาให้ลำบากเยี่ยงนี้ พระพุทธเจ้าข้าเอ๋ย สู่สวรรคาลัยแล้วแต่พระองค์เดียว”

รับสั่งให้มหาดเล็กค่อยเคาะประตูเรียก แม้จักได้ยินเสียงขานรับก็ยังกุกกักค้นสิ่งใดอยู่ เมื่อมหาดเล็กเรียกซ้ำอีก ขณะนั้น ประตูกระท่อมก็พลันแง้มแล้วผลักออกเต็มแรง บุรุษซึ่งเคยกำยำล่ำสันหน้าสะอาดนั้น ผ่ายผอมซูบไป ทั้งผมเต้ารุงรังเสมือนไม่ไยดีแก่ร่างกาย และถอดดาบพระบัณฑูรถือง่าเตรียมอยู่

“หลวงกลาโหม”

ตรัสเรียก สุรเสียงสะอื้น แล้วนางข้าหลวงเจ้าก็ซ้อนเสียงว่า

“พี่เดือนเอ๋ย จำมิได้หรือ ยมโดยและพระองค์หญิงเสด็จมาเยือน”

ยอดทหารพระบัณฑูรก็ชะงักดังถูกตรึง ครั้นได้สติก็ทรุดกาย วางดาบประนมมือถวายบังคม กล่าวเสียงเครืออยู่

“กุศลอ้ายเดือนนักหนา ทรงจำเริญเถิด ไม่ตาย เราก็พบกันอีก โธ่ ยมโดย แม่ซูบไป”

แม่ข้าหลวงก็เมินซ่อนน้ำตา แม้พระองค์หญิงก็ถอนสะอื้น ไม่วายรับสั่งว่า

“พ่อเดือนผอมผิดตานัก จะเข้า ๒ ปีแล้ว ไม่เห็นเลย คิดถึงครั้งทูลกระหม่อมแก้วเมื่อทรงพระจำเริญอยู่”

“หม่อมฉันร้องไห้เกือบสิ้น ๒ ปี” หลวงกลาโหมกราบทูล “คิดถึงทูลกระหม่อมและใครต่อใคร ทั้งระลึกถึงพระองค์หญิงไม่วาย ยิ่งคิดก็ยิงแน่ใจว่าเห็นจะตายจากยมโดยเสียเปล่า ไม่พบเห็นกันอีกแล้ว เออ ก็เป็นวาสนาอยู่บ้างยังได้มาพบกันอีก คงจะทรงใช้กิจใดหม่อมฉันกระมัง อุตส่าห์เสด็จมา”

ทรงพยักรับ ขณะนั้นค่ำสนิทแล้ว หลวงกลาโหมจึงเชิญเสด็จเข้าประทับภายในกระท่อม พร้อมด้วยมหาดเล็กแลข้าหลวงสาวใช้สิ้นทุกคน จัดแจงจุดเทียนมาปัก ทั้งลงกลอนประตูมั่น จึงกลับมาเฝ้าสถานเดิม

แล้วพระองค์หญิงก็รับสั่งขึ้นว่า

“สักครู่ เมื่อมาถึงนึกจะไม่ใช่กระท่อมนี้ หากได้ยินพ่อเดือนสาธยายมนตร์อยู่ ฉันใจจะขาดเสียให้ได้ เมื่อได้ยินพ่ออ่านกาพย์ของทูลกระหม่อมแก้ว เลยต้องร้องไห้”

​ทหารสมเด็จพระมหาอุปราชก็หน้าเศร้า ชำเลืองดูพระพักตร์และแม่ยมโดยนางข้าหลวง แล้วกล่าวว่า

“ท่องไปด้วยเคยเพลาเสียแล้ว ผิว์หม่อมฉันรำลึกในทูลกระหม่อมครั้งไร ก็ไม่วายจะท่องกาพย์โคลงของท่านได้ ครั้นจะสร้างเป็นกุศลอุทิศถวายก็กำลังยังยากแค้นขัดสนนัก อนึ่ง เมื่อท่องกาพย์พระนิพนธ์นี้ นอกจากได้รำลึกถึงสมเด็จฯ แล้ว หม่อมฉันยังได้รำลึกถึงใครเขาอีกคนหนึ่ง ถูกไหม แม่ยมโดย”

“พูดพิลึก” แม่ข้าหลวงรู้ตัวดีว่าถูกกลาโหมหวนเกี้ยว “พระองค์หญิงเสด็จมาเยี่ยมยังจะพูดเป็นเล่นอยู่อีก”

“อ้าว แล้วกัน” หลวงกลาโหมซึ่งถูกถอดไปแล้วหัวเราะ มองตาค้อนของสาวยมโดย แล้วทูลพระองค์หญิงเป็นเชิงสนุกว่า “เกือบจะ ๒ ปีแล้วหม่อมฉันมิถูกค้อนเลย แต่ก่อนเมื่อยังอยู่ในราชวัง พอถึงเพลาฆ้องก็ท่องกาพย์ไปตามเสียงฆ้อง ถึงจะถูกค้อนถึงข่วนบ้างก็พอจะทนอยู่ แต่ว่าขณะเดี๋ยวนี้เห็นแต่ไร่แต่นา และมาอยู่เสียสุดเสียงฆ้องแล้ว ยินแต่เสียงระฆังวัดชั่วรุ่งครั้งหนึ่งและค่ำครั้งหนึ่งเท่านั้น”

“แล้วพ่อเดือนคิดถึงยมโดยของฉันบ้างหรือเปล่าล่ะ”

พระองค์หญิงรับสั่งถามขึ้นตรงๆ อย่างพลอยสนุก

“หม่อมฉันร้องไห้ถึงทุกเพลาระฆังทั้งเช้าเย็นเกือบ ๒ ปีแล้ว”

“มุสาพูด” สาวยมโดยแม่ชี้หน้า “ปากนี้ของพี่เดือนเมื่อครั้งอยู่ราชวังใครๆเขารู้กันออกแซ่”

“ว่ายังไง แม่เอ๋ยยมโดย เขารู้ว่ายังไง ไหนแม่บอกสักหน่อยเถิด”

แม่ข้าหลวงก็อดหัวเราะมิได้ อันทุกข์ถึงเดือน ๒ ปี เพียงได้สัพยอกกันครั้งหนึ่งก็พอจะคลายบ้าง จึงตอบว่า

“อยากจะรู้งั้นรึ พี่เดือน ว่าปากตัวเป็นที่เลื่องลือทั้งชาววังด้วยเรื่องอะไรแน่ะ ข้าหลวงพระองค์หญิงทุกๆคนแน่ะ พี่เดือนเว้นใครมั่งที่ไม่ลองเกี้ยว”

“ตายจริง ฉัน” ออกหลวงกลาโหมหัวเราะเก้อ เสว่า “ใครหนอพับผ่าเถอะ อยากรู้ตัวจริงเชียวที่พูด”

“ยมโดยนี่แหละพูด”

​“เออ ยันเข้าเถิด ยมโดย” รับสั่งหนุน เกิดสนุกพระทัย “ฉันไม่ได้ยินทะเลาะกันมานานแล้ว อยากรู้ว่าใครจะแพ้ชนะเหลือเกิน”

ออกกลาโหมก็ขึงขังแสร้งขู่

“อ๋อ ยมโดยแม่รู้พูด ว่าไงล่ะ”

ข้าหลวงแม่ยิ้มละไม เดาะนิ้วเสมอหน้า

“อย่าอายนะจะบอกให้ อวดดีนักเถอะ จะนับให้ฟัง แม่ดวงขวัญหนึ่งละ จันทนาอีกใช่ไหมล่ะ แล้วก็รำพันเสียด้วยซีเพคะ พระองค์หญิง”

“ว่าไง ไหนบอกเถอะ ฉันอยากฟังคำรำพัน”

ยมโดยแม่จึงเอ่ยขึ้น

“จันทนาเขากระซิบแก่หม่อมฉันว่า ทหารทูลกระหม่อมแก้วไปประจบเขาว่า แม้ทูลกระหม่อมเสวยราชสมบัติแล้ว ออกกลาโหมจะไม่เลี้ยงให้เป็นน้อยเลย ขอให้รับคำเถิด”

“พอ แม่” หลวงกลาโหมโบกมือระรัวห้าม สารภาพ “แพ้แล้วแม่เอ๋ย ยอมแพ้แล้ว เอาความไม่จริงมาพูด ใครเลยจะสู้ได้”

“แน่ะ ฟังว่า” ยมโดยหัวเราะเชิงชนะ “ทรงฟังเถิดพระองค์หญิง บอกว่ายอมแพ้ แต่กลับหาว่าหม่อมฉันเอาเรื่องเท็จมาปั้นขึ้น ถ้ากระนั้นจะยอมแพ้ทำไมเล่า”

“ไม่จริงนี่ แม่เอ๋ย ใครเล่าไปคุยจักให้จันทนาแม่เป็นน้อยเป็นหลวงประหลาดนัก”

“พี่เดือนนั่นแหละคุย เขามาบอก มิเชื่อ กลับไปนี่ พระองค์หญิงลองรับสั่งเรียกตัวมาซักดูเถิด”

“เอ๊ะ แม่ยมโดย” ออกหลวงเบิ่งตาโพลง จักยิ้มจักขีดสีหน้าดูไม่ใคร่ออก แล้วก็พูดอ่อนลงว่า “เราล้อเล่นกันเพียงสนุก แม่ก็อย่าให้เดือดร้อนถึงพระองค์หญิงต้องไปซักถามจันทนาเขาอีกเลย แต่ว่า...” แล้วออกหลวงก็สำนึกอย่างหนึ่งจักเย้านางข้าหลวง จึงยิ้มๆ “นี่เพลาก็มืดนานแล้ว จะใกล้ทุ่ม แต่พอถึงทุ่มฉันก็อยากจะอ่านกาพย์ทูลกระหม่อมอีกสักบทหนึ่ง”

ยมโดยแม่เหมือนต้องสะกิดหัวใจ อายจนผิว์หน้าระเรื่อ ชี้นิ้วห้าม

“อย่านะ พี่เดือนจะอวดดีใหญ่แล้ว นานๆได้พบกันจะมายั่วให้เกิดโมโห”

​“เอ๊ะ ยังไงกันนี่” รับสั่งฉงนพระทัย เพราะมิรู้เรื่องแต่เดิมมา ทั้งมองหน้าข้าหลวงก็เห็นเจื่อนอายนัก จึงรับสั่งถาม “เป็นยังไงนะ ยมโดย กลาโหมเขาจะอ่านกาพย์ทูลกระหม่อมแก้ว และหญิงก็ใคร่จะฟังอยู่ แต่ยมโดยมาห้ามเสียฉะนี้ ประหลาดนัก”

“เขายั่วหม่อมฉัน” ข้าหลวงแม่ทูลความยังค้อนกลาโหม ทั้งฉิวทั้งอาย “พี่เดือนจะแกล้งล้อหม่อมฉัน”

“เอ๊ะ พิลึกละ ยมโดย ทำไมเล่า ก็ฉันเพียงจะอ่านกาพย์ของทูลกระหม่อมเมื่อทุ่ม ไหนจะไปล้อแม่ยมโดยได้เล่า พิลึกแท้”

แล้วหลวงกลาโหมทหารยอดฝีมือก็สำรวลสนุก ลืมทุกข์สิ้น เสมือนอยู่ใกล้สวนพระตำหนักสารภี

“อย่าห้ามเขาเลย ยมโดยเอ๋ย” รับสั่งสืบไปอีก “ตั้งแต่สิ้นบุญทูลกระหม่อมแล้ว มิได้ฟังเลย เพราะจะหาใครท่องจดจำก็ได้น้อยนักหนา เชิญเถิดพ่อเดือน ฉันอยากฟังนัก ด้วยกาพย์เพลาครบทุ่มนี้ หญิงก็ลืมเสียแล้ว จำมิถนัด”

ยมโดย แม่อายแต่มิอาจฝืนรับสั่งได้ ความจริงนั้นเค้าความของกาพย์กลอนเมื่อครบทุ่ม สาวข้าหลวงแม่ยังจำได้แม่นยำ หากแต่ยังอายขายหน้าอยู่และยิ่งนาน ครั้นได้มาพบกระนี้แล้ว อายเก่าก็คุขึ้นเสมือนรัก

จึงออกกลาโหมก็ชม้ายตาชำเลืองนางข้าหลวงยิ้มละไมอยู่ แล้วประนมมือทูล

“หม่อมฉัน นานๆจักได้ท่องก็เกรงจักเลอะเลือนเสียบ้าง เมื่อยามอื่นแต่ยามทุ่มนี้ดูเหมือนจะแม่นยำนัก”

“เถอะน่ะ ออกหลวง ใช่ฉันปรารถนาฟังมากเมื่อไรเล่า แต่เพียงเมื่อครบทุ่มก็ฟังแต่กาพย์ทุ่มเท่านั้นเอง ยมโดยแม่อย่าขัดคอนะจะบอกให้”

สาวนางข้าหลวง แม่เจ้าจักรุ่นกำดัดคราวเดียวกับชันษาพระองค์หญิง แต่ก็ยังเคารพนบนอบเสมือนนายและผู้ใหญ่ จึงเพียงแต่ค้อนให้แล้วก็ทูลประชดให้

“พระองค์หญิงจะทรงแต่พระสำราญ ชอบให้พี่เดือนนี้เฝ้าเย้ยแก่หม่อมฉันเท่านั้น”

“เอ๋ แม่ยมโดย กระไรเล่า ก็เป็นแต่กาพย์ของทูลกระหม่อมแก้วท่าน ฉันอยากจะฟัง ก็เหตุไฉนยมโดยถึงจะมาว่าฉันนี่จะยุจะหนุนแก่กลาโหมให้มา​เย้ยแม่เล่า พิลึกแล้ว”

หลวงกลาโหมเห็นสบช่อง จึงหยิบยามวน ยิ้มละไม แล้วทั้งชำเลืองนางและพระองค์หญิง พลางเอยกาพย์โคลงเป็นทำนองครื้นเครงหัวใจ

๏ ทุ่มหนึ่งย่อมคลึงเคล้า   เนื้อพี่เจ้าเข้าแนบเนียน
สาวลม่อมย่อมจุดเทียน   ถือเทียนไว้ให้สูบยาฯ”
“นึกออกแล้ว” พระองค์หญิงรับสั่งและพระสรวลกิ๊ก “อ้อ กระนี้เอง มิน่าเล่า ยมโดยถึงได้ออกปากห้าม ออ จริงซี กลาโหม ฉันนึกได้ละ แต่ก่อนยมโดยข้าหลวงฉัน เพลาสักทุ่มหนึ่งละก็เป็นหายหน้าเสมอ เห็นจะมัวถือเทียนสูบยากันนี่เอง”

“อะไรเสียอีกเล่า ฝ่าพระบาทเอ๋ย” ยอดทหารสมเด็จพระบัณฑูรหัวเราะขรึมๆ “หม่อมฉันติดนิสัยมาตราบนี้ เรื่องสูบยา เพลาทุ่มก็จะไรเสียอีก แต่เดี๋ยวนี้จะหาคนถือเทียนจ่อยามิได้แล้ว”

ยมโดยแม่แทบจะผุดลุกขึ้นมาหยิกข่วนเจ้ายอดทหารคู่พระทัยสมเด็จพระบัณฑูรเสียด้วยอับอายนัก

“รับสั่งธุระของฝ่าบาทเถอะ” ยมโดยทูล ทั้งฉิวทั้งอับอาย “ทรงฟังแต่คนเพ้อกาพย์เพ้อกลอน แล้วทูลกระหม่อมก็ทรงไว้ตลอดรุ่ง มิไม่ได้กลับรึเพคะ”

“อ้าว ฟังซี กลาโหม ฉันไปรู้เรื่องรู้ความอย่างไรด้วย ยมโดยถึงมาพลอยเคืองแก่ฉันหนอ” แล้วก็ทรงพระสรวลอีก และความจริงนั้นทรงตระหนักพระทัยมานานว่า ผิว์ไม่สิ้นบุญพระมหาอุปราชแล้ว ยมโดยก็จักต้องถูกสู่ขอ หาไม่ก็คงมีพระบัณฑูรสมเด็จพระมหาอุปราชพระราชทานแก่ออกหลวงกลาโหมเป็นแน่ “ฉันก็มีธุระจะพึ่งพ่อเดือนอยู่มาก” รับสั่งขรึมเฉยๆ “แต่ว่า เวลานี้ฉันก็ขัดสนอยู่ ไม่มีอื่นจะกำนัล จึงขอผัดแต่ว่าต้องยืมยมโดยไว้อยู่เป็นเพื่อนไปพลางๆก่อน ต่อเมื่อเสร็จธุระ พ่อเดือนทำสำเร็จแล้วก็จะคืนให้”

“แน้ ฟังรับสั่งดูซี จักยืมหม่อมฉันไว้” ข้าหลวงแม่ค้อนเคือง “หม่อมฉันเป็นเข้าของสมบัติพี่เดือนมาแต่เมื่อครั้งไหร่ พระองค์หญิงจะได้ออกปากทรงยืม”

กลาโหมหนุ่มก็ชิงหัวเราะแล้วทูลว่า

“หม่อมฉันถวายไว้ ยามทุกข์ได้เป็นเพื่อน แต่ถ้าทรงสำราญ บ้านเมืองเป็นปกติก็ใคร่จะขอประทานไว้เป็นเพื่อนหม่อมฉันบ้าง”

​แล้วก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน แม่ยมโดยเอง หากว่ายามนี้จักแวดล้อมอยู่ด้วยสารพัดภัย ด้วยโทษเสมือนกบฏ และต้องทุกข์ยากตรากตรำมานานร่วมจะ ๒ ปีแล้ว แต่เมื่อยามใกล้ สาวแม่ข้าหลวงซึ่งเคยแอบรักใคร่สัพยอกกันทั้งต่อพระพักตร์พระองค์หญิง อันทุกข์เก่าก็คลายไปชั่วขณะหนึ่ง ทั้งข้าหลวงและพระองค์หญิงแม้ตลอดอนนางทาสและมหาดเล็กที่ตามเสด็จมาเมื่อแรกจะใจคอหวั่นไหวอยู่ แต่เมื่อตระหนักอยู่ต่อหน้าหลวงกลาโหมนี้แล้วก็อุ่นใจแม้จักมีบุรุษสักร้อยมาห้อม เพียงเห็นทหารพระบัณฑูรและถอดดาบถือ ก็จะพากันพ่ายเอง ด้วยพรั่นแก่ฝีมือออกหลวงกลาโหมผู้ยอดฝีมือเป็นที่รู้กันทั่วทั้งกรุงศรีอยุธยา

ครั้นเห็นการสมควร พระองค์หญิงจึงรับสั่งเปรยๆ ขึ้นว่า

“พ่อเดือนไม่คิดจะกลับไปอยู่ในกรุงอีกหรือ”

“พุทโธ่ คิดอยู่ใจจะขาดแล้ว พระองค์เอ๋ย” ทหารหนุ่มยกมือขึ้นประนมไหว้ “ทุกวันนี้มีเพียงแต่แอบเห็นกำแพงกรุงและฟากแม่น้ำโน้นก็พอหายเหงาไปบ้าง แต่จะดื้อไปให้ต้องประหารนี้ยังเกรงอยู่”

ทรงพระสรวลเรียบๆ แล้วรับสั่งอีก

“คงจะสมคิดสักวันหนึ่ง ด้วยเพลานี้กำลังประชวรหนัก ทั้งสมเด็จพระมหาอุปราชพระองค์ใหม่ก็ยังทรงขึ้นเฝ้าตลอดเวลา พระอาการเป็นที่วิตกนัก แม้เสด็จสวรรคต พ่อเดือนก็จะพ้นโทษ”

แต่กลาโหมกลับส่ายหน้า

“เจ้าสามกรมท่านยังทรงอยู่ หม่อมฉันจะแคล้วราชอาญาได้อย่างไร ทั้งขุนจิตรและหมื่นสุนทรเทพก็อาฆาตนัก แม้ทูลกระหม่อมแก้วยังต้องพระราชอาญาถึงทิวงคต ประสาอะไรแก่หม่อมฉันจักพ้นได้”

พยักคล้อยด้วยเหตุผลนั้น แต่หากยังมิละมานะที่ทรงมุ่งมา จึงขึ้นแจงอีกสืบไปว่า

“ทุกวันนี้พ่อเดือนคงมิสู้รู้เรื่องราวตลอดนัก เพราะจากมาเสียก็ร่วม ๒ ปี ฟังหญิงเถิด คือทูลกระหม่อมพระมหาอุปราชเจ้าฟ้าอุทุมพรจักรับพระราชสมบัติ และทูลกระหม่อมที่ทรงผนวชก็ลาเพศแล้วเข้าประทับอยู่ในพระตำหนักสวนกระต่าย และเจ้าสามกรมขณะนี้ก็ทรงตั้งพระองค์เป็นอิสระเข้ายึดถือเอาเครื่องราชูปโภคเก็บรวบรวม ทั้งให้ผู้คนเข้ายึดถือศัสตราวุธใน​โรงแสงนอก เสมือนจะคิดการใหญ่ในแผ่นดิน ทางเสด็จในกรมหมื่นเทพพิพิธท่านก็ทรงวิตกนักหนาด้วยเกรงภัย ท่านทั้งว้าเหว่ เพราะผู้คนเก่าแกล้วทหาร ขณะนี้ก็พากันเกรงภัยเจ้าสามกรมสิ้นทั้งนั้น นี่แหละ ที่ฉันเล่าให้ฟังเป็นจริงอยู่เช่นนี้ จึงได้กราบทูลเสด็จในกรมหมื่นท่านขอมาตามพ่อเดือน ก็ทรงปีตินัก รับสั่งว่าทรงมั่นพระทัยยิ่งคนอื่น เพราะคุ้นอยู่แต่ครั้งทูลกระหม่อม ทรงประจักษ์ตลอดน้ำใจและฝีมือ และการเมื่อเกิดคืนนั้น ก็ทรงชมเชยว่าผิดพ่อเดือนแล้ว ใครอื่นจักกล้ารับพาหญิงหักล้อมไปได้”

ทหารกล้าพระบัณฑูรก็เอะน้ำใจ นี่จักศึกกลางเมืองรบกันเองให้เดือดร้อนกระมังหนอ ผิว์สมเด็จเจ้าฟ้าธรรมธิเบศพระราชโอรสพระองค์ใหญ่มิชิงทิวงคตเสียด้วยราชอาญา ก็ใครเล่าจะกล้าคิดการเติบประการนี้ แผ่นดินจะได้เดือดร้อนก็เพราะต่างสิ้นที่กีดเกรงแก่กัน

“แล้วทรงฝักใฝ่อยู่ทางไหน”

หลวงกลาโหมถาม ดูขึงขังด้วยกิริยาใส่ใจอยู่

พระองค์หญิงค่อยมีพระทัยยิ้มแย้มขึ้นบ้าง

“พ่อเดือน ที่ถามนี้ หมายว่าใคร หรือเสด็จอากรมหมื่นเทพพิพิธ”

“ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านมิอาจรับสั่งได้ แต่ความจริง ไพร่บ้านพลเมืองก็เห็นสมยกย่องบารมีพระมหาอุปราชแล้วทั้งสิ้น ส่วนพระองค์ท่านทรงหวาดภัยอื่นอยู่มาก เพราะคุ้นอยู่ข้างฝ่ายทูลกระหม่อมแก้ว ก็เกรงจะต้องได้รับภัยเมื่อผลัดแผ่นดินใหม่”

ออกหลวงกลาโหมทหารยอดฝีมือก็ตรึกอึ้งอยู่ นึกขัดแค้นน้ำใจ จักรับปากไปทันทีทันใดเพราะชังทุจริตที่ไม่คิดถึงเดือดร้อนของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน นึกใคร่จักแก้แค้นถวายกตัญญู แต่แล้วก็สลดใจนักเมื่อหวนคิดอีกครั้งหนึ่งว่ากันเองใช่ใครอื่น หรือพม่าราชศัตรู

“ก็น่าเกรงเขาอยู่มาก” กลาโหมตอบเรื่อยๆ พลอยวิตก “ทั้งสามกรมนีก็มีกำลังใหญ่หลวงพออยู่ หาไม่คงมิบังอาจเข้าฉวยพระแสงบนพระที่นั่งไปโดยพลการ แต่ฝ่าพระบาทเอ๋ย กตัญญูของหม่อมฉันนี่ถวายสิ้นแล้วแด่ทูลกระหม่อมแก้วพระองค์เดียว แลกตัญญูก็พลอยสูญสิ้นเหมือนจะตามเสด็จทิวงคตพระองค์ท่านไปแล้ว จึงยากใจตัวและอับอายหนักหน้าที่จะไปเสนอเฝ้าแหนอยู่แก่เจ้านายพระองค์อื่น ให้ข้าอื่นมาดูแคลน”

​พระพักตร์สลดเหมือนจะสิ้นมานะ น้ำพระเนตรคลอๆ รับสั่งเช่นจักทรงกันแสง

“พ่อเดือนเอ๋ย การนี้ฉันก็รู้ว่าใช่กิจ และท่านก็มิใช่อื่น ล้วนเป็นพระญาติพระวงศ์สนิททั้งสิ้น แต่ราชสมบัตินี้ประหารญาติมาเสียหลากหลายชั่วอายุคนแล้ว เราเห็นภัยเบื้องหน้าแล้ว ฉันจึงบากหน้ามาหา ทุกวันนี้ฉันเสมือนตัวคนเดียว แม้เสด็จอาเพลี่ยงพล้ำลง เจ้านายอีกพระองค์หนึ่ง พ่อเดือนก็ย่อมจะต้องรู้เรื่องว่าอย่างไรเสียฉันก็ต้องป่นปี้เขา”

แล้วทรงนิ่งอั้นไม่อาจรับสั่งให้ตลอดไปอีกได้ แต่กลาโหมหนุ่มเคยได้ทราบความมาก่อนเป็นระแคะระคายนานแล้ว แต่คราโน้นว่าเจ้าชายพระองค์หนึ่งทรงเสน่หาใฝ่ใจมาทอดสนิท ก็ทูลว่า

“หม่อมฉันเคยทราบ”

“นั่นแหละ” ทรงพยักพระพักตร์ พระเนตรคลอๆอยู่ “เพราะการนี้เกี่ยวข้องกันหลายคน ที่ฉันต้องมาออกปาก ผิว์สืบไปเมื่อหน้าถึงคราวเขาแล้วได้มีอำนาจ แม้เสด็จอาในกรมที่หญิงอาศัยอยู่บัดนี้ก็ไม่อาจขัดเขาได้ และฉันคงถูกข่มเหงเป็นหนักหนา”

“ฮ้า” ทหารข้าพระบัณฑูรขึ้นเสียง เอะน้ำใจ แม้ปรารถนาตัวไม่มีแก่ราชการ แต่เมื่อทราบไกลไปถึงเช่นนั้นก็ขัดใจ “เมตตาพระองค์หญิงและทูลกระหม่อม ทั้งเสด็จในกรมท่านประทานหม่อมฉันไว้แต่เก่าก่อนนั้นมากมายนัก เมื่อว่าจะกรากมาข่มเหงกันเห็นปานนี้ อ้ายเดือนก็ถวายชีวิต ขอถวายกตัญญูไว้ในใต้ฝ่าพระบาท โดยมิพึงประสงค์แก่รั้วงานราชการใดๆเลย”

ทรงกันแสงประหนึ่งอิสตรีรุ่นด้วยความปีติ และก็ทรงพระสรวลพร้อมกันไป เอื้อมพระหัตถ์แตะมือกลาโหมแล้วรับสั่งว่า

“กระนี้หญิงก็นอนใจ สักร้อยปากร้อยพลอื่น หญิงมิเคยวางใจใครเลย ด้วยผิดทหารทูลกระหม่อมแล้ว ใครจะไปสู้เขาได้ หญิงจักทูลเสด็จในกรมให้ทรงทราบไว้ เพราะวันขึ้นราชาภิเษกเสวยราชสมบัติจักขึ้นเฝ้า แล้วถวายทหารอันต้องทุกข์โทษของพ่อเดือน มิว่าจักผิดแล้วด้วยประการใดๆ ก็จักได้รับพระราชอภัยโทษ”

หลวงกลาโหมหนุ่มก็ประนมไหว้ นึกเห็นช่องทางซึ่งตนจะพ้นโทษอันร้ายเป็นสถานกบฏนั้น ก็มีน้ำใจเพราะแสนจะเมื่อหน่ายที่ต้องมาซุ่มซ่อนอยู่​สันโดษเช่นนี้ แสนจะคิดถึงมิตรสหาย หมู่ชาวเกลอ ตลอดแม่ข้าหลวงยมโดย จึงเจตนาเมื่อแรกที่จะมิยอมรับก็พลันสิ้นไปจากหัวใจ

“สุดแต่จะทรงดำริเป็นพระกรุณาเถิด เมื่อหม่อมฉันได้พันโทษมีอิสระแก่ตัว แม้พระองค์ท่านจักเมตตาทรงใช้สอย มิว่าการใด การนั้นก็ต้องถวายด้วยชีวิตหม่อมฉัน”

“อ๋อ ทรงปีติจะชุบเลี้ยงเสียอีก ด้วยทุกวันนี้ใครก็ประจักษ์แล้วว่ากรมอื่นกรมใดหาได้ตระเตรียมทแกล้วทหารเหมือนทูลกระหม่อมแก้วมิได้ หากกรรมมาล้างเสีย ฉะนั้นทหารใจกล้าใครอื่นจึงมิถึงทหารพระบัณฑูรท่านเตรียมไว้ อนึ่ง แม้เมื่อคราที่แล้วโทษของเช่นนี้ สถานฝืนพระราชโองการพาหญิงหนีมา แต่บัดนี้กลับเป็นการเลื่องลือ เสียดายทหารพระบัณฑูรอยู่ด้วยกัน ก็หากเป็นสมเหมาะเคราะห์ดี แล้วจักเฉยเสียไยเล่า พ่อเดือนเอ๋ย”

แล้วก็ทรงพร่ำรับสั่งว่า แสนเสียดายฝีมือทหารกล้าพระบัณฑูรมาทิ้งเสียประหนึ่งละเพชรอันรุ่งโรจน์ให้หมองเสียด้วยเลนตม ทรงโสมนัสในความภักดีกตัญญูนัก อันเป็นที่รู้ที่ลือกันตลอดแซ่ทั่วพระราชวังจันทรเกษมและพระราชวังหลวงแล้วว่า หลวงกลาโหมพ่อเดือนหนุ่มนี้ดุจพระกรขวาของสมเด็จพระบัณฑูรมหาอุปราช เป็นยอดชายชาติทหาร

“กลาโหมของทูลกระหม่อมแก้วเอ๋ย การนี้หาใช่ดำริหญิงมิได้ หากเสด็จอากรมหมื่นทรงเล่าประทานไว้ว่า แต่ชั้นเดิม ทูลกระหม่อมแก้วทรงตระหนักอยู่ว่า เจ้าสามกรมนั้นมีพระทัยริษยากำเริบแก่ราชสมบัติ และต่างองค์ก็เตรียมบรรดาทแกล้วทหารทั้งคนดีมีวิชาไว้มาก เพื่อก่อการร้ายแก่แผ่นดิน จึงทูลกระหม่อมแก้วก็ทรงเกรงอยู่ เพราะผิว์ขึ้นเสวยราชแล้วมิมีทหารพร้อมด้วยฝีมือแกล้วหาญก็จักเกิดอันตราย นี่แหละ พ่อเดือนเอ๋ย หลวงกลาโหมทหารของพระบัณฑูรเมื่อโน้นจึงยังเป็นที่ขามเกรงแก่ประดาทหารหรือกรมใดมาจนตราบนี้ และตัวของหญิงก็ขอฝากชีวิตไว้”

น้ำตาก็คลออยู่ อันออกหลวงมีอายุครบ ๒๕ ต้องเบญจเพสขณะนี้ หากว่าอ่อนเยาว์แต่ก็มีเชิงรอบรู้เพราะเป็นผู้ขวนขวายเล่าเรียนสรรพวิทยาคมกลบ้านกลเมือง ทั้งกฎพระมนเทียรบาลและตำรับพระพิชัยสงครามอันลึกซึ้งเจนจบ กลดาบหรือง้าวทวนเสโลโตมรนั้นเป็นฝีมือเอก ทั้งตั้งค่ายคูจู่โจมศึก ด้วยสำนึกตัวอยู่ว่า ผิว์พระมหาอุปราชได้เสวยราชสมบัติแล้ว ศึกเสือเหนือใต้​จักมาติดกรุงศรีอยุธยาเล่า กลาโหมก็จักต้องประจัญศึกนั้น จึงมานะร่ำเรียนแม้มนตร์ดลและเวทไสยที่เคารพอยู่ จึงเป็นเอก เกรงกันนักในบรรดาหมู่ทหารกล้าทุกทัพทุกกอง หากกรรมหลังตามทันมาล้างบารมีสมเด็จพระมหาอุปราชเสียก่อน

“ทูลกระหม่อมแก้วพระพุทธเจ้าข้าเอ๋ย” หลวงกลาโหมยกมือถวายบังคมไปเบื้องพระแสงดาบที่ประทานซึ่งเทอดไว้หน้าพระที่บูชา แล้วก็ร้องไห้เสมือนทหารที่แตกทัพเสียน้ำใจ มิใส่ใจแก่ข้าหลวงหรือแม้พระองค์หญิง และกล่าวขึ้นอีก ดังมีชอกช้ำแก่หัวใจ “พระพุทธเจ้าข้าเอ๋ย ผิว์มิเสด็จสวรรคาลัยเสียก่อนแล้ว ผู้ริษยาจักให้แผ่นดินใต้ฝ่าละอองเป็นจลาจล อ้ายเดือนนี้จักรบสุดฝีมือถึงเข้าตะลุมบอน แต่บัดนี้พระบารมีสิ้นเสียแล้ว เศวตฉัตรมาสูญแล้วด้วยเล่ห์เขา เหลืออยู่แต่ข้าพระบัณฑูรก็ต้องหลบซ่อนอยู่เสมือนโจร และเขาจะก่อการร้ายอีก ทูลกระหม่อมแก้วเหนือหัว อ้ายเดือนจะรบอีกโดยมิปรารถนาแก่ลาภยศใดอื่น เพราะพระธิดาทูลกระหม่อมจักสู่ภัย จักรบฝากฝีมือทหารพระบัณฑูรให้กระเดื่องแผ่นดิน จักกู้พระเกียรติทุกสถาน ขอข้าพระพุทธเจ้าจงชนะเถิด”

ทรงกันแสงดังประหนึ่งจะโฮเช่นข้าหลวงแม่ยมโดยร้องไห้ แล้วเหลือบดูพระแสงมหาอุปราชที่ประทานไว้ ประดิษฐานอยู่หน้าพระก็ยิ่งสลดพระทัย ยมโดยข้าหลวงก็ให้แล้วปีติ

“ขอให้สมปรารถนาพี่เถิด” ยมโดยกล่าวด้วยสะอื้นไห้ “เดชะทูลกระหม่อมแก้วแม้เสด็จสู่สวรรคาลัย ก็จงประทานพระเดชคุ้มเกรงข้าไพร่ให้คิดการสำเร็จเถิด”

“ทหารพระบัณฑูรพ่อจงรุ่งเรืองด้วยฤทธิ์และฝีมือสมปรารถนา” พระองค์หญิงทรงประนมสองพระหัตถ์ต่อหน้าพระพุทธรูปและพระแสงดาบ “พระพุทธเจ้าข้าเอ๋ย ทูลกระหม่อมแก้ว ผิว์ทรงบุญอยู่ไฉน แผ่นดินจะเดือดร้อนเยี่ยงนี่ และการนี้แผ่นดินก็เสมือนร้อนแล้วทั่วหย่อมหญ้า อันเหล่าพระธิดาและพระโอรสเบื้องหลัง บัดนี้เสมือนอยู่กลางเพลิงสุม จักขอบารมีเพียงให้คุ้มเกรงไว้และการที่คิดจงสมปรารถนาเถิด”

เมื่อยินแล้ว ทั้งคำข้าหลวงและพระองค์หญิงที่ทรงกล่าว ทหารกล้าพระบัณฑูรก็ปีติน้ำใจนัก เพราะความหวังใดๆ ทั้งทุกข์สุขสารพันในราชวังหน้า ​บัดนี้ก็เห็นกันอยู่แต่เพียงสาม และเป็นเวลานานนับขวบปีได้ย้อนมาเห็นกันอีกและสืบไปเมื่อหน้า

“หม่อมฉันว้าเหว่เหลือเกิน” หลวงกลาโหมกล่าวขึ้นอีกลอยๆ น้ำตาก็คลอแทบจะหลั่งลงแก้ม คิดถึงเมื่อยามขึ้นเฝ้าสมเด็จทูลกระหม่อมทุกเพลาเสวยและเสด็จออกท้องพระโรง แล้วหัวใจกลาโหมก็บังเกิดฮึดฮัด “อ้ายเดือนนี้เคืองตัวเองนักหนาแล้วที่เขลาไปเสียอย่างหนึ่ง แทบจะเฉือนคอตาย จริงหนอพระองค์หญิง ผิว์วันนั้นทูลกระหม่อมแก้วพระราชทานพระแสง หากหม่อมฉันจักไม่ยอมให้ขึ้นเฝ้าในพระราชวังหลวง ก็ยังคงหาเป็นอันตรายไม่ และจักทรงจำเริญพระชนม์อยู่ แต่พระพุทธเจ้าข้าเอ๋ย จักกราบทูลสิ่งไรก็มิทรงยอม”

“เกรงหาว่าเป็นกบฏ” พระองค์หญิงพระธิดาพระมหาอุปราชรับสั่ง แต่ก็สะกิดพระทัยอยู่ตามเหตุและผล “เพราะมีพระราชโองการรับสั่งให้ขึ้นเฝ้าจึงจำไป แม้มิเฝ้าก็ต้องเป็นเสมือนวังหน้ากบฏ”

“ถูกแล้ว ฝ่าบาท แต่หากจะถือเสียเอาการบ้านการเมืองเมื่อหน้าเป็นใหญ่ คิดเห็นแก่ไพร่บ้านราษฎรจะว่าอย่างไร” กลาโหมเถียงอื้ออึง ทั้งชี้แจงสืบไปอีก “อันข้อกล่าวหานั้นก็เป็นของเจ้าสามกรม จะทรงรับเป็นสัตย์หรือไม่ ไม่แจ้ง เป็นแต่มากราบทูลพระกรุณาเองว่ารับเป็นสัตย์ จึงต้องพระราชอาญา อนึ่ง หม่อมฉันจักใคร่ทูลสักอย่าง คือว่าทูลกระหม่อมแก้วเป็นพระราชโอรสผู้ยิ่งใหญ่ เป็นมหาอุปราชจักทรงแก่เอกฉัตรแล้ว เป็นที่เกรงแก่สมเด็จเจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์ คือกรมขุนอนุรักษ์มนตรีและกรมขุนพรพินิต แม้มิสิ้นบารมีพระมหาอุปราช บ้านเมืองหรือจักยุ่งเหยิงดังเห็นอยู่ ใช่ว่ากราบทูลฉะนี้ หม่อมฉันจักลำเอียงใจว่าตัวได้ลาภยศนั้น หามิได้ แต่ผิว์แผ่นดินนี้เป็นของพระบัณฑูรแล้วมาเกิดการฉะนี้ ก็ลองดู มิแหลกด้วยพลพระบัณฑูรก็อย่าหมาย ฝ่าพระบาทหม่อมฉันเอ๋ย ผิว์อ้ายเดือนจะว้าเหว่ คิดแล้วตัวสิ้นที่พึ่งมิปรารถนาแก่ลาภยศใดอื่น แต่เมื่อรู้ว่าการนี่เขาตระเตรียมกันมาไว้แต่เนิ่นนาน จนทูลกระหม่อมของอ้ายเดือนต้องเสด็จทิวงคตพ้นทางเขา และเพื่อเขาจักก่อร้ายแก่แผ่นดินไพร่บ้านพลเมืองไทยทั้งหลายจักต้องเดือดร้อนเป็นมิคสัญญีแล้ว ซึ่งหม่อมฉันก็เหมือนเป็นข้าแผ่นดินท่านอยู่ จึงขอถวายความภักดีทุกประการ กองทุกหยดเลือดที่จะหลังเสียจากร่างเพราะประจัญบาน”

​ทรงสั่นเทิ้มตลอดพระกาย น้ำพระเนตรอันเคยคลอก็หลั่งสู่ปรางปลื้มปิติด้วยทรงโสมนัสหรือโทมนัสก็ยากแก่สังเกต

“ยอดทหารทูลกระหม่อมแก้ว พ่อเอ๋ย” รับสั่งขาดสุรเสียงเป็นห้วงตอนเพียรจักฝืนให้เป็นพระสรวลก็จืดชืด แล้วก็ประนมสองพระหัตถ์ทรงอธิษฐาน “พระพุทธเจ้าข้าเอ๋ย ทูลกระหม่อมแก้วของลูกนี่ น่าเสียดายนักที่มีทหารกล้าอยู่หลากหลาย ทั้งขุนพลพ่อเดือน มิน่าเลย จักยอมให้ต้องราชอาญาที่เขากล่าวโทษ แต่พ่อเดือนเอ๋ย ป่านนี้แล้ว แม้ใครอื่นทั้งหลายจักรู้ว่าบารมีทูลกระหม่อมแก้วมาสิ้นเสียแล้ว ใครเขาเหล่านั้นก็หาอาจลืมมิได้ว่า ทัพพระบัณฑูรนั้นมหึมาด้วยทหารหาญรุ่งโรจน์ด้วยฝีมือขุนพล ขุนศึก จึงครานี้เสด็จอาในกรมก็จะทรงปีตินักที่หลวงกลาโหมจักถวายตัวไปเทอดพระเกียรติให้กระเดื่องอยู่ หญิงเองก็แสนจะยินดี”

หลวงกลาโหมชายชาตรีก็หัวเราะครื้นครั้น ประหนึ่งเห็นศึกใช่หวั่นใช่เกรง แต่หากแค้นหัวใจ

“พักตร์พระองค์หญิงก็เสมือนเตือนหม่อมฉันว่าได้เห็นทูลกระหม่อมแก้ว แล้วเป็นความจริง ขอจงกราบทูลเสด็จในกรมเถิดว่า หม่อมฉันจักถวายตัวเป็นข้ารับราชการสนองพระเดชพระคุณอีกครั้งหนึ่ง ศึกเสือเหนือใต้ แม้ยังมิเชื่อแล้ว อ้ายเดือนจักอาสา”

“ใครหนอไม่เชื่อฝีมือพี่” ข้าหลวงแม่ยมโดยกล่าวขึ้นเป็นคำแรก ตั้งแต่สนทนากันมาด้วยกิจธุระ “พระองค์หญิงทรงอุตสาหะเสด็จมานี่ก็เป็นการลับ เสี่ยงพระบารมีอยู่ หากผิดพี่แล้ว มิพรั่นพระทัยจะเสด็จมาหรือ”

“เป็นพระคุณแก่อ้ายเดือนแล้ว ยมโดยเอ๋ย ฉันนี้เมื่อแรกมุ่งมาก็คิดอยู่สถานเดียวว่า ชาตินี้ตลอดไป ข้าสองเจ้ามิมีแล้วในตัวอ้ายเดือน ชาตินี้จะถวายแก่พระ ขอบวชเรียนก้มหน้าไปตามเคราะห์ตามกรรมตัว แต่บัดนี้ก็เจ็บหัวใจนัก เพราะมิชั่วแต่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจักเดือดร้อนประการเดียว แม้พระธิดาทูลกระหม่อมแก้วและพระประยูรญาติก็พลันต้องเดือดร้อน เพราะใครมีอำนาจและกำลังพลก็เข้าชิงเอาฉันท์นั้น ด้วยเชื่อฝีมือนัก เพราะเขาทำประหนึ่งว่าสมเด็จพระบัณฑูรสวรรคาลัยแล้ว ทหารท่านจักสูญเสียหมดสิ้นกระนั้นหรือ อา ยมโดยแม่เอ๋ย และพระองค์หญิงขณะนี้ และผิว์หม่อมฉันพอจะมิต้องซุ่มซ่อนแล้ว ทัพพระบัณฑูรน่ะหรือ จักเรียกมารบมิเลือกศึก”

​ทรงกันแสงอีกครั้งหนึ่งด้วยปีติ และมั่นพระทัยนัก เพราะเพียงพลหยิบมือกับออกหลวงเจ้าหนุ่มเข้ารบชิงก็ปรากฏฝีมือแล้ว ด้วยทหารกรมหมื่นและพระตำรวจหลวงซึ่งผสมมาก่ายกองมากกว่าหลายเท่าก็พินาศสิ้นพ่ายแพ้ไปจนลือกระฉ่อนทั่วกรุงศรีอยุธยาแล้ว เมื่อยินคำรับเป็นมั่นสัญญาขณะนี้ก็ทรงปีติ ที่เคยปริวิตกต่างๆประการก็คลายไป

จนล่วงทุ่มยามมาอีกจะเข้าครบสามเป็นยามต้น จึงพระองค์หญิงพระธิดาสมเด็จพระมหาอุปราชพระองค์ก่อน จึงนัดหมายเป็นการเรียบร้อยแน่นอน แล้วรับสั่งพระพักตร์เศร้าๆ

“หญิงต้องลาพ่อเดือนก่อน พุทโธ่เอ๋ย เพลานานนับเป็นขวบปี จากและเพิ่งมาพบกันแต่เพียงชั่วครู่หนึ่งเท่านั้น แต่พ่อเดือนคงมิลืมที่พูดสัญญาไว้”

“วางพระทัยเถิด” เจ้าหนุ่มทหารพระบัณฑูรประนมมือทูลตอบ “ใดที่หม่อมฉันกล่าวคำนั้นก็เสมือนชีพอ้ายเดือนมิเปลี่ยนได้ ฝ่าพระบาทเอ๋ย จบศรีอยุธยานี้ ผิดทูลกระหม่อมโพธิ์แก้ว ก็มีพระพุทธเจ้าอยู่หัวอีกพระองค์หนึ่งที่อ้ายเดือนจักสวามิภักดิ์ เมื่อพ้นนี้ ผิว์มิรักแล้วก็รบ ฉะนั้นพระองค์หญิงจงวางพระทัยเถิด สิ้นบารมีพระร่มโพธิ์แก้วเหลือแต่พระธิดา กระนี้หม่อมฉันก็ไม่เห็นหน้าใคร”

แทบจะทรงกันแสงอีกด้วยคำกลาโหม อันสนิทสนมแต่ก่อนเมื่อครั้งมหาอุปราชทรงพระบารมีอยู่ ก็เพียงกระนั้นมิเหมือนทรงเอื้อมพระหัตถ์ตบแต่โดยเบาแก่ไหล่กลาโหม รับสั่งว่า

“ขอบใจเหลือหลายแล้ว พ่อเดือนเอ๋ย ข้าพระบัณฑูรทั้งหลายนับหมื่นก็มิเห็นใครอื่นอีกจักวางใจ” แล้วก็ทรงกำชับเสมือนเป็นการลับว่า “บัดนี้เป็นเสมือนกาลใกล้จะยุคเข็ญ ขอฝากชีวิตหญิงนี้แก่ทหารพระบัณฑูร”

“ถวายชีพอ้ายเดือน” กลาโหมเร่งตอบ “เมื่อหมดทัพพระบัณฑูรท่านหรือจะสิ้นชีพหม่อมฉันแล้วก็จนใจ ผิว์ว่ายังเหลืออยู่แม้แต่สักคนหนึ่ง เพียงหม่อมฉันก็จักรบจนสุดชีวิตตัว”

ทรงอาลัยที่จากกลาโหมข้าสมเด็จพระมหาอุปราช แต่ทรงปีติยิ่งที่เสด็จมาครั้งนี้ ได้แก่ราชกิจอยู่มิเสียเพลา สมดังพระทัยมุ่งแล้ว แม่ข้าหลวงยมโดยก็น้ำใจรอนๆอยู่นักด้วยจากกันมานาน ได้พบแต่เพียงครู่ และออกหลวงกลาโหมก็ดูเศร้าหมองแผกตาไป แต่ก็นึกยินดีว่ามิช้าที่ทหารแกล้วพระบัณฑูร​จักไปร่วมสำนักอีก ผิว์สวรรคตแล้ว

เขาแต่งกายมั่นคงเช่นบุรุษชนบท สะพายดาบและถือพระแสงดาบพระบัณฑูรถอดเปลือยมิมีฝัก เข้าเชิญพระองค์หญิง หับกระท่อมและดับแสงเทียนอยู่บูชาสิ้น เชิญเสด็จจากกระท่อมฝ่าท้องไร่ท้องนาหลายเลี้ยวลำบาก กระทั่งลัดวัดมาสู่เรือประทับที่จอดอยู่ ก็รับสั่งด้วยเหงาว่า

“พ่อเดือนกลาโหมทูลกระหม่อมแก้วจงเป็นสุขเถิด มิช้าเราจักพบกันอีกตามที่นัดหมาย”

เขาเอื้อมแขนทอดถวายให้ทรงเกาะ

“หม่อมฉันขอถวายพระพรอยู่เช่นกัน ขอทรงพระจำเริญทุกสถาน ทั้งแม่ยมโดย”

สาวข้าหลวงก็เข้าเกาะอีกแขนหนึ่ง เมื่อเสด็จลงประทับเรือแล้ว

“พี่เดือนคงมิลืมแก่คำทูลนั้นเสีย”

สาวแม่กล่าวย้ำอีกครั้งหนึ่ง ทั้งชำเลืองจะจับตา แต่หากแสงเดือนเพลามืดไม่อาจสังเกตได้ด้วยกิริยาของออกหลวง และด้วยซูบผอมเพราะนานนักจักได้พบเห็นกัน ก็พลอยเศร้าแก่น้ำใจ

“มิลืมหรอก ยมโดยเอ๋ย” เขาตอบด้วยละม่อมละไมเป็นที่ยิ่ง ทั้งเชิญมือแม่ข้าหลวงลงสู่เช่นพระธิดา “เกือบจะ ๒ ปีแล้วสินะ ยมโดย เรามิพบกัน ก็ไฉนเล่าจักไม่ยินดีที่เราจักได้ไปอยู่ใกล้ หรือร่วมเจ้านายกันอีก ทั้งพระองค์หญิง”

ยมโดยหัวใจเจ้ารอนๆ ขณะจักเข้าประทุนเรือ เกือบ ๒ ปีที่จากกันแต่ได้มาพบเพียงสักครู่หนึ่งก็จะต้องจากเสียอีก แล้วก็นึกเสียดายแก่ความหลังซึ่งต่างได้เคยใฝ่ฝันอยู่ หากเป็นวาสนาแล้ว พระมหาอุปราชได้ครองแก่ราชสมบัติ ออกหลวงจักถึงออกญาและสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจักทรงพระราชทานน้ำพระสังข์

พระจันทร์เพิ่งพ้นขอบฟ้าเป็นครึ่งเสี้ยว ดาวไถและกฤติกาลูกไก่ดาวฤกษ์ขึ้นเห่ไปตะวันตก และท้องฟ้าก็มืดมน อันดาวประจำเมืองนั้นก็หรุบหรู่เสมือนจะบอกเหตุการณ์ต่างๆ ออกกลาโหมยังแหงนดูด้วยวิตก กระทั่งเสียงแก้โซ่หัวเรือ ทรุดกายลงริมตลิ่งฝั่งน้ำ ประนมมือถวายบังคม

“เสด็จโดยจำเริญเถิด หม่อมฉันขอถวายพระพร ยมโดยแม่จงกลับโดยจำเริญ แล้วมิช้าจักพบกันอีก”

​พระธิดาสมเด็จพระมหาอุปราชทรงแหวกม่าน เมื่อยินคำและเห็นกิริยาบุรุษหลวงกลาโหมฉะนี้ ก็ตื้นพระทัย รับสั่งพระสุรเสียงเครือดังจักกันแสงไห้

“ยอดทหารพระบัณฑูรพ่อเอ๋ย ขอจงสิ้นเคราะห์สิ้นโศกแต่บัดนี้เถิด และจงรุ่งเรืองตบะเดชะได้ช่วยราชการแผ่นดิน”

“ขอให้สมดังพระพรเถิด ข้าพระบัณฑูรนี้ถวายชีพแล้วแก่ใต้ฝ่าพระบาททุกสถาน”

ทรงสะท้านพระทัย ออกหลวงกลาโหมแม้จักหนุ่มแน่นก็กราดเกรี้ยวอยู่ด้วยฝีมือและน้ำใจจงรัก ทั้งรอบรู้แก่ราชกิจสมตำแหน่ง หากกรรมมาดลเสียแล้ว สาวแม่ยมโดยข้าหลวงก็ออกปากเป็นมงคลว่า

“ขอพี่เดือนจงสมปรารถนาทุกสถานเถิด มิว่าการใด ขอพี่จงสิ้นบาปสิ้นเคราะห์ เสมือนหลวงกลาโหมเมื่อก่อน ยมโดยจักลาแล้ว”

“เชิญแม่ และสมพรปากยมโดย” หลวงทหารหนุ่มตอบคำด้วยตื้นน้ำใจ และรับคำว่า “ยมโดยอุตส่าห์มาแล้วกับพระองค์หญิง ก็จงวางใจเถิด ในการนี้มิต้องตระหนกน้ำใจเลย ไว้พนักงานพี่เถิด”

แล้วเรือก็ผละจากท่า เสียงนายภูบาลมหาดเล็กสนิทของกรมหมื่นเทพพิพิธกล่าวอำลาและยกมือไหว้ออกหลวง แล้วพระองค์หญิงก็ชะแง้ดูมิหลบเข้าม่านได้ บนตลิ่งนั้นเป็นนามืดมน ตลอดไปทั้งสองฟากฝั่งและยังมีต้นไม้พงรกเตี้ยๆขึ้นอยู่ชายตลิ่ง เห็นโบสถ์วัดกำแพงไกลลิบตะคุ่มๆ แต่ที่ใกล้ริมฝั่งคลองน้ำซึ่งเรือเพิ่งล่องจากมานี้ ก็ยังคงเห็นทหารสมเด็จฯ ยืนถือดาบรับวาวทอแสงเดือนแรกขึ้น ก็ทรงรำพึงว่า หากแต่ก่อนแล้ว ทหารนี้ก็จักยืนกระหนาบใกล้รักษาองค์พระบัณฑูร มิเลือกจะเสด็จทางใด ทั้งเสด็จประพาสและประจำราชวัย ก็บัดนี้เล่า เดือนพ่อเอ๋ยมายืนอยู่เดียวไร้เจ้าจักประทับเป็นเสมอ ชายหนุ่มชนบทผู้ยากไร้สินศักดิ์แล้วจักหาผู้ใดหนึ่งเขาจักเฉลียวถึงก็หามิได้ ผิว์มิสิ้นบุญสมเด็จฯ ได้เสวยราชสมบัติแล้ว ชายชาตรีพ่อนี้จักเป็นพระสมุหกลาโหมแน่แท้ มิต้องมายืนเหงาเศร้าทุกข์อยู่กลางมืด

แล้วเรือก็เลี้ยวคุ้งน้ำ ต่างลับตาแก่กัน ทั้งพระองค์หญิงและกลาโหมหนุ่มผู้ยืนแลด้วยใจคอหายรอนๆ ด้วยคิดเศร้าหลายสถาน

.




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #2 on: 23 October 2025, 14:54:22 »


https://vajirayana.org/%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%B9%E0%B8%A3/%E0%B9%93

https://vajirayana.org/ทหารเอกพระบัณฑูร/๓




ลุศักราช ๑๑๒๐ ปีขาลสัมฤทธิศก ฝนเริ่มประปราย ครั้นถึง

ณ วันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๖ เพลากลางคืน ๗ ทุ่ม สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็ยิ่งประชวรหนักอีกกว่ากาลก่อน ตราบมาถึงวันแรม ๕ ค่ำ เดือน ๖ เพลาเช้าก็ทรงพระเสลี่ยงหิ้วมา เสด็จออก ณ พระที่นั่งทรงปืน คำนึงอยู่ด้วยราชกิจและห่วงราชสมบัติบ้านเมืองทั้งไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน จึงดำรัสให้หาพระราชบุตรผู้ใหญ่ต่างกรมขุนมาเฝ้าพร้อม แล้วจึงมีพระราชโองการมอบราชสมบัติแก่กรมพระราชวังบวรเจ้าฟ้ากรมพรพินิต และขอให้พระเจ้าลูกเธอทั้งสี่ คือ กรมหมื่นเทพพิพิธพระองค์หนึ่ง อีก ๓ องค์ คือพระองค์เจ้ามังคุดเป็นกรมหมื่นจิตรสุนทรพระองค์หนึ่ง พระองค์เจ้ารถเป็นกรมหมื่นสุนทรเทพพระองค์หนึ่ง พระองค์เจ้าปานเป็นกรมหมื่นเสพภักดีอีกพระองค์หนึ่ง เพราะทรงตระหนักว่าในเจ้าต่างกรมพระลูกเธอทั้งสี่นี้ กรมหมื่นเทพพิพิธทรงชอบพอกับสมเด็จพระมหาอุปราชพระองค์ก่อนที่ต้องพระราชอาญาถึงเสด็จทิวงคต จึงเป็นอริกับเจ้าสามกรม อันสาเหตุนั้นครั้งหนึ่ง กรมพระราชวังบวรรับสั่งให้เจ้ากรม ปลัดกรม ของเจ้าทั้งสามกรมนั้นมาลงราชอาญา ด้วยประเพณีว่าเจ้าตั้งข้าไทให้มียศและบรรดาศักดิ์เกินแก่กรม ไม่ทูลห้ามปรามโดยหน้าที่ จึงรับสั่งให้เฆี่ยน แต่นั้นสืบมาเจ้าสามกรมก็ทรงอาฆาตกล่าวโทษแก่พระมหาอุปราชว่าทรงกระทำชู้กับเจ้าฟ้าสังวาลซึ่งเป็นพระชายาอยู่แล้ว พระมหาอุปราชก็ต้องรับพระราชอาญาถึงทิวงคต จึงตำแหน่งพระมหาอุปราชก็ต้องเปลี่ยนเลื่อนมาตราบทรงพระประชวรหนัก

จึงให้เจ้าทั้งสี่กรม พระลูกยาเธอถวายสัตย์ยอมเป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาทแก่สมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตต่อหน้าพระที่นั่ง อย่าให้คิดประทุษร้ายต่อกัน แล้วเสด็จกลับพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ เพลา ๕ โมงเย็นเศษ ทรงพระเสลี่ยงหิ้วมาเข้าที่ ณ พระที่นั่งทรงปืน ถึงเพลาเที่ยงแล้ว ๕ บาท บรรทมตื่น จะเสด็จไปลงพระบังคม หลวงราชรักษา หลวงราโชหมอนวด พยุงพระองค์ให้ทรงยืนขึ้น พระเนตรวิกลกลับซ้อนขึ้น หายพระทัยดั่งเสียงกรน พระหัตถ์คว้าจับหลักชัยมิใคร่จะถูก จึงหมอทั้งสองต้องเข้าประคองให้​เอนพระองค์ลงบรรทมดุจเดิม แล้วถวายอยู่งานนวดแก้พระวาตะด้วยลมกล้า

แลขณะนั้น กรมพระราชวังบวรพระมหาอุปราชพระองค์ใหญ่ เจ้าฟ้าอุทุมพรซึ่งเฝ้าพระอาการอยู่จึงมีรับสั่งให้มหาดเล็กไปเชิญเสด็จกรมหลวงพิพิธมนตรีพระราชมารดา และเจ้าฟ้าจันทวดี เจ้าฟ้ากรมขุนยี่สารเสนี และพระเชษฐภคินีทั้งปวง แล้วกับทั้งพระราชบุตรธิดาวงศานุวงศ์ ให้มาพร้อมกันสิ้นด้วยใกล้เสด็จสวรรคตแล้ว

ฝ่ายเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีพระเชษฐาธิราชพระมหาอุปราชพระองค์นี้ได้ทราบว่าทรงพระประชวรหนัก ใกล้สวรรคตแล้ว จึงลอบลาผนวชเสด็จจากวัดละมุดมาประทับอยู่ ณ พระตำหนักสวนกระต่าย และเจ้าฟ้าอาทิตย์ราชบุตรพระบัณฑูรที่ทิวงคตด้วยราชอาญานั้น ออกไปเชิญเสด็จเข้ามา ณ พระที่นั่งทรงปืน แย้มฉากทอดพระเนตรดูสักครู่หนึ่งก็เสด็จกลับไปยังพระตำหนักสวนกระต่าย

ครั้นเพลาบ่าย พระอาการสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวยิ่งทรุดหนัก บรรดาเจ้านายทุกกรมทุกพระองค์ยิ่งว้าเหว่ ร้อนพระทัยนัก วิตกนัก เพราะการต่างๆขณะนี้ได้ผันแปรหมด ไม่อาจที่ใครจักทำนายได้ว่าราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาจะเป็นประการใด ทุกกรมอันเป็นราชบุตรต่างตระเตรียมทหารทั้งล้อมพระองค์และราชวัง

แล้วการก็อึงคะนึงแทบจะเป็นจลาจลแก่แผ่นดินในขณะนั้น เมื่อข้าหลวงมาเชิญเสด็จ กรมหมื่นเทพพิพิธก็ตกพระทัยนัก

“อย่างไรเล่า หญิงน้อยหลานเรา” รับสั่งสุรเสียงตระหนก “หญิงว่าเดือนกลาโหมทูลกระหม่อมพี่จักมา ก็ป่านนี้แล้ว ทั้งการก็กะทันหันแล้ว ยังมิมาตราบนี้จะทำประการใด”

พระธิดาพระบัณฑูรก็ปริวิตกยิ่งเพราะกำหนดนั้นผิดไปดังที่ทูล และขณะนี้ก็ฉุกเฉินทั้งบ้านเมืองและภัยอื่นจะมาอีก แต่กลาโหมซึ่งทรงหวังปรารถนาอยู่ก็หาได้มาไม่ สาวยมโดยข้าหลวงก็ยิ่งหวั่นหวาดเช่นพระองค์หญิง จึงพระธิดาพระบัณฑูรก็จำกราบทุูลแก้ตัวว่า

“หม่อมฉันนัดกลาโหมเจ้า เนิ่นเพลาไปสักหน่อย แต่วันนี้ก็อย่างจะช้า เพราะมิทราบพระอาการทรงพระประชวรสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทูล​กระหม่อมแก้ว”

เพลานั้นเป็นฉุกเฉินนัก เพราะเสด็จในกรมหมื่นเทพพิพิธทรงฉลองพระองค์แล้ว และทรงทราบว่ากรมอื่นได้ตระเตรียมทหารแน่นหนาทั้งฝ่ายรบจึงทรงปริวิตก

“นั่นแหละ หญิงหลานเราเอ๋ย” รับสั่งสุ้มเสียงเครืออยู่ “อานี้ก็มั่นใจอยู่แต่กลาโหมพ่อเดือนเท่านั้นที่จักปราบได้และรับศึกศรีอยุธยา มิว่าการใดหรือว่าเขาจักคิดรังเกียจว่าข้าสองเจ้า แล้วมาลืมเสีย”

“คงมิเป็นกระนั้นเพคะ เสด็จอา” พระองค์หญิงทูลแก้ “กลาโหมผู้นี้หลานเคยเห็นสัตย์จริง และคำเขาแต่ครั้งทูลกระหม่อมแก้วมิผิดเลย หากจะพลาดครานี้ก็คงไปเที่ยวกะเกณฑ์ทหารเหล่าพระบัณฑูรมิใช่อื่น”

ทรงถอนพระทัยเพราะผู้มาเชิญเสด็จก็กลับไปแล้ว จึงว้าเหว่พระทัย และขณะนั้นมหาดเล็กสนิทนายภูบาลก็เข้ามาเฝ้า

“หลวงกลาโหมมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” นายภูบาลทูลสีหน้าตื่น “มีทหารพระบัณฑูรมาพร้อมด้วยสักเจ็ดแปดคน”

“เอ๊ะ นายภูบาลเจ้าเอ๋ย กลาโหมพ่อเดือนมาแล้วกระนั้นหรือ”

รับสั่งเหมือนตื่นพระทัย และพระองค์หญิงก็ตระหนักด้วยดีพระทัยอยู่หนักหนา

“หม่อมฉันได้กราบทูลแล้วว่า พ่อเดือนมิผิดคำไปได้” พระองค์หญิงพระธิดามหาอุปราชกล่าวด้วยดีพระทัย “พ่อเดือนก็รับปากแล้ว ไยจะลืมเสียเหลวไหลไปกระนั้นเล่า”

“ไปเชิญตัวเจ้าเดือนมาหาเราเถิด” รับสั่งด้วยดีพระทัยอยู่ “ไปสิ บอกเจ้าเดือนมาหาเราให้เร็วทีเดียว เพราะได้เพลาจักขึ้นเฝ้า ช้าอยู่มิได้”

เมื่อขาดรับสั่ง ในขณะครู่เดียวนั้น มหาดเล็กก็นำบุรุษหนึ่งคลานเข้าเฝ้า

“โอ กลาโหมเจ้าเอ๋ย เรานี้ร้อนใจ คอยเจ้าอยู่หนักหนา คาดว่าจักปัดปฏิเสธแล้ว ยังสุขสบายอยู่หรืออย่างไร”

กลาโหมชายชนบทซึ่งลอบมาเฝ้ามิได้แต่งร่างเช่นทหารตั้งแต่ก่อน เพราะเกรงราชอาญาและผู้คนอื่นจักจำได้ ก็หมอบอยู่ เมื่อยินรับสั่งถามเช่นนั้นก็สำนึกว่าประทานความสนิทสนมเป็นกันเอง จึงกราบทูลว่า

“พระกรุณาเป็นล้นที่สุดแล้ว สุขทุกข์ก็เสมอกันพ่ะย่ะค่ะ”

​ทรงแย้มพระสรวล

“มิได้แต่งทหารมาหรอกหรือ จักได้ไปด้วยกัน ไม่มีใครสงสัย”

“สิ้นบารมีทูลกระหม่อมแก้ว ข้าพระพุทธเจ้าก็เสมือนต้องถูกถอด” กลาโหมทูลตามสัตย์ตามจริง “และขณะไปอยู่เสียชนบทฟากโน้น ก็มิได้คิดสนใจจะกลับเป็นทหารอีก หากทรงพระกรุณาแล้วก็จะแต่งเยี่ยงทหารสังกัดกรมในใต้ฝ่าพระบาท”

“เราอยากเห็นทหารพระบัณฑูรเจ้าฟ้า” ทรงพระสรวลอีก ทั้งกรากมาลูบไล้ศีรษะกลาโหม “เดือนเจ้าเอ๋ย น่าสงสารนัก ผิว์ทูลกระหม่อมแก้วพี่เราพระชนม์อยู่ ไฉนเจ้าจักมาต้องตกอับเยี่ยงนี้ และป่านนี้เล่า แต่การก็ล่วงเลยไปแล้ว บัดนี้เจ้าก็ได้มีตำแหน่งเป็นอนุราชองค์รักษ์แล้ว เอาเถิด เมื่อมิได้เตรียมมีมาจักแต่งตัวเยี่ยงทหารเราก็ได้ สุดแต่ใจ”

รับสั่งกระนั้นแล้วจึงหันบอกพระองค์หญิงให้หาชาวเครื่องชาววิเศษเลือกสรร และพาตัวออกกลาโหมหนุ่มไป

และสักครู่นั้น ทหารแกล้วในกรมหมื่นเทพพิพิธก็พลันมาเฝ้า อีกพระแสงพระบัณฑูรซึ่งได้ราชทานไว้นั้นก็ขัดหลังอยู่ ก็ทรงปลื้มพระทัยนัก จึงรับสั่งแก่พระองค์หญิงซึ่งยังเฝ้าอยู่ริมพระที่

“หญิงเอ๋ย เจ้าหาทหารให้อานี้สักหมื่นก็ไม่ดีใจเหมือนกลาโหมเขาเพียงคนหนึ่ง เพราะเสมือนจะนอนตาหลับด้วยภักดีและฝีมือถูกใจนัก เมื่อขุนจิตรมันล้อมนั้น พลสักเท่าไร”

“ร้อยกว่าพ่ะย่ะค่ะ” หนุ่มกลาโหมกราบทูล “ทั้งจุกช่องและล้อมพระราชวัง พลเขาทั้งทหารและพระตำรวจประสมกันก็เห็นจะกว่าร้อย”

“แล้วพลเจ้า”

“ยี่สิบเอ็ด ทั้งอ้ายเดือนพ่ะย่ะค่ะ”

ทรงพระสรวลสำเนียงเครือ

“ทหารทูลกระหม่อมพี่ดูเชื่อนักหนา แล้ววันนี้จักได้มาอย่างไร”

“ข้าพระพุทธเจ้าเที่ยวตามแต่ที่หนทางนัดกันไว้และฝีมือชั้นตัวนายทั้งสิ้นได้แปดคน แต่ในแปดและเก้า ทั้งข้าพระพุทธเจ้าคะเนว่าพอจะตามเสด็จใต้ฝ่าพระบาทได้ทุกสถาน”

​“มีงหมายอย่างไรวะ กลาโหม” รับสั่งถามตื้นพระทัยนัก “ที่พูดนั้นเจ้ามีหมายอยู่อย่างไร บอกหน่อยเถิด”

“รบพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าหนุ่มทหารกราบทูล แล้วถวายบังคมหมอบอยู่ ชำเลืองสาวข้าหลวงแม่ยมโดยและพระองค์หญิงที่ทรงเฝ้าแย้มพระสรวล แล้วด้วยปีติพระทัย ก็ทูลอีกว่า “พระองค์หญิงทรงพระอุตสาหะเสด็จไปเยือนข้าพระบาท ก็เล่าแล้วจึงมาตรองดูเห็นว่าใต้ฝ่าพระบาทเมื่อครั้งก่อนก็ทรงเสน่หาอยู่แก่ทูลกระหม่อมแก้ว ก็เสมือนนาย จึงสุดแต่จะใช้มิเลือกการ”

ทรงปีตินักหนา ถึงเสด็จกรากตบศีรษะ

“มึงนี้ยอดทหารนัก ออกกลาโหม เออ กูอยากจะร้องไห้ คิดถึงทูลกระหม่อมเสด็จนัก แม้ทรงบารมีแล้ว ไฉนบ้านเมืองจะรุ่มร้อนถึงป่านนี้ พระญาติพระวงศ์ใครเล่าระหองระแหง”

“อ้ายเดือนมิเคยจักคิดเป็นข้าสองเจ้า การนี้หากจนใจ และมาคิดถึงพระเมตตาแต่หนหลัง และใช่ใครอื่น จึงเมื่อมาพึ่งพระบารมีแล้วก็คิดเสมือนเป็นข้าทูลกระหม่อม”

แม้ทรงพระสรวลก็จริงอยู่ แต่พระสุรเสียงนั้นแหบแห้งเครือไป

“กูนอนตาหลับแล้ว กลาโหมเอ๋ย คำคนอื่นไม่เคยจะเชื่อใคร และออกเดือนเจ้ารบ พาหลานสาวกูหักหนีมาได้ก็ชอบฝีมือนัก เออ ไปบอกพลนั้นให้มาแต่งตัวเถิด กูจักต้องเข้าเฝ้าแล้วตามรับสั่ง”

จึงออกกลาโหมให้ถอยมาสั่งพลภายนอกทั้งแปดล้วนคู่ใจ ให้ไปเลือกสรรเครื่องทหารเป็นสังกัดกรมเช่นเดียวกัน บ้างปลื้มหนักหนาด้วยต่างต้องซุ่มซ่อนมาแล้วเป็นเพลานานเกือบจะสองขวบปี เช่นเดียวกับออกหลวง แล้วบ้างก็ปีติที่ได้เห็นหน้ากลาโหม ทั้งจะได้ร่วมราชการอีก ครั้นเสร็จแต่งกายแล้ว และต่างเป็นทหารสังกัดกรมหมื่น มิอาจมีใครจำได้แล้ว ทหารล้อมพระองค์เคยมีมากสักยี่สิบเศษก็เปลี่ยนตัว และจำนวนมาเป็นเก้าทั้งออกหลวงห้อมล้อมตามเสด็จ

.




