User Info
Welcome,
Guest
. Please
login
or
register
.
16 June 2025, 07:19:40
1 Hour
1 Day
1 Week
1 Month
Forever
Login with username, password and session length
Search:
Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ
http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
27,258
Posts in
13,286
Topics by
70
Members
Latest Member:
KAN
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
|
ภาพประทับใจ
|
สถานที่สวยงาม
(Moderator:
ppsan
) |
ตำนานการกวนเกษียรสมุทร และ "สะพานนาคราช"
0 Members and 1 Guest are viewing this topic.
« previous
next »
Pages:
[
1
]
Author
Topic: ตำนานการกวนเกษียรสมุทร และ "สะพานนาคราช" (Read 136 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 10,088
ตำนานการกวนเกษียรสมุทร และ "สะพานนาคราช"
«
on:
02 June 2025, 21:30:11 »
ตำนานการกวนเกษียรสมุทร และ "สะพานนาคราช"
22.10.2561 (2018) ตำนานการกวนเกษียรสมุทร และ "สะพานนาคราช" อยู่ใกล้ ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia). # 32.3
..
พฤศจิกายน 17, 2561
22.10.2561 (2018)
Moonfleet ได้มาเยือน "สะพานนาคราช" อยู่ใกล้ ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia). # 32.3
01.1 ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ มียอดปรางค์สามยอดและรูปพระพักตร์ของ "พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร" หันหน้าไปทั้งสี่ทิศ.
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
01.2 ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ มียอดปรางค์สามยอดและรูปพระพักตร์ของ "พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร" หันหน้าไปทั้งสี่ทิศ.
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระอวโลกิเตศวร เป็นพระโพธิสัตว์องค์สำคัญของพระพุทธศาสนามหายาน ที่มีผู้เคารพศรัทธามากที่สุด และเป็นบุคลาธิษฐานแห่งมหากรุณาคุณของพระพุทธเจ้าทั้งปวง เรื่องราวของพระอวโลกิเตศวรปรากฏอยู่ทั่วไปในคัมภีร์สันสกฤตของมหายาน อาทิ ปรัชญาปารมิตาสูตร สัทธรรมปุณฑรีกสูตร และการัณฑวยูหสูตฺร
.
01.3 ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ มียอดปรางค์สามยอดและรูปพระพักตร์ของ "พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร" หันหน้าไปทั้งสี่ทิศ.
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
ความหมายของพระนาม "อวโลกิเตศวร"
คำว่า อวโลกิเตศวร ได้มีผู้ให้ความหมายไว้หลายนัยด้วยกัน แต่โดยรูปศัพท์แล้ว คำว่าอวโลกิเตศวรมาจากคำสันสกฤตสองคำคือ อวโลกิต กับ อิศวร แปลได้ว่าผู้เป็นใหญ่ที่เฝ้ามองจากเบื้องบน หรือพระผู้ทัศนาดูโลก ซึ่งหมายถึงเฝ้าดูแลสรรพสัตว์ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์นั่นเอง, ซิมเมอร์ นักวิชาการชาวเยอรมันอธิบายว่า พระโพธิสัตว์องค์นี้ทรงเป็นสมันตมุข คือ ปรากฏพระพักตร์อยู่ทุกทิศอาจแลเห็นทั้งหมด ทรงเป็นผู้ที่สามารถบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ คืออาจจะเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อใดก็ได้ แต่ทรงยับยั้งไว้เนื่องจากความกรุณาสงสารต่อสรรพสัตว์ นอกจากนี้นักปราชญ์พุทธศาสนาบางท่านยังได้เสนอความเห็นว่า คำว่า อิศวร นั้น เป็นเสมือนตำแหน่งที่ติดมากับพระนามอวโลกิตะ จึงถือได้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์พระองค์เดียวที่มีตำแหน่งระบุไว้ท้ายพระนาม ในขณะที่พระโพธิสัตว์พระองค์อื่นหามีไม่ อันแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และความสำคัญยิ่งของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้.
พุทธศาสนิกชนชาวจีนจะรู้จักพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ในพระนามว่า กวนซีอิม หรือ กวนอิม ซึ่งก็มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่าอวโลกิเตศวรในภาษาสันสกฤต คือผู้เพ่งสดับเสียงแห่งโลก แต่โดยทั่วไปแล้วมักให้อรรถาธิบายเป็นใจความว่าหมายถึง พระผู้สดับฟังเสียงคร่ำครวญของสัตว์โลก (ที่กำลังตกอยู่ในห้วงทุกข์) คำว่ากวนซีอิมนี้พระกุมารชีวะชาวเอเชียกลางผู้ไปเผยแผ่พระศาสนาในจีนเป็นผู้แปลขึ้น ต่อมาตัดออกเหลือเพียงกวนอิมเท่านั้น เนื่องจากคำว่าซีไปพ้องกับพระนามของ จักรพรรดิถังไท่จง หรือ หลีซีหมิง นั่นเอง.
.
01.4 ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ มียอดปรางค์สามยอดและรูปพระพักตร์ของ "พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร" หันหน้าไปทั้งสี่ทิศ.
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
พระอวโลกิเตศวร ในฐานะ พระธยานิโพธิสัตว์
พุทธศาสนามหายานได้จำแนกพระโพธิสัตว์ออกเป็น ๒ ประเภท อันได้แก่ พระมนุษิโพธิสัตว์ และ พระธยานิโพธิสัตว์
พระมนุษิโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ในสภาวะมนุษย์หรือเป็นสิ่งมีชีวิตในรูปแบบอื่น ๆ ที่กำลังบำเพ็ญสั่งสมบารมีอันยิ่งใหญ่เพื่อพระโพธิญาณอันประเสริฐ ถ้าตามมติของฝ่ายเถรวาทก็คือผู้ที่ยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารเพื่อบำเพ็ญ ทศบารมี ๑๐ ประการให้บริบูรณ์ เหมือนเมื่อครั้งสมเด็จพระผู้มีพระภาคได้ทรงกระทำมาในอดีต โดยที่เสวยพระชาติเป็นทั้งมนุษย์และสัตว์จนได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระศากยมุนีพุทธเจ้า การบำเพ็ญบารมีดังกล่าวนี้เป็นความยากลำบากแสนสาหัส สำเร็จได้ด้วยโพธิจิต อีกทั้งวิริยะและความกรุณาอันหาที่เปรียบมิได้ ต้องอาศัยระยะเวลายาวนานนับด้วยกัปอสงไขย สิ้นภพสิ้นชาติสุดจะประมาณได้.
พระธยานิโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ประเภทนี้มิใช่พระโพธิสัตว์ผู้กำลังบำเพ็ญบารมีเพื่อแสวงหาดวงปัญญาอันจะนำไปสู่ความรู้แจ้งเหมือนประเภทแรก แต่เป็นพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีบริบูรณ์ครบถ้วนแล้ว และสำเร็จเป็นพระธยานิโพธิสัตว์หรือพระโพธิสัตว์ในสมาธิโดยยับยั้งไว้ยังไม่เสด็จเข้าสู่พุทธภูมิ เพื่อจะโปรดสรรพสัตว์ต่อไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด พระธยานิโพธิสัตว์นี้เป็นทิพยบุคคลที่มีลักษณะดังหนึ่งเทพยดา มีคุณชาติทางจิตเข้าสู่ภูมิธรรมขั้นสูงสุดและทรงไว้ซึ่งพระโพธิญาณอย่างมั่นคง จึงมีสภาวะที่สูงกว่าพระโพธิสัตว์ทั่วไป พระธยานิโพธิสัตว์มักจะมีภูมิหลังที่ยาวนาน เป็นพระโพธิสัตว์เจ้าที่สำเร็จเป็นพระโพธิสัตว์มาเนิ่นนานนับแต่สมัยพระอดีตพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ สุดจะคณานับเป็นกาลเวลาได้ พระธยานิโพธิสัตว์ที่พุทธศาสนิกชนมหายานรู้จักดี อาทิ พระมัญชุศรี พระอวโลกิเตศวร พระมหาสถามปราปต์ พระสมันตภัทร พระกษิติครรภ์ เป็นต้น.
.
01.5 ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ มียอดปรางค์สามยอดและรูปพระพักตร์ของ "พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร" หันหน้าไปทั้งสี่ทิศ.
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
ประวัติความเป็นมาในคัมภีร์ฝ่ายมหายาน
พระไตรปิฎกภาษาบาลีของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทไม่มีปรากฏเรื่องราวหรือแม้แต่พระนามของพระอวโลกิเตศวรอยู่เลย ทว่าในส่วนของนิกายมหายานแล้ว พระอวโลกิเตศวรมีบทบาทปรากฏอยู่มากในพระสูตรสำคัญ ๆ และยังมีเรื่องราวปรากฏในพระสูตรมหายานว่าพระพุทธเจ้าและพระสาวกยังได้เคยตรัสสนทนาธรรมกับพระโพธิสัตว์พระองค์นี้อยู่บ่อยครั้งทีเดียว ในพุทธศาสนามหายานยกย่องพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ว่าเป็นพระผู้ได้รับธรรมจักรมาโดยตรงจากพระพุทธเจ้า และเป็นผู้นำในการรักษาพระพุทธศาสนาและหมุนธรรมจักรต่อไป.
