|
ppsan
|
 |
« on: 19 October 2025, 13:54:52 » |
|
ละคร ปริศนา เดอะซีรีส์ : รัตนาวดี ตอนที่ 12
https://mgronline.com/drama/detail/9580000124081
รัตนาวดี ตอนที่ 12 เผยแพร่: 7 พ.ย. 2558 16:19 โดย: MGR Onlin

รัตนาวดี ตอนที่ 12
ประพัทธ์รีบเดินมาหาจูนด้วยสีหน้าไม่พอใจมาก คว้าแขนจูนอย่างแรง พูดอย่างไม่มีเยื่อใยแต่เสียงไม่ดังเพราะรักษาหน้าตัวเอง
"มาที่นี่ทำไม" จูนหันไปมองหน้าประพัทธ์อย่างไม่สะทกสะท้าน สบัดแขนออก "มาหาคุณป้าสร้อย" ประพัทธ์หันไปมองหน้าป้าสร้อย ป้าสร้อยรีบเก็บจดหมายของจูนใส่ในกระเป๋าเสื้อคลุมอย่างเร็ว
"หนูมาหาป้าเรื่องอะไรล่ะ" "หนูมีเรื่องมาคุยด้วยค่ะ" ประพัทธ์ตวาด ท่านดนัยเดินมายืนใกล้ๆ รัตนาวดี แต่เยื้องไปด้านหลัง รัตนาวดีสีหน้าเรียบเฉย "ไม่ต้อง...เธอไม่เคยรู้จักคุณป้าสร้อยซักหน่อย...มีเรื่องอะไรจะมาคุย เอาไว้ให้กลับไปลอนดอนก่อนเราค่อยคุยกัน...กลับไปได้แล้ว" "เอ้า...เค้าเพิ่งมาจะไปไล่เค้ายังไง...ไป...อยากคุยกับป้าเราก็ไปนั่งคุยกันทางโน้น" ป้าสร้อยทำท่าจะเดินไป จูนจะเดินตามแต่ประพัทธ์ขวางไว้ "ผมไม่ยอมให้คุณป้าคุยกับผู้หญิงคนนี้หรอกครับ" จูนมองหน้าประพัทธ์ด้วยสีหน้าผิดหวังจนจะร้องไห้ รัตนาวดีมองจูนอย่างสนใจ "ทำไมล่ะประพัทธ์....ก็แม่หนูคนนี้เค้าจะคุยกับฉันนะ...นี่หนูมาจากลอนดอนเพื่อมาหาป้าหรือนี่" "ค่ะ" ป้าสร้อยมองหน้าท่านหญิง "แสดงว่าเป็นเรื่องสำคัญ" ท่านหญิงบอก ประพัทธ์พยายามตัดบท "โอ้ย...ไม่มีอะไรสำคัญหรอกครับ...ไปจูน...ถ้าอยากคุยก็ไปหาที่นั่งคุยกัน อย่าไปรบกวนคุณป้าสร้อยเลย" ประพัทธ์ดึงจูนจะให้เดินออกไป จูนไม่ยอมสบัดแขน "ไม่ค่ะ...จูนไม่ได้อยากคุยกับพี่ประพัทธ์...เราไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้ว...จูนจะคุยกับป้าสร้อย" ประพัทธ์พูดกระซิบกับจูน "ทำอย่างนี้ทำไมจูน...อยากฉีกหน้าพี่หรือไง พี่ไม่ยอมหรอกนะ" "แล้วหนูรู้ได้ยังไงว่าป้าพักที่นี่" สร้อยถาม จูนมองหน้ารัตนาวดี กับ ป้าสร้อย เลยตัดสินใจพูด "พี่วิมลค่ะ...พี่วิมลให้ที่อยู่ท่านหญิงกับจูน" รัตนาวดีสงสัย "วิมลเหรอ ถ้าวิมลให้เธอมาหาฉัน แปลว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญ ป้าคะ เราไปคุยกันที่ห้องดีกว่ ไปจูน"
ป้าสร้อยพาจูนเดินออกไป ประพัทธ์รับเดินมาดักหน้ารัตนาวดี "อย่านะท่านหญิง...พี่จะไม่ยอมให้ท่านหญิงคุยกับผู้หญิงคนนี้เด็ดขาด" รัตนาวดีจ้องหน้าประพัทธ์ "หญิงขอตัวก่อนนะคะ" รัตนาวดีเดินหลบประพันธ์ ไปหาป้าสร้อยกับจูนที่ยืนคอยอยู่ ประพัทธ์มองตามอย่างแค้นมาก...
ย้อนกลับไป ... วิมลนั่งเขียนจดหมายอยู่ที่ม้านั่งสบายๆ ในสวนสาธารณะที่ลอนดอน สีหน้ากังวล "ทูลท่านหญิงทรงทราบ ท่านหญิงคงเคยทอดเนตรจูนมาบ้างแล้ว...เค้าเรียนที่เดียวกับประพัทธ์...และได้คบหากันตั้งแต่ประพัทธ์มาลอนดอน (ประพัทธ์มาเรียนปริญญาโท แต่จูนเรียนปริญญาตรี) หม่อมฉันได้พบจูนที่โรงพยาบาล จึงได้รู้ว่าจูนท้องได้เกือบสามเดือนแล้วเพคะ แต่ประพัทธ์ไม่ยอมรับ หนีมาตามเสด็จกับท่านหญิง หม่อมฉัน กับ คุณนพจึงคบคิดกันว่าผู้ที่สามารถทำให้ประพัทธ์ยอมรับจูนได้ มีแต่เพียงท่านหญิงเท่านั้น... หม่อมฉันสงสารจูนว่าจะเสียอนาคต เพราะเค้าตัดสินใจที่จะลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อกลับเมืองไทย" วิมลเงยหน้าขึ้นมองไปข้างหน้า ถอนใจอย่างใช้ความคิด...