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #3 on: 23 October 2025, 14:55:08 »


https://vajirayana.org/%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%B9%E0%B8%A3/%E0%B9%94

https://vajirayana.org/ทหารเอกพระบัณฑูร/๔




ครั้นเพลาบ่าย ๔ โมงเศษ ณ วันขึ้น ๗ ค่ำ ในเดือน ๘ นั้นเป็นปีขาลสัมฤทธิ์ศก สมเด็จพระมหาธรรมาธิราชพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็เสด็จสวรรคต พระชนมายุได้ ๗๘ พรรษา เสด็จดำรงราชสมบัติอยู่ได้ ๒๗ ปีเศษ จึงในขณะนั้น เจ้าต่างกรมทุกพระองค์ซึ่งต่างตระเตรียมและบ้างก็ระวังพระองค์อยู่ด้วยเกรงภัย และเหล่าทหารทั้งล้อมราชวังหลวง และส่วนพระองค์ทุกคนคอยสดับแก่คำสั่งอยู่เสมอ

จึงกรมหมื่นเทพพิพิธก็เข้าเชิญพระแสงดาบ พระแสงกระบี่ พระแสงง้าว ข้างพระที่นั่งนั้น ส่งให้ขุนพิพิธรักษา ชาวที่ เชิญตามเสด็จกรมพระราชวังบวรมหาอุปราชไป ณ พระตำหนักสวนกระต่าย โดยออกกลาโหมและเหล่าทหารพระบัณฑูรทั้งแปดกรากเข้าคุมกรมหมื่นสุนทรเทพและกรมหมื่นเสพภักดีนั้นเสด็จเข้าไปข้างใน เชิญเอาพระแสงบนพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์เอาไปตำหนักศาลาลวดทั้งสิ้น แลกรมหมื่นเทพพิพิธจึงตรัสสั่งเจ้าพระยาอภัยราชา พระยาพระคลัง พระยารัตนาธิเบศให้ปิดประตูพระราชวังตามธรรมเนียม พอเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีเสด็จมาตรัสเรียกกรมหมื่นเทพพิพิธออกไปสั่งให้เชิญหีบพระแสง ณ โรงแสงเอาไปสวนกระต่ายทั้งสิ้น กรมหมื่นจิตรสุนทรเห็นดังนั้นก็ตกพระทัย รีบเสด็จไปตำหนักศาลาลวดซึ่งประทับอยู่

ครั้นเพลาใกล้จะพลบค่ำ ภายในพระราชวังขณะนี้ต่างตระหนกอยู่ทั่วกันทุกพระตำหนัก ด้วยหวั่นเกรงการจลาจลจักเกิดขึ้น เพราะทุกหมู่และกรมก็สั่งเตรียมทหารพร้อมแล้ว และกรมพระราชวังบวรฯ ก็มีพระบัณฑูรให้หาท้าวพระยาข้าทูลละอองธุลีพระบาท ผู้ใหญ่ผู้น้อย ซึ่งประชุมกันอยู่ ณ ศาลาลูกขุนให้ไปเฝ้าณ พระตำหนักสวนกระต่ายที่ประทับ เพื่อทรงปรึกษาราชการแผ่นดิน

แต่ขุนอนุรักษ์ภูธรซึ่งเป็นข้าหลวงในกรมหมื่นสุนทรเทพนั้นมีจิตริษยากำเริบอยู่ จึงพาเอาคนในพระตำหนักสระแก้วประมาณร้อยเศษ ปีนข้ามกำแพง​วัดพระศรีสรรเพ็ชญ์และกำแพงโรงราชรถเข้ามาสมทบบรรจบกับทหารในกรมหมื่นจิตรสุนทรในตำหนักศาลาลวด อนึ่ง ขุนพิพิธภักดีข้าหลวงในกรมหมื่นจิตรสุนทรนั้นก็ซ่องสุมพาคนหลากหลายแล้วจึงไปกระทุ้งทำลายบานประตูโรงแสงนอก และเมื่อทะลายแล้วก็ยึดเอาปืนนกสับและศัสตราวุธมาถือเป็นอันมาก

ในเพลานั้น เจ้าอาทิตยวงศ์ก็เสด็จมาถึง พระองค์ท่านคุ้นอยู่กับเหล่าทหารด้วยเป็นราชโอรสสมเด็จพระมหาอุปราชที่ทิวงคต จึงสนิทสนมมากแก่ทหารเหล่านี้ แต่หาได้ทราบการไม่

“เอ๊ะ นั่นออกเดือนหรือ” รับสั่งหลากพระทัย ยังมิรู้เรื่อง ทั้งไม่แน่ว่าจักใช่ “พ่อเดือนทูลกระหม่อมแก้วใช่ไหม”

“พระเจ้าค่ะ” กลาโหมซึ่งคุมทหารอยู่หน้าพระตำหนักถวายบังคมพระองค์ท่าน ยิ่งเห็นพระพักตร์ละม้ายแม้นสมเด็จพระบัณฑูรแล้วก็สะอื้น “เสด็จมาใกล้สักหน่อย”

เสด็จมาด้วยปีติพระทัยและตื้นตันจนน้ำพระเนตรคลอ เมื่อขณะเข้าประคองทหารพระบัณฑูรยอดฝีมือแล้วรับสั่งว่า

“ออกเดือนเอ๋ย ไม่รู้ว่าไปอยู่แห่งหนใด เที่ยวตามหา อพิโธ่ เห็นออกเดือนแล้วก็คิดถึง ทูลกระหม่อมประทับไหน ออกเดือนก็เข้าเคียงข้าง เจ้าเอ๋ย ออกเดือนทูลกระหม่อมสิ้นบุญเสียในพลันเช่นนี้เสมือนบาปแก่พวกเรา”

ออกกลาโหมร้องไห้ น้ำตาพรากจากหน่วยตาด้วยรำลึกถึง

“ข้าพระพุทธเจ้ารบจนสุดฝีมือ เมื่อขุนจิตรพาทหารไปล้อมราชวังและจะกุมพระองค์หญิง หม่อมฉันเจตนาจักฆ่ามิให้เหลือ เพราะดูแคลนเกียรติพระบัณฑูร หากทรงห้ามไว้”

ทรงเข้าประคองให้ลุกนั่งแล้วก็กันแสง

“ออกเดือนเอ๋ย ทหารทูลกระหม่อมแก้วไม่มีใครอื่นเลยที่ชายนี้จักวางใจและสลดใจนักที่น้องหญิงเรามาบอกว่าออกเดือนยากแค้นนัก แต่เสียดายฝีมือและกตัญญูหนักหนา จึงกราบทูลเสด็จในกรมอาท่านให้รำลึกถึงพ่อเดือน คาดว่าจักไม่สำเร็จเสียอีก เมื่อมาพบทหารทูลกระหม่อมแก้วเช่นนี้แม้สักร้อยศึกก็มิพรั่น”

​“อ้ายเดือนก็ถวายชีวิต” กลาโหมตอบห้วนๆ และสำเนียงตอบก็คลุมเครือประหนึ่งข้นแค้น จักร้องไห้ และทูลว่า “ทูลกระหม่อมก็สิ้นบุญแล้ว จึงหม่อมฉันก็เห็นอยู่แต่ใต้ฝ่าพระบาทซึ่งเป็นพระราชโอรส ก็เสมือนได้เห็นได้เฝ้าสมเด็จพระบัณฑูร อนึ่ง พระองค์หญิงทรงอุตสาหะเสด็จไปตามหม่อมฉัน และทรงชี้แจงด้วยข้อต่างๆ จึงใต้ฝ่าพระบาทเอ๋ย ศัตรูซึ่งคิดเป็นเล่ห์เป็นกลประหารทูลกระหม่อมแก้ว แล้วด้วยอุบายเขานั้น ผิว์มากหลายหมื่น หม่อมฉันจักรบเอง และยิ่งมาก่อเดือดร้อนกระนี้ให้แผ่นดินเล่า ก็ต้องรบให้สิ้นฝีมือ”

“เราเชื่อน้ำใจและฝีมือกลาโหมแล้ว” พระองค์ชายทรงชี้แจงสืบไป “เขาก่อเดือดร้อนแล้ว ณ บัดนี้ถึงตระเตรียมผู้คนพรักพร้อม และให้ปีนราชวัง คือขุนอนุรักษ์ภูธร ข้าหลวงในกรมหมื่นสุนทรเทพ และขุนพิพิธภักดี ข้าหลวงกรมหมื่นจิตรสุนทร กับขุนจิตรซี่งวิวาทกับพ่อเดือนนั้นแหละ เป็นหัวหน้าเข้าโรงพระแสงราชรถ จนเสด็จอามหาอุปราชองค์น้อยต้องตระหนกนัก เพราะยำเกรงแก่ภัยเขา อนึ่ง กรมหมื่นเทพพิพิธเมื่อเข้าเฝ้าถวายสัตยาธิษฐานก็ทูลถวายออกเดือน และทรงพระราชอภัยโทษแล้ว รู้ไหม เป็นหลวงกลาโหมพระบัณฑูรน้อยแล้ว จะรู้ตัวหรือยัง”

“เปล่า มิได้พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันเพิ่งจะตามเสด็จครานี้เองเป็นครั้งแรก”

ก็ทรงพระสรวล มองเหล่าทหารสมเด็จพระบัณฑูรที่ทรงคุ้นเคยแล้วล้วนยอดฝีมือทแกล้วหาญก็แทบจะทรงพระกันแสบ รำลึกถึงกาลหลัง ด้วยผิว์ทูลกระหม่อมแก้วทรงพระชนมายุอยู่ขณะนี้ก็เหมือนกษัตริย์ จักผ่านศรีอยุธยา การใดซึ่งจักเกิดเป็นการยุ่งจลาจล เมื่อผลัดแผ่นดินนี้ก็เหล่าทหารทูลกระหม่อมนี้เองจักกำราบเสี้ยนหนาม แต่ครั้นเมื่อสิ้นบารมีพระองค์แล้ว แม้ยอดทหารที่เคยไว้พระทัยให้คู่เคียงก็ต้องสันโดษอยู่ หามีผู้ใดจะรู้จักไม่ ก็ทรงสลดสังเวชพระทัย รับสั่งว่า

“ออกเดือนเอ๋ย ฉันเห็นออกเดือนขณะนี้อยากร้องให้ เพราะก่อนผิว์เห็นออกเดือนก็ต้องเห็นทูลกระหม่อมแก้วประทับมิว่าที่ใด”

แต่ทหารแกล้วพระบัณฑูรกลับคลอน้ำตา

“รับสั่งเช่นนี้ ข้าพระพุทธเจ้าใจหายเสียเหลือเกิน แม้ขณะนี้เพียงเห็นพระอัฐิพระบัณฑูรก็คงจะต้องรบกันวอดวาย พระองค์เอ๋ย อย่าให้ใครสำคัญว่าสิ้นทูลกระหม่อมแก้วนั้นจักหมายถึงสิ้นเกียรติพระบัณฑูรมิได้ แม้จักน้อยคน​น้อยตัว ทหารเหล่านี้...” กลาโหมชี้ปราดไปเหล่าทหารเก่า “เหล่านี้หากจะน้อยแต่หักด่านได้ เพราะทรงให้ฝึกซ้อมมาหลากหลายชำนาญนัก ก็คิดถึงพระเมตตาปรานีนักจึงเสียดายครัน ทูลกระหม่อมแก้วเอ๋ย แม้วันนั้นจักทรงเชื่ออ้ายเดือนกลับเสีย ถึงหากจะต้องหาเป็นกบฏเพราะเขาริษยา ก็ได้รบกันถึงละเอียด ใต้ฝ่าพระบาทรงดำริเถิดว่ามีอยู่หรือ ว่าเยี่ยงสมเด็จพระบัณฑูรจักต้องราชอาญานาบพระบาทและพระนลาฏ ทั้งเฆี่ยนเป็นยกๆ หลายครั้งหลายหนถึงดับสูญ อ้ายเดือนจึงแค้นนัก น้อยใจว่าพระบัณฑูรศรีอยุธยาทิวงคตสิ้นพระเกียรติฉะนี้แล”

ฟังรำพันกลาโหมออกเดือนแล้วก็ทรงตื้นพระทัย คิดถึงราชบิดาและทรงน้ำตาคลอ กริ้วอยู่ในพระทัยหันหวน

“กลาโหมพ่อเดือน คำพ่อเดือนชวนเรานี้ร้องไห้ ภักดีของออกเดือนนี้วิญญาณของทูลกระหม่อมแก้วจงยินเถิด จงคุ้มพ่อเดือนให้ตลอดเถิด เมื่อคราวรบหักทัพขุนจิตรนั้น และพาพระองค์หญิงน้อยหนีก็เลื่องลือนัก และพรั่นทหารพระบัณฑูรอยู่ตามกัน นี่ออกเดือน พ่อตามเสด็จในกรมอาเทพพิพิธมิใช่หรือ”

“หม่อมฉันตามเสด็จและยินรับสั่งว่าวันนี้เป็นวันร้าย เพราะเขาก็เตรียมผู้คน”

“ใครรู้ไหมเล่า ว่าเสด็จอาได้ทหารพระบัณฑูรมารักษาพระองค์”

“เปล่าเลย หม่อมฉันมาแต่โดยเงียบ และแต่งเป็นทหารเสด็จในกรม” กลาโหมทูลตามจริง “อันรบหักกันนั้นอยู่ที่น้ำใจและฝีมือ หาใช่อื่นไม่”

ทรงพระสรวลครั่นเครือ มองทหารเพียงหยิบมือ ไม่ถึงยี่สิบ ทั้งของกรมหมื่นก็เหมือนเห็นทหารพัน ทรงฝากพระทัยพระชีพยิ่งเสียกว่าทหารอื่นเป็นพันเป็นกอง

“ฉันจะเฝ้าเช่นกันอีก และเมื่อกลับจะตามเสด็จอาเพราะมีทหารทูลกระหม่อมแก้ว”

กลาโหมหัวเราะสำรวล

“ทหารพระบัณฑูรนี้เป็นดุจผงแล้วนั่นแหละ พระองค์เอ๋ย ก็ตามทีเขา แต่ผิว์อ้ายเดือนจะประกาศชื่อทหารพระบัณฑูรออกกลาโหมแล้ว ใครหนอจะอาจรบ ให้ตั้งทัพเป็นจัตุรงค์หรือเบญจเสนา อ้ายเดือนจะหักเพียงพลยี่สิบ ขอเชิญเสด็จเถิด”

​ทรงตื้นพระทัยด้วยปีติ แม้นานครั้งจะได้พบเห็นออกเดือนทูลกระหม่อมแก้ว แต่เมื่อทรงรำลึกถึงกรณีหลังโน้น จนศรีอยุธยาต่างประหวั่นครั่นคร้าม แม้ราชศัตรูหงสาวดีก็มิอาจด้วยเกรงฝีมือทหารแกล้ววังหน้า จึงเมื่อทรงนัดแนะสั่งความแล้วก็เสด็จเลยไป กลาโหมก็แลท่วงทีกิริยาเสด็จเหมือนพระบัณฑูรมิเห็นแผกก็ยิ่งเศร้าใจตัว แล้วก็ตั้งใจแน่อยู่ว่า ผิว์จักรบกันเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแล้วจึงคอยเพลาล้อมเสด็จในกรมหมื่นเทพพิพิธจักกลับอยู่

เพิ่งข้างแรม ย่าง ๖ ค่ำ จึงเจ้าสามกรมซึ่งทรงทราบว่าจักสรงนำพระบรมศพอัญเชิญเข้าพระบรมโกศ แต่หากยังกริ่งเกรงพระทัย และทรงระแวงต่างๆ ก็รับสั่งจัดเตรียมทหารไว้

จึงขุนอนุรักษ์ภูธรข้าหลวง และหมื่นอนุรักษ์มหาดเล็กซี่งหายป่วยรอดชีวิตจากเมื่อครั้งวิวาทกับออกกลาโหมแล้ว ก็คิดอาฆาตอยู่ จึงสมทบกับขุนพิพิธภักดี ข้าหลวงในขุนจิตร และขุนจิตรผู้พ่ายฝีมือยับเยินมาและเจ็บใจออกกลาโหมเป็นที่ยิ่ง ก็ต่างเกณฑ์ทหารด้วยรู้ว่าสาวยมโดยและพระองค์หญิงมาอยู่พระตำหนักต้นจันทน์ในเขตกรมหมื่นเทพพิพิธโดยปรารถนา ผิว์การใหญ่ที่ทรงคิดนั้นสำเร็จแล้วจะต้องแก้มือให้สำเร็จ ทั้งนี้เพราะมีเจ้าชายองค์นั้นทรงเสน่หาพระองค์หญิงมาแต่แรก เมื่อสมเด็จพระมหาอุปราชยังทรงพระชนม์อยู่จึงมิกล้า ทั้งพระองค์หญิงก็หาพึงพระทัยไม่ จึงทรงแค้นอยู่ตลอดมา

อันพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์นั้น ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมศพ อยู่ด้านทิศตะวันตกพระวิหารสมเด็จ มีสระล้อมรอบ และพระที่นั่งทรงปืนอยู่ข้างท้ายสระ ทางด้านทิศตะวันตกเป็นห้องพระโรงที่เสด็จออก และขณะนี้ทหารของเจ้าสามกรมนั้นสะพรึบพร้อมอยู่ และเจ้าต่างกรมพระองค์อื่นแม้สมเด็จพระมหาอุปราชซึ่งจักราชาภิเษกก็ตระเตรียมทหารแล้ว

จึงพอยามเช้า พระตำหนักน้อยต้นจันทน์ท้ายสวนเสด็จกรมหมื่นเทพพิพิธนั่น พื้นหญ้าและพื้นสวนยังชุ่มด้วยน้ำค้าง ด้วยเพิ่งรุ่งอรุณสักครู่นี้ เสียงพระมนตร์โองการและกลค่ายกล ทั้งพระตำรับพิชัยสงครามอันลึกซึ้งเพิ่งจะเงียบไป และพระองค์หญิงก็ทรงพระดำเนินเล่น แสวงดอกไม้บานยามเช้าใกล้กระท่อม ทรงได้ยินพระมนตร์และพระโองการนั้น ก็จับใจถึงทูลกระหม่อมและความหลัง แล้วก็ทรงรำพึงว่า วันนี้ก็ยามฉุกเฉินสำคัญของกรุงศรีอยุธยา​และพระญาติพระวงศ์ทั้งหลาย แล้วด้วยทรงพระตระหนักตั้งแต่เมื่อคืนว่า เจ้าทั้งสามกรมสมทบทหารเตรียมไว้ แล้วยังเจ้าฟ้าที่ทรงลาผนวชมาอีก เพราะเป็นวันถวายบังคมพระบรมโกศ

.




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #4 on: 23 October 2025, 14:56:57 »


https://vajirayana.org/%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%B9%E0%B8%A3/%E0%B9%95

https://vajirayana.org/ทหารเอกพระบัณฑูร/๕




​ในกระท่อมปลายสวนนั้นเงียบสงัดเหมือนเมื่ออยู่ชนบท เมื่อจบสวดมนต์และพระโองการแล้ว ออกกลาโหมเก่าก็รำลึกไปต่างๆ ว่า หากแม้สมเด็จพระบัณฑูรทรงบารมีอยู่ ป่านนี้ทหารจะสะพรึบพร้อมล้อมองค์และราชวัง อันเสี้ยนหนามศึกแผ่นดินจะสักกี่หมื่นกี่แสนซึ่งคิดประทุษร้ายก็คงสนุกมือทหารพระบัณฑูรเป็นแน่ โอ้ กูกลาโหมหรือจะตกยากถึงเพียงนี้ มาซุกกายอยู่เพียงกระท่อมปลายสวน แต่ก่อนซิ เพียงออกชื่อกลาโหมทหารสมเด็จฯ ก็ครั่นคร้ามขามใจอยู่ทั่วกัน

จนรู้สึกว่าสว่างแล้ว อัจกลับและแสงเทียนบูชาหน้าพระจึงพลันดับเสียแล้ว กลาโหมก็เห็นแสงเงินแสงทองพุ่งฟ้าลอดมาในกระท่อม รำลึกถึงเสด็จทูลกระหม่อมแก้วก็ขานกาพย์ขึ้นสำเนียงเครือ

๏ แสงทองเรืองรองราง   ขึ้นกระจ่างสว่างเวหา
รุ่งแล้วแก้วกัลยา   สุดเสน่หาไม่มาเลย”
ก็พลันดอกไม้หลายหลาก ทั้งมณฑาและนมสวรรค์ และดอกจำปาอ่อน เข้ามาทางเบื้องหน้าต่างตกต้องหน้าออกหลวงผู้กำลังนอนเอกเขนกท่องกาพย์ และมียมโดยขว้างดอกไม้มาอีก ก็ลุกทะลึ่ง

"ยมโดยแม่หรือ” กลาโหมทักออกไปก่อนโดยคะเนตามชื่อดอกไม้ และยามเช้าหัวใจชื่นเหมือนลมพัดเมื่อตรู่ ก็คิดไปข้างเสน่หา “แม่เอ๋ย หอมเหลือเกิน กลาโหมนี้คอยแม่อยู่แต่ใกล้รุ่ง”

เสียงหัวเราะที่เบื้องหน้าต่างแต่โดยค่อยโดยอายบ้าง ขันบ้าง แสงทองส่องฟ้ากระจ่างแล้ว จึงสำคัญเสียว่า สาวแม่เร่งลงสวนเก็บดอกไม้ ก็ลุกชะโงกหน้ามองเยี่ยมหน้าต่าง จักกวาดตาหา และในพลันที่ได้เห็นนั้น

พระองค์เอ๋ย พระธิดาทูลกระหม่อมแก้วเสด็จมาทรงสวน หาใช่สาวยมโดยมิได้ พระรูปโฉมขณะนี้เป็นวรลักษณ์แสนงาม ด้วยฉลองพระองค์ชั้นใน​และคลุมพระภูษาแพรประทับแอบอยู่ ทรงหายคล้ำหมองดุจจันทร์จำเริญเมื่อวันเพ็ญบริบูรณ์นัก

“พุทโธ่เอ๋ย นั้นใต้ฝ่าพระบาทของหม่อมฉัน มิใช่หรือ ประทานอภัยเสียเถิด”

“อภัยอะไรกันอีกเล่า ออกหลวง” รับสั่งเป็นกันเองและพระสำเนียงยังข้องอายอยู่ “พ่อเดือนมิผิดหนักกระไร หรือจักให้หญิงนี่อภัย”

“มีสิ ใต้ฝ่าพระบาท” กลาโหมทูลประนมมือ ”เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งเสด็จกลับ หม่อมฉันจะขอเฝ้าข้างภายนอก”

แล้วประตูกระท่อมก็เปิดเร่งร้อน ทหารสมเด็จพระบัณฑูรผู้แกล้วกล้าก็เผ่นจากกระท่อม ทรุดกายถวายบังคม ชำเลืองเหลือบพระองค์หญิง เห็นพระพักตร์ระเรื่อรับแสงอรุณเมื่อรุ่ง และสดสะอาดเช่นยามเช้า แต่ปราศจากยมโดยแม่อยู่เคียง

“อ้ายเดือนนี้สำคัญผิดหนักหนาแล้ว พระองค์หญิง” เขากราบทูลด้วยนอบน้อม หัวใจก็ตื่นผิดสังเกตตัวจนน่าประหลาด “สำคัญแล้วเสียว่ายมโดยแม่มาขว้างมาซัดดอกไม้สัพยอกเข้าหน้าต่างและต้องหน้าพอดี ก็กล่าวคำ เออ พระพุทธเจ้าข้าเอ๋ย มาผิดเป็นพระองค์หญิง กระนี้ขออภัยเถิด”

ทรงเมินพระพักตร์และละอายแก่กลาโหม ทั้งตระหนักด้วยหนาวร้อนพายุยามเช้าก็เพียงปลายลมโชยสดสะอาดมาแต่ท้ายสวนต้องพระเกศาและภูษาปลิว แล้วทรงคำนึงไปต่างๆ

“พ่อเดือนช่างจำกาพย์โคลงของทูลกระหม่อมนัก” รับสั่งเปรยๆ ไปอย่างอื่นก่อน แล้วก็กลับก้มและเมินพระพักตร์ผิดกิริยาเคย “หญิงนี้ลงสวนแต่เช้า เก็บดอกไม้จักใส่พาน ทั้งจำปา มณฑาสวรรค์และยมโดย พอได้ยินกาพย์ทูลกระหม่อม ก็รู้ว่าพ่อเดือนตื่นจึงขว้างไป”

“นั่นสิ หม่อมฉันจึงต้องขออภัย เพราะกล่าวคำสำคัญผิด”

พ่อหนุ่มทหารสมเด็จทูลกระหม่อมซ้ำรอยอยู่เช่นเดิม พิศพักตร์พระองค์ท่านขณะนี้แล้วก็เศร้าใจ พระบารมีซึ่งมาตกอับด้วย ผิว์ทูลกระหม่อมยังทรงบุญ ไหนเล่าจักเป็นเยี่ยงนี้ จักงดงามเหลืองามดุจพระจันทร์เพ็ญบริบูรณ์นัก แต่กระนั้น หม่อมเจ้าชายและพระองค์อื่นอันต่างกรมก็ต่างคลั่งไคล้ใหลหลงปรารถนาอยู่ แต่ท่านทรงเจียมพระองค์มิคิดปรารถนา

​“ก็ไม่เห็นผิดอย่างไรเลย ออกกลาโหม” รับสั่งดุจประทานอภัยให้ “พ่อเดือนใช่จะแกล้ง เพราะรู้ว่าเป็นหญิง ก็หามิได้ แต่หญิงนี้จับเค้าได้รู้ความเสียแล้ว”

“เอ๊ะ อย่างไรเล่าใต้ฝ่าพระบาท”

ก็ทรงพระสรวลเล็กน้อย เหลือบพระเนตรดูกลาโหมหนุ่มที่ทำกิริยาหลากใจในรับสั่ง

“พ่อเดือนแปลกใจในคำหญิงหรือ จักบอกให้”

“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันนี้แปลกใจอยู่ ที่ใต้พระบาทรับสั่งว่าจับเค้าหม่อมฉันได้ มิทราบว่าเค้าอย่างใดเลย” ทรงเมินแล้วมองอีกทาง กลาโหมผู้ทรุดนั่งประนมมือก็รับสั่งว่า “ในกาพย์คำทูลกระหม่อมนั้น ที่พ่อเดือนท่องก็บอกอยู่ว่า “รุ่งแล้วแก้วกัลยา สุดเสน่หาไม่มาเลย” ก็พอดอกไม้อื่นแลยมโดยว่อนเข้าทางหน้าต่าง พ่อเดือนซิพลันเรียกขานว่า ยมโดยแม่หรือ หอมเหลือเกิน กลาโหมนี้เฝ้าคอยจนใกล้จักรุ่งนี้ และฉันจับเค้าได้”

กลาโหมก็ประนมมือ หัวเราะเก้อ แก้ตัวไป

“ช่างทรงสังเกตหนักหนา หม่อมฉันนี้เมื่อคราอยู่ชนบทก็ท่องก็เพ้อเสียจนเคย แม้ตื่นขึ้นเห็นเดือนดาวลูกไก่กฤติกาหรือดาวไถ และใกล้รุ่งประกายพรึก ก็ฉวยเอากาพย์ทูลกระหม่อมแก้วมาเอ่ยเสมอไป จนติดมาบัดนี้แล้ว”

“คงจะท่องไว้เสียหมด”

“เป็นส่วนมากเชียวพ่ะย่ะค่ะ ที่หม่อมฉันจำได้”

ก็ทรงพระสรวล อันละอายในพระองค์ท่านก็ลดน้อยคลายลงแล้ว มิเหมือนเมื่อแรกๆ ในพระภูษาคลุมนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้หลากหลายต่างๆพรรณที่ทรงเก็บตั้งแต่เมื่อตรู่ และบัดนี้ก็สางสว่างแล้ว เสียงนกร้องคะนองปีติว่ารุ่งและฝูงกาที่ออกแต่ตรู่ หากินอันมิ่งไม้ในสวน ก็กระจ่างเห็นลายใบไม้อ่อนถนัดตา และกำหนดราชการอันฉุกเฉินก็นับว่าใกล้นัก

“วันนี้กำหนดถวายบังคมพระบรมโกศมิใช่หรือ พ่อเดือนเห็นอย่างไรมั่ง” ทรงถามพรั่นๆ และใส่พระทัยนัก เพราะที่ทรงทราบยังมิตระหนักเหมือนคำกลาโหมที่ว่าพบพระองค์ชายท่านพี่ ทั้งได้รับสั่งแก่กลาโหมเอง “สำหรับพ่อเดือนเห็นว่าการวันนี้จักร้ายดีอย่างไรบ้าง”

​“หม่อมฉันก็เตรียม” กลาโหมผู้อยู่กระท่อมกล่าวทูล “วันวานยังได้พบพระองค์ชายรับสั่งทัก ก็ใคร่จักถวายพระแสงคืนเพราะเป็นของทูลกระหม่อม หากมีผู้คนมากหน้าหลายตาจึงมิอาจ ทรงรับสั่งให้รู้ตัวแล้ว”

“เจ้าพี่ทรงเตือนอย่างไรแก่กลาโหม”

“ทรงเตือนว่าวันนี้แหละเป็นวันสำคัญ ยุคเข็ญจักเกิดก็มิพ่นวันนี้ เพราะต่างองค์ก็เรียกบรรดาข้าหลวงและมหาดเล็กเข้าซ่องสุมหมดทั้งนั้น เพราะใกล้ราชาภิเษก”

“จักกราบทูลให้เป็นที่แน่ก็มิได้ เพราะก้ำกึ่งกัน”

“สำหรับเราสิ พ่อเดือน ฉันถามนี้สำหรับข้างฝ่ายเรา คือทั้งเสด็จอาและท่านเจ้าพี่ที่รับสั่ง”

ออกหลวงหนุ่มก็ฝืนหัวเราะให้เบาพระทัย

“อ๋อ สำหรับพระองค์ชายท่านทรงอยู่ข้างสมเด็จพระมหาอุปราชที่จะทรงราชาภิเษก จะเป็นไรมี และราษฎร พระญาติพระวงศ์ก็รักมาก ข้างส่วนเสด็จในกรมก็เหมือนข้าพระเจ้าอยู่หัว หากเราเตรียมไว้เพราะตระหนักกันแล้วว่า กิริยาเขานั้นคงจักทรยศ ด้วยซ่องสุมทหารและสมทบกันเป็นรั้วกำแพงพระราชวัง เข้าถือเอาพระแสงเครื่องต้นหนักหนาเป็นอุกฤษฎ์โทษ ใครก็ย่อมรู้ แต่ว่าแม้จักทรยศจริง ถึงทหารจักมากมายหลายกองก็ต้องรบกันถึงละเอียดไปเท่านั้น”

“หญิงกลัวเหลือเกิน” รับสั่ง พระพักตร์เผือดคล้ายจะหลับพระเนตรเห็นการจลาจลวุ่นวายบังเกิดขึ้นต่อหน้า แล้วรับสั่งเป็นสนิทกันเอง “พ่อเดือนเอ๋ย ทูลกระหม่อมพระมหาอุปราชองค์น้อยท่านฝักใฝ่อยู่แต่ข้างวัดเสียนาน มิมีไพร่พลจะต้านทานเขาได้ ฉันจึงวิตกหนักหนาว่าการครั้งนี้จะไม่เรียบร้อยเมื่อราชาภิเษก เกรงนักว่าเขาจักคุมทหารเข้าชิงราชสมบัติให้เป็นจลาจล”

“ก็รบกันเท่านั้น” ออกกลาโหมทูลห้วนๆ หัวเราะอยู่แต่ในคอในเสียงเสมือนคราแค้น “พระองค์ชายรับสั่งแต่เมื่อวานซืนว่าเสด็จในกรมท่านทรงขอพระราชทานโทษหม่อมฉัน และถวายให้เป็นทหารสมเด็จพระมหาอุปราชพระองค์น้อยแล้ว ถ้าการจักเกิดกระนั้นแล้วก็จักทำอะไรได้ ต้องรบกันเท่านั้นเอง ด้วยเสียนหนามแผ่นดินจะละได้หรือ”

“ทหารเรามีน้อยตัว”

​“แต่ทหารพระบัณฑูรทั้งสิ้น ทหารพระบัณฑูรเหล่านี้เตรียมฝีมือไว้แต่เมื่อทูลกระหม่อมแก้ว ผิว์จักเสวยราชย์ และแต่ละคนก็คิดแล้ว เป็นที่รู้จักเลื่องลือแก่หมู่ทหารด้วยกัน อย่าตระหนกพระทัยเลย”

ทรงถอนพระทัยใหญ่ เพราะเมื่อครั้งที่พระมหาอุปราชสิ้นบุญ และถูกริบถูกจับกุมก็เพียงแต่ส่วนน้อย ยังต้องตระหนักพระทัยมิเป็นสมประดี ก็หากเป็นการแผ่นดิน ต่างฝ่ายต่างเตรียมทหารเข้ารบกันเองเป็นจลาจลแล้ว คงจะอื้ออึงคะนึงนัก ยังอีกหลายเท่าหลายส่วน มิต้องสงสัย ผืนแผ่นดินจะนองด้วยน้ำเลือด และเกลื่อนด้วยซากศพทหาร ทั้งอีกต่างๆประการที่ทรงวิตกอยู่

ขณะนั้น สาวข้าหลวงแม่ยมโดยซึ่งคู่พระทัยทั้งสุขทุกข์เมื่อยามยาก ก็พลันลงสู่สวนเที่ยวหาจักตามเสด็จ ตราบมาใกล้ปลายสวนแล้ว ออกกลาโหมชี้ทูลขึ้น

“แม่ยมโดยเพิ่งจะมาโน่นเอง คงจะเที่ยวตามหาฝ่าพระบาทเป็นแน่”

“เขานอนหลับสนิท” รับสั่ง “แต่ฉัน เมื่อนึกถึงการเรื่องนี้แล้ว ก็หลับมิลงเลย พ่อเดือน อย่างไรมิรู้ ให้หวาดแว่วไปต่างๆ ว่าการนี้ภัยจักพลอยมาถึงตัวด้วย”

ที่จริงกลาโหมก็สำนึกอยู่ดีเช่นนั้น แต่ก็จำต้องพูดไถลปลอบพระทัยไปอย่างหนึ่ง มิให้ทรงวิตก และเมื่อพิศพักตร์เป็นยามเศร้าแล้ว ก็มิวายจักสงสาร ด้วยเคยเห็นแต่ก่อนนั้นสมบูรณ์และทรงพระสำราญต่างๆ ด้วยพระอิสริยยศพรั่งพร้อมข้าหลวง ด้วยเป็นพระธิดาพระองค์น้อยสมเด็จพระมหาอุปราชและกำพร้า อยู่ทั้งฝักใฝ่ภักดีแก่สมเด็จพระบัณฑูรนัก ก็ทรงเสน่หาเป็นห่วงยิ่ง

ยมโดยแม่ดำเนินมาถึง ประแป้งขาวพราวหน้าเหลือบเห็นทหารพระบัณฑูรยังคุกเข่าเฝ้าแหน และพระองค์หญิงทรงยืน

“เสด็จหนีมาก่อนได้” ข้าหลวงเจ้ากล่าวพ้อขึ้น “หม่อมฉันซิคาดว่าจะปลุกบรรทมให้ลงสวน แต่พอตัวตื่นซิ กลับมิเห็น”

“ใครจะไปคอยปลุกแม่อยู่เล่า” รับสั่ง ทรงกระดากพระทัยที่หนีเสด็จมาตามลำพังพระองค์ถึงกระท่อมปลายสวนซึ่งเป็นหนทางที่เปลี่ยวที่กลาโหมมาเฝ้าสกัดอยู่ในระหว่างการฉุกเฉิน เพราะเคยมีคนมาคอยด้อมอยู่เสมอ นับแต่ทรงพระประชวรหนักจนเสด็จสวรรคต แล้วก็รับสั่งไปด้วยเชิงพระวิตก “ฉันหรือกลุ้มเหมือนจะตาย นอนมิใคร่หลับ เพราะบ้านเมืองก็กำลังจะยุคเข็ญ ดูหรือ​แม่ยมโดยสิหลับให้สำราญนัก หรือแม่จักเชื่อว่ามีทหารทูลกระหม่อมแก้วมารักษาแม่อยู่”

ข้าหลวงก็ยิ้มอายเอียง ผิว์เป็นเพื่อนแม่ข้าหลวงด้วยกันก็จักย้อนให้หากนี่เกรงอยู่ และกลาโหมก็หัวเราะชอบใจ ชม้ายมอง

“มิใช่ทหารของหม่อมฉัน มิได้” สาวยมโดยเถียงและค้อนให้ทั้งออกหลวงทหาร “ทูลกระหม่อมแก้วและพระองค์หญิงทรงเรียกหามาเอง สมควรแต่จะเป็นทหารของใต้ฝ่าพระบาทคอยช่วงใช้”

“ฟังดู แม่เอย” รับสั่งอึงและละอายพระทัย พระพักตร์ก็ระเรื่อบ่มอยู่เพราะจะแจ้งในคำข้าหลวงนั้น “กลาโหมฟังเถิด แม่ยมโดยมาย้อนฉัน พิลึกนัก ฉันก็ใคร่จะรู้ว่ากลาโหมนี้เป็นทหารผู้ใด ใครหนอ”

ยอดทหารพระบัณฑูรผู้หนุ่มก็หัวเราะสำรวล ลืมแล้วซึ่งการจักเป็นร้ายเป็นภัยในเบื้องหน้าเสียขณะหนึ่ง ด้วยเป็นอีกครั้งที่มาอยู่ร่วม

“หม่อมฉันเป็นทหารเสด็จในกรมและพระพุทธเจ้าอยู่หัว” กลาโหมตอบเป็นกลางๆ และก็สัพยอกเป็นกลางๆเช่นกัน “แม่ยมโดยก็อุตสาหะไปตามถึงบ้านนอกคอกนา และทั้งพระองค์หญิง จึงเมื่อมีภัยมาแล้ว กลาโหมก็ต้องรับใช้เป็นทหารทั้งนั้น มิเลือกใคร และยิ่งยมโดยแม่แล้วก็มิปล่อยให้ใครกล้ากรายข่มเหงได้”

“ก็แล้วพระองค์หญิงเล่า” ข้าหลวงแม่แสร้งเย้าพระทัย “พี่เดือนจักปล่อยให้พระองค์หญิงของยมโดยได้รับอันตรายกระนั้นหรือ”

“เอ๊ะ ยมโดย เช้านี้กระไรอยู่ ดูพูดพิลึกนัก” รับสั่ง ยิ่งพรั่นยิ่งอาย ชี้หน้าข้าหลวง “แม่ประแป้งพราวขาวมาแล้ว ดูหรือ เจตนามาปลายสวนนี่แล้วไถลพูดออกเลอะเทอะไปเช่นนี้ เหมือนแก้อายตัว พิลึกคนเสียจริง แน่ะ ฉันรู้นะแม่ยมโดยเจ้าเอ๋ย ว่าเมื่อรุ่ง แม่มาเยือนสวนจึงใคร่จะบอกไว้ ฉันนี่รู้เพราะยินกาพย์ทูลกระหม่อมที่พ่อเดือนขานขึ้น “รุ่งแล้วแก้วกัลยา สุดเสน่หาไม่มาเลย”” แล้วก็ทรงสรวล ถามกลาโหมให้ยืนยัน ทั้งคลี่พระภูษาที่ทรงห่อดอกไม้ แล้วก็เล่าความว่าทรงขว้างหวังแสร้งจักฟังเค้าก็รู้เค้าว่า ยมโดยคงจะเคยลอบมาขว้างจนกลาโหมรู้เพลา รู้กาล ซี่งข้าหลวงเจ้าอายนัก แต่พระองค์หญิงก็สำนึกพระทัยละอายขณะที่ทรงเล่าเช่นกัน

​เพลานั้นก็รุ่งเรืองจารการแล้ว แล้วตะวันส่องอยู่ทั่วสวนเป็นเพลาสว่างใกล้โมง และมิมีใครจะคาดเลย นายภูบาลมหาดเล็กสนิทในกรมก็พลันมาถึง สีหน้าตื่น

“อ้อ ออกหลวงท่าน นึกว่าจะต้องปลุกเสียอีก มีรับสั่งให้หาและเกณฑ์ทหารเร็วเถิด”

“ฮ้า อย่างไรหนอ” กลาโหมหนุ่มเอะใจเพราะกาลกำหนดเสด็จนั้นต่อเมื่อเพลาสาย “นี่ทรงตื่นบรรทมแล้วกระนั้นหรือ นายภูบาล”

“ทรงตื่นแล้วและรับสั่งให้ออกหลวงเร่งเกณฑ์ทหารให้พร้อมไว เพราะสมเด็จกรมพระราชวังบวรฯ มีพระราชบัณฑูรตรัสปรึกษาความลับกับกรมขุนอนุรักษ์มนตรี แล้วด้วยเจ้าสามกรมทรงสำแดงท่วงทีจักก่อการร้ายแก่แผ่นดิน จึงจักต้องวางคนไว้ให้พร้อมสรรพ”

พระองค์หญิงทรงสั่นพรั่นทั้งพระวรกาย

“จริงไหมเล่า กลาโหมและยมโดย ใจฉันนี่เมื่อสังหรณ์แล้วด้วยประการใด ประการนั้นก็มิค่อยจักผิดไปได้เลย โธ่ นี่จักต้องเกิดรบราฆ่าฟันกันอีกหรืออย่างไรหนอ”

“อย่าเพิ่งทรงพระวิตกเกินไปนัก” กลาโหมกราบทูล สีหน้าบึ้งถมึงขบบนฟันอยู่ เสมือนจะระงับใจเข้าสู่ศึก “อย่างไรเสีย เมื่อหม่อมฉันยังอยู่แล้ว ฝ่าพระบาทและแม่ยมโดยมิต้องทรงวิตกเลย ขอเชิญเสด็จกลับพระตำหนักเถิด เพราะตระหนกนักก็จะประชวรลำบากอีก ป่วยการแก่เวลา”

ข้าหลวงแม่ยมโดยขอเชิญเสด็จ ฉวยข้อพระกรและต่างตะลีตะลานทั้ง๒ คน และนายภูบาลมหาดเล็กก็เร่งกลับในขณะนั้น หลวงกลาโหมจึงหวนเข้ากระท่อม จัดแจงสวมเครื่องสำหรับศึก ทั้งลงเลขยันต์กันภัย และบูชาพระประจงอธิษฐานด้วยจิตสมาธิมั่น นึกแต่กตัญญูถวายชีพต่อแผ่นดินเป็นที่ตั้ง

เพียงมิถึงครึ่งชั่วยามในต่อมานั้น หน้าพระตำหนักเสด็จในกรมก็พรั่งพร้อมด้วยเหล่าทหารสมเด็จพระบัณฑูรเตรียมอยู่ และก็ทรงคอยอยู่ด้วยร้อนพระทัยยิ่ง กลาโหมจึงขึ้นพระตำหนัก กราบทูล

“พร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

​“อ้อ ออกเดือน” รับสั่งทักและเปรยไว้เป็นความลับ “ราชการมาถึงตัวแน่ละ วันนี้”

“พ่ะย่ะค่ะ ขอถวายกตัญญูสุดชีวิตอ้ายเดือน”

ทรงพยักหน้าพึงพระทัย เหลียวมองพระญาติพระวงศ์ซึ่งมาเฝ้าอยู่ด้วยความปริวิตกตลอดทุกพระองค์ มหาดเล็กข้าหลวง ก็มิอาจรับสั่งเปิดเผยได้

“กรมพระราชวังบวรฯ ทรงเห็นว่า แม้เร่งจัดการเสียแต่โดยเนิ่น ก็คงจะมีพิธีราชาภิเษกได้หาไม่ จักต้องเป็นปราบดาภิเษก”

ออกเดือนก็จะแจ้งในรับสั่งนั้นว่า จักต้องกำราบเจ้าทั้งสามกรมและทหารให้ราบคาบ มิฉะนั้นจักเกิดรบพุ่งกันขึ้นเป็นจลาจลแก่แผ่นดิน ด้วยต่างฝ่ายก็มีทหารเป็นกำลังอยู่มากด้วยกัน

“สุดแต่จะทรงใช้เถิด ข้าพระพุทธเจ้าก็ก้มหน้ามาแล้ว” หลวงกลาโหมกราบอยู่แทบฝ่าพระบาท” และขณะนี้ทหารทูลกระหม่อมทุกชีวิตก็พร้อมที่จะถวายกตัญญูต่อแผ่นดิน”

ทรงพระสรวลเศร้าๆ เอื้อมพระหัตถ์ลูบไล้ศีรษะกลาโหม

“คิดถึงทูลกระหม่อมแก้ว มิทรงอยู่ได้เห็นฝีมือทหาร เดือนเอ๋ย เรานี่สลดอยู่หลายประการนัก ด้วยพระญาติพระวงศ์กันเองประการหนึ่ง และแผ่นดินในเมื่อหน้าประการหนึ่ง นี่ฤกษ์ให้หรือยัง”

กลาโหมผู้ตระหนักชำนาญในมงคลศึกและรู้ฤกษ์ดีร้าย ก็ตรึกนิ่งอยู่ชั่วขณะ แล้วจึงทูลว่า

“ในครู่ข้างหน้านี้ เพียงให้ตะวันแจ่มใสหมดเมฆสักหน่อยก็เสด็จได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ด้วยเป็นจัตุรงค์โชค”

พึงพระทัยในฤกษ์นั้นด้วยทรงสอบแล้ว และในทันใด พระองค์ชายพระโอรสพระมหาอุปราชที่ดับสูญก็เสด็จมาพร้อมด้วยมหาดเล็ก เร่งร้อน ทรงทักทายกลาโหมแล้วจึงปรึกษาซุบซิบกับเสด็จกรมหมื่นเทพพิพิธ และแย้มพระสรวลพอพระทัย

“เห็นแก่ราชการเถิด กลาโหม” รับสั่งซ้ำอีก “ครั้งนี้ก็เหมือนราชการแผ่นดิน เพราะทรงพระราชทานอภัยโทษแล้ว เราเห็นออกเดือนและทหารทูลกระหม่อมแก้ว ถึงหากจะไม่พรักพร้อมเหมือนก่อนก็ยังอุ่นใจนัก”

​ออกหลวงหนุ่มก็ถวายบังคม ปลดดาบซึ่งขัดหลังมา ๒ เล่มนั้น เล่มหนึ่งหุ้มผ้าพันไว้จึงฉีกออก ทั้งกรมหมื่นและพระองค์ชายก็ทรงตะลึง เมื่อทอดพระเนตรเห็นตลอดฝักและด้ามคร่ำทองกนกสิงห์และเทพพนม แล้วออกเดือนก็ชูเหนือศีรษะถวาย

“พระแสงของทูลกระหม่อมแก้วประทานไว้แต่เมื่อวันทรงรู้พระองค์จะเสด็จเข้าราชวังหลวง หม่อมฉันก็คะเนอยู่ว่าจะถวายใต้ฝ่าพระบาทอีกต่อหนึ่ง เพราะเกินแก่วาสนาตัว”

ท่านทรงทอดพระเนตร สองพระหัตถ์สั่นเทิ้ม เสด็จจากพระที่รับพระแสงเทิดขึ้นเหนือพระเศียรแล้วรับสั่งรำพัน

“ทูลกระหม่อมแก้ว พระแสงคู่พระหัตถ์ยังเป็นพยานอยู่ โอ้ ออกเดือนเจ้าได้ราชทานไว้ แต่อุตส่าห์มอบให้เรานี้ ยิ่งกว่าเราจักได้สมบัติใดๆอีก ขอบใจหนักหนา เดี๋ยวนี้มิมีอะไรเลยจะติดตัว แล้วเถิดจะสมนาคุณอีก”

พลันก็ถอดพระธำมรงค์เพชรนั้นประทานให้แก่กลาโหม และรับสั่งชอบแก่บุญคุณด้วยวิสัยชายชาตรีนักรบ แล้วก็พึงปรารถนาอาวุธคู่ใจยิ่งอื่น

“กลาโหมนี้สำคัญอยู่” กรมหมื่นรับสั่ง “มีของดียิ่งค่าใดๆทั้งสิ้น ดูหรือเจ้าซ่อนไว้ เอาผ้าหุ้มเสียจนใครไม่รู้”

“รักษายิ่งชีวิตเชียวพ่ะย่ะค่ะ นี่เพิ่งจะมาหุ้มผ้าเมื่อเร็ววัน เพราะเกรงผู้อื่นจะจับเค้าได้”

“แล้วเราจักหาที่ดีงามให้ใช้แทน”

พระองค์ชายรับสั่งและเฝ้าลูบคลำชมพระแสงสมเด็จยิ่งพระราชมรดกใดๆ

ได้ฤกษ์ ตะวันก็รุ่งเรืองสมเป็นมงคล จึงออกกลาโหมก็กราบทูลเชิญเสด็จทั้ง ๒ พระองค์ แล้วสั่งทหารห้อมล้อมพระคานหาม ทั้งนำหน้าและขบวนตามหลังเป็นสกัดกั้นกันแซงครบตำแหน่ง เหลียวพบพระองค์หญิงทรงยืน​พระพักตร์เผือด ประหนึ่งหวั่นเกรงภัยร้ายใดเบื้องหน้าประทังส่งเสด็จอยู่ สาวข้าหลวงแม่ยมโดยก็มีกิริยาการวิตก และบรรดาพระโอรสธิดาในกรมหมื่นก็มีพระพักตร์และกิริยาเช่นเดียวกัน ตราบกระทั่งทหารหามพระยานพ้นประตูไปแล้ว

.




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #5 on: 23 October 2025, 14:57:43 »




ครั้นเพลาบ่าย ณ วันแรม ๑๑ ค่ำนั้น กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพและกรมหมื่นเสพภักดีก็เสด็จมาเฝ้ากรมพระราชวังบารฯ และกรมขุนอนุรักษ์มนตรี ณ พระตำหนักตึก ขณะนั้นมีพระราชบัณฑูรตรัสปรึกษาเป็นความลับแล้วกับกรมขุนอนุรักษ์มนตรี และวางผู้คนไว้พร้อมเพรียง จึงให้กุมเอากรมหมื่นสุนทรเทพไปจำไว้ ณ หอพระมนเทียรธรรม ให้กุมกรมหมื่นจิตรสุนทรไปไว้ ณ ตึกพระคลังวิเศษ และคุมกรมหมื่นเสพภักดีไปไว้ ณ ตึกพระคลังศุภรัต แล้วตรัสสั่งเจ้าอาทิตย์ว่า

“เขาทำแก่พระบิดาเจ้าฉันใด ก็จงกระทำตอบแทนเสียฉันนั้น”

ครั้นถึง ณ วันแรม ๑๓ ค่ำ จึงมีพระบัณฑูรสั่งให้ลงพระราชอาญาแล้ว สำเร็จโทษเจ้าสามกรม ณ พระคลังพิเศษแห่งเดียว และกรมหมื่นสุนทรเทพนั้นพระทัยอ่อน ร้องไห้วิงวอนผัดผ่อนเพลาไป แต่กรมหมื่นเสพภักดีนั้นพระทัยองอาจ มิได้ย่อท้อต่อความตาย รับสั่งให้สติเจ้าพี่ว่าจะกลัวตายไย ธรรมดาเกิดมาในมหาประยูรเศวตฉัตรดังนี้แล้ว ใครจักได้ตายดีสักกี่คน และกรมหมื่นจิตรสุนทรนั้นทรงนิ่ง มิได้ตรัสประการใด จึงเจ้าอาทิตย์ก็ตรัสสั่งให้ลงท่อนจันทน์สำเร็จโทษเจ้าสามกรม แล้วให้เอาพระศพทั้งสามไปฝังไว้ ณ วัดโคกพระยาตามโบราณราชประเพณี

ครั้นถึง ณ วันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๗ ท้าวพระยามุขมนตรีทั้งหลายจึงให้สั่งการพระราชพิธีปราบดาภิเษก ณ พระที่นั่งสรรเพ็ชญ์ปราสาท อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวรฯ เสด็จเถลิงถวัลย์ราชมไหสุริยสมบัติ สืบสันตติวงศ์ดำรงพิภพกรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยาฯ แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งทหาร และปูนบำเหน็จบรรดาผู้มีความดีความชอบโดยทั่วถึงกัน

​แต่การก็หาได้เป็นปกติเรียบร้อยมิได้ ทั้งนี้เมื่อสิ้นเจ้าสามกรมอันคิดจักก่อการร้ายแก่แผ่นดินแล้ว ผู้อื่นก็เกรงพระบรมเดชานุภาพและราชอาญา แต่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี พระเชษฐาซี่งลอบลาผนวชเมื่อในพระบรมโกศทรงพระประชวรหนักใกล้สวรรคตนั้น ได้ตั้งพระองค์เป็นอิสระ ขึ้นประทับบนพระที่นังสุริยาศน์อัมรินทร์ พร้อมด้วยข้าราชการทั้งเก่าใหม่ และแม้ข้าวของเจ้าสามกรมที่สูญชีพนั้นก็มาฝักใฝ่อยู่เป็นอันมาก ทรงสำแดงท่วงทีเสมือนเป็นพระมหากษัตริย์สืบสันตติวงศ์ครองพระนครศรีอยุธยาด้วยอีกพระองค์หนึ่ง

การนั้นดำเนินมาหลายวัน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระเจ้าอุทุมพรก็เกรงพระทัย มิอาจทรงว่ากล่าวประการใด ด้วยทรงเกรงสมเด็จพระชนนีพันปีหลวงด้วยร่วมพระอุทรเดียวกัน ก็หนักพระทัยนัก เพราะทรงเกรงข้าทหารทั้ง ๒ ฝ่ายจักเกิดแตกแยกสามัคคี แล้วบ้านเมืองจักเป็นจลาจล จึงทรงคอยโอกาสอยู่ ครั้นถึงแรมซึ่งเผอิญเป็นปีครบพระชันษาจักทรงผนวช สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรก็ทรงถวายราชสมบัติแก่พระเชษฐากรมขุนอนุรักษ์มนตรี แล้วก็ทูลลา เสด็จทรงเรือพระที่นั่งกิ่งศรีสมรรถไชย เป็นขบวนพยุหยาตราแห่ออกไปทรงผนวช ณ วัดเดิม แล้วเสด็จมาประทับ ณ วัดประดู่ พระองค์เสด็จอยู่ในราชสมบัติได้ ๑๐ วัน ครั้งนั้นบรรดาทหารและข้าทูลละอองธุลีพระบาทได้ตามเสด็จออกอุปสมบทเป็นอันมาก

และในเดือน ๘ ข้างขึ้นนั้น ท้าวพระยามุขมนตรีทั้งปวงก็ให้ตั้งการพระราชพิธีราชาภิเษก ณ พระที่นั่งสรรเพ็ชญ์ปราสาทอีกครั้งหนึ่ง อัญเชิญสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชขึ้นผ่านพิภพ เสวยมไหสุริยสมบัติสืบต่อไป ถวายพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชามหาอดิศร บวรสุจริตทศพิธรรมธเรศเชษฐโลกานายกอุดม บรมนาถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว ครองกรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยา และในปีขาลสัมฤทธิ์ศกนี้มีพระราชพิธีราชาภิเษกถึง ๒ ครั้งเนื่องๆกันไป

​สืบมาประมาณ ๓ วัน นับแต่พระราชพิธีราชาภิเษกแล้ว กรมหมื่นเทพพิพิธก็ทรงคิดถึงพระองค์ว่าเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ จึงเกรงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจักทรงรังเกียจไม่ชุบเลี้ยง ก็จะพลอยให้ชีวิตเป็นอันตรายเยี่ยงเจ้าสามกรมนั้น จึงเข้าเฝ้ากราบทูลถวายบังคมลาออกทรงผนวช ก็ทรงอนุญาต แล้วจึงไปผนวชอยู่ ณ วัดกระโจมเหนือ พระราชวังจันทรเกษม อันเป็นที่ประทับของพระมหาอุปราชซึ่งดับสูญพระองค์ก่อน

พระตำหนักท่านก็เงียบเหงาเยือกเย็นนัก แม้เพียงจากไปพระองค์หนึ่งทรงผนวชเสีย ก็เสมือนพระตำหนักนั้นจักสิ้นบารมีของเจ้าแล้ว ทั้งมหาดเล็กข้าหลวงก็อีกหลากหลาย ต่างพากันออกอุปสมบทตามเสด็จ ด้วยเกรงแก่ราชภัย เพราะขณะนี้บรรดาข้าหลวงของเจ้าสามกรมต่างเข้าสวามิภักดิ์ โดยเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อมีพระราชโองการโปรดให้ตั้งกรมหลวงเทพพิพิธมนตรี พระราชมารดาเป็นสมเด็จพระพันปีหลวงกรมพระเทพามาตย์ แล้วจึงโปรดตั้งเจ้าอาทิตย์เป็นกรมหมื่นพิทักษ์ภูเบศร

และนายปิ่นผู้พี่เจ้าจอมเพ็งและเจ้าจอมแมน อันเป็นพระสนมเอกนั้น ก็ทรงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เป็นพระยาราชมนตรีบริรักษ์ จางวางมหาดเล็ก ส่วนนายฉิมผู้น้อง ให้เป็นที่จมื่นศรีสรรักษ์ ทั้ง ๒ คนนี้เข้าออกในพระราชวังได้ทั้งกลางวันกลางคืน ไม่มีผู้ใดบังอาจว่ากล่าว และบรรดาข้าทหารของเจ้าสามกรมก็มาฝักใฝ่อยู่เป็นอันมาก จึงขุนนางข้าราชการเก่าทั้งทหารพลเรือนต่างก็มองเห็นภัยตัวจึงพากันหลีกลี้ แม้มีอุปสมบทก็ถวายบังคมลาออกจากราชการเสียเป็นอันมาก

นับแต่กรมหมื่นเทพพิพิธทรงผนวชที่วัดกระโจมมิกี่วัน และมหาดเล็กบ้าง บรรดาพระตำหนักน้อยใหญ่ที่ประทับพระองค์โอรสธิดาก็สงัดเหงาอยู่ ทั้งว้าเหว่และหวาดภัยอยู่ตามกันด้วยอ้างว้าง แม้เหล่าทหารประจำวังก็สิ้นแล้ว เหลือแต่ข้าเดิม ไพร่สมกรมหมู่มิกี่คน กระท่อมปลายสวนท้ายเขตวังวันนี้ก็หับสนิทในเมื่อบ่าย

​ออกหลวงกลาโหมก็เสมือนบุรุษที่ถูกทอดถอนอีกครั้งหนึ่ง ด้วยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงชุบเลี้ยงก็ถวายราชสมบัติคืนไปทรงผนวชเสีย แม้กรมหมื่นเทพพิพิธซึ่งรับสั่งเกลี้ยกล่อมไว้ ก็หลีกลี้หาวัดอยู่ตามกัน กระนี้ก็ท้อน้ำใจตัวและได้ตรึกมาแล้วหลายวัน จึงเชิญสาวแม่ยมโดยข้าหลวงมาสู่ชายสวนสนทนาใกล้กระท่อม

“ยมโดยเอ๋ย ออกเดือนบัดนี้ก็เสมือนจะสิ้นวาสนาแล้ว จึงใคร่จักบอกแม่ให้รู้ไว้ เพลานี้สมเด็จในกรมและมหาดเล็กทั้งหลายเหล่านั้นก็หันหาวัดสิ้นแล้ว เพราะต่างเกรงราชภัยอยู่ด้วยกัน และพี่นี้ก็มีมลทินเมื่อคราวจับเจ้าสามกรมนี้ได้ประหารข้าเขาเสียอีกก็มากหลาย จึงบัดนี้ข้าของท่านทั้งสามกรมนั้นก็ฝักใส่ทางสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ราชาภิเษกพระองค์ใหม่ จึงคิดเกรงแก่อาญาข้านัก ก็ใคร่จะอุปสมบทเสีย คิดเอาศาสนาเป็นที่พึ่งสืบไป ยมโดยเอ๋ย เมื่อแรกทูลกระหม่อมแก้วยังทรงพระบารมีอยู่ ออกเดือนพี่นี้ก็คิดว่าสองเราคงจักได้สุขสักวันหนึ่งในเมื่อข้างหน้า จึงเจตนายมโดยไว้ ครั้นกาลมาแปรผันไปเสียเช่นนี้เล่า ก็สุดสงสาร แม้จักสุดรักอาลัยแม่ยมโดย ก็ยังมีอีกหัวใจหนึ่งที่เป็นห่วงว่ายมโดยแม่จักยากนัก จึงหักหัวใจออกเดือนนี้ ขอเข้าวัดวาอุปสมบทไปตามเพลงกรรมและวาสนาซึ่งกระทำไว้”

“พี่เดือนจักหนีบวช” สาวข้าหลวงออกปากสะอื้น หัวใจก็หู่แห้ง ยิ่งว้าเหว่เกินมหาดเล็กทหารอื่นสักร้อยซึ่งหนีลาไปอุปสมบท แล้วก็รำพันเปรยว่า “พี่เดือนจะออกบวช ทิ้งยมโดยไปกระนี้ พ่อก็รู้แล้วว่าอยู่ในระหว่างเภทภัยทั้งพระองค์หญิง ผิว์เขาจักแกล้ง แล้วไหนเลยจักพ้นมือเขาด้วยความอาฆาต”

“กระนั้นมิเป็นไรหรอก ยมโดย เพราะเมื่อชีวิตพี่ยังแล้วก็พอจะแก้ไข ก็หากขืนครองฆราวาสอยู่นี้สิ หากเขาหาเป็นอาญาแผ่นดินเร่งประหารเสียและจะยิงร้ายมิเห็นกัน อนึ่ง เสด็จในกรมก็ทรงผนวชแล้ว พี่นี้จึงวิตกด้วยโทษเก่าตัว เพราะพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงพระราชทานอภัยก็เสด็จทรงผนวชเสีย หากเขาจักคิดเป็นผิดร้ายฟื้นความขึ้นมาอีก ไฉนจักพ้นเล่า”

ข้าหลวงพระองค์หญิงก็พลอยวิตกเห็นน้ำใจ และเกรงผิดนั้นด้วย

“พี่เดือนจักมิเฝ้าพระองค์หญิงเสียก่อนหรือ” ยมโดยเจ้าถามทุกข์ร้อนรำพันว่า “เสด็จในกรมทรงผนวชแล้วก็องค์หนึ่ง ตลอดวังนี้ว้าเหว่อยู่ พี่เดือนก็จักพลันไปเสียอีกคงน่ากลัวนัก”

​“มิเป็นไรหรอก ยมโดย เมื่อมีแต่ผู้หญิงแล้ว เขาคงหาประทุษร้ายให้ลำบากไม่ อนึ่ง พระองค์หญิงนั้นก็เจตนาอยู่ว่าในวันพรุ่งจักไปเฝ้าทูลลา”

“คงทรงกันแสง” ข้าหลวงพูดขึ้นเปรยๆ ชำเลืองออกหลวงผู้ไว้บุญแล้ว ทั้งนึกความหน้าและความหลังก็สลดน้ำใจตัว ทั้งคาดไปต่างๆประการ ด้วยศรีอยุธยาเปลี่ยนเจ้าแผ่นดินแล้วอีกครั้งหนึ่ง ก็น่าจักบังเกิดการยุ่งแบ่งพวกแบ่งก๊ก มิปรองดองด้วยแล้ว ก็พลันวิตกสำนึกตัว คิดถึงภัยเบื้องหน้าจักมีมาถึง และย้อนถามกลาโหมว่า “พี่เดือนจักตกลงไปวันนี้หรือเมื่อไหร่แน่ และอยู่อุปสมบทวัดใดเป็นที่แน่”

“เมื่อแรกก็เจตนาอยู่ จักทูลลาเสียวันนี้ แต่เกรงจะกะทันหันนักจึงต้องเลื่อนเพลานะ ยมโดย สักพรุ่งนี้ในบ่ายจึงจักเฝ้าพระองค์หญิงทูลให้รู้ แล้วก็จะข้ามวัดแม่นางปลื้มเลยทีเดียว”

“เอ๊ะ ไฉนมิบวชวัดกระโจมกับเสด็จในกรมเล่า จักได้สะดวกด้วยอาหารและอื่นๆ ผิว์ยมโดยจักไปเฝ้าท่านก็จะได้แวะเยี่ยมเยือน”

กลาโหมถอนใจใหญ่

“ยากนักหนา พี่สิจักหนีภัย แต่เมื่อกลับไปบวชร่วมวัด ล้วนแต่ทหารเสด็จฯ ทั้งสิ้น จักก่อให้เขาเกิดสงสัยหนัก สู้ปลีกไปเสียตามเรื่องเช่นนี้ดีกว่า ยมโดยเอ๋ย ชาตินี้เสมือนสองเรานี้เกิดมารักกันแต่หัวใจ มิเหมือนหนุ่มสาวเขาอื่นซึ่งสมปรารถนาดังนัดกันเกิดฉะนี้ และพี่จึงคิดว่าจักขอหาวัดเป็นที่พึ่งพอระยับใจและทุกข์ของตัวไปเพียงชั่ววันหนึ่ง และที่ใคร่พบหาในวันนี้ก็หมายจะบอกกล่าวอำลาแก่ยมโดย แม้บุญสองเรายัง แม้ยมโดยแม่คอย ผิว์สิ้นเคราะห์กรรมพี่บ้านเมืองเป็นปกติ ก็คงจักได้พบกันอีก”

“จักคอยพี่เดือนตราบสิ้นชีวิตยมโดย”

เจ้าตอบน้ำตาคลอ ฟังคำหนุ่มชู้พ่อกลาโหมรู้ตลอดว่ากาลบัดนี้ ซึ่งทั้งทหารและเจ้านายที่หนีผนวชก็ด้วยเกรงภัยแผ่นดินอยู่ด้วยกันทั้งนั้น จึงต้องห่างเหินเนิ่นนานนัก แต่ครั้งต้องจากกัน และก็จะจากกันเสียอีกในฉับพลันทันใด จึงกลาโหมก็สุดจักอดยั้งน้ำใจรักและอาลัยได้ จึงประคองแม่ข้าหลวงไว้เกือบจะจาก และเห็นใจเจ้าหนุ่มด้วยตั้งแต่แรกรักอยู่กับสมเด็จพระบัณฑูร เป็นผู้ยิ่งใหญ่ด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ ก็มิได้ก้ำเกินดูแคลนเลย

ครั้นเพลาสมควร แม่ข้าหลวงก็รีบอำลากลับ

​ตั้งแต่สมเด็จพระเจ้าอุทุมพรเสวยราชสมบัติและออกทรงผนวชแล้ว ทั้งบรรดาข้าราชการทหารและพลเรือนที่ตามเสด็จ บรรดาบ้านช่องและพระตำหนักก็อ้างว้างเงียบเหงาด้วยปราศจากพ่อเรือนซึ่งเกรงแก่ภัยแผ่นดินทั้งหลายจึงละเพศฆราวาสเสีย และวัดเหนือพระราชวังจันทรเกษมอันเป็นที่ประทับสมเด็จพระมหาอุปราชองค์ก่อนซึ่งดับสูญนั้นอยู่ฟากน้ำคูขื่อหน้า คือวัดกระโจมอันเป็นที่ทรงผนวชซของกรมหมื่นเทพพิพิธกับข้าราชบริพารนั้น มักจะมีผู้ด้อมผู้มองคอยสังเกตอยู่เสมอมา นับแต่เสด็จออกทรงผนวช

ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเจ้าฟ้าเอกทัศน์ ครั้นรับมอบราชสมบัติแล้ว และกระทำพิธีราชาภิเษกขึ้นเสวยราชสมบัติผ่านพิภพเสวยมไหสุริยสมบัติผ่านพระนครกรุงศรีอยุธยาแล้ว จึงมีพระบรมราชโองการโปรดให้ตั้งนายปิ่นผู้พี่เป็นเจ้าจอมเพ็ง เจ้าจอมแมนพระสนมเอกนั้น เป็นพระยาราชมนตรีบริรักษ์จางวางในกรมมหาดเล็ก และตั้งนายฉินผู้น้องเป็นจมื่นศรีสรรักษ์ แล้วสองพี่น้องพระยาราชมนตรีและจมื่นศรีสรรักษ์เข้าออกในพระราชวังได้ทั้งกลางวันและกลางคืน และคบหาทำชู้ด้วยนางข้างในเป็นหลายคน แล้วเจรจาหยาบคายประมาทหมิ่นผู้ใหญ่ให้ได้รับความเจ็บแค้น

จึงเจ้าพระยาอภัยราชาก็มีความโทมนัส จึงได้ลอบปรึกษาด้วยพระยายมราช พระยาเพชรบุรี หมื่นทิพเสนา กับนายจุ้ย นายเพ็งจันทร์ อันเป็นคนสนิทไว้ใจว่า สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินชุบเลี้ยงพระยาราชมนตรี จมื่นศรีสรรักษ์ ทั้งสองนี้ มีใจกำเริบกระทำการหยาบช้าต่างๆ มิช้าบ้านเมืองจักเกิดเป็นจจลาจลแน่แท้ อนึ่ง สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงก็ตรัสมอบราชสมบัติแก่พระพุทธเจ้าอยู่หัวที่ทรงผนวช มิได้มอบแก่พระองค์นี้หามิได้ จึงตรัสทำนายไว้ว่า ถ้าจะให้พระองค์นี้ได้ครองราชสมบัติ บ้านเมืองก็จักเกิดพิบัติฉิบหาย ควรเราจักคิดกำจัดเสีย แล้วเชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงผนวชนั้นให้ลาผนวชมาเสวยราชสมบัติดังเก่า บ้านเมืองจึงจะเป็นสุข

พระยายมราชและพระยาเพชรบุรีต่างก็มีความเห็นว่า ซึ่งจะคิดการครั้งนี้เป็นการใหญ่ จำจักต้องไปกราบทูลปรึกษากรมหมื่นเทพพิพิธดูก่อนด้วย เธอเป็นเจ้านายผู้ใหญ่ย่อมจักหยั่งซึ้งด้วยการดีการชอบ ทั้งมีข้าทหารล้วนคน​ดีมีฝีมือใช้สอย แม้ว่าร่วมการแล้วก็คงจักสำเร็จเป็นแน่ เจ้าพระยาอภัยราชาก็เห็นชอบด้วย จึงต่างกำหนดนัดหมายเพลา ซึ่งจักลอบออกไปวัดกระโจมเฝ้ากรมหมื่นเทพพิพิธ แต่ก็จักเลยไปวังเสียก่อน

.




