Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
18 May 2024, 14:54:09

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,701 Posts in 12,500 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  หมวดหมู่ทั่วไป  |  สาระน่ารู้  |  เรื่องที่ควรรู้เท่าทันระดับโลก  |  สมาคมลับ CFR เพื่อจัดตั้งรัฐบาลโลก
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: สมาคมลับ CFR เพื่อจัดตั้งรัฐบาลโลก  (Read 1301 times)
LAMBERG
มายิ้มในใจกันไว้เรื่อยๆ สนุกดีๆ
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 1,475


View Profile
« on: 13 January 2013, 11:41:59 »

สมาคมลับ CFR เพื่อจัดตั้งรัฐบาลโลก


นับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ ๒๐ หรือปี ค.ศ. ๑๙๐๐ เป็นต้นมา…จะเป็นเพราะความชุลมุนวุ่นวายอันเนื่องมาจาก ความขัดแย้งทางอำนาจและผลประโยชน์ในหมู่ชาติต่างๆ ในยุโรป ที่ปรากฏสืบเนื่องมาโดยตลอด และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสงครามครั้งแล้ว ครั้งเล่า หรือจะมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกด้วยหรือไม่? ก็แล้วแต่ บรรดาชาวยุโรปจำนวนไม่น้อย ได้เริ่มออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องราวของ “รัฐบาลโลก” (World Government) ที่จะทำหน้าที่ขจัดความขัดแย้งแตกต่างทางการเมืองและผลประโยชน์ระหว่างชาติต่างๆ ด้วย “การทำโลกให้เป็นโลกเดียว” (One World) หรือ ”การสร้างสรรค์ระเบียบใหม่” ให้กับโลก (New World Order)…

กลุ่มคนที่พยายามนำเสนอแนวคิดเหล่านี้ มีทั้งประเภทที่หนักไปในทางคิดฝันกันในเชิงอุดมคติ เช่น “เฮอร์เบิร์ต จอร์จ เวลส์” หรือ “เอช.จี.เวลส์” นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงก้องโลก ที่ได้กล่าวถึงแนวคิดเหล่านี้เอาไว้หลายครั้งหลายหนในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือถึงกับเคยเขียนถึงสิ่งเหล่านี้เอาไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๓๙ ในหนังสือชื่อ “One World State” ส่วนนักคิดและนักปรัชญาอย่าง “เบอร์ทรัล รัซเซล” ได้กล่าวไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๔๖ ถึงความหวังต่อ “สันติภาพถาวร” ถ้าหากมี “รัฐบาลโลก” ถูกจัดตั้งขึ้นมาบนพื้นฐานความเห็นชอบของนานาชาติ เพื่อควบคุมภยันตรายจากอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งกำลังเริ่มก่อให้เกิดความตึงเครียดกับโลกทั้งโลกมาตั้งแต่ช่วงระยะนั้น….หรือนักปราชญ์อาวุโสอย่าง “อาโนลด์ ทอยน์บี” ก็ถือได้ว่าเป็นอีกผู้หนึ่งที่ให้ความสำคัญกับแนวคิดที่ว่านี้และได้กล่าวไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๖๑ ถึงความหวังที่จะมีรัฐบาลโลกเพื่อนำมาซึ่งหลักประกันสำหรับความอยู่รอดของมวลมนุษยชาติในยุคนิวเคลียร์…

ในขณะเดียวกัน…กลุ่มคนที่ไม่ได้มองแนวคิดเหล่านี้เพียงแค่ในเชิงอุดมคติ แต่ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา และมีจุดมุ่งหมายที่หนักไปในลักษณะของความทะเยอทะยานอันมีแรงผลักดันมาจากความรู้สึกถึงความสูงส่งของเผ่าพันธุ์และชนชาติของตัวเองกันเป็นการเฉพาะ ก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน เช่น แนวความคิดของ “เซซิล จอห์น โรเดส” นักธุรกิจเหมืองแร่และเจ้าที่ดินใหญ่ชาวอังกฤษที่ถือกำเนิดในแอฟริกาใต้ และเป็นผู้มีส่วนผลักดันให้เกิดประเทศ “โรดิเซีย” (ซิมบับเว) ก็เคยเสนอแนวความคิดในลักษณะเช่นนี้ไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี ค.ศ. ๑๙๐๐ ถึงความต้องการที่จะให้ประเทศสหรัฐอเมริกาและอังกฤษจัดตั้ง “สหพันธ์รัฐบาลโลก” (Federal World Government) เพื่อที่จะช่วยปกป้องดูแลให้เกิดสันติภาพขึ้นมาในโลกที่มีชาวผิวขาวปกครองและมีภาษาอังกฤษใช้เป็นภาษาหลัก…หรือ “ไลโอเนล เคอร์ติส” นักคิดชาวโปรเตสแตนท์ที่ได้เขียนหนังสือชื่อ “Commonwealth of God” ในปี ค.ศ. ๑๙๓๘ ปลุกเร้าให้สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ “ทำงานของพระเจ้า” (Work of God) ด้วยการรวมตัวกันจัดตั้ง “รัฐบาลโลก” เพื่อให้เกิดอาณาจักรของพระเจ้าที่ใช้ภาษาอังกฤษขึ้นมาในโลกนี้…

