Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
01 May 2024, 02:08:53

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,614 Posts in 12,444 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  นวนิยายที่น่าอ่านอย่างยิ่ง (Moderators: LAMBERG, moowarn)  |  นวนิยายเรื่อง หนึ่งในร้อย (๒๑-๓๐) - ดอกไม้สด (หม่อมหลวงบุปผา นิมมานเหมินท์)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง หนึ่งในร้อย (๒๑-๓๐) - ดอกไม้สด (หม่อมหลวงบุปผา นิมมานเหมินท์)  (Read 412 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,467


View Profile
« on: 19 May 2022, 20:36:30 »

นวนิยายเรื่อง หนึ่งในร้อย (๒๑-๓๐) - ดอกไม้สด (หม่อมหลวงบุปผา นิมมานเหมินท์)


๒๑

มากหมอมากความ !

คำกล่าวนี้มีความจริงเพียงไร จะเห็นได้จากสภาพการในบ้านสุขนิวาศ ตั้งแต่ ๑๔ นาฬิกาล่วงแล้ว รถของบ้านสุขนิวาศทั้ง ๓ คันเลี้ยวกลับเข้าบ้านในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ละคันผ่านช่องประตูมาได้หวุดหวิดจะสีกรอบประตู หรือมิฉะนั้นก็ตัวรถเองจวนเจียนจะคว่ำ ด้วยวิธีเลี้ยวเต็มแรงและเต็มความเร็ว วี๊ด ! ผ่านถนน อ้อมสนามพรืด ! หยุดตรงมุขปัง ! ผู้ขับขึ้นบันไดมุขไปแล้ว !

ตึ้ก ๆๆๆ แช็บ ๆๆ ๆ เสียงฝีเท้าล้วนแต่แสดงความเร่าร้อนแห่งเจ้าของเท้า ในที่สุดบุรุษหนุ่ม ๓ นาย มาพร้อมกันอยู่ในห้องใหญ่ ความมากหมอมากความจึงเกิดขึ้น

“บ้า ! ไอ้กระถางบ้าใบนี้ทำไมมาตั้งขวางหน้าต่างอยู่นี่” นายสมพงศ์กล่าว โยนหมวกลงบนหลังปีอาโน

นายแสวงผู้กำลังบงการให้คนใช้เลื่อนกระถางปาล์มอยู่ทางมุมห้อง​หันมาฟังโดยเร็ว แล้วตอบและถามว่า

“ผมเป็นคนสั่งให้ตั้งเอง ทำไมมันเป็นยังไงไป?”

“มันบ้าน่ะซี แขกเป็นกองสองกอง จะเต้นรำกัน เราต้องการอากาศให้พอกับคน กลับเอาต้นไม้ตั้งขวางช่องลมเสียอีก”

“อุบ๊ะ ! ก็สีตรงใต้กรอบหน้าต่างมันกะเทาะ เห็นรอยออกเบ้อเร่อ ไม่หาอะไรปิดยังไง”

สมพงศ์เดินเข้าไปก้มดูตรงที่นั้นแล้วว่า

“ไม่เห็นน่าเกลียดอะไรนักหนา ตึกมันเก่ามันก็ชำรุดบ้างซี มันไม่พอกับการที่ต้องเอากระถางเบ้อเร่อมาขวางหน้าต่างไว้”

แสวงนับช่องหน้าต่างและช่องประตูห้องนั้น

“ฝาห้องสูง ๘ วา” เขาเอ่ยขึ้น “กว้าง ๘ ศอก ยาว ๑๐ ศอก ๖ หน้าต่าง ๕ ประตูคนสักกี่ร้อยถึงกับไม่มีอากาศพอสำหรับหายใจ ? ยังงั้นไอ้ต้นคนอื่น ๆ ก็โยนมันออกไปให้หมดด้วยซี ธรรมชาติของต้นไม้เวลากลางคืนมันแย่งลมหายใจมนุษย์”

“แกพูดอะไรมันเกินเหตุไปเสมอ ห้องนี้จะใช้เป็นห้องเต้นรำ ไม่มีต้นไม้มันจะสวยได้ที่ไหน”

“ก็เพราะจะให้มันสวย ถึงต้องเอาต้นไม้ตั้งตรงนั้นด้วย”

“ตั้งตรงนั้นแหละมันทำให้ไม่สวย ดูทีหรือ ที่อื่นตั้งไว้เป็นคู่ ๆ ถึงที่ตรงนั้นจะเกิดตั้งเดี่ยว มันขวางโลกเหลือทน ดูไม่มีทั้งศิลปะและอนามัย” ก้มมองดูรอยกะเทาะอีกครั้งหนึ่ง “ถ้าอยากจะปิดรอยนี้ หาอะไรที่มันเตี้ย ๆ ไม่เตะตาก็พอจะทนได้หน่อย เก้าอี้นวมคู่ไปไหนเสียล่ะ?”

“ผมให้เขายกไปไว้ที่ห้องสัปเปอร์” จำลองตอบ เขากำลังยืนแหงนหน้ามองดูคนใช้เช็ดโคมระย้าห้อยจากเพดาน

นายแสวงหันขวับมาทางน้องชายทันที แล้วพูดว่า

“นายงานมากเหลือเกิน ไหนว่าไม่มีใครเกี่ยวข้องกับห้องสัปเปอร์​ยังไง เราถึงได้รับจะทำเอง”

ยังไม่ทันขาดคำ สมพงศ์ก็พูดซ้อนขึ้น แต่น้ำเสียงเรียบกว่านายแสวง

“ไหนตกลงกันว่าจะนั่งกินในนั้น เอาเก้าอี้เข้าไปตั้งทำไม?”

จำลองเตรียมพร้อมที่จะตอบนายแสวง แต่ครั้นพี่ใหญ่ไม่ให้เวลาเขาจึงย้อนเอาว่า

“ก็ห้องนี้ตกลงกันไว้ว่าจะไม่ตั้งเก้าอึ้ ทำไมเกิดจะเอาเก้าอื้นวมเข้ามาขวางล่ะ?”

“ก็คนหนึ่งเขาจะปิดรอยกะเทาะ เขาอายที่จะแสดงว่าตึกของเราไม่ได้สร้างเมื่อวานซืน”

“แล้วจะปิดโดยเอาเก้าอี้เข้ามาขวาง ไว้ตัวเดียวน่ะเห็นจะเป็นศิลปอย่างสูงแล้วซิ” แสวงพูดสอดขึ้นในทันใด

“เออ ! ไม่มีใครเขาโง่เหมือนแกหรอก ที่มีเป็นกองทำไมถึงจะต้องตั้งแต่ตัวเดียว แต่ถ้าแกเห็นมันไม่เป็นศิลปฉันก็ยอมให้ แต่ก็ต้องปล่อยให้เห็นรอยกะเทาะนั้นด้วย” พูดแล้วสมพงศ์หันมาทางคนใช้คนหนึ่ง “เนียม ยกไอ้ปาล์มบ้านี้ไปให้พ้น”

แสวงหมุนตัวปราดออกมาถึงกลางห้อง ทำให้เนียนผู้กำลังก้าวหน้าชะงักเตรียมจะถอยหลัง ผู้เป็นนายถามว่า

“เอ็งจะเอาของข้าไปไว้ที่ไหน?”

“ยกไป” สมพงศ์สั่งเสียงหนัก “นั่น ที่ตรงฝาห้องระหว่างประตูมองเห็นฝาโล่ง ๆ ดูมันล่อนจ้อนเต็มทีเอาไอ้นี่แหละไปตั้งไว้ จะสวยขึ้นอีกเยอะ”

“นายเนียม” จำลองเอ่ยขึ้น ตรงนั้นฉันจะตั้งขวดลายครามใหญ่ ปักดอกพุทธรักษา”

“จะได้ให้มันมายืนเซ่ออยู่โดด ๆ ยังงั้นหรือ ไหนตกลงกันว่าจะใช้​แต่ใบไม้แต่งห้องนี้ ทำไมถึงเกิดจะเอาดอกไม้มาใส่”

“ถ้าไม่ใส่จะเอามันตั้งโด่ไว้ยังไง? แล้วถ้าไม่ตั้งจะเอามันไปซุกไว้ที่ไหน ของสวยที่สุดดีที่สุดมีอยู่ในบ้าน”

“ทำไมไม่เอาไปตั้งไว้ในห้องรับแขก จะได้เข้าชุดกันกับขวดปักดอกไม้อื่น ๆ เอ้า ยกกระถางปาล์มไปไว้ที่โน่น”

คราวนี้นายเนียมยังไม่ทันจะได้ขยับตัว แสวงปราดไปจับกระถางปาล์มที่อยู่ตรงช่องหน้าต่างแล้วตั้งกระทู้ขึ้นเช่นเดียวกับคราวก่อน

“เอ็งจะเอาอะไรมาตั้งปิดรอยกะเทาะ?”

เหล่าคนใช้ที่กำลังทำงานรามือลงพร้อมกัน ที่แบกขนก็หยุดแบกหยุดขน ที่ขัดพื้นห้องก็หยุดขัด ที่นั่งอยู่บนม้าสูงกำลังเช็ดโคมก็หยุดเช็ด ที่ยึดขาม้าสูงก็ปล่อยมือจากขาม้า จำลองจึงร้องว่า

“เฮ้ยเจ้าแปลก มัวเหม่อเดี๋ยวเจ้าน้อยคอหักตาย”

แสวงกับสมพงศ์หันหน้าไปพร้อมกัน และเวลาเพียงเล็กน้อยนั้นที่เขาได้ใช้เวลามองดูคนใช้ช่วยให้สมพงศ์ระงับความมุทะลุไว้ทัน ยืนตัวขึ้นตรง แล้วออกคำสั่งช้า ๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ยกปาล์มหมากค่อมต้นนี้ไปไว้ที่ฝาโน่น เอาดาวทองมาตั้งปิดรอยกะเทาะ แล้วเอาบิสมาร์คกับปาล์มเล็ก ๆ ไปตั้งตามช่องหน้าต่างทุกช่อง มันจะได้เป็นระเบียบ”

“บิสมาร์คมีกี่ต้น?” แสวงถามเปรย ๆ

“บิสมาร์คมี ๔ ต้น?” สมพงศ์บอกคนใช้ “ไปยกเอามาให้หมด”

“บิสมาร์คอยู่ในห้องสัปเปอร์แล้วทั้ง ๔ ต้น ได้ ๔ มุมพอดี” แสวงกล่าวเลียนแบบเสียงพี่ชาย

“เออ !” สมพงศ์ถอนใจ “อะไร ๆ ก็อยู่ในห้องสัปเปอร์เสียหมด” กะอีแค่ห้องจะเข้าไปแบ่งของกินประเดี๋ยวเดียว ไม่รู้จะแต่งกันทำไมหนักนมหนักหนา”

​จำลองรับโป๊ะไฟฟ้าจากมือนายแปลก กำลังพิศดูอย่างละเอียดลออ เขาขัดขึ้นว่า

“ขอโทษ ผมล้างมือ ไม่ยุ่งด้วยอีกแล้ว เดิมทีไม่รู้ว่ามีเจ้าของ”

สมพงศ์พูดสืบไป

“อันที่จริงบิสมาร์คต้นยังเล็กนัก ไม่เหมาะกับส่วนของห้อง ถ้าอยากจะแต่งควรจะใช้ไม้ที่โตกว่านั้น” หันไปมองรอบตัว “อ้าว ! ดู ! ไอ้ปาล์มเจ๊กทำไมถึงขึ้นแท่นอยู่นั่น ตรงนั้นเราจะทำซุ้มไม้สำหรับหมู่นักดนตรีนั่งควรจะใช้ปาล์มที่ใบสลวยถึงจะงาม ยกไอ้ปาล์มเจ็กไปแทนบิสมาร์คที่ห้องสัปเปอร์”

แสวงหัวเราะขึ้นด้วยเสียงอันดังพลางพูดว่า

“ตกลงไอ้คนที่ทำงานนบ้านนี้บัดซบทุกคน มีคนฉลาดอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นเอง”

พูดแล้วเขาลงส้นปัง ๆ ไปยังประตู พอพบกับอนงค์ที่ตรงนั้น

“อุแหม !” หญิงสาวอุทานเสียงใส “ครบองค์สามเทียวนะคะ บอลรูมของเรายังไงเสียก็คงหรูแฟ่”

“โอ๊ คงจะแฟ่จริงจ้ะ” จำลองตอบแกมหัวเราะ “ถ้าไม่มีการชกปากกันขึ้นเสียก่อน”

อนงค์ตรวจดูสีหน้าผู้ที่อยู่ในห้องนั้นทั้งหมดด้วยการดูแลเพียงเว็บเดียว ก็คาดการได้ถนัด ดังนั้นหล่อนจึงจับมือพี่ชายคนที่ ๒ ไว้พลางพูดด้วยน้ำเสียงแจ่มใสร่าเริง

“มากคน มากความก็มากเรื่อง เสียเวลาเปล่า ให้อนงค์แบ่งหน้าที่เถอะนะคะ” เว้นระยะเล็กน้อยเมื่อไม่มีเสียงคัดค้านจึงพูดต่อไป “พี่สมพงศ์ชอบการเต้นรำเป็นชีวิต ให้เป็นเจ้าหน้าที่จัดห้องนี้ พี่จำลองเป็นช่างชอบงานจุกจิก ไปจัดห้องรับแขก พี่แสวงรับกับอนงค์ไว้ว่าจะดูแลห้องสัปเปอร์ เพราะฉะนั้นต้องดูตลอดจนถึงอาหาร และถ้วยเหล้าตลอดเครื่องดื่มด้วย”

​สมพงศ์แสดงกิริยารับคำสั่งนั้น โดยอาการก้มศีรษะคำนับเป็นเชิงเล่น จำลองยิ้ม หยิบเสื้อชั้นนอกที่ตนแขวนไว้กับหน้าต่างขึ้นพาดบ่า แสวงก็เตรียมตัวจะออกจากห้อง แต่พร้อมกันนั้นเขาพูดว่า

“ไอ้พี่แสวงมันเป็นคนขี้เมา ถูกแล้วมันต้องให้อยู่แผนกเหล้า”

อนงค์กอดแขนเขาไว้ทันที ยิ้มอย่างหวานและพูดเสียงหวานเท่ากับลักษณะยิ้ม “อย่าหาความน้องหญิงคนเดียวของพี่เลยค่ะ อนงค์ต้องการครูจริง ๆ ถ้าไม่มีครูอนงค์เลือกถ้วยเหล้าไม่ถูก มาเถอะค่ะงานอื่น ๆ อนงค์จัดเสร็จหมดแล้ว ยังขาดแต่งานนี้เพราะต้องคอยอาจารย์”

พูดแล้วหล่อนรั้งแขนพี่ให้ตามหล่อนมา แต่พอจะออกประตูหล่อนก็หยุดชะงัก หันไปดูทางหน้าตึกเพราะมีรถยนต์แล่นมาหยุดที่นั่นคันหนึ่ง

มองเห็นผู้ที่มาถึงใหม่ อนงค์จึงปล่อยแขนแสวงวิ่งไปรับพี่ชายคนที่ ๔ พร้อมกับร้องว่า

“ทำไมหายไปนานนักล่ะคะ เจ๊กเย็บเสื้อไม่แล้วหรือ?”

“ฮี่ ๆๆ” ประสิทธิ์ครางเรื่อยตั้งแต่ลงจากรถ “พี่มัวเถียงกับเจ๊ก” แล้วเขาส่งถุงกระดาษให้น้อง

หญิงสาวเปิดปากถุงอย่างเร่งร้อน แต่พอเห็นวัตถุภายในนั้นสีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนไป หยิบวัตถุนั้นคลี่ดูเพื่อให้แน่ มองดูถุงซ้ำ ในที่สุดก็ร้องว่า

“เอ๊ะ นี่ไม่ใช่เสื้อของอนงค์นี่ !”

“ม....ไม่ใช่ ฮี่ ๆๆๆ พี่ซื้อมาให้ กลัวจะไม่มีใส่ ฮี่ ฮี่ เจ๊กมันบอกว่าอนงค์ ม....ไม่....ไม่ได้ไป ฮี่ ฮี่ จ้างมัน”

“ไฮ้ ! อะไรไม่ได้ไปจ้าง ! ดูซี เจ้าเจ็กทำเหลวแล้วลืมเสียได้นี่ ตาย ! นี่จะเอาเสื้อที่ไหนใส่ล่ะทีนี้”

พี่ที่๑ ที่ ๒ ที่๓ เข้ามาห้อมล้อมน้องหญิงเดาเหตุความเหลวแห่งช่างตัดเสื้อไปต่าง ๆ นานา พี่ที่ ๔ ฮี่ หลายครั้ง พลางจับเสื้อที่ตนซื้อมาแล้วในที่สุดจึงพูดได้ความว่า

“ใส่ตัวนี้ก็แล้วกัน สวยดีด้วย”

อนงค์ยิ้มเพื่อขอบคุณความเอื้อเฟื้อของเขา แต่สีหน้าของหล่อนนั้นแสดงความกระวนกระวาย คลี่ออกดูอย่างสมเพช ในที่สุดก็พูดว่า

“พิโธ่เอ๊ยพี่ชาย นี่มันเสื้อสำหรับใส่ไปซื้อของเวลากลางวันแท้ ๆ อุตส่าห์ซื้อมาได้”

“เจ๊กร้านไหนนะมันถึงได้บ้ายังงี้” สมพงศ์บ่น

“ชาตินี้เอาไฟเผาเสียละดีละ” แสวงเสริม

“เจ๊กร้าน ถ-ถ-ถนนสี่พระยา ฮี่ !”

อนงค์สะดุ้ง ถามขึ้นทันใด

“ร้านสี่พระยาหรือคะ? พี่ประสิทธิ์ไปรับเสื้อที่อนงค์ที่ร้านนั้น?”

ประสิทธิ์พยักหน้าหลายครั้งติด ๆ กัน น้องสาวของเขาก็ร้อง “พิโธ่ !” เสียงแหลม โมโหด้วย นึกขันด้วยอดหัวเราะไว้ไม่ได้ หล่อนพูดต่อไปว่า

“ทำไมถึงไปเอาที่ร้านนั้นล่ะ อนงค์บอกให้ไปที่ร้านถนนสุริวงศ์ต่างหากคะ ร้านที่เราเคยไปตัดด้วยกันน่ะค่ะ”

“ชะ ๆ” จำลองกล่าวส่ายหน้าอย่างเบื่อหน่าย “จะทำเขาเสียฤกษ์แล้ว พิโธ่ ! กะอีถนนก็จำไม่ได้ แล้วเขาก็บอกแล้วว่าร้านที่เคยไปกับเขา”

“ไอ้คำหลังน่ะไม่มีน้ำหนัก” สมพงศ์ขัด “อนงค์ไปตัดเสื้อรู้จักกี่ ๑๐ ร้าน ใครจะไปนั่งจำ”

“ก็ชื่อถนนว่ายังไง?” จำลองถาม

“มันผิดซอยไปนี่นา กลับไปใหม่ไป๊ เร็ว ๆ เข้าสุริวงศ์ สุริวงศ์ ท่องไปให้ดี” พูดแล้วสมพงศ์ผลักหลังน้องเบา ๆ

ประสิทธิไปขึ้นรถ จำลองไปห้องรับแขก แสวงกับอนงค์ไปยังห้องที่เก็บเครื่องใช้อันมีค่า เช่นภาชนะอย่างดี และเครื่องแก้วเจียระไน

​พี่น้อง ๒ คนช่วยกันทำงานอยู่พักใหญ่ แล้วอนงค์ละพี่ชายไว้ตามลำพัง ด้วยงานของแม่บ้านบังคับหล่อนมิให้นั่งอยู่ที่เดียวได้ นั้นนิดนี่หน่อยล้วนแต่ต้องการความถี่ถ้วนของคุณผู้หญิง นอกจากนี้แล้ว แม้สมพงศ์กับจำลองผู้มีอำนาจเด็ดขาดในอันจะจัดงานตามอำเภอใจ ก็ยังไม่เว้นเสียทีเดียวซึ่งการเรียกร้องขอพบน้องสาว เพื่อประโยชน์ในการฟังความเห็นเล็ก ๆ น้อย ๆ

ในระหว่างเวลานั้นประสิทธิ์กลับจากร้านตัดเสื้อโดยไม่ได้สิ่งใดมา แต่เขาบอกแก่น้องว่านายช่างนัดให้เขาไปที่ร้านใหม่เวลา ๑๗ นาฬิกา

อนงค์เกิดรู้สึกใจไม่ดี แต่ไม่อยากจะบ่นให้พี่ชายคนหนึ่งคนใดฟัง ด้วยกลัวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นหล่อนจึงไม่ออกปากว่ากระไร บอกให้ประสิทธิ์ไปช่วยงานสมพงศ์ทำ แล้วตัวหล่อนเองไปยังห้องท้ายตึก

ในที่นั้น คุณแม้น คุณเมี้ยน และช้อยพร้อมด้วยหญิงอีกหลายนางทำอาหารว่างอยู่ด้วยกัน พอเห็นอนงค์คุณแม้นก็พูดขึ้นว่า

“หนูจานสำหรับใส่เครื่องว่างยังไงยังไม่ให้เขาขนมา จะได้ล้างเช็ดเสียให้เสร็จไป”

อนงค์นั่งลงข้างตัวช้อย ผู้กำลังล้างใบผักกาดหอมกล่าวตอบผู้เป็นอา

“ให้เขาล้างอยู่ทางห้องโน้นแล้วค่ะ แล้วให้เขาพักไว้ในห้องสัปเปอร์ก่อน เวลาจะจัดถึงจะยกมาจะได้ไม่เกะกะห้องนี้”

“อ้อ ยังงั้นก็ดีเหมือนกัน ห้องนี้ออกจะคับแคบเต็มทีแล้วด้วย”

หญิงสาวมองดูช้อยลูบคลำอยู่กับผัก แล้วบ่นขึ้น

“แหม อนงค์ชักกลุ้มใจนิด ๆ แล้ว เจ๊กเย็บเสื้อไม่เสร็จ”

ช้อยเงยหน้าขึ้นมองดูพูดพลางถาม

“เสื้อที่จะใส่คืนวันนี้น่ะหรือ?”

“ค่ะ เขานัดให้ไปรับกลางวัน พี่ประสิทธิ์ไปเขายังเย็บไม่แล้ว ๕ ​โมงถึงจะไปรับได้ กลุ้มใจจังเผื่อมันไม่แล้วอีกจะทำยังไง”

“เสื้อตัวอื่นไม่มีอีกแล้วหรือ?” คุณแม้นถาม

“ไม่มี” คุณเมี้ยนตอบแทน “แม่อนงค์จะไปไหนเคยมีเสื้อใส่สักทีเมื่อไร !” ผ่

“หนักมือจริง ๆ นะ” คุณแม้นว่า เสื้อออกเต๊มเต็มตู้ ยังงั้นจะไปไหนทีก็เห็นแต่บ่นไม่มีเสื้อใส่ต้องตัดใหม่ทุกที ช่างเกิดมาเป็นลูกเศรษฐีแท้ๆ”

หญิงสาวหัวเราะเสียงใส “คราวนี้ความเป็นเศรษฐีช่วยอะไรไม่ได้” หล่อนว่า “มีเงินไปจ้างเขาตัด เขาไม่ยักตัดให้แล้ว ท่าก็จะต้องใส่เสื้อเก่า ทีนี้ก็ไม่รู้ว่าจะใส่ตัวไหน”

“ไปเลือกเสียซีเธอ” ช้อยแนะนำ “เลือกเตรียมไว้สักชุด ถ้าได้เสื้อมาใหม่ก็ดีไป ถ้าไม่ได้จะได้หยิบฉวยทัน”

อนงค์นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นช้า ๆ

“มีสีแดงอยู่ตัวหนึ่ง ใส่ไปดินเน่อร์วันแต่งงานผสาน แล้วไม่ได้ใส่ไปไหนอีก อันที่จริงมันก็สวยดี แต่จะใส่คืนนี้กลัวผสานเขาจะจำได้”

ช้อยยิ้ม ความระแวงชนิดเดียวกันนี้เคยมีแก่ตัวช้อยเองไม่น้อยครั้งในสมัยที่หล่อนยังสาว แต่ช้อยไม่เคยอยู่ในฐานะประสงค์ได้ดังใจเช่นอนงค์ จึงถึงหากจะระแวงก็แก้ไขไม่ได้ทุกที อย่างไรก็ตาม ช้อยเข้าใจอนงค์ดีอยู่จึงไม่รู้สึกอะไรมากไปกว่านึกขำ

การรำพันเรื่องเครื่องแต่งตัวยังไม่ถึงที่สุด เมื่อคนใช้นำห่อของสองห่อมาให้อนงค์และบอกว่า

“คุณสมพงศ์บอกว่า คุณพระอรรถคดี ฯ เอามาให้คุณช้อย”

“คุณพระมาเองหรือ?” อนงค์ถาม เตรียมพร้อมที่จะลุกขึ้น นายคนใช้เห็นดังนั้นจึงบอกเลยไปว่า

“คุณพระมาเองครับ ท่านกลับไปแล้ว”

​“พิโธ่ !” หญิงสาวผู้เป็นนายอุทาน “นึกจะไปเชิญเข้ามาที่นี่เทียว” มองดูห่อของพลางถาม “พี่ช้อยมือเปียก อนงค์แก้ให้เอาไหมคะ”

“ห่อใหญ่ไม่ต้องแก้หรอกค่ะ” ช้อยตอบ ห่อเครื่องแต่งตัวของพี่น่ะ แก้แต่ห่อเล็กเถอะ พี่เข้าใจว่าเป็นของเธอ พี่ใหญ่ว่าจะเอามาให้เธอพร้อมกับที่มาส่งพี่เมื่อเช้านี้ แต่เห็นจะลืมตามเคยถึงเพิ่งเอามา”

“ดีเสียอีกไม่ลืมไว้จนถึงวันพรุ่งนี้” คุณเมี้ยนกล่าวและยิ้มอย่างเห็นขัน

อนงค์ชักบัตรนามพระอรรถคดีวิชัย ที่เสียบอยู่บนหลังห่อนั้นออกก่อน ออกเสียงอ่านตัวอักษรที่เขียนด้วยหมึกมีข้อความสั้น ๆ ว่า “สำหรับคุณอนงค์” แก้เชือกแก้กระดาษที่ห่อ กดสปริงที่ฝาหีบหนังเทียมให้เปิดขึ้นเห็นสีทาปาก ๒ แท่งบรรจุปลอกทอง ๒ ปลอก เรียงแถวอยู่ในหีบนั้น หล่อนก็ร้องขึ้นว่า

“ต๊ายตาย ดู๊ ดู คุณพระอรรถ ฯ เอาลิบสติ๊กสีต่าง ๆ มาให้อนงค์ตั้งครึ่งโหล”

ช้อยจ้องดูวัตถุนั้นอย่างเอาใจใส่ ด้วยหล่อนเองก็ยังมิได้เห็นมาก่อน คุณเมี้ยนและคุณแม้นหัวเราะขึ้นพร้อมกัน คุณหนึ่งพูดว่า

“แกเห็นสีทาปากเรามันจัดนักซี”

“นี่เห็นไหม” อีกคุณหนึ่งว่า “คนเราทำอะไรจุ้นจ้าน มักทำให้คนอื่นเขานึกยังไง ๆ ในใจ คนอย่างพ่อใหญ่แสนที่จะไม่กระนั้นกระนี้ ยังส่งเจ้านั่นมาเป็นของขวัญ”

ฟังคำคุณทั้งสองแล้ว สีหน้าช้อยแสดงความตกใจรีบค้านโดยเร็ว

“มิได้ค่ะ พี่ใหญ่ไม่ได้นึกอะไรเลยนะคะ เธอตั้งใจอยู่อย่างเดียวแต่หาของที่เหมาะสำหรับผู้หญิงใช้ เผอิญเธอไปพบเจ้าสีนั่นมันแปลกตาและเข้าทีเธอก็เลยซื้อมา” และเพื่อจะสนับสนุนคำพูดให้มีน้ำหนักขึ้นอีก ช้อยจึงเล่าความที่วิชัยเที่ยวไปตามร้านหลายร้าน จนในที่สุดได้พบของต้องใจในร้านดัดผมสตรีแห่งหนึ่ง

​สตรีผู้มีอาวุโสทั้ง ๒ ท่านไม่สงสัยในคำบรรยายของช้อย แต่ท่านทั้ง ๒ ก็มิได้แก้ไขซึ่งคำที่ท่านกล่าวแล้ว อันแสดงว่าท่าน ถือการกระทำของวิชัยว่ามีความหมายไปในทางใด ส่วนอนงค์ หล่อนนึ่งขรึมไปครู่หนึ่งภายหลังจึงถามช้อยว่า

“คุณพระแอนตี้ผู้หญิงที่ใช้เครื่องสำอางแต่งหน้านักหรือคะ”

“อุ๊ยตาย !” ช้อยร้องขึ้นทันที “พี่ใหญ่จะรู้จักแอนตี้อะไรกับใคร พี่บอกเธอกี่หนแล้วว่าพี่ใหญ่เห็นคนในโลกดีเท่ากันหมด เชื่อเถอะน่า เธอเอามาให้โดยใจซื่อและหวังดีแท้ ๆ”

อนงค์ไม่ได้ว่าเธอให้โดยคดนี่คะ” หญิงสาวตอบและหัวเราะมีอาการฝืนเล็กน้อย “แต่คุณอาพูดท่านขึ้นก็เลยนึกอยากรู้ว่าคุณพระอรรถคดีฯ มีความเห็นในการแต่งตัวของผู้หญิงเป็นอย่างไร”

ฉันเชื่อในข้อที่พ่อใหญ่ไม่รู้จักแอนตี้ใคร เพราะฉันเห็นนิสัยแกไม่มีโรคใจแคบเกาะอยู่ด้วย” คุณเมี้ยนพูดขึ้นช้า ๆ “แต่คนเราเกิดมาก็ต้องชินกับสิ่งแวดล้อม ถ้าเราเชื่อว่าสิ่งที่เราชินไม่ผิดธรรมดาเราก็ไม่แก้ความเขิน ภายหลังเจ้าสิ่งนั้น ๆ จึงจับนิสัยเรากลายเป็นความนิยมขึ้นทีเดียว คนรุ่นพ่อใหญ่แกเกิดมาก็เห็นแต่ผู้หญิงที่พ่อแม่อบรมให้เรียบร้อย จะแต่งเนื้อแต่งตัวก็สุภาพ ไม่จุ้นจ้านฉูดฉาดบาดตา เมื่อแกเห็นผู้หญิงสมัยเดี๋ยวนี้แกจะชอบได้ลงคอหรือ ที่แกไม่ติฉินนินทานั้นเป็นเพราะแกเป็นคนใจกว้างต่างหาก แต่ว่าขอให้เชื่ออาเถอะ แต่งตัวอย่างหนูยังไงเสีย พระอรรถคดี ฯ ก็ต้องสะดุ้ง”

นางสาวอนงค์ฟังแล้วไม่ปริปากโต้ตอบ แต่ภายในใจของหล่อนนั้นหล่อนกำลังสัญญาแก่ตัวเองว่า ค่ำวันนี้ถึงอย่างไรจักทำให้พี่ชายของช้อยแสดงความเห็นเรื่องการแต่งกายของสตรีให้จงได้


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,467


View Profile
« Reply #1 on: 19 May 2022, 20:39:14 »


๒๒

​เสียงดนตรีในทำนองเพลงวอลซ์อย่างช้ากังวานขึ้น เปิดฉากแห่งการเต้นรำ สุภาพบุรุษในเครื่องราตรีแบบตะวันตก โค้งกายให้แก่สุภาพสตรีในเครื่องแต่งกายแบบเดียวกัน ไม่ช้าห้องใหญ่ที่ครึ้มด้วยสีเขียวแห่งใบไม้และอร่ามด้วยสีนวลแห่งแสงไฟก็สะพรั่งไปด้วยหญิงชายที่ตระกองกอดกันก้าวเท้าเดินร่ายอยู่เป็นคู่ ๆ

แสงไฟจางหายไปเป็นลำดับ พร้อมกับที่แสงไฟฉายพุ่งปราดไปยังหมู่นักเต้นรำ กระทบแพรต่างสี แสงที่กระท้อนก็แปรไปตามสีแพรเกิดประกายอ่อน ๆ วูบไปวูบมา สลับกับเงาดำที่ทอดยาวไปตามพื้นเป็นทัศนภาพอันพึงพิศวง

ห้องเต้นรำนี้มีด้านหน้าเปิดออกทางมุขหน้าตึก ด้านข้างตะวันตกและด้านหลังเปิดออกสู่เฉลียง ส่วนต้านตะวันตกติดต่อกับห้องซึ่งจัดไว้เป็นห้องนั่ง ประดับประดาด้วยดอกไม้ใบไม้ต่างพรรณ ตั้งเก้าอี้หมู่เป็นหย่อม ๆ ในระยะพอสมควร และตั้งโต๊ะซึ่งมีผ้าปูล้วนปักลวดลายเก๋ ๆ ​แปลก ๆ กัน

ถ้าจะนับจำนวนคนทั้งหมดที่อยู่ในสถานนี้ จะนับได้ไม่ต่ำกว่า ๕๐ คน ถึงกระนั้นแขกที่ได้รับเชิญยังมาไม่พร้อม ช้า ๆ นาน ๆ ก็มีรถยนต์แล่นผ่านแสงไฟกลางบ้านมาจอดที่หน้าตึก แล้วจะได้เห็นบุรุษหนุ่มเปิดประตูลงมาก่อน สตรีสาวก้าวตามลงมาทีหลัง สายตาทอดตรงไปที่หมู่คนส่วนมือยังแตะต้องตามร่างกาย จัดทรงผมและเสื้อผ้า ครั้นแล้วคู่เหล่านั้นก็ถูกกลืนหายเข้าอยู่ในหมู่

บุรุษคนหนึ่งมาถึงสถานที่นี้ ในลักษณาการที่ผิดกับคนอื่น กล่าวคือเดินมาเดี่ยว ท่ามกลางแสงไฟในอิริยาบถที่ปราศจากความกระตือรือร้นพุ่งสายตาตรงไปยังหมู่คนที่ขวักไขว่อยู่เบื้องหน้า ริมฝีปากเผยอยิ้มอย่างนึกขำ แล้วก้าวขึ้นบันไดหน้ามุขอย่างแช่มช้า

เสียงหนึ่งดังขึ้นมีกังวานแจ่มใส ทำให้บุรุษนั้นเงยหน้ามองไกลขึ้นไปอีก จึงพบเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องเต้นรำ หล่อนสวมเสื้อแพรต่วนดำ มีกระโปรงเบื้องหลังระเท้า ดอกกุหลาบสีแดงผูกเป็นช่อระย้าห้อยจากไหล่ลงมาถึงทรวงถึงอก ดวงหน้าของหล่อนนั้นนวลพริ้งมียิ้มอันสวยสดประดับริมฝีปาก หล่อนกำลังพูดว่า

“แหม คุณพระ อนงค์นึกว่าลืมคืนนี้เสียแล้วอีก ทำไมถึงล่านักล่ะคะ?”

“ล่าหรือ?” ผู้มีบรรดาศักดิ์เป็นคุณพระถามอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดีกว่านั้น สายตาของเขาเลื่อนลงตามส่วนแห่งร่างกายที่อยู่ตรงหน้า “แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นคนสุดท้ายทีเดียวไม่ใช่รึ?”

“เห็นจะไม่ใช่ค่ะ” หญิงสาวตอบ เข้ามาใกล้เขาอีกเล็กน้อย “อ้อจริงซี ชัดก็ยังไม่มา”

“ชัดอยู่เวร คุณทราบแล้วไม่ใช่หรือ แต่ยังไงเขาจะพยายามมาให้ได้”

“โธ่ ! ตาย ชัดเคราะห์ร้ายอย่างนี้เสมอ ดิฉันเพิ่งทราบเดี๋ยวนี้เองค่ะ”

​“อ้าว ถ้าเช่นนั้นก็เป็นความผิดของฉันเอง ชัดเขาสั่งให้ฉันบอกตั้งแต่เมื่อกลางวัน”

อนงค์ยิ้ม อยากจะเสริม “แล้วฉันก็ลืมเสียตามเคย” แต่เห็นว่าไม่ต้องด้วยกาล จึงพูดแต่เพียงว่า “เมื่อกลางวันได้ทราบว่าคุณพระมา ตั้งใจจะออกมาหา ก็พอได้ทราบต่อไปอีกว่ากลับเสียแล้วขอบพระคุณสำหรับของกำนัลค่ะ”

พระอรรถคดี ฯ ยิ้มรับและไม่ตอบว่ากระไร

“คนหมู่หนึ่งเดินเข้าใกล้ที่เขาทั้ง ๒ ยืนอยู่ คนหนึ่งในหมู่นั้นออกเสียงดังพลางก้าวออกหน้าคนอื่น “คุณหลวง ! ดีใจที่ได้พบกันอีก สบายดีหรือครับ?”

อนงค์หันไปดูทันที แล้วหัวเราะพลางว่า

“เอ๊ะ ยังไงคุณอุดมมาถอดยศคุณพระเสียแล้ว มัวไปหลับอยู่เสียที่ไหนหรือคะ” ,

“อ้าว ! อ้อ....ขอรับประทานโทษ ได้เลื่อนเมื่อฉัตรมงคลหรือครับ ไม่เห็นบอกกล่าวกันบ้าง จะได้แสดงความยินดี”

วิชัยไม่กล่าวตอบ มองเลยไปทางคนที่อยู่เบื้องหลังอุดม และกำลังจ้องดูเขาอย่างสงสัย วิชัยจำเอนกและผสานได้ ก็ก้มศีรษะให้พอเป็นที

“อ๋อ พี่ชายคุณชัดน่ะ !” ผสานพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง แล้วหันไปจับข้อมือเอนกเขย่าโดยแรง “เอนกจำไม่ยักได้ ฉันนึกออกตั้งแต่แรกเห็นแล้ว แต่ไม่แน่ใจเพราะวันนั้นคุณพระใส่แว่นดำ”

“นั่นซี” เอนกสนอง “เห็นวันนี้ดูแปลกกว่าวันนั้นมาก ขอโทษเถอะนะครับ ผมเป็นคนเหลวไหลอย่างนี้เสมอ จำคนไม่ค่อยแม่นหากว่าเคราะห์ดีมีคนคอยเตือน” พูดแล้วเขามองดูผสานด้วยสายตาแสดงความภูมิใจ

สีหน้าวิชัยแสดงความสนเท่ห์ อนงค์จึงชี้แจงว่า

“เขาแต่งงานกันแล้วค่ะ”

​“คุณชัดยังไม่มาหรือคะ?” ผสานถามสวนขึ้น

จะเป็นด้วยวิชัยไม่ได้ยินคำถาม หรือได้ยินแต่มิได้นึกว่าเขาถามตนโดยตรง จึงไม่ตอบ อาการนิ่งของเขาทำให้อนงค์นึกกลับไปถึงภาพ “พี่ใหญ่” ในวันแรกพบ หล่อนจึงตอบเสียเองว่า

“ชัดเห็นจะมาดึกหน่อยเพราะติดราชการ”

“บ้า ! ชัดเหลวใหลมาก” เอนกพูดแกมหัวเราะ “ควรหรือจะปล่อยให้มีราชการติดตัวในคืนนี้”

มีเสียง “ฮี่” ประสานหางเสียงเอนก และก่อนที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะหาตัวเจ้าของเสียงพบ ประสิทธิ์ก็กอดแขนวิชัยไว้ ละล่ำละลักว่า

“ผม ค....คิดว่าจะลืมมาเสียแล้ว”

วิชัยหันหน้ามาทางผู้มาถึงใหม่ ยิ้มพลางจับมือประสิทธิ์ที่พาดอยู่บนแขนตน และตอบว่า

“ไม่ลืมหรอก เมื่อกลางวันผมก็มาแต่ไม่พบคุณ”

“ฮี่ ฮี่ ไม่พบ ไม่พบ เห็นจะหลับ ผ....ผมหลับทั้งวัน ฮี่ ฮี่ เต้นรำไหม ผมจะหาคู่ให้ ฮี่”

“ขอบใจ” วิชัยตอบ แววตาเต็มไปด้วยความร่าเริง “คุณเมื่อไรจะเต้นผมจะคอยดู”

“ผม ม....ไม่เต้น ไม่สนุก ไม่ชอบ ผม ด....” แล้วเขางอนิ้วมือทำท่ากรอกสิ่งหนึ่งลงในลำคอ “ไปทางโน้นกันเถอะ”

โดยปราศจากิริยาลังเล วิชัยก้มศีรษะให้คนที่ยืนอยู่รอบข้างแล้วปล่อยตัวให้ประสิทธิ์รั้งไปทันที

เข้าในห้องรับแขก วิชัยพบผู้ที่ตนรู้จักไม่น้อย แต่ไม่มีเวลาได้ทักทายกันด้วยวาจา เพราะผู้นำของเขาเดินเร็วมาก ชนคนนั้นปะทะคนนี้ หลีกคนโน้นดุ่มไปถึงปลายห้อง พอเห็นช้อยยืนมือเกาะบังตาดูการเต้นรำอยู่ วิชัยจึงเหนี่ยวตัวประสิทธิ์ให้หยุดเพียงแค่นั้นก่อน”

​พี่น้องตรงเข้าปราศรัยกัน ช้อยถามถึงลูกก่อน แล้วถามถึงแม่ วิชัยให้คำตอบ ประสิทธิ์ยังยืน “ฮี่” อยู่ข้าง ๆ นั้น แล้วชี้ชวนให้ดูสตรีทั้งหลาย แต่ละนางทรงโฉมไม่ด้อยกว่ากัน และเค้าหน้าของหล่อนก็ประพิมประพายละม้ายคล้ายคลึงกันเกือบทุกหน้า แก้มแดง ปากแดง คิ้วโก่งดังวงจันทร์ครึ่งซีก ผมเป็นลอนแข็งตัวอยู่เป็นระยะคือจับวาง ตัวเสื้อแหวะหน้าหรือผ่าหลัง แต่ละตัวเปิดช่องให้เห็นผิวอันขาวนวล มองดูปลายนิ้วของหล่อนแล้ว น่าจะนึกสมเพชกวีโบราณที่ยอโฉมเบญจกัลยาณีว่ามีมือดังบัวตูม นิจจาเอ๋ย ท่านกวีปรัมปรา ! กลีบบัวใดหนอจะส่งสีแดงสดเท่ากับสีบนปลายนิ้วของสตรีที่ลอยตัวอยู่ในอารยธรรม !!! และเพราะเหตุเดียวกันนี้ สตรีสมัยกระโน้นจะทรงไว้ซึ่งสรรพสิ่งที่ควรค่าแก่การรำพันเสมอด้วยสตรีสมัยปัจจุบันกระไรได้

ในเวลาที่ ๒ พี่น้องชมโฉมหญิงงามตามสมัยนิยม และประสิทธิ์ก็ออกความเห็นในเรื่องหญิงเหล่านั้นด้วยสำนวนคำพูดที่ทำให้เขาทั้ง ๒ ต้องหัวเราะหลายครั้ง พระอรรถคดี ฯ ได้ยินชื่อของตนเองลอดเสียงจ้อกแจ้กมากระทบหู ทำให้เขาต้องหันไปรอบตัว พร้อมกันนั้นช้อยสะกิดให้เขามองไปทางปลายห้องด้านหน้า

นางสาวอนงค์เดินมากับหญิงสาวคนหนึ่ง เจ้าหล่อนผู้นี้สวมเสื้อแพรสีน้ำเงินหม่่นและซิ่นแพรสีเดียวกัน ประกายเพชรจากห้อยคอส่งแสงวูบวาบมาแต่ไกล แต่ท่วงทีที่เจ้าของห้อยคอเดินเคียงข้างอนงค์มานั้น ไม่กลั่นกล้าเหมือนกับแสงเพชร ตรงกันข้ามกิริยาที่ก้าวขาดูไม่มั่นคง ลำตัวอ่อนระทวยดังจะทรงให้ตรงอยู่ไม่ได้ ศีรษะก้ม ตาตกมองดูปลายรองเท้า หล่อนเพิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเมื่ออนงค์พูดว่า

“นั่นยังไงล่ะพี่ช้อย ! อ้อ อยู่ด้วยกันทั้งคู่”

ช้อยก้าวเท้าออกมาเบื้องหน้า หญิงที่เคียงอนงค์มาก็พนมมือไหว้

“อุ๊ย แม่จันทร พี่เกือบจำไม่ได้ เธอมากับคุณพี่รึ?”

​“นั่นแน่ะค่ะผู้นำ” อนงค์ตอบก่อนพยักไปทางชัดผู้ซึ่งตามหลังหล่อนติดมา ทอดสายตาไปรอบห้องพลางพูดสืบไป “พี่ ๆ ไม่รู้ว่าหายไปไหนกันหมด อ้อ !” หล่อนหัวเราะ “มีอยู่ที่นี่คนหนึ่ง พี่ประสิทธิ์มารู้จักกับเพื่อนใหม่ของเราซิคะ”

จันทรแลไปเห็นวิชัยยืนเคียงอยู่กับประสิทธิ์ หล่อนจึงทำความเคารพ ๒ ครั้ง วิชัยรับแล้วยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน ประสิทธิ์ก้าวเท้าออกมาข้างหน้าพลางออกปากว่า

“ส....สวย ! ฮี่ ฮี่ ชื่อ....ชื่อไหร่?”