บริเวณที่เป็นห้องรับแขกในห้องชุดที่รัตนาวดีพัก จูนนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ ป้าสร้อย รัตนาวดียืนอ่านจดหมายของวิมลใกล้ๆ หน้าต่าง "จูนตัดสินใจที่จะตัดขาดจากประพัทธ์ ยอมรับชะตากรรมแต่เพียงคนเดียว แต่หม่อมฉันว่ามันไม่ยุติธรรมจะหาทางช่วยเขา แต่สติปัญญาก็ไม่ฉลาดพอ...เห็นจะพึ่งท่านหญิงให้ทรงช่วยจูนได้สมหวังกับประพัทธ์ น่าจะเป็นไปได้มากกว่า รักและคิดถึงมากเสมอ....วิมล" รัตนาวดีพับจดหมายของวิมลใส่ซองส่งให้ป้าสร้อย ซึ่งมีสีหน้าไม่พอใจ "หม่อมฉันไม่แปลกใจเลย...ประพัทธ์นี่ไม่มีความรับผิดชอบ ผู้ชายแบบนี้อย่าไปเอามันเลย...หาเอาใหม่ดีกว่า" จูนเช็ดน้ำตาเงียบๆ "หญิงว่าเราหาทางให้คุณประพัทธ์ กับ จูนสมหวังกันดีกว่าค่ะป้า เพราะตอนนี้จูนก็ท้อง" "จะไหวเหรอมังคะ...ท่าทางนายประพัทธ์น่ะเอาแต่ไล่แม่จูนอย่างเดียว...พูดว่าเสียๆ หายๆ" จูนก้มหน้าน้ำตาร่วง "เป็นไปไม่ได้หรอกคะ" "ต้องเป็นไปได้สิ...ประพัทธ์น่ะมีความหวังว่า หญิงจะชอบเขาถึงได้ปฏิเสธจูน...ถ้าคุณประพัทธ์ยอมรับความจริงว่า หญิงไม่เคยคิดที่จะชอบเขาเลย...ที่ดีกับเขาก็ในฐานะที่เขาเป็นรุ่นพี่ที่ดีคนนึงเท่านั้น...เขาคงจะกลับไปหาจูน" ท่านดนัยแอบทำหน้าดีใจ "แต่จูนไม่ต้องการพี่ประพัทธ์แล้วค่ะ ในเมื่อจูนไม่มีความหมายอะไรกับพี่ประพัทธ์ จูนก็ตัดใจตอนนี้ดีกว่า" รัตนาวดีเดินมาหาจูนพยายามปลอบใจ
"ใจเย็นๆ ก่อน...การที่จะตัดขาดจากใครมันอาจจะไม่ยาก แต่ฉันอยากให้จูนคิดให้รอบคอบ...ถึงอย่างไรประพัทธ์ก็เป็นพ่อของลูกจูน...ถ้าเราเตือนสติให้เค้ารับผิดชอบจูนกับลูกได้จะไม่ดีกว่าหรือ"

ป้าสร้อยถอนใจ
"เฮ้อ...มันจะเป็นไปได้เหรอเพคะ ป้าว่า....หาคนดีๆ ให้จูนใหม่ดีกว่าไหมเพคะ.. เอ้อ" ป้าสร้อยหันไปมองท่านดนัย "อย่างนายเล็กยังงี้ไงเพคะ" ท่านดนัยสะดุ้ง รัตนาวดีกลั้นหัวเราะ "ป้าคะ พูดอะไรอย่างนั้น...จู่ๆ จะไปเที่ยวจับคู่ให้เขาได้ยังไง" "ก็หม่อมฉันมองไม่เห็นทางว่าคนอย่างนายประพัทธ์จะกลับตัวกลับใจได้ยังไงซิเพคะ...สู้หาคนใหม่ง่ายกว่า" ท่านหญิงรัตนาวดีดุเบาๆ "อย่าพูดเล่นสิคะป้า" "หนูเข็ดแล้วค่ะ...หนูจะกลับบ้าน" จูนร้องไห้สะอึกสะอื้น ป้าสร้อยกอดไว้เบาๆ "อย่าคิดมาก...ทุกอย่างต้องมีทางแก้ไข" รัตนาวดีสบตากับป้าสร้อย รัตนาวดีสีหน้าใช้ความคิด
ณ วังศิลาขาว ปริศนานั่งอ่านจดหมายรัตนาวดี "เวลานี้การท่องเที่ยวของหญิงเหลือกันแค่สามคนค่ะ..คือมีป้าสร้อย หญิง และ นายเล็กตามเดิม....ประพัทธ์กลับไปแล้วเพราะมีเมียมาตาม ....เมียจริงๆ ค่ะ กำลังท้องด้วย หญิงเคยเห็นแฟนของประพัทธ์คนนี้ที่ลอนดอนแล้ว แต่ประพัทธ์บอกว่าเป็นเพื่อนรุ่นน้อง...กว่าป้าสร้อยกับหญิงจะพูดหว่านล้อมให้ประพัทธ์กลับไปกับภรรยาได้ ก็แทบแย่..."
รัตนาวดีคุยกับประพัทธ์ที่ล็อบบี้ของโรงแรม ประพัทธ์อารมณ์เสีย ไม่พอใจ ท่านหญิงใช้เหตุผล ความเป็นไปไม่ได้ที่จะคบกับประพัทธ์ในฐานะคนรัก.....จนประพัทธ์ค่อยๆสงบสติอารมณ์ และเข้าใจสถานการณ์
"ประพัทธ์นี่แย่จริง หญิงผิดหวังมากเพราะประพัทธ์เคยเป็นรุ่นพี่ที่ดี..ป้าบอกว่าโชคดีที่ประพัทธ์มาออกลายให้เห็นก่อน...ป้าคงกลัวหญิงจะไปชอบกับประพัทธ์ละเพคะ คิดแล้วก็ตลกดี เพราะไม่มีทางที่หญิงจะชอบเลย...ไม่รู้เหมือนกันว่าหญิงจะชอบคนแบบไหน แต่ไม่ใช่แบบประพัทธ์แน่ๆ"
รถของท่านดนัยที่วิ่งไปในทางสวยๆ ท่านหญิงรัตนาวดีนั่งในรถอย่างสบายใจ อดชำเลืองตามองท่านดนัยทางกระจกส่องหลังไม่ได้
"อันที่จริงหญิงก็โล่งใจที่ประพัทธ์กลับไปจัดการเรื่องของตัวเองเสียได้...แต่คนที่ดีใจมากกว่าหญิง คงเป็นนายเล็ก"
ปริศนาอ่านจดหมายจบ พับจดหมายเก็บใส่ซองด้วยสีหน้ายิ้มๆ...
ท่านดนัยขับผ่านถนนที่วิวสวยๆ จาก Interlaken ไป Lucerne ภายในรถ รัตนาวดีมีความสุขมาก เปิดหน้าต่างรถออกไปรับลมที่พัดมาอย่างสบายใจ ท่านดนัยหยุดรถข้างทาง รัตนาวดีรีบวิ่งลงไปที่ทุ่งดอกไม้ ท่านดนัยตามไปถ่ายรูปอย่างมีความสุข ทั้งสองคนหัวเราะอย่างมีความสุข ทีแรกป้าสร้อยก็สนุกไปด้วย แต่พอเห็นรัตนาวดีหัวเราะกับท่านดนัยบ่อย ๆ ก็เริ่มมองทั้งสองคนอย่างไม่สบายใจ