การอุบัติของพระอวโลกิเตศวรนี้สันนิษฐานว่ามีขึ้นภายหลังการเกิดนิกายมหายานขึ้นแล้วในราวพุทธศตวรรษที่ 6-7 ภายหลังพุทธปรินิพพาน ซึ่งเมื่อตรวจสอบจากวรรณคดีสันสกฤตยุคต้น ๆ ของมหายานอย่าง ชาดกมาลา ทิวยาวทาน หรือลลิตวิสตระ ก็ยังไม่ปรากฏนามพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์แต่อย่างใด แต่มีปรากฏขึ้นครั้งแรกพร้อม ๆ กับพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ในพระสูตรปรัชญาปารมิตาซึ่งถือว่าเป็นพระสูตรมหายานรุ่นเก่าที่สุด และในพระสูตรรุ่นต่อ ๆ มาก็ได้มีเรื่องราวเกี่ยวกับพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ปรากฏขึ้นมากมาย.
พระสูตรมหายานกล่าวว่าพระอวโลกิเตศวรประทับอยู่ ณ สุขาวดีพุทธเกษตร คอยช่วยพระอมิตาภพุทธะโปรดสรรพสัตว์ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ และเนื่องจากเป็นพระธยานิโพธิสัตว์จึงมีความเป็นมาอันยาวนานสุดจะคาดคำนวณได้ นับแต่สมัยของ พระวิปัสสีพุทธเจ้า เป็นต้นมาก็ทรงได้โปรดสัตว์มาเป็นลำดับจนถึงบัดนี้ อันเป็นกาลสมัยของพระสมณโคดมศากยมุนีพุทธเจ้า ก็เป็นระยะเวลาเนิ่นนานสุดจะพรรณนา ใน กรุณาปุณฑริกสูตร อธิบายว่า พระอวโลกิเตศวรเป็นพระธรรมกายโพธิสัตว์ สูงกว่าพระโพธิสัตว์สามัญอื่น ๆ และเป็นเอกชาติปฏิพัทธะเช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์อารยเมตตรัย กล่าวคือเป็นผู้ที่ยังข้องอยู่กับการเกิดอีกเพียงชาติเดียวก็จะได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ กล่าวกันว่าพระอวโลกิเตศวรจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภายหลังการดับขันธปรินิพพานของพระอมิตาภะ เพื่อเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป ณ แดนสุขาวดี.
นอกจากนี้ในพระสูตรมหายานอื่น ๆ ก็ยังมีปรากฏว่าอธิบายแตกต่างออกไปอีก กล่าวคือ บางพระสูตรกล่าวว่าพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์นั้นแท้จริงแล้วคืออวตารภาคหนึ่งของพระอดีตพุทธเจ้า ที่ได้ทรงบรรลุพุทธภูมิเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะแล้วในอดีตกาลอันยาวไกล ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าของเรา แต่ด้วยพระมหากรุณาที่เล็งเห็นสรรพสัตว์ยังตกอยู่ในโมหะอวิชชา ทำให้ต้องทนทุกข์อยู่ในวังวนแห่งสังสารวัฏยากจะหลุดพ้นไปได้ จึงทรงแบ่งภาคมาเป็นพระอวโลกิเตศวรเพื่อโปรดปวงสัตว์ให้เห็นธรรมพ้นทุกข์ด้วยพระเมตตากรุณา ในบางแห่งก็กล่าวว่าพระอวโลกิเตศวรเป็นพุทธโอรสของพระอมิตาภะที่ทรงบันดาลด้วยพุทธาภินิหาริย์ให้อุบัติขึ้นมาเพื่อเป็นที่พึ่งแก่โลก แต่ทางฝ่ายทิเบตเชื่อว่าพระอวโลกิเตศวรอุบัติขึ้นมาพร้อม ๆ กับพระนางตาราด้วยอานุภาพของพระอมิตาภพุทธ จากแสงสว่าง (บางแห่งว่าเป็นน้ำพระเนตรจากความกรุณาสงสารสรรพสัตว์) ที่เปล่งออกมาจากพระเนตรเบื้องขวาของพระอมิตาภะได้บังเกิดเป็นพระอวโลกิเตศวรประทับบนดอกบัวที่ปรากฏขึ้นพร้อม ๆ กับมนตร์ โอม มณี ปัทเม หูม ส่วนแสงจากพระเนตรเบื้องซ้ายก่อให้เกิดพระนางตาราโพธิสัตว์ อย่างไรก็ตาม ในพระสูตรอื่นบางแห่งก็มีกล่าวว่าแท้จริงแล้วพระอวโลกิเตศวรก็คือภาคหนึ่งขององค์พระอมิตาภะนั่นเอง.
.
01.6 ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ มียอดปรางค์สามยอดและรูปพระพักตร์ของ "พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร" หันหน้าไปทั้งสี่ทิศ.
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
ประติมานวิทยา
ภาพเขียนหรือรูปเคารพของพระอวโลกิเตศวรเริ่มแรกนิยมสร้างเป็นรูปบุรุษหนุ่ม ทรงเครื่องอลังการวิภูษิตาภรณ์อย่างเจ้าชายอินเดียโบราณ และมีอยู่หลายปางด้วยกัน แต่สิ่งสำคัญคือศิราภรณ์บนพระเศียรพระอวโลกิเตศวรจะต้องมีรูปของพระอมิตาภะในปางสมาธิ หากเป็นปางที่มีหลายเศียร เศียรบนสุดจะเป็นเศียรพระอมิตาภะ นับเป็นข้อสังเกตในด้านปฏิมากรรมของพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ ส่วนดอกบัวอันเป็นสัญญลักษณ์ของพระอวโลกิเตศวร คือ บัวสีชมพู ขณะที่สีขาวคือบัวของพระมัญชุศรีโพธิสัตว์เท่านั้น และด้วยดอกบัวสีชมพูในตระกูลปัทมะนี้เอง ทำให้พระองค์ได้รับการขนานพระนามว่าปัทมปาณีโพธิสัตว์.
เมื่อพระพุทธศาสนามหายานได้เข้าสู่ประเทศจีนในช่วงแรกคือสมัยก่อนราชวงศ์ถัง ในยุคนั้นรูปเคารพของพระอวโลกิเตศวรยังสร้างเป็นรูปบุรุษตามแบบพุทธศิลป์ของอินเดีย หากในกาลต่อมาช่างชาวจีนได้คิดสร้างเป็นรูปสตรีเพื่อแสดงออกถึงความอ่อนโยน และแสดงถึงความเมตตากรุณาให้เด่นชัดยิ่งขึ้น ดังเช่นความรักของมารดาที่มีต่อบุตร สะท้อนถึงความรู้สึกและความเชื่อของประชาชนพื้นถิ่นที่ห่างไกลแม่แบบซึ่งมาจากอินเดีย จนอาจจะเรียกได้ว่ากวนอิมในรูปลักษณ์ของสตรีเป็นสัญลักษณ์ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในจีน และแพร่หลายมากกว่าปางอื่น ๆ กระทั่งแผ่ขยายเข้าสู่ประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชีย ทั้งนี้เพราะรูปลักษณ์ของฝ่ายหญิงแทนค่าในเรื่องความเมตตากรุณาได้ดี ในขณะที่รูปลักษณ์อย่างบุรุษเพศจะสะท้อนเรื่องคุณธรรมมากกว่าความเมตตา เมื่อพุทธศาสนาเผยแผ่เข้าไปยังเกาหลี ญี่ปุ่นและเวียดนาม พุทธศาสนิกชนในประเทศนั้นก็พลอยสร้างรูปพระอวโลกิเตศวรเป็นสตรีตามแบบอย่างประเทศจีนไปด้วย โดยมิได้มีการนับถือแค่ประเทศพุทธมหายานที่กล่าวข้างต้นเท่านั้น ในประเทศไทยเองก็มีการสร้างองค์พระโพธืสัตว์กวนอิมนี้ด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นประเทศพุทธเถรวาทก็ตาม.
ปกติ ทางมหายานเชื่อว่าพระอวโลกิเตศวรหรือพระแม่กวนอิมจะทรงแจกันสีเขียว บรรจุน้ำทิพย์อยู่ และกิ่งหลิว ทางจีนบอกว่าจะมีปางทั้งหมด 84 ปาง บ้างก็มี 88 ปาง ขณะทางธิเบต มีพระกายสีขาว 4 กร คือ ทรงลูกประคำ ทรงดอกบัว และอีก 2 กร ทรงแก้วมณีสีน้ำเงินด้วย.
.
01.7 ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ มียอดปรางค์สามยอดและรูปพระพักตร์ของ "พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร" หันหน้าไปทั้งสี่ทิศ.
