Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
31 October 2025, 21:58:39

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
28,303 Posts in 13,871 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  หมวดหมู่ทั่วไป  |  สาระน่ารู้ (Moderators: CYBERG, MIDORI)  |  สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส MOU 2543 และ MOU 2544 อารมณ์ อคติ ข้อเท็จจริงกับประเด็นกฎ
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส MOU 2543 และ MOU 2544 อารมณ์ อคติ ข้อเท็จจริงกับประเด็นกฎ  (Read 264 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 11,133


View Profile
« on: 07 October 2025, 22:07:33 »

สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส MOU 2543 และ MOU 2544 อารมณ์ อคติ ข้อเท็จจริงกับประเด็นกฎหมาย


มติชนสุดสัปดาห์ > Special Report > สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส MOU 2543 และ MOU 2544 อารมณ์ อคติ ข้อเท็จจริงกับประเด็นกฎหมาย
Special Report

สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส MOU 2543 และ MOU 2544 อารมณ์ อคติ ข้อเท็จจริงกับประเด็นกฎหมาย
05.11.2024




สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นที่มาแห่งการต้องเจรจาปักปันเขตแดน ระหว่างไทยกับกัมพูชา และไทยกับลาวนั้น มีอยู่ 2 ฉบับหลักๆคือ ฉบับ ค.ศ.1904 (พ.ศ.2447) และ 1907 (พ.ศ.2450)

สยามกับฝรั่งเศส โดยใช้แนวแม่น้ำโขงเป็นพรมแดน : ฝั่งซ้ายของแม่น้ำ (แม่น้ำไหลจากเหนือลงใต้ฝั่งซ้ายของแม่น้ำก็คือฝั่งตะวันออก) เป็นของฝรั่งเศส ฝั่งขวาเป็นของสยาม จนมาถึงแนวเทือกเขาดงรัก ซึ่งทอดตามแนวตะวันออก-ตะวันตกด้านเหนือของสันบันน้ำเทือกเขาตงรัก เป็นของสยาม ด้านใต้ของสันปันน้ำเป็นของฝรั่งเศส

กรณีปราสาทพระวิหารจึงกลายเป็นประเด็นขัดแย้ง เพราะปราสาทและพื้นที่รอบปราสาท อยู่ด้านเหนือของสันปันน้ำ แต่แผนที่กลับไปเขียนให้อยู่ในเขตตินแดนของฝรั่งเศส

ฉบับที่สองคือ ปี 1907 เป็นการที่สยามยกดินแดนเสียมราฐ ศรีโสภณ และพระตะบอง ให้ฝรั่งเศสเพื่อแลกกับการที่ฝรั่งเศสยกด่านซ้าย (จังหวัดเลย) จันทบุรี ตราด เกาะกูด และเกาะใกล้เคียงคืนให้ไทย ตรงนี้ไม่เกิดความขัดแย้งแต่อย่างใด เพราะทั้งสนธิสัญญาและแผนที่ระบุชัดเจนว่า ตราดและเกาะกูดเป็นตินแดนของสยามแต่มีข้อความตอนหนึ่งในสนธิสัญญา 1907 นี้ที่กล่าวว่า “แนวพรมแดนระหว่างอินโดจีนของฝรั่งเศกับสยาม เริ่มจากทางทะเล ณ จุดที่อยู่ตรงข้ามจุดสูงสุดของเกาะกูด จากนั้นแนวพรมแดนจากจุดนี้จะขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ…”

ซึ่งข้อความนี้นี่เอง ที่นำมาสู่ปัญหาของการใช้สนธิสัญญา 1907


(Photo by TANG CHHIN SOTHY / AFP FILES / AFP)