ท่ามกลางแสงไฟอันแจ่มจ้าเช่นนั้น ทำให้เห็นสายเลือดฉีดขึ้นหน้าจันทรโดยเร็ว ระบายแก้มที่ขาวเป็นนวลให้เป็นสีชมพูอ่อน แล้วจันทรก้มหน้าหลบตาลงดูพื้น อนงค์กัดริมฝีปาก พูดกลบเกลื่อนเสียโดยเร็ว

“พี่แสวงกับพี่จำลองหายไปไหนไม่ทราบ พี่สมพงศ์ก็เต้นรำอยู่ด้วยกันเมื่อตะกี้นี้เอง พอปล่อยมือจากกันเธอก็หายไปเลย”

“เห็นจำลองเดินคู่กับหญิงคนหนึ่งเฉียดหลังเราไปเมื่อเรากำลังจะเข้ามาในนี้” ชัดบอก

“เดี๋ยวก็คงพบ” อนงค์กล่าว แล้วพูดสืบไป “เชิญนั่งซีคะจันทร หรือจะออกไปนั่งข้างนอก ที่จริงในนี้ออกจะอุดอู้สักหน่อย พี่ช้อยไม่ออกไปเดินเล่นทางเฉลียงโน้นบ้างหรือคะ”

ช้อยยิ้มและสั่นศีรษะ ยังมิได้ตอบว่ากระไร พอสมพงศ์เข้าประตูมา อนงค์เห็นก็ชูมือและพยักหน้าเรียก

“พี่ค่ะ ชัดพาเพื่อนใหม่มาให้เราคนหนึ่ง” หล่อนพูดเมื่อสมพงศ์มาใกล้แล้ว “เธอชื่อจันทร นี่พี่สมพงศ์ค่ะ”

ทั้ง ๒ ฝ่ายทำความเคารพกัน ยังมิทันที่สมพงศ์จะได้ออกปากปราศรัย นายแสวงกับนายจำลองก็มาถึงและมีผู้หญิงสาวเดินเคียงข้างมาด้วยทั้ง ๒ คน

​ขณะนั้น ดวงตาอนงค์ก็เป็นประกายด้วยความรู้สึกสนุกอย่างที่สุด “คุณจันทรคะ” หล่อนกล่าว “นี่พี่ชายของอนงค์อีก ๒ คน พี่แสวง พี่จำลอง” หันมาทางนายทหารหนุ่ม “ชัดคะ ขอแนะนำให้รู้จักกับคุณสนองและคุณพยอม”

นายทหารหนุ่มซ่อนความประหลาดใจไว้ในหน้าคำนับอย่างเก๋ให้แก่หญิงทั้ง ๒ แต่สายตาจับดูสอางอย่างเอาใจใส่

พอดนตรีเริ่มบรรเลงอีก สมพงศ์ก้าวเท้าเข้าไปที่จันทร โค้งตัวลงเล็กน้อยกล่าวว่า

“โปรดให้เกียรติยศ”

จันทรมีอาการออกงง แต่คำพูดที่จำลองกับอนงค์ “เที่ยวนี้ต้องเต้นกับพี่” ช่วยให้หล่อนเข้าใจว่าสมพงศ์ขอให้หล่อนทำอะไร ดังนั้นหล่อนจึงตอบเขาในท่วงทีกระมิดกระเมี้ยนว่า

“ดิฉันเต้นไม่เป็นหรอกค่ะ”

เขาทำหน้าอย่างไม่เห็นสำคัญ และตอบพร้อมกับยิ้มอย่างสุภาพ

“ใครบอกว่าเต้นรำไม่เป็น เท่ากับบอกว่าเดินไม่เป็น ซึ่งเป็นการเหลือเชื่อ ลองดูเถอะ คุณจะเห็นว่าง่ายที่สุด ถ้ายังไม่แน่ใจก็ขอให้ไปยืนดูกับผมสักประเดี๋ยวแล้วก็เต้นได้”

“จริง ๆ” ชัดเสริม “นอกจากนั้นเธอกำลังได้ครูที่ดีที่สุดแล้ว คุณสมพงศ์เป็นนักเต้นรำที่เชี่ยวชาญ ชัดเองก็ตั้งใจมาแน่วแน่ว่า จะพยายามให้เธอเต้นรำเป็นคืนนี้ให้จงได้ มางานอย่างงี้ ไม่เต้นรำเธอจะรู้สึกว่าขาดอะไรไปมาก”

จันทรมองดูช้อยและพระอรรถคดี ฯ ด้วยจะร้องขอความช่วยหรือด้วยความเกรงใจก็ยากที่จะกล่าว ครั้นสบสายตา ๒ พี่น้องไม่แสดงความรู้สึกตอบ หล่อนก็ลุกขึ้นช้า ๆ อย่างไม่เต็มใจ มือซ้ายถือผ้าเช็ดหน้า มือขวาดึงเอวเสื้อเดินไปกับสมพงศ์

​คนอื่น ๆ ที่อยู่ในหมู่นั้นพากันออกไปจากห้อง คงเหลือแต่พี่น้อง ๓ คน ชัดตรงเข้ามาหาพี่ชายและพูดแกมหัวเราะว่า

“ยังไงเผอิญมาจ๊ะเอ๋กับลูกสาวคุณหญิงมะยมเข้าได้”

แต่วิชัยมีหัวคิดเต็มไปด้วยผู้หญิงอีกคนหนึ่ง จึงถามสวนขึ้น

“แกทำยังไงถึงไปคว้าแม่จันทรมาได้ พี่สาวเขาอนุญาตให้มาหรือ?”

“พี่สาวเขาไม่อยู่ อยู่แต่พี่เขย” ชัดตอบ “ผมบอกเขาว่าพี่ใหญ่กับพี่ช้อยอยู่ที่นี่ด้วย เขาเลยอนุญาตให้มา”

“แกจะเอาเหามาใส่หัวพี่แล้วตาชัด ลูกเขาไม่เคยกับสมาคมเช่นนี้”

“เพราะไม่เคยน่ะซีผมจึงได้พาแกมา แกจะได้เห็นได้สนุกกับเขามั่ง สงสารแก รู้สึกว่าแกไม่ค่อยได้ไปไหนกับเขาเลย อุดอู้อยู่กับบ้าน”

“ทำไมเขาจะไม่ได้ไป” ช้อยค้าน “เขาไปเสมอแต่ไม่ได้ไปที่เดียวกับแกเท่านั้น”

“อ้าว !” ชัดตอบอย่างคล่องแคล่ว “ถ้ายังงั้นวันนี้แกจะได้เห็นของใหม่จะช่วยให้แกฉลาดขึ้น พิโธ่มีลูกสาวสวย ๆ เอาเก็บไว้แต่ในบ้านไม่เปิดโอกาสให้ใครชมเสียเลยรู้สึกว่าน่าเสียดายนัก แล้วทำให้เด็กโง่กว่าเพื่อน ๆ เขาด้วย” พูดขาดคำชัดก็ผละไปเสียจากพี่ชายพี่หญิง

ช้อยหันมาดูพระอรรถคดี ฯ ขมวดคิ้วพลางพูดว่า

“ตาชัดแกจะบ้า ลูกเขาอบรมมาอย่างหนึ่ง แกจะมาทำให้เขาเป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรนอกจากจะทำให้เด็กใจแตก”

“มันไม่ใช่ความผิดของตาชัด” วิชัยพูดเรียบ ๆ

ช้อยรอฟัง สำคัญว่าเขาจะพูดต่อ แต่วิชัยหาพูดไม่หล่อนจึงว่า

“พี่ใหญ่ก็คอยแต่จะเข้ากับน้องเท่านั้น ! ถูกแล้วมันไม่ใช่ความผิดของตาชัดคนเดียว หลวงธุรกิจก็ผิดด้วยตัวเป็นเพียงพี่เขย ดูรึปล่อยให้เด็กสาว ๆ มากับชายหนุ่มตามลำพัง ผิดด้วยกันทั้ง ๒ คน”

พระอรรถคดี ฯ ไม่ตอบประการใด เมื่อน้องหยุดพูดแล้วก็ชวนให้​หล่อนพูดไปถึงเรื่องอื่นเสีย

ในงานสโมสรที่มีผู้คนคับคั่งเช่นนี้ กล่าวโดยส่วนรวม จะว่าทุกคนที่มางานต่างเอาใจใส่กันละกันหรือจะว่าทุกคนที่มาในงาน ต่างไม่เอาใจไม่กัน ก็ว่าได้ทั้ง ๒ ทาง ข้อที่ว่าเอาใจใส่เพราะต่างคนต่างชอบมอง ชอบติ ชอบชม ชอบซุบชิบกล่าวขวัญคนที่ผ่านเข้ามาในสายตาของตน ที่ว่าไม่เอาใจใส่ เพราะว่าแม้ระหว่างผู้มักคุ้นกัน ก็หามีสมาธิพอที่จะพูดกันให้เป็นเรื่องราวไม่ เมื่อประจันหน้ากัน ความเคยชินสอนให้ทักทายด้วยคำพูดที่ใจไม่ได้สั่ง และคำตอบก็ผ่านหูไปโดยไม่เข้าสมอง อาศัยเหตุนี้ ผู้ใดมาสู่สมาคมของท่านผู้เจริญแล้ว !!! คือสมาคมเช่นที่กล่าว มาตรว่าไม่เคยชินมาก่อน ก็ย่อมจะมีความรู้สึกเสมือนพลัดเข้าไปในถิ่นต่างด้าว ดังเช่นช้อยเป็นต้น เวลาล่วงไปยังมิทันไรหล่อนก็พูดกับพี่ชายของหล่อนว่า

“ดิฉันอยากกลับบ้านเสียแล้ว งานอย่างนี้ไม่ใช่งานสำหรับเราเลย”

วิชัยยิ้มน้อย ๆ “พี่คิดไว้ว่าจะกลับก่อน ๕ ทุ่ม” เขาบอก “แต่เดี๋ยวตาชัดก็เอาห่วงมาผูกคอเสียแล้ว จันทรยังไม่กลับเราก็กลับไม่ได้”

ช้อยนิ่งคิด มีอาการหงุดหงิดเล็กน้อย ภายหลังหล่อนจึงว่า

“ยังงั้นดิฉันไปอยู่กับคุณครูดีกว่า พอเขาเลี้ยงอาหารว่างกันแล้ว คุณครูคงกลับ ดิฉันจะโดยสารท่านกลับด้วย”

วิชัยมิได้คัดค้าน มองตามน้องผู้ซึ่งออกประตูทางด้านหลัง แล้วตัวเขาเองก็ไปยืนเท้าบังตาดูผู้ที่กำลังเต้นรำ

ความสนุกร่าเริงของหนุ่มสาวทวีขึ้นตามเวลา สรรพเสียงทั้งหลาย มีเสียงดนตรี เสียงแก้วกระทบแก้ว เสียงพูด เสียงหัวเราะ ฯลฯ ประกันมีระดับความดังเพิ่มขึ้นทุกที ในระหว่างนี้พระอรรถคดี ฯ มิได้มีเวลาเข้าใกล้น้องชายหรือจันทร หรือเจ้าของบ้านคนใดคนหนึ่ง จนถึงเวลาเที่ยงคืน

เป็นกำหนดเวลาที่จะเลี้ยงอาหารว่าง โดยวิธีจัดอาหารวางไว้บนโต๊ะใหญ่ ฝ่ายชายพาคู่ของตนไปเลือกอาหารที่ชอบ ช่วยจัด ช่วยส่งให้ แล้วพา​กันไปนั่งหรือยืนบริโภคตามสบาย ตอนนี้วิชัยยืนอยู่คนละฟากโต๊ะกับชัดผู้ซึ่งปฏิบัติจันทรอยู่ ผู้พิพากษากำลังเพลินมองหนุ่มสาวคู่นี้-ฝ่ายชายขะมักเขม้นเลือกชี้นั่นเลือกนี่ ถามโน่น ฝ่ายหญิงชม้อยชม้ายสะทกสะเทิ้นลังเล..... พอรู้สึกชายแพรปัดขาเขาไป วิชัยเหลียวดูก็พบอนงค์เข้ามายืนอยู่ข้างตัว

“ยังเลือกอาหารไม่ได้หรือคะ?” หล่อนถามพร้อมกับยิ้มอย่างสดใส

“มีมากอย่างเหลือเกิน ไม่ทราบจะเลือกอย่างไหน”

“ให้ดิฉันเลือกให้เถอะค่ะ” หญิงสาวกล่าวแล้วโดยไม่รอฟังคำตอบ เอื้อมมือไปตักเยลลี่ไก่ใส่ลงในจานใบหนึ่ง เสร็จแล้วเอียงคอมองดูอาหารจานอื่นอีกในท่าตรึกตรอง ในที่สุดก็ตักได้ไส้กรอกฝรั่งต่างชนิดใส่รวมลงในจาน แล้วหยิบขนมปังวางลงไปด้วยแล้วยกจานส่งให้วิชัย

พระอรรถคดี ฯ รับจานแล้วกลับวางลงบนโต๊ะยิ้มพลางพูดว่า

“บางทีจะมีคนคอยจ้องจะปฏิบัติคุณอยู่หลายคน แต่เมื่อคุณมาถึงฉันก่อน ถ้าฉันจะปล่อยโอกาสให้พ้นไปเสียเปล่าก็จะเสียนักเลง” พูดแล้วเขาก็จัดแจงแบ่งอาหารอย่างเดียวกับที่อนงค์ได้แบ่งให้เขานั้น

หญิงสาวมองดูเขาทำงานให้หล่อน มีสีหน้าเต็มไปด้วยความพิศวงด้วยน้ำใส่ใจจริง หล่อนไม่เคยคาด หรือแม้แต่นึกว่าวิชัยจะแสดงกิริยาวาจาตอบหล่อนเช่นนี้ ในสายตาของอนงค์พระอรรถคดี ฯ ยังไม่เปลี่ยนจาก “พี่ใหญ่” ของชัดที่หล่อนพบในวันแรกแม้เมื่อหัวค่ำนี้เอง หล่อนยังได้เห็นเขาเป็นเหมือนกับวันที่นั่งรถไฟมาด้วยกันไม่มีผิด พอก้าวขึ้นบันไดพบเพื่อนหนุ่มเพื่อนสาวของอนงค์รวมอยู่มากหน้า วิชัยก็เลิกใช้ลิ้นปล่อยให้คำพูดที่ผู้พูดพูดสำหรับเขา ทั้งโดยตรงและโดยปริยาย ผ่านหูไปผ่านมา โดยไม่ปรารถนาที่จะเอ่ยปากตอบแต่สักคำ

เมื่อเขาส่งจานให้หล่อนพร้อมด้วยมีดส้อม และกระดาษเช็ดปาก อนงค์ก็พูดด้วยเสียงค่อนข้างเบา

“เราไปหาที่รับประทานให้ใครหาเราไม่พบดีกว่า ตามดิฉันมาชิคะ”

​หล่อนนำเขาออกจากห้อง เดินผ่านเฉลียงโดยไม่เหลียวแลดูใคร แล้วเข้าในห้องเต้นรำซึ่งเวลานี้ว่างเปล่าปราศจากผู้คน ที่ตั้งเครื่องดนตรีนั้นอยู่ตรงมุมห้อง ภายใต้ซุ้มไม้ซึ่งจัดขึ้นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะสำหรับงานคืนวันนี้ อนงค์ดับไฟฟ้าบนเพดานเสียสิ้น เปิดไฟดวงน้อยที่นักดนตรีใช้ดูโน๊ตเพลง แล้วชวนวิชัยให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กข้างตัวหล่อน

“รับประกันว่าไม่มีใครหาเราพบ” หล่อนพูดและหัวเราะอย่างสนุก “แต่บางทียุงจะกวนเราสักหน่อย”

“ประเดี๋ยวเดียวเห็นจะไม่เป็นไร” วิชัยตอบ “ฉันเคยทำงานจนดึก ยุงตอมเต็มไปหมดยังไม่เดือดร้อนเท่าไหร่”

ทั้ง ๒ ลงมือรับประทาน วิชัยกำลังพยายามจะเข้าใจการกระทำอันนี้ของอนงค์ ซึ่งเขาก็เห็นว่าค่อนข้างพิสดาร อนงค์ก็เอ่ยถามขึ้น

“คุณพระทำงานอะไรคะเวลากลางคืน?”

“ราชการที่ทำเวลากลางวันไม่พอบ้าง งานส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับสนุกบ้าง”

“เวลานี้กำลังเขียนเรื่องละครใช่ไหมคะ พี่ช้อยบอกดิฉัน เล่นเมื่อไหร่ดิฉันต้องดูให้ได้”

“ฉันขอบใจคุณล่วงหน้าแทนสมาคม แต่เห็นจะอีกนานกว่าจะได้เล่น ยังไม่มีอะไรพร้อมสักอย่าง”

“คุณพระจะเป็นตัวละครด้วยไหมคะ?”

พระอรรถคดี ฯ หัวเราะอย่างขบขันที่สุดในขณะที่ตอบว่า

“ฉันนึกภาพตัวฉันเองไม่ออกเลยว่า อยู่บนเวทีจะทำหน้าอย่างไร”

หล่อนพิศดูเขาเท่าที่ไฟอันอ่อนแสงจะช่วยให้ดูได้แล้วว่า

“รู้สึกว่าคุณพระจะเล่นละครได้ดี !”

“เอ๊ะ ! ทำไมรู้สึกอย่างนั้น”

อนงค์เคาะส้อมกับขอบจาน ๒-๓ ครั้ง ในที่สุดจึงตอบว่า

​“เพราะดิฉันรู้สึกว่าคุณพระเล่นละครอยู่เสมอโดยไม่ขึ้นเวที”

พระอรรถคดี ฯ มีอาการสงสัยเป็นอันมากถามว่า

“นี่หมายความว่ายังไงกัน?”

อนงค์หัวเราะน้อย ๆ แล้วตอบช้า ๆ

“อันที่จริงคนทุกคนต้องเล่นละครไม่มากก็น้อย คนที่มีกิริยาวาจาขวางหูขวางตาที่สุด คือคนที่เล่นละครไม่เป็นเสียเลย ส่วนคนที่ไม่ทำสิ่งใดขวางหูขวางตามนุษย์เสียเลย คือคนที่เล่นละครเก่งที่สุด”

“ฉันคิดว่าคนชนิดที่คุณกล่าวทีหลังนี้เป็นคนที่น่ากลัวอยู่”

“ไม่ใช่น่ากลัวค่ะ” อนงค์ค้าน “เป็นคนน่าชมซีคะ คิดดูง่าย ๆ อะไรเป็นเหตุให้คนแสดงกิริยาเป็นที่ขวางหูขวางตามนุษย์มากที่สุด ดิฉันคิดว่าความหยิ่งกับความโกรธ และความโกรธนั้นเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมันไม่ยอมอยู่แต่ในใจเท่านั้น ต้องดิ้นรนออกมาภายนอกจนได้ เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เคยแสดงความโกรธให้ใครเห็นเสียเลยจึงนับว่าเป็นคนน่าชมนัก”

อนงค์พูดเช่นนี้ คือหล่อนยอผู้ฟังซึ่ง ๆ หน้า แต่วิชัยไม่เข้าใจเป็นดังนั้น เขากลับถามว่า

“เรายังไม่มาถึงตอนที่ฉันถูกหาว่าเล่นละครเก่งไม่ใช่หรือ?”

“ถูกหา !” หญิงสาวทวนคำ “ดิฉันเคยได้ยินผู้ที่ดิฉันต้องเชื่อเล่าให้ฟังว่า อย่าว่าแต่ความโกรธ แม้ความไม่พอใจก็จะไม่ได้พบในกิริยาของคุณพระ”

วิชัยนิ่งอยู่ในทีตรอง เป็นเวลานานสักครั้งหนึ่งจึงเขาจะตกเกณฑ์ต้องฟังและพูดถึงความรู้สึกภายในของตนเองดังเช่นคืนนี้ ออกรู้สึกพิศวงที่ผู้สนทนาสนใจจะต่อคำกับเขานัก ในเรื่องที่เขาเห็นว่าหล่อนไม่น่าเอาใจใส่เลยสักนิด แต่เมื่อได้พูดกันมามากแล้ว เห็นควรจะพูดให้แจ่มแจ้งโดยตลอด เขาจึงตอบว่า

“คุณเรียกคนที่ไม่แสดงความโกรธให้ใครเห็นว่าเป็นนักเล่นละคร​เก่งที่สุดก็ตามทีเถิด เพราะเป็นความเห็นของคุณ สำหรับฉันคิดว่าการระงับความโกรธไม่ให้ออกนอกหน้านั้นเป็นการระงับใจไม่ให้วู่วามด้วย ซึ่งในที่สุดใจของเรากับกิริยาของเราก็จะตรงกัน แต่การแสดงละครนั้นใจกับกิริยาเดินกันคนละทางเทียวนะคุณ”

“คนที่ไม่แสดงกิริยาโกรธให้ใครเห็นนั้น หมายความว่าใจของเขาไม่รู้จักโกรธใครด้วยหรือคะ?” อีกฝ่ายหนึ่งถามพลางยิ้มในหน้า

ยิ่งเสียกว่ารู้เท่าทันลักษณะยิ้มนั้น แต่วิชัยก็ตอบเรียบ ๆ ว่า

“ไม่ถึงกับยังงั้น เป็นแต่เพียงโกรธแล้วก็บังคับปาก บังคับกิริยาไว้ด้วย แล้วดับความโกรธลงทีละน้อย ๆ จนหมด ถ้าทำเช่นนั้นบ่อย ๆ เจ้าความโกรธมันเป็นตัวอะไรตัวหนึ่งที่ขี้ขลาดและไม่มีความพยายาม ลงเราเอามันไว้ใต้อำนาจได้เสียทีหนึ่ง คราวหลังมันก็ไม่กล้าแผลงฤทธิ์ หนักเข้ามันเกือบจะไม่กล้ามากวนเสียด้วยซ้ำ

ตลอดเวลาที่ฟัง อนงค์มองดูผู้พูดไม่วางตา เมื่อเขาหยุดหล่อนก็ถามพร้อมกับยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่เกิดจากความรู้สึกต่างกับคราวก่อน

“เจ้าตัวโกรธเห็นจะกลัวคุณพระมานานแล้ว คุณพระจึงไม่รู้จักโกรธใคร”

วิชัยยังไม่วางใจ จึงตอบโดยไม่หัวเราะ

“คนที่ไม่รู้จักโกรธเสียเลยนั้น ต้องเป็นอริยบุคคล ฉันเองยังเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น”

อนงค์มีไหวพริบในเชิงจับน้ำเสียงและสีหน้าคู่สนทนาไม่ยิ่งหย่อนกว่าวิชัย เพื่อจะแสดงให้เห็นความเลื่อมใสที่เกิดขึ้นแก่ใจหล่อน จึงวางส้อมลงไว้ในจานชะโงกหน้าเข้าไปใกล้เขา และพูดด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการยิ่ง

“ถ้าคุณพระยังไม่เป็นอริยบุคคล ก็เป็นบุคคลที่อยู่เหนือมนุษย์ธรรมดาแล้วละค่ะ มีคนบอกกับดิฉันว่าเรื่องที่ใคร ๆ ในโลกจระงับใจ​ไม่โกรธไม่ได้ คุณพระก็ระงับได้”

เขาหัวเราะและตอบว่า

นั่นแสดงว่าโลกของเขาคนที่บอกกับคุณเช่นนั้นแคบมาก”

“อาจจะเป็นได้ แต่โลกของเขาไม่แคบกว่าโลกของดิฉัน”

“อาจจะเป็นได้” วิชัยเลียน “แต่ว่าคงไม่ใช่โลกลูกเดียวกัน”

อนงค์ยิ้ม ชอบใจในโวหารของเขาเป็นอันมากจนไม่อยากนึกต่อล้อต่อเถียงสืบไป ตักอาหารใส่ปาก ๒-๓ คำแล้วถามขึ้นอีก

“มีคาถาอะไรบ้างคะ สำหรับระงับความโกรธ?”

“ยังไงก็ไม่ทราบ” วิชัยตอบ รีบเคี้ยวอาหารในปากให้หมดไปโดยเร็วแล้วพูดต่อ “ผู้ใหญ่ท่านสอนให้นับ ๑ ถึง ๑๐ ยังไงล่ะ”

“โอ๊ย !” หญิงสาวอุทาน “อย่าว่าแต่ ๑๐ เลยค่ะ ๑๐๐ ก็ไม่พอ”

“ถ้ายังงั้นก็ต้องไปถึง ๑,๐๐๐ ถึง ๑๐,๐๐๐ ถึง ๑๐๐,๐๐๐”

คุณพระเคยนับจนถึง ๑๐๐,๐๐๐ เหมือนกันหรือคะ”

วิชัยหัวเราะอีก คราวนี้นึกขันจริง ๆ

“เท่าที่จำได้ ดูเหมือนไม่เคยนับแม้แต่ ๑”

“อ้าว ยังงั้นคุณพระระงับความโกรธได้ด้วยวิธีใด? มันต้องมีวิธีซีคะ เพราะธรรมชาติของความโกรธนั้นมีอำนาจแรงมาก”

“คนที่จะหัดไม่แสดงความโกรธออกนอกหน้า ต้องเชื่อเสียก่อนว่าตามที่เรื่องนิทานต่าง ๆ กล่าวถึงความน่าเกลียดน่ากลัวของยักษ์ไว้มากมายนั้น ในเวลาที่โกรธหน้าตาท่าทางของเราไม่ผิดกับยักษ์ที่ท่านกล่าวไว้ กิริยาของคนโกรธเป็นเครื่องขันสำหรับคนดี ๆ เขาหัวเราะเล่น”

“ดิฉันเชื่อค่ะ” หญิงสาวตอบโดยเร็ว วิชัยจึงว่า

“นั่นแหละตัวคาถา ท่องไว้ซี”

“เวลาโกรธหน้าเราเหมือนยักษ์ กิริยาของเราเป็นเครื่องขันสำหรับคนอื่น” อนงค์ท่องพลางหัวเราะ “แหมแต่การที่โกรธแล้วต้องทำหน้าเฉย ​++467ไม่ได้พูดได้ทำอะไรเสียบ้าง ดูเหมือนยิ่งทำให้อัดใจมากนะคะ ดิฉันทนไม่ไหวแน่”

“ยังงั้นก็ต้องเชื่อต่อไปอีกว่า ความโกรธเป็นเครื่องร้อน เพราะมันทำให้ใจไม่เป็นสุข”

“ข้อนี้ก็เชื่ออีกละค่ะ”

“ยังงั้นก็เป็นคาถาที่ ๒”

“ค่ะ ความโกรธเป็นเครื่องร้อน แล้วว่ายังไงถึงจะห้ามไม่ให้โกรธได้ล่ะคะ?”

“ขั้นแรกอย่ายอมลงเนื้อเห็นว่า ใครมีเจตนาร้ายต่อคุณเป็นอันขาด ถ้ามันจำเป็นต้องเห็น จงถามตัวเองว่าคุณได้ทำสิ่งใดให้เคืองใจเขาหรือเปล่า ถ้าคุณได้ทำก็เป็นความผิดของคุณเอง ทำไมจะไปโกรธเขาเล่าถ้าคุณไม่ได้ทำ เขามาหาเรื่องคุณเล่นสนุกเปล่า ๆ จงตั้งใจว่าจะชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ กลั้นปากกลั้นมือไว้ให้ดี คุณจะชนะจริง ๆ เพราะคนที่มาหาเรื่องกับเราโดยไม่มีสาเหตุนั้น จะเอาเรื่องที่ไหนมาหาได้บ่อย ๆ ผลสุดท้ายก็จะรามือไปเอง”

“ฟังดูคุณพระพูดดูเหมือนจะทำได้ง้ายง่าย” อนงค์กล่าวเชิงปรารภ “แต่ถ้าทำจริง ๆ คงยากพิลึก”

พระอรรถคดี ฯ ไม่ตอบ รับประทานอาหารเป็นคำสุดท้ายแล้วก็รวมมีดและส้อมไว้ในจาน อนงค์จึงบอกกับเขาว่า

“ของว่างอย่างอื่นยังมีอีกนะคะ เราไปแบ่งมาอีกเถอะ”

“ฉันเองนะอิ่มแล้ว คุณจะต้องการอะไรอีกโปรดใช้ฉันก็ได้”

ดิฉันก็อิ่มแล้วคะ แต่คุณพระคงต้องการเครื่องดื่ม?”

วิชัยสั่นศีรษะ “ไม่ต้องการอะไรเลย สบายพอแล้ว ว่าแต่คุณจะต้องการอะไร จะให้ฉันไปรับมาให้หรือจะไปด้วยกัน?”

“ต้องรับประทานไอศครีมฝีมือพี่ช้อยผสม โปรดรับมาฝากดิฉัน​ด้วย

วิชัยวางจานไว้บนที่รองปีอาโน แล้วก็ออกจากห้องไปตามเฉลียงพอใกล้ห้องที่ตั้งอาหาร พบคนใช้ถือถาดไอศครีมเที่ยวเดินแจก นายร้อยตรีชัดเดินตามหลังผู้ถือถาดมา และร้องว่า

“ก๊อปี้โส่ย ช็อกกกอเล็ตโส่ย โอเล้นช์โส่ย”

มีหนุ่มสาวอยู่ที่นั่นเป็นกลุ่มใหญ่ คนหนึ่งพูดขึ้นว่า

“ลูกสมุนแป๊ะม้อพลัดมาอยู่ที่นี่คนหนึ่ง”

ผู้ที่ไม่เข้าใจคำพูดของชัด ก็เกิดความเข้าใจขึ้นบัดนี้ จึงมีเสียงหัวเราะดังประสานกันหลายเสียง

วิชัยเดินหลีกคนเข้าถึงถาดไอศครีม หยิบได้ ๒ ถ้วยมีขนมปังหวานพร้อมแล้วก็กลับหลัง

“เอ๊ะ พี่ใหญ่” ชัดทักขึ้น ๒ ถ้วยเทียวหรือได้ใครหนอเป็นเพื่อนกิน”

“ไปแอบซ่อนอยู่ที่ไหนมา?” สมพงศ์เสริม

“ไม่ตั้งใจซ่อนแต่ไม่อยากให้ใครเห็น” พระอรรถคดี ฯ หันมาตอบ พอได้ยิน ๒-๓ เสียงเอ่ยชื่อเจ้าของบ้านสาว เขาจึงลัดเข้าเสียในห้องรับแขกโดยเร็วแล้วสาวเท้าอ้อมเฉลียงไปเข้าห้องเต้นรำทางด้านหลัง

“ใคร ๆ เขาถามถึงคุณออกขรมไปแล้ว” วิชัยบอกทันทีที่ยืนอยู่ตรงหน้าอนงค์ และส่งไอศครีมให้หล่อน

“ช่างเขาเถิดค่ะ” หญิงสาวตอบอย่างไม่เอาใจใส่ “ดิฉันไม่มีเวลาได้พูดกับคุณพระเลยในตอนหัวค่ำ เพิ่งได้นั่งพูดกันตอนนี้เท่านั้น”

ทั้ง ๒ รับประทานไอศครีมอยู่เงียบ ๆ วิชัยส่งใจออกไปนอกห้องถึงหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเขาได้เห็นเพียงแว็บเดียว กำลังยืนสงบเสงี่ยมอยู่ข้างตัวสมพงศ์

แล้วอนงค์พูดขึ้นว่า

​“ป่านนี้พี่ช้อยถ้าจะกลับแล้วกระมัง ถ้าจะคิดถึงลูกนะคะ มาเสียตั้งแต่เช้า อันที่จริง ถ้าดิฉันทราบว่าเธออยากกลับแต่หัวค่ำ ก็จะให้รถไปส่งเสียแล้วไม่ต้องรอคุณอา”

ด้วยความที่กำลังคิดเพลิน วิชัยไม่นึกจะตอบว่ากระไรทั้งสิ้น อนงค์วางถ้วยไอศครีมลงไว้ข้างตัว วิชัยก็วางถ้วยของเขาลงพร้อมกัน แล้วหยิบซองบุหรี่จากกระเป๋าเสื้อมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งหาไม้ขีดไฟแต่หาไม่ได้ เขาจึงทำท่าจะเก็บบุหรี่เสีย พออนงค์พูดขึ้นว่า

“ไม้ขีดไฟหรือคะ โปรดดูตรงข้างปีอาโนแน่ะค่ะ มีหีบบุหรี่วางอยู่ที่นั่นสำหรับเลี้ยงนักดนตรี หรือใครย้ายไปไว้เสียที่ไหนก็ไม่ทราบ”

“อยู่ ได้แล้ว” วิชัยตอบพลางสั่นกลักไม้ขีดไฟ

เขาเปิดซองบุหรี่ส่งให้อนงค์ หล่อนปฏิเสธและเสริมว่า

“คุณอาท่านบอกว่าดิฉันมีความดีเหลืออยู่อย่างเดียวคือไม่สูบบุหรี่ เพราะฉะนั้นต้องรักษาความดีนี้ไว้เสมอ”

วิชัยหยิบบุหรี่ใส่ปากตัวเอง เก็บซองเสียดังเดิมพอจะขีดไม้ขีดไฟ อนงค์ก็เอื้อมมือออกมา

“ให้ดิฉันจุดเถอะค่ะ” หล่อนกล่าว

เขาส่งไม้ขีดไฟให้หล่อนแล้วพูดแกมหัวเราะ

“กลัวฉันจะเอาใส่กระเป๋าไปบ้านเสียด้วยหรือ?”

หญิงสาวหัวเราะกิ๊ก “ต๊าย ! ดูเอาเถอะ” หล่อนพูดมีอาการงอนแกมเล็กน้อย “ตั้งใจจะทำดี กลับกลายเป็นตรงกันข้าม”

พระอรรถคดี ฯ ยื่นปลายบุหรี่ที่ตนคาบไว้แล้วเข้าไปใกล้มืออนงค์ หญิงสาวก็จุดไฟให้เขา ในเวลาเดียวกันนั้นไฟฟ้าในห้องก็เปิดพรึ่บขึ้นสว่างจ้า

“โอ้ อนงค์นั่นเอง !”

“พิโธ่ มาแอบอยู่นี่เอง”

​ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ

หลายเสียงดังประสานกัน และดังแซ่ต่อไปอีก

“แชมเปญ เชมเปญเจ้าข้า !”

หาตัวได้แล้ว !”

“แชมเปญ ดื่มให้เจ้าภาพ !”

ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ

ภายในเวลาเพียงเล็กน้อย ห้องอันสงัดอยู่เมื่อครู่ก่อนก็ก้องไปด้วยเสียงพูดเสียงหัวเราะ เสียงส้นรองเท้ากระแทกพื้น มีการดื่มและการให้พรเซ็งแซ่ยืดเยื้อ เพราะว่าทุกคนต้องการจะแข่งกันแสดงโวหารอันไพเราะ แม่สาวเจ้าของบ้านสรวลยิ้มระริกกับคนโน้น ชำเลืองค้อนคนนี้ นิ่วหน้าใส่คนนั้น แสดงบทดาราอันรุ่งโรจน์ได้อย่างงดงาม

นักดนตรีกลับเข้าประจำที่ เจ้าของบ้านพยักให้เริ่มบรรเลง วิชัยเลี่ยงออกจากห้องนั้น พอเห็นจันทรยืนอยู่เดียวเบื้องหลังคนที่กำลังตื่นในอันจะห้อมล้อมเจ้าของบ้าน จนเบียดเอาจันทรพลัดไปทางหนึ่ง วิชัยตรงเข้าไปหาหล่อน ความยินดีปรากฏอยู่ในแววตายิ้มอย่างสุภาพและถามว่า

“สนุกไหม?”

ก่อนที่จันทรจะตอบ ทั้ง ๒ ได้เดินออกห่างหมู่คนไปหยุดที่ริมเฉลียง หญิงสาวยกข้อศอกขึ้นเท้าขอบลูกกรงหินอ่อนไว้ ทอดสายตาไปยังสนามหญ้าแล้วพูดว่า

“เป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้เห็นงานอย่างนี้”

“ชอบไหม?” วิชัยถาม

“สนุกมากค่ะ แต่ว่ารู้สึกเมื่อยขา ดูเหมือนตั้งแต่มาถึงยังไม่ได้นั่งเลย”

“ยังงั้นควรจะไปหาที่นั่งเสียดีกว่า จะได้พักขาเสียบ้าง”

“อย่าเลยค่ะ ดิฉันอยากอยู่ที่ตรงนี้ ได้เห็นของสวย ๆ”

“ของสวย” ที่จันทรกล่าวถึงนั้น คือธารน้ำพุซึ่งประดับด้วยไฟฟ้า​ต่างสีดวงน้อย ๆ ห้อยติดต่อกันเป็นสายยาว สายน้ำที่พุ่งขึ้นสูงต้องประกายไฟก็เกิดแสงระยิบระยับ น้ำค้างในฤดูหนาวค้างอยู่ตามยอดหญ้าสีเขียวสด มองเห็นหยาดใสแจ๋วคาดไปทั่วพื้นสนาม

พระอรรถคดี ฯ เห็นด้วยกับความคิดของจันทร เขาจึงว่า

“ถ้าเช่นนั้นฉันจะไปยกเก้าอี้มาให้?”

“อย่าเลยค่ะ ขอบพระคุณ ยืนอยู่อย่างนี้สบายแล้วหดขาก็ได้” แล้วหล่อนทำกิริยาประกอบคำพูด

วิชัยพิศดูร่างซึ่งต้องแสงไฟฉายอยู่เต็มที่ ทั้งที่จันทรได้ออกกำลังเข้าจังหวะดนตรีมาแล้วเกือบครึ่งคืน นวลหน้าของหล่อนจะได้หมองลงสักเล็กน้อยก็หาไม่ ผิวขาว ๆ นวลดังกลีบกุหลาบ นวลผ่องตั้งแต่วงหน้ารูปไข่ คอกลมระหง แขนเรียว ตลอดจนถึงปลายนิ้ว ดูตาของหล่อนดาวพฤหัสบดีที่ฉายแสงอยู่เบื้องหน้าโน้นยังไม่ทัดเทียม เมื่อได้พิศแล้วและเห็นหล่อนเป็นเช่นนี้ หัวใจของชายที่สำคัญว่าตนมีโลหิตอันอ่อนความอุ่นอันมากพอแล้ว ก็มีอาการตื่นตัวและแรงผิดปกติขึ้นในบัดนั้น

“เธอชอบเต้นรำหรือ?” วิชัยถามขึ้นด้วยเสียงค่อนข้างเบา

จันทรหัวเราะน้อย ๆ “ชอบเวลาที่เต้นกับเขาถูกค่ะ” หล่อนตอบ “เวลาเต้นไม่ถูกรู้สึกรำคาญ”

“รวมความว่า ถ้าเต้นกับเขาถูกทั้งหมดเธอคงชอบใช้ไหม?”

หญิงสาวหัวเราะอีก มีอาการไม่แน่ใจว่าควรจะตอบอย่างใด ในที่สุดจึงว่า

“ถ้าเป็นคงสนุกมากเทียวค่ะ”

วิชัยถอนใจเบา ๆ แล้วนิ่งเงียบไปด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่ายอีกครู่หนึ่งจันทรพูดขึ้นว่า

“แรกมาถึงดิฉันรู้สึกตัวว่าเปิ่นเหลือเกิน”

“ทำไมถึงเป็นดังนั้น?”

​“แต่งตัวไม่เหมือนคนอื่นเขาซิคะ ดูซิ ใคร ๆ เขาแต่งแหม่มกันทั้งนั้น มีดิฉันกับคุณสะอาง แล้วก็คุณอะไรอีกคนหนึ่งเท่านั้นที่นุ่งซิ่นมาขายหน้าเขาออก”

ในเวลาที่ยืนอยู่ตามลำพังหญิงที่เป็นเจ้าสาวแห่งดวงใจของเขาเช่นนี้ วิชัยมีอุปทานเหมือนกับว่าหญิงนั้นเป็นของเขาแล้ว บัดนี้เขากำลังฟังความคิดของหล่อนอันแสดงความเห็นผิดเป็นชอบ ให้เกิดความที่ปรารถนาจะตักเตือนหล่อน เช่นเดียวกับที่เขาคอยตักเตือนตนเองอยู่เป็นนิจในเหตุการณ์ทั่วไป ดังนั้นวิชัยจึงว่า

“เธอไม่ควรคิดว่าการที่เธอเป็นไทย และแต่งตัวตามที่คนไทยเคยแต่งเป็นของน่าอับอาย เพราะเธอนั่นแหละเป็นฝ่ายถูก เราทุกคนก่อนที่จะทำสิ่งใดลงไปควรคิดถึงเหตุผลเสียก่อน ไม่บังควรทำเพื่อเอาอย่างเขา”

เห็นจันทรมองดูตนเฉยอยู่ วิชัยจึงพูดต่อไป

“เธอเองคงนึกว่า ทำไมฉันไม่ให้เหตุผลแก่เธอในการที่ฉันไม่ชอบให้คนไทยแต่งฝรั่ง ฉันเองคอยฟังและคอยที่จะเข้าใจเหตุผลของคนที่แต่งฝรั่งอยู่เสมอเหมือนกัน แต่เหตุผลเหล่านั้นฟังไม่ขึ้น ส่วนเหตุผลของฉันนั้นเปรียบเหมือนหญ้าปากคอก หากคนอื่นเขามองข้ามไปเสียหมดจึงมองไม่เห็น คิดดูง่าย ๆ เมื่อรายรับในบ้านของเรามีน้อยกว่ารายจ่าย เราไม่มีปัญญาหาเงินเข้าบ้าน อย่างน้อยที่สุดเราต้องสงวนเงินที่มีอยู่แล้วมิให้ไหลออกนอกบ้านโดยไม่จำเป็น จึงจะเรียกเราเป็นคนมีความคิด”

พระอรรถคดีวิชัยเป็นชายที่ได้อบรมใจไว้ในธรรมของสัตบุรุษครบตามที่พุทธบัณฑิตยกเป็นข้อสำคัญทุกข้อ ยิ่งบ้างหย่อนบ้างตามอุปนิสัยแต่ข้อที่เขาปฏิบัติโดยหย่อนและอ่อนหัดที่สุดนั่นคือข้อที่ ๑ ในหมวดสัปปุริสธรรมปุคคลโรปรัญญตา แปลว่าความเป็นผู้รู้จักบุคคลยิ่งคนที่เราวิสาสะด้วยใจรัก วิชัยมักปฏิบัติต่อบุคคลผู้นั้นโดยนัยแห่งความสำคัญคิดว่าเป็นผู้มีธรรมสมบัติ จริยสมบัติ และวุฒิสมบัติเสมอยิ่งกว่าตนแล้ว

​แต่จันทรได้ยกมือขึ้นปิดปากหาว ก่อนที่วิชัยจะได้พูดจบลง !


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,467


View Profile
« Reply #2 on: 19 May 2022, 20:45:19 »


๒๓

๒๐ มกรา-ชนะความโกรธ ด้วยความไม่โกรธ มีเรื่องตลอดทั้งวัน แต่จดได้เพียงเท่านี้เพราะจำเป็นต้องจด อย่างไรเสียก็ต้องจด ตี ๔ ง่วงนอนเต็มที ๒๑ มกรา ได้สุภาษิตบทหนึ่งเป็นที่ระลึกในวันครบรอบปีที่ ๒๔ ชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ ๒ รอบแก่แล้วใคร ๆ ก็ว่าทำไมไม่เลือกใครสักคนหนึ่ง เมื่อคืนนี้ตั้ง ๓ คนเรียงตัวกันเข้ามาให้เลือก เติม สงัด อุดม นึกไปก็น่าสงสาร อยากรู้ว่าจะละความพยายามไหม พี่ก็โกรธช่วยไม่ได้ หลับตานึกถึงพ่อ ๓ คน ถ้าจะฝืนใจแต่งด้วยสักคนก็ฝืนได้ แต่จะมีคนรักก็เสียใจประโยชน์อะไรในเมื่อจะทนอยู่ด้วยกันได้ไม่เกิน ๓ เดือน ติ๊ต่างว่าแต่งกับอุดมตั้งแต่เช้าตลอดเย็นไม่ได้ฟังอะไรนอกจากโวหารปลายลิ้น นานๆ ฟังทีดูก็เพราะดี ฟังบ่อย ๆ เข้าชักเวียนหัวคลื่นไส้ แต่งกับสงัดนั่งรถไปไหนด้วยกันไม่ได้ขวัญหนีดีฝ่อหมด เดือนเดียวโรคประสาทกินตาย ถึงนายเติมยิ่งร้ายใหญ่ไปถึงไหนก็คอยแต่พูดอวดดี ฉันเป็นที่หนึ่งเสมอไม่ไหว อดขัดคอไม่ได้ เดี๋ยวก็ตีกันตาย มีคู่ไม่ดี ไม่มีเสียดีกว่า เป็นโสดจนตายก็ช่าง ​เขาอยู่กันได้ถมไป

พบคนมาก ไม่เห็นใครน่าทึ่งเหมือนพระอรรถคดีวิชัย ตีหน้าได้หลายอย่าง เดี๋ยวก็ครึเดี๋ยวก็เปิ่น เดี๋ยวก็ดูคล่องแคล่วปราดเปรื่อง เมื่อคืนนี้ปราดเปรื่องเป็นพิเศษ แต่งตัวรัดกุมดูเข้าท่าเข้าทีกว่าทุกวัน เห็นจะเตรียมโวหารมาด้วยเต็มพุง ปากคอเราะร้ายไม่ใช่น้อย รู้จักเล่นสำนวน ดูซื่อจนเกือบเซ่อ ยิ่งกว่าพี่ประสิทธิ์อีก ดูจะเป็นคนไม่มีเหลี่ยมไม่มีคมอะไร แต่เจ้าลิปสติ๊กทำให้สงสัย ไม่มีโอกาสได้พูดกันถึงเรื่องนั้น ถูกคนขัดคอเสียก่อนอยากฟังคารม จะแก้ตัวว่าอย่างไร แปลกจริง ๆ คน ๆ เดียวทำไมเป็นได้หลายอย่าง เห็นจะฉลาดมาก อยากทำตัวให้เป็นอย่างไหนเมื่อไรก็ได้ ฉลาดกว่าชัดเสียอีกเพราะชัดเล่นละครไม่เป็น ดีแต่เก๋หรู ปากหวานแล้วก็เป็นเด็กอยู่ตาปี สู้พี่ชายไม่ได้พี่ชายเป็นได้ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ถึงปากไม่หวาน แต่โวหารดีไล่ทั้งคืนไม่รู้จักจน คนอย่างนี้สิน่า....