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
สัทธรรมปุณฑรีกสูตร
สัทธรรมปุณฑรีกสูตรเป็นที่นับถือโดยทั่วไปทั้งในทิเบต จีน และญี่ปุ่น โดยเฉพาะนิกายเทียนไถทั้งในจีนและญี่ปุ่น รวมถึงนิกายนิชิเรนในญี่ปุ่นอีกด้วย ในญี่ปุ่นเจ้าชายโชโตกุได้ทรงแต่งอรรถกถาอธิบายความพระสูตรนี้ แม้ว่าเนื้อหาหลักของคัมภีร์นี้จะเป็นการอรรถาธิบายถึงหลักการของมหายานคือสัจจะเอกยาน และสอนมีศรัทธาในพระสัทธรรมอันเป็นหนึ่งเดียว แต่ในตอนหนึ่งได้มีการกล่าวสรรเสริญอานุภาพแห่งพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ไว้ในบทหนึ่งชื่อว่า “สมันตมุขปริวรรต” ว่าด้วยการสำแดงร่างเพื่อโปรดสัตว์ของพระอวโลกิเตศวร เนื้อความในบทนี้เริ่มต้นด้วยการสนทนาระหว่างพระอักษยมติกับพระศากยมุนีพุทธเจ้า ว่าด้วยเรื่องราวในอดีตกาลของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร.
.
01.8 ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ มียอดปรางค์สามยอดและรูปพระพักตร์ของ "พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร" หันหน้าไปทั้งสี่ทิศ.
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
พระสหัสภุชสหัสเนตรอวโลกิเตศวร.
รูปเคารพของพระอวโลกิเตศวรมีอยู่หลายปาง ทั้งภาคบุรุษ ภาคสตรี ไปจนถึงปางอันแสดงลักษณาการที่ดุร้าย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการปราบมารคือสรรพกิเลส แต่ปางที่สำคัญปางหนึ่งคือปางที่ทรงสำแดงพระวรกายเป็นพันหัสถ์พันเนตร ซึ่งมีเรื่องราวปรากฏในพระสูตรสันสกฤตคือ สหัสภุชสหัสเนตรอวโลกิเตศวรโพธิสัตวไวปุลยสัมปุรณอกิญจนมหากรุณาจิตรธารณีสูตรมหากรุณามนตร์ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า มหากรุณาธารณีสูตร (大悲咒) นำเข้าไปแปลในจีนโดยพระภควธรรมชาวอินเดีย ในสมัยราชวงศ์ถัง ได้กล่าวถึงบทสวดธารณีแห่งพระโพธิสัตว์พระองค์นี้ คือ “มหากรุณาหฤทัยธารณี” เนื้อหากล่าวถึงเมื่อครั้งที่พระศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ โปตาลกะบรรพต ในกาลนั้นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ได้ขอพุทธานุญาตแสดงธารณีมนตร์อันศักดิ์สิทธิ์ไว้เพื่อเป็นที่พึ่งแก่สรรพสัตว์ ซึ่งธารณีนี้ย้อนไปในครั้งกาลสมัยของพระพุทธเจ้านามว่าพระสหัสประภาศานติสถิตยตถาคต พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นได้ตรัสธารณีนี้แก่พระอวโลกิเตศวร และตรัสว่า “สาธุ บุรุษ เมื่อเธอได้หฤทัยธารณีนี้ จงสร้างประโยชน์สุขสำราญแก่สัตว์ทั้งหลายในกษายกัลป์แห่งอนาคตกาลโดยทั่วถึง”.
ตามเนื้อความของพระสูตรได้กล่าวว่า ในขณะนั้น เมื่อพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ได้สดับมนตร์นี้แล้ว ก็ได้บรรลุถึงภูมิที่ ๘ แห่งพระโพธิสัตว์เจ้า จึงได้ตั้งปณิธานว่า “ในอนาคตกาล หากข้าพเจ้าสามารถยังประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์ได้ ขอให้ข้าพเจ้ามีพันเนตรพันหัตถ์ในบัดดล” เมื่อท่านตั้งปณิธานดังนี้แล้ว พลันก็บังเกิดมีพันหัสถ์พันเนตรขึ้นทันที และเพลานั้นพื้นมหาพสุธาดลทั่วทศทิศก็ไหวสะเทือนเลื่อนลั่น พระพุทธเจ้าทั้งปวงในทศทิศก็เปล่งแสงโอภาสเรืองรองมาต้องวรกายแห่งพระโพธิสัตว์ และฉายรัศมีไปยังโลกธาตุต่าง ๆ อย่างปราศจากขอบเขต พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า เนื่องจากปณิธานอันยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตว์ หากเหล่ามนุษย์และทวยเทพ ตั้งจิตสวดมหากรุณาธารณี มนตร์นี้คืนละ ๗ จบ ก็จะดับมหันตโทษจำนวนร้อยพันหมื่นล้านกัลป์ได้ หากเหล่ามนุษย์ทวยเทพสวดคาถามหากรุณาธารณีนี้ เมื่อใกล้ชีวิตดับ พระพุทธเจ้าทั้ง ๑๐ ทิศจะยื่นพระกรมารับให้ไปอุบัติในพุทธเกษตรทุกแห่ง.
จากเรื่องราวในพระสูตรนี้ทำให้เกิดการสร้างรูปพระโพธิสัตว์พันหัสถ์พันเนตร อันแสดงถึงการทอดทัศนาเล็งเห็นทั่วโลกธาตุและพันหัสต์แสดงถึงอำนาจในการช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ บทสวดในพระสูตรนี้เป็นภาษาสันสกฤตผสมภาษาท้องถิ่นโบราณในอินเดีย ที่หลงเหลือมาในปัจจุบันมีหลายฉบับที่ไม่ตรงกัน ทั้งในฉบับทิเบต ฉบับจีนซึ่งมีทั้งของพระภควธรรม พระอโมฆวัชระ ฯลฯ ต่อมาได้มีการค้นคว้าและปรับปรุงให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์โดย Dr.Lokesh Chandra และตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อ ค.ศ. 1988 เป็นบทสวดสำคัญประจำองค์พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ที่พุทธศาสนิกชนมหายานสวดกันอยู่โดยทั่วไป.
.
01.9 ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ มียอดปรางค์สามยอดและรูปพระพักตร์ของ "พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร" หันหน้าไปทั้งสี่ทิศ.
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
01.10 ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ มียอดปรางค์สามยอดและรูปพระพักตร์ของ "พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร" หันหน้าไปทั้งสี่ทิศ.
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
01.11 ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ มียอดปรางค์สามยอดและรูปพระพักตร์ของ "พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร" หันหน้าไปทั้งสี่ทิศ.
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
01.12 ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ มียอดปรางค์สามยอดและรูปพระพักตร์ของ "พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร" หันหน้าไปทั้งสี่ทิศ.
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
01.13 ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ มียอดปรางค์สามยอดและรูปพระพักตร์ของ "พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร" หันหน้าไปทั้งสี่ทิศ.
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
01.14 ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ มียอดปรางค์สามยอดและรูปพระพักตร์ของ "พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร" หันหน้าไปทั้งสี่ทิศ.
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
01.15 ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ มียอดปรางค์สามยอดและรูปพระพักตร์ของ "พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร" หันหน้าไปทั้งสี่ทิศ.
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
01.16 ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ มียอดปรางค์สามยอดและรูปพระพักตร์ของ "พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร" หันหน้าไปทั้งสี่ทิศ.
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
01.17 ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ มียอดปรางค์สามยอดและรูปพระพักตร์ของ "พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร" หันหน้าไปทั้งสี่ทิศ.
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
.
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 10,088
Re: ตำนานการกวนเกษียรสมุทร และ "สะพานนาคราช"
«
Reply #1 on:
02 June 2025, 21:34:01 »
.
02.1 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
ที่ "สะพานนาคราช" แห่งนี้ ถ้าเดินออกจากประตูเมืองนครธม จะเห็น "เทวดาศิลา" เป็นแถวกำลังช่วยกันดึงลำตัว "นาคราช" ส่วนหาง" และ จะเห็น "อสูรศิลา หรือ ยักษ์ศิลา" ตั้งเป็นแถวกำลังช่วยกันดึงลำตัว "นาคราช" ส่วนหัว
ดังนั้น "สะพานนาคราช" (ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ) ก็คือ ลำตัวของพญานาคราช. และ ประตูเมืองนครธมที่มียอดปรางค์สามยอด น่าจะเป็น "ภูเขามันทรคีรี" และ "บาราย หรือ ทะเลสาบ" ด้านล่างคือ เกษียรสมุทร หรือ ทะเลน้ำนม ซึ่งเป็นเรื่องราวใน "ตำนานกวนเกษียรสมุทร" นั้นเอง.
.
02.2 ที่เห็นนี้ส่วนหางของ "พญาวาสุกรี" ดังนั้น ฝั่งนี้ คือ ฝั่งของ "เทวดา" ที่มาช่วยกัน "กวนเกษียรสมุทร หรือ ทะเลน้ำนม".
ณ. "สะพานนาคราช" อยู่ใกล้ ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.3 ส่วนหางของ "พญาวาสุกรี" ดังนั้น ฝั่งนี้ คือ ฝั่งของ "เทวดา" ที่มาช่วยกัน "กวนเกษียรสมุทร หรือ ทะเลน้ำนม".