พนักงานโรงแรม Grand National Lucerne หิ้วกระเป๋าเดินทางนำหน้า รัตนาวดีกับป้าสร้อยและท่านดนัยเดินตาม ทั้งหมดเดินขึ้นบันไดวน ผ่านโถงทางเดิน รัตนาวดีกับป้าสร้อยมองความสวยงามของโรงแรมด้วยความพอใจ ประตูห้องพักของรัตนาวดีกับป้าสร้อยเปิดออก ทั้งคู่เดินเข้ามาในห้อง ท่านดนัยหิ้วกระเป๋าเดินทางตามเข้ามา รัตนาวดีกับป้าสร้อยมองรอบห้องอย่างพอใจในความสวยงามของห้องพัก "ห้องสวยมากเลยนะเพคะ" รัตนาวดีเดินไปเปิดประตูระเบียงมองออกไปเห็นทะเลาสาบลูเซิร์นอันสวยงาม "ป้าสร้อยมาดูวิวตรงนี้ซิค่ะ" ป้าสร้อยเดินตามไปชะโงกมองวิวทะเลสาบ ท่านดนัยมองอย่างมีความสุข รัตนาวดีเดินกลับเข้ามาหาท่านดนัย "ห้องสวย และวิวยังสวยยิ่งกว่าอีกนะนายเล็ก" "กระหม่อม" "แต่หญิงว่าเราไม่จำเป็นต้องอยู่โรงแรมหรูๆอย่างนี้ตลอดก็ได้นะจ๊ะ....หญิงว่าเก็บเงินไว้เที่ยวอีกหลายๆที่ดีกว่า" "เราจะพักที่นี่แค่สองวัน ก่อนที่กระหม่อมจะพาป้าสร้อยไปตามรอยเสด็จที่น้ำตกไรน์ก่อนกลับมาเที่ยวที่เมืองนี้อีกครั้ง" "ถ้าป้าสร้อยรู้คงดีใจมากแน่ๆ" รัตนาวดีมองท่านดนัยด้วยสายตาชื่นชม
ที่สะพานไม้เมืองลูเซิร์น (Chapel Bridge Lucerne) ท่านดนัย รัตนาวดี กับ ป้าสร้อยพากันเดินดูบนสะพาน "สะพานไม้ชาเพล" ท่านหญิงบอก "ทูนหัว...ทรงรู้จักด้วยหรือเพคะ" "หญิงอ่านจากหนังสือก่อนมาที่นี่ค่ะ...แต่ได้มาเห็นของจริงแล้วรู้สึกว่าสวยกว่าในรูปเสียอีก" "ดูมันเก่ามากนะเพคะ" "น่าจะเป็นสะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดครับคุณสร้อย...สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14" "ฟังแล้วรู้สึกว่าเก่ามากจริงๆ แหมเค้าเก็บรักษาไว้ได้ดีจริงๆ นะ"
"เค้าก็ซ่อมดูแลเรื่อยๆ ครับ ใครๆ ที่มาลูเซิร์นก็ต้องมาข้ามสะพานนี้ ที่จั่วของหลังคามีภาพวาดเก่าๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวของเมืองไว้ด้วยครับ"

รัตนาวดี กับ ป้าสร้อยเดินมาถึงกลางสะพานไม้ที่มีหอคอยแปดเหลี่ยม
"หอคอยนี่สวยดีจริงนะคะป้า" ป้าสร้อยนิ่วหน้า "มีแต่หินเป็นแท่งๆ นะเพคะ...หม่อมฉันว่าก็งั้นๆ เค้าเอาไว้ทำอะไรน่ะนายเล็ก" "ใช้ประโยชน์หลายอย่างครับ เป็นที่เก็บเอกสาร เก็บของมีค่าของเมืองก็มี ต่อมาใช้เป็นที่คุมขังนักโทษด้วยครับ แต่ตอนนี้ปิดไว้เฉยๆ แล้ว ท่านหญิงจะทรงถ่ายรูปกับคุณสร้อยตรงนี้ดีไหมกระหม่อม ด้านหลังเห็นเทือกPilatus ด้วยกระหม่อม" รัตนาวดียิ้มสดชื่น "ดีจ้ะนายเล็ก...ฉันจะเอารูปที่ถ่ายกับสะพานชาเพลไปอวดเพื่อนๆ"
ท่านดนัยถ่ายรูปรัตนาวดี กับ ป้าสร้อย หลายๆ มุม และถ่ายรัตนาวดีคนเดียว มีฝรั่งเดินผ่านมา หวังดีจะถ่ายรูปรัตนาวดี กับ ท่านดนัยให้ จึงมีรูปท่านดนัย ที่ถ่ายคู่กับรัตนาวดี ป้าสร้อยมัวแต่เผลอมองหงส์ในทะเลสาปอยู่ จึงรีบเดินมาห้ามไม่ทัน
ท่านดนัยพารัตนาวดี ป้าสร้อย เดินชมบ้านเรือนที่ Stein am Rhill ซึ่งตกแต่งสวยงามริมแม่น้ำ "บ้านของคนสวิสนี่น่ารักนะคะ...เค้าชอบปลูกต้นไม้ไว้ตามหน้าต่างเหมือนบ้านตุ๊กตา" รัตนาวดีมองบ้านสวยงามเหล่านั้นอย่างมีความสุข "ถ้าหญิงแต่งงาน ป้าว่าเจ้าพี่จะทรงอนุญาตให้หญิงปลูกบ้านหลังเล็กๆ แบบนี้ได้ไหมคะ" ป้าสร้อยนิ่งอึ้งทันที "ทำไมจู่ๆ ถึงได้ตรัสเรื่องแต่งงง แต่งงานล่ะเพคะ...เป็นผู้หญิงเค้าไม่พูดเรื่องนี้กันนะ...มันไม่งาม" ป้าสร้อยค้อน รัตนาวดีเขินแต่ก็ทำเป็นขำเสีย "โธ่ป้าคะ...หญิงพูดเล่นเท่านั่นเอง" "อย่าทรงตรัสเล่นๆ อย่างนี้อีกเพคะ...ใครไม่รู้เค้าจะหาว่า ท่านหญิงทรงอยากจะแต่งงานซะงั้น" ท่านหญิงรัตนาวดียิ้มๆ เดินไป ท่านดนัยมองตามอดยิ้มมีความสุขไม่ได้ ป้าสร้อยคอยจับผิดท่านดนัยอยู่แล้วพอเห็นท่านดนัยยิ้มมองตามก็อดขวางไม่ได้ "ยิ้มอะไรนายเล็ก" ท่านดนัยสะดุ้งรีบหันมา "เปล่าครับ" "เปล่าอะไรกันล่ะ...แหม...หมู่นี้ตั้งแต่ไม่มีนายประพัทธ์นี่อารมณ์ดีจริงนะ...ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่" ท่านดนัยกลั้นหัวเราะกับความเอาเรื่องเอาราวของป้าสร้อย "เอ้อ...ผมเห็นท่านหญิง กับคุณสร้อยสบายใจ ผมก็พลอยรู้สึกดีไปด้วยครับ" "อ๋อ...เหรอ แต่ป้าจะแนะนำให้นะ ถ้าอยากมีความสุขมากๆ ก็หาคนรักซักคนสิจ้ะ" ท่านดนัยยิ้มขำ "สงสัยคงต้องรบกวนให้คุณสร้อยช่วยแนะนำดีไหมครับ" ป้าสร้อยยิ้ม "จริงหรือเปล่า...ถ้าป้าหาให้นายเล็กต้องยอมรับนะ" "เอ้อ....ครับ..." ป้าสร้อยทำยิ้มเจ้าเล่ห์เดินตามรัตนาวดีไป "ท่านหญิง.....ท่านหญิง" ท่านดนัยมองตามไปด้วยสีหน้ายิ้มๆ....
