Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...
User Info
Welcome, Guest. Please login or register.
28 April 2024, 07:24:30

Login with username, password and session length
Search:     Advanced search
News
ท่านสมาชิกสามารถเปลี่ยนรูปแบบ (Theme) ได้อีกหลายแบบ
เชิญทดลองโดยคลิกที่ลิงค์ข้างล่าง ได้เลยครับ

http://www.smilesiam.net/index.php/topic,3170.msg4713.html
Forum Stats
25,605 Posts in 12,440 Topics by 70 Members
Latest Member: KAN
Home Help Search Calendar Login Register
Smile Siam มาร่วมกันคืน "สยามเมืองยิ้ม" กลับสู่บ้านเรากันนะครับ ...  |  เรื่องราวน่าอ่าน  |  เรื่องเล่าจากความทรงจำที่หาฟังยาก  |  นวนิยายเรื่อง บางระจัน -ก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา (ไม้ เมืองเดิม)
0 Members and 1 Guest are viewing this topic. « previous next »
Pages: [1] Go Down Print
Author Topic: นวนิยายเรื่อง บางระจัน -ก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา (ไม้ เมืองเดิม)  (Read 344 times)
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,458


View Profile
« on: 15 May 2022, 12:27:16 »

นวนิยายเรื่อง บางระจัน -ก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา (ไม้ เมืองเดิม)


https://vajirayana.org/บางระจัน



๑ มโนมอบพระผู้เสวยสวรรค์
๒ แขนมอบถวายทรงธรรม์เทอดหล้า
๓ ดวงใจมอบเมียขวัญแลแม่
๔ เกียรติศักดิ์รักของข้ามอบไว้แก่ตัว



Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,458


View Profile
« Reply #1 on: 15 May 2022, 12:29:42 »


๑ มโนมอบพระผู้เสวยสวรรค์
กลางเดือน ๗ เมื่อตะวันบ่าย ความร้อนกลับอบอ้าวยิ่งขึ้น หาได้ลดลงตามดวงตะวันที่คล้อยไปด้วยไม่ แดดกลางฟ้าเหลืองทุ่ง เว้นแต่ทิวไม้เขียวสุดเนื้อนาโน่นเท่าที่ครึ้มด้วยเมฆมืดลอยต่ำเขยื้อนลงมาใกล้ทุกขณะ ฟ้าแลบไกลเสียงครืนคำราม ทั้งนกกา และกระยางฝูงกำลังบินจากทิศมืดอย่างรีบร้อน มุ่งเข้าหาดงไม้

พายุยิ่งปั่นป่วนฟ้าก็แลบแล่นเป็นทางยาว กระยางหลายฝูง และนกนาผ่านไปหมดแล้ว ละอองเย็นก็กระจายใกล้เข้ามาอีก กบนามันร้องขรมเพราะได้กลิ่นฝนทั้งเมฆก้อนแลเป็นเทือกผาใหญ่ถูกพายุตีกระหน่ำ ไม้ยอดตามละเมาะและแนวดงโอนเอนแทบจะถอนรากกระเด็น ฟ้าผ่า-ไม้ล้ม แล้วฝนแสนห่าก็เทลงมาในครู่นั้น

เรือนหลังเก่าท้ายทุ่งคำหยาดไม่ห่างจากเรือนหมู่และกระท่อมทับเพื่อนบ้านอื่น หากฝนจักคะนองแต่นายทหารกรุงกว่าสิบคนก็ยังคงยืนสู้หนาวล้อมเรือนนั้นรอบ ส่วนอีก ๔-๕ คน ทั้งตัวนายที่ขึ้นค้นเรือนเล่าแม้จะมิได้กรำอยู่กลางน้ำฝนเย็นแต่ก็หนาวสะท้านถึงหัวใจ เพราะทุกคนย่อมจะรู้ดีว่าเรือนเก่าหลังนี้ หากมีหญิงอยู่เพียงสองคนแม่ลูก แต่ก็เคยเป็นเหย้าอาศัยของนายหมู่เที่ยงทหารอาหมาตฝีมือลือครั้งศึกพม่าที่อ่าวหว้าขาวปีมะโรงก่อน และถึงแกจะไม่กลับมาอีกเพราะหันหน้าพึ่งวัดไปแล้วก็ดี แต่อ้ายหนุ่มลูกชายแกที่กำลังถูกค้นหาตัวเล่า นอกจากมันจะเป็นคนยอดฝีมือดีอยู่ทั่วแคว้นวิเศษไชยชาญแล้ว ยังเคยเป็นทหารหน้ากรำศึกมาก่อน ทั้งได้ถอดฝีไม้ลายมือไว้จากนายหมู่เที่ยงทุกประการ

เมื่อทหารค้นทุกห้องหับไม่พบตัว นายกองหนุ่มผู้ควบคุมจึงหันเข้าขับเคี่ยวกับเจ้าของบ้านอีก

“จะว่าอย่างไรกันล่ะยายจันทร์ บอกเสียตรงๆ เถอะว่าเจ้าทัพมันหนีไปซุกอยู่หนไหน?”

“ไม่รู้เลยจ้ะพ่อสังข์ เป็นความสัตย์จริงเถอะ ฉันไม่รู้ด้วยเลย” แกตอบแล้วประนมมือไหว้

นายกองที่มาตามจับไม่มีความพอใจที่เจ้าของบ้านยังเรียกเขาว่าพ่อสังข์เหมือนเมื่อก่อน แล้วมองมาทางสาวจวง ซึ่งนายกองเคยผูกสมัครรักใคร่อยู่นานแต่ครั้งยังไม่มีวาสนา เมื่อนึกถึงความรักที่มีอยู่และหน้าเศร้าของจวงใจก็อ่อนลงบ้าง

“จวงเล่า ยังจะปิดบังอยู่อีกหรือ แน่ะจวง ฉันจะบอกให้รู้ไว้ว่าถ้าไม่ได้ตัวเจ้าทัพแล้วก็จะต้องได้คนอื่นแทน”

จวงไม่ประหวั่นในคำพูดของนายสังข์ เจ้ากลับแค้นไปว่าการมาค้นเรือนและขู่เข็ญครั้งนี้เป็นด้วยพยาบาทหนหลังของนายกองเอง

“ก็ให้มันเป็นไปเถอะ เมื่อบอกว่าไม่รู้แล้วถึงจะเอาไปฆ่าไปแกงยังไงมันก็ไม่รู้

“อ้าว ฮะๆ เจ้าจวง” นายสังข์หัวเราะเยาะ “ไม่ฆ่าไม่แกงหรอก แต่จะต้องริบตัวไปเป็นไพร่หลวงใช้งานแล้วจะว่ายังไง”

“ริบเป็นริบ” จวงตอบสะบัดเสียง “คนเราเมื่อจะเก็บเอาเรื่องหลังมาพยาบาทกันแล้ว ใจมันก็หยาบผิดคนกันเอง”

“ฮะ ว่าไงนะ” นายกองก้มเข้าไปใกล้ “เมื่อปากกล้ายังงี้ก็ดีล่ะ แล้ว​จะรู้สำนึกเมื่อต้องไปเป็นไพร่” หันมาพยักหน้ากับทหารที่ยืน “เอาตัวไปเถอะ”

เมื่อทหารตรงเข้ามา จวงก็ชี้หน้าแล้วว่า “อย่านะฉันเป็นผู้หญิงที่ไม่รู้และเกี่ยวข้องด้วยในเรื่องนี้”

ทุกคนชะงักงัน ซึ่งเป็นเหตุให้นายกองเกิดโทโสหนัก จึงชักดาบออกมาเพื่อให้เห็นคำสั่งแน่ขึ้น แล้วถามทหารว่า “ใครจะขัดขืนคำสั่งข้า บอกซีว่าใครจะไม่ทำตามคำสั่ง”

เมื่อการเป็นจริงเป็นจังเกินคาดเช่นนี้ ทั้งแม่และตัวเจ้าจวงเองเลยร้องไห้เพราะความกลัวเกรง นายหมู่ขาบทหารหนุ่มคู่ใจของแม่กองจึงหันเข้าช่วยประนีประนอม

“แม่จวงก็ต้องค่อยพูดค่อยจาอ้อนวอนซี เราคนกันเองใช่ใครอื่น การที่แม่กองมาค้นก็ทำตามคำสั่งของคุณพระนาย อีกประการเจ้าทัพมันก็เป็นคนผิดให้ทหารมาตามเมื่อคืนนี้มันก็ฟันเจ็บไป ๒-๓ คน แล้วหนีไปจากบ้าน แม่จวงกับน้าจะว่าไม่รู้ไม่ได้”

แม่ลูกค่อยรู้สึกตัวขึ้น นางจันทร์ร้องไห้ดังจนจวงสงสาร เกรงจะตกใจถึงล้มเจ็บ ครั้นจะเหลียวหาใครเวลานี้พอจะช่วยได้เล่าไม่มีเลย หลวงพ่อก็บวชอยู่วัด พี่ทัพหากฝีมือจะเป็นเลิศแทนพ่อแต่ก็ซุกซ่อนหลบหน้าไปแล้ว และอย่างช้าชั่ววันมะรืน ครัวแถวบ้านคำหยาดก็จะต้องถูกต้อนเข้ากรุงหมด ด้วยข่าวทัพพระเรนทร์ฯ เจ้ากรมตำรวจแตกมาแล้วจากกาญจนบุรี

เห็นสิ้นหนทางแท้ จึงต้องหันทำใจดีต่อแม่กองแล้วพูดเป็นกันเองอย่างเก่าก่อน “พี่สังข์ ฉันเพิ่งจะรู้ว่าพลอยเป็นคนผิดกับพี่ทัพด้วย แต่ที่พูดไปก็เพราะไม่รู้ พี่ก็ต้องให้อภัย อย่าถือโกรธฉันกับแม่เลย”

โทสะของแม่กองหายเป็นปลิดทิ้งแล้วยิ้มละไม เห็นหน้าจวงและน้ำตามันแล้วไม่วายย้อนคิดถึงความหลังเลย จวงมันยังคงงดงามเป็นศรีบ้านคำหยาดแข่งอยู่กับเจ้าเฟื่องแฟงสองพี่น้องที่นายหมู่ขาบและตัวเองก็หลงรัก

“เถอะจวง อย่าร้องห่มร้องไห้ไปเลย นิ่งเสียเถอะเราก็กันเอง เมื่อพอพูดรู้กันแล้วก็ไม่เป็นไร และการที่มาวันนี้ก็มิใช่จะใจร้ายหรอกนะ ตั้งใจจะมาบอกให้รู้หรอกว่าครัวจะต้องถูกต้อนเข้ากรุงให้หมด ถ้าหากว่าบ้านใดผิดร้ายหรือ​ลูกหลานแตกทัพหนีก็จะต้องถูกริบไปใช้งาน จึงให้รีบคิดอ่านเสียเท่านั้น”

ทั้งจวงและแม่ฟังคำแล้วหลับตานึกเห็นเป็นเรื่องลำบากข้างหน้าเมื่อถูกริบตัวไป แสนยากแสนเข็ญทั้งถูกคนข่มเหงดูแคลน นอกไปกว่านั้นก็เมื่อพม่าล้อมกรุงได้จะกระหน่ำปืนเข้าเมืองเหมือนครั้งศึกเมื่อ ๕-๖ ปีก่อนซึ่งเจ้ามีอายุพอจำความได้ดี

“แล้วพี่สังข์จะช่วยฉันข้อไรได้บ้าง”

เลือดปลื้มวิ่งจากหัวใจนายกองพลุกพล่าน มองเห็นสุขที่จะได้เจ้าจวงไปถนอมเป็นเมีย แม้จะหว่างทัพหว่างศึก แต่เมื่อพอจะหาสุขได้ก็ลืมทุกข์ไปชั่วขณะ

“ช่วยรึจวง” หัวเราะให้จวงมั่นใจขึ้นอีก “จวงเอ๋ยเมื่อฉันรับจวงกับแม่ไปเป็นครัวของนายกองคือว่าฉันแล้ว งานเบาสักนิดเดียวก็ไม่ให้แตะเลย บ้านช่องมีพร้อม ทหารก็มีล้อมรักษาแข็งแรง”

จวงกลับเข้าตาร้ายหนักอีก ถ้าไม่ถูกริบตัวไปเป็นไพร่ก็ต้องถูกริบตัวไปเป็นเมีย แต่ความนิ่งคิดของจวงหาพ้นสังเกตของนายกองไปไม่ จึงเฝ้าพูดจาปลอบโยนต่างๆ ที่จะให้จวงไว้วางใจ ทั้งมีนายขาบช่วยพูดหนุนรับปากแข็งแรง ยายจันทร์นั้นเห็นดีเต็มใจแล้วทุกประการ จึงเลยช่วยพูดจาเล้าโลมใจลูกสาวอีกคนหนึ่งจนจวงเจ้าเห็นงาม

เป็นอันตกลงกันว่าแม่ลูกจะขอพักผ่อนอีกสักวันพอมีเวลาส่งข่าวให้ภิกษุเที่ยงได้รู้ความและหมดห่วง แล้วนายกองจะแต่งคนมารับในวันมะรืนตอนเช้าด้วยตัวเองติดราชการ

เมื่อฝนหาย หากตะวันจะค่อยยอแสงลงเย็นแต่ท้องฟ้าปลอดโปร่งกลางหาวสะอาดไม่มีเมฆเหลือ ลมก็พัดเป็นทิศเป็นทางไม่ปั่นป่วนเหมือนเมื่อบ่าย จวงกับนายกองก็สนทนาปราศรัยเป็นอันดี อีกชั่วครู่ต่อมาทหารค้นทุกคนตลอดจนนายสังข์ต่างก็อำลาแล้วขึ้นม้าตระเวนไปตามหมู่บ้านทางทิศเหนือเพื่อตรวจค้นจับกุมคนหนีเกณฑ์อีกต่อไป

กระท่อมนาเล็กอยู่หลังตาลหมู่ ๕ ต้น แรงพายุเมื่อบ่ายทั้งฝนตกหนักทำให้หลังคาเก่าซวดเซไป ชายคาบางแห่งจากแซมโหว่เห็นฟ้า

​บนแคร่ไม้ไผ่ที่ยกสูงพ้นพื้นกระท่อม หญิงกลางคนยังนอนหลับเพราะเพลียด้วยฤทธิ์ไข้ ถัดมามีเจ้าหนุ่มคะนองอายุ ๒๖ เลย นั่งกอดเข่าหน้าจ๋อยบอกทุกข์ ข้างแคร่นอนนั้นสาวหนึ่งเนื้อนวลหน้าสะอาดซบหน้าสะอื้นอยู่ แต่อีกสาวหนึ่งรุ่นน้องนั่งเฉยเมยทางปลายเท้าคนเจ็บ

เมื่อหญิงไข้ย่างชราพลิกตัวเลิกผ้าคลุมออก สาวผู้พี่ก็กระเถิบไปหา

“ตื่นเรอะแม่ เป็นไงมั่งล่ะจ๊ะแม่ เห็นทีจะค่อยยังชั่วขึ้นมั่งละมัง เพราะหลับไปพักใหญ่แต่ฝนยังไม่ตก”

แกตอบลูกสาวว่า “เออดูค่อยสร่าง สบายไปมากละเฟื่องเอ๋ย นี่แฟงมันไปไหนล่ะ” แล้วแกมองหา แต่เหลือบไปเห็นเจ้าหนุ่มเสียก่อนก็ทำให้แกดีเนื้อดีใจขยับตัวลุกขึ้น “เอ้อ ทัพรึนั่น มาแต่เมื่อไหร่เล่า”

ทัพ อ้ายหนุ่มที่หนีมาแต่เมื่อคืนแล้วหลบไปซุ่มอยู่ดงเพิ่งมาเมื่อก่อนฝนตอบว่า “มาถึงสักครู่ฝนก็ตก แต่เห็นอายังหลับอยู่สบายก็เลยนั่งคุยกับเฟื่องและแฟงมัน”

สาวน้องที่ชื่อเจ้าแฟงอายุรุ่น ๑๖ ร้อง “ฮึ พี่มาคุยกับฉันเสียสักคำเมื่อไหร่” แล้วค้อนให้ทั้งเจ้าหนุ่มและเฟื่องพี่สาว

ทัพอดขันไม่ได้ที่อีแฟงมันงอน แต่เฟื่องหมั่นไส้จึงกำราบเอาว่า “แฟงงอนมึงน่ะจะเกินงามอยู่แล้วล่ะ นี่ไปๆ มาๆ ก็เป็นอันว่าพี่ทัพกะข้าคุยกันแต่สองงั้นเรอะ”

แฟงเป็นคนเกรงพี่สาว แต่ความคิดอื่นในหัวใจทำให้ลืมเกรงในบางขณะเมื่อต่อหน้าเจ้าทัพที่ใครๆ เกรงกันทั้งบ้านคำหยาด แต่แฟงไม่เกรงเลย จึงเถียงเอาว่า

“ก็ไม่ว่าเช่นนั้นหรอกย่ะพี่ แต่อันที่จริงนะฉันเป็นคนอ้าปากฟังใช่ไหมล่ะ? ลางที่ได้ยินมั่งไม่ได้ยินมั่งเสียด้วยซ้ำ เพราะพี่ทัพแกเป็นห่วงม้าผูกอยู่หลังกระท่อม พี่เฟื่องก็ต้องไปนั่งพลอยห่วงม้ากะพี่ทัพ”

เฟื่องชี้หน้า “อีแฟง หนักไปนักละมึง หน็อยแน่ะอีแฟง มึงน่ะเพิ่งพ้น ๑๕ มาเมื่อไม่กี่เดือนหรอกนะมึงนะ”

“ก็ใครเถียงว่าอะไร แต่พี่เฟื่องน่ะสาวเต็มตัวย่อมรู้ดีเพราะกำลังย่างยี่สิบ”

“ชะอีแฟง” พี่สาวผลุนจะลุกขึ้น แต่ทัพยุดแขนไว้เพราะเสียงคนไข้​มารดาถอนใจยาว

“เฮื้อ มีกันอยู่เท่านี้แหละลูกเอ๋ย จะขับเคี่ยวกันไปถึงไหนอีกล่ะ อ้ายฟักมันก็แยกหนทางของมันเอาตัวรอดไปแล้ว”

เจ้าคนกลางที่เป็นแขกบ้านมาจึงต้องห้าม เพราะเกรงสาวพี่สาวน้องมันจะไปกันผิดความมากขึ้น “ขอทีเถอะแม่เฟื่องเจ้าแฟงก็เหมือนกัน เรามันเป็นน้องเป็นนุ่งจะทำเกินเลยพี่เขาเช่นนั้นนักมันไม่ดีอยู่”

“ออกรับ อ๋อ ออกรับแทนกัน จะรุมแฟงงั้นเรอะ”

“อ้าวแฟง” ทัพมันนึกขันยิ่งกว่าอื่นแล้วชอบใจ “ฮะ แฟงเอ็งนี่ตั้งแต่ทิ้งผมโกนมาไว้ยาวนี่ ข้าดูเฮี้ยนใหญ่”

“เฮี้ยน” แฟงตะโกนอย่างจะถาม แล้วก็พูดทั้งๆ ที่ร้องไห้ “ถูกละฉันมันเฮี้ยน แต่คนที่มันไม่เฮี้ยนนั่นละขอให้ดูไปเหอะ”

ทั้งทัพและแม่เฟี้ยมหญิงชราคงไม่รู้เรื่อง แต่พี่สาวของแฟงขบฟันกรอดจ้องหน้าน้องสาว ในสุดท้ายของการทะเลาะไม่ลงรอยกันก็ต้องยุติ เพราะแม่เฟี้ยมห้ามปรามเด็ดขาดและขอร้องเพื่อจะปรึกษาเรื่องอื่นๆ ต่อไปอีก และแกล้งไล่แฟงให้ไปเฝ้าม้าของเจ้าทัพที่ท้ายกระท่อม ทั้งที่ใครก็ยังนึกว่าแฟงคงต้องไม่ไป แต่แล้วแฟงก็ยกชายเสื้อเช็ดน้ำตาป้อยเดินจากไปเฝ้าม้าให้ตามสั่งโดยดี

แฟงมันไปแล้ว คนไข้ถึงหากจะสร่างก็ยังเพลีย ต้องนอนคลุมผ้าอีกเมื่อแกเรียกทัพไปใกล้ก็เลยเหมาะที่ได้อยู่ชิดเฟื่องเข้าไปอีก จนเนื้อแนบเนื้อแล้วแอบหยอกหยิกและเหยียดขาใต้แคร่ให้ชิดเกยกัน

คนไข้ชะโงกหน้าถาม “เอ็งได้ข่าวอ้ายฟักมันมั่งไหมทัพ?”

“ยังเลยย่ะอา” ทัพสั่นหัวแม่มือกุมมือเฟื่องบีบแน่น “ฉันหลบอยู่ในดงก็ตั้งแต่ยังไม่สว่าง เพิ่งจะมาเมื่อบ่ายนี่เอง เพราะนึกอยากจะรู้ข่าวฟักถึงแล่นมานี่”

“อาห่วงมันจริงเพราะยังอ่อนหัดนัก อีกอย่างหนึ่งก็คือว่าอาคิดจะขึ้นกระทุ่มด่านไปอยู่กะลุงนังเฟื่องมันเสียเร็วๆ นี่อ้ายฟักก็เกิดมาทำห่วงให้อีก ครั้นจะไม่ไปก็ทนข่มเหงของอ้ายขาบไม่ไหว มันปรามาสไว้ว่ามันจะต้องเอาตัวอีเฟื่องไปอยู่กะมันให้ได้ เออ”

เมื่อเห็นแกถอนใจใหญ่แลเอ่ยถึงชื่อเจ้าขาบนายหมู่ที่ซุกซ่อนหลบดาบ​มันอยู่เมื่อคืนเจ้าทัพก็แค้นใจ หากรู้ความแท้เสียก่อน อ้ายขาบก็หารอดชีวิตข้ามเมื่อคืนนี้มาได้ไม่

“ก็ให้มันลองดูซีอา” ทัพว่า “แต่เมื่อคิดว่าเราน้ำน้อยเกรงแพ้ไฟจะหนีขึ้นกระทุ่มด่านฉันก็เห็นงามด้วย เพราะเวลานี้ฉันก็มีห่วงอยู่ที่แม่และอีจวงมันเท่านั้น เมื่อว่าอาจะคิดขยับขยายฉันก็อยากจะขอฝากแม่กะนังจวงไปด้วยพอสิ้นห่วง ส่วนอ้ายฟักนั้นฉันรับรองว่าจะตามไปให้พบจนได้ เมื่อพบแล้วก็จะตามอาไปทีหลัง”

แกปรับทุกข์ถามว่า “แล้วอาจะไปกะใครล่ะ เพราะหนทางกว่าจะถึงกระทุ่มด่านนั้นไกลโข แล้วก็มีกันแต่ผู้หญิงทั้งนั้น”

“ฉันก็ต้องไปส่งจนถึงล่ะซี เพราะแม่แกไปด้วย”

เฟื่องยังสงสัย “พี่ทัพจะไปไง เขาตามจับพี่ทั้งกลางวันกลางคืนแล้วจะพ้นเขาหรือ หน่อยจะพากันลำบากไปด้วยอีก”

มันกลับหัวเราะ “ตามจับ ฮะตามจับฉันน่ะเรอะเฟื่อง เมื่อว่าเรากันเองเขาจะไม่เอ็นดูเรามั่งมันก็ต้องสู้กันเท่านั้น”

ทั้งเฟื่องและแม่ลูกส่ายหน้าไม่ยอมลงเนื้อเห็นที่จะต้องขับเคี่ยวสู้รบกันกับทหารกรุง ทั้งไม่เห็นงามตรงไหนเลยที่แกไปด้วยหวังจะหนีภัยกลับต้องไปพบภัยอีก

เสียงแฟงตะโกนมาจากข้างนอก พอขาดเสียงตะโกนก็วิ่งตึ้กๆ เข้ามาในกระท่อม

“ทหาร พี่ทัพ ทหารกรุงกำลังห้อม้าเยอะแยะ ตรงมาบ้านเรา”

“ฮะ” ทัพจ้องหน้าซัก “ทหารกรุงจริงรีว่าคนขี่ม้าอื่น”

“ทหารแน่ย่ะ พี่ไปดูกะตาเหอะ”

ไม่ทันให้ใครเตือนอีก ทัพออกได้เผ่นมาที่ประตูกระท่อมแล้วป้องหน้าออกชายทุ่ง แม้ตะวันจะหลัวๆ ใกล้มืดก็ยังเห็นจำได้ว่าม้าหมู่นั้นมันเป็นม้าและคนขี่ทหารกรุงอย่างเจ้าแฟงว่า

หวนกลับมาในโรงนาคว้าดาบขึ้นสะพายครบ แล้วจับไหล่เฟื่องที่กำลังตระหนกตกใจเขย่า ส่วนแฟงวิ่งหายออกไปทางท้ายกระท่อม

“เฟื่อง พี่จะหลบไปก่อน พรุ่งนี้ค่ำพี่จะมาส่งข่าว เฟื่องคอยนะ”

​“แต่ถ้าทหารจับฉันกะแม่ไปเสียก่อน” เฟื่องเจ้าถามค้างไว้หัวใจแลแววตาบอกเศร้าวิงวอน

“ทหารจับงั้นเรอะ ก็ให้มันจับซีเฟื่อง ถ้าชิงคืนไม่ได้ อ้ายแม่กองสังข์มันก็ฝีมือเลิศกว่าพี่ในบ้านคำหยาดละ อยู่ดีเถอะเฟื่อง พอพรุ่งนี้เลยค่ำพี่จะมาขอให้เฟื่องคอย” แล้วผละจากเฟื่องโดด ๓-๔ ก้าวออกพ้นประตูอ้อมออกท้ายกระท่อมหวังจะปลดอ้ายสีดอกเลาคู่ชีวิตวิ่งเร็วปานลม แต่แฟงมันจูงคอยอยู่ก่อน

“แฟง ไหวฉลาดเอ็งดีกว่าเฟื่องอีก”

“ไม่ปลื้มสินบนปากหรอก เพราะลมปากเมื่อกี้น้ำตาฉันถึงยังไม่แห้ง”

“เอ๋” ทัพร้องอย่างอัศจรรย์ใจเมื่อขึ้นหลังม้าแล้วกำลังจะเตือนให้โผนออก “แฟง ข้าฟังเอ็งพูดตั้งแต่เย็นแล้วไม่เหมือนอีแฟงเมื่อท้ายปีก่อนเลย”

แฟงแค่นหัวเราะแล้วตบแผงคออ้ายเลาเต็มแรง “ไปเหอะอ้ายเลา ไว้พรุ่งนี้ค่ำถึงค่อยกลับมาใหม่ตามเขานัด”

ทัพร้องได้คำเดียวว่า “หือ อีแฟง” แล้วอ้ายม้ารู้สีดอกเลาก็ผกหน้าโผนไปเพราะฤทธิ์ตกใจที่ถูกเจ้าแฟงตบเต็มแรงยิ่งถูกเตือนและเจ้าของมันหมอบหลบลง อ้ายเลาก็วิ่งราวพายุพัดห้อเหยียดไปต่อหน้าทหารกรุงซึ่งเห็นมันเพียงขมุกขมัวรำไรทั้งม้าทั้งคน

ภิกษุเฒ่าร้องอือแล้วมองไปทั่วๆ หน้าทหารอื่น และในจำนวนทหารเหล่านั้นมีคนหนึ่งท่าทางจะเป็นผู้ใหญ่ควบคุมคนเหล่านี้ยกมือไหว้ท่าน

“พวกของฉันก็เช่นกันล่ะหลวงพ่อ ไม่คิดจะกลับหลังอีกเลย เพราะถึงไงก็คงจะไม่พ้นผิดแน่ จึงคิดจะเตลิดไปตายเอาข้างหน้า ก็พอมาพบเจ้าฟักซุ่มอยู่ในดงถึงรู้ว่าพี่ทัพก็เช่นกัน จึงอยากจะคอยปรึกษาเขาพร้อมๆ เมื่อเห็นว่าพอจะคิดอ่านร่วมใจกันดีแล้วก็จะได้เปิดไปอื่น เสี่ยงตัวไปตามบุญวาสนาเราเองดีกว่า”

ภิกษุชราหรือนายหมู่เที่ยงทหารอาทมาตเก่ากำลังนั่งหลับตาเหมือนจะตรองการลึกซึ้ง เมื่อได้ยินนายหมู่เคลิ้มทหารกองม้าของพระพิเรนทรเทพซึ่งแตกมาแต่กาญจนบุรี พูดเช่นนั้น จึงว่า

“อ้ายผิดน่ะมันเป็นวิสัยของคนแตกทัพ แต่จะคิดเตลิดหนีไปเลยนั่นมัน​จะยิ่งซ้ำร้ายใหญ่นาเจ้า”

“ไม่กระไรหรอกหลวงพ่อ เมื่อกองม้าเรายับเยินมาเขาก็คงนึกว่าป่นปี้ตายกลางทัพเท่านั้น แต่ที่ว่าจะไม่กลับเข้ากรุงนั่นมิใช่ว่าจะเกรงต้องไปศึกพม่าอีก หากแต่ว่านายหมวดนายกองเรานี้จะหาใจสมทหารแต่สักคนแทบไม่มี พอได้กลิ่นศึกก็คิดแต่จะล่าถ่ายเดียว เมื่อเป็นเช่นว่านี้แล้วก็เท่ากับจะไปวิ่งล่อให้พม่าไล่ฟันสนุกมือเปล่า พวกฉันก็เลยพร้อมเพรียงใจกันจะยึดเอาพี่ทัพเป็นหลัก แล้วแต่ว่าจะนำจะจูงไปทางไหน พอหาสุขไปชั่วมื้อใส่ปากใส่ท้องเท่านั้น เพราะเขาเคยชำนาญมาก่อน และฉันก็มีกองม้าซุ่มอยู่ในดงอีก ๓๐ กว่าเห็นพอจะเป็นกำลังคิดอ่านได้ ในเมื่อพบกองตระเวนพม่าก็คงจะได้สู้กัน”

ภิกษุเที่ยงส่ายหน้าหนักใจ “พ่อไม่ไว้ใจเลยเคลิ้ม พ่อนอนใจไม่ลงก็เพราะอ้ายทัพมันมุทะลุอยู่หนัก ยิ่งมีไพร่พลครบมือเช่นเจ้าว่า พ่อก็เกรงว่ามันจะมุในใจสู้ไม่เลือกว่าเขาว่าเรา แล้วพวกเจ้าทั้งหลายก็จะกลายเป็นคนคิดเนรคุณแผ่นดินเสียเหล่าเสียกองทหารเท่านั้น”

“เราไม่คิดจะสู้ทหารกรุงเลยหลวงพ่อ ที่เรามีพร้อมหน้ากันแลได้พี่ทัพไปด้วยก็คิดเสียว่าพอจะมีคนเป็นหลักเป็นหัวหน้าเชื่อถือยึดเหนี่ยว เผื่อว่าจะพบกับกองโจรที่ข้าศึกแต่งออกปล้นสะดมจับกุมชาวบ้านก็จะได้สู้เท่านั้น”

“คิดได้งั้นก็พอจะเห็นด้วย” ท่านว่าแล้วมองกวาดดูทหารที่เสียทัพมาทุกคนเห็นยกมือไหว้เป็นการรับคำ

แต่ทั้งภิกษุเที่ยง และเจ้าทหารหนุ่มทุกคนก็หารู้ไม่หรอกว่าที่ใต้เงามืดต้นประตูใหญ่นอกกุฏินั้นมีคนมายืนซุ่ม ความลังเลสองใจของคนที่แฝงเงาไม้นั้นไม่ค่อยจะตกลงได้คิดไปนานาประการที่เห็นแสงเทียนจุดลอดมาข้างนอก เพราะเป็นเวลาดึกโขที่ภิกษุเที่ยงน่าจะจำวัดหลับนอนแล้ว

มันก้าวออกมาพ้นเงาประตูแล้วหักใจวิ่งปราดข้ามลานทรายเล็กตรงขึ้นกุฏิตบประตูเรียก

“หลวงพ่อเปิดรับด้วย เร็วหน่อย”

เสียงข้างในซุบซิบ เสียงกุกกักและไถตัวตามพื้นดานหาที่ซ่อน เมื่อมันเรียกซ้ำอีกและตบประตูแรงขึ้นจึงมีเสียงถามออกมา

​“ใครวะนั่น”

“ฉันเปิดเร็วเถอะหลวงพ่อ ฉันเองอ้ายทัพ” ขาดคำมันเมื่อประตูเปิดโดยเร็ว ทัพก็ผลุบตัวเข้ากุฏิโดยเร็วแล้วลั่นดาล แต่พอหันกลับก็ขนเกรียวใจหายวาบอ้ายเพื่อนยากสองเล่มบนหลังแทบจะแล่นจากฝักเพราะเหลือบเห็นเครื่องแต่งตัวทหารหลวง หากแต่นายหมู่เคลิ้มโผเข้ามากอดรัดมันก่อนด้วยแสนดีใจ

“เอ้อ พี่ทัพ ยังกะเทวดาท่านดลใจเชียวละ กำลังบ่นถึงกันอยู่เชียว”

ทัพงงโดยไม่รู้ต้นสายปลายเรื่อง มองดูเจ้าเคลิ้มที่หายหน้าไปแสนนานเพราะถูกเกณฑ์ทัพ เจ้าเอิบ เจ้าช่วงก็อยู่พร้อมแลแต่งตัวอย่างทหารกรุงกับคนอื่นอีก เจ้าฟักน้ำตาคลอเมื่อเงยหน้าพบมัน เห็นหน้าฟักแล้วใจรอนๆ ไปถึงเจ้าเฟื่อง แต่คำปริศนาของอีแฟงก็กระทบหูกวนใจสิ้นดี

เมื่อนั่งลงกราบหลวงพ่อแล้วก็ถามเคลิ้มว่า “ไปไงมาไงกันล่ะวะเคลิ้มถึงได้พากันมารวมอยู่ในกุฏิหลวงพ่อนี่หมด”

นายหมู่เคลิ้มจึงตั้งต้นเล่าความจริง “ทัพกาญจนบุรีแตกยับเยิน กองม้าพ่ายหมดจนคุมไม่ติด เหลือมาแต่พลของฉันกับเจ้าเอิบสัก ๓๐ กว่าเห็นจะได้ ฉันได้ซุ่มคอยไว้ในดงแล้วเลยมาหาหลวงพ่อที่นี่”

ทัพยังฉงน “อ๊ะ แล้วนี่เอ็งจะไม่คืนเข้าทัพอีกรึ”

“ม่ายละพี่ทัพ” เคลิ้มตอบแทนพวกเหล่านั้น แล้วก็เล่าความตามที่ได้ปรึกษาไว้กับภิกษุเที่ยงให้ทัพฟังละเอียดไปทุกข้อ

ความที่คิดไว้ว่าจะอพยพครัวเจ้าเฟื่องและพาแม่ไปฝากไว้กระทุ่มด่านมองเห็นเป็นเค้าสำเร็จหมด กองม้า ๓๐ กว่าคนพอจะเป็นกำลังคุมไปด้วยดี หากใครจะกีดขวางหรือพบกองโจรก็คงจะพอสู้ แล้วจึงเล่าความให้ภิกษุเที่ยงและคนเหล่านั้นฟังตลอด นับตั้งแต่เจ้าสังข์ได้เป็นแม่กองยกทหารมาล้อมเรือนและมันตีหักออกมากระทั่งคิดการจะพาครัวขึ้นกระทุ่มด่าน

เมื่อปรึกษากันเป็นที่ตกลงพร้อมแล้ว เกือบตลอดคืนนั้นภิกษุชราซึ่งเคยเป็นทหารฝีมือลือของกองอาทมาตแต่ครั้งศึกที่อ่าวหว้าขาวถึงตะลุมบอน ผู้ขลังในวิทยาคมทั้งปวงมิได้จำวัดหลับนอนเลย เพราะต้องทำพิธีลงเลขยันต์แจกของขลังแก่คนเหล่านั้น แล้วนัดให้พาไพร่พลที่ยังซุ่มอยู่ในดงมาในคืนพรุ่งนี้เพื่อ​รับเครื่องรางคงกระพันชาตรีพอเป็นสิ่งมัดยึดเหนี่ยวน้ำใจต่อไป

จนใกล้ท้องฟ้าสาง เมื่ออำลาภิกษุเฒ่ามาแล้ว เจ้าทหารเก่าที่จะต้องเป็นหัวหน้าอพยพครัวต่อไป จึงนัดแนะกับเจ้าเคลิ้มและคนอื่นๆ ให้พาทหารในดงมาคอยตามเวลาและที่นัดกำหนด หากแต่ให้ละเครื่องแต่งกายเยี่ยงทหารออกสิ้นแล้วแต่งเป็นชาวบ้าน

เมื่อทหารแยกทางกันเข้าดงไปแล้ว อ้ายเลาม้าฝีตีนเปรียวก็ห้อตะบึงออกทุ่งบ่ายหน้าเข้าหมู่บ้านคำหยาดอันเป็นเรือนพำนักของนายหมู่เที่ยงมาก่อนพอสางได้อรุณ เจ้าทัพก็ย่างขึ้นเรือนเพื่อส่งข่าวแม่กับเจ้าจวงให้รู้ถึงเรื่องการที่จะพากันอพยพหนีเดือดร้อนไปอยู่อื่น

ยังไม่สาย ม้าหมู่ตระเวน ๕-๖ ตัววิ่งเหยาะมาตามฟากทุ่งกระทั่งผ่านเข้าทางอันเป็นละแวกบ้านคำหยาด แม้จะมีราษฎรแฝงหน้ามองและหลบซ่อนบ้างก็จริง แต่ส่วนมากไม่วายสงสัยว่าวันนี้ทำไมแม่กองจึงได้มาเข้าผิดเคย และติดๆกันถึงสองวัน ทั้งสีหน้าก็ยิ้มแย้มอารมณ์ดีผิดกับเมื่อวันก่อนๆ

เพราะคำมั่นสัญญาของจวงกับแม่เมื่อวานนั่นเอง นายสังข์จึงต้องหวนมาอีกในเช้าวันนี้ และหวังจะเกลี้ยกล่อมน้ำใจเจ้าจวงให้สนิทสนมเป็นกันเองก่อน เมื่อสบเหมาะอย่างไรก็จะเลยรับตัวไปเสียในคืนนี้ทีเดียว เพราะขืนรอช้าถึงคืนรุ่งขึ้นนายสังข์ก็ยังไม่นอนใจสนิทลงไปได้ ในเมื่อนึกถึงเจ้าทัพว่ามันยังวนเวียนอยู่ในแขวงคำหยาดนี่ ดังที่ได้เห็นมันหนีไปอย่างองอาจต่อหน้าต่อตาที่บ้านนางเฟื่องตอนเย็นวาน

นายกองหนุ่มที่วาสนาดีกว่าเพื่อนทั้งหลายชักม้าลดเลี้ยวไปตามทาง หัวใจก็ปลื้มไปในสมบัติที่คิด เมื่อได้เจ้าจวงไปแล้วจะสุขเหลือหลาย และหากเหมาะช่องอย่างไร เจ้าแฟงที่เพิ่งรุ่นสาวก็จะต้องได้ไปบำเรออีกทั้งคน ส่วนนางเฟื่องนั้นเจ้าขาบหลงรักอยู่

เพลินคิดจนมาถึงท้ายเรือนเจ้าจวง รู้สึกหัวใจประหม่าครึกโครมเมื่อถึงว่ามาหาเจ้าจวงมื้อนี้จะต้องเล้าโลมเช่นคนรักคนใคร่ พอลงจากหลังม้าก็แลเห็นม้าผูกอยู่ก่อนโคนต้นไม้ ความประหลาดใจของแม่กองให้นึกไปว่าใครหนอมา​บ้านสาวจวง ครั้นหวนชั่งใจดูว่าตัวก็เป็นถึงแม่กองใครอื่นทั้งแขวงวิเศษไชยชาญก็ย่อมจะต้องยำเกรงสิ้น จึงเดินขึ้นเรือนพร้อมด้วยพล ๓-๔ คนตามหลังส่งเสียงเรียกเจ้าจวงดังสนั่น

ทัพ อ้ายหนุ่มทหารกล้าศึกมาก่อนกำลังนั่งปรึกษากับแม่และน้องสาวถึงเรื่องที่จะอพยพครัว พอเสียงเรียกชื่อน้องสาวดังซ้อนมา ๒-๓ คำติดๆ ก็จำได้ดี จวงกับแม่กลัวลนลานเพราะคิดว่าทำอย่างไรเสียก็คงจะไม่พ้นผิดไปได้ จึงบอกให้ทัพหาที่ซ่อน แต่เมื่อทัพตรองแล้วเห็นว่าซ่อนหมดประโยชน์เปล่าเพราะม้าผูกอยู่ข้างล่างทั้งตัว และก็จะได้อายแก่เจ้าสังข์ว่าแสนขลาดกลัวมัน ฉะนั้นทางใดอื่นก็ไม่มีเหมาะไปกว่าจะดื้อเข้าสู้เสือ

หยิบดาบสองเล่มที่วางขึ้นถือแล้วก้าวออกประตู มันจับตาเห็นนายกองสะดุ้งสุดตัวจึงหัวเราะเชื้อเชิญ

“อ้อ พ่อสังข์หรอกเรอะ เชิญชี นึกว่าใครอื่นเสียอีกล่ะ”

เพื่อนเก่าของเจ้าทัพรู้สึกไม่พอใจที่มันไม่เรียกนายกอง แต่ใจสะดุ้งไม่คิดว่าจะพบมันที่นี่อีก ทำให้นายกองหน้าเสีย ถ้าหักหาญมันก็คงสู้แน่ ครั้นจะละเลยหน้าที่ไม่ทำอำนาจเหมือนก่อนแล้วก็อายทหารนักจึงพูดเป็นการงานเปรยๆ ไปว่า

“อ้าวพ่อทัพ พบกันที่นี่ก็ดีล่ะจะได้ถามให้รู้เรื่องเพราะว่าคนกันเอง”

“เรื่องไรล่ะที่พ่อสังข์จะถามนั่น”

“เรื่องไม่กลับเข้าเกณฑ์ล่ะซี ฉันเห็นว่าเรากันเองก็เตือนแต่โดยดี ไม่จับกุมใช้อำนาจเหมือนคนอื่น”

ทัพหัวเราะใส่หน้าสนั่น คิดไปว่าอ้ายสังข์กับพลเพียงหยิบมือหนึ่งเท่านี้ล่ะหรือจะเข้าจับ แต่ล้อมเรือนอยู่วานซืนยังหักไปได้สบาย

“ก็ใครล่ะให้อำนาจพ่อสังข์มาจับฉัน” มันย้อนถามน้ำเสียงบอกไม่ยอมเต็มตัว “ฉันอยากจะรู้นักว่าใครเป็นคนให้อำนาจพ่อสังข์”

เลือดอายขึ้นหน้าที่ถูกเจ้าทัพดูแคลน “พระหมื่นศรีนายเรา”

มันกลับแกล้งทำขัน “อ๋อ เดี๋ยวนี้พระนายกลับมีวาสนาอีกแล้วเรอะนี่ อ้าวฉันไม่รู้ เพราะไม่ใช่คนรั้วคนวังก็นึกว่าพระนายยังไม่พ้นจำ”

เมื่อเห็นเจ้าทัพทำเป็นแข็งขันและเย้ยหยามต่างๆ จึงพยักหน้าทหารให้​ลงไปตามพวกข้างล่าง เจ้าจวงกับแม่เห็นเช่นนั้นร้องไห้โฮใหญ่วิงวอนต่างๆ นานาจึงทำให้ทัพเกิดกังวลใจ เลยคิดได้ว่าไหนๆ ก็จะพากันอพยพหนีไปในค่ำนี้จึงควรจะทำใจดีไว้ก่อนเพื่อแม่กับน้องจะได้ไม่เดือดร้อน

ตะวันใกล้เพลแดดกล้า ตาล ๕ ต้นโอนลมอยู่กลางแดดที่หน้ากระท่อม หลังหมู่ตาลนั้นเจ้าแฟงคงนั่งกอดเข่ามองเหม่อไปดูทิวไม้เขียวขอบทุ่ง ใจนึกถึงเหตุเกิดเมื่อเย็นวานที่พี่ทัพมันควบม้าหนีไปแล้ว เจ้าขาบมาขู่เข็ญล่วงเกินเพราะมีอำนาจวาสนา

ม้าห้อมาแต่ลิบๆ ข้างหน้า แฟงคงนั่งเฉยเมย จนใกล้เข้ามาถึงเอะใจลุกขึ้นป้องหน้า แล้วอ้ายเลาก็แล่นผ่านหมู่ตาลมาถึง

“แฟง” ทัพตะโกนแทบไม่ทันได้โดดจากหลังอ้ายเลา “ทำไมมาอยู่ที่นี่เล่า เฟื่องอยู่ข้างในรึ?”

แฟงชำเลืองทำเฉย ในใจมีอะไรคิดอยู่ว่าไม่อยากจะตอบคำมันเสียเลย เมื่อถูกเจ้าคนจะมาเป็นพี่เขยถามเซ้าซี้อีกก็ตอบให้อย่างเสียไม่ได้

“ก็เข้าไปดูเสียก่อนซี เมื่อไม่พบค่อยย้อนมาถาม”

“อุบ๊ะ! ถ้าเข้าไปแล้วจะต้องหวนมาถามเอาแก้วอะไรล่ะ เอ อีแฟง หมู่นี้มึงมันจะเปิดเสียใหญ่ล่ะนา กูดูจะพูดจะจามันแขวะกันเสียหัวเรื่อยไปทีเดียว”

“เมื่อไม่อยากมีเรื่องแล้วอย่าถามซิ”

“อูวะ!” ทัพร้องลั่น นึกขันอีแฟงที่พอย่างสาวก็พูดจามีแง่มีงอนชอบกล “นี่ เอ็งน่ะแฟง ใจน่ะว่าจะไม่รักพูดกะข้าอีกงั้นเทียวเรอะ เออ! มึงฮิ เมื่อเล็กๆ แววงอนก็ดูจะไม่สู้กระไรนัก เอ๊ะ! แต่พอโตขึ้นมึงกลับหนักกว่าแม่เฟื่องไปอีก”

“อย่าเอามาเปรียบกันเลย เมื่อใครดีก็รักกันไปเถอะ”

“ฮะ! อีแฟง” ทัพจ้องหน้านึกประหลาดในคำพูดของอีสาวรุ่นน้อง “นั้นมันเกี่ยวไปถึงเอ็งด้วยรึ”

แต่แฟงเอามือปิดหน้าเสียแล้ว ทัพสั่นหัวอย่างอ่อนใจ มันงอนสิ้นดี ใจน้อยก็เป็นหนึ่งตรงเข้าแกะมือ “อ้าว! ร้องไห้ เจ้าน้ำตาจริงฮึมึง” เจ้าคนที่วางตัวเป็นพี่​ตบหัวแฟงเย้าเบาๆ แล้วเดินตรงเข้ากระท่อม แต่หากมันจะเหลียวมาดูแล้วน้ำตาไหลพรากสองแก้มแฟงและมองตามมันเศร้าๆ คงจะเพิ่มความสนเท่ห์ให้มันอีกมากมายนัก

ในกระท่อมเงียบ ทั้งเฟื่องและแม่หลับไหลสนิท ประหลาดอยู่นักที่ว่ากำลังจะใกล้เพล พวกบ้านทุ่งบ้านนาเขาออกทำงาน แต่ที่นี่นอนหลับหมด อีแฟงที่ไม่หลับก็เกิดพูดจาไม่ค่อยรู้ภาษาคน ครั้นก้มเข้าไปดู ประหลาดใหญ่ เจ้าเฟื่องยังมีคราบน้ำตา วะ! นี่มันไม่ใช่ทุ่งน้ำตาเลย แต่บ้านนี้มันทำไมถึงประพฤติผิดไป

แอบจูบแก้มเฟื่องค่อยๆ โดยหาเฉลียวไม่ว่าแฟงมันยืนตะลึงดู แล้วเอามือปิดตาหลบไปก็พอดีเฟื่องตื่น

“ตื่นแล้ว เป็นไรถึงร้องไห้ล่ะเฟื่อง” ทัพนั่งลงบนแคร่ข้างตัว “พี่จะมาส่งข่าวดี นั่งขึ้นคุยกันเถอะ”

เฟื่องนั่งขึ้นอย่างคนเป็นไข้โผเผตอบว่า “ฉันอดนอนตลอดคืนคิดว่าพี่จะย้อนมาอีก”

“ย้อนอะไร ติดฝนอยู่กุฏิหลวงพ่อ เลยพบอ้ายฟักมันที่นั้นเหมาะเทียว”

“พี่ฟักอยู่นั่นเรอะ ว่าไงกันล่ะ”

“ตกลงคืนนี้แหละพี่จะมารับไปกระทุ่มด่าน ได้พลอีก ๓๐ กว่าไปเป็นเพื่อน ทีนี้ไม่ต้องกลัวใครทั้งนั้น”

เฟื่องฟังได้ยินครึ่งๆ กลางๆ เพราะใจคิดไปอื่น แล้วถอนสะอื้นจนน่าสงสัย “เอ๊ะ! อะไรกันเฟื่อง มาถึงก็ร้องไห้ทุกข์ร้อนเรื่องอะไรกันบอกมั่งทีเรอะ”

“พ่อขาบโอหังนัก มานี่เมื่อวานที่พี่ทัพหนีไปแล้ว มันผลักแม่หกล้มไข้หนักไปอีก เออ มันกอดปล้ำฉันให้อายผู้อายคน อีแฟงก็ถูกพ่อสังข์ปล้ำจูบ แล้วขู่ว่า พรุ่งนี้จะมาต้อนเข้ากรุงไปอยู่บ้านบำเรอมัน”

“อ๊ะ! แรงถึงงั้นเทียวเรอะ”

“ยิ่งกว่านั้นเสียอีก” เฟื่องว่า “อ้ายลำพังรุนแรงและหยาบคายล่วงเกินฉันกะอีแฟงนั้นไม่สู้กระไร แต่ดูนั่นเถอะ” แล้วชี้ให้ดูแม่เจ้าซึ่งยังหลับอยู่บนแคร่ไม้ตรงข้าม

ทัพมองแม่เจ้าเฟื่องเห็นแขนขาถลอกมีแผลล้มอยู่หลายแผลหลับตาคิด​ไปถึงอ้ายขาบที่มันทำอำนาจแล้วแค้นไม่หาย คนกันเองแท้ๆ ใช่ใครอื่นที่ไหนมามันยังทำได้ ลำพังแต่ล่วงเกินหัวใจกันเข้าปลุกปล้ำเจ้าเฟื่องก็นับว่าแรงอยู่หนัก ดูรึอีแฟงเพิ่งจะรุ่นมันก็กลับหยาบหยามทำเล่นให้ได้อายแก่พลที่มาด้วย

โทสะกรุ่นขึ้นในอก หากคิดนิดหนึ่งว่าได้รับปากกับหลวงพ่อไว้แลเป็นทหารข้าแผ่นดินที่จะต้องยำเกรง หาไม่จะคุมกองม้าล้อมฟันเสียคืนนี้มิให้เหลือ

“ฟาดเคราะห์มันไปเถอะเฟื่องเอ๋ย มันกรรมก่อนเราหรอกหาใช่อื่นใช่ไกล อีกประการเราก็จะอยู่อีกเพียงครึ่งคืนนี้เท่านั้น แล้วก็จะหลบกันไปหาสุขที่อื่น เจ้าเตรียมเนื้อเตรียมตัวไว้เถอะ บอกอาและอีแฟงให้มันรู้เสียด้วย คืนนี้พอพระจันทร์ขึ้นพี่จะมารับ”

เฟื่องมิได้ตอบว่ากระไร ความทุกข์ร้อนและที่คิดลำบากข้างหน้าค่อยเหือดหายเมื่อรู้ว่าจะได้อพยพขึ้นกระทุ่มด่านในคืนนี้

แฟงเดินก้มหน้าเข้ามาเงียบๆ ผ่านไปทางครัวไฟ

“แฟงมันแปลกขึ้นมากหมู่นี้” ทัพว่า “มันจะพูดจะจาดูไม่ค่อยเข้าหูคนเลย”

“กะฉันทะเลาะกันเสียแทบจะทุกวันก็ว่าได้” เฟื่องตอบซื่อๆ ตามจริง “แต่อีแฟงมีประหลาดอยู่อย่าง เมื่อวานนี้พอถูกพ่อสังข์ฉุดข้อมือ มันก็พลั้งปากเรียกพี่ทัพให้ช่วยมัน”

ทัพสะดุ้งใจ นึกแปลกอยู่ว่าเจ้าแฟงกับมันก็พูดจาไม่ค่อยจะลงรอย แต่ทำไมมาเรียกชื่อช่วยเมื่อคราวคับขัน คิดไปอีกทีแฟงมันก็ไม่เห็นใคร พ่อตายเมื่อศึกครั้งก่อน อ้ายฟักพี่ชายมันก็หนีเตลิดไปแล้ว เห็นอยู่แต่หน้ำมันเท่านั้น

เสียงกลองเพลมาจากฟากทุ่ง ทัพนึกถึงเวลาที่จะต้องรีบไปพบกับไพร่พลในดงไม้จึงบอกลา แล้วเดินไปหาเจ้าแฟงที่ครัวเห็นกำลังก่อไฟจะหุงข้าว

“แฟง ข้าไปก่อนละนะ เอ็งเตรียมตัวไว้เถอะ ค่ำนี้จะได้ขึ้นกระทุ่มด่าน เรื่องราวอะไรข้าสั่งพี่เขาไว้สิ้นแล้ว”

แฟงมองพบตาทัพแล้วหลบแวบ ก้มหน้าพูดเปรยๆ “ไม่กินข้าวกลางวันก่อนรึ กำลังจะหุงให้กินอยู่เดี๋ยวนี้ก็เกิดจะไป”

“ขอบใจเอ็งละแฟง ไว้มื้อเย็นค่อยหุงเผื่อข้าเถอะเพราะค่ำจะได้เอาไปกินกลางทาง”

​แฟงหันหน้าหนีขวับ “ก็ตามใจ แต่นี่ไฟมันก็ติดแล้ว จะให้ดับไปเสียอีกงั้นหรือ”

ทัพหัวเราะชอบใจน้องสาวนังคนรัก พอนึกได้จึงพูดเย้ามันเล่น

“ทำงอนๆ หน่อยอ้ายสังข์มันยุดข้อมือแล้วจะมาเรียกชื่อช่วยไม่ได้นา”

แฟงใจหายวาบ ไม่มีคนอื่นนอกจากอีพี่สาวจะเก็บไปฉอเลาะกัน กะอีสมบัติคำเรียกก็ยังเก็บไปคิด เลยหันมาถามเอาดื้อๆ น้ำตาไหล

“หึงกันจนเรียกชื่อไม่ได้เชียวเรอะ?”