แต่ต้องพึ่งตั้งข้อสังเกตไว้ ณ ที่นี้ก่อนว่า สนธิสัญญาฉบับนี้เป็นการแบ่งเขตแดนทางบก มิได้มีส่วนใดเกี่ยวกับเขตแดนทางทะเลนับแต่ 1907 เป็นต้นมา ไทยกับกัมพูชาไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งว่าใครเป็นเจ้าของดินแดนเกาะกูด หรือเกาะกูดอยู่ในอำนาจอธิปไตยของใคร แม้ทุกวันนี้ โรงแรม ที่พัก และรีสอร์ตต่างๆ ตลอดจนการปกครอง บริหารจัดการทุกอย่างบนเกาะกูด ก็อยู่ใต้อำนาจทางปักครองของไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ หลายท่านที่เคยไปเที่ยวเกาะกูดมาแล้ว ก็คงจะตระหนักในความจริงข้อนี้ดี

ฉะนั้น ผู้เขียนจึงขอสรุปข้อที่หนึ่งตรงนี้ก่อนว่าข้อเท็จจริงปรากฎอยู่อย่างชัดเจนว่า เกาะกูด แม้จนทุกวันนี้ก็เป็นของไทยโดยสมบูรณ์ ในทุกแง่มุมไม่ว่าแง่มุมของทางการเมืองและการบริหารปกครอง กัมพูชามิได้เคยแต่งทัพจับศึกมายึดครองเกาะกูด เหมือนในกรณีของ อาร์เจนตินากับอังกฤษ ในกรณีของเกาะโฟล์คแลนด์ ที่อาร์เจนตินาส่งกองทัพเรือไปเพื่อจะยืดเกาะมาจากอังกฤษ ในช่วงต้นทศวรรษ 1980

ประการต่อไป ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของปัญหาก็คือ การประกาศเขตทางทะเลของไทยและกัมพูชาในช่วงปลายทศวรรษ 1960 (พ.ศ.2503) และต้นทศวรรษ 1970 (พ.ศ.2513) ประเทศต่างๆ ของโลกที่เป็นประเทศชายฝั่งและอยู่ติดทะเลเปิด (open sea) หรือทะเลกึ่งปิด (semi-enclosed sea) เช่น อ่าวไทย ต่างตื่นตัวต่อแนวโน้มของหลักกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ ที่จะให้มีเขตไหล่ทวีปและเขตเศรษฐกิจพิเศษ (ที่ต่อมาเรียกเขตเศรษฐกิจจำเพาะ) กว้างใหญ่ไพศาลกว่าหลักกฎหมายเดิมที่เคยใช้มาในอดีต

ยิ่งไปกว่านั้น หลักการปักปันเขตแดนทางทะเลโดยเฉพาะเขตไหล่ทวีปนั้น เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ตั้งแต่ที่มีคำตัดสินของศาลโลกเมื่อปี 1969 ในคดีระหว่างเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี และเดนมาร์ก ที่ต้องการแบ่งเขตไหล่ทวีประหว่างกันในทะเลเหนือซึ่งศาลให้หลักการปักปันเขตแดนทางทะเลที่ถือว่าเป็นหลักจารีตของกฎหมายระหว่างประเทศว่าประเทศที่มีชายฝั่งประชิด หรือตรงข้าม จะต้องเจรจาเพื่อทำความตกลงที่นำไปสู่ข้อยุติโดยสันติ ที่เป็นธรรม และในการปักปันเขตทางทะเลนั้น

วิธีการต่างๆ ในการแบ่งเขต เช่น เส้นมัธยฐาน (คือลากเส้นกึ่งกลางแบ่งกัน) ซึ่งเคยเชื่อกันว่าเป็นหลักกฎหมายในการปักปันเขตทางทะเลนั้น ศาลบอกว่าเป็นแค่วิธีการหนึ่งที่กฎหมายให้นำไปใช้ได้เท่านั้น ไม่ใช่หลักกฎหมายตายตัว ทั้งนี้เพราะสภาพแวดล้อมในแต่ละกรณีแตกต่างกันไปโดยสิ้นเชิง

หลักกฎหมายจึงควรมีเพียงเท่านี้ และควรจะยืดหยุ่นได้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม

คำตัดสินนี้ทำให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกพยายามหาวิธีการเพื่อขยายเขตทางทะเลในส่วนที่เป็นไหล่ทวีปกันเป็นการใหญ่ โดยพยายามหาทุกเหตุผลมาใช้เพื่ออ้างเขตไหล่ทวีปของตนเองให้ “เว่อร์” มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยหวังว่า อีกประเทศหนึ่งต้องมาเจรจากัน เมื่อต่างคนต่างอ้างไว้มากที่สุด ก็ต่างจะได้เปรียบในการเจรจาเพื่อหาข้อยุติมากขึ้นยิ่งเมื่อปรากฏว่าไหล่ทวีปคือแหล่งทรัพยากรธรรมชาติปิโตรเลียมด้วยแล้ว  ทุกประเทศขออ้างมากที่สุดเอาไว้ก่อน

 

อาร์เจนตินาบุกโฟล์คแลนด์ก็ด้วย 2 เหตุผลหลักเหตุหนึ่งคือ เป็นเกาะใกล้ประเทศตน ซึ่งเคยเป็นของตนมาก่อนนานมากแล้ว จึงไม่ควรตกเป็นของอังกฤษ (ทั้งที่คนบนเกาะ เป็นคนอังกฤษเกือบทั้งหมด) แต่อีกเหตุหนึ่งก็คือ หากยึดเกาะได้ ก็จะได้ไหล่หวีปอีกกว้างใหญ่ชื่งเชื่อว่ามีน้ำมันทั้งไทยและกัมพูชาในช่วงตันทศวรรษ 1970 ก็น่าจะมีแนวคิดทำนองเดียวกัน ในปี 2515 (1972) ทั้งไทยและกัมพูชาประกาศเส้นฐานตรงล้อมรอบเกาะ ตามแนวชายฝั่งของไทยเรา ประกาศล้อมเกาะช้างและเกาะกูด ของกัมพูชา ล้อมแนวหินต่างๆ ไปจนถึงเกาะปรินซ์ และเกาะคัง ผลในทางกฎหมายก็คือ แต่ละประเทศก็จะสามารถประกาศเขตไหล่ทวีปออกไปในทะเลได้กว้างขึ้น เพราะไหล่ทวีปจะวัดจากเส้นฐาน เมื่อเส้นฐานกระดอนออกมาไกลจากฝั่งมาก ก็ทำให้เขตทางทะเลสามารถขยายกว้างออกไปได้อีก

ต่อมากัมพูชาในปี 2515 เช่นกัน ได้ประกาศเขตไหล่ทวีป โดยลากเส้นตรงจากแนวพรมแดนไทย-กัมพูชา ไปทางตะวันตกเป็นเส้นตรงผ่านกลางเกาะกูดไปยังจุดกลางอ่าวไทย แล้วจึงหักลงทางใต้ขนานแนวชายฝั่งไทยด้านตะวันออกของอ่าวไทยการประกาศอ้างกรรมสิทธิ์ เหนือไหล่ทวีปในอ่าวไทยของกัมพูชาครั้งนี้ นอกจากจะกินพื้นที่อย่างกว้างขวาง อย่างไม่สมเหตุสมผลแล้ว ยังลากเส้นผ่านกลางเกาะกูดอีกต่างหาก ทำให้เป็นการประกาศเขตทางทะเลที่พิสดารเกินกว่าที่ใครจะรับได้

 

เข้าใจกันว่า กัมพูชาไปยึดเอาข้อความในสนธิสัญญา 1907 ที่ผู้เขียนกล่าวไว้ข้างต้นว่า พรมแดนเริ่มจากทะเล ณ จุดตรงข้ามจุดสูงสุดของเกาะกูดเป็นข้ออ้างอิง ก็เลยลากเส้นจากแนวพรมแดนผ่ากลางไปที่จุดสูงสุดของเกาะกูด ยาวต่อไปเรื่อยๆซึ่งเป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่ไทยจะรับได้ และสนธิสัญญา 1907 เอง ก็ไม่ได้เป็นสนธิสัญญาที่เกี่ยวข้องกับเขตทางทะเล

