Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
19 May 2024, 02:44:47

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,701 Posts in 12,500 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  หมวดหมู่ทั่วไป  |  สาระน่ารู้  |  เรื่องที่ควรรู้เท่าทันระดับโลก  |  สมาคมลับฟรีเมสัน
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: สมาคมลับฟรีเมสัน  (Read 1332 times)
LAMBERG
มายิ้มในใจกันไว้เรื่อยๆ สนุกดีๆ
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 1,475


View Profile
« on: 13 January 2013, 11:38:26 »

สมาคมลับฟรีเมสัน


เริ่มได้รู้จักชื่อ สมาคมลับฟรีเมสัน ก็จากหนังสือ ถอดรหัสลับดาวินชี เป็นสาเหตุทำให้เกิดสนใจขึ้นมา พร้อมกับคำถามมากมายจากเรื่องนี้เช่นกันค่ะ......

************************
เล่าเรื่องย่อ (ขนาดย่อแล้วนะ)

องค์กร ”ฟรีเมสัน” ก่อตั้งโดยชนชาติที่มีประวัติศาสตร์และชะตากรรมอันโหดร้ายมานับพันๆปี ชนชาติยิวจึงต้องหาทางหลุดพ้นจากวัฏจักรนั้นๆ

การคิดค้น ”กรรมวิธีในการเอาตัวรอด” นานาชนิดและพัฒนาต่อๆกันมานั้น ชาวยิวสามารถพัฒนาเครือข่ายสมคบคิดที่มีระบบ มีการเชื่อมประสานโยงใยที่กว้างขวาง รัดกุม สลับซับซ้อน มีรูปแบบที่สามารถปกปิดจุดประสงค์ และเป้าหมายที่แท้จริงได้ อย่างสลับซับซ้อนและแยบยลได้อย่างดียิ่ง และเป็นที่มาและก่อเกิดขององค์กรลับที่เรียกชื่อกันว่า ”ฟรีเมสัน” ( Freemason ) อันได้กลายมาเป็นองค์กรที่มีอิทธิพลกว้างขวางครอบคลุมไปทั่วทั้งยุโรปและทั่วทั้งโลกในเวลาต่อมานั่นเอง

การปรากฏตัวขององค์กร ”ฟรีเมสัน” ในยุโรปนั้น ถูกกล่าวถึงในฐานะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรืออยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวทางการเมือง เศรษฐกิจ การค้า การขับเคลื่อนทัศนคติใหม่ๆ ที่มีลักษณะต่อต้านอำนาจของศาสนจักรคริสเตียนในขณะนั้น เป็นผลลุกลามบ่อเกิดของความเหี้ยมโหด ไร้ความยุติธรรมของพวกพระ ทำให้มีการเรียกขานยุคนั้นว่า ”ยุคมืด” (Dark Age) ฝ่ายศาสนจักรคริสเตียนต้องการรักษาอำนาจ สถานะ และแนวคิดในการชี้นำสังคมเอาไว้ให้ได้ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม มีการจัดตั้ง ”สมาคมลับ” ของชาวยุโรปจำนวนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งสมาคมลับของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์แห่งเมืองเนเปิลในประเทศอิตาลี, สมาคม ”อินวิซิเบิล คอลเลจ” (Invisible College) ของนักวิทยาศาสตร์แห่งกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ, สมาคมศึกษาปรัชญาของนักคิดนักวิทยาศาสตร์ในฝรั่งเศส และเยอรมัน…ฯลฯ และบรรดาองค์กรและสมาคมเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ต้องพยายามสร้างความใกล้ชิด หรือพยายามแสวงหาการปกป้องคุ้มครองจากบรรดากษัตริย์และพ่อค้าที่กำลังมีอำนาจอิทธิพลเพิ่มขึ้นทุกที….