“ฮ้า! อีแฟง” ทัพชะโงกจ้อง “มึงพูดจาจะแก่เกินหัวใจมึงเสียแล้วละ”

แฟงนิ่งงันรู้ตัวผิด กำลังแค้นจึงพูดไปไม่ยับยั้งเกือบจะเสียคน แต่แล้วทัพก็ไกล่เกลี่ยเอามือลูบผมแฟง นึกเอ็นดูมันเหมือนเมื่อก่อน และเช็ดน้ำตาให้พอถอยจากครัวเหลียวกลับก็พบเฟื่องยืนเท้าเอวมอง

มีอยู่บางอย่างที่เจ้าเสือบ้านคำหยาดรู้สึกตัวว่าออกจะกระดากแทบไม่มองหน้าเฟื่อง เลยพูดไถลเถลนัดเวลาให้คอยมันแล้วก็ผลุนผลันออกจากโรงขึ้นอ้ายเลาห้อตะบึงมุ่งเข้าแนวดง

จันทร์ท้ายข้างแรมเห็นเพียงเสี้ยวรำไร อีกครู่เดียวแสงจันทร์ก็ยังสลัวมืดด้วยเค้าฝนและเมฆต่ำอยู่ตามขอบฟ้า ไม้ไร่หักลงด้วยพายุป่า อากาศก็วิปริตครวญครางแล้วฝนก็เทลงมาอีก

ใต้ประตู่ใหญ่หลังวัดเพชร ทุกครั้งเมื่อฟ้าแลบคะนองแปลบปลาบ จะเห็นชายฉกรรจ์หมู่ใหญ่ ๓๐ กว่าคนยืนเคียงม้าเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้เครื่องแต่งกายเป็นชาวบ้านธรรมดาแต่ดาบ ๒ เล่มที่ขัดเหมือนกันทุกคนและทีท่าที่ยืนเรียงรายไม่ลักลั่น บอกอยู่ว่าทุกคนเหล่านั้นเป็นทหารเคยศึกทั้งสิ้น

แม้ฝนจะตกหนักจนเปียกโชก พายุหักกิ่งไม้ลงไม่หยุดหย่อน ฟ้าจักคะนองเป็นบ้าแลบแล่นอยู่เหนือหัว ทุกคนเหล่านั้นก็ยังยืนสงบนิ่งสดับตรับฟังโอวาทของภิกษุเฒ่าอย่างตั้งใจ

“ไปเถอะ ฤกษ์งามยามดีมันเป็นของเจ้าแล้ว แลอย่าลืมกันเสียว่าเรายังเป็นข้าแผ่นดินทุกคน เมื่อว่าพอจะเห็นช่องทำความชอบเป็นบำเหน็จแก้ตัวได้ก็​จงคิดอ่านแก้ตัวหาความชอบนั้นไว้ แลจงเว้นสิ่งที่ไม่ควร ทหารหลวงนั้นเป็นข้าแผ่นดินเช่นเจ้า เมื่อเห็นแล้วจะต้องหลีกอย่าได้คิดรบรอต่อสู้เป็นอันขาด มื้อนี้เราเป็นกองโจร แต่มื้อหน้าเจ้าจงเป็นกองอาทมาตอาสาแผ่นดินเถิด”

เจ้าทัพคุกเข่าลงรับคำและทุกคนก็ตามตลอดแถว แม้จะกำลังอยู่ใต้น้ำฟ้าที่กระหน่ำหนักแสนจะหนาว แต่หัวใจทั้ง ๓๐ กว่ากำลังจะใกล้คลั่ง กำลังรำลึกถึงบ้านเกิดเมืองนอน กำลังนึกถึงอาณาเขตที่เคยเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ กำลังถูกฝีเท้าม้าและช้างศึกของศัตรูเข้าเหยียบยำแหลกลาญ กำลังจะพลัดพ่อพลัดแม่เมียและลูกรักกำลังถูกเดือดร้อนข่มเหง เจ้าทัพนั้นเล่า เมื่อฟังคำพระหลวงพ่อมันก็คิดไปว่าหากมื้อนี้อ้ายทัพมีพลเพียงพอค่อนหมื่น จะนำตะลุยทัพใหญ่ให้ราบเป็นผืนนาเมื่อแล้ง

ฝนซาเม็ด พายุเมฆใหญ่ข้ามหัวไป อันเป็นฤกษ์ดีอัศจรรย์ ภิกษุนายหมู่ทหารฝีมือลือเมื่อก่อนแหงนหน้าจับฟ้า ดาวเดือนค่อยกระจ่างเห็นแสง ดาวฤกษ์ลอยดวงอยู่หนเหนือทิศกระทุ่มด่านเหมือนจะคอยอ้ายทัพ

ลูบหัวลูกชายแล้วรั้งตัวให้ลุกยืน “ไปเถิดลูก” ฤกษ์ดีตั้งแต่ครู่นี้แล้วอย่าห่วงใยพ่อเลย เมื่อว่าสะดวกสบายอย่างไรก็จะตามไปภายหลัง” แล้วชี้ไปบนห้องฟ้า “โน่น ชนะคอยมึงอยู่โน่นแล้ว”

หัวใจทุกคนลำพองกายสั่นสะท้านเนื้อเต้นริกๆ เมื่อฟังคำภิกษุผู้ชรามองจับร่างเจ้าทัพที่จะเข้ามาเป็นนายเล่า งามสง่าสมเยี่ยงชายชาตรีที่จะคุมกองม้าไปประจัญกับเหตุร้ายทุกประการ

ทัพลงกราบบิดาอีกครั้งหนึ่งแล้วยกชายจีวรจูบ แสนจะห่วงท่านนักหนาเหลือรักและอาลัยในคำโอวาท ท่านเป็นทั้งบิดาให้กำเนิดและครูบาอาจารย์ มีพระคุณเป็นอเนก หากว่าอ้ายหนุ่มทั้งหลายในวิเศษไชยชาญมีบิดาเยี่ยงนี้ทั้งสิ้นแล้วศึกเหนือศึกใต้จะแหลกในชั่วพริบตา ทุกคนเรียงตัวเข้ามากราบท่านแลจูบชายจีวรเยี่ยงเดียวกับเจ้าทัพ พระภิกษุนายหมู่อาทมาตเก่าก็ลูบศีรษะพูดปลุกใจตัวแล้วก็เร่งให้กองม้านั้นเคลื่อนขบวนให้ทันฤกษ์ แลท่านก็หวนกลับขึ้นกุฏิ

เจ้าเสือบ้านคำหยาดโดดขึ้นหลังอ้ายเลา กระทืบโกลนตบแผงเผ่นนำลิ่ว ​กองม้าตามห้อเหยียด เมื่อพ้นนาท้ายวัดก็มุ่งเข้าลานกว้างในดงไม้แล้วตั้งแถวล้อมรอบเป็นวง

ทัพยืนม้าอยู่กลางขบวน ชักอ้ายเลาผกหน้าผกหลังหมุนไปรอบเพื่อตรวจดูพล เมื่อตั้งเจ้าเอิบเจ้าเคลิ้มไว้ในตำแหน่งนายพวกพลเหล่านั้นตามเดิมแล้ว มันก็ชักดาบแกว่งประกาศตัว

“น้องข้าทุกๆ คน!”

ดาบทุกๆ เล่มแล่นออกจากฝักแกว่งตามคำ แล้วมันก็กล่าวประกาศต่อไป “ฟัง กูชื่ออ้ายทัพบ้านคำหยาด ข้าแลน้องข้าทุกคนล้วนแต่มีผิดเป็นหัวอกอันหนึ่งอันเดียว และจะต้องร่วมทำการกันต่อไป น้องกูเลือกกูเป็นหัวหน้า กูจะร่วมตายทุกมื้อ แผลเดียวของน้องกูคนหนึ่งคนใดที่ถูกฟันจากมืออื่น แผลนั้นแหละวะเฮ้ยจะเสมือนเป็นแผลกูถูก แผลนั้นแหละวะน้องกูทั้งหลายที่กูจะต้องแลกชีวิตมันนับด้วยร้อย”

ขาดคำเสียงสะอื้นฮึกรอบตัว บ้างน้ำตาไหล กัดฟันกรอดเปล่งเสียงไม่เป็นส่ำ

ทัพพอใจนักที่เห็นพลมีทีท่าสมัครใจยอม แล้วจึงกล่าวต่อไปอีก

“น้องกูทุกคนฟังเถอะ กูขอประกาศว่า เราเป็นกองโจรแต่เดี๋ยวนี้ โจรที่จะหาใส่ปากใส่ท้องชั่วมื้อหนึ่ง โจรที่จะปล้นโจรอื่นใช่เบียดเบียนเพื่อนบ้าน เมื่อใครไม่เห็นงามเมื่อน้องกูคนหนึ่งคนใดไม่เห็นชอบ หรือว่าน้องคนไรยังไม่เชื่อฝีมือก็ฟันกูเสียเถอะ หรือจักล้อมให้กูหักออกด้านใคร”

ดาบชูร่อนทุกเล่ม เสียงร้องแซงกันตลอดว่าเห็นงาม ข้าเชื่อ ข้าจะขอตามพี่ไปตายทุกแห่ง

เมื่อเงียบเสียงมันก็พอใจนัก ๓๐ กว่าชีวิตมาร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจึงให้รวมขบวนเป็นหมวดหมู่ อ้ายเลายืนหน้าผกโผนเหมือนจะรู้ว่ามันเป็นม้านายที่จะต้องตายพร้อมกับเจ้านายที่นั่งอยู่บนหลัง

“พอใจนัก เมื่อน้องเห็นงามแล้วโห่เอาฤกษ์แลตามกูมา”

ขาดคำดงไม้นั้นก็สนั่นด้วยเสียงโห่อึงคะนึง ดาบทุกเล่มคืนฝัก พอกระทืบโกลนเตือนเจ้าม้าเคยศึกตัวนำก็ออกห้อ ทุกคนตามเป็นระเบียบเรียบร้อย ​โฉมหน้าออกสู่ทุ่งคำหยาด

ใกล้จะถึงละแวกบ้าน ทัพจึงแบ่งพลคอยไว้ครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งมันนำห้อต่อไปเพื่อรับครัวแม่แลเจ้าเฟื่องแฟงที่ตั้งตาคอย

เห็นหมู่บ้านตะคุ่มฟากทุ่งที่จะถึง เร้าใจให้ทัพเตือนม้าเร่งฝีเท้าขึ้น แต่แล้วอ้ายเลาก็ถูกรั้งบังเหียนตึงแทบจะผกกลับ

แสงคบจุดเป็นแถว ๕-๖ ดวงข้างหน้า สว่างวูบ และมีหมู่คนเดินปะปนอลหม่าน มีม้าเคียงม้าแซงทั้งคุมหน้าคุมหลัง ๗-๘ ม้ากำลังจะเคลื่อนพ้นทิ้งหมู่บ้านคำหยาดลับไปทางใต้

“ทหารกรุง” ทัพหันมาบอกเจ้าฟัก “เห็นมั้ย อ้ายฟักทหารกรุง แต่เอ๊ะนั้นมันต้อนครัว มันต้อน..”

ฟักเตือนม้าขึ้นเคียงป้องหน้าดู “จริง แต่กำหนดมันถึงพรุ่งนี้ แล้วทำไมจะต้องลงมือกลางคืนให้ลำบากแก่คนอื่นด้วยล่ะ”

“กลางคืนคนกลับเรือนนอนอยู่พร้อมล่ะซี” ตอบเจ้าฟัก ส่วนใจหวนไปถึงแม่และเจ้าจวงทั้งเฟื่องแฟงที่กำลังจะไปรับ

พอแสงคบวับหายไปไกล ความคิดหนึ่งที่จะรอดูเป็นอันลืมสนิท เพราะนึกถึงอุบายเจ้าสังข์ที่เอาคำมั่นสัญญาให้มันออกพ้นวิเศษไชยชาญก่อน นึกถึงอ้ายขาบจูบเจ้าเฟื่องและอีแฟงกำลังจะต้องไปบำเรอสุขอ้ายสังข์พร้อมกับเจ้าจวงก็ใจร้อน

หันกลับสั่งเจ้าฟัก “ย้อนไปตามอ้ายเคลิ้มเดี๋ยวนี้ บอกให้มันคุมม้าที่ซุ่มตามมานี่เร็ว”

เจ้าฟักไม่รอย้อนถาม เพราะใจมันก็ร้อนอยู่ไม่น้อยกว่าใคร ห้อรวดเดียวตกชายดง ในชั่วครู่กองม้าของนายเคลิ้มก็มาถึง

“เคลิ้ม” ทัพหันมาสั่ง “ถ้าเราจะเสียกลเสียแล้วละ อ้ายสังข์ชิงต้อนครัวก่อนไม่คิดแก่ลำบากคนอื่น ขอพูดเป็นคำขาดว่าถ้าไปไม่พบแม่กะอีจวง ข้าจะปล้นกองอ้ายสังข์”

“เอา!” นายเคลิ้มตอบคำเดียว “แล้วพี่จะให้ฉันทำไง”

“คุมตามไปห่างๆ ดูกำลังก่อน ถ้าพอสู้กันแล้วก็เฉยอยู่ เมื่อมันมากกว่าก็ค่อยตัดตลบหลังเอาแต่ครัวของเราคืน” ขาดคำก็หันไปทางกองม้าที่คุมมา​ครึ่งแต่แรก เสียงกระทืบโกลน ดาบสองเล่มแล่นจากหลังแล้วอ้ายเลาก็โผนออก

“ห้อ” มันหันสั่ง ครู่นั้นทุ่งก็กึกก้องด้วยเท้าม้า โคลนเป็นแปลงไปตลอดทางกระทั่งถึงลานดินท้ายเรือน

ทหารมีอาวุธครบเพียง ๗-๘ คนที่นายกองสังข์ควบมา เพราะความประสงค์จะรับเจ้าจวงกับแม่โดยดี หากแต่จวงขัดขืนเพราะจะคอยนัดพี่ชายจึงต้องถูกฉุดคร่าพร้อมด้วยเพื่อนบ้านใกล้อีก ๗-๘ คนที่เกรงอันตรายจึงยอมมาแต่โดยดี ส่วนนายหมู่ขาบนั้นแยกไปต้อนทางหมู่บ้านได้

จวงร้องไห้มาตลอดทางเพราะความลำบาก แม้จะมีแสงคบพอสว่างแต่ฝนเพิ่งจะหาย ทางลื่นล้มลุกเพราะประคองแม่มา นายสังข์เวลานี้ไม่คิดเป็นกันเองเหมือนที่พูดไว้ นอกจากจะนั่งม้าสั่งเร่งที่จะให้ถึงกองด่านถ่ายเดียว

ทหารถือคบนำหยุดชะงัก แล้วชูคบสูงส่งเสียงถามกันเอะอะไม่รู้ใครเป็นใคร ครัวที่ถูกต้อนก็ชักรวนเร นายสังข์จึงเตือนม้าขึ้นหน้าเพื่อรู้ความ

เสียงตะโกนสั่งมาจากทางโน้นว่า “ล้อม ถ้าออกทางด้านใครจะตัดหัว” นายสังข์ตกใจแทบพลัดจากหลังม้า เพราะเสียงสั่งนั้นมันอ้ายทัพชัดๆ และในชั่วอึดใจไม่ทันแก้ไข ทหารและครัวเหล่านั้นก็ถูกล้อมสิ้น

อ้ายเลาโผนปราดเข้ามาตรงหน้านายกอง

“เหมาะนักพ่อสังข์จะแก้ว่ายังไง”

“พ่อทัพยังเป็นคนไม่พ้นผิด” นายสังข์เอาหน้าที่ขึ้นพูดแก้แต่กลับถูกมันหัวเราะใส่หน้า

“ผิดไม่ผิดก็ช่างเถอะ แต่ว่าเวลานี้เป็นเชลยฉันหมดนี่ หรือเมื่อจะหักออกก็ลอง ฉันก็ไม่ประสงค์จะสู้รบตบมือกับข้าแผ่นดินหรอก แต่จะแลกเชลยกันว่าไง”

จวงวิ่งร้องไห้โฮเข้าหาพี่ชายเพราะความดีใจ แล้วมันพยักหน้าให้พลที่เข้ามาด้วยรับตัวแม่และเจ้าจวงออกจากที่ล้อม

เมื่อเห็นนายกองนิ่งเป็นการยอมจึงพูดว่า “ฉันขอเท่านี้เอง พวกพ่อสังข์ไปเถิดฉันอนุญาต” แล้วตะโกนไปด้วยใจคะนองศึก “เอ้า เปิดช่องปล่อยกวางไป​เถิดอ้ายเสือ”

ขาดคำศักดิ์สิทธิ์ ด้านนายกองสังข์ก็เปิดหลีกทาง ทั้งแค้นและอับอายขายหน้าแต่ยังไม่สิ้นพยศจึงหันมาบอกเจ้าทัพว่า

“ฉันน้อยกว่า แต่เราคงจะพบกันอีกในมื้อหน้า”

“ถ้าเซ่อยังงี้ก็ถูกล้อมกวางอีก”

“เถอะน่า” แล้วนายกองก็ควบม้านำทหารหลีกไป ส่วนครัวอื่นๆ เลยพลอยเป็นอิสระ บ้านใครๆ กลับ เมื่อนายสังข์ลับตาไปแล้ว แม่และเจ้าจวงถูกมอบตัวให้อยู่ในอารักขาของนายเคลิ้มให้ไปคอยอยู่ตามที่นัดหมาย ส่วนอ้ายนายกองม้าที่ชำนาญในอุบายศึกก็แหงนหน้าจับฟ้า เดือนครึ่งเสี้ยวขึ้นอยู่ขอบฟ้ารำไรแสงเดือนคงจะจับยอดตาล ๕ ต้น เป็นที่สังเกตของเจ้าเฟื่อง อีแฟงคงจะเตรียมเนื้อเตรียมตัวอพยพขึ้นกระทุ่มด่าน คงจะได้เย้าอีแฟง ดูมันงอนเล่นไปตลอดทางในดงหลายคืน

ไพร่พลทุกคนกำลังใจเหิมเพราะเท่ากับชนะเป็นฤกษ์แรก ทุกคนมั่นใจในฝีมือและอุบายศึกของอ้ายนายกอง พอมันเตือนม้าออกนำก็ห้อลิ่วตามกันเป็นแบบขบวนกระทั่งเห็นตาล ๕ ต้น ยอดมันระยับด้วยแสงเดือนอยู่ข้างหน้า แล้วหมู่ม้าก็ล่วงเข้าถึงหน้ากระท่อม

ทัพโดดจากหลังอ้ายเลาด้วยความดีใจ ป่านนี้เฟื่องคงตั้งใจคอย อีแฟงและอาคงจะดีใจเมื่อเห็นมันกับเจ้าฟักมาพร้อมหน้า แต่กระท่อมมืด จะหาอีแฟงหรือเจ้าเฟื่องอยู่คอยรับหน้าไม่มีสักคน ค้นแล้วค้นอีกทั้งตะโกนกู่และเรียกหาก็คงได้ยินแต่เสียงเรียกมันเหมือนเสียงขาน

ค้นอีก ค้นทั่วกระท่อม เมื่อไม่เห็นมีจึงออกอ้อมไปข้างหลังอันเป็นชายลำกระโดง ฟ้าผ่าเถอะ แสงเดือนรำไรให้เห็นร่างคนตะคุ่มอยู่ในลำกระโดงจึงตรงเข้าหาด้วยใจร้อน

เสียงครางร้องไห้ วิงวอนขอชีวิตและยกมือไหว้ โอ๋อีแฟงไยแปลกพี่กระนั้นเล่า

กระทั่งฉุดตัวขึ้นมาแล้วเรียกชื่อเขย่าตัว “แฟง อีแฟง นี่เกิดอะไรกัน ถึงเป็นเช่นนี้”

​แฟงได้สติจำเสียงได้ ตัวยังเย็นเฉียบด้วยแช่น้ำใกล้จะหนาวตาย

“พี่ทัพเรอะ”

“เออ พี่เองแฟง”

“เอ้อ สิ้นเคราะห์ ฉันยังคิดว่าพวกอ้ายขาบ”

“ทำไมแฟง อ้ายขาบทำไม แล้วนี่อากะเฟื่องไปไหนฮึ” ทัพถามเร็วสติปัญญาหมุนไปหมด

แฟงยังหนาวตัวสั่นและไม่สิ้นหวาดจนต้องกอดตัวไว้

“พี่ทัพมาช้า อ้ายขาบฉุดพี่เฟื่องไปแล้ว แม่กำลังเป็นไข้หนาวมันก็รั้งตัวกรำฝนไป ฉันเดชะบุญจะคดข้าวไว้ให้พี่ตามสั่งที่ในครัวจึงได้แหวกจากหนีทัน ป่านนี้แม่คงหนาวตาย โธ่พี่ทัพแม่แกคงตายแน่ ทั้งพี่เฟื่องก็คงได้ลำบาก”

ใจทัพเหมือนดับวูบไปพร้อมกับคำเจ้าแฟง เออเฟื่องเอ๋ยช้าหน่อยเดียวที่ล้อมอ้ายสังข์เท่านั้นก็เสียเจ้าไป แต่อีแฟงมันใจซื่อเข้าไปคดข้าวตามสั่งก็รอดมาได้แล้วจะทำกระไร เสียเฟื่องเหมือนเสียชีวิต บ้านคำหยาดจักหยาดน้ำตาไม่รู้สิ้น ก็ดีละ เดี๋ยวคงได้เห็นกันไม่ให้ถึงสว่าง

“มันไปนานแล้วหรือยังแฟง”

“ป่านนี้ลิบแล้ว เพราะมีพี่เฟื่องกับแม่เท่านั้น”

“แฟง มึงไปกะอ้ายฟักมันก่อน พี่จะตามแก้เอง”

แฟงกลับกอดแน่นไม่ไว้ใจ “ทิ้งฉันไว้นี่ดีกว่าที่จะให้รนไปหาเคราะห์กลางทาง”

“คนเรามีคอยทางโน้นมากหลาย อีจวงกับแม่ก็คอยอยู่พร้อมที่โน่นไปเถอะ แล้วพี่จะกลับไปก่อนสว่าง”

ความห่วงพี่และรักแม่ทำให้แฟงไม่กล้าขัด เมื่อเจ้าฟักกับพวกรับตัวแฟงไปแล้วพลที่เหลืออยู่เป็น ๑๑ ทั้งตัวมันก็ขึ้นม้าเตือนออก หัวใจเจ้าทัพลอยไปคอยอยู่ข้างหน้าที่เจ้าเฟื่องก่อนคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้แก่หลวงพ่อเมื่อค่ำลืมแล้วสิ้น ดาบขัดหลังกับชื่ออ้ายขาบท่องอยู่ในใจ ถ้าดาบหักหรือตัวตายก็ตามแต่เรื่อง ส่วนที่จะให้เจ้านักเลงรุ่นหลังอย่างอ้ายขาบทำเล่นตามชอบนั้นอย่าหมาย

​เมื่อถูกปล่อยจากที่ล้อมมาแล้วด้วยความอับอายขายหน้า ที่เจ้าทัพซึ่งนายสังข์นึกว่ามันจะพ้นวิเศษไชยชาญไปตามคำสั่งสัญญา แต่กลับหวนมาคุมไพร่พลมาล้อมชิงครัวไปได้ นายกองผู้เคยเป็นเพื่อนเก่าของเจ้าทัพก็เกิดแค้นอาฆาตมันไม่วาย แต่ก็ไม่วายที่จะสงสัยว่าเจ้าทัพเอาไพร่พลมาจากไหนมากมายก่ายกองและจัดเจนในการล้อมแลขบวนศึก

นายกองเร่งทหารให้ครบเพื่อไปถึงด่านเร็วที่สุดหวังจะเอาทหารเพิ่มมาตามจับเจ้าทัพ กระทั่งพระจันทร์ที่ขึ้นลดดวงใกล้จะตกไปจึงมาถึงกองด่าน และพบนายขาบพร้อมด้วยทหารคอยอยู่ก่อน

เฟื่องยังร้องไห้แทบไม่เป็นสมประดี ข้างๆ เจ้ามีมารดานอนสลบไสลเพราะตกใจกลัวแลพิษไข้กำเริบที่ถูกกรำฝนมาตลอดทาง

ยิ่งเหลือบเห็นเฟื่อง แค้นของนายกองก็ยิ่งเพิ่มขึ้น

“ร้องไห้เรอะ ชะ นังตัวดี?”

นายขาบไม่รู้เรื่องราวจึงถามว่า “อะไรกันพี่สังข์ เกิดอะไรกันขึ้นแล้วหรือ”

สังข์พยักหน้าพลอยจะเคืองนายหมู่ของตนไปด้วย เพราะเป็นชิ้นเจ้าเฟื่อง “อีเฟื่องใช้ไม่ได้หรอกพ่อขาบ อีหญิงเจ้ากลมีมารยาร้อยแปด” แล้วจึงเล่าถึงความที่เจ้าทัพนำพลเข้าล้อมชิงแม่กับเจ้าจวงคืนไป แล้วว่า

“เห็นมั้ยล่ะ มันรับปากทำดีอยู่ชั่ววันแล้วก็นัดแนะให้อ้ายทัพยกมา ถึงพ่อขาบก็เถอะ เคราะห์ดีที่เร็วไปหน่อย หาไม่ก็คงจะไม่ได้ตัวเฟื่องมาหรอก แล้วนี่อีแฟงไปไหน”

“ค้นแล้วไม่พบเลย” เขาตอบ หลบตาเพราะเกรงนายสังข์นัก ด้วยรู้อยู่ว่าแฟงเป็นที่สังข์จะต้องการ และก็เพราะได้เฟื่องมาคนเดียวเหมือนไม่เอาใจใส่

จริงดังว่า เมื่อฟังตอบสีหน้าแม่กองก็บูดบึ้ง หากแต่ยังนึกถึงกิจอื่นสำคัญกว่าทั้งนั้นจึงหันเข้าพูดเป็นการงาน

“ประชุมคนเถอะ มีเท่าไหร่”

“ห้าสิบ”

“เอาละ” นายกองว่า “ทิ้งไว้ด่านนี่สัก ๒๐ ก็พอ ที่เหลือต้องยกไปบ้าน​อีเฟื่องเดี๋ยวนี้ เพราะทำไงเสียอ้ายทัพก็จะต้องไปที่นั่น ถ้าจับไม่ได้พรุ่งนี้ทำใบบอกขอทหารกรุงเพิ่มมาอีก อ้ายทัพเห็นทีจะคิดการใหญ่เป็นขบถแน่”

เฟื่องหยุดร้องไห้ทันที ความแค้นเจ้าชู้รักที่มันนัดให้คอยเหือดหายไปสิ้น มันยังคิดรักคิดใคร่อยู่หากแต่มาไม่ทันการเท่านั้น ยิ่งฟังคำกล่าวหาของนายกองแล้วเฟื่องก็เกิดทุกข์ใจเพิ่มขึ้นอีก มันกลายเป็นอ้ายคนขบถแผ่นดินไปแล้ว และคืนนี้มันจะถูกจับ หาไม่ทหารของนายกองก็จะยกติดตามมันจนถึงกระทุ่มด่านก็จะต้องพากันวอดวายสิ้น

ในครู่ต่อมา เมื่อวางยามรักษา ๒๐ คนไว้ที่ด่านเสร็จ นายกองกับหมู่ขาบจึงนำทหารเหลืออีก ๓๐ นายยกออกเดินไปแต่เพลานั้น

เดือนตกไปแล้ว ท้องทุ่งมืดสนิท ที่เป็นเนื้อนากล้าเขียวเมื่อกลางวันก็เหมือนสีดำคล้ำไปกับทุ่งมืด เสียงฆ้องขานยามของทหารดังแว่วตามด่านรายทาง เสียงฆ้องนั้นเหมือนจะเตือนแค้นให้คุขึ้นในหัวใจโจร พลเพียง ๑๐ ที่ตามมันมานี่เจ้าทัพคิดว่าถึงแม้จะพบกองอ้ายขาบที่ประพฤติผิดระเบียบจะคุมกันมาสักร้อยและเมื่อมีอีเฟื่องมันอยู่กลางทัพนับร้อยนั้น ก็จะลุยเข้าไปให้ถึงเฟื่อง หากจะถูกหาว่าเป็นคนคิดขบถแผ่นดินก็จะขอก้มหน้ายอมไปตามคำหา

ทัพห้ออ้ายเลานำพลหลีกด่านรายทางมาอย่างสะดวกสบาย ผืนทุ่งและนาทั้งละเมาะไม้หรือดงทึบตลอดแขวงวิเศษไชยชาญทุกกระผีกมือมันรู้และเจนทางหมด ส่วนนายสังข์ที่คุมกองไปนั้นเดินเลียบตามด่านไปด้วยเกิดไม่ไว้ใจที่มีพลเพียง ๓๐ จึงแวะเกณฑ์เพิ่มตามด่านเล็กรายทาง จึงสวนกับกองของเจ้าทัพที่ยกหลีกด่านมาตามดงไม้

เห็นแสงไฟอยู่ลิบๆ อันเป็นที่พำนักของแม่กองตั้งอยู่ หากว่าใจร้อนหรือจะเชื่อฝีมือประการใดก็ดี แต่นิสัยชำนะและมั่นในตำรับตำราของเสือบ้านคำหยาดที่ถ่ายความรู้จากพ่อยังมีอยู่ มันสั่งให้กองม้าหยุดเพื่อดูลาดเลาและฤกษ์ พระจันทร์เสี้ยวตกไปแล้วนาน ดาวไถขึ้นขวางฟ้าเหนือคลองท้ายด่านเพิ่มขึ้นครบดวง

อีกชั่วครู่ เมื่อท้องฟ้ามืดสนิทก็ยิ่งเห็นดาวดวงต่างเด่นแสง มันแหงนหน้าจับท้องฟ้า เมื่อดูแน่แล้วไม่ผิดจึงเตือนอ้ายเลาออกวิ่งทแยงตามทิศของหมู่​ดาวที่มีอำนาจพอเป็นพิธี แล้วจึงควบนำตรงเข้าหาทหารด่าน

เฟื่องนั่งประคองแม่ซึ่งเพิ่งจะฟื้นสติอยู่หว่างกลางทหาร ๕-๖ คน ใจเฟื่องไม่วายคิดว่าป่านนี้แม่กองถึงไหนแล้วและพี่ทัพมันอยู่หนไหน จะไปถึงบ้านแล้วหรือยัง แลหากว่ามันจะไปถึงคงจะครวญไม่น้อยในเมื่อเห็นกระท่อมว่าง ตาล ๕ ต้นจักยืนรับหน้ามันแทนเจ้าแลคนอื่นที่หายไป

ทหารด่าน เมื่อนายกองพ้นไปต่างก็ล้มตัวหลับด้วยความเหนื่อยอ่อน คงเหลือแต่ยามประตูและนั่งเฝ้ากองไฟอยู่นอกเขตจากล้อมและที่รอบตัวเฟื่องกับแม่เจ้าเพียง ๔-๕ คน เฟื่องนั้นคิดไปต่างๆ นานา หนักเข้าก็ปิดหน้าร้องไห้เพราะไม่รู้จะทำประการใดดีกว่า จนทหารล้อมก็ไม่วายจะเกิดสงสารสังเวช

เสียงอึกทึกข้างนอก เสียงโห่เสียงกระทืบโกลนร้องเร่งเป็นคำขาด

“ตามกู ตามมาเร็ว ตะลุย”

ทหารล้อมลุกตึงตังอกสั่นขวัญหาย บ้างโดดคว้าอาวุธยืนบ้างปลุกคนหลับตื่นงัวเงียไม่รู้เรื่อง ครู่นั้นจากล้อมแถบนอกก็พังลงด้วยกองม้าและดาบฟันแหวกมาเป็นช่อง แล้วอ้ายคนนำควงดาบสองมือตรงมาถึง

“วางดาบทุกคน ถ้าใครขืนจับดาบจะเอาม้าลุยฆ่าให้หมด” หันสั่งอีก “อ้ายเสือเตรียม ใครไม่เชื่อลุยเดี๋ยวนี้”

“พี่ทัพ” เฟื่องร้องไห้เพราะความดีใจลุกวิ่งไปที่ข้างอ้ายเลา

ทหารล้อมตะลึงพรึงเพริด ตัวนาย ๒-๓ คนรู้จักมันดีด้วยเคยเป็นทหารเก่า แลอ้ายพวกม้าพลของมันนั่นก็ใช่ใครอื่นเลย แท้ก็ทหารที่ลือว่าเสียทัพแหลกไปแล้วนั้นเอง ทหารด่านหากจะมีมากตัวกว่าก็เป็นพวกพลเดินเท้า อาวุธก็ปลดเพื่อพักผ่อนเพิ่งจะหลับไปสักครู่นี่เอง

“สั่งไว้ถึงอ้ายสังข์ด้วย” ทัพพูดกับตัวนายผู้อยู่คุมด่านในเมื่อมันบังคับให้ปลดอาวุธสิ้นแล้วทุกคน

“บอกมันเถอะว่า เรามาครั้งนี้ใช่สู้รบตบมือกับข้าแผ่นดินก็เปล่า แต่อ้ายขาบชิงพี่น้องของฉันมาทำเหนืออำนาจผิดวิสัยเท่านี้แหละ เมื่อคืนตัวให้ดีๆ ฉันก็จะขอลาไปก่อน”

​เห็นพวกด่านเฉยไม่สมัครจะขัดขวาง มันก็พยักหน้าสั่งพลให้อุ้มนางเฟี้ยมขึ้นม้า ส่วนเฟื่องมันอุ้มมานั่งอยู่ร่วมหลังอ้ายเลา แล้วกล่าวขอโทษอำลาทหารด่านที่ยืนจับหมู่กันตามสั่ง มันก็ควบน่าออกลิ่วทิ้งด่านจากล้อมไปโดยเร็ว

ย่างยามสอง แม้หนทางจะมืดและลื่นเลอะไปด้วยโคลนตม แต่แสงดาวขึ้นเต็มเกลื่อนฟ้ายังส่องแสงยิบๆ พอเห็นทาง เห็นตาล ๕ ต้น ซึ่งยืนเหงาอยู่เฉพาะเพื่อนตาล กระท่อมพักหลังหมู่ตาลเล่ากลับอ้างว้างว้าเหว่ตั้งแต่หัวค่ำ จนกระทั่งนายสังข์ซึ่งรวบรวมทหารรายทางมาได้ร่วม ๕๐ แล้ว คุมค้นกระท่อมจนเป็นที่มั่นใจแล้วว่าจะมีแฟงหรือชีวิตอื่นใดจะแฝงซ่อนตามทหารค้นอยู่อีกไม่ได้ ก็คุมพลสงบอยู่เพื่อคอยดักจับเจ้าทัพนายโจร

กระทั่งล่วงยามสองไปอีกครู่ เสียงฝีเท้าม้าควบและม้าส่งเสียงร้องอยู่ชายป่าจึงส่งคนไปดู และเมื่อม้าเร็วกลับมาบอกว่ากองม้าราว ๑๐ กว่าคนควบผ่านไป นายกองก็นึกรู้ว่าหาใช่ใครอื่นไม่ ต้องเป็นอ้ายทัพแน่ ทั้งเมื่อรู้จำนวนพลว่ามีเพียง ๑๐ น้อยกว่าหลายเท่าก็เกิดยินดีที่จะแก้หน้าให้สมแค้น จึงแบ่งกองคนละครึ่งกับนายหมู่ขาบยกเป็นสองปีกแยกกันไปห่างๆ พอได้ยินสัญญาแล้วก็สั่งควบตาม

ที่จริง เจ้าทัพมิได้นอนใจที่จะรีบไปให้ถึงกองนายเคลิ้ม หากแต่กำลังม้าเริ่มจะอิดโรยเพราะต้องควบตลอดมาตั้งแต่หัวค่ำจนป่านนี้จึงจำต้องวิ่งผ่อนกำลัง เว้นแต่เมื่อผ่านทุ่งโล่งหรือนาคอน เมื่อเข้าแนวป่าหรือละเมาะไม้ พอมีเงามืดในดงบังก็วิ่งเหยาะตามสบาย

เฟื่องนั่งไขว้อยู่บนหลังอ้ายเลาตรงหน้า หัวใจยังเต้นตื่นกลัวภัย เพิ่งจะเบาบางลงก็ต่อเมื่อรู้ว่าหนีพ้นมาแล้วไกล และเมื่อม้าวิ่งมาตามราวป่า ผ่านตาล ๕ ต้นซึ่งเจ้าเคยอาศัยอยู่ในกระท่อมที่แอบอยู่หลังตาลก็หวนนึกถึงอีแฟง แล้วก็ทราบจากทัพว่าแฟงมันพ้นภัยไปคอยอยู่ก่อนแล้ว

แต่ทัพมันเพลิน ถึงจะเพิ่งพ้นด่านพ้นเหตุร้ายใหญ่มาเมื่อครู่หยกๆ มันก็แสนเพลิดเพลินหัวใจ ปล่อยบังเหียนอ้ายเลาให้เฟื่องถือ ส่วนมือว่างมันเองนั้นกอดเฟื่องไว้กระชับวิ่งย่างหรือเรียบแล่นอย่างไรก็แล้วแต่อ้ายเลามัน แลหากว่าเฟื่องจะรำคาญอยู่มั่งก็มิกล้าปริปากห้าม ด้วยเกรงจะได้ยินถึงหูพวกพลอื่นๆ

​พอถึงปากดงอันเป็นต้นทางที่จะไปกองคอยของเจ้าเคลิ้ม เสียงสนั่นพื้นดินกระเทือนก็ดังไล่หลังมาไม่ห่าง เมื่อเหลียวก็เห็นกองม้าแยกเป็นปีกควบดาหน้ากันมา

“กองอ้ายสังข์แน่” มันชักม้าหมุนกลับพูดกับพวกพลสมุน “ไม่สู้หน่วงไว้แล้วต้องถูกจับหมด ว่าไง”

เสียงร้อง “แล้วแต่พี่” ทุกคน

“เอาละ” มันว่า แล้วเรียกม้า ๓ ตัวเข้ามา “เอ็งพาน้องกับอาควบไปบอกอ้ายเอิบเดี๋ยวนี้ ให้รีบขึ้นทุ่งหัวเสือก่อนอย่าคอยเลย เมื่อพรุ่งนี้ข้ายังไปไม่ถึงก็ให้มันนำครัวเข้าดงเปิดกระทุ่มด่านไปเถอะ ไม่ต้องถาม เร็ว” ขาดคำ มันก็อุ้มเฟื่องกับแม่เจ้าส่งขึ้นม้าควบเข้าดงไปโดยเร็ว

เหลืออีก ๘ ม้าทั้งตัวมันเอง คะเนคนที่ยกมาข้างหน้าทั้งสองปีกเห็นมากมายหลายสิบ แต่ความเซอะของอ้ายสังข์ที่มันแยกกันมาทำให้พลน้อยกำลังกันเปล่าๆ นึกอีกทีเจ้าสังข์คงจะคิดย้อนรอยล้อมมันมั่งอย่างที่เจ้าสังข์ถูกมาเมื่อค่ำ

หนทางอื่นใดจะหลีกเลี่ยงอีกไม่มี หากควบเตลิดตามทางเล่า ก็เหมือนจะนำทหารไปจับครัวมัน ถ้าออกทุ่ง อ้ายม้าทั้ง ๘ นี่ก็แหลกหมด มีอยู่ทางเดียวที่มันจะต้องเสียคำสัญญาที่ให้ไว้ต่อหน้าหลวงพ่อ มันจะต้องก้มหน้าเป็นคนคดสู้ทหารกรุงพอเอาตัวรอดไปพลางก่อน

ดาบคู่บนหลังที่รับช่วงมาจากพ่อมัน ดาบที่เคยตะลุมบอนมาแล้วแต่ครั้งศึกอ่าวหว้าขาวก็แล่นจากหลัง บังเหียนอ้ายเลาคล้องอานแล้วหันสั่งสมุน

“เฮ้ย! ดาบ ม้าเราน้อยต้องควบเข้าชนมันดื้อๆ แล้วหลบเข้าดง อย่าทันให้อ้ายปีกชายทุ่งโน่นยกมาช่วย ตามกู” สิ้นคำก็เตือนอ้ายเลาโผนไปข้างหน้า ดาบควบปรือเหนือหัวนำแน่วตรงเข้าใส่กองม้าที่ตามมาตามแนวไม้ชายดง

เป็นกองของนายหมู่ขาบซึ่งมีทหารเพียงยี่สิบ เพราะกองทหารที่นายสังข์คุมมายังอยู่ฟากทุ่งโน่น เมื่อเร่งฝีเท้าม้าตามมานั้น ใจนายขาบหามาด้วยไม่เพราะนึกขยั้นดาบสองมือ ทั้งบ้านคำหยาดใครเล่าจักไม่ลือว่าอ้ายทัพเป็นเอก และครู่นั้นแทนที่จะเห็นมันควบหนีตามนึก กลับควบลิ่วตรงมา และม้ามิได้เรียงหน้านอกจากตามกันมาเป็นควบนำ

อีก ๔-๕ วาก็ได้ยินเสียงเร่งและร้องปลุกขวัญ กระทั้งโผนม้าตรง​ปะทะ “อ้ายเสือลุย ตะลุย” แล้วเท้ากระทืบโกลนอ้ายเลาเผ่นเต็มเหยียดเข้าชนม้านายขาบแถวเรียงตัวมันเองเซหันข้าง

“หลีก กูชีวิตเดียวใครจะแลก หลีก หาไม่ฟันละเอียดหมดทั้งกอง” มันควบไปร้องไป ดาบสองเล่มแทบไม่มีเวลาปิด มีแต่ฟันทะลุหลีกมาเป็นช่องเพราะกองของนายหมู่ที่กำลังควบไปเต็มฝีเท้ายั้งไม่ทัน เมื่อถูกสวนทางก็เสียขบวนไม่ทันตั้งตัวได้ นายขาบเองก็หันๆ รีๆ ไม่ชำนาญ แม้จะเป็นนายหมู่ในกองสามเหล่ามาก่อน แต่ก็เป็นพลเดินหาเคยขึ้นหลังม้ารบไม่

มันยังตะลุยย้อนขึ้นย้อนลงอย่างสนุกมือมัน ยิ่งฟันยิ่งย่ำใจ บ้าเลือดเมื่อได้เห็นหน้าอ้ายขาบ อ้ายขาบทีเดียวที่ทำทารุณหนักไม่คิดว่าเป็นกันเอง จึงต้องควบม้าตะลุยหาตัวมัน แม้พลอ้ายขาบจะ ๒๐ ก็ร่อยหรอไปแล้วมาก มืดก็แสนมืดหารู้ใครเป็นใครไม่ กระทั่งกองใหญ่ของนายสังข์ควบตกจะถึงฟากทุ่ง อ้ายเสือบ้านคำหยาดจึงเหอ้ายเลาแล้วกู่เป็นสัญญาให้พลมันตามควบย้อนลงทางใต้ ลวงกองนายสังข์ให้สำคัญผิด

ใกล้สว่าง ไก่ป่าขันเสียงแจ้ว ดาวที่เกลื่อนเมื่อกลางดึกตกจากฟ้าไปหมด หากใครจักนอนสนิทหลับไหลด้วยแสนเหนื่อยก็ตาม แต่แฟงมันยังนั่งกอดเข่าอยู่โคนไม้ใหญ่ พลที่เป็นยามวางไว้ปากทางเดินถือดาบกลับไปกลับมาสองคน เมื่อเมื่อยหรือหนาวหนักก็ลงนั่งผิงไฟง่วงโงกไปบ้าง กระทั่งฟ้าสางได้อรุณ

เคลิ้มและเจ้าเอิบตื่นก่อน แล้วก็ตื่นตามกันทุกๆ คน เจ้าจวงกับแม่บนบานศาลกล่าวพระภูมิเจ้าที่และเทวารักษาป่า เฟื่องเอาแต่ร้องไห้เพราะสว่างแล้วเจ้าทัพมันก็ยังไม่มาถึง จนใครๆ คิดไปว่ามันคงเสียกองม้าตายไปหรือถูกจับเชลยแล้วเป็นแน่

มีเคลิ้มคนเดียวที่มั่นใจว่าทัพไม่ตายและไม่ถูกจับด้วย เคยมั่นในฝีมือมันมานักต่อนัก ศึก ๕ ปีก่อนหากมันจะยังหนุ่มเยาว์วัยนักก็ยังหักออกจากล้อมเอาตัวรอตได้ สำมะหาอะไรกับการเพียงนี้ เมื่อคอยเวลาอยู่อีกครู่หนึ่งพอตะวันขึ้นจัดดงไม้กระจ่างแลทั่วพุ่มพงทั้งเชิงเถาวัลย์แล้ว นายเคลิ้มจึงพูดกับมารดาเจ้าทัพว่า

“อย่าห่วงเขาเลย เชื่อฉันเถอะ เราล่วงหน้ากันไปกระทุ่มด่านก่อนจะดี​กว่า ด้วยทางยังอีกไกลนัก พี่ทัพน่ะทำไงเสียเขาต้องเอาตัวรอดได้ หากแต่จะมีจำเป็นอะไรจึงช้าอยู่เท่านั้น”

ทุกคนสั่นหัวไม่เห็นตาม แฟงมันค้อนปราดๆ แล้วพูดใส่หน้าเอาตรงๆ

“เมื่อใครขี้ขลาดก็หนีไปก่อนละซี พี่ทัพต้องยอมเป็นคนคดแผ่นดินหันสู้หน่วงไว้ไม่เพราะพวกเราเรอะ”

นายเคลิ้มฉุนอยู่เหมือนกัน หากแต่เห็นแฟงมันยังเป็นเด็กเพิ่งจะรุ่นสาวขาดคิดขาดอ่าน แต่เฟื่องค้อนน้องสาวและแฟงมันก็กำลังจะค้อนเฟื่อง เลยค้อนเจอกันเข้า

“ค้อนอะไรอีแฟง”

“แนะ ก็ใครค้อนใครล่ะ”

เฟื่องลุกขึ้นชี้หน้า “เอ๋ อีแฟง”

ไม่ทันได้ตบกัน นายเคลิ้มก็ตะลีตะลานให้คนขึ้นม้าเตรียมอาวุธคอยที ผู้หญิงหลบซ่อนอยู่ตามพงไม้หมด

เสียงม้าวิ่งมาเหยาะๆ เสียงลุยน้ำฝนที่ขังตามแอ่งทุกคนใจเต้นระทึกด้วยเกรงจะเป็นทหารหลวงหรือกองโจรอื่น ต่างซุ่มเขม้นตามองไปทางหัวเลี้ยว

ม้าโผล่นำหน้าเป็นอ้ายสีดอกเลา แล้วก็เสียงโห่เกรียวต้อนรับมันด้วยความดีใจ แฟงวิ่งออกจากซุ้มเถาวัลย์เรียกชื่อมันก่อนโดยหมดความเกรงใจพี่สาว แต่สีหน้าอ้ายทัพมันเศร้านักเมื่อเร่งม้ามาถึง และมีตามมาอีก ๔ ตัว

ลงจากหลังอ้ายเลา ทักทายทั่วกันด้วยความดีใจ แล้วมันก็เอยขึ้นเสียงเครือ

“เคลิ้ม น้องเราตายไป ๓ คนแล้ว”

เจ้าเคลิ้มหน้าสลดมองพวกที่เหลือและเจ้าทัพ มือเลือดยังเพิ่งจะหมาดไม่แห้ง คงฟันกันละเอียดมาแล้วเป็นแน่

“ตาย” เขาถามได้คำเดียว

ทัพพยักหน้า “ฮือ! มันมืดไม่รู้ใครเป็นใครก็เหลือจะช่วยพอเข้าลุยกองอ้ายขาบครู่เดียวแตกหมด แต่ เออเคลิ้มเอ๋ยกูเสียใจนัก เสียใจของกูมันหลายสถาน น้องกูตาย แต่มือกูเปื้อนเลือดคนไทยด้วยกัน กูเป็นคนคดแผ่นดินเสียแล้ว”

“ทำไงได้ล่ะพี่ หากไม่ทำเช่นนั้นอ้ายสังข์มันก็จับไปฟันตายหมด”