ท่านหญิงรัตนาวดี ป้าสร้อย ท่านดนัยยืนชมน้ำตกไรน์ (Rheinfall) อยู่ รัตนาวดuเดินไปดูอีกทางหนึ่ง ท่านดนัยเดินตามมา "ฉันกำลังคิดถึงโคลงที่พูดถึงน้ำตกนี้...สวยมากจริงๆ" "โคลงของ วิลเลียม เวิร์ดสเวิร์ท กระหม่อม" รัตนาวดีหันขวับมามอง ท่านดนัยรู้ตัวว่าพลาดอีกแล้ว "เอ้อ...กระหม่อมเคยเห็นท่านดนัยอ่านหนังสือเกี่ยวกับน้ำตกนี้กระหม่อม" "ท่านก็เลยบังคับให้นายเล็กอ่านด้วยเหรอไง" ท่านดนัยก้มหน้า "กระหม่อม" ป้าสร้อยเดินตามมา "ป้าอยากรู้จริงๆว่าสมัยที่พุทธเจ้าหลวงเสด็จมาสภาพรอบๆนี้เป็นยังไง" รัตนาวดีมองไปรอบๆ "หญิงว่ารอบๆนี้คงเป็นป่าทึบ กว่าจะเสด็จเข้ามาได้คงลำบากมากค่ะ" "กระหม่อมเห็นด้วย" ป้าสร้อยสีหน้าปลื้มมาก "ป้าดีใจมากเลยที่ได้ตามรอยเสด็จอีก" รัตนาวดียิ้ม "ถูกใจป้าละสิคะ" "แล้วปราสาททางโน้นเป็นปราสาทอะไรนายเล็ก" "ปราสาท Schloss Laufen am Rheinfall ส่วนป้อมปราสาทที่อยู่กลางแม่น้ำนั่นคือ ป้อมปราสาทเวิร์ท ที่รัชกาลที่ 5 เคยเสด็จไปทอดพระเนตรน้ำตกที่นั่นครับ" "ป้าอยากตามรอยเสด็จไปที่ป้อมกลางน้ำตกไหมคะ" ป้าสร้อยค้อน "ยืนดูอยู่ตรงนี้ก็ดีแล้วละจ้ะ" ท่านดนัยหัวเราะ
ทั้งสามนั่งมองดูน้ำตกอย่างมีความสุข "เราจะไปที่ไหนกันต่อดีนายเล็ก" "กระหม่อมว่าจะพาเสด็จไปทอดเนตรวีรบุรุษของสวิสกระหม่อม" รัตนาวดียิ้มพอใจ
"วิลเลียม เทล ใช่ไหม"

ท่านดนัยยิ้มดีใจ
"กระหม่อม...เมือง Altdort และที่นั่นมีร้านขนมอร่อยด้วยครับคุณสร้อย" "แหม..นายเล็ก...เราก็ช่างหาร้านอร่อยๆ อยู่เรื่อย...นี่ป้ารู้สึกเสื้อผ้าชักจะตึงๆ แล้วนะ" ท่านดนัย กับ รัตนาวดีหัวเราะมองหน้ากัน "ถ้าอย่างนั้นพอทานแล้วก็ต้องเดินเยอะๆ สิคะป้า" ป้าสร้อยทำหน้าเหรอ "แล้วทุกวันนี่ยังเดินน้อยไปเหรอเพคะ...ไม่รู้ละ...ถ้าหม่อมฉันปวดขา...ท่านหญิงนะแหล่ะจะทรงเดือดร้อน" ท่านดนัยถามอย่างเป็นห่วง "ให้ผมช่วยได้ไหมครับ" "กลัวท่านหญิงทรงเดือดร้อนนะสิ...แต่เธอคงช่วยไม่ได้หรอก เพราะถ้าป้าปวดขา...ท่านหญิงจะประทานนวดขาให้ป้าก่อนนอน" "อันที่จริงถ้านายเล็กอยากช่วย....ก็ให้มาช่วยนวดขาให้ป้าแทนหญิงก็ดีนะคะ" ป้าสร้อยค้อนปะหลักประเหลือกรีบเดินขึ้นรถ "โอ้ย..ไม่เอาหรอกเพคะ...จะให้ผู้ชงผู้ชายเข้าห้องค่ำๆ มืดๆ ได้ยังไง..ท่านหญิงก็..." รัตนาวดีหัวเราะกับท่านดนัย
ที่อนุสาวรีย์ วิลเลียม เทล ท่านดนัยบอก "จักรวรรดิ์ออสเตรียยึดดินแดนของสวิส และส่งข้าหลวงชื่อเกสเลอร์มาปกครอง แต่ชาวสวิสไม่ยอม แคว้นทั้งสามของสวิสมารวมตัวกันเพื่อปฏิญาณตนขับไล่กองทัพของออสเตรีย" "วันที่มารวมตัวกันนี่ต่อมาคือวันชาติสวิสใช่ไหม" "กระหม่อม" "สนุกเหมือนประวัติศาสตร์บ้านเรานะเพคะ" ป้าสร้อยบอก "ข้าหลวงเกสเลอร์เป็นคนโหดร้าย เขาสร้างเสาต้นหนึ่งไว้ที่จตุรัสกลางเมืองอัลดอร์ฟและแขวนหมวกของเขาไว้ ประกาศให้ชาวสวิสทุกคนที่เดินผ่านเสา ต้องทำความเคารพหมวกของเขาที่แขวนไว้ ถ้าใครไม่ทำตาม จะมีทหารที่ซุ่มดูอยู่จับตัวไปลงโทษ" ป้าสร้อยเริ่มโมโห "เออ..ท่าจะบ้า" "วันหนึ่งวิลเลียมเทล ซึ่งเป็นนายพรานได้เข้ามาในเมืองกับลูกชาย เขาไม่รู้เรื่องว่าต้องทำความเคารพเสาที่แขวนหมวกจึงเดินผ่านไปเฉยๆ โดยไม่ได้ทำความเคารพ ทหารเลยโดนจับตัวไป เกสเลอร์รู้ว่าวิลเลียมเทล ชำนาญเรื่องยิงธนู จึงให้นำลูกแอปเปิลวางไว้บนหัวลูกชาย แล้วบังคับให้วิลเลียมเทลยิงแอปเปิลนั้น โดยบอกว่าถ้ายิงถูกก็จะปล่อยตัวไป" ป้าสร้อยเอามือตบอก "ตายจริง...ทำไมถึงโหดร้ายอย่างนี้...แล้ววิลเลียม เทลแยิงลูกธนูโดนแอปเปิล หรือโดนลูกตัวเองล่ะ" สร้อยถาม "โดนแอปเปิลครับ...ลูกชายของเขาเชื่อมั่นในฝีมือยิงธนูของพ่อ ได้ตะโกนบอกให้วิลเลียม เทลยิงธนูมา" "แหม...ใจเด็ดเหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก" "คนเราถ้าโดนรังแกถึงที่สุดก็ต้องสู้ค่ะ" รัตนาวดีบอก "แล้วไอ้เกสเลอร์นี่มันโดนใครปราบไหมนายเล็ก" "ต่อมาเกสเลอร์โดนวิลเลียมเทลดักซุ่มยิงด้วยธนูตายครับ วิลเลียมเทลก็กลายเป็นหัวหน้ากลุ่มชาวสวิสที่ต่อต้านจักรวรรดิออสเตรีย จนรวบรวมผู้คนขับไล่กองทัrออสเตรียออกไปจากสวิสเซอร์แลนด์ได้สำเร็จ" ป้าสร้อยสีหน้าปลื้มมาก "แหม...อย่างนี้ซิ วีรบุรุษตัวจริง...ป้าต้องขอตบมือให้วิลเลียมเทลคนนี้หน่อยละ"
ท่านดนัยพารัตนาวดีกับป้าสร้อยเดินชมโบสถ์ซังต์กัลเลน (St.Gallen ) ดนัยอธิบายประวัติของโบสถ์ ทั้งสามนั่งที่เก้าอี้ริมสนามหญ้า ท่านดนัยยังพูดถึงหอสมุดของโบสถ์ที่มีความสำคัญ