แต่นอกเหนือไปจากนั้น…แนวคิดในเรื่อง “รัฐบาลโลก” ก็ยังได้ถูกพูดถึง หรือได้ถูกสะท้อนออกมาผ่านทัศนคติของกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งน่าจะถือได้ว่า เป็นกลุ่มที่มีพลังมากที่สุด!!! ในการขับเคลื่อนแนวความคิดดังกล่าวให้เป็นจริงเป็นจังขึ้นมาได้จริงๆ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่อุดมคติที่เลื่อนลอย หรือเป็นแค่แนวความคิดที่เลอะเทอะ ไร้สาระดังเช่นกลุ่มอื่นๆ… นั่นก็คือกลุ่มที่มีจุดมุ่งหมายและแรงบันดาลใจมาจากความต้องการที่จะขยายขอบเขตของผลประโยชน์ทางธุรกิจของตัวเองให้กว้างขวางออกไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้… หรือบรรดากลุ่มอภิมหาธุรกิจทั้งหลายทั้งในซีกตะวันตกและตะวันออกของมหาสมุทรแอตแลนติก อันประกอบไปด้วยกลุ่มนายธนาคารระหว่างประเทศ กลุ่มนักอุตสาหกรรม การค้า รวมไปถึงชนชั้นขุนนางในยุโรป…

ด้วยอำนาจอิทธิพลทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจอันกว้างขวางใหญ่โตมหึมา… การผลักดันให้แนวความคิดดังกล่าวเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา…จึงก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวในการพัฒนากลุ่มก้อนองค์กรนานาชนิด ให้อุบัติขึ้นมารองรับแนวความคิดเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง…ไม่ว่าจะเป็นการก่อตั้ง “ราชสมาคมว่าด้วยกิจการระหว่างประเทศ” (Royal Institute for International Affairs) ขึ้นมาในประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ. ๑๙๑๙ ตามมาด้วยการก่อตั้ง ”สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” หรือ “CFR” ขึ้นในสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. ๑๙๒๐ การรวมตัวกันของนักธุรกิจการเงินในอเมริกาและอังกฤษที่จัดให้มีการประชุมเพื่อสร้างระบบการเงินโลกที่ “เบรตตัน วูดส์” ในปี ค.ศ.๑๙๔๔ ซึ่งได้นำไปสู่การจัดตั้งธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ในเวลาต่อมา ไปจนถึงการรวมตัวของผู้นำทางการเมืองในการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติ ในปี ค.ศ. ๑๙๔๕ …

นอกเหนือไปจากนั้น กลุ่มอิทธิพลทางการเมืองและทางการค้าเหล่านี้ยังพยายามสร้างเครือข่ายเชื่อมประสานผลประโยชน์ทางการเมืองและทางการค้าขึ้นมาด้วยองค์กรที่เรียกกันว่า “บิลเดอร์เบอร์ก” ในปี ค.ศ. ๑๙๕๔ และยังมีส่วนผลักดันให้เกิดองค์กร “ตลาดร่วมยุโรป” หรือ “European Common Market” (EEC)ในปี ค.ศ. ๑๙๕๗ ที่ได้กลายมาเป็น “สหภาพยุโรป” ในทุกวันนี้ เกิดการจัดตั้ง “คณะกรรมการ ๓ ฝ่าย” หรือ “The Trilateral Commission” เพื่อเชื่อมต่อเครือข่ายอำนาจของพันธมิตรอเมริกาเหนือ-ยุโรป-เอเชียเข้าด้วยกันในปี ค.ศ. ๑๙๗๓ จัดตั้ง ”องค์การการค้าโลก” หรือ “World Trade Organization” (WTO) ในปี ค.ศ. ๑๙๙๕… ฯลฯ บรรดาความเคลื่อนไหวเหล่านี้… ล้วนแล้วแต่ดำเนินสืบเนื่องกันมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ภายใต้จุดมุ่งหมายที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามที่จะนำพาโลกไปสู่การ “ทำให้โลกเป็นโลกเดียว”…โลกที่ได้รับการ “จัดระเบียบขึ้นมาใหม่” ให้อยู่ภายใต้อำนาจของ “รัฐบาลโลก”…???