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #6 on: 23 October 2025, 15:00:14 »


https://vajirayana.org/%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%B9%E0%B8%A3/%E0%B9%97

https://vajirayana.org/ทหารเอกพระบัณฑูร/๗




ระฆังวัดแม่นางปลื้ม ย่ำบอกเวลาจะใกล้ค่ำ ด้วยบรรดาพระภิกษุลงโบสถ์ก็สี่โมงเย็น และครั้นเมื่อพ้นมาแล้ว ภิกษุทั้งหลายก็จากโบสถ์ จักคืนกุฏิจึงต่างองค์ต่างแยก และภิกษุหนุ่มซึ่งหามีผู้ใดรู้จักไม่ ว่าเป็นออกหลวงกลาโหมทหารเอกคู่พระทัยสมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์ที่ดับสูญเดิม คำนึงดุจจงกรมหรือภาวนาด้วยเงียบขรึมสงบนัก

ตราบใกล้กุฏิแล้ว เมื่อจะถึงนั้นมีร่มไม้ประดู่ ภิกษุหนุ่มออกหลวงผู้ตัดใจมาอุปสมบทจึงหยุดยืน และหาใช่อื่นใด นอกจากยินฆ้องค่ำจากราชวังจันทรเกษม ย่ำแล้ว ก็รำลึกถึงความแต่เมื่อหนหลัง จึงเพ่งไปสู่ทิศราชวังจันทรเกษมคำนึงอยู่ อ้า ฆ้องขานเมื่อยามนี้สิเราเคยขึ้นเฝ้า แล้วสมเด็จพระบัณฑูรเสด็จลงแล้วพร้อมพระญาติพระวงศ์ นี่มาสิ้นบุญทูลกระหม่อมแก้ว ข้าทาสชายหญิงก็ร้างไปคงยินแต่เสียงฆ้อง อันออกกลาโหมผู้ใดก็รู้อยู่ว่าเป็นทหารที่คู่เคียงพระองค์ท่าน แต่มาเป็นอยู่นี้ต้องหาวัดเป็นที่พึ่งเสียกระนี้ เมื่อสิ้นบุญพระองค์จึงสลดใจ

แต่ขณะนี้พระภิกษุหนุ่มยืนรำพึงอยู่ใต้ร่มเงาไม้ประดู่นั้น ก็หาทราบไม่ว่าที่พ้นวัดไปโน้น เรือจ้างแจวมาจากหัวรอทำนบ ตัดเข้าลำน้ำผ่านราชวังจันทรเกษม จักแยกเข้าคูเป็น ๒ ลำด้วยกัน แล้วลำหนึ่งจักไปสู่วัดกระโจมแต่อีกลำหนึ่งจักแยกมาสู่วัดแม่นางปลื้ม ในประทุนนั้น สามผู้เฒ่าผู้ดีกับข้าทาสนั่งมาด้วยกัน และอีกลำหนึ่งนั่นล้วนสตรีสาวนางสี่ห้าคน

“เจ้าคุณท่านไปเฝ้าเถิด พระตำหนักกุฏิท่านอยู่ท้ายโน้น และมิมีใครนอกจากมหาดเล็กคนสนิทเท่านั้น”

“ก็แล้วพระองค์หญิงเล่า”

“ฉันจะไปวัดแม่นางปลื้มอย่างที่ท่านเจ้าคุณว่า” ท่านทรงตอบ

“กลาโหมพระบัณฑูรมิได้อุปสมบทอยู่วัดนี้ จึงฉันจักต้องไปอ้อนวอนอีก จะสำเร็จหรือไม่ ก็ไม่แน่ ด้วย ๒ ครั้งมาแล้ว กลัวจะเข็ดเสีย”

​“ทรงอ้อนวอนสักหน่อยเถิด” ท่านเจ้าคุณชะโงกหน้าจากประทุนเรือแล้วปรารภวิตกว่า “ออกหลวงกลาโหมเขาเป็นผู้มีน้ำใจเด็ดเดี่ยวนัก และก็หลายครั้งหลายหนมาแล้วในเรื่องเช่นนี้ จึงฝ่ายเราจะต้องอ้อนวอน นี่หม่อมฉันติดจะต้องไปเฝ้าเสด็จในกรมเสีย หากสิ้นธุระก่อนก็จักตามเสด็จไป”

พระองค์หญิงก็ทรงหนักพระทัยนักหนา เพราะครั้งหนึ่งได้ชวนหลวงกลาโหมให้จากกระท่อมมาสู่พระตำหนักเสด็จในกรมหมื่นเทพพิพิธเพื่อการนี้ แต่แล้วก็หาความสำเร็จมิได้

“ก็จะลองพูดดูนะ ท่านเจ้าคุณ และต้องอ้างพระนามเสด็จในกรมท่านจึงจะได้”

“ถ้าเช่นนั้นคงดี เพราะหลวงกลาโหมเป็นผู้ทำสิ่งไรแล้วก็ถวายชีวิตเหมือนกัน หากมาเสียน้ำใจเสียเมื่อครั้งที่แล้ว จึงเกรงว่าจะขัดเสีย มิใช่หรือ ยมโดย”

สาวข้าหลวงแม่ก็รับคำแต่เศร้านัก เพราะจำได้ถึงเมื่อกลาโหมไปบอกอำลาไว้เมื่อวันก่อนอุปสมบท จึงตอบว่า

“พี่เดือนนั้นเป็นชาติทหารทั้งกายและใจ อนึ่ง ก็มั่นอยู่ในยุติธรรม เห็นแก่สุขสมบูรณ์ของบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง แม้พระองค์หญิงจักลองทรงชี้แจงอีกครั้งแต่โดยละเอียดแล้ว ก็ว่าไม่ได้”

ทรงถอนพระทัยอีก

“ก็ถูกของแม่หรอก ยมโดย แต่เวลานี้ออกกลาโหมก็บวชเรียน ท่าจะแสนลำบากนัก เพราะเพียงแต่ก่อน เขาอยู่เป็นฆราวาส ก็ยังอ้อนวอนกันลำบาก และก็ครั้งนี้จะเอาเพศสมณะขึ้นมาอ้าง แล้วเราก็สุดจะเถียงจะเอ่ยชวน”

“แต่ความสุขสบายของบ้านเมืองและราษฎรเรานั้นเป็นใหญ่นัก พระองค์หญิง” ท่านพระยาหนึ่งแย้งอีก เพราะตระหนักอยู่ว่าแม้ได้กลาโหมทหารพระบัณฑูรมาร่วมคิดร่วมใจแล้วก็ใกล้สำเร็จ แล้วจะมิต้องพรั่นพรึงในเรื่องจะต้องเกรงกำลังทหาร จึงอ้อนวอนว่า “เชิญเสด็จเถิด เพื่อเห็นแก่บ้านเกิดเมืองนอน อย่าให้กรุงศรีอยุธยาได้เดือดร้อนเป็นจลาจลเลย และขอให้ทรงอ้างชื่อหม่อมฉันทั้ง ๓ คน ทั้งเสด็จในกรมที่จะไปเฝ้านี้ กลาโหมคงมิขัด เพราะน้ำใจเขาก็เป็นยอดทหารอยู่”

​เมื่อทรงยินเช่นนั้นก็พระทัยอ่อน และปรารถนา พระองค์หญิงกับยมโดยที่มุ่งมาก็ด้วยสถานเยือนเป็นสำคัญ เพราะตั้งแต่กลาโหมมาอุปสมบทก็เกือบจะย่างครบพรรษาแล้ว ยังมิได้พบปะเลย จึงมาคิดว่าไหนๆก็มาแล้ว จักต้องลองปรารภดูกิริยาให้ตระหนัก เพราะบัดนี้หากจะคิดถึงบ้านเมืองก็น่าวิตก ยิ่งด้วยราษฎรซุบซิบกันต่างๆ ด้วยข้าราชการสองฝ่ายแบ่งแยกแตกสามัคคี ซึ่งคงจักในมิช้าก็น่าจะเกิดกบฏกันเอง เพราะบรรดาทหารข้าเจ้าสามกรมที่ต้องพระราชอาญาสละชีพนั้น ก็เข้าสวามิภักดิ์ฝักใฝ่ข้างพระยาราชมนตรีบริรักษ์และจมื่นศรีสรรักษ์ที่พระสนมเอกสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งคอยคิดแค้นอาฆาต ไหนเลยอีกฝ่ายหนึ่งจักพ้นภัย

แล้วพระธิดาพระมหาอุปราชผู้สิ้นบุญกับสาวยมโดย และมีนางข้าหลวงแม่จันทนาที่วางพระทัย ก็อำลาท่านสามพระยาให้เรือแจวตรงไปรอที่ทำนบ จักตัดข้ามไปวัดแม่นางปลื้มแต่ขณะในพลบนั้น

ฝนยังคงชุกอยู่ เป็นท้ายพรรษา แต่วันนี้ฟ้าก็โปร่งตลอดวัน นับแต่เช้าตลอดมาตราบนี้ ฆ้องค่ำครางทุ่มที่พระราชวังบวรจันทรเกษมนั้น เตือนรำลึกของพระภิกษุหนุ่มผู้สำนักอยู่วัดแม่นางปลื้มให้คิดครวญไปต่างๆสถาน ด้วยเคยสุขแต่ก่อนนั้น ตลอดชาตินี้จะหาอีกไม่ได้แล้ว จักกลางวัน กลางคืน แต่ละล้วนเพลิดเพลินจำเริญใจตลอดเพลามิเลือกเลย อันยศศักดิ์ก็เสมอหน้าเพื่อน ครั้นสิ้นบารมีพระมหาอุปราช อันเหล่าทหารแม้แต่พระโอรสธิดาก็ต้องกระจายไป และออกเดือนก็ต้องหนีเร้นออกซุ่มซ่อน ครั้นหวนเข้ารับราชการประพฤติความชอบอีก ก็บังเอิญกรรมมาซัดเสีย ให้พระเจ้าอยู่หัวที่ทรงผนวชต้องถวายราชสมบัติ จึงการใดที่หวังไว้ การนั้นก็พินาศไป ก็เห็นแต่พระพุทธศาสนาอันรุ่งเรืองเท่านั้น จักปล่อยชีวิตกลาโหมให้สงบอยู่ตลอดชีพ

ตะวันก็มัวตาแล้ว ออกเดือนกลาโหมผู้มีเพศเป็นภิกษุซิ่งยืนเยี่ยมหน้าต่างตะลึงอยู่ เมื่อได้คิดก็หัวเราะเยาะตัวเองทั้งหัวเราะโลกอันมิเที่ยงแท้แน่ได้ แม้ว่าองค์พระบัณฑูรพระมหาอุปราชซึ่งจักได้เสวยราชย์ เป็นเจ้าชีวิตคนทั้งแผ่นดินจบศรีอยุธยานี้ในเร็ววัน ยังกลับมีอันเป็นเสด็จทิวงคตเสียเพราะราชอาญาสมบัติ กษัตริย์ก็สับเปลี่ยนเวียนไป ข้าราชการที่เคยต้องโทษก็พ้นโทษ และที่ภักดีกลับมาต้องโทษหลากหลายมิเป็นที่แน่ อันฝีมือและวิชาที่ได้ก้มหน้า​อุตสาหะร่ำเรียนไว้ก็เหมือนมาทิ้งเสีย ไม่อาจมาคุ้มตัว แล้วจักหาอะไรแน่อีก

เมื่อคิดไปและทอดตาไปตามถนนอิฐปูตะแคงทางเลี้ยวโน้นมิทันจะสังเกตด้วยโพล้เพล้และไกลนัก จึงเห็นเดินเลี้ยว จนอีกสักครู่หนึ่ง ศิษย์จึงเข้ามาบอกว่ามีแขกมาเยือนก็หลากใจ เพราะนับแต่อุปสมบทยังมิเคยจักมี ก็พลันให้ศิษย์เชิญ แล้วจุดโคมขึ้นในทันทีซึ่งต่างเห็นก็ต่างตระหนกหลบตา

“เชิญฝ่าพระบาทข้างในเถิด”

ภิกษุออกกลาโหมร้องเชิญ และยิ่งหลากยิ่งสงสัยยิ่งกว่าจะเป็นแขกผู้อื่น เพราะเป็นชาวรั้วชาววัง และก็ค่ำแล้ว ทั้งคิดแล้วก็เหมือนค่ำเมื่อโน้นที่ทรงพระอุตสาหะฝ่าทุ่งไปหา ชวนมาเป็นทหาร ยมโดยก็ดูแม่คล้ำ แม่เศร้าซูบ ทั้งจันทนาอีกคนหนึ่งนั่งเมียงหลัง

พระองค์หญิงตื้นพระทัยเมื่อทรงเห็นทหารทูลกระหม่อมอยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์สงบนัก แต่ก่อนสิ พ่อเอ๋ย ออกหลวงขัดดาบสง่าเคียงองค์พระบัณฑูรแกล้วหาญ มิคาดว่าจักต้องมาสู่วัดเป็นที่พึ่ง แล้วพระองค์หญิงก็มิอาจรับสั่งสิ่งประการใดได้อีก เป็นแต่ประนมมือทรงนมัสการพระพุทธรูปและภิกษุกลาโหม

“เชิญกระเถิบข้างใน นั่งตามสบายเถิด ยมโดยและแม่จันทนา” ภิกษุกล่าวชี้เชิญและทักทายตลอดทุกตัวอิสตรี “พระองค์หญิงคงจะทรงพระสำราญอยู่ และนี่เสด็จไปไหนมาด้วย”

“ก็ตั้งใจมาเยี่ยม” รับสั่งเรียบๆ “นึกว่าจักจำวัดเสียแล้ว ตั้งแต่อุปสมบท ท่านคงจักสบายดี”

“ก็ค่อยสบายขึ้นเพราะได้อยู่เงียบๆ แต่วาสนาหม่อมฉันนี้ และยังมิทราบว่ากุศลจักดลตัวให้ได้บวชไปเพียงใด ช้าเร็วยังมิทราบเลย”

พระองค์หญิงก็ทรงฝืนยิ้ม ทรงเห็นร่องรอย จักเล่าเรื่องดังเช่นท่านสามพระยาเล่าให้ฟัง

“จะคิดลาสิกขาหรอกกระมัง”

ภิกษุก็ยิ้มบ้าง มองสาวแม่ข้าหลวงยมโดยซึ่งคิดจะร่วมทุกข์ร่วมสุขแก่กันคราโน้น แล้วมิสมคิด ก็ทูลตอบว่า

“เวลานี้ยังมิเคยคิดเลย ฝ่าพระบาท แต่หม่อมฉันก็ได้ทูลแล้วว่า สุดแต่กุศลตัวจักมีอยู่ แม้เมื่อสิ้นบุญแล้วนั่นจะทำอย่างไรได้ แล้วนี่ฝ่าบาทเสด็จไป​เฝ้าเสด็จพระบ้างหรือเปล่า”

พระองค์หญิงเมื่อเห็นช่องสบซี่งถามเช่นนั้น จึงรีบทรงตอบ

“หญิงยังมิได้ไป แต่เจ้าคุณยมราช พระยาอภัย และพระยาเพชรบุรีนั้นไปทั้ง ๓ คน หญิงจึงแยกมาที่นี่เยือนท่าน”

ภิกษุก็หลากใจ เพ่งพักตร์พระองค์หญิงและสาวยมโดยแม่ข้าหลวง ประหนึ่งจักอ่านสีหน้าสายตาให้ตระหนักในขณะนั้น

“เอ๊ะ ท่านสามพระยาไปเฝ้าเสด็จในกรมถึงตำหนักวัดกระโจมกระนั้นหรือ แล้วพระองค์หญิงเลยเสด็จมานี่ เอ เห็นท่านสามพระยาคงจักมีธุระร้อนกระมังฝ่าพระบาท”

พระองค์หญิงทรงตรึกอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยการควรมิควร แล้วจึงตกลงพระทัยเล่าความต่างๆถวายภิกษุนั้น

“นั่นแหละ ภิกษุท่าน ที่สามเจ้าคุณลอบมาเฝ้าเสด็จอาในกรมหมื่นเทพพิพิธครั้งนี้ ก็เพราะจักเกิดเหตุใหญ่ร้ายแรงเสมือนเสวยราชสมบัติ บ้านเมืองจะเป็นกลียุค ร่มร้อนทุกหย่อมหญ้าเสมอไป ก็ด้วยเหตุสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่เอกทัศน์นี้ทรงโปรดปรานและตั้งพี่ชายพระสนมเอกท่านขึ้นเป็นใหญ่แล้ว มิชั่วแต่กดขี่ข่มเหงราษฎรประการเดียว หากแม้ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งหลายแต่ครั้งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ก็ต้องถูกดูแคลน พูดจาสามหาว ก้าวร้าว และเข้านอกออกในได้ตลอดเวลาค่ำคืน ผิว์พึงใจอิสตรีก็กระทำชู้สู่สาว มิอาจมีใครว่ากล่าวได้ อนึ่ง บรรดาข้าของเจ้าสามกรมนั้นเขาก็รับเลี้ยงแต่งตั้งให้มียศศักดิ์เสียยิ่งกว่าเดิม แล้วคนเหล่านั้นก็ผูกใจเจ็บ หวนเอาความหลังมาอาฆาตและอีกมากมายประการ ทั้งขุนนายผู้ใหญ่ก็แข่งกันเป็นสองฟากสองฝ่าย ตั้งแง่กันอยู่ จึงเหตุนี้ และท่านสามพระยาจึงเห็นการบ้านเมืองว่าจักเป็นวิปริตผันแปร เพราะสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มิเสด็จว่าราชการให้เป็นที่เรียบร้อยได้ จึงเห็นสมควรเมื่อปรึกษากันว่าจักเชิญเสด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงผนวช ทั้งเป็นผู้สืบราชสมบัติแท้จริง ออกมาเสวยราชย์เสียเช่นเดิม เพราะทรงสติปัญญาลึกซึ้งพอจักให้บ้านเมืองอยู่ร่มเย็นเป็นสุขได้ จึงพากันมา ก็หมายปรึกษาเสด็จกรมหมื่น ด้วยท่านเป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ทรงรอบรู้ราชการมากมาย”

ภิกษุกลาโหมก็นิ่งฟังโดยสงบ และตระหนักแล้วว่าพระธิดาพระบัณฑูรเสด็จมาคราวนี้ หาใช่อื่น นอกไปกว่าจักทรงเกลี้ยกล่อมให้คิดร่วมทำการใหญ่​อีกครั้งหนึ่ง และก็สมจริง ด้วยรับสั่งอ้อนวอนในอีกต่อไป อ้างทุกข์สุขยุคเข็ญของราษฎร และภัยของพระองค์ทั้งพระประยูรญาติ สุรเสียงสั่นเครือดุจแม่รุ่นสาวนาง

ยมโดยเจ้าก็พลันเอยเสมือนน้อยน้ำใจ กล่าวว่า

“ใช่จักมากวนสงบพระท่านดอก แต่กรุงศรีอยุธยาจักปั่นป่วน ย่อมรู้กันอยู่ว่าในไม่ช้าความเดือดร้อนนั้นจักบังเกิดเป็นเที่ยงแล้ว ทั้งท่านสามพระยาก็กำชับว่าให้เล่าเนื้อความให้ฟัง ก็เมื่อจักสิ้นตัวทหาร หรือว่ากรุงศรีอยุธยาจักสิ้นคนดีเสียแล้วกระนั้นหรือ”

แล้วทั้งพระองค์หญิงและสาวยมโดยข้าหลวงก็ทรงพ้ออีกนานประการ ทั้งเฉียดอ้อมและโดยตรงกระทบใจ แม้ว่ามีศีลครองน้ำใจอยู่ ออกกลาโหมภิกษุก็จักโทสะพลุ่ง เมื่อยินคำกล่าวต่างๆ ถึงประพฤติข่มเหงของฝ่ายอริทั้งโอหังบังอาจต่างๆประการ และกระนั้นก็ดีซึ่งฝืนหัวเราะก็ยังเจื่อนสีหน้าและแหบแห้งในน้ำเสียงบอกพิรุธ ทั้งถอนใจใหญ่ จึงฝืนตอบแต่โดยสถานเป็นการด้วยเพศสมณะนั้นว่า

“อาตมาภาพก็เพิ่งจะทราบการนี้ เพราะนับแต่อุปสมบทแล้ว ก็มิได้พบปะแก่ใคร และใส่ใจแก่กิจนี้เลย อนึ่ง ที่เป็นไปเช่นนี้เห็นใช่การอื่นนอกจากกุศลเขาและกรรมเรานั่นเอง ทรงตรึกรำลึกดูเถิดว่าข้างฝ่ายเราต้องหนีร้อนหลายครั้งหลายหนักแล้ว เมื่อคราโน้นเขาริษยาอาฆาตถึงทูลกระหม่อมแก้วร่มโพธิ์เราทิวงคต แต่ครั้นสิ้นบุญเจ้าสามกรมท่านเสีย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถวายราชสมบัติอีก เขาจึงได้เจ้าคุณราชมนตรีและเจ้าหมื่นศรีสรรักษ์พีพระสนมเอกเป็นที่พึ่ง แต่หม่อมฉันฟังดูแล้วก็ดูเหมือนการจักยิ่งร้ายเสียกว่าเก่า จึงเสมือนกรรมข้างฝ่ายเรานักอยู่”

ยมโดยแม่ก็งอนค้อนภิกษุพ่อกลาโหม ซี่งกล่าวเป็นเวรกรรมมาเอ่ยอ้าง แล้วทูลพระองค์หญิงน้อยใจตัว

“ท่านปลงตกเสียแล้ว ฝ่าพระบาท ท่านจักสำเร็จไปนิพพานในเร็วนี้ เป็นพระอรหันต์แล้ว อย่ารับสั่งเลย”

“เอ๊ะ ยมโดย ไยเล่ามาโกรธประชดฉัน”

“มิได้โกรธแต่พระองค์หญิงทรงพระอุตสาหะเสด็จมาหวังปรับทุกข์ ทั้งท่านสามพระยา แต่กลับได้ยินพระท่านมาปลงสังขารปลงบุญกรรม ทั้งวาสนา​ยมโดยเป็นว่าเรื่องที่ทรงเล่าถวายนั้น เช่นเรื่องสนุกไป”

ภิกษุออกกลาโหมก็ยิ้มระเรื่อยและยิ่งแน่ว่าตัวจักต้องเปลี่ยนเพศอีก และพักตร์พระองค์หญิงขณะนี้ก็เปลี่ยนไปดุจบึ้งขึง

“แล้วจะให้ฉันพูดอย่างไรเล่า ยมโดยเอ๋ย ออกเดือนนี้กำลังบวชเรียนรักษาเพศสมณะอยู่” พระธิดาพระบัณฑูรเห็นการสมคะเน จักควรได้ช่องโอกาส แล้วก็รับสั่งขึ้นตรงๆ “พระท่านทรงศีล ก็ใช่อยากมารบกวนสึกพระหามิได้ แต่เสด็จในกรมหมื่นเทพพิพิธท่านก็ทรงผนวชอยู่ มีศีลเหมือนกัน ก็ผิว์ท่านลาบวชแล้วมาเชิญชวน พระท่านก็คงจักอ้างบุญกรรมเทศน์กัณฑ์นี้ถวายอีกกระมัง พระท่านคงใคร่จักเฉย ชอบดูพวกเราถูกเขาคร่าไปทำเล่นต่างๆหรอกกระมัง”

“อย่ารับสั่งดังนั้นสิ พระองค์หญิง” หลวงกลาโหมโบกมือห้าม มีกิริยาแปลก แปลกจากสงบของภิกษุ แล้วด้วยตื่นใจเพราะสำนึกว่าตั้งแต่รู้จักกับพระองค์หญิงองค์นี้ประทานความคุ้นเคยตลอดมา ก็พึ่งจะได้เห็นว่าครั้งนี้แหละทรงน้อยพระทัยนัก “ที่หม่อมฉันทูล หาใช่อ้อมค้อมออกตัวเพราะสิ้นความภักดีเสียแล้ว หรือมาคิดเกรงแก่อริศัตรูก็หามิได้ หากมารำลึกอยู่ว่าตัวเป็นภิกษุเพศ และวิตกว่าการทั้งนี้ที่คิดจะเป็นผลสำเร็จแน่แล้วหรือ ด้วยผิว์เสด็จในกรมกับท่านสามพระยาจักนำเนื้อความไปกราบบังคมทูลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงผนวชเพื่อเชิญเสด็จ ก็ไฉนเล่าท่านเป็นพี่น้องและก็ทรงถวายราชสมบัติเองโดยสมัครพระทัย ผิว์มิทรงเห็นชอบด้วยแล้ว พวกเรามิหัวต้องขาดหมดหรือ”

ท่านทรงนิ่งอึ้งขึง เพราะที่ออกกลาโหมกล่าวชี้แจงมานั้น สมจริงโดยสมควร โดยว่าเจ้าฟ้าอุทุมพรสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงผนวช ประทับอยู่วัดประดู่นั้น ก็ทรงถวายราชสมบัติโดยสมัครพระทัยเอง และเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช หากมิทรงเห็นด้วยแล้ว เพราะเกรงจะเกิดวุ่นวายอีก และนำความขึ้นกราบบังคมทูล ราชภัยก็จักพลันมาถึง จึงทรงปรารกว่า

“ก็จริงของพระท่าน แต่การครั้งนี้ แม้จักเปรียบแล้วกับคราวก่อนสิกลับยิ่งร้ายนัก เพราะพี่พระสนมเอกขณะนี้ประพฤติการมิสมควรด้วยประการทั้งปวงหลายข้อ จึงสามพระยาท่านสิเกรงว่าสืบไปแผ่นดินจักเป็นยุคเข็ญจลาจลจึงได้คิดการใหญ่ แต่เมื่อพระท่านมากล่าวฉะนี้แล้ว เกรงว่าทูลกระหม่อมพระจักมิทรงเห็นด้วย และกราบบังคมทูลมีราชภัยมาถึง ก็น่าฟังอยู่ แต่ว่า​หากเสด็จในกรมที่ทรงผนวชท่านร่วมคิดให้มาปรึกษาชวน แล้วจะว่ากระไร”

ท่านก็ถอนใจใหญ่ด้วยยากจะตอบ เพราะภิกษุเพศกำชับอยู่

“ขอให้อาตมาหม่อมฉันได้ตรึกตรองสักหน่อยเกิด พระองค์หญิง”

ภิกษุออกกลาโหมผัดแบ่งรับแบ่งสู้ หัวใจสมณะที่ครองอยู่ขณะนี้ก็ค่อยคล้อยเห็นไปข้างรักชาติ เสียดายบ้านเมือง จักเกิดเป็นจลาจลวุ่นวายนัก ทั้งราษฎรไพร่บ้านพลเมืองจักมาได้เดือดร้อน ทั้งตัวเองและพระองค์หญิง พระธิดาทูลกระหม่อมมหาอุปราช และแม่ยมโดยแม่ข้าหลวงจักเกิดภัยแน่

ด้วยขณะนี้ศัตรูทั้งขุนจิตรและหมื่นสุนทรเทพข้าเจ้าสามกรมเหล่านั้นก็ฝักใฝ่ได้ดีแล้ว ทางฝ่ายจมื่นศรีสรรักษ์พี่พระสนมเอก แล้วภัยนั้นก็จักต้องมาถึงตัวสักวันหนึ่ง

“ตรึกตรองของพระท่านก็คงจักปรารถนาไปนิพพานดอกกระมัง” ข้าหลวงแม่ยมโดยกล่าวห้วนๆ สำเนียงน้อยใจ แต่ก็กระดากอยู่ว่าตัวจักมายุชักชวนผู้มีศีลให้ละเพศเป็นฆราวาส จึงออกตัวว่า “อันการใดนั้น ขอได้สุดแต่พระท่านเถิด ใช่ว่ามาครั้งนี้จักแสร้งอุบายให้พระสึกนั้นหามิได้ เพราะเกรงแก่บาปกรรมอยู่นัก”

"หาเช่นนั้นมิได้หรอก แม่ยมโดยและพระองค์หญิงท่านเอ๋ย อาตมานี้เคยเป็นข้าทหารพระบัณฑูรเสมือนทหารแผ่นดิน เมื่อเห็นว่ายุคเย็ญจักบังเกิดและมีผู้ปรารถนาดีจะระงับแล้ว ไยจักเฉยอยู่ หากเพลานี้ยังครองเพศอยู่มิอาจตอบได้ อันสวรรค์หรือนิพพานนั้น ปุถุชนสมัยนี้ย่อมหามิได้แต่สักคนเดียวก็ย่อมรู้อยู่”

แล้วภิกษุออกกลาโหมก็ทิ้งคำให้ห้วนไว้แต่เพียงนั้น ด้วยมิอาจกล่าวให้เป็นที่แจ่มแจ้งกว่านี้ไปอีกได้

ข้าหลวงแม่จันทนาอีกนางหนึ่งนั้นนั่งนิ่งอยู่ตลอดเวลา ทั้งฟังโต้ตอบสองฝ่าย แต่ก็ตระหนักในคำภิกษุนั้นแล้วแน่ จึงกล่าวขึ้นเป็นครั้งแรก

“พระท่านกล่าวก็ถูกก็สมควรแล้ว ด้วยราชภัยนั้นร้ายแรงหนักหนาในเรื่องนี้ แต่หากวิสัยบุรุษผู้ชาตรีรักชาติบ้านเมืองนั้น ไฉนจักอยู่ดูชาติให้ป่นปี้เป็นจลาจลเสียก่อนเล่า พระท่านจักมามัวตรึกตรองอะไรอีกเล่า แต่เพียงเรื่องที่รู้แล้วเช่นนี้”

​“แม่จันทนาเอ๋ย” ภิกษุกลาโหมกล่าวเสียงดุจหนึ่งใคร่ปลอบโยนทั้ง ๓ นาง “อันจากมา และหม่อมฉันมาอุปสมบทเซ่นนี้ หาใช่จักคิดเป็นสวรรค์นิพพานดังกล่าวแล้วไม่ หากว่าเห็นเหมาะสมควรแล้วที่จักอุปสมบทด้วยสิ้นห่วงทั้งราชการและใดอื่น จึงประการที่ผลัดเพียงขอตรึกตรอง ขณะนี้แม่ฟังความออกหรือ”

พระองค์หญิงถอนพระทัย ตระหนักแล้วว่าออกกลาโหมพระภิกษุที่กล่าวฉะนี้ หาได้ปฏิเสธไม่ หากติดด้วยเพศด้วยศีล ก็ปีติพระทัยนัก ทรงมีพระทัยแช่มชื่นและพระพักตร์ผ่องระเรื่อ แล้วก็นึกว่าคำแม่จันทนานี้แหลมหลักฉลาดกล่าว ก็ทรงเปรยๆอีก เป็นสำทับว่า

“หญิงนี้มากวนก็ด้วยเสียดายฝีมือทหารพระบัณฑูร โอ้ ทูลกระหม่อมเอ๋ย ทหารอื่นทั้งศรีอยุธยา ใครก็ย่อมเลื่องลือว่าพระบัณฑูรเลี้ยงทหารเสือยอดฝีมือ แล้วพระท่านจะมาละเสียซึ่งนามนี้จึงน่าเสียดาย พระท่านจักมาละเสียและดูดายให้เขาข่มเหงข้าพระบัณฑูรเล่น จึงน้อยใจนัก”

“พระองค์หญิง”

ภิกษุออกกลาโหมชะโงกดุจตะโกน หัวใจพล่านพลุ่งมุ่งไปสู่แต่ความหลังเพลาโน้น

“อ้า กูก็ยอดทหารผลาญศึก อ้ายเดือนสิเคยรับพระโองการสมเด็จพระบัณฑูรให้ตามช้างเถื่อน เคยขัดตาทัพพม่า ตีศึกชายแดนมิให้หงสาวดีล่วงมาได้ ดูดู๋ เพียงการนี้อ้ายเดือนจักมาพ่ายแก่น้ำใจอุบายยมโดยเจ้า ศึกอื่นสิละเอียดแล้ว แม่เอ๋ย ก็เพียงเสมอนี้ ออกกลาโหมจักอาสาเอง”

แล้วพระภิกษุนั้นก็เข่นฟันกล่าวทูล มีกิริยาดังอยู่กลางศึก

“พระองค์หญิงทั้งยมโดยและจันทนา แม่เอ๋ยทั้งสาม ผิว์บ้านเมืองได้เดือดร้อนแน่แล้ว สองแขนออกเดือนนี้ขอถวายแต่แผ่นดินประเทศชาติ แม้หัวใจอาตมานี้จักถวายแก่พระแล้ว แต่ศักดิ์กลาโหมขอถวายแต่พระบัณฑูรรบถวายพระเกียรติพระบัณฑูร ว่าอ้ายเดือนนี้หัวใจทหาร”

พระองค์หญิงก็ทรงกันแสงมิอาจกลั้นได้ ทรงปีติและทรงตื้นตัน ว่าพ่อเอ๋ย ยอดทหารพระบัณฑูร แม้ละเพศมาอุปสมบทแล้ว แต่บ้านเมืองประเทศชาติต้องการหนักหนา ก็รำลึกความหลัง ทูลกระหม่อมแก้วเอ๋ย ทหารคู่พระทัยเคียงองค์นั้น จบศรีอยุธยานี้จักหาใดเหมือนได้อีก และที่กล่าวฉะนี้ก็เหมือน​รับปาก ลั่นคำแล้วอ้างเกียรติพระบัณฑูร

“หญิงต้องร้องไห้” รับสั่งกระท่อนกระแท่นขาดพระสุรเสียง “พ่อเอ๋ย ทหารพระบัณฑูรมากล่าวเยี่ยงนี้ ใครเล่าจักอดรำลึกได้”

“กลาโหมสมเด็จฯ” ยมโดยแม่กล่าวขึ้นเช่นกัน เห็นทีท่าภิกษุขณะนี้แปรไปดุจทหารกล้าคราก่อน ทั้งเบิกตาโพลงและวาวน่าสะพรั่น ก็รู้ว่าโมหะเกิดแล้ว ด้วยกลาโหมเป็นผู้โทสะกล้า เมื่อยินคำทั้งหลายที่ต่างก็กล่าวมานั้น จึงคล้อยตามพระองค์หญิงที่รับสั่งไว้ “กลาโหมพระท่านกล่าวกระนี้ก็ตระหนักแล้ว และเดี๋ยวนี้ทั้งยมโดยและพระองค์หญิงหรือแม่จันทนาก็อุ่นใจนัก พระท่านจงอย่าคิดใดอื่น และขอให้จำเริญสืบไปคอยฟังเหตุการณ์เสียก่อนเถิด”

แล้วการสนทนาจึงเป็นอันรู้ คล้ายกำหนดนัดหมายแก่กัน พระภิกษุกลาโหมแม้จักกล่าวเป็นนัยแต่น้อย ก็แจ่มแจ้งแก่บรรดาอิสตรีซี่งมา ใครรักชาติฉันไร กลาโหมก็รักชาติอยู่เช่นนั้น มิได้ท้อถอย หากจำเป็นภัยกันเองจักเกิดขึ้น จึงรีรออยู่เพราะรังเกียจรบกันเอง

เพลานั้นมืดมาแล้ว จึงพระองค์หญิงเห็นการสมควรก็ทรงอำลากลับ พร้อมทั้งยมโดยและข้าหลวงแม่อื่นซึ่งตามเสด็จมา และมีพระทัยแช่มชื่น ทั้งพระพักตร์ดูเบิกบานสำราญอยู่เช่นเดียวกับแม่ข้าหลวงทั้งสองนั้น กระทั่งมาถึงเรือซึ่งจอดรับแล้วแจวล่องน้ำมา พระองค์ท่านทรงแอบประทุนเรือชะแง้เห็นราชวังร้างจันทรเกษม ก็มิวายจักทรงปรารภแก่แม่ข้าหลวงสนิทซี่งอยู่ด้วยกันมาด้วยแรมปีได้

“ใจหายไหม ยมโดยและจันทนาแม่เอ๋ย” รับสั่งเปรยๆ ชี้ราชวังอันเงียบเหงาสันโดษเห็นแต่แสงไฟเพียงน้อย ที่มีเฉพาะคนอยู่รักษาเท่านั้น “แม่เห็นทั้งพระและกลับมาเห็นราชวังกระนี้เคยสำราญแต่เมื่อก่อนๆ มิใจหายบ้างเลยหรือ”

“พิโธ่ พระองค์หญิงรับสั่งถามเช่นนี้ก็ได้” ยมโดยทูลตอบ ละอายใจเพราะยินทรงอ้างถึงภิกษุคู่กับราชวังแล้วเจ้าก็ไถลเรื่องไปอื่น “หาทรงบารมีอยู่แล้ว มิช้าก็จักเสวยราชย์ ไฉนหนอพวกเราจักมาลอยเรือว้าเหว่ลำบากอยู่เช่นนี้เล่า ว่าแต่สามเจ้าคุณท่าน ป่านนี้มิเห็นเลย”

แต่พระองค์หญิงหาได้ใฝ่พระทัยแก่คำกล่าวข้าหลวงมิได้ คงกันแสงสะอื้น ชะแง้ทอดพระเนตรราชวังอันเคยพำนักแต่ก่อน เคยมโหฬารดังเมืองฟ้า แม้ค่ำคืนก็กลาดเกลื่อนด้วยแสงประทีปและสำเนียงขับระบำรำฟ้อน ทั้งมโหรีปี่พาทย์ดังจักเปรียบได้ เสมือนวิมานเมืองฟ้าหนึ่งในศรีอยุธยานี้ หากแต่ว่าบัดนี้แม้เวียงวังและพระตำหนักทั้งหลายจักยังดุจเดิม ทั้งพุ่มไม้และถนนลานพระตำหนักนั้นก็คงอยู่ดุจก่อน แต่เหล่าชะแม่ชาววังทั้งหลาย หรือทหารสมเด็จฯ แต่สักคนหนึ่งก็หามิได้ แม้พระองค์หญิงท่านเองก็มาวิบากคร่ำครวญอยู่ในเรือกลางน้ำ

จนยมโดยและจันทนาทูลขึ้นอีกว่า เกรงท่านสามพระยาจักกลับมาเสียก่อน ก็รับสั่งด้วยวิตกพระทัยอยู่ว่า

“หรือเสด็จในกรมจักมิทรงวางพระทัยเสียแล้วก็เป็นได้ เพราะทรงเข็ดเช่นครั้งก่อน เช่นออกกลาโหมภิกษุท่านกล่าว”

“อย่าเพิ่งทรงท้อพระทัยเลย” จันทนาแม่ปลอบทูล ทั้งช่วยชะเง้อหาด้วยลำน้ำคูเมืองขณะนี้ถึงจะเพิ่งย่างค่ำก็สงัดด้วยเรือผ่านแจวพาย เพราะด้วยยามบ้านเมืองอยู่ในฉุกเฉินผันแปร แล้วจันทนาก็คะเนการไปด้วยหมายจักปลอบพระทัยเท่านั้น “หม่อมฉันเห็นอยู่ว่าเสด็จพระที่ผนวช ท่านก็เป็นทหาร โปรดทหารอยู่ อนึ่ง ยังทรงเป็นห่วงทั้งสุขทุกข์แก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน คงจะมิทอดทิ้งเสีย หากช้าด้วยสามพระยาจักมัวปรึกษากันมากเท่านั้น”

“โน่นไงเล่า มิใช่หรือ” ยมโดยเจ้าชี้มือไปอีกฟากหนึ่งตรงข้ามซึ่งเป็นท่าน้ำวัด เห็นเรือแจวเหบ่ายจากท่า บ่ายลำออก “หม่อมฉันจำเรือได้เป็นแน่แท้ทีเดียว”

ทรงทอดพระเนตรตามชี้พระหัตถ์ป้องแสงไฟส่อง อันลักษณะเรือเมื่อมานั้นมิได้มีผู้ใดจักทันสังเกตเพราะลอบมาเช่าและแปลงปลอมเป็นประหนึ่งราษฎร ก็ทรงชักค่อยดีพระทัยยิ่งขึ้น

“แม่จำได้แน่หรือ ยมโดย ว่าลำนี้เป็นเรือท่านสามพระยา”

“มิผิดเลยเพคะ”

ขาดคำทูล เรือแจวลำโน้นก็ตัดฟากข้ามมุงมาเช่นกัน ครั้นใกล้กันก็ยินแต่หัวเราะสำรวล แล้วจึงต่างแจวเข้าเทียบแต่พอพูดจาจนได้ยิน

“เห็นจักทรงสำเร็จเป็นแน่แท้แล้ว พระองค์หญิง” ท่านพระยาเพชรบุรีกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงปีตินัก “แต่ยังหากติดขัดอยู่อีกเล็กน้อยเท่านั้น”

“อย่างไร ข้อไรเล่า ท่านเจ้าคุณ”

​“ทรงรับว่าเห็นชอบด้วย แต่ยังเกรงอยู่ประการหนึ่ง ผิว์ไปเฝ้าเชิญเสด็จขุนหลวงหาวัด ท่านจักไม่ทรงลาผนวชมาครองราชสมบัติเท่านั้น จึงจักต้องไปทูลปรึกษาดูก่อน แล้วออกกลาโหมข้างฝ่ายพระองค์นั้นว่าอย่างไรบ้าง”

ทรงอึดอัด จักรับสั่งพระภิกษุเดือนก็ยังมิได้รับคำที่แน่พระทัย ก็ทรงตอบว่า

“ภิกษุกลาโหมนั้นอิดเอื้อนอยู่หนักหนา ครั้นฉันเอ่ยชื่อท่านสามเจ้าคุณและเสด็จในกรมที่ทรงผนวช ทั้งอ้างบ้านเมืองจะหมดสุขเป็นยุคเข็ญ แล้วก็ดูใจค่อยโอนอ่อน”

“ทรงฉลาดแก่รับสั่ง” อีกพระยากล่าวทูลสรรเสริญพระปัญญา แล้วกำชับเรือให้ล่องตามน้ำเรื่อยตลอดไปอย่างมิมีพิรุธ “กลาโหมเขาก็เป็นทหารน้ำใจเช่นพวกเรา และบัดนี้บ้านเมืองก็แปรปรวนเต็มที่แล้ว ผิว์เราจะได้มาอีกหนหนึ่ง ทหารสมเด็จฯ อีกเหลือหลายที่แตกฉานอยู่ก็ออกมาสมทบด้วย ฝีมือพอเป็นกำลังแก่ฝ่ายเราอีกบ้าง”

ครั้นพ้นวัดกระโจมและผ่านราชวังจันทรเกษม ทั้งพระองค์หญิงผู้พระธิดาและข้าหลวงกับท่านสามพระยาก็ถวายบังคมแก่ปราสาทราชฐานซึ่งเคยเป็นที่ประทับสมเด็จพระบัณฑูรเมื่อกาลโน้น ต่างรำลึกเสียดายพระมหาอุปราชอยู่ด้วยกัน เพราะหากยังทรงพระบารมี แล้วด้วยเป็นราชโอรสพระองค์ใหญ่ และได้สถาปนาเป็นสมเด็จมหาอุปราชขึ้นครองกรุงเทพทวาราวดีฯ แล้วไฉนพระอนุชาอื่นจักมาแก่งแย่งแก่กัน ทั้งเหล่าทหารก็พรั่งพร้อมล้วนเลิศด้วยฝีมือ พระองค์หญิงก็ทรงอธิษฐานขอบารมีสมเด็จฯ จะคุ้มครองให้การที่คิดนี้จะลุล่วงสำเร็จเพื่อศรีอยุธยาจักเป็นสุขได้ และก็ขอให้ภิกษุกลาโหมจงอย่่าละทิ้งทอดแก่ธุระราชการงานเมืองนี้เสีย เพราะผิดออกเดือนแล้ว แม้ทหารอื่นก็มิวางพระทัยท่าน

แล้วก็ต่างแยกเรือขึ้นหนทางคนละท่า ด้วยเกรงชาวตระเวนด่านจักเห็นเป็นพิรุธ เพราะท่านสามพระยาเป็นขุนนางผู้ใหญ่ไปลอบพบปะด้วยข้าราชการบ้านเมือง ส่วนพระองค์หญิงก็เป็นพระธิดาสมเด็จฯ ทั้งฝักใฝ่อยู่ทางเสด็จกรมหมื่นเทพพิพิธ จึงครั้นนัดหมายแก่กันแล้วสามพระยาก็แยกไปขึ้นท่าท้ายกำแพงเมืองแต่โดยเงียบ มิได้มีผู้ใดจักรู้เห็น

​ครั้นค่ำอีกวันหนึ่ง กรมหมื่นเทพพิพิธกับขุนนางทั้ง ๔ คน ก็พากันไปเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงผนวชอยู่ ณ วัดประดู่ แล้วกราบทูลความซึ่งคิดกันทุกประการ และเชิญเสด็จให้ลาผนวชขึ้นครองราชสมบัติดุจเดิม จึงรับสั่งตอบว่าทรงเป็นสมณะ ซี่งจักร่วมคิดอ่านการแผ่นดินด้วยนั้นไม่ควร ท่านทั้งปวงจักคิดเห็นประการใดก็ตามแต่จักคิดกันเถิด แต่กรมหมื่นเทพพิพิธกับขุนนางทั้งหลายนั้นเข้าใจเสียว่าทรงเห็นชอบยินยอม ก็ทูลลากลับ

ฝ่ายพระเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงพระผนวชนั้น จึงทรงดำริว่าคนเหล่านี้คิดกบฏจะทำการใหญ่ หากสำเร็จ ข้างฝ่ายเขาจับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระเชษฐาเราได้ก็คงจักมาจับตัวเราด้วย คงจะยกกรมหมื่นเทพพิพิธขึ้นครองราชสมบัติ เรา ๒ คนพี่น้องก็จะพากันต้องตาย จะนิ่งอยู่มิได้ จำจักต้องไปทูลพระเจ้าพี่ให้รู้พระองค์จึงจะชอบ

ครั้นรุ่งขึ้นเข้าจึงเสด็จมาในพระราชวัง เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระเชษฐาธิราช ถวายพระพรถึงเหตุนั้นให้ทรงทราบทุกประการ แล้วถวายพระพรว่า

“อาตมาเป็นสมณะจักเกี่ยวข้องแก่สิกขา จึงจักขอรับพระราชทานแก่ชีวิตคนเหล่านั้นอย่าให้ถึงตาย”

แล้วจึงถวายพระพรลากลับไปพระอาราม

ครั้นทรงพระตระหนักเช่นนั้น สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินจึงมีพระราชโองการตรัสสั่งเจ้ากรม ปลัดกรม และพระตำรวจทั้งแปดกรมไปจับผู้คิดร้ายนั้น แสร้งให้ข่าวนั้นปรากฏว่ามีผู้เป็นโจทก์มาฟ้อง หาว่าคิดการร้ายเป็นกบฏ จึงได้ตัวท่านเจ้าพระยาอภัยราชา พะยายมราช พระยาเพชรบุรี นายจุ้ย รวม ๔ คน ให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนและจำไว้ แต่หมื่นทิพเสนากับนายเพ็งจันทร์นั้นหนีไป หาตัวมิได้

ฝ่ายกรมหมื่นเทพพิพิธทราบเหตุ ก็เสด็จหนีจากวัดกระโจมไปอยู่วัดพระแพนงเชิง บรรดาเจ้ากรม ปลัดกรมและข้าทั้งปวงในกรมท่านซึ่งมีความกตัญญูสวามิภักดิ์อยู่ก็มาพร้อมกันเป็นอันมาก ช่วย​ทั้งวางยามรักษาพร้อมด้วยเหล่าทหารพระบัณฑูรอีกหลากหลาย และครั้นเหล่าพระตำรวจทั้งแปดกรมตามไปถึง จักเข้ากุมกรมหมื่นเทพพิพิธ บรรดาข้าในกรมก็เข้ารบป้องกันไว้ มิอาจเอาตัวได้จึงพากันกลับมากราบบังคมทูลพระกรุณา

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้นได้ทรงทราบเช่นนั้น จึงแต่งตั้งข้าหลวงที่ฉลาดไปกราบทูลกรมหมื่นเทพพิพิธว่าทรงพระกรุณาดำรัสว่า เจ้าท่านนั้นเป็นผู้สัตย์ซื่อและถือผนวชอยู่ อันการทั้งนี้ ทรงพระดำริว่า เจ้ากรมและปลัดกรมจักคิดกันเอง ขอให้ทรงส่งตัวทั้งเจ้ากรมและปลัดกรมนั้นๆไปถวายแต่โดยดี จักทรงพระกรุณาแก่กรมหมื่นเทพพิพิธ มิเอาโทษแต่ประการใด กรมหมื่นเทพพิพิธกลัวพระราชอาญา ก็รับว่าจักส่งตัว จึงทั้งเจ้ากรมและปลัดกรมรู้ตัวแล้วก็เกรงแก่พระราชอาญานัก จึงหนีไปทั้งบุตรและภรรยา แต่ปลัดกรมนั้นลอบไปผูกคอตายเสีย ส่วนเจ้ากรมนั้นหนีหาย หารู้ไม่ว่าหนีไปอยู่แห่งใด ตามไม่ได้ตัว อนึ่ง บรรดาเหล่าข้าในกรมที่สวามิภักดิ์ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนชี่งมาตั้งค่ายห้อมล้อมวัดพระแพนงเชิง ทั้งเข้าต่อตีพระตำรวจทั้งแปดกรมแปดเหล่านั้น เมื่อราชภัยมาถึงก็ต่างหนีเอาตัวรอดกระจัดพลัดพรากแก่กันไปสิ้น แม้เสด็จในกรมหมื่นเทพพิพิธก็เสด็จหนี พาพระโอรสหลายพระองค์ที่ร่วมคิดหนีไปข้างฝ่ายทิศตะวันตก คงได้แต่บรรดาพระหลานเธอซี่งมิรู้พระองค์ และลูกเธอหลานเธอซึ่งมิได้ร่วมรู้แก่การ และหม่อมนายห้ามทั้งหลายให้สำนักอยู่ด้วยหวังพระกรุณาเท่านั้น

.