ห้องนอนใน Romantik Wilden Mann Hotel รัตนาวดีเขียนจดหมายถึงปริศนา "หญิงกำลังสนุกกับการเที่ยวในสวิสค่ะ ช่างเป็นประเทศที่สวยงามจริงๆ...วันก่อนนายเล็กพาไปพักที่โรงแรมอันดับหนึ่งของลูเซิร์น โอ๋อ่าสวยงามตามฐานะเลยค่t แต่หญิงเห็นว่าเกินความจำเป็นที่จะต้องพักในโรงแรมอย่างนี้ ก็เลยพักแค่สองคืน ....แต่โรงแรมแห่งใหม่ที่นายเล็กพามาพัก ก็เป็นโรงแรมเก่าแก่ มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจมากเลยนะค่ะ.....นายเล็กพาหญิงกับป้าสร้อยทานแต่ของอร่อยทั้งวัน บางครั้งทานกันเสียจนต้องงดข้าวเย็น นายเล็กนี่ดูจะรู้จักไปหมดทุกที่ โชคดีเหลือเกินที่ได้เขามาพาไปเที่ยว"
ณ อนุสาวรีย์สิงโต (Lion Monument ) ท่านดนัยอธิบายความเป็นมา "สิงโตที่แกะสลักอยู่ในหินนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ระลึกถึงความกล้าหาญ และความซื้อสัตย์ ให้กับทหารสวิสที่โดนสังหารระหว่างการปฏิวัติครั้งใหญ่ที่ฝรั่งเศส... ถ้าแปลจากชื่อที่ตั้งไว้จะหมายถึง อนุสาวรีย์สิงโตสะอื้น หรือสิงโตร้องไห้ กระหม่อม" รัตนาวดีอ่านที่สลักไว้
"ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 วันที่ 10 สิงหาคม คศ.1792" ท่านดนัยยิ้ม "กระหม่อม" "โถ...ทำไมต้องร้องไห้ด้วย...น่าสงสาร" สร้อยว่า "อนุสาวรีย์นี้สร้างขึ้น 29 ปี ให้หลังจากที่พวกเขาเสียชีวิต รูปสิงโตที่ถูกหอกแทงทะลุหลังนอนหมอบอยู่ข้างโล่ห์ร่ำไห้ก่อนเสียชีวิต ด้วยใบหน้าและท่วงท่าที่เศร้าสร้อยอย่างเต็มที่ เปรียบเหมือนพญาราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่กำลังสิ้นท่า" ในระหว่างนั้น คณะเก็จกำง๋ง ยืนฟังท่านดนัยอธิบายให้รัตนาวดีกับป้าสร้อยฟังเรื่องราวต่างๆ อย่างตั้งใจฟัง สะอาดศรีมองท่านดนัยอย่างรักแรกพบ...วีระสิงห์มองรัตนาวดีอย่างหลงไหล "ทหารรับจ้างสวิสก็เป็นสิ่งบ่งบอกได้ว่า เมื่อสมัยก่อนชีวิตความเป็นอยู่ของชาวสวิสไม่ได้สุขสบายเหมือนทุกวันนี้ ถึงกับต้องไปเป็นทหารรับจ้าง ต้องจากครอบครัวไปอยู่ต่างถิ่น ไม่รู้ตัวว่าจะตายเมื่อใด"คณะของเก็จกำง๋งที่ยืนฟัง ทำหน้าเห็นด้วย ทั้งหมดเดินเข้ามาหา "ขอโทษเถอะคุณ หวังว่าคุณคงไม่ว่าที่ผมและลูกสาว ลูกชายของผมขอฟังด้วยนะครับ...พวกผมไม่ค่อยเก่งเรื่องภาษา ลูกชายก็เพิ่งมาเรียนได้ได้ปีเดียวพอจะพูด งูๆ ปลาๆ" เก็จกำง๋งบอก "ไม่เป็นไรค่ะ...เราคนไทยด้วยกัน" "ดีใจจังเลยได้เจอคนไทยด้วยกัน" ป้าสร้อยบอก สะอาดศรีรีบเข้ามายืนข้างๆ ท่านดนัย... ทั้งหมดยืนฟังท่านดนัย อธิบายเกี่ยวกับอนุสาวรีย์สิงโตสะอื้นต่อ "เมื่อก่อนชาติอื่นๆในยุโรปมีคำที่กล่าวดูถูกชาวสวิสว่า “no money , no Swiss” คือที่ไหนไม่มีเงินที่นั้นไม่มีชาวสวิส เพราะพวกทหารรับจ้างพวกนี้จะเข้าร่วมกับกองทัพใด หรือกษัตริย์ของเมืองใดๆก็ได้ หากได้รับเงินค่าจ้างที่พวกตัวเองพอใจ" วีระสิงห์ถาม "แล้วพวกทหารสวิสที่อยู่ที่วาติกันตอนนี้ละครับ" คาแร็คเตอร์ของวีระสิงห์อย่างหนึ่งคือ จะประหม่าเฉพาะที่พูดกับรัตนาวดี หรือถูกรัตนาวดีมอง "ก็เป็นทหารรับจ้างที่ตกทอดมาจากสมัยก่อนครับ เรียกว่kพวก “สวิส การ์ด” มีประมาณร้อยกว่าคนครับ....ถ้ามาที่เมืองลูเซิร์นแล้วไม่ได้มาเที่ยวชมที่นี้ ก็เหมือนมาไม่ถึงลูเซิร์นครับ"
"บางคนกล่าวถึงอนุสาวรีย์สิงโตหินนี้ว่า เป็นหินที่ดูเศร้าและสะเทือนใจที่สุดในโลก"

คณะของรัตนาวดี และ เก็จกำง๋ง พากันเดินชมเขตกำแพงเมืองเก่าในมุมสวยๆ
เก็จกำง๋งท่าทางชอบท่านดนัย จึงเดินประกบท่านดนัยข้างหนึ่ง สะอาดศรีเดินประกบอีกข้างหนึ่ง รัตนาวดีกับป้าสร้อย เดินห่างออกไป วีรสิงห์คอยแอบมองรัตนาวดี "บริเวณนี้เคยเป็นแนวเขตกำแพงเมือง มีป้อมที่สร้างสูงขึ้นไปเก้าป้อม...ส่วนใหญ่สร้างเพื่อทำให้มองเห็นข้าศึกที่จะเข้าโจมตีเมือง บางป้อมสร้างเพื่อเป็นหอสังเกตการณ์เวลาเกิดไฟไหม้ จะได้แจ้งเตือนพวกชาวบ้านได้ทันที...มีอยู่ป้อมหนึ่งที่ว่ากันว่าเป็นป้อมที่ติดตั้งนาฬิกาที่เชื่อว่าเก่าแก่ที่สุดของเมือง เก่าถึงห้าร้อยปี" ทั้งคณะทำหน้าสงสัย "แล้วมันยังเดินอยู่หรือเปล่าคุณ" "ปัจจุบันยังทำงานอยู่ครับ...และเพื่อเป็นการให้เกียรติครับ การตั้งให้ตีเวลาก่อนนาฬิกาเรือนอื่นๆในเมืองหนึ่งนาทีครับ" เก็จกำง๋งบอก "คุณมีความรู้ทางประวัติศาสตร์ดีมาก...คุณเป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์รึ" ท่านดนัยยิ้มๆ "หามิได้...ผมเป็นแค่คนขับรถ" ท่านดนัยหันไปยิ้มกับรัตนาวดี "อ๋อ...เค้าไปจ้างคุณมาจากไหน" ท่านดนัยหันไปมองรัตนาวดีอีก รัตนาวดี กับ ป้าสร้อยทำท่าจะเดินหนี ท่านดนัยเลยหันมาตอบ "จากลอนดอน" "คนไทยที่ขับรถพาผมมานี่ คนของสถานฑูตจัดให้ แต่ขับรถเป็นอย่างเดียว ที่ท่งที่เที่ยวไม่รู้จักเลย...แถบภาษายังไม่ค่อยเก่งด้วย" "นายทุยไม่ค่อยรู้เรื่องอย่างคุณนะนาย" วีระสิงห์บอก "นั่นสิ...