แต่ผู้เขียนได้กล่าวแล้วว่าประเทศทั้งหลายต่างก็จะพยายามขีดเส้นอ้างกรรมสิทธิ์ทางทะเล “เว่อร์” สุดๆ เอาไว้ก่อน

ต่อมาในปี 2516 ไทยจึงประกาศเขตไหล่หวีปในอ่าวไทยบ้าง โดยเส้นแนวเขตต้านบนกดลงทางทิศใต้อย่างมาก เนื่องจากการอ้างเส้นฐานตรงรอบเกาะกูด จนถึงแนวทำให้เราสามารถอ้างเขตทางทะเลกว้างใหญ่ไพศาลได้เช่นกัน ซึ่งก็แน่นอนว่ากัมพูชาก็จะไม่ยอมรับแนวเขดที่ไทยประกาศเพราะทับซ้อนกับที่กัมพูชาประกาศเอาไว้มากมาย

นั่นหมายความว่า ทั้งสองฝ่ายก็ต้องเปิดเจรจาตามแนวทางของกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ เพื่อหาข้อยุติที่เป็นธรรมในการแบ่งเขตไหล่ทวีป โดยการเจรจาเพื่อทำความตกลงระหว่างกัน

แต่ยังไงๆ  ฝ่ายไทยก็รับไม่ได้ที่จะเจรจาบนพื้นฐานการตีเส้นอ้างสิทธิของกัมพูชาที่ลากทับกลางเกาะกูดเช่นนี้ จึงต้องพยายามเจรจาให้กัมพูชาถอยเส้นดังกล่าวออกไปจากเกาะกูดเสียก่อน จึงจะเริ่มกระบวนการเจรจากันได้

แต่กัมพูชาก็เกิดศึกสงครามภายใน หลังจากปี 2516 เรื่อยมา จนไม่อาจจะเจรจากันสำเร็จ

 

ความพยายามที่จะเปิดเจรจากับกัมพูซาในเรื่องนี้ และในเรื่องเขตแดนทางบก ตามสนธิสัญญา 1904 เพิ่งจะเริ่มเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นเมื่อกัมพูชาสงบลง เมื่อมีการเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าตามนโยบายของท่านนายกฯ ชาติชาย ชุณหะวัณ กระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่าย ตลอดจนทีมผู้เชี่ยวชาญทางแผนที่  และความมั่นคง ได้ร่วมกันเจรจากันมาตลอดเพื่อหาทางวางกรอบเพื่อเปิดเวทีการเจรจาปักปันเขตแดนไทยกัมพูชา ทั้งทางบกและทะเล นับตั้งแต่ช่วงนั้นเป็นต้นมา และยิ่งบรรยากาศความเป็นมิตรของทั้งสองประเทศดีขึ้นเป็นลำดับ ตั้งแต่นโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้าของท่านนายกฯชาติชาย ก็ยิ่งทำให้การพูดคุยเจรจามีบรรยากาศเป็นมิตรมากขึ้น นับตั้งแต่ราวๆช่วง 2533-2534 เป็นต้นมา

จนในที่สุด การร่วมเจรจากันของทั้งสองฝ่ายสามารถลงนามในบันทึกความเข้าใจหรือMOU 2543 ในปลายสมัยรัฐบาลท่านนายกฯ ชวน หลีกภัย ซึ่งเป็น MOU ที่วางกรอบให้มีเวทีการเจรจาปักปันพื้นที่ทางบกระหว่างทั้งสองประเทศ

โดยในการเจรจาตามกรอบของ MOU นี้ MOU 43 ระบุว่า ทั้งสองฝ่ายจะคำนึงถึงหลักกฎหมายและบทบัญญัติตามสนธิสัญญาต่างๆ ที่ทำไว้ระหว่างกัน ตลอดจนแผนที่ต่างๆ ด้วย (รวมทั้งแผนที่ที่จัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศสตามสนธิสัญญา 1904 ซึ่งเป็นแผนที่ ที่ฝ่ายไทยได้เคยอ้างต่อศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหารว่า ไทยไม่เคยยอมรับแผนที่นี้)


(Photo by PHILIPPE LOPEZ / AFP)