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #7 on: 23 October 2025, 15:01:18 »


https://vajirayana.org/%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%B9%E0%B8%A3/%E0%B9%98

https://vajirayana.org/ทหารเอกพระบัณฑูร/๘




​เป็นฤดูน้ำท่วมนั้นลดแล้ว หากยังไหลเชี่ยวจัดเพียบเสมอฝั่งด้วยเป็นเวลาน้ำขึ้น ทั้งสวะอื่นในลำน้ำลอยมาแน่น บ้างเป็นหมู่เป็นแพและมีกอหญ้าที่เขาถางนาขาดข้าวเกี่ยวคละปะปน และลางกอกลางหมู่ก็หนาแน่น มีทั้งไม้ขอนท่อนหักผสมมา เมื่อพ้นคุ้งก็เข้าฝั่งแล้วเลียบตามลำน้ำล่องลิ่ว อันหมู่สวะและแพสันตะวานี้ ในยามสบัดเกือบจะรุ่งก็ย่อมเป็นที่คร้ามเกรงแก่ผู้ร้อนซึ่งจักลงอาบอาศัย

ครั้นเข้าคุ้งแล้ว สวะกออื่นสิตามกระแสน้ำล่องไปเป็นธรรมดา แต่อีกแพหนึ่งนั้นซึ่งมีขอนไม้ปะปนและสวะสันตะวาหนาทึบก็เหตามกระแสน้ำไหลตะคุ่มมาในมืดเลี้ยวเข้าสู่คลองฉะไกรใหญ่ท้ายป้อมผ่านโรงดีบุกแลทหาร ผู้รักษาป้อมเชิงเทินเนินรบตลอดมา ตราบเมื่อพ้นแล้วก็ยินเสียงฆ้องย่ำบอกเพลาตี ๕ ทั้งป้อมสวนองุ่นและท้ายกบก็ย่ำรับ สันตะวาและสวะผักบุ้งหญ้าแพนั้นก็ลอยเลียบมาติดอยู่เสาสะพานลำเหยสี่แยยกถนนตะแลงแกง และสวะใหญ่กอนั้นก็ขาดกระจุยกระจาย

บุรุษทั้งสี่ห้าคนซึ่งอาศัยกอสวะกำบังมาทนยุงริ้นและทนหนาวตลอดลำน้ำไหลกว้างเวิ้ง ตราบเข้าคลองฉะไกรใหญ่ คันคายมิได้คิดแก่อื่นนอกไปกว่ากิจตัว แต่ก็ไต่เสาสะพานพากันมาซุ่มอยู่ริมถนนใกล้สะพานมีร่มไม้ครึ้ม ผู้หนึ่งในเหล่านั้นสังเกตว่าเป็นบัณฑิตเพิ่งจักลาสิกขา ก็ถามด้วยร้อนใจว่า

“ป่านนี้เขาจักลงมือกันแล้วรึยังก็มิรู้ และเสด็จพระท่านไปอย่างไรบ้าง”

นายภูบาลมหาดเล็กเข้าในกรมก็ถอนใจใหญ่ ตอบตามคะเนตัว

“นั่นแหละ ออกกลาโหม ตั้งแต่เราละค่ายวัดพระแพนงเชิงสิ้นแล้ว ข้าพเจ้าก็เที่ยวตามหาท่านนัก แต่มิได้พบเลย”

“จะมัวคอยพบกันอย่างไรเล่า เพราะใครๆก็ต่างหนีเอาตัวรอดด้วยราชภัย กลาโหมผู้ลาจากสิกขาเข้าร่วมคิดการใหญ่จนตั้งค่ายและละค่ายจากวัตพระแพนงเชิงหนีพลัดพรายไป “ข้าพเจ้าเพิ่งจะรู้เมื่อเช้านี้เองว่า มีรับสั่งจับและค้นตามวังและให้ริบ อนึ่ง ขุนจิตรมันเมื่อคุมพระตำรวจไปก็ได้พบกันอีก​ปะทะหน้า อย่างไรเสียก็คงได้กราบบังคมทูลจึงต้องเตลิดเปิดไป ว่าแต่เสด็จในกรมเถิด”

“นัยว่าจะเสด็จไปประทับที่พระแท่นดงรัง และก็รับสั่งว่าอย่างไรแล้ว ขอให้ตามหากลาโหมจนพบตัว และให้รีบทูลความแก่บรรดาหม่อมและพระโอรส ให้รีบเสด็จไปเฝ้ากรมขุนที่ทรงผนวชแล้วคงจะได้พระราชทานอภัย แต่ข้าพเจ้าเกรงเขาจักจับเสียก่อนเท่านั้นแหละ กลาโหมพี่เอ๋ย”

“เรียกเราอ้ายเดือนดีกว่า นายภูบาล” ออกเดือนถอนใจใหญ่ ยิ่งตรึกยิ่งมืด ถึงการนี้ว่าน่าสำเร็จแล้ว ไฉนจึงมาแปรไปได้ อนึ่ง มาคิดด้วยชะตาตัวก็ ๒ ครั้งแล้วที่ทำการใกล้สำเร็จ แต่ก็หาเป็นผลไม่จนต้องหนีบวช และครั้งนี้ก็ซุ่มซ่อนอยู่ดุจครั้งแรกเมื่อสมเด็จพระมหาอุปราช เพราะตัวเข้าตั้งค่ายรายล้อมรักษาองค์ และสู้ตะลุมบอนกับเหล่าพระตำรวจทั้งแปดกรมมิเลือกหน้า แล้วก็ถอนใจใหญ่ “นายภูบาลที่รักเอ๋ย หรือชาตาข้าพเจ้าจักเป็นไปเองเสียกระมัง ดูเถิด เมื่อคราแรกท่านก็ได้ตามเสด็จพระองค์หญิงไปถึงกระท่อม ครั้นสืบมาวมิกี่วันราชการงานเมืองก็ผันแปรจนต้องออกบวชแก่ราชภัยอีกครั้ง ครานี้เล่าก็เหลวไปเสียอีก เออ ข้าสมเด็จพระบัณฑูรทั้งหลายมาลำบากหลีกลี้หนีซ่อนเพราะข้าพเจ้าคนเดียว อนึ่ง การนี้ก็ปรึกษากันเป็นลับแล้ว ไฉนจะมีผู้ทราบและนำความขึ้นกราบบังคมทูลโทษฟ้องได้ประหลาดนัก”

“มิใช่กระนั้นหรอก กลาโหมพี่ชายเรา” นายภูบาลตอบพึมพำด้วยความรู้แท้มาแล้ว ก็เล่าแต่โดยย่อๆ ว่า “ออกกลาโหมพี่เรามิรู้การก็เพราะอุปสมบทอยู่ คือว่าขณะนั้น เมื่อท่านสามพระยาไปเฝ้าเสด็จในกรมทรงเห็นชอบแล้วจึงพากันไปเฝ้าเจ้าฟ้าท่าน แต่ท่านก็รับสั่งเป็นแต่โดยนัยว่าเป็นสมณะจักร่วมคิดด้วยมิได้ ขอให้พวกคฤหัสถ์คิดกันเอง จึงพากันสำคัญไปเสียว่าท่านจักทรงรับ แต่ต่อมาท่านกลับไปกราบบังคมทูลสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว จึงมีรับสั่งให้พระตำรวจทั้งแปดกรมและเจ้ากรม ปลัดกรมออกตามจับ”

“เวรของพวกเรา กรรมของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจักเดือดร้อนเอง” ออกเดือนกล่าวเปรยๆ ด้วยเสียน้ำใจ และห่วงใยถึงยมโดยและพระองค์หญิง ทั้งเห็นเพลาค่อยดึกนัก แล้วจึงถามว่า “นี่เรายังต้องคอยใครอีกเล่า เพราะเพลาสงัดนักแล้ว เกลือกเข้าชิงเข้าล้อมเสียก่อนก็จักมิทันการ”

“คนของหมื่นทิพ”

​กลาโหมก็กระวนกระวายอยู่ เพราะเพลาใกล้รุ่งนั้นก็มักจะมีเหตุจับกุม และนอกจากพระโอรสธิดาน้อยๆ กับหม่อมในวังแล้วยังมีอีก ๒ หญิงซี่งออกเดือนผูกใจเป็นห่วงนัก

“ที่ต้องคอยเขานี่ ธุระสำคัญนักหรือ”

นายภูบาลก็รับคำ

“สำคัญอยู่มิน้อยเลย เพราะเขาจักรีบไปเฝ้ากรมหมื่นท่านให้ทรงทราบเสียล่วงหน้าก่อนแล้ว จึงจะเลยสืบคดีให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งประการใดอย่างไร สำหรับพระญาติพระวงศ์ซึ่งมิรู้มิเห็นด้วยเพราะสำนักอยู่แต่ทางวังเท่านั้น ก็หากจะรีบหนีไปเสียก่อนก็จะเสมือนว่าร้อนตัวได้รู้เห็นแก่การนี้”

“ป่วยการแก่เพลา” ออกเดือนกล่าวห้วนๆ ด้วยใจร้อน “ไหนๆ เราก็มาแล้ว จักมัวคอยคนให้ไปสืบจะไม่ทันการกระมัง สมควรแต่ว่าจักรีบไปสู่วังเสด็จเฝ้าพระโอรสธิดาและหม่อมท่าน ทูลเชิญเสด็จให้หนีเสีย เพราะโทษกบฏนั้นแม้ขี้ข้าในกรมและไพร่สมเขาก็ไม่ละไว้”

อีกสามสี่คนซึ่งยืนเงียบฟัง ล้วนเป็นทหารพระบัณฑูรตัวกล้า ทั้งติดตามช้างเถื่อนและขัดตาทัพแล้ว คราออกหลวงชิงพระองค์หญิง ก็เคยเข้ารบแล้ว คนหนึ่งมุทะลุโทสะกล้าก็กล่าวขึ้น

“อย่างออกหลวงท่านว่านั้นก็สมควรแล้ว เพราะหากจะมัวช้าคอยกันอยู่ ผิว์ว่าเขาเข้าล้อมวังเสียก่อนจะเสียการข้างฝ่ายเรา เดี๋ยวนี้บัดนี้น่ะ พระนายศรีมันร้ายกาจโอหังนัก อนึ่ง เจ้าใยขุนจิตรก็ไปอยู่ด้วย ได้ดิบได้ดี ไฉนมันจะละไว้ และพระองค์หญิงก็ยังประทับที่วังเสด็จพระท่านมิใช่หรือ”

ออกกลาโหมก็ร้อนใจหลายสถานนัก เพราะคู่อริขุนจิตรไปได้ดีนั้น สถานหนึ่งก็เคยเป็นชู้ผู้ชอบแก่สาวรักแม่ยมโดยมาแต่ก่อนถึงผิดใจกัน และบัดนี้เล่าก็ไปพำนักเป็นผู้สนิทของจมื่นศรีสรรักษ์พี่ชายพระสนมเอก พระพุทธเจ้าอยู่หัวจักทำอะไร ก็สุดแต่ใจชอบทั้งสิ้น แลอีกอย่างอีกสถานที่สำคัญเวลานี้ ก็โดยเจ้าชายพระองค์หนึ่งเป็นโอรสในเจ้าสามกรมซึ่งถูกสำเร็จโทษแล้ว ยังทรงชอบทรงแค้นพระองค์หญิงอีกเป็นสองสถาน

“ไปละ ใครๆก็อย่ารอเลย” กลาโหมออกปากด้วยมานะ แหงนดูฟ้าเห็นดาวเดือนกระจ่างบอกเพลายามปลายใกล้แล้วก็ร้อนใจ “ตัวเรานี้ ๒ ครั้งแล้ว ทั้งคราวนี้ต้องลาจากสมณะเพศ ไหน ๆ ก็เมื่อการมันเป็นอย่างไร ก็คงให้เลย​ตามเลยเถิด”

“ไปฟันกันที่โน่นดีกว่า” หัวหมู่ทหารพระบัณฑูรกล่าวขึ้น “จักผิดถูกอย่างไร เราก็มากันแล้ว ขอถวายภักดีอีกครั้งหนึ่ง หนเดียวเท่านั้น ไปเถอะ”

“หมู่แทน เจ้าพูดเหมือนใจ” กลาโหมหันมาตอบ “ขืนคอยอยู่ที่นี่ชักช้าคอยกันตลอดไป สักหน่อย พระนครบาลมาพบแล้วก็จะเสียการเปล่า เออ ก็คนอื่นๆ ว่าอย่างไรเล่า เพราะการที่เราพูดเราชวนไว้นั้นมาแปรไปเสียแล้วจะว่าอย่างไร”

“สุดแต่ออกกลาโหมท่านเถิดที่จักคิดการ” หมู่แทนหัวหน้าถัดไปเป็นผู้บอกความ เพราะทุกคนเหล่านี้รักใคร่และเคยเสมือนเป็นดังศิษย์ฝึกฝีมือต่อออกหลวงมาแต่กาลโน้น “ทุกคน ใครๆเขาที่มานี่ก็เพราะกลาโหมแต่ผู้เดียว อนึ่ง ยิ่งรู้ว่าพระองค์หญิงขณะนี้จักต้องอันตรายก็สมควรไปเสียแต่โดยเร็วนั้นแหละจะดีนัก”

แล้วอีกทหารหนึ่ง อายุผู้ใหญ่เกิน ๓๐ มุทะลุ ก็ถอดดาบที่พกออกมาถือและประนมไปข้างฝ่ายทิศพระราชวังบวรโน้น

“ทูลกระหม่อมก็สิ้นแล้ว เหลือแต่พระธิดาท่าน เหลือแต่เหล่าทหารพระบัณฑูรที่ใครๆยินแต่ฝีมือ ก็ให้มันรู้เสียบ้างเถิด พ่อหลวง จะได้เสมือนฉลองพระเดชพระคุณท่าน แม้จักล่วงลับไปก่อน”

กลาโหมก็หัวเราะเสียงครั่นพึงใจ

“พูดถูกใจเราจริง ตามั่น สมควรแล้วที่ทหารพระบัณฑูรจักต้องถวายจงรักภักดีเยี่ยงนั้น ตายเสียเพื่อสนองคุณยังจะดีเสียกว่าอยู่มีชีวิตดุจผู้ที่เนรคุณ มิใช่หรือ”

นายภูบาลก็อีกผู้หนึ่ง เมื่อยินแล้วก็ถอดดาบที่ซุ่มมาถือชูร่า ประกาศ “ข้าพเจ้าก็เหมือนกัน เสด็จพระที่ทรงผนวชก็เสด็จหนี สินห่วงแล้วเหลือแต่รับสั่งเท่านั้นที่จักต้องปฏิบัติให้สมแก่ภักดีท่าน ไปเถิด รบเป็นรบ มิเลือกใคร”

ครั้นพร้อมใจกันดังนั้นแล้ว ออกกลาโหมผู้ถูกถอดอีกครั้งหนึ่ง เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าเอกทัศน์ขึ้นครองราชสมบัติแทนเจ้าฟ้าอุทุมพรผู้ไปทรงผนวชเสีย ก็ถอดดาบพระบัณฑูร ซึ่งเสด็จในกรมหมื่นได้ประทานคืนมาให้อีก

​เมื่อออกกลาโหมจัดตั้งค่ายรายล้อมรักษาองค์ที่วัดพระแพนงเชิง เสมือนถืออาญาสิทธิ์ออกนำหน้า เบื้องถัดและเบื้องท้ายนั้น นายภูบาลกับทหารนายหมู่ ซึ่งต่างก็เปลี่ยนความคิด จักคอยคนของหมื่นทิพ แล้วก็พากันเดินมุ่งไปสู่วังกรมหมื่นเทพพิพิธ ซึ่งมีนายภูบาลผู้รู้ลู่ทางดีนั้นนำไป และเดินโดยหนทางอ้อมลัดเลี้ยวเข้าหลังวัง เพื่อมิให้เอิกเกริก แต่กลับต้องใจสั่นสิ้นทุกคน แม้แต่ออกหลวงกลาโหมแห่งสมเด็จพระมหาอุปราชทหารเอกที่เคยเลื่องลือก็ไม่วายจะหวั่นไหวใจ เสียงเอะอะในยามดึก ซึ่งพูดกันเสียงมากมายหลายสิบ แสงไฟตามสว่างพรึ่บทมด เมื่อแฝงไปใกล้รั้ววังอันมีซุ้มไม้เถาวัลย์พันหนาก็ได้ยินเสียงหวีดว้ายและร้องไห้

“ตายโหง” ออกกลาโหมสบถ ปากสั่นริก “ไหนล่ะ บอกแล้ว นี่จะเข้าทางไหน”

“โน่น ประตูหลัง” นายภูบาลชี้ไปข้างใต้ ครู่นั้นก็เห็นคน ๓ ๔ คน “เอ๊ะ เขาล้อมหมด กระทั่งประตูหลัง จะทำยังไงล่ะ ออกกลาโหม”

หัวหมู่ถอดดาบปราดขึ้นหน้า

“เข้าดื้อๆซี อาวุธสั้น มันก็ต้องตะลุมบอนกันเข้าไปยังงี้แหละ”

“เดี๋ยว หมู่แทน” ออกกลาโหมกางแขนกั้นไว้ “เข้าไปน่ะ พริบตามันก็ถึง แต่ข้างในมันจะมีอีกกี่สิบกี่ร้อย เราก็ไม่รู้ งี้เถอะ เสื้อพระตำรวจหลวง เครื่องแต่งมันนั่นแหละ เอาลอยชายมันเข้าไป”

“แล้วผีเอาไว้ที่ไหน” ตามั่นถามตรงๆ “ถึงจะได้แต่งเครื่องพระตำรวจแล้ว ผ้าม่วงดำผืนนี้จะแต่งให้ผีนุ่งลงหลุมน่ะไม่ได้ ใครจะมัวมานุ่งให้มัน”

นายภูบาลมหาดเล็กดุฉุนๆตามั่น

“เมื่อแต่งแล้วจะมัวมาห่วงผ้าผืนเก่าอยู่ จะตายโหง”

แล้วพากันขยับใกล้ไปอีกจนชิดรั้ว แล้วทหารพระบัณฑูรทั้งสิ้นก็พากันสะดุ้ง พระตำหนักใกล้ที่ถัดรั้วไปนี่เอง เสียงว้ายเสียงห้ามมิได้สบประมาณ แต่กลับมีเฮฮาหัวเราะกันครืนครึกครื้น

“พระองค์หญิง” ออกกลาโหมหันมาบอกหมู่แทน และรั้งหัวข้อมือนายภูบาลมหาดเล็ก “พระองค์หญิงอยู่พระตำหนักนี่ใช่รึ”

“ใช่นั่นแหละ ร้องนั่นแหละ” นายภูบาลตอบเสียงแค้นๆ “ถุย ข่มเหงเหลือเกิน แต่พระตำหนักใหญ่เงียบจริงๆ”

​เสียงแต่ขบฟันจากออกกลาโหม เสียงถอนหายไจและเหมือนสะอื้น แล้วเรียกหมู่แทนกับตามั่น

“หมู่แทน แกไปกับข้า ตามั่นอีกคน เพราะอ้ายที่ประตูมี ๓ คนแล้วลากศพมานี่ นายภูบาลกะเจ้านี่ ชื่อไร อ้อ อ้ายเหลือ ช่วยกันตัดเถาวัลย์เตรียมไว้”

แล้วออกกลาโหมจึงออกเดินเลียบแฝงไปตามรั้ว หัวใจร้อนยิ่งเพลิง ใคร่จักให้ถึงประตูเสียโดยเร็ว แล้วเข้าชิงเครื่องพระตำรวจโผนขึ้นสู่พระต๋าหนัก แต่ที่ต้องช้านักก็เพราะตลอดริมรั้วนั้น ล้วนแต่ใบไม้แห้งและไม้ผุทั้งสิ้น ต้องระวัง ด้วยเกรงเสียงจักกรอบแกรบให้ยามรักษาประตูนั้นได้ยินเสียง จึงสู้ระงับใจร้อนนั้น ค่อยเดินเลียบระวังไปอีก จนใกล้สัก ๒ วาจะถึงตัว กลาโหมก็ได้ยินสนทนากันว่า

“ที่พระตำหนักใหญ่เสด็จพระนั้น คุมไปหมดแล้วมิใช่หรือ”

“ป่านนี้จะจำหมดแล้วด้วยซ้ำไป” อีกคนหนึ่งตอบ “เหลือแต่หม่อมเล็กๆ หลังพระตำหนักโน่นกับหลวงภักดีสงครามท่าน และเจ้าอีกองค์หนึ่งเสด็จมาพระตำหนักนี้”

คนถามทีแรกก็หัวเราะสนุกสนาน ไม่คิดและสำนึกตัวว่า ถ้อยคำซึ่งจักกล่าวนั้น จักยินไปถึงหูอื่น

“เสียงข้างในเหมือนจะสัพยอกกัน มิใช่ขับกุมเลย ฟังดูรึ”

และก็หัวเราะสนุกขึ้นพร้อมกันตามประสาแลผู้เสมอนอก แต่ฝ่ายออกกลาโหมหนุ่มซึ่งแอบฟังการ ทั้งยามประตูและเสียงเฮฮาข้างภายในก็คะเนการว่าพระองค์หญิง หรือหาไม่ก็พระธิดาในกรม พระองค์ใดพระองค์หนึ่งจักถูกหยามแล้ว ยมโดยจักป่นปี้แล้วป่านนี้ ก็พลันพลุ่งโทสะ อันหนทางอื่นก็มิเห็นจักเข้าสู่ภายในได้ทันแก่การ จึงแสร้งผวาถลาไป แล้วร้องครวญครางขึ้น

“พวกเราช่วยด้วยเถิด ถูกลอบฟันแล้ว”

นายประตูซึ่งแต่งเครื่องพระตำรวจหลายต่างสะดุ้งวิ่งปราดเข้ามา จึงในทันใดนั้นเอง ดาบซึ่งไขว้หลังซ่อนมานั้นก็ประหารซ้อนๆ แล้วอีก ๒ ดาบของนายหมู่และตามันก็ปราดเข้าข้างหลังประชิดติดตัว เพียงแต่ร้องได้โอยคำหนึ่งก็สิ้นเสียงสิ้นชีพฟุบลง

“อ้ายนี่คอหอยขาด บ๊ะ นี่ก็ขาด อ้าว” ตามั่นก้มลงจับพลิกตรวจดู “ฮือ คอหอยทั้งนั้น มือยังกะนัดกันมา มิน่า มันถึงร้องแต่โอ้กไม่โอยเลย”

​“หามไปเร็วเข้าเถอะ คนละคน”

ออกกลาโหมก้มลงหิ้วคนหนึ่งขึ้นไหล่ ตรงไปที่นายภูบาลกับเจ้าเหลือ ซึ่งตัดเถาวัลย์คอยหมู่แทนกับตามั่นก็แบกตามมาติดๆ ทันกัน

ชั่วครู่เดี๋ยวหนึ่ง สามทหารเก่าแห่งสมเด็จพระมหาอุปราชก็แต่งเครื่องพระตำรวจหลวง นายภูบาลเมื่อรู้แล้วว่าเจ้านายตัวถูกกุมไปเป็นนานจึงเสียน้ำใจ และเครื่องพระตำรวจก็ไม่มี เป็นฤดูน้ำเพิ่งลง แผ่นดินยังเปียกชุ่ม จึงรบอาสากับเจ้าเหลือ ๒ คน ใช้ดาบขุดหลุมฝังศพชาวพระตำรวจทั้งสามนั้น ส่วนออกกลาโหมจึงนำหน้าพระตำรวจหลวงที่เพิ่งได้เป็น ล่วงเข้าประตูไป

พระตำหนักใหญ่นั้นอยู่ห่างสัก ๑๐ วา มีไม้พุ่มประดับรอบ ถึงจะเงียบ ไม่มีใครกล้า แล้วทั้งบนพระตำหนักแลข้างล่าง ก็ยังมีทหารหลวงและชาวพระตำรวจเฝ้ารักษากระจายกันอยู่สัก ๑๐ คน แต่กลางสระอันมีสะพานทอดมาถึงพระตำหนักน้อยนี้ยังสว่างอยู่ด้วยแสงเทียนและอัจกลับ ยังหัวเราะคิกด้วยเสียงของเจ้าชายหนุ่มกรมพระตำรวจ และหลวงภักดี

“องค์หญิงไม่ควรดื้อกับพี่เลย” ท่านรับสั่งเหมือนเหตุธรรมดา “ถ้าเสด็จแต่โดยดีแล้ว พี่รับจะช่วยพระองค์หญิงได้แน่ ที่จะรับสั่งว่าไม่ผิดนั้นแหละ

ผิดสองต่อละ ใครเขาก็รู้ว่าเสด็จไปหาอ้ายเดือนถึงวัดกระโจม แล้วมันก็หายหน้าลาสิกขาไป คิดการนี้ร่วมด้วยใช่ไหมล่ะ แต่ข้อนี่น่ะ ยังไม่ทรงทราบหรอก เอาเถอะ เมื่อประทับวังพี่แล้วเป็นรับรอง ไม่เชื่อถามหลวงภักดีเขาดูเถอะ ว่าพี่พูดกับพระนายศรีเขาหรือเปล่า”

ขุนจิตรที่ได้เลื่อนเป็นหลวงภักดีหัวเราะอย่างผู้ใหญ่

“อย่าขัดพระทัยดีกว่า เชื่อหม่อมฉันเถอะ ท่านองค์หญิงน่ะ ผิดหลายกระทงนัก เท่ากับกบฏเหมือนกัน เพราะทรงเป็นกำลังวิ่งเต้นมาหลายครั้งแล้ว หม่อมฉันรู้นะ”

“ก็รู้ไปซี ตาใย” ท่านทระเรียกชื่อเดิม มองแผลเป็นที่หน้าและระลึกถึงทหารพระบัณฑูร ทรงแน่พระทัยอยู่ว่าคงจะถูกเขาคร่าตัวไปเช่นนางข้าหลวงแล้วจึงแค้นพระทัย ก็รับสั่งไม่เกรงกลัว “เมื่อฉันต้องหาเป็นกบฏ ท่านองค์ชายก็กราบบังคมทูลตามพระทัยชอบ หรือไม่ก็ส่งหม่อมฉันไปเป็นสนมตามหนทางราชการดีกว่า”

​“อ้าว หญิง ก็เพราะพี่สงสาร ไม่อยากส่งมิใช่หรือ ถึงได้เสียเพลาอ้อนวอนอยู่” เจ้าชายรับสั่งขุ่นๆพระทัย “ถ้าพี่สั่งหรือกราบบังคมทูล หญิงก็ต้องถูกสำเร็จโทษ จริงแล้ว เสด็จพ่อเรา พระทัยท่านเป็นอริแก่กัน แต่ท่านทั้งสองก็สิ้นพระชนม์แล้วด้วยกัน และป่านนี้ท่านอาจกอดพระศอทรงกันแสงรักกันที่เมืองผีด้วยซ้ำ เราผู้ลูกท่านอยู่หลังจะพลอยถืออาฆาตตามเสด็จด้วยทำไม อีกสถานหนึ่ง พี่นี้ว่าหากพระองค์หญิงปรองดองกับพี่ กุศลเราก็จะส่งถวายไปถึงท่าน เชื่อเถิด ไปประทับกับพี่ที่วังเป็นสุขกว่า”

ถึงจะทรงทราบว่าพระองค์ชายมีรับสั่งคำหวานตามอุปนิสัยเสมอก็ดี หากมิระแวงว่าโอรสศัตรูซึ่งกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศให้ลงพระราชอาญาสมเด็จพระมหาอุปราชถึงทิวงคตแล้ว หรือเคยทรงรักใคร่พิศวาสมาก่อนโน้น แต่โดยจริง ท่านก็อาจต้องเอียงพระทัยตามที่รับสั่งหวานนักเช่นนี้ จึงรับสั่งว่า

“องค์ชายทรงเมตตาหม่อมฉันอย่างอื่นเถิด”

“ประการใดเล่า หญิงเอ๋ย” ท่านทรงก้าวใกล้มาอีก คว้าข้อพระหัตถ์แต่เบาๆ เพียงประคอง กระซิบรับสั่งอ้อนวอน “หญิงคงจะไม่เกลียดพี่หรอก พี่รู้ แต่องค์หญิงทรงระแวงพี่ว่าเป็นลูกเสด็จพ่อเท่านั้น แต่จะทำฉันใดเล่า หญิงเอ๋ย มันกรรมของท่านก่อกันไว้ต่างหาก ควรหรือที่เราจะรับมรดกเช่นนั้นมาเป็นของเรา พี่จะถวายเมตตาได้ทุกประการ แต่หญิงก็ควรประทานพี่บ้างจึงจะยุติธรรม เสด็จเถิด”

“อย่า” พระองค์หญิงสะบัดเต็มแรงเพราะอายหลวงภักดีหรือขุนจิตรเมื่อก่อนซึ่งยืนยิ้มอยู่ “อย่าข่มเหงหม่อมฉันนะ ที่วังน่ะ หม่อมของเจ้าพี่กี่สิบแล้ว ยังไม่เพียงพออีกหรือ”

หลวงภักดีตอบสนุกสวนมา

“ต้องพระองค์หญิงอีกหนึ่งละก็ ทรงเป็นอันยุติละ”

“ทะลึ่งนัก ตาใย”

“อ้าว ทำไมรับสั่งง่ายๆเซ่นนั้น” หลวยภักดีเกิดโทสะ “พระองค์หญิงเป็นนักโทษของหม่อมฉัน ทรงทราบไหม”

“อ๋อ รู้ แต่พวกแกไม่ทำตามพระราชโองการเลย แกให้คนจับข้าหลวงของฉันไปแยกไว้ไหนแล้วนี่” แล้วทรงผลักเจ้าชายซึ่งกรากเข้ามาจะรั้งข้อพระหัตถ์​อีก “เป็นเจ้าเป็นนายก็จะตกลงมาคิดแบ่งกันเล่นเหมือนริบราชบาตรเช่นนี้ไม่อายหรือ”

เจ้าพระองค์นั้นรู้สึกเคือง เพราะยิ่งนานยิ่งแน่พระทัยว่ามิเป็นผล ซ้ำถูกหลู่พระเกียรติ จึงรับสั่งห้ามตรัสพ้อเป็นนัย

“อย่ากริ้วเกินไปนัก ที่พูดดีด้วยเพราะยังรักอยู่ ก็อย่าให้เกินไปนัก อย่าดูถูกกัน”

“ใครดูถูกใคร เชิญซี เชิญประพฤติได้ แต่ตามราชโองการ แต่ถ้าตามพระทัยก็ไม่ยอม”

“อย่าเพิ่งอวดดี”

“จะทำไม รับสั่งให้จริงเหมือนลูกผู้ชายสักหน่อยเถิด”

“อ้าว ฮะ แม่หญิงพระธิดาพระบัณฑูร” แล้วก็ทรงพระสรวลแค้นๆ “จะให้รับสั่งจริงอย่างลูกผู้ชายน่ะหรือ ฮึ ลูกผู้ชายอื่นไม่จริงเหมือนมีเมียหรอก”

พระองค์หญิงทรงสะอื้น

“อย่าดูถูกกันนัก ที่รับสั่งนั้น ไม่ใช่เป็นเจ้าเลย แน่ะ องค์ชาย ถึงหม่อมฉันเพลานี้จะเหมือนไม้ล้มแล้ว นับแต่วันผุ นับแต่จะเป็นไพร่กระฎุมพีก็จริง ขอให้ทรงเชื่อเถอะว่า อย่างพระองค์ท่านแล้ว หม่อมฉันไม่ปรารถนาเลย”

“หนอย โอหังนัก” ท่านปราดเข้าจับข้อพระหัตถ์ กระชากเต็มแรง กำลังกริ้ว “ส่งไปสำเร็จโทษเสียเถิด”

พระองค์หญิงท่านผวาและล้มลงในบัดนั้น พระตำรวจหลวง ๓ นายก็พลันปราดเข้าประตูมา

“ถอดพระแสงเถิดพ่ะย่ะค่ะ” คนหน้าชักดาบปราดแล้วร้องทูล

“พระองค์ชายถอดพระแสงคอยรับหม่อมฉันเดี๋ยวนี้ อ้ายเดือนจะกบฏ”

อีก ๒ คนเข้าคุมตัวหลวงภักดี แต่พระองค์หญิงพอเงยพระพักตร์ทอดพระเนตรเห็น ก็ดีพระทัยจนทรงกันแสง

“หลวงกลาโหมของทูลกระหม่อม ช่วยด้วยเถิด” ขาดรับสั่งก็ทรงวิ่งปราดโผไปหา เข้ากอดกายยอดทหารพระบัณฑูร สะอื้นอีกหนักหนา “พ่อเดือนช่วยหญิงด้วยเถิด”

“ถวายชีวิตอ้ายเดือน” แล้วแขนข้ายทหารพระบัณฑูรก็อ้อมองค์ท่าน เสมือนแขนนี้คือกองทัพใหญ่ที่รักษาพระองค์ ยืนชี้แจงซ้ำอีก เมื่อเห็นเจ้าชาย​พระองค์นั้นยังทรงตะลึง เพิ่งจำได้ “หม่อมฉันเป็นข้าแผ่นดินได้บังอาจแล้ว หม่อมฉันเห็นตำตาแล้วก็แทบหัวใจจะแตก นี่พระธิดาพระบัณฑูรที่ถูกลบทลู่ อ้ายเดือนก็ข้าพระบัณฑูร ขอยอมหัวขาดถวายกตัญญู หัวอ้ายเดือนนี่แน่ะ มาหิ้วไปแต่ต้องชักพระแสงมาทรงตัดเอง”

ได้สติ จึงรับสั่งเรียกด้วยเคยปาก

“หลวงกลาโหม แก...เออ...แกกบฏ”

ยอมทั้งสิ้น หม่อมฉันถูกถอดเป็นอ้ายเดือนแล้ว” แล้วออกกลาโหมก็หัวเราะ ทูลต่อไป “ที่ทรงล้อมวังไว้น่ะ สักหยิบมือหนึ่งของทหารเก่าพระบัณฑูรที่หม่อมฉันเอามาล้อม แต่มิใช่จะกบฏกินบ้านผ่านเมืองเลย เพียงแต่มิอยากเห็นพระองค์หญิงถูกใครหลู่พระเกียรติเล่าเท่านั้น และจะเชิญเสด็จท่านไปด้วย”

“ข้ารับราชโองการ”

เดือนหัวเราะ ชี้ศัตรูเก่าซึ่งบัดนี้เป็นหลวงภักดีกำลังยืนกะพริบตาหายใจได้น้อยและสั้น เพราะสองพระตำรวจหลวงวางคมดาบไว้ที่คอหอย แล้วก็ทูลว่า

"อ้ายใยโน้นก็เคยอ้างราชโองการในพระบรมโกศ จะเชิญเสด็จท่านองค์หญิงเหมือนกัน แต่มันดื้อนักถึงต้องมีแผลเป็น และก็เมื่อหม่อมฉันทูลตรงๆ ว่ายอมเป็นกบฏ อ้ายเดือนก็สู้ทั้งนั้น ถึงได้ทูลให้ชักพระแสง หาไม่ก็ต้องประทานพระแสงเร็วหน่อย”

“อ๊ะ ไม่ได้หรอก”

“ต้องได้ซีพ่ะย่ะค่ะ ไม่แล้ว หม่อมฉันจะให้เฉือนคออ้ายใยเสียเดี๋ยวนี้ พระตำรวจหลวงข้างนอกมิมากมายหรือ ยังตกเป็นเชลยคุมไว้หมด”

“ประทานเขาเถิด ฝ่าพระบาท เดี๋ยวก่อน หมู่แทน อย่าเพี่ยกดคุมนักซี” หลวงภักดีร้องห้ามแล้วก็ร้องทูลมาอีก “ประทานเขาไปก็แล้วกัน หาได้ใหม่ถมไป”

“เร็วหน่อย ไม่หม่อมฉันจะเข้าแย่ง” ออกกลาโหมเร่งขู่ใหญ่เพราะเสียงฆ้องตี ๕ แล้ว “เมื่อไม่ประทานก็ชักออกมา หม่อมฉันจะเข้าแย่งเดี๋ยวนี้แหละ”

“เอาไปสุมหัวก็เอาไปเถอะ”

ออกกลาโหมหัวเราะเมื่อเห็นท่านตกลงพระทัยง่ายดาย ปลดพระแสงดาบยื่น จึงทูลแก่พระองค์หญิง

​“เสด็จไปรับด้วยเถิด ท่านประทานแล้ว”

พระองค์หญิงทรงรับพระแสงดาบมาถือไว้ และเดินเกาะแขนยอดทหารพระบัณฑูร ถอยมาที่ประตู ตามั่นก็เข้าปลดดาบหลวงภักดี และเรียกชื่อเก่า

“ขอให้ข้าพเจ้าเถิด ขุนจิตร แหมสวยนัก เอามาเสมเดียวแหละหรือ”

เสียงฆ้องเพิ่งหยุดไป ออกกลาโหมจึงสั่งตามั่น

“ดับเทียนและตะเกียงให้หมดตามั่น แล้วถือมานี่ดวงเดียว”

ตามั่นถือไว้ดวงหนึ่ง นอกนั้นแกดับมืดหมดทุกดวงเทียนและอัจกลับถอยมาถึงประตู ออกหลวงกระซิบนายหมู่แทน แล้วถวายพระหัตถ์พระองค์หญิงให้ทรงเกาะและถอยออกประตูไปก่อน นายหมู่กับตามั่นก็ออกพร้อมกันปิดประตูโครมคราม และตะโกนบอกพระตำรวจหลวงให้จับกบฏที่ปลอมกาย

ทหารยอดฝีมือของพระบัณฑูรทรงจูงพระกรองค์หญิงผ่านท้ายพระตำหนักใหญ่ จะเลี้ยว ชาวพระตำหนักหลวงที่เฝ้ารักษาอยู่หน้าพระตำหนัก ครั้นได้ยินเสียงตะโกนก็วิ่งมาตักหน้ากันเป็นหมู่ เพราะเห็นชายถือดาบก็ชักดาบออกกั้นทาง

“ใคร นั่น หยุดก่อน จะคุดผู้หญิงไปไหน”

“หลีกกันเถอะน่ะ”

เดือนตอบง่ายๆ พระองค์หญิงทรงหวั่นภัย ก็เข้าทรงกอดแขนมัน

“พ่อเดือนอย่าทิ้งฉันนะ แล้วตอบเขาว่ายังไงดี ถึงจะไม่ต้องสู้กัน”

“ต้องโกหก และหม่อมฉันขอประทานอภัย”

พระตำรวจหลวงก็ตวาดซ้ำมา

“อย่างไรเล่า ไม่ตอบ เจ้าไม่รู้รึ ว่าวังนี้พระตำรวจเข้ารักษาแล้ว”

หลวงกลาโหมหัวเราะให้ได้ยิน

“โธ่ พี่เอ๋ย จะให้กราบก็กราบละ เมตตาปล่อยไปดีกว่า เห็นอกลูกผู้ชายเถิดน่ะ เรารักกันมานานแล้ว แต่กลัวหลังลาย ก็มาสบเหมาะเคราะห์ดี กรมหมื่นท่านเป็นกบฏ ฉันจึงได้กำหนดไว้มาพาหนี”

ท่านพระองค์หญิงทรงหยิกเนื้อเขามิตั้งใจ เม้มเน้นริมฝีพระโอษฐ์เพื่อให้เจ็บ เพราะได้ยินทุกถ้อยคำว่านัดผู้ชายพาหนี แต่พระตำรวจหลวงกลับก้าวเข้ามา

​“อา งั้นละ ก็ไม่เป็นเรื่องละโว้ย ข้าน้ำคนหลวงทำงั้นไม่ได้หรอก อ้ายพวกฉันก็โง่แย่ซี รับไว้เสียเองมิดีหรือ”

“อา” เดือนถอนฉิว ใดอื่นไม่คิดยิ่งไปกว่าศักดิ์ของพระองค์หญิงที่ตนเคารพ แล้วก็กวาดดาบแจ้งนามทหารพระบัณฑูร “หลีกทางเถอะ นี่ออกหลวงกลาโหมของสมเด็จพระบัณฑูร เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ อย่าได้เป็นอริแก่กันอีกเลย”

ตั้งแต่นายตลอดจนพลที่ยืนออกันอยู่สะดุ้งใจ พอได้ยินชื่อก็นึกท่าทางออก ทหารฝีมือลือของพระมหาอุปราชพระองค์ก่อน ซึ่งรู้กันทั้งราซสำนักและหลายคนที่อยู่นี่ บัดนี้ ก็เคยแตกพ่ายมาแต่ครั้งเดือนเข้าชิงเชิญเสด็จแต่ครั้งก่อน จึงพากันเรรวน และถึงแม้จะรู้ว่าถูกถอดแล้ว ตัวนายก็ยังทัดทานเรียกชื่อเดิม

“ข้าพเจ้าต้องจำใจติดขัดเสียแล้ว หลวงกลาโหมจงคืนหญิงนั้นเถิด”

“ขอกันสักครั้งเถิด เพื่อนเอ๋ย หญิงนี้ก็ซุกซ่อนหลงอยู่หรอก ทางสารบัญชีก็คงจะอยู่นอกจำนวนเขาแล้ว เถอะน่ะ ทำคุณแก่หลวงกลาโหมสักครั้งจะเป็นไร”

แต่เสียงข้างหลังนั้นตะโกนมา

“จับไว้ อ้ายกบฏพาพระองค์หญิงหนี ฝืนพระราชโองการ”

ท่านทรงสะอื้น

“จะฟันเขาหรือ พ่อเดือน อย่างไรอย่าทิ้งเลย ขอไปตายกลางทางดีกว่า ถ้าพันนีก็ส่งวังกรมหมื่นเสด็จพี่”

ออกกลาโหมจึงพลันนึกได้ ถึงรับสั่งให้ไปเฝ้ากรมหมื่นพิทักษ์ภูเบศร์ซึ่งพอจะเป็นที่พึ่ง ก็ปลอบพระทัย อ้าแขนอ้อมแขน

“หลับพระเนตรเสีย ถึงร้อยหนึ่ง อ้ายเดือนก็จะหักออก มิให้พระโลหิตต้องตกเลยสักเลือดซิบๆ พูดดีกันไม่ได้เสียแล้ว ถ้าสิ้นชีพ อ้ายเดือนนั่นก็เหลือจะหากตัญญูอื่นถวายได้อีก”

“หญิงจะขอตายเคียงๆกัน”

“ฮะ ตายไม่ได้ซี” แล้วทหารฝีมือลือก็เกิดน้ำจิตมุทะลุ ควงดาบเดินเข้าใส่ “ใครจะรบกับหลวงกลาโหมก็เชิญ ตามั่นระวังหลัง หมู่แทนขึ้นมา”

ทั้งเรียกและสิ่งปะปนกัน หมู่แทนก็ปราดขึ้นเคียงแล้วฟันตะลุย อันชื่อของนายหมู่ก็เป็นที่เลื่องลืออยู่หนักหนา ว่าเป็นทหารคู่ใจของหลวงกลาโหมเช่นกัน พลที่สกัดหน้าจึงแยกออกรับไว้พอให้เป็นราชการ แล้วค่อยหลีกเร่ง​แหวกทาง ตามั่นก็คอยไล่หวดระวังหลังที่จะล้อม เพราะได้ดาบ ๒ เล่มถนัดมือ หมู่แทนก็ได้อีกเล่มหนึ่งจากพระองค์หญิงที่รับจากพระแสงมาเป็นเชลย

ออกกลาโหมจึงค่อยรบอย่างสบาย เสียงรับดาบที่ฟันและฟันตอบแก่ผู้ชะล่าแหลมมานั้น ทุกฝีดาบรู้สึกมั่นน้ำใจหนัก คำนึงอยู่ว่า อันทหารฝีมือเยี่ยมนั้น หน้าไหนใดเล่าที่มีเกียรติประเสริฐเยี่ยงกู แม้พลาดสักเพียงดาบ กายน้อยของพระองค์ท่านก็จักอาบเลือดหรือสิ้นพระซนม์ ก็ใครเล่าจะปล่อยให้สตรีประเสริฐมาสิ้นชีพในแขนทหาร ฟันมาเถิด เท่าไหร่ก็ฟันมา แต่หากอ้ายเดือนมิติดประคองอ้อมกับท่านไว้แล้ว อย่าว่าแต่คนเพียงกระหยิบมือน้อยหนึ่งเลย ให้ทัพหนึ่งก็จะลุยไปให้ถึงข้างนอกจนได้ แต่ก็จะถึงประตูแล้ว พระองค์ท่านก็สั่นดังลูกนก ทรงกันแสงสะอื้นฝากชีพแก่ทหารพระบัณฑูร ยิ่งฟังก็อยากจะโอบอุ้มพระองค์ท่านมือหนึ่ง อีกมือจะรบให้แหลกไปกับมือ จะไล่ฆ่าเสียให้สมกับที่มาแสร้งให้ท่านทรงเสียมิ่งขวัญโดยใช่การ

ที่จริง พระองค์ท่านเกือบจะสิ้นสมประดีแล้ว ที่ทรงก้าวตามมาได้เองก็เพราะแรงแขนออกกลาโหมหิ้วมาบ้าง พระองค์หญิงได้ยินฝีดาบรับและตอบเหมือนเสียงสับมีดลงกระทบเหล็กตลอดเวลา ตลอดทุกลมหายใจเข้าออกนับครั้งด้วยเรือนร้อย ก็ปลงพระทัยว่าจะสิ้นพระชนม์ในอ้อมแขนของยอดทหารเสด็จพ่อ อันครหาอื่นใดนั้นประทานแก่กรรมเวร แล้วแต่ผู้จะคิดไปเอง แล้วพระองค์ท่านก็สิ้นสติ

ได้พระสติต่อเมื่อสำนึกพระองค์ดังหนึ่งทรงเป็นอยู่ในพระตำหนักครั้งกระโน้น ไกวโยกและเขย่าไป เสียงหอบและช้ามั่งเร็วมั่งกับเสียงฝีเท้าพูดพีมพำจึงทรงรู้ว่าเขาอุ้มพระองค์ท่านวิ่งมา วิ่งและซวนเซจนรู้สึกสงสาร แล้วก็ถลาคุกเข่าลง เกรงพระองค์ท่านจะทรงรับเจ็บปวดก็รัดพระองค์ไว้

“ถึงพอดี โธ่เอ๋ย พระองค์หญิง” ท่านทรงได้ยินเขาบ่น รู้สึกองค์ว่าเขารัดท่านไว้ด้วยความเมตตาแท้ ทั้งปลุกสั่น “พระองค์หญิงถึงแล้ว ถึงวังเสด็จกรมหมื่นแล้ว”

พอลืมพระเนตรเห็นฟ้าเกือบสางเป็นปัจจุสมัย และเสียงรบเสียงดาบไม่มีอีก บรรทมเหนือแขนออกหลวงกลาโหมทหารกล้า ทรงได้ยินเสียงหอบได้ยินหัวอกเต้น

​“ถึงไหนแล้ว หลวงกลาโหม”

“ข้างวังกรมหมื่นเสด็จพี่พระองค์หญิง ถ้าจะตกพระทัยมาก เชิญขวัญสู่องค์เถิด นี่พ้นมาลิบลับแล้ว”

กลับทรงถามว่า

“พ่อเดือนอุ้มหญิงมา เหนื่อยมากหรือ โธ่เอ๋ย ฉันนี้แหละ ก่อเวรให้พ่อเดือน” แล้วก็ทรงนิ่งอึ้งอยู่ขณะหนึ่ง “ฉันนึกว่าตัวตายแล้วด้วยซ้ำ ยมโดยเขาแยกคุมตัวไปกับพระตำหนักใหญ่ พระองค์ชายจะข่มเหงฉัน”

“ใคร”

“หลวงภักดีน่ะซี”

“ใครเป็นหลวงภักดี”

“ตาใย จิตรสุนทรนั่นแหละ” ทรงชี้บ่งตัว แล้วรำพันถึงข้าหลวง “นึกแล้วฉันก็ไม่อยากหนีมาเลย คิดถึงยมโดย ป่านนี้เขาคงจะจำแล้วเป็นแน่”

ทหารพระบัณฑูรนิ่งงัน เขาช้าเพราะเพิ่งรู้จากนายภูบาล และเกาะสวะไปตามน้ำจึงต้องให้แล้วแต่น้ำไหล หวนคิดถึงนางข้าหลวงแล้วก็ใจหายนัก อยากรู้และตระหนักว่าถูกขังอยู่แห่งใดแล้ว เดือนก็ใคร่พยายามจนสิ้นทุกหนทุกทาง พระองค์หญิงเมื่อทรงสติว่าพ้นภัยแล้วก็พระพักตร์เผือด รีบเขยิบจากแขนทอดแต่กลาโหมก้มจ้องมองพระพักตร์แล้วก็ปล่อยให้ทรงยืน ตัวเองก็ถวายบังคม ถึงกับต้องทรงยืดข้อมือห้าม

“อย่าสิ พ่อเดือน กราบไหว้ฉันเช่นนี้มิถูกเลย”

“หม่อมฉันล่วงเกินทั้งกายและวาจา”

“เอ๊ะ ยังไง”

“เพราะบอกพวกนั้นว่าพระองค์หญิงเป็นที่รัก ประการหนึ่ง และอุ้มพระองค์หญิงมาอีกประการหนึ่ง”

ท่านก้มพระพักตร์อายแต่ทรงพระสรวล ทรงประคองให้ยืน รับส่งเมินๆ

“หญิงไม่ถือเลย พ่อเดือนเดือดร้อนเพราะหญิงคนเดียว ยังไม่รู้จะได้แทนคุณเมื่อไหร่”

“ที่รับสั่งนี้ ประเสริฐกว่าจะแทนคุณอ้ายเดือนเสียอีก”

ท่านทรงกันแสงต่อหน้า ไม่รับสั่งเหตุผล ทรงสีสองพระหัตถ์ และดัดลั่นกรอบแล้วบิดพระองค์ รับสั่งเศร้าๆ ว่า

​“ฟ้าสางแล้ว หญิงจะต้องรีบเฝ้าทูลเสด็จพี่ ถ้าหากการหนักหนาก็จะให้ท่านทรงส่งไปสนมเอง เพราะไม่แล้ว ท่านองค์ชายก็ข่มเหง แล้วหลวงกลาโหมจะไปไหนอีก”

“ต้องหนีตามสติกำลัง”

แล้วก็เล่าถวายถึงศพพระตำรวจหลวงทั้งสาม ทรงตกพระทัยมาก ท่านประนมหัตถ์วิงวอนแก่วิญญาณพระมหาอุปราช

“ทูลกระหม่อมท่านทรงทราบแล้ว หากท่านทรงพระชนม์ ได้เห็นทหารของท่านเช่นนี้ คงทรงพระกันแสงอย่างหญิงเป็นแน่ โธ่ พ่อเดือนจะจากหญิง ยมโดยก็มิได้พบปะกัน แล้วนี่คงจากกันไปจนตาย”

ยอดทหารฝีมือดีของพระมหาอุปราชน้ำตาคลอ แต่ห้ามผู้อื่น

“อย่าทรงกันแสงเลยพระองค์หญิง ถึงจะอยู่ไหนอีกแสนไกล เดือนนี้ก็รำลึกเสมอว่าเป็นข้าถวายชีพแด่ท่านองค์หญิงต่อหนึ่งจนตลอดชีวิต”

ฟ้าสางจางอนเห็นหน้ากันและกัน ข้าพระบัณฑูรซึ่งเคยสดใส หน้าสะอาดสง่านั้นเศร้าคล้ำ พระองค์หญิงก็น้ำพระเนตรไม่ขาดสาย ทรงจ้องออกกลาโหม แล้วก็ถอดพระธำมรงค์ยื่นประทาน

“รับไว้ต่างหน้าหญิง” แล้วท่านก็สะอื้นกันแสงอีก ส่ายพระพักตร์มิอาจรับสั่งได้อยู่ครู่นาน “พ่อเดือนรับแหวนวงนี้ไว้เถิด พระธำมรงค์ของทูลกระหม่อมมหาอุปราชทรงพระเมตตาแก่หญิงว่าเป็นลูกเล็ก หญิงก็รักดังดวงใจ นับถือเสมือนทูลกระหม่อมท่านยังมีพระชนม์ปกครองลูกและค่าของแหวนนี้มิสมควรแก่ใครเลย ข้าหลวงหรือทหารสัก ๒๐๐ ก็มิบังควร พ่อเดือนเป็นทหารคู่พระทัยของท่าน แม้จะสิ้นทูลกระหม่อมแล้ว ศักดิ์พระมหาอุปราชยังทรงอยู่ แม้หญิงจะเสมอเพียงลูกพระสนมหม่อมห้ามแต่ก็สืบศักดิ์ชาติตระกูลจากพระองค์ท่าน แต่หากมิมีพ่อเดือนแล้ว หญิงก็สิ้นศักดิ์อับอายขายหน้า จึงพระธำมรงค์เพชรนี้ก็เหมาะแล้วหลายสถาน ที่หญิงจะมอบเสมือนหนึ่งผู้รักษาตระกูลป้องกันเกียรติยศ”

น้ำตาไหลอาบสองแก้มทหารกล้า เขาและพระธำมรงค์วงนั้นก็รำลึกได้ว่า เห็นทรงติดก้อยอยู่นานหนักหนา ท่านสู่ทิวงคตคาลัยโดยตัวมิอยู่ แม้สักน้อยสิ่งก็มิได้ประทาน และเมื่อแจ้งแล้วว่าสิ่งประทานนี้เป็นของพระธิดา​พระองค์ที่เมตตาปรานีนัก และท่านพระองค์หญิงก็ประทานต่อจึงเสมือนธำมรงค์เพชรวงเดียว เสมือนอยู่พร้อมทั้งพระบัณฑูรและพระองค์หญิง จึงคุกเข่าลงประนมมือบังคม เมื่อแบรับก็สั่นระริก

“นี่แหละจะเป็นเครื่องคงกระพันชาตรีเหนืออื่นใดแล้ว แต่อ้ายเดือนนี่ก็สิ้นประดาตัว จะถวายสิ่งใดไว้เป็นเครื่องบูชาเล่า” แล้วก็เหลือบเห็นกำลังทรงซับพระเนตรด้วยผ้าผืนน้อย จึงฉวยกระชากมิให้ทันรู้สึกพระองค์ กระชากดาบสับแขนตัวแล้วจึงจุ่มปลายนิ้วจนชุ่ม เขียนชื่อตัวซึ่งพระบัณฑูรประทานให้ว่า “เดือน” แล้วก็ยื่นถวาย “นี่ข้าพระองค์หญิง หลวงกลาโหมนั้น ถูกถอดแล้ว”

ทรงรับพระทัยสั่น เลือดสดสีแดงเป็นลายลักษณ์อักษรว่า “เดือน” บนผืนผ้าซับพระเนตรนั้น ก็มิใช่เพชรทองหรือธำมรงค์เรืองค่า แต่ก็เป็นเลือดอันจงรักภักดีของทหารเก่าพระบัณฑูรถวายตัว พระองค์หญิงรีบซุกลงฉลองพระองค์ชั้นใน ฟ้าก็สางกระจ่างเร่งเวลาอยู่ ทรงอาลัยอยู่นัก จึงฝืนพระทัยสักครู่หนึ่งให้กล้า แล้วรับสั่ง

“ฉันจักลาเดือนไปก่อน เมื่อตกไปถึงไหน ขอได้รู้กันบ้าง หากชีวิตไม่สิ้นเสีย เราคงได้พบกันอีก”

เดือนถวายบังคม

"เชิญเสด็จเป็นสุข หากพบยมโดยแล้ว รับสั่งแทนหม่อมฉันด้วย”

“ขอได้วางใจเถิด หญิงลาละ”

แม้จะทรงฝืนประการใด เมื่อเสด็จเกือบถึงประตูวังก็อดเหลียวมองอีกมิได้ ทหารพระบัณฑูรก็ยืนแลเศร้าน้ำใจตัวเอง อ้อมพระองค์ฝ่ากองดาบมาอุ้มพระองค์วิ่งซุกซ่อนหนีมา และก็เสด็จจากไปแล้ว เหลือแต่พระธำมรงค์ที่ประทานต่างพักตร์ของพระองค์ท่าน เห็นทรงชะงักอยู่เพียงประตูก็ประนมมือเชิญเสด็จ แล้วก็ก้มมองพระธำมระค์นั้น เมื่อเงยก็ไม่เห็นพระองค์ท่านองค์หญิงเสียแล้ว

จึงเดินย้อนหนทางเดิม หมู่แทนกับตามั่นตลอดจนนายภูบาลกับอ้ายเหลืองส่วยเลขก็ยังคอยอยู่ จึงพากันรีบรุดเดินเพราะตะวันขึ้นแล้ว เพื่อเร่งให้ถึงประตูจีนเสียเร็วๆ เพราะจะฟังสาเหตุทางบ้านเจ้าพระยาอภัยราชา พระสมุหนายก แล้วจะลงน้ำอาศัยสวะหรือชุ่มอยู่ พอดีตรงเลี้ยวท้ายป้อมจะเข้าประตูช่องกุฏีก็ประจันหน้ากับพระตำรวจหลวงอีกเหล่าหนึ่งต่างหาก ซึ่งมา​คุมตัวเจ้าพระยาอภัยราชา พระตำรวจหลวงเหล่านั้นรู้จักหลวงกลาโหมทุกคน และกำลังจะสืบหาตามตัวอยู่จึงกรากเข้ามา

“มีราชการให้คุมตัวออกหลวงไปสนมเดี๋ยวนี้”

“ฮึ อะไรหนอ ขุนพิชัย” เดือนวางหน้าเฉย “ข้าพเจ้าก็ถูกถอดแล้ว ยังจะมีพระราชโองการรับสั่งสิ่งไรอีกหรือ”

“ต้องหากบฏ” ขุนพิชัยตอบห้วนๆ แต่ยังยิ้มเชิงไมตรี “เชิญท่านให้สะดวกแก่ข้าพเจ้าเถิด พระราชโองการ สุดปัญญาจริงๆ”

เดือนหัวเราะหึ ตรองแล้วว่าถ้าหากจะดั้นด้นหนีก็หาหนทางรอดยาก จึงคิดแต่สิ่งเดียวว่า ด้วยเดชะกตัญญูตัวต่อผู้มีพระคุณ ด้วยรักถิ่นฐานบ้านเมือง ด้วยเกรงเดือดร้อนก็ประพฤติไป แล้วขุนพิชัยก็กรากมากอด กระซิบข้างหู

“หลวงกลาโหมไปโดยดีเถิด เพราะกรมขุนหาวัดท่านทรงขอประทานชีวิตหมด เพียงแต่จำรอไว้เท่านั้น ศึกพม่าก็ได้ข่าวร้ายๆ แล้วคนดีคงไม่ไปไหนเสีย”

เดือนยกมือไหว้

“ชอบน้ำใจมิตรนัก คนอื่นแล้ว คอขาดเสียก็ไม่ไป แต่ขอฝากของสักสิ่งเถิด ขืนติดตัวไปก็จะถูกริบเสีย”

“ได้ซี อะไร”

“ดาบกับพระธำมรงค์เพชรนี้ พระบัณฑูรทรงพระเมตตาประทานให้”

แล้วเดือนก็ถอดดาบจากที่พกซ่อน ยกมือไหว้ ส่ง ถอดแหวนซึ่งได้ประทานเมื่อสักครู่ ไม่ทันชั่วโมงนี่เองจะส่งให้ แต่ขุนพิชัยกลับผลักมือ

“ออกหลวงเก็บไว้เองดีกว่า เพราะของประทานและราคามากนัก อย่ากลัวเลย ข้าพเจ้าจะช่วยพูดจาเอง แต่ขอดชายผ้าซ่อนเสียก่อนแหละดี”

เดือนเห็นสมควร เพราะเพียงถอดธำมรงค์ก็รู้สึกหวิวใจตัวอยู่ ได้ยินรับสั่ง จำได้ทุกๆคำ ว่า “หญิงรักดังดวงใจ” แล้วจึงหันหน้าพยักกับพวกพล

“เราเป็นข้าแผ่นดิน ก้มหน้าไปเถิด คงจะทรงพระกรุณาสักวันหนึ่ง

หมู่แทนและคนอื่นๆต่างจ้องหน้า เสียน้ำใจ แต่ครั้นเห็นเดือนขยิบตาละกระซิบกับขุนพิชัยเมื่อสักครู่ จึงพากันถอดดาบออกฝากฝังไว้ทุกคน ขุนพระตำรวจหลวงก็เต็มใจรับโดยยิ้มแย้มเป็นอันดี แล้วออกเดือนก็นำพลเข้า หมู่ครัวเจ้าพระยาอภัยราชา โดยปกปิดข่าวเมื่อคืนเสียสิ้น และนึกเป็นบุญกุศลที่พบกองขุนพิชัยพอจะอ้างเป็นพยาน และพระองค์หญิงก็เป็นสุขพ้นภัยแล้ว จึง​ออกเดินเรื่อยมาเป็นหมู่ครัวเจ้าพระยาอภัยราชา เพื่อไปให้ซักคดีที่ลูกขุนแต่เพลานั้น

ข้างฝ่ายพุกามประเทศโน้น เมื่อพระเจ้าอลองพญาผู้ครองกรุงรัตนสิงห์ ซึ่งทำสงครามกับรามัญประเทศจนมีชัยชนะ ตีได้กรุงหงสาวดีแล้ว แต่ขุนนางมอญผู้หนึ่งที่เคยเป็นแม่ทัพของพระเจ้าหงสาวดีมาก่อนยังหลบซ่อนอยู่ ครั้นเมื่อพระเจ้าอลองพญายกกลับไปกรุงรัตนสิงห์แล้ว จึงคุมสมัครพรรคพวกเข้าปล้นเมืองสิเรียมปากน้ำกรุงหงสาวดี ด้วยเป็นเมืองค้าขายท่าเรือมีสมบัติสมบูรณ์ ครั้นข่าวนี้รู้ไปถึงบรรดาแม่ทัพซึ่งตั้งอยู่เมืองใกล้เคียงจึงพากันยกมาจะตีเมืองสิเรียมคืน ขุนนางรามัญผู้เป็นแม่ทัพปล้นเมืองสิเรียมเห็นจะสู้มิได้ จึงรวบรวมทรัพย์สมบัติโดยสารกำปั่นของชาวฝรั่งเศสหนี แต่ถูกพายุซัดมาฟากตะวันออก จึงแวะอาศัยอยู่เมืองมฤท ทางฝ่ายพม่าจึงมีหนังสือแจ้งแก่พระยาตะนาวศรี ว่าขุนนางมอญเป็นกบฏ ขอให้จับตัวส่งพร้อมด้วยกำปั่น แต่ข้างฝ่ายไทยตอบว่ากำปั่นฝรั่งต้องพายุมา ขออาศัยซ่อมแซมเรือ ไม่ยอมปฏิบัติตาม กระทั่งเรือนั้นซ่อมเสร็จก็ปล่อยไป ฝ่ายพระเจ้าอลองพญาเมื่อทรงทราบดังนั้นก็ขัดเคืองพระทัยแต่หากยังต้องจำนิ่งอยู่

ครั้นถึงปีเถาะ มังระราชบุตรพระเจ้าอลองพญายกพล ๘,๐๐๐ ลงมาตีเมืองทวายได้ แล้วสืบทราบกำปั่นพวกพ่อค้าพากันหนีมาอาศัยอยู่ที่เมืองตะนาวศรีเขตแดนไทยหลายลำ ทั้งรวบรวมทรัพย์สมบัติมามากและกองทัพไทยก็ไม่มีพอจะรักษา มังระจึงทูล พระเจ้าอลองพญาก็เห็นช่องทาง เลยอ้างที่ไทยไม่ยอมส่งตัวมอญกบฏ จึงสั่งให้เกณฑ์ทัพยกมาตีเมืองมฤทและตะนาวศรี พระยาตะนาวยังมีใบบอกมายังกรุงศรีอยุธยาแต่โดยด่วน

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงศรีอยุธยาจึงมีรับสั่งเสนาบดีให้เกณฑ์กองทัพ แต่ขณะนั้นพระยายมราชยังเป็นโทษอยู่ครั้งต้องหากบฏ จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระอินทราราชรองเมืองเป็นที่พระยายมราชแม่ทัพถือพล ๓,๐๐๐ พระยาเพชรบุรีเป็นกองหน้า พระยาราชบุรีเป็นยกกระบัตร พระสมุทรสงครามเป็นเกียกกาย พระธนบุรีกับพระนนทบุรีเป็นทัพหลัง พร้อมด้วยช้างเครื่องม้าเครื่องยกไปรักษาเมืองมฤท แล้วให้พระยารัตนาธิเบศร์คุมพลอีกสองหมื่น ​ยกหนุนไปอีกทัพหนึ่งพร้อมด้วยกองอาทมาฏ๑ราวสี่พันคน มีขุนรองปลัดชูกรมการเมืองวิเศษไซยชาญซึ่งเข้ารับอาสาพร้อมด้วยไพร่พลเป็นหัวหน้ายกสมทบไปด้วย แต่มิทันที่ทัพหน้าจะยกไปถึง ก็ได้ข่าวว่าเมืองมฤทและตะนาวศรีเสียแก่พม่าแล้ว ทัพพระยายมราชจึงตั้งรับอยู่ตำบลแก่งตุ่ม ปลายน้ำตะนาวศรี พระยารัตนาธิเบศร์ ตั้งอยู่เมืองกุยบุรี

ฝ่ายพระเจ้าอลองพญาจึงยกกองทัพใหญ่หนุนมาตั้งที่ตะนาวศรีซึ่งตีได้แล้ว โปรดให้มังระราชบุตรและแม่ทัพนายกองถือพลสองหมื่นเป็นกองหน้า ยกล่วงเข้าตีทัพพระยายมราชที่แห่งตุ่มแตกฉาน เพราะมีพลน้อยกว่าข้าศึก ครั้นพระยารัตนาธิเบศร์ได้แจ้งว่าทัพพระยายมราชแตกพ่ายมา จึงเกณฑ์พล ๕๐๐ เข้าบรรจบกองขุนรองปลัดชูแล้วให้ยกไปรับทัพพม่า ไปตั้งอยู่ตำบลหว้าขาวริมชายทะเล

ข้างฝ่ายทัพหน้าพม่าก็พลันยกไปถึงตำบลนั้น เพลาเช้าตรู่ ขุนรองปลัดชูแม่กองอาทมาฏพร้อมด้วยไพร่พลก็กรูกันออกโจมตีทัพพม่า รบกันด้วยอาวุธสั้นถึงตะลุมบอนฟันแทง พม่าล้มตายลงเป็นอันมาก ตัวขุนรองปลัดชูแม่กองนั้นถือดาบสองมือวิ่งเข้าในท่ามกลางศึกฟาดฟันพม่าตายล้มลงไปก่ายกันดังขอนไม้ พลพม่าอันมีจำนวนมากล้นเหลือนั้นต่างก็หนุนเนื่องกันเข้ามาไม่ขาดสาย ดุจคลื่นในมหาสมุทร ขุนรองปลัดชูกับพลอาสากองอาทมาฏได้สู้รบกับพม่าเป็นตะลุมบอนอย่าแกล้วกล้า แต่เพียงรบตะลุยอยู่เช่นนี้ตั้งแต่เช้า​จนเที่ยง จนเหลือเรี่ยวเหลือแรงแก่ทหารไทยซึ่งมีพลเพียงหยิบมือหนึ่ง ขุนรองปลัดชูผู้เป็นแม่กองก็เหนื่อยอ่อนสิ้นแรงจนพม่าล้อมจับไปได้ แล้วให้กองช้างไสช้างเข้าเหยียบย่ำบุกตะลุยทหารไทยลงทะเลไปตายเสียเป็นจำนวนมาก ที่หนีรอดไปได้นั้นน้อย แล้วนำความมาแจ้งแก่พระยารัตนาธิเบศร์ พระยารัตนาธิเบศร์ตกใจ เร่งถอยทัพหนีมาพร้อมกับทัพพระยายมราช พากันพ่ายหนีพม่าข้าศึกกลับไปยังพระนคร ขึ้นเฝ้ากราบบังคมทูล

ทัพหน้าพม่าก็ยกมาถึงเมืองกุย เมืองปราณ และเมืองเพชรบุรีกระทั่งเมืองสุพรรณบุรี ก็ไม่มีเมืองใดออกต่อรบ พากันแตกหนีไปสิ้น จนทัพหลวงของพระเจ้าอลองพญายกมาตั้งอยู่เมืองสุพรรณบุรีแล้ว ทัพไทยที่เมืองราชบุรีก็แตกแล้ว

ข้างฝ่ายกรุงศรีอยุธยาก็เกิดโกลาหลด้วยราษฎรทั้งหลายเห็นว่าพระเจ้าเอกทัศน์มิสามารถจะสู้พม่าข้าศึกป้องกันกรุงศรีอยุธยาได้ บรรดาข้าราชการก็พากันไปทูลวิงวอนให้พระเจ้าอยู่หัววัดประดู่องค์ก่อนที่ยังทรงผนวชให้ลาเพศสมณะออกเป็นฆราวาส ทรงบัญชาการศึกป้องกันพระนคร

ข้างฝ่ายพระเจ้าเอกทัศน์ก็ทรงเห็นชอบอยู่เช่นกัน จึงมีรับสั่งให้เชิญเสด็จพระอนุชาลาผนวช แล้วมอบราชการแผ่นดินให้ทรงบังคับบัญชาแทนพระองค์

ครั้นสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรทรงลาผนวชแล้ว จึงยกสมเด็จพระเชษฐาไว้ในตำแหน่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง และมีรับสั่งให้ถอดเจ้าพระยาอภัยราชา พระยายมราช พระยาเพชรบุรี กับสมัครพรรคพวกทุกคนซึ่งต้องโทษอยู่แต่ครั้งต้องหาเป็นกบฏจะเชิญพระองค์ขึ้นเสวยราชแต่คราวก่อน และให้คงฐานาศักดิ์ตามเดิมเพื่อช่วยราชการศึก แล้วให้กวาดต้อนไพร่พลเมืองและครอบครัวเสบียงอาหารเข้ามารวมไว้ในพระนครหลวงทั้งสิ้น

.