​“อือ แต่กูมันเลวหลายนักไม่เอาแต่พอควร เมื่อลุยแล้วก็มุใหญ่แทบจะแหลกไม่เหลือ เออ ใครๆ เป็นพยานกูเถอะวะให้พระธรณีสูบกูเสียกลางดงนี้แหละ หากว่ากูคิดจะคดแผ่นดินเพียงครู่หายใจออกเท่านั้นก็ขอให้กูมีอันเป็นหรือธรณีสูบชั่วลมหายใจเข้าเถอะ กูสงสารอ้ายคนเคราะห์มันจริง พ่อแม่มันก็หารู้หนเหนือหนใต้ไม่ว่าลูกมันตายเพราะมือกูแท้ แล้วกูก็ถูกแช่งถูกด่าทั้งแผ่นดิน เสียชื่อไปถึงหลวงพ่อที่แกเคยเป็นทหารสร้างดีมาไว้”

เคลิ้มและใครๆ พลอยหน้าจ๋อยหมดเสียง เจ้าทัพก็บ่นพึมพำอยู่คนเดียวแล้วจึงชักดาบออก ใบดาบสีแดงตลอดเล่มเหนียวหนับ มันเลือกได้ต้นกร่างใหญ่สูงลิ่วแล้วจึงเอาดาบฟันเปลือกบากถึงเนื้อไม้ เลือดที่มือมันทั้งสองป้ายเช็ดที่รอยบากใบดาบทั้งสองก็เช็ดสะอาดด้วยเนื้อไม้นั้น อ้าย ๔ คนหรือก็ทำตามโดยไม่มีใครรู้ความหมาย

ทัพยืนดูสีแดงเพิ่งจะหมาดของเลือดที่เช็ดแล้วก็หวนนึกสงสารซากศพที่นอนดิน ๗-๘ คนแลเจ็บอีกมาก แล้วเรียกพลให้มายืนอยู่โคนไม้นั้น

“น้องกู มึงเป็นพยานด้วยกันทุกๆ คนเถอะ กูทำผิดเพราะรักชีวิตพวกเราเหล่านี้เท่านั้น แต่” มันชี้มือไปที่รอยไม้ “นั้นมันเป็นเลือดข้าแผ่นดิน เลือดทหารที่กูไม่ยอมให้เปื้อนมืออ้ายโจรอย่างกู กูไม่รู้จะแก้ตัวขอขมาโทษกะใคร กูต้องพึ่งต้นไม้นี้ กูขอเชิญผีเจ้าของเลือดมันมาเป็นเทวดาอยู่นี้ กูจะคุกเข่ากราบขอขมาไปถึงผีที่นอนดินอยู่บ้านคำหยาดโน่น และขอให้น้องกู ๓ ศพที่นอนตายกลางรบนั่นขึ้นสวรรค์เถิด” สิ้นคำมันจึงคุกเข่าลง พลทั้งหมดก็ทำตามมัน

ทัพอธิษฐานนิ่งนาน หัวใจเงียบสนิทหวนไปบ้านคำหยาดหวนไปยังศพที่มันกำลังรำลึกขอขมาโทษ เพราะอ้ายสังข์และอ้ายขาบแท้ที่เห็นแก่สุขข้างตัวคนเดียว จึงพลอยให้ข้าแผ่นดินต้องมายับเพราะหันสู้กันเอง ทหารและน้องกูมึงจักชื่อเรียงเสียงไรก็แล้วแต่ ชีวิตมึงดับไปแล้วอยู่หนไหน แต่เลือดมึงจะติดไม้กร่างนี่อยู่ให้คนบูชาตลอดชีวิตไม้ แล้วมันลุกโซเซหักกิ่งไม้ปักโคนต้นเป็นการคำนับ และก็ได้ผ้าห่มอีแฟงมันอุทิศให้เป็นผ้าห่มไม้กร่างเทพารักษ์นั้นต่อไป

พลเหลือ ๓๐ ถ้วนพอดี เมื่อเตรียมกองพร้อมเพรียงกันเรียบร้อย เจ้าทัพก็นำพลออกเดินด้วยหัวใจยังสลดรำลึกไปถึงคนเสียชีวิต เมื่อเหลียวดู​แพรห่มที่อีแฟงติดตัวอยู่แต่ผืนเดียวก็ปลิวลมว่อน ผีคงรับขมาเข้าสิงแพรอีแฟงให้ปลิวส่งมันเหมือนธงชนะในศึกหน้า

ครั้นแล้ว กองม้าโจรที่หนีร้อนมาจากบ้านคำหยาดเมื่อคืน ก็โฉมหน้าลัดลงที่แยกขึ้นกระทุ่มด่านแต่เพลานั้น

เดือน ๑๒ ฤดูฝนสิ้นไปแล้ว ท้องฟ้าและกลางหาวสะอาดเป็นเมฆบางเพียงไกลๆ เมื่อฤดูก่อนหนาวเย็นด้วยน้ำฟ้า แต่ฤดูนี้ลมหนาวพัดเย็นจับหัวใจ ผืนนาลุ่มน้ำหลากเจิ่งมาแต่เหนือท่วมลำบากไปทุกแห่ง หากเป็นปีอื่นแล้วผืนนาเหล่านี้จะเต็มไปด้วยข้าวกำลังงามรวง สาวเจ้าจักสวมงอบลงทุ่ง หนุ่มมันจักด้อมคอยพบสาวเมื่อย่างลงนา แต่เงียบเสียแล้วเพราะระกาปีนี้มันวุ่นวายหนัก ข้าวที่แก่เกี่ยวทันก็ดีไป ที่ล้าเรื่อยจักต้องถูกทิ้งทิ้งเสียเปล่า ด้วยเกรงจะเป็นเสบียงแก่พม่าข้าศึกที่กำลังเคลื่อนมาจากเหนือ ส่วนหนใต้นั้นก็ยกทัพเรือใหญ่ประชิดเข้ามาจนแขวงนนท์

ครั้นตะวันสาย ลมที่พัดหนาวแลหมอกน้ำค้างเมื่อเช้ามืดค่อยเบาบางลงเรือนหลังใหญ่ซึ่งรวมกันอยู่หลายครัวในกระทุ่มด่านเกือบจะสุดแขวงวิเศษไชยชาญ ผู้เป็นพ่อบ้านของเรือนหลังนี้มีตำแหน่งเป็นนายบ้าน ผู้คนนับถืออยู่มากหลาย และนับตั้งแต่น้องสาวกับลูกหลานเพื่อนบ้านอพยพครัวหนีร้อนมาแต่บ้านคำหยาดเมื่อ ๓ เดือนก่อนมาร่วมอาศัยอยู่ด้วยแล้ว แม้หากว่ากำนันพันผู้เป็นพ่อเรือนและนายแขวงของบ้านนี้จักเป็นผู้มีคนรู้จักและนับถือเพียงไรก็หาเกิดความสบายใจด้วยไม่ เพราะเป็นครัวที่หนีมาอย่างไม่พ้นผิด ยิ่งรู้ว่าหลานสาวและเพื่อนอาศัยเป็นที่ต้องการของนายกองซึ่งคุมพลออกมาต้อนครัวหนีศึกพม่าอยู่เนืองๆ กำนันก็เกิดทุกข์ใจไปต่างๆ เกรงจะมีผิดที่อ้ายกองม้าโจรซึ่งหลบหน้าไปแล้วตั้งค่อน ๓ เดือนเกิดสู้รบกับทหารหลวงเป็นคนคดต่อแผ่นดิน

แทบทุกวัน ในเมื่อตื่นกันพร้อมก็มักจะพากันนั่งจับกลุ่มปรึกษาข้อทุกข์ร้อนเหล่านี้ เพราะขืนอยู่ในกระทุ่มด่านต่อไปก็คงจะเป็นมื้อหนึ่งที่ถูกจับกุม แต่หากจะหนีย้ายตำบลไปเสียเล่าเสียงลือทั้งวิเศษไชยชาญก็ว่ามีกองโจรของข้าศึกคอยซุ่มดักจับไปเป็นเชลยอยู่แทบทุกวัน อ้ายกองม้า ๓๐ ถ้วนที่ทิ้งความเดือด​ร้อนไว้ให้ก็พากันหายเงียบไม่ได้ข่าว

แฟงมันลงมานั่งผิงแดดอยู่ข้างล่าง หาร่วมเข้าวงปรึกษากับใครด้วยไม่ แฟงมันไม่ถูกกับใครเสียเลยเว้นแต่เจ้าจวงน้องสาวอ้ายพ่อกองที่ยกออกเที่ยวทำโจรกรรมตามสถานที่ต่างๆ จนกระฉ่อนไปเท่านั้น

แฟงนั่งคิดเผลอไปตามอารมณ์รุ่นของมันว่า หากไม่เกิดศึกเสือเหนือใต้ ไม่เกิดเดือดร้อนด้วยข้อใด ป่านนี้พี่เฟื่องกับพี่ทัพเขาก็คงจะร่วมรักกัน เขาคงจะเป็นคู่หมั้นคู่แต่งกันไปแล้วสมหน้า แล้วแฟงเองถึงหากว่าจะตกเป็นน้องเมียก็คงจะได้เกิดทะเลาะกับพี่สาวทุกวัน มิอะไรก็อะไร ตาล ๕ ต้นจะเป็นที่นั่งร้องไห้ของมันทุกๆ เพลาเย็น

ม้าควบมาข้างนอกตัวเดียว เมื่อถึงนาลุ่มก็ลุยน้ำแล้วขึ้นดอนควบอีกตรงเข้ามา แฟงถลันยืนนึกแน่ว่าวันนี้เป็นวันเคราะห์ที่จะต้องถูกจับอีก คนของแม่กองคงจะรู้เบาะแสแล้วมุ่งมาเป็นแน่ แต่ที่แฟงยืนแข็งใจดูอยู่ก็เพราะม้าที่ควบมานั้นคนขี่แต่งตัวเหมือนชาวพื้นบ้าน

ใกล้เข้ามากระทั่งถึง แฟงเจ้าดีใจนักแทบจะโผเข้าหา ลืม ลืมนึกถึงข้อที่เคยเกิดทะเลาะกัน

“พี่เคลิ้ม เออ ทำไมมาคนเดียว พี่ทัพอยู่ไหน?”

นายเคลิ้มกำลังหอบ ได้แต่ชี้มือไปในดงไม้ทึบที่ควบมาโน้น

“อยู่ในดง” แล้วจูงม้าไปผูก “ขึ้นพูดกันบนเรือนเถอะ ท่านกำนันอยู่ไหม?”

“อยู่” แฟงตอบสั้นๆ แล้วก็วิ่งนำขึ้นเรือนตึงตังจนคนอื่นพากันตกใจหมด

เคลิ้มยกมือไหว้ท่านกำนันแล้วก็เริ่มเล่าความ

“พี่ทัพมาถึงแล้วยังซุ่มอยู่ในดง ให้ฉันล่วงหน้ามาบอกก่อน สักครู่จะตามมา”

ทุกคนดีใจต่างอ้าปากตะลึงฟัง กำนันกระทุ่มด่านจึงถามด้วยใจยังหวาดว่า

“มีข่าวดีหรือร้ายมาด้วย”

นายเคลิ้มอึกอักอยู่ครู่ “ก็ดีมั่งร้ายมั่ง”

“อะไรดี”

​“สมบัติ” นายเคลิ้มตอบตรงๆ “สมบัติของพวกที่ถูกปล้น”

กำนันหน้าสลดรีบบอกปัดทันที “โอ๊ย เอาไปอื่นเถอะจะพากันเดือดร้อนอีกทั้งครัว”

นายเคลิ้มโบกมือ “ไม่ใช่ท่านกำนัน ไม่ใช่ปล้นเขามา หากแต่ว่าสมบัตินั่นพม่ามันปล้นจากสะแกโทรม พอข้ามพ้นฟากน้ำขึ้นตลิ่งเราเลยเอาม้าตะลุยแย่งมันมาอีก แล้วจะคืนให้ใครที่ไหน?”

“ฮือ” กำนันครางกับตัวเอง คนอื่นตะลึง โจรมันย้อนโจรชะล่านักหนา แฟงดีใจน้ำตาคลอหน่วยที่เสือบ้านคำหยาดมันไม่ผิด

ครู่นั้น เสียงม้าหมู่ ๗-๘ ตัวก็ห้อมาหยุด เรือนไหวเมื่อมันเผ่นขึ้นมาข้างหลังมีพวกพลสะพายย่ามและหิ้วของพะรุงพะรัง

“พี่ทัพ”

“แฟงมันเรียกก่อนคนอื่น

“เออ อีแฟง แม่เฟื่อง โอ้แม่” ทัพตรงเข้ากราบแม่ก่อนใครแล้วก็ไหว้ท่านกำนัน

“อาคงรู้เรื่องจากอ้ายเคลิ้มมันแล้ว?”

กำนันพยักหน้าจับตามองดูห่อข้าวของและย่ามสมบัติ เมื่อทัพสั่งให้แก้ทุกคนก็แลลานตา ทั้งขันทั้งพานล้วนแต่เครื่องเงินและถมอย่างดี ทองหยองและสร้อยสายใหญ่ ทั้งตัวเงินและสมบัติอื่นรวมกว่า ๑๐ ชั่ง

มันชี้ไปที่ของ “ฉันขอมอบให้อากำนันทั้งหมดเป็นค่าเลี้ยงค่าดูแม่และอีจวง ทั้งอีเฟื่องอีแฟงด้วย แล้วแต่ใครจะเลือกเอาเถอะ ทุกวันนี้ทรัพย์เมืองก็นับวันจะจมสูญดินไปอยู่เมืองอื่นฉันก็ต้องแย่งมันไว้”

ถึงจะเป็นเวลาคับขันในยามศึก แต่สมบัติแลทองหยองก็ยังต้องรักต้องอยากได้ทุกคน กำนันกระทุ่มด่านมองตาเจ้าทัพเห็นยิ้มเต็มใจมอบ แกจึงพูดเป็นกลางว่า

“เอ็งควรจะเอาไว้มั่ง น้องนุ่งมันมีจะให้แต่ง”

มันทั้งสั่นหัวและโบกมือ “ม่ายเลย กำลังนี้จะแต่งอะไรกันที่ฉันมอบให้ก็เพื่อว่าไว้แลกเป็นเสบียงในยามขัด ลำพังฉันน่ะจะเอาอีกสัก ๑๐ เท่านี้ก็ไม่ยากถึงข้ามคืนหรอกอา”

​กำนันกระทุ่มด่านทำเหมือนไม่สู้ไยดีในสมบัตินั้นเท่าไร และก็ไถลถามถึงธุระที่มันมา

“แล้วเอ็งมีข่าวสำคัญอะไรอีกเล่าที่มุ่งมานี่น่ะ”

“ก็มี และจะมาเยี่ยมด้วย” ทัพว่า “เวลานี้ทั้งวิเศษไชยชาญไม่อยู่กันเป็นปกติสุขได้ เพราะฉันเห็นมาเที่ยวนี้แหละ ทางแถบแม่น้ำแขวงอ้อมกรุงโน้นยิ่งกำลังเดือดร้อนหนัก พม่าเข้าปล้นทุกวัน และไหนยังจะโจรกันเองก็เหลือหลาย มากก๊กมากหมู่จนไม่รู้เขารู้เรา แลนี่มันก็ชิดกระทุ่มด่านขึ้นมาทุกที ฉันจึงนึกอยากจะขยับขยายไปอยู่ที่อื่น หากลำพังฉันอยู่ด้วยก็คงจะไม่สู้กระไรนัก แต่ครั้นฉันจะอยู่อ้ายสังข์ก็จะคุมคนมาล้อมเรือนจับแล้วจะพลอยกันเดือดร้อนเพราะฉันอีก จะสู้มันก็ได้หรอก แต่ว่าข่าวลือมันจะกลายเป็นฉันคดแผ่นดิน จึงจนใจนัก”

พากันวิตกทั่วตัวคน แต่ไม่มีใครนึกถึงข้อจะถามนอกจากตัวกำนันเจ้าบ้าน

“อะไร เอ็งว่าศึกน่ะรึมันใกล้มาถึงเพียงนั้น เดี๋ยวนี้มันตั้งอยู่ที่ไหนมั่ง”

“ทัพใหญ่กำลังมาจากเหนือและใต้แล้วแยกมาตั้งที่ด่านอุทัยก็มี ในกรุงแต่งทัพออกสู้คราวไรก็เสียผู้คนยับเยินมาทุกที แต่วิเศษไชยชาญยังมีโจรพม่ามันปล้นจับเชลยระหว่างทางมาตั้งแต่บ้านบึง อู่ตะเภา แล้วข้ามน้ำมาสะแกโทรมถึงทุ่งน้อยแล้ว”

“ฮ่ะ! ถึงทุ่งน้อยแล้ว” กำนันตกใจ “ถึงทุ่งน้อยแล้วมันก็ใกล้ชั่วทางข้ามคืนเท่านั้นซีล่ะ”

ทัพพยักหน้ารับ พวกผู้หญิงหน้าซีดตรงข้ามกับเมื่อเห็นทองสมบัติ เสียงถามให้แซดว่าแล้วเราจะทำไงกันดี หรือจะคิดหวนเข้าอยู่ในกรุงพอมีผู้คนได้เป็นเพื่อนอุ่นใจ

ทัพยังไม่เห็นควร อ้างว่าทางกระทุ่มด่านจะพ้นสบายกว่าจะย้อนไปกรุง เพราะจะต้องถูกโจรพม่าดักจับได้กลางทาง และออกความคิดให้อพยพกันขึ้นทุ่งสมิงเป็นพ้นภัยแน่ เพราะไม่ใช่ทางเดินทัพ อีกประการก็มีดงพอมันจะคุมอยู่ได้ ด้วยไกลเกินกว่าที่ทหารกรุงจะไปถึงเพราะเกรงพม่าอยู่เหมือนกัน

กำนันกระทุ่มด่านขอผัดตรองชั่วคืน พอได้เรียกลูกบ้านชอบพอเป็น​กันเองมาปรึกษา เมื่อไปกันมากๆ จะได้เป็นเพื่อนอุ่นใจและมีกำลังแข็งแรงดี เจ้าทัพก็เห็นงามเป็นอันตกลง แล้วขอให้พวกบ้านจัดหุงข้าวปลาอาหารไปส่งกองม้าที่ในดง เพราะจะนำมากินข้าวนี่กลัวจะเป็นการเอิกเกริก แล้วทัพก็คุมพลลากลับไปโดยไม่มีเวลาที่จะเล้าโลมเฟื่องและล้อเลียนอีแฟงมันอีกเลย

เจ้าโจรพ้นเรือนไปแล้ว กำนันก็สั่งให้เริ่มหุงหาและให้คนลอบไปเที่ยวบอกลูกบ้านที่ชอบพอเป็นการลับมาปรึกษาถึงเรื่องที่ทัพมันบอกไว้ ในครัวนั้นพวกผู้หญิงทั้งเรือนและมีสาวๆ เพื่อนบ้านใกล้เคียงมาช่วยอีก ๓-๔ คน เพราะต้องเลี้ยงคนนับเป็นสิบๆ

แฟงเข้าใครไม่ค่อยได้ ยิ่งเจ้าพี่ทัพเหยียบถึงฟากเรือนวันนี้ สีหน้าพี่เฟื่องมันงอและค้อนจัดขึ้นจึงทำให้แฟงออกจะรู้ใจพี่สาว และแทนที่จะเข้าช่วยในครัว แฟงกลับหวนไปอาบน้ำแต่งตัวประดิดประดอย มิคำนึงว่าใครจะมองหรือเรียกช่วยแฟงก็ทำเฉยเมยไม่ได้ยิน

กระทั่งใกล้บ่าย กับข้าวกับปลาก็ใกล้จะเสร็จเรียบร้อย ทั้งจวงและเฟื่องยังอาบน้ำแต่งตัว แต่แฟงมันกลับลงเรือนไปก่อนคนเดียวโดยใครหารู้ไม่ เดินหลีกจากนาลุ่มขึ้นมาดอนแล้วเลาะเลียบชายนา ยิ่งใกล้ดงเห็นปากทางลิบๆแฟงก็ยิ่งเร่งฝีเท้าเดิน แล้วเป็นวิ่งมั่งเดินมั่ง กระทั่งสุดท้ายแฟงมันก็ห้อตื่อจนถึงปากดง

พวกพลของทัพยังเหลือครบทั้ง ๓๐ มิได้มีใครเสียชีวิตไปอีกเลย กำลังพักผ่อนคอยอาหารและแก้เครื่องอานให้ม้าได้พักผ่อนเล็มหญ้าบ้าง ส่วนเจ้าทัพกับเคลิ้มและเอิบที่เป็นนายกองกำลังนั่งล้อมวงปรึกษาที่จะคิดการต่อไป

ทัพนั่งราบกับพื้น เอาปลายมีดพกขีดดินเป็นเส้นแยกหลายเส้นแล้วชี้ให้คนเหล่านั้นดู

“เห็นมั้ยล่ะเคลิ้ม ที่เราจะขึ้นทุ่งสมิงไปทางหนองกระทุ่มด่านแน่ะ เอ็งต้องคิดว่าหน้านี้มันหน้าฤดูน้ำ ถึงจะเป็นทางลัดก็แสนลำบากนัก ข้าน่ะว่าตัดขึ้นจิกโพรงไปเข้าดงเลยถึงมันจะอ้อมหลายคืนหน่อยก็ไม่สู้กระไร อีกประการเราไปทางดงก็มิดชิดดี ถึงหากจะพบกับทัพหรือโจรอื่นมากกว่าก็คงจะไม่ชำนาญสู้เราได้”

​“ก็แล้วแต่พี่จะเห็นงาม” เคลิ้มว่า ส่วนเอิบทำทีท่าเลิ่กลั่ก เพราะเสียงฝีเท้าวิ่ง ทัพเงยหน้ามองตามและเกือบจะถลันยืนอยู่แล้ว แฟงมันก็เลี้ยวคุ้งไม้มา

เมื่อถึง แฟงหัวเราะทั้งหอบๆ อย่างสนุกสนาน

“หาเสียแย่ หากได้ยินเสียงม้าร้องถึงได้วิ่งตามเสียงมา กลัวเสือเหมือนจะตาย”

ทัพประหลาดใจ “เอ็งมาคนเดียวงั้นรึแฟง?”

“ประเดี๋ยวพี่เฟื่องก็คงมา”

“ไม่ใช่” ทัพถอนฉุนที่อีแฟงตอบเกะกะ “ข้าถามว่าเอ็งวิ่งมาคนเดียวเท่านั้นรึ”

แฟงพยักหน้ารับ แล้วนั่งลงตรงหน้า “ตัวคนเดียวก็มาคนเดียว อย่าร้อนใจไปนักเลย เดี๋ยวก็มีคนมาป้อนข้าวหรอก” แฟงพูดพลางชำเลืองดูเจ้าเอิบกับนายเคลิ้ม แล้วค้อนให้เฉยๆ จนต้องเลี่ยงไปเพราะเข็ดฝีปาก

“ถามจริงๆ เถอะวะแฟง ถ้ากูจะอยู่ทะเลาะกับมึง ๓ วัน ๓ คืน เอามั้ยล่ะ” เจ้าหนุ่มที่จะเป็นพี่เขยถามแฟงครึ่งฉิวครึ่งขำ เพราะไม่ว่ามันจะพูดอะไรก็ดูไม่ค่อยจะเข้าหู แต่แปลบกินใจทุกครั้ง

ทัพจ้องหน้าเหมือนอย่างที่เคยจ้องมันมาแล้วเมื่อหนหลัง แต่ว่า เอ๋ อีแฟงมันคลาดตามาชั่วไม่ถึง ๓ เดือนเท่านั้นก็ผิดตาไปถนัด น้ำนวลมันดีขึ้นมากเนื้อก็บ่มเหลืองละเอียดราวใบไม้อ่อน อ้าว เอ๊ อีแฟงกลับอายหันหน้าม้วน

“แฟง เอ็งเป็นสาวเป็นนางแล้ววิ่งมาคนเดียวงี้น่ะไม่กลัวหรอกรึ” เสียงถามของทัพมันก็มีปร่าๆ ผิดไป

“กลัวใคร พี่ก็อยู่นี่แล้วจะปล่อยดูดายให้คนมันฉุดฉันก็ตามทีซี”

“ฮือ กูพูดกับมึงคราวไรจนคำพูดทุกที แล้วทำไมต้องเสือกนังหันข้างให้ด้วยเล่านั่น”

แฟงเลยหันหลังให้เลย เพราะถามนั้นเหมือนแทงถูกใจ ทัพจึงลุกอ้อมไปนั่งตรงหน้า เออแน่ หน้ำมันแดงเรื่อๆ แล้วเอามือปิดหน้า เสียงคิกๆ จะเป็นหัวเราะหรือร้องไห้ฟังไม่ได้ศัพท์ จึงเอื้อมมือจับข้อมือมันเปิด แต่แฟงก็รั้งไว้เมื่อเห็นจะแพ้กำลังก็เปิดออก แล้วตรงเข้าทุบเจ้าคนที่จะมาเกี่ยวดองเป็นพี่เขย

​ระหว่างทัพหัวร่อร่ายกมือปิดป้อง สีหน้าแฟงก็เปลี่ยนเป็นเขียว ง้างมือตะลึงมองไปคุ้งไม้ปากทาง ทัพเหลียวตามผีทะเล เจ้าเฟื่องที่หาบกระบุงข้าวยืนชะงักตะลึงดู ทั้งจวงและหญิงเพื่อนบ้านที่หาบตามก็อยู่ในกิริยาเดียวกัน นั่นเฟื่องมันกำลังคิดอะไรของมันนั้น หรือว่าอีแฟงหนีงานหนักไม่ยอมหาบข้าวแล้วเปิดมาก่อน

เมื่อทำกลบเกลื่อนวางสีหน้าใหม่แล้ว ทัพก็วิ่งตรงมารับหาบ แต่เฟื่องยึดไว้ไม่ยอมให้

“ไปหยอกกันเถอะ”

“เอ๊ะ! เอ๊ะ! แม่เฟื่อง”

เฟื่องเมินหน้า น้ำตาซึมจนเหลือฝืนก็ไหลออกมาเอง “อย่าแก้ตัวเลย ตำตาหลายหนมาแล้ว ไปเถอะไปให้อีแฟงมันปั้นข้าวไว้ป้อนให้” แล้วก็หลีกเดินหาบกระบุงข้าวสุกอย่างไม่รู้สึกหนักสักนิดเดียวมาวางที่โคนไม้ จวงและหญิงอื่นๆ ก็นิ่งอึ้งพากันติดตามมาเป็นแถว

แฟงมันยืนโดดเดี่ยวเข้าหน้าใครไม่ติด พวกพลก็เด็ดใบไม้มาปูเรียง แฟงยืนอิงโคนไม้ดูพี่สาวตักข้าวจากกระบุงแจกรายตัวทีละคนจนครบ ๓๐ จวงกับเพื่อนเอากับวางตามห่อข้าวที่เฟื่องตักไว้

ทัพนิ่งอั้นยืนอยู่อีกทางหนึ่งคนเดียว ศึกทั้งร้อยมันผลาญแหลกในชั่วครู่ปลิดหัวพม่าที่สะแกโทรม ๑๐ กว่าหัวในพริบตา แต่อีแฟงมาปลิดรักมันจากเจ้าเฟื่องเสียแล้ว ศึกภายในหนักหนาเกินที่มันจะเอาชนะได้เสียเป็นแท้นักแล้ว

พอแจกข้าวหมดกระบุง เฟื่องก็คว้าหาบใส่บ่าเดินก้มหน้าก้มตาจะผ่านเจ้าทัพ

มันยึดกระบุงหลังไว้ “แม่เฟื่อง อะไรกันอีกล่ะนี่?”

เฟื่องหันมาน้ำตานอง เมื่อเห็นเพื่อนสาวชะงักอยู่ห่างๆ เพราะไม่มีใครจะกล้าพูดว่าอะไร จึงพูดให้ทัพรู้สึกนึก

“ในครัวไฟที่คำหยาดไม่พอใจ อุตส่าห์มาถึงตงกระทุ่มด่านก็เชิญกันซี จะป้อนข้าวหรือว่าป้อนน้ำก็สุดแล้วแต่”

“แม่เฟื่องจะเขวไปใหญ่”

​“ไม่เขว เมื่อก่อนพ่อทัพคิดจะเป็นพี่เขยอีแฟง แต่เห็นจะกลัวแก่จึงจะเข้ามาเป็นน้องเขย ฉันก็สมัครเหมือนกัน”

“อ้าว” ทัพหน้าสลดเสียใจ เฟื่องมันเปลี่ยนคำเร็ว มาเรียกพ่อทัพแทนพี่ “ตรึกตรองเสียใหม่เถอะแม่เฟื่อง อีแฟงมันน้องเฟื่อง ฉันก็รักมันเหมือนน้องฉันแล้วจะให้ฉันเปลี่ยนไปยังไง”

“ก็เปลี่ยนไปรักมันชี อีแฟงมันเป็นสาวมีผัวได้แล้ว”

“โอยตาย ทำไมพูดให้มันเสียงั้นเล่า?”

“ไม่เสียหรอก คนอยากมีผัวฉันไม่เห็นข้อเสียตรงไหน แต่จำไว้นะว่าฉันจะกลับคำหยาด ฉันจะไปตายของฉันคนเดียวที่คำหยาด ไม่ต้องติดตาม” แล้วกระชากกระบุงจนหลุดจากมือทัพออกเดินไม่เหลียวหลังแล เพื่อนอื่นก็เดินก้มหน้าตาม บ้างนึกละอายแทน แต่บ้างก็สงสารหน้าอยู่ในใจคิด

แฟงยืนแอบหน้าร้องไห้คนเดียวอยู่โคนไม้ สงสารอกพี่เฟื่อง และหน้าพี่ทัพแล้วหวนคิดสงสารตัวเอง เหตุนอกก็เดือดร้อนจนต้องหนีมา แต่ในหัวอกเวลานี้สุมร้อนยิ่งกว่ากองไฟใหญ่และข้อเดือดร้อนอื่น เจ้าก็คิดหักใจว่าเมื่อกลับไปก็จะงอนง้อขอโทษพี่สาวและให้คำสัญญาเพราะเห็นแก่หน้าพี่ทัพมัน

พลอื่นๆ อิ่มข้าวแล้วต่างก็เลี่ยงหน้าไปหมด บ้างลงบึงอาบน้ำหรือหลับนอนตามโคนไม้ใหญ่ลับตา เจ้าหัวโจรที่มันยืนเศร้า ข้าวปลาของมันยังกองอยู่อีก แม้เจ้าฟักก็หลบหน้าเปิดไป

ทัพยืนแลใบไม้ปูและมีข้าวสองกองทั้งกับแกล้มฝีมือเฟื่อง มันตักข้าวยังทิ้งไว้ แต่มันตักไว้สองกองเป็นปริศนากินใจนัก

แฟงเดินมาหา แฟงก็ร้องไห้เหมือนเฟื่อง เมื่อเช็ดน้ำตาแล้วแฟงก็พูดหงอยๆ หมดแง่หมดงอน

“พี่ทัพ ฉันคงบาปมากมายนัก”

“อะไรอีกล่ะอีแฟง” ทัพถามดุๆ กำลังอารมณ์ไม่ดี “กูไม่โทษมึงหรอกอีแฟง หากแต่มันกรรมของกู”

แฟงเห็นสีหน้าและน้ำเสียงก็พอรู้หัวใจว่าพี่ทัพเคืองเกิดน้อยใจ ร้องไห้ดังเหมือนเมื่อแฟงยังเป็นเด็กอยู่คำหยาดก่อนโน้น

​“ฉันมันประพฤติผิด แต่ใครจะคิดยังไงฉันก็ขอให้คิดไปเถอะ ฉันจะกลับไปบ้านขอโทษพี่เฟื่อง แล้วต่อไปพี่อย่ามาพูดกับฉันอีกเลย ฉันโตป่านนี้แล้วก็พอรู้ว่าพี่เฟื่องเขาหึงฉัน ถ้าพี่เฟื่องเขาขึ้นทุ่งสมิงฉันก็จะอาศัยเขาอยู่ที่กระทุ่มด่านนี่แหละ” แล้วแฟงก็เดินจะกลับ

ทัพได้สติโดดเข้ารั้งข้อมือ เออ แฟงมันไม่เคยเป็นคนคิดถูกอย่างนี้เลย สงสารมันนัก สงสารน้ำคำน้ำใจมันที่นึกปรานีพี่สาว

“อย่าเพิ่งอีแฟง มึงจะเดินร้องไห้กลับคนเดียวไงได้ เห็นมั้ยเย็นแล้ว เวลาเย็นโจรอื่นมันชุกชุมนักจะเกิดลำบาก”

“ไม่ลำบากหรอก ฉันไปตายกับโจรคนเดียว ข้างหลังก็ได้สบายอีกหลายคน”

“ไม่ได้ กูยอมให้ไปไม่ได้ แน่ะ อีแฟงดื้อ แน่ะอีแฟงสู้พี่รึ”

แฟงดิ้นไม่คิดชีวิต ทั้งต่อยทั้งกัดและทุบตีมัน

“ปล่อย เดี๋ยวเขามาเห็นเข้าอีก”

“ใครเห็นช่างหัวมัน”

“แล้วทัพก็จับแขนรวบ แต่อีแฟงมันแข็งร่วมๆ ผู้ชายจนต้องถึงเข้าปล้ำกอดตัวมันไว้ไม่ยอมปล่อย แต่ผีพม่าที่ถูกฟันมาสิงใจหรือ นี่กอดอีแฟงกลางดงเปลี่ยวกอดไม่ให้มันดิ้นหนีไป แล้วหัวใจอีแฟงที่เต้นริกประทับอก นี่มันรู้ไหมว่าใจเสือใจโจรประหารศึกมันเปลี่ยนแล้ว รักอีเฟื่องตั้งแต่กลับจากศึกครั้งก่อนจนจะเข้า ๖ ปีไม่เคยกอดมันเลย จนอีแฟงเป็นสาวแล้วมากอดอีแฟง

ตะวันจะย่างเข้าเย็น ตะวันยังรู้จักเปลี่ยนจากบ่ายมาหาเย็น หัวใจคนที่อยู่ใต้แสงตะวันก็เปลี่ยนแปรไปตาม ทัพมันยังคงกอดอีแฟงอยู่ กอดแน่น แน่นจนแฟงถอนสะอื้นแล้วก็คลายแล้วรัดแน่นอีก หน้าเฟื่องมันเป็นยังไงเวลานี้ก็เกือบลืม ใจฝังลงไปในหัวใจอีแฟง นางไม้ผีทุ่งและผีดงทั้งรุกขเทวดา ถ้าใจแยกใจจากอีแฟงแล้วก็ขอให้ตายกลางศึกในคราวหน้าจะดีกว่า จึงคลายแขนจะเชยคางเช็ดน้ำตามัน อ๋า อีแฟงกลับหลับตาสิ้นสติไปแล้ว

วางแฟงลงโคนไม้ เอาผ้าไปชุบน้ำมาจากบึงบิดพอหมาดก็เช็ดหน้ามัน พัดและนวดอยู่ชั่วครู่แฟงก็ลืมตามอง

​“แม่คุณ คงเป็นลม”

แฟงลุกนั่งไม่มองแล้วยกมือปิดหน้าร้องไห้อีก ใจเสียที่จะต้องเสียสัตย์เสียสัญญาที่จะไปรับคำพี่สาว ถูกกอดถูกรัดทั้งๆ ที่ใจเจ้าแฟงกำลังคิดตัดให้เป็นอื่น แต่หัวใจนั้นแทบจะแตกหลายเสี่ยงทะลักเป็นเลือด ใจนั้นถูกบีบอยู่หว่างกลางของพี่สาว และพี่ทัพที่ตัดไปไม่ลงในชั่วขณะกอด

นายเคลิ้มเดินมากับคนอื่นๆ เพราะรู้จากทัพเมื่อไปเอาน้ำที่บึงว่าแฟงเป็นลมจึงพากันกลับมา ทัพจึงสั่งผูกอานและเตรียมม้า ๕-๖ ตัวเพื่อไปส่งเจ้าแฟงแต่ตัวมันเองเหลือที่จะกลับไปอีก เพราะจะนอนคิดศึกใหญ่ในหัวใจ

ตะวันเย็น นายสังข์คุมทหารจำนวนมากมาตั้งเป็นกองด่านอยู่ริมน้ำบ้านบึงเพื่อรับครัวและคุมไปส่งกรุง เพราะข่าวกองโจรพม่าที่คุมกันออกไปปล้นหมู่บ้านเมื่อวานซืน แล้วก็คุมทหารเที่ยวป่าวร้องให้ครัวต่างๆ ไปอาศัยอยู่ในด่านที่ไม่สมัครต่างก็หนีเข้าป่า บ้างก็ต้องใช้อำนาจต้อน แต่ศพพม่าที่นอนเรียงรายอยู่แทบฟากน้ำนั้นยังทำให้นายสังข์ไม่วายประหลาดว่าเพราะฝีมือใคร เพราะหากจะสู้กับกองทหารแล้วนายสังข์ก็จะต้องรู้

เย็นนี้ กองตระเวนที่นายสังข์คุมมีพลร่วม ๕๐ ขึ้นมากระทุ่มด่าน เมื่อแรกจะตีฆ้องร้องป่าว แต่คิดเห็นว่าไม่เกิดประโยชน์อันใด เพราะชาวบ้านพากันหลบหนีเข้าดงหมด จึงพากันคุมมาเงียบๆ

ชาวบ้านหาบคอนเป็นแถวไป ๕-๖ คนกลางทุ่งข้างหน้ากำลังจะเข้าหมู่บ้าน เมื่อป้องหน้าสังเกตก็รู้ว่าชาวบ้านที่คอนหาบเหล่านั้นเป็นหญิงทั้งสิ้น จึงให้ม้าคอยอยู่ ส่วนนายกองกับพลอีก ๑๐ คนก็ควบลิ่วตรงไปหวังจะถามและบอกความให้รู้

เฟื่องเหลียวดู แต่กำลังแค้นก็คิดว่าเป็นกองม้าเจ้าทัพจะตามมาบ้านจึงรีบเดินไม่เหลียวหลังอีก กระทั่งกองม้าตามมาทันกลางทุ่งแล้วเข้าล้อม

ทั้งนายกองและนายหมู่ขาบโจนจากหลังม้ารวดเร็วเมื่อจำได้ สองหัวใจของสองหนุ่มแม่กองและนายหมู่ทั้งรักทั้งแค้น เมื่อเห็นหน้าจวงกับเฟื่อง

“อ้อ แม่เฟื่อง ชะ” นายขาบพูดแล้วโดดเข้ายึดหาบลืมนึกถึงหน้าที่อื่น​นอกจากรักกับแค้น

แม่กองนั้นทำอารมณ์เย็นมองหน้าจวงและหัวเราะเยาะ “พ้นฉันไปไหมล่ะจวง คนเราไม่รักสบายก็ดีแล้ว”

หญิงอีก ๔-๕ คนที่มาด้วยต่างไม่รู้เรื่องก็ร้องเอะอะตกใจ แต่ก็ต้องเงียบลงเพราะคำสั่งของแม่กอง และด้วยความลนลานของหมู่ขาบและนายสังข์นั้นเองจึงลืมนึกถึงว่ากระบุงข้าวของหมู่หญิงนั้นขนไปให้ใคร นอกจากสั่งคนให้อุ้มเฟื่องกับจวงขึ้นม้า อ้างว่าเป็นเชลยและพวกพี่น้องของอ้ายทัพขบถที่ฆ่าทหารหลวง แล้วก็คุมกลับไปด่านอย่างรีบร้อน

พลบไปเมื่อสักครู่ ในดงแสนมืด เสียงยุงป่าร้องหึ่ง เรไรมันหริ่งมาจากคบไม้ นางเก้งและกวางเถื่อนที่มากินน้ำบึงซุบซิบใกล้ๆ เสียงตีชุดเหล็กไฟแสงไฟแลบเป็นประกายเพื่อก่อสุมกันยุงให้ม้า

ทัพมันนอนอยู่มืดๆ ห่างพวกพล ตรึกตรองไปถึงความที่เกิดเมื่อเย็นอย่างไม่น่าจะเกิด กลุ้มแสนกลุ้ม ป่านนี้เฟื่องคงร้องไห้ไม่หยุด และอีแฟงคงจะร้องไห้ยิ่งกว่าเฟื่องมาก เฟื่องมันน่ารัก แฟงมันน่าสงสาร แต่เมื่อคิดๆ แล้วมันก็อยากตายไปเสียก่อนคนเดียวให้เฟื่องแฟงมันอยู่ค้ำฟ้าคอยคนอื่น

ยิ่งตรองยิ่งหนักใจ ศึกสัก ๕๐๐ ก็จะตัดกลางได้ไม่ยาก แต่อีเฟื่องอีแฟงเพียงสองนี้หนักใจยิ่งกว่าศึกใหญ่ จะมัดใครกันแฟงหรือเฟื่อง อย่าเลย เอาดาบแทงอกควักหัวใจกูเสียเองจะดีกว่า

มันคิดวนเวียนอยู่พักใหญ่ เสียงฝีเท้าม้าวิ่งไกลๆ ก็นึกรู้ว่าเจ้าเคลิ้มคงกลับจากส่งแฟง และมันก็กระหายฟังความจากที่เจ้าเคลิ้มมาบอก

เจ้าเคลิ้มควบจนเลยมันนั่งไปราวกับหนีใครมา ต่อเมื่อเรียกจึงหวนกลับ

“วะ มึงควบยังกะหนีพม่าเทียวละ”

เคลิ้มหอบฮักๆ “ความใหญ่เสียอีกแล้วพี่ทัพ”

“ฮะ อะไร?”

“เกิดความ”

“ทำไม เฟื่องกะอีแฟงทะเลาะกันงั้นรึ”

​“เปล่าๆ” เคลิ้มโบกมือ “อ้ายสังข์คุมคนมาพบแม่เฟื่อง เมื่อกลับจากส่งข้าวพวกเรา เลยรั้งตัวไปหมดทั้งเจ้าจวงด้วย”

“หา มึงว่าเฟื่องกับอีจวงถูกจับงั้นเรอะ ใครบอก”

“พวกผู้หญิงที่กลับไปพร้อมนั่นแหละ”

มันร้อง “อ้าว” แล้วลืมข้ออื่นๆ สิ้น สั่งเจ้าเคลิ้ม “ผูกม้าเร็ว ใครหลับทิ้งมันไว้นี่”

กองไฟทุกกองที่ก่อเลยงดหมด ม้าผูกอานพร้อมในชั่วอึดใจ อ้ายเลาผกหน้าผกหลังคล้ายจะรู้ว่าออกศึก

เสียงตะโกนสั่งที่คนทั้งกองจะต้องเชื่อ “ควบจนกว่าจะทันทัพอ้ายสังข์ เมื่อใครไม่เห็นสมควรก็อย่าตาม ทิ้งกูให้เป็นขบถคนเดียวเถอะเจ็บใจนัก” แล้วอ้ายเลาก็โจนออกไม่รั้งรอใคร แต่อ้ายกองโจรก็ห้อติดตามมาทั้งกอง ควบเขยิบฝีเท้าเร็วขึ้นทุกขณะ กระทั่งพ้นดงแล้วมันก็หวนนึกเป็นห่วงแม่และคนอื่นๆ ที่บ้านกำนัน จึงมุ่งม้าแวะเข้าหมู่บ้าน

คนทั้งเรือนกำลังนั่งเป็นทุกข์ กำนันกระทุ่มด่านตกใจไม่น้อยกว่าคนอื่นๆ พอเจ้าทัพย่างขึ้นเรือนก็เห็นแม่ร้องไห้โฮใหญ่แล้วรำพันถึงเจ้าจวง อีแฟงมันคงเป็นอีแฟงที่นั่งเฉยเมยชำเลืองตามอง เห็นหน้าอีแฟงแล้วก็นึกถึงเฟื่องที่เคราะห์ร้าย เพราะห่วงเอาข้าวไปส่ง และอีแฟงก่อเรื่องจึงรีบกลับมาให้อ้ายสังข์จับกลางทาง

ทัพตรงเข้าปลอบแม่ก่อนจะพูดกับใครอื่น “คอยฉันก่อนถึงอย่างไรฉันคงทันทัพอ้ายสังข์ในค่อนคืนนี้แล้วจะย่ำเสียให้แหลก เมื่อไม่ได้อีจวงกับเฟื่องคืนมาแล้วก็เป็นอันว่าสิ้นวาสนาฉัน”

แม่เจ้าทัพอยากจะห้าม แต่ความอาลัยในลูกสาวแกมีอยู่มากจึงได้กล่าวแต่เป็นคำกลางๆ

“ระวังหน่อยลูกเอ๋ย ดูการควรไม่ควรเสียก่อน อย่าด่วนหักโหมด้วยฤทธิ์โทโสจะเสียการ เออ ขอให้เอ็งชนะเถอะ”

ทัพกราบรับพร แล้วแบ่งพลไว้ ๕ คน ให้อยู่เป็นเพื่อน และอ้ายคนทั้ง ๕ นี้มันสู้ตายเมื่อมีโจรหรือกองหลวงคุมมาจับแล้วก็ลงเรือนไป

​พอนั่งหลังอ้ายเลา เหลียวเห็นแฟงมันมาชะแง้หน้ามองที่ประตูตะคุ่มๆ เลยคิดไปถึงในดงเมื่อบ่าย ในดงที่เฟื่องจากมาแล้วก็จากไปลับหน้า ในดงที่เปลี่ยนใจมันให้รวนเรแล้วกระสันใจถึงดงไม้เปลี่ยวที่กอดอีแฟงมัน

เหลียวแลเหมือนจะสั่งว่า อยู่ก่อนเถิดแฟงเอ๋ย ถ้าวาสนายังอยู่พี่ก็คงได้กลับพร้อมด้วยเจ้าเฟื่อง อีจวง แต่เมื่อเข้าตาร้ายเอ็งจะเห็นพี่แต่มื้อนี้เท่านั้น แล้วก็เตือนอ้ายเลาเผ่นโผนนำกองม้าออก กองม้าซึ่งประจัญศึกและลุยละเอียดมาแล้วตลอดแดนฝ่าทุ่งมืดย้อนตลบโฉมหน้าไปทางสะแกโทรม ซึ่งทัพมันเข้าใจว่านายสังข์จะนำกองไป

จนใกล้สว่างของคืนนั้น กองม้าตระเวนของนายสิงข์จึงมาถึงด่านพัก สังข์และนายขาบไม่ไยดีกับเสียงคร่ำครวญ หรืออ้อนวอนต่างๆ นานาของจวงกับเฟื่องอีกเลย เพราะคิดไม่ไว้ใจอยู่เสมอว่าสองหญิงนี้ถึงจะอย่างไรก็มีกองม้าที่ลืออำนาจคอยติดตามช่วยเหลือเสมอ หากชักช้าอยู่ก็คงจะเสียทีถูกชิงไปอีก และเหตุสำคัญที่ทำให้นายกองเกิดประหวั่นพรั่นใจก็ด้วยศพพม่าซึ่งนอนเรียงรายอยู่แถบสะแกโทรม เพราะถ้าหากกองโจรพม่าจะถูกตีย่อยยับด้วยฝีมือทหารกรุงแล้ว นายสังข์จะต้องรู้และเป็นผู้นำกอง แต่นายสังข์เพิ่งยกมาถึง ฉะนั้นก็ไม่มีใครอื่นที่จะห้าวหาญเข้าหักกองพม่า มีแต่จะหลีกหนีไป นอกจากกองโจรอ้ายทัพ

ครัวทั้งหมดที่ต้อนมาได้รวมคนเกือบร้อย บ้างร้องไห้ บ้างดีใจที่จะได้เข้าอยู่กรุงนอนตาหลับ เมื่อจัดแจงทหารคุมเรียบร้อยก็ยับยั้งอยู่ คอยสว่างจึงจะยกกองเป็นการสะดวก เฟื่องกับจวงทอดอาลัยในชีวิตของตน ปรับทุกข์กันจนไม่รู้จะปรับอย่างไร เพราะถึงหากทัพมันจะยกมาทันก็เหลือช่วย กองม้าคุมและพลเท้าของพ่อสังข์มีนับร้อยๆ ถ้าเจ้าทัพมาก็คงละเอียดกลับไปเท่านั้น

สว่าง เมื่อพวกครัวและทหารหุงหากินเรียบร้อยแล้ว นายกองก็แบ่งทหารอยู่ด่านไว้ครึ่งหนึ่งเพื่อคอยรับครัวและคุมหมู่บ้าน ส่วนครึ่งเหลือนายสังข์กับหมู่ขาบเป็นผู้ควบคุมแบ่งเป็นปีกเดินล้อมครัวยกไปแต่เพลาเช้าพร้อมด้วยเฟื่องและจวง ข้ามลำน้ำบ้านบึง ริ้วกระโดง ผ่านไปตามด่านซึ่งวางทหารรายทางไว้แต่เมื่อยกมา

​ล่วงเดือนอ้าย และพ้นมากระทั่งเดือนยี่ย่างข้างแรม วิเศษไชยชาญและแขวงอื่นรอบกรุงกำลังเป็นเมืองหนาว ถึงฟ้าจะโปร่งและห้วงหาวหมดเมฆแต่ทว่าทุ่งและผืนนามีหมอกจัด ความหนาวของฤดูกาลก็เป็นธรรมดา แต่วิเศษไชยชาญและแขวงอื่นเวลานี้กำลังหนาวคศึกมาตั้งแต่ท้ายเดือนอ้าย ป้อมรอบกรุงเอาปืนใหญ่ขึ้นประจำ แล้วตั้งพิธีบวงสรวงเทพารักษ์ เพราะหัวเมืองทั้งปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือเวลานี้เสียแก่พม่าข้าศึกไปหมดสิ้นแล้ว วัดวาอารามกระทั่งโบสถ์และวิหารน้อยใหญ่ ถูกรื้ออิฐไปก่อกำแพงล้อมเป็นค่ายใหญ่ของพม่า ด่านทางอุทัยละเอียดไปด้วยทัพพม่าเดิน แล้วตั้งค่ายอยู่ประจำแขวงวิเศษไชยชาญ

หลังคาเรือนและกระท่อมทับโรงนามอดเป็นเถ้าถ่านลงกองดินนับไม่ถ้วน ทุกหย่อมหญ้าระส่ำระสาย ศพตายในเพลิงศพนอนกลางดินเมื่อถูกโจรพม่าปล้น เด็กอ่อนตายเพราะแม่เด็กมันตายไปก่อน ผู้เฒ่าหรือชายฉกรรจ์ทั้งหลาย ดาบพม่าปลิดชีวิตไปแล้วนับไม่ได้ แต่ผู้หญิงถูกปล้นริบตัว ลูกสาวและบุตรธิดาใครอื่นต้องจากเหย้าด้วยมือโจรอุ้มขึ้นนั่งม้าไปส่งยังค่ายใหญ่ วิเศษไชยชาญกำลังจะเป็นเมืองร้าง กระท่อมและโรงเรือนถูกเผาพินาศทุกวัน หากไม่เผาเรือนและกระท่อมนั้นก็ร้างเจ้าของ ด้วยผู้คนอพยพพากันหนีร้อนขึ้นอยู่บ้านบางระจันแทบหมดสิ้น

ด้วยความปลื้มที่จะได้สุขของนายกองกับหมู่ขาบ ด้วยฤทธิ์น้ำเมาที่นายกองดื่มให้ใจกล้าและครึกครื้น เมื่อแบ่งทหารและคุมครัวมาครึ่งหนึ่งแล้วก็แบ่งอีกครึ่งหนึ่งให้คุมต่อไปเพื่อข้ามน้ำส่งเข้ากรุง แต่เฟื่องกับจวงต้องยับยั้งอยู่ก่อนเพราะราชการของนายกองและหมู่ขาบคู่ใจ ซึ่งจะต้องคอยรับแล้วส่งครัวเข้าเมืองจนกว่าจะมีคำสั่งเรียก