บรรยากาศที่ดีนี้ก็เปิดทางให้ทั้งสองฝ่ายเจรจากัน สำหรับการวางกรอบการเจรจาทางทะเลด้วยเช่นกัน ได้หารือกันหลายครั้งหลาย โดยทีมเจรจาที่เป็นข้าราชการระดับสูงของทั้งสองฝ่าย ซึ่งก่อนที่จะมาเป็น MOU 44 ก็ได้หารือกันอย่างไม่เป็นทางการ ในเดือนตุลาคม 2543 แต่ไม่ได้พบหารือกันต่อเนื่องจากมีการเลือกตั้ง เมื่อเลือกตั้งเสร็จและจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ฝ่ายข้าราชการระดับสูงของทั้งสองฝ่ายก็เจรจากันต่ออย่างเป็นมิตรและด้วยความเข้าใจกันในเดือนเมษายน 2544 ทำให้สามารถลงนามในบันทึกความเข้าใจ MOU 2544 เมื่อมิถุนายน 2544 ที่วางกรอบให้มีเวทีการเจรจาปักปั่นพื้นที่ทางทะเลระหว่างทั้งสองประเทศ

โดยในการเจรจาตามกรอบ MOU 2544 นี้ MOU ระบุว่า ทั้งสองฝ่ายจะมีคณะกรรมการมาเจรจากันเพื่อปักปันพื้นที่ทางทะเล ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิของตนไว้ ในปี 2515 (กรณีกัมพูชา) แดะ 2516 (กรณีไทย) และในส่วนที่ไม่อาจตกดงปักปันได้ ก็อาจพิจารณาเจรจาให้เป็นพื้นที่พัฒนาร่วม (เช่นเดียวกับ JDA – Joint Development Area ในเขตไหล่ทวีป ที่ไทยทำไว้กับมาเลเชีย เมื่อปี 2522) ซึ่งมีแผนที่แสดงการอ้างสิทธิของทั้งสองฝ่ายเป็นแผนที่แนบท้าย MOU ฉบับ44 นี้

แผนที่แนบท้ายดังกล่าวเป็นแผนที่ที่แสดงแนวเขตการอ้างสิทธิของทั้งสองฝ่าย ซึ่งจะต้องเจรจาปักปันเขตไหล่ทวีปกัน แต่เส้นอ้างสิทธิของกัมพูชาในแผนที่แนบท้ายนี้ ได้ยอมร่นลงมาอ้อม ด้านใต้ของเกาะกูด แทนที่จะผ่ากลางเหมือนที่ทำไว้เมื่อปี 2515 แสดงว่า ข้าราชการอาวุโสทั้งหลายของฝ่ายไทยที่ได้เจรจากันมากับฝ่ายกัมพูชาหลายรอบก่อนหน้านี้สามารถชักจูงโน้มน้าวให้กัมพูชายอมทำในสิ่งที่เป็นสามัญสำนึก

นั่นก็คือ เมื่อกัมพูชามิเคยได้ประสงค์จะอ้างการเป็นเจ้าของเกาะกูด ซึ่งเท่าที่ผ่านมาโดยตลอด กัมพูชาก็ไม่เคยคัดด้านว่าเกาะกูดเป็นดินแดนของไทยตามสนธิสัญญาปิ ค.ศ.1907 แล้วเรื่องอะไรเส้นอ้างสิทธิทางทะเลของกัมพูชาถึงต้อง (ดัน) ไปผ่านกลางเกาะกูด


(Photo by PHILIPPE LOPEZ / AFP)

เมื่อสองฝ่ายต่างเห็นความจำเป็นว่าต้องเจรจาปักป้นเขตทางทะเลกัน และฝ่ายไทยจะไม่แสดงเจตนาจะเจรจาด้วยเด็ดขาด ถ้ากัมพูชาไม่ทำตามหลัก สามัญสำนึกง่ายๆ ก็น่าจะเป็นที่มาของการที่กัมพูชายอมแก้ไขเส้นแนวอ้างสิทธิไหล่ทวีปในแผนที่แนบท้าย MOU 44 ให้อ้อมด้านใต้ของเกาะกูด แทนที่จะผ่ากลาง