คุณไปรู้เรื่องพวกนี้มาจากไหน" เก็จกำง๋งว่า "ผมก็อ่านจากหนังสือ" "อ้อ...แหมดีจริงๆ...ถ้าคุณเลิกไปกับคณะนี้เมื่อไหร่ ผมอยากให้คุณไปกับผมได้ไหม...ผมจะออกค่าใช้จ่ายให้คุณทุกอย่าง แล้วผมก็ยินดีจะจ่ายค่าจ้างให้คุณมากเป็นสองเท่าเลย" สะอาดศรีดีใจ รัตนาวดีได้ยินก็ไม่พอใจ "คุณไปกับเราดีกว่านะคะ นายเป็นคนสนุก...เวลาไปเที่ยวที่ไหน ขอให้ถูกใจละก็ เท่าไหร่เท่ากัน" รัตนาวดีเดิน พูดยิ้มๆเข้ามาใกล้ๆ ท่านดนัย "เห็นจะไม่ได้...นายเล็กเป็นคนของเรา...จะทิ้งเราไปไม่ได้เป็นอันขาด จนกว่าเราจะกลับอังกฤษ" ท่านดนัยยิ้มปลื้ม เก็จกำง๋งพูดอย่างนอบน้อม "ถ้างั้นผมก็ขอโทษ...ผมไม่รู้ว่าคุณตกลงกันมาอย่างไร ผมหมายความว่า เวลาคุณว่างแล้วน่ะซิ..คุณจะติดต่อกับผมได้ที่สถานทูตของทุกๆ ประเทศ....ผมไปไหนก็รายงานตัวกับสถานทูตก่อนเสมอ...คุณว่างเมื่อไหร่ก็ติดต่อผมแล้วกัน ผมยังเที่ยวอีกสองเดือน" เก็จกำง๋งหยิบนามบัตรส่งให้ท่านดนัย สะอาดศรีทำหน้าผิดหวังอย่างมาก ป้าสร้อยคอยสังเกตตลอด "ถ้าผมว่างก็จะติดต่อไปครับ.." เก็จกำง๋ง กับลูกสาวดีใจ "ขอบคุณมาก...ขอบคุณมาก...ถ้างั้นผมต้องลานะครับหวังว่าจะได้เจอกัน...ลานะครับ" เก็จกำง๋ง กับ คณะพากันเดินจากไป สะอาดศรีมองท่านดนัยอย่างอาลัยอาวรณ์...วีระสิงห์มองรัตนาวดีแบบไม่อยากจากไป
นามบัตรของเก็จกำง๋ง อยู่ในมือป้าสร้อย ป้าสร้อยอ่านชื่อในนามบัตรก็พยักหน้าหงึกๆ "อ้อ..อ้อ" รัตนาวดีมองอย่างสงสัย "อะไรคะป้า...ร้องอ้อ..อ้อ..ทำไม" "นายเก็จกำง๋ง เศรษฐีทางเหนือ...ร่ำรวยมากอย่างที่เค้าเรียกกันว่าพ่อเลี้ยงไงเพคะ" รัตนาวดีสีหน้าไม่พอใจหน่อยๆ "อ้อ...แต่เศรษฐีหรือใครก็ตาม เล่นจะมาแย่งนายเล็กไปต่อหน้าต่อตาอย่างนี้หญิงไม่ยอมเป็นอันขาด..จะต้องสู้ให้ยิบตาทีเดียว" "เราก็ควรจะถามความสมัครใจเจ้าตัวเขานะเพคะ..ว่าไงนายเล็ก เค้าจะให้ค่าแรงตั้งสองเท่าเชียวนา" ท่านดนัยยิ้มๆ "ท่านดนัยรับสั่งให้ผมคอยดูแลท่านหญิง กับ คุณสร้อยครับ" ท่านหญิงรัตนาวดีสีหน้าหม่นนิดหนึ่ง "จริงสินะ...ถ้าหากท่านดนัยไม่ได้สั่งให้เธอมากับฉัน เธอก็คงไม่มาหรอก" รัตนาวดีพูดเหมือนงอนหน่อยๆ ท่านดนัยอดร้อนใจไม่ได้ "กระหม่อมอยากมาถวายงานท่านหญิงด้วยกระหม่อม พอทูลท่านดนัยก็ทรงเห็นชอบด้วย" "ก็แปลว่านายเล็กเป็นคนไปทูลขอท่านดนัยที่จะตามเสด็จท่านหญิง" สร้อยว่า "ท่านดนัยก็ทรงมีพระประสงค์อยากให้กระหม่อมพาเสด็จเที่ยวให้ทั่วเหมือนกันกระหม่อม"
"ทำให้เราน่ะขาดรายได้ไปเลยนะ...ท่านหญิงเพคะ...ถ้าเขาจ่ายให้นายเล็กอย่างที่พูดจริงๆ นี่นายเล็กได้เงินค่าจ้างเยอะเลยนะเพคะ"

รัตนาวดีสีหน้าไม่สบายใจหน่อยๆ ท่านดนัยยิ้มๆ
"คุณสร้อยอย่าห่วงเรื่องนั้นเลยครับ...ผมไม่เคยคิดเรื่องเงินหรือค่าจ้างอะไรทั้งนั้น...ผมไม่ได้เดือดร้อนเรื่องนั้น การที่ผมได้ตามเสด็จท่านหญิง ได้ดูแลคุณสร้อย ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับผมมากกว่าเงินทองไหนๆ ครับ" รัตนาวดีสีหน้าพอใจกับท่านดนัย "ขอบคุณมากนะ." ป้าสร้อยแอบทำหน้าเหนื่อย...
ท่านดนัย รัตนาวดี กับ ป้าสร้อย เดินเข้ามาในโถง Hotel Romantik Wilden Mann "ท่านหญิงกับป้าสร้อย จะดื่มชาก่อนมั้ยกระหม่อม" "ก็ดีจ๊ะ" รัตนาวดีหยักหน้าเห็นด้วย...ท่านดนัยพาเดินขึ้นไปที่ห้องนั่งเล่นชั้นสอง ต่อมา ชุดน้ำชาถูกเสริฟให้รัตนาวดีและป้าสร้อย พร้อมขนมคุ๊กกี้ ขณะที่รัตนาวดีกับป้าสร้อยและท่านดนัย นั่งคุยกันอยู่ คณะเก็จกำง๋งเดินขึ้นมาข้างบน สะอาดศรีมองเห็นท่านดนัยก็ดีใจมากรีบวิ่งมาหา "คุณ...คุณ...คุณมาพักที่นี่เหมือนกันเหรอ" รัตนาวดียิ้มๆ ป้าสร้อยเห็นท่าทางสะอาดศรีที่ติดใจท่านดนัยก็พอใจ "ใช่จ้ะ...หนูก็พักที่นี่เหรอจ้ะ" "ค่ะ...เรามาเมื่อคืน...แหม...เผอิญจังเลยนะคะ" เก็จกำง๋ง กับ วีระสิงห์เดินเข้ามา คณะของรัตนาวดีก็ดีใจรีบเดินมาหาสมทบกับสะอาดศรี "ฮ่า..ฮ่า...ฮ่า...เจอกันอีกจนได้" เก็จกำง๋ง ป้าสร้อยรีบทำเป็นดีใจ "พวกคุณพักที่นี่เหมือนกันเหรอครับ...ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้ เราไปทานอาหารด้วยกันนะครับ...ผมขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงพวกคุณที่เราได้มาเจอกันอีก...แหม...เป็นลางดีนะครับ" "ก็ดีเหมือนกันนะ...หลายๆ คนสนุกดี" "ถ้าอย่างนั้นเราเจอกันที่นี่ทุ่มนึงดีไหมครับ...หรืออยากไปเร็วกว่านั้น"
"สักสองทุ่มก็แล้วกันค่ะ" ตลอดเวลาสะอาดศรีพยายามสบตาท่านดนัยด้วยดวงตาหวานฉ่ำ "ดึกไปครับ...ทุ่มนึงดีแล้ว...สองทุ่มก็หิวกันท้องโบ๋" รัตนาวดีพยายามไม่ตกใจ ได้แต่ยิ้มๆ "ถ้างั้นก็ทุ่มนึงแล้วกัน" ท่านดนัยรู้ว่ารัตนาวดีไม่ค่อยสนุก ป้าสร้อยมองสะอาดศรีกับท่านดนัยอย่างพอใจ...