แนวคิดในลักษณะที่ว่านี้…อันที่จริงก็ไม่ได้มีการแสดงออกในลักษณะปิดบังหลบซ่อนกันซักเท่าไหร่นัก หรือมันค่อยๆ พัฒนาตัวเองขึ้นมาในแนวเดียวกันกับที่ “เอช.จี.เวลส์” ได้เคยให้คำแนะนำเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าสามารถกระทำได้ในลักษณะที่เรียกว่า “การสมคบคิดอย่างเปิดเผย” (open conspiracy) นั่นเอง…ด้วยเหตุนี้…นับตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๒๒ มาแล้ว หรือเพียงแค่ประมาณ ๓ ปีเท่านั้นหลังจากได้มีการจัดตั้งสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยมีอภิมหานักธุรกิจร็อคกี้เฟลเลอร์ ดำรงตำแหน่งประธานสภา บทความในนิตยสาร “ฟอร์เรจน์ แอฟแฟร์” ของ CFR ที่เขียนโดยสมาชิกขององค์กรชื่อว่า “ฟิลลิป เคอร์” ซึ่งได้จุดประกายความคิดเหล่านี้ไว้อย่างชัดเจนมาตั้งแต่นั้นแล้ว ก็ได้ระบุว่า… “ตราบใดที่ประเทศต่างๆ ในโลกนี้ยังถูกแยกให้เป็นอิสระจากกันและกัน…สันติภาพและความรุ่งโรจน์ที่จะมีต่อมวลมนุษยชาติย่อมไม่อาจปรากฏเป็นจริงขึ้นได้ และกว่าที่จะมีการคิดค้นสร้างสรรค์ระบบความร่วมมือระหว่างชาติขึ้นมาได้จริงๆ…ปัญหาที่แท้จริงในขณะนี้น่าจะอยู่ที่ว่า… ทำอย่างไรที่จะทำให้มีรัฐบาลโลกเกิดขึ้น…”

นอกเหนือไปจากนั้น…สมาชิกคนสำคัญๆ ของ CFR ในแต่ละยุค แต่ละรุ่น ก็เคยแสดงออกถึงแนวความคิดในลักษณะดังกล่าวอย่างไม่ได้ปิดบังซ่อนเร้นอะไรมากมายนัก ไม่ว่าจะโดย “เซอร์ ฮาโรลด์ บัตเลอร์” ที่ได้แสดงความเห็นในวารสาร CFR ในปี ค.ศ. ๑๙๔๘ ว่า…”จะอีกนานเท่าไหร่สำหรับชีวิตของรัฐชาติ…จะอีกนานเท่าไหร่ที่เขาทั้งหลายพร้อมที่จะยอมเสียสละบางส่วนของบูรณภาพ โดยไม่คิดว่าจะเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเมืองและเศรษฐกิจจนไม่อาจยอมรับได้…เมื่อนั้นนั่นแหละที่…ระเบียบโลกใหม่… ก็จะปรากฏตัวขึ้นมาและจะเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็นสหประชาชาติที่แท้จริง หรือการนำไปสู่การกำหนดชะตากรรมร่วมกันของโลกใบนี้…”