ดินสอกอปปี้มีปลายแหลม และมีด้ามอยู่ในปลอกทองคำลงยาหยุดนิ่งลงในบัดนั้น และสมุดจดหมายเหตุก็ปิดลงโดยมือของผู้เขียน อนงค์เงยหน้าขึ้นดูผู้เข้ามาทำลายความเพลิดเพลินแห่งอารมณ์ ครั้นเห็นว่าเป็นใครแล้วก็ยิ้มรับ

“ทำงานแต่เช้าเทียวหรือ?” จำลองพูดก้มลงจุมพิตน้องแล้วขึ้นนั่งบนขอบลูกกรงดาดฟ้าน้อยอันเป็นที่ติดต่อกับห้องนอนของอนงค์

“๑๑ นาฬิกาแล้วยังเรียกว่าเช้าอีกหรือคะ?” หญิงสาวย้อนถาม ถอนปลายดินสอจากด้ามมาสวมทางปลาย “อันที่จริงก็เช้าสำหรับคนที่นอนตี ๔ อนงค์คิดว่าพี่ ๆ จะไม่มีใครตื่นก่อนเวลาอาหารกลางวันเสียอีก”

“พี่ตื่นขึ้นเมื่อ ๕ โมงทีหนึ่งแล้ว แต่อากาศเวลานั้นชวนให้นอนต่อ เลยหลับไปได้อีก ๓ ชั่วโมง เอ๊ะ นี่น้องยังไม่ได้รับประทานอาหารเช้าอีกนะ” เขาพูดต่อเมื่อมองเห็นถาดอาหารสำหรับอนงค์วางอยู่บนโต๊ะ เลื่อนตัวลงจากที่นั่งมาเปิดหม้อกาแฟดูพลางสูดกลิ่น “หอมน่ากินจริง ทำให้หิวมากขึ้น”

​“รับประทานเสียซีคะ ใช้ถ้วยของอนงค์นั่นแหละ อนงค์ยังไม่หิวเลย”

พูดแล้วหญิงสาวเอื้อมมือไปกดกริ่งไฟฟ้าสำหรับเรียกคนใช้ ครั้นแล้วหล่อนปรุงกาแฟให้พี่ชาย พอเสร็จก็พอดีคนใช้เข้ามายืนรับคำสั่งอยู่

“ยกของกินของฉันมาที่นี่” จำลองสั่ง

อนงค์กลับมานั่งที่ มือลูบคลำสมุดที่วางอยู่ตรงหน้าจำลองเห็นดังนั้นจึงว่า

“พี่มาขัดความสำราญของน้องแล้วกระมัง เห็นทีจะมีเรื่องสำคัญสำหรับบันทึกลงในสมุดนั้นไม่น้อย”

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นยิ้มกับเขา “ก็มากอยู่ค่ะ” หล่อนรับ “แต่ไม่จำเป็นต้องบันทึกเดี๋ยวนี้เมื่อไรก็ได้”

“เป็นเรื่องที่ควรปลื้มหรือควรสลดใจ?” จำลองถามพลางอมยิ้ม

“ไม่มีทั้ง ๒ อย่าง” หญิงสาวตอบ

อนงค์ใช้ด้ามดินสอวงไปมาบนปกสมุด ในที่สุดหล่อนตอบว่า

“บันทึกสำหรับไม่ให้ผิดความตั้งใจ การเขียนเหตุการณ์ประจำวันนี้ได้ทำมาตั้งแต่ปีแรกที่อนงค์ออกจากโรงเรียน คิดว่าจะทำไปจนกว่าจะเขียนไม่ได้เพราะพิการอย่างใดอย่างหนึ่ง”

“เจ้าเพื่อนของพี่คงจะนึกทุเรศตัวเอง ถ้ามันรู้ว่าอนงค์จะจดคำพูดของมันลงไว้ในสมุด ซึ่งวันหนึ่งอาจมีคนไปเปิดพบเข้าแล้วเขาก็จะเห็นว่าคำพูดเหล่านั้นไม่ได้ช่วยตัวมันเลย”

“แต่อนงค์ไม่จดนี่คะ” หญิงสาวค้าน “และสมุดนี่ก็ไม่ได้เขียนไว้ให้ใครนอกจากตัวอนงค์เอง”

“เอ๋อ ! ใครจะเป็นคนรับประกัน วันหนึ่งอนงค์อาจจะมีพ่อเจ้าประคุณยอดหัวใจขึ้นมา เขาขอหล่อนจะไม่ให้เทียวหรือ”

อนงค์หัวเราะกิ๊ก “ถ้าใครอ่านสมุดนี้รู้เรื่องก็เก่งเต็มที เห็นจะไม่มีผู้ชายคนไหนมีความพยายามถึงเพียงนั้นหรอกค่ะ”

​“ว่าได้หรือ? เจ้าหมอนั้นอาจจะเป็นคนขี้หึงที่สุด...”

“แล้วจะหาเหตุสำหรับหึงจากสมุดนี้หรือคะ?” หญิงสาวขัดกลางคำ “ยังงั้นก็ต้องลักอ่านน่าซี อนงค์หวังว่าจะไม่มีคู่ที่หยาบคายถึงปานนั้น”

จำลองไม่ตอบ ดื่มกาแฟพลางพิศโฉมน้องสาว เช้าวันนี้อนงค์สวมปิยาม่าแพรสีน้ำเงินแก่ เสื้อแพรสีขาวตัดหลวมตัวเพื่อความสบาย มีสเว็ตเตอร์แพรพันอยู่รอบคอ ใบหน้าของหล่อนอิ่มเอิบผ่องใสแสดงความสมบูรณ์ทั้งกายและใจ พิศแล้วจำลองอมยิ้มและพูดขึ้นว่า

“น่าสงสารนาย ก. ป่านนี้จะฝันถึงหน้าขาว ๆ บาง ๆ ด้วยความเสียดาย ผู้หญิงนี่ยิ่งสวยดูเหมือนยิ่งใจร้าย” เขาหัวเราะเมื่อเห็นอนงค์ทำตาโตมองดูเขา “จริง ๆ นี่นา แรกทีเดียวใครเป็นคนหนุนให้นาย ก. เข้าสนามแข่งขัน ครั้นเขาเข้ามาแล้วกลับตัดสินชี้ขาดให้เขาแพ้เอาง่าย ๆ ยังงั้นเอง”

“ก็แล้วอนงค์ตัดสินให้ใครชนะหรือเปล่าล่ะคะ?”

“ใครจะไปรู้ ! แม่น้องสาวของพี่เดี๋ยวก็ควงแขนไปกับคนนั้นเดี๋ยวก็คลอไปกับคนนี้ เดี๋ยวก็เงียบหายไปกับคนโน้น จนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร”

“ต๊ายตาย ! พี่จำลอง !” อนงค์ร้อง หน้าแดงตลอดถึงใบหู “นี่ไม่มีอะไรเลยนอกจากจะมาค่อนแคะแทนเพื่อนเท่านั้น น้ำใจพี่ ๆ ของอนงค์จะให้น้องของเธอรักผู้ชายทุกคนที่เธอชักมาให้ !”

จำลองโดดลงจากลูกกรงอย่างว่องไว วางถ้วยกาแฟไว้บนโต๊ะ แล้วมานั่งบนพนักเก้าอี้ตัวที่อนงค์นั่งอยู่หัวเราะพลางโอบบ่าน้องมากอดไว้

“โกรธพี่เสียแล้วนี่ พี่พูดความจริงตามที่ได้เห็นเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจค่อนดอกเป็นความสัตย์ มันไม่ใช่ความผิดของน้องนี่นะที่ใคร ๆ พากันมาหลงรัก เราพูดกันสำหรับสนุกต่างหาก”

อนงค์มีอาการคอแข็ง ก้มหน้า ตาจับอยู่กับสมุดเล่มน้อย นามบุคคลหนึ่งที่หล่อนเขียนไว้ในสมุดปรากฏขึ้นในสมอง พร้อมกับคำสนทนา​ที่เป็นสาระของผู้เป็นเจ้าของนามด้วย พอจำลองถามขึ้นว่า

“จริง ๆ หรือเมื่อคืนนี้น้องยังไม่ได้ตัดสินให้ใครชนะ?”

หล่อนจึงเงยหน้าขึ้นตอบด้วยเสียงเป็นปกติว่า

“อนงค์ได้บอกกับเขาทุกคนว่า ถ้าเขามีความเอาใจใส่ในอนงค์เพราะหวังจะให้อนงค์แต่งงานกับเขาละก็ ขอให้เขาถอนความเอาใจใส่เสียเถิด เพราะอนงค์จะไม่แต่งงานกับเขาคนหนึ่งคนใดเลย แต่ถ้าเขาเอาใจใส่อย่างเพื่อนฝูงธรรมดาละก็ อนงค์เต็มใจจะเป็นเพื่อนกับเขาเสมอ”

“แล้วเขาตอบอนงค์ว่ากระไร?”

“ตอบต่าง ๆ กันค่ะ รวมความก็ขอให้ได้มีความหวังอีกเล็กน้อย แต่ในที่สุดอนงค์ได้พูดจนเขาต้องเข้าใจว่าหวังก็เสียเปล่า”

“ก็ทำไม ทำไมอนงค์ถึงจะไม่แต่งงานกับเขาคนใดคนหนึ่งเสียเลย พี่มอง ๆ ดูคนที่เขามาติดพันน้องก็ไม่เห็นเขาเสียหายอะไรสักคน น้องช่างไม่ชอบใครเสียเลยทีเดียวรี?”

“ตรงกันข้ามค่ะ อนงค์ชอบทุกคนไม่มากก็น้อย แต่จะแต่งงานด้วยไม่ได้สักคนเดียว”

“ทำไม ทำไมถึงแต่งด้วยไม่ได้?”

“เพราะอนงค์ไม่รักน่ะซีคะ”

“ยากจริง ! ไอ้โรคไม่รักนี่ไม่รู้จะแก้ยังไง ไม่รู้จะส่งเจ้าเพื่อน ๆ ไปหาทิศาปาโมกข์สำนักไหนถึงจะได้วิชามาทำเสน่ห์ให้อนงค์รักได้” พูดพลางจำลองส่ายหน้าลุกจากพนักเก้าอี้ไปนั่งบนลูกกรงดังเก่า พอคนใช้ยกถาดอาหารเข้ามา เขาจึงต้องเปลี่ยนอิริยาบถอีกพร้อมกับที่อนงค์สั่งคนใช้ให้ยกเก้าอี้จากในห้อง

ระหว่างที่รับประทาน จำลองพูดขึ้นว่า

“จะหาผู้ชายที่ดีพร้อม ไม่มีที่ติเลยน่ะหาไม่ได้นา คนหนึ่งต้องมีความบกพร่องบ้างไม่มากก็น้อย”

​“แน่ละค่ะ” น้องสาวรับโดยเต็มใจ “ผู้หญิงเหมือนกัน แต่ขอให้พร่องตรงที่เราไม่ชังนัก เราก็จะทนได้”

“อ้า !” จำลองอุทาน วางขนมปังทาเนยที่ถือกัดอยู่ลงไว้ในจาน “จวนจะได้รู้ความจริงกันละ เจ้าแมลงภู่ที่มาตอมดอกกุหลาบแห่งบ้านสุขนิวาศน่ะ มีความบกพร่องจำเพาะตรงที่แม่กุหลาบหล่อนชังเสียทุกตัวยังงั้นใช่ไหม?

อนงค์ทำหน้านิ่วพลางว่า “ชั่งซักไซ้เสียจริง ๆ ! ซักแล้ว อนงค์ตอบแล้ว จะมีประโยชน์อย่างไรแก่พี่จำลองคะ”

“อ๋อ มากทีเดียวจ้ะ เพราะพี่เองก็เปรียบเหมือนแมลงภู่ตัวหนึ่ง อยากจะเรียนไว้เป็นความรู้สำหรับหากิน”

อนงค์จิบกาแฟ ๒ ครั้ง รวบรวมความคิดที่เคยคิดไว้โดยตลอดแล้วจึงตอบช้า ๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ

“คุณอุดมเป็นคนปากหวานเกินใจ คุณเติมนึกว่าไม่มีใครทั้งโลกดีเท่าตัวแก คุณสงัดใจดีแต่ปากมุทะลุ พอมีโมโหก็เห็นช้างเท่าหมู”

“๓ นายละ แล้วก็นายร้อยตรีชัดล่ะ หรือเขาถอนชื่อเสียแล้ว?”

“ถอนหรือเปล่าไม่ทราบ แต่เมื่อคืนชัดไม่ได้พูดอะไรเลย แต่เราได้เคยพูดกันก่อนหน้านี้นานแล้ว”

“นายชัดมีข้อบกพร่องข้อไหน?”

“ชัดเป็นคนมีเสน่ห์มาก แต่เป็นคนไม่มีอุดมคติ และชีวิตที่ไม่มีอุดมคตินั้นเปรียบเหมือนเรือไม่มีหางเสือ”

จำลองนิ่งไปครู่หนึ่ง ครั้นแล้วจึงว่า

“พี่เห็นด้วยกับน้องว่าคนที่ไม่มีอุดมคตินั้นเป็นคนที่หย่อนความน่านับถือ และพี่ไม่รู้จักชัดดีพอที่จะค้านความเห็นของน้อง ส่วนข้อเสียของสงัดกับเติมนั้นเห็นได้แจ้ง ๆ ค้านไม่ได้อีกเหมือนกัน ทีนี้พี่ยังสงสัยที่ตรงอุดมเขาทำอะไรให้น้องเห็นแล้วหรือว่า ปากเขาหวานเกินใจหรือน้องเดาเอาจากคำพูดเพราะ ๆ ของเขาเท่านั้น”

​อนงค์ยกศีรษะอย่างไว้ตัวแต่พอน่าเอ็นดูแล้วจึงตอบว่า

เมื่อดูนิสัยคนสำหรับเลือกไว้เป็นคู่ จะดูโดยเดาก็ล่อแหลมเต็มทีสิคะ อย่าลืมว่าอนงค์รู้จักคุณอุดมไม่ใช่เพียง ๒ วัน แล้วก็ไม่ได้พบกันนาน ๆ ที ตรงกันข้ามพี่จำลองก็เห็นอยู่เอง สมาคมใดที่อนงค์ปะปนอยู่ สมาคมนั้นก็มีคุณอุดมอยู่ด้วย”

“ถูกแล้ว และพี่ก็เคยยกนิ้วว่าน้องเป็นคนมีความสังเกตถี่ถ้วน แต่ส่วนตัวพี่ก็คบกับอุดมมานานยิ่งกว่าน้องไปอีก ยังจับเขาไม่ได้เลยว่าเขาเป็นคนที่ปากไม่ตรงกับใจ”

อนงค์หัวเราะอย่างขรึม “พี่จำลองจะจับได้อย่างไร” หล่อนว่า “ในเมื่อพี่จำลองไม่มีอะไรที่น้อยกว่าแกสักอย่าง แต่กับคนอื่นที่แกเห็นว่าไม่หรูเท่าแก วันหนึ่งแกพูดไว้อย่างหนึ่ง พ้นวันนั้นแล้วแกก็ลืมคำพูดของแกเสียเองอย่างสนิท นี่คะ อนงค์จะยกตัวอย่างง่าย ๆ ที่อนงค์ได้เห็นหยก ๆ พี่จำลองจำวันแรกที่อุดมมารับประทานอาหารค่ำที่นี่ได้ไหมคะ?”

“จำได้” จำลองตอบพร้อมกับพยักหน้า

วันนั้นอุดมได้พบกับพระอรรถคดี ฯ แกแสดงกิริยาเป็นเพื่อนที่รักใคร่พระอรรถคดี ฯ เสียเหลือเกิน ยกย่องต่าง ๆ นานา ต่อว่าต่อขานเขาว่าไม่ส่งข่าวถึง และอะไรต่าง ๆ นานา ถึงกับบอกว่าอยากไปหาที่บ้านจนนัดแนะวิธีที่จะติดต่อกันเสร็จสรรพ ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้กี่เดือนมาแล้วพระอรรถคดี ฯ เลื่อนยศจากหลวงมาเป็นพระ อุดมยังไม่รู้ อนงค์ลองเลียบเคียงถามดูทั้ง ๒ ฝ่ายได้ความว่าพระอรรถคดี ฯ ยังไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของอุดม และไม่เคยได้รับข่าวคราวจากอุดมสักคำเดียว”

พี่ชายของอนงค์ยิ้มอย่างไม่เห็นแปลกพร้อมกับพูดว่า

“คนอย่างอุดมมีสมองที่ต้องทำงานอยู่เสมอนะน้อง ทำทั้งในทางกิจการและทางสมาคม แกจึงติดจะเป็นคนขี้ลืมอยู่สักหน่อย นอกจากนั้นพี่​ก็ออกเห็นอกอุดมในข้อที่ลืมเสียสนิทว่ามีมนุษย์ชื่อพระอรรถคดี เอ้อ วินิจฉัย อ้อไม่ใช่อรรถคดีวิชัยอยู่ในโลก เพราะอีตาคุณพระคนนี้แกก็ไม่น่าจะเป็นคนที่ใครพบแล้วจะติดใจอยากพบอีก อุดมคงจะรู้สึกว่าถ้าจะไปหาพระอรรถคดี ฯ ที่บ้านละก้อ ไปหาตาขรัวเฒ่าอะไรคนหนึ่งที่วัดเห็นจะสนุกกว่า”

“อาจจะเป็นเช่นนั้นจริงสำหรับคนโก้เช่น อุดม !” อนงค์พูดพร้อมกับยิ้มเชิงเย้ย “แต่เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมแกถึงยอพระอรรถคดี ฯ เสียจนเหลือเกิน และไม่ใช่พระอรรถคดี ฯ คนเดียวที่ถูกอุดมหลอก พี่ประสิทธิ์ของเราก็เหมือนกัน เมื่ออยู่ในหมู่เราพี่น้อง อุดมดูเหมือนจะมองไม่เห็นความหย่อนตาเต็งของพี่ประสิทธิ์เสียเลย พูดด้วยเล่นด้วยอย่างสนิทสนม แต่ในสมาคมต่าง ๆ ถ้าอนงค์ไม่อยู่หรืออยู่ แกไม่เห็นว่าอนงค์มองดูแก อย่าว่าแต่อุดมจะทักพี่ประสิทธิ์ แม้แต่หน้าพี่ประสิทธิ์แกก็ไม่มอง เรื่องนี้อนงค์เคยรู้จากปากพี่ประสิทธิ์ก็รู้ และเห็นด้วยตาก็เคยเห็น”

จำลองนิ่งไปวาระหนึ่งแล้วจึงพูดว่า

“เอาละ พี่ยอมเชื่อโดยไม่ต้องเห็นด้วยตาว่าเขาอาจเป็นเช่นนั้นจริง แต่เขาเป็นกับคนอื่นต่างหาก เป็นกับคนที่ไม่ชอบ หากว่าเขาจะรักษามารยาทเขาจึงพูดให้เพราะไว้ก่อน เพราะการพูดเพราะ ๆ กับใครก็ชอบไม่ใช่หรือ เมื่อถึงคราวคนที่เขาชอบจริงรักจริงปากเขาก็ตรงกับใจ ดังนี้เราจะถือความบกพร่องแต่เพียงส่วนน้อยนั้น เป็นใหญ่เป็นโตถึงกับแต่งงานด้วยไม่ได้ จะมิเป็นการโยกโย้เกินไปกระมัง”

“แล้วแต่จะว่าเถอะค่ะ” อนงค์ตอบเรียบ ๆ “แต่ก่อนงค์ขอถามสักหน่อย การแต่งงานนั้นต้องมาทีหลังความรักใช่ไหมค่ะ แล้วคนเราน่ะจะรักคนที่เขาดีต่อตัวโดยเฉพาะ ส่วนต่อคนอื่นเขาจะดีต่อหรือไม่ดีก็ช่างยังงั้นหรือคะ อนงค์ไม่เห็นด้วย อนงค์คิดว่าเราควรจะรักคนที่เขาดีต่อเพื่อนมนุษย์เป็นส่วนมากก่อน เพราะคนเช่นนั้นเป็นที่เชื่อได้ว่าดีจริง แต่คนที่เป็นเพียงเพื่อนร่วมโลก เขาไม่ได้รักได้ใคร่เขายังดีต่อได้ ถึงคนที่เขารักเขา​จะดีสักปานไหน ส่วนคนที่ดีต่อแต่เฉพาะคนที่รักเรานั้น ถ้าเผื่อวันหนึ่งเราหายรักขึ้นมาเขามิหายดีต่อด้วยหรือคะ?”

คำตอบของอนงค์ทำให้จำลองอึ้งไป ด้วยความจริงนั้น พี่น้องคู่นี้มีส่วนคล้ายคลึงกันในอุปนิสัยมิใช่น้อย และจำลองเป็นคนที่อยู่ภายใต้เหตุผล เมื่อเข้าใจคำพูดของหญิงสาวแล้ว อดที่จะเห็นว่าหล่อนพูดถูกไม่ได้ เขาจึงไม่ได้โต้แย้ง พูดไปเสียทางหนึ่งว่า

“ถ้าผู้หญิงถือเอาข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผู้ชายเป็นเครื่องกั้นความรักเหมือนน้องเสียทุกคน พวกเราผู้ชายเห็นจะไม่รู้จักได้แต่งงานกันละ”

“แต่จะมีสามีภรรยาที่ระหองระแหงกันน้อยที่สุดอยู่หลายคู่”

คราวนี้จำลองหัวเราะดังและว่า

“ข้อนี้ไม่ยอมเห็นด้วยแน่ ๆ เพราะคนที่ไม่แสดงความบกพร่องให้ใครเห็นนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่ไม่บกพร่องเสียเลย อาจจะบกพร่องมากกว่าคนอื่นเสียด้วยซ้ำ ชั่วแต่เล่นละครเก่งถึงจับไม่ได้ง่าย ๆ”

ริมฝีปากรูปงามของอนงค์เผยอแย้ม ในลักษณะยิ้มอย่างสงสัย ความคิดแล่นไปถึงคู่สนทนาใต้ซุ้มไม้ในห้องเต้นรำอีกคำรบหนึ่ง

มีบุคคลเดินผ่านห้องมุ่งมายังดาดฟ้าเป็นคนที่ ๓ เขาสวมกางเกงแพรสีแดง และสวมเสื้อแบะคอสีน้ำเงินแก่ทับเสื้อชั้นในสีขาว ในมือถือไพ่ผ่องครบสำรับ แต่พอก้าวเท้าพ้นธรณีประตูก็พูดขึ้นว่า

“ถึงคราวสิ้นคิด มันก็สิ้นตะบิดจริง ๆ ไม่ว่าอะไรดูมันขัดข้องไปเสียหมด”

ทั้งอนงค์และจำลองมองดูพี่ชายอย่างสนเท่ห์ แสวงโยนไพ่ทั้งสำรับลงบนโต๊ะ แล้วตั้งกระทู้ใส่อนงค์ว่า

“วันนี้มีธุระอะไรไหมยะ?”

“มาแปลกอีกแล้ว” หญิงสาวคิดในใจ แล้วตอบในกิริยาสงบเสงี่ยม “มีนิดหน่อยค่ะ จะคุมให้คนใช้เก็บของ”

​“ของอะไร?”

“ชาม ถ้วย และอะไร ๆ ที่เอาออกมาใช้เมื่อคืนนี้ พี่แสวงจะให้อนงค์ทำอะไรหรือคะ”

“ช่างเถอะจ้ะ มีธุระก็ไม่กวนละ ยายแม่ครัวก็บ้า จะอาศัยสักหน่อยเกิดไม่อยู่เสียแล้ว พึ่งใครไม่ได้เสียจริง ๆ”

พูดแล้วเขาทำท่าเหมือนจะกลับเข้าไปเสีย ยังทางที่เขาออกมา อนงค์เห็นดังนั้นก็ฉวยข้อมือเขาไว้

“จะต้องการพบแม่ครัวทำไมคะ?” หล่อนถามเสียงนุ่มนวล “บ้านที่พี่แสวงอยู่นี้มีอนงค์เป็นแม่บ้าน จะต้องการให้ทำอะไรก็ใช้มาซีคะ”

แสวงเงยหน้าขึ้นสบตาน้อง น้ำเสียงของเขาอ่อนลง

“พี่จะให้แกสอนให้พี่เล่นไพ่ มันผ่องกันยังไง ได้เสียกันที่ตรงไหน?”

คนใช้เข้ามาเก็บถาดอาหาร อนงค์บอกให้ยกเก้าอี้มาตัวหนึ่งก่อน แล้วหล่อนถามพี่ชายว่า

“นึกยังไงขึ้นมาถึงจะหัดเล่นไพ่?”

“เพราะจะเอามันเป็นที่พึ่ง พี่เวลานี้พึ่งใครไม่ได้รวมทั้งตัวเอง อนงค์ก็รู้อยู่แล้ว”

“ไม่รู้ค่ะ” ผู้เป็นน้องหญิงตอบวางหน้าเฉย “ไม่รู้พี่แสวงต้องการพึ่งใครในเรื่องอะไร?”

เขาหัวเราะอย่างดุ “ถูกแล้วไม่รู้ เพราะไม่ตั้งใจจะรู้”

“ไม่จริง ไม่จริง !” เป็นคำคัดค้านอย่างแข็งแรง “ไม่รู้จริง ๆ ว่าจะพึ่งอะไร ยิ่งมีเรื่องเจ้าไพ่นี่เข้ามาเกี่ยวด้วย ยิ่งมืดใหญ่ บอกสิคะ บอกให้อนงค์รู้ตัวหน่อยว่าพี่แสวงโกรธอนงค์เรื่องอะไร?”

“ไม่ได้โกรธ ไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธ จะโกรธยังไง เป็นแต่ทุเรศตัวเองว่าตัวคนเดียว แล้วทุเรศไอ้เพื่อนว่ามันอกเดียวกับตัว”

“อ๋อ” หญิงสาวอุทานขึ้นทันที ปล่อยมือจากข้อมือแสวงยกมือปิด​ปากหัวเราะ “คนที่ ๒ ล่ะ !” หล่อนพูดไป “พี่สมพงศ์ไปไหน เชิญมาให้พร้อมกันทั้งสามคน จะได้ตั้งศาลเตี้ยชำระจำเลยในคดีไม่รับรักของผู้ชายที่พี่หามาให้ ถ้ามิฉะนั้นจำเลยจะเพลียตาย เพราะต้องแก้คดีต่อท่านผู้พิพากษาทีละคน”

แสวงมองดูหน้าจำลอง ผู้เป็นน้องยิ้มพลางพูดว่า

“อนงค์กับผมเถียงกันถึงเรื่องนี้ยังไม่จบดี เมื่อคุณเข้ามา”

“เถียงว่ายังไง?”

“อนงค์ชี้แจงให้พี่จำลองฟังว่า แต่งงานกับคุณอุดมไม่ได้เพราะอุดมพูดไม่ตรงกับใจ คุณเติมเป็นคนอวดดี ชัดไม่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ และคุณสงัดมุทะลุตึงตัง”

“รวมความว่าไม่มีใครดีกว่าโคร แล้วก็ไม่มีใครน้อยหน้าใคร” จำลองเสริมมิให้แสวงมีเวลาได้เปิดปากได้ และอนงค์ก็กระชั้นต่อไป

“ทีนี้เรามาถึงเรื่องไพ่ได้หรือยัง อนงค์ทึ่งเต็มทีแล้ว”

แสวงถูกน้องทั้งสองใช้น้ำเย็นเข้าลูบ กิริยางุ่นง่านก็คลายไป ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้พลางว่า

“ยังไง ๆ ไอ้คำที่พี่พูดแล้วมันก็ยังไม่ผิดอยู่นั่นเอง พึ่งคนไม่ได้ต้องพึ่งไพ่ ช่วยสอนให้พี่เล่นหน่อยซี เขากินกันยังไง” แล้วเขาหงายไพ่ขึ้นทั้งสำรับ

อนงค์เอื้อมแขนทับไพ่ไว้ทั้งกอง ยิ้มพลางว่า

“เดี๋ยวก่อนค่ะ บอกให้อนงค์เข้าใจเสียก่อน เหตุผลกลใดจึงต้องรีบร้อนหัดเดี๋ยวนี้”

“พิโธ่ เวลาไม่คอยท่านี่นา คิดดูทีหรืออนงค์ไม่เอื้อต่อสงัดเสียเลย แล้วสงัดเขาจะมาเอื้อกับพี่อีกหรือ พิโธ่ ! กว่าจะเข้าถึงตัวพยอมได้น่ะแสนวิบาก ได้เพื่อนมันคอยช่วยถึงได้พบปะกันบ้าง อย่างเมื่อคืนถ้าไม่ได้อาศัยบุญสงัดที่ไหนพยอมจะมา แต่เดี๋ยวนี้อนงค์ก็ถีบหน้าเจ้าสงัดกระเด็น​ไปแล้ว เจ้าแสวงมันก็ต้องกระเสือกกระสนหาทางของมันเอง”

“อ๋อ !” อนงค์อุทานเป็นคำรบสอง แต่ไม่กล้าหัวเราะอย่างเปิดเผยเช่นคราวก่อน จึงกลั้นยิ้มไว้ในหน้า เข้าใจล่ะค่ะทีนี้ จะไปเล่นไพ่กับแม่สำหรับหาช่องทางพบลูกใช่ไหมคะ?”

สีหน้าจำลองมีอาการขันไม่น้อยกว่าอนงค์ และรู้สึกว่าจะอดใจไม่ยิ้มให้เจ้าทุกข์เห็นนั้นออกจะยาก จึงลุกไปยืนอยู่ข้างลูกกรง

อนงค์สำรวมสีหน้าได้แล้ว ก็วางมือของหล่อนลงบนมือแสวงที่พาดอยู่บนพนักเก้าอี้ พลางพูดวางท่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่

“ถึงเราจะยุติเรื่องไพ่ไว้ชั่วคราวก่อน ก็จะไม่ทำให้เสียเวลาไปเปล่าเลย ขอให้พี่แสวงสงบใจสักประเดี๋ยวนะคะ พี่จำลองเชิญกลับมานี่เถอะค่ะ เมื่อตะกี้พูดถึงแมลงภู่ อนงค์ยังไม่ทันถามว่าดอกกุหลาบที่เป็นศิษย์เต้นรำเมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง?”

จำลองกลับมานั่งที่เก่า สีหน้ายิ้มอย่างคนที่มีหัวคิดเต็มไปด้วยข้อขำ เขาตอบน้องว่า

“สูดกลิ่นยังไม่พอ ไม่รู้ว่าหอมแค่ไหน?”

“หอมมากค่ะ” อนงค์รับรองอย่างมั่นใจ “กุหลาบบ้านนั้นหอมทุกดอก แต่คนที่อยากจะเด็ดมักจะตรงเข้าไปในเวลาที่ไม่เหมาะจึงโรยอยู่กับต้นเสียสองดอกแล้ว อีกสองดอกที่กำลังเบ่งบานเต็มที่นั้น ถ้ามีคนต้องการเด็ดสองคน คนละดอกก็จะเด็ดได้ง่ายนิดเดียว ไม่จำเป็นต้องไปนั่งเล่นไพ่ให้เมื่อยหลัง”

แสวงเงยหน้าขึ้นมองน้องชายอย่างตั้งใจ จำลองหัวเราะหึ ๆ แล้วตอบว่า

“พี่ยังไม่แน่ใจว่าอยากจะเด็ด”

“โถ....อยากเถอะค่ะ” ผู้เป็นน้องสาวกล่าวเสียงหวานประสานมือวางไว้บนตัก และมองดูเขาอย่างวิงวอน “อนงค์พนันได้ว่าเขาชอบพี่จำลอง​ไม่น้อย และรู้สึกว่าเขาไว้ใจพี่จำลองอย่างสนิทสนมราวกับคุ้นเคยกันมานาน ลองทำใจให้นึกอยากเด็ดเถอะค่ะ แล้วทีหลังจะเห็นว่าทำถูกทั้งจะได้ช่วยพี่ของเราด้วย คุณหญิงแม่ของเขาไม่ยอมให้ลูกคนเล็กแต่งงานก่อนพี่นี่คะ”

แต่ว่าเขาคนพี่น่ะมีความบกพร่องอยู่นี่นา” จำลองว่า

อนงค์โบกมือไปมา “อย่าเลยค่ะ” หล่อนพูดเร็ว “พบกันคืนเดียวยังเห็นข้อบกพร่องของเขาไม่ได้หรอก และถ้าหากว่าจะมีข้อบกพร่องจริง ลูกเขาทั้งคู่เป็นคนหัวอ่อน เคยอยู่ในถ้อยคำบิดามารดา เมื่อออกจากปกครองของบิดามารดา มาอยู่ในปกครองสามีแกก็คงจะอยู่ในถ้อยคำสามี จะสั่งสอนอย่างไรแกก็คงเชื่อฟัง ยิ่งอยู่กับคนฉลาด เยือกเย็น สุขุมอย่างพี่จำลองด้วยแล้ว ความบกพร่องของแกจะไม่เหลืออยู่”

บุตรชายทั้งสามของพระยานิติธรรมสุนทร มีความอ่อนแออยู่ในนิสัยประการหนึ่ง ซึ่งคนโดยมากแม้แต่น้องของเขาเองก็ตระหนักอยู่ คือลูกยอเข้าแล้วก็ลอยขึ้นดังว่าวได้ลม เพราะเหตุนี้แหละจำลองจึงมีอาการยั้งคิดอยู่นาน และในที่สุดก็ตอบแกมหัวเราะว่า

“ดูมันสับสนกันอยู่หน่อยนะ ไม่รู้ว่าใครจะเป็นพี่เป็นน้อง”

“ฉันยอมให้แกเป็นพี่” แสวงเอ่ยขึ้น “ถ้าแกรักยายสอางฉันจะออกเงินค่าแหวนหมั้นให้แก ให้ดิ้นตายซีราคาสูงเท่าไรก็สู้ทั้งนั้น”

จำลองเลิกคิ้วอย่างเห็นขัน อนงค์สนับสนุนต่อไป

“สอางน่ะแกเป็นคนสวยนะคะ เดี๋ยวนี้แกยังแต่งตัวไม่ค่อยเป็น ถ้าแกได้คู่เป็นคนมีศิลปในตัวอย่างพี่จำลองช่วยแต่งโน้นนิดเติมนี่หน่อยแกจะสวยหาตัวจับยาก เถอะค่ะ อนงค์อยากได้สอางเป็นพี่สะใภ้จริง ๆ เพราะเชื่อว่าแกจะดีแน่ เชื่ออนงค์ซีคะ ภรรยาที่สวยด้วยและหัวอ่อนด้วยจะทำให้สามีเป็นสุขมากกว่าภรรยาที่หัวแข็ง”

“อย่าเพิ่งรุกให้มากนักซิน้อง” ผู้เป็นพี่ว่า “ให้เวลาพี่ได้ดูลาดเลาบ้างซี”

​“ยังงั้นเราไปดูกันวันนี้แหละ” หญิงสาวตัดสินอย่างรวดเร็ว “รับประทานข้าวกลางวันแล้วก็ไปทีเดียว วันอาทิตย์คุณแม่มักจะเล่นไพ่ เราจะได้ไปคุยกับคุณลูก”

จำลองเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ นัยน์ตาจับน้องแน่วอยู่ พลางพูดพร้อมกับพยักหน้าน้อย ๆ

“นี่แหละคือตัวอย่างของผู้หญิงที่หัวแข็ง จะเอาอะไรจะให้ทันใจ ถ้าถึงทีของตัวละก็แก้ไปได้ต่าง ๆ นานา”

อนงค์ยิ้มจนเห็นไรฟัน จัดแจงทำไพ่เสียให้เรียบร้อย และไม่โต้ตอบว่ากระไร


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,467


View Profile
« Reply #3 on: 19 May 2022, 20:50:39 »


๒๔

ในวันเวลาเดียวกันแต่ต่างชั่วโมง เมื่อพระอาทิตย์จวนจะลับเหลี่ยมโลก พระอรรถคดีวิชัยเพิ่งเลิกจากการเขียนบทละครเพื่อประโยชน์แห่งสมาคมศุภวิทยาการ เก็บต้นร่างรวมไว้ในแฟ้มโดยเรียบร้อย จัดโต๊ะเขียนหนังสือให้เข้าระเบียบตามเดิมแล้ว เขาจึงตรงเข้าหาถาดเครื่องว่างที่ตั้งอยู่บนโต๊ะนานนักหนาจนเย็นชืดไปทุกอย่าง พระอรรถคดี ฯ บริโภคสิ่งเหล่านั้นสิ่งละคำ ๒ คำ ดื่มน้ำชาที่มีนมอันผสมอยู่ด้วยลอยขึ้นเป็นฝา ต่อจากนั้นเขาจัดแจงอาบน้ำแต่งตัวอย่างตั้งใจจะให้เร็ว เสร็จแล้วก็เที่ยวตามหาน้องสาว

พบช้อยนั่งเล่นอยู่กับบุตรีที่ในสวนหลังเรือน แม่หนูเห็นลุงอยู่ในเครื่องแต่งตัวอย่างจะออกจากบ้าน ก็ลุกขึ้นวิ่งมาหาพร้อมกับร้องว่า

“หนูไปด้วย !”

วิชัยย่นริมฝีปากขึ้นจดริมปลายจมูก ลากเสียงถามพลางอุ้มตัวหลานขึ้น

​“ตะไปหนาย”

“ไปตะลุง?”

“เย็นแล้วเดี๋ยวหนูหิวข้าว”

“หนูไม่อิ๋ว หนูตะไปตะลุง”

ช้อยลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินตรงมา ตาเขม็งจับอยู่ที่ลูกสาว วิชัยรู้ท่าจึงถอยหนีและเบี่ยงตัวหลานให้ห่างมือน้อง พลางพูดว่า

“ไม่ต้องมายุ่ง ! ลุงกับหลานเขาจะตกลงกันเอง ไปหาเสื้อหาหมวกมาให้แกเถอะ พาไปนั่งรถเสียประเดี๋ยวแล้วก็กลับมาส่งก็แล้วกัน”

“เออ ! พี่ใหญ่ก็เป็นเสียยังงี้เสมอ ยายนิดถึงได้ใจ เห็นลุงแต่งตัวเป็นต้องตาม เมื่อกลางวันก็ไปส่งคุณยายทีหนึ่งแล้ว !”

เด็กน้อยใช้สายตาอันใสแจ๋ว จ้องหน้าลุงประดุจจะคอยฟังคำตัดสิน พระอรรถคดี ฯ ไม่ปรารถนาจะโต้เถียงกับน้อง อุ้มหลานตรงไปที่เรือน จัดแจงหาหมวกหาเสื้อให้เสร็จแล้วลุงกับหลานก็ขึ้นรถไปด้วยกัน

ประมาณครึ่งชั่วโมงลุงกับหลานก็กลับมา ช้อยผู้ซึ่งนั่งคอยลูกอยู่บนสนามหน้าเรือนลุกขึ้นไปรับ หนูนิดลูกขึ้นยืนหัวเราะแฉ่งอยู่บนรถ หอบของพะรุงพะรัง ทั้งตุ๊กตา ขนมปัง และช็อกโคเล็ต สีหน้าแสดงความลิงโลดของเด็กทำให้ช้อยอดเสียซึ่งความพลอยชื่นชมด้วยไม่ได้ ถึงกระนั้นหล่อนก็ส่ายหน้าพูดออด ๆ”

“ตาย พี่ใหญ่ไปจ่ายอะไรมาเป็นกองสองกองยังงี้ ไม่ไหวจริง ดู๊ ! ยายหนู ช็อกโคเล็ตที่น้านงให้มายังไม่ได้เปิดเลย ไปกวนลุงให้ซื้ออีกแล้ว”

“หนูนิดหาใฝ่ใจในคำพูดของแม่ไม่ จับโน่นชูนี่และส่งเสียงอวดออกแจ้ว ๆ วิชัยยิ้มแป้นมองดูหลานโดยไม่พูดว่ากระไร ต่อเมื่อสุดเสียงแม่หนูแล้วเขาจึงถามข้อยว่า

“น้านงให้อะไรมาเมื่อไร?”

ให้ช็อกโคเล็ตมา ๑ หีบกับ ๑ กระป๋อง ฝากดิฉันมาเมื่อคืนนี้ ​แล้วแกสั่งว่าเหมาะ ๆ ดินฟ้าอากาศปลอดโปร่งขอให้ดิฉันกับพี่ใหญ่พาหนูนิดไปที่บ้านแกบ้าง”

ตอบพลางช้อยช่วยรับของจากมือหนูนิด พลางวิชัยพูดว่า

“แกสั่งมาเหมือนกันว่า ให้พาช้อยกับยายหนูไปหาแก เมื่อพี่จะกลับยังตามกำชับว่าอย่าลืม แล้วบอกอย่างขึงขังว่ามีเรื่องอยากจะถามและอยากจะพูดกับพี่อีก ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรของแก”

ช้อยอ้าแขนรับตัวหนูนิด แม่หนูก็ทำท่าจะปล่อยตัวให้ตกอยู่ในอ้อมแขนมารดา แต่ครั้นแล้วกลับหมุนตัวและโผเข้ากอดคอวิชัย

ช้อยหน้าขึงด้วยสำคัญว่าลูกจะแผลงฤทธิ์ไม่ยอมจากลุง พอพี่ชายของหล่อนหัวเราะและพูดว่า

“เอ๊ะ ! ยายนิดมีวิธีจูบแบบใหม่ ไปเอาอย่างใครที่ไหนมา แกเอาปากจูบ” เน

หนูนิดเอียงคอข้างซ้ายทีหนึ่ง ข้างขวาทีหนึ่งแล้วตอบเสียงแจ๋ว

“จูบอย่างน้านง”

ทั้งแม่ทั้งลุงพากันหัวเราะ เมื่อหนูนิดลงจากรถแล้ว วิชัยจึงบอกแก่น้องว่า

“ถึงเวลากินข้าวไม่ต้องรอพี่”

“ถึงไม่สั่งก็ไม่รอ” น้องสาวตอบพลางยิ้ม “วันไหนคุณแม่ไม่รับประทานข้าวบ้าน ก็ออกจะทายล่วงหน้าได้ว่าพี่ใหญ่ไม่รับประทานเหมือนกัน”

“พี่จะไปบ้านหลวงธุรกิจ ฯ” วิชัยชี้แจง “มีธุระเรื่องสมาคมบางทีจะต้องพูดกันนาน เพราะฉะนั้นเชื่อว่าเขาคงชวนกินข้าว”

พี่เลี้ยงพาตัวหนูนิดไปพ้นแล้ว แต่ช้อยยังไม่ถอยห่างจากรถ สีหน้าแสดงความยุ่งยากและลังเลใจ ในที่สุดหล่อนจึงเอ่ยขึ้น

“ดิฉันอยากจะพูดอะไรกับพี่ใหญ่สักหน่อย อยากพูดมานานแล้วแต่​ยังหาช่องทางไม่ได้ ก็เลยเรื่อยๆ มาจนกระทั่งถึงเมื่อคืนนี้มีเรื่องมากระทบ จึงคิดว่าต้องพูดให้เร็วที่สุด มิฉะนั้นจะไม่ทันการ”

“อะไรกัน?” วิชัยถาม สนเท่ห์ในอารัมภคาถาที่น้องกล่าวโดยยืดยาว

“อยากจะพูดเรื่องแม่จันทร มีคนเขาสงสัยว่า พี่ใหญ่รักเด็กคนนั้น”

“ใคร?”

“ใครเป็นคนสงสัยก่อนไม่ทราบ แต่พี่ช่วงเป็นคนเล่าให้ดิฉันฟัง”

“เล่าว่ายังไง?”

“เล่าว่าพี่ใหญ่ไปที่บ้านคุณอุไรเสมอ และท่าทางมีพิรุธว่ารักจันทร”

“แล้วเขาว่าอะไรอีก?”

“พี่ช่วงไม่ได้ว่าอะไร เขาไม่เห็นผิดร้ายที่ตรงไหน และเขาไม่เชื่อเสียด้วยซ้ำว่าพี่ใหญ่รักจริง แต่คนที่พูดกับพี่ช่วงนั่นแหละเขาวิตกไปว่าพี่ใหญ่จะถูกแย่ง”

“ใครล่ะจะเป็นคนแย่ง?”

“เขาว่าน้องของพี่ใหญ่เอง”

“ตาชัดน่ะหรือ?” กระแสเสียงวิชัยแสดงความขันมากกว่าความเชื่อ “น้องของพี่ก็มีอยู่แต่ตาชัดคนเดียว”

“ก็ตาชัดนั่นแหละค่ะ คนที่เขาพูดเขารู้มาว่าตาชัดไปที่บ้านนั้นบ่อยกว่าพี่ใหญ่เสียอีก และฉลาดหาช่องเข้าใกล้จันทรได้มากกว่าพี่ใหญ่”

วิชัยหัวเราะด้วยเสียงอันดัง

“เวร ! เวรของตาชัด !” เขาว่า “นี่แหละค่าที่แกเป็นพ่อรูปทอง ตัวแกใคร ๆ ก็อยากได้ถึงได้มีเรื่องต่าง ๆ”

“เอ๊ะ ! เรื่องนี้ไม่ได้ออกจากปากคนในบ้านจันทรนะคะ คนอื่นเขาเห็นและเขาวิตกไปเอง”

“ถูกแล้ว คนอื่นน่ะซีเขาอยากได้ตาชัด เขาถึงได้คอยระแวงสงสัย ว่าเรื่องนี้ต้องออกมาจากบ้านคุณหญิงมะยม”

​ช้อยเกือบจะระงับปากไว้มิได้ ในอันที่จะบอกว่าหลวงศักดิ์รณชิตคือตัวผู้สงสัย แต่เมื่อช่วงได้สั่งห้ามไว้เป็นเด็ดขาด เพราะสามีของช่วงเกรงผู้เป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่เมียจะตำหนิได้ว่า ตนยุ่งยากในกิจอันใช่กงการของตน ดังนั้นช้อยจึงพูดแต่เพียงว่า

คุณหญิงมะยมแกจะมารู้เรื่องที่พี่ใหญ่กับพ่อชัดไปบ้านไหนบ่อยๆ ได้อย่างไร อย่าไปพาโลแกเลยค่ะบาปเปล่า ๆ”

วิชัยทำสีหน้าไม่แยแสแล้วว่า

“ถูกแล้ว ไม่ควรจะพาใลใคร และไม่ควรจะอยากรู้ว่าใครเป็นคนซอกแซกพูดถึงเรื่องนี้ด้วย เพราะไม่มีอะไรที่จะเหลวแหลกยิ่งไปกว่า นิสัยและความเป็นอยู่ของเด็ก ๒ คนนี้ขัดกันมากนัก คนอย่างตาชัดจะรักผู้หญิงเชื่อง ๆ ซึม ๆ อย่างจันทรมันเป็นไปไม่ได้อย่างเอก พูดกันไปพูดกันมาจะทำให้ร้อนถึงเด็กเปล่า ๆ”

“ถ้าพี่ใหญ่เชื่อแน่อย่างนั้นก็ดีแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราควรคิดไว้บ้าง เพราะเช่นนั้นฉันจึงเล่าให้ฟังความจริงพี่ใหญ่ก็ได้ทำอะไร ๆ ให้ตาชัดมามากแล้ว ถึงกับไม่มีก็จำนำให้เขา---”

“ยายช่วงคงเอาอะไรมาเล่าอีกเยอะแยะซี !” วิชัยขัดขึ้นทันที น้ำเสียงส่อความไม่พอใจ “หลวงศักดิ์ ฯ นี่มันปากบอนพอใช้ !”