ณ. "สะพานนาคราช" อยู่ใกล้ ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.4 ส่วนหางของ "พญาวาสุกรี" ดังนั้น ฝั่งนี้ คือ ฝั่งของ "เทวดา" ที่มาช่วยกัน "กวนเกษียรสมุทร หรือ ทะเลน้ำนม".
ณ. "สะพานนาคราช" อยู่ใกล้ ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.5 ส่วนหางของ "พญาวาสุกรี" ดังนั้น ฝั่งนี้ คือ ฝั่งของ "เทวดา" ที่มาช่วยกัน "กวนเกษียรสมุทร หรือ ทะเลน้ำนม".
ณ. "สะพานนาคราช" อยู่ใกล้ ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.6 ส่วนหางของ "พญาวาสุกรี" ดังนั้น ฝั่งนี้ คือ ฝั่งของ "เทวดา" ที่มาช่วยกัน "กวนเกษียรสมุทร หรือ ทะเลน้ำนม".
ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.7 ณ. "สะพานนาคราช" อยู่ใกล้ ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.8 ณ. "สะพานนาคราช" อยู่ใกล้ ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.9 ณ. "สะพานนาคราช" อยู่ใกล้ ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.10 ณ. "สะพานนาคราช" อยู่ใกล้ ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.11 ณ. "สะพานนาคราช" อยู่ใกล้ ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.12 ณ. "สะพานนาคราช" อยู่ใกล้ ประตูเมือง "นครธม" ด้านทิศใต้ จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.13 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.14 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.15 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.16 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.17 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.18 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.19 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.20 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 10,088
Re: ตำนานการกวนเกษียรสมุทร และ "สะพานนาคราช"
«
Reply #2 on:
02 June 2025, 21:35:25 »
.
02.21 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.22 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.23 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.24 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.25 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.26 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.27 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.28 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.29 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.30 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.31 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.32 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.33 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.34 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.35 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.36 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.37 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.38 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.39 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.40 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.41 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.42 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.43 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.44 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
.
02.45 ณ."สะพานวาสุกรีนาคราช" ประตูเมือง"นครธม" ด้านทิศใต้ ทางไป "ปราสาทบายน"
จังหวัดเสียมเรียบ (Siem Reap Province) ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of Cambodia).
เมื่อได้มายัง สะพานนาคราช (นครธม เมืองเสียมเรียบ กัมพูชา) เห็น อสูรศิลา เทวดาศิลา หัวและหางนาคราช จึงทำให้อยากรู้เรื่องราว "การกวนเกษียรสมุทร".
และก่อนหน้านี้ (หลายปีก่อน) ก็เห็นภาพปฏิมากรรม เรื่องการกวนน้ำอมฤต ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ครับ.
เกษียร มีความหมาย หรือ หมายถึงอะไร ?
เกษียร [กะเสียน] (แบบ) น. น้ำนม. (ส. กฺษีร ป. ขีร).เกษียรสมุทร น.ทะเลน้ำนม ที่ประทับของพระนารายณ์.
ระวังจะสับสนกับคำว่า เกษียณ
เกษียณ [กะเสียน] ก. สิ้นไป (ใช้เกี่ยวกับการกําหนดอายุ) เช่น เกษียณอายุราชการ.
.
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 10,088
Re: ตำนานการกวนเกษียรสมุทร และ "สะพานนาคราช"
«
Reply #3 on:
02 June 2025, 21:37:20 »
.
03.1 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).
Scene of The Churning of The Milk Ocean.
.
03.2 Scene of The Churning of The Milk Ocean.
.
03.3 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).
Scene of The Churning of The Milk Ocean.
.
03.4 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).
Scene of The Churning of The Milk Ocean.
.
04.7 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).
Scene of The Churning of The Milk Ocean.
เทวดา (ผู้ดื่มสุรา) "ออกอุบาย" ยกยอให้เกียรติอสูร (ผู้ไม่ดื่มสุรา) ว่า พวกใดมีกำลังเข้มแข็งที่สุดในสามโลกให้มาชักทางฝั่งเศียรนาคเพื่อเป็นเกียรติ เหล่าอสูร "หลงกล" (ในคำยกยอ หรือ คำลวง) ต่างผยองรีบตรงเข้ายึดชักทางเศียรพญาวาสุกรีทันที.
.
04.1 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).
Scene of The Churning of The Milk Ocean.
ฝ่ายเทวดา (จอมลวงอสูร) ก็มาชักทางหางพญาสุกรี.
.
04.2 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).
Scene of The Churning of The Milk Ocean.
ฝ่ายเทวดา (จอมลวงอสูร) ก็มาชักทางหางพญาสุกรี.
.
04.3 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).
Scene of The Churning of The Milk Ocean.
ฝ่ายเทวดา (จอมลวงอสูร) ก็มาชักทางหางพญาสุกรี.
04.4 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).
Scene of The Churning of The Milk Ocean.
ฝ่ายเทวดา (จอมลวงอสูร) ก็มาชักทางหางพญาสุกรี.
04.5 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).
Scene of The Churning of The Milk Ocean.
พระนารายณ์(วิษณุ) อวตาร เป็นเต่ายักษ์ ชื่อ "กูรมะ จึงเรียก ปางนี้ว่า กูรมาวตาร (Kurma avatara).
.
04.6 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).
Scene of The Churning of The Milk Ocean.
.
04.7 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).
Scene of The Churning of The Milk Ocean.
เทวดา (ผู้ดื่มสุรา) "ออกอุบาย" ยกยอให้เกียรติอสูร (ผู้ไม่ดื่มสุรา) ว่า พวกใดมีกำลังเข้มแข็งที่สุดในสามโลกให้มาชักทางฝั่งเศียรนาคเพื่อเป็นเกียรติ เหล่าอสูร "หลงกล" (ในคำยกยอ หรือ คำลวง) ต่างผยองรีบตรงเข้ายึดชักทางเศียรพญาวาสุกรีทันที.
.
04.8 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).
Scene of The Churning of The Milk Ocean.
เทวดา (ผู้ดื่มสุรา) "ออกอุบาย" ยกยอให้เกียรติอสูร (ผู้ไม่ดื่มสุรา) ว่า พวกใดมีกำลังเข้มแข็งที่สุดในสามโลกให้มาชักทางฝั่งเศียรนาคเพื่อเป็นเกียรติ เหล่าอสูร "หลงกล" (ในคำยกยอ หรือ คำลวง) ต่างผยองรีบตรงเข้ายึดชักทางเศียรพญาวาสุกรีทันที.
.
04.9 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).
Scene of The Churning of The Milk Ocean.
เทวดา (ผู้ดื่มสุรา) "ออกอุบาย" ยกยอให้เกียรติอสูร (ผู้ไม่ดื่มสุรา) ว่า พวกใดมีกำลังเข้มแข็งที่สุดในสามโลกให้มาชักทางฝั่งเศียรนาคเพื่อเป็นเกียรติ เหล่าอสูร "หลงกล" (ในคำยกยอ หรือ คำลวง) ต่างผยองรีบตรงเข้ายึดชักทางเศียรพญาวาสุกรีทันที.
.
04.10 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).
Scene of The Churning of The Milk Ocean.
.
04.11 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).
Scene of The Churning of The Milk Ocean.
.
04.12 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).
Scene of The Churning of The Milk Ocean.
.
04.13 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).
Scene of The Churning of The Milk Ocean.
.
04.14 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).
Scene of The Churning of The Milk Ocean.
.
04.15 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).
Scene of The Churning of The Milk Ocean.
เทวดา (ผู้ดื่มสุรา) "ออกอุบาย" ยกยอให้เกียรติอสูร (ผู้ไม่ดื่มสุรา) ว่า พวกใดมีกำลังเข้มแข็งที่สุดในสามโลกให้มาชักทางฝั่งเศียรนาคเพื่อเป็นเกียรติ เหล่าอสูร "หลงกล" (ในคำยกยอ หรือ คำลวง) ต่างผยองรีบตรงเข้ายึดชักทางเศียรพญาวาสุกรีทันที.
.
Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
Offline
Posts: 10,088
Re: ตำนานการกวนเกษียรสมุทร และ "สะพานนาคราช"
«
Reply #4 on:
02 June 2025, 21:39:17 »
.
05.0 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).
Scene of The Churning of The Milk Ocean.
ขอบคุณภาพจาก commons.wikimedia.org
การกวนเกษียรสมุทร” ถือเป็นพิธีกรรมยิ่งใหญ่ที่เหล่าเทพและอสูรมาร่วมมือกัน. เนื่องจากหวังของวิเศษที่อุบัติจากการกวนครั้งนี้ โดยเฉพาะ“น้ำอมฤต” ซึ่งจะทำให้ผู้ดื่มกลายเป็นอมตะ.
.
05.1 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).
Scene of The Churning of The Milk Ocean.
ขอบคุณ ภาพ จาก www ครับ.
.
05.2 เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).Scene of The Churning of The Milk Ocean.