ท่านดนัยเดินขึ้นมาส่งรัตนาวดีกับป้าสร้อย ป้าสร้อยเปิดประตูห้อง รัตนาวดีเดินเข้าไป ป้าสร้อยหันมาพูดกับท่านดนัย "ไปพักผ่อนเถอะนายเล็ก...ทุ่มนึงค่อยเจอกัน...อ้อ.. หรือจะไปคุยกับเพื่อนๆ ก็ได้นะ"
ท่านดนัยยิ้มๆ "ถ้าคุณสร้อยหมายถึงคณะของคุณเก็จกำง๋ง...ผมว่ายังเรียกว่าเพื่อนไม่ได้หรอกครับ" ป้าสร้อยยิ้ม คิดว่าท่านดนัยถ่อมตัว "อย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลย...ความจริงพวกเก็จกำง๋งกับนายเล็กน่าจะเพื่อนกันได้เลยละ" ท่านดนัยยิ้มๆ "ผมจะรอที่ล็อบบี้ตอนทุ่มนึงครับ" ป้าสร้อยปิดประตูห้องเดินเข้ามาในห้อง...เห็นรัตนาวดีนั่งซึมอยู่ "ทูนหัว...ประชวรหรือเปล่าเพคะ...ทำไมทรงเงียบไป" รัตนาวดีพยายามยิ้ม "ไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ...คงจะเหนื่อย ความจริงเย็นนี้หญิงอยากทานอะไรเบาๆ มากกว่า" "อ้าว...ก็เรานัดเขาแล้วนี่เพคะ" "หญิงไม่ได้นัดนี่คะ...ป้านัดกับพวกเขา ป้าก็ไปแล้วกัน" "ทำอย่างนั้นหม่อมฉันว่าไม่งามนะเพคะ...มันเหมือนจะไม่ให้เกียรติเขา" รัตนาวดีลุกขึ้นยืนมองออกไป ท่าทางไม่เต็มใจ ป้าสร้อยมองอย่างจับผิด แต่ก็ทำเป็นพูดร่าเริง "ที่ป้ารับคำเชิญพวกเขาเพราะคิดว่าท่านหญิงจะได้เจอคนอื่นๆบ้าง...ไหนๆ มาเที่ยวทั้งทีถ้าได้รู้จักกับคนโน้น คนนี้บ้าง จะได้มีเรื่องคุยกันสนุกๆ ไงเพคะ"
ท่านหญิงรัตนาวดีหันมายิ้มๆ อย่างเกรงใจป้าสร้อย แต่จริงๆ แล้วไม่อยากไป...

ทั้งหมดนั่งดื่มไวน์ก่อนอาหารที่ร้านหรูหรา สวยงาม รัตนาวดีแต่งตัวสวยแต่เรียบๆ ตรงข้ามกับหนูอาดที่แต่งตัวสีฉูดฉาดไม่เข้ากันสักอย่าง หนูอาดมองท่านดนัยอย่างทึ่งตลอดเวลา
รัตนาวดีเห็นสายตานั้น ป้าสร้อยมอง สีหน้ามีความหวังที่จะจับคู่ให้กับหนูอาดกับท่านดนัย เก็จกำง๋งหัวเราะเสียงดัง วีระสิงห์นั่งมองรัตนาวดี "ผมขอแนะนำตัวอีกครั้งครับ...ผมชื่อเก็จกำง๋ง นี่ลูกชายผมชื่อ..เชิด..ชื่อแกเพราะๆ ว่าอะไรนะ" วีระสิงห์ทำหน้าพิกล "วีระสิงห์ครับ" รัตนาวดีพยายามกลั้นหัวเราะ หันไปสบตากับท่านดนัยที่กลั้นหัวเราะเหมือนกัน เก็จกำง๋งตบเข่าตัวเองฉาดใหญ่ "วีระสิงห์...ส่วนลูกสาวผมชื่อ หนูอาด" สะอาดศรีค้อน "นายละก็...ชื่อสะอาดศรีไงล่ะคะ..จำไม่ได้อีกแล้ว" เก็จกำง๋งหัวเราะเสียงดัง "เออ..ใช่...แหมพ่อจำไม่ได้สักที...ชื่อสะอาดศรี แล้วคุณชื่ออะไร" "เรียกเค้าว่าคุณเล็กจ้ะ...แล้วจะเรียกฉันว่าป้าสร้อยก็ได้ ส่วนท่านนี้คือ หม่อมเจ้าหญิงรัตนาวดี" สามคนพ่อลูกพากันอึ้ง.. "โอ้...ตายละ...ผมพูดกับเจ้าไม่เป็นพ่ะย่ะค่ะ...เคยดูลิเกที่เขาพูดกัน...จะเหมือนกันไหมเพคะ" รัตนาวดีหัวเราะกิ๊กออกมา กับ คำพูด และท่าทางของเก็จกำง๋งที่อยู่ๆ ก็จ่องขึ้นมา "ไม่เป็นไรจ้ะ...พูดธรรมดาอย่างที่เราเคยคุยกันนี่แหล่ะ" เก็จกำง๋งหันไปหาท่านดนัย "จะดีเหรอคุณเล็ก...จะทำให้ไม่ทรงพระเจริญหรือเปล่า" ท่านดนัยสำลัก "ผมว่าคุณพูดธรรมดาอย่างที่ท่านหญิงรับสั่งดีกว่าครับ" ผ่านเวลา ทั้งหมดทานอาหารบนโต๊ะ บรรยากาศการมองซึ่งกันกันอย่างเหมือนเดิม "นี่พวกคุณเดินทางจากเมืองไทยมาที่ฝรั่งเศสแล้วก็ขับรถมาสวิสกันเหรอจ้ะ" สร้อยถาม "ผมมาที่อังกฤษก่อนครับ...พอดีมีคนรู้จักกันเค้าแนะนำให้ไปที่ลอนดอนก่อน...เห็นว่าจะมีคนไทยสองคนจะมาขอร่วมคณะกับผมด้วย...ผมก็ไม่ว่า...ยินดีจะไปด้วยกันเพราะเป็นคนไทยด้วยกัน...แต่พอผมไปถึงลอนดอนสองคนนั่นก็ไปที่อื่นแล้ว" "อ้าวตายจริง...อย่างนี้ก็เสียเที่ยวพวกคุณแย่น่ะซิ" "ไม่เสียเที่ยวหรอกครับ...พวกผมก็ได้เที่ยวที่ลอนดอนได้ไปดูอะไรต่ออะไรเยอะแยะ" รัตนาวดีเฉลียวใจ "คนไทยสองคนที่คุณพูดถึง...ติดต่อกันอย่างไรคะ" "ทางสถานทูตเป็นคนติดต่อ...เห็นว่าเป็นผู้หญิงสองคน... ผมก็ว่า...ถ้าเป็นผู้หญิงสองคนจะไปกันตามลำพังคงไม่ค่อยดีแน่...แต่พอไปถึงก็ไม่อยู่ที่ลอนดอนแล้วไปไหนก็ไม่รู้" รัตนาวดีมองหน้ากับป้าสร้อย "คุณติดต่อกับใครที่สถานทูตจำได้ไหมครับ" เก็จกำง๋งทำท่านึก "เอ..ชื่ออะไรน้า...ติดอยู่ที่ริมฝีปากนี่ละ..ชื่อ...คุณเสแสร้ง" ทุกคนทำหน้างง "ไม่มีชื่อนั้นหรอกครับ" เก็จกำง๋งอาย "ไม่ใช่นะ" รัตนาวดีหัวเราะกิ๊ก ป้าสร้อยทำหน้าคิดไม่ถึง เก็จกำง๋งเกาหัว "เอ..เชิด...คนที่สถานทูตที่ลอนดอนที่เค้าคุยกับเราน่ะชื่ออะไรนะ" วีระสิงห์ทำท่านึก รัตนาวดีมองหน้าอย่างอยากรู้ วีระสิงห์ก็ติดอ่างขึ้นมา "เอ้อ...ดูเหมือนจะชื่อสะหวง...หรือแสวง นี่แหละครับนาย" เก็จกำง๋งตบเข่าฉาดใหญ่ ทุกคนทำหน้าเหรอ "ใช่แล้ว..แสวง...ชื่อนายแสวงแน่ๆ" "ถ้าอย่างนั้นคณะที่สถานทูตติดต่อให้ท่านหญิงร่วมคณะ เดินทางน่าจะเป็นคณะนี้แน่นอนกระหม่อม" รัตนาวดียิ้มๆ เก็จกำง๋งหัวเราะเสียงดัง "แหม...คนจะได้ไปด้วยกัน...ก็มาเจอกันจนได้...ได้ไปด้วยกันจนได้W สะอาดศรีดีใจ มองท่านดนัยอย่างตาหวาน "จริงค่ะนาย...ยังไงๆ ก็ต้องอยู่ด้วยกัน" ป้าสร้อยมองสะอาดศรีที่สนใจท่านดนัยจนออกนอกหน้า ผ่านเวลา จนเป็นช่วงทานของหวาน "อาหารอร่อยมาก...ขอบคุณมากนะคะสำหรับอาหารค่ำนี้" ท่านหญิงบอก เก็จกำง๋งยิ้มดีใจ "ไม่เป็นไรเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง..ถ้าองค์หญิงชอบละก็ ข้าพระพุทธเจ้ายินดีเลี้ยงอีกพ่ะย่ะค่ะ" รัตนาวดีกลั้นยิ้ม ป้าสร้อยอดไม่ได้ "พูดธรรมดาเถอะจ้ะ...ขอบใจมากนะ" เก็จกำง๋งอาย "แล้วพรุ่งนี้ท่านจะไปเที่ยวที่ไหน" "ก็คงจะแถวๆ นี้แหล่ะ...เราเพิ่งมาถึงกันไม่กี่วัน" "เอ้อ...คุณเล็กนำเที่ยวเก่งจริง...ข้าพุทธเจ้าขอตามเสด็จเที่ยวด้วยได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ" ป้าสร้อยดุแล้ว "บอกให้พูดธรรมดา" ท่านดนัยกลั้นหัวเราะ รัตนาวดีมองท่านดนัยเหมือนขอความคิดเห็น แต่ป้าสร้อยรีบชิงตัดบทก่อน
"หม่อมฉันว่าก็ดีเหมือนกันนะเพคะ ไปเที่ยวหลายๆ คน สนุกดี"

ท่านดนัยหน้าเหรอหรา สะอาดศรียิ้มหวาน...
