| ppsan | 
								|  | «  on: 10  October  2025, 13:33:18  » |  | 
 
 ทำความเข้าใจข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา: เมื่อความขัดแย้งเป็นมากกว่าเรื่องเส้นเขตแดน
 Prashya Global
 29 ก.ย. เวลา 17:42 • การเมือง
 ทำความเข้าใจข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา: เมื่อความขัดแย้งเป็นมากกว่าเรื่องเส้นเขตแดน
 
 
 
  
 
 ทำความเข้าใจข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา: เมื่อความขัดแย้งเป็นมากกว่าเรื่องเส้นเขตแดน
 
 "ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา"
 
 Prashya Global
 ..
 
 บนเวทีการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ณ นครนิวยอร์ก บรรยากาศทางการทูตได้ทวีความตึงเครียดขึ้นอย่างฉับพลัน เมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาได้กล่าวหาประเทศไทยอย่างรุนแรง ส่งผลให้นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ต้องตัดสินใจ "เขียนถ้อยแถลงใหม่" ในทันที เพื่อลุกขึ้นตอบโต้สิ่งที่เรียกว่า "การบิดเบือนความจริง" อย่างสิ้นเชิง
 
 เหตุการณ์เผชิญหน้าครั้งนี้เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งที่เผยให้เห็นรอยร้าวลึกของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่ปัญหาเส้นเขตแดน แต่เป็นความขัดแย้งที่ซับซ้อนและมีรากเหง้าหยั่งลึกลงไปในประวัติศาสตร์ยุคอาณานิคม คำตัดสินของศาลโลก พลวัตการเมืองภายในที่เปราะบาง และสมรภูมิใหม่ในโลกออนไลน์ที่เรียกว่า "สงครามข้อมูลข่าวสาร"
 
 บทความนี้จะพาผู่านไปสำรวจมิติต่างๆ ของข้อพิพาทไทย-กัมพูชาอย่างรอบด้าน ตั้งแต่จุดเริ่มต้นทางประวัติศาสตร์ ไปจนถึงการปะทะคารมบนเวทีโลก และผลกระทบจากการเมืองภายใน เพื่อสร้างความเข้าใจที่แท้จริงว่าเหตุใดความขัดแย้งนี้จึงยืดเยื้อและอ่อนไหวเกินกว่าเรื่องแผนที่และเขตแดน
 
 
 1. จุดเริ่มต้นความขัดแย้ง: รากเหง้าจากประวัติศาสตร์และคำตัดสินของศาลโลก
 
 ที่มาของข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาบริเวณปราสาทพระวิหาร เป็นผลพวงมาจากมรดกทางประวัติศาสตร์และการตีความทางกฎหมายที่แตกต่างกัน โดยมีจุดเริ่มต้นสำคัญในยุคอาณานิคม เมื่อฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ "Annex I map" ขึ้นในปี พ.ศ. 2447 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตัวปราสาทอยู่ในเขตแดนของกัมพูชา แผนที่ฉบับนี้ได้กลายเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้งที่นำไปสู่การต่อสู้ทางกฎหมายอันยาวนานบนเวทีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งมีคำตัดสินและคำวินิจฉัยตีความที่สำคัญ 2 ครั้ง อันส่งผลโดยตรงต่อสถานะของพื้นที่พิพาท
 
 ปีที่ตัดสิน   สาระสำคัญของคำพิพากษา
 
 พ.ศ. 2505 (1962)   ศาลวินิจฉัยให้ตัวปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา โดยอ้างอิงจากการที่ฝ่ายไทยไม่ได้คัดค้านแผนที่ Annex I map อย่างเป็นทางการมาเป็นเวลานาน ซึ่งถือเป็น "การยอมรับโดยปริยาย" อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาในครั้งนั้น ไม่ได้ระบุเส้นเขตแดนบริเวณโดยรอบตัวปราสาทไว้อย่างชัดเจน ทำให้พื้นที่ดังกล่าวยังคงเป็นประเด็นถกเถียงต่อไป
 