ผู้ที่ถูกระบุว่าเป็นสมาชิกและเกี่ยวพันกับองค์กรเหล่านี้ มีทั้งกษัตริย์ ขุนนาง พ่อค้าอันทรงอิทธิพล นักคิด นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ ที่ถูกแรงกดดันของศาสนจักรกวาดต้อนให้ไหลไปรวมกันจนกลายเป็นปึกแผ่นแน่นหนากันในท้ายที่สุด และบรรดากลุ่มคนเหล่านี้…ล้วนแล้วแต่มีบทบาท มีส่วนกระตุ้น หรือมีส่วนในการวางรากฐานให้เกิดอำนาจทางการเมืองแบบใหม่ ทฤษฏีทางการเมือง-เศรษฐกิจแบบใหม่ ทัศนคติแบบใหม่ ที่มีต่อโลก ต่อวิถีชีวิตของผู้คน ต่อศิลปะและวิทยาการ…ที่แตกต่างไปจากยุคศาสนจักรเรืองอำนาจกันแบบโดยสิ้นเชิง…จนเกิดการเรียกขานยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากแรงผลักดันของกลุ่มคนเหล่านี้ว่า… ยุคแห่ง ”แสงสว่างทางปัญญา” หรือ ”เอ็นไลท์เทนเม้นท์” (enlightenment)…ซึ่งแน่นอนว่า…. ความหมายของคำว่า ”แสงสว่าง” ในที่นี้…ย่อมไม่ได้หมายถึงแสงสว่างที่เคยสาดส่องลงมาจาก ”พระเจ้า” อย่างที่ฝ่ายศาสจักรเคยกล่าวเอาไว้… แต่เป็นแสงสว่างอันก่อเกิดขึ้นมาจากศักยภาพความเป็นมนุษย์ ที่สามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระไปจากอำนาจของคริสตจักรด้วยการเอาชนะผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้ติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าลงได้อย่างราบคาบแล้วนั่นเอง

ในปัจจุบัน สมาคมลับ Free Mason ยังคงดำเนินการอยู่เฉกเช่นเดิม แต่เนื่องจากสมาชิกลดน้อยลงมาก (คนรุ่นใหม่ ความคิดหลักเกณฑ์เปลี่ยนไปแล้ว) ทำให้มีการรับสมาชิกที่เป็นหญิงขึ้นแล้วค่ะ (ดูจากสารคดีเมื่อไม่นานมานี้เอง)

**************
ขอเพิ่มอีกนิดนะค่ะ เรื่องถอดรหัสลับดาวินชี ทำไมมาเกี่ยวกับองค์กร ฟรีเมสัน (ขอเกริ่นหน่อยเดียว .... เรื่องยาวมาก) สาเหตุมาจากรูปภาพที่วาดโดยดาวินชี (ดาวินชีก็เป็นสมาชิกองค์กรลับเช่นกัน..เขาบอกมา) ชื่อภาพคือ "The Last Supper" ที่เมืองมิลาน http://en.wikipedia.org/wiki/Image:Leonardo_da_Vinci_%281452-1519%29_-_The_Last_Supper_%281495-1498%29.jpg
ได้กล่าวว่าบุคคลที่นั่งทางขวามือของพระเยซูคือ Madaline (คือผู้หญิงที่ใกล้ชิดพระเยซู) มิใช่นักบุญหนุ่มโยเซฟ (ไม่แน่ใจชื่ออ๊ะ)อย่างที่เข้าใจกัน และกับสัญญาลักษณ์ในรูปหากมองจากที่ไกลๆจะเห็นอักษร คือ M เป็นเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับสถานภาพของพระเยซู ดูคล้ายกับดาวินชี จะต่อต้านพระเยซู แต่อันที่จริงสิ่งที่ปรากฏในรูปได้แสดงสัญลักษณ์บอกเป็นนัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ใน
ที่มา:
รายละเอียดเพิ่มเติม
1 http://www.onopen.com/2007/01/1466
2 http://www.innnews.co.th/innexct/jan50_v25/p16.php
3 http://my.dek-d.com/Writer/story/view.php?id=378014
4 http://www.guitarthai.com/webboard/question.asp?QID=118028
5 สัญญาลักษณ์ของฟรีเมสัน ที่เราอาจคุ้นตา
http://dic.moohin.com/f/freemason-3173.shtml
2 ปี ผ่านไป

http://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20080301202027AAEpAOi