และเป็นไปได้อย่างยิ่งว่า ท่าทีที่เป็นมิตรในการเจรจาเรื่อยมา ตลอดจนความสำเร็จในการลงนามใน MOU 2543 (ที่ไทยเองยังยอมรับให้อ้างแผนที่ของคณะกรรมการปักปันตามสนธิสัญญา 1904 เสียด้วยซ้ำ) ทำให้ท่าทีของกัมพูชาเองก็ผ่อนปรนลง จนเจรจาลงนามMOU 2544 กันสำเร็จ ในกลางปี 2544 แม้จะเป็นรัฐบาลใหม่ (นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร) และรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ (ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย) แล้วก็ตาม

ผู้เขียนเห็นว่า แนวโน้มของบรรยากาศความสัมพันธ์ที่ดีของทั้งสองประเทศ อย่างต่อเนื่อง จากรัฐบาลชวน ถึงรัฐบาลทักษิณ และการที่ไทยยอมบรรจุการอ้างถึงแผนที่ ที่ไทยเองไม่ยอมรับไว้ใน MOU 43 น่าจะเป็นส่วนสำคัญให้สามารถลงนามใน MOU 44 โดยกัมพูชายอมแก้ไขเส้นอ้างสิทธิทางทะเลที่ขีดทับเกาะกูด เป็นการแสดงท่าทีที่ดีต่อกันของทั้สองฝ่าย

 

ประเด็นสำคัญตรงนี้ก็คือ ทั้งสองประเทศไม่เคยมีปัญหาโดยตรงในเรื่องการอ้างอธิปไตยเหนือเกาะกูด เกาะกูดอยู่ในเขตอำนาจอธิปตยของไทยมาตลอดตั้งแต่ปี 2450 (ค.ศ.1907)

ประการต่อมาก็คือ กัมพูชา ซึ่งน่าจะรู้ๆ อยู่ว่า ยังไงๆ ก็อ้างสิทธิในเกาะกูดไม่ได้ ก็ตัดสินใจยอมรับเส้นแนวการอ้างสิทธิทางทะเลเสียใหม่ที่ขยับลงมาอ้อมทางใต้ของเกาะกูดแทน  เพื่อแสดงให้เห็นชัดเจนว่า เกาะกูดเป็นของไทยแล้วค่อยมาเจรจากันใหม่ว่า ส่วนไหล่ทวีปที่ต่างอ้างสิทธิอย่าง “เว่อร์” เต็มที่ของตนเองไว้เมื่อปี 2515 และ 2516 นั้น จะตกลงกันได้อย่างไรในการเจรจาของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นตาม MOU

ผู้เขียนเห็นว่า สามารถกล่าวได้ว่า ทั้งโดยข้อเท็จจริงและหลักกฎหมาย ตาม MOU 44 ปัญหาเรื่องเกาะกูดเป็นของใคร จบไปนานกว่า 100 ปีแล้ว และประเด็นการอ้างถึงเกาะกูดใดๆ ก็จบไปแล้วตั้งแต่การทำ MOU 44 จึงไม่ทราบจริงๆ ว่าจะมารื้อฟื้นกันทำไม และเมื่อ เป็นเช่นนั้น จะมากล่าวโทษ MOU ฉบับ 2544นี้ทำไม

ส่วนที่ยังจะต้องทำก็คือ การเจรจาปักปันพื้นที่ทางทะเลในอ่าวไทย ซึ่งรวมถึงพื้นที่ทางทะเลรอบเกาะกูด แต่ไม่ใช่ตัวเกาะกูด