"ฉันไม่รู้ว่าการไปเที่ยวของฉันจะถูกใจคณะของคุณหรือเปล่า ฉันชอบไปเที่ยวในที่ๆ คนอื่นอาจจะไม่ชอบก็ได้" "แค่พวกเราได้ตามไปด้วยก็น่าจะสนุกแล้ว...มีนายเล็กเป็นคนนำเที่ยวให้ความรู้ดีๆอย่างนี้ ผมกับลูกๆ ก็สนุกแล้ว" สะอาดศรีรีบสนันสนุน วีระสิงห์ก็มายืนยิ้มแป้น "ขอเราตามไปเที่ยวด้วยนะคะ" ป้าสร้อยยิ้มแย้มพยักเพยิดเห็นด้วย "ก็ได้...แต่ถ้าพวกคุณอยากแยกไปเมื่อไหร่ก็บอกได้นะ" สามคนพ่อลูกพากันดีใจ โดยเฉพาะสะอาดศรี ป้าสร้อยสมใจ..
บรรยากาศเมืองลูเซิร์นตอนกลางคืน เปลี่ยนผ่านเป็นยามเช้า
วันใหม่ ท่านดนัยนำทั้งหมดมายืนหน้าโบสถ์ Hofkirche (โบสถ์หอคอยคู่) และอธิบายประวัติให้ฟัง รัตนาวดียืนฟังอยู่ใกล้กับป้าสร้อย สะอาดศรีอยู่ใกล้ชิดกับท่านดนัยตลอดเวลา วีระสิงห์จะหาโอกาสที่จะยืนในจุดที่แอบมองท่านหญิงรัตนาวดีได้ชัดที่สุด "โบสถ์ฮอฟเคียร์เคอ เป็นโบสถ์แรกๆที่สร้างขึ้น สมัยก่อนเป็นศูนย์กลางทางศาสนาของเมือง....เมื่อสี่ร้อยปีที่แล้วถูกไฟไหม้จนเกือบหมด....เหลือเพียงหอคอยคู่เท่านั้นอาคารตรงกลางที่เห็นนั้นสร้างขึ้นมาใหม่" นอกดาดฟ้าเรือกลไฟ ที่แล่นชมทะเลสาบลูเซิร์น ท่านดนัยอธิบาย ชี้มือให้ดูยอดเขาต่างๆสองข้างทาง....รัตนาวดียืนชมวิวอย่างมีความสุข นานๆเหลือบตามามองสะอาดศรีที่กระแซะเข้าใกล้ท่านดนัยตลอดเวลา ป้าสร้อยนั่งฟังนั่งมองท่านดนัยอธิบาย....วีระสิงห์หูฟังท่านดนัยพูด แต่สายตาจับจ้องที่รัตนาวดี พอรัตนาวดีหันกลับมามอง วีระสิงห์ก็รีบหลบสายตาหันไปที่ท่านดนัย เก็จกำก๋งไม่ค่อยสนใจฟัง เอาแต่ถ่ายรูป
ทั้งหมดถ่ายรูปหมู่.ร่วมกัน ท่านดนัยถ่ายรูปรัตนาวดี กับป้าสร้อย วีระสิงห์ถ่ายรูปเก็จกำง๋งกับสะอาดศรี แต่สายตายังมองไปที่รัตนาวดี ทำให้ภาพในกล้องของตัวเองไม่เห็นเก็จกำง๋งกับสะอาดศรี อีกภาพในกล้อง สะอาดศรีไม่สนใจกล้อง ตามองไปแต่ท่านดนัย ท่านดนัยเป็นคนถ่ายรูปให้ทั้งคณะ รัตนาวดียืนกับป้าสร้อย สะอาดศรียืนติดกับรัตนาวดี และยิ้มให้กล้อง ความจริงคือการยิ้มให้ท่านดนัยอย่างเต็มที่ เก็จกำง๋งยืนเต๊ะจุ้ย วีระสิงห์ยืนอีกด้าน แต่ชะโงกหน้าไปมองแต่รัตนาวดี ท่านดนัยกำลังถ่ายรูปหมู่ให้อยู่ สะอาดศรีเดินออกมาฉุดท่านดนัยเข้าไปถ่ายรูปด้วย และยังเอากล้องส่งให้วีระสิงห์ ให้เป็นคนออกมาถ่ายรูปแทน ในภาพสะอาดศรีเกาะเกี่ยวกับท่านดนัยเกือบทุกรูป บางรูปจะเห็นรัตนาวดีชำเลืองมองด้วยสายตานิ่งๆ บางรูปจะเห็นท่านดนัยพยายามแกะสะอาดศรีออกแต่ไม่เป็นผล....ป้าสร้อยมองเห็นแอบยิ้ม เก็จกำง๋งแยกลูกสาวออกมากับท่านดนัย และเป็นคนถ่ายรูปให้กับทั้งสองคน
ในโบกี้รถไฟ Steam Train เมือง Vitznau เพื่อขึ้นยอดเขาริกิ ( Rigi) ท่านดนัยอธิบายประวัติ ความเป็นมาของยอดเขา และวิวที่จะมองเห็นจากยอดเขา
เก็จกำง๋งค่อยๆ เผลอหลับ สัปหงก.... สะอาดศรีตั้งใจฟังเกินเหตุ...รัตนาวดีมองวิวข้างทาง วีระสิงห์มองรัตนาวดี
.
.
https://www.youtube.com/watch?v=IyIK96Wth9Y
รัตนาวดี Rattanavadee EP 12 00 14 40 00 21 35
https://youtu.be/IyIK96Wth9Y?si=2xda13lJGfjz2I9k
.
|