“อื๊อ ไปว่าเขาปากบอน ! เขาผัวเมียกันนี่คะ เงินขาดไปจากแบงค์ตั้ง ๑,๐๐๐ กว่า เมียเขาจะไม่ถามผัวหรือ แต่ดิฉันพูดนี่พี่ใหญ่อย่าหาว่ากระนั้นกระนี้ เพราะจะหวงสมบัติกันไว้ให้ลูกของตัว ไม่มีเลยดิฉันสาบานได้ ดิฉันพูดลำเลิกเตือนสติไว้ เพราะกลัวไปว่าเมื่อได้ให้อะไร ๆ จนหมดแล้ว ในที่สุดจะถึงคราวที่พี่ใหญ่จะต้องยกคู่รักให้เขาเสียอีก”

เห็นพี่ชายไม่ได้ตอบ แต่ทำหน้าอย่างที่จะอธิบายให้ถูกต้องได้โดยยาก ช้อยจึงถอยห่างจากรถและพูดว่า

“ดิฉันพูดจบเรื่องแล้ว จะไปไหนก็เชิญเถอะค่ะ”

​วิชัยขยับตัวให้ตรงพวงมาลัยแล้วก็ออกรถไป

ในระหว่างทาง เป็นธรรมดาที่วิชัยจะได้หวนคิดถึงคำพูดของน้องหญิง แต่เขาคิดด้วยใจผ่องแผ้วปราศจากคติและวิหิงสา ข้อระแวงของช้อยไม่ทำให้เขาสะดุ้งสะเทือนอย่างใด ดังที่เขาได้แสดงความเชื่อมั่นแก้ช้อย แล้วเมื่อคืนนี้ยิ่งกว่าคืนใดๆ หมด วิชัยปลงใจอย่างแน่วแน่ว่าเขาเห็นด้วยกับการเลือกของน้องชาย ดูทั้งรูป ดูทั้งท่วงทีกิริยา ดูทั้งแนวความคิดความเห็นที่เขาทั้งคู่ได้รับการศึกษา ชัดกับอนงค์ช่างเหมาะสมกันราวกับเขาเกิดมาสำหรับกัน ชัดจะต้องเป็นคนวิตถารสักปานไหนถ้าเขาปล่อยให้อนงค์หลุดจากมือไปเสีย เพราะความผิดของตัวเอง ภายหลังที่ได้สนิทชิดเชื้อกับหล่อนมานานเท่าที่เป็นอยู่แล้วในปัจจุบันนี้

รวมหัวข้อต่าง ๆ ดังกล่าวแล้วก็มีความเชื่ออย่างใหม่เกิดขึ้นแก่วิชัยอย่างหนึ่งคือ หญิงที่บุคคลทั่วไปลงความเห็นต้องกันว่า “เปรี้ยว” ไม่จำเป็นที่จะต้องไร้เสียทีเดียวเรื่องความดี เพราะเหตุดังนั้นหญิง “เปรี้ยว” จึงอาจจะเป็นได้ทั้งหญิงสาวที่น่ารัก ภรรยาที่มั่นในหน้าที่มารดาที่เป็นพรหมของบุตร และสะใภ้ที่ไม่เหยียบย่ำญาติของสามี ถ้าแม้ว่าเจ้าหล่อนจะ “เปรี้ยว” โดยรู้ตัว และยึดหลักธรรมแม้เพียงบางข้อไว้ประจำใจไม่สักแต่ว่าหลับตาทำตามอย่างเขาอื่นเยี่ยงหญิงโฉด ที่ได้รับการศึกษาอบรมชนิดครึ่ง ๆ กลาง ๆ

พระอรรถคดี ฯ ลงจากรถที่บ้านหลวงธุรกิจ ฯ เห็นเด็กวิ่งเล่นอยู่บนสนามหน้าตึกเป็นฝูงใหญ่ เด็กคนหนึ่งที่วิชัยเคยเห็นบ่อย ๆ จนจำได้ วิ่งมาคุกเข่าตรงหน้าเขาและรายงานว่า

“ท่านไม่อยู่เจ้าค่ะ ไปศพคุณพระอะไรไม่ทราบคุณผู้หญิงก็ไปด้วย”

วิชัยมีกิริยาลังเลเล็กน้อย ในที่สุดจึงถามว่า

“คุณเล็กล่ะ ไปด้วยหรือเปล่า?”

“เปล่าค่ะ คุณเล็กเดินไปทางโน้น ดิฉันไปตามให้นะคะ”

วิชัยยังมิทันได้ตกลงใจ เด็กผู้อาสาก็ลุกแล่นไปจากเขาเสียแล้ว

ถือวิสาสะ เพราะเหตุเจ้าของบ้านเคยต้อนรับตนในฐานคุ้นเคยและเจนกับบ้านเกือบจะเข้าทุกซอกทุกมุม วิชัยจึงไม่สละเวลายืนคอย ปราศรัยแต่บุตรหญิงชายของเจ้าของบ้านที่โลดเต้นอยู่บนสนามแล้ว เขาออกเดินไปช้า ๆ ไปตามที่เด็กวิ่งนำไป บ้านใหม่ของหลวงธุรกิจ ฯ นี้ใหม่แต่ตัวตึก ส่วนเนื้อที่เป็นที่เก่าแก่ของตระกูล จึงมีสภาวะแสดงถึงการได้รับความบำรุงตบแต่งอันดี ต้นไม้ทั้งใหญ่ทั้งน้อยทั้งไม้ดอกผลไม้ใบปลูกอยู่มากหลาย นั่นกุหลาบ โน่นสายหยุด นี่ทับทิม นั่นเฟิน แต่ละต้นแตกใบ แตกกิ่ง แตกดอกงดงามสดชื่น และดูสลับสล้าง วิชัยเดินพลางชมพลางมีใจอิ่มเอิบตามธรรมดาของคนผู้จะได้เข้าใกล้สิ่งที่เป็นยอดปรารถนาแห่งใจ ซุ้มราตรีตั้งเด่นอยู่ตรงหน้า วิชัยกำลังจะเลี้ยวหลีกไม้ซุ้มนี้ ก็เห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งปรากฏตัว​ขึ้นในที่ใกล้ เขาจูงมือกันบ่ายหน้ามาทางวิชัยในอาการเดินใกล้วิ่ง และก่อนที่วิชัยจะรู้ตัวว่าสิ่งใดมาอย่างไรไปอย่างไร เขาผู้ชายได้คว้ามือวิชัยไว้ทั้ง ๒ ข้าง แต่เขาผู้หญิงยืนบังหลังเขาผู้ชายอยู่

“พี่ใหญ่ ! มาพอดีราวกับเทวดาดลใจ !” นายร้อยตรีชัดพูดเร็วแทบว่าจะไม่หายใจ ความตื่นเต้นปรากฏอยู่ในสีหน้าและแววตา “เรา ๒ คนกำลังต้องการที่พึ่งอย่างเร็วที่สุด เรารักกัน เราตกลงกันแล้ว พี่ใหญ่ต้องช่วยจัดการให้ผม จันทรมีเรื่องกลัวหลายร้อยอย่าง ผมรับรองเท่าไรแกก็ไม่เชื่อ ต้องให้พี่ใหญ่ช่วยรับรองอีกคนหนึ่ง”

ถึงแม้ อสุนีบาต จะได้ฟาดเปรี้ยงลงมาตรงหน้าจะไม่ทำให้วิชัยจังงังไปได้ถึงเพียงนี้ ในเวลานั้นดูเหมือนว่าโลกกำลังหมุนติ้ว ฟ้าถล่มตึกรามบ้านช่องพังทลายลงทับกัน ต้นไม้ใหญ่น้อยถอนรากจากดินพุ่งโคนขึ้นชี้ฟ้า วิชัยยืนตัวแข็ง มองดูผู้ที่อยู่ตรงหน้าก็เห็นร่างของเขาได้แต่เพียงราง ๆ ลมขึ้นหูดังหวี่ง ๆ ฟังเสียงใด ๆ ก็ไม่ได้ศัพท์ คำพูด ๓ คำก้องอยู่ในสมอง “เรารักกัน เรารักกัน” รู้สึกคล้ายกับว่าเป็นค้อนเหล็กขนาดหนักตีซ้ายย้ายขวาซ้ำซากอยู่ในขม่อมแทบว่า จะทำให้ศีรษะแยกแยะออกในบัดนั้น !

แต่มนุษย์ใดมีมโน อันเคยแก่การอบรมฝึกฝนให้อยู่ในธรรม มนุษย์นั้นจะมีสันดานเป็น ๒ ในร่าง ๆ เดียว สันดานหนึ่งเกิดพร้อมกับร่างกาย มีอันเป็นตามธรรมชาติ มักจะฉุดคร่าห์มโนไปในทางต่ำ อีกสันดานหนึ่งเกิดขึ้นพร้อมกับความรู้จักผิดชอบของมนุษย์ ย่อมชักนำมโนไปในทางสูง เมื่อมโนถูกนิฐารมณ์กระทบ ทำให้สะดุ้งหวั่นไหวสันดานทั้ง ๒ จะเข้ากระหนาบข้าง สันดานเดิมรบเร้าชี้ช่องให้ทำตามอคติ ๔ สันดานใหม่กระซิบเตือนให้ทรงอยู่ในความเที่ยงตรง และสติสัมปชัญญะเป็นธรรม มีอุปการมากแก่ผู้ประพฤติธรรม เมื่อวิชัยดวงมโนถูกอนิฐารมณ์กระทบจนสั่นสะเทือนซวนเซไป ทำให้เขาลืมตัวอยู่ชั่วขณะ ครั้นได้สติคือความระลึกได้ เกิดสติสัมปชัญญะคือความรู้ตัว กรรมทั้ง ๒ นี้พร้อมกับเตือนใจ สันดาน​ใหม่เป็นฝ่ายรุก สันดานเดิมตั้งต้นถอย วิชัยจึงเขย่ามือน้อง และพูดด้วยเสียงคล้ายละเมอ

“อะไรกัน พูดให้ช้า ๆ หน่อย ฟังไม่รู้เรื่องเลย”

“พี่ใหญ่ท่าจะไม่สบาย” ชัดกล่าวเพ่งมองดูพี่ชายเต็มตา “หน้าซี๊ดซีดเขียวเลย โรคเส้นประสาทกำเริบอีกกระมัง”

สันดานเดิมบอกให้กระชากมือจากชัด สันดานใหม่เตือนให้ระงับไว้ วิชัยขบฟัน ตาขุ่น แต่มือยังคงจับมือน้องอยู่ เขาพูดเสียงเกือบเป็นกระโชก

“มันไม่ใช่เวลาที่จะมายุ่งกับไอ้เส้นประสาท หรืออะไรบ้า ๆ เหล่านี้เลย พูดเรื่องแกต่อไปซี”

ชัดถอนมือจากพี่ชาย หันไปจับมือจันทรรั้งให้มายืนคู่กับตนแล้วจึงว่า

“เรื่องเกิดจากเมื่อคืนนี้ การที่จันทรไปกับผมนั้นคุณอุไรไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรมาก เป็นแต่ถามจันทรว่าจันทรกับผมน่ะชอบพอกันแค่ไหน พูดง่าย ๆ ว่าเรารักกันหรือเปล่า ถ้ารัก ผมควรจัดการให้ถูกตามประเพณี แทนที่จะพาจันทรไปควงเล่นตามใจ แต่ถ้าไม่ได้รักกันการติดต่อระหว่างผมกับจันทรเวลานี้เป็นการน่าเกลียดไปแล้ว ต่อไปจันทรจะสนิทสนมกับผมอย่างแต่ก่อนไม่ได้”

พระอรรถคดี ฯ เหลือบตาจากที่ต่ำมองดูหน้าหญิงสาว สบดวงตาคู่ที่ตนเคยเพ่งด้วยความพิศวาส ให้ร้อนในอกดังจะพองพุขึ้นในบัดนั้น ทนดูต่อไปไม่ได้จึงมองเลยไปเสียทางอื่น ชัดพูดต่อไป

“ผมมาถึงก่อนพี่ใหญ่ราวสักชั่วโมงหนึ่ง เมื่อมาถึงจันทรไม่ยอมให้พบ ต้องใช้ไม้โกหกหลอกว่ามีธุระของหลวงธุรกิจ ฯ พี่ใหญ่ใช้มา แกจึงลงมาหาพูดกันไปพูดกันมาเป็นนานถึงได้ความจริง ตกลงว่าเราต่างคนต่างรักกันเดี๋ยวนี้ จันทรเล่าว่าอุไรพูดถึงลูกสาวคุณหญิงมะยมด้วย แกกลัวจะเกิดขัดข้องทางคุณแม่ ผมบอกกับแกว่าผมมีพี่ใหญ่เป็นที่พึ่ง เรื่องทางคุณ​แม่ไม่ต้องเอามาเป็นกังวล ถ้าพี่ใหญ่เห็นดีคุณแม่คงไม่ขัด เพราะเคยมีตัวอย่างมาแล้ว เมื่อคราวพี่ช่วงกับพี่ช้อย”

“แกจะให้พี่ทำอะไร”” พระอรรถคดี ฯ ถามเสียงต่ำสุด แม้กระนั้นยังรู้สึกว่าเสียงของตนสั่นเครือ

ชัดหัวเราะและว่า

“ผมเองก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าพี่ใหญ่จะช่วยผมได้ เมื่อเด็กมาบอกว่าพี่ใหญ่มา ผมเกือบจะฉุดจันทรออกวิ่ง เพราะเรากำลังเถียงกันเรื่องคุณแม่กับคุณหญิงมะยมจนเกือบคอแห้ง” เบือนหน้ามาทางคู่รัก “เอาซี เรื่องอะไรที่เธอไม่เชื่อชัด เชิญถามพี่ใหญ่ดูซี คำตอบจะตรงกันไหม”

จันทรยิ้มและหลบตาลงอย่างเอียงอาย วิชัยผ่อนลมหายใจด้วยความลำบาก หันหน้าตรงไปทางจันทรในท่าเตรียมตอบคำถาม แต่หาอาจมองดูหน้าหล่อนเต็มตาไม่

“เท่านั้นเอง !” ชัดกล่าว ยิ้มอย่างมีชัย “พอตัวพยานมาถึงเธอก็เชื่อฉันได้โดยไม่ต้องซักพยานสักคำ” จับมือหล่อนเขย่าและบีบแรง “ร้ายกาจเหลือเกิน พูดอะไรก็ไม่เชื่อ หาว่าหลอกร่ำไป” แล้วมืออันขาวและเรียวดังลำเทียน ก็แนบอยู่กับริมฝีปากเขาโดยเจ้าของมือพยายามขัดขวางอย่างอ่อนแรง

พระอรรถคดี ฯ เงยหน้ามองดูฟ้า ครั้นแล้วก็ก้มดูดินมีความรู้สึกร้าวระบมทั้งกายและใจ ในที่สุดอาศัยความเข้มแข็งประจำนิสัย เขาพูดว่า

“เมื่อโจทก์ไม่ถาม หมายความว่าไม่ต้องการพยานแล้ว ขอลาไปธุระที่อื่นต่อไป”

พูดแล้วเขาก้มศีรษะให้หล่อน ชำเลืองดูดวงหน้าอันงามแฉล้มเป็นคำรบสุดท้าย แล้วก็ออกเดินโดยเร็ว


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,467


View Profile
« Reply #4 on: 19 May 2022, 20:53:46 »


๒๕

เช้าวันรุ่งขึ้น วิชัยมิได้มีอาการผิดแผกกว่าที่เคยเป็นโดยอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อดวงตะวันฉายแสงเพียงอ่อน ๆ บุรุษผู้นี้มีบุหรี่ที่จุดแล้วอยู่แล้วอยู่ในมือเดินดูต้นไม้ในบ้าน ครั้นได้เวลาอาหารเขาก็รับประทานร่วมกับมารดาและน้อง เสร็จแล้วก็แต่งตัวไปทำงานตามเวลา

ตรงกันข้ามนายร้อยตรีชัด ทั้งสีหน้าน้ำเสียงและกิริยา ล้วนแต่ผิดปกติ ทั้งชื่นบาน ทั้งตื่นเต้น ทั้งร้อนรี้ร้อนรน เมื่อพี่ชายอยู่ในสวน เขาก็ตามเข้าไปที่ในสวนและดูเหมือนจะได้พูด พูด บูด ให้พี่ชายฟังอยู่ตลอดเวลา ครั้นวิชัยขึ้นรถจะไปศาล ชัดก็ขอตามไปด้วยอีกคน

กิริยาอาการของชัดที่ตามติดพี่ชายอยู่เช่นนั้น คุณนายชื่นเห็นแล้วยิ้มด้วยความพอใจ เพราะว่าเป็นธรรมดาของแม่ เมื่อเห็นความรักที่ลูกต่อลูกแสดงต่อกันเป็นที่ชื่นตา ยิ่งกว่านั้น คุณนายชื่นเคยสังเกตเห็นว่า หมู่ไหนชัดเฝ้าเกาะพี่ชายอยู่ หมู่นั้นชัดจะหยุดเที่ยวไปพักหนึ่งและเวลากลับบ้านของวิชัย ก็เปรียบเหมือนนาฬิกาที่คอยเตือนชัดให้รู้จักเวลาที่ควรถึงบ้าน​ด้วยเหมือนกัน

ในส่วนเหตุผลและกำหนดกฎเกณฑ์ ที่ชัดจะโปไหนมาไหนกับพี่ชายใหญ่นั้น คุณนายชื่นมิได้ตระหนัก ท่านเชื่อเอาเองว่าชัดมีเวลารักพี่ติดพี่แล้วก็มีเวลาเบื่อพี่ห่างจากพี่ ดังที่ท่านเคยเห็นว่าเขาเป็นเช่นนั้น แม้กับตัวท่านเองผู้ซึ่งเป็นแม่ของเขา ทั้งนี้ก็มีส่วนแห่งความจริงอยู่บ้าง เว้นแต่ไม่จริงทุกคราวไป

ในเรื่องเช่นนี้ ช้อยมีอาการสอดส่องดีกว่ามารดาเพราะประการที่หนึ่งอาศัยเหตุตามที่ได้กล่าว ความสังเกตจดจำที่ได้ยินและได้เห็นเป็นคุณสมบัติส่วนหนึ่งของช้อยที่เกิดและเจริญขึ้น ตั้งแต่เมื่อหล่อนเป็นผู้ครองเรือน ประการที่สอง เมื่อสามีของช้อยหาชีวิตไม่แล้วก็มีบุรุษแต่เพียงคนเดียว คือพระอรรถคดีวิชัยที่ช้อยมอบให้ซึ่งความรักและความเชื่อมั่นในน้ำใจ จึงเป็นธรรมดาซึ่งหล่อนย่อมเอาใจใส่ ในความเป็นอยู่และการเกี่ยวข้องของเขาแก่คนอื่นอยู่เป็นนิจ ช้อยมักตั้งคำถามเมื่อเห็นช่องควรถาม ออกปากเตือนเมื่อเห็นควรที่จะเตือน ฝ่ายวิชัยแม้จะชังการกล่าวความดีของตัวกล่าวความชั่วของผู้อื่น แต่ก็ชังการกล่าวเท็จไม่น้อยไปกว่า ดังนั้นเมื่อช้อยเห็นกิริยาของชัดในตอนเช้าแล้ว จึงเกิดปัญหาขึ้นในใจว่า

“ตาชัดตั้งต้นประจบคราวนี้ พี่ใหญ่จะหมดเปลืองเข้าไปอีกสักเท่าใดหนอ?”

วันต่อมาชัดยังเคียงข้างพี่ชายไม่รู้ห่าง ยิ่งเพิ่มความอยากรู้ให้ช้อยเป็นทวีคูณ

วันหนึ่งในหมู่นี้ พระอรรถคดีวิชัยกลับจากที่ทำการตรงเข้าในห้อง ถอดเสื้อชั้นนอก ถอดถุงเท้า รองเท้าเสร็จแล้วก็เอนตัวลงบนเตียงนอน มือก่ายหน้าผากตาลอยจับอยู่ที่เพดานมุ้ง

เสียงฝีเท้าน้อย ๆ ซอยถี่เข้ามาในห้อง วิชัยแลไปดูแต่ยังไม่เปลี่ยนอิริยาบถ ก็ประคองแก้มเขาทั้ง ๒ ข้าง ส่วนแขนน้อย ๆ เท้าอยู่​บนหน้าอกเขา

พระอรรถคดี ฯ ยกแขนจากหน้าผาก เอกเขนกขึ้นและทำท่าจะจูบแก้มแม่หนูที่คลออยู่กับจมูก หนูนิดหัวเราะและหลบอย่างว่องไว แล้วอธิบายกิริยาปฏิเสธของตนโดยเร็ว

“ลุงหน้าดำ !”

เขายิ้มลักษณะเศร้าผิดจากที่แม่หนูเคยเห็น จับมือพลางจูบพลิกศีรษะมาแนบกับขาของเด็กและนิ่งอยู่ในท่านั้น

“แม่แอบดูที่ประตู !” เด็กน้อยตอบ แล้วก้มลงกระซิบที่หู “หนูอยากไปเตี้ยว”

“ไปเที่ยวที่ไหน?” วิชัยกระซิบเช่นเดียวกัน

“ไปไหน ๆ ๆ ๆ นั่งไปตะลุง”

“ลุงไม่สบายอยากอยู่คนเดียว ปิดประตูนอนไม่ให้ใครเห็นหน้า แต่หนูจะอยู่เป็นเพื่อนลุงก็ได้ อย่าเพ่อไปเที่ยวเลยนะชื่นใจของลุง”

มีอะไรอย่างหนึ่งในน้ำเสียงและแววตาของเขา ทำให้เด็กน้อยใจแห้งไปด้วย เพราะฉะนั้นถึงแม้จะประหลาดใจในคำปฏิเสธซึ่งแม่หนูไม่เคยได้รับจากลุงมาก่อน แม่หนูก็มิได้รบเร้าต่อไป พิศดูหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ถามขึ้นว่า

“ลุงไม่สบายแล้วตายไหมจ๊ะ?”

คำถามนี้เกือบทำให้วิชัยหัวเราะได้ กอดร่างอันกระจ้อยร่อยไว้แน่นพลางกล่าวตอบ

“คิดว่าไม่ตาย ถ้าลุงตายเวลานี้หลายคนจะลำบากหนูเป็นต้น” พูดแล้วก็ถอนใจ

“พ่อหนูยังตายเลย” หนูนิดเถียง “คุณยายบอกว่าพ่อกินยายาก”

“เพราะว่ากินยายากถึงได้ตายหรือจ๊ะ?” ดีแล้วหนูจำไว้แม่เขาให้กินยาละก็อย่าร้องไห้ ไม่ยังงั้นจะตายเหมือนพ่อ”

​มารดาของเด็กแสดงตัวให้ปรากฏอยู่ตรงช่องประตู เห็นพี่ชายนอนอยู่บนเตียง จึงเลยเข้ามาข้างในและถามว่า

“ไม่สบายหรือคะ พอกลับมาถึงก็นอนทีเดียว”

“เมื่อย” เป็นคำตอบสั้น ๆ

“เป็นไข้เส้นละกระมัง หนาวไหมคะ หน้าด๊ำดำ”

“อีกคนหนึ่งละ” วิชัยกล่าว ซ่อนความหงุดหงิดไว้โดยยาก “แม่ลูกช่างพูดเหมือนกันจริง เมื่อตะกี้จะจูบยายนิดแกไม่ยอมให้จูบ บอกว่าลุงหน้าดำ”

“ก็จริง ๆ นี่คะ หน้าตาพี่ใหญ่ไม่เหมือนทุกวัน เป็นอะไรแน่น่ะ”

วิชัยผลุดลุกขึ้นนั่งอย่างว่องไว “อะไรกันนะจะมาช่วยกันเกณฑ์ให้พี่เจ็บหรือนี่ผ่าซี เดี๋ยวก็จะเจ็บเสียจริง ๆ หรอก ยายนิดมีการถามว่าลุงจะตายไหมยังงี้”

ช้อยหัวเราะ แต่พร้อมกันนั้นสีหน้าของหล่อนก็เผือดไป หันไปว่าแก่ลูกว่า

“ถามอะไรอย่างนั้น ลุงตายหนูก็แย่น่ะซี แม่ตายเสียดีกว่า”

พระอรรถคดี ฯ ลุกขึ้นจากเตียงเดินมาที่โต๊ะเครื่องแป้ง หยิบหวีขึ้นหวีผม หนูนิดเดินต้วมเตี้ยมไปรอบห้อง เพื่อเสาะหาของต้องใจ ช้อยพิศดูหน้าพี่ชายในกระจก มองเห็นความเคร่งขรึมและเหี่ยวแห้งจนผิดตา ความจริงในระยะ ๒-๓ คืนที่แล้วมานี้ช้อยรู้ว่าวิชัยอดนอนมากเพราะเมื่อหล่อนตื่นขึ้นในตอนดึกแม้ล่วงยาม ๓ แล้ว หล่อนเห็นแสงไฟในห้องของเขายังเปิดสว่างทุกคืน ซึ่งหล่อนคาดว่าเขาคงจะนั่งเขียนเรื่องละครอยู่จึงไม่คิดเป็นการประหลาดแต่อย่างใด แต่บัดนี้เมื่อได้เห็นแววตาที่เคยร่าเริงสดใสกลายเป็นขุ่นมัว ผิดจากแววตาปกติของวิชัย ช้อยให้รู้สึกสนเท่ห์และเกิดกังวลขึ้นทันที เมื่อได้มองดูเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ช้อยเอ่ยถามขึ้นว่า

“หมู่นี้ตาชัดประจบพี่ใหญ่ตัวเป็นเกลียว เขาจะเอาอะไรที่พี่ใหญ่​อีกคะ”

วิชัยสะดุ้งจนช้อยมองเห็นได้ ก้มหน้ามองดูผ้าโต๊ะนิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง จึงหันมาทางช้อย ตอบด้วยเสียงอันเบา

“เขารักจันทร”

ถึงคราวช้อยต้องสะดุ้งบ้าง แล้วย้อนถามไปทันที

“จริง ๆ หรือนี่ ที่ใคร ๆ เขาสงสัยน่ะถูกของเขาหรือ?”

“ถูกของเขาถูกของช้อยด้วย” วิชัยตอบหัวเราะในลักษณะฝืนจนช้อยเห็นแล้วให้รู้สึกเสียวปลาบในใจ “วันนั้นเอง พี่ไปพบเขาที่บ้านหลวงธุรกิจ ฯ เขาจูงกันมาหาพี่บอกว่าเขารักกันแล้ว”

“ต๊ายตาย !” ช้อยอุทานเกือบเป็นเสียงคราง “แล้วพี่ใหญ่ว่ายังไงยกให้เขาหรือ?”

วิชัยก้มหน้าลงต่ำ ช้อยไม่อาจเห็นความปวดร้าวในแววตาเขาได้ แต่น้ำเสียงของเขานั้นแสดงความรู้สึกตรงกับหัวใจ ฟังได้ถนัด

“พี่บอกแล้ว เขาจูงกันมาเล่าความจริงให้พี่ฟัง !” เงยหน้าขึ้นในทันที ทันใดขณะที่พูดต่อ “มันน่าประหลาดหรือที่จันทรรู้จักชัดเท่ากับพี่แล้วแกรักชัด ไม่น่าประหลาดเลย เพราะเช่นนั้นใคร ๆ เขาก็ทายถูก”

“โธ่ ก็ผู้หญิงอื่นมีถมไป ทำไมตาชัดถึงต้องแย่งพี่ใหญ่” ช้อยกล่าว น้ำเสียงแสดงความขัดแค้นอย่างที่สุด “อะไร ๆ ก็ให้ทั้งนั้น ยังไม่พออีกหรือ”

วิชัยยิ้มอย่างน่าสมเพช “คนที่เคยให้จะต้องให้ไปจนตาย” เขาพูดเรียบ ๆ

“แล้วคนที่เคยเอาได้ก็เอาร่ำไปยังงั้นซี คนเวร”

“แต่เรื่องนี้โทษตาชัดไม่ได้ เพราะแกไม่รู้ ผู้หญิงคนนี่ทั้งสวยทั้งน่ารัก ใครเข้าใกล้ก็จำเป็นต้องหลง”

“แต่ตาชัดควรจะดูตาม้าตาเรือบ้าง ผู้ชายด้วยกันช่างไม่รู้ท่ากันบ้างหรือ แต่คนที่เขาเห็นที่ใหญ่เผิน ๆ เขายังอ่านออก พี่ใหญ่ก็เหมือนกับ​คนที่ไม่มีตา ไหนยืนยันกับดิฉันเมื่อวานนี้เองว่า ตาชัดยังไงก็ไม่รักผู้หญิงอย่างจันทร !”

วิชัยถอนใจยาวแล้วพูดอย่างหมดอาลัย

“นั่นแหละ อะไรที่พี่ยืนยันมันไม่จำเป็นจะต้องถูกไปทุกที เพราะฉะนั้นมันถึงต้องเป็นอย่างนี้”

ช้อยนั่งลงกอดเข่าหลังพิงฝาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็เอ่ยขึ้นอีก

“ตกลงว่าเขารักกันแล้วพี่ใหญ่จะแก้ไขอย่างไร?”

“แก้อะไร?” น้ำเสียงวิชัยแสดงความพิศวง “แก้คนที่เขารักกันแล้วให้หายรักยังงั้นหรือ พูดเป็นบ้าไปได้”

“ก็พี่ใหญ่ก็รักจันทรเหมือนกันนี่ รักเอามากเสียด้วยซี ตั้งแต่เกิดเรื่องมาจนถึงวันนี้ เพียง ๓ วันเท่านันพีใหญ่ยังทรุดโทรมจนผิดตา ดิฉันนึกสงสัยอยู่แล้วทีเดียว ต้องคิดอ่านแก้ซีคะ พี่ใหญ่เป็นคนรักก่อน จะให้เขามาแย่งไปเสียยังไง”

พระอรรถคดี ฯ สะบัดหน้าอย่างฉุนเฉียว “นี่จะมายุให้พี่เสียคนหรืออย่างไร ชัดแย่งจันทรจากพี่เพราะความไม่รู้ แกก็ไม่มีบาป ส่วนพี่สิรู้แล้วจากปากน้องเอง น้องวิ่งมาขอร้องให้ช่วยเสียด้วยซ้ำ พี่จะกลับไปแย่งน้องอีก มันมิเลวยิ่งกว่าสัตว์หรือ”

“ไม่เลว มีหนทางที่จะทำโดยไม่มีใครจะว่าพี่ใหญ่เลวไม่ได้” ช้อยยืนยันไม่ลดละ แสดงความบึกบึนในนิสัยเต็มตัว “ถ้าเป็นดิฉันจะแย่งจันทรกลับมาโดยไม่ต้องทำอะไรเลย คิดดูทีหรือ เวลานี้คุณแม่กำลังจะหมั้นผู้หญิงให้ชัดอยู่แล้ว ชัดกลับไปรักจันทร ใครจะเป็นคนจัดการให้ แล้วถ้าไม่มีใครจัดการชัดจะได้จันทรมาโดยอย่างไร ลงท้ายเรื่องก็จะเหลวไปเอง”

“เรื่องมันอาจจะไม่เหลว แต่มันจะเหลวด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย ไม่มีใครจัดการ เด็กรักกัน มันก็จะตามกันมาจะว่ายังไง?”

“อุ๊ ไม่ต๊ามไม่ตาม ตามไม่ได้ จันทรไม่ใช่เด็กหัวแข็ง อ่อนแอปั๊วเปี๊ย​ออกจะตาย แล้วผู้ใหญ่เขาก็ไม่โง่ ถ้าเขารู้เรื่องเมื่อไร ที่เขาจะยอมให้ติดต่อก้นได้น่ะอย่าหมายเลย”

“ถ้าเช่นนั้นผู้หญิงก็จะมีแต่ตรอมใจ ข้างผู้ชายก็จะเตลิดเปิดเปิงใหญ่ น้ำใจเราจะทนนิ่งดูความทุกข์ของเด็กหรือ”

“โอ๊ย ทุกข์ไม่ทุกข์ ตรอมก็ไม่ตรอม จันทรไม่ใช่ผู้หญิงชนิดที่จะยอมตายเพราะความรัก ตาชัดยิ่งไม่ยอมใหญ่ ถ้าจะเตลิดก็เพราะสันดานมันจะเป็นเอง ดิฉันเอาหัวเป็นสินพนัน ๓ เดือนเท่านั้น ถ้าคน ๒ คนนี่ยังไม่ลืมกันละก็ พี่ใหญ่ตัดเอาหัวดิฉันไปเถอะ พิโธ่ดิฉันรู้จักจันทรดีนี่นา แกก็เหมือนนุ่นหรือสำลีเรานี่เอง ลมพัดไปทางไหนก็ปลิวไปทางนั้น ดิฉันไม่เชื่อสักนิดว่าแกรักชัดมากกว่าพี่ใหญ่ แต่ว่าชัดเป็นคนพูดก่อนแกก็ตกลงกับชัดก่อนเท่านั้นเอง”

ชั่วเวลา ๒-๓ นาทีที่โต้แย้งกันอย สีหน้าวิชัยเปลี่ยนไปหลายครั้ง ในนาทีสุดท้ายหัวใจเขาเต้นแรงขึ้นอย่างประหลาด แต่ในที่สุดหิริและโอตตัปปะมีอำนาจเหนือความรู้สึกใด ๆ วิชัยจึงส่ายหน้าแล้วพูดว่า

“หยุดพูดกันถึงเรื่องนี้กันเสียทีดีกว่า พูดมากคิดมากบาปแก่ใจเปล่า ๆ พี่ตกลงกับชัดไว้แล้วว่าจะจัดการให้เรียบร้อย”

ช้อยมองดูพี่ชายเขม็ง “รับจะจัดการให้เขาด้วย” หล่อนร้องเสียงดังแล้วนึกต่อในใจ “พ่อคนใจพระยังงั้น มาทำหน้าแห้งเอาแก้วอะไร”

“ตาชัดสัญญากับพี่ด้วยเกียรติของทหารและลูกผู้ชายว่าจะไม่เที่ยวเสเพลและเป็นหนี้ใคร เพราะความเหลวแหลกตั้งแต่นี้ต่อไป พี่สัญญากับเขาว่า จะจัดการเรื่องนี้โดยตลอด วันนี้จะไปพูดกับอุไร คิดว่าจะไม่ลำบากยากเย็นนัก หนักใจอยู่นิดเดียวที่ตรงคุณแม่ ไม่รู้ท่านจะมาท่าไร”

“ฉันจะยุคุณแม่ให้ขนาบใหญ่ อยากทำเป็นคนวิเศษ” ช้อยบอกแก่ตัวเอง แล้วหล่อนนิ่งเสียเหมือนไม่สนใจในคำพูดของเขา

วิชัยยังยืนนิ่งตาลอยอยู่อีกครู่หนึ่ง ครั้นแล้วเขาเดินไปหยิบผ้าเช็ด​ตัวขึ้นพาดบ่า และตบศีรษะหนูนิดผู้กำลังใช้กลักไม้ขีดสร้างบ้านอยู่ตรงกลางห้อง แล้วก็ออกประตูไป

ชัดกลับจากกระทรวงก่อนที่วิชัยจะออกจากบ้าน ๒ พี่น้องพูดจากันอยู่ครู่หนึ่งแล้วผู้เป็นพี่ก็ขึ้นรถไป ส่วนช้อยมีใจอันปราศจากความสงบ จะนั่งนิ่งอยู่กับที่หาได้ไม่ จึงเตรียมตัวจะออกจากบ้านทางประตูหลัง

ประจวบเหมาะพอพบกับเด็กคนใช้ในบ้านคุณแม้น ช้อยจึงถามว่า

“จะไปไหน มาหาฉันหรือ?”

เด็กนั้นย่อตัวลงส่งกระดาษชิ้นน้อยให้แทนคำตอบ

กระดาษนั้นบรรจุข้อความสั้น ๆ ดังนั้น

“อนงค์คิดถึงพี่ช้อย ให้อนงค์ไปหาได้ไหมคะ หรือจะมาหาอนงค์ที่บ้านคุณอาได้ก็ดี คุณอาท่านไม่อยู่

อ.”

อ่านจบแล้วช้อยยิ้มออกได้ กล่าวคำขอบใจแล้วก็ตอบให้เด็กล่วงหน้าไปก่อน

พอออกจากประตูผ่านตรอกเล็กซึ่งเป็นทางสาธารณะ เข้าในรั้วชบาโดยช่องน้อยที่เจ้าของบ้านทำไว้สำหรับศิษย์เก่าโดยตรง ช้อยก็มองเห็นอนงค์คอยอยู่ที่นั่นแล้ว หญิงสาวนอนอยู่บนเสื่อเหนือพื้นดินอันปกคลุมด้วยหญ้าตรงใกล้ต้นฝรั่งซึ่งมีกิ่งโค้งค้อมลง ปกคลุมหลังคากรงนกไว้กิ่งหนึ่ง เมื่อช้อยเห็นอนงค์ก็ลุกขึ้นนั่ง ประณมมือไหว้พลางพูดว่า

“แหมไม่ได้พบพี่ช้อย ๔ วัน คิดถึงเหลือเกิน”

“ขอบใจค่ะ พี่ก็คิดถึงเธอเหมือนกัน” ผู้มีอาวุโสตอบ นั่งลงข้างตัวอนงค์ “พี่กำลังจะมาที่นี่อยู่แล้ว เมื่อเด็กของเธอไปพบพี่”

“จะมาหาคุณอาหรือคะ เออพี่ช้อยก็จำไม่ได้เหมือนกันหรือคะ ว่าวันนี้วันพระ นึกว่าอนงค์โง่คนเดียวอีก”

“จำได้ แต่พี่อยากหาที่นั่งเงียบ ๆ อยู่ในบ้านอึดอัดหาที่สงัดนั่ง​คนเดียวไม่ได้”

อนงค์เอนตัวลงนอนศีรษะหนุนแขนมองดูสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในระดับสายตา ยิ้มอย่างผาสุกระบายอยู่ทั่ววงหน้า

ทางด้านปลายเท้าที่อนงค์นอนอยู่ กับด้านข้างซ้ายมือ มีลานหญ้าเตียนแผ่ไปจดรั้วบ้าน ต้นไม้เพิ่งสอนเป็นปลูกอยู่ประปรายในระยะห่าง ๆ กัน ทางเบื้องขวาห่างจากขอบเสื่อประมาณ ๒ ศอก เป็นที่ตั้งกรงนกขนาดใหญ่ มีลวดตาข่ายเป็นขอบล้อมต้นไม้เล็ก ๆ ซึ่งสรรค์ไว้เพื่อความสำราญของเจ้าสัตว์มีปีกเปิดหลังคาเป็นช่องจำเพาะ ปลายกิ่งลอดออกได้ นกน้อยต่างพรรณต่างลักษณะโลดเต้นโผผินไปมา ส่งเสียงจุ๊กจิ๊กสลับกับเสียงแกรกกรากแห่งใบไม้ซึ่งต้องลมโบกโบยอยู่ไสว ห่างจากที่กรงนกตั้งอยู่ทางเบื้องศีรษะของอนงค์ ลานหญ้าทอดยาวไปจรดถนน ถนนนั้นล้อมรอบตัวเรือน มีกอแก้วกับกอพุทธชาดปลูกสลับกันไว้ในระยะพองามตาม ๒ ข้างริมถนนนี้

หญิงสาวผู้เป็นหลานท่านเจ้าของบ้านพูดขึ้นว่า

“อนงค์คอยพี่ช้อยกับคุณพระอยู่เป็นหลายวัน ไม่เห็นไปสักที ในที่สุดก็นึกว่าคุณพระเห็นจะลืมเสียแล้ว และพี่ช้อยก็คงจะมีงานติดขัด วันนี้พี่จำลองชวนไปบ้านคุณหญิงรานรอน ฯ เผอิญพบพี่แสวงไปป้ออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว เลยทิ้งพี่ชาย ๒ คนไว้ด้วยกัน อนงค์เตลิดมานี่ คุณพระลืมเรื่องที่รับว่าจะพาหนูนิดไปหาอนงค์เสียแล้ว จริงไหมคะ พูดถึงบ้างหรือเปล่า?

“พูดในวันรุ่งขึ้นจากคืนที่รับปากกับเธอ”

“แต่กว่าจะวันนี้คงลืมเสียสนิทแล้ว”

ช้อยส่ายหน้าช้า ๆ “ต้องลืมอยู่เองเธอ” หล่อนตอบ “พี่ใหญ่กำลังมีเรื่องยุ่งอย่างร้ายที่สุด”

อนงค์ยันตัวขึ้นเอกเขนก น้ำเสียงของช้อยทำให้หล่อนตกใจและเมื่อมองดูหน้าช้อยเล่า ก็เห็นเคร่งขรึมและสลดผิดธรรมดา เกิดความวิตกราว​กับได้ฟังข่าวร้ายเกี่ยวแก่ญาติสนิท จึงถามออกไปโดยเร็วว่า

“เรื่องอะไร?”

“คนที่ใกล้ชิดเธอที่สุด และที่รักเธอที่สุดเป็นคนเบียดเบียนความสุขของเธอ เวลานี้พี่กลุ้มใจเหลือเกิน อยากจะหนีไปไหน ๆ เสีย ไม่อยากเกี่ยวข้องกับใคร เห็นอะไรมันบ้าไปหมด”

คำตอบของช้อยไม่ทำให้อนงค์ฉลาดขึ้น หากเพิ่มกระหายอยากจะรู้และความร้อนใจให้เป็นทวีคูณ แต่ก่อนงค์หาใช่บุคคลชนิดที่จะปล่อยความกระหายให้มีอำนาจเหนือจรรยา หล่อนจึงรอฟังอยู่เงียบ ๆ

ช้อยเอ่ยถามขึ้นว่า

“หมู่นี้เธอเห็นจะไม่ค่อยพบตาชัดกระมัง?”

“ตั้งแต่วันเกิดมาแล้วยังไม่ได้พบเลย”

“ก่อนนั้นล่ะคะ?”

ก่อนนั้นก็ราว ๓-๔ วันได้พบกันที ชัดไปคลับเสมอนี่คะ”

ช้อยนิ่งไปครู่หนึ่ง ภายหลังจึงพูดขึ้นอีก

“พี่อยากจะถามอะไรเธอสักหน่อย แต่เกรงใจเหลือเถิน กลัวเธอจะเข้าใจพี่ผิดไป”

อนงค์ตอบในทันทีว่า

“ถามเถอะค่ะ ไม่ต้องเกรงใจ อนงค์นับถือพี่ช้อยเหมือนพี่ของอนงค์แท้ ๆ และจะไม่แกล้งเข้าใจอะไรให้ผิดไปจากความจริงไปเลย”

“ขอบใจมาก ถ้ายังงั้นพี่จะถาม ขอโทษนะอย่าว่าพี่ก้าวก่าย อันที่จริงฝ่ายหนึ่งก็เป็นน้องของพี่ ส่วนเธอถึงไม่ใช่ พี่ก็รักเธอเหมือนน้อง นี่พี่พูดจริง ๆ นะ พี่เคยนึกอยากได้เธอเป็นน้องเสียเหลือเกิน....พี่อยากรู้ว่า....เธอกับตาชัดน่ะ....”

“รักกันหรือเปล่า?” อนงค์ต่อโดยเร็วพร้อมกับหัวเราะน้อย ๆ “ถ้ารักกันอนงค์จะเป็นน้องพี่ช้อยสมใจ ยังงั้นหรือคะ? แหม ! อนงค์เสียใจเหลือ​เกิน ความจริงชัดกับอนงค์ก็ชอบกัน หากเกือบ ๆ จะรักกัน แต่ยังไม่ได้รัก แต่เดี๋ยวนี้อนงค์ไม่แน่ใจเสียแล้วว่าเราจะไม่รักกันอย่างที่อนงค์จะเป็นน้องพี่ช้อยเสียแล้ว ให้อนงค์ได้เป็นน้องโดยไม่ต้องรักกับชัดไม่ได้หรือคะ?”

อีกฝ่ายหนึ่งยิ้มนิดหนึ่งและตอบว่า

“เป็นน้องด้วยใจเรารักกันนั้น เดี๋ยวนี้เธอก็เป็นอยู่แล้ว แต่พี่ขอถามอีกสักคำเถอะ เมื่อเกือบจะรักกันอยู่แล้วทำไมจึงกลายเป็นอย่างอื่นไปเล่า”

อนงค์นิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง หล่อนควรจะให้คำตอบแก่ช้อยผู้พี่ของชัดดังที่ได้ให้แล้วแก่พี่ชายของหล่อนเองหรือ? เห็นจะไม่สู้เหมาะนัก คิดดังนั้นแล้วอนงค์จึงหัวเราะพลางกล่าวว่า

“ยังไงก็ไม่ทราบค่ะ เห็นจะเป็นเพราะในเดือน ๒ เดือนนี้ อนงค์เกิดเป็นโรคแก่ขึ้นมาอย่างมากหรือยังไงแหละค่ะ”

“เธอหมายความว่ากระไร?”