 พ.ศ. 2556 (2013)   จากคำร้องของกัมพูชาให้ตีความคำพิพากษาเดิม ศาลได้มีคำวินิจฉัยเพิ่มเติมว่า พื้นที่โดยรอบตัวปราสาทซึ่งจำเป็นต่อการเข้าถึงนั้น อยู่ในอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา และประเทศไทยมีพันธกรณีที่จะต้องถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ดังกล่าว คำวินิจฉัยนี้ช่วยลดความคลุมเครือทางกฎหมาย แต่ไม่ได้ยุติความขัดแย้งโดยสมบูรณ์
 
 จากรากฐานทางประวัติศาสตร์และคำตัดสินทางกฎหมาย ความขัดแย้งได้ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งในยุคปัจจุบัน และย้ายสมรภูมิจากการต่อสู้ในศาลไปสู่การเผชิญหน้าทางการทูตบนเวทีระดับโลก
 
 
 2. สงครามวาทกรรมบนเวทีโลก: การปะทะคารม ณ สหประชาชาติ
 
 การประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ได้กลายเป็นเวทีประจันหน้าทางการทูตระหว่าง นายปรัก สุคน รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา และ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย วาทกรรมของทั้งสองฝ่ายสะท้อนมุมมองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การเผชิญหน้าครั้งนี้ยังเผยให้เห็นถึงความได้เปรียบในการสื่อสาร เมื่อนายสีหศักดิ์กล่าวถ้อยแถลงเป็นภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วจนได้รับเสียงปรบมือเป็นระยะ ในขณะที่นายปรัก สุคน กล่าวเป็นภาษาเขมรผ่านล่าม ซึ่งสะท้อนถึงการช่วงชิงความได้เปรียบในสมรภูมิข้อมูลข่าวสารบนเวทีโลก
 
 ประเด็น   คำกล่าวอ้างของกัมพูชา (โดย นายปรัก สุคน)   คำตอบโต้ของไทย (โดย นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว)
 ภาพลักษณ์   นำเสนอภาพลักษณ์กัมพูชาในฐานะ "เหยื่อผู้ถูกกระทำ" ที่เป็นชาติเล็กๆ และยึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิง แต่ถูกเพื่อนบ้าน (ไทย) คุกคามและโจมตีก่อน   หักล้างภาพเหยื่อ โดยระบุว่ากัมพูชา "แสร้งทำตัวเป็นเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า" และบิดเบือนความจริงอย่างสิ้นเชิง
 
 "เหยื่อ" ที่แท้จริง   กล่าวหาว่าไทยขับไล่พลเรือนชาวกัมพูชาออกจากที่ดิน และเป็นฝ่ายเริ่มใช้ความรุนแรง   ชี้ให้เห็นว่า "เหยื่อที่แท้จริง" คือทหารไทยที่สูญเสียขาจากทุ่นระเบิด เด็กนักเรียนที่โรงเรียนถูกโจมตี และ "พลเรือนผู้บริสุทธิ์ที่กำลังจับจ่ายซื้อของ...ที่ถูกโจมตีจากจรวดของฝ่ายกัมพูชา"
 
 ความจริงใจ   ยืนยันว่ากัมพูชาต้องการเจรจาและแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี   เปิดโปงพฤติกรรมสองมาตรฐาน โดยระบุว่าเพียงวันเดียวก่อนหน้า กัมพูชาเพิ่งพูดคุยเรื่องสันติภาพในการประชุม 4 ฝ่าย แต่กลับมากล่าวหาไทยอย่างรุนแรงบนเวทีโลกในวันถัดมา
 
 ต้นตอความตึงเครียด   อ้างว่าการกระทำฝ่ายเดียวของไทยเป็นสิ่งที่บ่อนทำลายสันติภาพ   ชี้แจงว่าความตึงเครียดเกิดจากการยั่วยุอย่างต่อเนื่องของกัมพูชา ทั้งการรุกล้ำอธิปไตย การยิงปืนใส่ฐานทหารไทย และการส่งโดรนเข้ามาสอดแนม
 
 ความตึงเครียดของสถานการณ์เด่นชัดขึ้นเมื่อนายสีหศักดิ์ยอมรับว่า เขาต้องตัดสินใจ "เขียนถ้อยแถลงใหม่" ทันทีหลังจากได้ฟังคำกล่าวของฝ่ายกัมพูชา จากเดิมที่ตั้งใจจะพูดถึงความร่วมมือในอนาคต กลับต้องเปลี่ยนมาเป็นการตอบโต้เพื่อปกป้องจุดยืนและข้อเท็จจริงในมุมของฝ่ายไทย
 