ทั้ง "เทวดาและอสูร" ช่วยกันชัก "ลำตัวของพญานาค วาสุกรี" เพื่อ หมุนหรือปั่น "มันทรคีรี" กันอย่างเต็มกำลัง ให้ภูเขา"มันทรดีรี" นั้นหมุนเพื่อกวนสมุนไพรให้เข้ากับน้ำนมในทะเลน้ำนมนั้น พิธีการกวนเกษียรสมุทรใช้เวลายาวนานนับพันปี จึงจะกำเนิดของวิเศษขึ้นมา 14 อย่าง.
.
05.3 ฝ่าย "อสูร" เข้ายึดชักดึง "มันทรคีรี" ทาง "เศียรพญาวาสุกรี".
เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).Scene of The Churning of The Milk Ocean.
.
05.4 ฝ่าย "เทวดา" เข้ายึดชักดึง "มันทรคีรี" ทาง "หางพญาวาสุกรี".
เทว(อสูร)ตำนาน การกวนเกษียรสมุทร (กวนน้ำอมฤต).Scene of The Churning of The Milk Ocean.
ตำนาน "การกวนเกษีรสมุทร".
ขอบคุณ ที่มาของ เนื้อเรื่อง จาก:http://miraclemilksea.blogspot.com/
1.
เดิมทีนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่า อสูร(แทตย์) และ เทวดาเป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน คือ พระกัศยปเทพบิดร เพียงแต่ต่างมารดาโดยอสูรเป็นบุตรของนางทิติ(มีที่สุด) และ เทวดาเป็นบุตรของนางอทิติ(ไม่มีที่สุด) โดยนางทิตินั้นก็ยังเป็นพี่สาวของนางอทิติด้วย ดังนั้นสวรรค์ในเบื้องต้นจึงเป็นของเหล่าอสูรเพราะมีศักดิ์เป็นพี่ แต่ไม่นานก็ถูกเทวดาแย่งชิงมาโดยการนำของพระอินทร์โดยเหล่าเทวดาหลอกให้อสูรดื่มกินเหล้าจนเมาแล้วช่วยกันจับโยนลงจากสวรรค์ แล้วเหล่าเทวดาก็เข้าครอบครองสรวงสวรรค์และยกพระอินทร์เป็นราชาแห่งสวรรค์มาโดยตลอดนับแต่นั้นเป็นต้นมา นี่แหละที่สร้างความโกรธแค้นที่มีต่อเหล่าเทวดาของเหล่าอสูร และ เกิดเทวาสุรสงครามแย่งชิงสวรรค์กันมาโดยตลอด เมื่อเกิดสงครามระหว่างทวยเทพกับเหล่าอสูรครั้งใด ราหูนี่เองก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการนำทัพอสูรบุกอมราวดีของพระอินทร์ทุกครั้ง แต่เหล่าอสูรก็ไม่สามารถเอาชนะทัพของท้าววัชรินทร์ได้ ต้องถอยร่นกลับมาทุกครั้ง โดยเทวาสุรสงครามครั้งนี้ต่างรบพุ่งกันเป็นเวลาหลายหมื่นปี.
2.
จนมาวันหนึ่งท้าวเมฆวาหน(นามพระอินทร์แปลว่าผู้ชอบขี่เมฆ)และพระชายาศจี ทรงออกท่องเที่ยวชมมนุษยโลก ระหว่างทางได้สวนทางกับมหาฤาษีทุรวาสผู้ได้ชื่อว่าเป็นมหาฤาษีที่ขี้โมโหและมีประวัติสาปเทวดามาแล้วมากมาย มหามุนีนั้นได้รับพวงมาลัยสักการะมาจากอัปสรผู้หนึ่งจึงรับไว้ แต่เนื่องด้วยเป็นมหามุนีจึงไม่เห็นควรที่จะคล้องประดับด้วยดอกไม้หอม เมื่อเห็นท้าวสักกะผ่านมาจึงเห็นสมควรมอบพวกมาลัยนั้นเป็นของขวัญในการเสด็จลงมาเยี่ยมชมโลกมนุษย์ในทันที ท้าวศักรินทร์ก็ทรงรับพวงมาลัยนั้นแล้วนำไปมอบให้พระศจี ด้วยกลิ่นอันหอมประหลาดของดอกไม้ทิพย์ทำให้พระศจีมึนเมา จึงเอาพวงมาลัยนั้นทิ้งเสียต่อหน้าต่อตาของมหามุนีทุรวาส
เมื่อเห็นเช่นนี้มหาฤาษีทุรวาสก็บังเกิดความขุ่นเคืองเป็นอย่างยิ่ง จึงต่อว่าพระอินทร์ว่าไม่ให้เกียรติตน ตนนั้นตั้งใจมอบพวงมาลัยเพื่อเป็นการต้อนรับการมาเยือนของอคันตุกะ แต่องค์จอมสรวงกลับนำไปมอบต่อให้ชายาแล้ว ปล่อยให้พระศจีชายาทิ้งเสียต่อหน้าต่อตา เป็นการหมิ่นเกียรติของมหามุนีทุรวาสซึ่งเป็นพรหมฤาษีโดยสิ้นเชิง พระอินทร์และชายาต่างอธิบายต่างๆ นานาว่าไม่ใช่ความผิดของพระองค์แต่ด้วยฤทธิ์ของดอกไม้สวรรค์ แต่พรหมมุนีก็หาฟังไม่ กลับต่อว่าอีกว่าพระอินทร์ไม่ห้ามปรามควบคุมเตือนชายาให้ดี พร้อมเอ่ยปากและเทน้ำสาปแช่งองค์เพชรปาณีว่า “ดีแหละเทวราช !!! เมื่อพระองค์หมิ่นในเกียรติแห่งเราผู้จัดว่าเป็นหนึ่งในมหาฤาษีเป็นอย่างยิ่ง เราขอสาปท่านและเหล่าบริวารของท่าน ให้อ่อนกำลังแล้วพ่ายแพ้แก่เหล่าอสูรผู้เป็นญาติผู้พี่ของเจ้าซึ่งเป็นเจ้าของสวรรค์ครั้นปฐมกาลในการต่อไปเถอะ และ เหล่าทวยเทพจะได้ทราบในอำนาจแห่งคำสาปนี้ของเราว่าเนื่องมาจากท่าน ทวยเทพจะถูกสังหารจนลดจำนวนลงอย่างมากมาย“ เมื่อสาปเสร็จพระอินทร์ทรงก้มกราบลงอ้อนวอนเท่าใดมหาฤาษีทรุวาสก็หาผ่อนปรนไม่ แล้วมหาฤาษีก็เดินทางจากไป
นับแต่นั้นมาเหล่าเทวดาก็เริ่มอ่อนกำลังลงด้วยฤทธิ์แห่คำสาป เหล่าอสูรเองก็ล่วงรู้ในการสาปแช่งครั้งนี้ต่างก็รีบกรีฑาทัพบุกตะลุยสวรรค์ในทันที เทวาสุรสงครามครั้งนี้เหล่าเทวดาถูกอสูรสังหารล้มตายเป็นจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ท้าวสักกะก็ได้แต่มองดูบริวารล้มตายด้วยความอาลัย เมื่อสิ้นปัญญาในการที่จะต่อสู้ต่อไปอีก ท้าววัชรินทร์จึงตัดสินใจให้ทวยเทพถอยทัพ แล้วพากันไปทูลองค์พระพรหมาให้พระพรหมาพาไปเข้าเฝ้าองค์นารายณ์ไวกูณฐ์นาถเพื่อวิงวอนของความช่วยเหลือ พระพรหมาทรงปราณีจึงนำทวยเทพเสด็จไปยัง ณ.ไวกูณฐ์สวรรค์ และ ทูลขอความช่วยเหลือ เมื่อองค์หริบุรุษทราบความดังนั้นแล้วจึง ตรัสบอกกับทวยเทพว่า
ดูก่อน!!! ศจีบดี หนทางแก้ไขนั้นพอมีอยู่ แต่วิธีนั้นช่างลำบากยิ่งนัก พวกทวยเทพจะมีกำลังสักปานใดเล่า พวกเทวาทั้งหลายจะทำการนี้ไหวหรือ การครั้นนี้คือการกวนเกษียรสมุทร เพื่อให้บังเกิดน้ำอมฤตเพื่อพวกเจ้าจะได้ดื่มกิน เมื่อดื่มแล้วพวกเจ้าก็จะได้รับความเป็นอมตะมีชีวิตยืนยาวตราบชั่วฟ้าดิน พละกำลังก็จะกลับคืนมาและมากกว่าเดิมอีก การกวนเกษียรสมุทรนั้นหาใช่ของง่ายลำพังพวกท่านแต่กลุ่มเดียวคงกระทำการนี้ไม่ไหวหรอก พวกท่านต้องจำใจยอมนอบน้อมยกยอปอปั้นแก่เหล่าอสูรเสียก่อน แล้วค่อยเกลี่ยกล่อมเหล่าอสูรมาช่วยกันกวนน้ำอมฤตการครั้งนี้ถึงจะลุล่วงลงได้ โดยพวกท่านจงออกอุบายว่าจะแบ่งน้ำอมฤตให้อสูรร่วมดื่มกินด้วยกึ่งหนึ่ง พวกอสูรเมื่อเห็นผลประโยชน์ส่วนนี้ก็จะมาร่วมการในครั้งนี้อย่างแน่นอน พอบังเกิดน้ำอมฤตแล้วเราจะหาทางเลี่ยงมิให้พวกเหล่าอสูรได้ดื่มกินน้ำอมฤตนั้นเอง เรื่องนี้ไว้เป็นภาระของเราเองเถิดจอมสรวง