แม้กระทั่งทายาทตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์ อย่าง “เนลสัน ร็อคกี้เฟลเลอร์” ก็ได้เขียนถึงแนวคิดเหล่านี้ไว้ในหนังสือเรื่อง “Future of Federalism” ในขณะเป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ค ในปี ค.ศ. ๑๙๖๒ และได้ยืนยันถึงแนวคิดเหล่านี้อีกครั้งต่อสำนักข่าว เอ.พี. ในระหว่างการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ในปี ค.ศ. ๑๙๖๘ ว่าเขาต้องการที่จะใช้ฐานะความเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ในการผลักดันเพื่อให้เกิดการริเริ่มสร้างสรรค์อันจะนำไปสู่ “การจัดระเบียบโลกใหม่”…เช่นเดียวกับ “จอร์จ บอลล์” สมาชิกคนสำคัญของ CFR ผู้เคยดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงเศรษฐกิจของอเมริกา ที่ได้เคยขายความคิดเหล่านี้ไว้ในระหว่างการปราศรัยต่อคณะกรรมการหอการค้าระหว่างประเทศของอังกฤษ ในปี ค.ศ. ๑๙๖๗ ว่า “เขตแดนทางการเมืองของรัฐชาตินั้นคับแคบเกินไป และจำกัดขอบเขตกิจกรรมของธุรกิจสมัยใหม่ บรรษัทที่มีวิสัยทัศน์ในการดำเนินกิจการระดับโลกย่อมหวังที่จะเห็นแนวโน้มของโลกที่ไม่เพียงแต่สินค้าเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรี… แต่ยังต้องรวมถึงปัจจัยการผลิตทั้งหมดที่ไม่ควรถูกจำกัดขอบเขตโดยความเป็นชาติอีกด้วย…” หรือ “เลสลี เกลบ์” ประธาน CFR ที่ได้ยืนยันเอาไว้ในรายการโทรทัศน์ในอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๙๓ ว่า องค์กรอย่าง CFR ได้กล่าวถึงเรื่องราวของระเบียบโลกใหม่มานานแล้ว และถือเป็นแนวความคิดพื้นฐานของ CFR ที่ได้ตอกย้ำมาโดยตลอดถึงการทำให้โลกเป็นโลกเดียว….

ภายใต้บทบาทของกลุ่มคนเหล่านี้ ที่ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลและความผูกพันใกล้ชิดกับรัฐบาลอเมริกันมาในแต่ละยุคแต่ละสมัย จึงทำให้ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใดว่า เหตุใดผู้นำทางการเมืองของอเมริกาในแต่ละยุคต่างก็ได้สืบทอดแนวความคิดเหล่านี้ต่อเนื่องกันมาโดยตลอด ไม่ว่า ”แฟรงค์กลิน ดี. รูสเวลท์” ที่ใกล้ชิดกับ CFR ตั้งแต่เป็นผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ค และรับเอาบันทึกช่วยจำของ CFR ไปใช้เป็นนโยบายต่างประเทศอเมริกาในช่วงเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ประธานธิบดี “เฮนรี่ ทรูแมน” ที่ถึงกับประกาศเอาไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๔๕ ว่า…”เป็นสิ่งที่ง่ายมากสำหรับชาติต่างๆ ที่จะเป็นสหพันธรัฐโลก เหมือนอย่างที่เราได้เป็นสหรัฐอเมริกาอยู่ในทุกวันนี้…” หรือ “เจมส์ พี.วาร์เบอร์ก” สมาชิกคณะกรรมาธิการวุฒิสภาว่าด้วยกิจการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ได้กล่าวไว้ในปี ค.ศ. ๑๙๕๐ว่า…”เราจะต้องมีรัฐบาลโลก…ไม่ว่าเราจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม คำถามมีอยู่แค่เพียงว่า มันจะบรรลุความเป็นไปได้ด้วยการยินยอมหรือโดยการบังคับ…เท่านั้นเอง…” และแนวคิดเช่นนี้ก็ได้ปรากฏให้เห็นสืบทอดกันมาโดยตลอดไม่ว่าจะโดยรัฐบาลของรีพับลิกันหรือดีโมแครตก็ตาม…

คำประกาศถึง “การจัดระเบียบโลกใหม่” ภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกาที่เกิดขึ้นในวันที่ ๑๑ กันยายน ปี ค.ศ.๑๙๙๐ โดยประธาธิบดี “จอร์จ บุช” แห่งพรรครีพับลิกัน หลังสงครามเย็นได้ทำท่าว่าใกล้จะยุติลงไป จึงเป็นสิ่งที่มีเนื้อหาไม่ต่างอะไรไปจากแผน “ยุทธศาสตร์แห่งชาติ” ในยุครัฐบาลประธานาธิบดี ”บิล คลินตัน” แห่งพรรคดีโมแครต หรือที่รู้จักกันในนาม “แผนยุทธบริเวณใหม่ของยุทธการสหรัฐ-ทางการเมือง-การทหาร” (Political-Millitary-A new Theater of Operation) หรือ “แนวทางยุทธศาสตร์ในอนาคตของสหรัฐอเมริกา” ที่ถูกประกาศออกมาในปี ค.ศ .๑๙๙๘.. และสิ่งเหล่านี้ได้ถูกยกระดับให้เป็นจริงเป็นจังยิ่งขึ้นไปอีกโดยประธานาธิบดี ”จอร์จ ดับเบิลยู บุช” หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ค.ศ. ๒๐๐๑ ด้วยการประกาศแนวทางของรัฐบาลอเมริกันต่อประเทศต่างๆ ในโลกเอาไว้ว่า…”ใครก็ตามที่ไม่ได้ยืนอยู่เคียงข้างอเมริกา…ผู้นั้นก็คือฝ่ายผู้ก่อการร้าย” ซึ่งถือได้ว่า เป็นคำประกาศที่ไม่ต่างไปจากการสถาปนาตัวเองให้เป็น ”รัฐบาลโลก” อย่างเป็นทางการ…นั่นเอง!!!