ตั้งแต่ท้ายเดือน ๑๒ กระทั่งเดือนยี่เกือบจะครบ ๒ เดือน บ้านพรานหากจะตกอยู่ในเขตแขวงที่พึงสยองด้วยข่าวศึกโจรพม่า ซึ่งเมื่อแรกก็เข้าปล้นค้นทรัพย์แต่เพลากลางคืน เดี๋ยวนี้โจรนั้นหาเลือกว่ากลางคืนหรือกลางวันไม่ แต่การที่นายกองสังข์กับหมู่ขาบต้องจำใจอยู่บ้านพรานกับเฟื่องและจวงต่อมาจนจะย่าง ๒ เดือน ก็เพราะกำลังทหารที่แยกไว้นั้นต่างพากันหนีหายหมดด้วยไม่มีนายคุมและเกรงภัยจากกำลังของกองโจรพม่า คอยกำลังเพิ่มจากกรุงเล่าก็เงียบ​หายหมด เพราะประตูกรุงเวลานี้ปิดสนิทห้ามผู้คนเข้าออก ส่วนพลซึ่งเหลืออยู่แต่เพียงน้อยก็จำอยู่กับนายสังข์ต่อไปด้วยความยากแค้นกันดาร และต้องออกลาดตระเวนหาอาหารตามหมู่บ้านมาสู่กันกินแทบทุกวัน ฝ่ายจวงกับเฟื่องก็คร่ำครวญถึงกระทุ่มด่านโน้นอยู่ไม่วาย

ในดงท้ายบ้านโคบึง ถัดบ้านพรานลงมาชั่วข้ามทุ่งทางทิศใต้ โคบึงเป็นบ้านร้างเช่นเดียวกับแขวงอื่นในวิเศษไชยชาญ และเป็นที่สะดวกสบายของกองโจรเมื่อชิงทรัพย์และผู้คนแล้วก็หลบเข้าดงหาไม่ก็ข้ามน้ำย้อนใต้ลงมาอีกเพื่อเข้าหมู่บ้านที่มีผู้คนอาศัยฉกชิงทรัพย์สมบัติต่อไป

ตะวันใกล้เย็น กองม้าที่มีพลมากเกิน ๔๐ เป็นที่ครั่นคร้ามกันทั้งโคบึงตลอดไปจนลำน้ำบ้านกรดข้างใต้และบ้านยางแขวงตะวันตก แต่กองม้าโจรเหล่านี้หากจะเป็นที่หวาดกลัวแก่ชาวบ้าน เมื่อก่อนเพราะสำคัญผิด แต่เมื่อนี้แล้ว ก็เป็นเครื่องอุ่นใจแก่ชาวบ้านที่หนีซุกหนีซ่อนเพราะเกรงโจรพม่า

ม้านำสีประหลาดของกองม้าคืออ้ายสีดอกเลา บนหลังของอ้ายเลาเป็นอ้ายโจรหนุ่มพื้นบ้านคำหยาด และเลื่องลือไปทั่วทิศว่าเป็นโจรที่ชอบหักทัพโจรพม่าและทหารกรุงที่ประพฤติเลวหลาย แต่เจ้าหนุ่มพวกพื้นบ้านตลอดทางที่มันพักมา เมื่อรู้ความจริงแน่ก็พากันเข้ายอมสวามิภักดิ์เป็นพวกรวมทั้งกองม้าเดิมของมันร่วม ๕๐ คน

ทัพขี่อ้ายเลาเหยาะย่างมาตามลำน้ำ หัวใจมันเศร้านักเมื่อเห็นหมู่บ้านและกระท่อมทับลงกองเป็นเถ้าถ่าน เพราะฝีมือโจรข้าศึก มันมาไม่ทัน ถ้าหากมันมาทันแล้วถึงตัวจะตายโจรพม่าก็จะต้องละเอียดกลับไป เลือดจะไหลแทนน้ำในคลอง นึกแล้วก็อนาถไปถึงกระทุ่มด่าน กระทุ่มด่านซึ่งจากมาแต่ท้ายเดือน ๑๒ แล้วมิได้ย่างไปอีกเลยเพราะจะเสียคำชายที่ลั่นไว้ว่า หากไม่มีอีจวงเจ้าเฟื่องมันก็จะไม่คืนกระทุ่มด่านเป็นอันขาด ถึงหากใจมันจะรอนๆ คิดถึงแฟง หวนห่วงไปถึงแม่ แต่อีจวงกับเฟื่องยังระเหระหน เมื่อไม่พบแล้วก็ต้องค้นตะลุยเรื่อยมา เสบียงที่ถูกพม่าแย่งก็ถูกมันแย่งต่อมาอีก หากแต่ชาวบ้านสำคัญผิดก็พากันเลื่องลือมันผิดไป

​เกินโคบึงมาแล้ว ไกลจนล้ำเข้าทุ่งบ้านพราน บ้านพรานก็เงียบเหงาเหมือนบ้านพรานป่าเพราะคนร้างไปมาก ยิ่งตะวันเย็นกระท่อมและเรือนร้างของบ้านพรานก็เหงาเงียบจนเกิดเหงาหัวใจ แต่ถ้าหากบ้านพรานนี่มีเฟื่องของพี่หลงอยู่แล้ว หากจะแสนเหงาก็สุขหัวใจเหลือหลาย

แสงเพลิงจับท้องฟ้าข้างหน้า ควันกลุ่มพุ่งขึ้นราวกับเมฆฝน มันชะงักม้าดูชะงักม้ามองจนแน่ใจว่าหมู่บ้านนั้นคงจะถูกเผา หมู่บ้านนั้นคงจะถูกปล้นเมื่อตะวันเย็นด้วยความชะล่ากำเริบของโจร

ม้า ๕๐ แยกออกเป็นขบวนชั่วมันโบกมือสั่งเจ้าเคลิ้มเจ้าเอิบ

“บ้านพรานถูกเผา” มันชี้นิ้ว “ตามกูเร็ว”

ขาดคำเสียงโกลนแล้วฝีเท้าควบก็สนั่นทั้งทุ่งบ้านพรานดินและหย่อมหญ้าสดในฤดูหนาวก็ป่นไปด้วยฝีเท้าม้าห้อเหยียดโฉมหน้าเข้าทิศที่แสงเพลิงขึ้น

ตำแหน่งแห่งหนที่พม่าเพิ่งรู้เบาะแสว่ายังมีชาวบ้านอาศัยชั่วคราว คือบ้านพราน ฉะนั้นกองโจรพม่าซึ่งยับยั้งอยู่ตามดงและหมู่บ้านร้างใกล้เคียงจึงคุมกันมาปล้นโดยชะล่าใจ

หมู่บ้านกว่า ๑๐ หลัง ทางตะวันออกกำลังรุ่งโรจน์ด้วยแสงเพลิงอลหม่านด้วยผู้คนหนีย้อนมาทางด้านซึ่งนายกองพักอยู่ด้วยหวังพึ่งกำลังทหาร เด็กอ่อนและคนเฒ่าผู้แก่พลัดอยู่ในกระท่อมพระเพลิง เมื่อพ้นมาก็ถูกจับ ที่รุ่นฉกรรจ์ก็คุมกันมานะสู้เพื่อรอดชีวิต แต่ไม่มีใครค่อยจะรอดได้กี่คน เพราะโจรล้อมหลายกอง

นายสังข์คุมทหารเหลือซึ่งเพียงครึ่งโจรพม่า หัวใจรวนเรด้วยห่วงเหย้าและหมู่บ้านทางแถบตะวันตกนี้ แต่แสงเพลิงและเสียงร้องนั้นเหลือจะดูดาย ทั้งหมู่ขาบเล่าหากจะใจชั่วเมื่อก่อน แต่ไทยทั้งหลายกำลังจะถูกเพลิงคลอก ผู้หญิงจะถูกอุ้มขึ้นม้าไปอีก ทรัพย์และกระท่อมจะเป็นเถ้าถมดินให้เกิดอนาถ

ไม่ทันได้ยกไปเพราะรีรอด้วยกำลังน้อย เสียงโห่สำเนียงและภาษาแปร่งของโจร ๓-๔ กองร่วมร้อยก็โฉมหน้าเข้ามาทั้งพลเดินและพลม้ากำลังมุ่งหน้ามาบ้านพรานตะวันตก

​เฟื่องสั่นทั้งหมด จวงแทบจะสิ้นสติเพราะเสียงโห่และโจรที่มาใกล้แล้วทุกขณะ ทหารหลวงทุกคน ๓๐ กว่าชักดาบตามคำสั่ง ม้าเหลือเพียง ๑๐ ตัวนอกนั้นเป็นพลเท้าสิ้น พร้อมด้วยชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านอีกไม่กี่คนแล้วที่วิ่งเข้าสู้อย่างจนตรอก และ ๓-๔ ชีวิตแรกก็ฟุบลงด้วยดาบพม่าปลิดและกองม้าก็โถมมา

อ้ายเลาเจนศึกห้อเหยียด แม้อ้ายเลาจะห้อถึงปานนั้นเล่าก็ยังช้ากว่าหัวใจอ้ายทัพ ยิ่งเห็นกองม้าและพลเท้าพม่ามุ่งเข้าบ้านตะวันตก...กำลังสู้กันชุลมุนคนล้มตายไปเพราะม้า ลุยรายเป็นช่องๆ หมู่บ้านกำลังถูกพม่ากระจายปีกล้อม หัวใจกูจะแตกแล้วอ้ายเลา...เอ๋ย มึงห้อไม่ทันใจเลย บ้านพรานมิใช่บ้านสำหรับเขาอื่นจะเข้าย่ำ แต่ที่บ้านพรานมันคุมคนเข้าสู้นับว่ามันใจทหาร แข็งใจไว้เถิดอ้ายชาวบ้านพราน แข็งใจคอยกูชั่วอ้ายเลาแล่นไปอีกเพียงเส้นกว่าเท่านั้น

ไฟติดเรืองขึ้นอีกหลังหนึ่งแล้ว มีดไม้ของชาวบ้านพรานลงนอนดินอยู่ในกำมือของเจ้าของมันแล้ว แต่ก็ได้เลือดติดก็สมใจละที่จะตาย

อ้ายเลาแล่นปราดมาใกล้ ทัพเบิ่งตามอง โถ ทหารหลวง...ทหารกรุงระเนระนาด ที่เหลือก็อ่อนเปลี้ยเต็มทน ถึงจำได้ว่าอ้ายสังข์ศัตรูทั้งอ้ายขาบ แต่สังข์เอ๋ย...กูจะต้องตายด้วยมึง อีกสิบชีวิตของอีเฟื่องกูก็ไม่รักเท่าชีวิตมึงที่สู้มันเพราะรักชื่อทหาร ศพทหารเกลื่อนนั้นแหละกูรักยิ่งชีพกูอีก

ใกล้เข้ามาอีกเพียง ๕-๖ วา บังเหียนอ้ายเลาก็คล้องหัวอาน หัวใจครางกระหึ่ม ดาบแล่นจากสองไหล่ควงวับแล้วส่งเสียงตะโกนด้วยหัวใจบ้าสั่งกองโจร

“รบ” ขาดคำมันก็ลุยอ้ายเลาเข้ากลางพลเท้าพม่า เตือนอ้ายเลาโผนเข้าเหยียบ สองดาบเด็ดเป็นหัวๆ เกลื่อนทาง กองม้านายเคลิ้มที่เป็นปีกก็ตะลุยย้อนเข้าหากองนายเอิบ ควบเข้าชน และออกสกัดกั้นทหารที่อ่อนแรง แต่อ้ายทัพยังมุ่งตะลุยเข้าหากองม้าพม่าที่กำลังล้อมเจ้าสังข์

“รบมันอ้ายสังข์” เสียงตะโกนซึ่งนายสังข์เกือบจะหลงลืมไปแล้วว่าเป็นใคร แล้วก็เสียงตะโกนอีก “แข็งใจไว้อ้ายสังข์กูมาช่วยมึง อ้ายทัพมาช่วยมึง”

เพียงได้ยินชื่อ แขนที่เมื่อยล้าและอ่อนแรงของนายสังข์ก็กลับฟันโหดร้ายขึ้น อยากจะหันดูหน้ามันพอชื่นใจแต่กำลังรบติดพัน แต่ในชั่วใจนึกอ้ายเลาก็​แล่นขึ้นหน้านายสังข์ ม้าที่ควบลุยตามอ้ายเลาก็มาเป็นหาง ล้วนแต่ดาบสองมือ แล้วเสียงครวญครางที่ฟังภาษาไม่ออกก็เพิ่มขึ้น ศพนอนดิ้นก็มากขึ้น ที่ขาดใจอยู่แทบหลังม้ามันก็มากหลาย เออ ละเอียดไปแล้วกองหนึ่ง

พอห้ออ้ายเลากลับ นายสังข์ก็ชี้มือไปเรือนใหญ่ข้างท้ายซึ่งไฟกำลังจะติดถึง

“พ่อทัพ เฟื่องมันอยู่บนเรือนทั้งจวงด้วย”

มันใจหายเมื่อได้ยินชื่อเฟื่อง ใจหายว่าเฟื่องจะถูกพม่าอุ้ม แล้วก็ควบอ้ายเลาออกนำตรงไปแสวงกลิ่นเลือดข้างหน้า กองเจ้าเคลิ้มเจ้าเอิบก็ค่อยเบาแรงลงเพราะตะลุยพวกพลเดินเท้า

เฟื่องหลับหูหลับตา จวงประนมมือสั่น ใบดาบแดงเลือดของพม่าที่ถือตรงมาหาเจ้าแล้วก็คว้าข้อมือฉุด แต่ในชั่วฉุดนั้นแหละอ้ายโจรที่หายหน้าไปแต่วันโกรธกันในดงมันก็โดดขึ้นเรือนพร้อมด้วยนายสังข์

แล้วดาบสองมือก็ฟันกันเป็นประกาย แต่ฝีมือของพม่ากองโจรคงเป็นแต่เพียงฝีมือที่พอจะฟันกับมือพล แล้วมือเยี่ยมของอ้ายลูกชายนายทหารอาทมาตก็ปลิดชีวิตเสียในชั่วแล่น แล้วก็โดดชิงปลิดเสียอีกศพหนึ่งที่กำลังรุกไล่นายกองสังข์มา

“โธ่เอ๋ย พี่ทัพ” จวงและเฟื่องวิ่งโผเข้าหา

“เออ ลงเรือนเร็วเถอะ ไฟติดมาแล้ว” ขาดคำมันก็พยักหน้าให้นายสังข์คุมระวังหลังสองหญิงตามมันมา อุ้มขึ้นนั่งหลังม้าแล้วส่งให้ทหารกรุงล้อมไว้

แค้นมันยังไม่สิ้น พลเท้าของโจรต่างภาษาที่แตกพ่ายไป เพราะกองม้าอ้ายเอิบยังไม่สมใจมัน แล้วก็ควบอ้ายเลาแล่นไปอีก

“อย่าให้เหลือกลับ” มันร้องสั่ง “ย่ำไปเถอะอ้ายเคลิ้ม เพราะถ้าเรามาไม่ทันมันก็ย่ำบ้านพรานแหลกเหมือนกัน ตลบลงลำน้ำเลย นั่น” มันขี่นำลุยไม่ลดละ ลุยไปเพราะว่ามึงลุยมาก่อน กองเจ้าเอิบก็ต้องมาแต่หนเหนือ อ้ายเคลิ้มบีบไปจากข้างใต้ แล้วอ้ายโจรที่กำลังบ้ากลิ่นเลือดก็ตะลุยให้ขาดกลางย้อนไปย้อนมา สมใจ มึงจะต้องเน่าอยู่ตลอดลำน้ำนี้ แล้วไปเกิดพร้อมกับเพื่อนบ้านพรานและลูกเด็กเล็กแดงซึ่งตายในเพลิงแล้วก็ไปรบกับทหารกรุงที่มึงฟันตายในเมืองผีให้ลับตากู

​เดือน ๓ ข้างขึ้น แม้จันทร์กลางคืนจะทรงกลดอยู่เหนือกระทุ่มด่านจับหลังคาเรือน และกระท่อมหมู่บ้านน่าสำราญ แต่คนที่จักอยู่เฝ้าชมจันทร์ในกระทุ่มด่านหามีไม่ คงทิ้งให้กระท่อมและทุ่งรกนั้นอ้างว้างอยู่กับจันทร์ต่อไป ชาวกระทุ่มด่านไปไหนเสียเล่า อพยพหนีภัยขึ้นบ้านระจันสิ้นแล้ว แม้แต่ครอบครัวของกำนันกระทุ่มด่านทุกคนก็พลอยหายหน้าไป หากจะมีผู้เฝ้าชมจันทร์อยู่ ก็คือกองม้าใหญ่ที่ประหารกองโจรพม่าแหลกละเอียดไปที่บ้านพรานท้าย เดือนยี่เท่านั้นที่ยกมาตั้งกองอยู่ชายดงพร้อมด้วยทหารกรุงเหลือตาย ๗-๘ คน กับเจ้าเฟื่องและจวงน้องสาว เจ้าคนหนุ่มที่นำกองคืนมากระทุ่มด่านอย่างองอาจ และตั้งมั่นอยู่ใกล้วัดร้างเพื่อสืบหาถึงครัวของกำนันต่อไป

นายสังข์แม่กองทหารเหลือตายพร้อมด้วยหมู่ขาบนั่งกอดเข่าแหงนดูจันทร์ หญิงสองคนคือเฟื่องกับจวงนั่งอยู่ห่าง ต่างคนต่างคิดไปในเหตุหลังแล้วหมู่ขาบก็ร้องไห้ ทำไมหมู่ขาบทหารเคยศึกจึงร้องไห้ง่ายดายเล่า ในเมื่อเห็นเจ้าทัพที่ตนเคยตามค้นตัวเดินตรงมาหา

ทัพมันเดินหน้าเศร้า ยิ่งเหลือบเห็นสองหญิงแล้ว หญิงหนึ่งก็ทำให้มันยิ่งเศร้าหนัก

“พี่ทัพมา!” หมู่ขาบพูดเสียงยังบอกว่าร้องไห้ “นั่งก่อนเถอะพี่ทัพ”

มันนั่งลงอย่างสติเผลอลอย “ทำไมหรือขาบ?”

“มีเรื่องจะพูดให้พี่เข้าใจสักหน่อย” หมู่ขาบซึ่งบัดนี้ได้น้อมใจสวามิภักดิ์เรียกมันว่าพี่แล้วด้วยความเต็มใจทั้งนายกองสังข์ด้วย “ฉันยังเสียใจไม่หายถึงแม้ว่าพี่ทัพจะไม่ถือโทษเรื่องเฟื่อง แต่ฉันก็ยังไม่หมดที่จะเสียใจ”

“แล้วไปแล้ววะขาบ ข้าก็รู้ว่าเอ็งรักเฟื่องสนิทสนมดีก็ถูกละ ผู้ชายกับผู้หญิงเมื่อมันอยู่ร่วมกัน ๒ เดือนก็จะพ้นกันไปได้ยังไง ข้าก็เสียดาย แต่เมื่อเอ็งรักเฟื่องที่ข้ารัก ข้าก็สิ้นจะเสียดายเพราะมีคนรักมันแทนเท่าๆ กะข้า แต่ขาบเอ๋ยเราจะต้องร่วมชีวิตกันต่อไป เอ็งจะเอาผู้หญิงขึ้นมากังวลใจทำไมเล่า ถ้าข้าจะหาผู้หญิงเดี๋ยวนี้แล้วปล้นเอาสักร้อยอย่างพม่าก็ได้ง่ายๆ แต่ข้าจะหาเพื่อนตายหาเพื่อนร่วมชีวิตไว้เป็นสติกำลังที่จะรักษาชื่อของเรา รักษากระทุ่มด่านมิให้ใครมาเหยียดได้นี่ข้าหายากนัก ข้าพูดเท่านี้เอ็งคงจะเชื่อข้าและเลิกคิดอ้ายความที่แล้ว​มาแล้วเสียเดี๋ยวนี้ เฟื่องมันเป็นน้องสาวข้าเหมือนอีจวง และเอ็งก็เป็นน้องข้าที่จะต้องร่วมกอดคอกันตายในศึกไม่รู้ว่าจะเป็นมื้อใด ถ้าใจข้าเท็จไม่ตรงปากพูดแล้วให้ข้าดับไปตามเดือนในค่อนรุ่งนี้เถอะวะขาบ ถึงเจ้าสังข์ก็เหมือนกัน”

เสียงสะอื้นมาจากนายสังข์ นายขาบ ร้องไห้ดังจนหญิงทั้งสองลุกมาเพราะไม่รู้ความ แล้วหมู่ขาบก็รั้งเฟื่องเมียรักลงกราบมันขอขมา ทัพมันลูบหัวเฟื่องพูดไม่ออก มือสั่นริกๆ เมื่อลูบหัวเฟื่องกับขาบ เงาไม้ข้างหน้าก็ทำให้มันคิดเคลิ้มเหมือนเงาตาล ๕ ต้นแขวงคำหยาดเมื่อ ๙ เดือนหนหลังโน้น

เมื่อจวงกับสังข์มันนั่งคู่กันอยู่ทางหนึ่ง อีกทางหนึ่งขาบกับเฟื่อง มันชมจันทร์ปรับทุกข์กัน เจ้าคนทุกข์หัวใจพลอยปลื้มไปแทนเขา ขอให้มันอยู่รัก อยู่ใคร่กันยืดเยื้อไปเถอะ...กูจะทำศึก

แล้วมันก็กลับไปนอนเดียวอยู่ใต้เงาไม้ มันนอนก่ายหน้าผากคิดไปจนค่อนดึก พระจันทร์ลับดวงสิ้นแสงไปพร้อมกับมันที่หลับไปกับความคิด

สว่าง ไม้หมู่ในดงที่มืดครึ้มก็ได้แสงตะวันส่องไม่ทันสาย ข้าวปลาอาหารก็พร้อมอยู่โคนไม้ที่เจ้าทัพนั่ง ฝีมือกับข้าวป่าของเฟื่องยังไม่ทิ้งรส อ้ายสังข์คงชอบฝีมืออีจวงอยู่เหมือนกัน แต่ดูจะสุขหัวใจมากกว่าเจ้าเฟื่อง เฟื่องมันคอยจะหลบหน้าไม่มองให้จังเลย แต่อีเฟื่องมันเป็นน้องสนิทอยู่ในหัวใจเสียแล้ว ก็เลยยุให้มันจุ๋งจิ๋งกับเจ้าขาบ แล้วพูดจาขับล้อม้าแล่นอย่างนึกเอ็นดูเหมือนอีจวง

กินข้าวเสร็จนั่งพักอยู่สักครู่ตั้งใจว่าพอหายอิ่มจะออกซ้อมม้าให้พวกพลที่ยังไม่ชำนาญ จะถอดฝีมือดาบให้เจ้าสังข์เจ้าขาบ และอ้ายฟักไว้เป็นกำลังสู้ศึก ก็พอดีทหารของเจ้าสังข์เข้ามาบอกว่า มีภิกษุชราในวัดร้างอยากจะพบมันแลมาคอยอยู่แล้ว

“ไปนิมนต์ท่านมาเถิด” ทัพสั่งและตั้งตาคอยด้วยประหลาดใจ ชั่วประเดี๋ยวเดียวทหารก็นำภิกษุนั้นมา

มันเบิ่งตาโพลงและโผเข้ากราบเท้าท่าน

“หลวงพ่อ”

“เออ” ภิกษุเที่ยงซึ่งจาริกมาลูบศีรษะ หัวใจตื้นที่เห็นอ้ายทัพยังมีชีวิต

“ไปมายังไงหลวงพ่อถึงมานี่ นิมนต์นั่งก่อนเถิด”

ภิกษุเที่ยงนั่งลงบนผ้าปูซึ่งทัพจัดให้ แล้วก็เริ่มเล่าตั้งแต่ท่านรู้ว่าเจ้าทัพเข้าปล้นกองนายขาบฟันทหารตาย ส่วนท่านเกรงผิดก็เลยหลีกตามมากระทุ่มด่านแต่ไม่พบใครเสียแล้ว

พอรู้ความ ทัพก็นำขาบและสังข์เข้าขอขมาท่าน ทั้งเหล่าความให้ฟังทุกประการ นายทหารอาทมาตเก่าปลื้มเป็นล้นพ้นที่ทราบความดังนั้น แต่ก็ยังไม่ไว้ใจอ้ายลูกหนุ่มมุทะลุนัก จึงว่า

“ทัพ พ่อรู้ตั้งแต่แรกเอ็งยกมาถึงและข่าวเลื่องลืออื่นจึงอยากจะขออะไรเอ็งสักอย่าง”

“อะไรล่ะ หลวงพ่อ”

“หัวใจเอ็ง” ท่านว่าแล้วมองหน้าเลิ่กลั่กของลูกชาย

“หัวใจ เอ๊ะ ฉันยังไม่รู้ความเลยหลวงพ่อ”

“รู้ซี พ่อจะบอก เอ็งมุทะลุหนักทัพเอ๋ย เอ็งมุทะลุจนเกือบจะเป็นคนคดแผ่นดินอยู่แล้ว ขอให้เอ็งถวายแก่พ่อเสียเถิด ขอให้ใจมุทะลุของเอ็งถวายพระเสียเถิด เอ็งผิดมามากแล้ว เพราะฉะนั้นผิดของเอ็งที่จะประพฤติอีกข้างหนึ่งก็ขอให้ถวายพระถวายพ่อเสีย”

ทัพค่อยได้สำนึกตัวในหนหลังที่ก่อผิดไว้ มันปล้นเมื่อมันยากแค้น มันสู้เมื่อทหารไม่เปิดทางให้มัน แต่วันนี้จะถวายหลวงพ่อ และถวายแก่พระอันเป็นหลักชัยของศาสนานับถือ

มันสั่งให้เตรียมพลพร้อมหมด พอตะวันสายก็ตามหลวงพ่อตรงไปยังวัดร้างที่ท่านเพิ่งจาริกมาจำพรรษา

พระพุทธรูปในโบสถ์ร้างเป็นพยานอยู่ตรงหน้า ภิกษุเที่ยงผู้เห็นโลกมาแล้วตลอดเลยเบื่อหน่ายในทางโลก หากเกียรติยศทหารของท่านมีสิงใจอยู่ แม้ท่านจะไม่เกี่ยวข้องกับโลกก็จริง ท่านจะช่วยเหลือทดแทนคุณแผ่นดินไม่ไหวก็จริง แต่เหล่ากองทหารของกองอาทมาตยังเหลืออยู่คืออ้ายทัพ

ทัพจุดธูปเทียนซึ่งบิดาหาสำรองไว้แต่แรกมาอยู่ ถัดไปล้วนนายหมู่ นายกองอีก ๖ คนทั้งหมู่ขาบนั่งกันเป็นแถว ภิกษุเที่ยงยืนมองมันถมึงทึงเพื่อฟังสัญญาณนั้น

​แล้วทัพก็เริ่มสาบานต่อหน้าพระพุทธรูปประธาน ต่อหน้าหลวงพ่อผู้ให้กำเนิดมาเป็นผู้ชาย ผู้ให้กำเนิดให้ฝีไม้ลายมือจนกระฉ่อน ด้วยเสียงดังก้องโบสถ์

“ข้าขอสาบานต่อหน้าพระพุทธรูป ต่อหน้าหลวงพ่อ ความผิดหนหลังซึ่งประพฤติมาแล้ว ปล้นสะดมทรัพย์อื่นและเสบียงอาหารเป็นข้อผิดทั้งหลายแหล่ ข้าขอเลิก ขอถวายพระผู้นิพพานไปแล้ว ทั้งพระธรรมและสงฆ์ที่เป็นพยานอยู่ ต่อหน้านี้ ข้ามิใช่คนคดแผ่นดิน ข้าจักอาสาแผ่นดินจนตัวตายเพราะรักเหล่ากองทหาร หากข้าเสียสัตย์ เสียคำสาบานวันนี้ ก็ขอให้มีอันเป็นไปเถิด”

ภิกษุชราค่อยยิ้ม ฟังถนัด ทุกคำของมันตื่นหัวใจ แล้วความที่ท่านคิดไว้ว่าจะบอกมันเมื่อสัญญาเรียบร้อยก็เร้าใจท่านยิ่งขึ้น

“ดีละ ลูกเอ๋ย คำสาบานของเอ็งถูกใจพ่อนัก มึงสมเป็นลูกทหารแท้ๆ แล้วอ้ายทัพ กูขอเกิดร่วมมึงเป็นพ่อลูกกันไปทุกชาติ ฟัง”

เสียงเตือนสุดท้ายของท่านทำให้เงียบเสียงพึมพำลงไปอีก โบสถ์กำลังสงัด หัวใจทุกคนของผู้ที่เข้ามาสาบานกำลังสงบ

“ฟัง ทุกคนเถอะลูกเอ๋ย พวกเจ้าผิดมามากแล้ว เกิดเป็นคนต้องแก้ตัวในผิดนั้น พวกเจ้ากำลังจะได้ช่องแก้ตัวให้พ้นผิด จงก้มหน้าสนองพระเดชพระคุณแผ่นดินที่เจ้าละเมิดมาแล้วเถอะ บางระจันเหนือโน่นเกิดศึกแล้ว” ท่านชี้มือขึ้นทิศเหนือแล้ว พูดเสียงดังขึ้นอีก เป็นเสียงของนายหมู่อาทมาตที่ฟังแล้วแสยงขนเมื่อก่อน

“บางระจันกำลังเกิดศึก พวกบ้านระจันเป็นแต่ชาวบ้าน แต่พวกบ้านระจันมันไม่ยอมให้ฝ่าตีนพม่าเข้าเหยียบบ้านระจัน หญ้าบ้านระจันไม่ใช่สำหรับช้างศึกหรือม้าพม่าจะมากิน แล้วพวกของมึงเป็นอะไร?”

อ้ายทัพตะโกนก้องโบสถ์

“ตะหาร” แล้วก็เสียงทหารคำรามไปทั่วโบสถ์ร้าง

“เออ” นายหมู่อาทมาตตะโกนถูกใจ เมื่อโบกมือให้สงบเสียงแล้วก็กล่าวต่อไปอีก

“ยกขึ้นบ้านระจันวันนี้ และขอให้จำคำไว้ คนล่าทัพมาอับอายชั่วลูกชั่วหลาน แต่คนตายกลางทัพ มึงได้ยินไหม...คนตายกลางทัพ...ลูกหลานที่ฟังเขา​เล่าก็ปลื้มจนวันตายเพราะมึง...ไปเถิด”

หัวใจสะอื้นไปทุกๆ คน สะอื้นที่จะได้แก้ตัวหาความดี ตื่นเต้นไปด้วยจะได้....ฝากชื่อไว้มิให้ลูกหลานมันอับอาย...เมื่อเล่าถึงศึกปีระกานี้

หน้าโบสถ์ พอตะวันบ่ายพระอาทิตย์เมื่อเที่ยงข้ามหัวไปแล้วนาน กองม้าที่จะเข้าอาสาสู้ศึกประชิดบ้านระจันก็ยืนเป็นระเบียบ หัวชุ่มด้วยน้ำพรทั่วตัวคน หน้าเจิมแป้งทั้งประเจียดและของขลัง ทุกความคิดและทุกหัวใจกำลังร่ำร้องสาบานว่า...หลุมตายอยู่ที่บ้านระจัน

พอแดดอ่อน ภิกษุผู้เปลี่ยนใจโจรให้เป็นทหารก็ให้ศีลให้พรทั่วตัวคนแม้เฟื่องกับจวงมันเป็นหญิง มันก็สมัครจะไปศึกบ้านระจัน มันคิดว่าเมื่อช่วยอื่นมิได้ก็จะปลอบทหารเจ็บ จะเช็ดเลือดและป้อนข้าวพยาบาลปฏิบัติเสมอหน้ากันทุกๆ คน

เมื่อฤกษ์งามยามดีมาถึง นายทหารอาทมาตก็เตือนลูกชายให้เคลื่อนทัพทันฤกษ์ แล้วอ้ายหนุ่มก็ประกาศก้องเปลี่ยนนามกองโจรของมันเองเป็นกองอาสา แม้จะไม่ขลังในวิทยาคมพอจะนำทัพได้อย่างอาทมาต แต่หัวใจและฝีมือนั้นพร้อมเพรียงที่จะเป็นกองอาทมาตของบางระจัน

พอสิ้นเสียงโห่เกรียว อ้ายเลาก็นำกองอาสาใหม่ออกเสียงโกลน เสียงจามและสะบัดแผงของม้าศึก เสียงสรวลเฮฮาคะนองใจและผีเท้าม้าที่เหยาะย่างอึงคะนึง พอพ้นท้ายวัดออกทุ่งแล้วเลือดในอกที่ปุดเพราะเจ็บร้อนเมื่อบางระจันถูกข่มเหง เจ็บใจเพราะศรีอยุธยากำลังถูกทหารอื่นหยาม ก็โฉมหน้าขึ้นจิกโพรงบ้านเหนือ แล้วบ่ายขึ้นสู่ทิศ “บางระจัน”


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,458


View Profile
« Reply #2 on: 15 May 2022, 12:43:01 »


๒ แขนมอบถวายทรงธรรม์เทอดหล้า
​เดือน ๓ กำลังฤดูร้อนจะย่างถึง หากปีนี้จะเหมือนระกาปีอื่นแล้วเดือน ๓ ก็พ้นหน้านามาเป็นหน้าข้าวหน้าลาน ผืนนาและดินอื่นจะถูกตบแต่งเป็นลานนวดลานซ้อมเพลงพื้นทั้งฉ่อยและเพลงลานจะตั้งวงพร้อมกันเมื่อค่ำ แม่หญิงเจ้าจะห่มผ้าและแพรจีบทัดดอกไม้ หน้าและไรผมกันเกลี้ยงดูสะอาดแล้วย่างเท้าเหยียบวงเพลง พอหยุดเสียงปรบมือแพรเพลาะของอ้ายพ่อเพลงหนุ่มก็ขยายจากเอวขึ้นปละสองไหล่แปล้ปลิวลม แล้วเสียงเพลงลานจะเกริ่นในครู่นั้น เกริ่นจากอ้ายหนุ่มต้นเสียงเป็นทำนองปลอบนังแม่เพลง ให้เจ้าสมัครใจมาร่วมวงแก้เกี้ยวพาราสีกันประสาคนบ้านทุ่งบ้านนา

แต่ว่า เดือน ๓ ในระกานี้หาเป็นเช่นนั้นได้ไม่ สาวซึ่งเคยอยู่เหย้าทำงานแทนที่จะได้ลงมาว่าเพลงลานหรือสมัครแต่เพียงฟังพอเพลิน กลับหายหน้าไปหมด ทุกคนต้องหนีร้อนหากกรรมอื่นใดหนหลังที่เจ้าสร้างไว้ตามมา ทั้งสาวงามและบุตรธิดาที่พ่อแม่ทะนุถนอม ภรรยาที่ผัวหวงแหนเหล่านั้น ก็ถูกพรากไปแล้ว​ตามยถากรรม เมียพรากผัวเพราะพม่าอุ้มขืนใจ หากอ้ายหนุ่มผัวมันจักเห็นอ้ายคู่หมั้นคู่แต่งมันจักมองอยู่ตำตาว่าอีสาวชู้รักกำลังจะถูกพราก ก็จำต้องฝืนกัดฟันทนแล้วก้มหน้าน้ำตานอง จักสู้เล่าก็มีแต่วายชีวิต นอกจากเมินหน้าถอนสะอื้นคิดว่าเป็นเนื้อกรรม และถึงเพลาแล้วที่กรุงศรีอยุธยาจะต้องรุ่มร้อนไปทั่วหย่อมหญ้าเพราะไร้คนดี แล้วต่างก็ก้มหน้าหลีกเร้นเอาชีวิตรอดหนีเข้าป่าดงหมดที่มีสมัครพรรคพวกมากหลายก็คุมกันตั้งเป็นซ่องกองโจรปล้นสะดมเลี้ยงชีวิตไปจนกว่าจะถึงวันตาย หรือศรีอยุธยาจะกลับร่มเย็นดังเมืองสวรรค์อีกครั้งหนึ่ง

แต่จักเป็นไปได้ด้วยสถานไร เพราะเนเมียวสีหบดีแม่ทัพฝ่ายเหนือได้ยาตราทัพเรือและบุกรุกล้ำมาทางชัยนาท อุทัยธานี และเมืองสิงห์ สรรค์ แล้วเข้าตั้งค่ายใหญ่อยู่ ณ วัดป่าฝ้าย ปากน้ำพระประสบข้างด้านเหนือ บรรจบกับทัพฝ่ายใต้ซึ่งมังมหานรธาแม่ทัพกับติงจาแมงข่อง จอกาโบ งาจุนหวุ่นและจิกแกปลัดเมืองทวาย ซึ่งยกมาทางสุพรรณแล้วตั้งค่ายใหญ่อยู่ที่สีกุก และให้รี้พลรื้ออิฐปูนตามวัดวาอารามโบสถ์วิหารใหญ่น้อยทั้งปวงมาตั้งล้อมเป็นกำแพงบังรั้วระเนียดค่าย แต่แม่ทัพใหญ่ทั้งสองยังหาที่จะคิดหักโหมเข้าตีพระนครชิงเอาไม่ ด้วยเห็นกำลังรี้พลยังน้อยไม่พอแก่การ จึงตั้งประชิดคอยกำลังที่จะยกหนุนมาอีก เป็นแต่แต่งกองโจรออกปล้นสะดมริบทรัพย์ตามแขวงรอบๆ กรุงเท่านั้น และตามอาณัติสัญญาของทัพพม่าที่ตกลงกันไว้นั้นก็มีว่า เมื่อเกลี้ยกล่อมราษฎรยอมเข้าเป็นพวกพม่าก็ให้ชั่วแต่ทำสัตย์สาบานแล้วก็ไม่ทำร้าย เป็นแต่กะเกณฑ์เอาสิ่งของเสบียงอาหารหรือพาหนะเป็นทาสใช้งานตามกำหนด แต่หากเมื่อบ้านใดเรือนใดคิดจะสู้หรือหลบหนี ก็สั่งให้ริบทรัพย์จับตัวทั้งลูกเล็กเด็กแดงส่งเป็นเชลยเมืองพม่าสิ้น ส่วนเหย้าเรือนเคหสถานซึ่งไม่เป็นที่ต้องการนั้น ก็ถูกเผาพินาศไปด้วยฤทธิ์เพลิง

ฝ่ายพระเจ้ากรุงอังวะเมื่อทราบใบบอก จึงตั้งให้แมงกิม้ารหญ่ามาเป็นผู้ใหญ่ปกครองเมือง แล้วกะเกณฑ์ทัพทั้งชาวพม่าและรามัญยกหนุนมาอีก ให้สุรินทจอข่อง มณีจอข่อง มหาจอแทง และอากาปันญีสี่นายถือพลพม่าพันเศษยกมาตั้ง ณ เมืองเมาะตะมะ แล้วเดินทัพผ่านเข้าอุทัยธานี ตั้งค่ายอยู่ ณ ​แขวงวิเศษไชยชาญ ส่วนพระยาเจ่งตละเกล็บ ตละเสี่ยงนั้นเล่า ก็คุมพลรามัญเมืองเมาะตะมะสองพันเศษ ยกหนุนตามมาทางกาญจนบุรี และทัพเรือหนุนมาตั้งค่ายใหญ่อยู่ยังขนอนหลวงวัดโปรดสัตว์

แล้วความเดือดร้อนก็กลับกระพือให้ร้อนยิ่งขึ้น ตลอดแขวงวิเศษไชยชาญและเมืองสิงห์ทั้งแดนอื่นที่ใกล้เคียง ถูกกองโจรพม่าเข้าห้อมล้อมปล้นริบทรัพย์ แสงเพลิงจับห้องฟ้าทั้งกลางวันกลางคืนไม่ขาด ผู้หญิงถูกอุ้มตัวไป เด็กและคนเฒ่าผู้แก่เสียชีวิต เพราะตรากตรำลำบาก พ่อแม่หาย เชลยก็ถูกต้อนดังควายฝูงส่งไปยังกองคุมครัว แล้วเชลยนั้นก็ต้องละสถานบ้านเกิดเมืองนอนจากบุตรและธิดาไปแล้ว แม้ภรรยาหรือบุตรน้อยไม่หย่านมก็หารู้ว่าอยู่หนไหน นอกจากจะก้มหน้าให้คิดถึงกรรมก่อนตัวเอง แล้วก็เดินหน้าเข้าสู่ทิศกรรมจากศรีอยุธยาไปตายแดนพม่าโน้น

ใครเล่าจักไม่แค้น ทุกบ้านช่องต้องกลืนแค้นไว้ในอกเพราะความจำใจ แต่ความแค้นนั้นกระท้อนขึ้นมาแล้ว แค้นมันมาจุกคอหอยอย่างที่จะกลืนอีกไม่ลงเลย ขอตายเพื่อแค้นนี้ยังดีกว่าอยู่ทนให้เขาข่มเหง ดีกว่าจะรอชีวิตเขาพรากเมียและลูกรักไปจากเหย้า จับดาบเถิด มาร่วมใจกันจับดาบขึ้นสู้มันฟันมัน ถึงจะได้สักแผลเล็กแผลน้อยแล้วตายก็ยังได้แค้นคืน แล้วความคิดขมขื่นใจและเคียดแค้นสาหัสของชาวบ้านแขวงวิเศษไชยชาญ เมืองสิงห์ เมืองสรรค์ ที่เหลือจะทนดูดายให้ข้าศึกข่มเหงอีกต่อไปก็ลุกฮือขึ้นในอกพร้อมกัน ตามบ้านช่องก็ซุบซิบปรึกษาวางอุบาย บ้างจะสู้ดื้อๆ ยอมพลีชีวิต แต่บ้างจะยอมเข้าเกลี้ยกล่อมแล้วลอบฆ่า ครั้นปรึกษากันเป็นที่ตกลงแล้วก็บอกกันทุกบ้านช่องให้เข้ายอมสวามิภักดิ์เป็นพวกพม่า ลวงจะนำเที่ยวค้นทรัพย์ค้นสาวและบุตรธิดาของบ้านอื่น จนพม่าตายใจสนิทจึงจัดคนส่งไปบอกพวกที่ยังหลบซุ่มซ่อนอยู่ตามดงและละแวกบ้านอื่นอีก

ใช่ว่าเมืองไทยจะสิ้นคนดีก็หาไม่ ชายชาติทหารของไทยยังจะพอมีพอหานายแท่นชาวบ้านศรีบัวทอง แขวงเมืองสิงห์ ซึ่งหลบตัวซุ่มอยู่พร้อมด้วยพ้องเพื่อนฝูงอีก ๓ คน ล้วนแต่มีฝีมือเป็นหัวหน้า และชาวพื้นบ้านศรีบัวทองด้วยกัน คือ นายโชติ นายอิน นายเมือง ส่วนพวกชาวบ้านพื้นวิเศษไชยชาญ​ต่างก็บอกเล่าถึงข้อปรึกษาตกลงกับผู้เป็นหัวหน้ามีฝีมือพวกบ้านเดียว คือนายทองแก้ว บ้านโพธิ์ทะเลกับนายดอกไม้ชาวบ้านกรับ เมื่อต่างรู้และหัวใจตรงกันว่าจะขอกอดคอสู้ตายทุกยิบตา ตายไหนตายกัน แล้วพวกชายใจทหารทั้ง ๒ ก็ประชุมศึกษาถึงอุบายที่จะทำกันในวันรุ่งขึ้น

เหนือลำน้ำศรีบัวทองขึ้นไปเป็นดงเปลี่ยวแล้วลับเร้น หากเดินเลาะเพียงชายดงแล้วก็คงเห็นแต่เพียงป่ารกชัฏเปล่าเปลี่ยวเท่านั้น มีกระท่อมบ้านป่า ๓-๔ หลังเพิ่งจะปลูกขึ้น ทุกกระท่อมที่มีผู้อาศัยทั้งชายหญิงไม่น้อยกว่าหลังละ ๔-๕ คน ทั้งมิใช่ชาวป่าบ้านศรีบัวทองเลย ชาวบ้านเหล่านี้เป็นพวกครัวซึ่งต่างอพยพหนีร้อนมาแต่กระทุ่มด่านได้สัก ๓-๔ เดือนนี่เอง ส่วนกระทุ่มด่านผู้เป็นหัวหน้าควบคุมครัวนั้นปลูกเด่นอยู่หลังกลาง

นังผู้หญิงรุ่นสาวที่งามเหมือนดอกไม้ป่ามันนั่งอยู่หน้ากระท่อมหลังกลาง แม้มิ่งไม้ข้างหน้าจะมากมายเป็นดงทึบ แต่ก็ยังได้นั่งหันหน้าไปทางกระทุ่มด่านและบ้านคำหยาดโน้น เจ้าคิดถึงกระท่อมสุขหลังตาล ๕ ต้นที่คำหยาด แล้วหวนคิดถึงเพลาเย็นที่กระทุ่มด่านกลาง ดงโน้นกับดงนี้หากจะมีไม้ไร่เหมือนแต่คนอื่นอยู่ไม่เหมือนกัน แล้วคิดถึงคนไปอีกเรียงตัว พี่เฟื่อง...พี่จวงถูกนายสังข์และหมู่ขาบอุ้มหายหน้าขึ้นม้าไป อ้ายกองโจรออกตามเลยสูญหน้าไปทั้งกอง ป่านฉะนี้อ้ายหัวหน้านั้นจะอยู่หนใดเล่า ตายกลางศึกหรือถูกจับเป็นเชลยก็รู้ไม่ได้ ครั้นแล้วแฟงที่งามดังดอกไม้ประจำไพรก็ซบหน้าสะอื้น เพราะแสงตะวันเย็นทำให้คิดถึงที่กลางดงที่กระทุ่มด่านนัก

ครู่นั้น แฟงเจ้าต้องรีบเช็ดน้ำตาเพราะเสียงเดินออกมาจากในกระท่อม พอเหลียวก็พบกำนันกระทุ่มด่านยืนหน้าตาซีดเชียวบอกไม่สบายใจ

แกนั่งลงใกล้แฟงแล้วถอนใจใหญ่...ถามว่า

“ใจเอ็งมั่นดีล่ะหรือแฟงที่จะทำการนี้ตามคำเขาชวน”

“ชวนอะไร การอะไรกันล่ะลุงกำนัน”

แกร้อง “อ้าว! อีแฟง ก็ที่พวกชาวบ้านเขามาปรึกษาเมื่อคืนว่าจะให้มึงเป็นคนอยู่ล่อตาพม่านั่น เอ็งจะปฏิบัติตามคำนั้นได้แม่นใจเอ็งแล้วรึ”

​แฟงตอบขึงขังรับคำ “มันใช่การอะไรยากนักล่ะฉันถึงจะทำไม่ได้”

“ก็ถูกละ” แกว่า “แต่มึงจะดูเขาฆ่ากันได้ต่อหน้าต่อตาเชียวรึวะอีแฟง”

เจ้าดอกไม้ไพรเลยหัวเราะเสียเป็นข้อขบขัน “อย่าว่าแต่เพียงทนดูด้วยตาเลยลุง ถ้าฉันจะช่วยเขาได้มั่งก็นึกอยากจะช่วยเหมือนกัน”

“มึงพล่ามใหญ่เสียแล้วอีแฟง ทำสีปากดี พอเห็นหน้าพม่าเข้ามึงก็จะเตลิดป่าราบไปเท่านั้น”

แฟงมันหัวรั้นใจดื้อไม่ค่อยจะเกรงใคร เมื่อฟังลุงพูดสบประมาทก็ถอนฉุนทันที

“ฉันไม่ขลาดยังกะลุงหรอก ดีเสียอีกล่ะนา ที่ฉันมันเป็นผู้หญิง หาไม่ก็จะไปกะเขาด้วย ไม่ต้องมานั่งเป็นคนล่อตาพม่ายังงี้หรอก ไม่เชื่อก็คอยดูเอาซีว่าฉันจะกลัวมันหรือไม่กลัว พวกเราก็มีคอยอยู่เหลือหลายพอๆ กัน แล้วจะมานั่งกลัวเกรงมันใช่ควร”

กำนันเก่ากระทุ่มด่านครางฮือทั้งๆ ที่แกนึกเคืองคำอีหลานสาวอยู่มาก

“แต่นี่เพลาจวนมันก็ใกล้เข้ามาแล้วอยู่มากนะอีแฟง ข้าว่าเมื่อเอ็งไม่เห็นงามยังไงก็รีบคิดเปิดกันเสียก่อนล่ะดี”

แฟงจ้องลุง “เปิดไปไหน...เปิดไปลำพังเรา ถ้าหากว่าพบพม่าเข้าแล้วจะซ้ำร้ายใหญ่ และพวกที่เขานัดกันมาก็จะหยามหน้าเอาว่าลุงขี้ขลาด เมื่อมันจะตายเสียดงศรีบัวทองนี้ก็ยังจะดีกว่าต้องเดินไปตายเมืองพม่า...ฉันว่างี้ละ”

กำนันเลยจนคำแฟงอีก แกนั่งถอนใจอยู่พักหนึ่งก็พอพวกในกระท่อมพักหลังอื่นพากันมาพร้อม บ้างปรึกษาเป็นทุกข์ แต่ที่เห็นพ้องตามคำแฟงก็มีอยู่มากหลาย จึงทุ่มเถียงกันอยู่

ตะวันเย็นแล้ว แสงแดดที่ส่องไม้ในดงรำไรเมื่อสักครู่หายไปสิ้น

ดงกำลังจะมืดมัวและย่างเข้าหาความสงัด แต่หัวใจเจ้าของกระท่อมพำนักในดงทุกคนกำลังเต้นอยู่ระทึกด้วยเวลานัดใกล้จะถึง เวลาคอยที่จะล้างแค้นให้สาสมใจกำลังจะมาสู่กลางดงสงัดนี้ แล้วต่างก็เตรียมอาวุธซุกซ่อนไว้ในที่ใกล้มือ แต่บ้างก็คิดจะหลีกเลี่ยงเข้าดงทึบต่อไปอีก ส่วนแฟงมันกลับหวนเข้ากระท่อมแต่งตัวสวยมานั่งคอยเวลาสีหน้าเป็นปกติ

​ชาวบ้าน ๗-๘ คนเดินรีบร้อนมีอาวุธครบมือทุกคน แม้แฟงเองก็ไม่วายจะหัวใจตื่นครึกโครมเมื่อเห็นคนเหล่านั้นมาถึง

คนหนึ่งพูดกับแฟงว่า “ได้เพลาแล้ว พี่โชติคุมคนมาซุ่มคอยอยู่ปากดงขอให้รีบออกไป เพราะอีกสักครู่พวกเราจะพามันมาค้น ให้ไปเดินอยู่ก่อนชายดงพอล่อตา หาไม่มันจะเกิดระแวงไม่สำเร็จ”

หากใจจะกล้าพูดกับลุงเมื่อแรกแต่ก็ไม่วายที่แฟงจะเกิดใจคอหวั่นไหวตัวสั่นเทิ้ม ทั้งไม่วายนึกไปว่าไฉนเล่าอ้ายกองม้ากระทุ่มด่านโน้นจะได้มาพบกันทันเพลาอันคับขันนี้บ้าง