เมื่อพระจตุรภุชตรัสจบ เหล่าเทวดาก็ต่างยินดียิ่งและปฏิบัติตามที่พระอัจยุตตรัสสั่งไว้ ต่างพากันไปนอบน้อมยอมแพ้แก่เหล่าอสูร แล้วไปตกลงทำสัญญาในการกวนเกษียรสมุทรกับเหล่าอสูรจนเป็นที่สำเร็จ
เมื่อวันแห่งการกวนเกษียรสมุทรมาถึง พระวิษณุชลไศยินก็เสด็จมาเป็นองค์ประธาน แล้วตรัสให้เหล่าเทวาอสูรช่วยกันถอนภูเขามันทรคีรีอันเป็นแหล่งกำเนิดแห่งมณีนพรัตน์มาตั้งลงในท่ามกลางทะเลน้ำนมที่สถิตอยู่ในไวกูณฑ์สวรรค์นั้น แล้วให้ช่วยกันเก็บหาสมุนไพรนานาชนิดจำนวนมหาศาลมาผสมลงในเกษียรสมุทรนั้น และ มอบหมายให้จอมนาควาสุกรี มาเป็นเชือกพันรอบมันทรคีรีต่างสายชักโยงโดยออกอุบายยกยอให้เกียรติอสูร ว่าพวกใดมีกำลังเข้มแข็งที่สุดในสามโลกให้มาชักทางฝั่งเศียรนาคเพื่อเป็นเกียรติ เหล่าอสูรหลงกลต่างผยองรีบตรงเข้ายึดชักทางเศียรพญาวาสุกรีทันที ฝ่ายเทวดาก็มาชักทางหาง ทั้งเทวดาและอสูรช่วยกันชักดึงมันทรคีรีกันอย่างเต็มกำลังให้ภูเขานั้นหมุนเพื่อกวนสมุนไพรให้เข้ากับน้ำนมในทะเลนั้น ต่างพากันปั่นไปมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ด้วยพญาวาสุกรีนาคราชซึ่งร่างกายถูกเสียดสีจากการพันรอบภูเขาตลอดเวลาทั้งเหนื่อยมาตลอด ด้วยความเจ็บและเหนื่อยจำต้องอ้าปากคายพิษเป็นไฟร้อนออกมาทีละน้อย ยังผลให้เหล่าอสูรเกิดความร้อนอ่อนแรงไปตามๆ กันตรงข้ามกับเหล่าเทวดาซึ่งรู้กลอุบายนี้ที่ไปฉุดฝั่งหางเลยไม่โดนไอร้อนนี้ ซ้ำพระลักษมีปติยังช่วยบันดาลฝนให้โปรยปรายชุ่มชื่นตลอดเวลา
ฝ่ายพญาอสุรินทร์ราหูก็เป็นผู้หนึ่งที่ต้องออกแรงฉุดอยู่ทางเศียรนาค ก็บังเกิดความเหนื่อยอ่อนดั่งอยู่ในนรกทั้งเป็นเช่นกัน ทำให้เกิดความลำบากจะเลิกเสียก็เสียดายที่ต้องสู้ทนมาเป็นเวลาหลายร้อยปีจนใกล้สัมฤทธิผลแล้ว เมื่อบังเกิดน้ำอมฤตแล้วค่อยคิดบัญชีกับเหล่าเทวดาก็ยังไม่สาย ราหูเป็นอสูรตนเดียวที่ตั้งมั่นกำหนดจิตว่าต้องดื่มกินน้ำอมฤตเพื่อความเป็นอมตะให้ได้ ระหว่างนั้นมันทรที่กวนเกษียรสมุทรนั้นใช้การมานานก็เริ่มเอียงคลอน พระหริทราบความจึงรีบอวตารไปเป็นเต่า (กูรมาวตาร) เพื่อหนุนดันภูเขามันทรให้ตั้งตรงขึ้นดังเดิมอีกครั้ง ฝ่ายวาสุกินาคราชนั้นได้รับความทุกข์ทรมานมากกว่าใครๆ ด้วยร่างที่พันกับภูเขาซ้ำยังเป็นเชือกปั่นให้ภูเขาหมุนกวนอยู่ตลอดเวลา ด้วยความเหนื่อยล้าจอมนาคก็พ่นพิษเป็นไฟกรดออกมามากมาย มีทั้งควันพิษที่พวยพุ่งออกมาจากลมหายใจของราชาแห่งนาคอย่างไม่ขาดระยะ มืดคลุ้มไปทั้งจักรวาลด้วยความร้อนแห่งพิษนั้นทำให้สามโลกเดือดร้อน เพราะถูกแผดเผาราวกับจะให้มอดไหม้เป็นภัสมธุลีลง.
3.
เหล่าทวยเทพแลอสูรเห็นดังนั้น ต่างพากันตกใจกลัวลนลานแตกตื่นหนีเอาชีวิตรอดกันอย่างโกลาหล แต่ก็มองหาทางไม่เห็นเนื่องด้วยควันพิษนั้นปกคลุมมืดมิดจนมองอะไรแทบไม่เห็น ทันใดนั้นเองพระคังคธร(ผู้ทรงไว้ซึ่งคงคา นามหนึ่งของพระศิวะ)ก็เสด็จมาปรากฏ ณ. เกษียรสมุทร ด้วยพระทัยที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาต่อสรรพชีวิตในสามโลกอย่างไม่มีการแบ่งแยกชั่ว-ดี พระมฤตุญชัยก็ทรงอ้าพระโอษฐ์ดูดกลืนควันพิษร้ายเข้าสู่พระอุระในทันที พร้อมทั้งตักเอาพิษที่พญาวาสุกิพ่นออกมา มาดื่มกินเพื่อช่วยเหลือก่อนที่สามโลกจะมลายไปก่อนกาลอันควร ด้วยพิษกรดอันร้ายแรงของพญาวาสุกิอันหาผู้ใดทัดทานไหวเมื่อพระหะระดื่มกินเข้าไปก็เผาผลาญพระศอจนไหม้เกรียมเป็นสีดำดังนิล เหล่าเทวาอสูรต่างแสดงความยินดีสวดมนตร์สรรเสริญและกล่าวนามเพื่อเป็นการระลึกถึงพระคุณของพระศิวะในครั้งนี้ว่า “ศรีนิลกัณฐะ” อันแปลว่าผู้มีคออันงดงามเป็นสีนิลหรือน้ำเงินอมม่วง แล้วพระนามอันศักดิ์สิทธิ์นี้ก็เป็นที่จดจำไปทั้งสามโลก ตราตรึงในความกรุณาของพระภูเตศวรประทับในหัวใจตลอดกาลไป เพราะนามนี้เป็นสัญลักษณ์ของการเสียสละเพื่อความรักอันมีต่อสรรพชีวิตอย่างไม่แบ่งแยกอันเป็นภาวะแห่งรักอันสูงสุด ยอมทนกับความเจ็บปวดแสนสาหัสอันเป็นการเสียสละอย่างใหญ่หลวงซึ่งไม่มีใครในสามโลกจะกล้าที่จะกระทำ โดยพระองค์ไม่ต้องคอยให้สาวกต้องร้องขอให้ช่วย ซ้ำไม่เคยเรียกร้องความเห็นใจจากสาวกของพระองค์เลย และ ไม่เคยทวงบุญคุณในการกระทำของพระองค์ในครั้งนี้จากผู้ใด ดังนั้นวีรกรรมในครั้งนี้จึงถูกจารึกลงในบทสวดเพื่อสรรเสริญพระศิวะตรีศังกรเจ้ามาตลอกกาลตราบจนทุกวันนี้ในความรักความเสียสละอันบริสุทธิ์
เมื่อขณะที่พระศรีกัณฐะกำลังเอาพระหัตถ์ตักพิษมาดื่มกินนั้น มีพิษบางส่วนได้ตกหล่นอยู่บนยอดหญ้าคาพวกงู และ สัตว์พิษทั้งหลายก็รีบตรงเข้ารวบรวมพิษนั้นไว้ใช้เฉพาะตน พวกงูต่างรีบตักตวงโดยใช้ลิ้นเลียลงบนยอดหญ้าคา ด้วยความคมของยอดหญ้าคาจึงบาดลิ้นของพวกงูออกเป็นสองแฉกนับแต่นั้นมา เมื่อทรงดื่มกินจนหมดความมืดมิดก็ผ่านพ้นไปท้องฟ้าเริ่มแจ่มใสขึ้นอีกครั้ง ทะเลน้ำนมที่ปั่นป่วนมานับพันๆ ปีก็เริ่มสงบนิ่ง บังเกิดแสงประหลาดสว่างไปทั่วเกษียรสมุทรเป็นสิ่งบอกให้ทราบว่าความพยายามที่กระทำมานานนั้นกำลังจัดเกิดเป็นผลสำเร็จสมบูรณ์ในชั่วขณะพริบตานี้แล้ว