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #8 on: 23 October 2025, 15:05:32 »


https://vajirayana.org/%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%B9%E0%B8%A3/%E0%B9%99

https://vajirayana.org/ทหารเอกพระบัณฑูร/๙




​ใต้คลองแกลบถัดมาอีกคลองหนึ่ง อีกคนละฟากแม่น้ำหนึ่งของฝั่งพระนครซึ่งเห็นอยู่ไกลโน้น แม้จะเป็นเพลาเพิ่งรุ่งได้สักครู่ ที่ชานกุฏิของภิกษุเฒ่าแห่งวัดไชยวัฒนาราม มีบุรุษหนึ่งซึ่งปลงผมที่ยาวเกินต้นคอเสร็จแล้วเป็นผมทหาร นั่งประนมมืออยู่ต่อหน้าหมู่สงฆ์และภิกษุเฒ่าซึ่งเคยเป็นอาจารย์กำลังอุ้มบาตรน้ำมนต์ตรงมา

“เดือน” ท่านพูดเสียงแหบด้วยตื้นตันใจ “เอ็งก็ถูกถอดจากยศถาบรรดาศักดิ์แล้ว หลวงตาเคยได้บอกเอ็งไว้แต่ก่อนนานแล้วครั้งพระบัณฑูรว่า อันวาสนาเอ็งนั้นมีอยู่เพียงเหมือนนอนหลับฝันไปเท่านั้น แต่ว่าเคราะห์เอ็งก็สิ้นละทีนี้ อย่าเสียใจเลย หลานเอ๋ย อันเกิดมาเป็นลูกผู้ชายนั้น แม้จะไม่ได้สิ่งตอบแทนในเมื่อหน้า แต่เมื่อนี้มีชีวิตอยู่ก็ต้องก้มหน้าฉลองคุณแผ่นดินไทยให้สมทหาร เอ็งคิดถูกนักที่จะอาสาศึกคราวนี้ เอ็งจงชนะศึกเถิด เดือน ฝากฝีมือทหารไว้แก่ข้าศึก ให้เขาสำนึกเถิดว่า ศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี”

แล้วพระภิกษุเฒ่าก็วักน้ำมนต์โรยศีรษะ มือท่านตบศีรษะ และยกบาตรขึ้นสูง ค่อยรด ภิกษุองค์อื่นที่มาประชุมพร้อมก็สวดชัยมงคลคาถาสะเดาะเคราะห์กรรมของพวกกลาโหมผู้พลอยพ้นโทษกับสามพระยา ทหารพระบัณฑูรผู้ประนมมืออยู่ก็รับบาตรดื่ม สองหูแซ่ด้วยสำเนียงสวดชยันโตอยู่ต่อหน้าสงฆ์ น้ำใจเกิดผยอง น้ำมนต์และน้ำตาอันปีตินั้นก็หลั่งอยู่เสมอกัน แม้จะสิ้นทูลกระหม่อมพระบัณฑูรแล้ว บาปตามหลังเดือนมานักแล้วก็ดี แต่ก็วาสนาเอ็งแต่เก่าก่อนสร้างสมไว้ บัดนี้ยามศึกศรีอยุธยาจักใช้ทหาร อายเดือนก็จะถาายชีพแก่บ้านเกิดเมืองนอน ถึงจะมิได้ดิบได้ดีก็คงจักได้ชื่อสืบไปในเมื่อหน้า แล้วบาตรน้ำมนต์ซึ่งตั้งครบตามจำนวนอีกห้า ก็ลดเรื่อยไปเป็นแถวข้างหลังทีละคน นังเรียงตัว นับแต่หมู่แทน นายภูบาลมหาดเล็ก และตามั่นที่ล่ำสัน เพียงพ้นโทษมาพร้อมๆกับทหารลูกหมู่อีก ๒ คน กระทั่งเสร็จพิธี

จนผลัดเสื้อผ้าแต่งกายใหม่เรียบร้อย ห้าทหาร ทั้งออกกลาโหมผู้ถูกถอดก็ไปรับพรอีกครั้งหนึ่ง แล้วภิกษุเฒ่าจึงปราศรัยถามถึงความเก่าค่อยๆ ว่า

​“มันเรื่องอย่างไรเล่า เดือนเอ๋ย พวกเอ็งถึงได้ต้องเป็นโทษทัณฑ์”

เดือนจึงเล่าความหลังที่ท่านสามพระยาและกรมหมื่นเทพพิพิธกับสมัครพรรคพวกจะอัญเชิญสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรให้ลาผนวชมาเป็นกษัตริย์ แล้วภิกษุอาจารย์ก็ซักไซ้เสียงค่อยยิ่งกว่าเดิม

“ได้ยินว่าสมเด็จกรมหมื่นถูกจับได้ที่พระแท่น และฝากกำปั่นไปปล่อยลังกา จริงหรือ”

“ก็ได้ทราบอย่างนั้นแหละ พระคุณ” เดือนตอบตามจริง “กระผมต้องโทษอยู่ไม่นานเท่าไรก็ได้ข่าวเช่นนั้น แต่ว่าเดี๋ยวนี้เสด็จหนีจากลังกาขึ้นมฤทแล้ว เพราะเข้าพระทัยว่าเสียกรุงแก่พม่า จึงคิดจะกลับมากู้ พอทรงทราบก็เลยสั่งข้าหลวงทหารไปคุมพระองค์ไว้ที่ตะนาว”

ท่านพยักหน้าเข้าใจความ ครั้นเห็นสมควรแก่การสนทนาแล้ว เดือนจึงกราบลงแทบฝ่าเท้าท่าน

“จะต้องกราบลาพระคุณไปก่อน เพราะเพลานี้มีน้อยนัก”

“แล้วจะไปไหนกันอีก หรือข้ามเข้ากรุงเลย”

“ยังก่อน พระคุณ เพราะตั้งใจจะไปถวายบังคมพระศพสักครู่ก่อน จึงอยากจะนิมนต์พระคุณไปช่วยชี้ตำแหน่งให้”

“ได้ซี” ท่านรีบรับคำ “ก็ฝังไว้วัดนี้ด้วยกันทั้งนั้นแหละ ทั้งพระบัณฑูรและเจ้าฟ้า เออ ถ้าอย่างไร สักพรุ่งนี้หรือมะรืน หลวงตาและพระภิกษุอื่นว่าจะข้ามไปอาศัยกรุงบ้าง”

“เหมาะนักแล้ว พระคุณเอ๋ย” เดือนยกมือไหว้ยินดี “อย่างไรก็ชิงเข้ากรุงเสียก่อน เป็นสิ้นห่วง เพราะศึกนี้เขาว่าหนักนัก ทัพเราแตกเรียงกันเรื่อยๆ ตลอดมา และน่ากลัวกรุงจะถูกล้อมด้วยซ้ำ”

ท่านคงสงบเช่นสมณะผู้เฒ่า คว้าจีวรครองแล้วออกเดินนำหน้าลงบันไดกุฏิ พาศิษย์และเหล่าทหารข้าบัณฑูรตรงไปยังสถานฝังพระบรมศพสมเด็จพระมหาอุปราชองค์แรกซึ่งทิวงคต เพราะราชอาญาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

เมื่อถึง พระภิกษุเฒ่าถวายบังสุกุลแล้ว เดือนก็กราบถวายบังคมประนมมือ สี่ทหารซ้ายขวาก็ประพฤติตาม แม้พระองค์ท่านจักสิ้นไปนาน แต่เมื่อได้มาถึงต่อหน้าพระศพนี้ เดือนก็รำลึกเสมือนหนึ่งได้เฝ้าอยู่ใกล้ชิดท่าน น้ำใจแน่วเป็นสมาธิดังเห็นพระพักตร์ท่านพร่ำทูลด้วยน้ำจิตอันกตัญญูของ​ข้าทหารเก่า ตาพร่างด้วยน้ำตา พระธำมรงค์ในนิ้วที่เพิ่งสวมยังเตือนความหลังเป็นหนักหนา

“โอ้ พระทูลกระหม่อมของอ้ายเดือน สิ้นบุญเสด็จหนีอ้ายเดือนไปก่อนแล้ว หากสืบไปเมื่อหน้า จักเสด็จจุติมาเกิดในภพใด เป็นกษัตริย์หรือเจ้านายองค์ใด ด้วยอธิษฐานของอ้ายเดือนนี้ ขอให้ได้ตามเสด็จเป็นข้าทุกชาติ อนึ่ง พระธำมรงค์เพชรวงนี้ซึ่งประทานแก่พระองค์หญิงเล่า อ้ายเดือนก็ได้ประทานต่อมาแล้ว และบัดนี้กรุงศรีอยุธยาก็เกิดศึก หากทูลกระหม่อมไม่ทิวงคต และเป็นรัชกาลของพระองค์ อ้า ทหารออกหลวงกลาโหมจะอาสาตีศึกให้ยับ ตั้งแต่มฤท ตะนาวศรี มิให้ฝ่าเท้าพม่าข้าศึกมาล่วงเกินแม่ธรณีเขตไทยได้จนสักฝีก้าวเดียว แต่จวบด้วยเกล้าต้องสิ้นบุญบารมีแล้ว ก็ขอเฝ้าประทานพร ขอประทานพระธำมรงค์อันประทานแก่พระองค์หญิงบุตรีรักขอดชายประเจียดไปศึก ขอเคารพเสมือนหนึ่งพระเดชแห่งพระบัณฑูรได้เสด็จไปคุ้มรักษาอ้ายเดือน”

แล้วก็กราบนิ่งนาน ทั้ง ๕ ทหารแม้ภิกษุผู้สงบแล้วด้วยสมณเพศก็ยังมิวายจะเศร้าใจ สงสารสลดแทนทหารพระบัณฑูรผู้กตัญญู และนอกจากภิกษุนั้นแล้ว ทั้ง ๕ ทหารผู้หมอบนิ่ง จะมีใครสักคนหนึ่งก็หาไม่ที่ได้แลเห็นกลุ่มพระตำรวจหลวงและกรมวังเดินมาเป็นขบวนสัก ๑๐ คน

“เดือน เร็วเถิด” ท่านตรงเข้าเขย่าไหล่ งันงก “เงยดูทีรึ เขามาทำไมโน่น”

ทั้งห้าก็ถลันยืนพร้อมกัน ดาบสักเล่มเดียวก็ไม่มีติดตัวเพราะฝากขุนพิชัยไว้เสียหมด แต่มานึกเสียว่าตัวได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานโทษแล้ว หรืออีกประการหนึ่ง เขาคงจะพากันมาป่าวร้องต้อนครัวให้อพยพหนีศึกเข้ากรุงก็อาจเป็นได้

“อ้ายมั่นจะยอมตายก่อน เข้าแย่งดาบนั้นให้พ่อหลวง” ตามั่นเข้ากระซิบ “เราได้สักเล่มสองเล่มพอจะสู้กันได้นี่นา”

“เดี๋ยวก่อน ตามั่น” เดือนบอกห้าม ตายังจับอยู่ กระทั่งเหล่าพระตำรวจและคนอื่นๆ เลี้ยวปรางค์องค์เล็กมาใกล้ก็หลากใจ “เอ๊ะ มีกรมวังมาด้วยทำไมนั่น หือ”

พออีกสักครู่หนึ่งที่หลากใจก็เป็นที่ตื่นเต้นไปด้วยกัน เดือนออกวิ่งปราดไปหา

​“ขุนพิชัย”

“ถูกแล้ว ที่ต้องตามมาก็เพราะรู้ว่าพ่อหลวงจะไปรับดาบคืนที่บ้าน” ขุนพระตำรวจตอบตามตรงแล้วกระซิบให้รู้ “หลวงกลาโหมก็รู้อยู่แล้วสอดส่ายดูเราอยู่ ใช่ ข้าพเจ้าจะเกรงแก่สิ่งไรเลย นอกจากข้างหน้าต่อไป เขาจักเพ็ดทูลขึ้นอีกว่า ขุนพิชัยมันร่วมคิดด้วยครั้งโน้น จึงให้ขนมาเสียเองและก็พอเหมาะ ได้ตามเสด็จ”

“เอ๊ะ”

เดือนจ้องดูหน้ามิตร แต่ขุนพิชัยกลับยิ้มเมินเสีย แล้วบอกพระตำราจหลวงและกรมวังให้แยกเป็นแถวแอบข้างทาง

พอเห็นถนัดตา ทหารข้าเก่าพระบัณฑูรกกรากไปคุกเข่า เรียกได้เพียงคำ “พระองค์หญิง” แล้วก็ร้องไห้ จนถวายบังคมเสร็จก็ยังไม่อาจทูลสิ่งไรได้อีก

พระองค์ท่านก็เยี่ยงเดียวกัน แม้จะถือมานะเชื้อกษัตริย์เช่นไรก็มิอาจกลั้นสะอื้นได้ และหากมิมีสนมกรมวังล้อมมาด้วยแล้ว พระองค์หญิงก็ทรงทายมิได้ว่าจะต้องก้มสองพระหัตถ์ลงประคองทหารพระบัณฑูรให้ลุกยืนหรือหาไม่ จึงเพียงแต่รับสั่งว่า

“ยืนเถิด หลวงกลาโหม ยืนพูดกับฉันได้ ผอมไปมาก น่าสงสาร”

ทหารหนุ่มยอดฝีมือกราบแล้วถอยไปยืนห่าง

“หม่อมฉันมารดน้ำมนต์เลยแวะถวายบังคมพระศพทูลกระหม่อม ก็ตั้งน้ำใจอยู่ว่า มิวันก็พรุ่งจะไปเฝ้าพระองค์หญิง”

“ขอบใจนักแล้ว” ท่านรับสั่งตอบเป็นธรรมดา เหล่ากรมวังและพระตำรวจก็แยกเป็นสองแถว นิ่งเงียบ แต่พระเนตรท่านจ้องเดือนอยู่ ครั้นเมื่อเหลือบพบพระธำมรงค์ในนิ้ว ดูเหมือนจะต้องซับพระเนตรอีก หากแต่พระพักตร์ดูอิ่มปีติ แล้วจึงรับสั่งต่อไปอีก “พอได้ข่าวว่าโปรดพระราชอภัยโทษ ฉันดีใจเหลือเกิน ให้คนไปสืบหาที่บ้านเจ้าพระยาอภัยราชา ก็ว่ามานี่ ฉันก็เลยตั้งใจมาเฝ้าถวายบังคมพระศพเหมือนกัน และรับสั่งเสด็จพี่กรมหมื่นที่วังมาด้วย จึงพอเหมาะกับขุนพิชัยหอบดาบมาทั้ง ๕ เสม ท่านให้ไปเฝ้าค่ำวันนี้”

“พระคุณท่านล้นเกล้า” ทหารพระบัณฑูรรับคำ ลอบชำเลืองผู้อื่น ทั้งแลพระธำมรงค์และองค์หญิง กังวลใจไปถึงนางข้าหลวงแม่ยมโดยซึ่งมิ​มาด้วย แต่ครั้นจะทูลถามข่าวคราวใดเล่า ก็เกรงเป็นที่ละเมิดแก่ราชอาญา ถึงเช่นนั้นก็ทูลถามเป็นนัย “เสด็จพระองค์เดียวหรือ ข้าหลวงอื่นทำไมไม่เห็นตามเสด็จ”

พระพักตร์ท่านเศร้าลง

“มีมาเหมือนกัน แต่เขายังเดินโอ้เอ้ชมปรางค์กัน ทางโน้น ฉัน...โธ่เอ๋ย ฉันไม่ได้ข่าวดีเลย ไว้รู้วันหลังเถอะ”

น้ำใจทหารรู้สึกรับเหมือนแสงตะเกียงดับ ถึงจะรับสั่งแต่เพียงสั้นเท่านั้น ก็เดาได้ตลอดทั้งสิ้นว่า อย่างไรเสียก็คงเสียยมโดยไปแล้ว เหลือบมองพระพักตร์องค์หญิงก็เศร้าหมองเป็นที่สุด

ความหลังโน้น แต่ครั้งพระบัณฑูรทรงชีพก็ผุดอยู่ในใจ ยมโดยเอ๋ย ใครเล่าจะรู้วาสนาตัวข้างหน้า แม้สมเด็จทูลกระหม่อมพระมหาอุปราชซึ่งทอดพระเนตรแลเห็นพระราชบัลลังก์อยู่แล้วยังเป็นไปได้ เออ แม่ทัพหลวงแห่งกู เราก็มุ่งหมายกันไว้นักว่า ชาตินี้คงจะได้เป็นสุขเสมอหน้าเพื่อน แล้วมาเกิดเข็ญไปฉะนี้แล อ้ายเดือนก็ต้องจำคุกทรมานหนักหนา เพิงพ้นโทษ เจ้าก็พลัดมือหาย เมื่อยามศึกย่างมาใกล้พระนครแล้ว

พระองค์หญิงมิอยากจะกวนใจ จึงเสด็จหลีกไปทางที่ฝังศพพระมหาอุปราชพระราชบิดา ทรงจุดธูปเทียนที่เตรียมมาแล้วตั้งจิตอธิษฐานถวายพระกุศลแผ่ไป ทรงกันแสงไปตลอดเวลา อธิษฐานทูลทุกข์ยากอันสาหัส ทูลถึงพระเกียรติยศที่ถูกดูแคลนเพราะสิ้นบารมีท่าน แล้วรำพันทูลขอตามเสด็จเกิดเป็นพระธิดาเสมอทุกชาติ สุดท้ายก็ทูลอีก แก่วิญญาณเจ้าฟ้าสมเด็จพระบัณฑูร และนั้นว่า ธำมรงค์เพชรวงที่รักใคร่ประทานนั้น ได้ประทานต่อไปแล้ว แก่ทหารทูลกระหม่อมเป็นบำเหน็จ แล้วทรงลุกขึ้นยืน และเสด็จมาที่ขุนพิชัย รับสั่งถามว่า

“จงเอาดาบพระบัณฑูรมาคืนออกหลวงเสีย”

ตรัสแล้วทรงชำเลืองเดือน พระเนตรสบพระธำมรงค์ที่ประทาน

“ศึกต้องแหลกแน่ เพราะดาบพระบัณฑูร และพระองค์หญิงประทานด้วยพระหัตถ์ หม่อมฉันก็ใช่จะช่างพูดหรอก หากแต่ทูลก็ชอบตรงไปตรงมา อยากริ้วเลย”

รับสั่งสวนควันว่า

​“โกรธ”

“ถ้างั้นอ้ายเดือนจะตายเสียกลางศึก”

“พูดเป็นบ้า จะตามข้าหลวงฉันหรือ”

“เอ๊ะ พระองค์หญิง ” เดือนสะดุ้ง ใจคิดเกินไปถึงสาวยมโดยนางข้าหลวงที่รับสั่งเมื่อสักครู่ว่า “ได้รับแต่ข่าวร้าย” จึงเฉลียวใจ “ฝ่าบาทหมายรับสั่งไปถึงยมโดยกระนั้นหรือ”

“เปล่าหรอกน่ะ” แล้วแย้มพระโอษฐ์แต่เพียงเล็กน้อย รู้พระองค์ว่าพลั้งไป “เรื่องนั้นไว้รู้กันอีกทีหลังเถอะ ค่ำนี้ เมื่อเข้าเฝ้าเสด็จพี่แล้ว หญิงจะเล่าให้ฟัง”

แต่ทหารกล้าของพระบัณฑูรก็หน้าสลด กระวนกระวาย เศร้าหัวใจอยู่เกือบจะเช่นเดิม

เมื่อแรกได้พบพระองค์หญิง และดีใจไปอีกประการหนึ่งที่การสำแดงสีหน้าเศร้านั้นเป็นการเสรอยยิ้มมิให้เหล่าสนมกรมวังคะเนผิดไปได้ ขณะเมื่อเขากล่าวทูลและรับสั่งค่อยประหนึ่งจะซุบซิบ ทั้งมีพระพักตร์ยิ้มระเริง

เมื่อฝืนพระทัยดังเดิมแล้ว พระองค์หญิงก็รับดาบทีละเล่ม ถามหาเจ้าของและประทานให้ทุกๆคน รับสั่งอำนวยพร ทั้งถามทุกข์สุขด้วยคนละหลายคำ เพราะทหารเหล่านี้ทรงคุ้นรู้จักดี และยิ่งไปกว่านั้นเล่า ก็เคยเป็นทหารล้อมระวังองค์แต่ครั้งหลวงกลาโหมเข้าชิงป้องพระเกียรติยศถึงสองคราว

พระภิกษุชราคงยืนเป็นดุษณีภาพ ท่านมองแล้วรำลึกถึงวันเดือนปีเกิดของหลวงกลาโหม สานุศิษย์ผู้เป็นที่รักใคร่ และก็ยิ้มอยู่ในหน้า

“ทหารข้าพระบัณฑูรเดียวกับพ่อเดือน มิใช่หรือ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ขุนตำรวจรับคำแล้วหันไปกวักมือให้พลผู้หอบดาบทั้ง ๕ เล่มนำมา เมื่อรับมาแล้วจึงถวายพระองค์หญิง ทูลว่า

“หลวงกลาโหมก็จะต้องไปราชการศึก และใต้ฝ่าพระบาทก็เป็นพระธิดาทูลกระหม่อม จึงสมควรนักแล้วที่จะประทานดาบด้วยพระหัตถ์เอง ต่อพระพักตร์พระบรมศพแก่ทหารของพระบัณฑูรจะสมควรยิ่ง”

ทรงปีติและเต็มพระทัยอยู่ก่อนหนักหนาแล้ว จึงรับสั่งถามว่า

“ขุนพิชัยเห็นเช่นนั้นหรือ”

​“พ่ะย่ะค่ะ”

จึงทรงรับดาบ เลือกดาบโดยจำได้มานานนักแล้วว่าเป็นดาบสมเด็จพระบัณฑูรประทานแก่ทหารคู่พระทัยเล่มไหน ก็ทรงหยิบเล่มนั้นยื่นประทานแก่เดือน ย่อพระองค์ต่ำ รับสั่งว่า

“ดาบทูลกระหม่อมประทานแล้ว หลวงกลาโหมจงรับไปฉลองพระเดชพระคุณแก่บ้านเมืองเถิด”

ยอดทหารพระบัณฑูรหันคุกเข่าถวายบังคมทางพระศพ แล้วหันมาสู่พระองค์หญิง ประนมมือไหว้และยื่นรับสองมือ พอสบพระเนตรท่าน ก็กล่าวพูดเป็นความนัยความหลังครั้งก่อน

“ดาบพระบัณฑูรนี้เคยถวายกตัญญูแต่พระธิดาท่านแล้ว บัดนี้จักต้องถวายแก่ชาติด้วยความรัก ขอจงสำเร็จเช่นกันเถิด”

ทรงยิ้มด้วย รับสั่งตอบดังจะกระซิบว่า

“ช่างพูด จักให้ฝีปากเหมือนฝีมือกระมัง”

แล้วประทานดาบยื่นใกล้ไปอีก แต่ก็เหมือนได้ประทานพระหัตถ์ เพราะต้องแก่สองมือทหารกล้าของพระบัณฑูร เดือนแบมือรับตรงกับสองพระหัตถ์

จากนั้นเดือนก็นำขุนพิชัยให้รู้จักพระภิกษุชรา และพระองค์หญิงก็ได้ทรงทั้งฝากฝังถึงเรื่องอาหารบิณฑบาต ในเมื่อท่านจะอพยพหนีศึกเข้าจำพรรษาในกรุง

จนใกล้เพลาแล้ว ทั้งห้าทหารและพระธิดาสมเด็จพระบัณฑูรก็อำลาพระภิกษุตรงสถานนั้น ถวายบังคมอำลาพระศพอีกครั้งหนึ่งด้วยน้ำใจสลดอาลัย เหล่าสนมกรมวังก็เข้าล้อมพระองค์หญิงตามพระเกียรติ ออกกลาโหมยอดทหารฝีมือดีกับพลสมุนนั้นเป็นกองระวังหลัง แวดล้อมพระองค์ตามเสด็จไปพร้อมกันแต่เพลานั้น

คืนหลังข้างแรม ทั้งมืดมนสนิทเพียงชั่วยามหนึ่ง เมื่อเสด็จกรมหมื่นพิทักษ์ภูเบศร์ทรงเสวยแล้ว รับสั่งข้อราชกิจและส่วนพระองค์แก่ผู้เฝ้าแหนเรียบร้อย ก็เสด็จเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่ ที่เสด็จลาผนวชมาทรงว่าราชการแผ่นดินและบัญชาการศึกแทน ทั้งข้าหลวงมหาดเล็กและ​พระญาติพระวงศ์ที่มิได้ตามเสด็จ จึงต่างหันหน้าเข้าปรึกษาบ้าง ปรับทุกข์บ้าง และตระเตรียมหรือคิดเดาไปต่างๆ ถึงเรื่องศึกพม่าซึ่งยาตราทัพเรื่อยเข้ามาทุกตำบลแล้ว ทั้งกำแพงพระนครก็มีพระราชโองการให้ก่อเสริมขึ้นอีก สำเร็จแล้วทั้งปืนแล่นปืนหลักก็ขึ้นประจำป้อมพร้อมกันหมด ทหารทุกหมวดกองประจำเรียบร้อย ยังเหลือแต่เหล่าอาสาที่จะออกตั้งค่ายรับนอกพระนคร หรือเป็นกองแล่นออกซุ่มโจมตี

จึงซึ่งใดอื่นในปัจจุบัน ก็มิสู้มีใครคิดใครสนใจนัก นอกจากภาวนาแต่ให้กรุงศรีอยุธยาเกิดทหารยอดดีออกต่อต้านชนะศึก ทั้งบนและบวงสรวงพระเสื้อเมืองหลักเมืองและหอพระกาฬ ทั้งเทวรูปพระนเรศวรเจ้าศึกให้ทรงคุ้มเกรงรักษา ให้ประทานอำนาจจักรพรรดิของพระองค์ที่เคยเป็นที่ครั่นคร้ามทั้งตองอูตลอดพม่าหงสาวดี

ฉะนั้น พอพระตำหนักน้อยต้นจันทน์ซึ่งเป็นที่ประทับแห่งพระองค์หญิงพระน้องเธอในกรมหมื่น จึงมีข้าทหารเก่าพระบัณฑูรซึ่งเสร็จจากการเฝ้าแล้ว หากยังคงคอยอยู่อีกจะเฝ้า พระองค์หญิงกำลังประทับอยู่บนไม้ล้อมโคนต้นจันทน์ ใต้เงามืดของต้นจันทน์คืนข้างแรมสงบอยู่ เหล่าทหารร่วมใจคู่ทุกข์คู่ยากก็กรายไปอยู่ห่าง โดยนึกเข้าใจเอาเองว่าหลวงกลาโหมทหารเอกผู้เป็นนาย คงจะมีเรื่องลับเกี่ยวแก่ราชการหรือส่วนพระองค์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแท้

ตัวออกกลาโหมเองนั้นอิงโคนไม้มองไปบนต้นจันทน์ที่เป็นร่มและครึ้มมืด คอยจะฟังข่าวยมโดยด้วยใจหวั่น และยิ่งคิดถึงยมโดย แล้วก็เหมือนกับว่าตัวเองนี้ใกล้ประหารหรืออย่างไร ก็บอกไม่ถูก แต่เมื่อคิดถึงเมตตาของพระองค์หญิงอีกประการหนึ่ง ก็ค่อยคลายใจ แต่มาสุดคิดเอาเมื่อนึกถึงศึกที่กำลังเคลื่อนมาแต่ใต้และตะวันตก ทัพใดอื่นที่แต่งไปถึงจะคะเนว่ามากแล้ว ก็คงแตกล่ากลับทุกครั้งเสมอมา แล้วรำลึกถึงคืนวันแสนจะวิบาก ก็ถอนใจ คิดถึงยามตี ๔ สิบทุ่ม แล้วก็ตี ๕ สิบเอ็ดทุ่ม เมื่อวันเข้าเชิญเสด็จพระองค์หญิง แขนซ้ายป้องพระองค์ เหลือเพียงแต่มือขวาควงดาบป้องท่าน พระองค์ท่านหวีดหวาดเสียวเบียดพระองค์สู่อก แขนของอ้ายเดือนเบื้องซ้ายนี่ก็ต้องรัดระวังพระองค์ท่าน จึงเมื่อนึกนี้ก็เกิดจิตประหวัดไปถึงพระนิพนธ์เป็นกาพย์นิราศของทูลกระหม่อมพระบัณฑูรที่ทรงไว้ ก็ขับขึ้น ขอฟังคนเดียว


​๏ สามยามความรักกัน   เร่งโศกศัลย์หวั่นใจถึง
ยามค่ำร่ำรำพึง   ถึงสามยามตามกรุณา

ฯลฯ


๏ สิบทุ่มเจ้าพี่เอ๋ย   เมื่อไรเลยจะพบพาน
งามนักพักตรเบิกบาน   จะหาได้แต่ใดมาฯ

ฯลฯ


๏ ตีสิบเอ็ดเสร็อกครวญหา   แต่เข้ามาคุ้มราตรี
จวนจะพระสุริย์ศรี   เสด็จรถทองส่องสากลฯ

ฯลฯ


๏ แสงทองเรืองรองราง   ขึ้นกระจ่างสว่างเวหา
รุ่งแล้วแก้วกัลยา   สุดเสน่หาไม่มาเลยฯ


แล้วเดือนก็ถอนใจใหญ่ เมื่อขับจนมือหมุนพระธำมรงค์ในนิ้ว คิดถึงเพลาครั้งแสงทองขึ้นเมื่อโน้น ไม่รู้เลยว่าอีกคนหนึ่งชะงักฟังอยู่เมืองหลังเป็นดุษณี พอได้คิดจึงแอบเอื้อมมาสัพยอกฉาดใหญ่ มิทันรู้จนสะดุ้ง

“ว่าใคร”

เดือนรีบลงจากไม้ล้อมต้นจันทน์ที่นั่ง

“โธ่ พระองค์หญิงนั่นเอง เชิญประทับข้างบนเถิด”

ท่านทรงพระสรวลและจะซักเอาผิดให้ได้

“เมื่อตะกี้หลวงกลาโหมว่าใคร ตั้งแต่ตี ๓ ถึงย่ำรุ่งแสงทองขึ้น”

เจ้าตัวเกิดใจคอประหวั่นนึกเกรง และชมพระปัญญาว่าลึกซึ้งนัก เพียงฟังกาพย์ที่ขับ มิได้ฟังโคลงขยายความก็ทรงปฏิภาณแล่นตลอด เมื่ออ้ำอึ้งอยู่สักครู่ แล้วจึงตอบว่า

“หม่อมฉันจำไว้ได้”

รับสั่งว่า

“ก็รู้ว่าจำได้ แต่ทุ่มอื่นโมงอื่น ทูลกระหม่อมท่านทรงไว้ถึง ๒๔ ทั้งวันเดือนปีและฤดู ก็ทรงไว้ถมไป ทำไมจะจำเพาะมาท่องเอาเมื่อยามปลาย หญิงจึงถามว่า ว่าใคร”

“เปล่าพ่ะย่ะค่ะ”

​“ริปดหญิงละซี พ่อเดือน” ทรงบึ้งเหมือนจะกริ้วทหารฝีมือดี แล้วรับสั่งว่า “นี่หรือ ทหารคู่พระทัยทูลกระหม่อม ขลาดเหมือนอย่างอะไรดี ถ้าหญิงเป็นผู้ชายเยี่ยงทูลกระหม่อม ทหารขลาดเช่นนี้ ไม่น่าจะเอาไว้รักษาพระองค์เลย”

“หม่อมฉันไม่ขลาดที่จะทูล” เดือนแข็งใจทูลตอบ นึกเสี่ยงดีเสี่ยงร้าย แล้วจึงทูลซ้ำอีกว่า “แต่หากหม่อมฉันขลาดแก่อาญา แล้วแต่จะโปรด”

“เอ๊ะ” ทรงแปลกพระทัย ถอนพระองค์อิงพนักโคนไม้จันทน์ “ทำไมกับขับกาพย์ก็ต้องเกรงพระอาญา หรือเห็นว่ากาพย์ของทูลกระหม่อมกลัวจะพลอยผิด”

“หามิได้ ราชอาญาหม่อมฉันก็ได้รับแล้ว”

“แล้วเกรงอาญาอะไรอีก”

“แล้วแต่จะทรงโปรด” ออกหลวงหนุ่มผู้ถูกถอด ยกมือถวายบังคม หนักใจจะกราบทูลให้ตลอดทุกข้อคำต่อไปอีก แล้วก็หักใจ “หม่อมฉันรำลึกถึงทุกข์ยากของพระองค์หญิง คืนนั้น แต่หากจะประดิษฐ์เป็นกาพย์โคลงเอง เป็นเนื้อทำนองอื่นก็มิเป็น และจำได้ของทูลกระหม่อมแต่อย่างนี้ขับขึ้น พระอาญาไม่พ้นเกล้า”

ทรงนิ่งงัน พระทัยเต้นยิ่งกว่าครั้งใดอื่นทั้งหมด นับแต่จำความได้จนป่านนี้ และพลอยทรงระลึกถึงเมื่อค่อนรุ่งตี ๕ ที่ทหารเอกพระบัณฑูรพาหนีหักออกมา ทรงตกพระทัยและเบียดองค์แอบทหาร เสียงดาบฟาดดาบกระทบกัน ทรงสิ้นสติ และหลวงกลาโหมพาอุ้มหนีมา แล้วจากกันเมื่อแสงทอขึ้น แต่มิกล้ารับสั่งประการใด นอกจากทรงห้ามโดยมิตั้งพระทัย

“มิใช่ในวังเสด็จทูลกระหม่อม ทีหลังอย่าขับอีกนะ แล้วทำไมพ่อเดือนจะต้องคิดเลยไปถึงยามนั้นด้วย น่ากลัวออกจะตาย”

“หม่อมฉันเป็นทหารยาม ไหนได้ถวายกตัญญูแก่เจ้านาย ก็ขอคิดตลอดชาติ”

“แน้ งั้นก็ต้องตื่นขึ้นขับทุกๆเช้ามืดน่ะซี”

เขาหัวเราะ นึกสบายใจที่มิได้กริ้วกราดสิ่งไร จึงหัวเราะ สองมือเชิญพระบาทน้อยพระองค์ท่าน

​“ชีวิตอ้ายเดือนถวายอยู่แทบพระบาทแล้ว ถ้ารับสั่งใช้สิ่งไรก็สิ้นชีพด้วยสิ่งนั้น และเมื่อรับสั่งอนุญาตสิ่งใดก็จะประพฤติสิ่งนั้น”

“แต่หญิงไม่อนุญาตให้พ่อเดือนขับเช่นยามใกล้รุ่งนี้อีก”

ท่านทรงรู้ทันและห้ามเสีย

“รับสั่งฉลาดนัก” ออกหลวงกลาโหมบ่นพึมพำ ประคองพระบาทท่าน รำลึกทั้งภักดีและกาลข้างหน้า “ เถอะ เมื่อรับสั่งห้ามแล้ว เดือนก็จะเชื่อรับสั่งด้วยความเสียดาย แต่หม่อมฉันเป็นข้าพระองค์ ได้ขับอยู่เสมอเมื่อครั้งต้องเป็นโทษจำอยู่”

ทรงชักพระบาทหนี อันน้ำพระทัยท่านเล่า แม้พระองค์เองก็ยากจะเข้าพระทัยว่า สำนึกอยู่เช่นไร เดือนนี้จากหน้าไป มิเห็นกันเป็นเวลานานด้วยราชอาญา และก็เพราะพระองค์นั่นเองเป็นผู้ช่วยเขาให้ฝักใฝ่จนต้องโทษ ถึงเช่นนั้น กตัญญูเขาก็มิได้เสื่อมถอยน้อยไป และดูเหมือนจะยิ่งสนิทภักดีขึ้น เพียงชั่ว ๒ ครั้งที่คุมทหารหักเชิญเสด็จหนีภัยมา และครั้งหลังเป็นครั้งสำคัญยิ่ง เพราะนับตั้งแต่วันประสูติจนเพลาป่านนี้ พระชนมายุท่านก็ยี่สิบเศษแล้ว มิเคยเลยที่บุรุษใดจะเข้าเชิญเสด็จได้ชิดสนิทดังออกกลาโหมผู้นี้ อีกประการหนึ่ง ขณะได้พบกันเป็นครั้งใหม่เมื่อเช้า ก็ดูกิริยาทหารของทูลกระหม่อมแสดงภักดีประหลาดอยู่นัก

ออกกลาโหมปล่อยพระบาทแต่โดยดี สังเกตกิริยาของพระองค์หญิงบัดนี้แล้ว ความคร่ำครวญแต่หนหลังก็เกิดขึ้น หวนคิดแต่ความหลังก็ทำให้ระลึกได้ จึงประนมมือเคารพท่าน

“พระอาญามิพ้นอ้ายเดือน” เขาทูลมิสู้เต็มเสียงนัก “ขอกวนพระทัยสักครั้งเถิด”

“อะไรอีกล่ะ จะขอขับกาพย์ทูลกระหม่อมอีกหรือ ไม่ฟังแล้ว”

“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ที่รับสั่งไว้เมื่อเช้าว่า จะประทานเล่าสิ่งไรแก่หม่อมฉันนั้น ก็ทรงกรุณาเสียเถิด”

“เอ๊ะ อะไร” ท่านทรงนึกแต่ก็นึกไม่ออก “หญิงมิรู้เลย พ่อเดือนว่าเรื่องอะไร หมู่นี้เต็มทีจริง ขี้หลงขี้ลืมแท้ๆ”

“ทรงชรามากแล้วกระมัง”

​“ย่ะ ฉันแก่มากทีเดียว” สุรเสียงรับสั่งเหมือนดรุณีเมื่อเกิดงอน “ถ้ามิใช่คนแก่ก็เลี้ยงข้าหลวงสาวๆไว้มากมิได้ แต่ถึงกระนั้น...”

“นั่นแหละพ่ะย่ะค่ะ” เดือนรีบทูลมิทันได้รับสั่งจบ “ที่รับสั่งว่าเลี้ยงข้าหลวง ก็เรื่องข้าหลวงนั้นแหละพ่ะย่ะค่ะ”

จึงทรงรำลึกได้ถึงแม่ข้าหลวงยมโดย แล้วรับสั่งเหมือนทรงตระหนกพระทัยว่า

“เออ จริงซี หญิงก็ลืมเสียสนิท เมื่อเช้าผู้คนมาก และหญิงก็ไปตามประเพณีธรรมเนียม ทั้งสนมกรมวังเขาก็ไปด้วย” แล้วทรงถอนพระทัยตรึกตรองหาต้นเรื่องเค้าความต่างๆ สำแดงพระกิริยาเหมือนมิอยากจะเล่า หากเดือนเร่งทูลเตือนกระกรุณา ท่านก็ทรงอึดอัดแล้วก้มพระพักตร์ ตรัสสำเนียงสั่น “พ่อเดือนเอ๋ย เรื่องนี้เหมือนกับนอนหลับฝันไปแท้ๆ หญิงจึงมิอยากจะเล่าให้เดือนฟัง แต่คิดเสียว่าธรรมดามนุษย์ เมื่อสิ่งใดยิ่งปิดก็ยิ่งเพิ่มกระหายใคร่รู้ให้แก่มนุษย์ อนึ่ง พ่อเดือนก็เป็นทหาร ถึงหากจะได้รู้แล้วก็คงหักใจไว้ได้”

“พ่ะย่ะค่ะ ประทานเรื่องเถิด”

พระองค์หญิงรับสั่งอ้อมแอ้ม พระพักตร์เศร้า

“ยมโดยออกเรือน ได้สามีไปแล้ว”

“โธ่ ยมโดย” ทหารกล้าพลั้งปาก แล้วทูลถามอีก “ยมโดยได้สามีทั้งที่ถูกคุมตัวต้องโทษกระนั้นหรือ พระองค์หญิง”

ทรงพยักพระพักตร์ ผิว์ว่าเพลานี้เดือนจักหงายเป็นข้างขึ้น ต่างฝ่ายก็จะเห็นหน่วยตาคลอน้ำตาด้วยกัน ทั้งพระองค์หญิง และทหารพระบัณฑูรแล้ว พระองค์ท่านจึงทรงเล่าประทานถึงสาเหตุของนางข้าหลวงแก่ออกกลาโหม

“อโหสิแก่เขาเถิด พ่อเดือน หญิงเลี้ยงเขามาย่อมจะรู้ใจยมโดย เขาจำเป็นเหลือเกินจริงๆ เพราะหลวงภักดีเป็นคนของจมื่นศรีสรรักษ์ที่พระสนมเอกพระองค์ก่อน เมื่อเขากุมตัวไปนั่นแหละ พ่อเดือนก็ไปชิงหญิงมา เพราะเพื่อความนี้ ทั้งพ่อแม่และครัวของยมโดยก็ถูกกุมมาหมด แต่พ่อเดือนก็รู้อยู่แล้วว่า หลวงภักดีสงครามเคยรักใคร่ข้าหลวงของฉันอยู่ใช่ไหมเล่า จึงมีหนทางเดียวที่จะพ้นโทษฐานกบฏที่เขาอ้างจะให้จมื่นกราบบังคมทูล คือยอมออกเรือนเป็นภริยาเขา พ่อเดือนอย่าน้อยใจเลย”

ยอดทหารพระบัณฑูรกลับกล่าวสาธุ ยกมือไหว้

​“ประพฤติเขาชอบแล้ว ยมโดยทดแทนกตัญญูแก่พ่อแม่ สมเป็นบุตรีในสกุลแล้ว แต่อ้ายใยหลวงภักดีประพฤติมิชอบเลย อ้างราชการบังหน้าข่มเหงน้ำใจกัน”

แล้วยอดทหารฝีมือของพระมหาอุปราชพระองค์ก่อนก็เงียบเสียงหาย ดวงใจหวิวเหมือนตะเกียงแสงน้อยถูกลมแรงเต้นรับๆ เกือบจะวอด รักใคร่ที่พากเพียรกันมานักต่อนัก สัญญากันก็มากหลาย แต่ครั้นจะจู่หาความว่านางข้าหลวงแม่ผิดคำมั่นสัญญาเล่า ก็ยากหัวใจอยู่นั่น เพราะการนำเนื้อความกราบบังคมทูลแต่ฝ่ายเดียวนั้น ก็มิมีอะไร นอกจากจะพลอยให้ครอบครัวสิ้นชีพไปตามกันโดยมิรู้ตัว เขาก้มหน้าหลบพระองค์หญิง แต่พระองค์ท่านก็ทรงหลบเมินไปอื่นเสียเช่นกัน เมื่อฝืนหัวใจได้แล้วอย่างยากเย็น เดือนจึงทูลถามขึ้นอีก

“ยมโดยได้เข้าเฝ้าพระองค์หญิงบ้างหรือเปล่า เมื่อจะออกเรือนกับหลวงภักดีสงคราม”

“เขามาเฝ้าหญิงก่อน และร้องไห้หนักหนา และยมโดยยังได้เล่าให้ฉันรู้ว่าหากการนี้มิสำเร็จ หญิงเองก็จะต้องถูกกราบบังคมทูล แล้วพ่อเดือนก็จะต้องประหารชีวิต เพราะ...” ทรงก้มมาใกล้รับสั่งฐานเป็นกระซิบ “ฆ่าพระตำรวจหลวงตาย ๓ คนนั่นแหละ เขาพบศพ” รับสั่งต่อไป “หลวงภักดีเขาอ้างข้อนี้เป็นสำคัญ ยมโดยจึงขออนุญาตมาเฝ้าบอกกับหญิงว่า เขาคนเดียวได้แทนคุณบิดามารดาและตัวหญิง ทั้งได้พรางโทษพ่อเดือนไว้ ถึงหากจะได้ชื่อหรือจะถูกตำหนิว่าเป็นหญิงหลายน้ำใจ ก็ไม่ว่าเลย”

เดือนถอนสะอื้น เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าที่รอดชีวิตมาได้นี่เพราะแม่ข้าหลวงนางเดียว ก็หากหลวงภักดีมิฝากใจถึงกระนั้นแล้ว ไฉนเล่าจะได้รอดอยู่เป็นคนถึงป่านนี้ ทั้งพระองค์หญิงและเหล่าทหารพระบัณฑูรทั้งหลาย ก็ทูลไปด้วยเสียงสะอื้น

“พระองค์หญิง แม้ว่าหม่อมฉันเสียยมโดยไปแล้ว ทั้งที่ยังรักอยู่ แต่เมื่อยิ่งทราบการนี้ก็ยิ่งรักเขานักหนา เขาประพฤติชอบหลากมากข้อ เขากตัญญูทั้งบิดา และถวายกตัญญูต่อฝ่าพระบาท ก็นับเป็นหญิงประเสริฐหายาก ทั้งการนี้ก็โปรดชีวิตมาถึงพวกหม่อมฉันถึง ๕ คน แม้ว่าหลวงภักดีเอยก็เถิดควรรักน้ำใจสัตย์ชื่อเขานัก เพราะหากว่าเขามิถือสัตย์โดยเมื่อได้ยมโดยเป็นภริยาแล้วไซร้ แต่หม่อมฉันก็เป็นเสมือนก้างขวางคอหรือปลายหนามที่คอย​ยอกเขาอยู่ จะคิดกำจัดแล้ว อ้ายเดือนคงจะตายเสียด้วยราชอาญาเป็นแน่ ที่รับสั่งว่าเหมือนนอนหลับฝันไปก็จริงหรอก เออ แต่นี้ไป หม่อมฉันก็สิ้นห่วง จะขอก้มทำศึกถวายกตัญญูแก่แผ่นดิน”

ทรงพระสรวลลั่นสัพยอกว่า

“หลวงกลาโหมก็สิ้นห่วงหญิงเหมือนกันกระนั้นหรือ ยกพระญาติอื่นท่านเสียแล้ว เหล่าทหารพระบัณฑูรก็ได้หวังแต่กตัญญูพ่อเดือนเท่านั้น”

“หามิได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” ข้าพระบัณฑูรรีบตอบ “พระเกียรติและพระคุณองค์หญิงนั้นอยู่เหนือเกล้าอ้ายเดือน อันการที่หม่อมฉันทูลว่าสิ้นห่วงนั้นก็ด้วยสถานหนึ่ง สำหรับชายเช่นอ้ายเดือน จะมิต้องห่วงกังวล จักทะยานใจหาความดีอีกเท่านั้น เพราะเมื่อแสวงมาได้แล้วก็มิได้เกิดปลื้มด้วยสถานใด แม้ว่าวาสนาจักส่งหลังได้เป็นออกพระหรือสมุหกลาโหมสืบไปเมื่อหน้า ก็มิทราบที่จะปีติอย่างไรได้ เพราะผู้พลอยปีติไม่มีแล้ว”

“น่าสงสาร” สุรเสียงรับสั่งยิ่งสั่นเครือกว่าเก่า แล้วยังทรงปรารภว่า “จริงนะ เมื่อทูลกระหม่อมยังทรงชีพได้เป็นพระมหากษัตริย์ แม้ใครๆ ถึงพระองค์เองก็เคยรับสั่งว่า พ่อเดือนมิพ้นตำแหน่งออกกลาโหม หญิงก็พลอยปีติกับยมโดย ยังสัพยอกเขาว่า ท่านผู้หญิงกลาโหมอยู่เสมอ ก็แล้วใครบ้างเล่าจะนึกว่าการอาจจะเปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้”

ทหารหนุ่มของพระบัณฑูรมิเอ่ยว่ากระไร เมื่อก่อนถึงแม้สิ้นพระมหาอุปราชแล้ว แต่น้ำใจออกกลาโหมก็ยังมีมั่นนึกอยู่เสมอว่าตัวจะแสวงดีสืบไป และก็พอจะแลเห็นหน้าสนมกับพระองค์หญิงพอเป็นเพื่อนว้าเหว่ แต่กาลบัดนี้เล่า นางแม่ข้าหลวงก็มาจากพลัดมือไปแล้ว คงเหลือแต่พระธิดาทูลกระหม่อมเจ้านายผู้เคยได้เป็นที่คุ้นเคยแก่เดือน แต่พระองค์ท่านก็เป็นฝ่ายในที่ทรงศักดิ์ยากแก่การจะเฝ้าหาได้เสมอไป จึงต้องนับวันว่าจะมีแต่จะเหงา เหมือนทหารพระบัณฑูรนี้เกิดมาในกรุงศรีอยุธยาแต่ผู้เดียวเท่านั้น

พระธิดาสมเด็จพระมหาอุปราชองค์ก่อนก็ทรงเหงาพระทัยแทน ทั้งเมตตาสงสารออกหลวงกลาโหมผู้ชาตาตกเป็นที่ยิ่ง แต่ครั้นจะรับสั่งปลอบโยนก็ผิดวิสัยและมิบังควรแก่ศักดิ์พระองค์ท่าน จึงจำนิ่งเป็นดุษณี ทรงแหงนพระเนตรไปสู่ครึ้มเงาไม้จันทน์ยอดมืดแล้วถอนพระทัย ทรงคำนึงแก่พระองค์เองว่า อันกำเนิดมาเป็นเหล่าพระบรมวงศ์นี้ ก็สูงประเสริฐอยู่ สตรีทั้งแผ่นดินธรรมดา แต่เมื่อ​ถึงยากแค้นฉะนี้แล้ว ถึงจะทรงศักดิ์อยู่ก็เสมือนหนึ่งหญิงสามัญ ทั้งหนักพระทัยยิ่งกว่ามากนัก

จนสักชั่วทุ่มหนึ่ง ที่ทหารยอดดีของพระมหาอุปราชพระองค์ก่อนเข้าเฝ้าได้ทูลถามทุกข์สุขและเล่าความส่วนตัวทั้งหลายลำบากยากเข็ญเมื่อต้องโทษแล้ว จึงเวียนมาเรื่องพระธำมรงค์

“หม่อมฉันรำลึกกราบไหว้เสมือนได้อยู่เฝ้าทูลกระหม่อมและพระองค์หญิงทุกเพลาเช้าเย็น ก็เพราะพระธำมรงค์เพชรวงนี้เท่านั้น ก็พอลืมทุกข์ยากได้บ้าง”

“พ่อเดือนจะริปดใหญ่ละซี” รับสั่งขัดคอขึ้น “คนกับแหวน ไฉนเล่าจักเปรียบให้เสมือนกันได้”

“โธ่ เสด็จพระองค์หญิง ถ้ากระนั้น ของต่างหน้าที่เคยรับสั่งก็ไม่มีหรือ”

“มีย่ะ แต่เพราะเป็นข้าวของ มิใช่ตัว จึงเรียกว่าต่างหน้าแทนตัว ไม่ใช่อย่างคำพ่อเดือน”

หลวงกลาโหมเพิ่งจะยิ้มคลายทุกข์ และทูลคล้อยตามพระทัย

“หม่อมฉันทูลหนักเกินไปสักนิดหนึ่ง ก็ทรงจับเอาเป็นผิด เมื่ออ้ายเดือนผิดแล้วก็ขอถวายพระอาญา”

ท่านทรงพระสรวลกิ๊ก และรับสั่งอภัยโทษเหมือนเวทนาแก่ข้าทหารเก่าของสมเด็จพระบัณฑูร

“เท่านี้ก็น่าสงสารอยู่มากนักแล้ว ผู้หญิงเขาทิ้งขว้างร้างหย่าไปเท่านี้ก็สมควรแก่โทษปากอยู่แล้ว ครั้นหญิงจะทำโทษลงอาญาอีก ก็สงสารว่าจะตายเปล่า เสียดายฝีมือทหารกรุงศรีอยุธยา เผื่อกลับจากทัพศึกได้ดี หญิงจะได้พึ่งบ้าง”

“อนิจจาเอ๋ย ถ้ายิ่งสิ้นใจอ้ายเดือนด้วยฝีพระหัตถ์แล้วสิจะกลับไปสวรรค์ และที่รับสั่งว่าจะพึ่งฝีมืออ้ายเดือนนั่น ถึงมิต้องรับสั่งก็จะเต็มใจถวาย แม้จะต้องอุ้มองค์หญิงว่าสักร้อยโยชน์ ยิ่งกว่าเมื่อค่อนรุ่งคืนนั้นก็ยิ่งเต็มใจ”

ทรงละอายพระทัยด้วยพระองค์ท่านสิ้นสติ จึงมิรู้ความอื่น จึงเสถามกลบเกลื่อน

“ทำไมหญิงสิ้นสติถึงปานนั้นก็หารู้ไม่ น่าอายจริง ที่ต้องให้พ่อเดือนอุ้มมา ดังหญิงเป็นเด็กๆ แล้วอย่าพูดไปล่ะ ขายหน้าเขา”

​“พูดไป อ้า พระองค์หญิง” เดือนเงยหน้าชะเง้อทูล “พูดว่าอุ้มพระองค์หญิง ผิว์หลังอ้ายเดือนมิลาย ก็คงจะคอขาดด้วยพระมนเทียรบาลที่ท่านตราไว้ เมื่อแรกก็คาดว่าจะเหลือแรงหม่อมฉัน เพราะพระองค์จำเริญมาก มิแน่งน้อยอย่างยมโดย แต่ครั้นพอตกใจหนักก็ทุนไว้บนบ่าอ้ายเดือนจนตลอดมาจนกระทั่งถึงนี่”

พระทัยท่านสั่นหวิว หากใต้ร่มไม้จันทน์มืดนี้จะตามประทีปแต่เพียงเห็นแสงน้อยหนึ่งเท่านั้นเอง เดือนก็ต้องลั่นปากถวายพระพรว่าทรงเจริญยิ่งด้วยพระพักตร์บ่มโลหิต ถูสองพระหัตถ์และทรงดัดทุกองค์คุลีลั่นกรอบ ถอนพระทัยใหญ่ เมื่อก่อนเคยทรงแต่วอตามเสด็จหรือแคร่หามสี่ ครั้นสิ้นบุญทูลกระหม่อมท่านแล้วเล่า เมื่อยามภัยมาถึงซิ อ้อมแขนทหารกล้าและไหล่เขานั้นก็เป็นที่ทรงแก่ท่าน ยิ่งคำนึงหนักก็ปรารถนาจะให้เนื้อความนี้เงียบสูญไปเป็นการลับหนักขึ้น ถึงกับทรงห้ามปรามและอธิ ษฐาน

“อย่าพูดถึงอีกเลย ฉันคิดแล้วใจหาย กลัวจริงๆ เจ้าประคุณ ขออย่าให้ได้พบเช่นนั้นอีกต่อไปเลย”

“แต่หม่อมฉันขอให้เป็นเช่นนั้นทุกวัน” แล้วออกหลวงผู้ถูกถอดเพราะกตัญญู ก็ประนมมือเป็นเชิงอธิษฐานยืนคำ “เจ้าประคุณทั้งเสื้อเมืองทรงเมือง ขอให้อ้ายเดือนได้ถวายกตัญญูเจ้านายเช่นนั้นเสมอไปเถิด”

“พิลึก” ทรงเอื้อมพระหัตถ์ลงอาญา “คนยิ่งกลัวนี่จะยิ่งแกล้ง อยากรบก็รบไปคนเดียวซี ทำไมจะต้องให้หญิงเกี่ยวด้วย หรือเมื่ออยากจะซ้อมเรี่ยวแรงก็นั่นแน่ะ ไปอุ้มเมียหลวงภักดีนั่นแน่ะ เป็นได้เรื่องเขียว”

“ตัวเบาไปพ่ะย่ะค่ะ” เดือนทูลซึ่งๆ “กายแม่ยมโดยมิจำเริญเหมือนพระองค์หญิง และก็...”

“ก็อะไรยะ”

“เขามิได้เอ่ยปากให้อ้ายเดือนช่วยพ่ะย่ะค่ะ”

ทรงค้อนทั้งมืดๆ

“แน้ นี่หญิงเอ่ยปากงั้นรึ”

“โอษฐ์พระองค์ประทานแก่อ้ายเดือนเชียวพ่ะย่ะค่ะ”

นอกจากลงพระอาญาแก่ทหารพระบัณฑูรแล้ว ก็มิได้รับสั่งประการใด อีกครู่นั้น โดยเหตุที่เป็นยามศึกเมื่อครบ ๕ ทุ่ม ย่ำฆ้อง ก็มีเหล่าพระตำรวจรักษาวังต้องออกตรวจตราทุกชั่วทุ่มชั่วโมง จึงเป็นเพลาสมควรที่เดือนจะรีบทูลลา จึงคุกเข่ากราบบนไม้นั่งล้อมโคนจันทน์ สำแดงความเคารพข้างพระองค์

“ดูซี พ่อเดือน บาปกรรม หญิงเด็กกว่า และเราก็รักกันเอง อย่าต้องกราบไหว้บ่อยนักเลย” รับสั่งแล้วจึงทรงตบไหล่ออกกลาโหม “ใจหาย นานๆได้คุยกันก็ต้องไม่เห็นอีกนาน”

ทหารเอกพระบัณฑูรหนุ่มเหงาใจลงชั่วขณะนั้นทันที มือที่ยังประนมอยู่ก็ยกมือไหว้

“อ้ายเดือนก็ถวายตัวแก่ฝ่าบาทแล้ว ได้มาเฝ้าครั้งนี้ จึงนึกเป็นกุศลตัวยิ่ง จึงอาลัยนักที่จะต้องทูลลา มะรืนนี้ก็ไปศึกแล้ว ประทานพระพรแก่หม่อมฉันเถิด”

ท่านทรงกันแสงเพราะเมตตาและตื้นพระทัย เพียงเอื้อมพระหัตถ์ก็ตบแขน รับสั่งพร

“หลวงกลาโหมจงชนะศึก ศัตรูของศรีอยุธยากรุงไทยจงพินาศด้วยฤทธิ์ทหารพระบัณฑูร หรือ...”

“ข้าพระองค์หญิง”

เดือนต่อรับสั่งเสียงเครือ ถวายบังคมแล้วกราบลงต้นพระเพลาเหนือตัก รู้สึกพระองค์เสมือนหนึ่งภูษาสะอาดที่ตรงกราบนั้นคมคาย ๑๐ นิ้ว ดั่ง ๑๐ เล่มดาบทหารเอกพระบัณฑูรปักไว้เป็นแผลซึ่งมิอาจหายได้

ถึงจะเป็นสักครู่ แสนเร็วของเดือน แต่ก็แสนนานนักของพระองค์หญิงที่ทรงอึกอัก จึงทรงช้อนหัตถ์ประคองขึ้น

“เราจะพบกันอีกนะ หลวงกลาโหม ” ท่านรับสั่งด้วยถือลางเป็นสำคัญ “หญิงจะคอยรับเฝ้า เมื่อพ่อเดือนกลับจากศึกเสมอทีเดียว”

“พระคุณล้นแล้ว พระองค์หญิงจงทรงพระจำเริญทุกสถาน“ เดือนเงยหน้า กังวลใจ และยิ่งกังวลหนักเมื่อสังเกตพักตร์ท่าน “เดชะ ด้วยสัตย์และกตัญญูของหม่อมฉัน แม้เมื่อตื่นหรือหลับใหลเหลือแต่เจตภูตเฝ้ากาย หากพระองค์หญิงต้องพระประสงค์แล้ว เมื่อภัยมาถึง ขอฤทธิ์ภูตของอ้ายเดือนจงรับพระภาระนั้นเกิด และหม่อมฉันขอทูลลาแต่บัดนี้ จักนึกแต่บัดนี้เสมอว่า ในศรีอยุธยามีพระองค์แต่หนึ่งเดียวที่คอยปรบหัตถ์ชนะ ประทานแก่หม่อมฉันอ้ายเดือน”

​จึงประทานพระหัตถ์แก่ไหล่เดือน รับสั่งคำพร ทั้งทรงกันแสงแล้วอำลารีบไป กว่าจะถึงพระตำหนักก็ทรงเหลียวทอดพระเนตรบุรุษอีกเป็นหลายครั้ง จนเสด็จขึ้นพระตำหนักน้อยต้นจันทน์ เมื่อจะลับพระองค์นั้นออกกลาโหมก็จะใจหาย ยืนสะท้อนอยู่ รำพึงอยู่แก่ใจว่า

“พระองค์เอ๋ย อาภัพหนัก สิ้นบารมีทูลกระหม่อมแล้ว ชีพของพระองค์หญิงก็เสมือนเมื่อแรมข้างเดือนดับ ผู้คนหลากหลาย ทั้งข้าทาสเคยเคารพก็หลีกหนีเสียสิ้น และการเมื่อหน้าจะเป็นประการใดอีก ก็ยากจะเดาได้”

แล้วทหารเอกพระบัณฑูรก็ถอนหายใจ ตบมือสัญญาณเรียกนายหมู่และทหารเก่าพระบัณฑูรผู้เคยร่วมสุขร่วมทุกข์ให้มารวมพร้อม แล้วเดินผ่านยามตระเวนไปเป็นหมู่ด้วยเปิดเผย

.