ผู้เขียนเห็นว่า โดยหลักกฎหมายทะเลระหว่างประเทศแล้ว การทำ MOUฉบับ 2544 นี้ เป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศทุกประการ คือทั้งสองประเทศที่มีชายฝั่งประชิดและตรงข้ามกัน ต่างหาทางเจรจาเพื่อทำความตกลงปักปันเขตทางทะเลที่ต่างก็อ้างทับช้อนกัน เพื่อหาข้อยุติโดยสันติวิธีและเป็นธรรม การเจรจาเพื่อพัฒนาพื้นที่ร่วมกันถ้าหากเจรจาปักปันพื้นที่ที่อ้างสิทธิทับซ้อนกันไม่สำเร็จ ก็เป็นแนวทางหนึ่งที่นานาอารยประเทศนิยมทำกันทั่วโลก (รวมทั้งไทยและมาเลเซีย)

การจะยกเลิก MOU 441 ฉบับนี้จะทำไปเพื่ออะไร ในเมื่อเป็น MOU ที่เขียนขึ้นตามหลักการตามกฎหมายระหว่างประเทศอยู่แล้ว จะไปหากรอบกฎหมายอื่น หรือหาแผนที่อื่นมาแทนอย่างที่มีการพูดกันได้อย่างไร เพราะการดำเนินการดังกล่าว ก็ต้องทำโดยทั้งสองฝ่ายคือทั้งไทยและกัมพูชา ไทยจะทำฝ่ายเดียวเป็นไปไม่ได้

ส่วนแผนที่แนบท้าย MOU 2544 ก็มิได้มีผลกระทบต่อแนวเขตแดน หรือเขตอำนาจอธิปไตยของไทย หรือกัมพูชาแต่อย่างใด เพราะเป็นแผนที่แสดงแนวการอ้างสิทธิของทั้งสองฝ่าย ซึ่งต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับ จึงต้องมีเวทีการเจรจากัน) ซึ่งความตกลงเพื่อเจรจาปักปันเขตทางทะเลทั้งหลายทั่วโลกเขาก็ต้องทำแผนที่แนบท้ายทำนองนี้ไว้ทั้งนั้น

ต่อเมื่อเจรจาปักปันกันแล้วหรือตกลงกันเป็นอื่นไปแล้ว จึงจะมีผลต่อแนวเขตแดนทางทะเลอย่างแท้จริงต่อไป ซึ่งถ้าจะเปรียบกับ MOU 2543 จะเห็นได้ว่า MOU 2543 เสียอีก ที่กลับไประบุให้แผนที่ ซึ่งฝ่ายไทยเองได้เคยปฏิเสธต่อศาลโลกไปแล้วว่า ไม่ยอมรับว่าเป็นแผนที่ที่มีผลผูกพันกับไทย แต่ MOU 43 กลับยอมให้ระบุเป็นหนึ่งในแผนที่ที่จะใช้ในการเจรจาปักปันเขตแดนทางบกต่อไปได้ อันนี้ต่างหากที่น่าจะเป็นปัญหา เพราะเรา (ดัน) ไป ยอมรับในสิ่งที่เราเคยประกาศว่าไม่ยอมรับ !

 

ถ้าจะมองกันด้วยอารมณ์ และอคติ ก็ต้องบอกว่า MOU 43 นั่นแหละ ที่กระทบต่อเขตดินแดนของไทย เพราะไปอ้างแผนที่ที่เราเองไม่ยอมรับให้มีผลผูกพันไทย มาใช้เป็นฐานในการเจรจาปักปันเขตแดนได้

แต่ถ้าเราเอาอารมณ์และอคติโยนทิ้งไปเสีย มามองกันด้วยหลักการ ข้อเท็จจริง และหลักกฎหมาย ก็ต้องอธิบายว่า MOU ทั้งสองมิได้กระทบต่อแนวเขตแคนอธิปไตยของไทย แต่เป็นการวางกรอบในการเจรจาปักปันเขตแดน เพื่อนำไปสู่ความตกลงร่วมกันโดยสันติ และในการวางกรอบเพื่อเปิดเวทีเจรจานั้น ทั้งสองฝ่ายก็ต้องยอมรับที่จะนำเอาเอกสารหรือการอ้างอิงต่างๆ ของทั้งสองฝ่ายขึ้นมาวางบนโต๊ะเสียก่อนจึงจะเจรจากันได้