_____________________________________________________________________________
Freemason เป็นสมาคมลับที่มีอยู่จริง แต่เป้าหมายจะเป็นอะไร สมาชิกมีใครจะไม่เป็นที่เปิดเผยแน่ชัด กิจกรรมของสมาคมนี้ทำอะไรก็ไม่มีใครรู้ เพราะโดยเบื้องหน้า ฟรีเมสันจะดูเหมือนเป็นสมาคมของพวกช่างอิฐ ช่างก่อสร้าง แต่บ้างก็ว่า เป้าหมายจริงๆของฟรีเมสัน คือการทำ New World Order หรือให้พูดง่ายๆ คือมีคนเชื่อกันว่าหลายต่อหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่ไม่ได้เกิดมาโดยความบังเอิญหรือฟ้าลิขิต แต่เกิดจากมีกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งที่มีความฉลาดกว่าคนทั่วๆไป คอยกำหนดความเป็นไปให้แก่โลกใบนี้ ซึ่งคนกลุ่มที่ว่า ก็เชื่อกันว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องอย่างใดอย่างหนึ่งกับฟรีเมสัน โดยที่ที่เป็นแหล่งของฟรีเมสันในปัจจุบัน ก็คืออเมริกา เชื่อกันว่าประธานาธิบดีของสหรัฐหลายคนที่ดังๆ เป็นฟรีเมสัน เช่น จอร์จ วอชิงตัน แฟรงคลิน ดี รูสเวลต์ และก็มีหลายๆคนเชื่อว่า ฟรีเมสัน คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังประเทศอเมริกา กล่าวกันว่า ปัจจุบันสมาคมนี้มีสมาชิกนับล้านๆคนทั่วโลก ซึ่งก็จะเห็นได้ว่า ในธนบัตรของสหรัฐอเมริกา ตลอดจนสิ่งก่อสร้างสำคัญๆของประเทศนี้ จะปรากฏสัญลักษณ์ของฟรีเมสันอยู่

เชื่อกันว่า ฟรีเมสันมีความเป็นมายาวนาน ตั้งแต่สมัยโรมัน โดยเป็นองค์กรของชาวยิว ลักษณะองค์กร ว่ากันว่าเป็นเหมือนเครือข่ายการทำงาน ว่ากันว่าคนที่เป็นสมาชิกองค์กรนี้แล้ว ก็จะได้รับความช่วยเหลือจากสมาชิกคนอื่นๆที่มีตำแหน่งสูงในรัฐบาลของประเทศนั้นๆ หรือในองค์กรต่างๆ ให้ได้รับตำแหน่งที่สำคัญมากขึ้น เพื่อเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงกันไปให้เป็นปึกแผ่น นิติภูมิ นวรัตน์ ถึงกับเคยพูดว่า ประเทศไทยเราน่าจะมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นฟรีเมสัน แล้วจะเจริญ (อันนี้เป็นความเห็นของคุณนิติภูมิ ซึ่งถ้าอยากรู้ว่าทำไมแกถึงคิดอย่างนั้นก็คงต้องไปถามแกเอาเอง)

Freemason เป็นสมาคมลับที่จะแอบจัดการประชุมกันลับๆ การเป็นสมาชิกก็เป็นด้วยการเข้าไปสอบถามกันคนที่เป็นฟรีเมสันโดยตรง และสมาชิกก็จะมีวิธีการในการเลื่อนระดับชั้นให้สูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันก็เห็นว่ามีการเปิดเผยตัวมากขึ้น เช่น เมื่อสักยี่สิบปีที่แล้ว มีนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นคนหนึ่ง ที่ได้ทำพิธีเพื่อเข้าเป็นฟรีเมสันอย่างเปิดเผย

ในสมัยฮิตเลอร์ กลุ่มฟรีเมสันถูกจับฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปด้วยพร้อมๆกับชาวยิว เพราะฮิตเลอร์เกลียดคนกลุ่มนี้ ถ้าใครเคยดูหนังเยอรมัน หรือหนังฝรั่งเศสบางเรื่องอาจจะเห็นว่า คนที่เป็นฟรีเมสันจะถูกทหารนาซีตามล่าตัว