หญิงสาวหัวเราะอีก “หมายความว่าตัวอนงค์เป็นผู้ใหญ่เกินไปที่จะแต่งงานกับเด็กน่าเอ็นดูอย่างชัดน่ะซีคะ”

ช้อยมีอาการงงยิ่งขึ้น ในที่สุดจึงตั้งคำถามใหม่

“ชัดเขารักเธอหรือเปล่า?”

อนงค์อึ้งเป็นครั้งที่ ๒ ก่อนที่จะตอบว่า

“ก็....ก็เห็นจะเป็นบ้างค่ะ เพราะว่า....คนหนุ่ม ๆ ที่คบกับอนงค์เขามักจะบอกว่าเขารัก เขาจะรักจริงหรือรักแต่ปากก็ไม่ทราบเขานะคะ แต่ตัวอนงค์เองยังไม่เคยรับรักของใครเลย”

สีหน้าช้อยแสดงความยุ่งใจยิ่งขึ้น “ลงท้ายใครเคราะห์ร้ายมากกว่าเพื่อน?” หล่อนพึมพำ

อนงค์ลุกขึ้นนั่ง คิ้วขมวดเล็กน้อย แต่หล่อนหัวเราะพร้อมกับพูดว่า

“อนงค์ซีคะ เพราะว่าฟังพี่ช้อยพูดอยู่นานแล้วยังไม่เข้าใจสักทีว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแก่ใคร?”

​“พี่จะเล่าให้ฟังเดี๋ยวนี้ ประมาณ ๒-๓ เดือนมานี่ คุณแม่ชอบใจผู้หญิงคนหนึ่งจะขอให้ตาชัด พวกเรามีพี่ใหญ่เป็นต้นไม่เห็นด้วยเลย เพราะตาชัดเขาไม่ชอบเราก็เห็นใจเขา พี่ใหญ่ผิดใจกับคุณแม่เพราะเรื่องนี้นับหนไม่ถ้วน แต่ลงท้ายพ่อชัดทำพี่ใหญ่เสียเจ็บ พี่ใหญ่รักแม่จันทรใคร ๆ เขารู้กันทั้งนั้น มีแต่พ่อชัดคนเดียวไม่รู้ เกิดรักแม่จันทรขึ้นบ้าง พี่ใหญ่เลยสิ้นท่า เวลานี้เหมือนคนจวนจะตาย เห็นแล้วทุเรศเหลือกำลัง”

ช้อยพูดจบแล้วก็ชำเลืองดูอนงค์ แต่เพื่อนสาวของหล่อนนั้นนั่งก้มหน้ามือแกะเสื่อง่วนอยู่ ราวกับเพลินในการเล่นนั้นเสียเต็มที


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,467


View Profile
« Reply #5 on: 19 May 2022, 20:58:40 »


๒๖

ปฐมเหตุที่พาพระอรรถคดี ฯ ไปหานางธุรกิจ ฯ นั้น ยังความประหลาดใจให้เจ้าของบ้านเป็นล้นพ้นถึงกับหลวงธุรกิจ ฯ แสดงความกระวนกระวายออกนอกหน้า และภรรยาก็ถามด้วยเสียงดังและแหลม จนกลายเป็นเสียงหลง

“ขอจันทรให้คุณชัด ! คุณพระขอให้คุณชัด ! นี่ยังไงกั๊น !!!”

พระอรรถคดี ไม่มุ่งหมายจะเข้าใจคำพูดประโยคนี้ รีบยืนยันรับรองอีกครั้งอย่างแข็งแรง

ภรรยามองสามีเป็นเชิงปรึกษา หลวงธุรกิจ ฯ สั่นศีรษะอย่างไม่รับรู้ อุไรก็ทำท่าสิ้นปัญญา ในที่สุดจึงตอบได้แต่เพียงว่า

“ขอให้ดิฉันตรึกตรองก่อน”

ครั้นวิชัยได้นั่งพูดจาอยู่นานพอควรแล้ว เมื่อเขาจะลากลับ อุไรจึงได้พูดแก่เขาว่า

“โปรดบอกคุณช้อยด้วยนะคะ ว่าดิฉันคิดถึงมากหมู่นี้แกหายไปนาน ​ไม่เยี่ยมกรายมาที่นี่บ้างเลย”

และเมื่อวิชัยกำลังลงบันได หล่อนตะโกนซ้ำตามหลังเขามาอีก

“ดิฉันอยากให้มาเร็ว ๆ จะมาได้เมื่อไรขอให้โทรศัพท์บอก ดิฉันจะส่งรถไปรับ โปรดบอกให้ได้นะคะ”

ในเวลาที่ทำหน้าที่เถ้าแก่ ขอหญิงที่ตนรักให้แก่คนที่ไม่ใช่ตนเอง ความปวดแสบภายในทำให้วิชัยรู้สึกว่าเหมือนตนกำลังเชือดเนื้อของตนยื่นให้คนอื่นทีละชิ้น ๆ ถ้าจะรวมเอาความอดทนทั้งหมดที่เคยใช้ชีวิตก็ยังจะไม่ถึงกะฝีกหนึ่งที่ได้ทนเพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ กล่าวแล้วให้ลุล่วงไปด้วยดี เหตุฉะนั้นเมื่อนั่งรถมาตามลำพังตัว แน่ใจว่าไกลจากการเพ่งดูแห่งสายตามนุษย์ วิชัยให้นึกใคร่ที่จะยืมวิธีแก้กลุ้มของผู้หญิงมาใช้แก้ความละห้อยละเหี่ยท้อแท้ใจของตนเองสักพักหนึ่ง

แต่เขามิทำได้ดังนั้น ตรงกันข้าม แม้เมื่อออกจากบ้านหลวงธุรกิจ ฯ แล้ว วิชัยพายานร่วมใจแล่นไปนอกทางที่กลับบ้าน ประสงค์จะตากลมให้ความหนักอึ้งในสมองน้อยลง เขายังต้องเปลี่ยนความคิดและเปลี่ยนทางใหม่ ภายในเวลาไม่ถึง ๑๐ นาที ด้วยนึกถึงน้องชายผู้ซึ่งคงจะคอยฟังข่าวจากเขาด้วยความร้อนใจ

จริงดังวิชัยคาด พอเลี้ยวรถเข้าประตูบ้านก็เห็นชัดเดินส่ายอยู่บนถนน และวิ่งมาเกาะรถพี่ชายอย่างรวดเร็ว

“ว่ายังไงครับ สำเร็จไหม”

วิชัยใช้ตวงตาอันแห้งแล้งมองดูน้องนิดหนึ่ง แล้วตอบว่า

“เขาขอผลัดตรึกตรองดูก่อน”

รถแล่นเข้าโรงแล้ว ดับเครื่องเสร็จ วิชัยทิ้งแขนซ้ายลงข้างตัว มือขวาลูบผมอย่างอ่อนแรง

“เขาขอผลัดกี่วัน?”

“ไม่ได้กำหนดกี่วัน พี่สังเกตดูท่าทางเขาประหลาดใจมากทั้งคู่ ก็เลย​ไม่กล้าเซ้าซี้ แกต้องทำใจเย็นหน่อยอย่าร้อนรนมากเกินไป เมื่อเด็กรักแกแล้วเชื่อว่าอย่างไรผู้ใหญ่คงไม่ขัดขืน”

“เขาถามถึงเรื่องลูกสาวคุณหญิงรานรอนหรือเปล่า?”

“ไม่ได้ถาม ไม่ถามอะไรเลย พี่เองยังนึกแปลกใจ เพราะได้เตรียมคำตอบไว้พร้อมแล้ว แต่ถึงเวลาเข้าจริงกลับผิดคาด”

“ท่าทางเขารังเกียจผมไหม?”

วิชัยสั่นศีรษะ “พี่จับความคิดอะไรของเขาไม่ได้สักอย่าง จับได้แต่ว่าเขาตกใจมากทีเดียว”

ชัดใช้มือเปิดและปิดประตูรถเล่นอยู่พักหนึ่ง ภายหลังเขาถามว่า

“ในระหว่างนี้ผมไปหาจันทรได้บ้างไหม ไม่ได้พบแก ๔ วันเข้าวันนี้ คิดถึงเหลือเกิน”

วิชัยลงจากรถและปิดประตูดังปังใหญ่ เม้มริมฝีปากนิ่งอยู่จนเดินพ้นโรงรถมาแล้วจึงได้ตอบว่า

“ทำตัวให้มีความอดทนหน่อยซี กำลังอยู่ในระหว่างหัวเลี้ยวหัวต่อ จะเอาแต่ใจของตัวฝ่ายเดียวยังไม่ได้....นี่คุณแม่ทำอะไรอยู่รู้ไหม?”

“อบน้ำอบครับ พี่ใหญ่พบจันทรหรือเปล่า?”

“ไม่ได้พบ อยากรู้ว่าช้อยอยู่ที่ไหน”

“ผมยังไม่ได้พบพี่ช้อยเลย แต่เมื่อกี้เห็นยายนิดวิ่งเล่นอยู่ทางหลังเรือน บางทีพี่ช้อยจะอยู่ที่นั่นกระมัง--ทำไมเขาถึงตกใจนักนะ เขาเห็นแปลกหรือที่เรารักกัน เขาไม่อยากยกให้หรือครับ พี่ใหญ่เห็นเป็นยังไง?”

วิชัยสาวเท้าเร็วเข้า “บอกแล้วว่าจับความคิดเขาไม่ได้เลย” น้ำเสียงที่ตอบค่อนข้างกระด้าง “ทำใจเย็น ๆ ไว้ก่อนเถอะน่ะ ทางโน้นเขาคงไม่กระไรนักหรอก สำคัญทางเรามากกว่า แกอย่าลืมคำที่สัญญาไว้กับพี่ ต้องทำให้คุณแม่เห็นแกเป็นคนดีกว่าแต่ก่อน ถ้ามิฉะนั้นเรื่องของเราจะลำบากยิ่งขึ้น”

“กลุ้มใจ!” ชัดบ่นพลางหัวเราะปร่า ๆ “อยากรู้ว่าเขาคิดยังไง แล้ว​เราจะต้องเดินไม้ไหน ผมรู้ว่าพี่ใหญ่รับแล้วยังไงเรื่องก็คงสำเร็จ แต่ก็อดใจร้อนไม่ได้”

บุรุษทั้ง ๒ เดินพ้นมุมเรือนมาแล้วเมื่อวิชัยตอบแก่น้องว่า

“เรื่องสำคัญอยู่ที่ตรงคุณแม่ ถึงท่านจะไม่ทำอะไรแกก็ขออย่าให้ท่านลุกขึ้นขวางทางของแกเท่านั้น เราต้องช่วยกันระวังดี ๆ หน่อย”

ในที่นั้นหนูนิดอุ้มตุ๊กตาตัวหนึ่งเดินไปมา และร้องเพลงกล่อมเสียงแจ๋วดังก้องไปทั่วบริเวณ วิชัยเรียกชื่อหลานแล้วก็ถามว่า

“แม่เขาอยู่บนเรือนหรือ?”

หนูนิดหันมามองดู เป็นห่วงน้องสมมุติที่อยู่ในวงแขนว่าจะตกใจตื่น จึงสั่นศีรษะและไม่ตอบว่ากระไร

“คุณช้อยไปบ้านโน้นเจ้าค่ะ” พี่เลี้ยงของเด็กตอบแทน

“เอ๊ะ วันนี้วันพระ เจ้าของบ้านมักไม่อยู่บ้าน ช้อยไปหาใครหรือจะหนีลูกไปเข้าฌานตามเคย” หันมาทางน้องชาย วิชัยพูดสืบไป “พี่จะไปบ้านโน้น”

ชัดพยักหน้าแล้วกลับไปทางเก่า

แต่พอก้าวเท้าล้ำเขตรั้วชบา พระอรรถคดี ฯ ก็มีอาการชะงักและบอกแก่ตัวเองว่า “เราผิดเสียแล้ว !” ทั้งนี้เป็นเพราะแทนที่จะพบน้องสาวคนเดียวดังคาด วิชัยมองเห็นอนงค์ซึ่งนั่งหันหน้ามาทางเขาพอดี

หญิงสาวกำลังอยู่ในท่าฟังอย่างตั้งใจ พอแลเห็นพระอรรถคดี ฯ หล่อนก็เอื้อมมือสะกิดขาช้อยและพูดเสียงดังว่า

“เชิญซีคะ ดิฉันกำลังคิดถึงคุณพระอยู่ทีเดียว”

ช้อยเหลียวไปดู และถ้าวิชัยอยู่ในระยะใกล้กว่านั้นสักหน่อย เขาจะเห็นรอยพิรุธในสีหน้าน้องได้ถนัด อย่างไรก็ตามช้อยได้ส่งเสียงออกไปว่า

“แหม พี่ใหญ่กลับเร็วจริง จะมาหาคุณครูหรือคะ เก้อเป็นคุณอนงค์อีกคนหนึ่งแล้ว”

​วิชัยเดินมาใกล้จะถึงเสื่อ ก็ลดตัวลงนั่งพับเพียบอยู่

“ถามข่าว อาหารว่างของดิฉันทำให้คุณพระเดือดร้อนอย่างไรหรือเปล่าคะ?” หญิงสาวพูดเสียงแจ่มใสตามเคย แต่ดวงตาของหล่อนนั้นจับดูวิชัยอย่างพินิจพิเคราะห์

พระอรรถคดี ฯ ทำสีหน้าให้ชื่นใจแล้วตอบว่า

“ของดี ๆ อย่างนั้นจะทำความลำบากให้ใคร รับประทานอร่อยแล้วก็อิ่มสบาย”

“แต่บางคนรับประทานผิดเวลาละก็มักจะเกิดเหตุนี่คะ”

“เคยเสียแล้วจะเป็นไรไป ฉันเองคืนไหนนอนดึกมักจะต้องรับประทานอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ เวลาดึกด้วย ไม่ยังงั้นก็หิว”

“เรื่องละครของคุณพระไปได้ถึงไหนแล้วล่ะคะ?”

วิชัยสั่นศีรษะ “ไม่ค่อยคืบออกไปได้เลย”

“แต่ก็คงไปได้ไม่น้อย พี่ช้อยบอกดิฉันว่าคุณพระทำงานอยู่จนดึกทุกคืน”

ฝ่ายชายเลิกคิ้วและหันไปทางน้องสาว “ทำไมถึงรู้?” เขาถาม

“พิโธ่ !” ช้อยอุทาน น้ำเสียงสนิทสนมเช่นเดียวกับอนงค์ “พี่ใหญ่ถ้าจะนึกว่าดิฉันเหมือนยายนิด ลงได้หลับแล้วหลับเรื่อยจนเช้า เวลาดึกดิฉันตื่นขึ้นเสมอ แสงไฟห้องพี่ใหญ่สว่างออกจ้าจะไม่รู้ยังไง”

พระอรรถคดี ฯ ก้มมองดูหญ้า อนงค์กับช้อยมองสบตากัน ช้อยส่ายหน้า อนงค์พูดขึ้นอีก

“คุณพระเมื่อไรจะพาหนูนิดไปบ้านดิฉันล่ะคะ คอยมาเป็นหลายวันแล้ว ต่อว่าพี่ช้อยก็ว่าไม่สะดวก เพราะคุณพระไม่พาไป”

วิชัยเงยหน้าขึ้นมองดูช้อย ฝืนยิ้มเท่าที่กำลังใจอันเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยจะช่วยให้ฝืนได้แล้วก็ถาม

“จะไปเมื่อไหร่ล่ะ หรือรอให้ช็อกโคเล็ตยายหนูหมดเสียก่อน”

​อนงค์หัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ “อีกสักกี่วันถึงจะหมดล่ะคะ?” หล่อนถาม

“อีกสัก ๗-๘ วันกระมัง”

“ช้าไปหน่อย” หญิงสาวกล่าว “แต่ไม่เป็นไร ไปช้าดีกว่าไม่ไปเสียเลย ดิฉันมีเรื่องอยากจะถามเพื่อเป็นความรู้ ได้เรียนให้ทราบแล้วไม่ใช่หรือคะ”

พระอรรถคดี ฯ พยักหน้านิดหนึ่งและว่า “แต่ยังไม่ได้บอกว่าจะถามเรื่องอะไร ควรจะบอกเสียด้วย ก่อนจะไปได้เปิดตำราหาคำตอบไว้”

อนงค์ยิ้มกับเขาอย่างงดงามที่สุดแล้วก็นิ่งอยู่

แต่พอพระอรรถคดี ฯ หยุดพูด อาการยิ้มหัวในสีหน้าซึ่งมีอยู่น้อยที่สุดแล้วนั้นก็อันตรธานไปจนสิ้น ทำให้อนงค์สำนึกได้ว่าวิชัยต้องพยายามฝืนตัวสักเพียงใดอันที่จะพูดเล่นเจรจากับหล่อน ครั้นสำนึกได้เช่นนั้นแล้วไม่เห็นเป็นการสมควรที่จะกะเกณฑ์--แม้ว่าจะเป็นโดยทางอ้อม-ให้เขาต้องฝืนต่อไป หล่อนจึงขยับตัวคุกเข่าและพูดว่า

“อนงค์จะกลับบ้านเสียที ถ้าอยู่จนค่ำกว่านี้ คุณอามาพบจะถูกดุว่านั่งรถคนเดียวค่ำ ๆ มืด ๆ อีก พี่ช้อยต้องถือว่าเป็นเจ้าของบ้านนี้ไม่น้อยกว่าอนงค์นะคะ มิฉะนั้นอนงค์จะเป็นคนไม่มีกิริยา”

“โอ๊ย พี่ไม่ถือสาอะไรหรอกค่ะ อย่าเกรงใจเลย”

หญิงสาวทำความเคารพลาพี่น้องทั้ง ๒ ไปแล้ว ก็เดินตัดสนามไปขึ้นรถ

ออกมาพ้นบ้านแล้ว อนงค์ขับรถคันน้อยแล่นฉิวไปประดุจลมพัด หลบหลีกสรรพสิ่งทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตอย่างว่องไวแต่หวุดหวิดอย่างที่จะทำคนขวัญอ่อนให้เป็นลมได้ บัดเดี๋ยวใจก็มาถึงที่อยู่ มองดูนาฬิการถเห็นเวลายังห่างจากชั่วโมงที่เคยบริโภคอาหารค่ำ หล่อนวิ่งขึ้นบันไดตึกด้วยฝีเท้าถี่ยิบ เข้าห้อง ไขกุญแจลิ้นชักหยิบสมุดรายงานประจำวันออกกางบนโต๊ะ ทันใดนั้นตัวอักษรก็ปรากฏเป็นแถวยาวติดต่อกันไปโดยเร็ว

​สงสาร ! สงสารคนเคราะห์ร้าย แต่ดีใจที่ดูคนไม่ผิด คุณพระผู้ชำนะในเชิงอรรถ ! ยอดมนุษย์ ! สวยนอก งามใน ! คนอย่างนี้สิเป็นคนแท้ หน้าที่ก่อนอื่น ฉันเป็นพี่ น้องขอให้ช่วยฉันต้องจัดการให้ ถึงจะเท่ากับเด็ดดวงใจฉันก็ทน ยังงี้พี่ช้อยจะไม่รักยังไง ใคร ๆ ก็ต้องรัก ทำไมไม่มีพี่ชายอย่างนี้สักคนอยากให้เป็นพี่ เป็นเพื่อน เป็นอะไรเอาทั้งนั้น ขอให้ทำอะไรให้ได้หรือให้ทำอะไรได้ จะรักจะถนอมจะบูชาจะเอาอะไรจะให้หมด จะไม่ขออะไรเลย แม่จันทรโฉมงาม บัดซบอย่างที่สุด บ้าจัง ชัดกับพี่ใหญ่ใครจะเลือกชัด พอดีกันพี่ใหญ่ก็โง่จัง ค่าที่เขารักก็เลยนึกว่าเขาฉลาดเหมือนตัว จันทรท่าทางแกก็บอกว่าหูหนวกตาบอดรักชัดคนสวยคนโก้ ปากหวานเป็นน้ำตาล เมื่อเร็ว ๆ นี้เองยังมานั่งออด เปลี่ยนใจได้ง่ายจริง เคราะห์ดีไม่หลงลมคุณพระใจพระชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ เวลานี้เห็นจะกำลังชนะความรักด้วยความไม่รักท่าจะไม่สำเร็จเสียละกระมัง หน้าตาเหมือนคนจวนตาย ทำให้คนอื่นเขาพลอยใจแห้งไปด้วย อยากร้องไห้ !

จบคำสุดท้ายอนงค์ก็ทิ้งดินสอลงมาพร้อมกับถอนใจยาว

ในห้องอันตบแต่งไว้งดงาม มีความมืดครอบงำจัดเข้าทุกที เจ้าตัวแมลงสูบเลือดมนุษย์บินร้องดังหวี่ ๆ ผู้เป็นเจ้าของห้องมิได้เอาใจใส่ หลังพิงพนักเก้าอี้มือกอดอก ตาลอยจับอยู่ที่ขอบฟ้าซึ่งแสงอาทิตย์ยังฉายอยู่สลัว ๆ สมองแล่นกลับไปยังบ้านคุณอา อนงค์นิ่งขรึมอยูในแนวคิดนั้น

วันนี้เป็นวันแรกตั้งแต่สมาคมกันมา ที่ช้อยได้บรรยายสถานการณ์แห่งบ้านที่หล่อนอยู่ให้อนงค์ฟังโดยสิ้นเชิง อุปนิสัยอันแท้จริงของบุคคลสำคัญในบ้านนั้นเป็นอย่างไร อนงค์ก็รู้จบจากคำบรรยายของช้อยรวมกับการวินิจฉัยของหล่อนเอง

“คุณแม่รักชัดเหมือนกับที่พี่รักคุณแม่ และรักพี่เหมือนกับที่ท่าน​เคยรักคุณพ่อ” นี่เป็นคำตอบของวิชัยที่ให้แก่ช้อยในคราวที่น้องสาวแสดงความเจ็บร้อนแทนเขา และเมื่อช้อยได้ถ่ายทอดคำพูดทั้งประโยคนั้นให้อนงค์ มีคำอธิบายเพิ่มเติมว่า

“พี่ใหญ่รักคุณแม่อย่างทูนหัวทูนเกล้า รักอย่างพระ คุณแม่ทำอะไรไม่ผิด ถึงผิดก็ทำไม่เห็น มีหน้าที่เพียงแต่คอยระวังให้เป็นสุขทั้งกายและใจ ว่าถึงคุณแม่ท่านรักคุณพ่อมาก แต่ท่านไม่เกรงใจคุณพ่อเลย นึกจะเอาอะไรจะทำอะไรก็ทำตามชอบใจ คุณพ่อรักเมียด้วยไม่ชอบเป็นปากเป็นเสียงด้วย ก็เลยเป็นเท้าหลังของเมียอยู่เสมอ ข้างฝ่ายพี่ใหญ่ พอรู้ลักษณะความรักของคุณแม่เสียแล้ว คุณแม่ทำอะไรกับเธอ ๆ ก็ทนได้ ลำเอียงจนคว่ำก็ไม่บ่น เธอถือว่าวาสนาของคนนั้นต่างกัน แข่งอะไรแข่งได้ แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งไม่ได้ เมื่อเธอถือว่าแม่เหมือนกับพระ หน้าที่ของเธอก็คือเคารพบูชาพระไว้เป็นนิจ คนอื่นใครจะทำอะไรกับเธอหรือกับใครไม่ใช่ธุระของเธอ”

“คุณแม่กับตาชัดมีนิสัยพอ ๆ กัน” คำพูดอีกประโยคหนึ่งที่ออกจากปากช้อย ต่างคนต่างเอาแต่ใจ ต่างคนจึงต่างให้ทุกข์แก่กัน ส่วนพี่ใหญ่เปรียบเหมือนพระพุทธรูป ใครลอกทองจากพระองค์ก็นิ่งให้เขาทำ เพราะฉะนั้นทุกคนต่างก็จะเอาอะไร ๆ จากพี่ใหญ่ แต่ไม่มีใครนึกจะให้อะไรเธอเลย”

พ้นจากนั้นแล้ว ช้อยก็สรรเสริญความดีของพี่ชายต่อไป

ก็ความดีของวิชัยนั้นเป็นอย่างไร?.... แต่พอวิชัยรู้จักพึ่งตัวเอง เขาก็รู้จักทำตัวให้เป็นที่พึ่งแก่ผู้อื่น การบริจาคเป็นกิจสำคัญที่วิชัยไม่เคยท้อถอย กำลังทรัพย์ กำลังกาย กำลังปัญญา กำลังใจ ผู้ใดหวังพึ่งกำลังเหล่านี้ ญาติหรือไม่ใช่ญาติ แม้ว่าออกปากขอและไม่เกินขีดสมควร วิชัยย่อมบริจาคให้โดยไม่ร่ำไร

แต่พอวิชัยรู้จักว่าสิ่งใดเป็นธรรม ธรรมเครื่องให้งาม ๒ อย่างคือขันติและโสรัจจะ ปรากฏแก่ใจเขาแล้ว วิชัยเป็นทั้งผู้อดทนและอดกลั้น ​อดทนต่อเหตุภายนอก คือความไม่สบายกาย อดกลั้นต่อเหตุภายใน คือความไม่สบายใจ

เมื่อตัวไม่สบายเพราะความป่วยไข้ก็ดี หรือเพราะเครื่องอุปโภคบริโภคไม่เหมาะสมความต้องการก็ดี วิชัยจักแก้ไขก่อน แม้ว่าหากพ้นความสามารถที่จะแก้ได้ วิชัยย่อมไม่แสดงอาการดิ้นรนเดือดร้อนให้เป็นเครื่องรำคาญแก่ผู้อื่น

เมื่อไม่สบายใจ มีความทะยานอยากเกิดขึ้นแก่วิชัยย่อมปรารภแก่ตัวเองว่า สิ่งนั้นที่เราอยากได้เราจักได้ไหมหนอ เพราะเหตุใด?....อ้อสิ่งนั้นไม่เกินความสามารถของเราที่จักได้ ความพยายามของเราที่จะให้ได้และเราได้แล้วจักไม่เบียดเบียนใครแม้ตัวเราเอง เราจักพยายามให้ได้สิ่งนั้น อีกอย่างหนึ่งสิ่งนั้นที่เราอยากได้เกินความสามารถของเราที่จะได้ ความพยายามของเราที่จะให้ได้เบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งครั้นแล้วจักเบียดเบียนถึงตัวเราเอง เราเลิกความอยากอันนี้เสียเถิด

เมื่อไม่สบายใจ มีความโกรธเกิดขึ้น วิชัยย่อมปรารภแก่ตัวเองว่า ทำไมหนอเขาผู้นั้นจึงเบียดเบียนเราด้วยถ้อยคำและกิริยานั้น ๆ ?....อ้อเขาโกรธเราเขาประสงค์ให้เราทำอย่างนั้น พูดอย่างนั้นคิดอย่างนั้น เราปฏิบัติได้ การปฏิบัติของเราจักไม่เบียดเบียนใครแม้ตัวเราเอง ทำไมเราไม่ปฏิบัติเล่า เพราะเราย่อมอยากให้เขาปฏิบัติตามประสงค์ของเราเหมือนกัน เขาประสงค์ให้เราทำอย่างนั้น คิดอย่างนั้น คิดอย่างนี้ เรามาปฏิบัติตามประสงค์ของเขาเถิด อีกอย่างหนึ่ง เขาโกรธเรา เขาประสงค์ให้เราทำอย่างนั้น พูดอย่างนั้น คิดอย่างนั้น เราปฏิบัติไม่ได้ การปฏิบัติของเราจักเบียดเบียนคนอื่น ซึ่งครั้นแล้วจักเบียดเบียนถึงตัวเราเอง เขาประสงค์ของเขา แต่เราอย่าถือโกรธตอบเขาเลย เพราะเราย่อมอยากให้เขาปฏิบัติตามประสงค์ของเราเหมือนกัน

เมื่อใจไม่สบายเพราะไม่สมหวัง วิชัยย่อมปรารภแก่ตนเองว่าทำไม​หนอ สิ่งนั้น (หรือคนนั้น) จึงไม่เป็นหรือไม่ทำตามที่เราคิดเห็น ว่าควรจะเป็น หรือควรจะทำ?....อ้อ สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกตลอดจนมนุษย์มีกรรมเป็นปัจจัยปรุงแต่งให้เป็นขึ้นและเป็นไป ไม่มีอำนาจอย่างอื่นจักบังคับให้เป็นอยู่ยั่งยืนได้ โลกตั้งอยู่ในกฎแห่งความแปรปรวน ในอดีตเป็นอย่างหนึ่ง ปัจจุบันเป็นอย่างหนึ่ง อนาคตจักเป็นอย่างหนึ่งด้วย ทั้งกายทั้งใจเรายึดถือว่าเป็นของเรายิ่งเสียกว่าสิ่งอื่น เรายังบังคับให้เป็นขึ้นเป็นอยู่และเป็นไปตามที่เราประสงค์ไม่ได้เสมอ สิ่งอื่น (หรือคนอื่น) หรือจักเป็นขึ้นเป็นอยู่เป็นไปตามใจเราประสงค์ เราอย่ายึดเอาสิ่งนั้น (หรือคนนั้น) มาเป็นเครื่องเศร้าหมองแก่ใจของเราเลย

เมื่อวิชัยใช้อุบายดังกล่าวนี้เป็นปัจจัยให้มีขันติมั่นอยู่ในสันดานได้แล้ว โสรัจจะ คือความประหยัดในการกระทำการพูดการคิดก็เกิดขึ้นในสันดานเขาด้วยพร้อมกัน

แต่พอวิชัยรู้จักสิ่งใดเป็นความผิด เขาก็รู้จักอภัยความผิดของผู้อื่น ให้มีผู้มาเล่าแก่วิชัยว่า หญิงคนหนึ่งคบชู้วางยาพิษสามี ความผิดอุกฤษฎ์ เห็นปานนี้ วิชัยจักหาข้อแก้แทนจนบรรเทาผิดหนักให้เบาลงได้ อย่างน้อยที่สุดให้หญิงนั้นต้องความปรักปรำน้อยลง จริงอยู่สามีถูกวางยาหาใช่ตัวเขาไม่ แต่มนุษย์เป็นส่วนมากถือความผิดของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเป็นอาหารอันโอชะสำหรับปากที่อยู่ไม่สุข และสำหรับใจที่ประสงค์จะเร้นความชั่วของตัวด้วยความชั่วของผู้อื่น เมตตาจิตที่มีต่อหญิงนั้นจึงเป็นข้อควรสังเกตอยู่ไม่น้อย

ความจริงนั้น พระอรรถคี ฯ มีหลักอยู่ในใจว่ามนุษย์ทุกรูปทุกนามเมื่อดวงจิตยังไม่ขาดจากกิเลสก็ย่อมจะมีเวลาทำผิดทางกายบ้าง ทางใจบ้าง ไม่มากก็น้อย เพราะเหตุฉะนั้น ถ้าแม้ว่ามนุษย์จะคอยเฝ้าทับถมความผิดของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็จักเป็นที่น่าอเน็จอนาถนัก

เมื่อบุรุษหนึ่งมีใจเปี่ยมอยู่ด้วยธรรมตามที่พรรณนามา เขาจัก​ประกอบกรรมอันใดหรือที่ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่เพื่อนมนุษย์ และอาศัยเหตุนี้ ประวัติของวิชัยเท่าที่อนงค์ได้ฟังจากปากช้อยจะไม่เป็นเรื่องที่เร้าใจให้เกิดความเลื่อมใสในตัวเขาอย่างแก่กล้ากระไรได้

อีกตอนหนึ่งช้อยเล่ามีใจความว่า

ในหน้าที่ผู้พิพากษา วิชัยได้ออกรับราชการตามหัวเมืองต่าง ๆ เกือบทั่วพระราชอาณาจักร ยังไม่มีหัวเมืองหนึ่งหัวเมืองใดที่วิชัยมิได้ตรารอยงานในความเที่ยงธรรมและความโอบอ้อมอารีไว้ให้ เพื่อนฝูงที่คบกับวิชัยแล้วไม่เคยมีใครตีตัวออกห่าง ความ ๒ ข้อนี้ที่ช้อยวินิจฉัยโดยเสียงโจษอันมาจากที่ต่าง ๆ ทั้งที่ใกล้ที่ไกล และเมื่อพิเคราะห์ดูโดยปราศจากฉันทาคติ ช้อยก็ยืนยันซ้ำว่าเสียงเหล่านั้นมิใช่เสียงยอหรือเสียงแห่งความเกรงใจ หากเป็นเสียงแห่งความจริงซึ่งจะคัดค้านมิได้

เนื้อความนี้ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของเรื่องที่ชี้ให้เห็นว่า ทุก ๆ วาระแห่งการเคลื่อนไหวของพระอรรถคดี ฯ ตั้งแต่ออกนอกบ้านตลอดจนถึงในห้องนอน ย่อมเป็นไปโดยผู้ทำนึกถึงความสุขของผู้อื่นก่อนความสุขของตัวเป็นนิจ

ค่ำวันนั้นอนงค์มีพี่ชายรับประทานอาหารร่วมด้วยเพียง ๒ คนคือสมพงศ์กับประสิทธิ์ เมื่อได้พูดกันถึงเรื่องต่าง ๆ หลายเรื่องนักหนาแล้ว ในที่สุดอนงค์จึงบอกแก่สมพงศ์ว่า

“ชัดเขาหาคู่ได้แล้วยังไงล่ะคะ?”

สมพงศ์เลิกคิ้วมองดูน้องด้วยความพิศวง ประสิทธิ์ “ฮี่” ขึ้นในทันใดและว่า

“แม่..คนสวยนั่นแหละ คุณสมพงศ์ไม่ฮี่ ๆ ทัน”

“ทายแม่นจริง !” อนงค์กล่าวพลางยิ้ม “ทำไมถึงรู้ล่ะคะ?”

ประสิทธิ์โยกตัวบนเก้าอี้หลายครั้งก่อนที่จะ “ฮี่” และตอบว่า

“พี่เห็น”

​สมพงศ์ยังไม่ปริปากพูด อนงค์พิศดูหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงความกังวลเล็กน้อย

“พี่สมพงศ์เสียดายมากหรือคะ?”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากจาน สายตามองสูงในท่าตรอง เขาตอบว่า

“พี่กำลังใคร่ครวญว่าตาชัดโง่หรือฉลาด กำลังเปรียบเทียบน้องหญิงของพี่กับนางสาวจันทร”

คิ้วอนงค์ขมวดเข้าหากัน หัวเราะห้วน ๆ และว่า

“อย่าให้เราต้องเสียสมองไปเพราะเรื่องนี้เลยค่ะ อนงค์ถามหมายความถึงว่าพี่สมพงศ์เสียดายผู้หญิงคนนั้นมากหรือต่างหาก”

“อ๋อ เปล่า !” ผู้เป็นพี่ตอบโดยเร็ว “พี่คิดว่าอนงค์ถามถึงตาชัด อันที่จริงพี่เสียดายตาชัดอยู่บ้าง พี่ชอบอัธยาศัยแกสนุกกว้างขวางฉลาด สำหรับจันทรพี่จะเสียดายอะไรกับเขา เห็นเขาสวยก็ชมไม่ทันได้นึกรักใคร่อะไรนี่”

อนงค์พับผ้าเช็ดมือใส่ปลอก และพยักชวนพี่ให้ลุกจากโต๊ะ ในระหว่างที่เดินออกจากห้องรับประทานอาหารสมพงศ์ถามขึ้นว่า

“อนงค์รู้มาอย่างไรว่าชัดกับจันทรเขาชอบกันหรือเขารักกันมานานแล้ว !”

“ยังไงก็ไม่ทราบ อนงค์เพิ่งรู้จากพี่ช้อยวันนี้เอง”

เขาอ้าแขนโอบสะเอวหล่อนไว้แล้วถามเบา ๆ

“น้องของพี่รู้สึกอย่างไรบ้าง?”

ทายความคิดของเขาได้ถนัด อนงค์จึงเบนตัวหนีและผลักแขนเขาโดยแรง

“อนงค์ไม่เคยรักชัดนะคะ” หล่อนว่า “พี่สมพงศ์อย่าคิดอะไรให้มากไป”

สมพงศ์ยิ้ม “พี่เชื่อ” เขาตอบเรียบ ๆ เดินห่างจากน้องไปหยิบบุหรี่​สูบ

อีกขณะหนึ่งต่อมาเขาพูดขึ้นว่า

“คนหนุ่มที่โก้ ๆ หลายคนพากันมาหมอบ หรือเตรียมจะหมอบอยู่แทบฝ่าเท้าอนงค์ เป็นที่รู้กันอยู่ละว่าน้องของพี่ไม่มีไมตรีจิตตอบเขาแต่สักคน เดี๋ยวนี้พี่อยากรู้ต่อไปอีกสักหน่อยว่า น้องของพี่จะครองตัวเป็นโสดไปจนตายหรือจะไม่รู้จักรักรู้จักสงสารผู้ชายคนไหนบ้างหรืออย่างไร?”

หญิงสาวใช้ปลายเท้าเขี่ยกระดาน และตอบโดยไม่เงยหน้า

“น้องของพี่เห็นจะรักแต่คนที่เขาไม่รักตัว”

“เอ๊ะ” สมพงศ์ร้อง “อย่าพูดเป็นลางอย่างนั้นสิน่า พี่ออกตกใจเสียแล้ว”

อนงค์หัวเราะดัง แต่กังวานไม่แจ่มใส “โดยมากเรื่องมักเป็นเช่นนั้นนี่คะ” หล่อนว่า “ใครเขารักเราต้องไม่รักตอบ แล้วไพล่ไปรักคนที่เขาไม่รักตัวถึงจะสนุกไม่ยังงั้นก็ไม่แปลก”

พูดแล้วโดยไม่มีความตั้งใจอะไรพิเศษ หล่อนเดินเฉียดประสิทธิ์ผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างโต๊ะกลมและเป็นเงางามอันเป็นที่รองแจกันลายครามอย่างเก่า ชายหนุ่มฉวยข้อมือหล่อนไว้ด้วยมือซ้าย มือขวาชี้ให้ดูรอยที่เขาวาดขึ้นบนโต๊ะนั้นโดยอาศัยความชื้นแห่งปลายนิ้วมือ อนงค์จึงมองเห็นตัวอักษรปรากฏอยู่ ๒ ตัวคือ ว.ช.


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,467


View Profile
« Reply #6 on: 19 May 2022, 21:01:20 »


๒๗

นางธุรกิจกำจรนั่งอยู่ตรงช่องบันไดไม้ เหนือเสื่อจันทบุรีสีเขียว สิ่งของที่วางอยู่ในที่นั้นเช่นถ้วยแก้วน้ำ กลักไม้จิ้มฟัน ฯลฯ แสดงร่องรอยว่าอุไรเพิ่งบริโภคอาหารเช้าเสร็จใหม่ ๆ พอมองเห็นช้อยขึ้นบันไดมาก็ร้องทักอย่างดีเนื้อดีใจ

“แหม ไม่นึกเลยว่าจะมาเร็วทันอกทันใจอย่างนี้ ทำไมไม่บอกให้ดิฉันทราบล่ะคะจะได้ส่งรถไปรับ ดิฉันสั่งคุณพระไปแล้วทีเดียว นั่งเสียบนเสื่อซีคะ กระดานมันเหนียวขี้ผึ้งกับน้ำมัน”

“พี่ใหญ่เธอมาส่งดิฉันค่ะ แล้วเธอเลยไปทำงาน” ช้อยตอบรับบุตรีจากมือคนเลี้ยงผู้ซึ่งนั่งอยู่บนขั้นบันได “หนูเจ้าขาคุณอาเสียซิจ๊ะ”

“แหมโตขึ้นเป็นกอง มาหาหน่อยมะ ดู๊ ! ยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ ดิฉันไม่ได้เห็นแกสักเดือนหนึ่งได้ไหมคะแกโตขึ้นถนัด”

ช้อยส่งตัวลูกน้อยให้อุไร อาสาวจับหลานให้นั่งบนตัก จับแก้มลูบผมน้ำตาคลอเมื่อนึกถึงหน้าพ่อของเด็ก ช้อยเริ่มรู้สึกว่าหวัดขึ้นจมูกจึงถาม​ไปเสียทางหนึ่งว่า

“คุณหลวงเห็นจะไม่อยู่?”

พอดีกับหลวงธุรกิจ ฯ ออกมาจากห้อง ๆ หนึ่ง แต่งตัวเรียบร้อยอย่างจะออกจากบ้าน ตรงมาหาช้อยทักว่า

“หมู่นี้หายไปนานนึกว่าลืมบ้านนี้เสียแล้ว ต้องสั่งให้พระอรรถคดี ฯ ไปเตือน”

“ดิฉันไม่ค่อยได้ไปไหนค่ะ อยู่แต่บ้านแต่ถึงตัวไม่ได้มาใจก็ไม่ลืมที่นี่นะคะ ถามข่าวจากพี่น้องได้ทราบว่าอยู่สบายดีทุกคนก็เลยเรื่อย ๆ ไป”

หลวงธุรกิจ ฯ จับแก้มหนูนิดบีบ ช้อยจึงว่าแก่ลูกว่า “เจ้าขาแล้วหรือจ๊ะ?”

เด็กน้อยประณมมือไหว้ดวงตาอันดำขลับจับอยู่ที่หน้าบุคคลผู้ได้รับคารวะของตน หลวงธุรกิจ ฯ มองดูหน้าเด็กพลางยิ้มและว่า

“ยายหนูนี่เค้าหน้าแกไปทางข้างแม่มากกว่าข้างพ่อ”

“อะไรคะ” อุไรขัด “แกเหมือนคุณพี่สมานออกจะตาย ดูรูปหน้าแกซี หน้าผากยังงี้ละคุณพี่ทีเดียว แต่หวังว่าหัวจะไม่เถิก”

“ฉันก็ว่าเหมือนพระอรรถ ฯ”

“นั่นก็พ่อเหมือนกัน พ่อลุง เหมือนลุงดี ลุงจะได้รักมาก ๆ”

“โอ๊ยเดี๋ยวนี้ก็เหลือที่จะรักอยู่แล้ว” ช้อยกล่าวน้ำเสียงแสดงความตื้นตันใจเล็กน้อย “ใครแตะต้องไม่ได้ตามใจเหลือเกิน จะเอาอะไรเป็นได้หมด แต่งตัวเสร็จแล้วจะไปธุระหลานร้องตามยังต้องพาหลานไปเที่ยวสักพักหนึ่งก่อน จนคุณแม่ท่านทายว่าพี่ใหญ่มีลูกเห็นจะพนอจนไม่มีใครอยากแตะ”

“นิสัยเขาช่างตามใจคน” หลวงธุรกิจ ฯ พูดแกมหัวเราะ “แต่ผู้ใหญ่เขายังตามใจ เด็กด้วยน่าเอ็นดูอย่างนี้ด้วยก็ใส่ใหญ่เท่านั้น ฟังดูเขารักของเขาเหลือเกิน ๒ คำก็ยายนิดของผม เคยเห็นแต่ผู้หญิงเขาเห่อลูกไปที่ไหน​ก็เอาแต่เรื่องลูกไปเที่ยวคุยอวด นี่ผู้ชายก็เห่อหลานเขาเหมือนกัน”

“โถ หลานกำพร้านี่น้า แล้วลุงก็ไม่มีลูกเสียด้วย” อุไรพูดพลางลูบคลำศีรษะหลานด้วยความปรานี

หลวงธุรกิจ ฯ ชักนาฬิกาจากกระเป๋าเสื้อ มองดูแล้วทำหน้าย่น “ถึงเวลาต้องไปแล้ว” หยิบหมากพลูจากเชี่ยนหมากของภรรยาใส่ปากพลางลุกขึ้นยงโย่ แล้วพูดด้วยเสียงของคนที่มีปากอันไม่ว่างเปล่า “เสียใจอยู่คุยกับคุณช้อยไม่ได้นาน วันหลังคุณต้องมาใหม่ส่งรถที่นี่ไปรับ จะได้ไม่ต้องกวนพระอรรถ ฯ เขา”

แต่พอหลวงธุรกิจ ฯ ไปพ้นแล้ว จะเป็นด้วยทั้ง ๒ หญิงต่างกังวลเกินไปในเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างประสงค์จะเจรจากัน หล่อนทั้ง ๒ จึงมีอาการเหมือนสิ้นเรื่องพูด ต่อมาภายหลังช้อยจึงเอ่ยขึ้นว่า

“ให้ละมุนพาหนูนิดไปเดินเล่นข้างล่างเห็นจะดี ถ้าให้แกนั่งนิ่ง ๆ เดี๋ยวก็รบกลับบ้าน อ้อให้แกไปหาอาจันทรด้วย จะได้อวดเสื้อที่อาถัก ใส่ได้พอดิบพอดี”

“ดีแล้วค่ะ หาอาแล้วเลยไปเล่นกับพี่ ๆ น้อง ๆ ตุ๊กตุ๋นตุ๊กตามีเยอะแยะ หรือจะเล่นขายของก็ได้ ใบไม้ของเรามีมาก” เรียกคนใช้มาสั่งซ้ำ แล้วจึงบอกแก่คนเลี้ยงของเด็ก “พาหนูตามคนนั้นเข้าไปซี”

นางละมุนอุ้มหนูนิดลงบันไดไปยังไม่ทันลับตัว อุไรก็ขยับเข้าใกล้ช้อย ตบเขาตัวเองแล้วพูดว่า

“เป็นยังไงกันคุณพระอรรถ ฯ ถึงมาขอแม่จันทรให้คุณชัด?”