แต่เมื่อตั้งสติมั่นคงดี แฟงมันก็ย่างจากกระท่อมลงดินเดินตามคนเหล่านั้นมา แฟงมันก็รู้ว่ามันสวยไม่แพ้พี่เฟื่อง และการรักที่จะประดิดประดอยตบแต่งให้งามขึ้นอีกมีประการไรบ้าง เมื่อเดินมาตามทางจึงเลือกได้ดอกไม้ไพรขึ้นแซมผมและทัด อารมณ์มันก็นึกไปว่าถึงจะตายเพราะพี่น้องชาวบ้านศรีบัวทองก็ขอให้ดอกไม้ไพรที่ทัดและแซมมานี้จงเป็นดอกไม้บูชาผีมันเอง แล้วคิดปลื้มเลยไปอีกว่า ดอกไม้ไพรมันก็หอมอยู่ชั่วสาบานสวยอยู่ชั่วแย้ม หาข้ามพ้นวันคืนไปได้ไม่ แต่ชื่อเจ้าจะหอมไปชั่วนาตาปี จะสวยสาวและหอมติดคำคนไปชั่วร้อยชาติ ถ้าหากจะต้องตายไปเพราะการร่วมรักร่วมใจเสียในก่อนค่ำวันนี้

แฟงเจ้าเดินคิดมาตลอดทาง กระทั่งถึงที่ซุ่มของพวกชาวบ้านที่วางไว้เป็นระยะตลอดมาจนปากดง เห็นชายผู้เป็นหัวหน้าคิดทำการนี้ยืนคอยอยู่ก่อน สีหน้าและลักษณะของชายนั้นบอกอยู่ชัดว่าเป็นคนห้าวหาญชาญชัย เพราะหน้าตายิ้มแย้มยินดีมากกว่าที่จะตื่นตระหนกในเมื่อจะต้องทำกิจสำคัญ เพื่อความเจ็บร้อนแทนเพื่อนบ้านพื้นเมืองกันเองที่ถูกข่มเหง เมื่อได้รับคำบอกเล่าว่าผู้ยืนยิ้มละไมในหน้าที่รักเคารพของคนเหล่านั้นว่าเป็นนายโชติคนพื้นบ้านศรีบัวทอง หัวใจแกล้วสมเป็นชายชาติทหาร แฟงก็ยกมือไหว้เป็นการเคารพ

นายโชติรับไหว้เจ้างามที่ทัดดอกไม้ไพรมีเสน่ห์แลนึกชมเชยอยู่ในใจว่ามิเสียแรงเลยที่เจ้าเกิดมาเป็นหญิงสยาม แม้จักเป็นชาวบ้านป่าแต่เจ้างามซึ่งเปรียบด้วยดอกไม้ที่แย้มซุ่มอยู่กลางดงเปลี่ยว ส่วนหัวใจเจ้าเล่ากลับห้าวหาญเกินกว่าความงามเหลือหลาย เมื่อรับไหว้ของแฟงแล้วนายโชติก็กล่าวปราศรัยเพื่อให้​แฟงหมดขวยเขินว่า “ขอบใจนักเจ้าเอ๋ย ที่สมัครใจมาร่วมทำการด้วยพวกเราครั้งนี้ เพราะศรีบัวทองกำลังเดือดร้อนไปทั่วบ้านช่องและหย่อมหญ้า ใครอื่นจะช่วยเราอีกไม่ได้เป็นแท้นอกจากพวกเราต้องร่วมใจกันช่วยกันเอง ตัวของฉันนั้นมาตรว่าจะตายเสียเพราะการในก่อนค่ำวันนี้ ก็ยังสุขหัวใจเหลือหลายนักที่จะได้ตายเพราะช่วยพวกกันเอง และเพื่อมิให้ชาติและภาษาอื่นมาหยามได้ว่าเรากลัวตาย ว่าพวกเราชาวสยามขลาดสิ้นดีผิดชายชาติทหาร เพราะเขาก็มาเหยียบถึงบ้านเราแล้วจะให้นิ่งดูหรือหลีกหนีไปไหนได้อีกเล่า? ถึงสาวเจ้าก็เช่นกัน ขอให้คิดปลื้มไว้ในใจเถิดว่าเมื่อตายไปชีวิตหนึ่งเพราะพวกเราทำการพลั้งพลาด แต่เจ้าก็ได้ตายสมยศสมศักดิ์ของผู้หญิงเมืองไทยเยี่ยงก่อนที่เขาประพฤติมาเมื่อศึกเข้าติดเมือง”

ฟังแล้วหัวใจแฟงตื้นตันในน้ำคำของหัวหน้าพวกบ้านศรีบัวทองนัก เออถ้าหากว่าทัพหลวงกรุงหรืออ้ายหนุ่มศรีอยุธยาทั้งหลายมันมีกล้าและห้าวหาญทั้งหัวใจรักบ้านเกิดเมืองนอนเยี่ยงนี้ ศึกพม่าที่ยกประชิดและก่อกรรมทำเข็ญไปทั่วก็คงจะพินาศไปเสียแล้วนาน แฟงมันยืนน้ำตาคลอๆ นึกปลื้มนึกรักไปในเพื่อนร่วมบ้านเกิดเมืองนอนกันเอง แล้วแฟงมันก็กลั้นกลืนความปลื้มนั้น ตอบไปด้วยเสียงสั่นๆ ว่า

“ฉันจะจำคำนี้ไว้ แล้วก็จะขอบอกกันต่อๆ ไป แต่ส่วนตัวของฉันนั้นจักขอถวายชีวิตให้แก่การที่พี่คิดครั้งนี้ เมื่อว่าจะใช้อะไรยิ่งกว่านี้ฉันก็จะขอก้มหน้าปฏิบัติตามทุกสถาน แม้จะต้องตายอยู่ศรีบัวทองก็เต็มใจ”

สิ้นคำของแฟงมัน หัวใจอันแกล้วกล้าของนายโชติยิ่งเดือดพล่านขึ้นทุกขณะ หญิงงามรูปงามใจเยี่ยงนี้ไฉนเล่าจึงมาซุ่มซ่อนอยู่กลางดง แล้วนายโชติก็ถือเอาคำของแฟงนั้นเป็นตัวอย่างพูดปลุกใจชาวบ้านอื่นให้หมดครั่นคร้ามถึงการที่จะทำในก่อนค่ำ และชายฉกรรจ์ ๓๐ กว่าคนที่ยืนรวมอยู่ต่างก็ล้อมหน้าล้อมหลังอีสาวรุ่นงามใจ และรักใคร่แฟงเสมือนพี่น้องลูกหลานที่จะต้องกอดคอร่วมกันตายเพื่อความสุขของศรีบัวทองและไทยที่อยู่หลัง

เมื่อปรึกษานัดแนะกันเรียบร้อย ต่างก็หลบซุ่มซ่อนตัวเป็นหมู่เป็นเหล่าคอยเวลาสำคัญที่จะมาถึง ส่วนแฟงมันก็ไถลเดินกรีดกรายเหมือนลูกสาวบ้านป่าออกมาเดินเล่นเมื่อยามว่างแดดอ่อน ปากเจ้าก็ร้องเพลงไปตามแต่จะนึกได้ ส่วน​ถ้อยคำรำพันนั้นเป็นความเจ็บช้ำน้ำใจเหลือหลาย รำพันถึงพี่น้องที่หายไปและตายกลางศึกหรือถูกต้อนไปเป็นเชลยแล้วเมืองโน้น

แม้ว่าสำเนียงร้องของแฟงจะยุแหย่หัวใจคนซุ่มให้พล่านเดือดขึ้นทุกขณะ จนต่างสาบานว่าจะสู้ไม่ถอยจนก้าวเดียว จะขอตายก่อนที่จะได้เห็นพม่าอุ้มอีผู้หญิงศรีบัวทองคนนี้ไปอีกก็ตาม แต่เสียงร้องของอีแฟงมีประหม่าสะอื้นแกมไปเพราะกำลังหวนคิดถึงกลางกระทุ่มด่าน และแฟงเองก็หารู้ไม่ว่าทางชายดงถัดไปข้างหลังที่เจ้ากำลังคร่ำครวญอยู่นั้น เสียงร้องได้ยินแต่เพียงแว่วๆ ฟังไม่ได้ศัพท์ไปถึงหมู่คนมากมายซึ่งเดินลับๆ ล่อๆ แฝงใกล้เข้ามา และหาใช่ใครอื่นไม่ แท้นั่นคือพลพม่ากับนาย ๒๐ กว่าคนพร้อมด้วยชาวบ้านศรีบัวทองและโพธิ์ทะเลที่ร่วมคิดอีกมากหลายเดินนำพม่าทำเป็นมาค้นทรัพย์และลูกสาวตามที่พม่าต้องการสัญญาไว้

เสียงเหยียบใบไม้แห้งสวบสาบใกล้ๆ แฟงนึกเฉลียวจึงหันดู ใจเจ้าแทบจะดับวับในครู่นั้น ตะวันยอแสงเย็นขมุกขมัวกับหมู่พม่ามากหลายนั้นเหมือนยุความกลัวเพิ่มขึ้นอีก จึงออกวิ่งเลี้ยวหนีเข้าตามทางที่นายโชติกับพวกชาวบ้านซุ่มซ่อนอยู่

กองโจรทั้ง ๒๐ เศษ ของสุรินทจอข่อง ซึ่งออกเที่ยวค้นหาทรัพย์และเรียกริบลูกสาวตามชาวบ้าน เมื่อเห็นแฟงเดินอยู่ชายดงสมคำพวกชาวบ้านที่เข้าไปเกลี้ยกล่อมและมาค้นต่างก็ยินดี พอเห็นแฟงออกวิ่งก็พากันตะลีตะลานออกวิ่งไล่หาทันเฉลียวที่จะคิดเป็นอย่างอื่นไม่ กระทั่งผ่านมาตามทางเลี้ยวในป่าสุมทุมพุ่มไม้แลเห็นหลังแฟงวิ่งอยู่ไวๆ

ฝ่ายนายโชติซึ่งวางคนรายทางไว้แล้วแต่ปากดง ครั้นเห็นพม่าวิ่งเซอะเซิงหลวมตัวเข้ามาเพราะเห็นแก่จะจับแฟงถ่ายเดียว จึงโดดออกจากที่ซุ่มสกัดหน้า ความเคียดแค้นหนหลังมีอยู่มากในใจ ซ้ำได้ยินสำเนียงแฟงที่เจ้าร่ำรำพันมาแล้วสักครู่ก็เหมือนหนุนน้ำใจให้คุยิ่งขึ้น จึงควงดาบร้องประกาศเป็นสัญญาว่า เอามัน พวกเราเอามัน และในชั่วเวลาพริบตาชาวบ้านที่ซุ่มอยู่ทั้งหมดก็ออกมาพรึ่บพร้อมกันทุกคน

เห็นการกลับกลายไปเช่นนั้น พวกพม่าทั้ง ๒๐ จึงชักดาบออก นาย​โชติก็มิพักรอจะให้ศัตรูทันตั้งตัวได้ เพราะพวกมึงแท้เทียวที่ทำให้เมืองสิงห์และวิเศษไชยชาญเดือดร้อนแสนสาหัส ลูกพลัดแม่ในกองเพลิง เมียพรากจากผัวเพราะถูกอุ้ม ปู่ย่าและผู้เฒ่าที่เคยเคารพเป็นที่กราบไหว้ก็ถูกมึงดูแคลนหยาบหยาม อย่าอยู่เลย แล้วนายโชติก็มุ่งหน้าเข้าใส่โจนฟันอย่างไม่ลดละ พวกชาวบ้านทั้งที่มากับพม่าและซุ่มอยู่ต่างก็บุกบันชิงกันขึ้นหน้าจะเข้าให้ถึงตัว ที่มีมีดก็ถลันแทงไม้ก็ประเคนกระหน่ำ ดาบทั้งสองมือและเล่มเดียวไล่แล่นเข้าหวดหมดความปรานีปราศรัย ฟันไปแล้วบ่นคำรามไปทั่วตัวคน แฟงเล่ามันก็หวนย้อนกลับมาแล้วกู่ก้องตะโกนหนุนน้ำใจอยู่ไม่ขาดเสียง “พี่เอยจงไว้ฝีมือให้เขาเห็น พี่เอยเมืองเราใช่จะไร้ชายชาติทหาร” แล้วแฟงมันก็ร้องเร่าอยู่รอบๆ น้ำใจชายก็คุขึ้นในหัวอกเหมือนไฟมาล้างดง เห็นผ้าโพกและเครื่องแต่งกายของศัตรู เหมือนเห็นอาหารยามอด เพื่อนมาเยือนเราด้วยเลือดเนื้อและเดือดร้อน ก็ขอเลือดเพื่อนทาดินศรีบัวทองไว้เป็นเครื่องรำลึกสักหน่อยเถอะ

พอตะวันชิงพลบ พม่าก็ชิงลาโลกสิ้นชีวิตพร้อมกับตะวันเย็นหมดทั้งยี่สิบกว่าไม่มีเหลือ ศพก่ายศพ ดินแดงเฉอะแฉะไปด้วยเลือด มื้อนี้เองที่ชาวบ้านไทยมันคายความขมออกมาจากหัวใจ เป็นมื้อแรกที่มันร้องไห้มาแล้วจะค่อน ๓ เดือนเพิ่งได้หัวร่อร่า ผีปู่ ลูกเล็กเด็กแดงทั้งหลายที่เป็นเถ้าถมดินไปมากในเพลิงเจตภูตของแม่ พ่อและลูกสาววิเศษไชยชาญ เมืองสิงห์ทั้งหลายจงมาเถิด มาเย้ยเยาะและคุยอวดเขาเถอะว่าศรีอยุธยามันยังไม่หมดคนสู้ ชายชาตรีจะไร้หรือเมื่อสยามยังไม่สิ้นชาย

แฟงมันพลอยหัวใจเต็มตื้นไปกับนักรบเหล่านั้น เลือดสาดดินหรือซากศพก่ายหาได้ทำให้แฟงมันเกิดเสียวไส้กลัวเกรงไม่ คงออกปากชมเชยฝีมือพวกชายฉกรรจ์ที่มานะสู้ทั่วตัวคน แล้วก็นำไปบ้านป่าอันเป็นกระท่อมทับของลุงและแม่เจ้าเพื่อต้อนรับเลี้ยงดูและปรึกษาการบางอย่าง คงทิ้งศพพม่าให้เป็นผีอยู่เกลื่อนดงข้างหลังเพราะใจโลภ

ล่วงวันมา ทุกบ้านช่องตลอดแขวงศรีบัวทองทั้งบ้านกรับและชาวโพธิ์ทะเลทั้งหลาย หากจะมีดวงหน้าเบิกบานใจ กระหยิ่มด้วยสมแค้นแล้วที่พม่า ​๒๐ เศษเป็นผีอยู่กลางดงก็ตาม แต่ทุกคนก็ไม่วายจะคิดว่ากระดูกและซากศพของศัตรูเหล่านั้นจะก่อความเดือดร้อนให้ตัวยิ่งขึ้นอีก ลำพังอยู่เฉยก็ได้รับความทารุณขู่เข็ญจนเหลือจะนิ่งทนทาน แล้วศพที่ถูกฆ่าเหล่านั้นจะก่อแค้นแก่ศัตรูสักเพียงไหนเล่า เมื่อคิดเห็นพร้อมเพรียงกันเช่นนี้จึงให้หัวหน้าทั้ง ๖ คือ นายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมือง คนพื้นบ้านศรีบัวทอง กับนายดอกไม้ชาวบ้านกรับและนายทองแก้วฝีมือลือคนพื้นบ้านโพธิ์ทะเลก็หันหน้าเข้าปรึกษาปรองดองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันว่า เมื่อกาลล่วงเลยมาถึงเพียงนี้ก็จำต้องสู้จนหมดชีวิต แต่จะต้องเลือกหาตำบลที่มีภูมิสถานเป็นที่เหมาะสะดวกสบายสำหรับจะคิดการใหญ่ แล้วต่างก็ลงเนื้อเห็นต้องกันว่าควรเลือกเอาบ้านระจัน ด้วยเป็นบ้านดอนทางไกลยากที่พม่าข้าศึกจะติดตามไปถึง ทั้งอยู่หว่างแดนวิเศษไชยชาญกับสุพรรณและเมืองสิงห์ติดต่อกัน พร้อมด้วยเสบียงอาหารก็บริบูรณ์ และพวกราษฎรที่ได้เดือดร้อนก็พากันหนีขึ้นบ้านระจันมากแล้ว ส่วนอีกพวกหนึ่งจัดล้วนแต่ผู้มีหลักฐานพูดจาเป็นผู้ใหญ่ซึ่งจะหนีตามไปภายหลัง ให้แยกขึ้นวัดเขานางบวชแขวงเมืองสุพรรณเพื่ออาราธนาพระอาจารย์ธรรมโชติที่พวกชาวบ้านทั้งหลายตลอดทุกแคว้นเป็นที่เคารพนับถือกัน ว่าท่านพระอาจารย์องค์นี้เป็นผู้มีความรู้และสามารถในวิทยาคมเจนจัดทุกประการ ให้มาสำนัก ณ วัดโพธิ์เก้าต้นในบ้านระจัน เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวคุ้มครองชาวบ้านระจันและเหล่าราษฎรที่ออกอาสาศึกคิดการใหญ่ต่อไป

ฟากตะวันออกลำน้ำศรีบัวทองเมื่อพ้นทุ่งและหมู่บ้านอันอ้างว้างว่างเปล่ามาบางแห่งเป็นละเมาะไม้เล็ก แต่บ้างก็เป็นดงทึบทั้งไร่นาสลับซับซ้อนกันตลอดจากต้นมากระทั่งปลายน้ำพ้นบ้านยางทับเฝือกอันจะย่างเข้าเขตบ้านศรีบัวทอง

หากชาวศรีบัวทองทั้งหลายยังมิได้อพยพขึ้นบ้านระจันหมดสิ้นก็จะพากันตระหนกตกใจ จักอุ้มลูกจูงหลานบุตรภรรยาเตลิดเข้าป่าอีก ทรัพย์สมบัติจักฝังดินเป็นทรัพย์เมือง ในเมื่อเห็นม้าหมู่ซึ่งกำลังยกออกจากดงปลายบ้านยางทัพเฝือก โฉมหน้าเข้าเยือนทุ่งศรีบัวทองในยามเช้า เพราะแลไกลๆ กองม้าที่กำลังพ้นดงเหยียบทุ่งนั้นก็ละม้ายกับกองโจรพม่าที่เที่ยวก่อกรรมทำเข็ญ หรือจะยกมา​แก้แค้นชาวศรีบัวทองซึ่งฆ่าพวกมันตายเมื่อครึ่งเดือนก่อนนั่นเป็นแน่ จนค่อนทุ่งตกเข้าหมู่บ้านมา เมื่อจะมีชาวศรีบัวทองหลงอยู่แม้สักคนก็จะตระหนักแน่นในใจว่ากองม้าที่พันดงมาเหยียบหมู่บ้านนี้มิใช่พม่าหรือทหารกรุงใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากจะเป็นกองอพยพธรรมดาของเหล่าชายฉกรรจ์ที่ท่องเที่ยวมาอย่างไม่ประหวั่นพรั่นใจกับการที่จะพบกับกองโจรพม่าเลย เพราะจากแขวงกระทุ่มด่านกว่าจะถึงศรีบัวทองกองม้าอพยพนี้ก็ได้พบกับพม่าและห้ำหั่นกันตลอดทางละเอียดมานับด้วย ๗-๘ ครั้ง จนพลที่มีอยู่ร่วม ๕๐ เมื่อแรกยกมาคงเหลือแต่เพียง ๓๐ อันเป็นกองม้าเดิมตั้งแต่มาจากบ้านคำหยาดกับหญิง ๒ คน และทหารกรุงที่สมัครใจอีก ๔-๕ คนเท่านั้น

ท้องฟ้าโปร่งในก่อนสาย และลมหวนมาจากทุ่งจากดงก่อหัวใจให้สดชื่นทั่วตัวคน เจ้าม้าดำสีดอกเลาคงวิ่งย่างสะบัดแผงตามสบายมาตามละแวกบ้าน เจ้าของบนหลังมันหน้าตาบึกบึนทรหด แต่เค้าหนุ่มและไทยแท้ของมันยังบอกว่าเป็นโสดไม่มีห่วง สีหน้ากำลังเบิกบานเมื่อพ้นดงมาออกทุ่งทุกเหย้า และเคหาที่เจ้าคนหนุ่มนำกองผ่านไปเป็นอ้างว้างไร้ผู้คนก็ทำให้มันเหงาหัวใจบ้าง เพราะหวนคิดไปถึงบ้านร้างที่กระทุ่มด่านนัก ป่านนี้ครัวกำนันกระทุ่มด่านจะอพยพไปอยู่หนใด แม่ไปอยู่ไหน? และอีแฟงเล่ามันจะยังหลงอยู่ในศรีบัวทองนี่หรือเตลิดไปหนใดบ้าง รึว่าโจรพม่าจักอุ้มเจ้าไปเป็นเชลยข่มเหงใจเสียแล้ว

มันคิดมาตลอดทางกระทั่งสุดละแวกบ้าน จะหาผู้คนหญิงชายพอถามความสักหน่อยไม่มีจนน่าฉงน ครั้นจะยับยั้งอยู่ศรีบัวทองต่อไปอีกก็เกรงจะช้าไม่ทันการ เพราะคำหลวงพ่อเร้าใจอยู่ไม่หาย บางระจันจะเกิดศึก บางระจันกำลังเดือดร้อนและมันมุ่งมานี่ก็หมายใจจะขึ้นบางระจันให้ทันการ บางระจันเป็นแต่ละแวกบ้านน้อยพม่ายังจะยกเข้าย่ำยีข่มเหง แลศรีบัวทองนี้เล่าก็น่าจะร้างไปเพราะศึกพม่าแน่

ตะวันขึ้นสายไปอีก แดดกล้าในตอนสายทำให้เจ้าคนที่ขี่ม้านำเห็นว่าหากจะขืนนำกองม้าเดินไปตามแนวทุ่งก็จะทำความเหนื่อยอ่อนให้แก่พลมันมาก ทั้งเสบียงอาหารและข้าวปลาก็ยังมิได้พักกิน จึงชักอ้ายเลาเปลี่ยนทางเดินบ่ายหน้าจากหมู่บ้านตัดทุ่งเข้าสู่ดง และตั้งใจว่าเมื่อไพร่พลได้กินอิ่มหนำสำราญและ​พักผ่อนพอสบายแล้วก็จะมุ่งขึ้นบ้านระจันในค่ำนี้ทีเดียว

เมื่อท้ายเดือน ๓ นับตั้งแต่ชาวบ้านศรีบัวทองและเมืองสิงห์ทั้งแขวงวิเศษไชยชาญ ได้ร่วมใจปรึกษากันลวงพม่าไปค้นเจ้าแฟงลูกสาวในบ้านป่าเปลี่ยวแล้วรุมฆ่าตายทั้งหมด ๒๐ คนเศษ แล้วพากันอพยพหนีขึ้นอยู่บ้านระจันหมด ส่วนที่หนีตามไปในภายหลังได้ตรงไปนิมนต์พระอาจารย์ธรรมโชติ ณ วัดเขานางบวช แขวงเมืองสุพรรณลงมาอยู่ ณ วัดโพธิ์เก้าต้นในบ้านระจัน เพื่อเป็นที่เคารพนับถือคุ้มครองชาวบ้านระจันทั้งหลายที่คิดจะรวบรวมกำลังกันเข้าเป็นหมวดเป็นกองแล้วคอยต่อสู้พม่าที่จะยกมาอีก

ฝ่ายพันเรืองกำนันบ้านระจัน เมื่อเห็นชาวบ้านศรีบัวทองทั้งวิเศษไชยชาญและเมืองสิงห์เมืองสรรค์ต่างพากันอพยพหนีร้อนมาอยู่บ้านระจันในท้องที่แกหมด ซ้ำพระครูธรรมโชติอาจารย์ที่เคารพนับถือของชาวบ้านทุกตำบลก็อยู่ ณ วัดโพธิ์เก้าต้นแล้วเพื่อเป็นที่อุ่นใจของเหล่าราษฎร ส่วนนายแท่น นายโชติ นายเมือง และตัวหัวหน้าแขวงต่างๆ อีก ๓ คน ซึ่งคบคิดกันจะสู้พม่าต่อไปนั้นก็ได้มาปรึกษาหารือกับตัวกำนัน พันเรืองจึงปรึกษาความนี้กับผู้ใหญ่บ้านระจันคือนายทองเหม็นอีกครั้งหนึ่ง และต่างก็เห็นชอบด้วย จึงได้บอกพวกพ้องของตัวที่มีชื่อเสียงและฝีมือดีทั้งสมัครพรรคพวกมาก คือนายทองแสงใหญ่คน ๑ กับนายจันทร์เขียวอันมีสมญาเป็นที่รู้จักกันทั้งละแวกบ้านระจันว่านายจันทร์หนวดเขี้ยวอีกคน ๑ รวมเป็น ๔ คนทั้งพันเรืองกำนันผู้มีอาวุโส

ชั่วตะวันบ่าย พวกหัวหน้าในบ้านระจันทั้ง ๔ คนที่แยกย้ายกันไปตามหมู่บ้านอันเป็นสมัครพรรคพวก ทั้งนักเลงรุ่นฉกรรจ์ใจคอกล้า และได้เล่าสาเหตุต่างๆ ที่คิดกันไว้นั้นตลอดทุกบ้านทุกช่องทั่วแคว้นระจัน ความเจ็บช้ำใจก็กระพือขึ้นอีกครั้งหนึ่งใหญ่หลวง แม้ว่าเหล่านักรบหัวหน้าบ้านทั้งหลายจะเคยเป็นคนต่างถิ่นต่างหน้ากัน แต่หากเมื่ออ้างคำว่าไทย เลือดเนื้อของไทยกำลังตกลงแฉะทาดิน เหย้าเรือนต่างๆ กำลังจะถูกคนอื่นเข้าครองแล้ว ความแตกแยกของหมู่คณะก็กลับกลมเกลียว หัวใจหลายร้อยที่อยู่แยกต่างก็สนิทสนมเป็นน้ำใจเดียว สู้ละต้องสู้ สู้กันจนกว่าบ้านระจันจะหมดเกลี้ยงคนไทยเสียเมื่อไหร่แล้วก็จงเชิญมาครองบ้านระจันเถิด แล้วตัวหัวหน้าจึงกำหนดเอาลานบ้านพันเรืองเป็นที่นัดประชุม​พร้อมกันในเพลาเย็นอีกครั้งหนึ่ง

แดดอ่อน ลมตกทุ่งเย็นสบาย ดวงตะวันและแสงแดดกล้าเมื่อเที่ยงและบ่ายลับทิวไม้ไปแล้วครู่ใหญ่ เพลานัดประชุมก็ใกล้เข้ามาทุกขณะ บนเรือนใหญ่ของพันเรืองกำนันบ้านระจันแออัดด้วยผู้คน ยิ่งตะวันล่วงเย็น ผู้คนและชายฉกรรจ์ก็ยิ่งเพิ่มล้นหลามมาจากทิศต่างๆ มากขึ้น จึงย้ายสำนักประชุมจากบนเรือนมาเป็นลานดิน

ผู้คนมากหลายลานตา ลานนวดลานซ้อมหน้าเรือน หากจะกว้างใหญ่ก็ยังหาพอเพียงแก่ผู้คนไม่ ดินหน้าแล้งทั้งผืนนากำลังป่นปี้ด้วยเท้าย่ำ เจ้าหนุ่มจากเหย้ามาหลายทิศหลายทาง นักเลงและนายช่องสำคัญที่หลบตัวมั่วสุมอยู่ตามที่ต่างๆ ก็มากันพร้อม มีดไม้ทั้งดาบปืนติดมือมาทุกคนไม่ขาด ทุ่งบ้านระจันกำลังเป็นทุ่งที่อึงคะนึง ทุ่งบางระจันกำลังจดจำความแค้นไว้ทั่วยอดหญ้า ทุกกลุ่มและหมู่คนจะพูดเป็นเสียงเดียวกันทั้งสิ้น อ๋อ สู้ซี ถ้ายังลืมตาอ้าปากอยู่แล้วก็ขอให้ยกกันมาเถิด ศพต่อศพเราก็แลก แต่ที่จะนิ่งให้ฟันเล่นหรือฉุดคร่าข่มเหงลูกเมียและน้องสาวเหมือนก่อนนั้นอย่าหมาย

เมื่อผู้คนมากันพรักพร้อม แม้หญิงงามที่เคยแต่งตัวอยู่เหย้า สาวที่มักตระหนกตกใจในเหตุฆ่าแกงและวิวาทอื่น แต่เมื่อเขาแค้นกันแล้ว เขาจะประชุมแก้แค้นกันในวันนี้ก็ต้องพร้อมใจมา หากเจ้าจะเสียวไส้ในคมดาบขาวมีดและกฤชทั้งแหลนหลาวโตมร แต่เหตุอื่นเจ้ายังพอจะช่วยได้ ครั้นแล้วตัวหัวหน้าทั้ง ๑๐ คน คือที่อพยพมา ๖ คน อีก ๔ คน เป็นพื้นบ้านระจัน จึงแยกกันพูดจาเกลี้ยกล่อมหัวใจไปทุกหมู่ทุกเหล่า

ครกตำข้าวหลายใบคว่ำปากอยู่กลางกลุ่มคน พันเรือง นายจันทร์ ทั้งนายทองเหม็นผู้ใหญ่บ้านและนายทองแสงใหญ่ต่างก็ยืนหยัดอยู่บนครกเด่นอยู่ในกลางฝูงชาวบ้านระจัน ส่วนชาวบ้านอื่นที่อพยพมาทั้งตัวหัวหน้าก็พร้อมเพรียงยืนประชุมกันเป็นหมู่เป็นเหล่า และเสียงจากหัวหน้าทั้งหลายที่ตะโกนอยู่กึกก้องนั้นก็ล้วนแต่ปลุกปลอบชวนให้ความแค้นรำลึกขึ้นในหัวอก จูงใจให้รู้ตัวไว้ทุกๆ คนว่าผู้ชายจะต้องป้องกันหญิง เด็กและคนแก่ทั้งปู่ย่าตาทวดเคยเคารพจะ​ให้ใครมาดูแคลนไม่ได้

เสียงตะโกนนั้นก้องไปอีก บางเสียงของผู้เป็นหัวหน้านั้นสั่น บางเสียงเมื่อตะโกนไปแล้วก็เป็นเสียงร้องไห้ ฟันขบฟันน้ำตานอง...มือตบมืออยู่ฉาดฉาน..ปู่กู..ทั้งย่าและแม่ มันผลักคะมำล้มไป มันเอาตีนเหยียบ กูเคยกราบตีนแม่ แต่ตีนพม่านั้นเขี่ยข้ามแม่ที่กูกราบ ลูกเอ๋ย เจ้ายังมิทันจะหย่านม เพิ่งจะสอนเรียกแม่และขานชื่อพ่อได้แต่เพียงคำ แม่เขาก็จากไป พม่ามันฉุดแม่เอ็งไปเสียแล้ว มึงต้องหย่านมเพราะแม่หาย ถึงจะเรียกอีกสักร้อยคำแม่เจ้าเขาก็หาหวนมาได้ยินไม่ เมีย...เมียเอ๊ยเมื่อค่ำครั้งก่อนเราเคยสบายร่วมเหย้า เมื่อยากไร้ไม่มีหมอนแขนซ้ายและอกพี่เคยเป็นหมอนหนุนก็ยังเกิดสุขเหลือหลาย แต่เดี๋ยวนี้พม่าจักบังคับเจ้าให้แอบอก เจ้าต้องพลัดอกไปบำเรอมันแล้วด้วยฝืนใจ...ใคร...ไทยคนไหนมั่งที่จะนิ่งดูมันมาหยามหน้าเยี่ยงนี้ ลูกสาวและพี่น้องมันก็ริบไปเป็นเมีย ว่ายังไงผู้ชาย จะใช้ผู้หญิงและลูกเมียเข้าแลกพอชีวิตมึงรอดไปงั้นหรือ?

เสียงตะโกนตอบ เสียงสะอื้นเจ็บใจ มีดไม้และดาบชูอยู่ร่อนๆ กูจะตาย กูจะสู้...เจ้าชีวิตไทยต้องเป็นไทย บ้านระจันต้องเป็นของคนระจันทั้งบาง สู้แล้ว ต้องสู้กันแล้ว เมื่อใครไม่สู้ก็หลบไปเสีย หลบไปเชือดคอตายเสียในดงเถอะ

เสียงตะโกนกู่ก้องนั้นยังอึงคะนึงไปอีกนาน กอดคอกันสะอื้น...รักบ้านเกิดเมืองนอน แขนเลือดไหลย้อยเพราะปลายมีดจ้ำ ดาบเฉือนเนื้อให้เลือดมันไหล ร้อยแผลนี่ยังไม่เจ็บเหมือนแผลใจที่ถูกข่มเหง ปากก็พร่าสาบานไม่ขาด บ้างคุกเข่าหันหน้าสู่ทิศกรุง...แล้วกราบลงบนผืนนาบ้านระจันทั้งดาบมีดชูร่อน มือประนมอธิษฐานพลีชีวิตให้แก่ชาติ...สองแขนจะขอทำศึกถวายแผ่นดิน...สองมือจะกำดาบกันประเทศ สองแขนทั้ง ๔๐๐ คน ของบ้านระจันและชาวแขวงอื่นจักเป็นกำแพงเหล็กล้อมชีวิตเด็กชีวิตหญิงและปู่ย่าตาทวด แล้วก็เสียงกึกก้องดังไปอีกตะโกนไปอีกว่าตั้งค่าย...ตั้งค่ายรบกับมัน...เมื่อเสียค่ายก็จะขอเอาค่ายเป็นหลุมผี เอาบ้านระจันนี่แหละเป็นป่าช้าฝังอ้ายนักรบบ้านระจันโดยไม่ยอมถอยหรือทิ้งค่ายเป็นอันขาด

การตระเตรียมตั้งค่ายได้เริ่มกันแต่ค่ำคืนนั้น ไม้ป่าหักราบลงเพราะถูกโค่น อาวุธทุกบ้านช่องรีบเตรียมรีบหาแม้จะเลยค่ำล่วงดึก...กระทั่งสว่างไปแล้ว ​การตั้งค่าย...การเจ็บใจ และมานะสู้ศึกก็ยังอยู่ในหัวอก และยังฮือยิ่งขึ้น ถ้าหากมิได้ทำศึกแล้วไฟแค้นก็จะต้องเผาอกตัวตายไปเองเป็นแน่แท้

ฝ่ายสุรินทจอข่อง ซึ่งตั้งค่ายมั่นอยู่ทางวิเศษไชยชาญ ครั้นรู้ข่าวว่าพลพม่า ๒๐ เศษ ได้ถูกพวกราษฎรชาวบ้านวางอุบายลวงไปฆ่าตายหมด และเพลานี้พวกราษฎรเหล่านั้นต่างพากันอพยพขึ้นไปตั้งซ่องสุมผู้คนอยู่ที่บ้านระจันมากมาย เกรงจะได้ใจกำเริบ จึงจัดพลประมาณ ๑๐๐ เศษ พร้อมสรรพด้วยเครื่องอาวุธ ให้ยกจากวิเศษไชยชาญเพื่อปราบปรามและจับตัวพันเรืองผู้เป็นกำนันนายบ้านของตำบลนั้นมาด้วย แล้วกองพม่าของสุรินทจอข่องก็เริ่มยกจากวิเศษไชยชาญแต่เพลานั้น

ส่วนทางบ้านระจัน ท้องทุ่งซึ่งแลโล่งเมื่อก่อนและแออัดไปด้วยเหย้าเรือนของผู้หนีร้อน เวลานี้กลับกลายเป็นรั้วระเนียดค่ายแล้วหมด เพราะผู้สมัครใจรบของชาวบ้านระจันและแขวงต่างๆ ได้ช่วยกันหักร้างถางพงเอาไม้ป่ามาปลูกค่ายมั่นล้อมรอบบ้านระจันเป็นสองค่าย แล้วชักปีกกาถึงกันตลอดทั้งค่ายเล็กค่ายใหญ่ ยังขาดอยู่แต่อาวุธปืนสำหรับสู้หนทางไกล จึงปรึกษาพร้อมเพรียงกันว่าจะต้องใช้อาวุธเข้าตะลุมบอนสู้พม่าถึงตัว เผอิญเวลานั้นขุนสรรค์กรมการเมืองสรรค์บุรีซึ่งตั้งใจจะอพยพครัวหนีร้อนขึ้นบ้านเดิมบางแขวงสุพรรณ ครั้นทราบว่าพวกราษฎรบ้านระจันต่างมีใจกล้าหาญ คิดตั้งค่ายจะรับศึกพม่าที่ยกมา ขุนสรรค์เป็นผู้มีผีมือในทางปืนยิงแม่น และด้วยหัวใจอันเจ็บร้อนแทนเพื่อนไทยและห้าวหาญสมชายชาตรี จึงเปลี่ยนจากความคิดเดิมพาครัวย้อนกลับมาเข้าสมทบกับพวกค่ายบ้านระจัน ตัวหัวหน้าทั้งหมดก็แบ่งหน้าที่กันตามถนัด ทั้งขุนสรรค์ด้วยรวมหัวหน้าเป็น ๑๑ คน ตั้งเป็นหมวดเป็นกองเหมือนทัพน้อยๆ ที่ปลงใจพลีชีวิตเข้าอาสาศึก ส่วนนายจันทร์หนวดเขี้ยวนั้นเป็นคนพื้นนักเลงลือของบ้านระจัน ชำนิชำนาญในลู่ทางและภูมิประเทศทั้งทุ่งและป่าดงตลอด จึงได้รับหน้าที่เป็นแม่กองสำหรับคอยออกสอดแนมสืบสวนข่าวพม่าจะยกมาอยู่เสมอมิได้ประมาท ส่วนพระอาจารย์ธรรมโชติ เมื่อเห็นชาวบ้านระจันทุกคนต่างมีมานะใจจะคิดสู้ศึกพม่าเป็นการใหญ่ และหวังเอาท่านเป็นที่พึ่งแล้ว จึงทำพิธีลงประเจียด​ปลุกเสกเลขยันต์ทั้งตะกรุดพิสมรมงคลหัวแจกจ่ายให้ทั่วตัวคน นักรบบ้านระจันเหล่านั้นก็ยิ่งมีใจเหิมหาญที่จะทำศึกยิ่งขึ้น ต่างก็รอคอยเร่งวันคืนที่จะให้พม่ายกมา เมื่อว่างก็ซักซ้อมฝีมือดาบและเพลงอาวุธให้ชำนิชำนาญแล้วสรวลเสเฮฮากันอยู่ในค่ายอย่างสุขสำราญใจ

กระทั่งรุ่งเช้า เมื่อหุงหาอาหารกินข้าวปลากันเรียบร้อย กองสอดแนมของนายจันทร์หนวดเขี้ยวซึ่งส่งออกไปดูลาดเลาก็รีบกระหืดกระหอบเข้ามาแล้วก็วิ่งตามกันมาเรื่อย ทั้งข่าวความที่มาบอกกับผู้เป็นหัวหน้าก็ถูกต้องตรงกันหมดว่าพม่ายกมาแล้ว พม่ามันยกมามีพลเท้าประมาณสักร้อยเศษ เพิ่งจะพ้นไผ่กอเดียวกำลังมุ่งมาคลองสะตือพักอยู่ฟากโน้น

จึงขุนสรรค์และพันเรืองผู้มีอาวุโสก็จัดแจงเตรียมผู้คนแบ่งหน้าที่กันรักษาค่าย ไม่ทันได้ตกลงกันประการใด นายแท่นหัวหน้าบ้านศรีบัวทองก็ปราดออกอาสารับจะตีทัพพม่าประเดิมศึก ทุกคนไม่มีใครจะเว้นเสียได้ที่เห็นชาวศรีบัวทองซึ่งอพยพมามีความห้าวหาญสมชื่อสมชาย และชาวบ้านระจันทั้งอื่นๆ ก็สมัครใจเอง มีพลอาสามากมายเกินจำนวน นายแท่นจึงกะเอาแต่เพียงที่พอมีกำลังเหนือพม่า แล้วคุมกองรบเหล่านั้นมุ่งตรงไปท้ายค่าย ซึ่งเป็นสำนักพระอาจารย์ธรรมโชติเพื่อขอพรอันเป็นศิริมงคลจะไปศึก

ศาลาใหญ่ ศาลาซึ่งมีลานกว้างขวางดินปนทราย บนศาลามีบาตรน้ำมนต์ ขัน และโอ่งใหญ่ ธูปเทียนปักตามพิธี พระธรรมโชติซึ่งเป็นหลักชัยชาวบ้านระจันเวลานี้กำลังยืนสงบเพ่งเล็งไปในฤกษ์ยามอันเป็นมหามงคลแล้วก็กล่าว ๒-๓ คำว่า “ไปเถิดลูกเอ๋ย พ่อจะคอยดูลูกทุกๆ คนชนะกลับมา”

เสียงโห่เกรียว...เสียงฆ้องซึ่งพันเรืองเป็นผู้บริจาคมาเป็นฆ้องชัยลั่นหุ่มดาบปราดจากฝักทุกเล่ม หลาวแหลนและมีดพร้ากวัดไกว แล้วชายชาตรีก็เดินเป็นขบวนผ่านศาลานั้น น้ำมนต์ก็พรมลงมา...สาดลงมา...เย็นเยียบเข้าหัวใจ น้ำมนต์ซึ่งศักดิ์สิทธิ์ดังน้ำทิพย์ชโลมใจของนักรบทั้งหลาย น้ำมนต์กับน้ำตาปลื้มกำลังไหลพรากบังคับให้ปลงใจพลีชีวิตผ่านไปอีก...หญิงทั้งหลายยืนโบกมืออวยชัยเออ...อีแฟงชาวดงศรีบัวทองมันยืนโปรยไม้ดอกอยู่กับเพื่อนหญิงที่ประตูค่าย มันทักทาย...มันยิ้มแย้ม หัวร่อร่า มันนัดให้กลับมากินข้าวเมื่อชนะศึก

​ก่อนเพล แดดค่อยกล้าขึ้นทุกขณะ ฤดูนี้เป็นเดือนแล้งน้ำงวดคลอง นายแท่นคุมพล ๒๐๐ ซึ่งแบ่งแยกเป็นหมวดหมู่ตรงมาฝั่งเหนือน้ำแล้วพักรอเพื่อฟังข่าวศึกเป็นคำแน่ สักครู่ใหญ่กองสืบเหตุของนายจันทร์จึงกลับมาบอกเป็นคำต้องกันว่ากองพม่าข้าศึกซึ่งยกมาตั้งอยู่ฟากน้ำข้างใต้กำลังหยุดพักพลประมาณร้อยเศษ

สมคะเนนัก สมคะเนที่จะได้เข้าประเดิมศึกเอาชนะเป็นฤกษ์แรก สมคะเนที่ดาบจะได้เลือดเช่นไปอวดเพื่อนไทยอยู่ข้างหลังในค่าย นายแท่นที่นำทัพจึงให้แยกออกเป็น ๑ กอง ทั้งระวังหน้าระวังหลัง แล้วยกข้ามน้ำนั้นไป

แม้จะเดินซุ่มสงบเสียงมาตามละเมาะไม้ แต่ความอึกทึกครื้นเครงของหัวใจมีอยู่ทุกตัวตน รุกเข้าไป...ล้อมเข้าไป...ใกล้เข้าไปทุกขณะ ใกล้จนแลเห็นตัวอ๋อ...พม่าก็มีแต่สองมือเหมือนไทยเท่านั้น พม่าก็คงแต่เพียงเดินดินมารบใช่จะเหาะเหินเกินหน้า เหล็กไหลใช่ว่าจะเป็นอาหารการกินต่างข้าวก็เปล่า คนรบคนจักกลัวใคร เขารังแก...อ๋อ...ตามมารังแกถึงบ้านแล้วจะให้ซุกหัวหลบหนีไปไหนๆอีกนอกจากสู้!

พอพร้อมทุกกอง นายแท่นก็ชักดาบควงเป็นคำสั่งแล้วออกวิ่งนำ มาเถิดพี่น้องทั้งหลาย ดาบใครไม่เปื้อนเลือดก็ไม่ใช่ดาบบ้านระจัน ไป ตะลุยเล่มต่อเล่ม ศพต่อศพ แล้วเสียงโห่เกรียวเสียงคำรามศึก เสียงสบถสาบานว่ามื้อนี้ไทยมันจะเป็นเสือ เมื่อไม่รุก ไทยก็จะรุกเข้าจนถึงตัว

ฝ่ายพม่าซึ่งยกมาแต่วิเศษไชยชาญเป็นการเร่งร้อน กำลังนั่งพักไพร่พลเพื่อหายเหนื่อยอ่อน หารู้สึกไม่ว่าตามแนวละเมาะไม้อันให้ร่มให้เงาพักนั้นจักกลายเป็นภัยมาถึงตัวใหญ่หลวงไม่ เมื่อได้ยินเสียงโห่เสียงเกรียวกราวตะโกนกระหายเลือด ต่างก็พากันเรรวนเสียขวัญ กองปืนที่เตรียมมาก็เพิ่งประทับยิงได้นัดเดียวก็ถูกชาวบ้านระจันประชิดเข้าตัวทั้งแทงฟันไม่ยับยั้ง ศพลงก่ายกันแหลกไปในรวดเดียวทั้งกอง ปืนซึ่งเตรียมมาก็หมดประโยชน์ใช้การไม่ได้ เพราะทัพที่ยกมาเข้ารบเป็นอาวุธสั้นถึงตัว มิช้ากองปืนก็แตกยับเยินเสียชีวิตไปอีก

ยัง แม้พลพม่าจะนอนดินไปแล้วมาก เลือดย่ำเป็นเทือก หลุมตีนควายจักเปี่ยมด้วยเลือดสด ทางเกวียนและแอ่งดินจะเลอะเทอะด้วยสีแดงของเลือดพม่าก็ยังหาสมใจไม่ เลือดเท่านี้ยังเพียงน้อยหนึ่งของเลือดสยามที่เสียไป เสียง​คำรามยังกระท้อนทุ่ง เสียงกู่มาจากชายดงเหมือนปู่เจ้ารักษาไพรคำรามพึมไปทั้งราวป่า

นายแท่น นายแท่นผู้มีหัวใจเลิศของบ้านระจันยังหาหยุดยั้งไม่ ประเดิมศึก ศึกประเดิมครั้งนี้ต้องเอาชนะเด็ดขาดเป็นปฐมฤกษ์ ลุยไปอีก เลือดกรังด้ามดาบกับอุ้งมือสองแขนแดงฉาน แม้จะหอบอยู่ฮักๆ และเสียงจะแหบแห้งก็ยังกู่ตะโกนไปอีก ให้สมใจเถิด ฟันเสียให้สมแค้น นี่แหละเพราะแค้นของคน นี่ละที่แค้นมันกลืนไม่ลงแล้วก็ต้องคายแค้นให้เห็น ชายชาติทหารจะมีแต่เพียงพม่าที่ยกมารานเท่านั้นหรือไร เห็นไหมเล่าว่าใครแหลก อีกครู่เดียว ทัพพม่านั้นก็แหลกสิ้นทั้งกองละเอียดหมดร้อย เว้นเสียแต่นายใจขลาด ๒-๓ คนที่ควบม้าหนีเอาชีวิตรอดไปเสียทัน เออ ขอให้ผีเฝ้ารักษาดงจงมารับอ้ายเหล่านี้ไปไว้เป็นพวกด้วย

พอตะวันบ่าย แสงอาทิตย์ร้อนเมื่อเที่ยงยังคงร้อนตลบอยู่เหนือทุ่งห้วยไผ่ตลอดมาลำน้ำบ้านระจันและละเมาะไม้ชายทุ่ง เหมือนหนึ่งแสงแดดนั้นจะเผาดินที่แฉะฉ่ำด้วยเลือดพม่าข้าศึกให้แห้งหมดไปโดยเร็ว เสมือนหนึ่งจะเร่งร้อนหัวใจร้อนของนายแท่นและนักรบบ้านระจันให้คุและกระหายศึกหนักขึ้น ทุกคนกำลังเมาไปด้วยกลิ่นเลือด ยิ่งเห็นศพศัตรูดาษกลาดเกลื่อนอยู่นอนดินต่างก็โห่ร้องสำแดงความมีชัย บ้างเข้าเปลี่ยนอาวุธหอกดาบไว้เป็นของคู่มือ บ้างริบปืนผาและอาวุธอื่นไว้เป็นสมบัติ

ทุกคนหน้าตายิ้มแย้มเริงศึก บ้างเช็ดเลือดจากใบดาบให้ซุ่มอยู่ที่ผ้าเคียนเอวเป็นเครื่องเซ่นวัก เป็นเครื่องเชิดหน้าชูตาโอ้อวดสหายซึ่งอยู่หลังในค่าย ครั้นแล้วนายแท่นจึงมีคำสั่งให้เข้าหมวดเข้ากองคุมกันกลับมาทางเดิน ข้ามลำน้ำด้วยหัวใจเบิกบานลำพอง เมื่อผ่านทุ่งก็ร้องรำทำเพลงเสียงสะท้อนก้องทุ่ง หากเข้าแนวไม้เล่าก็สรวลเสสำเริงใจ พวกคอเพลงคอกลอนก็ด้นผูกร้องนำขึ้นเป็นเนื้อความปลุกใจชำนะศึกเป็นข้อความรำพันถึงว่า ศรีอยุธยานั้นจักไม่มีการยุทธ์เพราะคนดีศรีอยุธยายังไม่สิ้น บ้านระจันจะก้มหน้าสู้ศึกจนกว่าจะหมดคนบ้านระจัน แล้วเพลงศึกที่ผูกร้องขึ้นมาชั่วขณะใจนึกนั้นก็ร้องรับกันไปต่อๆ ตลอดกองรบ เสียงกึกก้องสะเทือนทุ่งและละเมาะไม้กระทั่งผ่านไปตามเลียบชายดงทึบ แลเห็นระเนียดค่ายบ้านระจันและโพธิ์ใหญ่อันเป็นที่สังเกต

​แดดเดือน ๔ ยังคงจัดจ้าอยู่เหนือทุ่งและผืนนาทั้งหลาย แต่ความร้อนแรงดวงตะวันหาได้ลดความย่อท้อบากบั่นของกองม้าอพยพซึ่งด้นดั้นมาจากศรีบัวทองไม่ กองม้าซึ่งได้ข่าวศึกจากพระภิกษุทหารเก่าบอกเมื่อก่อน ๗ วันว่าบางระจันเกิดศึก ชาวบ้านระจันและแขวงอื่นกำลังตั้งค่ายเตรียมสู้รบรับศึกพม่าที่จะยกมารุกรานข่มเหง แลกองม้านี้ก็เคยประจัญบานหักพม่ามาแล้วอย่างจัดเจนจึงต่างก็มีใจมานะคะนอง มีใจแค้นเดือดไปด้วยกำลังไทยถูกข่มเหง แล้วก็พากันห้ออพยพพลัดดงมาชั่วไม่กี่วัน

ทัพ อ้ายโจรเก่า...ทหารเก่ากรำศึกมาแต่ท้ายปีมะโรงก่อน และรักษาชีวิตรอดมาจนถึงระกาปีนี้ก็เพราะฝีไม้ลายมือชำนาญ มันยืนม้าแฝงตัวอยู่ชายดง กองม้า ๓๐ ทั้งเจ้าเฟื่องและจวงน้องสาวซึ่งพักผ่อนอยู่กลางดงลึกต่างก็พากันมาเมียงมองแฝงอยู่ตามโคนไม้ เมื่อได้ยินเสียงกึกก้องร่าเริงของนักรบบ้านระจันที่เพิ่งผ่านไป เสียงเพลงศึกทุกข้อได้ยินถนัดหู

ทัพมันยืนนิ่งอึ้ง หัวใจตื้นๆ เมื่อรู้ว่าชาวบ้านระจันเพิ่งกลับจากศึก ชาวระจันชนะศึกอย่างน่าปลื้มที่มันได้ยินจากคำของเพลงร้องนั้น เออ...บ้านระจันเอ๋ย มิเสียแรงที่เกิดมาเป็นเพื่อนร่วมชาติ มิเสียแรงที่เอากำเนิดมาเป็นชาย กูบูชามึงแล้วพวกบ้านระจัน แต่แสนเสียดายที่กองม้าบ้านคำหยาดมาไม่ทันเวลา คลาดเพียง ๒-๓ ชั่วโมงเท่านั้นที่กูมาถึงช้า หาไม่ก็จะต้องเอากองม้าเข้าลุยมันตลบมาให้ชาวบ้านระจันบดเสียให้ละเอียด เสียดายนักที่ไม่ได้ร่วมศึกกับพวกระจันที่มีใจเหมือนกู

เสียงเพลงยังก้องไปไกลๆ แว่วไปไกลๆ กระทั่งเงียบสนิทลับหู แต่เพลงศึกเหล่านั้นมันเร้าใจไม่รู้ทาย ปลุกใจสิ้นดี มันเขย่าแค้นเขย่าน้ำตาให้รู้สำนึก เพลงมันจี้หัวใจให้รู้ว่าไทยกำลังบ้านแตกสาแหรกขาด ถ้าไทยไม่สู้ไทยจะต้องเป็นทาสทั้งบ้านเมืองทรัพย์สมบัติและลูกเต้าหลานเหลนจะต้องถูกยื้อไปเป็นของเขา ไทยจะได้ชื่อว่าพวกเชลยศึกแสนอาย...ต้องสู้...ต้องสู้มันจนม้าหมดกอง สู้มันจนดาบหักไม่มีเหลือ...สู้มันถึงแม้จะเหลือแต่สองมือเปล่าก็จะเข้ายื้อดาบเจ้าของฟันมันเอง

เจ้าโจรเก่าที่เปลี่ยนหัวใจไปแล้ว หันสั่งนายสังข์ให้เรียกประชุมคนล้อมวง แล้วหันมาประกาศปรึกษาว่า

​“น้องกูทุกคน...เพราะเราช้าอยู่จึงพลาดศึกครั้งนี้ เห็นไหมเล่าว่าเขาชนะกันไปแล้ว กูปลื้มใจแทนจริงๆ”

เงียบฟังกันทุกคน เมื่อไม่มีใครออกความเห็นอีกเจ้าทัพจึงกล่าวความที่คิดไว้ต่อไป

“กูจะเข้าค่ายระจันในก่อนค่ำนี้ กูจะเข้ายอมตัวให้ชาวระจันใช้กูให้ทันศึกคราวหน้า เพราะขืนรอช้าอยู่อีกมันก็จะคลาดไปอีก ใครจะเห็นยังไง?”