ส่วนคริสตจักรเองก็ไม่ชอบฟรีเมสัน เพราะมีคนมองว่าสมาคมลับนี้เป็นสมาคมของพวกคนยิว มีเป้าหมายเพื่อให้คนยิวครองโลก คนยุโรปเกลียดคนยิวอยู่แล้ว ฟรีเมสันจึงถูกเกลียดไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นในสเปนสมัยนายพลฟรังโก ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคริสต์ที่อนุรักษ์นิยม และค่อนข้างไปในทางคลั่งศาสนา กลุ่มฟรีเมสันก็ถูกกวาดล้างเข้าตารางอยู่บ่อยๆ

ในประเทศคอมมิวนิสต์ ฟรีเมสันก็ถูกกดดันอย่างหนักเช่นเดียวกับศาสนาอื่นๆ

และสำหรับโลกอิสลาม ฟรีเมสันเป็นสิ่งผิดร้ายแรง และผิดกฎหมายในทุกประเทศที่ใช้กฎหมายชาเรียในการปกครอง รวมไปถึงประเทศอิสลามอีกหลายประเทศที่ไม่ได้ใช้กฎหมายชาเรียด้วย โดยในอิรักสมัยการปกครองของซัดดัม ฮุสเซ็น คนที่เป็นฟรีเมสัน จะได้รับโทษถึงประหารชีวิต

นิยายของแดน บราวน์ มีเขียนเกี่ยวกับพวกองค์กรลับเหล่านี้เอาไว้ สนใจก็ลองไปหาอ่านดูได้ แต่สิ่งที่อยู่ในนิยายของแดน บราวน์ จะเป็น conspiracy theory ที่อาจจะไม่จริงก็ได้
ที่มา:
http://www.guitarthai.com/webboard/question.asp?QID=118028
2 ปี ผ่านไป

http://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20080301202027AAEpAOi

______________________________________________________________________________
สมาคมลับ และขบวนการสมคบคิด???
Wed, 14/03/2007 - 17:48 — onopen
ดังที่กล่าวไปแล้วว่า…ประวัติความเป็นมาของชาวยิวนับตั้งแต่ยุคโมเสสเป็นต้นมา… น่าจะถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยเลือดและน้ำตา แทรกอยู่ในความสุขความสำเร็จที่มักจะเกิดขึ้นเพียงแค่ในบางช่วงบางระยะและมักจะเป็นเพียงแค่ช่วงสั้นๆ การกดขี่ บังคับ กระทำการอย่างโหดร้ายทารุณต่อชาวยิวโดยบรรดาชนชาติต่างๆไม่ว่าไล่มาตั้งแต่ ชาวอียิปต์ อัสซีเรีย บาบิโลน เปอร์เซีย กรีก โรมัน ไปจนถึงพวกฝรั่งในยุโรปแทบทุกชาติ ทำให้ชะตากรรมของชาวยิวนั้น เป็นสิ่งที่น่าเวทนา และน่าเห็นอกเห็นใจไม่น้อย…

แต่ในท่ามกลางความน่าเห็นอกเห็นใจเหล่านี้…ปฏิกิริยาโต้ตอบ วิธีการในการดิ้นรนเอาตัวรอด รวมทั้งการกระทำที่ชาวยิวมีต่อชนชาติอื่นๆ แม้นแต่ชนชาติที่อยู่ในฐานะถูกกดขี่ข่มเหงเช่นเดียวกันกับตัวเอง…บางครั้ง-บางคราก็อาจทำให้ความรู้สึกน่าสงสารน่าเห็นใจที่ใครต่อใครเคยมีต่อชาวยิว ลดลงไปอย่างฮวบๆฮาบๆ หรือดีไม่ดีอาจจะเกิดความรู้สึกถึงความน่าหวั่นใจ น่ากลัว น่าสยดสยองขึ้นมาแทนที่…???

