Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 21:58:41

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  หมวดหมู่ทั่วไป  |  สาระน่ารู้ (Moderators: CYBERG, MIDORI)  |  เอ็มโอ (ไม่) ยู ! | สุรชาติ บำรุงสุข
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: เอ็มโอ (ไม่) ยู ! | สุรชาติ บำรุงสุข  (Read 271 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 07 October 2025, 22:09:18 »

เอ็มโอ (ไม่) ยู ! | สุรชาติ บำรุงสุข


มติชนสุดสัปดาห์ > บทวิเคราะห์ > สุรชาติ บำรุงสุข > เอ็มโอ (ไม่) ยู ! | สุรชาติ บำรุงสุข

สุรชาติ บำรุงสุข
เอ็มโอ (ไม่) ยู ! | สุรชาติ บำรุงสุข
03.10.2025



      ใครเลยจะคิดว่า การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกุล ที่มีเงื่อนไขจากพรรคฝ่ายค้านให้ต้องทำ “ประชามติรัฐธรรมนูญ” นั้น จะถูกพ่วงโยงมาด้วยเรื่องของ “ประชามติ MoU”

        ทันทีที่เรื่องของการทำประชามติบันทึกช่วยจำปัญหาเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาถูกประกาศออกมา หลายฝ่ายดูจะมีท่าทีงงๆ อยู่พอสมควรกับประชามติในประเด็นนี้


คำถามเบื้องต้น

        คำประกาศประชามติ “4 เรื่อง-6 ประเด็น” นั้น ทำให้เกิดคำถามอย่างมาก ในอีกด้านหนึ่งของปัญหาในทางการเมือง มีคำถามว่า ฝ่ายที่สนับสนุนในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่นี้ มีท่าทีสนับสนุนการทำประชามติในเรื่องของบันทึกช่วยจำด้วยใช่หรือไม่

        หรือว่า นักการเมืองเหล่านี้ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหนหรือสีอะไร ล้วนหวังผลตอบแทนจาก ”ลัทธิชาตินิยม” ที่ขึ้นสู่กระแสสูงไม่ต่างกัน และไม่ได้สนใจกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นทั้งในเรื่องของการทำประชามติ หรือผลที่จะเกิดขึ้นในการจัดการความขัดแย้งเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาจากการไม่มีบันทึกช่วยจำนี้

      อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่สอนและทำเรื่องนโยบายต่างประเทศมานาน ไม่เคยคิดว่าจะเห็นวันที่รัฐบาลไทยประกาศว่า จะทำประชามติในหัวข้อที่เป็นเรื่องนโยบายต่างประเทศ เพราะโดยปกติแล้ว ประชามติในเวทีการเมืองไทย จะมีเรื่องหลักคือ “ปัญหารัฐธรรมนูญ” ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้คนในสังคมไทยอาจพอทำความเข้าใจได้บ้าง

      แต่ครั้งนี้ เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงอย่างมาก คือ ทำประชามติเรื่อง “บันทึกช่วยจำไทย-กัมพูชา” ซึ่งมี 2 ฉบับ ฉบับปี 2543 เป็นเรื่องของ “เส้นเขตแดนทางบก” และฉบับปี 2544 เป็นเรื่อง “เส้นเขตแดนทะเล”

      ดังนั้น อาจจะต้องระมัดระวังว่า การนำเอาประเด็นในเรื่องของนโยบายต่างประเทศมาทำประชามติ อาจจะเป็นเรื่องที่สร้างความสับสนให้แก่ประชาชนผู้ลงประชามติมากกว่า อันเป็นผลจากการที่ประชาชนอาจจะไม่คุ้นเคยกับปัญหาด้านต่างประเทศ เพราะเป็นเรื่องไกลตัวในชีวิตประจำวัน