 การเผชิญหน้าบนเวทีโลกครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าความขัดแย้งไม่ได้ดำเนินไปตามหลักกฎหมายหรือการทูตเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีเชื้อไฟจากปัจจัยภายในของทั้งสองประเทศที่โหมกระพือให้สถานการณ์ร้อนระอุยิ่งขึ้น
 
 
 3. การเมืองภายใน: เชื้อไฟที่โหมกระพือความขัดแย้ง
 
 ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาไม่ได้เป็นเพียงปัญหาระหว่างรัฐ แต่ยังถูกใช้เป็น "เครื่องมือทางการเมือง" เพื่อเป้าประสงค์ภายในของแต่ละประเทศอย่างชัดเจน
 
 * บริบทการเมืองไทย:
 * ในช่วงที่การเมืองไทยมีความเปราะบางและแตกแยกสูง โดยเฉพาะหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2549 และ 2557 ข้อพิพาทชายแดนถูกนำมาใช้เป็น "ทุนทางการเมือง" อย่างเข้มข้น กลุ่มการเมืองต่างๆ ได้หยิบยกประเด็น "การเสียดินแดน" และวาทกรรม "ขายชาติ" ขึ้นมาใช้โจมตีรัฐบาลฝ่ายตรงข้าม เพื่อระดมแนวร่วมและบ่อนทำลายความชอบธรรมของคู่แข่งทางการเมือง
 
 
 * บริบทการเมืองกัมพูชา:
 * รัฐบาลของสมเด็จฮุนเซน ซึ่งครองอำนาจมาอย่างยาวนาน ได้ใช้ข้อพิพาทนี้เป็นเครื่องมือในการกระชับอำนาจและสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง โดยการสร้างภาพลักษณ์ของผู้นำในฐานะ "ผู้ปกป้องอธิปไตย" และปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อ "เบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาภายในประเทศ" และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับฐานอำนาจของตน
 
 จากสนามรบทางการเมือง ความขัดแย้งได้ขยายขอบเขตไปสู่แนวรบใหม่ในยุคดิจิทัล ซึ่งข้อมูลข่าวสารได้กลายเป็นอาวุธสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความเข้าใจและทัศนคติของผู้คนอย่างกว้างขวาง
 
 
 4. แนวรบออนไลน์: เมื่อข้อมูลข่าวสารกลายเป็นอาวุธ
 
 นอกเหนือจากการเผชิญหน้าทางการทหารและการทูต ข้อพิพาทไทย-กัมพูชายังเกิด "สงครามข้อมูลข่าวสาร" (Information Warfare) ขึ้นบนโลกออนไลน์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการชี้นำความคิดเห็นและสร้างความเกลียดชัง
 
 1. ปรากฏการณ์ข่าวลวง (Disinformation): ข้อมูลเท็จถูกสร้างและเผยแพร่อย่างกว้างขวางในหลากหลายรูปแบบ เพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้ามและปลุกปั่นอารมณ์ของผู้คน ตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงคือ:
 
 * Text Base Disinformation: การสร้างข้อความเท็จประกอบภาพบุคคลสำคัญ เช่น การกุข่าวว่า พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ กล่าวว่า "เขมรไม่ใช่ญาติ หากจะตายก็ให้ตายไป"
 
 * Image Base Disinformation: การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สร้างภาพปลอม เช่น ภาพนายภูมิธรรม เวชยชัย ก้มไหว้ในขณะที่สมเด็จฮุนเซนใช้มือลูบศีรษะ
 
 * Video Base Disinformation: การใช้คลิปวิดีโอจากเหตุการณ์อื่นมาบิดเบือน เช่น คลิปชายชราชาวกัมพูชาวัย 87 ปี ที่ถูกกล่าวอ้างว่ากำลังจะไปออกรบ ทั้งที่ความจริงเป็นเพียงอดีตทหารที่กำลังไปซื้อยา
 