ดูเหมือนว่า…ชะตากรรมอันโหดร้ายทารุณไม่ต่างไปจากคำสาปแช่งของพระเจ้า ที่มีต่อชาวยิวในแต่ละรุ่นแต่ละห้วงระยะเวลานั้น จะไม่ได้ทำให้ชาวยิวเกิดการปรับตัวปรับใจ ไปในทิศทางที่พระเจ้าต้องการกันซักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะพระเจ้าในแบบที่ชาวยิวอย่างพระเยซูคริสต์เคยอธิบายขยายความเอาไว้… แต่บรรดาชะตากรรมโหดๆเหล่านี้ กลับเป็นตัวเคี่ยวกรำให้ชาวยิวยิ่งแสดงอาการออกมาในลักษณะผู้ที่ ”ปล้ำสู้กับพระเจ้า” หรือพยายามทำให้พระเจ้าเป็นไปอย่างที่ตัวเองต้องการยิ่งขึ้นเรื่อยๆ คือเป็นพระเจ้าที่จะต้องประทาน อำนาจ ดินแดน หรือผลประโยชน์ต่างๆ ให้กับชาวยิวตามพันธะสัญญาที่พระองค์ได้ให้เอาไว้ตั้งแต่แรก …???

และภายใต้การถูกเคี่ยวกรำโดยชะตากรรมอันน่าขมขื่นที่มีความต่อเนื่องกันมาเป็นพันๆ ปี…ทำให้ ”กรรมวิธีในการเอาตัวรอด” นานาชนิดที่ชาวยิวได้ค้นคิด และพัฒนากันมาเป็นระยะๆ ก็กลายเป็นอะไรที่ทั้ง ”น่าทึ่ง” และ ”น่าหวาดหวั่นสะพรึงกลัว” ไม่น้อยทีเดียว…???

สิ่งหนึ่งที่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ได้ปรากฏให้เห็นอยู่ในตลอดประวัติศาสตร์การดิ้นรนต่อสู้ของชาวยิว จนแทบกลายมาเป็นลักษณะพิเศษของชาวยิวไปแล้วก็คือ ความสามารถในการใช้กลอุบาย เล่ห์เหลี่ยม การสมคบคิด ความพยายามในอันที่จะเข้าถึงแหล่งอำนาจหรือศูนย์กลางอำนาจ เพื่อใช้อำนาจนั้นๆไปปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองหรือเผ่าพันธุ์ตัวเอง….

และลักษณะพิเศษเหล่านี้ ยิ่งนานวันก็ดูจะยิ่งถูกพัฒนาให้กลายเป็นเครือข่ายสมคบคิดที่มีระบบ มีการเชื่อมประสานโยงใยที่กว้างขวาง รัดกุม สลับซับซ้อน มีรูปแบบที่สามารถปกปิดจุดประสงค์และเป้าหมายที่แท้จริงได้อย่างสลับซับซ้อนและแยบยลยิ่งขึ้นทุกที…

นับตั้งแต่ยุคที่ชาวยิวยังคงดิ้นรนอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมัน… ผู้ที่ศึกษาประวัติความเป็นมาของชาวยิวบางราย ซึ่งจะโดยความมีอคติต่อชาวยิวหรือไม่? เพียงใด? ก็แล้วแต่ แต่ก็ได้เคยมีการกล่าวถึงร่องรอยของความพยายามก่อตั้งขบวนการสมคบคิดโดยชาวยิว เพื่อดำเนินการเคลื่อนไหวปกป้องผลประโยชน์ของชาวยิวในลักษณะลับๆ กันมาตั้งแต่ระยะนั้น…หรือตั้งแต่ยุคกษัตริย์ ”เฮโรด” อันเป็นผู้ปกครองชาวยิวในอาณาจักรโรมันช่วงปี ค.ศ. ๓๗-๔๔ นั่นก็คือการระบุถึงการก่อกำเนิดขององค์กรลับของชาวยิวองค์กรหนึ่งในช่วงระยะนั้น ที่เรียกชื่อกันว่า ”ฟรีเมสัน” ( Freemason ) อันได้กลายมาเป็นองค์กรที่มีอิทธิพลกว้างขวางครอบคลุมไปทั่วทั้งยุโรปและทั่วทั้งโลกในเวลาต่อมานั่นเอง…???