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #9 on: 23 October 2025, 15:06:43 »


https://vajirayana.org/%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%B9%E0%B8%A3/%E0%B9%91%E0%B9%90

https://vajirayana.org/ทหารเอกพระบัณฑูร/๑๐


๑๐

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงลาผนวชมาบัญชาการศึกมีดำรัสสั่งให้เกณฑ์กองทัพขึ้นใหม่อีก เพื่อให้ออกไปตั้งรับศึกนอกพระนครประมาณพลสองหมื่น ให้เจ้าพระยามหาเสนาเป็นแม่ทัพใหญ่ถืออาญาสิทธิ์ และให้พระยายมราช พระยารัตนาธิเบศร์ และพระยาราชวังสัน เป็นแม่ทัพยกออกไปตั้งค่ายรายสกัดอยู่ตามลำน้ำเอกราช ณ ทุ่งตาลาน หลายค่าย คอยศึกพม่าอยู่

ครั้นเพลาแดดสายส่องทุ่งทิวไม้เห็นกระจ่าง จนปลายป่าและลำน้ำเอกราช ความเหงาสงัดเมื่อคืนจนตลอดมารุ่ง ทั้งความเปล่าเปลี่ยวของลำน้ำและทุ่งหว้าตาลานก็พลันเกิดอึงคะนึงแล้ว เสียงกลองศึกที่ข้ามน้ำ เสียงปืนและทวยหาญโห่สนั่น สีเสื้อยศและกลดกั้นบอกตำแหน่งแม่ทัพพม่า และทิวพลอันเคลื่อนเข้าสู่ค่ายใหญ่ เจ้าพระยามหาเสนา แล้วเกราะค่ายและฆ้องกลองก็เร็วรัวเร่งทหารออกรบศึก ปืนค่ายไหมกวาดเป็นกำลังหนุน กระทั่งทหารไทยออกตั้งแล้วกลางแปลง บัดใจศึกกลางแปลงก็บังเกิดเป็นตะลุมบอนถึงอาวุธสั้น ศพว่ายกันเป็นคู่เป็นหมู่ ทุ่งตาลานอันเปรียบด้วยป่าช้าใหญ่ยามนี้หากจะมีจิตดังมนุษย์รำลึกความได้เล่า ก็คงจะอนาถนัก ทหารไทยวอดแล้ว ด้วยน้อยตัวกว่า แต่ถึงกระนั้น มานะสู้ของทหารก็มิได้ระย่อ ยิ่งเห็นเพื่อนกันตายก็ยิ่งอยากให้ตัวตายเสียตามเพื่อน มากเท่ามาก หาญเท่าหาญ เมื่อล้ำเข้ามาแล้ว มิหัวก็สะพายแล่ง จะต้องเป็นศพลงเกลื่อนดินเสมอกัน

อา ศรีอยุธยา ค่ายเอกเกือบจะป่นแล้ว พม่าข้าศึกทัพมังฆ้องนรธาแบ่งตีจะเข้าโอบระดมตี และแบ่งเข้าระดมตีทั้งค่ายอื่น จึงพระยายมราชแม่ทัพข้างฝ่ายปีก อีกตั้งรับรายถัดมาก็มีคำสั่งเรียกทหารหน้าคันธงพระบัณฑูรที่ได้คุ้นแก่ฝีมือและส่วนตัว กวักมาแล้วก็ปราศรัยด้วยคำเดิมแต่ก่อน

“หลวงกลาโหมศึกหนักแล้ว จะว่าอย่างไร”

“เข้าตีเถิด พระคุณ” ทหารยอดฝีมือคู่พระทัยพระบัณฑูรตอบทันใด มือขยับคันธงกระวนกระวายนัก “ขืนรอช้า คอยที ข้าพระเจ้ากริ่งเกรงว่าค่ายท่านแม่ทัพจะเสียเชิงยิ่งขึ้น อ้ายเดือนขอถวายชีวิตเป็นประกัน หากธงพระยา​ยมราชทรงสิงห์นี้มิปลิวชายอยู่กลางศึก ก็จงเอาหัวอ้ายเดือนเสียบหน้าค่ายประจานเสีย อย่าให้อัปยศแก่ข้าศึกเลย”

ท่านกลับหัวเราะเสียงพร่าปร่า

“รำลึกทูลกระหม่อมมิได้อยู่ใช้หลวงกลาโหมสมที่พระทัยตั้งไว้ แต่กลับประทานมาให้ฉัน จักให้ลุยหรือโอบ”

“ตัดให้แล่งกลางเถิดพระคุณ” ออกกลาโหมชี้ทิศทางพลที่กำลังตะลุมบอน “กองธงของทูลกระหม่อมก็มีครบอยู่ทั้งห้า ขอให้ได้ปักด้ามธงตรงโน้นเถิด”

แล้วออกพระยอดทหารเหลือปีติน้ำใจ ธงพระยายมราชประจำตัวท่าน แม้จักอย่างไรก็ถึงการสมควรแล้ว ซึ่งเป็นโอกาสน้อย แต่ชายชาติทหารที่จะได้เห็นชายธงเข้าไปสะบัดล้ำแนวศึก อันนายธงเล่าก็ทหารยอดดีของพระบัณฑูร ซึ่งยากนักจักหาเหมือน จึงชักดาบควงด้วยอาชญา กล่าวแก่นายทหารคนธง

“หลวงกลาโหม ฉันจะตามธงไปทุกแห่ง เชิญทหารพระบัณฑูรไปปัก”

“พระคุณท่านล้นใจทหาร เพียงได้ปักแล้ว อ้ายเดือนได้กอดต้นธงตายก็ประเสริฐแล้ว” เดือนแหงนหน้าตอบ แล้วจึงชักดาบประทานของพระมหาอุปราช บอกสั่งทหารคู่ใจ หมู่แทนกับตามั่น ทั้งพลและนายภูบาลผู้สามิภักดิ์ “ทหารพระบัณฑูร ธงทัพของเรานี้จงนึกเสมือนทูลกระหม่อมท่านประทับอยู่ยอดธง อ้ายเดือนจะเข้าไปโบกเดี๋ยวนี้ โบกให้ปลิวทุกๆต้องลม โบกถวายเกียรติสมเด็จพระบัณฑูรท่านแม่ทัพประจำธง หากใครระย่อไซร้ ผู้นั้นมันก็มิใช่บุรุษ และทหารใต้ร่มธงของพระยายมราช ตามธงเถิด”

แล้วลมก็สะบัดชายโน้มธงบอกแก่ทัพหลังและซ้ายขวาเป็นสัญญาณว่าทัพพระยายมราชจะเข้าเล่นศึกให้รู้ทั่วกัน

บัดใจ ม้าก็เผ่นออกชายธงพระยายมราชประจำตัวปลิวไสวสะบัดชาย แล้วทหารกล้าพระบัณฑูรผู้วาสนามิส่ง ก็เชิญธงทัพนั้นปราดเข้าใส่ทัพมังฆ้องนรธาที่ตีโอบแล่นสกัดหน้านายทหารคนธงเช่นกัน ทหารล้อมหมู่แทนนายภูบาลและตามั่นก็ควบม้าเข้าชนทหารล้อมโฉมหน้าข้าศึกกระนี้เอง เพราะเชื่อบารมีนายกระนี้เองว่าพระเจ้าอลองพญาจะประเสริฐเป็นเอก จึงได้ห้าวหาญฮึกมาเหยียบทุ่งตาลานศรีอยุธยาอาณาจักร แม้ดาบจะหวดกันเป็นประกายชุลมุนนัก ฟันทหารห้อมลงก่ายกันเกลื่อนและลิ่วไล่นายธงที่ชักม้าแล่นหนีแต่คันธง​พระยายมราชนั้นตรงปลิวชายหวนลมแจ้งแก่ทุกทัพว่า ทัพพระยายมราชหักศึกมาถึงนี่แล้ว ทัพอื่น ทั้งพระยารัตนาธิเบศร์และพระยาราชวังสัน ทั้งเจ้าพระยามหาเสนาแม่ทัพใหญ่ก็โอบเข้าตะลุมบอนพิฆาตเสียเกลื่อน น้ำใจไทยที่เห็นเพื่อนนอนเกลื่อนอยู่ เจ็บแค้นสาหัส เพราะถูกข่มเหงยกมารุนรานนั้นก็ยิ่งผยองขึ้น

กลองตะลุมบอนยังเสียงครึ้มทุ่งทั้งสองฝ่าย แดดอ่อนจนแดดกล้า ขบวนศึกนี้แบ่งปีกแบ่งกลางก็เข้าคลุกพิฆาตกันตลอดเพลา ทหารด้วยกันแล้วใครเล่าจะระย่อกัน ในเมื่อยังมีแรงรำดาบอยู่ได้ ตายังเบิกได้ มิโชกเลือดและเข้าตาให้มืดมน ถึงจะฟันจนดาบกุดหมด เหลือแต่ด้ามและมือเปล่า ก็สู้ทั้งมือเปล่า จนกว่าศึกจะถอยไปพ้นแดนศรีอยุธยานั้นแลจึงจะหยุดสู้

๑๐ เส้น และ ๒๐ เส้น กระทั่งกลับเข้ากลางศึกแล้ว นายธงทหารเก่าพระบัณฑูรก็ยิ่งเมาเลือด ถือใจเสมือนหนึ่งผู้มิได้เสพอาหารนาน จักอิ่มได้ก็เพราะหัวคนกลิ้งเกลื่อนเท่านั้น เลือดท่วมเท้าม้าเท่านั้นหรือ ธงนี้ได้ข้ามลำน้ำเอกราชไปสะบัดอยู่เหนือค่ายพระเจ้าอลองพญาเท่านั้นแหละ จะอิ่มจะหายหิวไปทั้งชาติตลอดชั่วลูกชั่วหลาน แล้วก็แล่นเล่นสนุกด้วยฟาดฟันหัวมนุษย์ข้าศึกเป็นทางไป ทางธงที่หวนเล่นลมสู่ทางใด ทางนั้นก็เป็นเสมือนธารเลือดประกาศกับลำน้ำเอกราช ลำน้ำที่จะไม่ยอมขึ้นแก่ผู้ใดทั้งหลายอื่นทั้งสิ้น เยี่ยงเดียวกับน้ำใจไทยเจ้าของบ้านเกิด หัวกลิ้งก็เสมือนสวะที่มาลอยอยู่รกลำน้ำอันไทยได้ประกาศแล้ว

กรรมหลังและบาปอื่นได้สร้างไว้ร่วมกันแล้วไซร้ บาปนั้นและกรรมหลังแต่เก่าชาติโน้นก็ตามมาถึงไทย ทุกทัพทุกตัวทหารแต่นายถึงพล ต่างกัดฟันมานะเข้าตีทัพ รับศึกอันถอยร่นอนตกลำน้ำแล้ว ฟากตลิ่งกลาดเกลื่อนล้วนแต่ศพที่ถอยมิทัน ทั้งมังระราชบุตรและมังฆ้องนรธาแม่ทัพเอกก็ถอยไปยับเยินระย่อแก่ไทยเจ้าของบ้านผู้มารับแขก เชื้อเชิญเสียด้วยดาบเข้าประจัญบานเสียด้วยอาวุธ ก็พลันวาสนาชาตานั้นบังเกิดขึ้นโดยหาจักคาดถึงไม่ ศึกซึ่งข้ามน้ำเพียงทุ่งตาลานมานั้น เป็นทัพหลวงหลายหมื่นของพระเจ้าอลองพญาก็แปรขบวนโอบหนุนมาแต่โน้น ซ้ายและขวามากมายก่ายกองด้วยกำลังพลเพียงดังจักย่ำธรณีบ้านตาลานให้ละเอียดเป็นพันธุลี ทั้งเรี่ยวแรงทหารเล่าก็ยังเข้มแข็งมิได้ใช้แรงเลย เสียงโห่ร้องกลองศึกนั้นสะท้อนรับกันจนกลบเสียงอื่นเสียสิ้นแล้ว ​ก็เข้าร่วมทัพล้อมทหารศรีอยุธยาเสียสิ้นทุกด้าน

หอกซัดปลิวมาดั่งเม็ดฝนที่ตกหนัก ดาบโล่โตมรรับแสงตะวันแลพู่ปลายทวนนั้นขาวทุ่งประหนึ่งดอกหญ้าดอกลา ถึงกระนั้นไทยผู้ทิ้งค่ายถอยค่อยสู่ด้วยกำลังพลเกือบจะหนึ่งร้อยต่อหนึ่ง ก็อุตสาหะมาเข้าทุ่งวัดนนทรี แล้วอสัญกรรมอันควรจักสรรเสริญใส่ใจไว้แก่ทหาร ก็พลันบังเกิดแก่แม่ทัพเจ้าพระยามหาเสนา ในทุ่งท่ามกลางศึกด้วยหอกซัดของทัพมาที่กวดมาติดๆนั้น ต้องกายหลายต่อหลายเล่มเหมือนฝนฤดูนี้ตกลงเป็นคมหอก จนเหลือกำลังทานจึงพลัดจากคอช้างแล้วก็สู่อสัญกรรม เหล่าจตุรงคบาททหารล้อมก็พากันปลงใจสละชีพสู้ตายจนหมดทุกตัวคน

ธงพระยายมราชก็ล่าเรื่อยมา ทั้งรับและฆ่าฟันอยู่ทุกฝีดาบ ชำเลืองซ้ายเล่าแหลกแล้ว จตุรงคบาทของท่านเจ้าพระยาแม่ทัพ เบื้องขวาโน้น พระยาราชวังสันดูกิริยาแปรปรวนแก่ทัพ พระยารัตนาธิเบศร์ประหนึ่งมิใช่มิตรมาร่วมศึกเป็นชาติเดียวกัน ครั้นแล้วนายธงออกหลวงกลาโหมก็ล่ามาอีก ถอยมาด้วยสลดสังเวชใจ อ้า เพื่อนไทยกูเอ๋ย นับพันพินาศแล้ว สละชีพถมแผ่นดินบ้านเราเอง แม้จะพิฆาตเขาเกือบเรือนหมื่น แต่ก็เสียดายชีวิตไทยด้วยเรือนพัน

ครู่นั้น พระยายมราชแม่ทัพก็ครวญด้วยหอกซัดของผู้ชะล่าที่แล่นมาพุ่งใกล้ๆ เดือนจึงหวนม้าเข้าสกัด เมื่อชะล่าแล้วก็อย่ากลับกรุงพม่าอีกเลย แขนขวาที่พุ่งก็ตัดศีรษะ บั้นสะบัดขึ้นไปให้สาใจ ปลิดหัวเสีย แล้วจึงเร่งทหารพระบัณฑูรและกองทะลวงฟันเข้าล้อมพระยายมราชซึ่งต้องหอกซัดอีกหลายเล่มล้วนฉกรรจ์ รบรับหาล่าถอย เร่งรีบกระทั่งศึกตามมิทันแล้วจึงเข้าแฝงผสมทัพพระยารัตนาธิเบศร์ เพราะถึงหากจะถอยเร่งรีบแต่ส่วนกำลังพลก็ยังดีอยู่ ทั้งได้ผสมเป็นกำลังใหญ่ พอจะได้แรงคนมาก

มิทันได้ล่าข้ามแม่น้ำเข้าพระนคร ทัพที่ต่างต้องเสียยับเยินด้วยกัน ก็มิเป็นขบวนแล้ว เหล่าแม่ทัพนายกองนั้นได้แต่ปัดป้องรักษาชีวิตแต่พอรอด ส่วนทหารห้อมและจตุรงคเสนา หมวดหมู่ก็ปนกันถอยมิเป็นล่ำสัน ถึงกระนั้นก็ดี ออกเดือนยังถือว่า ธงทัพเป็นประหนึ่งมิ่งขวัญทหาร และสูงศักดิ์ยิ่งกว่าประการได จึงได้ทรงอยู่เสมอ ผู้ใดใกล้ หากผิดไทยเป็นข้าศึกแล้วก็ต้องประหารเสียแล้ว ความคิดก็พลันบังเกิดขึ้น เพราะเครื่องหมายธงนี้ดังจะบอกแก่ข้าศึก ว่าแม่ทัพนายกองนั้นประจำอยู่แห่งหนใด จึงเตือนม้าเชิญธงออกห่างไป สันโดษกันเพียงทหารพระบัณฑูรคู่ใจอีกเพียง​สี่ห้านายที่ตามติดมา รบรับมันแต่โดดเดี่ยว เพื่อลวงศึกให้ตามสังเกตผิดว่าแม่ทัพ

ครู่นั้น ขณะที่ล่ามาเกือบจะถึงลำน้ำ ก็พลันเสียงทหารเบื้องหลังร้องขึ้น

“โน่น พ่อหลวงดูโน่น” ตามั่นชักม้าขึ้นเคียงแล้วชี้บอก “อ้ายหลวงภักดีกำลังจะสิ้นวาสนาอยู่โน่น”

นายธงพระยายมราชหันมองแล้วก็พลันใจหาย ศัตรูกู ยอดของศัตรูโลกนี้ ใครเล่าจักทำกูแค้นเหมือนเจ้าใยหลวงภักดีซึ่งร่วมทัพพระยาราชวังสัน มันตามประหารตามล้าง สุดท้ายเล่า หลวงภักดีก็เด็ดหัวใจกูไปแล้ว ยมโดยแม่ข้าหลวง ยอดหัวใจก็ไปร่วมเหย้าต้องบำเรอสุขแก่มันด้วยอำนาจ

“ฮือ กำลังถูกล้อม แย่จริง ทำไงล่ะ”

ตามั่นกลับหัวเราะ

“ปล่อยมันเถอะ พ่อหลวง อย่าช่วยงูพิษเลย มันจะแว้งเอาอีก”

“ผิดวิสัยทหาร” กลาโหมตอบห้วนๆ ตายังเพ่งอยู่ที่ร่างหลวงภักดีซึ่งเลือดท่วมกายจนจะสิ้นแรงอยู่แล้ว อีกเพียงครู่เดียว แม้เพลี่ยงพล้ำประการใดก็คงถึงกาลชีวิต แต่เลือดที่โชกกายหลวงภักดีนั้นเหมือนจะล้างแค้นอาฆาตในหัวใจทหารพระบัณฑูรให้ลืมแก่ความหลังอันเป็นเหตุส่วนตัวเสียสิ้น เพราะศัตรูอันยิ่งยวดร้ายกาจเกินหลวงภักดีนั้น คือพม่าข้าศึกผู้ไล่ล้อมฟันสามียมโดยแล้ว เดือนก็สุดจะทนดูเพื่อนไทยถูกล้อมฆ่าได้อีกต่อไป เดือนก็ร้องสั่งทหารเต็มเสียง “หักล้อมแก้หลวงภักดีออกมาให้ได้ ตามเร็ว ทุกคน เร็วซี”

ขาดคำ นายธงก็เตือนม้าเต็มแรง ธงพระยายมราชก็ปลิวถาเข้าสู่ชาวอังวะและรัตนสิงห์ ฟันคนที่อ้อมข้างหลังพับไป แล้วก็ตะโกนให้สติแก่ศัตรู

“ตั้งสติไว้ หลวงภักดี อ้ายเดือนจะช่วยอีกแรงหนึ่ง อย่าถอย”

ได้ยินเรียกชื่อตัวแว่วๆ ได้ยินบอกชื่อแว่วๆ ว่าชื่อเดือน ก็ยังแคลงใจ แล้วบัดใจหลวงภักดีก็เห็นทหารกล้าพระบัณฑูรโผนม้าขึ้นเคียงทะนงองอาจ

“หลวงกลาโหม โธ่ เพื่อนเอ๋ย”

“รุกมันเถอะ” เดือนกลับเตือนไปอย่างหนึ่ง “เมื่อเหนื่อยหนักจะสิ้นแรงจงถอยไปแอบหลังเสีย เร็ว เร็วซี หลวงภักดี อย่าห่วงอ้ายเดือนเลย”

ก็พอหลวงภักดีถูกปลายดาบพาดไหล่จนชักม้าซวนไป ข้าพระบัณฑูรที่รู้เห็นน้ำใจชั่วของหลวงภักดีจึงสวนด้วยด้ามคันธงต้องอกศัตรูจนชะงักม้า แล้วก็สะอึกม้าเข้าโดนพอชิดติดพัน จึงทหารข้าศึกผู้นั้นก็เหลือแต่กายนั่งม้า​ไม่มีหัว แล้วก็อีกหัวอีกหลายสะพายแล่ง ทั้งคันธงปลายแหลมก็พุ่งและรับดาบจนขาดทีละคืบละท่อนใกล้มือ แต่ทุกคนที่ฟันติดคันธงรับนั้นก็เสียไปทุกชีวิต แล้วชีวิตของหลวงภักดีผู้สิ้นแรงจะปกป้องก็ได้อาศัยผืนธงกับหมู่ทหารล้อมองค์พระบัณฑูร รบรับกำบังพาถอยมาตามสบายโดยหามีศัตรผู้ใดจะบังอาจล้ำตามมาไม่ กระทั่งถอยข้ามฝั่งน้ำพ้นเขตศึก

ทัพซึ่งล่าลาดเข้าพระนครนั้นมิเป็นหมวดเป็นกองเพราะแตกพลัดกระจายหมด สองทหารไทยซึ่งเป็นศัตรูกันกับหมู่ทหารเก่าของพระบัณฑูร ซึ่งถอยมาถึงฟากพระนครก็นับว่ายังเร็วกว่าผู้อื่นที่เดินเท้าและคอยหมวดคอยกองอยู่ กระทั่งทัพพระยาราชวังสันข้ามมา เดือนจึงชี้บอก

“โน่น ทัพพระยาราชวังสัน ลาก่อน หลวงภักดี”

“เดี๋ยวก่อนสิ หลวงกลาโหม” หลวงภักดียกอีก มือที่พอจะยกขึ้นไหว้เขาเพ่งยอดทหารพระบัณฑูรที่เขาทรยศตามล้างตามผลาญ สีหน้าไม่สบายแล้วก็ถามว่า “หลวงกลาโหมอยู่ที่ไหน”

“ฮื่อ บอกไม่ถูกหรอก หลวงภักดี เพราะพอพ้นโทษก็มาราชการศึกนี่แหละ ทำไมหรือ”

“อยากไปหา อยากขอพูดอะไรกับพ่อหลวงสักสองสามคำ” แล้วหลวงภักดีก็น้ำตาคลอ “ถ้าคนอื่น เขาก็ปล่อยฉันตายแล้วนะ หลวงกลาโหม ถ้าคนอื่น ฉันก็เป็นผีอยู่ฟากโน้นแล้ว”

“เอ๊ะ ทำไมเล่า หลวงภักดี”

“ฮึ ก็ฉันมันไม่ใช่คนน่ะซี พ่อหลวงรู้เรื่องยมโดยหรือเปล่าหรอก”

ทหารเอกสมเด็จพระมหาอุปราชนิ่งงัน วิสัยทหารอันเป็นยอดชายชาตรีนั้น แม้จักเหี้ยมหาญมุทะลุเข้าล้างชีวิตก็ชั่วแต่อริราชศัตรู หากน้ำใจแท้นั้นเล่า ก็ถือซื่อกตัญญู ทั้งเมตตาปรานีเสมอกัน อนึ่ง เพลานี้หลวงภักดีเล่าที่ช่วยชีวิตมาก็งอนง้อยกมือไหว้ เสมือนได้สำนึกชั่ว แค้นและอาฆาตแต่หนหลังก็พลันสิ้นไปจากหัวใจทหารออกกลาโหม คิดว่าจะปิดก็ป่วยการและจะต้องฟังหลวงภักดีเล่าให้แสลงใจต่อไปอีก จึงพยักหน้า

“ทราบแล้ว พระองค์หญิงทรงเล่าประทานให้ฟังแล้ว” เดือนตอบตามจริง เซาหลบตาหลวงภักดี แล้วฝืนยืนพูดเศร้าใจตัวเอง “มันเป็นคนละเรื่องกับศึกนะ หลวงภักดี เราก็ต่างฝ่ายเป็นทหารข้าแผ่นดินท่าน ถูกละ เรื่องหลัง​มันเป็นเรื่องใหญ่ของเรา ทั้งเจ้านายฝ่ายเรา ท่านคิดประหารกัน และใครเล่าจะมิรักเจ้านายตัว แต่ดูเถิด หลวงภักดีเอ๋ย ท่านทั้งสองฝ่ายก็สูญบารมีไปแล้วด้วยกัน เหลือแต่เรา อย่าว่าแต่จะทนดูข้าศึกมันประหารท่านเลย เพียงเห็นท่านถูกรุมล้อม อ้ายเดือนก็ยอมแลกชีวิต ไทยหรือจักนิ่งดูไทยให้ข้าศึกชาติอื่นเขามาฆ่าเล่นต่อหน้า ลืมเสียเถิด เรื่องนั้นของเรา”

ทั้งหมู่แทนและนายภูบาลหรือตามั่นเองก็นิ่งเงียบ เพราะตื้นตันด้วยเห็นน้ำใจทหาร แต่มีเสียงสะอื้นจากหลวงภักดีผู้กายชุ่มด้วยโลหิต แล้วพยุงร่างฝืนใจโดดจากหลังม้าโผเข้ากอดคอเดือนทั้งน้ำตาไหลพราก

“หลวงกลาโหม หากศรีอยุธยามีทหารเหมือนพ่อหลวงแล้วน้ำใจเป็นสามัคคีดังนี้แล้ว ศึกจักล่วงเข้าถึงทุ่งตาลานได้หรือ ถูกละ หลวงกลาโหม ฉันเคยแพ้ฝีมือและเห็นฝีมือพ่อหลวงนั้นหลายครั้งหลายหน แต่ใช่จะกลัวหรือเข็ดก็เปล่าทั้งสิ้น แต่เดี๋ยวนี้ หลวงภักดีแพ้ ยอมแพ้น้ำใจท่านแล้ว รับไหว้ฉันเถิด หลวงกลาโหมพ่อเพื่อนและพี่ทหาร อันน้ำใจประเสริฐ ทหารพระบัณฑูรประเสริฐยิ่งแล้ว”

แล้วหลวงภักดีก็ทรุดตัวจะลงนิ่งไหว้ แต่สิ้นแรงเพราะแผลที่ต้องอาวุธโลหิตออกมากจึงล้มลง จนเดือนตกใจเข้าประคองขึ้นโอบไว้

“โธ่เอ๋ย หลวงภักดีมิควรคิดให้มากมายไปเปล่าๆ อันความรักที่เกิดแก่หญิงนั้น เราเขาจะเกิดก็ต่อเมื่อเพลาระหว่างสุข เห็นหมากไม้และแต่งกายโอ่สวย กลิ่นหอมด้วยแป้งน้ำมันประการหนึ่ง อีกสถานหนึ่งก็ด้วยคำหวานพะนอแก่กันนั้นแหละ ความรักก็บังเกิด และประการหลังสุดท้าย ก็โดยวาสนาตัวมิใช่หรือ เพราะกรรมดีอันแต่งไว้ร่วมกันแต่ชาติก่อนจึงจะได้ร่วมกัน ก็ส่วนชายเล่า หลวงภักดี ชายที่จะรักกันนั้นมิมีมากสถานเหมือนเรารักหญิงเลยยากนักจักดูดดื่ม เพราะต่างก็ถือเสียว่าเป็นชายอยู่ด้วยกัน จึงเป็นวาสนาเรามากนะ พ่อหลวง วาสนาเราที่เคยเป็นศัตรูคอยพิฆาตกันตลอดมา แล้วก็เหมาะแก่ช่องที่ได้รักกันเอง โดยมิพักต้องคืนดีกันเสียก่อน รักกันกลางศึก และเราก็กล้าเข้าแลกชีวิตช่วยกันฉะนี้ ไฉนเล่า หลวงภักดีเอ๋ย ความรักของอิสตรี ด้วยประการไฉนเล่า จักมาเหมือนน้ำใจทหารรักทหารด้วยกันได้ พ่อคุณขึ้นม้าเถิด นั่งม้าแล้วฝืนใจควบไปเข้าเมืองทั้งเลือดเช่นฉะนี้แหละ เป็นที่ประเสริฐแก่ตาผู้เห็นนัก”

​หลวงภักดีมิสามารถจะกล่าวสิ่งไรออกมาได้ หากกล่าวก็มีแต่สะอื้นและซัดด่าตัวเอง กระทั่งกลาโหมประคองขึ้นม้า แล้วเดือนก็ขึ้นม้าคุมประคองไปส่งสมทบเข้าทัพพระยาราชวังสัน เมื่ออำลากันด้วยรักใคร่แล้ว ทหารพระบัณฑูรยอดฝีมือพร้อมด้วยทหารคู่ใจก็ควบม้าเลียบชายน้ำ เชิญธงอันเหลือด้ามสะบั้นไปคอยรับพระยายมราชที่เพิ่งเข้ามาถึง บ่ายไปสู่ประตูแต่เพลานั้น

จนเดือน ๕ ขึ้น ๑๑ ค่ำ พระเจ้าอลองพญาตีค่ายทุ่งตาลานแตกไปแล้ว จึงยกทัพหลวงมาตั้งค่าย ณ ตำบลบ้านกุ่ม ข้างเหนือกรุง แล้วให้มังระราชบุตรและมังฆ้องนรธาเป็นทัพหน้า ยกมาตั้ง ณ ทุ่งโพธิ์สามต้น

ข้างฝ่ายในกรุงนั้นเล่า เมื่อเสียทัพจากทุ่งตาลานแล้ว จนเจ้าพระยามหาเสนาต้องตายในที่รบ ส่วนพระยายมราชเมื่อหนีมาถึงพระนครอยู่ได้ ๙ ถึง ๑๐ วัน ก็ต้องถึงแก่กรรมอีกคนหนึ่ง ด้วยบาดแผลที่ต้องหอกซัดนั้น แล้วพระยารัตนาธิเบศร์จึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลกล่าวโทษพระยาราชวังสันแม่กองว่าเป็นกบฏ เพราะในระหว่างศึกได้สั่งให้ยิงปืนแย่งค่ายพระยารัตนาธิเบศร์เพราะเป็นสมัครพรรคพวก พระยาราชมนตรี (ปิ่น) ผู้เป็นพี่พระสนมเอกพระเจ้าขุนหลวงเอกทัศน์ และเมื่อแตกทัพมาแล้วก็หาขึ้นเฝ้าไม่ จืรับสือให้พระตำรวจไปสืบอับตัวมาลงพระราชอาญาเฆี่ยนและจำไว้ อยู่ได้สักเจ็ดแปดวันก็ถึงอสัญกรรม จึงให้เอาศพไปเสียบประจานไว้ ณ ประตูชัย

ขณะเมื่อพระเจ้าอลองพญายกทัพหลวงมาตั้ง ณ บางกุ่ม บ้านกระเดื่องนั้น จึงหลวงอภัยพิพัฒน์จึงกราบทูลขันอาสาจัดชาวจีนบ้านในค่ายสักสองพันเศษ ยกจากเมืองข้ามจะไปตีค่ายโพธิ์สามต้น ทัพหน้าของมังระราชบุตรกับมังฆ้องนรธา แต่มิทันจะได้ตั้งค่าย มังระราชบุตรกับมังฆ้องได้ทราบเช่นนั้น จึงขับทหารข้ามลำน้ำโพธิ์สามต้นเข้าโจมตีทัพจีนของหลวงอภัยพิพัฒน์แตกพ่ายลงน้ำ และต้องหอกซัดตายในน้ำเป็นอันมาก และทัพหนุนของหมื่นทิพเสนาซึ่งมีรับสั่งให้ยกหนุนไปตั้งรออยู่ที่ปรกวัดทะเลหญ้าก็พลอยแตกมาด้วย จึงเป็นทีแก่พม่าข้าศึกได้ยกรุกตามมาตั้งค่าย ณ เพนียดและวัดพระเจดีย์แดงและวัดสามพิหาร แต่นั้นต่อมาทัพไทยก็มิได้ยกออกไปตั้งรับต่อสู้อีกเลย คง​ตั้งมั่นรักษาพระนครไว้เท่านั้น

ภายในพระนครศรีอยุธยาเพลานี้ยิ่งเกิดตระหนกตกใจกันหนักขึ้น เพราะพอถึงสิ้นข้างแรม พม่าก็เอาปืนไหญู่มาตั้ง ณ วัดกษัตราและวัดราชพฤกษ์เข้ายิงโหมพระนคร ถูกเหย้าเรือนเคหะสถานและราษฎรพลเมืองเจ็บป่วยล้มตายลงเป็นอันมาก ถึงกระนั้นสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรก็เสด็จทรงช้างต้นพลายแสนพลพ่ายเลียบพระนคร กวดหน้าที่อย่างกวดขัน และรับสั่งให้ใช้ปืนใหญ่ ณ ป้อมท้ายกบและป้อมมหาไชยยิงระดมโต้ตอบพม่า ณ ฝั่งน้ำโน้น

กระทั่งถึงวันท้าย เป็นวันซึ่งชาตาพระนครจักสิ้นเดือนร้อนเสียคราวหนึ่ง พระเจ้าอลองพญาเสด็จทรงจุดชนวนยิงพระมหาปราสาท ปืนใหญ่นั้นทนอำนาจดินมิได้จึงแตกระเบิดออกต้องพระกาย ประชวรหนัก

พอรุ่งขึ้น วัน ๒ ค่ำ เดือน ๖ ก็มีรับสั่งให้ถอยทัพรีบยกไปทันที

จึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงศรีอยุธยาครั้นทราบว่าพม่าเลิกทัพไปแล้ว ตลอดลำน้ำใหญ่ข้างฝ่ายเหนือ จึงมีรับสั่งให้พระยายมราชซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้พ้นโทษนั้น กับพระยาสีหราชเดโชกองอาสาเกณฑ์พล ยกติดตามตีพม่าไปทางด่านเมืองตากแต่เพลานั้น แล้วสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรจึงมีรับสั่งให้ทหารไปตรวจค้นในค่ายพม่า ขุดพบปืนใหญ่ฝังอยู่ในค่ายหลวง นำพลบ้านกุ่มกว่า ๔๐ กระบอก ทั้งกระสุน ๓ นิ้ว และ ๔ นิ้ว จึงไปขนเข้าไปพระนคร

ครั้งนั้นเมื่อพระเจ้าอลองพญาเลิกทัพกลับแล้ว จึงกิตติศัพท์รู้มาถึงกรุงว่า เสด็จสวรรคตที่ปลายด่านเมืองตาก และทางฝ่ายบ้านเมืองพม่าก็เกิดแย่งกันเป็นจลาจล ทางพระนครศรีอยุธยาจึงเพียงแต่ตระเตรียมอาวุธยุทธภัณฑ์ไว้เท่านั้น แต่ส่วนขุนนางข้าราชการก็เริ่มแตกสามัคคีถือนายเก่ากันอีก เพื่อแสวงหาอำนาจของตนเช่นเดิม และทูลยุยงสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ให้ทรงรังเกียจพระเจ้าอุทุมพรพระอนุชาที่ทรงว่าราชการอยู่

ยิ่งการข้างฝ่ายบ้านเมืองยิ่งยุ่งมิเป็นระเบียบ มีฝักมีฝ่าย การข้างอื่นก็พลอยต้องวุ่นไปด้วย ตามวังและพระตำหนักเจ้าต่างกรมและที่เป็นบรมวงศ์ที่สนิทก็มีผู้เฝ้าแหนมิขาด ทั้งราชกิจและส่วนตัว

​ข้างฝ่ายวังหลวงก็ต้องเข้าเฝ้า คอยฟังพระราชกระแสรับสั่งอยู่จนดึกดื่นเสมอมา จึงระหว่างที่โกลาหลกันอยู่นี้ พระตำหนักใหญ่กรมหมื่นพระโอรสสมเด็จพระมหาอุปราชองค์ก่อนจึงต้องเสด็จขึ้นเฝ้าอยู่แทบทุกวัน แม้กระทั่งยามต้อง ๓ ทุ่มนี้ ท่านก็ได้เสด็จแล้วยังมิกลับ

หลังพระตำหนักน้อยต้นจันทน์อันเป็นที่ประทับของพระองค์หญิงพระน้องนางเธอในกรมหมื่น เพลานี้ก็เป็นเดือนหงายกระจ่างข้างขึ้น แม้ว่าพระองค์หญิงจะทรงวาสนาน้อย มีข้าหลวงเพียงสองสามนางที่กรมหมื่นประทานให้ก็ดี เมื่อทอดพระเนตรเห็นเดือนข้างขึ้นกระจ่างฟ้า และกำลังประทับอยู่ในสวนหลังพระตำหนักน้อยพร้อมด้วยนางข้าหลวงใหม่ และก็ทรงโสมนัสนักที่ได้มาพบแม่ข้าหลวงผู้จากหน้าไปนานแล้ว พร้อมด้วยสามีซึ่งกลับจากศึกมีความชอบแก่ราชการนั้นเป็นเอกคนหนึ่ง

เมื่อประทับ ทรงสังเกตเฉยอยู่ครู่หนึ่ง ก็หลากพระทัยที่เห็นแม่ข้าหลวงเก่าคู่ทุกข์ ดูแช่มชื่นกับสามี เหมือนได้รักใคร่กันมาก่อนจริงๆ จึงรับสั่งเป็นกลางๆ ว่า

“ฉันดีใจแทนหลวงภักดีที่หายเจ็บ ไม่เป็นอันตราย และก็...พลอยสิ้นห่วงด้วย ที่ยมโดยของฉันไม่เกลียดหลวงภักดีแล้ว”

นางข้าหลวงนั้นอายนัก แต่ฝ่ายสามีหลวงภักดีสงครามหัวเราะชอบใจ และเป็นครั้งแรกที่ได้มาเฝ้านับแต่กลับจากศึก จึงทูลขึ้นตามตรง

“แต่ถ้าหม่อมฉันจะทูลอะไรอีกสักสองสามสิ่งแล้ว ฝ่าพระบาทจะทรงดีพระทัยยิ่งกว่านี้อีกหลายส่วนนัก”

“เอ๊ะ หลวงภักดีจะบอกอะไรแก่ฉัน”

เขาจึงสะกิดภรรยา

“แม่ยมโดยทูลเองเถิด เพราะสมควรแล้วที่ยมโดยจะต้องกราบทูล”

นางข้าหลวงก็อิดเอื้อนอนต้องรับสั่งเร่งอีก

“บอกให้ทันใจสักหน่อยเถอะ ยมโดย เรื่องราวมันอย่างไรกัน หรือจะปิดเป็นความลับก็ไม่ต้องมาบอก”

“ทูลซีเพคะ องค์หญิง” ยมโดยตอบงอนๆ เป็นกันเอง แล้วก็เลยพาดพิงไปถึงสามี “แต่หม่อมฉันหนักใจอยู่ว่าเมื่อลับพระเนตรพระกรรณแล้ว ​หลวงภักดีจะเกิดหึงขึ้นมาอีกเท่านั้น”

“อ้าว ยังไงกันนี่”

แล้วก็ทรงพระสรวล พระทัยระแวงไปถึงอีกผู้หนึ่ง

หลวงภักดีก็ร้องเอะอะขึ้นอีกคนหนึ่ง

“ตายละซิฉัน แม่เอ๋ย ยมโดยจะหาความใส่ให้ฉันเสียชื่อหรือยังไง”

“ก็รึไม่เคยเสียในเรื่องนี้” ภรรยาย้อนถาม ให้ค้อนให้ แล้วก็ทูลเรื่อง “พี่เดือนซิเพคะ พระองค์หญิง กลับจากศึกแต่เพียงชั่วเย็น แต่พอรุ่งก็อาสาทัพท่านเจ้าคุณยมราชกับเจ้าคุณสีหราชเดโช ตามทัพพม่าไปจนด่านตาก เพิ่งกลับมาถึงสักสองสามวันนี่แล้ว ออกหลวงที่ถูกถอดก็ทรงพระกรุณาให้เป็นหลวงกลาโหมดังเดิมแล้ว”

เหมือนบรรทมหลับและทรงพระสุบินว่ากันแสงและน้ำพระเนตรคลอๆ ตื้นต้นพระทัยจนมิอาจรับสั่งถามได้ พอดีหลวงภักดีเอ่ยทูลขึ้นอีกว่า

“พระองค์หญิงคงมิทรงเชื่อเป็นแน่ หากหม่อมฉันจะทูลว่า หลวงกลาโหมกับหลวงภักดี กอดคอรักกันแล้ว”

รับสั่งฉงนพระทัยนัก

“เอ๊ะ ฉันไม่รู้เรื่องเลย และไม่น่าเชื่อจริงๆด้วยซี”

“นั่นไหมล่ะ” สามียมโดยหัวเราะ เมื่อรำลึกถึงกาลวันนั้นได้ ก็ทูลเสียงเครือๆ “จริงนัก พระองค์หญิง หม่อมฉันแตกทัพ กำลังถูกล้อมและสิ้นแรงกำลังจะตายอยู่เดี๋ยวนั้น ก็พอดีได้ยินเขาเรียกชื่อหม่อมฉัน ตะโกนให้ตั้งสติไว้ แล้วก็เห็นทหารพระยายมราชที่ตาย เชิญธงบุกเข้ามาช่วย และก็หลวงกลาโหมนั่นเอง อันฝีมือเขาก็ทราบกันอยู่ และหากผิดเป็นผู้อื่นจะช่วยหม่อมฉันก็คงมิรอดแน่ กระทั่งพาหักที่ล้อมข้ามลำน้ำมาแล้ว หม่อมฉันจึงรู้สึกเสียใจในความหลังว่าตัวผิด จึงเล่าเรื่องให้ฟัง แต่หลวงกลาโหมกลับบอกว่าพระองค์หญิงทรงเล่าประทานแล้ว จึงรักน้ำใจที่เขามิได้อาฆาตหม่อมฉันเลย มินึกเลยว่าหลวงกลาโหมจะมีน้ำใจประเสริฐล้นฝีมือเช่นนั้น”

รับสั่งด้วยเสียงเครือว่า

“ฉันอยากร้องให้ เพราะหากทูลกระหม่อมอยู่แล้ว ทหารพระบัณฑูรคงจะเพียบค่าย และจะทรงปีติพระทัยนักที่ได้ทอดพระเนตรฝีมือทหารท่าน”

​“ยอดทหารแล้ว พระองค์หญิง” หลวงภักดีทูลด้วยปีติ ที่เคยริษยาเก่าก่อนก็สิ้นไป “เมื่อเข้าตีทัพมังนรธา หม่อมฉันเห็นไกลๆ ว่าทหารนายธงพระยายมราชหาญนัก เห็นแต่ธงฝ่าศึกแต่เช้าจนใกล้เพลาล่าทัพ กระทั่งเข้ากันพระยายมราช หนีแล้ว เข้าช่วย หม่อมฉันจึงรู้ว่าทหารพระบัณฑูรหลวงกลาโหม หากมิได้เขาแล้ว ยมโดยก็จักต้องเป็นม่ายแน่”

“พิลึก” ข้าหลวงภรรยาหันค้อนและข่วน “เมื่อครั้งโน้น แต่ก่อนสิริษยาสารพัด ทั้งหึงทั้งหวง เพียงเอ่ยชื่อก็ไม่ได้ เดี๋ยวนี้หลวงกลาโหมกลับเป็นเลิศ”

“มันเป็นธรรมดาน่ะ แม่เอ๋ย” หลวงภักดีตอบหัวเราะหึหึ “คนเราเมื่อเป็นศัตรูอยู่ ก็ใครเล่าจะยอมใคร”

พระองค์หญิงก็รับสั่งตัดบทขึ้น

“ฉันพลอยเป็นสุขเหลือเกินที่หลวงกลาโหมของทูลกระหม่อมมาดีกับหลวงภักดีได้อย่างไม่คาด”

“รักกันยิ่งชีพเชียวพ่ะย่ะค่ะ”

หลวงภักดีทูลเน้นและซ้ำเล่าอากัปกิริยาของหลวงกลาโหม ทั้งถ้อยคำกล่าวไว้วันนั้น ถวายทุกประการ

แม่ข้าหลวงก็นั่งปีติ และด้วยความดีของชู้เก่านั้น แม้สามีซึ่งไม่ได้รักก็พลอยเกิดน้ำใจรักเพราะชายเขารักกันแล้ว

แต่พระองค์หญิงท่านกลับทรงเศร้าหมอง ด้วยพระปัญญานั้นหยั่งไกลและลึกซึ้งไปว่า เมื่อการถึงกระนี้แล้ว ต่อไปเบื้องหน้าไหนเลย หลวงกลาโหมจะยับยั้งเป็นบุรุษผู้ครองเรือนอีก ด้วยใจสันโดษแล้วสิ้นจะหวังและอาลัยแก่ลาภยศและทรัพย์สมบัติ แล้วก็จะเตลิดไปเสียประการหนึ่งเมื่อสิ้นศึก และหากเกิดศึกก็จะหนักไหนอาสานั้น ไม่ห่วงใยแก่ชีวิตตัว จึงพลอยหนักพระทัยและเศร้าไปล้นเหลือ

จนล่วงเพลา ๔ ทุ่ม พระจันทร์ยิ่งแจ่มนัก และก็เป็นยามชุลมุนด้วยการภายใน หลวงภักดีเมื่อเฝ้ากรมหมื่นแล้วก็จักต้องรีบเข้าวังหลวงเพราะเป็นชาวตำรวจ ก็ตระเตรียมจะทูลลา ครู่นั้น ข้าหลวงบนพระตำหนักก็เข้ามาทูลพระองค์หญิง และชี้ไปที่คนตะคุ่มแฝงเงาพระจันทร์อยู่ ทูลว่า

​“เขาให้มาทูลพระองค์หญิงว่า เสด็จในกรมสั่งให้มาคอยเฝ้าสักครู่จะเสด็จกลับ แต่จะเลยขอเฝ้าพระองค์หญิงก่อน”

ทรงทอดพระเนตรร่างคนที่อยู่ในเงามืด ยังทรงจำไม่ได้ ก็รับสั่งถามข้าหลวงว่า

“ใครล่ะ เขาชื่อไร”

“เขาบอกว่า ชื่อเดือนเพคะ”

จึงเอะอะขึ้น พร้อมกับตะโกนชื่อหลวงกลาโหม ส่วนสามีของแม่ข้าหลวงยมโดยนั้น ด้วยความปีติก็ออกวิ่งตรงไปถึง

“พี่หลวง โธ่ คิดถึง”

หลวงภักดีเรียกเต็มปากสนิทใจ

“คิดถึงมากเหมือนกัน หลวงภักดี เป็นห่วงเหลือเกิน” หลวงกลาโหมกอดคอพูด ทั้งตอบถามด้วยอารมณ์ผู้ใหญ่ “จำไม่ได้เลย หายดีแล้วหรือ หลวงภักดี”

“หายสนิทแล้ว ดีใจจริงๆ ที่รู้ว่าพี่ชายฉันกลับได้ยศศักดิ์เป็นหลวงเช่นเดิม ยังไงบ้างที่อาสา”

“ตามเขาไม่ทัน พอทัพเราถึงตาก ทัพพม่าก็ถึงด่านแม่ละเมาเสียแล้ว”

“ไปเฝ้าเถิด กำลังรับสั่งถึงอยู่เดี๋ยวนี้ ยมโดยก็คิดถึง กำลังคอยอยู่”

“เอ๊ะ มาเฝ้าด้วยรึ”

เดือนใจหาย เพราะความตั้งใจของเดือนนั้น คิดไว้ว่า ตลอดสิ้นชาตินี้มิอยากให้นางข้าหลวงได้เห็นหน้ากันอีกเลย

“ไปเถอะน่ะ พี่หลวงเอ๋ย นี่ฉันกำลังทูลลาอยู่แล้ว เพราะจะต้องเข้าวัง ๕ ทุ่ม ก็พอดีมา ไปเถอะ”

แล้วสองชายก็ประคองไหล่กันมา ทะนงองอาจของทหารเอกพระบัณฑูรนั้น ดุจพี่ชายที่กอดคอน้องด้วยเมตตารักใคร่ กระทั่งถึงยมโดย แม่นั่งโฉมหน้ารับแสงเดือน แต่พอเห็นเข้าก็ปีติน้ำใจนัก แม่กลั้นแล้วก็มิวายจักสะอื้น กรากมาจะกราบ

“ไม่เอา ยมโดย” เดือนรีบคุกเข่าประคอง นั่งสนทนากันแต่โดยดีเถิด นิ่งเสีย อย่าร้องไห้”

“คิดถึงพี่เดือน และดีใจมาก”

แม่ข้าหลวงตอบเสียงสะอื้น

​“ขอบใจนัก ยมโดยเอ๋ย พี่ก็เพิ่งกลับมาถึงวานซืนนี้เอง พักอยู่บ้านท่านพระยายมราช นี่กรมหมื่นรับสั่งให้มาเฝ้า จะเสด็จกลับสองยาม”

แล้วข้าทหารสมเด็จพระบัณฑูรก็คลานเข้าไปหาพระองค์หญิง ถวายบังคมท่าน

ทรงเมินพระพักตร์เหมือนจะซ่อนเสียบางอย่างในพระนคร แล้วจึงหันกลับ ถึงจะฝืนนัก แล้วรับสั่งก็มิวายจะสั่นเครือ

“คิดถึงหลวงกลาโหม ได้ข่าวจากหลวงภักดีสิ้นแล้ว หญิงนี้ดีใจแทน และคิดถึงทูลกระหม่อมว่า หากทรงชีพอยู่แล้ว คงตบหัตถ์รับทหารพระบัณฑูรเป็นแน่”

“ก็เพราะบารมีหรอก องค์หญิง” เดือนทูลตามทางสมควร “หม่อมฉันระลึกบารมีทูลกระหม่อมและชาติบ้านเกิดเป็นกำลังตัวเข้าทำศึกเท่านั้นเอง”

แล้วจึงถอยมานั่งเคียงกับหลวงภักดี ระหว่างสามีและภรรยานั้น แม้จะมิตั้งใจเหลียวก็อดเหลียวไม่ได้ อดสังเกตลอบดูไม่ได้ ลางครั้งลางทีก็พบแววตาเข้าจัง และจะเอ่ยพูดแก่กันได้ก็ด้วยเฉพาะแต่ดวงใจเท่านั้น เพราะเสมือนน้ำท่วมปากแล้ว ถึงจะคุยกันได้ก็แต่เพียงเล็กน้อยเกี่ยวแก่เรื่องไปทัพจับศึก ข้างฝ่ายหลวงภักดีก็รู้เชิงอยู่ และชวนจะพูดให้เกิดสนุก ทั้งเย้าภรรยากับเดือนเรื่องรักใคร่เป็นชู้เก่ากันโดยมิรังเกียจสนิทใจ จนเดือนพลอยสนุกและรักนิสัยน้ำใจหลวงภักดีขึ้นอีกมากมาย

พระองค์หญิงซึ่งทรงได้รู้เห็นความหลังมานานตลอดมา ก็พลอยทรงพระสรวลสนุกขึ้นบ้าง ข้าหลวงเก่าก็ยิ่งอับอายจนเคืองสามี ก็บอกกับเดือนว่า

“ฉันจะบอกพี่เดือนให้รู้ตัว ทำใจดีไปยังงั้นแหละ พอกลับบ้านเถอะ เอ่ยชื่อพี่เดือนก็ไม่ได้”

“ใครบอก” หลวงภักดีชะโงกหน้าหัวเราะมาทางภรรยา แล้วก็พูดความจริงกับเดือนบ้าง “เมื่อแต่แรกก็จริงละซี แน่ะ ฉันจะบอกกับพี่หลวงสักอย่าง เป็นเรื่องจริงๆ คือว่าคนนอนหลับละเมอ แต่เมื่อแรกแต่งงานกันใหม่ พอพลิกตัวกระทบ เป็นเรียกพี่เดือนทุกคำ อ้ายฉันก็กลุ้มเหมือนจะตาย”

“มุสา”

“ไม่มุสาละ จริงเชียว” หลวงภักดียืนยัน และก็ขยายต่อไปอีก “โอย เพลงยาวนั่นเขียนไว้สัก ๒๐ เห็นจะได้กระมัง ขอลาแล้วขอลาก่อน โดยสารพัด​จะครวญ”

“หยุดที” ยมโดยผ่านหน้าเดือนมาอุดปาก “งัดอะไรขึ้นมาไม่เห็นเข้าหูคน”

เดือนครางฮึม จะจริงเท็จของหลวงภักดีก็รู้ไม่ได้ แต่ที่ตัวได้รู้นั้น ฝีปากเพลงยาวของนายข้าหลวงนี้กระบวนครวญเป็นเอก ก็พูดหน้าเฉยกับหลวงภักดี

“ฝีปากดีทีเดียว กระบวนครวญแล้ว ฉันอ่าน เคยร้องไห้หลายหน”

“พากันบ้าไปเสียหมดแล้ว” ยมโดยอึงด้วยเกิดโทสะ ทั้งขบขันแล้วก็ร้องไห้ “ทั้ง ๒ คนน่ะแหละ อย่าอวดดี พี่เดือนก็เคยมีแผลอยู่นะจะบอกให้ ยิ่งหลวงภักดีก็แผลเบ้อเร่อเชียว ขืนอวดดีจะขยายขึ้นมั่ง”

สามียื่นหน้ามา

“บอกหน่อยเถอะ แม่เอ๋ย ไหนฉันทำผิดคิดร้ายอะไรแน่”

“ฉันก็เหมือนกัน”

พระองค์หญิงผู้เป็นประธานก็รับสั่งว่า

“ฉันอยากฟัง ยมโดยอย่าแพ้เขานะ”

นางข้าหลวงสิ้นโทโสแล้วหัวเราะคิก ชี้ที่เดือน

“คนนี้แต่งไม่เป็น แอบลอกกาพย์โคลงข้างพระที่ทูลกระหม่อมมาเกี้ยวแล้วบอกของตัวเอง กระทั่งทูลกระหม่อมรับสั่งให้อาลักษณ์อ่านประทานข้าหลวง ถึงจับได้ว่าขโมยฝีพระโอษฐ์ แล้วโน่น...” ยมโดยชี้เฉียดหน้าหลวงภักดี “เมื่อคุมพระตำรวจไปจับ พอต่อหน้าคนก็วางอำนาจใหญ่โต เราสิ นึกว่าชีวิตมิรอดแล้ว แต่พออีกหน่อย โธ่ คุณหลวงมิน่าเลย มาร้องไห้กราบอยู่บนตักเหมือนกับเด็กๆ จริงไหมล่ะ”

ทรงตบพระหัตถ์และพระสรวลคิก สองชู้ก็จ้องหน้ากัน แล้วหลวงภักดีผู้ไม่อายก็ถามชู้เก่าว่า

“พี่หลวง จริงเขาหรือ”

“จริง รู้กันเกือบทั้งวัง แล้วพ่อหลวงล่ะ”

“ฮือ อ้ายฉันรู้กันสองต่อสอง” หลวงภักดีพูดอ้อมแอ้มแล้วทำสะบัดเสียง “เฮ่ย อายเอยอะไรกันนะ กราบอีกสักคนละร้อยก็ได้”

เดือนร้อง

“เอ๊ะก็ฉันจะได้อะไรด้วยล่ะ”

​“เป็นเพื่อนกันหน่อยซี”

“ม่ายละ ถ้างั้นฉันกราบพระองค์หญิงดีกว่า”

เดือนทูล หวังสนุกมิทันคิด แต่พระองค์หญิงทรงคิดเหมือนผู้อื่น แลตระหนกพระทัย รับสั่งขึ้นอื้ออึง

“ตายจริง หลวงกลาโหมจะกราบกันเหมือนอย่าง...”

“โอ้ หามิได้” เดือนแก้ตัวฉับพลัน ค่อยได้สติ คิดว่าพูดต่อธารกำนัลโดยเผลอสนุกฝ่ายเดียว จึงยกมือไหว้เคารพ “หม่อมฉันขอประทานอภัย เผลอจริงๆ กำลังคุยสนุก เพราะอยู่ๆ หลวงภักดีชวนกันกราบภริยาเขา โดยหม่อมฉันต้องขาดทุนมิได้อะไรเลย จึงตอบว่ากราบพระองค์หญิงมิเหมาะกว่าหรือ ด้วยเป็นเจ้านาย”

ท่านแย้มพระสรวลไม่สู้สนิท แล้วก็ชวนกันเกลื่อนหายไปเอง

พระจันทร์เข้าเมฆสักครู่ก็กระจ่างอีก และล่วง ๕ ทุ่มมานานแล้ว

นางข้าหลวงจึงเตือนให้ทูลลากลับ เพราะต้องถึงเวรเข้าพระราชวัง เดือนก็เดินมาส่งสองสามีภริยา กระทั่งพ้นประตูแล้วก็หวนกลับไปเฝ้า แต่ก็มิเห็นพระองค์ท่าน ณ ที่เคยประทับเสียแล้ว ก็ประหลาดใจ เดือนจะกู่หาเรียกทูลเล่า เขตวังก็จะอื้ออึงเป็นผิดมิสมควร จึงได้แต่ต้องมองเสาะหาเท่าไรก็มิพบ กระทั่งฉงนใจว่าหรือจะกริ้วด้วยสถานใด หรือทรงขัดเคืองว่าละพระองค์ท่านไปส่งยมโดยกับสามีเขาเสีย กระทั่งนางหนึ่งเป็นข้าหลวงจากพระตำหนักน้อยข้างหลังเดินมาบอกแก่หลวงกลาโหมด้วยนอบน้อมว่า

“มีรับสั่งเชิญท่านหลวง ข้างหน้าพระตำหนักใต้ต้นจันทน์โน้น”

เดือนพยักหน้า ใจที่หายกลับมาสู่ดังเดิม

“ประทับหน้าพระตำหนักหรือ ขอบใจ อุตส่าห์ลำบากมาตามถึงที่นี่ ฉันจะไปเฝ้าเดี๋ยวนี้แหละ”

แล้วเดือนทหารเรืองฝีมือ จึงออกตามพวกข้าหลวงเดินอ้อมพระตำหนัก หนทางเดินมา แม้จะเป็นทหารช่ำชองแก่ศึกมาหนักแล้ว แต่เดือนก็พิศวงใจตัวว่า นี่เป็นด้วยประการใดเล่า ยิ่งใกล้จะลุพระตำหนัก แลเห็นองค์ตะคุ่มรำไร ด้วยแสงอันทร์และร่มไม้ใบจันทน์อยู่โน้น เดือนก็ยิ่งประหม่ายิ่งกว่าจะเข้าประหารศึกใหญ่นับหมื่น นางข้าหลวงก็เข้าไปทูลให้รู้องค์ก่อน แล้วแยกขึ้นพระตำหนัก และทรงกวักหัตถ์อนุญาตเฝ้า ทหารหนุ่มก็ประหม่าลนลานจน​แปลกใจตัวเองนัก

พระองค์หญิงทรงเปลี่ยนที่ประทับนี้เสียฉับพลัน มิใช่เห็นเป็นการสนุก แต่ด้วยพระสติรอบคอบเกรงแก่ข้อครหาที่จะประทับกลางสวนแก่ออกหลวงหนุ่มแต่เพียงสองเท่านั้น จึงรีบเสด็จมา พระทัยท่านแม้เป็นสุขอยู่ที่เห็นออกเดือนยอดทหารกับสามีนางข้าหลวงนั้นกลับรักใคร่กันจริงก็ตาม แต่พระวิตกอีกอย่างหนึ่งก็ยังประจำอยู่ เกรงอยู่เสมอว่า นับแต่นี้สืบไปทหารพระบัณฑูรคงจะไม่อยู่ติดเมืองแน่ กระทั่งนางข้าหลวงมาทูลและกวักหัตถ์ ชำเลืองพระเนตร ทอดพระเนตรเห็นร่างทะนงองอาจนั้นเดินยับยั้งแช่มช้ากระทั่งถึง

“หม่อมฉันเที่ยวตามเฝ้าจนเกือบทั่วสวนแล้ว” เดือนทรุดตัวนั่งในที่ต่ำซึ่งปูลาดด้วยเสื่อเตรียมไว้แล้ว จึงทูลต่อ “นึกว่ากริ้วหม่อมฉัน และเสด็จหนีบรรทมเสียอีก”

“หญิงมีเรื่องอะไรจะโกรธหลวงกลาโหมเล่า” รับสั่งย้อนถามแต่เสียงสรวลนั้นพร่าๆ “ที่โน่น ลมแรงนัก และกลางน้ำค้าง กลัวจะไม่สบายอีก”

“เอ๊ะ เคยประชวรมาแล้วหรือ”

“เพิ่งจะหายน่ะ หลวงกลาโหม” ท่านรับสั่งเป็นจริงเป็นจัง และทรงเล่าถึงที่ประชวรไข้มาแต่ก่อน และเพิ่งหายสักเจ็ดแปดวันให้เดือนฟัง แต่การที่จะเปลี่ยนพระทัยมาประทับตรงนี้เพราะสาเหตุใดไม่ทรงเล่า แลซ้ำเสถามถึงแต่เรื่องไปศึกว่า “หญิงได้ข่าวว่าพ่อเดือนมีความชอบในศึกมาก และโปรดพระราชทานคืนยศให้ ก็ดีใจแทน แล้วไม่ต้องอาวุธเจ็บบ้างเลยหรือ”

“ก็มีบ้างพ่ะย่ะค่ะ แต่เพราะบารมีเจ้าชีวิตและชาติบ้านเกิดจึงแคล้วคลาดไป อนึ่ง หม่อมฉันก็รำลึกเสมอในบารมีพระบัณฑูรท่านและองค์หญิง”

รับสั่งล้อว่า

“ผิด หญิงไม่เคยเอาใจช่วยเดือนเลย”

หลวงกลาโหมกระเถิบเข้าไปใกล้ ถึงจะแสนประหม่าด้วยบารมี แต่หัวใจหนึ่งก็อยากจะเฝ้าให้ชิดพระองค์นักหนาแม้จะเพียงพระบาท

“มิน่าเล่า หม่อมฉันอ้ายเดือนจึงหวิดจะมิรอด แต่ถ้ารู้ว่าทรงหมดเมตตาฉะนี้แล้ว หม่อมฉันก็จะยืนนิ่งให้พม่าฟันเล่น มิขอรบเลย”

“เพราะอะไรไม่ทราบ”

​“พระองค์หญิงมิได้ใฝ่พระทัยช่วยมหาดเล็กน่ะซี” เดือนทูลตรงๆ “หรือขัดพระทัยว่า เมื่อมาถึงสักครู่ก็มิได้กราบพระเพลา”

“พิลึกใหญ่” รับสั่ง ละอายพระทัย แล้วทรงชี้พระดัชนีมาจดฝีปากเจ้าออกหลวงหนุ่ม “เมื่อสักครู่ก็พูดต่อหน้าหลวงภักดีหนหนึ่งแล้ว รู้ไหม ถามจริงๆเถอะ นี่พ่อเดือนจะมาซ้อมฝีปากกับหญิง ประสงค์สิ่งใด”

“อย่าเพิ่งกริ้ว” เดือนประนมมือ “ หม่อมฉันพูดเพราะหวังพระคุณที่เคยเคารพมากกว่า และก็เคยกราบมาจริงๆ ”

“เมื่อไรกัน ที่ไหนยะ”

“ที่นี่ ตรงนี้แหละพ่ะย่ะค่ะ” ออกหลวงหนุ่มยอดฝีมือตบไม้พื้นข้างที่ประทับ “เมื่อวันก่อนที่มาทูลลาไปศึก คงจะลืมเสียกระมัง หม่อมฉันกราบลาพระเพลาจริงๆ”

“น่าไม่อาย กราบตักผู้หญิง นี่หรือทหารกล้าพระบัณฑูร เที่ยวประพฤติแอบกราบผู้หญิงอย่างนี้เองหรอกหรือ”

“เฉพาะพระองค์หนึ่งในโลกนี้เท่านั้นเอง หม่อมฉันจะซบศีรษะให้”

แล้วก็กระเถิบอีก เดือนกระเถิบจนชิดพื้นอันล้อมโคนต้นจันทน์ใกล้พระองค์หญิงท่านจักทรงถอย แต่ก็เชิญข้อพระบาทไว้ ทูลว่า “แม้อ้ายเดือนทรงฤทธิ์ดังกระบี่หนุมานแล้ว อย่าว่าแต่เพียงซบเศียรเลย เมื่อเกิดภัยยุคเข็ญก็จะเชิญเสด็จขึ้นเหนือเศียร ประหนึ่งอัญเชิญองค์สีดา”

“แล้วจะไปส่งพระรามที่ไหน” รับสั่งเย้า น้ำเสียงสั่น “พระรามของฉันอยู่ที่ไหนกันล่ะ”

“ขอให้มีแต่เดือน ทหารสีดาเถิด พระรามหรือพระองค์ชายองค์นั้น ขออย่าจุติมาเลย”

“อิจฉาเขาละซี”

รับสั่งแล้วรั้งข้อพระบาทคืน ทรงประหวั่นพระทัยอย่างประหลาด ฝ่ามือทหารซึ่งเคยจับดาบสังหารศึกนั้น เสมือนจะบีบดวงพระทัยท่านเพียงกำข้อพระบาทไว้ จึงทรงตระหนักแล้วเป็นที่ยิ่งว่าพระองค์ประสูติมาผิด ทรงเชื้อขัตติยะอันประเสริฐก็จริง แต่ก็เพียงศักดิ์ราชตระกูลเท่านั้น ส่วนอื่นที่เป็นสิ่งคับแค้น มิเสมอหน้าเหล่าญาติวงศ์ก็มิสูงกว่าสามัญชนสักเท่าใดนัก ก็เศร้าพระทัย จันทร์จากห้วงเมฆออกพ้นดวงลอดร่่มไม้จันทน์กระจ่างต้องเต็มพระพักตร์

​เดือนก็ทูลบ่นพึมพำอยู่ว่าที่รับสั่งว่า อิจฉานั้น แต่นี้ต่อไปก็จะต้องประพฤติตัวเป็นผู้อิจฉาให้สมรับสั่ง สองมือเสียดสีประหนึ่งจะปัดฝุ่นมิให้ติดเปื้อนบาทท่านเลยแม้แต่เมล็ดเดียว จนสุดท้ายก็รับสั่งบ่นว่า

“ง่วงนอน ตั้งแต่ฉันหายเจ็บแล้ว อดนอนไม่ทนเลย”

หลวงกลาโหมก็เหงาลงถนัด ทูลด้วยเสียงแห้งๆ

“หม่อมฉันแสนจะเสียดาย อยากจะตามพระทัยเหลือเกิน แต่จะประทับต่อไปอีกเพียงสักครู่ไม่ได้หรือ”

“อ๋อ ไม่เป็นไรหรอก” รับสั่งแข็งแรง “ถ้าง่วง ฉันนอนที่นี่ก็ได้ ดูเดือนเพลินๆ พอง่วงจักขึ้นพระตำหนัก”

“หม่อมฉันจะเล่านิทานถวาย”

“โอ๊ย หญิงมิใช่เด็ก ถึงเมื่อเป็นเด็กก็ไม่ชอบฟังนิทาน แต่จะบรรทมกล่อม”

แล้วก็แย้มพระสรวล ทอดพระเนตรเจ้าออกหลวงหนุ่มที่ประจบหนักหนา ทั้งถวายอยู่แต่งานบีบนวดอยู่เพียงพระบาท

“เมื่อเยาว์ ทรงพระอู่มีคนเห่ ถึงได้โปรดเห่” เดือนทูลขึ้นลอยๆ และก็รับขันอาสา “แต่ถ้าต้องพระประสงค์แล้ว หม่อมฉันก็เห่ถวายได้เหมือนกัน”

ทรงพระสรวลกิ๊ก ขบขัน แล้วจึงอ้างนางข้าหลวงที่ขยายขึ้น

“แต่มิใช่ว่าเพลงยาวของทูลกระหม่อม แล้วบอกว่าแต่งเองนะจ๊ะ พ่อเดือน”

เขาหัวเราะ นึกอายและบ่นนางข้าหลวงที่ไขความจริง แล้วทูลว่า

“เปล่าพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันจำไว้เมื่อต้องประสงค์ก็จะเห่ถวาย จะทรงบรรทมหรือยัง หรือจะอ่านกาพย์ตาม ยามฆ้องตีห้าและย่ำรุ่งก่อน”

“อย่าเลย ฟื้นมาพูดอีกแล้ว” รับสั่งกระเง้า และลงพระอาญา “ปากนี้ไม่สมฝีมือทหารเลย หัดฝีปากเหมาะแต่จะริเป็นกวี พ่อเดือนกล่อมหญิงได้หรือ”

“ได้ตามสติกำลังพ่ะย่ะค่ะ”

ทรงตกลงและรับสั่งว่า

“ตั้งแต่สิ้นพระบารมีแล้ว เสียงเห่พระหน่อและพระโอรสธิดาก็ไม่ได้ยินนานแล้ว เอาละ หญิงจะเอนลงบนไม้จันทน์ดูเดือน เดือนเห่ไปเถิด ถ้าหลับได้จะให้รางวัล”

​“โอ้ องค์หญิง เสียงทหารเคยคำรามศึก ไฉนเล่าจะเห่ได้ถึงทรงบรรทมสนิท สักแต่พอเป็นราชการเถิด แต่หม่อมฉันอยากจะอ่านกาพย์ถาายเสียก่อน”

ก็พอเสียงฆ้องขาน ๕ ทุ่ม เพราะแก่ค่ำ เดือนจึงทูลว่า

“แน่ ทรงฟัง ๕ ทุ่ม พอดีเชียว”

“ลองดูก็ได้ แม่นหรือ”

“แม่นยำพ่ะย่ะค่ะ”

แล้วเดือนก็ขึ้นเสียงอ่านกาพย์และทำนองถวายเบาๆ ทั้งโคลงที่กาพย์ห่อ

“๏ เพลาห้าหึ่งทุ่ม   คือเพลิงรุมสุมกลางใจ
ร้อนเทียมเรียมร้อนไฟ   อีกหนามรุมกลุ้มเสียบทรวงฯ

๏ เพลาห้าทุ่มนี่   คนึงใน
เพลิงผ่าวเผาดวงใจ   คลั่งคลุ้ม
ร้อนเรียมเทียมร้อนไฟ   ลมล่าว
อีกหนามหนามากลุ้ม   เสียบไส้ในทรวงฯ”

รับสั่งว่า

“อ้าว อ่านกาพย์ห่อโคลงทำไมต้องอิงด้วย เถอะ หญิงจะนอนฟังเห่ดีกว่า”

แล้วออกหลวงหนุ่มจึงเงยดูพระพักตร์แหงนรับเดือน พระปรางและราศีปราศจากพระอัศสิวฝ้าดูจะทรงสำราญอยู่ จึงขยับกายใกล้ ประคองพระบาทพระองค์หญิง แล้วขึ้นสำเนียงเห่

๏ เห่เอยพระโฉมเถิด   ดังแก้วเกิดกลายปทุม
เทพชวนกันชุมนุม   ประชุมเชิญจุติมา
จากทิพย์พิมารทอง   อันเรืองรองรจนา
เอาเอกองค์ชายา   นารีเลิศประเสริฐกรมฯ

๏ พระกรรณเกษเนตรขนง   พระวรองค์ก็งามสม
ดังช่างเกลากลึงกลม   ประสงค์สมในรำทรง
เชิญเถิดพระหน่อนาถ   ไสยาสน์หลับพระเนตรลง
ข้าบาทประยูรวงศ์   ประจงกล่อมถนอมนวลฯ

๏ ไร้นางสนมและพี่เลี้ยง   ประคองเคียงให้เรรวน
บรรทมเถิดพระทรามสงวน   เวลาก็จวนจะลาไป
อย่าทรงเพลินให้ล่วงเวลา   เชิญนิทราสำราญพระทัย
ให้แคล้วคลาดนิราศภัย   พระชนม์ได้สักร้อยเอยฯ
พอขาดเสียงเห่ของออกหลวงหนุ่ม พระองค์หญิงก็ตั้งพระองค์ชะเง้อดู

“พ่อเดือนนี่สำคัญนักทีเดียว”

“เหตุใดพ่ะย่ะค่ะ”

“หลอกหญิงน่ะซี” ท่านรับสั่งเสียงเครือๆ จนแปลกใจเดือน และทรงชี้แจงว่า “หญิงจำได้ว่าเปลี่ยนเสียหลายตอน เช่น ทั้งนางนมและพี่เลี้ยง พ่อเดือนก็เปลี่ยนเป็นไร้นางสนมและพี่เลี้ยง และอื่นๆ แต่ก็จริง ถูกของพ่อเดือน”

แล้วออกหลวงหนุ่มกลับทูลบ้าง เศร้าๆ

“หม่อมฉันเห่พระองค์หญิง เมื่อยามยากก็ต้องว่า ไร้นางนมและพี่เลี้ยง และเปลี่ยนอื่นๆ เป็ฯข้าบาท”

ทรงถอนพระทัยระลึกถึงความหลัง แล้วก็อิงไม้จันทน์แหงนพักตร์รับแสงเดือนที่หมดเมฆ ทั้งกำลังทรงกลดเต็มดวง พระเนตรมิสู้จะเบิกปรือ เหมือนทรงรำลึกอย่างไรสักสิ่งหนึ่ง และใกล้บรรทมแล้ว ออกหลวงหนุ่มผู้ยอดทหารจึงขึ้นบทเห่ถวายอีก

๏ เห่เอยพระจันทร์เพ็ญ   ดูปลั่งเปล่งวิมลโฉม
เคลื่อนคล้อยลอยโพยม   ดูน่าประโลมละลานใจ
ทรงกลดดูหมดเมฆ   และวิเวกนภาลัย
ยามเพลินเจริญใจ   จะหายไปกับนัยนาฯ

๏ ดูดวงเดือนก็เลื่อนลอย   แช่มช้อยดังเลขา
ดูน่ารักลักษณา   พระจันทราช่างงามจริง
ด้วยเดือนช่างเหมือนพักตร์   นรลักษณ์พระองค์หญิง
พริ้มเพริศประเสริฐยิ่ง   น่าประวิงใจข้าเอยฯ

เมื่อสิ้นเสียง ออกหลวงหนุ่มก็ซบหน้าลงสู่พระชานุองค์หญิง ๒ แขนก็โอบห้อมบั้นเอว พระองค์หญิงเล่าก็น้ำพระเนตรคลอ ประทับเฉยอยู่เป็นดุษณี ฉันท์เห่บทสุดท้ายทำให้กังวลพระทัยนัก กังวลด้วยออกหลวงหนุ่มช่างจดจำและเลือกเฉพาะบทที่ตรงแก่การเปรียบเทียบจันทร์ อันเหมือนพักตร์พระองค์ และน้ำใจตัว

​“โธ่เอ๋ย หลวงกลาโหม” ท่านทรงข้อนหน้าออกหลวงหนุ่มโดยรู้สึกพระองค์ รับสั่งสะอื้น “พ่อหลวงกลาโหม อย่าให้ฉันหม่นหมองเลย พ่อหลวงก็เป็นทหารพระบัณฑูรมาเสียเองกระนี้ หากรู้ไปถึงไหน ตายน่ะ ช่างเถิด แต่มิอายเขาแย่หรือ”

“ก็ปลงใจอ้ายเดือนแล้ว ถวายชีวิตแก่ฝ่าพระบาทพระองค์ หญิง” เดือนทูลเน้นถ้อยคำ “หม่อมฉันผิดเพราะใฝ่สูง ก็จะก้มหน้าตาย”

“แต่คิดถึงหญิงบ้าง” รับสั่งเมินๆ และด้วยมีเผ่าขัตติยะมานะ จึงรับสั่งตัดพ้อ “ฉันไว้ใจออกหลวง วางใจแก่พ่อเดือนสนิทแล้วทุกสถาน นึกเสียว่าแม้จะสิ้นบารมีทูลกระหม่อม แต่ทหารท่านยังอยู่ ทหารสมเด็จพระบัณฑูรกตัญญูต่อฉัน ก็ค่อยอุ่นใจ เพราะทุกวันนี้หญิงเหมือนตัวคนเดียว เมื่อพ่อเดือนมาแกล้งเช่นนี้ หญิงก็อาย แล้วจะหันหน้าไปพึ่งใครอีก”