 2. อคติและการเลือกรับสาร: ปรากฏการณ์นี้ถูกซ้ำเติมด้วยธรรมชาติของมนุษย์ที่เรียกว่า "อคติเข้าข้างความเชื่อของตนเอง (Confirmation Bias)" ซึ่งทำให้ผู้คนมีแนวโน้มที่จะเลือกเชื่อข้อมูลเท็จที่สอดคล้องกับอุดมการณ์หรือความรู้สึกที่มีอยู่เดิม แม้ในภายหลังจะมีการพิสูจน์แล้วว่าเป็นข่าวปลอม แต่หลายคนก็ยังเลือกที่จะเชื่อและแชร์ข้อมูลนั้นต่อไป เพราะมัน "ตอบสนอง" ความเชื่อของตน
 
 3. การช่วงชิงความได้เปรียบในเวทีโลก: ในสมรภูมิข้อมูลระดับนานาชาติ มีแนวโน้มที่ประชาคมโลกจะเชื่อเรื่องเล่าของฝ่ายกัมพูชามากกว่า เนื่องจากหลักการที่ว่า "ใครปักธงก่อนได้เปรียบ" ในโลกอินเทอร์เน็ต ฝ่ายกัมพูชามักสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษออกไปสู่สาธารณะได้รวดเร็วกว่า ทำให้เรื่องเล่าของตนถูกรับรู้และเผยแพร่ไปก่อนที่ฝ่ายไทยจะชี้แจงข้อเท็จจริง
 
 
 มิติต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมด ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ กฎหมาย การเมือง ไปจนถึงสงครามข้อมูลข่าวสาร ล้วนถักทอเข้าด้วยกันจนกลายเป็นความขัดแย้งที่ซับซ้อนและยากจะคลี่คลาย
 
 
 5. บทสรุป: ก้าวข้ามความขัดแย้ง สู่แนวทางความร่วมมือ
 
 ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาไม่ใช่เพียงปัญหาเรื่องเส้นเขตแดนบนแผนที่ แต่เป็นปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนซึ่งเกี่ยวพันกับบาดแผลทางประวัติศาสตร์ การใช้ชาตินิยมเป็นเครื่องมือทางการเมืองภายใน และสงครามข้อมูลข่าวสารในยุคดิจิทัล การเผชิญหน้าไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสนามรบ แต่ยังขยายไปสู่เวทีการทูตและสมรภูมิออนไลน์ ซึ่งอารมณ์และความเชื่อของผู้คนถูกใช้เป็นอาวุธ
 
 อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความขัดแย้ง ยังมีข้อเสนอเชิงนโยบายที่มุ่งหวังจะเปลี่ยนสนามรบให้กลายเป็นพื้นที่แห่งความร่วมมือ เพื่อนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน โดยมีแนวทางที่น่าสนใจดังนี้:
 
 * การสร้างเขตสันติภาพและวัฒนธรรมร่วม: พัฒนาพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารให้เป็นเขตความร่วมมือด้านการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวร่วมกัน แทนที่จะเป็นพื้นที่เผชิญหน้าทางทหาร
 
 * การทูตภาคประชาชน: ส่งเสริมโครงการแลกเปลี่ยนทางการศึกษาและวัฒนธรรมระหว่างชุมชนชายแดนของทั้งสองประเทศ เพื่อสร้างความเข้าใจ ลดอคติ และสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในระดับประชาชน
 
 * การศึกษาประวัติศาสตร์ร่วม: สนับสนุนให้นักวิชาการของทั้งสองชาติร่วมกันพัฒนาหลักสูตรหรือสื่อการสอนทางประวัติศาสตร์ที่ลดการตีความแบบฝ่ายเดียว เพื่อสร้างความเข้าใจในมุมมองที่หลากหลายและลดการปลูกฝังความเกลียดชัง
 
 หนทางที่แท้จริงในการก้าวไปข้างหน้าเรียกร้องให้ทั้งสองชาติร่วมกันรื้อถอนวาทกรรมชาตินิยมที่ถูกใช้เป็นอาวุธเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองภายใน และมุ่งสร้างอนาคตที่สันติและเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ประชาชนของทั้งสองประเทศสมควรได้รับอย่างแท้จริง
 
 .
 
 
 ที่มา: https://www.blockdit.com/posts/68da62a809165580e3057b2d
 
 .
 
 
 
 
 
 |