ประวัติความเป็นมาขององค์กร ”ฟรีเมสัน” นั้น จะสามารถย้อนหลังกลับไปถึงยุคโรมัน หรือยุคใดๆ ก็ตามแต่ ก็คงไม่อาจหาหลักฐานมาพิสูจน์กันได้ชัดๆ ด้วยลักษณะความเป็นมาขององค์กรที่ ”ปิดลับ” กันมาตั้งแต่แรก แต่โดยการเปิดเผยของผู้ที่เคยเข้าร่วมกับองค์กรดังกล่าวและได้สลัดตัวออกมาแล้ว หรือผู้ที่ยังแสดงตัวว่าเป็นสมาชิกอยู่ในองค์กรแห่งนี้ ล้วนแล้วแต่ยอมรับถึง ”ประวัติความเป็นมาอันเก่าแก่” ของ ”ฟรีเมสัน” ด้วยกันทั้งนั้น…

และคำว่า ”เมสัน” (mason-matio-macon) อันถูกแปลความหมายออกไปในทำนอง “สถาปนิก”, ”ช่างฝีมือ, ”ผู้สร้างสรรค์”, ”นักก่ออิฐ” ฯลฯ อะไรต่างๆ เหล่านี้ ก็ล้วนแล้วแต่สามารถนำไปเชื่อมโยงกับประวัติความเป็นมาอันเก่าแก่ขององค์กรดังกล่าวได้ด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าตั้งแต่ยุคที่ชาวยิวตกเป็นทาสของฟาโรห์อียิปต์ ถูกใช้ให้ทำหน้าที่ก่ออิฐ สกัดหิน สร้างสถาปัตยกรรมอันมหัศจรรย์อย่างปิรามิดกันมาเมื่อเป็นพันๆ ปีที่แล้ว หรือโดยการอธิบายปรัชญา ”เมสัน”ในหมู่มวลสมาชิกขององค์กรที่ว่ากันว่ามีการเท้าความไปถึง ”พระเจ้า” ในฐานะที่ถือได้ว่าเป็นสถาปนิกคนแรกในการสร้างโลก ต่อมาจนถึงบรรพบุรุษมนุษย์รุ่นต่างๆ ที่ได้ถูกกล่าวถึงในตำนานความเชื่อของชาวยิว ไม่ว่า ”โนอาห์” สถาปนิกผู้ได้สร้างเรืออพยพขึ้นมาในระหว่างน้ำท่วมโลก ตลอดไปจนถึงผู้ที่ได้สร้าง ”หอบาเบล”, ”ปิรามิด” และ ” วิหารโซโลมอน” เป็นต้น…

ไม่ว่าประวัติความเป็นมาขององค์กรดังกล่าวจะมีที่มา-ที่ไปอย่างไรก็ตามที การปรากฏตัวขององค์กร ”ฟรีเมสัน” ที่เริ่มขึ้นมาในยุโรปนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่า…มันค่อนข้างสอดคล้องกับบรรยากาศการปะทะหักล้างกันและกัน ระหว่างอำนาจของศาสนจักรคริสเตียนกับอำนาจของกษัตริย์และพ่อค้า ที่กำลังเป็นไปอย่างถึงพริกถึงขิงอย่างพอดิบพอดี…???