       แม้กระทั่งคำว่า “บันทึกช่วยจำ” หรือ “MoU” (Memorandum of Understanding) คืออะไร และคำถามที่ตามมาอย่างมีนัยสำคัญคือ การมีหรือไม่มีจะผลต่อประเทศไทยอย่างไร และถ้าไม่มีแล้ว การแก้ปัญหาข้อพิพาทเรื่องเส้นเขตแดนจากเดิมที่มี “กรอบ/กติกา” กำหนดไว้แล้ว จะทำอย่างไรในอนาคต เป็นตัวอย่างของคำถามที่ไม่สามารถตอบได้ง่ายๆ




กระแสชาตินิยม-กระแสเสนานิยม

      การกล่าวเช่นนี้ มิได้มีนัยว่า รัฐบาลไม่ควรถามความเห็นเรื่องของนโยบายต่างประเทศจากประชาชน แต่เพราะการจะทำประชามติในเรื่องหนึ่งเรื่องใดนั้น แต่โดยหลักการของการทำประชามตินั้น ประชาชนควรมีความรู้พื้นฐานในระดับหนึ่ง เพื่อทำให้การตัดสินใจในการออกเสียงประชามติ เกิดจากความเข้าใจ มากกว่าจะเป็นเพียงการออกเสียงตาม “กระแส” ที่ถูกสร้างขึ้นในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา

      ดังจะเห็นได้ว่า ในเงื่อนไขของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้น ทำให้ “กระแสชาตินิยม” (Nationalism) ถูกผลักดันได้ง่ายจากความรู้สึกของผู้คนในสังคมที่ไม่พอใจต่อการกระทำในด้านต่างๆ ของฝ่ายกัมพูชา และทั้งเป็นภาวะธรรมชาติในตัวเองที่จะต้องเกิดกระแสนี้ เมื่อมีความขัดแย้งระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นเรื่องที่มีประเด็นค้างคากันมาแต่เดิมในประวัติศาสตร์

      อีกทั้ง กระแสชาตินิยมยังมีส่วนอย่างสำคัญต่อการผลักดันให้เกิดการขยับตัวของ “กระแสเสนานิยม” (Militarism) ที่วันนี้ คนในสังคมมี “ความเห็นใจ” และทั้งยังมี “ความพึงพอใจ” ต่อการทำหน้าที่ของทหาร ซึ่งต้องทำหน้าที่ในการปกป้องพื้นที่ตามแนวชายแดน และความเห็นเช่นนี้ยังเป็นผลผลิตจาก “ภาพความขัดแย้ง” ที่เกิดขึ้นระหว่างฝ่ายการเมืองกับผู้นำทหารในพื้นที่ ผ่านคำบอกเล่าที่ปรากฏในคลิปเสียงสนทนาของ 2 ผู้นำฝ่ายการเมืองขณะนั้น

      ฉะนั้น ในท่ามกลางการขึ้นสู่ “กระแสสูง” ทั้งในส่วนของลัทธิชาตินิยม ที่ผสมผสานเข้ากับลัทธิเสนานิยมนั้น ทำให้การทำประชามติต่อบันทึกช่วยจำดังกล่าวในช่วงเวลาเช่นนี้ ย่อมคาดเดาคำตอบได้ไม่ยากว่า คนในสังคมไทยจะไม่ตอบรับกับการคงอยู่ของบันทึกนี้

กระแสขวาจัด

       การขึ้นสู่กระแสสูงของ “ลัทธิชาตินิยม-เสนานิยม“ นั้น เป็นปัจจัยที่เป็นคุณแก่การเคลื่อนไหวของปีกขวาจัดในการเมืองไทยอย่างแน่นอน เพราะปีกนี้มีท่าทีของนโยบายแบบ “แข็งกร้าว” ต่อการแก้ปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชามาโดยตลอด และนับตั้งแต่การเปิดประเด็นเรื่อง “ปราสาทพระวิหาร” ในปี 2551 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน ท่าทีของกลุ่มมีความชัดเจนที่ต้องการยกเลิกบันทึกช่วยจำนี้ และมีท่าทีที่เน้นการใช้ “ไม้แข็ง” ในการจัดการปัญหา