ทันใดนั้นเองของทิพย์วิเศษสุด 14 อย่างก็ทยอยกันผุดขึ้นมาจากเกษียรสมุทรตามลำดับ
อย่างแรกคือดวงจันทร์ เหล่าทวยเทพแลอสูรต่างสำนึกในบุญคุณแห่งการเสียสละของพระศรีกัณฐะจึงต่างเห็นพ้องกันว่าของวิเศษประการแรกควรถวายแด่องค์พระโยเคศวรศิวะเจ้า พระเป็นเจ้าจึงหยิบเอาดวงจันทร์นั้นมาทัดเป็นปิ่นทันที เทวดาและอสูรได้เห็นพระรัศมีที่งดงามของพระเป็นเจ้าศิวะและของดวงจันทร์คู่กันอย่างเหมาะสมลงตัว จึงต่างสรรเสริญพระนามให้ใหม่ในทันทีว่า “จันทรเศขร”
สิ่งที่ 2 ที่ผุดขึ้นมา คือ แก้วเกาสตุภะ เทวดาและอสูรก็นำไปถวายแด่องค์พระวิษณุมัธวะ
สิ่งที่ 3 ที่ผุดขึ้นมา คือ ดอกบัวซึ่งมีพระลักษมีเทวีประทับอยู่ในนั้น แล้วพระลักษมีก็เสด็จออกจากกลางดอกบัว ทั้งเทวดาอสูรและเหล่าฤาษีต่างมองกันอย่างไม่กระพริบตาด้วยความงดงามขนาดจินตกวียังไม่รู้จะหาคำใดมาพรรณาในความงามนี้ได้อย่างถูกต้อง ทันใดนั้นพระวิศวกรรมจอมช่างก็ได้เนรมิตเครื่องทรงถวายพระศรี แล้วพระศรีทรงคล้องพวงมาลัยทิพย์ที่ไม่รู้จักเหี่่ยวมาสวมไว้ แล้วเสด็จตรงโดยไม่ใยดีผู้ใดในสามโลก ตรงมาเข้าเฝ้าพระอนันตไศยินในทันทีพระวิษณุก็ทรงรับสวมกอดเอาไว้ด้วยพระศรีนั้นเป็นผู้เลือกคู่ครองเอง ทั้งสามโลกจึงไม่มีใครกล้าปฏิเสธในการเลือกของพระเทวีในครั้งนี้
สิ่งที่ 4 ที่ผุดขึ้นมา คือ นางวารุณีเทวีแหล่งเหล้า
สิ่งที่ 5 ตามมาด้วยช้างเผือกเอราวัณ พระอินทร์นั้นรับไว้เป็นพาหนะประจำพระองค์
สิ่งที่ 6 จากนั้นก็ตามมาด้วยม้าอุจไจศรพ พระอินทร์ก็รับไว้เป็นพาหนะอีก แล้วก็ตามมาด้วย
สิ่งที่ 7 ต้นปาริชาติ อันมีดอกที่หอมมาก มีสรรพคุณสามารถระลึกชาติได้ ต้นไม้นี้ก็ล่องลอยขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ทันที
สิ่งที่ 8 ที่ผุดขึ้นมา คือ โคสุรภี หรือ กามเธนุ เป็นโควิเศษสามารถบันดาลอะไรได้ตามต้องการ
สิ่งที่ 9 ที่ผุดขึ้นมา คือ หริธนู
สิ่งที่ 10 คือ สังข์
สิ่งที่ 11 ที่ผุดขึ้นมา คือ เหล่านางอัปสรผู้เลอโฉม 35 ล้านตน แต่หามีเทวาและอสูรรับพวกนางไว้ครอบครอง เลยต้องกลายเป็นของกลางไม่ตกแก่ใคร เป็นนางบำเรอสร้างความสุขทั่วไป
สิ่งที่ 12 ที่ผุดขึ้นมา คือ พิษร้าย ซึ่งไม่มีใครรับไว้ครอบครองนอกจากพวกเหล่าอสรพิษทั้งหลาย
สิ่งที่ 13 และ 14 ที่ผุดขึ้นมาพร้อมๆ กันคือ ธันวันตริผู้เป็นแพทย์สวรรค์ ผุดขึ้นมาทูนหม้อน้ำทิพย์อมฤตซึ่งเป็นสิ่งวิเศษลำดับที่ 14ขึ้นมาด้วยแล้วค่อยๆ ประคองวางลงบนแท่นบัวทองคำอันวิจิตรสถิตอยู่ริมฝั่งเกษียรสมุทร.
ฝ่ายองค์พระวิษณุเห็นดังนั้น จึงออกกลอุบายในขณะที่เหล่าเทวดาและอสูรต่างแย่งชิงของวิเศษ 12 อย่างที่ผุดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ก็ทรงแบ่งอวตารพระกายเป็นสตรีรูปงามราวกับพระศรีลักษมี นามว่า “โมหิณี” ตรงมายั่วยวนยังเหล่าอสูร พวกอสูรเห็นดังนั้นต่างกรูกันไปโอบล้อมนางไว้หวังได้นางมาครอบครอง นางผู้เป็นอวตารของพระวิษณุจึงออกอุบาย ว่าพวกเทวดานั้นต่างเป็นพวกอ่อนแอ หาเข้มแข็งเท่าเหล่าอสูรไม่ เราจะรับอาสาแบ่งปันน้ำอมฤตตามส่วนให้ โดยอสูรนั้นจะได้ 3 ใน 4 ส่วน แต่เนื่องด้วยเหล่าอสูรเป็นผู้เข้มแข็งกว่า ให้ถือเสียว่าให้ทานพวกเทวดาได้ดื่มกินก่อนเถอะ เพื่อแสดงน้ำใจและความมีอำนาจอันยิ่งใหญ่ของเหล่าอสูร ด้วยเหล่าอสูรหลงในมนตร์เสน่ห์นางจำแลงพระวิษณุ นางว่าเช่นไรก็ว่าตามเช่นนั้น นางจึงนำน้ำอมฤตไปแบ่งปันให้เหล่าเทวดาก่อน โดยล่อเหล่าอสูรให้สนใจไปในอีกทางหนึ่ง
ฝ่ายอสุรินทร์ราหูนั้นเป็นแทตย์ที่มีเล่ห์เหลี่ยมสูง รู้ทันกลอุบายของพระวิษณุและด้วยความตั้งมั่นที่จะเป็นอมตะแต่อย่างเดียว แตกต่างกับอสูรทั้งหลายที่มุ่งมั่นแต่กามกิเลส ราหูจึงแปลงกลายเป็นพราหมณ์ชราเข้าไปปะปนในหมู่เทวดา ฤาษี เพื่อรับการปันน้ำอมฤตดื่มกิน เทวดาและเหล่ามหาฤาษีต่างก็ไม่ได้ระแวง ราหูจึงได้ดื่มกินน้ำอมฤตด้วยความยินดี น้ำอมฤตได้แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย หายเหนื่อยเมื่อยล้า เรี่ยวแรงก็เพิ่มขึ้นมากมายกลายเป็นทิพยภาวะอมตะบุคคลไปในทันที
ฝ่ายสุริยเทพและจันทรเทพนั้นอยู่บนที่สูง แลเห็นการแปลงกายของราหูโดยตลอดเนื่องด้วยปรากฏเงาแห่งอสูร ก็รีบทูลพระนารายณ์ให้ทราบโดยทันที พระนารายณ์จึงทรงขว้างจักรสุทรรศน์อันเป็นเทพศัสตราอันทรงฤทธิ์ประจำกายพระองค์ออกไปตัดร่างของราหูขาดออกเป็นสองท่อนๆ ล่างได้กลายเป็นพระเกตุไป ในขณะที่กำลังดื่มกินน้ำอมฤตอยู่ โลหิตของจอมอสูรราหุตกลงบนพื้นดินแดงฉาน แต่ราหูก็หาได้เสียชีวิตไม่ด้วยได้ดื่มกินน้ำอมฤตเป็นอมตะไปแล้ว ขณะเดียวกันน้ำอมฤตที่ดื่มกินเข้าไปบางส่วนก็หยดลงบนพื้นดินด้วยกลายเป็นหอมขาว ส่วนเลือดของราหุที่หยดลงไปกลายเป็นหอมแดง พระวิษณุผู้เป็นเจ้าจึงมีเทวประกาศิตแก่ธันวันตริแพทย์สวรรค์ว่า
“ธันวันตริ !!! เธอจงจารึกไว้ในคัมภีร์อายุรเวท (ว่าด้วยวิชาแพทย์)ของเธอเพื่อสั่งสอนมนุษย์เป็นการสืบไปภายภาคหน้าว่า อันหอมแดงนั้นเป็นโทษเพราะมีกำเนิดจากโลหิตของอสุรินทร์ราหู ผู้ใดบริโภคหอมแดงจะเกิดโทษมีโรคภัยเบียดเบียน แต่ถ้าผุ้ใดบริโภคหอมขาวอันกำเนิดจากน้ำอมฤตผู้นั้นจะมีพลานามัยที่สมบูรณ์ มีชีวิตยืนยาว ด้วยคุณวิเศษแห่งน้ำอมฤตนั้น”