หลายคนเห็นตามกัน แล้วทุกๆ คนก็เห็นชอบที่จะรีบเข้าค่ายบ้านระจันให้เร็วที่สุด ด้วยความเร่าร้อนของหัวใจจะทำศึกคราวหน้า แล้วเจ้าตัวนายกองผู้บันลือฝีมือจึงสั่งให้กองม้าเข้าขบวนยกออกจากดงโฉมหน้าเข้าสู่ระเนียดค่ายที่แลอยู่ลิบไรๆ ทั้งหัวใจตื่นและปลื้มที่จะได้เข้ารักษาค่ายเป็นชาวบ้านระจัน

ใกล้เย็น แดดกล้าเพิ่งจะลดแสงอ่อน ลมพัดปลายไม้ทั้งลมทุ่งลมดงกำลังตกพัดหวนมาจากทุกทิศทางเป็นลมข้าวเบาที่จะเก็บเกี่ยวในฤดูนี้หากไม่เกิดศึก แต่เดี๋ยวนี้ทั้งข้าวเบาและข้าวกลางนั้นจะหาแต่เพียงสักกอก็ทั้งยาก

ภายในค่ายบ้านระจันกำลังครึกครื้นสนุกสนาน ภายในค่ายทุกหย่อมหญ้าและลานดิน ทุกกลุ่มคนที่อยู่และเพิ่งชนะศึกกลับมากำลังเลี้ยงกำลังปลื้มกันอยู่เหลือหลาย เข้าหาบมาเป็นแถวเมื่อปลงจากบ่าของสาวชาวค่ายแล้วเจ้าก็ตักแจก เหล้าและสุราบานอื่นเหลือเฟือ วงที่เป็นหัวหน้านั้นต่างก็เลี้ยงและปรนปรือส่งให้นายแท่น ส่วนนักรบชั้นรองๆ ก็กินเลี้ยงกันตามฐานะตามควรมิให้เกิดเมามายเกินขนาด เพราะยังเกรงว่าข้าศึกจะมีหนุนยกมาอีก

ถึงจะมาในหน้าที่เลี้ยงข้าวเลี้ยงอาหาร แฟงมันก็แต่งตัวสวยสะอาด หากนักรบผู้ใดจักมึนเมาเกินเพื่อนหยอกล้อแฟงหรือก้ำเกินไปบ้าง เจ้าดอกไม้ไพรที่มาแต่ดงศรีบัวทองก็มิได้ถือสาคงยิ้มแย้มในถ้อยคำนั้นอยู่เสมอ แฟงมันเป็นที่หวานชุ่มหัวใจและคุ้นเคยของทหารศึกบ้านระจันอยู่ทั่วตัวจนเกือบจะเรียกว่าหัวหน้าของกองผู้หญิงก็ว่าได้

กว่าจะอิ่มหนำสำราญกันก็ได้เพลาเย็น พวกที่รบชนะกลับมาต่างพากันไปกราบไหว้พระอาจารย์ธรรมโชติถวายพรท่าน แล้วต่างคนก็แยกไปพักผ่อนตาม​เหย้าเล็ก ส่วนเพลาที่มีหน้าที่ประจำก็ตรวจตรารักษาไปตามหน้าที่ของผู้เป็นนายกำหนด กองเลี้ยงผู้หญิงก็พากันกลับบ้านใครบ้านมัน

ที่วงเลี้ยงของหัวหน้า ถึงหากจะอิ่มเสร็จแล้วแต่ยังคงนั่งคุยปรึกษากันถึงศึกต่อไปอีก ด้วยต่างก็แน่ใจว่าทำอย่างไรเสียพม่าก็จะต้องยกทหารมาแก้แค้นปราบปรามเป็นแน่ ระหว่างที่ยังมุ่งหน้าหารือกัน กองสอดแนมของนายจันทร์ได้เข้ามาเสนอบอกความว่า มีกองม้าไทยอพยพมาแต่วิเศษไชยชาญใต้จะขอเข้ามาหาเพื่อสวามิภักดิ์ทำศึก เดี๋ยวนี้กำลังคอยสั่งอยู่นอกระเนียดห่างจากค่ายประมาณร่วมเส้น พันเรืองกับขุนสรรค์จึงสั่งให้เรียกชาวบ้านระจัน ๓๐ คนเท่าจำนวนกองม้าพร้อมสรรพด้วยอาวุธให้ออกไปนำคนเหล่านั้นมาและปลดอาวุธเสียเพราะเกรงจะเป็นอุบายพม่าข้าศึก

ทัพ มันยืนม้าตระหง่านคอยคนที่เข้าไปบอกอยู่ชั่วครู่ สายตามองดูรั้วค่ายเห็นแน่นหนาคงจะคิดกันเป็นการใหญ่แน่ ทั้งชาวบ้านที่ยืนเป็นยามรักษาประตูก็สังเกตท่าทางแข็งขันระมัดระวังกองม้ามันอยู่มาก ก็นึกชมเชยในใจ จนอีกครู่ต่อมาจึงเห็นนักรบในค่ายระจันเดินขบวนกันมามากร่วม ๓๐ เจ้านายกองม้าก็เดาการว่าพวกค่ายบางระจันคงระวังระแวงจึงหันโบกมือสั่งกองม้านั้นให้ทำตาม

“น้องกู ลงคำนับสวามิภักดิ์เขาเถิด แล้วปลดอาวุธวางดินทุกคน” สิ้นคำเจ้าทัพก็ลงจากหลังอ้ายเลานำก่อน แล้วม้าทั้งกองก็เหลือแต่หลังเปล่าเว้นแต่เฟื่องกับจวงซึ่งเป็นหญิงยังคงนั่งอยู่

พอชาวค่ายระจันเดินมาใกล้จะถึง เจ้านายกองชำนาญศึกก็คุกเข่าลง ดาบสะพายหลังสองเล่มปลดวางดินยอมสวามิภักดิ์ให้แก่ชาวค่ายระจัน แล้วดาบก็วางดินไขว้กันเป็นระเบียบไปตลอดทั้งแถว

หัวหน้าชาวค่ายระจันที่คุมคนออกมา คือ นายทองเหม็นผู้ใหญ่บ้าน เมื่อเห็นเจ้านายกองม้าแปลกหน้าประพฤติเช่นนั้นก็พอใจนัก แล้วยืนสังเกตดูท่าทางและชมเชยลักษณะทหารของมัน ก็ให้นึกไปว่าบ้านระจันจะได้คนดีไว้ทำศึก ครั้นแล้วก็สืบเท้าใกล้เข้ามาและย่อตัวลงประคองมันกล่าวว่าเชิญน้องข้าลุกขึ้นเถิด ​เชื่อแล้วว่าพวกน้องมาด้วยบริสุทธิ์ที่จะคิดช่วยกันทำศึกให้แก่แผ่นดิน หยิบดาบขึ้นสะพายให้สมศักดิ์ทหารของเจ้าเสียเดี๋ยวนี้ แล้วเชิญเข้าพักผ่อนในค่ายเราทุกๆ คน

แล้วนายทองเหม็นก็สั่งชาวค่ายระจันที่มาด้วยให้เข้าประคองคนหลังๆตลอดไปเรียงตัว ทั้งให้มีคนจูงม้าของเฟื่องกับจวงเข้าไปด้วยความเคารพนับถือ

เพียงแต่เห็นเขาต้อนรับนอกค่าย ทัพมันหัวใจตื้นน้ำตาคลอที่ว่ามื้อนี้ไทยมันช่างรักกันนักหนา เมื่อใจมันเป็นทหารตรงกันอยู่เยี่ยงนี้ ศึกอีกสักแปดทิศก็จะผลาญให้มันย่อยยับไปไม่ยาก แล้วก็เดินจูงม้าคู่ไปกับผู้ใหญ่บ้านชาวระจัน เหลียวดูพวกพล เออ...มันกอดคอเดินสนิทสนมเหมือนรักกันมาสักร้อยปีกระทั่งล่วงพ้นประตูค่าย

นายทองเหม็นรีบวิ่งออกหน้าไปยังพันเรือง และคนอื่นๆ แล้วเล่าเหตุการณ์ให้ฟังตามที่สังเกตเห็น และในชั่วครู่นั้นขุนสรรค์พันเรือง นายแท่น นายโชตินายจันทร์ ทั้งนายเมือง นายดอกไม้ และคนอื่นๆ อีกต่างก็วิ่งกรูกันมาห้อมล้อมมัน สีหน้าแต่ละคนล้วนผูกไมตรีแก่หัวใจมันนัก

นายจันทร์หนวดมีสง่ากล่าวว่า น้องข้าคงจะไม่ใช่คนพื้นบ้านนี้ดอกกระมัง เพราะตามสังเกตเห็นว่าน้องข้าคงจะมาจากไกลและเหนื่อยอ่อน ขุนสรรค์และพันเรืองนั้นมีอาวุโสตรงเข้ากอดมันไว้แล้วพูดเป็นทำนองคล้ายกัน ขอบใจนักเจ้าเอ๋ยที่มาสมัครก่อน และขอให้เจ้าคิดว่าเป็นคนเกิดในพื้นบ้านระจันก็แล้วกัน และคนอื่นๆ ก็กล่าวคำรักต่างๆ อีกมากมาย

ทัพมันปลื้มเป็นที่สุดมองจับหน้าทุกคนแม้ว่าจะเหี้ยมเกรียมเพราะกรำงานแต่ปลื้มอยู่ในหน้าให้นึกรักตลอด

“ฉันเป็นคนพื้นคำหยาดทุกๆ คน และที่มุ่งมานี่ก็ไม่คิดเป็นอื่น นอกจากจะขออาสาทำศึก ขอถวายชีวิตให้แก่แผ่นดินไม่อยากให้ใครมาข่มเหงเท่านั้น” แล้วทัพมันเล่าความตั้งแต่อพยพมากระทั่งคลาดกับชาวค่ายระจันที่กลับจากชนะศึกเพียง ๓-๔ ชั่วโมง

นายแท่นนั้นนึกพอใจมันนัก ส่วนนายโชติซึ่งเป็นผู้คุ้นเคยกับแฟงมาแล้วดียังยืนตะลึงตะไลดูเฟื่องที่ยืนอยู่เคียงม้า เจ้าเหมือนกับสาวแฟงหญิงชาวดงศรีบัวทองราวกับแกะจากพิมพ์เดียว เมื่อพูดจารับรองกันอยู่อีกครู่หนึ่ง พันเรืองก็​สั่งให้คนไปจัดที่พักให้คนเหล่านั้นตามสะดวกสบายทุกประการ

ล่วงวันมาอีก เมื่อข่าวที่โจษกันต่อๆ ไปเป็นกิตติศัพท์แพร่หลายว่าชาวค่ายระจันชนะศึก พวกราษฎรและชายฉกรรจ์ทั้งนายซ่องต่างๆ ที่หลบตัวซุ่มซ่อนอยู่ต่างก็พากันคุมพรรคพวกมาสวามิภักดิ์เข้าค่ายบ้านระจันมากขึ้น กระท่อมและเพิงพักปลูกเรียงรายเป็นขนัด จนได้กำลังคนจะร่วมพันและแบ่งแยกเป็นหมู่เหล่า พวกผู้หญิงก็สมัครมาเป็นกองเลี้ยงอาหารหุงหาเปลี่ยนเวรแบ่งแยกกันไปตามหมวดตามกอง

ฝ่ายสุรินทจอข่อง ครั้นเห็นพม่าตัวนายที่เหลือตาย ๒-๓ คน หนีกลับมาบอกว่า ชาวบ้านระจันได้ซ่องสุมผู้คนไว้มากมายและฆ่าพม่าที่ยกไปร้อยเศษตายหมด ก็ให้นึกหนักใจ ครั้นจะเอากำลังทหารที่มีประจำอยู่ทางวิเศษไชยชาญเข้าปราบปรามก็เกรงจะพ่าย จึงมีใบบอกไปยังแม่ทัพใหญ่ฝ่ายเหนือที่ปากน้ำพระประสบ แต่เนเมียวสีหบดีนั้นยังคงคิดว่าทัพบ้านระจันนั้นเป็นแต่เพียงพวกนายซ่องนายโจรไม่สำคัญ จึงสั่งให้งาจุนหวุ่น นายทัพคุมพล ๕๐๐ สรรพด้วยเครื่องสาตราวุธและกองม้า ยกจากค่ายปากน้ำพระประสบขึ้นบ้านระจันแต่เพลานั้น

ล่วงเพลาเช้าไปแล้ว ทั้งการซักซ้อมฝีมือและเพลงอาวุธของชาวค่ายระจันจะเลยมากระทั่งได้เพลากินอาหารและล่วงเลยมาอีกถึงเพลาพักผ่อน การสรวลเสเฮฮาในค่ายยังคงมีอยู่ครึกครื้นเช่นเคย บางหมู่บางเหล่าที่เป็นหัวหน้าก็ประชุมถึงอุบายจะทำศึก บ้างเรียกเหล่านักรบที่เพิ่งมาสมัครใหม่แล้วกล่าวคำปลุกใจ และบ้างก็ไปหาพระธรรมโชติอาจารย์ขอประเจียดมงคล ที่เป็นชาวพื้นบ้านมีเหย้าเรือนอยู่ในบ้านระจันมาก่อนก็ยังคงสงบอยู่เหย้าอย่างสบาย

ล่วงสายมาอีก ตะวันสายที่จะร้อนแรงขึ้นทุกขณะ ชาวค่ายระจันทุกคนก็จะต้องตื่นตระหนกทั้งหญิงชาย เพราะเสียงกลองศึก กลองศึกกำลังรัวเร้ามาจากบ้านพันเรือนแล้วก็รัวรับกันมาอีกเป็นทอดๆ เสียงกลบดังหนึ่งทุ่งบ้านระจันคำราม

ผู้หญิงจากเหย้ามาเป็นแถวทั้งกระเช้าและช่อดอกไม้ในมือผู้ชายดาบขัดหลังและอาวุธอื่น ตามถนนม้าก็ผูกอานพร้อมตัวหัวหน้านับแต่ขุนสรรค์ พันเรือง นายแท่น นายจันทร์และคนอื่นๆ อีก ล้วนแต่ยืนตระหง่านเป็นประธานบนที่สูงหลังครกหรือไม้แคร่และหลังม้ากล่าวประกาศเช่นเคย

​ครู่นั้น...กองม้าซึ่งตั้งอยู่ท้ายค่ายห่างพวกนักรบอื่นควบลิ่วมา ผ่านแถวหญิง ผ่านกำนันกระทุ่มด่านและแม่เจ้าจวง กระทั่งถึงผู้เป็นหัวหน้าค่าย อ้ายสีดอกเลาก็ถูกกระชากจนหน้าผก

อ้ายหนุ่มคำหยาดโดดจากหลังอ้ายเลาตรงเข้าหาหัวหน้าซึ่งยืนอยู่เรียงทุกคน

“ข้าขออาสาเข้าตีก่อนเป็นศึกหน้าสิ้นทั้งกองนี้”

หัวหน้าพากันมองมันสิ้น คำอาสาของมันจับใจนักรบไม่รู้หาย หากแต่เจ้าทัพรู้ตัวอยู่ว่ามันเป็นนักรบเพิ่งสมัครเกรงจะยังเป็นที่แคลงใจของเหล่าหัวหน้าและชาวค่ายด้วยกัน จึงพูดดังๆ เพื่อได้ยินกันทั่วเป็นคำมั่นสัญญา

“ข้าขออาสา ถึงจะมีคนพร้อมแล้วกองอื่น แต่กองม้าคำหยาดนี่จะต้องขอผสมไป จะขอตายก่อนที่ชาวค่ายอื่นจะต้องตาย” สิ้นคำก็มีเสียงโห่ร้องอึงคะนึงพอใจ

ครั้นได้พลพร้อมแล้วรวมทั้งกองม้าสมัคร จึงนายเมืองชาวศรีบัวทองและนายดอกไม้ชาวบ้านกรับผู้ยังมิได้ออกรบเลยต่างก็ขันอาสา แล้วคุมนักรบบ้านระจันมาหาพระอาจารย์ธรรมโชติอยู่หน้าศาลาเดิม

กองม้าคำหยาดที่อาสาเป็นศึกหน้ากำลังสงบฟังคำเห็นภิกษุผู้ยืนทั้งชายจีวรปลิวทำให้มันหวนนึกไปถึงคำหยาดคืนฝนตกหนัก นึกไปถึงหลวงพ่อผู้ให้กำเนิดและวิชาทั้งโอวาทต่างๆ กระทั่งมันยกมานี่ หัวใจรักชาติบ้านเกิดคุขึ้นร้อนแรง เมื่อฟังคำพระอาจารย์ธรรมโชติกล่าวว่าพวกเจ้าบัดนี้มากันพร้อมมูลมากหลายครบเป็นกองทหารแล้ว พวกเจ้าจะต้องสู้ศึกมิใช่จะส่วนแค้นถ่ายเดียว แต่จะต้องอาสาสู้เอาชีวิตถวายให้แก่ชาติเลือดเนื้อเจ้าจะต้องถวายแผ่นดินและเจ้าชีวิต แล้วสวัสดีมีชัยก็จะเกิดแก่พวกเจ้า

ทัพและกองม้ามันคุกเข่าลง หันหน้าไปทางเบื้องใต้อันเป็นทิศศรีอยุธยากรุงหลวง แล้วมันก็กล่าวปฏิญาณนำขึ้น

“ข้าจะออกศึกในชั่วครู่นี้ ชีวิตข้า หัวใจข้า ขอมอบให้แก่พื้นแผ่นดินและชาวไทย สองแขนข้าจักขอทำศึกป้องกันค่ายและพี่น้องบ้านระจัน สองแขนข้าขอถวายเจ้าชีวิตแล้วเยี่ยงทหาร”

​จบคำ น้ำมนต์ก็พรมลงมาแล้วก็โปรยปลิวไปทั่วกองม้าศึกดังสายฝนเมื่อเดือน ๑๒ แล้วอ้ายสีดอกเลาก็โลดเต้นผกหน้าคะนองยกกองม้านำเป็นขบวนแรก แล้วพลเท้าของนายเมือง นายดอกไม้ก็เดินคุมเป็นกองกลางตาม ผ่านพี่น้องร่วมตายชาวระจัน ผ่านผู้เฒ่าผู้แก่ที่ยกมือสาธุอวยชัยให้พร ผ่านนักรบร่วมค่ายที่ยืนอิจฉามิได้ออกศึก

แฟงมันยืนกำสวมเสื้อแล้วห่มแพรจีบ ในมือมีดอกไม้ไพรเต็มกระเช้าคอยอยู่ใกล้ประตูค่าย มันโลดเต้นอยู่ในหมู่เพื่อนหญิงด้วยความเริงใจที่เห็นบ้านระจันมีทัพครบขบวนทั้งกองม้า และเห็นกองม้าวิ่งเหยาะมาแต่ไกล ที่เจ้าเห็นเละอ้ายตัวนำก็อดจะคิดไม่ได้ว่าทำไมอ้ายกองม้าบ้านคำหยาดจึงไม่อาสาศึก

ใกล้มาอีก อ้ายม้านำทั้งดีดหน้าดีดหลังและผกโผน แม้จะเป็นกองอาสาใหม่ชาวระจันก็โห่ร้องให้มัน ผู้หญิงขว้างดอกไม้และผ้าแถบ แฟงมันก็เตรียมดอกไม้อยู่แล้วเต็มกำมือ

อ้ายเลาโดดเต้นใกล้จะถึงประตูค่าย หลังมันยังมีดอกไม้พลอยติดมาด้วยเจ้าทัพเล่าก็ปลื้มเหลือ หัวใจตื้นที่ได้ทำศึกไว้ฝีมือ ชักอ้ายเลาผันผวนมาหว่างทางสองฟากเต็มไปด้วยหญิงชายชาวค่าย พอจะถึงประตู อโห เจ้าฟ้าเจ้าสวรรค์อีแฟงของพี่ใช่แล้วหรือไร

พอจ้องสบตา แฟงมันก็สาดดอกไม้หมดกระเช้าลืมคิดว่าขบวนม้ากำลังจะไปศึก วิ่งปราดมายึดอ้ายเลา

“พี่ทัพเรอะ”

“เออ อีแฟง” มันรับทันควัน อ้ายเลายังโลดหวนไปหันมา “เออ แฟงเอ๋ยเรามาร่วมค่ายกันแล้ว มึงอยู่เถิด พี่จะออกศึก”

แฟงมันร้องไห้เพราะแสนดีใจ นึกว่าจะตายสูญหน้าไปแล้วก็กลับมาพบกันอีก มันกลับมาเป็นทัพหน้าของบ้านระจันอย่างชวนให้แฟงปลื้ม

“พี่ต้องชนะกลับ ฉันจะคอย จะดึกดื่นฉันก็จะหุงข้าวคอยพี่กิน” แล้วแฟงก็ถอดแพรห่มผูกคออ้ายเลา พวกผู้หญิงก็สาดดอกไม้ โห่ร้อง บ้างก็หลั่งน้ำตาปลื้มแทน

ทัพก้มลงจับแขนแฟง เนื้อแขนมันจากมือไปหลายเดือนตั้งแต่กระทุ่ม​ด่าน ยังเป็นเนื้ออุ่นของอีแฟงที่คอยมืออยู่อีก เขย่าและบีบเนื้อแน่นให้สัญญา

“ชนะซีวะแฟง ถ้าบ้านระจันมีมึงอยู่คอยแล้วอีกร้อยศึกก็ชนะ แพรผูกคออ้ายเลานี่แหละธงชนะของกู เออ มึงคอยโห่รับกูเถอะ”

มันหักใจเตือนอ้ายเลาออกพ้นประตูค่ายไม่เหลียว ประตูค่ายซึ่งเป็นเส้นบอกเขตว่าพ้นไปตายหรือกลับมาชนะ แต่ต้องชนะ เพราะอีแฟงมันคอยด้วยใจรอนๆ เพราะพบอีแฟงเมื่อครู่ก็ต้องจากอีแฟงไปศึก

งาจุนหวุ่นซึ่งเดินทัพมาแต่ค่ายใหญ่ปากน้ำพระประสบ ยังคงคาดการณ์ล่วงหน้าเป็นประมาทว่า เพียงทัพชาวบ้านซึ่งไม่มีระเบียบและวินัยศึกแลคนสักหยิบมือหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่พบกองม้าหน้าครึ่งร้อยก็จะแตกยับเยินในชั่วพริบตา แต่หาได้คิดเฉลียวแต่สักน้อยหนึ่งไม่ว่าพล ๕๐๐ เศษรวมทั้งกองม้าที่เป็นปีกซึ่งยกมาอย่างประมาทหว่างทุ่งและดงเปลี่ยวสองฟากนั้น ได้ถลำเข้ามาอยู่ระหว่างทางกลางทัพบ้านระจันแล้ว

นายเมืองกับผู้เป็นหัวหน้าอื่นเมื่อเห็นเชิงได้เปรียบเช่นนั้นจึงนัดแนะสัญญาที่จะเข้าตีพร้อมกันทุกด้าน เจ้าทัพมันอาสาจะคุมกองม้าเข้าลุยพลเท้าตลบให้ขาดกลางเสียขบวนก่อนแล้วจึงจะเข้าตีกองม้าที่ยกมาเป็นปีก

ตะวันขึ้นสูงตรงหัว แดดกล้า กลางทุ่งทั้งเงียบเชียบไม่มีวี่แววว่าชาวค่ายระจันจะยกมารับ เป็นเหตุให้งาจุนหวุ่นนอนใจจึงนำทัพเดินเลียบเข้าชายดงหลบแดด

เจ้านายม้าคำหยาดมันซุ่มดูกิริยาอาการของทัพพม่ากระทั่งใกล้จะผ่านให้หลังไปไม่สำนึกตัว บังเหียนก็ผูกหัวอานกระชับแน่นดาบอาทมาตดิ้นรนแล่นปราดจากหลัง แล้วดาบทั้งหลายร่วม ๕๐ ก็คายจากฝักพร้อมกัน

พอขบวนท้ายของข้าศึกผ่านไปอ้ายเลาก็ถูกโกลนเตือนสีข้างแลตบแผงโผนออก ทัพมันห้อจนสุดฝีตีนอ้ายเลาแล่นเข้ากลางหมู่พลเท้าตลบตัดเข้าข้างหลังดาบก็ควงหวดหนเดียวขาดไม่ซ้ำสอง ปากก็กู่ตะโกนสั่งกองม้าคำหยาด

“น้องกูต้องไว้ชื่อ ย่ำให้ละเอียด”

ไม่ทันสั่งเป็นคำสอง ไม่ทันที่พลเท้าของงาจุนหวุ่นจะกลับหน้าสู้ ม้าศึก​ทั้งกองก็แล่นเข้ารังควานอยู่กลางทัพกองหลังระเนระนาดฝุ่นฟุ้งเพราะฝีเท้าม้าตะลุย เมื่อฝุ่นแล่นฟุ้งไปทิศใดทิศนั้นก็แลเห็นเลือดกองและศพก่าย เมื่อฝุ่นจางแล้วเจ้านายกองนำศึกก็ตะโกนก้องเป็นสัญญานัดเข้าตีพร้อมกัน

“บ้านระจันรบ...รบ” แล้วก็เสียงรบขึ้นพร้อมกัน และต่อไปก็เสียง...บ้านระจัน...บ้านระจัน คำรามไปทุกฝีดาบ

พอเสียงบ้านระจันคำรามขึ้นกลางทัพพม่า นายดอกไม้บ้านกรับซึ่งคุมพลซุ่มสกัดอยู่ในดงไม้หน้าก็ขานรับกระหึ่มขึ้นแล้วแล่นกรูเข้าใส่ ถัดมาก็ทัพนายเมืองที่ผงาดออกจากดงข้างใต้รบตลบเข้าผ่านกลางทัพจะให้ขาดสองซีก เสียงคำปลุกศึกนั้นก้องทุ่งแต่คำว่าบ้านระจัน...บ้านระจัน....บ้านระจัน กระหึ่มทุ่งพร้อมกันหมดสิ้นทุกด้าน

ปีกของงาจุนหวุ่นซึ่งเป็นกองม้าก็เริ่มเข้าตีเพื่อแก้งาจุนหวุ่น ซึ่งติดอยู่ในที่ล้อมออก ชาวค่ายระจันพอถูกกองม้าประชิดเข้ามาก็เสียขบวนล้อมที่จับตัวแม่ทัพและใกล้จะเป็นอันตราย

ม้าค่ายระจันมันลุยขาดมาอยู่จนทัพหน้า พอจะย้อนรังควานอีก ฝุ่นที่จางก็ทำให้ทัพมันเบิ่งตาตะลึงมอง โอ้ ทัพระจันพลเท้ากำลังถูกกองม้า ๕๐ ที่มากกว่าคำหยาดเท่าตัวกำลังจะแบ่งพลจากล้อมนายมันย้อนเข้าหั่นพลเท้าไทย

“สังข์” มันหันเรียกแก่กองไทยเก่า “มึงแบ่ง ๑๐ ม้าเข้าตีอ้ายพวกที่ล้อมนายมันไว้ กูจะลุยอ้าย ๓๐ นี้เอง”

ม้านายสังข์ควบลิ่วไปแล้ว ควบตรงเข้าปะทะซึ่งๆ ที่กองล้อมตัวงาจุนหวุ่น ทัพมันจึงหันมาให้สติพวกอยู่หลังในบังคับ

“เฮ้ย...บังเหียนผูกเอวตายกะม้า กูจะตะลุมบอน”

พอพร้อมในพริบตานั้นมันก็สั่ง “เข้าตีกองม้าตามกูเร็ว”

อ้ายเลาวิ่งเข้าใส่ และม้าแบ่งอีก ๑๕ ตัวตามติด ชาวค่ายระจันกำลังถูกกองม้าข้าศึกโถมร่นมา พอเสียงปลุกขวัญครืนมาข้างหลังกองพม่าก็รวน เสียงม้าชนม้า...เสียงดาบฟาดดาบและดาบกัดเนื้อ คำว่าบ้านระจันดังลั่นฮึกขึ้นทุกที มิช้ากองม้าที่ติดพันกันชุลมุนหมดก็ร่อยหรอลง บ้างหลังเปล่าไม่มีเจ้าของ ลางม้าเหลือแต่เพียงเจ้าของนั่งหัวหาย พอฝุ่นจางอีกครั้ง กองม้าที่คะนองอยู่กลางฝุ่น​ตะลุมบอนก็แลเห็นจำกันได้เป็นแน่ว่าม้าศึกของบ้านระจัน

ทหารล้อมที่ชิงตัวนายออกมาคงแตกยับเยินเหลือไม่กี่คนพร้อมด้วยงาจุนหวุ่นซึ่งรีบรุดหนีเอาชีวิตรอดกลับไปพร้อมด้วยใจสนเท่ห์ที่เกิดแก่ทัพพม่า ซึ่งไม่คิดว่าชาวค่ายระจันจะเหี้ยมหาญชำนาญศึกทั้งพลม้าและฝีมืออาวุธสั้นของพลเท้าไทย คงทิ้งทหารที่ป่วยหนักและล้มตายให้เกลื่อนดิน เหมือนยุน้ำใจให้ชาวระจันคะนองศึกยิ่งขึ้น

ทุกหัวใจภายในค่าย คงเป็นหัวใจที่คอยอย่างกระตือรือร้นที่จะได้ข่าวศึก บ้างบนบานศาลกล่าว บ้างแหงนสังเกตดวงตะวันที่เพิ่งคล้อยไปด้วยใจร้อน แต่แฟงมันร่าเริงอยู่ตลอดเวลาเพราะเชื่อฝีมืออ้ายกองม้าของคำหยาด

พอตะวันคล้อยมาอีกเลยบ่ายมาจนแดดอ่อน ม้าเร็วก็ล่วงหน้ามาอย่างรีบร้อนบอกข่าวศึกชนะ ในค่ายจึงต่างเตรียมจะรับมิ่งรับขวัญทหารหาญทั้งดอกไม้ช่อและกระเช้าข้าวตอก ตามลานดินก็ตั้งวงอาหารไว้คอยท่า และอีกชั่วครู่เดียวเสียงเพลงศึกก็ลั่นมาจากนอกค่ายไกล กลองชนะและฆ้องชัยในค่ายก็กระหึ่มรับ เสียงโห่และร้องแซ่ซ้องดั่งพายุฝนจักถล่มฟ้า

เหลือที่แฟงมันจะอดใจคอย เสียงโห่ฮึกและร้องเพลงใกล้เข้ามาทุกขณะ ใกล้เข้ามาจนมองจากปากประตูค่ายเห็นกองม้าควบมาอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เห็นแพรห่มที่ผูกคอม้าตัวหน้าปลิวสะบัดชายแพรชนะ ม้าและคนขี่มันพาชนะมาให้ชาวค่ายระจันสมกะตั้งใจคอย

แฟงวิ่งตื๋อจากประตูค่าย แล้วเพื่อนหญิงอีกหลายคนก็วิ่งกราวตามไปก็พออ้ายเลามันควบมาถึง

“ทหารกล้าบ้านระจัน” แฟงเจ้าอ้าแขนร้องรับ แล้วแฟงมันก็ถูกแขนยังชุ่มด้วยเลือดโฉบมาจากม้าอุ้มตัวขึ้นติดแผงคออ้ายเลา ชายแพรปลิวยังกรุ่นกลิ่นคาวโลหิต

“ชนะเป็นของมึง แฟง” ทัพมันกระซิบพลางผ่อนฝีตีนอ้ายเลาลง “กูรีบล้างศึกเพราะรู้ว่ามึงคอย ประเดี๋ยวเอ็งต้องป้อนข้าวข้านะแฟงนะ”

แฟงพยักหน้าอิ่มเอิบหัวใจ อ้ายเลาห้อไป แขนทัพมันก็หิ้วเจ้าขึ้นนั่งหลัง​อ้ายเลา เมื่อพ้นประตูค่ายทั้งข้าวตอกดอกไม้น้ำอบน้ำหอมก็หว่านมา ฆ้องหุ่มจนขนเกรียว และเสียงบ้านระจันเป็นจังหวะกับเสียงฆ้อง กระทั่งแถวนักรบค่ายระจันเดินเข้าค่ายสิ้นขบวน

เย็นนั้น วงอาหารตั้งเรียงราย ผู้หญิงต่างก็จากเหย้ามาเลี้ยงอาหารหมด หญิงลูกอ่อนเจ้าก็อุ้มบุตรน้อยมาหาพ่อที่ชนะศึก อีคนรักคนใคร่ก็มาเยือนรับขวัญกันเป็นคู่ พ่อแม่มาปลื้มใจลูก คนแก่ทั้งผู้เฒ่าทั้งหลายอื่นมาปลุกปลอบน้ำใจมาฝากชีวิตอันจะต้องพึ่งพาความปกป้องจากชายฉกรรจ์ นักรบชาวเมืองสิงห์ สรรค์ทั้งวิเศษไชยชาญและสุพรรณที่ร่วมใจกันสู้ศึกพลีชีวิตให้แก่ชาติแล้วรวมเรียกว่าชาวค่ายบ้านระจัน ฆ้องชัยยังคำรามหุ่ม เพลงชนะศึกยังครื้นเครง แม้ว่าดาบจะคืนฝักแล้วใจยังโลดลำพอง ชายกอดชายที่ร่วมศึกเป็นคู่ๆ ไทยกอดคอไทยน้ำตาหลั่ง ตายเถิด จะตายเมื่อไหร่ก็ได้ตายแทนไทย บ้านใคร...ใครก็รัก เมื่อชาติอื่นภาษาใดจะเข้ามาครอบงำข่มกันจนถึงบ้านแล้วจะให้หนีไปไหน จะทิ้งเหย้าที่เคยอยู่ทิ้งเมียและลูกสาวให้เข้าครองชมเชย ปู่ย่ากราบไหว้อยู่ทุกวันจะให้ข้ามกรายเหมือนหนึ่งทาสเยี่ยงนั้นหรือ? อย่า...ถ้าบ้านระจันยังเหลือชายอีกเพียงคนแล้วก็....เมินเสียชาติ

ลานดินประชุมพลแลดาษดื่นไปด้วยเหล่าทหารที่ชนะศึก และนักรบประจำค่าย สุราอาหารเพิ่มเติมอยู่บริบูรณ์ไม่ขาด ยามเปลี่ยนยามมากินข้าวหัวหน้าทั้งหลายนับแต่ขุนสรรค์ พันเรือง นายแท่น นายจันทร์ และคนอื่นก็แยกย้ายกันอยู่ประจำทั่วกลุ่มทั่วหมู่เพื่อเป็นที่ปลื้มใจแก่เหล่านักรบ แลพูดจารักใคร่กันเยี่ยงพี่เยี่ยงน้องร่วมตาย บางวงโห่ฮึกเพราะสาวป้อนข้าวและถูกแอบหยอกหอมข้างแก้ม และก็เป็นเยี่ยงนี้แสนที่จะสุขหัวใจกันแทบทุกวง

ท้ายค่ายอันเป็นทางจะเข้าวัดโพธิ์เก้าต้น กองม้าซึ่งปลดอานพักแสนสำราญ อ้ายสีดอกเลากำลังดื่มน้ำและเล็มหญ้าอ่อนอยู่ไม่ห่างม้าสาว เจ้าของมันก็กำลังปลื้มอยู่กลางหมู่สาวๆ ส่วนเฟื่องและจวงเมื่อพบแม่แล้วทั้งลุงกำนันกระทุ่มด่านก็จากเหย้ามาบำเรอทหารอื่นอันเป็นกองม้าคำหยาดทั้งนายสังข์นายขาบสามี แต่แล้วทัพมันตีตัวห่างจากวงสมุนไป ๓-๔ วา ด้วยมีสำรับกับข้าวเป็นพิเศษของเจ้าแฟง เพราะถ้าหากจะร่วมวงอีกถึงเฟื่องกับแฟงมันจะคืนดีกันแล้ว ​แต่ใจของอ้ายทหารฝีมือลือยังไม่สิ้นกังวล เมื่อก่อนที่บ้านคำหยาดโน้นในครัวไฟแฟงมันถูกเฟื่องค้อน แต่นี่บ้านระจันแฟงมันจะต้องค้อนติงเฟื่องมั่งถ้าหากขืนมาเอียงหน้าป้อนข้าวผิดไปมิใช่ปากนายหมู่ขาบ

นับแต่วันประพฤติร้ายเข้าปล้นทัพที่ทุ่งคำหยาดมาจนบัดนี้ทัพมันเพิ่งจะลิ้มรสเหล้าเต็มอึก ๓-๔ จอกเกลี้ยงหาย และอีก ๔-๕ จอกที่แฟงส่งก็เกลี้ยงไปอีก อีแฟงงามก็เพิ่มงามขึ้น แต่กระดากอายเจ้าเฟื่องหรือสมุนอื่นกลับน้อยลง ปากก็อ้าดั้งลูกนกคอยอาหารป้อน

“ป้อนอีกเถอะวะแฟง...เออ...อ้ายข้าวอ้ายปลานั่นดูแต่พอควรเถอะ ถึงแกล้มก็แต่น้อยและยุติเสียมั่ง เหล้านั้นแหละวะแฟง แก้มแทนแกล้ม ดื่มทีจูบทีเดี๋ยวข้าก็อิ่ม”

“เอ้า! ตะโกนไปเหอะ เขาจะได้มองกันเล่น ไม่อายเรอะ” แฟงมันทำเสียงดุแล้วก็รินเหล้า ตาก็ชำเลืองไปวงใหญ่ “ไปจูบวงโน้นเขาซี”

เฟื่องจับหูฟังอยู่ก่อนร้อน “แนะ! อีแฟง นี่มึงจะไม่สิ้นเรื่องกะกูหรือไง” ขยิบตากับผัวแล้วก็ตอบไปมั่ง “มาพี่ทัพ มาเหอะมาจูบฉัน”

ฤทธิ์เหล้ามึนหน้า ทัพมันก็กลายเป็นคนอารมณ์ดีสนุกสนานจึงตอบไปตามฤทธิ์สนุกครึกครื้นใจว่า “ขออนุญาตขาบมันแล้วรึเฟื่อง”

ขาบก็พลอยสนุก “เชิญเถอะพี่ทัพ เชิญหอมให้หายเหนื่อยตามสบายพี่เถอะ ฉันอนุญาต”

“งั้นก็มา” ทัพกวักมือ “เออน่ะ ถ้าว่าเสร็จศึกรู้ใจกันพรรค์นี้ละก้อข้าก็ชนะทุกวัน รบทุกวันก็ไม่เหนื่อย”

ฮากันครืนใหญ่หมดทุกคน เป็นวันแรกที่ใครๆ ได้เห็นทัพมันสนุกสนานยิ้มแย้มคะนองสาว เป็นมื้อแรกที่อ้ายหนุ่มกล้าศึกมันทำเหมือนเจ้าชู้ถนัดในเชิงสาวเมื่อตะวันตกดิน

เฟื่องก็หาบังอาจจะก้าวมาสมปากพูดไม่ และเสียงฮาทั้งหัวเราะต่อกระซิกนั้นทำให้แฟงมันเพิ่มงามขึ้นอีก ทั้งโทโสกล้าแล้วอายม้วน ขยับตัวจะลุกหนีกลับเหย้า แต่ถูกทัพยึดตัวให้นั่งลงแล้วมันก็เอกเขนกเอนตัวทับตักแฟงรำพันขึ้นค่อยๆ ได้ยินกันแต่เพียงสอง

​“แต่ใครมันก็ไม่รักข้าเหมือนแฟง คนคอยก็ไม่มีใครเหมือนแฟงคอยข้า”

แฟงผลักไสด้วยฤทธิ์งอน หัวใจเด็กยังไม่สิ้น พอได้ฟังคำรักก็ทั้งแค้นและน้อยใจ “ฉันไม่ได้รักใคร ไม่คอยใครทั้งนั้น พรุ่งนี้จะออกจากค่ายไปลับหูลับตา”

ทัพนึกว่าแฟงพูดเล่นจึงตอบเย้าเล่น “ไปให้พม่ามันเอาไปแกงเสียงั้นเรอะ”

แฟงกลับคิดไปว่าเป็นคำประชดประชัน จึงตอบหวังให้สมแค้นสะใจ “จะแกงหรือเป็นเมียมันก็ยอม”

“หะ! อีแฟง” ทัพผงะขึ้นทั้งหงายๆ “อย่าว่าแต่พม่าจะอยู่เพียงค่ายวิเศษไชยชาญเลย ถ้าหากมันจะริบตัวมึงไปเป็นลูกเป็นเมียละก้อให้ถอยไปอยู่อังวะโน้น...เฮอะ! ถ้ากูไม่เหยียบไปถึงอังวะก็อย่าลอง”

“จะไปทำไมกัน”

“ชิงมึงมาซีวะ” แฟงแค่นหัวเราะ “เฮอะ! เจ้าคนกล้า อย่าเพิ่งแล่นไปอังวะเลย บ้านระจันนี้ก็จงอยู่คุ้มให้พ้นเดือดร้อนเสียก่อนเหอะ”

หากเป็นปากอื่นพูด ปากก็จะต้องอมเลือดเพราะถูกตบแน่ที่พูดหยามฝีมือ แต่นี่อีแฟง...อีเด็กๆ อยู่เมื่อวานซืนและมันก็สาวเต็มตัวแล้ว ถึงมันจะพูดจาก้าวร้าวก็เพราะฤทธิ์แค้นแสนงอนก็น่าจะคิดอภัยมัน

ทัพจึงทำสรวลเสอารมณ์ดีแล้วโอบคอแฟงมากระซิบให้ฟังที่ใกล้หูว่า “อีแฟง...มึงน่ะพูดจาไม่น่ารักที่ตรงไหนเลย แต่...เฮ้ย! แฟง ทำไมกูถึงรักมึงได้มึงรู้เรืองบ้างไหม? แลต่อๆ ไปกูต้องห้ามขาดไม่ให้มึงพูดว่าจะไปยอมเป็นเมียคนอื่น”

แฟงประหลาด นี่มันพูดเพราะฤทธิ์เมาสุรารึว่าหัวใจแท้มันมีอยู่เช่นนั้นจริง แล้วความคิดก็หวนไปอยู่ศรีบัวทองและกระท่อมหลังตาล ๕ ต้นที่คำหยาด

เสียงฆ้องย่ำขานยามบอกเวลา ตะวันตกดินสนิทบรรดาพวกนักรบและชาวด่านที่นั่งเลี้ยงดูกันต่างก็กลับเหย้าและค่ายพัก บ้างยังนั่งแช่คุยสนุกสนานก็มีอยู่ห่างไกล แต่วงเลี้ยงที่นายสังข์ นายขาบและเจ้าเฟื่องกลับกันทีละคนสองคน ​ส่วนสมุนและไพร่พลของทัพนั้นรีบลุกจากวงเพื่อทอดหญ้าและสุมไฟให้ม้านอน มิช้าก็เหลือชั่วทัพกับแฟงอยู่ด้วยกันเพียงสองต่อสอง

ทุ่งแจ้งมัวมืดตลอดทุกแห่งสิ้นแล้ว ค่ายม้าซึ่งตั้งอยู่ห่างพลเท้าทางจะไปวัดกำลังก่อไฟเรียงหลายกอง แต่มิไยใครอื่นจะคิดคืนเหย้า มิไยใครจะทุกข์ร้อนหรือกะการศึกสนุกสนาน ทัพมันยังคงปลื้มกระหยิ่มที่อยู่ใกล้แฟง ลืมศึกลืมพม่าที่นอนศพก่ายนับร้อยเพราะฝีมือชาวค่ายระจันสิ้น

แต่อีแฟงมันบ้าเสียแล้ว อีแฟงมันจะบ้าใหญ่ผิดอีแฟงเมื่อก่อน...เมื่อก่อนที่คำหยาดและศรีบัวทอง เมื่อก่อนที่ยังต้องหวงรักไว้ให้อีเฟื่องด้วยหวังบริสุทธิ์ อีแฟงที่ก่อเหตุทำทีจะรัก แต่เมื่อนี้อีเฟื่องก็เป็นอื่นไปแล้วพ้นหัวใจ กังวลก็หวังอยู่เป็นหนักว่าจะได้รักอีแฟงให้สมใจกันแต่เพียงหญิงหนึ่งชายเดียว แต่แฟงก็มาเปลี่ยนเป็นอื่นให้ผิดคาด

“กลับหรือยังล่ะมืดแล้ว ฉันเหนื่อย จะได้ไปนอนพักมั่ง” แฟงเร่งเร้าจะให้กลับและจัดแจงเก็บสำรับกับข้าว

“จะรีบไปไหนเล่าวะแฟง”

“ก็จะอยู่ทำไมอีกล่ะ ใครๆ เขาก็กลับกันหมดแล้ว”

“คุยกันอีกก่อนซีล่ะ คุยกันให้สมกะที่นานๆ ได้พบกัน รึเอ็งเกลียดข้าไม่อยากจะคุยให้รู้ไป”

“เกลียดซี” เจ้าดอกไม้ไพรที่มาจากศรีบัวทองรับ “นี่จนใจอยู่ว่าเป็นทหารค่ายระจันหรอก หาไม่ก็จะไม่ขอพบขอเห็น”

เลยทำให้ทัพแสนจะขำ เพราะอีแฟงโกรธเหมือนแกล้งโกรธไม่มีเรื่อง จึงจับสองแขนรวบดึงมันมา แต่แฟงกระชากกลับ

“พิกล...เล่นอะไรพรรค์นี้ ค่ำมืดไม่มีคนแล้วขืนทำพรรค์นี้ก็เท่ากะแกล้งจะให้คนนินทากันงั้นซี”

“ใครวะมันจะมานินทา...มาเหอะ” แล้วก็คว้าข้อมือรั้งมาอีก ครานี้ถึงแฟงจะดิ้นสะบัดอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย

“จะงอนไปไหนวะแฟง ข้าไม่เมานาจะบอกให้ แต่ถ้าเอ็งขืนทำดื้อจริตข้าก็จะทำเมาจูบเอ็งล่ะ ใครจะมาทำไม?”

​หากทัพเป็นเช่นนี้เสียแล้วแต่เมื่อก่อน แฟงมันจะไม่ปริปากว่าเลย อ้อ...นี่มันสิ้นคิดสิ้นทางแล้วจึงหวนมารักแฟง แลก็ทำด้วยอำนาจถือใจข่มเหงกันเล่น

พอทัพจูบแฟงมันก็ร้องไห้ แฟงไม่ดิ้นรนอีกต่อไปเหมือนคนทอดชีวิตยอมตาย แต่เจ้าทัพก็คงมืดมัวหัวใจสำคัญผิด แล้วจูบซ้ำจูบเติมไม่หยุดหย่อน สติที่เมาอยู่ด้วยน้ำเมาก็เพิ่มความมืดมนหัวใจขึ้นอีกในเรื่องรัก

พอเงยหน้า แสงไฟไกลหลายกองสว่างพอเห็น เสียงสะอื้นที่ได้ยินกะหูทำให้ทัพประหลาดอัศจรรย์ อีแฟงน้ำตานอง อีแฟงน้ำตาไหลล้นหน่วยลงเปียกแก้มแล้วลุกนั่งยกสองมือปิดหน้าร้องไห้โฮ

“เอ๋อ...แฟง มึงบ้าไปรึนั้น” สติกับคำของทัพที่ถามยังคงเป็นสติของน้ำเมา “กูจูบกูรักน่ะมึงมันน่าจะดีใจเบาไปรึ...นี่กลับมาร้องไห้ ชิอีบ้า...มึงบ้าแล้วอีแฟง...บ้าแน่”

“ไม่บ้าหรอก” แฟงตอบทั้งเสียงร้องไห้ “ฉันไม่บ้าแลยังไม่เมาด้วยน้ำเหล้า”

“งั้นร้องไห้ทำไม?”