ช้อยงง คำถามนี้ฟังดูแปลกประหลาดนัก อุไรมิได้เห็นความผิดปกตินั้น ลงเสียงหนักแน่นพูดต่อไป

“ดิฉันเกือบไม่เชื่อหูตนเอง เห็นนั่งพูดอ้อมค้อมอยู่นาน ดิฉันก็ไม่ได้ตั้งใจฟัง เพราะมัวแต่นึกหัวเราะในใจ เราคอยอยู่เป็นนมเป็นนาน เพิ่งจะมาขยายเดี๋ยวนี้ ประเดี๋ยวแกเอ่ยชื่อคุณชัดออกมา ดิฉันเลยจังงัง คุณ​หลวงยังงี้ทำหน้าพิก๊ล นึกขึ้นมายังขันไม่หาย” พูดแล้วอุไรก็หัวเราะ

แต่ช้อยไม่รู้สึกสนุกด้วย ตรงกันข้าม หล่อนใจหายวาบแล้วก็สลดหดหู่ฝืนยิ้มได้ด้วยความลำบาก ในที่สุดจึงตอบได้แต่เพียงว่า

“ชัดเขาขอให้เธอมาพูด”

“ก็นั่นน่ะซีคะ ทำไมถึงกลายเป็นคุณชัด ดิฉันน่ะรู้ล่วงหน้ามานานแล้วว่าคุณช้อยกับดิฉันจะต้องเกี่ยวดองกันอีกเปลาะหนึ่ง คุณหลวงก็ดีใจ พูดถึงเรื่องนี้ไม่หยุดแต่ยังไงถึงผิดตัวไปได้”

ช้อยหายใจอย่างยากเย็น คำพูดของพี่ชายสั่งกำชับมาแน่นหนาว่าให้หล่อนทำตัวเป็นทนายความที่ดีของน้อง คำพูดนี้ช้อยแทบจะแกล้งลืมเสียด้วยความเวทนาต่อผู้สั่งอย่างยิ่งยวดนั่นเอง

“แหม ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยทายอะไรผิดถึงเท่านี้” อีกฝ่ายหนึ่งรำพันต่อไป “ท่าทางคุณพระอรรถ ฯ เหมือนกับหลงแม่จันทรเสียเหลือเกิน จะพูดจะจาจนกระทั่งจะมองดูผิดปกติไปทั้งนั้น คุณหลวงถึงกับบอกดิฉันว่า คุณพระขยันมาเรื่องสมาคม เพราะว่ามีแม่เหล็กอยู่ที่นี่เพราะเช่นนั้นให้สังเกตเถิด วันไหนไม่เห็นจันทรละก็คุณพระพูดอะไรไม่ได้เรื่อง นั่งไม่เป็นสุข ตาคอยแต่มองสอดส่าย ดูเถอะค่ะ ตาเราเห็นไปได้ถึงเพียงนี้ความที่อุปาทาน ทั้งคุณหลวงทั้งดิฉันอยากให้แม่จันทรได้คุณพระเหลือเกิน จะได้นอนใจว่าแกจะเป็นสุข”

คิดเกรงอุไรจะเห็นผิดสังเกตในการที่ตนไม่พูดอะไรเสียเลย ช้อยจึงว่า

“พี่ใหญ่แก่กว่าจันทรมากนัก เธอคงกลัวใคร ๆ เขาค่อนว่า คนแก่มีเมียสาว”

“พิโถ ! ไปหาความแก คุณพระอรรถ ฯ น่ะหรือแก่หน้าตาท่าทางยังเด็กกว่าคุณหลวงของดิฉัน เป็นไหน ๆ” หยุดชะงักนิดหนึ่ง “เออแต่เมื่อวานนี้ดูแก่ไปจริง ๆ ละค่ะ ซึม ๆ อย่างไรไม่ทราบ มองดูผิดตาทีเดียว ไม่​สบายไปหรือคะ?”

“ก็ไม่เห็นเป็นอะไร หน้าเชียวเห็นจะเป็นที่อดนอนมาก”

“อ๊อ ! อดนอนทำไม เที่ยวดึกหรือ?”

“โอ๊ย ไม่มีเสียละค่ะเรื่องนั้น” ช้อยปฏิเสธอย่างแข็งขัน ประหลาดใจที่มีผู้คาดความประพฤติของพี่ชายไปในทางเสื่อม “นาน ๆ สักทีหนึ่งเวลาไปเที่ยวกับเพื่อนผู้ชายเขาลากเธอไป เธอเป็นคนไม่ขัดใครก็ไปกับเขาด้วย ลำพังตนเองไม่ชอบเลย”

ผู้ที่ช่างคิดและคิดลึก เมื่อได้ฟังคำพูดทั้งประโยคนี้บางทีใคร่รู้ว่าพระอรรถคดีวิชัยได้แสดงตัวเช่นนั้นแก่น้องสาวด้วยถ้อยคำหรือ ซึ่งจะได้รับคำตอบปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าแม้คำพูดของช้อยจะตรงกับความจริงทุกคำ แต่วิชัยมีมโนธรรมละเอียดอ่อนเกินที่จะแก้อาบัติของตนด้วยการซัดทอดผู้อื่นเช่นนี้ อย่างไรก็ตามช้อยได้พูดแล้วซึ่งคำพูด อันเกิดจากความคาดคะเนซึ่งหล่อนเชื่อว่าถูกจริง และอุไรก็ไม่ซักถามดังที่คนช่างคิดและคิดลึกอาจถามได้

“ก็เรื่องพี่ใหญ่มาพูดให้ตาชัดนั้น เธอเห็นเป็นอย่างไรคะ?” ช้อยถามขึ้น

ถึงแม้ว่าเรื่องที่ช้อยถามขึ้นจะเป็นเรื่องที่อุไรได้คิดอยู่หลายชั่วโมงแล้ว แต่เมื่อถึงคราวที่จะต้องตอบหล่อนก็ต้องคิดอีก ภายหลังจึงว่า

“มองดูคุณชัดแกก็ไม่มีอะไรเสีย แต่ยังไงไม่ทราบพูดก็ไม่ถูก ! ยังเสียดายคุณพระอรรถ ฯ ไม่หาย”

ช้อยพยายามหัวเราะ

“แต่ดิฉันได้ยินพี่ใหญ่พูดว่า ดูเหมือนแม่จันทรจะชอบตาชัด”

“อุ๊ย ก็แน่ละซีคุณ คุณชัดออกทั้งสวยทั้งคล่อง พูดก็เพราะ อายุก็ไล่เลี่ยกัน”

“นั่นน่ะซีคะ ถ้าเป็นพี่ใหญ่บางทีแกจะไม่ชอบ”

​“ไม่จริงหรอกค่ะ ใครพูดก่อนแกก็ตกลงกับคนนั้นแหละ ความจริงแกชอบทั้ง ๒ คน ดิฉันเห็นนี่นา คุณพระมาแกก็ดีใจ กุลีกุจอทำนั่นทำนี่ คุณชัดมาแกก็เป็นอย่างนั้นอีกน่ะแหละ”

“ตกลงเธอเห็นจะไม่ขัดข้องซีนะคะ?”

อีกครั้งหนึ่งอุไรต้องใช้ความไตร่ตรองก่อนที่จะพูด

“ตัดสินลำบากเหมือนกัน เจ้าตัวทั้ง ๒ ฝ่ายเขาก็ชอบกัน ผู้ชายเขาก็ไม่เสียหายอะไร แต่ยังไงไม่ทราบ ดิฉันไม่ค่อยไว้ใจ ไม่ใช่ไม่ไว้ใจคุณชัด ไม่ไว้ใจแม่จันทรเอง กลัวแกจะไม่ทันคุณชัด แต่นั่นแหละค่ะ ของพรรค์นี้ต้องแล้วแต่บุญกรรม เป็นอันว่ายกไว้ก่อน เดี๋ยวนี้ดิฉันอยากทราบเรื่องคุณแม่ของเธอ นี่แหละค่ะที่ดิฉันให้เธอมาอยากจะถามเรื่องนี้ เมื่อวานมัวแต่ตกตะลึงพูดอะไรไม่ถูก ตอบได้แต่เพียงขอผลัดตรึกตรองดูก่อน เท่านั้น”

“จะถามว่ากระไรคะ?”

“ถามว่าคุณแม่ของเธอเห็นดีกับคุณชัดหรือ ดิฉันได้ยินว่าท่านกำลังจะไปขอลูกสาวคุณหญิงรานรอน ฯ ให้คุณชัดไม่ใช่หรือคะ?”

ทูตพิเศษของวิชัยตบแต่งสีหน้าดีแล้วจึงตอบว่า

“เรื่องนี้พี่ใหญ่บอกกับดิฉันว่า จะมาพูดด้วยตัวเองเพราะเธอจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบตลอดเรื่อง”

“ก็เรื่องมันเป็นยังไงล่ะคะ เราเล่ากันเป็นส่วนตัวก่อนเถิด ดิฉันจะได้พูดกับคุณพระถูก”

“สงสัยอะไรก็ถามซิคะ ดิฉันจะตอบตามความเห็นของดิฉัน”

“เรื่องคุณแม่นี่แหละ ท่านทราบแล้วหรือยัง?”

“ยังค่ะพี่ใหญ่ยังไม่บอก เพราะกลัวจะถูกดุก่อนเวลาโดยไม่เป็นประโยชน์ คุณอุไรตกลงอย่างไร แล้วพี่ใหญ่ถึงจะบอกคุณแม่”

“ก็จะให้ดิฉันตกลงยังไงได้ ในเมื่อดิฉันยังไม่ทราบเรื่องทางของเธอละเอียด”

​“ถ้ายังงั้นดิฉันจะเล่าให้ฟังเท่าที่ทราบ คุณแม่อยากให้ตาชัดได้ลูกสาวพระยารานรอน ฯ แต่ตาชัดก็ดิ้นรนไม่ยอมท่าเดียว ทั้งพี่ใหญ่ก็ถือภาษิตปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่ หมายมั่นไว้ ถ้าน้องรักใครจะจัดการให้เสียเอง ตามปกติพี่ใหญ่เป็นคนกลัวแม่ แหวขึ้นมาพี่ใหญ่ก็หมอบราบ แต่ถ้ามีเรื่องเกี่ยวแก่ทุกข์สุขของน้องแล้ว เธอทำตัวเหมือนกับเป็นพ่อของน้องทีเดียว ถูกดุเป็นถูก เธอต้องพูดกับคุณแม่จนแตกหัก เธอเคยทำเช่นนี้มา ๒ หนแล้ว เมื่อคราวดิฉันก็หนหนึ่ง เธอชนะทั้ง ๒ คน หนนี้ดิฉันทายว่าเธอจะเล่นท่านั้นอีก ตามเสียงพี่ใหญ่เธอเชื่อว่าคุณแม่จะยอมแพ้เธอแต่ก็ออกวิตกอยู่นิดหนึ่ง นี่ดิฉันบอกเธอเป็นส่วนตัวนะคะ ดิฉันจับเสียงพี่ใหญ่ได้ เธอกลัวว่าถ้าแม่ผัวไม่ชอบลูกสะใภ้ ลูกสะใภ้จะเดือดร้อน เพราะฉะนั้นเธอคิดว่าเมื่อตาชัดแต่งงานแล้ว จะต้องหาบ้านอยู่ต่างหาก”

“นี่แหละข้อนี้ก็เป็นข้อสำคัญอยู่เหมือนกัน ธรรมดาแม่ผัวกับลูกสะใภ้ แต่ท่านหาให้ลูกเองบางคราวท่านยังท่าโน้นท่านี้ นี่คุณแม่ของเธอท่านจะหาผู้หญิงให้ลูก ลูกไม่รับ กลับหาเอง ท่านเกลียดเราก็ติท่านไม่ได้เสียด้วย”

“เรื่องนี้พี่ใหญ่ต้องคิดรอบคอบแล้วค่ะ เธอเชื่อว่าคุณแม่ไม่ใจไม้ไส้ระกำ เป็นแต่จุกจิกหน่อย เธอตั้งใจจะตัดเรื่องจุกจิกนี่ สำหรับไม่ต้องให้แม่จันทรได้รับความรำคาญสิคะ ถึงได้ว่าตาชัดต้องหาบ้านอยู่ต่างหากตามลำพังผัวเมีย”

อุไรพยักหน้าแล้วปรารภ

“แม่จันทรเขาก็รับว่าเขารักคุณชัดเสียด้วย อะไรก็ไม่ว่าหรอกนา เดี๋ยวนี้กลัวคนเขาจะครหาว่าน้องของดิฉันไปแย่งคู่คนอื่นเขาน่ะซี”

“ข้อนั้นไม่เป็นไปได้หรอกค่ะ คุณแม่เป็นแต่พูดเปรย ๆ กับฝ่ายโน้น ยังไม่ทันตกลงกันจริง ๆ จัง ๆ พี่ใหญ่ถึงได้กล้าเป็นเจ้ากี้เจ้าการ ถ้าตกลงกันแล้วพี่ใหญ่รักแม่ราวกะอะไรดี ที่ไหนจะกล้าหักหน้าแม่ นี่ตาชัดยังไม่​เคยเหยียบบ้านพระยารานรอน ฯ สักทีใคร ๆ เขาก็รู้

“ถ้าคุณพระอรรถ ฯ รับรองว่าจะจัดการให้เรียบร้อย ดิฉันก็ไม่ขัดข้อง เด็กเขาชอบของเขาด้วยนี่ คุณหลวงก็บอกว่าเชื่อคุณพระอรรถ ฯ ถ้าคุณพระเป็นประกันแล้วก็ไว้ใจได้ ถึงอย่างไรอย่าให้จันทรต้องลำบากทีหลัง คุณพ่อท่านจะด่าดิฉันแย่”

“จริงซี ข้างเธอก็มีคุณพ่อ ข้างดิฉันก็มีคุณแม่”

“คุณพ่อของดิฉันท่านไม่กระไรนักหรอกค่ะ ท่านยกจันทรให้สิทธิ์ขาดอยู่ในดิฉันแล้ว จะต้มจะยำอย่างไรก็ได้ แต่เราเองต้องระวังหน่อย มีน้องอยู่คนเดียว ไม่ดูแลแกให้เป็นสุขก็ขายหน้าเต็มที”

“ถึงเวลาที่จะขอกันตามธรรมเนียม จะต้องส่งเถ้าแก่ไปที่ท่านเจ้าคุณหรือส่งที่นี่คะ?”

“ตรงนั้นยังตอบไม่ถูก แต่ก็ไม่แปลกอะไรไม่ใช่หรือคะ ไปที่โน่นหรือมาที่นี่ก็เหมือนกัน”

อีกฝ่ายหนึ่งแสดงกิริยารับรอง อุไรจึงถามสืบไป

“คุณพระอรรถ ฯ เห็นจะเป็นเถ้าแก่ให้น้องเอง”

ช้อยหายใจโล่งขึ้นถนัด ความข้อนี้เป็นข้อที่วิชัยแสดงความวิตกไว้มาก ในเรื่องการที่ชัดจะมีเรือนนี้ต่างกับเรื่องของพี่สาวในข้อที่คุณนายชื่นมิได้มุ่งมาดหาหญิงไว้ให้แล้ว ซึ่งวิชัยจะเจรจาให้ท่านโอนอ่อนมาตามทางของเขานั้น เขาเองตระหนักแน่ว่าจะยากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลก แม้หากว่าผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงจะถือเคล็ดในข้อให้มารดาของฝ่ายชายมากล่าวจึงจะยกหญิงในปกครองให้ ดังนี้ความยุ่งก็จะเกิดขึ้นแทบว่าจะสางไม่ออก ครั้นเมื่อนางธุรกิจ ฯ ถามเปิดทางดังกล่าวแล้ว ช้อยจึงรีบตอบว่า

“แน่ละค่ะ ถึงไม่ใช่แม่จันทร เป็นผู้หญิงที่คุณแม่หาให้ตาชัด ท่านก็เคยพูดไว้ว่าจะให้พี่ใหญ่เป็นเถ้าแก่”

พ้นจากนี้แล้ว หญิงทั้ง ๒ สนทนากันต่อไปอีกนาน อุไรซักถามถึง​ความประพฤติส่วนตัวของชัด และรายได้ของเขา และในหน้าที่ทูตผู้ถือตรงตามคำสั่ง ช้อยพยายามเลือกให้คำตอบในทางที่ไม่ให้ร้ายแก่น้อง พร้อมกันนั้นมิให้ต่างกับความจริงจนถึงกับจะเป็นทางให้หล่อนถูกหาว่ากล่าวเท็จในภายหลัง ครั้นแล้วช้อยก็หว่านล้อมเอาได้ซึ่งคำตอบจากปากอุไร ให้ชัดมาเยือนคู่รักดังแต่ก่อน

แล้วช้อยก็ลาเจ้าของบ้าน กลับมาถึงที่อยู่โดยรถยนต์ของนางธุรกิจ ฯ

ตลอดวันนั้น ช้อยไม่มีกะใจนึกถึงเรื่องใดนอกไปจากเรื่องที่ตนได้ฟังแล้วได้พูดในตอนเช้า และสันดานมนุษย์มักกำเริบ สิ่งใดพอใจ ได้ทำแล้วย่อมอยากทำอีก วันก่อนนี้ ในยามกลุ้มจัด ช้อยได้เผยความในใจให้อนงค์ฟังโดยสิ้นเชิง เหตุฉะนั้นวันนี้ช้อยจึงคิดถึงอนงค์ คิดแล้วไม่เห็นช่องที่จะได้พบทันใจ หล่อนจึงใช้จดหมายแก้ขัด รวบรวมข้อความสำคัญต่าง ๆ โดยย่อ เขียนเสร็จสอดซองผนึก ให้คนใช้นำไปส่งยังตู้ไปรษณีย์โดยเร็ว ต่อจากนั้นก็เฝ้านับภาคนาฬิกาคอยที่จะได้พบพี่ชาย

เมื่อเขากลับมาถึง ช้อยกำลังปอกหอมกระเทียม สำหรับเครื่องผสมแกง แต่พอมองเห็นรถ ช้อยก็วางมือจากงาน ออกจากครัวมาสมทบกับพี่ชายตรงหน้าเรือนพอดี

พี่น้องมองดูกันโดยไม่ออกปากพูด แล้วต่างสาวเท้าเร็วเข้าเพื่อจะขึ้นไปชั้นบน แต่ในเวลานั้นเองคุณนายชื่นออกมายืนเยี่ยมประตู ยิ้มกับลูกชายแล้วว่า

“แม่กำลังคอยพ่อใหญ่อยู่เดี๋ยวนี้ เข้ามาบ้างในก่อนซี”

วิชัยส่งหมวกให้ช้อยโดยไม่พูดว่ากระไร

เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องเพียงสองต่อสอง นางศรีวิชัยบริรักษ์เปิดเชี่ยนหมาก หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งส่งให้พระอรรถคดี ฯ ผู้ซึ่งนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่แล้ว

บนแผ่นกระดาษมีเส้นหมึกเป็นวงกลม ภายในขีดเส้นยาว และเส้นแบ่งเนื้อที่ในวงออกเป็นช่อง ๔ เหลี่ยมและ ๓ เหลี่ยม รวม ๑๓ ช่อง มีตัวเลขเขียนประจำกำกับ วิชัยมองดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พลิกกระดาษกลับเห็นวงกลมเป็นดวงที่ ๒ จึงถามว่า

“ดวงข้างหลังนี่ดวงผู้หญิงหรือครับ?”

“จ้ะ ผูกคู่กันทีเดียว”

“คำพยากรณ์ไม่เห็นมี”

“ท่านพระครูท่านบอกว่าดูยาก ดวงชะตา ๒ ดวง นี่อยู่ตามลำพังตัวก็เรียกว่าดีทั้งคู่ แต่เอาเข้าคู่กันเข้ามันมีอะไรขัด ๆ เป็นกาลกิณีกันอยู่ตรงไหนไม่รู้ ท่านบอกว่าท่านจะตรวจให้ละเอียดเสียก่อนแล้วจึงจะพยากรณ์”

“ยังงั้นท่านคงยังให้ฤกษ์ไม่ได้ซีครับ?” วิชัยถามเสียงใสขึ้นกว่าเก่า

“ท่านยังไม่อยากให้ แต่แม่บอกว่าต้องการเร็วท่านก็เลยให้มาอันหนึ่ง อยู่ข้างล่างยังไงล่ะ ขึ้น ๑๓ ค่ำเดือนหน้า”

วิชัยวางแผ่นกระดาษ แล้วพูดด้วยเสียงที่พยายามให้เรียบที่สุด

“ควรจะรอให้ท่านขับให้ละเอียดเสียก่อน แล้วถึงหาฤกษ์ ฤกษ์ด่วนอย่างนี้อาจจะผิด ๆ ถูก ๆ ไม่น่าไว้ใจ”

“มันรอไม่ได้น่ะซีจ๊ะ เวลาไม่พอ มีคนมาซ้อนพ่อชัดเข้าแล้ว เข้าใจว่าจะไปติดแม่พยอม เดี๋ยวนี้พาเอาน้องชายไปด้วย จะมาท่าไรก็ไม่รู้หรือนังน้องสาวจะใช้ให้ไปกันตาชัด”

“ไม่เป็นเช่นนั้นหรอกครับคุณแม่ อนงค์ไม่ใช่ผู้หญิงแสนกล แล้วเด็กคู่นี้ไม่ได้คบกันอย่างชู้สาว เขาคนโก้ด้วยกัน ทันสมัยด้วยกัน เขาก็ชอบกันเท่านั้น เรื่องนี้ผมทราบมาเป็นที่แน่นอน”

“ถึงยังงั้นเราก็นอนใจไม่ได้ หมู่นี้คุณหญิงออกทำท่าจะดีดตาชัดอยู่นะ ถ้าเราพลาดท่าเป็นเสียทีเราทีเดียว แม่จะต้องรีบจัดการ พรุ่งนี้เย็น ๆ ​จะต้องไปหาคุณหญิงอีก จะได้นัดวันที่เราจะไปขอเสียให้เสร็จ”

นึกเบื่อต่อการที่ใช้เล่ห์ประวิงความเรื่องนี้ มาหลายครั้งแล้ว วิชัยคิดว่าเวลาแห่งการแตกหักก็จะมาถึงในวันพรุ่ง หมายความว่าถึงเวลาที่จะต้องพูดกันอย่างตรงไปตรงมา หรือมิฉะนั้นก็ไม่พูดอะไรเสียเลย ดังนั้นเขาจึงนิ่งเสียไม่ตอบว่ากระไร

“หมู่นี้พ่อชัดของเราดูดีขึ้นมากนะ” นางศรีวิชัย ฯ กล่าวเมื่อได้นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้ว “ไม่เห็นไปเที่ยวไปเตร่ค่ำลงกินข้าวแล้วก็อยู่บ้าน”

วิชัยกำลังจะจุดบุหรี่สูบ และคลำพบไม้ขีดไฟในกระเป๋าเสื้อถึง ๓ กลัก เขาก็หยิบออกวางเรียงไว้ เมื่อได้ฟังมารดากล่าวขวัญถึงน้อง เขาจึงเงยหน้าพูดขึ้นว่า

“ครับ เขาบอกกับผมว่าเขาจะพยายามเป็นเด็กดีแล้วผมเชื่อด้วยว่าเขาจะทำได้จริง ขอแต่ให้มีเครื่องสนับสนุนดี ๆ หน่อยเท่านั้น”

พูดแล้ววิชัยรวมกลักไม้ขีดลงในกระเป๋าเสื้อ บุหรี่ที่จะจุดยังไมได้จุด เขาขยับลุกขึ้นคุกเข่าและถามว่า

“หมดธุระเท่านี้ไม่ใช่หรือครับ ผมอยากจะนอนพักเสียสักประเดี๋ยว”

“ไปซี” คุณนายพูด ยิ้มพยักด้วยใจดี “พักให้มาก ๆ หน่อยเถิดดี แม่เห็นพ่อใหญ่หมู่นี้ซูบซีดยังไงก็ไม่รู้ อย่าอดนอนให้มากนักซี ไอ้ละเม็งละครน่ะเขียนให้เขาแล้วไม่เห็นได้เบี้ยออกข้าวอะไรเลย ไม่ควรจะเอากำลังเข้าแลก”

ไม่มีคำตอบจากอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อคุณนายชื่นหยุดพูดวิชัยก็ออกจากห้อง

พบช้อยคอยอยู่แล้วที่บนเรือน พอเห็นหน้าเขาหล่อนก็ถามว่า

“คุณแม่เรียกไปทำไมคะ?”

วิชัยโบกมือแล้วว่า

“พูดเรื่องของเราเถอะ ได้ความว่ายังไง?”

​ช้อยจับตาดูพี่ชาย ทั้งความรักความสงสารปรากฏอยู่ในแววตา แต่หล่อนตอบเขาเพียงสั้น ๆ ว่า

“สำเร็จ”

ประหลาดนัก วิชัยเองเป็นผู้ขอร้องให้ช้อยดำเนินการเพื่อความสำเร็จประโยชน์แก่น้องชาย แต่ครั้นได้ฟังคำตอบของช้อย ก็รู้สึกวาบหวิวเหมือนกับมีมืออำมหิตมาล้วงเอาดวงใจไปจากร่าง นิ่งไปหลายวินาทีจึงถามขึ้นได้ว่า

“เรื่องของหมั้นว่าอย่างไร?”

“คุณอุไรไม่เรียกอะไรเลย ถ้าฝ่ายเราอยากจะให้ก็ให้แก่ผู้หญิง”

พี่กับน้องนิ่งเงียบไปด้วยกัน วิชัยนั่งลงบนเก้าอี้ ถอดถุงเท้า รองเท้า ภายหลังช้อยพูดขึ้นอีก

“ดิฉันถือตามคำสั่งพี่ใหญ่ ไม่ได้พูดรับรองอะไรเหนือไปกว่าที่สั่ง เพราะฉะนั้นพี่ใหญ่จะต้องไปฟังเรื่องจากคุณอุไรเองอีก แล้วจึงจะถือได้ว่าตกลงกันเป็นหลักฐานได้ คุณอุไรก็ถือว่าต้องเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน”

ผู้ฟังไม่ตอบ ช้อยชำเลืองดูเขานิดหนึ่งแล้วพูดต่อตามองดูกระดาน

“ถ้าดิฉันเป็นพี่ใหญ่ ก็จะไม่ต้องมานั่งทนทุกข์ดังนี้ ทั้งผัวทั้งเมียเขาอ้ามือคอยรับพี่ใหญ่เป็นน้องเขยทั้งคู่ เขารู้ว่าพี่ใหญ่รักแม่จันทร ยังคอยดูอยู่แต่ว่าเมื่อไรพี่ใหญ่จะพูดกับเขาให้เป็นกิจลักษณะเท่านั้น”

ยังไม่มีคำตอบ ช้อยเงยหน้าดูพี่ชาย เห็นเขานั่งพิงเก้าอี้ มือทั้ง ๒ ประสานอยู่บนศีรษะ ตาจ้องเป๋งอยู่ที่เพดาน ในที่สุดจึงถามขึ้นด้วยเสียงต่ำที่สุด

“แล้วตัวผู้หญิงล่ะ?”

คุณอุไรยืนยันว่าแม่จันทรไม่เห็นชัดดีกว่าพี่ใหญ่ แต่ตาชัดเป็นคนพูดก่อนแกถึงได้รับตาชัด”

มีความเงียบเกิดขึ้นอีกแล้ว ช้อยก็เป็นผู้ทำลายความเงียบเช่นเดียว​กับคราวก่อน

“เวลายังไม่สายเกินที่จะแก้นะคะ พี่ใหญ่ไม่ต้องทำอะไรเลย ชั่วแต่เฉย ๆ เสียเท่านั้น เชื่อเถอะค่ะ ตาชัดแกไม่ถึงกับอกหักหรอก แต่อกพี่ใหญ่แน่ะดิฉันกลัวเหลือเกิน”

วิชัยผลุดลุกขึ้นจากเก้าอี้และพูดเบาแต่ชัดถ้อยชัดคำ

“เรื่องตัวพี่ขอให้ยกเลิกกันเสียที ยิ่งพูดมากเปรียบเหมือนเอาของมีคมมาระสะเก็ด- - คุณอุไรจะให้พี่ไปฟังคำตอบได้เมื่อไร?”

“ไปเมื่อไรก็ได้เมื่อนั้น ตาชัดก็เหมือนกัน ไม่มีการหวงห้ามแล้ว”

“ดียิ่งเร็วยิ่งดี” วิชัยพึมพำคล้ายพูดกับตัวเอง ถอดเสื้อชั้นนอกออกจากตัวแล้วก็นอนลงบนเตียง หลับตาทำท่าเหมือนจะหลับไปได้ในอึดใจนั้น

ถึงเวลาอาหารค่ำ เมื่อคุณนายชื่นกับชัดเข้าที่นั่งแล้ว ช้อยมาถึงทีหลัง บอกกับแม่และน้องว่าวิชัยยังไม่ตื่นนอน จึงตกลงแบ่งอาหารไว้สำหรับเขา แต่ครั้นเมื่อแม่ลูกรับประทานใกล้จะอิ่ม วิชัยก็เข้ามาในห้องนั้น สวมเสื้อชั้นในขาวกางเกงขาวผมหวีเรียบหน้านวลแต่ตาแดงก่ำ

ทั้งมารดาทั้งน้องหญิงชายต้อนรับเขาด้วยกริยาที่หยิบโน่นตักนี่ส่งให้ และวิชัยก็ยิ้มหัวพูดจาปกติ แต่เมื่อรับประทานข้าวได้ ๒-๓ คำแล้วเขาก็วางช้อนส้อม ยกมือกุมศีรษะไว้

“เป็นอะไรลูก?” คุณนายชื่นถาม

“ปวดศีรษะครับ !” วิชัยตอบ ใช้มือซ้ายรวบช้อนส้อม มือขวาบีบต้นคอตนเอง “คิดว่าอาบน้ำแล้วจะหาย กลับปวดมากขึ้นอีก”

“หิวจัดเกินไปก็ไม่รู้” ช้อยว่า “กลับมาถึงไม่ได้รับประทานอะไร เจ้าบ๋อยเขายกขึ้นไปให้ก็เห็นหลับเสียแล้ว”

“นอนหลับผิดเวลาอาจจะเป็นได้” ชัดออกความเห็น

“กินข้าวเสียอีกซีจ๊ะ” คุณนายบอก “บางทีท้องอิ่มแล้วอาจจะหาย

​วิชัยตักข้าวใส่ปากอีก และรีบซดแกงตามด้วย แต่ครั้นแล้วเขาก็ผลักจานไปพ้นหน้า

“ไม่ไหว อยากจะเอาออกมากกว่าเอาเข้า” หัวเราะพลางพูดต่อพร้อมกับเอื้อมมือหยิบถ้วยแก้วน้ำ “หัวโตอย่างประหลาด คอก็ดูเหมือนจะโตกว่าบ่า”

“มันปวดที่ตรงไหน?” คุณนายชื่นถาม

“ขึ้นมาตามท้ายทอย” เห็นมารดามองดูด้วยสีหน้าแสดงความร้อนใจ เขาก็หัวเราะอีกว่า “ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ ประเดี๋ยวก็คงหาย”

“รับประทานยาเสียเถอะค่ะ” ช้อยบอก แล้วลุกขึ้นทันใด

“ถูกแล้ว” พี่ชายรับโดยเร็ว “ต้องกินยาเพราะมีธุระจะต้องไปอีก แบกความปวดหัวไปด้วยเห็นจะไม่ได้การ”

สีหน้าคุณนายชื่นเปลี่ยนจากลักษณะวิตกเป็นลักษณะไม่พอใจ กระแทกหลังเข้ากับพนักเก้าอี้แล้วว่า

“จนเป็นยังงี้แล้วยังจะขับรถไปไหนอีกหรือ ธุระอะไรที่ไหนนะ ฉันอยากรู้นัก?”

“ใกล้ ๆ นี่เองครับ บ้านหลวงธุรกิจ ฯ ผมไปประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น พูดธุระ ๒-๓ คำแล้วก็จะกลับมา”

“พูดเรื่องอะไรกันไม่รู้จักแล้วจักรอด” เสียงคุณนายชื่นดังกว่าเก่า “ไม่เอาละฉันไม่ให้ไป ดูหน้าออกซีดตาก็แดงจนเป็นยังงั้น นี่ถ้าเป็นพ่อชัดละก็ฉันหาว่าเมาแล้ว จะเป็นไข้น่ะรู้ไหมแล้วยังจะไปตากลมเดี๋ยวสะพ้านจับตาย”

เงียบวิชัยไม่ได้แย้ง แต่ภายในใจเขากำลังนึกอยู่ว่า ความหวังดีของมารดาในเวลาเช่นนี้ เท่ากับจะแกล้งให้อาการไม่สบายกำเริบยิ่งขึ้น เพราะเหตุว่าการงานใด ๆ ยิ่งยากยิ่งลำบาก ผู้ทำยิ่งน่าจะประสงค์ให้ลุล่วงไปโดยเร็ว จะได้สำเร็จเสร็จสิ้นมิต้องร่ำไรไม่รู้แล้ว แต่คำพูดของนางศรีวิชัย ฯ ก็​เพียบพร้อมด้วยเหตุผล จึงจำเป็นที่พระอรรถคดี ฯ จะต้องกลั้นใจไว้จนถึงวันพรุ่งนี้

รับประทานยาแล้ว วิชัยทนนั่งอยู่จนคนอื่น ๆ รับประทานของหวานเสร็จจึงขอตัวไปนอน ชัดกะผลีกะผลามตามมาด้วย กระซิบกระซาบถามว่า

“พี่ช้อยไปบ้านโน้นได้อะไรมาบ้างไหม?”

“แกทำไมไม่รู้จักไปถามเขาเองบ้างล่ะ” พี่ชายพูดห้วน ๆ

“ผมไม่รู้นี่ว่าแกไปทำไม ผลุนผลันไปถาม เผื่อพี่ใหญ่มีอุบายอยากจะปิดหรืออะไร ผมก็เข้าปิ้งซี”

เวลานั้นทั้ง ๒ ต่างกำลังขึ้นบันได ชัดไม่ยอมตามหลังพี่เพราะต้องการจะฟังคำตอบที่ชัดเจน สอดแขนของตนเข้ากับแขนวิชัยควงกันมาจนถึงหน้าห้อง

“ทางโน้นเขาตกลงกันเรียบร้อยแล้ว” พระอรรถคดี ฯ พูดน้ำเสียงดีขึ้นกว่าคราวแรก “ทีนี้แกเตรียมหาคำพูดไว้พูดกับคุณแม่เถอะ ชักช้าไม่ได้นะ วันนี้ท่านไปได้ฤกษ์สำหรับหมั้นมาแล้ว”

ชัดเกาต้นคอดังแกรก ๆ หลายหน ในที่สุดก็พูดว่า

“ตายแล้วผมตายแน่ ผมพูดกับท่านไม่รู้เรื่องนะคุณแม่น่ะ โธ่ พี่ใหญ่ช่วยทีน่า ไหน ๆ ช่วยมามากแล้ว”

พระอรรถคดี ฯ ก้าวเท้าเข้าห้องโดยไม่ตอบว่ากระไร แต่ชัดก็สามารถใช้ความเร็วแห่งขาได้เท่าพี่ชาย ฉุดแขนพี่ชายไว้แล้วว่า

“ผมทนให้ท่านเอ็ดไม่ได้เหมือนพี่ใหญ่นี่นา ฟัง ๆ ประเดี่ยวก็ชักเดือด อย่าว่าแต่เรื่องธุระเลย คุยกันยังไม่ค่อยได้ วันไหนผมเป็นคนพูดผมต้องพูดข้างเดียว วันไหนท่านอยากพูดผมไม่ต้องพูด หุบปากให้แน่นฟังท่าเดียว ขืนพูดออกไปก็ขวางท่านแล้วก็ถูกด่า”

“น้ำใจแกไม่อดทนต่ออะไรเสียเลย !”

​“โธ่ ผมนะอยากทนนะ เห็นพี่ใหญ่ทนได้ผมก็อยากเอาอย่าง แต่ทนไม่ไหวพูดกันไม่รู้เรื่อง”

ผู้เป็นพี่มองน้องเต็มตา ในที่สุดก็ว่า

“ไปทีเถอะไป๊ พี่จะนอน วันหลังถึงค่อยพูดกันใหม่ อ้อนี่แน่ะ แกจะไปหาคู่รักก็ได้แล้วผู้ใหญ่เขาไม่ว่า เอ้าไปที” เขาจับหลังน้องผลักออกนอกห้องแล้วก็ปิดประตูลงกลอนเสีย


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,467


View Profile
« Reply #7 on: 19 May 2022, 21:04:20 »


๒๘

เวลา ๑๕ นาฬิกาเศษ รถเฟียตสีดำแลดูคร่ำคร่า เพราะความเก่าแห่งตัวถังและประทุน พาตัวพระอรรถคดีวิชัยมายังบ้านหลวงธุรกิจ ฯ อีกครั้งหนึ่ง เจ้าของบ้านสาวเป็นผู้ออกมารับรองเอง แล้วเชิญพระอรรถคดี ฯ เข้าไปในห้องรับแขก

“วันนี้ต้อนรับอย่างมีพิธี” อุไรพูดเมื่อได้นั่งลงแล้ว “เพราะคุณพระ ก็มาเป็นพิธีไม่ใช่หรือคะ?”

“ถูกแล้ว ผมมาฟังคำตอบเรื่อง- -เรื่องน้องของคุณ”

“น้องของดิฉัน ๆ เต็มใจเป็นน้องของคุณพระ โปรดช่วยสงสารแกมาก ๆ ด้วย”

วิชัยรับด้วยน้ำเสียงและสำนวนคำพูดที่พอทำให้อุไรวางใจได้ โต้ตอบกันในเชิงผู้ใหญ่ที่กังวลในความสุขของเด็กในปกครองด้วยกันอีก ๒-๓ คำแล้ว นางธุรกิจก็พาพระอรรถคดี ฯ ไปถึงข้อสำคัญอีกข้อหนึ่ง

“ดิฉันได้ทราบว่าเมื่อคุณชัดแต่งงานแล้ว คุณพระตั้งใจจะไม่ให้แก​อยู่บ้านที่อยู่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่หรือคะ?”

“ครับ เรื่องนี้ผมอยากจะพูดกับคุณตรง ๆ เพื่อไม่ให้ต้องอึกอักภายหลัง การที่ผมเป็นตัวจัดการให้ตาชัดเสียเองนั้น ผมทำลุอำนาจคุณแม่มากไปหน่อย”

“จริงค่ะ เมื่อคืนนี้คุณหลวงว่าเราทำอย่างคนหัวใหม่ซึ่งออกหน้าติอยู่บ้าง ถ้าคุณแม่ของคุณพระท่านผูกใจเจ็บ เราก็โกรธท่านไม่ได้นะคะ”

“ถูกแล้ว เพราะเช่นนั้นถึงได้คิดป้องกันเสียก่อน”

“ค่ะ คุณหลวงก็เห็นด้วยเหมือนกัน แต่ว่าถ้าคุณชัดจะต้องเช่าบ้านเขาอยู่ จะเปลืองเงินเข้าไปอีกไม่น้อยนะคะ ไหนจะยังค่าน้ำค่าไฟ ค่าอะไรอีกจิปาถะ แล้วคนอย่างคุณชัดบ้านซอมซ่อนักแกก็คงอยู่ไม่ได้”

“เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของเขา สามีภรรยาจะต้องรู้จักผ่อนผัน”

“แต่ว่าแกเด็กทั้งคู่ จันทรอายุเพิ่ง ๒๑ คุณชัดเพิ่ง ๒๕”

วิชัยไม่ตอบ ด้วยไม่แน่ใจว่าควรจะตอบอย่างไร อุไรจึงพูดต่อ

“ดิฉันอยากจะช่วยแกทั้ง ๒ คน แต่สมบัติส่วนตัวของดิฉันไม่มีอะไรเลย เมื่อคุณหลวงได้ดิฉันมาก็ได้มาแต่ตัวแท้ ๆ ดิฉันจะเอาสมบัติของคุณหลวงไปกอบโกยให้น้องดิฉันก็ไม่ถูก เพราะเช่นนั้นจันทรแต่งงาน ดิฉันก็จะให้ได้ก็แต่เครื่องทองเครื่องเพชรเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่คุณหลวงจะให้ที่ดินทั้งแปลงอยู่แถวบางซื่อ ประมาณเนื้อที่สักไร่กว่า ๆ ดิฉันอยากให้คุณชัดปลูกเรือนหออยู่ในที่นั้น”

นิ่งคิดอยู่ไม่ถึงอึดใจ วิชัยก็ตอบว่า

“ถ้าเป็นความประสงค์ของคุณก็ได้”

“ขอบพระคุณค่ะ” อุไรกล่าวด้วยความยินดีอย่างจริงใจ “แรกทีเดียว ดิฉันไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้ จึงได้บอกคุณช้อยไปว่าไม่ต้องการอะไรเลย ครั้นเมื่อคุณหลวงพูดถึงเรื่องนี้ขึ้น จึงนึกว่าปลูกบ้านอยู่แล้ว คุณชัดก็จะเป็นผู้อยู่เอง ไม่ใช่ว่าเรียกร้องมาเป็นของน้องหรือของดิฉัน ที่ของแม่จันทร บ้าน​ของคุณชัดอย่างนี้ก็ยุติธรรมดีแล้วไม่ใช่หรือคะ?”

พระอรรถคดี ฯ ก้มศีรษะแทนคำตอบแล้วก็ลุกขึ้นยืน

“จะกลับละหรือคะ?” อุไรถามด้วยความประหลาดใจ “แหมช่างมาเป็นงานเป็นการเหลือเกิน ยังไม่ทันได้พบคุณหลวงเลยค่ะ”

พระอรรถคดี ฯ พูดอ้อมแอ้มแก้ตัว ๒-๓ คำ แล้วก็มาขึ้นรถจนได้

จากบ้านหลวงธุรกิจ ฯ มาถึงบ้านตัวเอง วิชัยขับรถมาได้ด้วยสัญชาตญาณมากกว่าขับด้วยความตั้งใจ ตัวเขาเวลานั้นเปรียบเหมือนโครงกระดูกที่ไม่มีวิญญาณ สมองมึนตื้อเหมือนจะสิ้นความรู้สึกนึกคิด จนเมื่อเขาลงจากรถแล้ว สติเตือนใจให้ตื่นขึ้นเพื่อเตรียมตัวรับงานอันจะมาข้างหน้า คุณแม่ ! วิชัยจะต้องผจญกับคุณแม่ เขามีกำลังเหลืออยู่พอที่จะทนต่อความเผ็ดร้อนแห่งน้ำคำของท่านได้หรือ?

ราวกับภูติผีปิศาจจงใจจะทดลองความมั่นคงของวิชัย พอเขาก้าวขึ้นบันไดก็พบคุณนายชื่นคอยรับอยู่แล้ว ยิ้มพยักกวักเรียกลูกแล้วบอกว่า

“อย่าเพิ่งขึ้นไปข้างบนเลย แม่สั่งเตรียมของว่างไว้ให้ที่นี่แล้ว พ่อใหญ่มาคุยกับแม่เถิด”

ยังไม่ทันที่วิชัยจะขึ้นมาพ้นบันได คุณนายชื่นก็พูดต่อ

“แม่เพิ่งไปหาคุณหญิงมะยมเพิ่งกลับมาเดี๋ยวนี้”

บุตรชายใหญ่ของคุณนายสะดุ้งดังถูกไฟจี้ ถามโพล่งออกไปว่า

“ไหนว่าคุณแม่จะไปเย็น ๆ ยังไงครับ?”

“แม่คิดว่าจะรอพ่อใหญ่ แต่เมื่อบ่ายนี้แดดมันไม่ร้อน แล้วแม่ไม่มีธุระอะไรก็ไปเสียให้เสร็จ เผอิญไม่พบ แม่สั่งคนที่บ้านนั้นไว้ให้บอกคุณหญิงว่าพรุ่งนี้สัก ๓ โมงเช้าจะไปหาจะได้เหมาะแก่เวลาที่พ่อใหญ่จะไปส่งแม่ได้”

วิชัยขยับเข้าใกล้ลูกกรงใช้ความแข็งแห่งไม้ยันตัวไว้ แววตาแห้งแล้งเกิดมีประกายความเด็ดเดี่ยว แต่ขาและมือของเขายังสั่นด้วยกำลังทั้งสิ้นถูก​เรียกไปรวมอยู่ที่ดวงใจในขณะที่เขาพูดขึ้นว่า

“เคราะห์ดีแล้วที่ไม่ได้พบคุณหญิง ถ้าพบก็จะเกิดเรื่องยุ่งกันใหญ่ ตาชัดพูดกับผมอย่างเด็ดขาดว่า เป็นตายอย่างไรไม่ยอมแต่งงานกับลูกสาวพระยารานรอน?”

“พูดเมื่อไร?” เป็นคำถามที่แสดงว่าความโมโหกำลังเข้าครองใจคุณนายชื่นอยู่บ้างแล้ว

“ในวัน ๒ วันนี่เองครับ”

“เขารู้ซีว่าฉันจะไปหมั้นผู้หญิงให้? ใครดันไปบอกเขาล่ะ ไหนสัญญากันว่าจะไม่บอกยังไง?”

“มีเหตุผลอื่นที่ผมจำเป็นต้องบอก ตาชัดรักผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นน้องเมียของเพื่อนผมด้วย”

“ก็แล้วยังไง ทำไมพ่อใหญ่ถึงไม่บอกแม่ กลับเอาความลับของแม่ไปบอกน้อง?”

“ผมเห็นแล้วว่าจำเป็นจะต้องบอกทั้ง ๒ ฝ่าย ชัดเอาเรื่องผู้หญิงที่เขารักมาปรึกษาผมก่อน ผมจึงได้ยกเรื่องคุณแม่ขึ้นท้วงเขา”

“แล้วเขาว่ายังไง?”