ตรัสจบพระวิษณุก็มอบหม้อน้ำอมฤตที่ยังเหลืออยู่ให้แก่พระอินทร์ แล้วรับนำไปเก็บรักษายังสวรรค์ห้ามผู้ใดได้แตะต้องอีก เหล่าเทวดาก็พากันโห่ร้องด้วยความดีใจ จนได้ยินมาถึงพวกอสูร เหล่าอสูรจึงหันกลับมาดูจึงรู้ว่าเสียรู้พวกเทวดาแล้ว จึงรีบกรูกันเข้ามาแย่งชิงน้ำอมฤตจากเหล่าเทวดาในทันที แต่ด้วยว่าเสียรู้เพราะเทวดาได้ดื่มกินน้ำอมฤตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งมีความเป็นอมตะไม่มีวันตายแล้ว พละกำลังก็เพิ่มมากขึ้นมากมาย ซ้ำเหล่าอสูรก็เพิ่งจะเหน็ดเหนื่อยหมดแรงมาจากการกวนเกษียรสมุทรด้วย เหล่าอสูรจึงพ่ายแพ้จำใจต้องถอยทัพกลับ โดยที่ไม่ได้อะไรติดมือกลับไปเลย เหล่าเทวดาก็ได้กลับไปครอบครองสวรรค์ดังเดิม
เหล่าเทวดา ฤาษี เมื่อช่วยกันขับไล่อสูรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ตรงกลับกราบมาสักการะพระศิวะ พระนารายณ์ และ พระศรีลักษมี แล้วขอให้พระเป็นเจ้าช่วยคุ้มครองช่วยเหลือ พระผู้เป็นเจ้าทั้งสามก็ยินดี แล้วพระศิวะก็เสด็จกลับไปยังไกลาสในทันที ส่วนพระวิษณุก็ลงไสยาศเหนือทิพยอาสน์ของพญานาคเศษะกลางเกษียรสมุทรโดยมีพระลักษมีเทวีคอยปรนนิบัติพัดวีด้วยความรักในพระวิษณุเจ้า และแล้ว พระผู้มีพระเนตรเรียวงามราวกับกลีบดอกบัวก็เข้าสู่นิทรารมณ์อีกครา
เมื่อพระเป็นเจ้าวิษณุบรรทมสินธุ์แล้ว สามโลกก็กลับร่มเย็นตามเดิมอีกคราหนึ่ง แต่ไฟแค้นของอสุรินทร์ราหูยังครุกลุ่นอยู่ด้วยเพราะการที่สุริยเทพและจันทรเทพไปทูลพระวิษณุ จนตนนั้นถูกตัดขาดออกเป็น 2 ท่อน (ท่อนบนเรียกว่าราหู ส่วนท่อนล่างเรียกว่าเกตุ) ด้วยตนนั้นก็มีสิทธิ์ที่จะได้ดื่มกินน้ำอมฤตเช่นกันตามสัญญาที่ให้ไว้ต่อกัน แต่กลับต้องมาต้องอาญาด้วยประการฉะนี้ พระอาทิตย์และพระจันทร์ต้องชดใช้ในการกระทำครั้งนี้อย่างสาสม
ด้วยเหตุนี้ราหูจึงคอยหาโอกาสจับสุริยเทพและจันทรเทพมากลืนกินเสียด้วยความพยาบาท แต่พระอาทิตย์และพระจันทร์ก็ล่วงพ้นไปได้ในชั่วเวลาไม่นานนัก เพราะ ราหูนั้นมีกายเพียงครึ่งท่อนเทพทั้งสองจึงหลุดออกไปได้ การจองเวรเช่นนี้จึงเกิดคราสเรื่อยมา
ราหูหลังจากนั้นก็มิได้เข้าร่วมทำสงครามแย่งสวรรค์จากเทวดาอีกเลย ด้วยเหลือกายเพียงครึ่งเดียว และ ราหูก็เป็นทิพย์เหมือนเทพไปแล้ว ก็เฝ้าแต่บำเพ็ญตบะเพิ่มฤทธิ์ตน และ คอยจับกลืนพระอาทิตย์และพระจันทร์เท่านั้น จนพระพรหมธาดาเสด็จมาประธานพรในผลตบะนั้น โดยมอบเกียรติยศให้ราหู-เกตุ ได้เป็นสมาชิกของเทวสภาด้วยผู้หนึ่ง นับว่าเป็นอสูรที่พิเศษกว่าอสูรทั้งปวงเป็นเพียงอสูรตนเดียวที่ได้รับเกียรติสูงส่งนี้ และ ยังเป็นอสูรเพียงตนเดียวที่ได้รับการสักการะบูชาโดยมีปฏิมาอยู่ในเทวลัยร่วมด้วยกับปฏิมาของเทพองค์อื่นๆ ครั้งหนึ่งราหูเคยอาละวาดจนสวรรค์พังมาแล้ว แต่เมื่อเป็นเทพแล้วก็กลับใจได้ทำตนดีขึ้น ดังนั้นไม่ต้องกลัวราหู-เกตุเพราะในอีกมุม ราหู-เกตุก็ให้คุณได้เช่นเป็นดวงที่ต้อง ค้าขายกับต่างชาติ หรือมีธุรกิจที่เกียวข้องกับสุรา หรือสถานที่อโคจรทั้งหลายยมวิกาล.
ในวิษณุปุราณะพรรณนาว่า พระราหู ทรงราชรถเทียมม้าดำ 8 ตัว สีกายดำหรือสีหมอก รถนี้มีไว้เพื่อเตรียมพร้อมในเวลาที่จับพระอาทิตย์และพระจันทร์ และเรียกจุดดักจับนี้ว่า “พารวัน” (node) ส่วนเวลาอื่นราหูจะทรงเสือโคร่ง หรือ สิงห์ดำเป็นพาหนะ มี 4 กร ถือโล่ ดาบ หอก ตรีศูล คทา ลูกศร ดอกบัว บ้าง ส่วนอีกกรประทานพร นามนั้นก็มีมากมายตามเหตุการณ์ต่างๆ เหมือนเทวดาทั่วๆ ไปคือ อัมพรปิศาจ(ปิศาจแห่งท้องฟ้า) , ภารณีภู(กำเนิดในกลุ่มดาวฤกษ์ภรณี), ครหะ(ผู้จับ)
ส่วนพระเกตุ ทรงราชรถเทียมม้าสีแดง 8 ตัว มีกายสีทองแดงหรือสีแดงน้ำรัก บ้างก็ว่าทรงแร้ง บ้างก็ว่าไม่ทรงพาหนะแต่มีท่อนบนเป็นมนุษย์ใบหน้ามีสิวมากส่วนท่อนหางเป็นงูแทน บ้างก็ว่ามีเศียรเป็นงูกายเป็นมนุษย์ มี 4 กร ถือ คทา โล่ ดาบ ธง อีกกรประทานพร บางที่ก็ว่ามีแค่ 2 กร นามก็มีอีกเช่น กปันธะ(ผู้ปราศจากหัว) , อกะชะ(ไม่มีขน) , อเลศะ , ภาวะ(ถูกแบ่งออก) , มุนธะ.
------------------------------------------------------------------------------------------------
หมายเหตุ : ตำนานเรื่อง การกวนเกษียรสมุทร มีหลาย เวอร์ชั่น ชอบ เวอร์ชั่นไหนก็แล้วแต่ หรือ ตามสะดวกท่าน นะครับ.
------------------------------------------------------------------------------------------------
พิธีกวนเกษียณสมุทร
ขอบคุณ ภาพและข้อมูล จาก
http://soccersuck.com/boards/topic/1040011
.
06.1 CHURNING OF THE OCEAN.
ที่มา ดังปรากฏในภาพ ครับ.
.
06.2 พิธีกวนเกษียรสมุทรนั้น มาจากเรื่องเล่าปางที่2 ที่ พระนารายณ์(วิษณุ) อวตาร เป็นเต่ายักษ์ ชื่อ กูรมะ จึงเรียก ปางนี้ว่า กูรมาวตาร (Kurma avatara).
.
06.3 ฤษีทุรวาส
.
ขอขอบคุณ...
ตำนานการกวนเกษียรสมุทร และ "สะพานนาคราช"
https://angkorwatsiemreapcambodia.blogspot.com/2018/11/22102561-2018-siem-reap-province.html
.
«
Last Edit: 02 June 2025, 21:41:27 by ppsan
»
Logged
Pages:
[
1
]
« previous
next »
SMF 2.0.4
|
SMF © 2013
,
Simple Machines
| Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.111 seconds with 19 queries.
Loading...