แฟงเปิดมือขบฟันกรอดแล้วชี้หน้าทัพ “ถ้ายังอยู่ดีๆ แล้วไม่ร้องไห้หรอก แต่เจ็บใจนัก” แล้วฝ่ามือน้อยก็ตบอกมันเอง

“เจ็บใจ...อูวะใครทำไมให้มึง บอกกูทีเรอะ”

“ก็อ้ายใครมันข่มเหงจูบล่ะ เมื่อกี้อ้ายใครที่มันถือว่าเป็นชายอกสามศอกมาทำหยามกันเล่นเมื่อกี้”

ทัพชักลังเล อีแฟงนี่มันจะบ้าพ้นเที่ยงหรือไงแน่ และมันก็ร้องไห้จริงๆจังๆ พูดกัดเขี้ยวเคี้ยวฟันเป็นจริงเป็นจัง ขึ้นอีขึ้นอ้ายเหมือนคนอื่น “เอ๊ะแน่ะอีแฟงมึง” ทัพยังมีเสียงหัวเราะปนพูด “ก็จะมีใครอีกล่ะเว้ยที่จูบมึงนอกไปจากกู

“ก็นั่นแหละ ร้องไห้ก็เพราะมันดูถูกกันนั่นแหละ”

“อ้าว! นี่ข้าดูถูกเอ็งแล้วเรอะ วะแล้วกัน นี่เอ็งนิ่งให้ข้าจูบก็เพราะเอ็งจะคอยเอาดูถูกจากข้างั้นหรอกรึ อื๋อ นิ่งของมึงนี่ยังกะยาเบื่อยาพิษเทียวเรอะแฟง”

“เปล่า ไม่ใช่จะนิ่งเอาเชิงหรือทำจริต” แฟงว่าใจแค้นก็ยิ่งขึ้นแล้วก็ตอบฉาดฉานให้สมใจ “ไม่ใช่นิ่งจะคอยจูบ ไม่ใช่นิ่งเพราะเต็มใจ แต่ฉันเป็นผู้หญิงยาก​จะสู้รบตบมือ และฉันก็เป็นผู้หญิงอยู่ในค่ายรบ ตัวของข้าเป็นหญิงที่จะต้องบำเรอใจคนชนะศึก! ทหารกล้าบ้านระจันทุกคนเขามีคุณแก่หญิง คนแก่แลลูกเล็กเด็กแดง เจ้าเหนือหัวและพ่อเมืองก็ยังรักทหารกล้า ข้าก็รักคนสู้ศึก เมื่อต้องการบำเรอแฟงมันก็เต็มใจจะบำเรอสนองคุณเขา แต่พี่ทัพกะข้าเป็นคนกันเอง เรื่องหลังของพี่กับข้าก็มีอยู่เหลือหลาย เมื่อมุ่งมาทำกันพรรค์นี้ถ้าไม่หยามหน้ากันแล้วจะเป็นเรื่องไร”

ทัพร้องอือ ทั้งพูดและท่าทีของแฟงทำให้คืนสติ นี่แฟงมันผิดใคร มันบอกว่าคนเหาะได้ก็ยังไม่สงสัยเหมือนที่อีแฟงมีหัวใจประหลาดไปเช่นนี้

“มึงพูดจริงรึวะแฟง หรือหลอกกูเล่นอย่างมึงเป็นผี”

แฟงแค่นหัวเราะทั้งน้ำตา “อ๋อ จริง คนที่มาร่วมค่ายสู้ศึกระจันแล้วแฟงรักทุกคน เต็มใจบำเรอทุกคนไม่ว่าใคร”

อารมณ์ดีของอ้ายหัวหน้ากองโจรเมื่อก่อนค่อยละลายไปเพราะคำพูดแฟง อารมณ์หวงและเจ็บใจค่อยกรุ่นขึ้นมาเหมือนไฟแรกสุม

ยื่นหน้าถามแฟงว่า “กูก็คนชนะศึก จะจูบอีก”

“อ๋อ เชิญ” แฟงตอบไม่สะทกสะเทิ้น “เมื่อทหารชนะศึกจะประสงค์แล้วก็เชิญ”

ทัพหัวเราะตัวโอน แหงนหน้าไปกลางหาว บนฟ้ามืดดาวสุกยังขึ้นเหนือบ้านระจัน เป็นดาวดวงที่หลวงพ่อชี้ทิศให้มาสู่ค่ายระจันมาเป็นทหารมาสู้ศึกยอมตัวตาย ศึกนอกก็ชนะเมื่อบ่ายและค่ำ นี่มันเป็นศึกในหัวอกแรมปีที่นึกว่าจะชนะ แต่น้อยหรืออีแฟงกลับมาแปรกลศึกให้เป็นพิสดารไป มันดูถูกมันหยาบหยามคิดว่าทหารมาทำศึกเพราะคลั่งผู้หญิง

“มึงจะยอมบำเรอจูบกูอีกงั้นเรอะแฟง” เจ้านายม้าคำหยาดยังฝืนถามให้เป็นหัวเราะ แต่พอแฟงพยักหน้ารับและนองน้ำตาเพิ่มมาอีก สีหน้าทัพก็เปลี่ยน ยิ้มของมันที่เคยเห็นกลับเป็นบึ้งมุทะลุอย่างแฟงไม่เคยเห็น พร้อมกับมือโบกและตอบเสียงก้อง

“อ๋อ...กูไม่ต้องการ ฮะ...ฮะ อีแฟงกูไม่ต้องการหรอก กูมารบไม่ใช่จะมาแลกจูบของมึง แน่ะเฮ้ยอีแฟง ใจรบของตะหารมิใช่จะหวังแลกบำเรอของหญิง ​หากกูมารบก็เพราะจะกันลูกเล็กเด็กแดงและหญิงสยามศรีอยุธยาให้พ้นข่มเหง...กูมารบให้เจ้าเหนือหัวแลพ่อเมือง มึงเก็บคำไปพูดกะคนอื่นเขาเถอะ อีแฟง...ไป...ไปให้พ้น แล้วเก็บคำกูไปคิด ไปจำใส่ใจมึงไว้ให้ดี...และระวังตัวว่าถ้ากูยกกองออกศึกในมื้อหน้า หากเห็นมึงไปลอยหน้าส่งที่ประตูค่าย กูจะตัดหัวมึงไปโยนให้พ้นเสนียดค่ายระจัน อีแฟงมึงดูถูกกู เพราะใจมึงเองสำคัญผิด กูรักมึงก็จูบมึง แต่...หนอยอีแฟง มึงกลับสำคัญใจไปเสียว่าทหารกล้าเพราะมึงคอยบำเรอ ฮะ! อีแฟง ทหารสู้ศึกมิใช่เพราะทหารมันรักศรีอยุธยาเมืองนอนเอ็งหรอกหรือไร กูอยากรู้ว่าคำที่มึงหมายแน่ก็เผื่อว่าบ้านระจันไม่มีมึงแล้วกูจะหนีศึกงั้นรี ไปให้พ้น”

พอทัพถลันยืน แฟงก็ลุกถอยตัวเนื้อสั่น ไม่นึกไม่คาดว่าจะเป็นเยี่ยงนี้ มันชี้นิ้วไล่หน้าตามุทะลุเหมือนอยู่กลางพลม้า ใจแฟงที่เคยกล้าเคยงอนชนะมันแทบจะหยุดเพราะมันมอง นี่รักเจ้าไม่ชนะมันหรอกหรือ พี่ทัพมันเมาหรือบ้าหรือ

มองมันแลดาบสะพายให้นึกสยองใจ แฟงไม่กลัวตายเพราะมือมันหรอก แต่ตาจ้องของมันนั้นมีอำนาจเหลือจนต้องยกมือประณม

“พี่ทัพเป็นอะไรไป อีแฟงนะ” นังผู้หญิงศรีบัวทองเรียกชื่อมันอี และร้องไห้ดังๆ

“กูไม่เมานะอีแฟง ที่มึงบอกว่ามึงเป็นคนชื่ออีแฟงน่ะนึกว่ากูจะบ้าจูบจำได้งั้นรึ”

แฟงยิ่งร้องไห้เพิ่มโฮๆ ขึ้นอีก “ฉันพูดจริงๆ ฉันพูดดีใช่จะลบหลู่พี่ทัพข้อไรเลย” แล้วเจ้าแฟงก็รำพันด้วยความเสียใจ “ฉันก็หญิงสยามที่หนีภัย เมื่อผู้ชายเข้าสู้ศึกมีคุณแก่เมืองฉันก็รักและเต็มใจปฏิบัติให้ใช้ให้สอย ฉันเป็นหญิงออกศึกมิได้ แต่ก็รักคนใจกล้าชนะศึกจึงสู้ยอมบำเรอใจเขา”

“แต่มึงก็ดูถูกใจ” ทัพยังเน้นคำแค้นออกมาอีก “แก้มสองของมึงนั่นพอกับเลือดเนื้อทหารที่ถวายศึกให้แก่ชาติแล้วงั้นรึถึงได้พูดคำนั้น เหอ เหอที่ตั้งอยู่บนบ่าและหลุดไปแล้วเพราะสู้ศึกนั่นมึงจะเอาไปเทียบให้วิเศษน้อยกว่าราคาแก้มมึงงั้นรึ ไปเสียเถิด กูขอให้มึงหลบไปให้พ้นตากูเดี๋ยวนี้ คนอย่างกูน่ะไม่แพ้งามของมึงหรอก แน่ะ อีแฟง ถ้าทหารคนไหนแพ้งามมีใจห่วง อย่าว่าแต่สู้ศึกทั้งทัพเลยวะ ถึงสู้โจรแต่เพียงมีคนไม่กี่คนก็ต้องแพ้ ขอให้มึงจำอ้ายสังข์กะอ้ายขาบ​เป็นตัวอย่างเถอะไป มึงกลับไปคิดไปตรองเสียใหม่แล้วค่อยมาสู้หน้ากู”

แม้แฟงจะคร่ำครวญอธิบายความอย่างไร มันก็หายอมฟังเสียงฟังคำน้อยของแฟงไม่ นอกจากกล่าวขับไล่เหมือนเป็นเขาอื่นมิใช่กันเอง มันลืมเหตุหลังในกระท่อมเล็กหลังหมู่ตาล ๕ ต้นที่คำหยาด มันลืมใต้ต้นไม้ในดงเปลี่ยวที่กระทุ่มด่าน ลืมตะวันเย็นและเมฆฝน กระทั่งลำคูกระโดงที่อุ้มอีแฟงขึ้นมาจากหนาวเพราะหนีนายสังข์เมื่อโน้นสิ้น

แฟงชำเลืองหน้ามันชั่วแวบเหมือนหนึ่งจะขอจำหน้าไว้เป็นครูสอนใจอีกแล้วก็หันหลังออกเดิน ห่างไปแต่ชั่วเท้าพาตัวเดิน แต่ใจแฟงยังทิ้งความคร่ำครวญไว้แทบเท้านั้นเอง ทัพเล่า พูดไปแล้วก็หวนนึกได้ว่าโมโหคิดของมันชั่วแล่นคงทำอีแฟงให้ช้ำใจและคุมแค้นไปชั่วปี แล้วก็ยืนดูแฟงเดินก้มหน้าดุ่มจนลับตา แลตัวมันเองก็ออกจากที่ยืนเดินเหงาไปตลอดทาง กระทั่งถึงกองม้าพักซึ่งอยู่ปากทางไปวัด

ฝ่ายค่ายใหญ่ของพม่าซึ่งตั้งอยู่ ณ ตำบลวัดป่าฝ้ายปากน้ำพระประสบ ครั้นเห็นงาจุนหวุ่นแม่ทัพซึ่งคุมพล ๕๐๐ ยกไปปราบปรามชาวค่ายระจันและพ่าย แพ้ยับเยินเหลือทหารกลับมาไม่กี่คน จึงเนเมียวมหาสีหบดีเห็นการผิดคาดไป หากแต่ยังคิดประมาทอยู่เช่นเดิมว่าชาวค่ายระจันทั้งหลายถึงหากจะมีฝีมือเข้มแข็งก็คงเป็นเพียงกองโจรและมีผู้คนมากกว่าตามความคิดเดิม จึงเกณฑ์พลเพิ่มขึ้นอีกรวม ๗๐๐ มากกว่าครั้งก่อนพร้อมสรรพด้วยเครื่องสาตราอาวุธครบมือ แล้วมอบให้เยกินหวุ่นเป็นแม่ทัพยกคุมไปปราบปรามชาวค่ายระจันอีกแต่เพลานั้น

เหตุการณ์ของชาวค่ายภายในบ้านระจันยังคงเป็นไปโดยปกติไม่เปลี่ยนแปร ชาวบ้านชาวดงคงเพิ่มสมัครใหม่มาเรื่อยๆ ที่เป็นชาวค่ายเดิมก็ซักซ้อมฝีมือและเพลงอาวุธไว้เพื่อความชำนิชำนาญ ส่วนตัวหัวหน้าก็คงประชุมปรึกษาคิดการศึกกันอยู่ทุกวันไม่ขาด

เว้นแต่ตลอดกองม้าอาสาที่มาแต่คำหยาด ตลอดหัวใจที่ฝังอยู่ในตัว​เจ้าหนุ่มทหารกล้าทุกคน กระทั่งอ้ายตัวนายกองนั่นแหละที่เปลี่ยนเป็นเหงาไปอย่างประหลาด หลายคนพากันซุบซิบไต่ถามถึงกิริยาหงอยบังเกิดขึ้นแก่เจ้าตัวนายกองที่ชนะศึกกลับมา เพราะตั้งแต่พอกินเลี้ยงแล้วคืนนั้นกิริยาของเจ้าคนกล้าบันลือฤทธิ์ที่เคยร่าเริงก็แปรผิดไป ซ้ำแฟงเจ้าก็กลับมาหายหน้าสูญไม่เยี่ยมกรายมาค่ายม้าอีกเลย คงมีแต่เฟื่องและจวงเมียสาวของผู้เป็นหัวหน้านายกองทหารหลวงเมื่อก่อนแต่สองนางเท่านั้นที่เวียนมาเยือนค่ายและถามข่าวทุกข์สุขด้วยความประหลาดใจ

โคนโพธิ์ใหญ่ เมื่อดวงตะวันเที่ยงคล้อยไปแล้ว หากแต่แดดฤดูร้อนยังคงจัดจ้าอยู่อีก ทัพมันนอนคำนึงมือก่ายหน้าผากคิดย้อนไปถึงเหตุที่แล้วล่วงมา บางครั้งก็เสียใจ แต่บางคราวมันก็ดีใจที่ว่ามันเห็นจะสิ้นห่วงใยอื่นในครั้งนี้เอง แล้วก็จะได้ก้มหน้าสู้ศึกมอบชีวิตถวายแก่ชาติ แต่เมื่อคิดๆ อีกรอยเดิมของความคิดก็กลับมาหวนไปถึงอีแฟงอยู่ไม่วาย

จนคนเดินมาหยุดใกล้ๆ จึงรู้สึก ทัพผงะตัวขึ้นนั่งมองใจคอหายคิดว่าเป็นอีแฟง แต่กลับเป็นเจ้าเฟื่องเมียหมู่ขาบที่ชิงรักเก่ามันไปนั่นเอง

“อ้าว เฟื่องเรอะ จะไปไหนด้วยเล่านั้น” ทัพฝืนสีหน้าจะให้เป็นว่ามันก็ยังเหมือนธรรมดาเมื่อก่อน แต่เฟื่องลอบดูอยู่แล้วครู่ใหญ่ย่อมจะแจ้งแก่ใจดี หากแต่ไถลช่วยกลบอายมันไปเสียว่า

“เดินเล่นเรื่อยๆ ก็เลยมาพบพี่ ไม่เห็นไปเรือนมั่งเลย เอ้อเมื่อเช้าเจ้าจวงมาบอกว่าอีแฟงมันเจ็บ”

“ฮึ ว่าไง”

เฟื่องทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ แล้วตอบดังกว่าเดิม “แฟงมันเจ็บเป็นไข้คลุมผ้ามา ๒-๓ คืนแล้ว”

อ้ายคนใจทหารฝืนถามไม่เอารู้เอาชี้ “อ้อ อีแฟงเจ็บเรอะ เอ๊ะก็เห็นมันยังดีๆ อยู่เมื่อวันนั้นนี่น่ะ มากเรอะ”

นังพี่สาวเจ้าแฟงส่ายหน้า “ไม่มีใครรู้มากรู้น้อยของไข้อีแฟงเลย กลางคืนมันเพ้อ กลางวันมันก็ซมไม่พูดจากะใครตลอดเย็น ไม่ไปเยี่ยมมันมั่งเรอะ”

ทัพถอนใจใหญ่ อยากจะบอกความจริงแก่เฟื่องก็คิดอายเจ้านัก แต่ไข้​เพ้อของอีแฟงก็คงจะไม่เบาเยี่ยงไข้ธรรมดา แล้วก็ลองนึกไปถึงหน้าอีแฟง นึกจะให้มันเป็นคนหน้าหงอยหรือยิ้มแย้มอย่างเฟื่อง แต่ก็นึกเห็นแต่หน้างอนของอีแฟงอยู่ร่ำไป

คิดแล้วคิดเล่ายังไม่เห็นทางใดดีไปกว่าจะปรับทุกข์กับเฟื่องอีคนที่เคยรักกันเก่าก่อน เผื่อว่ามันจะช่วยทุกข์ได้จึงถามว่า

“เฟื่อง รู้ความเรื่องฉันกับอีแฟงอยู่มั่งหรือเปล่าหรอก”

สมใจเฟื่องที่คิดมาก่อน เพราะถึงหากว่าเฟื่องจะเป็นเมียเขาอื่นไปแล้วแต่รักของเฟื่องยังกตัญญูอยู่แก่มันมาก เพราะมันเป็นคนใจสะอาดในรักมาก่อน หากแต่เจ้าคิดผิดไปเองจึงต้องตกไปเป็นเมียนายขาบ แลก็ควรจะทดแทนบุญคุณที่มันมิได้ถือสาอาฆาตแก่นายขาบสามีเจ้าเหมือนชู้รักทั้งหลายอื่นเขาประพฤติ

เฟื่องก้มหน้าตอบเสียงสั่นด้วยหัวใจนึกสมเพชในรักของมันที่ได้รับทุกข์มาแต่ไหนแต่ไร

“ก็พอจะรู้มั่ง” เฟื่องว่า “ฉันรู้แต่เพียงว่าอีแฟงกับพี่ทัพเคืองกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ทั้งฉันและพี่ขาบก็เลยพลอยทุกข์ไปด้วย”

เมื่อแน่ว่าเฟื่องเจ้ารู้แล้ว ทัพจึงรับผิดเสียว่า “ฉันผิดเองเฟื่อง ฉันมันแรงไปสักหน่อยที่ว่าอีแฟงมัน แต่ก็ไม่คิดจะเอามาเป็นเรื่องนัก เพราะเพลานั้นฉันก็มีเมาอยู่มากๆ”

เฟื่องก็ประหลาดใจที่เจ้าหนุ่มชิ้นเก่ามายอมรับผิดง่ายดาย และก็ยังไม่อยากจะเชื่อให้สนิทว่าทัพมันผิด เพราะเคยเห็นใจมันดีกับแฟงมาแต่ไหนแต่ไร แล้วก็คิดระแวงว่าคงสืบมาจากเรื่องของตัวเจ้าเอง

“มันเรื่องอะไรกันแน่ละพี่ทัพ ขออย่าปิดบังฉันเลย รึว่าอีแฟงมันยังระแวงมาที่ฉันอีก”

“ก็ไม่รู้หัวมัน” ทัพตอบ หัวใจมันเศร้าเมื่อได้ยินถามของเฟื่อง เพราะเมื่อก่อนครั้งยังรักกับเจ้าเฟื่องก็ระแวงไปถึงแฟงจนเตลิดไปถูกฉุดเป็นเมียเขาอื่น และครั้งนี้พอมารักอีน้องสาวเล่า นังแฟงก็กลับจะมาย้อนระแวงไปเจ้าเฟื่องอีก แล้วเจ้าคนกลางมันก็เท่ากับอยู่หว่างเขาควายที่จ้องจะชนกันตลอดชาติ

“ไปเยี่ยมเสียหนก็หายงอน เชื่อฉันเหอะ” เฟื่องแนะขึ้นอย่างรู้ใจหญิง ​“แต่อันที่แท้น่ะแฟงมันเจ็บจริงนะพี่ทัพ มันบ่นไม่สบายมาตั้งแต่กลับจากเลี้ยงคืนนั้นแล้ว ว่าแต่พี่ทัพอย่าถืองอนขึ้นมามังก็แล้วกัน”

มองหน้าอีชู้เก่า เห็นเจ้ายิ้มแย้มสัพยอกก็พอหายกลุ้มไปชั่วพัก เจ้าเฟื่องมันก็แม้นกับอีแฟงไม่ไกลกัน

“ฉันเคยงอนที่ไหนล่ะเฟื่อง เออเราก็รักกันมาก่อนเฟื่องไม่รู้เรอะว่าฉันง้อเฟื่องมากี่ครั้งกี่หนจนจะนับไม่ได้อยู่แล้ว”

“แต่ขอให้พี่ทัพง้ออีแฟงเหมือนฉันมั่งก็แล้วกัน”

“ง้อซีเฟื่อง เพราะฉันมันผิด แต่อันที่จริงแฟงมันก็ผิดอยู่เหมือนกันนะเฟื่องนะ”

“อ๋อ แน่ละ” เฟื่องพูดหัวเราะ แล้วก็แก้ตัวแทนลูกผู้หญิงด้วยกันต่อไปอีก “สาวรุ่นมันก็เหมือนหญ้าอ่อนที่ไม่รู้ทางลมแล้วพี่ทัพจะไปถือสาอะไร ถึงลมจะแรงแสนแรงมันก็ต้องต้านเพราะมันงอกดินขึ้นมาแล้ว และวัวที่จะเลือกกินหญ้าอ่อนน่ะถึงจะอยู่เหลือไกลแสนลำบากก็ต้องสู้อดสู้ทนเดินไปหาหญ้าใช่มั้ยล่ะ”

“อือ...” ทัพครางหัวเราะๆ “ช่างเปรียบนักแม่คุณของอ้ายขาบ ปากพรรค์นี้นี่ละอ้ายขาบมันถึงแทบจะคลั่งใจตาย ว่าแต่เดี๋ยวนี้น่ะฉันมันแก่ไปเสียแล้วรึเฟื่อง”

“ก็ไม่แก่...แต่ว่าอีแฟงมันเพิ่งรุ่น”

“แล้วเลยเกณฑ์ให้ฉันเป็นวัว?”

เฟื่องได้สติเลยอดขำจะหัวเราะมิได้ เมื่อนัดแนะกันเป็นที่ตกลงว่าจะทำไงก่อนดีแล้ว เฟื่องก็ออกเดินนำเจ้าชิ้นเก่าตรงไปกระท่อมท้ายค่ายใกล้โรงครัวซึ่งน้องสาวยังนอนเป็นไข้อยู่ทั้งใจทั้งกาย

ตั้งแต่จากคำหยาดกระทั่งอยู่ศรีบัวทอง จนบัดนี้แฟงเพิ่งจะล้มเจ็บและก็เป็นเพลาเหมาะที่มีข้อขุ่นเคืองกับเจ้าทหารกล้าด้วย ดังนั้นอาการไข้ของแฟงจึงทำให้เจ้าตัวไม่คิดอยากจะรักษาหรือกินหยูกยาให้หายเลย เจ้านอนคิดนอนแค้นไปในข้อคำต่างๆ ที่ยังติดหูก้องมาแต่คืนนั้น พี่ทัพมันจะหิ้วหัวเจ้าไปทิ้งไปให้พ้นเสนียดค่ายระจัน คำนี้ละที่ทำให้แฟงน้อยใจไม่วาย เพราะแฟงมันก็​คิดอยู่ว่าที่ทำไป ประพฤติไปก็หวังจะให้เป็นการดีแก่ชาวค่าย บำรุงหัวใจของทหารค่ายที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อสิ้นศึก หากแต่คำหนักที่กล่าวไปแล้ว พี่ทัพมันหารู้ไม่ว่าเพราะมีแค้นอยู่หลายข้อจึงพาลโกรธ และดูเอาเรอะ เจ้าเจ็บมาตั้งหลายวันจะหามันมีแก่ใจมาเยือนถามข่าวบ้างก็เปล่า จึงทำให้แฟงคิดเลยไปถึงว่า พี่ทัพมันคงเต็มใจจะให้ตายเองโดยไม่ต้องเสียคมดาบศึกของมันจะมาเปื้อนเลือดผู้หญิง แล้วแฟงมันก็เต็มใจจะตายโดยไม่ฟังคำแม่หรือลุง และคนอื่นที่มาเตือนให้กินข้าวปลาอาหารตลอดจนยารักษา

คิดแค้นไปจนเพลินอีกหลายข้อหลายกระทงแล้วก็ต้องนอนร้องไห้ เมื่อหวนคิดถึงบ้านคำหยาดและศรีบัวทอง จนคนกระแอมให้เสียงมาจากข้างหลังจึงรู้สึกหันมาดู

เห็นหน้าพี่สาวทำยิ้มแย้มก็ยังไม่วายจะหมั่นไส้ จึงแกล้งถามไปอย่างเสียไม่ได้ว่า

“อ้อ พี่เฟื่อง มาเยี่ยมฉันรึนั่น”

พี่สาวเดินอมยิ้มมาจนข้างแคร่นอน “ก็มาเยี่ยมซีล่ะเป็นไงมั่งวันนี้”

“จะเป็นไงกะฉัน” แฟงตอบหางเสียงสะบัด “ขอบใจละที่มาเยี่ยม แต่ยังไม่ตายหรอก”

พี่สาวร้อง “อ้าว” แล้วหัวเราะขันใจที่อีแฟงมันยังนึกว่าพูดได้ยินกันแต่เพียงสอง “เอ็งอย่าแขวะข้าซี ข้าไม่ใช่พวกใช่พ้องกะพี่ทัพนี่”

ถูกพี่สาวพูดซึ่งหน้า และพอได้ยินชื่อ อีแฟงมันก็สะอื้นอย่างกลั้นไม่อยู่

“อย่าเรียกชื่อให้ได้ยินหน่อยเลย ถ้าขืนเอาเรื่องเขามาพูดอีกแล้ว ฉันกะพี่ขออย่าได้มาพูดกันจนตาย”

“มึงโกรธหนักถึงงั้นเทียวเรอะ อีแฟง”

“บอกว่าอย่าพูด”

เฟื่องจับมือน้องสาวที่ยกขึ้นโบกห้ามแล้วก้มลงกระซิบว่า “พี่ทัพเขาไม่สบาย เป็นไข้เพราะคิดถึงเอ็งแน่ะแฟง”

“ตายเสียล่ะดี”

“อะแอ้” เฟื่องขัดคอแล้วหัวเราะ “ข้าน่ะไม่ร้องไห้เท่าไหร่หรอกถ้าพี่ทัพ​ตาย ว่าแต่”

“หยุด! พี่เฟื่อง บอกว่าอย่าเอาเรื่องเจ้าคนดีเกินคนพรรค์นั้นมาประสมกะชื่อฉันหน่อยเลย”

แต่เฟื่องยังไม่หยุด “ข้าน่ะไม่ได้ดิบดีอะไรด้วยหรอก พลอยเป็นหนังหน้าไฟไปด้วยงั้นเอง มึงเจ็บกูก็ต้องแล่นไปบอก นี่เขาเจ็บกูก็ต้องย้อนมาทูลมึงอีก นี่ก็สิ้นธุระกูแล้วก็จะได้กลับ”

“เชิญเถอะย่ะ” แฟงเผยอตัวขึ้นตอบ งอนของมันก็คงติดนิสัยอยู่เช่นเดิม “อ้อ นี่ยังคิดถึงคุณรักเก่าเขาอยู่ล่ะซีถึงได้ช่วยวิ่งช่วยเต้น”

เฟื่องหน้าแดง โมโหกรุ่นติดขึ้นมา “แนะ เอ้ อีแฟงนี่ไม่รู้แล้วประเดี๋ยวแม่ตบเสียทั้งเจ็บๆ นี่เอง”

แฟงมันกลับหัวเราะเยาะ จนพี่สาวต้องถอยออกไปด้วยสีหน้างอไม่แพ้แฟง แม้แต่คนที่ย่องสวนทางเข้ามาก็พลอยถูกเจ้าเฟื่องหยิกเป็นการออกตัว

แฟงล้มตัวลงนอนให้หลังเพราะรำคาญอวดดีของพี่สาว แต่พอพี่สาวพ้นไปอยู่ตัวคนเดียวน้ำตาก็ไหลอาบแก้มหัวใจก็โอนอ่อนลง แล้วก็คิดครวญไปว่าพี่ทัพมันล้มไข้เช่นเจ้าเหมือนกันหรือ มันเจ็บมากหรือเจ็บน้อยประการไร แต่คิดแล้วก็สมน้ำหน้า ดีเหมือนกันที่ต่างคนต่างเจ็บ แล้วก็จะได้ต่างคนต่างตายไปพบกันที่เมืองผี

พอชักผ้าคลุมโปงหวังจะร้องไห้ดังพอแก้ทุกข์หัวใจมั่งก็ถูกแขนทับหนักอึ้งและกอดรัดแน่นหนานัก จนนึกขัดใจว่าพี่เฟื่องซึ่งไม่เคยจะถูกโรคลงรอยกันและโกรธอยู่เมื่อกี้ไฉนจึงย้อนมาทำเป็นดีจนผิดสังเกต จึงเลิกผ้าจากคลุมแขนรัดนั้นกดตัวไว้มิให้เหยียดได้ ทั้งแข็งแรงผิดข้อผู้หญิงเช่นพี่เฟื่องให้คิดสงสัย

“ใคร ฮะ” แฟงถามเสียงตื่นใจ เพราะถ้าผิดพี่เฟื่องกอดแล้วเจ้าก็คงเสียทีทหารค่ายระจัน มิใครก็ใครที่จะคิดช้อนรอยมาคนหนึ่ง

แล้วก็ถามไปอีก “ใคร เอ๊ะ ไม่บอกเดี๋ยวร้องนะ”

เสียงตอบ “กูไม่บอก”

พอฟังคำที่ว่าไม่บอกก็สะอื้นติดเพราะจำเสียงได้ นี่รีอ้ายคนเจ็บแกล้งปั้นให้พี่เฟื่องมามุสาเป็นใจ แล้วแฟงมันก็ดิ้นรนทั้งๆ ร้องไห้

​“ไปให้พ้น เมื่อเป็นคนดีแล้วขอให้ไปให้พ้น อย่ามาเล่นข่มเหงหัวใจกัน”

ทัพซึ่งย่องสวนทางเฟื่องเข้ามาแล้วโอบกอด เมื่อเห็นแฟงยังคุมแค้นร้องไห้กระซิกจึงจับตัวหันมา

“แฟง...เอ็งจะแค้นไปถึงไหนอีกล่ะวะแฟง ความมันก็แล้วไปแล้ว ข้าเพิ่งรู้ว่าเอ็งเจ็บถึงเลยมาเยี่ยม”

“ไม่ต้องเยี่ยม ฉันจะเป็นจะตายอะไรไม่ใช่เดือดร้อนไปถึงคนอื่น ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้เหอะ ขืนอยู่หน่อยก็จะมาหาความจะฆ่าจะแกงกันอีก ฉันมันคนจังไร เป็นเสนียดของค่ายทหารนี่แล้วจะย้อนมาทำไม?”

ทัพนึกอายแก่ใจที่แฟงรื้อความผิดเมื่อเมาของมันมาพูดอีกแต่ก็น่าเห็นใจมัน

“ขอโทษให้ข้าเถอะวะแฟง ข้าก็เมาอยู่มาก เอ็งจะถือสาอะไรกะคำคนเมาล่ะ”

“เมา...ชะ คนเมาแล้วจะพูดรู้ความงั้นได้เรอะ แน่ะ ขี้อ้ายเลากองอยู่ท้ายค่ายนั่นน่ะกินเข้าไปได้ไหมถ้าว่าเมาจริงเหมือนปากพูด”

ทัพเอาหัวเราะเข้ากลบ “เดี๋ยวนี้ข้ากินไม่ได้ ทว่าข้าจูบเอ็งล่ะก็ได้” ขาดคำมันก็จูบแฟงเสียดื้อๆ

แต่แฟงมันเป็นคนใจเพชร เป็นคนที่ไม่สิ้นสงสัย ในเมื่อข้อสงสัยนั้นยังอยู่ตำตา เป็นคนที่เจ็บแล้วก็จำมาก ติดใจเหมือนงอนของมันเอง จึงสะบัดเต็มแรงแล้วลุกหนี

“แล้วกัน...นี่จะตามล้างตามข่มเหงกันไปถึงไหนอีก ฉันชั่วก็อยู่ตามชั่ว และขอบอกให้รู้เสียว่าฉันไม่ใช่หญิงที่จะให้พี่ทำเล่นเหมือนศาลาพักร้อน เหมือนน้ำบ่อใกล้ทางที่เลือกกินเลือกอาบได้ตามอำเภอใจ” แล้วเจ้าก็ชี้หน้าไล่ “ไปให้พ้นห้องฉันหาไม่จะได้อายทหารชาวค่าย”

“มึงโกรธกูใหญ่อีแฟง” ทัพยังฝืนหัวเราะจะให้สนิท “มึงจะบ้าเสียอีกล่ะซี เรื่องมันแล้วไปแล้วตั้งหลายคืนก็เก็บมาพูด”

“อ๋อ...ไม่บ้า” แฟงว่า “แต่ฉันเจ็บแล้วต้องจำ ฉันไม่ใช่ทหาร...ไม่ใช่ผู้ชายชาตรี แต่เมื่อปากลั่นไปแล้ว...น้ำลายถ่มดินไปแล้วก็ไม่เก็บมาอมให้เสียสัตย์”

​หน้าทัพเสียลงไปอีก หัวเราะไม่สนิทเมื่อครู่ก็เพิ่มไม่สนิทยิ่งขึ้น “อ้าวแฟง กูมาเยี่ยมมึงหรอก หาใช่จะมาชวนทะเลาะเบาะแว้งไม่ แล้วเรื่องเท่านั้นมันเป็นไรไปล่ะ”

แฟงลอยหน้าถามย้ำคำ “เป็นไรงั้นรึ...ฮะ...ไม่รู้ ก็ดูถูกกันล่ะซี แน่ะจะบอกให้รู้ ทหารน่ะเขาไม่ประพฤติเยี่ยงนี้ หรอกเว้นเสียว่าคนที่มันคอยถือนิสัยปล้นเขานั่นแหละมันอดทิ้งนิสัยไม่ได้”

สีหน้าทัพเลยเปลี่ยนซีดในทันใด อีแฟงโกรธจริง โกรธจนมันกล้ากล่าวคำดูถูกสบประมาทแล้วรื้อเอาความหลังขึ้นมากล่าว แต่มาคิดอีกทีตัวมันเองก็ละลาบละล้วงเกินผิดไปนัก

“มึงถ้าจะลมเสียแต่เช้าละมัง บ่ายนี้จึงดูดุเกินกูคิดไป...เหอะ เมื่อเอ็งยังเคืองอยู่ข้าก็ขอโทษเสียที ไว้วันหลังหรือมื้อเย็นจะมาเยี่ยมไข้มึงอีก”

“อย่ามาเสียดีกว่า” แฟงโบกมือห้ามขาด “ถ้าพี่ยังคิดจะเป็นคนหรือหัวใจผู้ชายแล้วก็ขออย่าให้มาเลย”

ทัพตะลึง “อ๋า...อีแฟงเอาหนัก” แล้วมันก็คิดน้อยใจขึ้นมามั่ง “กูน่ะยังคิดยังหวังอยู่ว่ามึงจะเป็นคนกันเอง อภัยโทษที่กูเมาผิดไปมั่งถึงได้มาเยี่ยม”

“อย่าเลย” แฟงคงยืนคำเดิม “ลูกผู้ชายขออย่าพูดเป็นคำสองจะเสียสัตย์”

มันพยักหน้า “เออ อีแฟง หน้ากูจะซ่อนไม่ให้มึงเห็นอีก” แล้วมันก็กลับหลังเดินทั้งเสียใจน้อยใจ พอจะพ้นออกประตูเฟื่องซึ่งแอบอยู่ก็หลบแวบ ทัพจึงตรงไปหา

เสียงอึงคะนึงดังรับกันไปตลอดค่าย เสียงกลองรัวเสียงเกราะและฆ้องลั่นมิใช่เกราะหรือฆ้องกลองบอกเพลาย่ำค่ำตะวันตกดินเลย เกราะมันรัวแลกลองลั่นบอกว่าระดมศึกพม่ายกมาอีกหรือ ทัพใหญ่พม่าจะเข้าประชิดบ้านระจันอีกในชั่วเที่ยงนี่อีกหรือไร

ไม่ทันพ้นประตู ทั้งนายขาบและนายสังข์น้องเขยมันก็วิ่งกระหืดกระหอบมาถึงกระท่อม

“ศึกอีก พี่ทัพ คนไปลาดตระเวนมาบอกเดี๋ยวนี้เอง ว่ายกมาใกล้จะถึง​ไผ่กอเดียวอยู่แล้ว”

มันพยักหน้า “อือ แล้วท่านพันเรืองว่าอย่างไร”

“เรียกคนพร้อมสิ้นแล้วจึงลั่นเกราะบอกสัญญาให้ยกออกนี่ฉันจะมายืมอ้ายเลา”

ทัพตกใจ “ฮะ!! แล้วกูล่ะ”

นายขาบตอบหน้าเฉย “พี่ทัพอยู่เหอะ ขอให้ฉันได้ขี่อ้ายเลาแทนสักมื้อ แลคนก็อาสากันพร้อมหมดแล้ว พี่จะได้พักมั่ง”

“เอ๊ กูจะเสียคนไปนะเว้ยอ้ายขาบ กูตั้งใจอยู่เป็นนักแล้วว่าจะไม่ให้คลาดศึกเลยจนมื้อเดียว”

นายสังข์จึงช่วยทัดทานเพราะรู้อยู่ดีว่าเพลานี้พี่ทัพมันยังมีหัวใจกังวลไม่น่าจะไปศึกเพราะเกรงพลาดพลั้ง

“พี่พักเสียก่อนสักมื้อหนึ่งเถิด เพราะท่านพันเรืองกำนันก็ได้ขอให้นิ่งพักไว้อีกเหมือนกัน”

ทัพบ่นเปรยๆ เหมือนพูดกับตัวเอง “เอ๊ะ...ใครก็พากันห้ามปรามกูหมดและนี่คนอาสาเต็มสิ้นแล้วงั้นรึ”

คนทั้งสองพยักหน้ารับและช่วยกันวิงวอนให้มันอยู่ เพื่อได้พักผ่อนเตรียมกำลังไว้ออกศึกมื้อหน้า ส่วนนายขาบก็ขออนุญาตที่จะขี่อ้ายเลาไปทำศึกแทนมัน แลทัพก็จำใจอนุญาตโดยดี

แฟงเจ้าลุกโผเผมาจากที่นอนเพียงผ้าห่มผืนเดียวที่ห่มสะพายทับเสื้อ แล้วก็แล่นออกประตูเหมือนคนสบายไม่เจ็บไข้สิ่งไร ตรงออกจากกระท่อมโดยไม่เหลียวซ้ายแลขวาว่าจะมีเจ้าทัพยืนมองมันอยู่ หรือเฟื่องพี่สาวจะคิดประหลาดหลากใจไปในข้อต่างๆ เจ้าวิ่งมั่งเดินมั่งตรงไปยังลานประชุม ซึ่งมีเหล่าอาสาของค่ายระจันซึ่งกำลังจะยกออกสู้ศึกถวายแผ่นดินเป็นการไว้ชื่อฝากไปชั่วลูกหลาน

พอฆ้องชัยลั่นตามฤกษ์ตามยาม ผู้เป็นหัวหน้าก็สั่งให้ยกขบวนเคลื่อน อ้ายสีดอกเลาม้ารู้ที่เจนศึกเหยียบย่ำมาด้วยความชำนะคะนองใจแต่บ้านคำหยาดก็ผกหน้าผกหลัง แต่อ้ายเลามันก็เหลือรู้ยิ่งม้าศึกทั้งหลายว่าคนถือบังเหียนอยู่บนหลังซึ่งจะไปศึกครั้งนี้หาใช่อ้ายหนุ่มนายเดิมผู้ชำนาญศึกของมันไม่ มันผกแต่​เพียงน้อยแล้วก็วิ่งย่างเรียบหัวใจหงอยเหมือนไม่สมัครจะไปเมื่อไร้เจ้าของที่เคยควบ แม้นายขาบที่เคยกรำศึกมาแล้วจนช่ำชองก็ไม่วายจะเหงาหัวใจทั้งๆ ที่ได้ขี่อ้ายสีดอกเลานำ แต่ขาดเจ้าทัพเปรียบเสมือนผืนธงชัยหรือต้นพายุที่เคยพัดไปสารทางทิศใดก็ชนะราบไปทั้งสิ้น แล้วอ้ายเลาก็เต้นผยองปั่นป่วนออกพ้นประตูค่ายนำกองม้าและพลเท้าอื่นจนสิ้นขบวน

ตะวันยอแสงเย็น ทหารค่ายซึ่งชำนะศึกเมื่อก่อนและยับยั้งอยู่ค่ายเพื่อเตรียมต้อนรับเพื่อนกันซึ่งจะกลับจากศึกเป็นการเอิกเกริกทั้งตัวนายผู้เป็นหัวหน้าและพวกพลต่างก็เกร่กราย บ้างชุมนุมกัน บางเหล่าก็ตระเตรียมอาวุธประจำตัวพรักพร้อมที่จะยกสมทบไปหนุนช่วยพวกที่ไปแต่แรกเมื่อค่อนบ่าย หากเห็นผิดเวลากลับหรือได้ข่าวที่ม้าเร็วจะรีบกลับมาบอกประการใด

และในชั่วครู่เพลานั้น ข่าวศึกก็แล่นล่วงหน้ามาก่อนจากทัพที่เพิ่งยกกลับเพราะเยกินหวุ่นพินาศละเอียดไปพร้อมด้วยไพร่พลที่พลอยล้มตายยับเยินไปด้วยร่วม ๗๐๐ แทบไม่เหลือคืนค่ายวิเศษไชยชาญ เพราะฝีมือและน้ำใจของทหารกล้าบ้านระจัน ทหารซึ่งเอากำเนิดมาจากชายชาติชาตรีของชาวบ้านดงศรีบัวทอง เมืองสิงห์ และสุพรรณกับพื้นวิเศษไชยชาญอยุธยา ทหารซึ่งเหลือแค้นทนที่จะนิ่งดูดายให้เขามาย่ำยีข่มเหงจนถึงบ้าน เหยียบย่ำทั้งดินแดนเกียรติยศจนถึงเหย้า เมื่อศรีอยุธยามันยังมีชายก็ย่อมมีชาติทหารหัวใจห้าวที่ยังอิสระไม่ยอมให้ใครดูแคลน

พอเสียงเพลงศึกกระท้อนมา โห่ฮึกก้องใกล้เข้ามาฆ้องค่ายก็ลั่นรับครางสั่นหัวใจเหมือนหนึ่งจะเป็นบรรณาการออกไปรับขวัญทหารหาญ มาเถิดพ่อเอย เชิญเถิดพ่อยอดเมืองของบ้านระจัน เชิญเหยียบคืนค่ายเรา พอเข้าได้ชมฤทธิ์กล้าเจ้าแล้วบ้านระจันก็จะครื้นเครงลือฤทธิ์ไปอีกเพราะเจ้าชั่วฟ้าดินสลาย

ทัพมันนั่งเหงาอยู่คนเดียวด้วยไม่ทันศึกพม่า แต่ศึกอีแฟงทำหัวใจป่วนนัก คิดถึงอีแฟงว่ามันกำลังเจ็บและยังจะต้องตรากตรำทรมานร่างไปรับทหารเลี้ยงดูทหารเมื่อชนะและมื้อนี้ทหารชนะก็มิใช่มัน ทัพมันหาศักดิ์ชนะมิได้เลยในครั้งนี้ พลาดอีแฟงก็มิหนำมาพลาดสัตย์ตั้งในใจที่รับคำหลวงพ่อไว้ว่าอาสาศึกทุก​ครั้งมิให้คลาด แต่ชนะเป็นของเขาอื่นไปแล้ว ชนะยังติดตัวอ้ายเลาซึ่งเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานที่ไปศึกมากกว่ามันเป็นมื้อแรก แล้วก็หวนคิดถึงอ้ายเลาม้ารู้ เออ! อ้ายเลา มิเสียแรงที่มึงได้เกิดมาคู่บุญกู ใจมึงห้าวผิดม้ารู้ผิดเดรัจฉาน ทั้งวิ่งและรู้เชิงบังเหียนเชิงศึกอย่างกูจะหาอีกไม่ได้

พอเสียงฆ้องชัยลั่น อ้ายนายกองม้าคำหยาดก็เนื้อเต้นรู้สัญญาชนะแล้ว เออ! พี่น้องระจันกูชำนะอีก อ้ายขาบพาอ้ายเลาไปตะลุยแหลกมาอีกแล้วหรือไร

จนเสียงฝีเท้าวิ่งมาหาเมื่อเหลียวก็พบเฟื่อง หือ! อีเฟื่องหน้าตาตื่นแลร้องไห้ อ้าว! นี่เจ้าเฟื่องจะบ้าตามอีแฟงไปอีกคนหรือนั้น เขาชำนะมามันควรจะดีใจรับ มันควรจะโห่และร้องรำทำเพลงให้สำราญชื่นใจเขามั่ง หรือมันอิจฉาแทนพี่ที่มิได้ไปชำนะกับเขา อ๊ะ! อ้ายสังข์ก็วิ่งตื่นมาอีกคนนี่มันอะไรกัน

“พี่ทัพ บ้านระจันชนะอีก” เฟื่องบอกทั้งเสียงมันก็ร้องไห้

“อือ! รู้ล่ะ” ทัพรับคำ “ก็ได้ยินฆ้องลั่นอยู่แทบจะหูอื้อ ก็แล้วทำไมเฟื่องถึงร้องไห้ ดีใจเกินเพราะอ้ายขาบขี่อ้ายเลาไปชนะงั้นเรอะ”

นายสังข์เพิ่งมาถึงและยืนฟังพอได้ช่องจึงตอบแทนเฟื่อง “ชนะสมหน้าเทียวล่ะพี่ ๗๐๐ เป็นศพหมด เหลือเป็นคนกลับไม่เท่าไร ขาบเขาทำไว้สมชื่อทหาร”

“เออน่ะ” ทัพตอบด้วยใจร้อน “แต่มึงก็ร้องไห้อีกคนแล้วเรื่องอะไรกูแปลกใจนัก...มันเรื่องอะไรกัน”

สังข์คุกเข่าลงน้ำตายังหยดดิน “ม้าคำหยาดของพี่ตายหมดกอง ม้าร่วม ๕๐ เหลือแต่เพียง ๖ ทั้งฉัน”

ทัพถลันยืน หัวใจหวิวเหมือนจะพลัดจากยอดไม้สูงแล้วรั้งตัวสังข์ขึ้นยืนจ้องหน้า

“กองม้ากูเสียหมดแล้ว...งั้นรึ จริงรึวะสังข์ อ้ายขาบไปไหนแลอ้ายเลาของกู...”