       ดังนั้น การเสนอของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้ทำประชามติในเรื่องนี้ จึงเสมือน “เข้าทาง” กลุ่มขวาจัดอย่างง่ายดาย เพราะพวกเขาเรียกร้องให้ยกเลิกบันทึกนี้มาตั้งแต่ปี 2551 อีกทั้ง เมื่อกระแสต่อต้านกัมพูชาขึ้นสูง โอกาสที่บันทึกนี้จะอยู่รอดได้ จึงมีน้อยมาก หรืออาจกล่าวประเมินได้เลยว่า ผลของประชามติในเรื่องนี้ ฝ่ายสนับสนุนจะแพ้อย่างแน่นอน

      ฉะนั้น เมื่อกระแสขวามีนัยโดยตรงคือ “กระแสต่อต้านกัมพูชา” แล้ว ผลของประชามติในข้อนี้ ก็แทบไม่มีความจำเป็นต้องสำรวจแต่อย่างใด เพราะ “แพ้แน่นอน” เนื่องจากใครที่เห็นต่าง อาจถูกตราหน้าว่า “ไม่รักชาติ” อันจะทำให้คนจำนวนมากลงเสียงด้วยความเชื่อว่า การรักชาติคือ “การไม่รับเอ็มโอยู”

      อีกทั้ง ยังอาจคาดการณ์ได้ไม่ยากว่า เมื่อใกล้เวลาประชามติแล้ว ฝ่ายขวาจัดจะมีการรณรงค์ด้วยข้อเสนอให้ “ฉีกเอ็มโอยูทิ้ง“ และใครที่ไม่เห็นด้วยจะถูกจัดให้เป็น “คนขายชาติ” อย่างแน่นอน เช่นที่เกิดมาแล้วในช่วง “วิกฤตพระวิหาร 2551” พร้อมกับคำถามเก่าของฝ่ายขวาจัดคือ “เป็นคนไทยหรือเปล่า?” อันเป็นคำถามที่ฝ่ายขวาจัดใช้โจมตีเพื่อ “ปิดปาก” ฝ่ายที่เห็นต่างในช่วงเวลานั้น คำถามนี้ จะกลับมาอีกแน่นอน




กระแสประชาชน

       ข้อกังวลของหลายฝ่ายที่มีความเห็นแย้งต่อการจัดทำประชามติ คือ ความรู้และความเข้าใจของประชาชนในฐานะของการเป็นผู้ออกเสียงนั้น มีมากเพียงใด และประชามตินี้จะต้องมีบัตร 2 ใบ คือ ใบหนึ่งของ MoU 2543 และอีกใบเป็นของ MoU 2544 ซึ่งอาจจะเป็นความยุ่งยากอย่างมาก เพราะจะต้องไปลงประชามติพร้อมกับประเด็นเรื่องรัฐธรรมนูญซึ่งมีจำนวน 2 ข้อ พร้อมกับต้องลงเสียงของ สส. บัญชีรายชื่อ และ สส. เขต ในคราวเดียวกันอีก 2 ข้อ ซึ่งเท่ากับมีนัยว่า ประชาชนในฐานะผู้ออกเสียงจะต้องกาบัตรลงเสียงทั้งหมด “6 เรื่อง” ในคราวเดียวกัน อันเท่ากับเป็นสัญญาณของความยุ่งยากสำหรับประชาชนอย่างแน่นอน (หรือที่ล้อกันสำหรับประชาชนที่มาลงเสียงเลือกตั้งว่า 2 ใบก็แย่แล้ว !)