แล้วก็ทรงกันแสง แต่จะด้วยแค้นเสียดายศักดิ์ หรือประการไฉนนั้น ก็มิอาจเข้าใจได้ หลวงกลาโหมก็ตกใจยิ่ง แค้นตัวที่เผลอไผลล่วงเกินองค์ท่าน ในชั่วขณะน้ำใจหนึ่งที่มืดมน จึงลุกขึ้นยืนถอดดาบไปคุกเข่าถวาย

“นี่ดาบพระบัณฑูร หม่อมฉันทรยศพระเกียรติท่านแล้ว หลู่พระเกียรติองค์หญิงแล้วด้วยความเขลา จงลงพระอาญาเถิด ด้วยอื่นก็มิเสมอเหมือนพระแสงที่ทูลกระหม่อมประทาน”

แล้วจึงวางไว้เหนือพระเพลาองค์หญิง กลับทรงกันแสงใหญ่ ทอดพระเนตรออกหลวงหนุ่มผู้ประนมมือคุกเข่าอยู่เบื้องพระพักตร์เล่า ยากจะรับสั่งด้วยสิ่งใด จับดาบนั้นชูขึ้น รับสั่งทั้งที่ทรงกันแสง

“หญิงอยากจะฆ่าตัวตายเสียเอง”

“พระองค์หญิง” เดือนตกใจ โดดเข้าคว้าแย่งดาบมา “แล้วกันซิพระองค์ ความผิดเป็นของอ้ายเดือนที่ก่อไว้ และพระองค์หญิงท่านเหลือแค้นแต่อ้ายเดือน ถึงกับจะทำลายชีพพระองค์เอง พุทโธ่”

แล้วออกหลวงหนุ่มก็ก้มลงกราบใกล้ที่ประทับ วิงวอนขอประทานอภัย พระองค์ท่านก็ทรงกันแสงสะอื้นอยู่ มิอาจรับสั่งคำใดได้

“หญิงไม่สบายแล้ว หลวงกลาโหม หนาวเหมือนจะเป็นไข้ หรือไข้กลับ สอดดาบเก็บเสียเถิด แล้วไปส่งหญิงสักหน่อย”

เดือนก็ลนลานสอดดาบ นึกตำหนิตัว ทรุดถวายบังคมแล้วทูลเชิญ

​“เสด็จเถิด พระองค์หญิง หากทรงพระดำเนินมิได้ หม่อมฉันขอถวายตัวเป็นพาหนะ”

“พอเดินเกาะไปได้ดอก พ่อเดือน”

“แต่ขออย่าทรงกันแสงเลย หม่อมฉันจะตัดหัวหม่อมฉันเองหากประชวรและพระกันแสงนี้ช้ำพระทัยเพราะอ้ายเดือน”

พระวรกายซวนถลามา จนเดือนต้องเข้าถวายประคอง แล้วรับสั่งค่อยๆ สุรเสียงแหบเครือ

“พ่อเดือนน้อยใจหญิงหรือ ที่ว่าพ่อเดือน โธ่เอ๋ย ยอดทหารของทูลกระหม่อม โธ่ ทหารพระบัณฑูร ฉันนี้เกิดมาเป็นพระองค์หญิงนั้น ผิดชาติแล้ว พ่อเดือนไปตรองดูแล้วอย่าน้อยใจฉัน”

ทหารกล้าพระบัณฑูรกลับทรุดกายลง เสียน้ำตา ประนมมือถวายบังคม โอบบั้นเอวพระองค์ท่าน ลูบเลื่อนมาประทับห้อยพระบาทอยู่ จึงเชิญพระบาทหนึ่งไว้บนฝ่ามือ

“พระองค์หญิง บัดนี้มอญเป็นกบฏแล้ว” เขาทูลลอยๆ หามีเหตุมีผลกับเรื่องไม่ แล้วทูลต่อไปว่า “เดือนมาวันนี้ก็มิทราบเลยว่าการจะเปลี่ยนไป แต่เมื่อการมาเปลี่ยน อ้ายเดือนจะทูลลาไปปราบกบฏประการหนึ่ง เสด็จในกรมหมื่นเทพพิพิธก็ประทับอยู่หัวเมือง หากสิ้นศึกกบฏ แม้หม่อมฉันมิได้เฝ้าพระองค์ท่าน อ้ายเดือนก็จะทูลลาออกไปพ้นกรุงศรีอยุธยาตั้งแต่มะรืนนี้ หม่อมฉันตระหนักน้ำพระทัยแล้ว องค์หญิงเอ๋ย พระบาทองค์หญิงแม้จะมิได้เชิญอยู่อีกในต่อไป แต่สองพระบาทนี้จะแทรกหัวใจอ้ายเดือนตลอดชีพ แม้จะอยู่ห่างศรีอยุธยาไกลแสนไกล”

สองหัตถ์ก็ปิดพระพักตร์กันแสง เมื่อออกหลวงหนุ่มซบหน้าลงสู่พระบาท แม้จักนองน้ำตาก็รู้สึกพระองค์ท่านว่า ได้นิ่งประทานสองบาทนั้นเป็นเครื่องบูชาหัวใจชาย แม้มิใช่เชื้อพระองค์อันสมควรแก่ศักดิ์ท่าน แต่ชายยอดทหารพระบัณฑูร อันเป็นชาติชาตรีก็เทิดขึ้นจูบ เดือนรู้พระทัยว่า เผ่าขัตติยะมานะย่อมสงวนศักดิ์และเกียรติอันตราไว้เป็นพระมนเทียรบาลซึ่งขวางอยู่ดุจแผ่นดิน มิอาจเอื้อมสูงถึงชั้นสวรรค์ช่อฟ้าได้ด้วยราชตระกูลเป็นใหญ่

จนสุดเวทนาแล้ว พระองค์หญิงก็ก้มลงประทานพระหัตถ์ให้ ทรงกันแสงมิหยุดหย่อน เมื่อเดือนถวายรัก จูบถนอมฝ่าพระหัตถ์นั้นแล้ว ก็เทิดทูนไว้สูงสุด

​“หม่อมฉันเกิดมานี่ประเสริฐแล้ว” เดือนทูลเสียงสะอื้น “เพียงเท่านั้นเอง อ้ายเดือนก็จะทูลลาไปให้พ้นพระเนตรได้ ตายเดี๋ยวนี้หรือเมื่อไหร่ข้างหน้า ก็เต็มใจตาย เชิญเสด็จสู่บรรทมเถิด”

รับสั่งเป็นปัญหาเมื่อทรงลุกยืน

“เดือนเอ๋ย ทหารทูลกระหม่อมของหญิงเอ๋ย จะพ้นราชอาณาจักรไทยนั้น ช่างมิคิดหรือว่า ศรีอยุธยากำลังวุ่นทั้งศึกนอกและศึกใน ถึงทหารสักร้อยหมื่นจักล้อมหญิงอยู่ ก็มิอุ่นใจเสมือนแขนของทหารพระบัณฑูร”

เดือนก็ร้องไห้ ครั้งแรกหนหนึ่งเท่านั้นที่หลวงกลาโหมทหารยอดฝีมือต้องร้องไห้ ทูลว่า

“ขืนอยู่ก็ตายด้วยราชอาญา องค์หญิงของหม่อมฉันก็จะเสียพระเกียรติ แลจักเสื่อมตลอดถึงพระบัณฑูรผู้ทิวงคตมิทรงทราบเรื่อง อ้ายเดือนนี่ก็สุดจะทนอยู่ ขืนอยู่ ชีวิตตัวก็จะต้องตายด้วยความรัก คนรักก็จะพินาศพระเกียรติเพราะเวทนาหม่อมฉัน แต่ที่ทรงเกรงศึกอื่นหรือวุ่นจลาจลนั้น แม้อ้ายเดือนจักอยู่ไหน องค์หญิงเอ๋ย อ้ายเดือนนี้ชอบเป็นข้าเจ้าเดียว ให้มันสักสิบแสนมาล้อมศรีอยุธยา หากแม้องค์หญิงประทับอยู่แล้ว เดือนก็จะคุมทัพมาหักหั่นเสียให้พินาศถวายพระขวัญที่ตระหนก หาไม่ก็ยอมตาย”

ทรงกันแสงจนสิ้นพระกำลัง พอก้าวจะทรงพระดำเนินก็ชวนจะล้ม เดือนจึงเข้ารับพระวรกายไว้ พระเนตรหลับสนิท และถอนพระทัยแรง รับสั่งเบาๆ

“พาหญิงไปนอนเถิด ทุกข์เหลือเกินแล้ว พ่อเดือนเอ๋ย ทำไมฉันจะได้ตายเสียเดี๋ยวนี้”

“ถ้าสิ้นพระชนม์ อ้ายเดือนจะเชือดคอตายเหมือนกัน พระองค์หญิงหลับพระเนตรฟังทูลเถิด ชาตินี้กรรมแล้วของเรา หม่อมฉันเคยรักหญิงสนมเป็นเบื้องแรก ก็เสมอดวงใจใฝ่รัก แต่ความรักอันเสมือนแม่ของความรักอื่นนั้นพร้อมอยู่แต่พระองค์หญิง ขอถวายจักแต่เพียงจูบแล้วจักปรับโทษตัวเองด้วยดาบทูลกระหม่อมก็ยอมประทานนะ”

ทรงแย้มพระเนตรมอง หายใจยาวแล้วหลับต่อไปอีก มิรับสั่งประการใดนอกจากทรงผวา เมื่อผู้ใฝ่รักท่านกอดประทับทรง ตลอดพระทรวงกระทั่งปรางระเรื่อนั้น ไฉนเล่าจักว่างเสน่หา ด้วยเหลือรักของทหารพระบัณฑูรได้ ทรงตื่นเต้นทั่วพระรัญจวนอื่นสารพัด พระองค์นั้นประหนึ่งลูกนกห่างรังและตก​ถึงมือพรานบุรุษแล้ว อ้า ราชอาณาจักรศรีอยุธยาช่างแสนสุข ปราสาทราชมนเฑียรอันงามนักที่เปรียบดังวิมานชั้นฟ้า แต่อำนาจของอาณาจักรและมนเทียรบาลนั้นดังหนึ่งจะขับไล่พระองค์หญิงกับยอดทหารหนุ่มให้พ้นไป

แล้วเดือนก็เชิญเสด็จประคององค์ขึ้นสู่พระต๋าหนัก บอกแก่ข้าหลวงให้จัดโอสถประชวร แล้วจึงตามส่งเสด็จกระทั่งประตูห้องบรรทม ขอประทานกระดาษและปากกาออกมาเขียนหนังสือ และพระองค์ท่านให้บรรทมต่อไปโดยสันโดษ

เดือนเขียนแล้วก็ร้องไห้เมื่ออ่านทวน

“พระองค์เอ๋ย แม้จักสุดใจรักของเดือน แต่ก็ต้องทูลลาแล้ว ขืนอยู่ก็จะเป็นบุรุษทรยศด้วยราชอาญา เผ่าราชศักดิ์และศักดิ์ของพระองค์หญิงจักหมองเสียเปล่าแต่เพียงบุรุษทหารพระบัณฑูร จงประทับอยู่ด้วยทรงจำเริญเถิด ทุกอักษรนี้หม่อมฉันเร่งเขียนนัก เพราะน้ำตาเร่งไหลเป็นที่สุดเหลือจะกลั้นได้ อันอักษรที่เลอะนี้ขอให้ใฝ่พระทัยว่าเลอะแล้วด้วยน้ำตาทหารที่ถวายด้วยกตัญญู อันอักษรสีแดงที่วาดถวายเล่า ก็ทรงสังเกตเถิด แม้มิตายจักมีชีวิตอยู่ถึงเฒ่า และนอกราชอาณาจักร เดือนก็มิจืดจางเลย กลิ่นพระภูษาทรงหรือพระฉวีวรรณอันหอมประเสริฐได้ประทานให้แก่หม่อมฉัน พระองค์เอ๋ย จักหอมติดใจจนจบชาตินี้ของเดือน หม่อมฉันขอทูลลา เมื่อตื่น หากทรงสุบินร้ายใดอื่น เดชะบารมีพระบัณฑูร ขอการจากของเดือนนี้จงเป็นการแก้พระสุบินและสะเดาะพระเคราะห์ บรรทมเถิด พระองค์เอ๋ย แม้จักมิทันเห็นกันอีก แต่เมื่อตื่นพระบรรทมแล้ว ก็อย่าทรงกันแสงนัก แม้นเดือนจักอยู่แห่งหนสารทิศใด ก็จะสำนึกตัวเสมอว่าเป็นข้าของพระบัณฑูร แม้ขณะขาดใจก็จะกล่าวพระนามองค์หญิงเป็นที่กำหนดว่าสิ้นชาติของตนแล้ว”

เดือนยื่นอักษรจะถวายนั้นให้แก่ข้าหลวง บังคับคุมให้ไปซุกใต้พระเขนยต่อหน้า แม้จะบรรทมหลับสนิท เดือนก็สู้คลานไปกราบถวายบังคม กายสั่นระริก นึกอยู่ว่า หากตื่นบรรทม พรุ่งนี้ได้เห็นลายอักษรชุบเลือด ได้ทรงอักษรทราบเนื้อความ คงทรงกันแสงหนักหนา หรือถ้าตื่นแต่เดี๋ยวนี้ เผ่าราชศักดิ์จะเป็นที่เสื่อมหมองต่อหน้านางข้าหลวง จึงหักใจคลานถอยกลับมาพ้นห้องบรรทม ลงบันไดเหลียวลาพระตำหนัก ลาต้นจันทน์และแสงเดือนที่ได้เห่ถวายเมื่อสักครู่ แล้วก็มุ่งไปสู่พระตำหนักใหญ่เพื่อคอยเฝ้าเสด็จในกรมหมื่นแต่เพลานั้น

.




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #10 on: 23 October 2025, 15:08:00 »


https://vajirayana.org/%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%93%E0%B8%91%E0%B8%B9%E0%B8%A3/%E0%B9%91%E0%B9%91

https://vajirayana.org/ทหารเอกพระบัณฑูร/๑๑


๑๑

​ข้างฝ่ายพุกามประเทศนั้น เมื่อพระเจ๋าอลองพญาถอยทัพไปและสวรรคตแล้ว มังลอกราชบุตรองค์ใหญ่ได้ขึ้นครองราซสมบัติ แต่บ้านเมืองก็ไม่เป็นที่สงบเรียบร้อยได้ ก็ต้องรบพุ่งปราบปรามกันเองเสมอมาหลายปี เพราะบรรดาขุนนางนายทหารและบรรดาเมืองขึ้นประเทศราชต่างๆ เมื่อรู้ว่าพระเจ้าอลองพญาสวรรคต ต่างก็มีใจกำเริบตั้งแข็งเมือง และบ้างก็มาฝักใฝ่ขอขึ้นแก่กรุงศรีอยุธยาก็มีมาก กระทั่งสิ้นแผ่นดินพระเจ้ามังลอกราชโอรสองค์ใหญ่ซึ่งเสวยราชอยู่ในกรุงอังวะ ๔ ปี ก็พอบ้านเมืองได้ปราบปรามราบคาบแล้ว

จึงมังระราชบุตรซึ่งเป็นอนุชาก็ได้ขึ้นเสวยราชสมบัติแทน แต่เป็นผู้ใฝ่พระทัยนิยมการศึกสงคราม เพราะได้คุ้นมาตั้งแต่ครั้งตามเสด็จพระเจ้าอลองพญา เมื่อปราบปรามราชศัตรูภายในสำเร็จแล้ว ก็คิดแผ่อำนาจจะปราบปรามบรรดาประเทศข้างเคียง และด้วยฝ่ายกรุงศรีอยุธยารับบรรณาการของเมืองประเทศราชที่เคยขึ้นแก่กรุงอังวะ ประการหนึ่งนั้น เพราะได้ข่าวว่ากรุงศรีอยุธยาอ่อนแอด้วยกำลังทหาร เพราะแตกพวกแตกหมู่กัน มังระเจ้าแผ่นดินใหม่ซึ่งย้ายเมืองหลวงจากกรุงรัตนสิงห์ไปอยู่อังวะ จึงเป็นสาเหตุและช่องทางจะยกทัพมาทำศึก เพราะจะได้กำไรในส่วนเชลยและทรัพย์สมบัติจากการสงครามมาก จึงเกณฑ์ทัพใหญ่ให้ยกมาสองทาง ทั้งเหนือและใต้ เพื่อประชิดกรุงศรีอยุธยา บรรดาหัวเมืองรายทางก็หาอาจมีผู้ใดอยู่สู้รบไม่ ต่างพากันอพยพหนีเข้าป่าจนหมดสิ้น ที่พ่ายแพ้ก็ถูกจับริบทรัพย์ และเกาะตัวเป็นเชลยส่งไปเมืองพม่า

ฝ่ายกรมหมื่นเทพพิพิธซึ่งถูกข้าหลวงคุมตัวอยู่ ครั้นพม่ายกเข้าตีทวาย จึงรีบเสด็จออกจากเมืองตะนาวศรีหนีมาเพชรบุรี และพระเจ้าอยู่หัวเอกทัศน์ซึ่งขึ้นปกครองแผ่นดินอีก เพราะสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรเสด็จออกทรงผนวชเป็นครั้งที่ ๒ ด้วยเกรงขืนอยู่บ้านเมืองก็จะเกิดจลาจลฆ่าฟันกันเอง และข้าราชการทหารที่มีฝีมือก็ปลีกตัวหมด พระเจ้าเอกทัศน์เมื่อทรงทราบว่า​เสียหัวเมืองรายทางแก่ทัพใหญ่พม่า จึงรับสั่งให้คุมตัวกรมหมื่นเทพพิพิธจากเพชรบุรีไปไว้จันทบุรี

กระทั่งถึงปีระกา ทัพใหญ่ทั้งบกทั้งเรือทุกทางของพระเจ้ามังระก็แยกกันมาทุกทาง จนเข้าเขตใกล้พระนคร ค่ายเมืองนนท์ก็เสียแล้วแก่พม่าข้าศึก เมฆราโบ แม่ทัพ จึงยกทัพเรือรุดขึ้นมาตั้งอยู่ ณ สามแยกบางไทร ล้อมพระนครเพราะทราบว่ากองทัพบกมังมหานรธาได้ตั้งอยู่ที่บ้านสีกุก จนทัพหลวงเนเมียวสีหบดียกจากฝ่ายเหนือหนุนมาทางชัยนาท อุทัยธานี และเมืองสวรรคโลก ฯลฯ มังมหานรธาจึงยกมาตั้งอยู่วัดป่าฝ้าย ต่างก็แต่งกองโจรออกตีปล้นบ้านเมือง จับผู้คนเป็นเชลย และเผาบ้านเผาเมืองเสียเป็นอันมาก ตั้งค่ายรายล้อมพระนครอยู่

ข้างฝ่ายในกรุงก็เกิดวุ่นโกลาหลกันตลอดหมด เพราะทัพใดที่แต่งออกไปก็แตกพ่ายยับเยินกลับมาเสมอ จนเป็นที่ขยาดกลัว ไม่มีผู้ใดจะอาสา ด้วยแม้แต่กองทัพเรือซึ่งล้วนแต่ทหารอาสาทั้งหกเหล่ามีฝีมือที่แต่งออกไป และมีนายฤกษ์ถือดาบสองมือยืนรำอยู่หัวเรือนำทัพ แต่พม่าได้ยิงตกน้ำไปแล้ว ทัพนั้นก็ถอยกลับเข้ากรุงเสียทั้งหมด ไม่มีผู้ใดคิดจะอยู่สู้อีก

เพลาเย็น แม้เสียงปืนจักกระหึ่มขู่พระนครเป็นพักๆ บ้านเมืองชายกำแพงจะพินาศสิ้นแล้วด้วยกระสุนปืนใหญ่พม่า แต่พระตำหนักน้อยต้นจันทน์ และในห้องบรรทมพระองค์หญิงนั้น พระองค์ท่านซึ่งประทับสันโดษอยู่กำลังทรงพระอักษรด้วยอารมณ์สงบ และด้วยแผ่นกระดาษข้างท้ายที่เหลือว่าง เป็น​ฉบับเดียวกันกับที่บุรุษทหารได้ชุบเลือดเขียนถวายไว้เมื่อ ๒ ปีโน้น แต่ถึงจะ ๒ ปี ซึ่งมิได้ข่าวเดือนอีกเลย พระองค์หญิงก็ทรงคิดว่าเสมือนทหารพระบัณฑูรนั้นเคียงเฝ้าอยู่เสมอ กระทั่งศึกมาประชิดพระนครทุกด้าน กระทั่งทัพไทยยับเยินสิ้นทุกทัพ ฝ่ายกรมหมื่นเทพพิพิธนั้นแต่งให้ข้าหลวงคนสนิทลอบมารับหม่อมห้ามและบรรดาหม่อมเจ้า อันเป็นพระโอรสธิดาออกไปอยู่ ณ ค่ายเมืองปราจีนบุรี แต่ข่าวของเดือนก็คงสูญ มิได้ร่องรอยเช่นเดิม

เมื่อทรงรำลึกถึงถ้อยคำของเดือนที่กล่าวไว้แล้ว จึงตระหนักพระทัยว่าอย่างไรเสียก็คงจะไม่ได้พบหน้ายอดทหารพระบัณฑูรอีก จึงทรงพระอักษรไว้ล่างลายมือเดือน พรรณนาความประหนึ่งว่า แม้สิ่งอื่นจักแพ้แก่วาสนาแล้ว แต่ลายลักษณ์อักษรทั้งสองนี้จะอยู่ร่วมกัน ดังทรงไว้ประหนึ่งเป็นเครื่องเตือนพระทัย ดังนี้

“เจ้าของเลือดและลายอักษรนี้เห็นจะตายแล้ว สัญญาไว้ว่าหากพระนครถูกล้อมด้วยศึกสักร้อยหมื่นก็จะยกมาหัก จึงศึกครั้งนี้ก็เท่ากับเป็นสิ่งที่ทำนายได้ว่า สิ้นชีวิตพ่อเดือน ๒ ปีแล้ว พ่อเดือนเอ๋ย พระองค์หญิงของหลวงกลาโหมได้คอยพ่อมา ๒ ปี ศึกก็มาติดแล้ว ยังคอยแต่วันเสียพระนคร และพระธิดาพระบัณฑูรจักต้องตกไปเมืองพม่า แต่อักษรนี้จักฝังฝากไว้ในแผ่นดินไทยอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของฉัน แม้เราทั้งสองจะตายห่างกันมิว่าแห่งหนตำบลไหน แต่ลายมือของสองเราก็ประจักษ์อยู่ร่วมกันแล้ว และขอบุญกุศลในชาตินี้อยู่ค้ำชูให้เราเกิดในสกุลเสมอกันในชาติหน้า เมื่อนั้นเราจักอยู่ร่วมหมอน”

แล้วก็ซบพระพักตร์กันแสง ถึงพระชนม์ท่านจะใกล้ ๓๐ หรือกาลได้ล่วงไปแล้ว ๒ ปีเต็ม แต่พระฉวีวรรณก็ยังเสมอเหมือนรุ่น เป็นแต่เศร้าคล้ำเพราะทุกข์ถึงประการเดียว และการขณะนั้น เมื่อซบพระพักตร์กันแสงอยู่ ก็พอดีข้าหลวงมาทูลว่ามีผู้มาคอยเฝ้า ครั้นเงยพระพักตร์ ท่านก็เห็นหญิงหนึ่งกับบุตรเล็กยืนอยู่นอกประตู

“ยมโดยหรือนั่น” ท่านรับสั่งทักแปลกพระทัยที่เมียหลวงภักดีจูงลูกมาเฝ้าหน้าตื่น “ธุระอะไรรี อ้อ เอาลูกมาด้วย หนูมานี่ซิ”

เด็กน้อยนั้นหน้าตาเหมือนหลวงภักดี และเป็นชาย ก็วิ่งเข้ามาซบพระเพลาด้วยคุ้นเคย เมื่อข้าหลวงพ้นห้องไปแล้ว ยมโดยจึงกรากมากราบ​พระองค์ท่าน และทันทีนั้นเอง นางข้าหลวงเก่าก็น้ำตาหยด

“หม่อมฉันไม่อยากจะทูลให้ทรงทราบเลย แต่เป็นเรื่องสำคัญนัก ถ้าทรงทราบ อย่าเพิ่งตกพระทัยก็แล้วกัน”

“เอ๊ะ อะไร ยมโดย เรื่องสำคัญอะไร”

“ที่รับสั่งว่า เสด็จในกรมตั้งทัพอยู่ประจินจะยกมาช่วยนั้น และสงสัยว่าพี่เดือนจะไปพึ่งอยู่”

“ก็นั่นน่ะซี แล้วยังไงอีกล่ะ ยมโดย”

“หามิได้เพคะ พระองค์หญิง” ข้าหลวงทูลเสียงสะอื้น “หลวงภักดีบอกหม่อมฉันสักครู่นี้เอง ว่ามีคนลือกันว่า ทัพเรือที่แตกถอยมาวานซืนนั้น มีพี่เดือนยืนรำดาบอยู่หัวเรือนำหน้า และพม่ายิงตกน้ำตายแล้ว”

รับสั่งเต็มเสียง

“ต๊าย โธ่ พ่อเดือนตายแล้ว ไม่รู้ข่าวกันเลยว่าอาสาไปทัพ โธ่ พ่อเดือนตายแล้ว”

แล้วก็ทรงกันแสงอีก รำลึกถึงพระอักษรที่ทรงจบเมื่อสักครู่นี้ ก็เป็นสิ่งทำนายว่าจะสิ้นชีวิตพ่อเดือน แล้วจึงทรงยื่นกระดาษข่อยขาวซึ่งมีอักษรนั้นให้ยมโดยอ่าน

กำลังตกพระทัย และทรงเห็นว่ากาลที่สุด ทั้งชาตาพระนครก็ร่อแร่นัก จึงทุกสิ่งที่เคยปกปิดตลอดมากระทั่งบัดนี้ พระองค์หญิงก็ทรงสารภาพหมด ทรงเล่าด้วยต่างๆประการ ถึงเหตุเมื่อ ๖ ปีที่แล้ว ประทานแก่นางข้าหลวงแล้ว ทรงปรารภถึงพระองค์และสิ่งร้ายอันจะต้องเกิดขึ้นต่างๆประการ

“พวกเรากำลังจะสูญนะ ยมโดย” รับสั่งปรับทุกข์ต่อไปอีก “อย่าช้าอีกไม่ถึงเดือน พวกเราจะตายหมด รู้ไหมล่ะ”

“อย่าเพิ่งทรงวิตกเลย”

ข้าหลวงทูลปลอบพระทัย แลชำเลืองบุตรซึ่งทรงกอดอยู่ แล้วยมโดยเองก็ใจคอไม่สู้ดีเช่นเดียวกัน เพราะเสียงปืนที่ไม่ห่างหู ทั้งกระสุนตกต้องบ้านเรือนและผู้คนป่วยตายมากเสมอ ทุกวัน ทหารถึงจะขึ้นประจำป้อมและเชิงเทิน ก็สักแต่ประจำพอเป็นหน้าที่ มิได้เข้มแข็งหรือเต็มใจจะสู้รบกับข้าศึกเท่าใดนัก

จึงไม่ทรงเห็นด้วยกับคำทูลของข้าหลวง และรับสั่งว่า

​“อย่าปลอบฉันเช่นนั้นเลย เรามาร่วมความคิดปรึกษากันดีกว่า ปรึกษากันว่าเราจะคิดฉันใดดี ถ้าหากพระนครนี่ต้องเสียแก่พม่าข้าศึก หากเรานิ่งอยู่เช่นนี้แล้ว อย่างไรเสียก็ต้องตาย หาไม่ก็คงมิพ้นต้องเป็นเชลยแก่เขา ต้องไปอยู่เมืองพม่าอังวะ”

“กระหม่อมฉันก็สิ้นปัญญา ได้เคยถามหลวงภักดีเหมือนกัน แต่เขาก็ได้แต่ตอบหนักใจ เพราะรอบกรุงล้วนแล้วแต่ทัพพม่าทั้งสิ้น จะหนีออกก็เท่ากับไปให้ถูกฆ่าตายเสียเร็วๆเท่านั้น”

“กรรมเรา” รับสั่งทอดอาลัยแล้วรำพันว่า “เป็นกรรมของศรีอยุธยาที่จะดับรัศมี โธ่เอ๋ย หากมิสิ้นทูลกระหม่อมท่าน และราชสมบัติเป็นของท่านแล้ว บ้านเมืองจะเกิดแก่งแย่งเป็นยุคเข็ญหรือ ทหารก็จะเพียบแผ่นดิน ล้วนทรงฝีมือและรักใคร่กลมเกลียวกัน เพียงศึกเท่านี้ก็น่าจะใช้ทหารตีแตกถอยไปเสียนานแล้ว ไม่อาจกำเริบมาตั้งยิงฆ่าพวกเราได้ทุกๆวันเช่นนี้เลย”

แล้วก็ทรงเล่าความเป็นเชิงรำพันและสลดพระทัยถึงชาตากรุงศรีอยุธยาที่จักสิ้นเสียแล้ว ด้วยปฐมเหตุสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเอกทัศน์ทรงโลภหลงในราชสมบัติ มิได้เห็นความร่มเย็นของข้าแผ่นดิน ทรงสำแดงรังเกียจแก่พระอนุชา จนเจ้าฟ้าอุทุมพรทรงเบื่อหน่าย เสด็จหนีไปทรงผนวชเสียพร้อมด้วยข้าราชการทหารฝีมือดี ที่เหลืออยู่ส่วนมากก็ล้วนแต่ผู้เขลา มิใส่ใจแก่ราชการงานศึก จึงทรงเห็นว่าแน่แล้ว ศรีอยุธยาใกล้จะสิ้นตามทำนาย แล้วจึงทรงท่องทำนายชาติเมืองแต่โบราณ


๏…...……………………   ฝูงผีจะวิ่งเข้าปลอมคน

กรุงประเทศราชธานี   จะเกิดการกุลีทุกแห่งหน

จะอ้างว้างอกใจทั้งไพร่พล   จะสาละวนทั่วโลกทั้งหญิงชาย

จะร้อนอกสมณาประชาราษฎร์   จะเกิดเข็ญเป็นอุบาทว์นั้นมากหลาย

จะรบราฆ่าฟันกันวุ่นวาย   ฝูงคนจะล้มตายลงเป็นเบือ

ทางน้ำก็จะแห้งเป็นทางบก   เวียงวังก็จะรกเป็นป่าเสือ

แต่สิงห์สารสัตว์เนื้อเบือ   นั้นจะหลงหลอเหลือในแผ่นดิน

ทั้งผู้คนสารพัดสัตว์ทั้งหลาย   จะสาบสูญล้มตายเสียหมดสิ้น

ด้วยพระกาฬจะมาผลาญแผ่นดิน   จะสูญสิ้นการรณรงค์สงคราม

กรุงศรีอยุธยาจะสูญแล้ว   …………………………....


มิทันทรงท่องทำนายโบราณจบ ทั้งเด็กน้อยและพระองค์เองกับนางข้าหลวงก็ตระหนกขวัญผวากอดกัน เสียงปืนกระหึ่มขึ้นรอบพระนครข้างด้านเหนือและฟากใต้ กระสุนตกไปทั่วทุกหนแห่ง และหนักหนายิ่งกว่าทุกวัน แม้นางข้าหลวงและนางใช้ประจำพระตำหนักก็พากันวิงอลหม่านด้วยเสียงร้องตะหนกตกใจไปตามกัน

ครู่นั้น บุรุษหนึ่งก็วิ่งสุดฝีเท้าขึ้นพระตำหนักตรงมา

“เออ สิ้นเคราะห์”

หลวงภักดีพูดยังไม่หายหอบ เมื่อเห็นบุตรและภรรยาอยู่พร้อม ก็อ้าแขนรับบุตรชาย ถอนใจใหญ่

พระองค์หญิงรับสั่งถามละล่ำละลัก

“เป็นอย่างไรบ้าง หลวงภักดี ถ้าจะเป็นอย่างไร”

“หนักพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรเสียก็คงถูกปล้นเมืองคืนนี้แน่ เพราะเห็นข้าศึกเตรียมการใหญ่” สามีแม่ยมโดยทูล น้ำตาคลอๆ “กำแพงเมืองก็ถูกไฟล่มทรุดแล้ว นี่หม่อมฉันมาหาลูก จะฝากลูกและยมโดยไว้แก่พระองค์หญิงเพราะแต่นี้ต่อไปจะมามิได้อีกแล้ว”

ยมโดยจ้องหน้าสามีแล้วก็ร้องไห้

“มิตายหมดหรือเรา โธ่เอ๋ย ลูกยังเล็กอยู่ เกิดมามิทันจะกี่ขวบ”

“ตามกรรมเถิด ยมโดย”

พระองค์ท่านยิ่งทรงกันแสงหนัก พระทัยสั่นรับสั่งผิดๆ ถูกๆ เสียงปืนโทรมพระนครก็ยิ่งครางกระหึ่ม เสียงกระสุนตกต้องหลังคาเรือนและพระตำหนักใกล้ๆ หลวงภักดีก็กอดบุตรแน่นขึ้น จ้องหน้าภรรยาและพระองค์หญิง พลอยร้องไห้ แล้วน้ำใจทหารก็เกิดมานะ ทูลฝากฝัง ทั้งความจริงที่ทราบ

​“หม่อมฉันจะต้องทูลลา แต่นี้ต่อไปคงมาไม่ได้อีก ทัพเสด็จกรมหมื่นเทพพิพิธที่ว่าจะมาช่วย ค่ายหน้าที่ปากน้ำโยทะกาก็แตกถอยไปแล้ว ทัพเรือป้องกันพระนครก็ยับเยินหมด เจ้าคุณเพชรบุรีก็ตายแล้วกลางศึก จึงไม่เห็นหนทางว่าผู้ใดจะรักษาไว้ได้ หม่อมฉันก็ต้องล้อมพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไว้ จึงขอฝากลูกและยมโดยด้วย”

“ฝากฉัน โธ่ หลวงภักดี ฝากฉันแล้วจะหนีพ้นตายอย่างนั้นหรือ”

“ก็ยังพอมีเพื่อนตาย เพราะไม่แล้ว หม่อมฉันจะพาไปได้อย่างไร”

แล้วหลวงภักดีก็จูบบุตร สั่งเสียภรรยาเป็นครั้งสุดท้ายให้อยู่แต่ที่พระตำหนัก คิดว่าอย่างไรก็พอจะรู้ทีกันเมื่อฉุกเฉิน แล้วก็หักใจอำลาไปทั้งเสียงปืนป้อมที่ยิงโต้ตอบจากป้อมมหาไชย และปืนพม่าที่ยิงโทรมพระนครทุกทิศนั้น กลบเสียงใดอื่นเสียสิ้น

ส่วนพระตำหนักน้อยต้นจันทน์นั้น แม่ยมโดยข้าหลวงก็ได้แต่กอดบุตร และพระองค์หญิงเล่าก็ทรงแนบพระสมุดประทับพระทรวง

“พ่อเดือนเอ๋ย มาหนีตายเสียก่อนหญิง เขาจะปล้นกรุงและปล้นหญิงไปสู่อังวะแล้ว จะรู้หรือ ท้องแม่น้ำก็จะเป็นเรือนของพ่อเดือน แล้วทหารพระบัณฑูรสิ้นชีพเสียก่อน ด้วยหนีรักไปโดยเห็นแก่เผ่าราชศักดิ์”

แล้วพระกรจึงโอบกอดรอบคอสนมแม่ข้าหลวงที่เป็นเพื่อนตาย และได้รู้เห็นความหลังกันมา คิดถึงทูลกระหม่อมและสมัยเมื่อสุข สมัยเมื่อศรีอยุธยายังรุ่งโรจน์ด้วยพระบารมีอันอุ่นใจ กับยามนี้เล่า ก็รู้สึกว้าเหว่พระทัย ตั้งพระกรรณสดับเสียงปืนและคอยฟังโห่ร้องกำหนดปล้นพระนคร

ใกล้ ๒ ทุ่ม พระจันทร์ขึ้นแจ่มเด่นดวง ด้วยเป็นวัน ๙ ค่ำ ข้างขึ้น ใต้ร่มจันทน์มิใช่พระตำหนักน้อย แต่หากเป็นไม้จันทน์อายุนานอยู่หลังโบสถ์วัดข้างคนละฟากน้ำคูขื่อหน้าพระนคร เป็นด้านที่สงัดด้วยกองทหารพม่าซึ่งตั้งล้อม เป็นแต่นานๆก็พายเรือผ่านมาตรวจสักครั้งหนึ่ง เพื่อสกัดชาวพระนครที่จะข้ามน้ำหนี

บุรุษหนึ่งยืนอยู่กลางหมู่ทหารของกรมหมื่นเทพพิพิธซึ่งออกจากค่ายปากน้ำโยทะกาที่เสียแล้ว เพราะหมื่นศรีนาวาตายในที่รบ จึงทัพหลวงก็ถอยหนีออกจากช่องเรือแตกขึ้นนครราชสีมาเสียก่อน

​ทหารทั้งหมู่นี้ก็สิ้นนาย ยังฝากตัวแก่ผู้มีฝีมือประจักษ์ตาในศึกร่วม ๒๐ คน ทั้งหมู่แทนนายภูบาลและตามั่นทหารมุทะลุ

อีกครู่ เสียงปืนยิงพร้อมจากค่ายเป็นสัญญาณกลองศึกระดมเร่งเร็ว จนผู้อยู่ใต้ต้นไม้จันทน์ตื่นหัวใจนัก

“ข้ามน้ำเถอะ อย่างไรเสีย พม่าคงจะเร่งเข้าปล้นพระนครด้านอื่นแล้ว ทางนี้เราพอจะรอดตายไปได้”

“นั้นซี พ่อหลวง” หมู่แทนก็ร้อนใจนัก เพราะครัวตัวทั้งลูกเมียก็ยังอยู่พร้อมกันทั้งสิ้น “ข้ามเดี๋ยวนี้ละน่ะ เมื่อหนักหน้าก็สู้กัน เพราะบางทีเราจะได้ทันเข้าช่วยกันในกรุงมั่ง”

ออกกลาโหมซึ่งอำลาสูญหายไปจากพระนคร สิ้นเวลา ๖ ปี และเพิงจะมีข่าวลือสองสามวันนี้ว่าถูกพม่ายิงตาย แต่ความจริงหาเป็นดังที่เล่าลือไม่ ที่แท้เป็นผู้อื่น เขายังลังเลใจตัวว่าพระองค์ท่านจะทรงชีพอยู่หรือสิ้นพระชนม์ก่อนแล้ว แต่เสียงปืนและข่าวร้ายแก่ศรีอยุธยา ซี่งพบชาวเมืองปีนกำแพงหนีได้ซักไซ้เนื้อความ ก็หนักใจร้อนใจที่สุด เมื่อคิดทบทวนไปต่างๆ ถึงเรื่องเชลยศึก แต่เมื่อการนี้เป็นส่วนตัวที่จะต้องพาผู้อื่นพลอยเดือนร้อนด้วย เดือนจึงกล่าวถามความสมัครใจ

“ต้องถามกันทั่วๆก่อน คือว่าจะข้ามไปนี้ต้องนึกกันว่าข้ามไปหาความตายด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อผู้ใดทหารเรามิสมัครใจแล้ว ก็อนุญาตให้ถอยไปตามสมัคร จะว่าอย่างไร” คงนิ่งเงียบ จึงถามซ้ำความอีก “ว่าอย่างไร”

จึงมีเสียงตอบซ้อนแซงกันมาว่า

“ทั้งหมดนี้เป็นไทย แม้จะมิใช่ทหารหลวง แต่หากได้ข้ามไปช่วยเพียงลูกบ้านราษฎรอันเป็นชาวเมืองเพื่อนไทยแล้วก็เต็มใจ”

จึงออกหลวงกลาโหมก็แหงนดูจันทร์ ดูแสงอันโอภาสรัศมีเป็นมหาฤกษ์ แล้วก็ยกออกแบ่งพวกหมู่ระวังหลังตามที่มีพลน้อยทั้ง ๓ กอง ให้หมู่แทนและตามั่นเข้าคุมตามหลังมา กระทั่งพ้นวัด เดินเรียบคลองน้อยแฝงมากระทั่งถึงฟากคูเมืองก็พบกองเรือพม่าตระเวนด่านตีฆ้องรับกัน

“หยุด” เดือนยกมือห้ามทหารและโบกสัญญาณให้เข้าซุ่ม แล้วเรียกตามั่นกับนายหมู่ “หมู่แทน มานี่เร็ว ตามั่นด้วย”

สองทหารก็ปราดมา

​“เห็นไหม โน่น” เดือนชี้ให้ดูเรือที่กำลังตระเวนอ่าว “พม่าออกเรือตระเวนด่าน เหมาะนักแล้ว ทั้งน้อยคนและมีเรือให้เราพอข้ามน้ำด้วย ตามั่นกับหมู่แทนไปยืนล่อเถอะ ฉันกับนายภูบาลจะซุ่มคนไว้ พอมันขึ้นมา จะเกาะตัวมันทีเดียว เอาทหารไปด้วยอีก ๓ คน มันอะได้ขึ้นจากเรือทั้ง ๒ ลำ สะดวกแก่การเรา”

ตามั่นคัดลูกหมู่ได้พร้อมแล้วก็แล่นไปริมฝั่งน้ำ หมู่แทนนั้นเดินอยู่ท้ายคุมข้างหลังตามกำหนด

ครู่นั้น เสียงฆ้องกระแตถามและขานบอกสัญญาณแก่กัน ไม่ช้า เรือก็ปราดเข้าเทียบฝั่งทั้งคู่ ทหารค่ายอังวะเกือบ ๑๐ คน กรูกันขึ้นมาเข้าห้อมล้อมเพราะเห็นน้อยตัว พอเห็นช่องได้ขณะกับทหารตัวกระจายกันอยู่แล้ว ตามั่นจึงชักดาบปราดโดดฟันเจ้าคนหน้า แล้วการก็เกิดเป็นตะลุมบอน เดือนที่ซุ่มทหารเดินเลียบฝั่งมาถึงก็เร่งพลเข้าล้อมพิฆาต หมู่แทนสันทัดศึกกับตามั่นก็แล่นไล่โดยฝ่ายข้าศึกไม่ทันสำนึกตัว จะหันสู้จึงตระหนกตกใจเมื่อถูกล้อม จักหนีก็สิ้นทางแล้ว หารู้ไม่ว่าทหหารหลวงกองใด หรือทัพโจรซึ่งแต่งออกรังควาน อีกเพียงครู่หนึ่งเท่านั้น พลน้อยของข้าศึกพม่าและตื่นใจไม่รู้ตัวก็ถูกประหารนอนเรียงอยู่ตลอดฟากฝั่งคูขื่อหน้านั้นทั้งสิ้น พลในเรือก็โดดน้ำหนีเอาตัวรอด

จึงทหารทั้งยี่สิบก็ลงประจำเรือมาได้สักเพียงครึ่งแม่น้ำ ก็เห็นแสงเพลิงจ้าขึ้นในพระนคร หลังคาเรือนนั้นติดเพลิงขึ้นทีละหลังไล่ๆกัน

“จ้ำเร็วเถิด พม่าเข้าเมืองแล้ว” เดือนตะโกนทั้ง ๒ ลำ แสงเพลิงนั้นเหมือนจะจี้ถูกหัวใจตัว “มันเผาพินาศหมดแล้ว เห็นไหม”

ฝีพายซึ่งเพียบมาลำละสิบ ก็เร่งพายจนเข้าเทียบฝั่งกรุง กำแพงกรุงด้านสงัดนั้น บัดนี้เห็นแต่คนเผ่นหนีทั้งหญิงชาย พม่าก็คุมกองรายมาจะเข้าจับ เดือนก็ถอดดาบเร่งทหาร

“ฆ่าให้หมด” แต่ที่ปืนหนีนั้นมีทั้งทหารและพลเรือน เดือนจึงตะโกนบอกทหารที่คิดหนี “อย่าเพิ่งหนี เราจะเข้าเมือง นี่ออกหลวงกลาโหม ทหารพระบัณฑูรจะเข้าเมือง จงช่วยกันก่อน”

เมื่อเป็นที่รู้กันอยู่ทั้งชื่อและฝีมือ บรรดาทหารป้อมและเชิงเทินที่จะหนีก็หันเข้าคุมกันอีกเป็นหมู่เป็นกอง เมื่อการได้สมคิดแล้ว เดือนก็แล่นนำ

“พี่น้องไทยทั้งหลาย จงตามหลวงกลาโหม”

​ขาดคำนั้น กองทหารอันมีพลเกือบห้าสิบ ก็แล่นเข้าประจัญบาน ทั้งกองดาบและเขน กองโล่ดั้งซึ่งผสมกันก็มุมานะ ปล่อยให้ผู้คนพลเมืองทั้งเด็กและหญิงหรือผู้เฒ่าพ้นไป องครักษ์องค์พระบัณฑูรทหารยอดฝีมือก็แล่นเข้าปะทะศึกด้วยมานะ และร้อนใจที่จะเข้ากรุงได้ทันเชิญเสด็จองค์หญิง ก่อนที่จะตกไปเป็นเชลย ทหารอื่นอันเคยฝากฝีมือด้วยเห็นมาแล้วก็กลับฮึกโหมให้เข้าประหารตั้งหน้าสู้ เร่งสู้รุดไปอีก กระทั่งพลศึกข้างหนึ่งปั่นป่วนยับลง แล้วแล่นเรียบมาตามกำแพงถึงประตูพระราชวังหลังซึ่งเปิดให้ราษฎรหนีออก เมื่อเข้าประตูเมือง บ้านเมืองของศรีอยุธยาเมื่อนี้ ก็สว่างดังกลางวันด้วยพระเพลิงติดหลังคาเรือน ปราสาทราชฐานก็ลุกรุ่งโรจน์ มนุษย์ชาวเมืองล้มร่วงดุจใบไม้ถูกริดด้วยดาบ ออกหลวงกลาโหมก็เข้ารัดชีพทหารนั้นด้วยใจกระหึ่มเพราะบ้าเลือด และบ้าที่เห็นเผ่าไทยต้องล้มตายน่าอนาถ มิเคยเห็น แล้วก็ประจัญบานละตลอดมาโฉมทิศสู่วังกรมหมื่นพิทักษ์ภูเบศร์ที่ประทับ

เพลิงพลุ่งขึ้นทั่วเมืองแล้ว ๙ ค่ำ เดือน ๕ ข้างขึ้น วันอังคารปีกุนนี้เป็นนางสงกรานต์ ซึ่งกรุงศรีอยุธยาต้องกลายเป็นที่เที่ยวอันละเมิดทางของข้าศึก พระตำหนักน้อยต้นจันทน์ แม้เพลิงยังจะไปยังไม่ถึง แต่ทหารข้าศึกได้ถึงแล้ว เข้าค้นพระตำหนักใหญ่เก็บเข้าของเงินทองริบเล่นตามสนุกแล้วจ่อเพลิง หลวงภักดีที่คุมทัพราชองครักษ์แตกมาก็รุดหนีมาแต่ผู้เดียวขึ้นสู่พระตำหนัก บุตรน้อยหลวงภักดีกับแม่นั้นกอดมันกับองค์พระธิดามหาอุปราช หน้าเผือดดังผู้สิ้นชีพ

“เชิญเสด็จเดี่ยวนี้ เร็ว ยมโดยอุ้มลูกเดี๋ยวนี้ ไปออกทางประตูจีน” ทรงกอดพระสมุดซึ่งยังถืออยู่ ทรงยืน แต่ขาดคำหลวงภักดีก็เสียงฝีเท้าระทึกเข้ามา เสียงโห่จากพระตำหนักใหญ่ โฉมหน้ามาทางสวนต้นจันทน์ หลวงภักดีกอดดาบทูลและบอกกับภริยา “ไม่ทันเสียแล้ว แต่ที่จะเป็นเชลยก่อนตายนั้นอย่าหมาย”

และขณะนั้น ทหารข้าศึกก็วิ่งพัลวันขึ้นมา คนแรกกลิ้งมิรู้ตัวด้วยดาบราชองครักษ์ คนหลังก็ทำนองเดียวกัน แล้วจึงกรูกันขึ้นจะล้อมหลวงภักดี แม้สถานที่แคบพอจะบ่ายเบี่ยงสู้ฝีมือได้ แต่ก็ยากแก่ฝีมือผู้เดียวของหลวงภักดีซึ่งพลาดถูกฟันเซมาปะทะภรรยาและบุตรเล็ก

​ขณะนั้นจึงเสียงอึงคะนึงที่เชิงบันไดพระตำหนักและตามชานระเบียง ก็ได้ยินแต่เหล็กดาบกระทบกัน เสียงสั่งรบสั่งตะลุมบอนและตะโกนกู่หาพระองค์หญิง

“ประทับอยู่ไหน พระองค์หญิงประทับอยู่ไหน ขานสักหน่อย นี่ออกหลวงกลาโหม”

ท่านทรงกันแสงโฮด้วยปีติ พ่อเดือนยังไม่ตาย ทหารพระบัณฑูรที่กำลังระลึกถึงมาแล้ว ก็ทรงขานรับ

“อยู่นี่ พ่อเดือน เร็วซี ช่วยหลวงภักดีด้วย”

ทหารศึกที่จุกช่องประตูล้มร่วงอีกทหารหนึ่ง ที่กรากจะซ้ำหลวงภักดีนั้นก็พับไปโดยสิ้นเสียงร้อง ศีรษะตกอยู่แทบเท้าหลวงภักดี และครู่นั้น ทหารของพระบัณฑูรก็ประจักษ์แก่พระเนตร ดาบสองมือชุ่มตลอดด้วยเลือดชุ่มแขนและผ้าเสื้อหหารค่ายกรมหมื่นเทพพิพิธ

“เชิญเสด็จเถิด ไป หลวงภักดี ตั้งสติให้ดี” เดือนตรงเข้าเขย่ามือ เห็นนางข้าหลวงอุ้มเด็กน่ารักละม้ายแม่ ทั้งหลวงภักดีก็เข้าใจความ “อ้อ ยมโดย ลูกหรือ ดีดี อย่าตกใจ อ้ายเดือนจะพาหักออกให้ได้”

แล้วเรียกนายหมู่แทนกับตามั่นให้คุมลูกหมู่เข้าล้อมวง ยมโดยกับสามีนั้นเคียงกัน และนายหมู่แทนเข้าคุมใกล้ๆ พระองค์หญิงทรงโผประทานพระหัตถ์ให้จูง

“พ่อเดือนต้องระวังหญิงนะ ชีวิตหญิงนี้ให้แล้วแก่พ่อเดือน”

“ให้สักหมื่นหนึ่ง องค์หญิงเอ๋ย ๖ ปีแล้วที่ได้ทันมาถวายกตัญญูเช่นนี้ ใครเล่าจะหนี เสด็จเกาะหลังเถิด”

แล้วถอดดาบถือแต่เพียงเล่มเดียว มือชุ่มและลื่นเลือดที่สวมธำมรงค์ก็จูงพระกร หลีกศพอันหาหัวมิได้ หลีกซากสะพายแล่งและแขนขามิติดตัว ออกสู่หน้าลานพระตำหนัก ให้ทหารเข้าไปล้อมอีกเป็นชั้นๆ หมู่ละ ๓ หรือ ๕ และแยกออกประตูวัง แสงเดือนก็ขับด้วยแสงเพลิงทั่วพระนคร เสียงทั่วพระนครนั้นล้วนแต่อาวุธกระทบกันยิ่งจลาจล เสียงให้เหมือนพระนครตื่นร้องไห้ระงมเสียงโห่กระหึ่มด้วยพลพม่ายกเข้าสู่กรุงทางด้านป้อมมหาไชย มหาปราสาทอันเป็นที่ประทับงามดังสวรรค์เมืองฟ้านั้น พินาศลงแล้วด้วยเพลิงด้วยฝีมือพม่าข้าศึกเผาผลาญ พระองค์หญิงก็มิทันได้เก็บทรัพย์สมบัติสิ่งใดติดพระหัตถ์ออกมาเลย ​จึงได้แต่ทอดพระเนตรลาพระตำหนักน้อยต้นจันทน์ พระตำหนักซี่งเคยประทับตั้งคอยทหารของพระบัณฑูรถึง ๖ ปีเต็ม แต่การมาเฝ้าของพ่อเดือนกะทันหันนี้ก็ต้องตะลุยเลือดมาอย่างจงรักภักดี

ทหารคงล้อมมากระทั่งถึงประตูเจ้าจันทน์กุฏิทั้งสามก็ประจันหน้ากับกองเรือพม่าซี่งลาดตระเวนออกไล่จับราษฎรที่ข้ามแม่น้ำ เดือนจึงตะโกนแก่บรรดาทหาร

“วิ่งเข้ารบ อย่าให้ทันตั้งตัวได้ เอาเรือข้ามให้ได้”

หลวงภักดีก็แล่นขึ้นหน้าภรรยา ตามั่นกับทหารประดาทัพวิ่งปาดเข้าใส่ แต่สักครู่ เดือนก็ได้ยินเสียงหมู่แทนตะโกนอยู่ข้างหนี

“คอยก่อน ออกหลวงกลาโหม คอยก่อน”

เมื่อเหลียวไปก็เห็นหมู่แทนคุมทหารห้อมล้อมมาทั้งหมู่ และเมียลูกอันเป็นครัวของหมู่แทนสี่ห้าคน จึงเข้ามาร่วมหมู่ แล้วหัวหมู่ก็วิ่งเข้าใส่ข้าศึกพวกเรือตระเวนด่านนั้น เมื่อแรกสำคัญว่ากองราษฎรจะคิดหนีจึงต้อนพลเข้าจะจับเป็นเชลย แต่ครั้นรู้ว่าเป็นทหารทั้งฝีมือก็ล้วนองอาจ จึงพากันแตกระส่ำระสาย บ้างหนีเลียบตามกำแพงเที่ยวระดมพวกกันจะมาคุมครัวหมู่แทนก็ลงเรือพร้อมกับหลวงภักดีและทหารอื่น บ่ายหัวเรือออกกลางน้ำ แต่บนฝั่งก็ยังรบติดพันอยู่

พระองค์หญิงประทับแอบดาบอยู่ในอ้อมแขนออกหลวงหนุ่มผู้ทรงฝีมือ ยิ่งใกล้จะลงเรือ ศึกก็ยิ่งรุกกระชั้น ทหารล้อมก็เสียชีวิตสู้ตายลงทีละคน บ้างก็พลัดพรากเข้าสู่ราษฎร บ้างกระโดดน้ำหนี แต่ข้าศึกก็ร่วงโรยจนเหลือแต่ ๒ คน แล้วคนหนึ่งก็ล้มสิ้นชีพพลัดตกน้ำ จึงปล่อยประทับแต่ลำพัง จนเร่งศึกพอชักอีกดาบปราดออกสักครู่ก็เป็นศพกลิ้งไป หลวงกลาโหมจึงหันมาเชิญเสด็จก้าวสู่เรือ บ่ายหัวออก ทรงเหลียวดูพระมหานครอันกระจ่างด้วยแสงเพลิง รับสั่งว่า

“กรุงศรีอยุธยาต้องสูญแล้ว นี่เราจะไปไหนกัน เขาไปไหนกันหมด”

“คงขึ้นบก พลัดกันหมด แต่วางพระทัยเถิด เพราะยมโดยกับสามีเขาก็รอดเป็นเชลยแล้ว เพราะทหารทั้งลำฝีมือดีทั้งนั้น”

“แล้วเราจะไปไหน”

“ขึ้นบางกอก”

​เสียงฆ้องกระแตไล่หลังมาก็พอหัวเรือเกยฝั่ง ออกหลวงผู้ทรงฝีมือจึงถวายแขนให้เกาะขึ้น แล้วเชิญเสด็จขึ้นเหยียบทุ่ง พระองค์หญิงทรงกันแสงเมื่อทอดพระเนตรข้ามน้ำไปเห็นพระนครปราสาทราชมณเฑียรซึ่งกำลังพินาศอยู่ด้วยเพลิงผลาญ รับสั่งอำลา

“ลาก่อนกรุงศรีอยุธยา พระตำหนักและทูลกระหม่อมที่สิ้นบารมีไปแล้วเช่นกรุง”

เกรงจักช้าเสียการ เดือนยอดทหารฝีมือดีของพระบัณฑูร ตรงเข้าอุ้มพระองค์หญิงออกวิ่งตัดทุ่งปากข้าวสารตะคุ่มไปตามมืดที่หลบแสงเดือน เห็นแต่ท้องฟ้าแดงจับตามเมฆมาเป็นทางเพลิง จนเข้าสู่ละเมาะก็ปล่อยให้ทรงพระดำเนินต่อไป

เพลาก็รุ่งแล้ว เห็นแสงทองจับปลายละเมาะไม้ อันเป็นหนทางจักตกทุ่งแสนแสบในมิช้านี้ ซึ่งนับเป็นเพลาเสียกรุงแก่พม่าข้าศึกได้ ๓ วัน ออกหลวงกลาโหมผู้พลัดหนีมาจากมิตรสหายด้วยหลงทาง ต้องรอนแรมรีบเชิญเสด็จหนีมา แม้เขาจักแสนยากคับแค้นด้วยอาหาร ต้องเที่ยวขอแก่ชาวบ้านกินตลอดหนทางมายแต่ชั่วอิ่มตัวและพอถวายพระองค์ท่านชั่วมื้อหนึ่ง และเดินอ้อมทั้งหลบหลีกเข้าดงเพื่อหลบทนทางแก่ข้าศึกตลอดมาก็ดี ขัดห้างถวายให้ทรงบรรทมในเพลาค่ำคืน และตัวต้องนอนดินเป็นยามโคนไม้ ดุจองครักษ์พระบัณฑูรก็ดี ตลอดจนความลำบากยากแค้นในการณ์ข้างหน้าที่ยังมิแน่

แต่การนี้ ออกเดือนหาได้พรั่นพรึงสะทกสะท้านน้ำใจไม่ ซ้ำกลับปีติเสมอว่า เพราะการหลังแล้วมานั้นหวุดหวิดนัก ถ้าหากอ้ายเดือนนี้เพียงไปช้าสักหน่อยหนึ่ง ถึ่งชั่วทุ่มแล้ว วรกายพระองค์หญิงตลอดจนพระรูปพระโฉมอันสุดแสนงามนั้น ไฉนจักพ้นมือพม่า ทั้งพระเกียรติก็จะต้องถูกขยี้หยามให้ป่นไปดุจเป็นนางทาสเชลยศึก กำลังคิดเพลิดเพลินและทอดตาไปอื่น ทั้งทุ่งนาป่าละเมาะเบื้องหน้าและตะวันส่องแสงรุ่งเรือง ก็พลันกิ่งไม้น้อยหักตกมาตรงหน้า เมื่อแหงนขึ้นดูเล่าองค์เทพพระธิดาแม่ไม้รักษาคบกำลังประทับ ทรงพระสรวล ชูสองพระหัตถ์ให้

“รับฉันด้วยซี กลาโหม หรือเมื่อไม่รับ ก็ไม่ปรารถนาลงเหมือนกัน สุดแต่ใจเถอะ”

​ออกเดือนก็พลันลุกยืน

“แม้มิยอมเสด็จลง หม่อมฉันก็จะขึ้นไปถวายอุ้มเดี๋ยวนี้”

“พูดพิกลขึ้นทุกๆวันละนะ พ่อหลวง”

“หลวงเหลิงที่ไหนมี พระองค์เอ๋ย บ้านเมืองมาคราวยุคเข็ญเป็นไปเช่นนี้ ยศศักดิ์ใครจะมีอยู่ เอ้า เสด็จลงเถิด ทรงเหยียบแขนหม่อมฉันลงมา”

ออกเดือนก็เอื้อมแขนเกาะคบไม้มั่นเชิญเสด็จ ท่านก็ทรงพระสรวลหลบพระเนตรไปเสียทางอื่น ทรงเหยียบแขนเป็นชั้นๆ แต่พอใกล้ หลวงกลาโหมจึงปล่อยแขนเข้าอุ้ม ทำประหนึ่งพลั้งมือแล้วทรุดลงไปนั่งด้วยกัน

รับสั่งเสียงสั่น ดุจตระหนกตกใจ

“ถึงดินแล้วก็ปล่อยฉันซี พ่อเดือน”

“หม่อมฉันมีอะไรอีกสักสิ่งหนึ่งจะทูลให้ทราบ”

“เออ รำคาญจริง” ทรงถอนพระทัย “พูดกะพ่อเดือน กว่าจะรู้เรื่อง ช่างอดโยกโย้ไม่ได้เสียเลย ไฉนเล่าจะบอกอะไรก็บอกๆเถอะ เมื่อยนัก”

“อพิโธ่ หม่อมฉันอยู่ยังงี้ มิเมื่อยกว่าหรือ ยังไม่บ่นสักคำหนึ่ง”

“นั้นพ่อสมัครเองหรอก” รับสั่งละอายและเร่งเร้า “ไหนล่ะ จะพูดอะไร ก็พูดมาเถอะ ให้เร็วสักหน่อย มิต้องอ้อมค้อมไปเรื่องอื่นอีก”

แต่ออกกลาโหมก็อดจะอ้อมค้อมมิได้ โดยเอยขึ้น

“กรุงศรีอยุธยาก็เสียแล้ว หม่อมฉันจำได้มั่นแล้วว่า วันอังคาร เพลา ๒ ทุ่ม เดือน ๕ ขึ้น ๘ ค่ำ จุลศักราช ๑๒๙ ปีกุน ออกเดือนนี้ได้เห็นบ้านเกิดเมืองนอนตัวซึ่งแสนรักได้เสียไปแล้วแก่ข้าศึก”

“ช่างจำละย่ะ นี่หรือไม่อ้อมค้อม แล้วอะไรอีกจะบอกฉัน”

“หลวงกลาโหมแย่งเชลยจากพม่าได้คนหนึ่ง งามยิ่งหญิงศรีอยุธยาทั้งหลายนัก จะให้พระองค์หญิงประทานอนุญาตและขอพระพรสักหน่อยเพราะออกเดือนนี้ต้องเหินรักตรากตรำมาถึง ๖ ปีแล้ว แต่แม่เชลยแม่นั้นอุตสาหะคอยหม่อมอยู่จนตราบนี้”

“พิโธ่ นิ่งฟังอยู่นาน” ทรงสลัดแต่มิพ้นสองแขนออกเดือนไปได้ และยิ่งดิ้นนั้นเสมือนยิ่งเร้าให้รัดหนักขึ้น “ช่างพูดนัก พ่อเดือนเอ๋ย พ่อไม่กลัวกฎมนเทียรบาลหรอกหรือ”

​“เพราะกลัวจึงต้องก้มหน้าหนีรักไปเสียก่อน แต่บัดนี้ แม้จักผิดหนักในพระมนเทียรบาลใดๆก็ดี หม่อมฉันก็คิดว่ายังดีกว่าจะต้องให้ข้าศึกมาทำลายพระเกียรติยศเสีย พระองค์หญิงเอ๋ย กรุงศรีอยุธยาก็สูญแล้ว แต่ความรักของหม่อมฉันแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยานั้นยังมิรู้จักสูญ ยังจีรังยั่งยืนมาตราบนี้และเสมอตลอดไป” แล้วออกเดือนก็ก้มกระซิบว่า “แม้ผืนแผ่นดินนี้จะเป็นบางกอก ไม้นี้จักมิใช่ร่มจันทน์พระตำหนักน้อย หม่อมฉันก็ขอประทานเถิด”

ทรงแสดงกิริยาฉงน และแบสองพระหัตถ์ให้

“หมดตัวแล้ว ไม่มีอะไรจักให้”

“หม่อมฉันขอประทานตัว ขอประทานตลอดพระองค์หมดสิ้น”

“ก็หากหัวใจฉันมิสมัคร ออกเดือนพ่อมิได้ครบตัวหรือ เพราะขาดหัวใจไปเสียอย่างหนึ่ง”

“แล้วสมัครไปเอง”

ทรงพระสรวล เมินพักตร์หนีไปทางหนึ่ง นึกละอายด้วยแต่ก่อนเคยแต่ทอดองค์อยู่หว่างข้าหลวง แต่ครั้งนี้มาเกลือกอยู่บนตักบุรุษ

“ทรยศแก่เผ่าพระบัณฑูรแล้วออกเดือน”

ท่านรับสั่ง แต่เพียงขาดคำสั่ง ยอดทหารฝีมือดีก็ถือใจแนบจมูกกับปรางท่าน ทูลสรวลเสียงเครือ สองแขนรัดหนักขึ้น

“แม่ยอดเชลยศึก แม้หม่อมฉันจะมิใช่พม่า แต่ก็ฆ่าศึกเข้าชิงพม่ามาแล้ว และเผ่าศรีอยุธยาก็เหลือแต่เพียงพระองค์เท่านั้นแล้ว จึงต้องขอประทานองค์แก่อ้ายเดือนเป็นยอดเชลย”

กลับรับสั่งย้อนว่า

“อ้อ เมื่อไปอยู่ค่ายปากน้ำโยทะกาก็เห็นจะเที่ยวต้อนจับเชลยเช่นนี้หรือไร ฮะ ฟังพูดเถิด ทหารพระบัณฑูรช่างไม่อายแก่ปากเสียบ้าง ที่คุยอวดมาจับเชลยหญิง”

“เพราะทรงบังคับหม่อมฉัน ใช้เป็นเชลยก่อนดอก หรือมิใช่”

แล้วออกเดือนก็รำพันถึงเรื่องเก่าขึ้นถวายแต่ครั้งเชิญเสด็จฝ่าหนีมาจากวัง

“เอ๊ะ แล้วพ่อเดือนจะเป็นเชลยฉันด้วยประการใด” รับสั่งถามไม่สู้เข้าพระทัยนัก นอกจากหยิบผ้าผืนน้อยขึ้นชูอวด แม้จะเก่าแก่เวลานานก็ยังขาว​สะอาด “ถ้าเป็นมหาดเล็กละก็ ว่าไม่ถูก นี่ยังไง ผ้าที่ถวายตัว หาใช่เชลยไม่”

“ก็เพราะตั้งแต่วันนั้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ น้ำใจอ้ายเดือนก็ต้องตกเป็นเชลยเสียยิ่งกว่าเป็นทาสพม่าอีก อา องค์หญิงเอ๋ย แม้จะล่วงพระขันษามาอีกถึงคำรบ ๖ ปี แต่ก็งามเสียกว่าสาวรุ่นๆ”

ทรงพระสรวลและปัดมือหลวงกลาโหมและผลักไสให้ห่างไป

“มุสาแล้ว พ่อเดือน ปากนี้น่ะเคยได้พรอดสำออยแก่ยมโดยเขาเยี่ยงนี้เสมอ จนเคยตัวแล้วซี จึงได้ใจนัก”

ทหารพระบัณฑูรยิ่งเหิมน้ำใจขึ้นกว่าเดิม ๖ ปีมาแล้วเต็มๆ ซึ่งห่างเหินกัน เมื่อใกล้แก่กันครั้งไร ก็มักจะต้องเป็นเพลาศึกสู้รบ และบัดนี้กรุงศรีอยุธยาก็สูญแล้วอยู่เบื้องโน้น ขณะนั้นเอง พระองค์หญิงก็ทรงลุกขึ้นวิ่งหนีจนเข้าสู่ละเมาะไม้ แต่มิช้าก็อ่อนพระทัยกำลัง ถูกจับได้ในละเมาะไม้นั้น

“ประทานรักแก่หม่อมฉันเถิด”

ทหารกล้าเข้าอุ้มสวมกอดพระองค์ไว้แน่น แม้จะยากไร้เป็นยามเข็ญถึงป่านนี้ ต้องทรงสละถิ่นฐานและพระตำหนักอันสมควรแก่เผ่าราชศักดิ์ หากแต่ผู้มีเผ่า แม้จะยากเข็ญประการใดก็ยังทรงไว้ซึ่งราชศักดิ์นั้น

“ข่มเหงหญิงแล้วซี พ่อเดือน” ท่านรับสั่งอายๆ “นี้หรือทหารรักษาองค์พระบัณฑูร และเอ่ยปากภักดี อ้อ ครั้นเผลอก็แอบ...”