“เขาว่าอย่างที่ผมเรียนกับคุณแม่แล้ว”

คุณนายชื่นมีสีหน้าเป็นอย่างวันที่ท่านพื้นเสียถึงขีดสุด จับนั่นกระแทกนี่ เคี้ยวหมากหยับ ๆ ไม่เป็นจังหวะจะโคน ในที่สุดก็พูดออกมา ด้วยเสียงขุ่นว่า

“สันดานผู้ชายหนุ่ม ๆ เห็นผู้หญิงมันก็เที่ยวรักไปน่ะแหละ จะเอาจริงเอาจังอะไรกับมัน ฉันไม่เชื่อว่าไอ้ชัดจะอวดดีกับแม่ไม่ฟังเสียงแม่ ส่วนที่มันรักอยากรักก็ให้มันรักไป ส่วนที่แม่จัดการเป็นส่วนหนึ่งต่างหาก ฉันนัดคุณหญิงเขาแล้วพรุ่งนี้จะไปหา ทั้งเงินทั้งของเป็นหลาย ๑,๐๐๐ ไอ้ชัดมันจะทิ้งได้ก็ให้มันรู้ไป”

​“แต่ว่า--คุณแม่ยังไม่เข้าใจดี ผู้หญิงที่ชัดรักเขาก็เป็นลูกของครอบครัวที่มีหลักฐาน ชัดจะรักเล่นแล้วทิ้งเสียนั้นไม่ได้ ทั้งผู้หญิงเขาก็เป็นน้องของเพื่อนผมดังที่ได้เรียนแล้ว”

“เป็นลูกใครน้องใครก็ช่างหัวใครปะไร ชัดมันเป็นลูกของฉัน มันก็ต้องเชื่อฉัน อยากเสือกมารักกันทำไม”

“ถ้าชัดจะเชื่อคุณแม่ ก็คงเชื่อเสียตั้งแต่แรก คงจะไม่ก่อเรื่องยุ่งยากโดยไปให้คำมั่นสัญญากับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เพราะคำสัญญาเช่นนั้นต้องสัญญากันด้วยเกียรติยศ คุณแม่โปรดกรุณาล้มความคิดเดิมเสียเถอะครับ มิฉะนั้นจะต้องเสียของหมั้นไปเปล่า ๆ”

“เอ๊ะ พ่อใหญ่นี่ยังไงนะ” คุณนายชื่นพูดเกือบเป็นเสียงตะโกน “อยู่ ๆ ก็มานั่งเคี่ยวเข็ญแม่ ไม่ให้ทำนั่นไม่ให้ทำนี่ ฉันเห็นแกคอยขัดคอฉันมาหลาย ๑๐ หนแล้ว เรื่องราวมันเป็นยังไง มือไม่พายยังเอาตีนราน้ำ”

พระอรรถคดี ฯ กัดริมฝีปากพลางถอนใจ สิ้นปัญญาที่จะแถลงความจริง ในวิธีการจะประทังความโกรธของมารดา เขาจึงตอบออกไปว่า

“ตามที่ผมได้เรียนแล้วว่าผู้หญิงที่ชัดรักเป็นน้องของเพื่อน เป็นธรรมดาที่ผู้ใหญ่ฝ่ายโน้นพอทราบเรื่องก็ต้องหารือผม ผมเป็นพี่ชายของชัด เมื่อน้องชายได้ก่อไว้แล้ว ก็จำเป็นต้องสานต่อเพื่อรักษาเกียรติยศของน้อง จึงได้จัดการกับเขาว่าจะช่วยจัดการให้เรียบร้อย”

พูดจบแล้ว เขารู้สึกประหลาดใจที่มารดายังนิ่งเงียบค่อยเหลือบตาขึ้นมองดูหล่อน ดูราวกับสายตาของเขานั้นแสดงความยำเกรงเป็นอย่างสูง กลับเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงทำโทลัคนีของนางศรีวิชัย ฯ ให้พลุ่งโพลงขึ้นทันที หญิงผู้มีอายุกระทืบเท้าลงบนพื้นดังสนั่น แล้วร้องตะโกนออกมาว่า

“ต๊าย ตาย !” นี่มันลูกคนหรือลูกเสือลูกจระเข้ พอมันโตก็แว้งกัดแม่”

พระอรรถคดี ฯ หรี่ตาลง มือคลำลูกกรงก้มหน้านิ่งอยู่

​“เหมาะกันดีทั้งพี่ทั้งน้อง คบคิดกันเดินบนหัวแม่โกหกปลิ้นปล้อน เลี้ยงมาเสียข้าวสุก มันเห็นแม่เป็นหมา”

ประโยคที่ ๒ ที่ ๓ จนถึงกว่าที่ ๑๐ หลังจากปากคุณนายมีข้อความคล้าย ๆ กัน เสียงของท่านดังขึ้นทุกทีจนก้องบ้าน วิชัยหน้าซีดจนเขียว อาการที่ยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิกราวกับว่าเขาลืมหายใจ ประโยคที่ ๑๑ จนถึงกว่าที่ ๒๐ ดังซ้อนกันออกมาเรื่อย ๆ ถี่เผ็ดร้อนขึ้นปรักปรำเขาหนักขึ้น จนในที่สุดดูเหมือนชื่อนายร้อยตรีชัดจะพ้นจากใจคุณนาย คำปรามาสทั้งสิ้นก็มีที่ความหมายอยู่ตรงวิชัยแต่ผู้เดียว

ในคำที่สุด เมื่อคุณนายเหนื่อยจนหอบ ท่านลุกขึ้นยืนยายสไบ ทำท่าทะมัดทะแมง และเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า

“ไอ้ชัดยังไม่กลับ อยากจะฟังน้ำคำของมันนักอวดดีเดี๋ยวแม่เอาเลือดหัวออกเสียนี่” แล้วก็พุ่งสายตาไปยังศีรษะลูกชายใหญ่

ในขณะนั้นคุณนายจึงสำนึกได้ว่า วิชัยยืนสำรวมอยู่นานนักหนา ยังมิได้ปริปากโต้เถียงสักคำ ประกอบกับฤทธิ์โมโหนั้น เปรียบเหมือนเพลิงที่คุขึ้นเมื่อได้เชื้อ ครั้นเชื้อหมดเพลิงก็โทรมลง คุณนายจึงถามขึ้นว่า

“อินังคนนั้นน่ะ วิเศษมายังไง ลูกเต้าเหล่าใครบอกฉันได้ไหม พ่อเอเย่นต์?”

“เขาเป็นน้องเมียหลวงธุรกิจ ฯ ครับ--”

“อ้อ ! ยังงี้นี่เล่าพ่อถึงเวียนไปได้ไม่หยุด ! พิโธ่พ่อใหญ่นี่มันแกล้งเหยียบหัวแม่เล่นตรง ๆ นี่นา แกกับนางช้อยนั้นแหละเป็นตัวการชักผู้หญิงให้น้องแน่ ๆ แกช่วยกันทำยังงั้นจะหวังสวรรค์วิมานอะไร?”

เออ ! ข้อขำของคำพูด ตนทำดังนั้นจะหวังเอาสวรรค์วิมานอะไร ? พระอรรถคดี ฯ หายใจอย่างยากเย็นก่อนที่จะออกปากตอบว่า

“เรื่องนี้ช้อยไม่ได้รู้เห็นด้วย ส่วนผมเองปฏิญาณได้ว่าไม่เคยคิดว่าชัดจะชอบผู้หญิงคนนี้ แต่เมื่อเขาชอบกันแล้ว ผมเห็นว่าผู้หญิงเขาดี ​เรียบร้อยอ่อนโยนอยู่ในคำผู้ใหญ่ เก่งในการบ้านการเรือนรู้อยู่และไม่สมัยใหม่จนนิดเดียว ผม--”

“ออกวิเศษอย่างนั้นทำไมตัวเองไม่เอาเสียเองล่ะ?”

ถึงแม้จะรู้สึกเสมือนคำนั้นมีคม แทงทะลุถึงหัวใจพระอรรถคดี ฯ ก็ยังตอบได้อย่างสงบเสงี่ยม

“พ่อชัดเขารักของเขาเสียแล้ว ผู้หญิงเขาก็รักพ่อชัด พวกเราอยู่ในฐานะพออันจะกิน ไม่จนนักไม่มีนัก ผู้ใหญ่เขาก็เต็มใจให้โดยไม่เรียกร้องเอาอะไรเลย !

อนิจจาความเขลา ! ด้วยความตั้งใจจะพูดความให้แก่ฝ่ายหญิงมากนัก วิชัยเปิดช่องโหว่ให้ฝ่ายปรปักษ์อย่างโล่งที่สุด คุณนายชื่นหัวเราะเสียงดังกร้าวพูดสวนควันขึ้นมาว่า

“อ้อ ! ก็เท่านั้นเอง ลงท้ายฉันรู้กลแก เรื่องนี้ไม่มีอะไรเลย นอกจากพ่อใหญ่เห็นแก่เงิน ๒-๓ พันบาท ที่แม่ขอยืมให้น้อง เมื่อแกไม่อยากให้--”

“คุณแม่ !” วิชัยอุทาน น้ำเสียงแสดงความปวดร้าวแสนสาหัสจนคุณนายชื่นหยุดซะงัก มองไปเห็นลูกชายกำมือกดหน้าผาก มือนั้นสั่นจนเห็นได้ถนัดถนี่

ออกตกใจ ด้วยว่าความร้ายกาจแห่งโทสจริตไม่เหนืออำนาจความรักที่แม่มีต่อลูก นึกถึงภาพวิชัยเมื่อปวดศีรษะในคืนก่อนขึ้นทันที คุณนายชื่นก็หันกลับไปกระแทกก้นลงบนเก้าอี้

พระอรรถคดี ฯ ทรงตัวขึ้นตรง เจ็บในอกเจ็บในใจยิ่งจนชาไปหมดทั้งตัว สุดกำลังที่จะทนยืนนิ่งต่อไปได้จึงหลีกมารดาไปเสียทันที

ขึ้นบันไดชั้นบนด้วยอาการคล้ายคนเมาจวนเจียนจะทรงตัวไว้ไม่อยู่ ผ่านผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงนั้น วิชัยไม่เห็นเสียด้วยซ้ำว่าหล่อนเป็นใคร แต่ช้อยลุกขึ้นตามหลังเขามา ขอบตาของหล่อนแดงก่ำ น้ำตายังเปียก​แก้ม วิชัยเข้าในห้องของตัว ปิดประตูลั่นกลอน ช้อยย่องเข้าในห้องชัด แอบมองดูเขาที่ตามช่องฝา เห็นเขาตรงไปที่เตียง ทิ้งตัวลงนอนคว่ำ เครื่องแต่งกาย ทั้งชุดรวมทั้งรองเท้า ช้อยก็ทรุดตัวนั่งกอดเข่าอยู่กับที่

ด้วยมัวแต่ครุ่นคิดด้วยความเหี่ยวแห้งใจ ช้อยไม่ได้รู้สึกตัวว่าได้นั่งอยู่เช่นนั้นนานกี่มากน้อย จนเมื่อเสียงหนึ่งดังมากระทบหู เป็นเสียงคนร้องไห้โฮใหญ่ ช้อยจึงสะดุ้งขึ้นทั้งตัว ตกใจ นึกว่าวิชัยสำแดงอาการเช่นนั้นลุกถลันมองดูตามช่อง ก็เห็นเขานอนนิ่งอยู่เช่นเดิมแต่เปลี่ยนท่าเป็นนอนตะแคง หันหน้าเข้าฝา เสียงดังก้องนั้นมาจากชั้นล่าง ใช้ความสังเกตใหม่ จึงสำเหนียกได้ว่าเป็นเสียงผู้หญิงแก่สะอึกสะอื้นพลางรำพันถ้อยที่ผู้ฟังจับความหาได้ไม่ ไม่มีใครแล้วนอกจากคุณแม่ ช้อยปราดไปตรงบันได ก็เผชิญหน้ากับชัดผู้มีอาการตื่นเต้นไม่แพ้หล่อน เขาพึมพำบอกแก่พี่สาวว่า

“ดู คุณแม่ซีอะไรก็ไม่รู้ลุกขึ้นโบ๊เบ๊ร้องห่มร้องไห้ยังไม่ทันพูดจากันให้รู้เรื่องเลย เอะอะก็ชี้หน้าว่าไอ้ลูกเนรคุณ”

“ท่านพูดถึงอะไรก่อน?” ช้อยถามเสียงกระเส่า

“พูดถึงจันทร จะมีใคร พอเห็นหน้าก็ตวาดใส่ ถามว่าใช้ให้พี่ชายไปขอลูกสาวใครเขาหรือ ผมก็รับว่าจริงเท่านั้นแหละด่าอึงราวกับผมฆ่าใครเขามา ไม่ไหวหรอก ยังงี้ผมพูดด้วยไม่ได้ เดี๋ยวเลยพากันเป็นบ้าหมด”

พูดแล้วเขาก็หลีกพี่สาวขึ้นบันไดไป

เดินปัง ๆ เข้าในห้อง เสียงวัตถุกระทบกันดังกุกกักก๊อกแก็กโครมคราม อีกสักครู่ใหญ่ เขาก็กลับออกมาหน้านวล ผมหวีเรียบร้อยและแต่งตัวพลเรือนอย่างจะออกจากบ้าน

“แกจะไปไหน?” ช้อยถามเมื่อน้องเดินมาถึงตัว

“ไปเที่ยวตามเรื่อง บ้านอย่างนี้ใครจะอยู่ได้ ไอ้คนทำงานเหนื่อยแทบตาย กลับมาบ้านยังต้องพบอะไรบ้า ๆ ร่ำไป เดี๋ยวก็เลยไม่กลับเสียเลย”

ช้อยขมวดคิว หลีกทางให้พลางพูดว่า

“ไปเถอะ แต่อย่ากลับให้ดึกนัก อย่าลืมคำที่สัญญากับพี่ใหญ่ไว้”

“พี่ใหญ่กลับมาแล้วหรือยัง?”

“มาเสียเป็นนานแล้ว ถูกคุณแม่กราดเสียใหญ่ด่าเสียจนเงยหน้าไม่ขึ้น เลยเข้าไปนอนเงียบอยู่ในห้อง”

ชัดมองไปทางห้องพี่ชาย สีหน้าอันกระด้างก็อ่อนลง แล้วหันกลับมากล่าวแก่พี่สาวว่า

“จันทรบอกกับผมว่า พี่ใหญ่รับจะปลูกเรือนให้ในที่ ๆ หลวงธุรกิจ ฯ จะยกให้แก ตั้งใจมาว่าจะขอบใจพี่ใหญ่ใจดีเหลือเกิน เอาเถอะ วันหลังถึงค่อยพูดกันก็ได้”

พูดแล้วชัดลงบันไดอย่างระวังฝีเท้า เลี้ยวออกทางระเบียงเรือนด้านหลัง ทะลุสวนน้อย พอออกประตูเล็กจะเลี้ยวซ้าย เขาก็หยุดชะงักเปิดหมวกสีหน้าแสดงความประหลาดใจ !

หญิงหนึ่งยืนอยู่ตรงช่องรั้วชบา ปกคลุมร่างกายด้วยซิ่นแพรสีเขียวและเสว็ตเตอร์แพรสีเดียวกัน หมวกเบเรต์ชนิดเดียวกับเสื้อปิดส่วนศีรษะของหล่อนไว้ ๓ ส่วนเมื่อทั้ง ๒ ฝ่ายมองสบตากัน สีหน้าอนงค์เฝื่อนไปเล็กน้อย แต่เป็นอยู่เพียงชั่วขณะเดียวหล่อนก็ยิ้มและส่งมือให้

“แสดงความยินดีด้วยมาก ๆ”

“อะไร ฯ--อ้อ ! ขอบใจ แหมรู้เร็วจริง” แล้วชัดก็หัวเราะเจื่อน ๆ “นี่อนงค์มายืนอยู่ทำไม?”

“กำลังคิดว่าจะไปหาพี่ช้อยในบ้านดีหรือไม่ดี”

“อย่าเข้าไปเลยเวลานี้ ไม่สนุก” ชัดพูดตรง ๆ แล้วจึงหัวเราะกลบเกลื่อนให้ฟังเป็นเชิงเล่น “ชัดจะไปตามพี่ช้อยให้”

“อย่าเลยค่ะ เสียเวลาของชัด เท่าที่หน่วงไว้อย่างนี้ก็ไม่เหมาะอยู่

​นายร้อยตรีหนุ่มหัวเราะอีก คราวนี้เป็นเชิงค้าน

“เป็นความจริง ชัดยังไม่รู้ว่าจะออกจากนี่แล้วจะไปไหน ต้องไปเพราะว่าบ้านร้อน อยู่ไม่ได้ คุณแม่โกรธลูกทุกคน อยากจะหนีไปให้พ้น พอท่านสงบโมโหแล้วถึงค่อยกลับมา”

อนงค์เชื่อแน่ว่าหล่อนทายเรื่องได้ในทันที แต่หาทายออกมาเป็นคำพูดไม่ พอดีกับชัดพูดต่อไปว่า

“ชัดจะให้เด็กไปตามพี่ช้อยเดี๋ยวนี้” แล้วเขาก็หลบหายเข้าไปในประตู

ยังไม่ทันถึงนาที ชัดกลับออกมาอีก ยืนอยู่ตรงหน้าอนงค์ และทรมานหมวกด้วยการจับปีกพับขึ้นพับลงหลายครั้ง กิริยาเช่นนี้อนงค์เห็นแล้วทนไม่ได้จึงบอกแก่เขาว่า

“ชัดไปเถอะค่ะ อนงค์ไม่ต้องการเพื่อนหรอก ยืนอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ก็สบายดีเหมือนกัน”

เขาพยายามที่จะทำสีหน้าแสดงความเสียใจ “ถ้าอนงค์สั่งดังนั้น ชัดก็ต้องทำตาม เพราะทั้งเวลานี้และต่อไปชัดจะอยู่ใต้คำสั่งอนงค์เสมอ ไม่มีเวลาเปลี่ยนแปลง”

หญิงสาวยิ้มเยาะเขาอย่างเปิดเผย และไม่ตอบว่ากระไร

ช้อยทำให้อนงค์ต้องคอยอยู่เกือบ ๑๐ นาที จึงโผล่ประตูออกมา พอเห็นหน้ากันก็ตรงเข้าจับมือกันจูงเข้าในบ้านคุณแม้น ช้อยละล่ำละลักพูดว่า

“พี่เกือบมาไม่ได้เสียแล้ว กลัวคุณแม่จะเรียกหาต้องสั่งเด็กให้คอยฟังให้ดีแล้วรีบมาตาม เรียกหาไม่ได้วันนี้เป็นเกิดเรื่องแน่”

“ท่านทราบเรื่องนั้นแล้วหรือคะ ได้ยินว่าท่านโกรธลูกทุกคน”

“ชัดเขาบอกเธอหรือ?”

“ค่ะ ใครบอกท่านล่ะคะ ท่านถึงได้ทราบ?”

​“ไม่รู้ พี่เองก็ไม่รู้ เมื่อสักชั่วโมงหนึ่งเห็นจะได้ พี่ใหญ่มาถึงบ้าน ประเดี๋ยวได้ยินคุณแม่เอ็ดตะโร พี่ไปแอบฟังได้ยินท่านว่า พี่น้องคบคิดกันหลอกลวงท่าน แล้วอะไรต่ออะไรอีกเยอะแยะ เทศน์เสียยืดยาว คำหนัก ๆ ทั้งนั้น ไม่รู้ว่าท่านสรรค์หาเอาที่ไหนมา”

“แล้วคุณพระว่ากระไรบ้าง เกลี้ยกล่อมสำเร็จไหม?”

“สำเร็จอะไรท่านด่าพี่ใหญ่เงยหน้าไม่ขึ้น โธ่น่าสงสารเหลือเกิน ทุกข์ใจก็หนักหนา แล้วยังถูกแม่เกรี้ยวกราดเสียใหญ่ เอ็ดเอา ๆ เสียลั่นบ้าน พี่ยังงี้ใจเต้นแทบออกมานอกซี่โครง”

“ชัดอยู่ไหนคะเวลานั้น?”

“ชัดยังไม่มา เพิ่งมาเมื่อพี่ใหญ่ทนคุณแม่ไม่ไหวแล้ว เห็นจะเต็มอัด อกจะแตกตายหรือยังไงล่ะ เพราะเธอต้องนิ่งให้ด่าข้างเดียวไม่ปริปากเถียงเลย ในที่สุดทนไม่ไหวเลยหนีเข้าห้องปิดประตูนอน รองเท้าก็ไม่ถอดเสียด้วยซ้ำ”

หล่อนทั้งคู่เพิ่งรู้สึกตัวว่าได้ยืนพูดกันอยู่ตลอดเวลา ช้อยนั่งลงก่อนบนสนามหญ้า อนงค์จึงนั่งลงด้วย แล้วต่างฝ่ายต่างตอบต่างถามกันต่อไป ช้อยเล่าคำปรามาสของคุณนายที่กล่าวแล้วแก่วิชัยเกือบทุกคำ ในที่สุดแห่งเรื่องหล่อนเสริมว่า

“แล้วคำที่ท่านว่าพี่ใหญ่เห็นแก่เงินนั้น เป็นคำที่อยุติธรรมที่สุด พี่เชื่อว่าคำนี้เองที่พี่ใหญ่ทนไม่ได้ และเงินนั้นมิใช่ว่าพี่ใหญ่จะไม่ต้องเสีย เธอรับกับฝ่ายแม่จันทรเขาแล้ว ว่าจะปลูกเรือนให้ตาชัดในที่ ๆ ฝ่ายโน้นเขายกให้แม่จันทร”

คำว่าเงินที่กล่าวเป็นจำนวนพัน ไม่ทำความรู้สึกอย่างใดให้เกิดแก่หญิงผู้มั่งคั่งเช่นอนงค์ได้ แต่ค่าแห่งการเสียสละซึ่งถูกลบหลู่อย่างแรงเช่นนั้น ทำให้โลหิตอนงค์ร้อนเกือบถึงเดือด และความปรานีต่อบุรุษผู้ต้องรับความอยุติธรรมจากแม่บังเกิดเกล้าของตนเอง ก็งดงามขึ้นในใจหล่อนเป็นตรีคูณ

สิ้นความที่ช้อยเล่าแล้ว อนงค์จึงถามขึ้นบ้าง

“วันนี้คุณนายไปที่บ้านเจ้าคุณรานรอนหรือคะ?”

“ค่ะ ท่านบอกพี่ก่อนไป ทำไมเธอถึงรู้ล่ะ เธอพบกับท่านหรือ?”

“เปล่าคะ ได้ยินคนใช้เขาบอกคุณหญิง คุณนายไปไม่พบคุณหญิงกับเจ้าคุณหรอกค่ะ พี่แสวงพาท่านไปที่บ้านเราทั้งครอบครัว เราก็รับรองเลี้ยงดูเสียใหญ่ พี่จำลองแข็งแรงไม่แพ้พี่แสวง พี่ช้อยควรจะบอกคุณนายเสียให้ทราบ จริงนะคะ อนงค์ไม่แกล้งคุย ถึงชัดไม่หมั้นกับจันทร ถ้าอืด ๆ อย่างแต่ก่อนยังไงก็ไม่ทันพี่ชายของอนงค์”

“เออแน่ะ เร็วยังงั้นเทียวนะ คุณจำลองจับบทชอบตั้งแต่เมื่อไร?”

“ตั้งแต่วันเกิดอนงค์ อันที่จริงพี่จำลองถูกหนุนมากด้วยกันแหละค่ะ อนงค์หนุนทุกวันเลย แล้วก็ชวนไปที่บ้านนั้นทุกวันด้วย ทั้งพ่อ ทั้งแม่ ทั้งพี่ ทั้งตัวผู้หญิงเขาต้อนรับแข็งแรงขึ้นทุกที ในที่สุดพี่จำลองก็ใจอ่อน อนงค์ชอบใจจริง ขันก็ขัน ดีใจก็ดีใจ นี่อนงค์ก็เพิ่งมาจากบ้านนั้นอีกน่ะแหละ พาเขาออกจากบ้านอนงค์ไปส่งที่บ้านเขาก่อนแล้วอนงค์เลยมานี่ พี่ ๆ จะตามมาด้วย แต่อนงค์ไม่ยอมให้มา”

สองหญิงมีเรื่องเล่าสู่กันฟังอีกนาน จนสิ้นแสงพระอาทิตย์จึงลาจากกันไป

....คุยกับพี่ช้อยนาน ไม่มีเรื่องอะไรนอกจากพี่ใหญ่ โธ่ สงสารคน ๆ นี้เหลือเกิน เกิดมายังไง ถึงถูกแต่ความเบียดเบียนกับความอยุติธรรม ให้ ให้ ให้ ให้ ไม่ว่าอะไร ใครจะเอาอะไรก็ให้ ยังงั้นยังไม่ดี ไม่มีใครเห็นใจ ยายคุณแม่แกผิดคนไม่เหมือนแม่เขาทั้งหลาย โธ่ เมื่อไรพี่ใหญ่จะได้อะไรจากใครบ้าง เขาเอาเปรียบกันทั้งนั้น เสียคนก็เสีย แล้วยังถูกหาเจ้าเล่ห์ คนบ้า สมแล้ว อยากรักไม่ว่าใคร ไม่ต้องดูอะไรหมด เห็นแต่ว่าสวยแล้วก็ใช้ได้ สันดานผู้ชาย เห็นความสวยสำคัญกว่าอะไรหมด ดูท่าไม่น่าจะเหมือน​คนอื่นเลย ทำไมถึงพลอยเซ่อเป็นคนอื่นไปได้ ดูหน้าตาท่าทางในเวลาที่ไม่แกล้งทำโง่ ดูก็คมไม่น้อย แต่ว่ามีคมไม่ตัดใคร กลับปล่อยให้คนอื่นเขาตัดตัว เห็นจะเป็นคนดีเกินไป ฉลาดด้วย ดีด้วย จะเป็นได้ยังไงทั้ง ๒ อย่าง น่าสงสารคนอย่างนี้ ไม่เคยให้ร้ายใครเลยแม้ด้วยคำพูด ใครอยู่ด้วยก็เป็นสุขจนตาย ไม่มีเวลาต้องทะเลาะกันเลย คนที่ได้อยู่น่าจะเอาใจจะปฏิบัติจะถนอม จะให้ทุกอย่างสมกับที่ให้คนอื่นเขามากแล้ว ให้ด้วยของด้วยคำพูดด้วยใจ ต้องเกณฑ์ให้เป็นฝ่ายรับเสียบ้าง พี่ใหญ่ ! คุณพระอรรถคดีวิชัย-คุณวิชัยของ--


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,467


View Profile
« Reply #8 on: 19 May 2022, 21:07:49 »


๒๙

นตฺถิสนฺติปรํสุขํ สุขอื่นนอกจากความสงบไม่มี !

บ้านนางศรีวิชัยบริรักษ์ตกอยู่ในภาวะที่เปรียบได้ว่าเป็นนรกอ่อน ๆ มีพิษร้อน เกิดจากประมุขแห่งบ้าน เผาผลาญคนในบังคับบัญชาให้ทุรนทุรายไปตามกัน จำเดิมแต่พระอรรถคดี ฯ ได้เป็นผู้ช่วยให้ชัดทำลายความหวังของคุณนายชื่นในอันจะปลูกฝังลูกตามใจชอบเสียแล้ว คุณนายผู้นี้ก็ดูเหมือนจะได้เปลี่ยนตัวเองจากมนุษย์ธรรมดากลายเป็นางยักขินี มีหน้าตาเหี้ยมเกรียม กิริยากระบึงกระบอนและวาจาก้าวร้าวเป็นที่ระคายหู ทำคนอยู่ไกลไม่อยากเข้าใกล้ และทำคนอยู่ใกล้ให้อยากหนีออกห่าง ไม่ว่าเช้า ไม่ว่าเย็น ไม่ว่ากลางคืน สุดแต่ประมุขแห่งบ้านตื่นอยู่ คนในบ้านก็หายใจไม่คล่อง ด้วยคอยแต่วับ ๆ หวำ ๆ ไม่รู้ว่าตนจะถูกเกรี้ยวกราดขึ้นมาเวลาใด ๆ อยู่ดี ๆ ไม่มีเรื่องท่านทำเรื่องให้มีขึ้น เรื่องมีแต่เพียงเล็กน้อย ท่านทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ ตั้งแต่แม่ครัวศีรษะเป็นดอกเลา ตลอดจนกระทั่งเด็กในผ้าอ้อมไม่ได้รับความยกเว้น แม้ไม่ถูกข่มขู่ด้วยคำหนักก็ต้องกระทบกระแทกเปรียบ​เปรย อย่างน้อยที่สุดให้จุกจิกเป็นที่กวนใจ

ไม่ต้องสงสัยว่าในระยะนี้ วงศ์วานที่ชิดเชื้อกับคุณนายชื่น จะเหินห่างคุณนายอยู่อย่างผิดปกติ ทั้งนี้ก็เป็นธรรมดา เพราะว่ามนุษย์ทุกรูปทุกนามย่อมไม่พอใจในสิ่งที่รกหูรกตา และก็สิ่งที่รกที่สุดนั้นจะมีสิ่งใดยิ่งไปกว่ากิริยาของคนที่มีใจเต็มไปด้วยความเคียดแค้น กับวาจาของคนผู้นั้นที่กล่าวด้วยอารมณ์เพื่อประโยชน์แก่ความแค้นของตัว

หลายวันมาแล้วที่โรคกลืนอาหารไม่ลงคอกลับมาจับช้อยอีก และก็อีกหลายวันเหมือนกันที่โต๊ะอาหารไม่มีผู้บริโภคพร้อมหน้ากันทั้ง ๔ คนแต่สักครั้งเดียว นายร้อยตรีชัดตั้งต้นกลับบ้านจำเพาะเพื่อนอนหลับ นางศรีวิชัย ฯ กับพระอรรถคดีคอยหลบหลีกกันราวพระจันทร์กับราหู ในขั้นต้นวิชัยทำตัวเหมือนไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นระหว่างมารดากับตัวเขา แม่โกรธตนแสดงโกรธตอบแม่ บุรุษผู้ถือว่าผิดทางธรรม วันที่ ๑ ที่ ๒ เข้าเขาเข้ามาในห้องรับประทานอาหารตามเวลา ทั้ง ๒ วันคุณนายชื่นผู้นั่งอยู่ก่อนแล้วลุกขึ้นกระทืบเท้าก่อนออกจากห้องไป วันที่ ๓ วิชัยรอให้มารดาบริโภคเสร็จตนจึงเข้ามาบริโภคภายหลัง วันที่ ๔ คุณนายบริโภคเสร็จก็มีความพากเพียรเทอาหารที่เหลืออยู่ลงในกระโถนจนเกลี้ยง ลูกหลานบ่าวไพร่ตกตะลึงไปตามกัน วันที่ ๕ และวันต่อ ๆ มาวิชัยจึงไม่เข้าในห้องรับประทานอาหารอีก กลับบ้านเมื่อพระอาทิตย์ตกนานแล้ว พอถึงก็เข้าห้องปิดประตู และไม่ออกมาอีกจนถึงเวลาไปศาลในวันรุ่งขึ้น

ในระหว่างนี้ ช้อยเป็นผู้กระสับกระส่ายมากกว่าคนอื่น คุณนายชื่นแก้กลุ้มด้วยการเฝ้าบ่นด่า วิชัยสู้ความกลุ้มด้วยการนิ่งอืดไม่พูดจากับใคร ชัดหนีกลุ้มด้วยการเตร็ดเตร่ แต่ช้อยทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กล่าวมาแล้วไม่ได้สักอย่าง การบนเพ้อพร่ำเพรื่อช้อยเกลียด ที่จะทำนิ่งอืดอยู่คนเดียวหล่อนก็ทนทำไม่ได้ การออกนอกบ้านไม่มีเวลาจำกัดก็ผิดวิสัยสตรี จะลบรอยแตกร้าวระหว่างแม่กับลูกโดยวิธีบรรเทาความผิดของวิชัยด้วยเรื่อรักขอนาย​จำลอง ก็กลัวคุณแม่ ไม่กล้าเข้าใกล้ ด้วยตัวหล่อนเองก็อยู่ในเกณฑ์มัวหมอง เพราะจันทรเป็นน้องของนายสมาน จะประเล้าประโลมพี่ชาย กิริยาของเขาที่คอยหลบหน้าเข้าห้อง ทำให้หล่อนเผยอปากไม่ขึ้น จึงมีทางเหลือสำหรับช้อยที่จะทำได้อยู่ทางเดียวคือปรับทุกข์ พอระบายความอัดอกออกเสียบ้าง แต่นั้นมาคุณแม้นกับคุณเมี้ยนจึงเป็นบุคคลอีก ๒ คน นอกจากอนงค์ที่รู้เรื่องความเป็นไปในบ้านที่ช้อยอยู่โดยละเอียด

วันหนึ่งในเวลาค่ำ นางศักดิ์รณชิตมายังบ้านที่กล่าวนี้ เผอิญประจวบเหมาะพอวิชัยกลับถึงบ้านด้วยเหมือนกัน พี่น้องเดินเคียงกันมา คุณนายชื่นยืนอยู่บนระเบียงเรือน มองไปดูไม่ทันแน่ คิดว่าลูกของตัวเป็นลูกเขย จึงตะโกนทักไปว่า

“แหมวันนี้หมางอกเขา คุณหลวงศักดิ์มาถึงนี่ !”

วิชัยกับช่วงมองดูกัน ฝ่ายผู้เป็นน้องถามว่า

“ท่านดีกับพี่ใหญ่แล้วหรือยัง?”

พระอรรถคดี ฯ สั่นศีรษะ ลดฝีเท้าลง มีอาการลังเลเหมือนจะเลี่ยงไปเสียทางหนึ่ง ช่วงมือไวคว้าแขนเสื้อเขาไว้พลางพูด

“ไปไหนเล่า งอนไปได้ มาเถอะน่า ดูทีหรือท่านจะว่ากระไร”

อีกฝ่ายหนึ่งดึงแขนจากมือน้องโดยละม่อมแล้วเบี่ยงตัวหลบเข้าบังหลังน้อง เดินตามมา

ในเวลานั้นคุณนายชื่นรู้สึกตัวแล้วว่าตาของท่านลวงตัวท่านเอง แต่ฝ่ายผู้ที่ท่านเห็นผิดไปนั้นเผอิญเป็นบุคคลที่ท่านทั้งเคียดแค้นทั้งพะวงถึงอยู่ในใจหลายวันนักหนา แล้วท่านมิได้เห็นหน้าเขาเลย ครั้นเห็นเข้าในบัดนี้ รู้สึกครึ่งยินดีและครึ่งชังน้ำหน้า ด้วยมัวแต่พะวักพะวนอยู่กับความรู้สึกภายใน คุณนายชื่นจึงนิ่งอยู่

ช่วงนั่งลงทำความเคารพมารดาตรงบันได วิชัยนั่งต่ำถัดช่วงลงไปอีก คุณนายชื่นนั่งลงด้วย ปากก็พูดกับลูกสาว แต่ตาจับอยู่ที่ลูกชาย

“ลูกหายเจ็บแล้วหรือแม่ถึงมาเที่ยวได้ หรือมาธุระอะไร?”

“มาเยี่ยมคุณแม่ เยี่ยมพี่เยี่ยมน้อง” ช่วงตอบ “ตาศักดาวันนี้ไม่เจ็บไข้ ตัวเย็นเป็นปกติดี” หันมองเข้าไปทางในเรือน “นี่แม่ช้อยเขาไปไหนนะ?”

“ท่าเขาจะไปหาพวกพ้องเขาซี” คุณนายพูดตวัดหางเสียง “พวกเขามาก ทางบ้านโน้นแน่ะ”

ยังไม่ทันขาดคำ ช้อยก็โผล่ออกมาจากช่องทางที่ตัดกับบันได หล่อนเบิกตากว้างขึ้นเมื่อเห็นวิชัยอยู่ในที่นั้นด้วย ไหว้พี่สาวพลางถามว่า

“ตาศักดาเป็นอย่างไรบ้าง?”

“หายแล้ว คุณน้าว่าจะไปเยี่ยมไม่เห็นโผล่สักที”

“ก็ฉันค่อยได้ไปไหนกับใครเมื่อไร้ ไปแต่ที่บ้านคุณครูเพราะว่าไปง่าย อยากไปเมื่อไรออกประตูก็ถึง อยู่ว่าง ๆ ไม่มีธุระก็ไปนั่งเล่นแก้รำคาญ”

“ตาชัดยังไม่กลับหรือ?”

“โอ๊ย !” คุณนายเอ่ยขึ้นทันที “เขาจะกลับมาทำไม ที่นี่มันใช่บ้านใช่ช่องของเขาเมื่อไรล่ะ มันที่พักคนเดินทางนี่ยะ เขามาแต่เวลานอนเท่านั้น”

“เขาไปที่บ้านฉันเสมอ” ช่วงพูดวางหน้าเฉย “หมู่นี้ยิ่งไปบ่อยใหญ่ นั่งอยู่จนดึก ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่มไม่รู้จักกลับ”

“ยังงั้นรึ?” คุณนายชื่นหลุดปากถามด้วยความประหลาดใจและพอใจระคนกัน

ช้อยมีความยินดีไม่น้อยกว่าคุณนาย จึงถามซ้ำเป็นคำเดียวกัน

“ยังงั้นรึ? ฉันน่ะนึกว่าเขาไปเที่ยวแหลกอยู่ที่ไหน”

ช่วงหัวเราะอย่างมีชัย แล้วตอบว่า

“เดี๋ยวนี้เขาไม่แหลกแล้ว กำลังจะตั้งเนื้อตั้งตัว ไอ้ที่เขาหาย ๆ ไปน่ะเขาไปอยู่ที่บ้านเท่านั้นแหละ”

​คุณนายชื่นมองดูช้อยประสงค์จะให้ถามต่อ แต่ช้อยมีความระวังตัวพอที่จะไม่ถาม ท่านอดใจอยู่ไม่ได้จึงต้องถามเอง

“ไปบ้านใคร?”

“บ้านดิฉัน บ้านแม่ชดแม่ชิด แล้วก็บ้านแม่จันทร”

วิชัยกับช้อยชำเลืองดูมารดาพร้อมกัน หญิงอาวุโสนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ในขณะที่ความทิฐิกับความใคร่รู้กำลังต่อสู้กัน ในที่สุดจึงถามออกมาว่า

“แม่จันทรคนนี้น่ะใคร?”

ช่วงหัวเราะอย่างเห็นขัน “คุณแม่ยังไม่รู้จักชื่อลูกสะใภ้ !” หล่อนว่า แล้วพูดต่อเรื่อยโดยไม่พักเอาใจใส่กิริยาของผู้ฟัง “จำได้ไหมคะ ขาว สวย เรียบร้อย พี่ใหญ่ยังติดใจเลย ดีว่าตาชัดเขามาขวางเสียก่อน ไม่ยังงั้นก้อได้เป็นสะใภ้ใหญ่น่ะซี”

“เหลวใหล !” วิชัยขัดเสียงเขียว มองดูน้องตาเขม็ง

ช้อยมีเชาวน์ไวพอ หัวเราะพลางพูดกลบเกลื่อนว่า

“แม่จันทรใครเห็นก็ติดใจ ถึงคุณหลวงของพี่ช่วงก็ออกปากชมเปาะไม่ใช่หรือ”

อาศัยหญิงที่ ๒ แสดงบทซื่อ ทำตัวเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ต่อความบาดหมางระหว่างแม่กับลูกชายได้แนบเนียน คุณนายชื่นถึงจะมีใจอันขุ่นอยู่ด้วยฤทธิ์เคือง ก็ยังไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะสำแดงฤทธิ์อย่างเอิกเกริกเช่นวันก่อน ส่วนช้อยก็มีใจตั้งอยู่ในความใคร่จะเรียนปฏิบัติข้อความบางอย่างแก่คุณแม่ เมื่อพี่สาวช่วยทำทางให้แล้ว หล่อนจึงรีบเดินทันที

“คุณแม่ทราบหรือยังคะว่า คุณหญิงมะยมกำลังจะยกแม่สอางให้กับคุณจำลอง น้องชายคุณแสวง?”

คุณนายชื่นค้อนลมอย่างว่องไวแล้วตอบว่า

“มันก็แน่ละซี ก็ไอ้ชัดสันดานมันอกตัญญู เห็นคนอื่นดีกว่าแม่ ใครเขาจะอยากได้มันเป็นเขย ถ้ามันเป็นผู้เป็นคนเหมือนลูกเขาทั้งหลาย คุณ​เทวดาอะไรก็ไม่ได้ชมแม่สอาง”

“แต่ว่าเท่าที่ดิฉันทราบมาดูเหมือนเขาเต็มใจจะให้กันก่อนที่ตาชัดจะเปิดเผยเรื่องแม่จันทร เพราะเรื่องของคุณหญิงมะยมก็ไม่มีอะไร นอกจากอยากจะแต่งงานลูกสาวคนสุดท้องให้แก่คุณแสวง แต่ว่าท่านถือหลักไม่ยอมให้น้องแต่งงานก่อนพี่ ท่านจึงวิ่งหาคู่ให้แม่สอางเสีย ให้พร้อมกับน้อง พอพบนายชัดเป็นคนโสด ซึ่งกำลังหอมท่านก็เลยรีบคว้า ครั้นต่อมาเมื่อคุณแสวงชักน้องชายไปติดต่อกับแม่สอางได้แล้ว ท่านก็เห็นว่าพ่อชัดของเราไม่วิเศษกว่าคนอื่นอย่างไรเลย

“พูดข้างเดียวจะพูดว่ากระไรก็ได้” คุณนายกล่าว “อย่ามาเอาชนะคะคานกับฉันเลย ฉันยอมกลัวพวกหล่อนแล้ว”

“ดิฉันเล่าเพื่อจะให้คุณแม่หายร้อนใจในเรื่องคุณหญิงมะยม”

ผู้เป็นมารดาหัวเราะเสียงกร้าว “ขอบใจละย่ะ เพิ่งจะมาเป็นห่วงกันเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องหรอกจ้า ไม่ต้องห่วงฉันหรอก หล่อนจะขี่คอกันไปทำอะไรที่ไหนก็เชิญเถอะ ฉันเลี้ยงพวกหล่อนมาโตแล้ว มีบุญมีวาสนาไปตามกัน จะนั่งนึกถึงฉันทำไม ทุกวันนี้ฉันอาศัยอยู่ในบ้าน เท่ากับหมาตัวหนึ่งซานมาเพื่อพึ่งข้าวสุกพวกหล่อนทั้งนั้น” พูดแล้วคุณนายก็ยกชายสไบขึ้นแตะตา ลุกขึ้นเดินเข้าไปเสียในห้อง

พระอรรถคดี ฯ มองตามแม่แล้วก็เหลือบตามองเลยขึ้นไปจับอยู่บนเพดาน ช่วงกระซิบกระซาบว่า

“คุณแม่ท่านอาฆาตแรงจริงนะ”

ช้อยส่ายหน้าอย่างหมดอาลัย ช่วงพึมพำต่อไปอีก

“เรานึกว่าท่านจะค่อยยังชั่วโกรธมั่งแล้ว นีกอยากจะฟังเสียงท่านดูก็เลยเคาะเล่น ที่จริงท่านก็ไม่ปึงปังแล้วนะ ยายช้อยไม่ควรไปแหย่เข้านี่”

ฉันหาโอกาสจะเล่าเรื่องนี้ให้ท่านฟังหลายวันมาแล้ว” ช้อยสารภาพ “แต่ไม่กล้าพูดขึ้นก่อน วันนี้เห็นท่าในตอนต้นดูว่าจะพื้นดีกว่าทุกวันก็เลย​พูดขึ้น ฉันอยากจะให้ท่านรู้เรื่องนี้เสียท่านจะได้โกรธเราน้อยลง เพราะท่านบ่นเรื่องลูกชายจะทำให้ท่านเข้าหน้าคุณหญิงมะยมไม่ได้อยู่ทุกวัน”

“อันที่จริงในตอนแรก ก็ออกจะกระดากเขาเหมือนกันแหละ แต่เมื่อ ๒-๓ วันมานี้ ไปพบเขาที่โรงละครเขาพูดจาปราศรัยดี ถึงกับคุณแม่ก็คุยกันสนิทสนมเหมือนแต่ก่อน ชั่วแต่ไม่ได้นัดให้ไปเล่นไพ่อีกเท่านั้น”

“เขารู้เรื่องที่ตาชัดมีคู่รักแล้วหรือยังนะ”

“รู้แล้ว !” ช่วงลงเสียงตอบ “คุณแม่รีบไปบอกโดยเร็วทีเดียว และดูเหมือนเขาจะไม่ได้ต่อว่าต่อขานอะไร เพราะถ้าต่อว่าคุณแม่คงอดเล่าให้ฉันฟังไม่ได้”

“อ้าว ลงท้ายเรื่องมันก็สมจริงอย่างที่ฉันว่า ตาชัดหรือจะสู้นายจำลองได้ เรามันจน เขามันมั่งคั่งจนไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร”

“เออ ! โลกนี้มันยุ่งจัง” ช่วงกล่าว “เบื่อพิลึกเมื่อไหร่จะลงรอยกันเสียทีก็ไม่รู้ ไอ้เราก็คอยแต่ฟังบ่น เดี๋ยวแม่ไปบ่นให้ฟัง เดี๋ยวน้องบ่นให้ฟัง เออพี่ใหญ่คะ คุณหลวงสั่งให้บอกว่าตั้งแต่ได้เงินมาแล้ว ไม่เห็นไปหาอีกเลย หรือหลบกลัวจะทวงดอกเบี้ย”

“บ้า” วิชัยตอบ ครึ่งขันครึ่งฉิว “สัญญาว่า ๓ เดือนถึงจะส่งดอกเบี้ยกันทีหนึ่ง หลบผีอะไร”

“ก็เขาสั่งให้ดิฉันบอกว่าเขาไม่เอาดอกเบี้ย เขาไม่อยากได้ผลประโยชน์จากคนโง่ ๆ บ้า ๆ อย่างพี่ใหญ่”

“สั่งมาอย่างนี้จริง ๆ หรือ?” ช้อยถาม สีหน้าดูพิกล

“ก็จริงน่ะซี” เป็นคำตอบอย่างขึงขัง “เอ ยายช้อยนี่พิลึก ไม่สั่งฉันจะมากล้าว่าพี่ใหญ่รึ”

“ฉันนึกว่าพี่ช่วงขอยืมชื่อคุณหลวงมาว่า” ช้อยตอบตามจริง

ลักษณะยิ้มปรากฏขึ้น ในสีหน้าอันเคร่งเครียดของพระอรรถคดี ฯ แว๊บหนึ่งในขณะที่เขาพูดว่า

​“สำนวนเจ้าศักดิ์พี่จำได้ มันเห็นคนในโลกเป็นบ้าหมดทุกคน นอกจากตัวมัน”

“ก็จริงนี่นะ” ช่วงเอยขึ้นโดยเร็ว “พี่ไม่มัวงุ่มง่ามจนเสียท่าชัด มิหนำซ้ำตัวเองกลับถูกหาว่าต้มน้องเพราะหวงเงิน ๒-๓ พันบาท ฮึ ๆ ไอ้เงินนั่นตัวก็ต้องเอาไปปลูกเรือนให้เขาเข้าเลือดทุกอย่างจะไม่ให้เขาว่ายังไง”

คำพูดของช่วงเท้าความถึงคำที่มารดาปรามาสตนแสลงหูเกินที่วิชัยจะถือเป็นเครื่องสนุกสำหรับจะนำมาถกเพื่อฟังกันเล่น ดังนั้นเขาจึงไม่เอ่ยเสียงตอบเลย ช้อยทวนถามพี่สาวอย่างทึ่ง

“ใครเป็นคนว่าพี่ใหญ่ต้มตาชัด?”