     ความยุ่งยากของการต้อง “กา 6 คำถาม” นั้น ยังสำทับด้วยปัญหาความเข้าใจที่ประชาชนพึงต่อผลดีและผลเสียของบันทึกช่วยจำแต่ละฉบับ จนสามารถวินิจฉัยได้ และสามารถออกความเห็นได้อย่างแท้จริง มิใช่เป็นการออกเสียงตามประชามติตามกระแสสังคม ที่กำลังเคลื่อนไปด้วยแรงของ “ลัทธิชาตินิยม-เสนานิยม” ซึ่งข้อห่วงใยนี้ อาจจะตอบด้วยความเป็นจริง เพราะคนในสังคม รับรู้ปัญหาผ่านกระแส ไม่ใช่ผ่านบทความวิชาการที่มีการอภิปรายถึงปัญหานี้อย่างรอบด้าน จนอาจต้องยอมรับความจริงว่า กระแสประชาชนมาจากการผลักดันของ “กระแสสื่อ” ที่ขับเคลื่อนในสังคม และกระแสสื่อมีทิศทางที่ไหลไปในทางกระแสชาตินิยม อันมีผลอย่างมากต่อการสร้าง “มุมมอง” ของคนในสังคมที่อาจไม่คุ้นเคยกับเรื่องของนโยบายต่างประเทศ

     ถ้าคิดจะอาศัยความเห็นนักวิชาการ ก็อาจเป็นไปได้ยาก เพราะนักวิชาการมีความเห็นแตกต่างกัน และนักวิชาการที่ทำวิจัยในเรื่องนี้โดยตรงก็มีจำนวนน้อยมาก แต่ถ้าจะขอความเห็นจากกระทรวงการต่างประเทศ หรือ กรมแผนที่ทหาร คนบางส่วนก็อาจไม่ไว้ใจ เพราะเชื่อว่า ข้าราชการเองก็มองทางลมของฝ่ายการเมืองด้วย และอาจไม่กล้า “ล้ำเส้น” ซึ่งเป็นท่าทีของฝ่ายการเมืองในเรื่องนี้

     อันอาจกล่าวโดยสรุปง่ายๆ ได้ว่า สังคมไทยอาจจะไม่มี “คนกลาง” ในกรณีนี้ เพราะนักวิชาการที่เห็นต่างจะถูก “กด” ไว้ด้วยคำถาม “เป็นคนไทยหรือเปล่า?”




ข้อเรียกร้องท้ายบท

      เขียนมาทั้งหมด เพื่อส่งสัญญาณว่า ผลของประชามติบันทึกช่วยจำทั้ง 2 ฉบับนี้ ฝ่ายสนับสนุน “แพ้แน่นอน” แต่ปัญหาคือ เมื่อไม่มีบันทึกนี้แล้ว การเจรจาปัญหาเส้นเขตแดนระหว่างประเทศทั้ง 2 ที่มีข้อพิพาทต่อกันอยู่นี้ จะเดินต่อไปอย่างไร หรือถ้าต้องจัดทำใหม่ในอนาคต ใครจะกล้าทำ เพราะประชามติได้ตอบแล้วว่า “ไม่เอา”

      หรือว่าในที่สุดแล้ว การไม่มีบันทึกนี้คือ การปูทางไป “สู้คดีในศาลโลก” อย่างที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาตลอด และการ “ฉีก” บันทึกนี้จะเป็น “ชัยชนะของกัมพูชา” ที่ฝ่ายขวาจัดไทยได้จัดทำให้ภายใต้การดำเนินการอย่างดีของรัฐบาลไทย

       ว่าที่จริง สิ่งที่สังคมควรต้องเรียกร้องจากนักการเมืองทุกพรรค/ทุกสี คือ จุดยืนของพรรคต่อ MoU ทั้ง 2 ฉบับนี้คืออะไร … นักการเมืองทุกสี “กล้า” ประกาศให้ประชาชนได้รับทราบหรือไม่ หรือนักการเมืองจะเป็น “อีแอบ” ในเรื่องนี้ ที่ไม่ยอมพูดในที่สาธารณะ

        อยากขอฝากสื่อทุกสื่อให้ช่วยเอา “ไมค์จ่อปาก” หัวหน้าพรรคทุกพรรคในเรื่องนี้ด้วยครับ !

.


ที่มา: https://www.matichon.co.th/weekly/featured/article_862580

.




Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.041 seconds with 17 queries.