ความพยายามของศาสนจักรคริสเตียนในอันที่จะรักษาอำนาจ สถานะ และแนวคิดในการชี้นำสังคมเอาไว้ให้ได้ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมซึ่งกำลังก่อตัวให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นทุกขณะ ไม่ว่าจะในกรณีที่อำนาจของกษัตริย์ในยุโรปเติบโตยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนยากที่ศาสนจักรจะไปควบคุมบังคับได้เช่นเดิม การขยายตัวของการค้า การพาณิชย์ การอุตสาหกรรม ที่ทำให้ทัศนคติของผู้คนใน ”สังคมเมือง” ผิดแผกแตกต่างไปจากผู้คนใน ”สังคมฟิวดัล” อันเป็นผู้ที่เคยยึดมั่นศรัทธาอยู่ในศาสนาคริสต์โดยแทบไม่มีคำถาม รวมไปถึงการไหลบ่าของความรู้ วิทยาการ ปรัชญา วิทยาศาสตร์ที่มักก่อให้เกิดการตั้งข้อสงสัย หรือการเพาะพันธุ์ความเชื่อที่แปลกแยกไปจากความเชื่อดั้งเดิมในศาสนา ซึ่งเริ่มกระจายตัวเข้ามาสู่ภาคใต้ของเสปน ไม่ว่าเมืองคอร์โดบา, ทอเลโด, เซวิลล์ จนกระทั่งแพร่กระจายไปทั่วทั้งยุโรป…ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะมีส่วนเกี่ยวพันกับบทบาทขององค์กรฟรีเมสันที่ปรากฏตัวขึ้นมาในยุโรปในช่วงระยะเดียวกันนั้น หรือไม่? เพียงใด? ก็ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นเพียงข้อกล่าวหา การตั้งข้อสังเกต หรือข้อสงสัยกันไปตามเรื่องตามราว…แต่อย่างไรก็ตามทีภายใต้บรรยากาศของสังคมยุโรปที่เป็นไปเช่นนี้…ก็ทำให้ศาสนจักรต้องดิ้นรน พยายามหาหนทางตอบโต้ กดดัน ขจัดปัดเป่ากระแสความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กันในทุกวิถีทาง…

การตอบโต้ของศาสนจักรต่อความเคลื่อนไหวต่างๆที่อาจเข้ามากัดเซาะบ่อนทำลายอำนาจ หรืออิทธิพลความเชื่อของตัวเองในช่วงระยะนั้น ก็คงต้องเรียกว่า รุนแรงและเหี้ยมเกรียม อำมหิตอยู่ไม่น้อย จนชาวยุโรปถึงกับมีการเรียกขานช่วงระยะเวลาแห่งการเล่นงานฝ่ายตรงข้ามอำนาจของศาสนจักรในระยะนั้นกันว่า ”ยุคมืด” (Dark Age)กันไปเลยทีเดียว การจับคนไปฆ่า ไปเผา ไปทรมานโดยการตัดสินใจของพวกพระ ที่มักอาศัยพื้นฐานของความเชื่อซึ่งอาจจะไร้เหตุไร้ผล หรือกระทั่งไร้ความยุติธรรมอย่างเห็นได้ชัดเจน…ภายใต้สภาพเช่นนี้…ได้ทำให้การดิ้นรนเพื่อหาทางหลุดรอดและหลีกเลี่ยงจากการถูกกดดันหรือถูกเล่นงานโดยศาสนจักร กลายเป็นสิ่งที่มีความสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวในแบบซ่อนเร้น ปิดลับ ที่บรรดาชาวยิวมีความถนัดจัดเจนอย่างเป็นพิเศษมาตั้งแต่แรก และจะด้วยบทบาทของชาวยิวเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเคลื่อนไหวดังกล่าวหรือไม่? เพียงใด? ก็ตาม แต่โดยบรรยากาศที่ครอบงำสังคมยุโรปในช่วงระยะนั้น ก็ได้นำไปสู่การจัดตั้ง ”สมาคมลับ” ของชาวยุโรปจำนวนมากมาย โดยเฉพาะบรรดาผู้ที่ไม่ได้มีอำนาจต่อรองในสังคมมากนักอย่างเช่นบรรดานักคิดและนักวิทยาศาสตร์เป็นต้น… ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งสมาคมลับของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์แห่งเมืองเนเปิลในประเทศอิตาลี สมาคม ”อินวิซิเบิล คอลเลจ” (Invisible College) ของนักวิทยาศาสตร์แห่งกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ สมาคมศึกษาปรัชญาของนักคิดนักวิทยาศาสตร์ในฝรั่งเศส และเยอรมัน…ฯลฯ และบรรดาองค์กรและสมาคมเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ต้องพยายามสร้างความใกล้ชิด หรือพยายามแสวงหาการปกป้องคุ้มครองจากบรรดากษัตริย์และพ่อค้าที่กำลังมีอำนาจอิทธิพลเพิ่มขึ้นทุกที….