แต่ในขณะที่รัฐบาลอเมริกาได้สถาปนาตัวเองให้กลายมาเป็นรัฐบาลโลกกันไปแล้วนั้น… ลึกลงไปในหน้าตาของความเป็นรัฐบาลอเมริกัน…ก็คงไม่ได้มีแต่ชาวอเมริกันที่มีบุคลิกโง่ๆ เซ่อๆ อย่างเช่นประธานาธิบดี “จอร์จ ดับเบิลยู. บุช” เท่านั้น…ที่แสดงออกถึงความต้องการที่จะเป็นผู้กำหนดทิศทางความเป็นไปของโลกทั้งโลกในปัจจุบันและในอนาคตข้างหน้า…. เพราะภายใต้ความเป็นรัฐบาลอเมริกันในแต่ละยุคแต่ละสมัยมันมักจะถูกแวดล้อมไปด้วยบรรดา “ชาวยิว” หรือบรรดา ”ชนชาติที่พระเจ้าได้เลือกสรรแล้วให้เป็นผู้ปกครองโลก” สอดแทรกอยู่ภายในทำเนียบประธานาธิบดีอย่างเป็นเครือข่าย… และดูเหมือนว่าบรรดากลุ่มคนเหล่านี้นี่แหละ… ที่น่าจะเป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญเอามากๆ หรือมีบทบาทอยู่เบื้องหลังการกำหนดทิศทางของโลกอย่างแท้จริง…???

ที่มา ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์
http://www.onopen.com

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=neothailand&month=09-2008&date=05&group=5&gblog=14

http://chorchangsinging.blogspot.com/2011/10/new-world-order.html

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=neothailand&month=05-09-2008&group=5&gblog=14





ทักษิณกับCFR

A Conversation with Thaksin Shinawatra, Prime Minister of Thailand [Rush Transcript; Federal News Service, Inc.] - Council on Foreign Relations

ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยนะครับ
CFR ที่ย่อมาจาก Council on Foreign Relations กันแล้ว ไม่ทราบว่ายังจำได้มั้ย?
ขบวนการ CFR อันเป็นขบวนการที่ผู้ทรงอิทธิพลทางการเงิน การค้า การเมือง รวมตัวกันตั้งขึ้นมาหลายศตวรรษแล้ว ด้วยเป้าหมายแห่งความเป็นศูนย์กลางอำนาจบังคับบัญชาโลก
โลกเดียว ๑ อำนาจ บริหารโดย "รัฐบาลโลก"
องค์การการค้าโลก เอ็นจีโอ ธนาคารกลางสหรัฐที่เรียกว่าเฟด ไอเอ็มเอฟ ธนาคารโลก แม้กระทั่งตลาดหุ้นวอลล์สตรีท นิวสวีก และซีเอ็นเอ็น ล้วนเป็นองค์กรเกิดขึ้นภายใต้การควบคุม-ชักใยของขบวนการ CFR นี้ทั้งสิ้น
"บุช-ผู้พ่อ" ของประธานาธิบดีบุชปัจจุบันนี้แหละ ตอนนี้เป็นประธานใหญ่ของ CFR ขบวนการปั่นโลก เดินบทบาทผ่านตำแหน่งประธานที่ปรึกษาคาร์ลไลส์กรุ๊ป ที่เข้ามาลงทุนในภูมิภาคนี้ตามสถาบันการเงิน ตามธุรกิจโทรคมนาคม และตามธุรกิจพลังงาน
วานซืนโน้น ผมดูข่าว CNN ภาคดึก เป็นข่าวตูมตามว่า ซิตี้กรุ๊ป อันเป็นสถาบันการเงินใหญ่ของโลก ในเครือข่ายโกลด์แมนแซกส์ ออกอาการยุบ ขาดทุนบักโกรก ต้องอุดเงินอีกนับหมื่นล้าน
ซิตี้กรุ๊ป หรือโกลด์แมนแซกส์ นี่ก็กิจการในเครือข่าย CFR ซึ่งว่าไปแล้ว กิจการใหญ่ๆ ของ CFR จากสหรัฐ-ยุโรป "ครองโลก" อยู่ร้อยละ ๗๐-๘๐ จากสินค้า-ธุรกิจทั้งหมด
ฉะนั้น สงครามเศรษฐกิจ-การเงิน และผนวกด้วย "สงครามพลังงาน" ที่ป่วนโลกอยู่เวลานี้ ทั้งหลายทั้งปวง ส่วนหนึ่งเกิดจากความจงใจส่งสัญญาณจาก CFR เกือบทั้งนั้น
เพื่อสร้างเงื่อนไขนำไปสู่ New World Order สู่ศตวรรษที่ ๒๑

ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้ไปบรรยายร่วมกับสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือ CFR (โปรดดูโลโก้ด้านหลัง)

บิลเดอร์เบิร์ก (The Bilderberg Group)

บิลเดอร์เบิร์ก จัดประชุมกันครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2497 ที่โรงแรมบิลเดอร์เบิร์ก เมืองอูสเตอร์บีก ฮอลแลนด์ สมาชิกกลุ่มนี้ทั้งที่ตายไปแล้วและที่ยังมีชีวิตอยู่ เช่น เฮนรี คิสซิงเจอร์, บิลล์ เกตส์, เดนนิส เฮียเลย์
(อดีตผู้นําพรรคแรงงานและ รมว.ความมั่นคงของอังกฤษ), เดวิด ร็อคกีเฟลเลอร์, เจ้าชายเบิร์นฮาร์ด
(พระสวามีของราชินีจูเลียนา แห่งเนเธอร์แลนด์), โรนัลด์ รัมส์เฟลด์ ฯลฯ

กลุ่ม บิลเดอร์เบิร์ก ประชุมสามัญกันทุกปีอย่างเปิดเผย โดยจะมีสมาชิกเข้าร่วมประชุม 100 ที่นั่ง ประชุมเสร็จ
ก็มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการว่าประชุมอะไรกันไปบ้าง แต่จะไม่พูดถึงวาระลับซ่อนเร้น ที่รู้กันเฉพาะในหมู่สมาชิกเท่านั้น

การถล่มอัฟกานิสถานและอิรัก ความพยายามในการสกัดกั้นจีน ความรุนแรงในบางจังหวัดของบางประเทศ ฯลฯ นโยบายต่างๆ เหล่านี้มีการวางแผนและประสานจากองค์กรลับของโลกแทบทั้งนั้น ฝีมือของคน คนเดียวในระดับประเทศไม่มีทางทำอะไรได้ ต้องเป็นฝีมือของคนหลายคน ที่มีเครือข่ายโยงใยในหลายองค์กรโลกเท่านั้นจึงทำได้.

สมาคมนี้่มีแต่พวกยิวเป็นหลัก อย่างในรูปก็เป็นยิวคือนายมอริส กรีนเบิร์ก อดีต CEO ของ AIG ที่รับเงิน Bail out หลัง Lehman ล้ม ครั้งหนึ่ง AIG เคยเป็นบริษัทประกันใหญ่ที่สุดในโลก ใครทำงานเฟด กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯก็ต้องเคยอยู่ CFR มาทั้งนั้น นายจอร์จ โซรอสก็อยู่ เพระเป็นทั้งยิวและเป็นนักเก็งกำไร นายทักษิณก็รู้จักบุชผู้พ่อที่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของ Carlyle Group ทุนการเงินทรงอิทธิพลของสหรัฐฯที่สนิทกับราชวงศ์อาหรับเป็นอย่างดี และนายอานันท์ ปันยารชุนก็เคยเป็นกรรมการบริษัทนี้ด้วย ดังนั้นนายอานันท์ก็เป็นคนน่าสงสัย และอาจมีเบื้องหลังเป็นคนกลุ่มเดียวกับทักษิณคือพวก CFR


« Last Edit: 18 January 2014, 05:09:10 by LAMBERG » Logged
มาคืน "สยามเมืองเคยยิ้ม" กลับสู่ "สยามเมืองยิ้มยุคก้าวหน้า" ด้วย ยิ้มสยาม กันนะครับ ... Welcome To Smile Siam by Siamese Smile

Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.049 seconds with 16 queries.