ส่วนในระหว่างการเจรจานั้น จะเอาหรือไม่เอา จะยอมรับหรือไม่ยอมรับเอกสาร หรือการอ้างอิง หรือแผนที่ใด ก็เป็นเรื่องระหว่างการเจรจาต่อไป

 

ผู้เขียนจึงอยากวิงวอนว่า ขอความกรุณาทุกฝ่ายอย่าได้นำเอาประเด็น MOU 43 และ 44 ซึ่งในความเห็นของผู้เขียน (ในฐานะผู้ทำวิทยา นิพนธ์ปริญญาเอกที่เกี่ยวข้องกับเขตพื้นที่ทางทะเลของอาเชียน และผู้สอนวิชากฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายทะเล) เห็นว่า เป็นความตกลงที่ถูกหลักการตามแนวทางของกฎทมายระหว่างประเทศทั้งคู่ มาเป็นเครื่องมือแสดงอารมณ์ และอคติทางการเมืองต่อกัน

ขอให้กรุณายอมรับข้อเท็จจริงและหลักกฎหมาย โดยปราศจากอคติ อย่าเอาประโยชน์ของการเมืองภายใน มาแลกกับโอกาสการหาข้อยุติในเรื่องการปักปันเขตแดนทางบกและทางทะเลกับกัมพูชา ประเทศเพื่อนบ้านใกล้ชิดในอาเชียน ในยามที่อาเชียนต้องผนึกกำลังสร้างความเป็นหนึ่งเดียวทางเศรษฐกิจที่สำคัญเพื่อเป็นเกราะป้องกันประชาชนชาวอาเชียนไม่ให้ถูกกระทบจากความผันผวนอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจโลก

ผู้เขียนอยากวิงวอนว่า เรื่องของการปักปันเขตแดนเป็นเรื่องสลับซับซ้อน ลึกซึ้ง มีความยากลำบาก และละเอียดอ่อนเกินกว่าที่เราจะเอามาเป็นเรื่อง ทะเลาะ ใส่ร้าย บิดเบือนป้ายสีกันรายวัน เรามีข้าราชการ ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการ ที่ศึกษาติดตามเรื่องต่างๆ เหล่านี้อย่างลึกซึ้งอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย

ผู้เขียนเชื่อว่า ต่างก็เป็นผู้ที่มีศักดิ์ศรี และรักชาติรักแผ่นดิน หวงแหนอธิปไตย ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่านักการเมืองทุกท่าน ปล่อยให้เขาใช้วิชาความรู้  เพื่อประเทศชาติ ส่วนฝ่ายการเมืองก็กำกับการอยู่ อย่าให้เสียประโยชน์หรือเสียหาย

หากนำเรื่องนี้มาพูดกัน รู้บ้าง ไม่รู้บ้างป่วนปั่นอารมณ์ บนความรักใคร่เกลียดชังทางการเมืองเราจะไม่มีวันอยู่เป็นสุข และไม่มีวันเจรจากันสำเร็จหรอกครับ

 

1 (อัพเดตข้อมูลเพิ่มเติมปี 2566) ในปี 2552 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ยกระดับโดยมอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นประธานคณะกรรมการเทคนิคร่วมไทย-กัมพูชา เพื่อทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะในการเจรจา แต่เนื่องจาก “ฮุน เซน” นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาในเวลานั้น ได้แต่งตั้งนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ประเทศไทย เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวและที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา

ทางรัฐบาลไทยเกรงว่าจะมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ทำในสมัยทักษิณ จึงประกาศบอกเลิก MOU 2544 แต่การบอกเลิกนั้นไม่ได้สำเร็จ เพราะมีการตีความว่า MOU ถือเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ สามารถที่จะทำการยกเลิกฝ่ายเดียวได้หรือไม่

กระทั่งต่อมา ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มีความพยายามรื้อฟื้นเอ็มโอยู 2544 ขึ้นมาอีกครั้ง

.


ที่มา: https://www.matichon.co.th/weekly/featured/article_743204

.




Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.064 seconds with 17 queries.