“คุณแม่น่ะซี ท่านใช้คำว่าต้มทีเดียว เวลานั้นเราก็ไม่รู้เรื่องที่ตาชัดจะต้องปลูกเรือนหอ จะออกรับก็ไม่รู้จะออกว่ากระไร จนกระทั่งฉันเล่าให้ตาชัดฟัง ตาชัดบอกเรื่องบ้านถึงได้รู้ คุณหลวงเดือดใหญ่ แล้วเดี๋ยวนี้คุณแม่ก็ยังไม่รู้หรือคะ?” ประโยคสุดท้ายหล่อนหันมาทางพี่ชาย

ผู้ถูกถามไม่ปรารถนาที่จะตอบ ช้อยจึงตอบแทน

“จะรู้ได้ยังไง ในเมื่อท่านไม่พูดกับพี่ใหญ่เสียเลย ถึงกับฉันท่านก็ตึง ๆ อยู่เสมอ ดูอย่างเมื่อตะกี้ พูดกับท่าน ๒ คำท่านก็ลุกขึ้นหนี จะทำยังไง”

นิ่งเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง ในเมื่อทุกคนรู้สึกว่าจนปัญญา ในที่สุดนางศักดิ์รณชิตนิ่งอยู่ไม่ได้นาน จึงพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง

“นี่เมื่อไหร่จะกินข้าวกันนี่ ทุ่มครึ่งแล้วหิวจะตาย”

“ไปเรียนถามคุณแม่ในห้องไป๊” ช้อยกระซิบ

พี่สาวใหญ่ลังเล “ด่าเอาก็ไม่รู้” หล่อนว่า แต่แล้วก็ลุกขึ้น “ฮึ ! คนหิวนี่นา ไม่ให้กินก็ให้รู้ไปเราจะได้กลับบ้าน”

วิชัยลุกขึ้นยืนยืดตัวอยู่บนบันได ช้อยจึงถาม

“พี่ใหญ่จะเข้าไปทานไหมคะ?”

​“พี่ทานแล้ว” วิชัยตอบ “เคราะห์ดีไป ถ้ามิฉะนั้นจะมีเรื่องให้ยายช่วงกินข้าวไม่เข้าไปด้วย ช่วยเรียนท่านเสียด้วยนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่กินเพราะโกรธ”

ช้อยรับคำ ครั้นวิชัยก้าวขึ้นมาพ้นบันได หล่อนจึงถามอีก

“จะไปไหนคะ?”

“ไปไหน ! ไปอาบน้ำน่ะซี”

หล่อนมองดูเขาด้วยสายตาแสดงความกังวลและเกรงใจ ในที่สุดจึงออกวาจา

“อาบน้ำแล้วกลับลงมานะคะ” อิดเอื้อนก่อนที่จะพูดให้จบ “พี่ช่วงเขาอยู่ คุยอะไรกันเรื่อย ๆ บางทีคุณแม่ท่านจะเพลินพลอยคุยกับเราด้วย แล้วจะได้--ง่าไม่ต้องคอยหลบกันไปหลบกันมาอีกต่อไป”

พระอรรถคดี ฯ ยิ้มขรึม ๆ และไม่ตอบว่ากระไร

ในครู่หนึ่งต่อมา หญิง ๓ คนก็นั่งลงด้วยกันที่โต๊ะอาหาร ชั่วเวลาที่ช้อยตักข้าวใส่จานให้แม่ให้พี่ละให้ตัวเองเสร็จ คุณนายชื่นมองดูประตูถึง ๒ ครั้ง แล้วช่วงเป็นผู้ถามขึ้น

“พี่ใหญ่ไม่กินข้าวหรือยังไง?”

“เธอรับประทานแล้ว” ช้อยรีบตอบทันที “เวลานี้ไปอาบน้ำเดี๋ยวจะกลับลงมาอีก”

เมื่อส่งจานให้ช้อยตักข้าวเป็นครั้งที่ ๒ ช่วงพูดขึ้นเหมือนเพิ่งตื่นจากความครุ่นคิดในใจ

“ที่ดินที่หลวงธุรกิจ ฯ เขายกให้น้องเมียเขาน่ะโตสักเท่าไร?”

ช้อยชำเลืองดูมารดาแล้วจึงตอบ

“ไร่กว่า ๆ”

ช่วงตักข้าวใส่ปาก เคี้ยวช้า ๆ แล้วพูดเชิงปรารภ

“๕,๐๐๐ บาทอย่างต่ำ ตาชัดจะเอาเงินที่ไหนมาใช้พี่ใหญ่ เงินเดือน ​๒ อัฐฬส แค่ใช้จ่ายประจำวันก็หวุดหวิดเต็มทีแล้ว”

ช้อยมองดูอย่างสงสัย ช่วงพยักหน้าแล้วขยิบตาซ้ำ หล่อนจึงไหวทันและตอบว่า

“จะต้องใช้อะไร พี่ใหญ่ปลูกให้ ตกลงกันตั้งแต่วันแรกที่ไปทาบทามขอเขาทีเดียว”

“อ้าว ฉันไม่รู้นี่ ไหนได้ยินว่าผู้หญิงเขาไม่เรียกอะไรเลยยังไงล่ะ”

“เขาไม่เรียกแต่เขาให้ที่น้องเขาแปลงหนึ่ง พี่ใหญ่ไม่ยอมให้ตาชัดน้อยหน้า จึงให้บ้านน้องของเธอเสียบ้าง ความเห็นของพี่ใหญ่มีอยู่ว่า เมื่อมีที่แล้วก็ควรจะมีบ้านในที่นั้นด้วย ถ้าหากเจ้าของบ้านเขาจะอยู่ ก็เหมาะดีเพราะใกล้ที่ทำงาน ถ้าเขาไม่อยู่ก็ให้เช่า จะได้ผลประโยชน์มาเจือจานในครอบครัวเพราะรายได้ของชัดก็สองอัฐฬสจริงอย่างพี่ช่วงพูด”

นางศักดิ์รณชิตลอบมองดูมารดา เห็นท่านก้มหน้ารับประทานโดยไม่พูดจา ยิ่งเกิดความคะนองจึงพูดยั่วสืบไป

“พี่ใหญ่นะลำเอียง น้องผู้หญิงแต่งงานไม่เห็นให้อะไรมาก ๆ อย่างนั้น ถึงทีน้องผู้ชายละก็ให้ได้”

“อ๊าว !” ช้อยสนองด้วยความรู้สึกสมใจ “ให้เราเสียแล้ว ป่านนี้จะมีอะไรเหลือไว้ให้ตาชัดก็อย่างเดียวกันกับเวลานี้ ให้ตาชัดเสียแล้วก็ไม่มีอะไรเหลือสำหรับตัวเอง”

ไม่มีความเห็นอย่างหนึ่งอย่างใดออกจากปากคุณนายและช่วงก็ได้พูดเรื่องที่ต้องการพูด พอควรแก่การแล้วจึงชักชวนสนทนาให้เป็นเรื่องอื่น ๆ ต่อไป

เมื่อแม่ลูกออกจากห้องรับประทานอาหาร ทั้ง ๓ คนมองเห็นแสงไฟเป็นจุดน้อยเคลื่อนไหวอยู่กลางสนามคือแสงบุหรี่ในมือวิชัย สตรี ๓ นางนั่งลงในที่สำราญ คือริมบันได วิชัยจึงมานั่งร่วมด้วย

ช่วงกับช้อยตั้งต้นคุยกันต่อไป ใช้ความพยายามอย่างยิ่งในอันที่จะให้มารดากับพี่ชายใหญ่ต่อปากต่อคำกัน ซึ่งในที่สุดก็สำเร็จดังประสงค์ เพราะเหตุว่าถึงแม้คุณนายชื่นยังทำใจมั่นในการที่จะวางท่าแค้นใส่ลูกชาย แต่เมื่อฝ่ายเขาทำกิริยาเหมือนไม่รู้เท่า พูด ๆ อยู่กับน้องแล้วก็หันมองให้สบตาเป็นเชิงขอความเห็นโดยเคารพ และเรื่องที่พูดเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างวงศ์ญาติ ต่างฝ่ายก็มีความสนใจปาน ๆ กัน ในที่สุดคุณนายชื่นจึงอดเสียมิได้ที่จะหลุดปากค้านคำพูดของวิชัยบ้าง หรือมิฉะนั้นก็เอออวยด้วยสีหน้า

คืนนั้นช้อยเข้านอนด้วยความรู้สึกคล้ายกับว่า มีผู้ยกศิลาแท่งใหญ่จากอก ทำให้หล่อนหายใจสะดวกขึ้นมาก ตามความคาดคะเนของหล่อนนั้น หล่อนเชื่อว่า ข่าวใหม่ที่คุณนายได้ฟังในวันนี้ ได้ทำให้คุณนายพื้นดีขึ้น ต่อแต่นี้ไปแม่ลูกคงจะค่อยเข้าหน้ากันได้ทีละเล็กละน้อย จนถึงขีดสนิท ความกลัดกลุ้มของวิชัยที่ในปัจจุบันนี้มีเหตุเป็นสอง ก็จะลดลงเหลือแต่เพียงหนึ่ง ซึ่งคงจะทรมานเขาน้อยลง คิดถึงความเหล่านี้แล้ว ช้อยก็หลับไปโดยง่ายกว่าทุก ๆ คืนที่แล้วมา....


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,467


View Profile
« Reply #9 on: 19 May 2022, 21:09:54 »


๓๐

นางศรีวิชัยบริรักษ์ใช้เวลาหลายสิบวัน สำหรับที่จะลบรอยทิฐิในใจและยกโทษให้ลูกทั้ง ๒ จนกระทั่งเหตุการณ์ที่เป็นอยู่และจะเป็นในภายภาคหน้าล้วนแล้วแต่สนับสนุนทางข้างฝ่ายนายร้อยตรีชัด กับพระอรรถคดีวิชัย ดุจหนึ่งทนายความตัวยงยืนขึ้นแถลงการณ์แก้ข้อหาของโจทก์ที่กล่าวโทษจำเลย

ก่อนที่นายร้อยตรีชัดจะได้หมั้นกับนางสาวจันทรเสียด้วยซ้ำ ทางฝ่ายคุณหญิงรานรอน ฯ ได้ประกาศหมั้นระหว่างนางสาวสอาง กับนายจำลองคู่หนึ่ง และนางสาวพยอมกับนายแสวงคู่หนึ่ง ทางฝ่ายชายได้มีการเลี้ยงฉลองหมั้น ทั้งพระอรรถคดี ฯ ชัด ช้อยและจันทร ต่างได้รับบัตรเชิญเรียงตัวจึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าอนงค์จะต้องเป็นเจ้าการในงานนี้ เขาทั้ง ๔ ต่างไม่ปฏิเสธ แต่ครั้นเมื่อวันงานมาถึงแล้ว พระอรรถคดีมิได้ไปร่วมด้วย ช้อยเป็นผู้นำคำแก้ตัวไปแจ้งแก่อนงค์ ว่า พี่ชายของหล่อนมีอาการไม่สบายด้วยโรคคลื่นไส้และปวดศีรษะอย่างแรงกล้า ซึ่งในเวลาหลัง ๆ นี้มัก​กำเริบขึ้นแก่เขาบ่อยครั้ง

ต่อมาอีกไม่ช้า พระอรรถคดี ฯ ก็ได้ไปยังบ้านพระยาอุดมวรการ ในหน้าที่เถ้าแก่ กล่าวขอนางสาวจันทรให้นายร้อยตรีชัด ตามวันและเวลา ที่นางธุรกิจกำหนดให้ แต่เมื่อถึงคราวหมั้น นายร้อยตรีชัดได้สวมแหวนเพชรเม็ดเดียวลงในนิ้วจันทรด้วยมือของเขาเอง

มีข่าวที่ช้อยได้จากปากอุไรเองว่าพระยาอุดมวรการพอใจในการที่ลูกสาวเลือกได้นายร้อยตรีชัดเป็นคู่ และตั้งต้นพูดถึงการแบ่งทรัพย์ก้อนใหญ่มีค่าสมควรแก่ฐานะคนมั่งคั่งเช่นท่านเป็นผู้ให้ ให้แก่บุตรทั้ง ๒ ในเร็ววัน ข่าวนี้เป็นข่าวสำคัญนักสำหรับใจของแม่ที่ห่วงในความสมบูรณ์ของลูกสุดที่รักยิ่งกว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใด จึงเป็นข่าวที่มีพลานุภาพลบรอยร้าวสุดท้ายที่เหลืออยู่ในใจคุณนายให้เลือนหายไปทีเดียว

ในที่สุด พ่อใหญ่ ก็เป็นผู้มีเหตุผลอีกเช่นเดียวกับเมื่อสองคราวก่อน !

แต่พ่อใหญ่มีเหตุผลที่ใช้ได้แต่จำเพาะเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น เมื่อถึงคราวที่จะใช้เพื่อตนเอง เหตุผลที่หลักแหลมที่สุด ที่เป็นเหตุผลยอดเหตุผลทั้งหลายหายังประโยชน์ให้เกิดแก่ตัวได้ไม่ วันหมั้นผ่านพ้นไปแล้ว วันวิวาห์ก็ใกล้เข้ามา โรคร้อนใจในวิชัยยิ่งกำเริบหนัก เช้า เย็น กลางวัน กลางคืน ดวงหน้าอันงามแฉล้มของน้องสะใภ้ในอนาคตคอยเฝ้าหลอนวิชัย หน้านั้นยิ้ม หน้านั้นชะม้ายชะม้อยเอียงอาย กระตุ้นเตือนหัวใจให้เต้นแรง แล้วกลับบีบคั้นหัวใจให้ร้าวระบมดังถูกคีมหนีบเน้นด้วยคีมเหล็กอันมหึมา ทุกครั้งที่สรีรรูปของจันทรปรากฏเป็นมโนภาพ วิชัยพยายามผลักไสและบอกตัวเองว่าเขาไม่เสียดายหญิงคนนี้ หญิงที่เขาสละแล้วเพื่อความสุขและความพอใจของตัวหล่อน และทั้งของน้องด้วย แต่ความไม่เสียดายนี้ก็เป็นแต่เพียงความไม่เสียดายที่วิชัยบอกกับตัวเอง เพื่อทรงระดับแห่งหัวใจไว้ในความบริสุทธิ์ แต่ก็ดวงใจนั่นแหละ ทั้งที่ได้รับความฟัก​ฟูมเป็นหนักหนา บางคราวก็ซวนเซไปได้เพราะความพลั้งเผลอแห่งคนผู้เป็นเจ้าของแล้วก็เป็นพิษทำอันตรายแก่เจ้าของเองประดุจสนิมแห่งเหล็กเกิดแต่เหล็กแล้วก็ทำลายเนื้อเหล็กให้กร่อนไปฉะนั้น

กิเลสอย่างหยาบ มีละโมบ ๑ โกรธแล้วประทุษร้าย ๑ รักจนมืดหน้า ๑ ผู้มีธรรมกำกับใจเช่นพระอรรถคดี ฯ ย่อมสลัดเสียได้โดยเด็ดขาด เพราะเล็งเห็นแล้วทั้งโดยตัวอย่างและโดยรู้สึก ว่ากิเลสเหล่านี้เกิดขึ้นแก่มนุษย์ใด ก็ชักพามนุษย์นั้นให้ทำกรรมอันลามก แต่ความรักที่ละเอียดอ่อนละมุ่นลม่อมค่อยเป็นค่อยไป แต่ทว่าซาบซึ้งดูดดื่ม ความรักที่หวังทะนุถนอมเชิดชูผู้ที่ตนรัก ความรักชนิดนี้วิชัยมิได้สำนึกว่าอาจจะนำมาซึ่งความทรมานร้ายแรงดังที่เขากำลังผจญอยู่ จึงบัดนี้ตัวเขาเปรียบเหมือนทหารที่ถลำเข้าไปในแนวรบโดยปราศจากอาวุธสำหรับป้องกันตัว และสิ้นปัญญาในอันที่จะออกอุบายเอาตัวรอดจากน้ำมือศัตรู ความทุกข์ในใจก็เปรียบได้ดังไฟสุมขอน คุระอุเตรียมจะพลุ่งโพล่งขึ้นทุกเวลา

คืนหนึ่งเมื่อวิชัยทุรนทรายใจจนเหลือที่จะบังคับตัวให้นั่งอยู่กับที่ได้ เขาจึงขับรถร่วมใจออกจากที่อยู่ ขับไป ๆ ด้วยฤทธิ์คลั่งจนมิรู้ว่าผ่านถนนใดบ้าง ในที่สุดเขาพบตัวเองอยู่หน้ากระทรวงยุติธรรม คืนนี้เป็นคืนข้างขึ้นอ่อน ๆ ไม่มีแสงไฟฟ้าตามถนน ความมืดปกคลุมไปทั่วท้องสนาม หลวงวิชัยเลี้ยวรถเข้าในบริเวณที่กล่าวนี้ แล้วก็ดับเครื่องให้รถจอดนิ่งอยู่

นี นั่งซึมอยู่หลายสิบวินาทีโดยไม่นำพาต่อกระแสลมอันเยือกเย็นเละฝูงฝูงยุงที่กลุ้มรุมสูบเลือดเขาอย่างไม่ปรานี ในใจครุ่นคิดถึงคน ๆ เดียว คิดแล้วก็ปวดยอกแสยงใจ สันดานเดิมแดดิ้นกระสับกระส่าย สันดานใหม่ประเล้าประโลม ธัมมะทุกข้อที่เคยผ่านตาวิชัยยกขึ้นใช้มาเพียงครู่ก็เลือนหายเพราะแรงรักกำเริบกล้า ยกข้อใหม่ขึ้นอีก ท่องซ้ำเพียรจะฝังลงในใจ ความอาลัยก็ออกฤทธิ์ชักความตั้งใจให้เขวเสีย แต่เป็นอยู่ดังนั้นหลายครั้งหลายครา

​รถตอนเดียวคันหนึ่งแล่นจากถนนราชดำเนินขึ้นสะพานผ่านพิภพ ๆ อ้อมทุ่งพระเมรุทางซ้ายไปขวา ครั้นถึงทางรถกลางสนาม รถนั้นก็เลี้ยว ไฟฉายสว่างจ้าพุ่งมายังรถวิชัย รถเล็กแล่นช้าลง แต่หาหยุดหรือวกไปทางอื่นไม่ เห็นแสงไฟยังกล้าอยู่เช่นเดิม พระอรรถคดี ฯ นึกถึงหนุ่มสาวทรามคะนอง ชะรอยจะเห็นการที่ได้ฉายไฟส่องหน้ามนุษย์เล่นนั้นเป็นของสนุก นิ่งดู รถเล็กยิ่งคลานเข้ามาใกล้จนหน้ารถจวนจะปะทะกับรถเฟียตจึงได้หยุด และดับไฟฉาย

ได้ยินเสียงคนในรถเล็กพูดเบา ๆ เสียงประตูรถเปิดแล้วเห็นร่างบุรุษในเครื่องแต่งตัวสีขาวลงยืนบนถนนเสียงกระซิบกระชาบ อีกมนุษย์นั้นค่อย ๆ เดินท่วงทีเหมือนจะเตร่แก้เมื่อย แต่เข้ามาใกล้รถวิชัยขึ้นทุกที ในที่สุดก็หยุดอยู่ที่ข้างรถ หัวเราะและ

“ฮี่ ฮี่ ฮี่”

“คุณประสิทธิ์รึ ?” วิชัยถามน้ำเสียงส่อความไม่พอใจ เมื่อรู้ตัวว่าอีกฝ่ายหนึ่งจำตัวได้

“ครับ ครับ ฮี่ ๆ ผมเอง คุณพระนั่ง ฮี่ ฮี่ คนเดียว ?”

“คนเดียว คุณทำไมถึงจำผมได้ ออกมืดยังงี้”

“จำได้ ฮี่ ฮี่ จำรถ ป--- ไปนั่งรถผมเถอะ ฮี่ๆๆ”

“อ๊ะ !” วิชัยร้อง “คุณมาตามลำพังกับคนอีกคนหนึ่งในที่เปลี่ยวเช่นนี้ เรื่องอะไรผมจะไปขัดคอ”

ประสิทธิ์หัวเราะ “ฮี่” หลายครั้งแล้วจึงพูดได้ความว่า

“ผมมากับอนงค์ต่างหาก”

“อ้อ ?” วิชัยว่าแล้วก็นิ่งอยู่

“ป---ไปหาน้องผมหน่อยซี ฮี่ ฮี่แก ค--คิดถึงคุณมากเห็นรถแกก็ ฮี่ ฮี่--ดีใจ แกให้ผมมาเรียก”

พระอรรถคดี ฯ ตกอยู่ในอาการเรรวน ในฐานะที่ตนเป็นสุภาพ​บุรุษมาพบกับสุภาพสตรีที่ได้เคยวิสาสะจนพอจะเรียกได้ว่าคุ้นเคย พี่ชายของหล่อนบอกว่าหล่อนให้มาเรียก จะเท็จจริงอย่างไรก็ช่างเถิด แต่ถ้าเขานิ่งเสียไม่เดินไปทักทายก็จะเป็นการน่าเกลียดอยู่ คิดดังนั้นแล้วจึงลงจากรถของตัวเดินไปยังรถตอนเดียว

อนงค์ทำความเคารพและต้อนรับด้วยคำพูดมีกังวานแจ่มใส

“หายดีแล้วหรือคะ ?” หล่อนถาม “วันนั้นไม่ได้ไป ดิฉันเสียใจเหลือเกิน”

มีอะไรอย่างหนึ่ง ในน้ำเสียงของหล่อน ที่ทำให้วิชัยต้องเชื่อว่าหล่อนพูดจริง เขาจึงตอบว่า

“ขอบใจมาก ฉันก็เสียใจเหมือนกันที่รับเชิญของคุณไว้แล้วแต่ไม่ได้ไป เจ้ากรรมเผอิญเกิดไม่สบายขึ้นวันนั้น”

“เดี๋ยวนี้หายดีแล้วหรือคะ”

“เห็นจะหาย”

“สาธุ ! ได้ทราบว่าไม่สบาย ดิฉันพลอยกังวลด้วย เวลาไม่สบายมีอาการเป็นอย่างไรคะ !”

“ไม่มีอะไร ปวดศีรษะ แล้วก็คลื่นไส้ ถึงเวลาจะหายก็หายเอง”

“ไม่น่าไว้ใจ” อนงค์พูดเบาคล้ายปรารภกับตัวเอง พยายามใช้สายตาฝ่าความมืดเพื่อมองดูหน้าเขา “อาการเป็นโรคเส้นประสาทโดยตรง อย่าอดนอนให้มากนักซีคะ พยายามรับประทานให้ได้มากหน่อยและอย่า---อย่าใช้ความคิดให้มากนัก”

“หมอฮี่ฮี่ แม่หมอ !”

“ควรจะเป็นหมอได้ดี” วิชัยกล่าว “เพราะให้คำแนะนำตรงกับที่ฉันได้ฟังจากหมอทุกอย่าง”

“ซึ่งคุณพระไม่ทำตามสักอย่างเดียว” หญิงสาวขัดพร้อมกับหัวเราะ “เชิญคุณพระขึ้นนั่งบนนี้ก่อนซีคะ” หล่อนพูดต่อและชี้ที่ว่าง​ข้างตัว

“ขอบใจฉันนั่งมานานแล้ว อยากจะยืนเสียบ้าง คุณประสิทธิ์เชิญมานั่งที่ของคุณซี ผมยืนอยู่อย่างนี้สบายแล้ว”

“แต่ว่าบางทีคุณพระจะต้องยืนนานเกินสบาย ดิฉันอยากพบคุณพระมาหลายวันแล้ว วันนี้มีโชคดีถ้าวันนี้คุณพระไม่มีธุระจำเป็น จะขอถ่วงตัวไว้นานหน่อย”

พระอรรถคดี ฯ อึ้ง ในที่สุดจึงตอบว่า

“ไม่ขัดข้อง”

หล่อนหัวเราะอย่างชื่นชม แล้วชวนซ้ำ

“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญนั่ง ดิฉันไม่ยอมให้คุณพระทรมานตัวเช่นนั้น”

อีกครั้งหนึ่งวิชัยลังเล ครั้นแล้วจึงเอี้ยวตัวไปทางท้ายรถ คลำพบที่สำหรับมือดึงพนักที่นั่งขึ้น เขาก็จัดการให้ตัวเองขึ้นนั่งบนที่นั้น

อนงค์เบนตัวหันหน้ามาทางท้ายรถ ประสิทธิ์ “ฮี่” หลายครั้งแล้วก็ขึ้นรถบ้าง ปิดประตูยกมือกอดอกวางศีรษะในท่านอนอย่างสุขสบาย วิชัยถามตัวเองถึงเหตุที่อนงค์ประสงค์จะพบตน พลางหยิบซองบุหรี่จากกระเป๋าเสื้อส่งให้ ๒ พี่น้อง ก่อนเขาปฏิเสธแล้วจึงจุดสำหรับตัวเอง

อนงค์พูดขึ้น

“คุณพระเป็นลูกหนี้ดิฉันตามคำสัญญาข้อหนึ่ง แต่ดิฉันจะไม่ทวงในเวลานี้ เพราะทราบอยู่แก่ใจว่าต่อจากวันนั้นมาแล้ว คุณพระมีกังวลมาก”

วิชัยไม่ค้านคำตอบของอนงค์ ตอบเรียบ ๆ ว่า

“ฉันเตรียมพร้อมที่จะใช้หนี้คุณได้ครึ่งหนึ่งเดี๋ยวนี้”

หล่อนหัวเราะเบา ๆ

“แต่ติฉันเกรงว่าจะเป็นการกวนใจคุณพระในยามที่คุณพระกำลัง—ไม่สบายเช่นนี้”

​“การตอบคำถาม ๒ - ๓ ประโยคของคุณเห็นจะไม่ทำให้โรคกำเริบหรอก”

“ว่าไม่ได้นะคะ เพราะโรคของคุณพระมีเส้นประสาทเป็นเหตุอยู่ ถ้าคำถามของดิฉันไม่ถูกอารมณ์คุณพระ อาจจะทำให้ปวดศีร์ษะได้”

“ไม่น่าจะเป็นไปได้ เรื่องที่ทำให้คนปวดศีรษะน่าจะเป็นเรื่องที่ทำให้โกรธหรือมิฉะนั้นก็ทำให้เสียใจ ฉันคิดว่าเรื่องที่คุณจะถามไม่ใช่เรื่องเช่นนั้น อีกอย่างหนึ่งฉันเชื่อตัวเองว่าไม่โกรธใครง่าย ๆ”

“ดิฉันก็เชื่อค่ะ เพราะดิฉันจำความที่เราพูดกันเมื่อคืนวันเกิดดิฉันได้ทุกคำ ยังติดใจคาถาที่คุณพระสอน เดี๋ยวนี้อยากจะเรียนความรู้ชนิดนั้นเพิ่มเติมอีก”

“ฉันเกือบไม่เชื่อว่า คุณเอาใจใส่กับความรู้เหล่านั้น” วิชัยพูดตรงตามใจคิด

“อนงค์มักเป็นคนวาสนาน้อยเช่นนั้นเสมอ” หญิงสาวตอบแล้วหัวเราะด้วยกระแสเสียงที่ผู้ฟังไม่เข้าใจความหมาย “ถูกคนเข้าใจผิดตาปีตาชาติ”

“ขอโทษเถิด การที่เข้าใจผิดไม่ใช่เพราะดูถูกหรืออะไรคล้ายๆ อย่างนั้น ฉัน --คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าเอาใจใส่เท่าไรนัก”

“อะไร้ไม่น่าเอาใจใส่ ! ตรงกันข้ามเทียวค่ะ ดิฉันตั้งใจจะจดจำคำเหล่านั้นไว้ แล้วประพฤติตามให้เสมอ สอนอะไรให้ดิฉันอีกสิคะจะได้ทำให้ดิฉันเป็นคนดีขึ้น”

เขาหัวเราะ หึๆ แล้วว่า

“คุณเป็นคนช่างถ่อมตัวอย่างที่สุด และเป็นนักยอที่เฉียบแหลม เพิ่งได้เห็นเดี๋ยวนี้เองว่า การที่ใครๆ เขายกย่องว่าคุณฉลาดนั้นยังไม่พอกับความจริง แต่โปรดเวทนาแก่คนโง่สักหน่อย ฉันเป็นคนที่ใครๆ เขาตำหนิอยู่เสมอว่าเชื่อคนง่าย”

​“แต่คุณพระกำลังแสดงตัวตรงกันข้ามกับที่เขาตำหนิทีเดียว”

“บางทีจะจริง เพราะคำตำหนิทำให้ผู้ถูกตำหนิมีความระวังตัวขึ้น”

“เคราะห์ร้ายของดิฉันเอง เผอิญคุณพระมาระวังตัวจำเพาะเมื่อฟังดิฉันพูดเสียด้วย นี่จะไม่เรียกว่าอนงค์อาภัพหรือคะ เสียแรงตั้งใจคอยเรียนประสงค์จะหาความรู้ เพราะดิฉันเองก็มีข้อที่ต้องตำหนิตัวเองอยู่ไม่น้อย กลับถูกหาว่าฉลาดเกินไปเสียอีกแล้ว”

พระอรรถคดี ฯ เพิ่งมีความรำคาญต่อความมืดเป็นครั้งแรกเพราะเป็นเหตุให้เขามองไม่เห็นสีหน้าคู่สนทนา ถึงกระนั้นเขาก็เพ่งสายตาจับอยู่ที่หน้าหล่อนเป็นครู่ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

“ฉันควรจะเชื่อหรือว่าคุณต้องการคำสอนจากฉัน !”

“โปรดเชื่อเสียก่อนว่า คำใดที่อนงค์พูดกับคุณพระ คำนั้นเป็นคำที่ออกจากน้ำใสใจจริงของอนงค์ทุกคำ”

“เช่นนั้นฉันเห็นจะต้องปล่อยใจให้เป็นไปตามนิสัยเดิมอีกพักหนึ่ง”

“ความไม่ช่างระแวง เป็นนิสัยของคนที่มีดวงจิตบริสุทธิ์แท้ นี่เป็นความเชื่อของดิฉันที่เชื่อตามสุภาษิตฝรั่งบทหนึ่งว่า จงอย่าไว้ใจคนที่ไม่ไว้ใจใคร”

“นี่ก็เป็นคำที่เรียกว่าคำยอได้อีกอย่างหนึ่ง แต่เมื่อฉันได้รับแล้วว่าจะเชื่อคุณ ฉันจะถือว่าเป็นความเห็นชิ้นหนึ่งที่มีสาระควรจำเอาไว้ ทีนี้เชิญบอกมาเถิดจะให้ฉันแนะนำอะไร ความจริงคุณก็ไม่มีความเสื่อมเสียอยู่ในตัวถึงกับจะต้องอบรมกันใหม่ไม่ใช่หรือ ?”

“ความเสื่อมเสีย !” อนงค์ทวนคำอย่างตรึกตรอง “คำนี้กินความแค่ไหนก็ไม่ทราบดิฉันขอตอบแต่เพียงว่าดิฉันอยากเป็นคนดีเท่าที่คุณพระไม่รู้จักโกรธใครไม่รู้จักเกลียดใคร ใครขออะไรก็ให้ไม่เสียดายแม้แต่สิ่งที่รักที่สุด”

คำพูดของอนงค์ สะดุดใจพระอรรถคดี ฯ อย่างประหลาด ทำให้​เขานิ่งอั้นไปเป็นครู่จึงพูดขึ้นว่า

“การไม่เกลียดใครนั้นฉันทำได้ง่าย ไม่โกรธทำได้ยากกว่าเล็กน้อย แต่การไม่เสียดายสิ่งที่รักที่สุดใครเป็นคนบอกคุณว่าฉันทำได้ ?”

“ของพรรค์นี้จะต้องให้ใครบอก ! ดิฉันอ่านออกเอง” โดยไม่ละเวลาให้อีกฝ่ายหนึ่งไล่เลียงต่อไป อนงค์รีบถามขึ้นอีก “การที่สละสิ่งที่รักที่สุดให้แก่คนอื่นนั้น ทำให้เราเป็นสุขหรือคะ ?”

“เป็นเช่นนั้นคุณ ถ้าคนให้มีใจสูงพอ”

“ก็สูงแค่ไหนล่ะคะที่เรียกว่าสูงพอ”

“สูงแค่รู้จักข่มใจ ไม่อาลัยสิ่งที่ตัวให้เขาแล้ว”

“ถ้าข่มใจไม่ได้ ?”

“ก็ไม่เป็นสุข แต่ว่าถึงอย่างไรก็ควรสละ เพราะการสละเพื่อความสุขแก่ผู้อื่นเป็นการกระทำที่โลกสรรเสริญว่าดียิ่ง”

“ยังมีเหตุผลอย่างอื่นอีกที่ควรจะนำมาใช้ ลองนึกถึงว่าคนเราที่เกิดมาในโลกนี้ มีสักกี่คนที่ได้ใช้หนี้โลกสมกับที่ให้กำเนิดตัวมา วิธีที่จะใช้หนี้ก็คือ ทำประโยชน์ให้แก่เพื่อนมนุษย์เต็มกำลัง เมื่อคุณมีโอกาสได้ทำประโยชน์ให้แก่เพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง โดยสละสิ่งที่คุณรักที่สุดให้เขาเรียกว่าคุณได้ใช้หนี้บางส่วนไปแล้ว ขอให้ยกกุศลกรรมของคุณขึ้นมาชมเชย น้อมใจให้รู้สึกในความสุขของเขา แล้วถือว่าความสุขนั้นเป็นเหมือนความสุขของคุณ”

อนงค์เริ่มขำในสรรพนามที่วิชัยเจาะจงใช้ ประดุจเขาตั้งใจจะสอนหล่อนโดยตรง แต่ความเอาใจใส่ในหลักเหตุผล ยังมีอำนาจเหนือความคิดสนุก หญิงสาวจึงพูดว่า

“ดิฉันคิดถึงเรื่องโลกและมนุษย์อยู่บ้าง แต่คิดไปไม่ไกลถึงเช่นนั้น บางคราวดิฉันรู้สึกว่าโลกเรียกร้องรบกวนเรามากเกินไปจนเราน่าจะให้ไม่ได้”

​“ถ้าเกินกำลังเป็นธรรมดาที่เราไม่ให้ แต่บางทีเราคะเนกำลังของเราผิดไป ใจเสาะคิดว่าไม่ไหวอยู่เสมอ คนเช่นนั้นเป็นคนรกโลก ปราชญ์ไม่สรรเสริญ แน่ละการเสียสละบางอย่าง เช่นสละคนรัก เพียงคิดว่าจะสละก็ใจแทบขาด เมื่อสละแล้วจะหักความเสียดายให้หายก็ย่อมไม่สำเร็จในเร็ววัน แต่เมื่อเรารู้อยู่ว่ามันทรมานเรามาก เราก็ต้องรีบเอาชนะมันให้เร็วที่สุด อุบายอย่างหนึ่งไม่พอใช้ ต้องหาอุบายเพิ่มเติม ใจคนเรานั้นหัดยากจริงอยู่ แต่ไม่ใช่จะเหลือขอเสียทีเดียว ขอแต่ให้คุณใช้ความพยายามสักพักหนึ่งก็จะเห็นผล”

“พ่อหมอ” อนงค์นึกพลางยิ้มในหน้า “รักษาตัวของตัวให้หายเสียก่อนเถิด” ครั้นแล้วหล่อนพูดดังด้วยน้ำเสียงความซื่อ และเป็นการเป็นการอย่างที่สุด “คุณพระเห็นจะใช้อุบายเหล่านี้รักษาโรคใจของคุณพระมาแล้ว และหายอย่างเร็วชะงัดถึงได้อธิบายได้แจ่มแจ้งนัก”

ราวกับพระอรรถคดี ฯ อ่านความคิดในใจอนงค์ได้เหมือนอ่านหนังสือ จึงตอบว่า

“คุณลืมเสียแล้ว หมอไม่เคยรักษาไข้ให้ตัวเองเลย อย่าว่าแต่ตัว แม้แต่ลูกเมีย ถึงคราวสำคัญหมอยังไม่รักษาเอง ต้องให้หมออื่นรักษาแทน” พูดแล้วเขาก็หัวเราะครึ่งขำและครึ่งสลดใจ

อนงค์หัวเราะด้วย

“ถ้าเช่นนั้นหากคุณพระเกิดเป็นโรคใจอย่างที่พูดกันนี่ คุณพระมิรักษาใจของคุณพระเองไม่ได้หรือคะ”

เขาหัวเราะเพื่อซ่อนความอึกอักในใจ แล้วจึงตอบว่า

“ท่าทางดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น คงจะต้องหายาตำรับที่คนอื่นเขาตั้งไว้มาใช้”

“ลองเรียนยาตำรับของคุณอาดิฉันบ้างไหมล่ะคะ เผื่อจะมีเวลาคุณพระต้องการใช้ ท่านบอกว่าการสู้ความกลุ้มโดยปล่อยตัวให้อยู่แต่กับ​ตัวคนเดียว เป็นทางลัดแต่กันดารเหลือเกิน จะถึงปลายทางไม่ได้ง่ายๆ ท่านสอนให้เดินทางอ้อม ค่อยเดินค่อยไป คือสอนให้หาเครื่องเพลิน เที่ยวเตร่เล่นหัวกับคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง ทำใจให้โปร่งชั่วครู่ยามหนึ่งก็ยังดี ภายหลังความลืมจะเข้ามาช่วยทำให้ความกลุ้มหายไป”

“ทางนี้สำหรับคุณเห็นว่าเหมาะจริง และใช้ได้ประโยชน์กว่าที่ฉันบอก”

“แต่สำหรับคุณพระ รู้สึกว่าตื้นเกินไปยังงั้นหรือคะ หรือว่าลองแล้วไม่ได้ผล”

วิชัยกระอักกระอ่วนจนอนงค์เห็นได้ หล่อนจึงรีบตัดบทเสียทันที

“แหม ! ลมก็แรง ยังมียุงมาตอมเราได้”

“ฉันสงสัยว่าเราได้คุยกันนานทีเดียว” วิชัยกล่าว มีความเต็มใจที่จะได้ยุติเรื่องที่ใกล้ความรู้สึกของตนเกินไป “นี่ฉันได้ใช้หนี้ให้คุณแล้วครึ่งหนึ่งใช่ไหม ?”

หญิงสาวหัวเราะอย่างเบิกบานที่สุด แล้วจึงตอบว่า

“ใช้แค่ดอกเบี้ยเท่านั้นแหล่ะค่ะ แต่ดิฉันจะไม่ทวงต้นทุนอีกละ จนกว่าคุณพระจะกรุณานำไปใช้ให้ถึงบ้าน”

“ขอบใจ ! คุณเป็นเจ้าหนี้ที่มีเมตตามาก - เห็นจะสมควรแก่เวลาที่ฉันจะต้องลาคุณเสียที”

“ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งเทียวค่ะ” อนงค์ตอบพร้อมประณมมือไหว้ “ดิฉันได้ความรู้อีกหลายอย่างซึ่งจะเป็นประโยชน์ในวันข้างหน้า”

พระอรรถคดีฯ ลงจากรถแล้วปิดที่นั่งเสียดังเก่า “คุณประสิทธิ์เห็นจะหลับสบาย” เขาพูด “คุณไม่ปลุกแกขึ้นหรือ ?”

“ปลุกทำไม !” ประสิทธิ์เอ่ยขึ้นทันที พร้อมกับขยับตัวขึ้นนั่ง

“ผมไม่ได้ ฮี่ ฮี่”

“เพราะเช่นนั้นน่ะซีผมถึงนึกว่าคุณหลับ” วิชัยตอบ “ลาละคุณ”

​อนงค์ไหว้อีกครั้งพร้อมกับพี่ชาย แล้วรถ ๒ คันก็แล่นไปคนละทาง ในเวลาที่ขับรถกลับบ้าน วิชัยมีความเจ็บในดวงใจนั้นน้อยลง หรือที่ถูกเขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บนั้น เพราะมัวพะวงอยู่ด้วยความคิดชนิดอื่นเป็นปัญหาที่เขาต้องการจะขบให้แตก ในเวลาราวชั่วโมงที่อนงค์สนทนาอยู่กับเขา หล่อนพูดและชวนให้เขาพูดอยู่แต่เรื่องเดียว คือเรื่องความเสียดายในสิ่งที่เสียไป เขาอยากจะรู้ให้แน่ว่าหล่อนพูดเรื่องของหล่อนหรือพูดเรื่องของเขา

วิชัยตกลงใจว่าจะถามเอาความจริงจากช้อย แต่เมื่อเขาถึงบ้านปรากฏว่าช้อยปิดประตูนอนเสียแล้ว เป็นอันต้องระงับความใคร่รู้ไว้พักหนึ่งก่อน ถอดเสื้อชั้นนอกออกจากตัว วิชัยนั่งสูบบุหรี่ทอดอารมณ์อยู่บนเก้าอี้ในห้องนอน

บัดนั้น ข้อความแห่งการสนทนาเมื่อชั่วโมงก่อน ก็เวียนกลับมาสู่ห้วงนึก ข้อความสำคัญที่ออกจากปากตนเองผุดขึ้นในสมองทีละตอนอย่างเด่นชัด มีรูปความและน้ำหนักปรากฏแก่ดวงจิตวิชัยประดุจเงาในกระจกปรากฏแก่ตามนุษย์ โลกตั้งอยู่ในกฎแห่งความไม่ยั่งยืน วิถีชีวิตมนุษย์ดำเนินไปตามอำนาจบุพพกรรม มนุษย์จึงมีกรรมเป็นเครื่องอาศัย กรรมใดมนุษย์ประกอบเพื่อประโยชน์สุขแก่เพื่อนมนุษย์ กรรมนั้นเป็นกรรมดีเลิศ ความจริงเหล่านี้วิชัยต้องเล็งเห็นอยู่เป็นนิจ เขาจึงสามารถยกขึ้นกล่าวแก่อนงค์ แต่เหตุไฉนตัวเขาเองจึงมีใจอันระทมอยู่ด้วยความอาลัย ประหลาดนัก ธรรมทั้งหลายมีอยู่เก่าเท่าอายุของโลก เป็นของไม่ล่วงสมัย เป็นของอันบุคคลพึงน้อมเข้ามาสู่ใจ เป็นของอันวิญญชนรู้แจ้งเฉพาะตัวแล้วและเฉลี่ยให้ผู้อื่นได้ แต่ธรรมเหล่านั้นมนุษย์มิได้เคยสดับตรับฟังก็มี ฟังแล้วไม่เข้าใจก็มี เข้าใจแล้วไม่รู้แจ้งเห็นจริงก็มี ทั้งนี้เพราะมนุษย์โฉดเขลาบ้าง ทะนงตนเกินไปบ้าง เป็นทาสแห่งความอุปทานบ้าง มีใจอันมืดมิดเสียแล้ว ความสุข ! มนุษย์พร่ำถึงอยู่ทุกวาระหายใจ แต่เมื่อ​เครื่องมืออันเป็นปัจจัยแห่งความสุขถึงมือมนุษย์กลับเมินหนี

กล่าวแต่จำเพาะตัววิชัย ธรรมเครื่องบรรเทาทุกข์ขั้นโลกีย์เขาได้ศึกษาแล้วจบ น่าจะยกขึ้นใช้ได้ทุกเวลา แต่ครั้นถึงคราวต้องการดูเหมือนกับว่าเขาแกล้งลืมธรรมเหล่านั้นเสีย หรือนึกขึ้นได้ก็เลือน ๆ จาง ๆ ไม่เป็นแก่นสาร จึงให้ประโยชน์ไม่เต็มที่ ต่อเมื่อความเมตตาจิตเกิดขึ้นแก่เขาแล้ว เขาประสงค์จะกล่าวธรรมเพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่กำลังเป็นทุกข์อาศัยที่ต้องใช้ความเพ่งเล็งประมวลข้อความให้เป็นชิ้นเป็นอัน มีหลักฐานความรู้ที่มีอยู่และเสื่อมเสียจึงกลับรวบรวมกันเป็นหมวดหมู่ สำแดงค่าปรากฏซึ่งเข้าใจในวิชัย ทำให้เขาได้สติแล้วกลับตะลึงในความเขลาของตนเองอยู่บัดนี้

ทั้งนี้น่าจะคำนึงถึงพระพุทธวัจนบทหนึ่งที่มีอยู่ว่า

สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ การให้ซึ่งธรรมชำนะการให้ทั้งปวง


Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.256 seconds with 19 queries.