การปรากฏตัวขององค์กร ”ฟรีเมสัน” ในยุโรปเป็นครั้งแรกนั้น อันที่จริงได้ถูกพูดถึงมาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. ๑๓๗๕ และภายใต้รูปแบบภายนอกที่ดูเสมือนหนึ่งเป็นเพียงแค่ ”สมาคมช่างฝีมือ” ที่เติบโตขึ้นมาพร้อมๆ กับสถาปัตยกรรมแบบ ”โกธิคส์” ที่กำลังแพร่หลายไปในยุโรปขณะนั้น แต่ในท้ายที่สุดบทบาทขององค์กรดังกล่าวก็มักจะถูกกล่าวถึงในฐานะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด หรืออยู่เบื้องหลังความเคลื่อนไหวทางการเมือง เศรษฐกิจ การค้า และการขับเคลื่อนทัศนคติใหม่ๆ ที่มีลักษณะต่อต้านอำนาจของศาสนจักรคริสเตียนในขณะนั้น…อย่างตรงไป-ตรงมา…???.ในปี ค.ศ. ๑๔๔๔และ๑๔๔๕ คำว่า ”แฟรงค์-เมสัน” (Frank-macon)ได้ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวางในฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. ๑๔๕๙ กฎหมายรัฐบาลอังกฤษก็เริ่มมีการกล่าวถึงสถานะและบทบาทของ ”ฟรี-เมสัน” (Free-mason) เป็นครั้งแรก จนกระทั่งประมาณปี ค.ศ. ๑๗๑๗-๑๗๒๑ บทบาทขององค์กรฟรีเมสันก็ได้ถูกกล่าวถึงไปทั่วทั้งยุโรป…

ผู้ที่ถูกระบุว่าเป็นสมาชิกและเกี่ยวพันกับองค์กรเหล่านี้ มีทั้งกษัตริย์ ขุนนาง พ่อค้าอันทรงอิทธิพล นักคิด นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ ที่ถูกแรงกดดันของศาสนจักรกวาดต้อนให้ไหลไปรวมกันจนกลายเป็นปึกแผ่นแน่นหนากันในท้ายที่สุด และบรรดากลุ่มคนเหล่านี้…ล้วนแล้วแต่มีบทบาท มีส่วนกระตุ้น หรือมีส่วนในการวางรากฐานให้เกิดอำนาจทางการเมืองแบบใหม่ ทฤษฏีทางการเมือง-เศรษฐกิจแบบใหม่ ทัศนคติแบบใหม่ ที่มีต่อโลก ต่อวิถีชีวิตของผู้คน ต่อศิลปะและวิทยาการ…ที่แตกต่างไปจากยุคศาสนจักรเรืองอำนาจกันแบบโดยสิ้นเชิง…จนเกิดการเรียกขานยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากแรงผลักดันของกลุ่มคนเหล่านี้ว่า… ยุคแห่ง ”แสงสว่างทางปัญญา” หรือ ”เอ็นไลท์เทนเม้นท์” (enlightenment)…ซึ่งแน่นอนว่า…. ความหมายของคำว่า ”แสงสว่าง” ในที่นี้…ย่อมไม่ได้หมายถึงแสงสว่างที่เคยสาดส่องลงมาจาก ”พระเจ้า” อย่างที่ฝ่ายศาสจักรเคยกล่าวเอาไว้… แต่เป็นแสงสว่างอันก่อเกิดขึ้นมาจากศักยภาพความเป็นมนุษย์ ที่สามารถปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระไปจากอำนาจของคริสตจักรด้วยการเอาชนะผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้ติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าลงได้อย่างราบคาบแล้วนั่นเอง…..   

http://www.onopen.com/2007/01/1466

Logged
มาคืน "สยามเมืองเคยยิ้ม" กลับสู่ "สยามเมืองยิ้มยุคก้าวหน้า" ด้วย ยิ้มสยาม กันนะครับ ... Welcome To Smile Siam by Siamese Smile

Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.062 seconds with 16 queries.