“จูบ” เดือนต่อคำ “โธ่ พระองค์เอ๋ย อย่าว่าแต่เดือนอันมีศักดิ์เสมอนี้เลย ถึงพระองค์ชายอื่นหากประสบเข้าเช่นนี้ก็จะต้องรักตาย”

“มุสาละก็เป็นเอกนัก มีหรือ ในโลกนี้ว่าเขารักกันตาย ดูเถิด ข่มเหงฉันอีกแล้ว”

“เดือนนี่แหละจะรักตาย เออ ก็ทำไมจะห้ามรักกันไว้เล่า เพราะเพียงพระภูษาทรงก็หอมตลบแล้ว ใครจะเว้นได้”

“ย่ะ นี่เคยจูบผ้านุ่งชายห่มนางข้าหลวงฉันบ่อยละซี”

“ยังเลย เป็นความสัตย์” หลวงกลาโหมกระซิบทูล “แล้วอย่าทรงอึงไป เมื่อคืนนี้หม่อมฉันอดนอนเป็นคืน ๓ มิหลับเลย ง่วงนักหนา”

“แล้วจะทำไม”

“ขอประทานตักพอเอนสักงีบเดียว แล้วจะอดนอนอีกสัก ๑๐ รุ่ง ก็มิว่า”

​ทรงสงสาร เพราะความจริงก็ทรงทราบตระหนักว่า ทหารคู่พระทัยสมเด็จพระบัณฑูร อุตส่าห์เฝ้าโคนไม้มิเป็นอันหลับอันนอนเลย นับแต่เตลิดหนีมา จึงทรุดพระกาย ประทับราบกับพื้น รับสั่งว่า

“อย่าทำเจ้าเล่ห์เพทุบายเป็นอื่นนะ จะบอกให้ หากมิหลับละก็จะโดนดี”

ออกหลวงกลาโหมนิ่งเสีย เอนกายรำลึกเสมือนว่า พระเพลานั่นถึงอย่างไรก็ย่อมประเสริฐกว่าจักนอนหนุนไม้ขอนหรือกลางดิน เมื่อหนุนแล้วก็ดูไม่ใคร่ถนัด พลิกกลับไปมา กระทั่งเมื่อเผลอก็โอบอ้อมพระองค์ท่าน ทูลถามขึ้นลอยๆ

“ทรงตกลงพระทัยแล้วหรือยัง”

“ตกลงอย่างไร”

“สละพระเกียรติประทานแก่หม่อมฉัน” แล้วเดือนก็แหงนจ้องสบพระเนตรพระองค์หญิง ทรงถอนพระทัยใหญ่ รับสั่งเมินๆ “หญิงก็มิรู้จะไปไหนแล้ว เชื้อวงศ์ก็สิ้นแล้ว นับวันแต่จะต้องหลบซ่อนซุกไปวันหนึ่งๆ กว่าจะสิ้นชีวิต แต่พ่อเดือนเอ๋ย แม้การจะป่นปี้ไปแล้วถึงเพียงนี้ ทั้งผู้คนและศรีอยุธยาซึ่งเห็นอยู่ด้วยกัน โธ่เอ๋ย พ่อเดือนจักเคยได้ยินอยู่มั่งหรือว่า มหาดเล็กกับนายตัวเคยประพฤติฝืนประเพณีท่านให้เสื่อมเสีย”

“หม่อมฉันมิเคยเห็น” เดือนทูลเศร้า ๆ เห็นพระทัย รู้สึกเคารพในเผ่าที่ทรงศักดิ์ แม้จักสูญแล้วด้วยสิ่งอัน ทั้งปราสาทราชฐานและราชวงศ์ แต่ผู้ที่เหลืออยู่ก็ยังสงวนศักดิ์นั้นเป็นที่ยิ่ง จึงทูลว่า “หม่อมฉันจะหลับละ ประทานแต่เพียงพระบาทให้หนุนก็พอแล้ว”

“ไม่ได้ พ่อเดือน” ท่านทรงสะอื้น น้ำพระเนตรคลอ รู้ใจเดือนและก็แสนจะรักน้ำใจ “เวลานี้ก็ไม่เห็นใครแล้ว เราอย่าเพิ่งเสียน้ำใจแก่กันเลย ตักหญิงแม้จะเคยกราบนบซบไหว้เคารพกันแต่ก่อน ถืงเช่นนั้นก็นับวันจะเสื่อมไปแล้ว เมื่อสิ้นราชศักดิ์และบารมีของศรีอยุธยา หญิงนี้ก็เสมือนแต่หญิงไทยที่มีชีวิตอยู่เป็นธรรมดาเท่านั้น ตักนี้เสียอีกไม่สมควรแก่ศักดิ์พ่อเดือนยอดทหาร นอนเสียเถิด เดือนเอ๋ย เมื่อตื่น หญิงจะตอบคำแก่พ่อเดือน ขอให้หญิงนี้ได้นั่งคิดความหลังสักหน่อย ขอร้องไห้อีกสักหน่อยเพื่อขอขมาราชวงศ์ท่าน”

ออกหลวงกลาโหมทหารกล้าประนมมือขึ้นกล่าวสัตยาธิฐาน “หากการนี้อ้ายเดือนจักผิดพลั้ง มิสมควร ก็ขอให้สิ้นชีพเสียขณะหลับ”

​แล้วทหารพระบัณฑูรก็หลับตาสนิท น้ำตาคลอ กระสับกระส่ายอยู่สักครู่ใหญ่ ลมป่าปลายละเมาะพัดพลิ้วมา และด้วยความแสนง่วงเพราะต้องนั่งยามอยู่หลายคืน มิช้าก็เคลิ้มหลับไป พระองค์หญิงทรงฝืนเมื่อย เมื่อจะพลิกขยับก็สู้ค่อยช้อนศีรษะบุรุษหนุ่มแต่เพียงเบา แล้วก็เหลือจะทรงทนความทุกข์พระทัยอีกต่อไปได้ เพราะทหารผู้ภักดีและวอนอยู่เมื่อสักครู่นั้น สะอื้นทั้งหลับเหมือนผู้ละเมอ

ท่านก็พลอยทรงกันแสง น้อยพระทัยว่าควรจะสิ้นพระชนม์เสียพร้อมกับกรุงพินาศด้วยพระเพลิง ยังจะทรงเกียรติยิ่งใหญ่ และมิต้องทรมานพระทัยท่านเช่นนี้ ครั้นหวนรำลึกว่าเหล่าพระประยูรญาติผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้ งลายเหล่าโน้นก็ต้องตกเป็นเชลยเขาแล้วแก่กรุงอังวะ จึงรำลึกว่าแท้จะเสื่อมศักดิ์ท่านด้วยความจำเป็นก็สมควรหนักหนาที่จะให้เสื่อมแต่ภายในเขตไทยมิแปลกไปอื่น

แม้เดือนผู้หลับสนิทจะเคยเป็นเสมอข้าที่ถวายกตัญญูและภักดีเสมอมา แต่เมื่อทรงรำลึกถึงความดีของเดือน ซึ่งบัดนี้เป็นไทยแต่เพียงหนึ่งเท่านั้นที่ได้เห็น ก็ทรงหักพระทัยรำลึกอีกว่า เขาเป็นบุรุษศรีอยุธยาที่มีเกียรติประดับสูงยิ่งเกินมนุษยชาติอื่นภาษาใด ทรงเสยผมทหารกล้า แล้วซบพักตร์จดหน้าผาก รับสั่งปลุก

“ตื่นเถิด พ่อเดือน ยอดทหารพระบัณฑูร จงตื่นขึ้นฟังคำเถิด”

แต่ออกกลาโหมนั้นเล่า หลับสนิท นานครั้งก็สะอื้นเสียครั้ง และลางคำก็เพ้อบ่นศรีอยุธยาที่สูญแล้ว จักเชิญไปสู่แห่งใดก็สิ้นปัญญาอ้ายเดือน ครั้นจะตามเสด็จต่อไปเล่า ท่านก็ทรงรังเกียจด้วยพระเกียรติท่าน จึงคำท้ายของเดือนนั้นเองที่ต้องทรงกันแสงดัง

“ได้เห็นไทยแต่หนึ่งในยามนี้เท่านั้น พ่อตื่นเถิด”

ขาดรับสั่ง ท่านก็กอดกายช้อนศีรษะเดือนจนผวาตื่น แต่เสียงโห่ร้องบุกรุกล้อมมาแต่แนวไม้ มีครัวหญิงสามสี่คนทั้งแม่ลูกที่ต้องถูกกุมตัวฉุดกระชากมาให้รีบตาม ถึงเช่นนั้น ครัวซึ่งถูกต้อนก็อุตส่าห์ตะโกนบอกให้หนี

“ใครนั่น แม่เอ๋ย หนีเสียเร็วๆ ถ้าอยู่จะตกเป็นเชลยเขา”

ชาวพม่าซึ่งแต่งเป็นกองโจรนั้นปลอมปะปนเป็นไทยออกเที่ยวกวาดต้อนเชลยและค้นหาทรัพย์ ตั้งแต่ตลาดขวัญเมืองนนท์ระเรื่อยมา ข้างใต้ก็ขนาบจากธนบุรีขึ้นมาอีกทางหนึ่ง ถึงหากจะฟังคำมิออกก็พอจะรู้เค้ากิริยา​จึงเมื่อได้ยินตะโกนดังนั้น แม่เฒ่าผู้ตะโกนก็ต้องได้รับโทษจนล้มกลิ้ง แล้วก็พากันวิ่งเกรียวมาเป็นหมู่

เสียงโห่กึกก้องทำให้เดือนสิ้นความงัวเงียทันที ผุดขึ้นนั่งจ้องทหารอังวะซึ่งเกินกว่า ๑๐ และประพฤติผิดเมตตาเช่นนั้นก็แค้นใจนัก เรื่องหนีนั้นอย่าหมายเลย นอกจากไม่พ้นแล้วก็จักได้ชื่อว่าเป็นชายขลาด และก็ครั้งนี้เท่านั้นจักถึงวาระของออกหลวงกลาโหม ศึกหนักหนาครั้งอื่นก็ยังตัวคนเดียวและพรั่งพร้อมเพื่อนทหาร แต่ครั้งนี้ศึกน้อยก็เสมือนมากด้วยมีห่วงอยู่ จักรู้รักหนีก็ตายวันยังค่ำ ก็จะขอสู้ตายดีกว่า ยอมพินาศนอนแผ่นดินต่อหน้าพระพักตร์ พระองค์หญิงท่านทรงถลาเข้ากอด

“ครั้งนี้สุดชีวิตเราแล้ว พ่อเดือนเอ๋ย ขอให้หญิงได้ตายพร้อมพ่อเดือนเถิด”

“อย่า พระองค์หญิง” เดือนกางแขนกั้น “อย่าทรงเกาะหม่อมฉันเหมือนศึกครั้งอื่น จะเสียการ เชิญเสด็จขึ้นต้นไม้เร็ว ถึงอ้ายเดือนจะต้องทูลลาก็จะถวายฝีมือทหารพระบัณฑูร แม้ศรีอยุธยาจะสิ้นไปแล้ว แต่เมื่อเหลือไทยสักเพียงคนหนึ่ง อ้ายเดือนก็จะสู้ให้มันเกลี้ยงแผ่นดินเสียดีกว่าอยู่อายเขา เสด็จขึ้นเร็วเถิด คอยทอดพระเนตรเถิด อ้ายเดือนจะขอสิ้นชาติต่อพักตร์พระองค์หญิง”

แล้วพระองค์หญิงก็ถูกอุ้มขึ้นสู่คบไม้ ทรงกันแสงโหยหวนดังจะขาดพระทัย ทรงตระหนักดีว่าหลวงกลาโหมนั้นยอมปลงชีวิตตัวเสียแล้วด้วยเหตุผลหลายสถาน สองพระหัตถ์ทหารกล้าที่ชัก ๒ ดาบ ปราดวิ่งจากโคนไม้เข้าสู้ศึกพริบตานั้น

เดือนวิ่งเข้าฟันคนหน้าซึ่งกำลังหันต้อนทหารให้เข้าจับซวนไป ซ้ำด้วยแค้นที่มาบุกรุกเข้าเผาเมืองให้ได้เดือดร้อนตลอดทุกเส้นหญ้าแล้วยังจะตามมาล้างอีก พอคุกเข่าถึงดินก็แต่กายคนละท่อน แล้วก็ถึงนายหมู่และทหารเลว ยิ่งนึกถึงครั้งเมื่อเชิญธงพระยายมราช ศึกสำคัญ เดือนก็ยิ่งมุน้ำใจเข้าหักฟันเอา สองสามถึงสี่ทีได้ถูกปลิดชีพเป็นเครื่องเซ่นแก่แผ่นดินแล้ว แม้ทหารพม่าข้าศึกซึ่งแต่งปลอมเป็นเหล่าโจรมานั้น จะขยาดน้ำใจเพราะเครื่องแต่งกายทหารและฝีมือเหี้ยมหาญของเดือนก็ดี กระนั้นก็เข้าห้อมล้อมรุมฟันจะจับเชลยกล้าเอาแต่เพียงศพ

พระองค์หญิงประทับยึดคบไม้ขบพระทนต์แน่นนิ่งตะลึงอยู่ แม้จะปีติว่าได้ชมฝีมือแกล้วของอดทหารสมเด็จพระบัณฑูรซึ่งประหารศึก ป้องกัน​พระองค์ไว้ และตายเกลื่อนสี่ห้าศพก็ดี แต่พระองค์ท่านก็สุดตระหนกพระทัยเป็นที่ยิ่ง ด้วยออกกลาโหมพ่อเดือนถูกรุมล้อมหน้าหลังรอบตัวเป็นตะลุมบอนแล้ว บางแผลเปรอะเลอะไป เห็นแต่โลหิตท่วมหน้าท่วมกาย ยืนซวดเซจะสิ้นแรงล้มอยู่ในขณะหน้านี้ ก็ทรงอธิษฐานแก่พระยาไม้ซึ่งประทับอยู่ทั้งเทพยดาเทพารักษ์อันจักต้องพลีและเซ่นสรวงบนบานต่างๆ ขอแต่เพียงให้บุรุษฝีมือฉกาจแกล้วผู้นี้เพียงรอดชีวิตมิถึงฆาต แม้ยามขัดหักเพียงน้อยหนึ่งในสมบัติซึ่งติดพระองค์มา คือสไบทรงก็จะเปลื้องออก ถวายห่มแก่พระยาไม้นี้ไปพลางก่อน ต่อเมื่อหน้ามีพำนักหลักแหล่งและพอหาแล้วเครื่องเซ่นพลี ก็จักถวายทีหลังอีกสารพัดสิ่ง

พลันเสียงอื้ออึงอีกทางหนึ่ง เบื้องหลังชาวอังวะและหงสาวดีนั้น ระหว่างที่ออกกลาโหมยืนซวดเซอะล้มแล้ว ได้แต่อาศัยอิงไม้อยู่เท่านั้น

“หลวงภักดี เร็วเข้าเถิด” พระองค์หญิงทรงโบกหัตถ์และกันแสงอยู่

“พ่อมั่น พ่อแทน อย่าช้าเลย นายภูบาลด้วย เร็วหน่อย พ่อเดือนของฉันจะตายอยู่แล้ว”

“ยืนไว้ก่อน พ่อหลวง” ตามั่นวิ่งปราดขึ้นหน้า “กัดฟันไว้สักอึดใจเถิด นี่อ้ายมั่นมาแล้ว”

หมู่แทนก็ตะโกนเสียงสั่นสะอื้น ทิ้งหมู่ครัวและลูกเมีย ถอดดาบแล่นตามตามั่นมาติดๆ

“พ่อหลวงแข็งใจหน่อย นี่หมู่แทนอีกคนหนึ่ง”

“เอ๊ะ จะลืมฉันเสียกระไรได้” หลวงภักดีตะโกนลั่น เหลียวบอกแก่ภริยาและคนอื่น “อยู่นี่นะ ยมโดย ทุกๆคนอยู่นี่แหละ แล้วเร่งทหารให้เขาตามกันไป”

แล้วก็ยินเสียงเช่นฟันคำรามต่างๆกัน สุดแต่โทสะและความแค้น

อ้า เหล่าศัตรูปล้นเผาเมืองแม้ศรีอยุธยาก็มอดไปแล้วเป็นถ่านเถ้า ดูหรือ ยังมิหนำใจติดตามมาประหารชาวบ้านรายทางอีก หากพบทหารกลาโหมเข้าจึงรู้สำนึก และประเดี๋ยวเถิด จักตายนอนเกลื่อนทุ่ง

ดาบหนึ่ง ตามั่นมุทะลุ และดาบสอง หัวหมู่ทหารพระบัณฑูรซึ่งฝีมือแกล้วหาญละม้ายครู ทั้งหลวงภักดีผู้ชำนาญช่ำชองเคยแก่สงคราม ก็กวาดตะลุยเข้ากลางหมู่ศึกพร้อมกัน หัวขาดทั้งขาแขนก็หล่นเกลื่อนแผ่นดินแฉะฉ่ำ​อยู่ด้วยโลหิต หญ้าแพรกอันมีพรรณเขียวก็เปลี่ยนเป็นย้อมหม่่นและแดงฉาน

แม้เลือดจะเข้าตางงอยู่ และได้เจ็บสาหัสเพราะบาดแผลเหล่านั้น ออกเดือนยอดทหารศรีอยุธยาก็มานะกัดฟันเพราะสตินั้นเตือนใจว่า ดวงใจอันเป็นที่สุดเสน่หา แม่แอบอยู่บนคบไม้ ก็หลับตาบ้าง ลืมตาบ้าง เมื่อเลือดเข้าตาแล้วฟันกระหน่ำใหญ่จนกระทั่งได้ยินพระองค์หญิงทรงกันแสงตะโกนเรียก ได้ยินออกชื่อออกนามของหลวงภักดีและนายหมู่ แทน ตามั่น เห็นศึกแตกตื่นกระจุยกระจาย ก็รู้ว่าตนนั้นมิถึงฆาต จึงยิ่งเกิดมานะสู้ โหมกำลังฟันตลบตะลุยเข้าหา

นายภูบาลวิ่งสุดฝีเท้านำหน้าทหารมาถึงประจวบกันอีก

“ล้อมไว้ อย่าให้รอดจนชีวิตเดียว ถ้าออกด้านใคร เราจะตัดหัวคนนั้นเสีย”

ตามั่นหัวเราะแค้นๆ เหลียวมาดู

“อ้อ ล้อมแล้วรึ บ๊ะ ยังธี้ถ้าปล่อยให้รอดไปได้ละก็ สิ้นมนุษย์ละ อย่าเกิดเป็นคนเลย ฉันน่ะ ตัดโยนเล่นเสียสี่ห้าหัวแล้ว ว่าแต่อ้ายทุ่งนี้เขาเรียกทุ่งอะไรกันแน่”

นายภูบาลก็ตอบพลางและหัวเราะดุจสนุก ตอบตามั่นว่า

“แสนแสบ นี่ละ มันทุ่งแสนเจ็บแสนแสบละ”

“บ๊ะ นายภูบาล พ่อช่างเปรียบนัก” ตามั่นร้องอึง หัวเราะร่วน “แต่ฉันจะช่างเปรียบ เรียกมันเสียว่าทุ่งพม่าหัวหาย จะเป็นยังไง เอ้าอีกหัวหนึ่งแล้ว”

ขาดคำตามั่น พลพม่าข้าศึกก็ล้มด่าวดิ้นลงหมดชีวิต แม้หัวก็หามีจักติดกายมิได้เหมือนเช่นกัน และบ้างก็สะพายแล่ง มิอาจเล็ดลอดหนีไปได้แต่สักคนหนึ่ง หัวหมู่แทนก็ชูดาบตะโกนขึ้นว่า

“หนำใจกู เอ้า โห่ซิ ตามั่น นับเอาเป็นมหาฤกษ์ขอยเรา เพื่อว่าข้างหน้าจะได้พบกันอีก”

ตามั่นก็ป้องปากโห่ขึ้น สำเนียงลอยโหยหวน จักให้เพราะและฮึกหาญไปในตัวเสร็จ จึงต้องเตือนกันให้ทอดเสียงลง แล้วก็รับกันอยู่กึกก้องร่าเริง ด้วยทั้งได้ชัยชนะและมาพบกันอีกโดยมิคาด

หลวงกลาโหมก็สิ้นแรงล้ม มือซึ่งกำตามก็ค่อยคลาย ด้วยไร้สมประดี แล้วโลหิตนั้นท่วมหน้าท่วมกายชวนให้เห็นอาการนั้นน่าปริวิตกนัก

หลวงภักดีจึงเข้าประคอง รำพันด้วยเป็นห่วงชีพทหารกล้า และให้นายภูบาลเชิญเสด็จรับพระองค์หญิงลงจากคบไม้ ซี่งขณะนั้นพวกครัวที่ยืน​ตระหนกดูอยู่ ครั้นเห็นเสี้ยนศึกแผ่นดินสิ้นชีพหมดแล้ว จึงกรากเข้ามา ทั้งยมโดยและพระองค์หญิงก็ต่างกรากเข้าช่วยประคอง

“โอ้ ทหารทูลกระหม่อมแก้ว พ่อเอ๋ย” ทรงกันแสงไห้และสะอื้นรำพัน “กลาโหม พ่อเดือนของฉัน พ่อชนะมาร้อยทิศจบแดน เป็นที่ลือฝีมือ แล้วก็ดูหรือยมโดย น้ำใจว่าเสียกรุงศรีอยุธยาแล้ว พ่อก็จะเสียชีพมลายตามไปกระนี้ มิน่าเลย”

ยมโดยแม่ผูกใจลึกซึ้งแก่ออกกลาโหมนั้นหนักหนา แต่เมื่อแรกเป็นคนรัก พ่อทนรักทนกรรมคอยมาโดยอยู่ด้วยแสนลำบาก แต่ว่าเวรของออกหลวงหนุ่มนั้นมิสิ้นยังมีกรรมซัดให้พรากผิดคู่กันไปเสีย และพ่อก็มิได้ถือเคืองนึกเป็นกรรมตัว น้ำใจพ่อนั้นประเสริฐนักแล้ว และรักกันดุจฐานพี่น้องอยู่ขณะนี้ ยิ่งยินทรงรำพัน ข้าหลวงพระองค์หญิงก็อึ้งด้วยตีบตั้นหัวใจ ถอนสะอื้นแล้วก็ส่งเสียงไห้

“แม้สิ้นบุญพ่อเสีย ก็เหมือนสิ้นสกลุทหารฝีมือเอกพระบัณฑูรดุจศรีอยุธยาสลายลง และเหล่าเราก็จักว้าเหว่นัก ซึ่งจะอพยพต่อไปอีก เพราะดุจองค์ทัพและฉัตรชัยมาพลันสะนั้นเสีย”

แล้วสองอิสตรีก็พร่ำให้ ทั้งข้าหลวงและพระธิดามหาอุปราช อันโลหิตกลาโหม แม้จักแดงฉานท่วมกายแปดเปื้อนอยู่ก็หาจะคิดรังเกียจไม่ และโลหิตนั้นก็ไหลรินอยู่ทุกแผลดุจธารน้ำเร่งไหลแข่งกัน เหล่าบุรุษซึ่งยืนล้อมดูอยู่ก็พากันใจคอไม่สบาย

ตามั่นทรุดลงปลายฝ่าเท้า พูดสำเนียงเครือจักร้องไห้

“โธ่เอ๋ย พ่อหลวง แต่อยู่ด้วยกันมาเป็นนายเป็นบ่าว อ้ายมั่นยังมิเคยเห็นเช่นนี้ อ้อ ฝ่าเท้ายังอุ่นอยู่ เห็นจะเพียงสลบไปเท่านั้น”

แล้วตามั่นก็ฮึดลุกขึ้น ดูกองศพก่ายของพม่าข้าศึก เที่ยวสำรวจดู หากเห็นสงสัยจะมิตายหรือเพียงสลบก็ฟาดฟันเสียให้สิ้นชีวิต ด้วยความแค้นลึกซึ้ง มันเผาเรือนเผากรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยากรุงหลวง อยู่มาชั่วปู่ชั่วทวดให้เป็นถ่าน ทั้งจับเชลยชายหญิงยังไม่หนำแก่ใจ อุตส่าห์ตามมาอีก ก็อย่ากลับแล้วเพื่อให้เป็นที่แม่น้ำใจ ตามั่นก็ปั่นหัวเสียหมดทุกคน ให้ทหารเก็บประดับขึ้นเป็นกองสูง

เห็นเวลาจักเนิ่น และเกรงกองลาดตระเวนหาเชลยของพม่าจะติดตามมาอีก ซึ่งอาจจะทำให้หนักแรงเพราะออกหลวงมาล้มเสียคนหนึ่งและห่วงแก่ครัวเรือน จึงหลวงภักดีก็สั่งตามั่นให้คุมทหารตัดไม้ผูกขึ้นเป็นแคร่หามกว้างขวางพอแก่หลวงกลาโหมจักนอนตลอดไป รวมทั้งพระองค์หญิงให้ประทับเป็นผู้ปฏิบัติไปตามทาง เมื่อสำเร็จแล้วจึงให้ทหารหามมุ่งหน้าเอาตะวันออกเป็นทิศที่ตั้งยกไป

แม้ไก่จะขันเมื่อรุ่งระเบ็งไปตลอดบ้านนาบ้านไร่ตลอดทุ่งและสารทิศอื่นนั้น ลมทุ่งพัดหันหวนอลวนแล้วก็พลันสงบ เห็นแสงตะวันออกขึ้นเรื่อเรืองสันโดษอยู่ดวงเดียว ดุจพลอยเศร้าว่าศรีอยุธยานั้นพินาศแล้ว เหลือแต่ซากเถ้าและถ่านถมดิน เหลือแต่ทหารและพลเมืองซึ่งพลพม่าล้างเสียให้เพลิงบ้าง ด้วยศัสตราวุธบ้าง มิได้ละเว้นว่าหญิงชายหรือผู้ชราแก่เฒ่า ตลอดทรัพย์สมบัติและวัดวาอาราม มหาปราสาทราชฐานซึ่งเคยตระหง่านขึ้นเสียดฟ้ารับแสงตะวันทุกๆขณะเวลานี้มาหลายชั่วอายุคน ก็ล้มโค่นอยู่เหนือผืนแผ่นดิน

บุรุษหนุ่มนอนลืมตาอยู่เหนือแคร่ เพิ่งจะได้สติรำลึกหวนไปด้วยการหลังต่างๆ บางครั้งก็ฉงนใจตัวว่ามาหลับใหลอยู่แห่งหนใด ทั้งฝันกระท่อนกระแท่น เมื่อขณะหลับแล้วย้อนไปความหลังทั้งสิ้น เห็นองค์สมเด็จพระบัณฑูรทรงกวักหัตถ์เรียกออกเดือนกลาโหมให้ไปใกล้ รับสั่งพึมพำให้เตรียมทหารด้วยพระพักตร์เศร้า ยินสำเนียงแจ๋วของแม่ยมโดยทัวเราะเรื่อย เห็นพักตร์พระองค์หญิงแต่รางๆ ทั้งทรงกันแสงและทรงพระสรวลพิกลอยู่ในฝันของตัวนั้น

แต่ออกเดือนก็หารู้มิได้ว่า บัดเดี๋ยวนี้ตัวนอนอยู่ในกระท่อมโรงนาแห่งใดของผู้ใด ตราบกระทั่งยินเสียงอิสตรีร้องไห้กระซิกสะอื้นอยู่ข้าง หากแต่สุดกำลังตัวจะเหลียวเห็น เพราะบาดแผลระบมนั้น

“เอ๊ะ ใครมาร้องไห้หนอ” ออกเดือนถามเปรยๆ มิแน่ใจ” ใครมาร้องให้อยู่ เมตตาให้เห็นหน้าสักหน่อยเถิด”

เสียงสะอื้นก็พลันหายดุจกลืน แล้วโฉมพระธิดาพระบัณฑูรท่านก็ปรากฏคุกเข่าอยู่ที่แคร่

“พ่อทูนหัวเอ๋ย ไม่ตายแน่แล้ว” รับสั่งโดยปีติ น้ำพระเนตรคลอๆ

“พ่อเดือนสลบไร้สติมาถึง ๒ คืน และจะ ๓ วัน ทั้งวันนี้”

“พระองค์หญิง” เดือนตะโกนเรียกดุจเกรงไม่ได้ยิน ทั้งเสียงตนก็แหบแห้งนัก “นี่ใช่พระองค์หญิงของหม่อมฉันหรือ หม่อมฉันหลับหรือตื่นอยู่ ​รับสั่งหน่อยเถิด”

“กลาโหม พ่ออย่าเพิ่งลุกขึ้นนั่งมิได้” พระองค์หญิงทรงเข้าปะทะประคองห้าม แย้มพระสรวลปลอบน้ำใจ “พ่อได้สติแล้ว หาใช่หลับใช่ตื่นหรือฝันไปมิได้ และนี่ก็หญิง ซึ่งพ่อเดือนได้หอบหิ้วมา”

ทหารหนุ่มค่อยฝืนยิ้ม ค่อยได้สติจำความได้

“อ้อ ถูกละ หม่อมฉันถูกพม่าล้อมตะลุมบอน และหลวงภักดีพวกเรามาช่วย หาไม่ก็จบชีวิตหม่อมฉันแล้ว เอ ก็แล้วพวกนั้นเขาไปเสียข้างไหนหมดเล่า และโรงนานี้อยู่แห่งหนตำบลใดเล่า พระองค์หญิง”

“เขานั่งตากลมรุ่งอยู่กลางนาโน้นทุกคน และพวกผู้หญิงก็หุงหาอาหาร ดูเขาสนุกสนานดี หากรู้ว่าพ่อเดือนฟื้นอันตรายแล้ว ก็คงจะดีใจหนักหนา”

เดือนนิ่งนึกนิ่งฟัง พลอยยินดีด้วยพวกครัวเหล่านั้นตลอดบรรดาพล แล้วก็ทูลถามอีก

“รับสั่งสักหน่อยเถิดว่า เดี๋ยวนี้หม่อมฉันอยู่ที่ไหน”

รับสั่งตอบเป็นธรรมดาว่า

“ทุ่งกาหลง พวกเขาต่อแคร่หามพ่อเดือนมาแต่วานซืน มิได้สติ ยินเพ้อถึงใครต่อใคร”

“หม่อมฉันไปเฝ้าสมเด็จพระบัณฑูร” เขาเอาความฝันมาตอบ แต่มีทีท่าเสมอจริงๆ ก็ได้กล่าวทูลต่อ “ได้หมอบอยู่แทบฝ่าพระบาท มีเสียงพระราชบัณฑูรอยู่พึมพำ ฟังมิถนัด แล้วจึงลูบศีรษะและไล่หม่อมฉันให้รีบกลับ ว่าพระองค์หญิงจะคอย และรับสั่งเสียดายความงามของมหาปราสาทราชมณเฑียรนัก”

ทรงมีพระพักตร์เศร้า และสะท้านพระองค์ดุจต้องลมหนาว

“แหม พ่อเดือน ฉันขนลุกเกรียวทั้งตัวหมด ยินอยู่เหมือนกัน เมื่อขณะเพ้อ สองมือขวักไขว่ถวายบังคม เอ่ยนามทูลกระหม่อม”

ทรงหยุดแต่เพียงเท่านั้น มิได้รับสั่งต่อไปอีก ทั้งเมินพระพักตร์จนกลาโหมฉงนใจตัว จะนิ่งอยู่มิได้

“และอะไรพ่ะย่ะค่ะ”

พระองค์หญิงซ่อนพระสรวลและเหลียวหา แต่เค้ายิ้มยังมีอยู่

“เดือน พ่อนึกไม่ออกหรือ ว่าฝันอะไรอีก”

​เขาส่ายหน้าเฉยเมย มิรู้ตัว

“เปล่าเลย หม่อมฉันนึกอย่างไรมิออกอีกเลย อ้อ เดี๋ยวก่อน ดูเหมือนว่าจะได้เรียกใครต่อใคร”

“ยมโดยน่ะซี” รับสั่งพักเสียก่อน “ทั้งโคลงฉันท์กาพย์กลอนพ่ออ่านเรื่อยมาตลอดจนสิ้นหนทาง กระทั่งถึงกระท่อมนี้”

“ตายจริง” เดือนหัวเราะได้ยินเสียงเป็นครั้งแรก “หม่อมฉันนี้เพ้อเอามากๆ”

“รักเอามากๆด้วย พอสลบมิรู้ตัว ความหลังที่พ่อเดือนเอาแอบไว้ก็ผุดขึ้นมาดุจตอไม้ในน้ำขณะที่ไหลลดเพราะน้ำใจพ่อลดลงขณะสลบ”

เดือนแสร้งหลับตาด้วยความละอายแล้วพูดด้วยเชิงเป็นเล่นว่า

“แม่ลูกอ่อนยมโดย”

“พ่อติเขาแต่ปากหรอกกระมัง หาไม่ จะเพ้อถึงแม่ลูกอ่อนหรือ”

เดือนหัวเราะเก้อ ลืมตา เอื้อมมือกุมพระหัตถ์ท่าน

“คนเราไร้สติก็เหมือนบ้า แต่กระนั้น หม่อมฉันก็จำได้แม่นยำเป็นแน่นอนว่าได้ตะโกนเรียกพระนามจนเต็มเสียง”

“แน้ พ่อเรียกใคร”

“พระองค์น้อย” เขาตอบ ช้องพระเนตรเป็นปัญหา “เรียกอยู่หลายคำเหมือนกัน”

มิได้ทรงชักพระหัตถ์หนี แม้จักละอายพระทัยบ้าง ก็จะฝืนเอาใจคนไข้ยิ่งกว่า และความจริงก็ทรงได้ยินมาตลอดทาง กระทั่งถึงกระท่อม ถ้าหากเขาเพ้อแล้วก็มักจะเรียกหาพระองค์ท่าน ทั้งยิ้มและหัวเราะและดุดัน คงจะนึกถึงสู้ศึก

“ก็เรียกน่ะสิ และพ่อทูลรำพันอย่างไรบ้าง จำได้ไหม”

“เปล่า”

“มุสาเสียกระมัง พ่อเดือน” รับสั่งล้อๆ และเล่าว่า “พ่อรำพันแก่ฉันเสมือนแม่ยมโดย เมื่ออยู่พระตำหนัก พ่อเพ้อลาตาย จะไปอยู่กับทูลกระหม่อมแก้ว และอื่นๆอีก”

เดือนพลิกตะแคงตัว ทูลถามไถลเสียคนละเรื่อง

“นี่เราอยู่โรงนาใคร พระองค์หญิง”

​“ของครัวแม่ลูกที่ถูกพม่าฉุดเอาไป และพ่อเดือนได้ช่วยไว้นั่นแหละ”

“อ้อ” ออกกลาโหมพยักหน้านึกอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งเหลือบตามองหลังคากระท่อมที่พำนัก “หม่อมฉันคงหลับไม่ได้สติไปเสียนาน และก็รู้สึกตัวว่าถูกรุม รบครั้งนี้บาดแผลมากมายผิดเคยนัก เป็นเพราะด้วยห่วงแต่โคนไม้จึงยืนรับมิอาจตะลุยข้าศึกให้แพ้ในฉับพลันดุจเคยๆมาแล้ว”

“พ่อห่วงโคนไม้” ทรงย้าและถอนพระทัย พอจะเดารู้ “พ่อเดือนมาพลาดพลั้งครั้งนี้เพราะห่วง”

“โคนไม้” เขายืนคำอยู่เช่นเดิม ฝืนยิ้มเศร้าใจตัว “เพราะเหนือคบไม้นั้นมีเจ้าแม่เทพารักษ์แห่งหม่อมฉันสถิตอยู่ แม้จะรุกรอดไปก็จะเป็นเชิงฆ่าศึกให้ล้อมหลัง แล้วอัญเชิญเจ้าแม่ชิงไปเป็นเชลยเสียก็น่าเสียดาย จึงคิดเสี่ยงชีวิตตัวถวายกตัญญูท่าน แม้สืบไปนี้จะต้องตายด้วยพิษไข้พิษแผลเสียก็ยังดีกว่าจะตายด้วยพิษใจกำเริบ”

ทรงสะอื้น ด้วยรู้ว่าออกเดือนกล่าวพ้อต่อว่าในเชิงรัก บัดนี้กรุงหลวงก็สูญเป็นเถ้าไปแล้ว ทั้งราชวงศ์ทั้งยศถาบรรดาศักดิ์พระองค์ท่านก็เหมือนนกเพิ่งพ้นกรงพ้นแก่พระมนเทียรบาลแน่แล้ว จึงก้มกระซิบหูทหาร รับสั่งเสียงเครือ

“พ่อยอดบุรุษและนักรบ ไยจักกล่าวเช่นนั้นเล่า ขณะนี้หญิงก็มองไม่เห็นใครอีก ผิว์พ่อมรณะเสียแล้ว อย่าหมายเลยว่าอายุหญิงจะยืนอยู่ไปได้อีก พ่อจงสิ้นทุกข์เสียเถิด เพราะเดี๋ยวนี้กรุงแก้วก็ดับสูญสิ้นเชื้อวงศ์ และหญิงนี้ก็จะคืนยศเป็นราษฎรสามัญสืบไป และตามพ่อเดือนไปทุกหนทุกแห่งสุดแต่การ”

“แม่ยอดเชลยศึกของกลาโหม เพียงรับสั่งหนหนึ่งนี้ก็เหมือนไม่ต้องรักษาแผลแล้ว คงจะหายได้ในเร็ววัน”

ทรงถอนสะอื้นและสิ่นเทิ้มทั้งพระองค์

“หญิงเจตนาใจแล้วจะเปลี่ยนชื่อ จักคืนยศและเพื่อไว้อาลัยถวายกตัญญูแก่ราชตระกูล จึงขอให้พ่อเดือนกล่าวแก่หญิงอีกคำเดียวในสถานะที่เป็นเจ้าครั้งสุดท้ายเท่านั้น”

“พระพุทธเจ้าค่ะ” กลาโหมประนมมือ “หม่อมฉันออกกลาโหมก็สิ้นยศแล้วเหมือนกัน เชิญรับสั่งเถิด”

“ฉันขอเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ จึงขอเชิญพ่อเลือกสรรขึ้นคำหนึ่งมาตั้งให้”

​ออกเดือนนิ่งครู่ก็ยิ้มแย้ม ตั้งแต่ก่อนล้มเจ็บจนตราบนี้เพิ่งจะรู้สึกสำราญใจตัวจริงๆ เพราะได้ฟังรับสั่งครั้งนี้เอง

“แม้ทรงมั่นพระทัยเช่นนี้แล้ว หม่อมฉันก็คงจะหายวันหายคืนเพราะด้วยดีใจตัวนัก ซึ่งจะได้ถวายกตัญญูอีกตลอดไป”

“พอแล้ว” รับสั่งและโบกพระหัตถ์ห้าม “แต่นี้ต่อไป ขอพ่อเดือนอย่าได้พูดคำทูลแก่ฉันดุจก่อนอีกเลย และเมื่อหายหรือพอค่อยยังชั่วก็จะได้เดินทางอีกต่อไป จนกว่าจะพบกองทหารไทยที่รวบรวมกันขึ้นคิดกู้ชาติบ้านเมือง เพราะฉันเชื่อหนักหนาว่า ศรีอยุธยาไม่ไร้ทหาร ไม่สิ้นคนดี จักเกิดขึ้น และขอออกกลาโหมจงเร่งเปลี่ยนชื่อฉันเสียเถิด”

เขากลับขมวดคิ้ว ดุจตรึกแก่การสำคัญสิ่งหนึ่ง และสิ่งนั้นหาใช่อื่น คือที่รับสั่งถึงกู้ชาติ และศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดีนั่นเอง

“องค์หญิงก็อย่ารับสั่งเรียกหม่อมฉันว่ากลาโหมอีกเลย” ออกเดือนทักเถียง ไม่ยอมจักผิดแต่ฝ่ายเดียว “ก็ดีแล้วที่จะเปลี่ยนชื่อ เพราะหม่อมฉันเมื่อเป็นกลาโหมก็ต้องเคราะห์ตลอดมา แม่เปลี่ยนเรียกชื่อเดิมเสียบ้าง บางทีจะพ้นเคราะห์ แต่ขอให้ทรงประคองหม่อมฉันพอให้ได้นั่งสักครู่เถิด เพราะนอนอยู่เช่นนี้กี่คืนก็ไม่รู้ตัว เมื่อยนัก จะเอาสติปัญญาที่ไหนมาติดตั้งพระนามถวายได้”

ทรงค้อนสัพยอก หากยิ่งจับใจ ออกเดือนลึกซึ้งยิ่งกว่าประทานความหมายใดๆทั้งสิ้น แล้วก็ทรงค่อยช้อนประคองขึ้น

“ไม่ต้องรักษาด้วยอื่นหรือหยูกยากันละซี เพียงแต่ประคองลุกประคองนั่งก็คงหายไปเองกระมัง”

ข้าพระบัณฑูรซึ่งลุกนั่ง ยืดกายสบายขึ้น ก็ตอบว่า

“หม่อมฉันก็เจตนาอยู่ จักให้เป็นเช่นนั้นด้วย ว่าจักต้องสงสัยว่า ไข้นี้หายด้วยขนานยาอื่น หากเป็นพระโอสถซี่งประทานมาจากน้ำพระทัยของพระองค์หญิงเอง”

“ไม่หญิง ไม่พระองค์ ไม่พระทัย อะไรอีกละ บอกให้พูดเฉยๆ”

“ก็ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อ ก็ต้องพูดไปตามเดิมกระนั้นก่อนจะเป็นไรไป”

“ก็เปลี่ยนเสียซี ไหนว่าเมื่อลุกนั่งได้แล้วจะเกิดปัญญาความคิดอย่างไรเล่า”

​หนุ่มพ่อเดือนก็หันชำเลืองมอง โอบแขนหนึ่งอ้อมพระกายก่าย และที่จริงซึ่งนามจะเปลี่ยนถวายนั้นได้นึกไว้แล้ว

“ฟังทูลเถิด พระองค์เอ๋ย ออกเดือนจักถวายนามแต่บัดนี้ ก็ตามสถานภูมิประเทศที่มาถึง และเปรียบเหมาะในส่วนพระองค์และหม่อมฉันคือว่าทุ่งนี้เขาเรียกชื่อว่า ทุ่งกาหลง หม่อมฉันก็จักถวายพระนามแม่ว่า กาหลง คือชื่อถิ่นสถานที่ทรงสละอิสริยยศประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง หม่อมฉันก็เสมือนศักดิ์กาซื่อจักต้องหลงแม่ไปจวบจนวันตาย”

ทรงยิ้มพีงใจในนามนั้น แต่ละอายไม่สิ้น ก็แอบหน้าเมินไปเสียทางหนึ่ง

“ช่างเปรียบเทียบนัก แต่ก็ช่างเลือกสรรมาตั้งได้เพราะดี และส่วนตัวพ่อเดือน ฉันก็จะเรียกออกเดือน เพื่อรำลึกถึงทูลกระหม่อมแก้วได้ทรงตั้งไว้บ้าง”

“สุดแต่ใจสิ แม่กาหลง”

เขาเชยคางพระธิดาสมเด็จฯ ให้หันมาสู้หน้า พระพักตร์ท่านก่ำระเรื่อและยิ่งอาย แล้วออกเดือนก็จุมพิตแต่โดยเบาพอเป็นพิธี

“กาหลง แม่เป็นราษฎรแล้ว เยี่ยงอิสตรีสามัญทั้งหลาย”

มิทันได้พูดจบก็ยินเสียงจิ้งจกทัก แต่ที่ร้องขึ้นกลับเป็นเสียงตุ๊กแกของตามันแง้มประตู สาวกาหลงแม่ก็ผละหนีด้วยความแสนละอาย

“อ้ายมั่นเห็นหรอก แม่หญิงกาหลง” แกเดินหัวเราะเรื่อยตรงมา “ทั้งได้ยินจัดการเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนเสียงกันเรียบร้อยแล้ว ตุ๊กแกถึงได้ร้องกลางวัน ว่าแต่ออกเดือน พ่อเห็นจะค่อยยังชั่ว หายวันหายคืนละกระมังครั้งนี้”

“ก็เห็นจะเป็นได้” เดือนตอบ วางหน้าไม่ค่อยสนิท “พวกนั้นเขาไปไหนกันหมดเล่า”

“หลบอยู่กลางทุ่งโน่นแน่ะ”

“บ๊ะ หลบใครกัน กลางทุ่ง ถ้าหลบ มันต้องที่อื่นซี ตามั่น”

“เขาหลบคนสองคนเท่านั้นแหละ”

แกพยักหน้าเอาซึ่งๆ

“ก็ออกเดือนกับแม่หญิงกาหลงน่ะซี เออแน่ะ ไหนๆ เรื่องมันก็จะแดงปิดไม่ไหวแน่แล้ว อ้ายมั่นจะให้พ่อช่วยอะไรสักอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรหรอก”

“ฮือ อะไรกัน”

​แกชะโงกหน้ามาใกล้ ค่อยป้องปากบอกที่ข้างหูว่า

“อ้ายมั่นจะริมีเมียบ้างน่ะซี คือว่า...”

“ช้า ตามั่น” ออกเดือนทักด้วยพิศวงนัก “เรามานี่ก็เสมือนอยู่กลางทัพกลางศึก แกจะหาผู้หญิงที่ไหนเล่า”

แกหัวเราะกำก อันความละอายนั้นแทบจะไม่มีเลย แล้วก็ชี้ตัวโดยละเอียดถี่ถ้วน

“พ่อหลวงหลับเสีย ๓ คืน และเจ้าแม่ก็มัวแต่โศกเศร้าไม่รู้เรื่องอะไรเขาข้างภายนอกหรอก แน่ะ แม่เจ้าของกระท่อมนี้ และฉันได้พูดจากันเป็นที่ตกลงแล้ว คือขอลูกสาวแกให้กับนายภูบาล”

“อ้าว ก็แล้วจะว่าแกมีเมียอย่างไรเล่า”

“เดี๋ยวก่อนซี” แกโบกมือ “ฉันพูดจนเป็นที่ตกลงเรียบร้อยเพราะเห็นนายภูบาลเขายังหนุ่มอยู่ และต่อเมื่อพ่อหลวงฟื้นจึงจะให้ตกลงเข้าพิธี”

“ก็แล้วตัวของแกเอง” เดือนยืนคำเดิมอยู่นั้น “ แกว่าจะมีเมียจึงมาออกปากฉัน ก็นี่มันโอละพ่อ เป็นนายภูบาลไปเสียแล้ว จะโกหกกันกระมัง”

แกยิ้มจืดๆ รู้สึกหน้าแดงด้วยสีเลือด

“มันก็มีโอละพ่อกันอยู่มั่ง คือว่าเมื่อฉันพูดสำเร็จทางลูกสาวเรียบร้อยแล้ว ให้นายภูบาลเขาช่วยพูดบ้าง คืออ้ายมั่นคิดจะเป็นโอละพ่อ พ่อตาเขาอีกที”

“ถุย ตามั่นเจ้าเล่ห์นัก”

แล้วประตูที่แง้มไว้ก็เปิดสว่าง โฉมนายภูบาลและคนอื่นๆ ซึ่งเห็นตามั่นแอบมาย่องๆ มองๆ แล้วหลบเข้ามา ก็สำคัญว่าออกเดือนจะอาการหนัก แต่ครั้นมาเห็นตรงกันข้าม ก็พากันดีเนื้อดีใจ ทั้งเข้าห้อมล้อมถามอาการ

ชายทุ่งกาหลงในเช้านั้น แสงแดดอ่อนและลมโชยแต่เบาแผ่วผิว์เพียงสบาย พื้นดินเรียบสะอาดและหญ้างอกในทุ่งนั้น กลุ่มครัวอพยพก็ห้อมล้อมแคร่นอนซึ่งมีออกหลวงนั่งประจำคู่เคียงกับพระธิดาสมเด็จฯ เมื่อกระโน้นแล้ว ประกาศให้บรรดาพวกครัวและทหารพลได้รู้ว่า ทรงสละพระเกียรติตามศรีอยุธยาที่พินาศมา เปลี่ยนชื่อไปตามสถานทุ่งว่า แม่กาหลง แล้วประกาศต่อไปอีกด้วย พูดพลางหัวเราะพลางถึงเรื่องตามั่นจะมีเมีย หนึ่งสำรับอาหารเช้าชายทุ่งในวันนี้จึงเป็นเสมือนงานมงคลแต่งตามั่นและนายภูบาล

เสียงโห่ก็กึกก้องเต็มใจ บ้างที่มีดาบก็ถอดดาบกวัดแกว่ง และมีปืนก็ตีชุดจุดยิงเป็นเอิกเกริก ทั้งต่างอวยพรให้ออกหลวงเร่งหายสนิทไปตามวันตามคืน ผิว์จักพบกองทหารเสียทัพก็จะเรียกผสม แม้ได้พลมากแล้วก็จัดคิดกู้ศรีอยุธยาสืบไปตามวิสัยรักชาติของผู้เกิดในแผ่นดิน

จบบริบูรณ์

.




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #11 on: 23 October 2025, 15:41:45 »


หนังสือเรื่อง ทหารเอกพระบัณฑูร บทประพันธ์ของ ไม้ เมืองเดิม










.



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #12 on: 23 October 2025, 15:44:58 »


(ความรู้เพิ่มเติม)
จาก ความรู้จากนิยายเรื่องทหารเอกพระบัณฑูร ของ ไม้ เมืองเดิม
https://www.reurnthai.com/index.php?topic=5142.0

คุณ Wandee

หลัง พ.ศ. ๒๔๗๕  เฉลิม วุฒิโฆษิต  บรรณาธิการ ของ หนังสือพิมพ์  "ประมวลวัน"  อยากได้เรื่องเกร็ดพงศาวดาร  มาลงเพื่อแข่งกับหนังสือพิมพ์อื่น ๆ เพื่อเพิ่มยอดขาย 

ก่อนหน้านั้น  เจ้าของหนังสือพิมพ์ไทยหนุ่ม  หอม  นิลรัตน์  ได้ลงพิมพ์เกร็ดพงศาวดารไทยเรื่องแรก "โกษาเหล็ก"  ผู้เรียบเรียงคือ ว.ช. ประสังสิต ยอดจำหน่ายสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะคนอ่านไม่สามารถจะคอย "ขอยืมอ่าน" ได้ตามวัฒนธรรม "ขอยืมอ่านแป๊บเดียวน่า" ต้องลงทุนซื้อเองบ้างเพราะเกิดอาการอยากอ่าน 

ความนิยมอันแรงกล้าในเกร็ดพงศาวดารบางเรื่องเป็นไปขนาดท่านผู้อ่านตามมาซื้อ เฉพาะส่วนที่ลงพิมพ์เฉพาะพงศาวดารจากโรงพิมพ์ ก่อนหนังสือพิมพ์จะวางตลาดก็มีหนังสือพิมพ์อื่น ๆ ทุกฉบับ ต่างก็ลงพิมพ์เกร็ดพงศาวดารไทยเพิ่มขึ้นจากเกร็ดพงศาวดารจีน
       
บรรณาธิการก็ยกเรื่องนี้มาปรึกษากับ ครูเหม เวชกร  ครูเหมก็ไปตาม "ไม้  เมืองเดิม" เพื่อนเก่ามาเขียนให้ ตกลงกันให้เขียนวันละหน้า เงินเดือน ๓๐ บาท
       
ไม้ เมืองเดิม บอกว่าจะเขียนเรื่อง "แผ่นดินพระบรมโกศ  ต่อกับเอกทัศน์ที่กรุงล่มครั้งที่สอง"
       
(จำบางส่วนมาจากข้อเขียนของ "ยศ  วัชรเสถียร" เพราะเกิดไม่ทัน  และไม่มี "ประมวญวัน" อยู่ในครอบครองเลย ไม่เคยเห็นด้วยซ้ำไป เสียดายที่ไม่อาจจะติดตามความนิยมของนักอ่านในเวลานั้นได้)

..

พระบัณฑูร นั้นหมายถึง ตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล  เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "อุปราช" หรือ ผู้ที่จะได้เป็น "พระเจ้าแผ่นดินองค์ต่อไป" และเรียกสั้น ๆ ว่า "วังหน้า"
           
ตัวละครเอกที่ไม้ เมืองเดิม สร้างขึ้นมา คือ

เจ้าหญิง (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น กาหลง) พระธิดาประสูติแต่พระสนมของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์

ยมโดย  ข้าหลวง สาวรักของ "เดือน"

และ "เดือน"  ทหารเอกพระบัณฑูร


พระนามในประวัติศาสตร์ที่ยกมา มี

เจ้าฟ้า ธรรมาธิเบศร์  คือ พระบัณฑูร

กรมหมื่นเทพพิพิธ

กรมหมื่นจิตรสุนทร

กรมหมื่นสุนทรเทพ

กรมหมื่นเสพภักดี

เจ้าฟ้านเรนทร

เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต
       
รายละเอียดสำคัญ คือเหตุการณ์ตอนที่เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ถูกกล่าวหาว่าลักลอบกระทำชู้

..

ไม้  เมืองเดิม รักการอ่านหนังสือ จนขนาดเพื่อนฝูงยอมกลัว หนังสือหลักอย่างน้อยที่สุดไม่ต่ำกว่า ๕ เล่มที่ สามารถเรียกมาใช้ดั่งใจนึก  คือ

๑.   พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา

๒.   ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๓  เรื่อง กรุงเก่า

๓.   พระนิพนธ์เจ้าฟ้ากุ้ง

๔.   ประชุมบทลำนำเห่กล่อมพระบรรทม

๕.   ตำรับพิชัยสงคราม

       
ข้อมูลด้านขนบธรรมเนียม ราชประเพณีตลอดจนกฎมณเฑียรบาลนั้น  "ไม้  เมืองเดิม" ได้ศึกษามาอย่างพร้อมมูล ซึ่งจะต้องประสมข้อมูลจากประชุมกฎหมายตราสามดวงและหนังสือเก่าจำนวนมาก

..

พระราชพงศาวดาร

        "กรมพระราชวังบวรทราบว่ามีพระราชโองการให้หา  ก็เสด็จลงเรือพระที่นั่งล่องมาจนถึงวังหลวง  จะเสด็จขึ้นที่สะพานเหนือฉนวน  มหาดเล็กที่ล่วงหน้ามาคอยรับเสด็จนั้น  กราบทูลว่าประตูเสาธงชัยปิดอยู่  ก็หาขึ้นไม่    ล่องงมาประทับที่ฉนวนน้ำประจำท่า  ประตูฉนวนก็ปิด  จึงล่องลงมาเสด็จขึ้นสะพานใต้ระหัดน้ำ

ทรงเสลี่ยงมาถึงศรีสำราญ  ทอดพระเนตรเห็นคนนั่งประชุมอยู่ริมศาลาลูกขุนนอกพระที่นั่งทรงปืนเป็นอันมาก

จะให้กลับพระเสลี่ยง         


หลวงศรีวังกราบทูลว่า  ขอพระราชทานเชิญเสด็จเข้าไปเฝ้าจึงจะชอบ  ก็เสด็จเข้าไปอยู่ ณ ทิมดาบ  จึงมีพระราชโองการ ตรัสสั่งมหาดเล็ก  ให้เชิญเสด็จไป  ณ ตำหนักสองห้องข้างทิมสงฆ์  แล้วดำรัสสั่งพระมหาเทพให้ลงพระราชอาชญาจำห้าประการ  แล้วให้มีกระทู้ซักถามตามคำฟ้อง  กรมพระราชวังรับเป็นสัตย์"

..

นิยาย

        องค์พระบัณฑูรมีพระอิริยากระสับกระส่าย  พระหัตถ์ฉวยพระแสงดาบ  รับสั่งเป็นปริศนาขณะยืนประทาน

       "จักเข้าวังหลวงทูลกระหม่อมแก้ว  ออกกลาโหม  เจ้าจงถือพระแสงเราเชิญไว้เถิด  แม้ผิว์เวลาเจ้ากลับแล้ว  จงเร่งสู่ราชวังจันทร์เกษม  และพระแสงนี้ก็เสมือนโองการบอกแก่พระองค์หญิง  เพราะรู้การอยู่"

        กลาโหมกราบถวายบังคมเบื้องพระบาท  น้ำตาที่คลอก็พลันหยาดลง

        "พระอาญาและกรุณาเป็นพ้นเกล้า  ขอถวายชีพไอ้เดือนฉลองพระเดชพระคุณ  ขอเชิญเสด็จด้วยสวัสดีมงคล  กระทั่งกลับ"

(ตากลาโหมราชเสนานี้พูดมากไปนิดหนึ่ง  ยามสิ่วยามขวานทหารที่ไหนจะพูดถึงเพียงนี้    ถ้าเขียนว่ากลาโหมนึกในใจ  นักอ่านหนังสือเก่าจะไม่สะดุดเลย)

พระแสงองค์นี้ต่อมา  กลาโหมนำผ้ามาพันไว้เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต (เฮ้อ! ชื่นชมเหลือเกิน)

..

เรื่องลงฑัณฑ์แล้วรับเป็นสัตย์นี่  องค์การข่าวกรองและสืบราชการลับ  สอนว่า  มิพึงบังควรทำ  เพราะเป็นข้อมูลที่ให้ภายใต้การบีบบังคับ  โอกาสที่จะพูดอะไรเพื่อให้หยุดการทรมานเป็นไปได้  เพราะใครเล่าจะทนทรมานในเมื่อร่างกายอ่อนแอและเจ็บป่วยได้เล่า
       

"ในปีนั้นพระมหาอุปราชกรมพระราชวังบวร  ทรงพระประชวรพระโรคสำหรับบุรุษกลายเป็นโรคคุชราช  ไม่ได้เสด็จเข้าเฝ้าถึงสามปี

ให้ลงพระราชอาชญาเฆี่ยน   เฆี่ยนได้ ๒๐ ทีเกิดลมจุก   ให้ลงพระราชอาชญาเฆี่ยนอีกสองยก เป็นหกสิบที  ให้นาบพระบาทด้วย 

โทษ ๗๐๐ ทีนั้นจะยกให้สองส่วน  จะให้เฆี่ยนเสีย ๒๓๐ ทีจะว่าอย่างไร               


กรมพระราชวังฯให้การว่า จะขอรับพระราชทานพระราชอาชญา ตามแต่จะทรงพระกรุณาโปรด     

ท้าวพระยามุขมนตรีและลูกขุนพร้อมกันปรึกษาโทษ  ต้องด้วยพระราชกำหนดกฎมณเพียรบาล  จึงกราบทูลพระกรุณาว่า   โทษกรมพระพระราชวังบวรเป็นมหันตโทษถึงประหารชีวิตเป็นหลายข้อ  จะขอพระราชทานให้สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ ตามขัติยประเพณี           

จึงทรงพระกรุณาตรัสขอชีวิตไว้  แต่ให้นาบพระนลาต  ถอดเสียจากเจ้าเป็นไพร่

กรมพระราชวังนั้น  ต้องรับพระราชอาชญาเฆี่ยนอีกสี่ยกเป็นร้อยแปดสิบที  ก็ดับสูญสิ้นพระชนม์"  (ถอดแบบย่อความค่ะ)

       
การเฆี่ยนโดยผู้ควบคุมประสงค์กำจัดอยู่แล้ว  ราชมัลต้องออกกำลังเต็มที่  ชายวัยกลางคนที่กระเสาะกระแสะ  เลือดเนื้อจะทนได้อย่างไร  กิริยาและอาการคงสะทกสะท้านสั่นรัวด้วยเหลือวิสัยมนุษย์จะแบกรับการทรมานได้  การตอบสนองก็สามารถตีความว่า รับผิด  แล้วก็เป็นได้

มีผู้เขียนเรื่องนี้ไว้หลายรายค่ะ สามารถหาอ่านได้ไม่ยาก

..


ที่มา: ขอขอบคุณ https://www.reurnthai.com/index.php?topic=5142.0

.




Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« Reply #13 on: 23 October 2025, 15:47:51 »


https://www.youtube.com/watch?v=ew8bFsKOa8k

ทหารเอกพระบัณฑูร ปี 2496 ละเอียด พิบูลสวัสดิ์-จงรักษ์ ชีพเป็นสุข#ฟิล์มเก่าเล่าอดีต
ชุมทางหนังไทย

https://youtu.be/ew8bFsKOa8k?si=MPccgEDLpENw8nNo

.

ทหารเอกพระบัณฑูร (2496)
2496ทหารเอกพระบัณฑูร 1
ประเภท : Drama / History / War
ผู้กำกับ : สุมทุม บุญเกื้อ
บทประพันธ์ : ไม้ เมืองเดิม (ก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา)
บทภาพยนตร์ : สุมทุม บุญเกื้อ
ผู้ถ่ายภาพ : อาสา วสุวัต
ผู้กำกับศิลป์ : สุวัฒน์ เกษรกุล
ผู้ให้เสียงพากย์ : แสงดารา บุญราศรี - สุรางค์ ขำศรี
อำนวยการสร้าง : สมาน พงษ์สุวรรณ
บริษัทผู้สร้าง : สุวรรณภูมิภาพยนตร์
วันที่เข้าฉาย : 13 กุมภาพันธ์ 2496 ฉายที่ศาลาเฉลิมบุรี
ระบบถ่ายทำ : ภาพยนตร์สีธรรมชาติ 16 มม. ให้เสียงพากย์สด

.

เรื่องย่อ
ในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชแห่งกรุงศรีอยุธยา เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ พระมหาอุปราช ถูก จมื่นศรีสรลักษณ์ กับ เจ้าสามกรม ใส่ความว่าลอบคบชู้กับ เจ้าฟ้านิ่ม พระสนมเอกของพระราชบิดา จนต้องโทษประหารชีวิต มิหนำซ้ำยังสั่งให้ ขุนจิตร์สุนทร กับขุนฤทธิ์ภักดี ควบคุมตัว องค์หญิง พระขนิษฐาของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ไปคุมขัง แต่ หลวงกลาโหม ราชองครักษ์เอกผู้คุมหมู่ทหารพระบัณฑูรของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์มาขัดขวางและฆ่าขุนฤทธิ์ฯ เสียชีวิต หลวงกลาโหมพาเจ้าหญิงไปประทับที่ตำหนักของเจ้าฟ้าอุทุมพร เสด็จฯอาขององค์หญิง ก่อนจะหนีไปหลบซ่อนตัว

หลังจากนั้นไม่นาน สมเด็จพระบรมราชาธิราชเสด็จสวรรคต เจ้าฟ้าอุทุมพรซึ่งตามประเพณีต้องขึ้นครองราชย์ ได้ถวายให้เจ้าฟ้าเอกทัศน์ขึ้นครองราชย์แทนพระองค์ที่ประสงค์จะทรงผนวช แต่สมเด็จพระเอกทัศน์ทรงลุ่มหลงในความมัวเมา ขุนนางที่มักใหญ่ใฝ่สูงจึงคิดคดถึงขนาดเหิมเกริมจะโค่นราชบัลลังก์ ร้อนถึงกรมหมื่นเทพพิพิธและขุนนางที่จงรักภักดีต้องร่วมมือกันวางแผนให้เจ้าฟ้าอุทุมพรกลับมาขึ้นครองราชย์ตามเดิม แต่แผนการรั่วไหลทำให้กรมหมื่นฯ และพรรคพวกรวมทั้งหลวงกลาโหมถูกจับกุม

ระยะนั้นเอง ฝ่ายพม่าได้ยกกองทัพเข้ามาล้อมกรุงศรีอยุธยา เหล่านักโทษถูกเกณฑ์ออกมาสู้ศึกกับพม่ารวมทั้งหลวงกลาโหมได้เข้าร่วมในศึกครั้งนี้ด้วย ฝ่ายพม่าตีร่นมาถึงพระนคร หลวงกลาโหมจึงรีบไปช่วยองค์หญิงอย่างไม่ห่วงชีวิต องค์หญิงทรงซาบซึ้งพระทัยที่หลวงกลาโหมช่วยชีวิตพระองค์ไว้ถึงสองครา จึงทรงสละฐานันดรศักดิ์เพื่อครองรักกับหลวงกลาโหม

นักแสดง
นักแสดง   รับบทเป็น
ละเอียด พิบูลสวัสดิ์   หลวงกลาโหมราชเสนา (เดือน)
จงรักษ์ ชีพเปนสุข   องค์หญิง ธิดาของพระบัณฑูร
เกษม สวาวสุ   สมเด็จเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์
มนต์ชัย มังกรพันธ์   ขุนจิตรสุนทร (ใย)
เสาวภาคย์ อนันตศักดิ์   ยม
กริช สุนทรกนิษฐ   ครูดาบ
สันต์ สวาวสุ   จมื่นศรีสรลักษณ์ (ฉิม)
มณเฑียร ถาวร   ขุนฤทธิ์
ธีระชาติ ชุมากร   นายภูบาล
สุข ประสาทหินพิมาย   ขุนราชมสงคราม

.

https://www.youtube.com/watch?v=ew8bFsKOa8k&t=58s

ทหารเอกพระบัณฑูร ปี 2496 ละเอียด พิบูลสวัสดิ์-จงรักษ์ ชีพเป็นสุข#ฟิล์มเก่าเล่าอดีต
ชุมทางหนังไทย

https://youtu.be/ew8bFsKOa8k?si=ghBX21nizF68CafU

.



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.261 seconds with 17 queries.