เฟื่องร้องไห้โฮยกมือปิดหน้าเบือนหนีไม่อยากจะฟังเรื่อง นายสังข์ก็ฝืนตอบไปอย่างยากเย็นเต็มประดา

“ขาบมันลุยเข้ากลางทัพใหญ่เยี่ยงพี่ มันทำชนะให้สมหน้าตะลุยจนสิ้น​แรงมัน อ้ายเลาก็ต้องอาวุธสิ้นแรงเหมือนขาบแล้วฟุบไปด้วยกัน เพราะพ่อขาบก็ถูกฟันไปทั้งตัว

ทัพสิ้นแรงจะยืน สิ้นแรงจะฟังข่าวศึกอีกต่อไปก็ทรุดตัวลงนั่ง ขาบเอ๋ยเจ้าเสียชีพไปแล้ว ศึกร้อยพันอื่นเจ้าก็เคยร่วมมากับพี่ เราชนะมาร้อยแดนร่วมกัน เมื่อเหลือบขวาพี่ก็อุ่นใจเพราะอ้ายสังข์อยู่ เมื่อชำเลืองซ้ายหรือเบื้องหลังเจ้าก็ตะลุยตามติดเป็นที่เชื่อฝีมือ โอ้!...ไปสวรรค์เถิดขาบเอ๋ย...มึงไปสวรรค์คอยกูก่อน กูปลื้มใจที่มึงเสียชีวิตสมกับทหารกลางศึก แต่ก็เหลืออาลัยมึงนัก เพราะกูชั่วเองที่มัวหลงเล่ห์ ใฝ่แต่อารมณ์รักมาง้อหญิงจึงหาไปทันได้ตายกะมึงไม่ โอ๋!....ทหารกล้าบ้านระจัน...กองม้ากล้าคำหยาดทั้งอ้ายเลากูนึกถึงอยู่เมื่อครู่นี้เอง กองม้าที่เหยียบสะแกโทรมกู้ชื่อทั้งบ้านเล็กเรือนน้อยมิให้พม่าหยามมาเป็นผีไปแล้ว เชิญเถิดน้องเอ๋ย ไปเข้าแถวคอยกูก่อนอยู่ฟากสวรรค์โน่น

ทัพร้องไห้... ฟันที่กัดอยู่กรอดคำรามทั้งร่ำรำพันแล้วก็ฮึดฮัดทะลึ่งยืน

“สังข์ กูเสียกองม้ามื้อนี้ เหมือนตีนมือกูขาดสิ้นและถึงหากชนะของกูมื้อหน้าจะมีสักเท่าไรก็หมดปลื้ม...กูว้าเหว่นักสังข์เอ๋ย... ว้าเหว่ที่จะต้องจากหลังอ้ายเลามาเดินดินสู้ศึก แต่สังข์เว้ยกูต้องบ้า....กูต้องฟันอย่างบ้าเสียแล้วละเหอะ!...ต่อแต่นี้ไปมึงกับกูต้องละหลังม้า...ต้องเปลี่ยนกองไปอยู่ดาบสองมือพลเท้า เออ!...อ้ายขาบมันตายสมหน้านัก...มันตายแหลกพร้อมอ้ายเลาม้ารักของกู” แล้วหันไปทางเฟื่อง “เฟื่อง ถูกแล้วที่ร้องไห้ให้มัน...ถูกแล้วที่มึงน่าจะร้องไห้ให้ผัวเยี่ยงอ้ายขาบ แต่ร้องไห้นั้นกูให้มึงเลิกคิดว่ามันตาย มึงร้องเพราะปลื้มซีวะเฟื่อง ผัวมึงประเสริฐชาย...อ้ายขาบมันยอดทหาร หากมึงจักเป็นม่ายไร้มัน แต่ฤทธิ์อ้ายขาบที่ฝากไว้บ้านระจันกลางศึกมื้อนี้ยังตกเป็นของมึง อีกร้อยชาติพันปีฤทธิ์อ้ายขาบก็ต้องเป็นผัวมึงแทนตัวมันอยู่”

เฟื่องยิ่งร้องไห้ส่งเสียง เฟื่องยิ่งสะอื้นหัวใจสลด ว้าเหว่เหมือนหนึ่งมาเกิดอยู่คนเดียวในบ้านระจัน ไม่นึกเลยว่ากองม้ากล้าคำหยาดจักเสียชีพหมดแต่เพียงศึกครั้งสอง ทั้งไม่คาดเลยว่านายขาบผัวรักจักด่วนตายเสียแต่ยังหนุ่ม เพลาผัวเพลาเมียซึ่งได้ร่วมกันมาแต่ท้ายเดือน ๑๒ ก็เป็นเวลาเหลือจะน้อยเพียงค่อย ๕ เดือนเท่านั้น ผัวเจ้าก็จากไปและจะไม่หวนกลับมาเยือนเจ้าอีกได้ตลอด​ชาตินี้ แต่คำปลอบของทัพนั้นก็เหลือปลื้ม ทั้งคิดเสมือนหนึ่งว่านายขาบคงจากไปแต่หน้าและเนื้อตัว ส่วนนามและเกียรติคุณความดียังคงเป็นผัวเจ้าอยู่ตราบที่ยังมีชาวค่ายเรียกขานนามนายขาบทหารกล้านั้นได้ยินชัดหู

ทัพกับสังข์ก็ช่วยกันปลอบโยนชี้แจงจนเฟื่องค่อยหักโศกคลายลงได้ และต่างก็หวนนึกไปถึงหน้าที่อันควรของตนที่จะต้องประพฤติให้ถูกแบบ คือพากันไปต้อนรับชาวค่ายที่ชนะศึกเพิ่งกลับ จึงพากันมุ่งเดินออกจากค่ายม้า และก็แทบจะทุกฝีก้าวที่หัวใจทัพมันสลดหาย เมื่อรู้ว่ากองม้าคำหยาดซึ่งมันจะไปรับนั้นได้พินาศไปแล้วจักไม่เหลือคืนมาอีก

เมื่อค่ำ...ตะวันลับทิวไม้ป่าไปแล้ว ความเงียบและเหงาใจทั้งหลายหาบังเกิดในค่ายระจันไม่ ผู้ชนะศึกคงสนุกสำราญ ประหนึ่งว่าเลือดที่ไหลเพราะดาบฟัน ศพก่ายศพทั้งเพื่อนชาวค่ายและเหล่าพม่าข้าศึกเมื่อดวงตะวันกล้ายังไม่ตกดินที่แล้วมานั้นเป็นเรื่องสนุกสนานคล้ายกับวันเทศกาลงานปีของทุ่งระจันเมื่อก่อน ทั้งร้องทั้งรำ ทั้งเลี้ยงสุราอาหาร ชาวค่ายอาสาที่มาจากดงกับพวกพื้นบ้านทุ่งคงกอดคอกันว่าเพลงเกี่ยวข้าว...ปรบไก่หรือเพลงลานเพลงฉ่อยมีอยู่พร้อมขบวนสาวงามที่อยู่เหย้าก็งามยิ่งขึ้นเมื่อจากเหย้ามาชมกล้าของพี่น้องชาวค่าย ล้วนแต่งตัวประดับประดาเหมือนทุกข์ร้อนเจ้าหามีไม่

เว้นเสียแต่... กองม้าที่แหลกลาญไปแล้วซึ่งเหลืออยู่แต่เพียง ๖ และ ๗ คน ทั้งเจ้าหัวหน้านำที่คลาดศึกครั้งสำคัญจนเสียกองม้าและตัวนายหมู่ขาบพร้อมด้วยอ้ายสีดอกเลาม้ารู้ ส่วนทหารเหลือที่เป็นพื้นคำหยาดระหกระเหินมาด้วยกันเพลานี้เล่าก็มีเพียงเจ้าฟักพี่ชายใหญ่ของเฟื่องแฟงเท่านั้น

แม้กับแกล้มและสุราจักได้ปรนปรือโดยฝีมือเฟื่องหญิงม่ายชู้เก่าและเจ้าจวงประการใดก็ดี หัวใจของทัพมันก็หาได้ครึกครื้นสนุกตามเขาอื่นไปด้วยไม่ มองเจ้าฟักที่เมาหงำจนนั่งตัวโอนและเจ้าเฟื่องแล้วก็อดคิดไปถึงแฟงมันมิได้ อีแฟงหายหน้าไปบำเรอเลี้ยงผู้ชนะอื่นแล้ว และบางครั้งมันก็เดินเฉียดเดินกรายมาแต่แกล้งทำไม่มองก็ยังรักอาลัยมัน แต่เมื่อเห็นสีหน้ามันแล้วก็ให้แค้นไม่หาย ม้าคำหยาดลาญชีพหมดเพราะมันคลาดศึกมัวมาง้ออีแฟง ม้าคำหยาดซึ่งเคยตะลุยหั่นหัวอยู่กลางทัพเป็นที่ขยั้นของข้าศึกจักไม่กลับมาอีก

​ไม่มีใครอื่นที่จะรู้ใจทัพมันยามนี้ดีเท่านางผู้หญิงที่ผัวตายกลางศึก เมื่อเห็นสีหน้ามันเหงานักเฟื่องจึงรินเหล้าส่งและรับมาดื่มกับมันคนละครึ่ง เพราะใจเจ้าเองแม้จะหมดกังวลในเรื่องรักเรื่องใคร่แต่ก็เศร้าถึงผัวไม่แพ้มันที่เศร้าด้วยเหตุหลายประการ

ครู่นั้น..เงาตะคุ่มของคนหมู่ก็เดินใกล้เข้ามา เมื่อผ่านกองไฟรายทางทั้งเฟื่องและเจ้าทัพก็ยังพอสังเกตได้ว่ามีม้าจูงมาด้วยพร้อมทั้งคนขี่หมอบ แต่ชักช้าจนทำให้สงสัย กระทั่งใกล้มาจะถึงหญิงที่วิ่งนำม้าและคนอื่นตรงมาคือแฟง

พอถึงพี่สาวก็ร้องไห้บอก “พี่เฟื่องดูเถอะ อ้ายเลาพาศพพี่ขาบคืนมาค่าย”

เฟื่องไม่ถามเลย ลุกร้องไห้โฮวิ่งจากวงปราดไป ทัพก็วิ่งตามติด เพียงชั่ว ๔ วาก็ถึงอ้ายเลาซึ่งเดินซวนจะล้มแล้วก็โผเข้ากอดกายผัวที่หาชีวิตไม่อยู่บนหลังอ้ายเลา

“โอ้...พี่ขาบ..พี่ขาบ” เฟื่องเรียกได้แต่เพียงคำสองก็ล้มลงทั้งคาวเลือดและทุกข์หัวใจเกินการจึงทำให้เฟื่องเป็นลมสิ้นสติ

แม้ทัพจะใจแข็งปานไร มันก็ต้องหลั่งน้ำตาให้ศพหลั่งน้ำตาให้อ้ายเลาคู่ยากที่อุตส่าห์คอยตายคืนมาเห็นหน้ามันแล้วอ้ายเลาก็เซถลาและล้มฮวบลงดินสะเทือน

เมื่ออุ้มศพแยกไปแล้ว อ้ายม้ารู้ก็ยังลืมตากะพริบหอบสั่นหน้าเหมือนเหน็ดเหนื่อยและมองหน้าเจ้าของอย่างรู้ความ

“เลาเอ๋ย” ทัพพูดกับม้าคู่บุญของมันดังหนึ่งอ้ายเลาจักรู้ความฟังคำมันออก “สิ้นมึงแล้วกูจะขอเดินดินรบตลอดชาติ...สิ้นมึงแล้วถึงม้าทั้งหลายอื่นจักมีอานทองกูก็จักไม่ขอขึ้นหลังขี่ เออ!...มึงเอ๋ย...อ้ายเลา”

อ้ายม้าสีดอกเลาคงหูเบิ่ง แต่ตามันหรี่ลงไม่กระสับกระส่าย แผลฉกรรจ์ใต้คอก็ไหลเป็นเลือดลิ่มไม่หยุด แล้วทัพก็รำพันกับม้ารักของมันอีก

“โธ่เอ๋ย...อ้ายเลา มึงอุตส่าห์คอยมาตายต่อหน้ากู โถ...อ้ายเลา สิ้นมึงกูก็เหมือนสิ้นเพื่อนรัก...สิ้นมึงก็เหมือนแรงกูสิ้นไปค่อนตัว ฤทธิ์กูหมดที่จะตะลุยศึกเหมือนก่อนอีก”

อ้ายเลาแหงนหน้าแล้วเสือกหัวมาที่มัน ทัพร้องไห้ดังเพราะอ้ายเลาสิ้นใจ

​“มึงสิ้นใจแล้ว กูอยู่คนเดียวแล้ว ไปสวรรค์เถิดนะอ้ายเลา เออ!..ไปสวรรค์คอยกูเถิดจะได้เป็นเพื่อนคนด้วยกันในชาติหน้า” แล้วเจ้าทัพก็ก้มกอดอ้ายเลา และใจคงคิดว่ามันเป็นสัตว์แต่กายส่วนหัวใจอ้ายเลามันน่าจะรู้ภาษาเช่นคนพูดกันได้

เฟื่องนั้นเมื่อฟื้นคืนสติเจ้าก็คร่ำครวญกอดศพผัวรำพันจนชาวค่ายต้องแยกตัวกลับกระท่อม คงเหลือแต่เจ้าหนุ่มฟักพี่ชายใหญ่กับแฟงที่ยืนตะลึงตากันเมื่อเห็นทัพมันหันมายกไหเหล้าดื่มอยู่คนเดียว มันดื่มไม่มองใครชวนใคร ถึงแม้แฟงมันจักยืนมองเปลี่ยนสีหน้าจากที่เคยเคียดแค้นเป็นเขาอื่นมาเป็นกันเอง เจ้านายกองที่ว้าเหว่เพราะสิ้นสมุนกองม้าคำหยาดก็หาคิดจะไยดีในการเอาตาดูหูใส่ของแฟงเจ้าไม่ เหล้าคงเทจากไหกรอกปากเยี่ยงเททิ้ง ส่วนอารมณ์มันเพลานี้ก็คืออยากจะให้เหล้าฆ่าตัวมันเองตามทหารคำหยาดและศพอ้ายเลาที่สิ้นไปแล้วข้างๆ

แฟงจักพูดอย่างไรกับพี่ชายหามีใครรู้ไม่ นอกจากเจ้าฟักตรงไปที่นายม้าของตัวเองแล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้าและยกมือไหว้

“กลับนอนหรือยังเล่าพี่ เพราะใครๆ เขากลับกันสิ้นแล้ว”

มันวางไหเหล้าลงตรงหน้า “ช่างหัวมันเถอะวะฟักใครจะอยู่จะไปก็ช่างเขาเถอะ กูจะตายกะอ้ายเลา” แล้วมันก็ยกไหดื่มต่อไปอีก แต่ฟักยุดมือไว้แล้วชำเลืองตาดูน้องสาว และหันมาพูดว่า

“แฟงมันให้พี่กลับนอนแน่ะ”

“ฮึ!...มึงว่าไงนะ”

“แฟงมันอยากให้พี่กลับ”

เจ้านายกองหัวเราะสนั่นตัวโยกไปมา แต่ก็หามองเจ้าแฟงไม่

“มึงบอกเขาเหอะ...บอกอีแฟงมันว่าอย่าย้อนมาไยดีกูอีกเลย กูสิ้นห่วงแล้ว...กูตัดใจห่วงได้ตั้งแต่ได้ข่าวว่าน้องกูตายหมด อ้ายเลามันสิ้นใจต่อหน้ากูก็เหมือนจะด่าและประจานใจชั่วกูเอง และก็อ้ายเรื่องเดี๋ยวโกรธกันเดี๋ยวดีกันนั่นกูยากจะเปลี่ยนใจตามให้ทันได้ มึงไม่ดื่มเป็นเพื่อนกูก่อนเรอะ”

“ไม่ล่ะพี่”

“งั้นกูกินคนเดียว” แล้วมันก็ยกไหสูงกรอกลงปากจนต้องคว่ำไหหมด​เกลี้ยง แล้วหงายหลังเงียบไม่พูดหรือลืมตาดูใครอีกเลย มันสิ้นสมประดีไปแล้วหัวใจหลับผลอยไปเหมือนอ้ายเลาม้ารู้ที่เพิ่งสิ้นใจ นอนเคียงอยู่กับมันโดยหารู้หาเห็นไม่ว่านางศัตรูมันมายืนสองมือปิดหน้าร้องไห้อยู่ข้างๆ

ความประมาทและสงสัยใจที่ว่าชาวค่ายระจันจักมีฝีมือเสมอเพียงกองโจรมาจากดอยดงนั้นได้หมดสิ้นไปแล้วจากแม่ทัพใหญ่ฝ่ายพม่า เพราะทั้งงาจุนหวุ่นซึ่งยกไปครั้งแรกและเยกินหวุ่นที่พ่ายแพ้ยับเยินกลับมาครั้งนี้อีกก็ล้วนแต่เป็นนายทหารมีฝีมือเคยศึกมาหลายครั้ง แต่ครั้นจะนิ่งช้าให้เนิ่นนานวันไปเล่าก็เกรงว่าชาวค่ายระจันจะมีกำลังเพิ่มเข้มแข็งยิ่งขึ้นยากแก่การปราบปราม เมื่อได้คิดดังนั้นแล้วแม่ทัพใหญ่จึงกะเกณฑ์ทหารเลือกล้วนแต่มีฝีมือชำนาญศึกและเพิ่มมากขึ้นกว่าครั้งก่อนเป็นพล ๙๐๐ แล้วมอบให้ติงจาโบนายทหารเอกมีฝีมือเป็นแม่ทัพรีบยกจากค่ายใหญ่ขึ้นประชิดบ้านระจัน หวังจักมิให้ทันได้พักผ่อนหรือเตรียมสู้แต่เพลานั้น

วันจักล่วงหรือคืนจะสิ้นไปแล้วเท่าไร เจ้าหนุ่มคนพื้นบ้านคำหยาดคงนอนนิ่งสลบอยู่บนแคร่ไม้ หารู้กำหนดงานวันและคืนที่ล่วงไปไม่ จนท้ายยามปลายเสียงไก่เปลี่ยวมันขันปลุกแว่วๆ มาจากดงและวัดซึ่งเป็นสำนักพระอาจารย์ธรรมโชติ เจ้าทัพก็พลิกตัวตื่นลืมตาหลากใจเสียเป็นพ้นนักที่มานอนอยู่บนแคร่ไม้ในทับอาศัยของอีแฟง กองไฟที่ลานดินกำลังจะมอดพอให้แสงริบหรี่เห็นผู้คนหลับไหลอยู่สองข้างแคร่ และมันก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าเป็นไข้เพิ่งจะสร่างและหมดเรี่ยวหมดแรงอ่อนหัวใจ อะไรก็นึกไม่ออกลืมไปหมดนอกจากว่าเสียกองม้าคำหยาดเสียนายขาบแลอ้ายเลามาสิ้นใจต่อหน้า แล้วมันก็ยกไหเหล้าดื่ม

อีกครู่ก็ได้เพลาอรุณ ทัพคงนอนนึกย้อนไปในเหตุหลังต่างๆ กระทั่งมีผู้หญิงที่ตื่นก่อนตนลุกมาดู

เสียงพูดดีใจ “ตื่นแล้ว”

ทัพชำเลืองมอง เฟื่องนั้นเองที่ลุกมา สีหน้าดีใจของเฟื่องเจ้าทัพมันคิดไม่ออกว่าเรื่องอะไร

​“อะไรล่ะเฟื่อง”

“จะอะไรเสียอีก เป็นทุกข์ร้องไห้กันจะตาย”

“เอ๊ะ! ทำไม”

เฟื่องนั่งลงข้างๆ “พี่ทัพหลับแต่คืนวานจนสว่างไป นี่อีกคืนแล้วรู้มั้ย ผู้คนมาเยี่ยมมากมายทั้งท่านพันเรืองและคนอื่นๆ เอ้อ! สิ้นเคราะห์ล่ะ นี่สักครู่เจ้าจวงกับแม่ก็คงจะตื่นมาหรอก”

มันเกือบไม่เชื่อคำเฟื่องว่าหลับไป ๒ คืน แต่หัวใจละเหี่ย มือสั่น และแขนขาเปลี้ยหมด แม้แต่เสียงขอน้ำกินก็แห้งอยู่ในคอแล้วก็อยากจะนอนหลับตาเฉยๆ ด้วยเพลียหัวใจ

มันนอนหลับตาคอยน้ำหัวใจสั่นริก แต่ไม่อาจหลับลงได้เพราะหวนคิดไปถึงกองม้าศึกที่แหลกลาญ คิดถึงคำหยาดและดงกระทุ่มด่านเปลี่ยว และนายขาบที่ชิงเฟื่องของมันไป แต่แล้วนายขาบก็มาด่วนตายทิ้งเฟื่องให้อยู่ตำตามันอีก ทิ้งเฟื่องให้เป็นม่ายตัวเปล่าเหมือนจะบอกลางทะเลาะไม่รู้จบรู้สิ้นในวันหน้า

ได้ยินฝีเท้าย่องมาใกล้และเลิกผ้าคลุมจับตัวมันเหมือนจะตรวจอาการไข้ จึงถามไปว่า

“หาน้ำมาได้แล้วรึเฟื่อง”

มือนั้นรีบชักหดทันที ทัพจึงลืมตามอง อ้าว! อีแฟง อีคนที่มีอารมณ์เหมือนผีสิง มองไม่ออกเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายจนยากจะคบมันถูก

แฟงที่เพิ่งตื่นและย่องมาคาดว่าทัพเพ้อละเมอจึงหยุดยืนคอยดู แต่พอเจอะตามันลืมต่างคนก็ต่างนิ่งงัน ถึงแฟงจักไม่ปริปากเอ่ยจนคำ แต่ทั้งหน้าและแววตาที่มองของแฟงซ่อนเศร้าไว้ให้คิดนัก และแม้ทัพจะจ้องแฟงแล้วเมินไปอื่นเล่า ก็เหมือนจักเตือนความจำของแฟงให้รำลึกได้ที่มันได้ลั่นไว้เป็นคำหนักอย่างก้องหูว่า กูจะซ่อนหน้ามึงตลอดชาตินี้

เฟื่องกลับมาในมือมีกระบอกน้ำเต็มเปี่ยม เมื่อเห็นน้องสาวยืนอยู่ก่อนจึงส่งให้

“แฟง เอ็งช่วยให้พี่ทัพกินด้วยเหอะ” แฟงตั้งใจจะเฉยเมย แต่เมื่อทัพหันมามองกระบอกน้ำก็เหมือนมัน​บังคับด้วยอำนาจวาสนา ดลจิตให้รับกระบอกจากพี่สาว ก้าวมาใกล้แล้วคุกเข่าลงมือสั่นน้ำเต้นกระฉอก

“เอ้า น้ำ” แฟงพูดเสียงสั่นไม่ค่อยได้ยิน

ทัพอ้าปากรับ ทุกหยดที่น้ำเย็นล่วงคอชุ่มหัวใจเหมือนเปลื้องผ้าอาบน้ำ เหมือนไฟเผาอกที่ถูกดับด้วยน้ำเย็น แต่ถึงแม้น้ำนี้จักเทจากมืออีแฟงก็หาดับร้อนอื่นของมันได้ไม่

มันดื่มเต็มอิ่ม แล้วพยักหน้าตอบนังคนไม่ถูกกัน “ขอบใจมึง อีแฟง เฟื่องเขาไปไหน”

“ไปหุงข้าว เพราะพี่คงหิว”

“อือ! หิว แต่หนาวเหลือเกินจะเป็นไข้อีก เอ็งให้เฟื่องไปเอาผ้าห่มข้าให้ทีเหอะ”

แฟงฉงน “นี่ก็ผืนหนึ่งแล้วไม่พอรึ ผ้าห่มฉันเอง”

“ข้าห่มมา ๒ ผืนแล้ว เมื่อหมดสติ เดี๋ยวนี้ข้ามีสติก็ขอผ้าห่มผืนของข้าเอง”

แฟงน้ำตาไหลทันใด เจ้าเคยแสนแง่แสนงอน แต่เดี๋ยวนี้งอนเป็นของเจ้าผู้ชายไปแล้ว และเมื่อหวนนึกถึงคำตัวที่ลั่นปากว่ามันเสียหาย แฟงก็เสียดายคำที่กล่าวพลาดไปแล้วนั้น

ชั่วตะวันจะย่างสายและข้าวปลาอาหารยังไม่ทันได้กินกันพร้อม กองลาดตระเวนซุ่มมองซึ่งนายจันทร์หนวดเขี้ยวได้ส่งไปสืบคอยฟังข่าวทัพพม่าก็รีบกลับมาบอกขุนสรรค์และพันเรืองกำนันว่าพบกองพม่าที่ยกล่วงหน้ามาก่อนและยับยั้งคอยกองหลวงใหญ่ที่คะเนจะถึงในก่อนเที่ยงนี้

ความกาหลได้เป็นอยู่ชั่วพักในค่ายระจัน ขณะเมื่อรัวเกราะประชุมพลชาวค่ายทั้งเคยศึกและยังมิเคยต่างขันอาสาจนได้ครบตัว ตั้งแถวเป็นหมวดหมู่ตามที่ขุนสรรค์เป็นผู้จัดขบวน ฆ้องฤกษ์ฆ้องชัยก็ครางบอกกำหนดเวลา แล้วกองอาสารบของบ้านระจันโห่ฮึกอึงคะนึง เคลื่อนทัพเดินผ่านไปทางวัดเพื่อรับศีลพร และน้ำมนต์จากพระอาจารย์ธรรมโชติผู้คอยอยู่บนศาลาลานวัดโพธิ์เก้าต้น

​ในทับอาศัยของแฟงยังมีคนมากหลาย ทั้งผู้เป็นหัวหน้าคือนายแท่นชาวศรีบัวทองซึ่งมาเยี่ยมไข้และห้ามปรามมิให้ทัพมันอาสาศึกซึ่งติงจาโบกำลังยกมา

พอเสียงฆ้องชัยลั่น เสียงโห่และเดินขบวนของพลอาสาชาวค่าย เสียงฝีเท้าย่ำดินกระเทือน เพลงศึกที่มันเคยได้ยินเร้าหัวใจ ให้หวนนึกถึงเมื่อมันชนะพร้อมด้วยกองม้าคำหยาดแล้วแสนอาลัยอ้ายเลาเคยสะบัดแผงโผน นึกถึงมื้อที่มันกระทืบโกลนเตือนอ้ายเลาแล่นเข้าประหาร โอ้! ศึกแต่นี้ต่อไปจักไม่เห็นกองม้าบ้านระจันแล้ว อโห ม้าคำหยาดจักไม่มีชื่อเรียกขานอีกแล้ว

พอพลเท้าขบวนข้างซ้ายผ่านทับอาศัยของมัน ก็มีชาวค่ายแต่งตัวครบศึกวิ่งเข้ามา ๒ คน คือผัวเจ้าจวงและพี่อีแฟงกับเจ้าเฟื่องหญิงม่าย

“พี่ทัพ” สังข์พูดเร่งร้อน “ฉันกับเจ้าฟักมาขอคำพรพี่ ฉันกับอ้ายฟักจะจากหลังม้าแล้วอาสาอีก”

ไม่ทันพูดจบ เจ้าคนกล้าศึกก็ลืมอาการไข้ถลันตัวนั่ง “กูไปด้วยสังข์เอ๋ย กูพลาดศึกเพียงมื้อเดียวก็เสียชีวิตน้องกูหมดแล้วมื้อนี้กูก็...”

นายแท่นผู้เป็นหัวหน้าจึงตรงเข้าประคองให้มันนอนแล้วกล่าวปลอบว่าน้องข้าจงยั้งก่อนเถอะ ศึกนี้ยังมิใช่ทัพกล้าแข็งขันอะไรให้เป็นที่หนักใจเลย ทัพใหญ่พม่ายังจะมีมาอีกมาก ขอน้องข้าจงอยู่รักษาตัวก่อน พอให้หายแล้วก็จะได้ร่วมศึกไปในกองของพี่ ก้มหน้าอาสาแผ่นดินรักษาชาติเมืองนอนสืบไป

ทัพมันอยากจะสะอื้นดังเมื่อได้ยินคำปลอบใจของหัวหน้าค่าย ยกมือไหว้นายแท่นและตอบว่า

“ข้าขอบใจในน้ำคำพี่ แต่ข้าจากคำหยาดมาก็หวังมาจะได้ทำศึกทุกครั้ง พ่อข้าเป็นทหาร ตัวข้าก็เป็นทหารเคยศึก หากแต่ที่หลบหลีกมาแล้วเพราะจำเเป็นก็เสมือนหนึ่งเป็นคนคิดไม่รู้คุณแผ่นดิน และน้องข้าที่หอบหิ้วลำบากมาด้วยกันจากคำหยาดก็เสียชีวิตหมดสิ้นแล้วเพราะฝีมือพม่า เพราะข้าคลาดศึกจึงเจ็บใจมันนัก”

นายแท่นก็ปลอบโยนมันต่อไปอีก และให้สัญญาว่าหากถึงศึกมื้อหน้าจักรับตัวมันเข้าร่วมกองรบร่วมใจไปกับนายแท่น แต่เนื่องด้วยศึกพม่าที่ยกมาในเช้านี้เป็นกะทันหัน ไพร่พลในค่ายระจันยังมิได้กินข้าวปลาอาหารกันพร้อม กอง​ผู้หญิงทั้งหลายซึ่งร่วมด้วยเฟื่อง แฟง และเจ้าจวง จึงจำต้องอาสาติดตามไปด้วยเพื่อส่งเสบียงอาหาร

แต่เกิดศึกมา แฟงมันยังไม่เคยไปพ้นค่ายเลย แต่ครั้งนี้มันจะต้องติดตามนักรบชาวค่ายไปด้วย แต่อ้ายนักรบกล้าของบ้านระจันยังนอนไข้อยู่นี่ทั้งคน

เมื่อคนอื่นพรักพร้อมกันแล้วที่จะจากไป แฟงมันก็เกิดได้คิดเหมือนผีของกองม้าคำหยาดจักศักดิ์สิทธิ์ดลใจแฟงให้บอกกล่าวหัวหน้ามัน เจ้าจึงหักใจพูดกับทัพเหมือนปกติเปรยๆ

“พี่ทัพ ฉันจะตามไปส่งข้าวทหารเรา จะกลับเห็นคงเย็นคงมืดแน่”

ทัพพยักหน้า “เออ!” แล้วให้คิดแปลกว่าเหตุไรอีแฟงจึงหวนมาลาเหมือนคนจะไปศึกมั่ง เมื่อจ้องๆ หน้ามันก็ใจหายเกิดห่วงอีแฟงขึ้นอีกคน “มึงไปดีเหอะ ก้มหน้ารับงานฉลองคุณแล้วแต่มึงจะทำได้ แต่อีแฟงมึงต้องระวังตัวหน่อย อย่าชะล่าล้ำศึกเข้าไปอยู่ในทัพ เพราะกูไม่ได้หลั่งน้ำตาอย่างง่ายดาย”

“ฉันจะจำคำพี่และระวังตัว ขอให้พี่หายวันหายคืนอย่างช้าก็คงเป็นเพียงค่ำฉันจะกลับมาส่งข่าว”

เสียงฆ้องลั่นอีก เสียงโห่ เสียงปืนชุดยิงให้ฤกษ์ วัดโพธิ์เก้าต้นกระเทือนด้วยฝีเท้าทหารศึก แม้เสียงพายุร้ายยังต้องเงียบเพราะเสียงทหารโห่และยาตราทัพระจันออกพ้นค่าย แฟงมันก็รีบพ้นประตูทับที่อาศัย และเหลียวมายิ้มจืดๆ เพียงครั้งหนึ่งก็ลับหน้าหาย เสียงฝีเท้ามันวิ่งตึ้กๆ เร่งร้อนแล้วก็เงียบไปอีก

อ้ายคนไข้ยอดทหารก็ลุกโผเผยันตัวนั่งประณมมือสวดมนต์อธิษฐานไปตามข้อคิด บ้านระจันจงชนะเถิด ขอผีม้าคำหยาดของกูจงคืนชีพชั่วขณะเข้าช่วยตะลุยศึกเถิด ผีอ้ายขาบอ้ายเลาจงติดตามอีแฟงอย่าให้มันเตลิดหลงตกเป็นเชลยศึกไปอื่นเลย

แล้วมันก็หลับตานิ่งสงบเหมือนจักส่งหัวใจกล้าออกติดตามชาวค่ายไปทุกฝีก้าว และแสนจะห่วงระวังเจ้าแฟง


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,458


View Profile
« Reply #3 on: 15 May 2022, 13:00:59 »


๓ ดวงใจมอบเมียขวัญแลแม่
​ตะวันเมื่อใกล้เที่ยงร้อนจัด และจะเพิ่มร้อนไปอีกกระทั่งบ่าย กอหญ้าเขียวซบยอดและใบสลบทอดดิน ป่าไม้โปร่งชายทุ่งปลิดขั้วปลิดใบลงเกลื่อน และก็จากราวป่ากระทั่งจดทุ่งเวิ้งปลายแขวงวิเศษไชยชาญต่อเมืองสิงห์เล่า ผืนทุ่งและเนื้อนานั้นก็กลาดเกลื่อนด้วยซากมนุษย์ที่ปลิดชีวิตไปแล้วนอนทอดกายเกลื่อนดินเยี่ยงใบไม้ คือเหล่าศพของทหารชาวพม่าผู้เสมือนแขกต่างเมืองมาเยือนศรีอยุธยา

แต่กายที่หาชีวิตไม่แล้วหากแต่มือยังกำดาบมั่น กายที่มีแผลยับไปทั้งตัวของพ่อยอดเมืองนักรบกล้าชาวสิงห์และสรรค์ เจ้าผู้ชายชาตรีชาติทหารสุพรรณและวิเศษไชยชาญ โอ้กองม้าบ้านโพธิ์ทอง คำหยาด ที่สูญชีพไปแล้ว หากแต่ทหารหาญทุกเมืองเหล่านั้นเป็นทัพผสมอันเรียกขานตามนามลือว่านักรบค่ายระจัน ถึงจะหาชีวิตไม่จักนอนอยู่กลางศพพลพม่าซึ่งห้อมล้อมมากกว่า แต่ทุกศพของชาวค่ายระจันที่ลาโลกลาค่ายและบ้านเกิดเมืองนอนไป หน้าศพตายเหล่านั้นก็ยังคงเหลือรอยยิ้มแย้มกระหยิ่มใจฝากให้เห็นว่า เมื่อมิตรต่างเมืองเข้ามาเยือนเราถึงเหย้า บ้านระจันก็ขอเอาศพรับแขก

​แดดยิ่งคุหนักไปอีก แดดร้อนเหมือนจะกินเลือด ไอแดดเต้นยิบเป็นตัวตลอดทุ่งกว้างและสุดฟากทุ่ง บนยอดคบไม้สูงชายป่า สองมือกำลังยกป้องแดดกวาดตาไปทั่วทุ่งและราวป่าตะวันออก สีหน้าของคนป้องมือบนยอดคบไม้ขมึงหูคอยสดับเสียงที่จะตามลมมา และหากมีไม้สูงต้นใดก็ต้นนั้นจักไม่ขาดมือป้องอยู่บนคบไม้ ส่วนเสียงคงสงบเงียบเชียบดังหนึ่งทุ่งระจันมีแต่หญ้าและป่าเปลี่ยว

ลมหวนมาจากทุ่งตะวันออก แสงตะวันหลังแนวป่าลิบโน้นสีขุ่นฟุ้งเป็นเกลียวลม แมวมองบนยอดไม้ผึ่งหูเบิ่งตามองเงี่ยหูฟังเสียงลม ตาจ้องสังเกตสีฝุ่นฟุ้งลิบๆ นั้น กองทัพ ใช่แน่ทัพใหญ่กว่าเมื่อก่อนส่งจากปากน้ำพระประสบมาราวีอีก มาข่มเหงบ้านระจันอีก เดี๋ยวเถิดประเดี๋ยวได้รบกัน

ทัพค่ายระจันพร้อมแล้ว กองรบที่แบ่งย่อยออกซุ่มซ่อนตามที่ต่างๆ อิ่มหนำสำราญแล้ว ผู้เป็นหัวหน้าทั้งหลายซึ่งคุมคนแยกกันอยู่เฝ้าคอยข่าวจากกองสืบของนายจันทร์ ส่วนนายอิน นายเมืองนั้นคุมนักรบฉกรรจ์ชาวเมืองสิงห์คอยทีอยู่เป็นปีก ผู้ใหญ่บ้านระจันกับนายทองแสงใหญ่ชาวพื้นบ้านระจันจักเป็นกองรุกไล่ตอบ

แต่หลังเนินดินเตี้ยป่าไม้บัง อันเป็นที่พักแฝงชาวเสบียงส่งข้าวและกองรบน้อยที่มาจากวิเศษไชยชาญ อันมีพลและนายหมู่ม้าคำหยาดที่เหลือตายร่วมผสม กับให้นายทองแก้วชาวโพธิ์ทะเลเข้านำรบเป็นกองล่อ

กระบุงข้าวยังตั้งเรียงราย กองเสบียงหญิงยังหายอมที่จะกลับไม่ ยิ่งเห็นสมรภูมิ และยิ่งรู้ว่ามีศพเกลื่อนอยู่ข้างหน้า นักรบค่ายระจันและกองม้าคำหยาดหมดชีพอยู่แนวป่าโน่น หญิงทั้งหลายก็อยากจะเปลื้องเครื่องแต่งกายหญิงแล้วแต่งเป็นชายจับดาบ เฟื่องเจ้าหวนคิดถึงผัวรักแล้วก็อยากแล่นไปตายเสียศึกนี้ตามผัว เจ้าจวงปลอบใจนายสังข์มิให้ห่วง ปลอบใจให้สู้ศึกไว้ชื่อ แต่เจ้าดอกไม้ไพรศรีบัวทองและบ้านคำหยาดมันหวนคิดถึงอ้ายยอดทหารที่ป่วยอยู่ค่าย แฟงขอรำลึกและอัญเชิญฝีมือมันมาไว้แก่ทหารค่ายระจันที่จะเข้าต่อรบทุกคน

กองสืบวิ่งมาแล้ว แล่นมาเร็วกระหืดกระหอบแล้วรายงานข่าวศึก

“ยกมาแล้วป่าโน้น ผู้คนมากหลาย ฝุ่นฟุ้งหมด”

​เมื่อฟังบอก ทุกคนก็ยืนพรึ่บใจเต้นระริก ตาจับตาจักร่วมตาย ผู้เป็นหัวหน้าคือนายทองแก้วจึงถามว่าแล้วท่านผู้ใหญ่บ้านสั่งอย่างไร

“ให้กองวิเศษไชยชาญนี่รีบเข้ารบก่อนอย่าให้ศึกทันล่วงพ้นป่าหมด แล้วชะลอมาทุ่งฟากบ้านระจันและชาวสิงห์”

นายทองแก้วพยักหน้าแล้วหันมายิ้มแย้มกับเพื่อนตายทั้งหลายกล่าวว่า “พี่น้องฉัน พี่น้องไทยทั้งหลายเอ๋ย เราไปร่วมตายกัน เราจะตายก่อนไทยทั้งหลายอื่นตาย เราไปกอดคอกันตายเรียงศพกับชาวค่ายระจันเบื้องหน้าโน้น ไปเถิดฉันจะออกหน้าตายก่อนขอให้ตาม”

ทั้งดาบพร้าและมีดไม้ชูร่อน นายสังข์ที่เป็นแม่กองรบรองลงมาถอดดาบควงแล้วตะโกนดัง

“ขอให้เราตายกันสมทหาร”

แล้วเสียงจากกองเสบียงหญิงก็ตะโกนแหลมมามากหลายพร้อมกัน “ค่ายระจันไปชนะ ไปเถิด ไปชนะ”

สิ้นคำและพร้อมกันแล้ว กองรบน้อยของค่ายระจันก็ยกพรึ่บออกเสียงโห่ เสียงร้องเพลงกึกก้องกระท้อนทุ่งข้ามลงเนินอย่างเปิดเผยมุ่งประจันหน้าโน่น ศึกหน้ากำลังจะพ้นประตูป่าดาหน้าเข้าไปเถิด แล้วจะไปประจัญบาน

ทัพหน้าของติงจาโบซึ่งยกนำมาก่อนอย่างรีบเร่ง หวังจะยึดทุ่งแจ้งเพื่อตั้งทัพให้พร้อมขบวนก่อนแล้วจะยกรบชาวบ้านระจันเป็นศึกกลางแปลง แต่พอออกทิวไม้จะพ้นป่าก็ได้ยินเสียงโห่ฮึกของชาวค่ายก็ตกใจ เพราะกองรบหลังๆ ยังแออัดอยู่ในป่าไม่พ้นมาได้ จึงรีบต้อนพลวิ่งกรูออกทุ่งหวังจะตั้งให้ถูกขบวนทันศึก แต่กองทัพน้อยอันมีพลเพียงหยิบมือของชาวค่ายระจันมุ่งมาเร็ว มุ่งมาหวังตะลุมบอนประจัญบาน ไม่เจียมตัวว่าตัวน้อย แล้วพลพม่าก็ถูกต้อนกรูเข้าใส่อย่างคิดชนะ

ฝ่ายติงจาโบซึ่งคุมทัพใหญ่ยังไม่พ้นป่า ครั้นรู้ว่ากองรบหน้าปะทะกับชาวค่ายระจันแล้วก็ใจร้อน ทั้งเนื่องด้วยติงจาโบเป็นทหารมีฝีมือ และกระหายที่จะแก้มือชาวบ้านระจันซึ่งฆ่าพวกตัวตายไปแล้วมากหลาย จึงเร่งพลและต้อนทัพ​ใหญ่หนุนเนื่องเบียดเสียดกันหวังแต่จะออกให้พ้นป่าโดยเร็ว กองที่เพิ่งพ้นตกทุ่งไม่ทันตั้งตัว เมื่อถูกกองหลังหนุนมาแรงกล้าก็ถลาล้ำ จักถอยเล่าก็ติดกันอึดอัดแต่พวกกัน ข้างหน้าก็ล้มตายลงดังใบไม้ปลิด เสียงคำรามหึ่มข้างหน้าดุหนัก ไทยยิ่งรุกมาหนัก

นายทองแก้วยังคงนำพลเข้าหวดหั่น นายทองแก้วชาติชายโพธิ์ทะเลยังควงดาบเข้าตะลุมบอนไว้ชื่อไทย นายสังข์ที่จากหลังม้าคำหยาดตามติดไม่ทิ้ง เจ้าหนุ่มฟักพี่ชายของเฟื่องแฟงก็ตามคู่กับนายสังข์ไม่มีถอย แต่พอนายทองแก้วเหลือบเห็นเครื่องแต่งกายของพม่าผู้เป็นนายที่ขี่ม้าอยู่กลางพลและรีบร้อนพ้นประตูป่าเข้ามาก็นึกรู้ จึงยกมือเป็นสัญญา ชาวระจันที่ตามหลังหนุนก็รีบถอยรบและถอยลงทุกขณะเหมือนอ่อนแรงจะหลบเข้าป่า ศึกใหญ่ของพม่าที่แม่ทัพคุมเห็นเช่นนั้นก็ต้อนทหารรีบรุกหวังตะลุยฆ่าให้สิ้น

ข้ามเนินเตี้ยเบื้องหน้าของทัพน้อยวิเศษไชยชาญ เมื่อเห็นชาวค่ายรุกกระหน่ำตะลุมบอน หญิงเจ้าก็ชะล่าใจ หญิงเจ้าคิดเหิมอยากจะช่วยชายรบ เฟื่องเจ้าลืมคิดถึงความกลัวอื่นนอกจากว่าผัวเจ้าตายกลางศึกพม่า ก็ขอให้นักรบค่ายระจันจงรบให้หายแค้น ฟันเสียให้สมใจที่มุ่งมาข่มเหง จวงเจ้าก็ปลื้มใจที่ผัวรบอย่างทหารหาญ หญิงอื่นก็ตะโกนหนุนน้ำใจรบของชาวค่ายพี่น้อง แฟงถลาถลำลืมคำเตือนของอ้ายนายกองม้าคำหยาดยอดฝีมือ แต่ละล้วนหมู่หญิงที่หาทราบว่าอุบายศึกเขาจะถอยไม่

แต่พอทัพถอย และยิ่งถอยมาเร็วเพราะศึกพม่ากรูมาดั่งสายน้ำเชี่ยว ทัพล่อที่หลบมาก็ปะทะหลัง หญิงถลาอยู่หว่างทัพแล้ว หญิงล้มลุกคลุกคลานหลบอาวุธที่เขาตะลุมบอน หญิงเจ้าล้มตายลงบ้างทีละคนและร้องส่งเสียงกรีดตามประสาหญิง

เฟื่องแฟงและเจ้าจวงเมียทหารหาญและพี่เจ้าเล่าก็เชื้อชาติทหารอาทมาตกล้า เมื่อถลามาแล้วต่างก็ปลงใจทอดชีวิตให้แก่ชาติ ๓ นางเจ้าจับดาบก้มเก็บดาบที่เจ้าของสิ้นชีวิตแล้วขึ้นถือ ๓ นางเจ้าก็หวนรำลึกถึงผีกองม้าคำหยาด แฟงรำลึกขอถอดฝีมือเจ้ายอดทหารนายกองม้า แล้วก็ลิ่วเข้าร่วมรบกับชายเป็นตะลุมบอนขอฝากชื่อไว้กับหญิงไทยที่อยู่หลัง

​เห็นสมอุบายศึก ทัพใหญ่พม่าถลำเฉียดชายทุ่งมาแล้ว และเสบียงหญิงก็ถูกไล่ล้อมปนกับหมู่ชาย นายทองเหม็นผู้ใหญ่บ้านระจันทั้งนายทองแสงใหญ่และนายอินนายเมืองจึงให้สัญญาเข้าตะลุมบอนพร้อมเพรียงกัน ทัพกล้าบ้านระจันหมดทุกกองสิ้น ๗๐๐ ต่างก็โห่ฮึกขึ้นพร้อม ออกตีพร้อมร่วมทุกกองทั้งขนาบและประจันหน้า บ้างที่ซุ่มอยู่ป่าลึกก็ตีย้อนขบวนตลบมาหลังเสียงคำรามจากป่ามาสู่ทุ่ง เสียงโห่เรียกขวัญกึกก้อง แต่ชื่อบางระจันกระท้อนรับอยู่กลางทุ่งศึก หญ้าเขียวแหลกเป็นแปลงดินและเนื้อนาปันละเอียดเป็นฝุ่นฟุ้งฟ้า แดดจัดดังหนึ่งผีทุ่งจักแลบลิ้นเลียเลือดสด ตะวันยิ่งคุร้อน ท้องฟ้าดังแสงเพลิงป่าไหม้เพลิงป่าบ้านระจันยิ่งคุแรงขึ้นในหัวอก มุ่งเข้าผลาญศึกที่หมายมาราวีไหม้พินาศดังหนึ่งกองไม้แห้งมาแหย่เพลิง

มืดสนิท ตะวันล่วงค่ำมาแล้วครู่ใหญ่ ยอดโพธิ์เอนท้ายวัดและทิวไผ่เขียวที่โอนลมเมื่อบ่ายกำลังหลุบใบนอน กองไฟหลายร้อยกำลังคุอยู่รอบค่าย แม้ฟืนสุมทุกดุ้นที่ร้อนแรงอยู่กลางกองเพลิงโชติช่วงก็ยังร้อนเหมือนหัวใจคอยของชาวค่ายที่อยู่หลังทุกคนไม่ พวกไปศึกยังไม่กลับ แม้กองเสบียงหญิงที่น่าจะกลับมาส่งข่าวก่อนก็หาเห็นหน้าสักคนไม่จนเกิดประหลาด เหล่าหัวหน้าที่เหลือก็จับกลุ่มปรึกษาเป็นทุกข์ เพราะศึกไม่เคยคลาดจนล่วงมื้อเย็นเลย พันเรืองกำนันและขุนสรรค์กรมการเมืองจึงคิดจะแต่งทัพยกหนุนไปช่วยอีก แล้วกลองระดมศึกก็โหมขึ้น

ในทับอาศัยของแฟงมืดสนิท เว้นแต่ต่อไปทางกำนันกระทุ่มด่านและครัวที่อพยพมาพร้อมกันอาศัยอยู่ คนที่นอนคลุมผ้าอยู่บนแคร่ไม้ของแฟงยังหลับสนิทอยู่กลางกระท่อมมืด เจ้านายกองม้าคำหยาดที่อยู่คนเดียวไม่ไปศึก ยังคงหลับสบายตั้งแต่เช้าเมื่อชาวค่ายจากไป ครั้นตื่นเมื่อตอนกลางวันยังไม่เห็นใครกลับเจ้าทหารเก่านายกองม้าก็หลับไปอีกกระทั่งเย็นค่ำ

เสียงกลองโหมมาจากบ้านพันเรืองและเสียงโหมรับกันต่อๆ มาอีกสนั่นค่ายทัพก็ผวาตัวตื่น ในทับมืดแสนมืดจนมองฟาง แต่เสียงกลองโหมเร้าใจนัก ศึกมาติดอีกหรือ และคนออกศึกมื้อเช้าทั้งเจ้าเฟื่องแฟงที่ไปส่งเสบียงเมื่อเช้าก็ยังไม่กลับ

​กลองยังรัว ทั้งเกราะแลกลองยังรัวรับอยู่อีก คนจะออกอาสาศึกคงยังหาพอไม่ คิดห่วงเฟื่องแฟงและเจ้าจวงที่ตามผัวไปยังไม่กลับ คิดห่วงชาวค่ายที่กลับผิดเวลาศึก แล้วมันก็ถลันยืนเรี่ยวแรงที่อ่อนเพลียเมื่อเช้ากลับหวนมาฮึก ข้อมือมันยังเหนียวแน่นที่จะกำดาบลุยได้อีกตลอดคืน พอเสียงฝีเท้าตึ้กๆ ของชาวค่ายที่รีบวิ่งไปประชุมผ่านหน้ากระท่อม ทัพก็คลำทางมาจนพ้นมืดแล้วเผ่นผางวิ่งย้อนไปค่ายม้า ปลดดาบออกสะพายหลังครบแล้วตรงแน่วไปที่ลานประชุมและมันก็ได้เป็นกองอาสานำทัพสมใจตั้ง แล้วก็เคลื่อนตามฤกษ์ยามออกศึกเมื่อได้ยินเสียงฆ้องชัย

พ้นค่ายมาร่วมครึ่งทาง ดาวข้างแรมขึ้นแต่หัวค่ำ แลอีกชั่วเลี้ยวคุ้งไม้จะถึงเนินดินเตี้ย เสียงอู้มาไกลดังเสียงลม เสียงโห่เอิกเกริกฟังไม่ได้ศัพท์ภาษา นายแท่นจอมทัพจึงสั่งให้กองรบนำแอบขบวนด้วยไม่ไว้ใจ แต่พอใกล้มาอีก เสียงฝีเท้าสะเทือนดินเสียงเพลงศึกสนุกสนานโห่อวยพรแต่บ้านระจัน โห่ถวายชีพให้ชาติและมหากษัตริย์ แน่นัก บ้านระจันชนะอีก เออ เจ้ายอดชายแม่ยอดหญิงที่ติดตามไปศึก และชั่วครู่เดียวทุ่งข้างหน้าก็ดำมืดดังก้อนคลื่นกลิ้งมาใกล้เสียงสนั่นทั่วดินแดน

ทัพหนุนที่ยกตามมาช่วยและสงบอยู่เมื่อได้ยินเสียงถนัดจำได้ต่างลิงโลดด้วยความปลื้ม เสียงเพลงศึกเขย่าไปทุกห้องหัวใจ เนื้อระริกทั่วตัวคน และบ้างมันก็น้ำตานองรับปลื้มของคนชนะ

นายแท่นจึงสั่งให้กองคบที่เตรียมมาหวังจะค้นหาผู้เจ็บป่วยจุดขึ้น คบเพลิงสว่างขึ้นดวงแรกแล้วก็อีกดวงหนึ่งและอีกนับสิบนับร้อยสว่างไสวดังทุ่งเพลิงบ้านระจัน แล้วเพลงชนะก็ตะโกนรับไป ก้องสะท้อนไปรับขวัญทหารกล้า ก้องไปเชื้อเชิญพ่อนักรบให้คืนค่ายนอน

ชั่วครู่เดียว ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างรู้กันว่าเป็นพี่น้องร่วมค่ายและผู้ชนะศึก ครั้นมาถึงผู้กลับกับผู้มารับต่างก็โหร้องแล้วโผเข้าสวมกอด ปากก็ปราศรัยพึมพำ บ้างเรียกหาและถามถึงผู้ที่หายหน้าอื่น

ทัพมันหายอมเข้าขบวนนำกลับไม่ กองเสบียงหญิงยังหายหน้าทั้งนายสังข์และเจ้าฟักกับพลม้าคำหยาดเพื่อนทุกข์อีก ๕ คนที่ผสมทัพก็ยังไม่พบหน้า​พบตา ทั้งเจ้าจวงและเฟื่องแฟงก็มาพลอยด้วยอีกเล่า หรือว่าศึกมื้อนี้ หากพม่าจักพ่ายยับเยินแต่กองรบน้อยวิเศษไชยชาญจะพลอยเสียชีวิตมั่ง แล้วพลอยกองเสบียงหญิงถูกต้อนเตลิดไปค่ายใหญ่ปากน้ำพระประสบ แต่ว่าถ้าอี ๓ นางต้องตกเป็นเชลยศึกพม่าไปแล้ว กูก็จักขอทหารแต่เพียงร้อยยกย้อนไปฆ่าเสียให้สิ้น

เจ้าลูกชายทหารอาทมาตที่ยกมาอาสาชาวค่ายระจันมันยืนแอบทางที่นักรบชาวค่ายทั้งสองขบวนสมทบกันเดินทัพกลับ มือชูคบเพลิงสว่าง ตาสอดส่ายเหมือนจะค้นเข็มทองกลางทัพ ขบวนยิ่งผ่านไปมามาก ใจมันก็ยิ่งร้อนมากเหมือนจะหวิวหายไปตามขบวนทัพที่จวนจะสุดขบวนอยู่แล้ว แต่ก็ยังหาเห็นวี่แววว่าจะพบชาวบ้านคำหยาดแม้แต่สักคนไม่ทั้งหญิงชาย แล้วฝืนใจโห่ร้องตอบทั้งแกว่งไกวเพลิงให้แก่ทัพชาวค่ายทุกกอง

ศึกที่เพิ่งเสร็จเมื่อค่ำและชาวบ้านชนะเด็ดขาดเพราะทัพติงจาโบแตกย่อยยับตายเกือบหมดนั้น มีอยู่กองเดียวที่ชาวค่ายระจันเสียชีวิตมากคือชาววิเศษไชยชาญ กองรบน้อยๆ แต่ห้าวหาญเข้าประจันหน้า ส่วนผู้เจ็บป่วยอาการหนักคงถูกใส่แคร่ไม้หามกลับมาสิ้นทุกคนมิได้มีผู้ใดต้องถูกทอดทิ้งไว้เลย ผู้ต้องอาวุธเจ็บป่วยมากหลายคนทั้งหญิงหนึ่งที่ร่อแร่เจ็บหนักและอีกคนก็อาการเจ็บช้ำมากเพราะล้มลงกลางทัพระหว่างถอยจึงถูกเหยียบย่ำ แต่ยังพอจะมีสติพูดจาได้รู้ความกัน เมื่อถัดจากนายทองแก้วผู้เดินนำมา ก็ถึงนายกองสังข์ทหารศรีอยุธยาและมาเป็นชาวม้าคำหยาดเดินเคียงแคร่หาม ๒ คนกับเจ้าหนุ่มฟักกับชาวค่ายอื่นและพลม้าคำหยาดอันเหลือชีวิตมาอีกแต่เพียง ๒ คน แม้ศึกจะชนะนายสังข์ก็ไม่วายสลดทุกข์ร้อนใจ เพราะบนแคร่นอนที่หามตามนั้น เฟื่องเจ้าเจ็บร่อแร่ ส่วนแฟงกับเจ้าจวงภรรยาเล่าก็เจ็บอยู่ไม่น้อย

คบเพลิงที่สว่างอยู่โดดริมทางส่ายไปส่ายมาเห็นคนถือคบแต่เพียงแวบที่คบผ่าน แต่เพราะกองนี้เป็นกองท้าย คนถือคบเพลิงนั้นจึงหยุดส่ายคบแล้วชูสูงเหมือนจะส่องให้ทางและในชั่วครู่ที่แสงคบอยู่นิ่ง หน้าเห็นถนัดของเจ้าคนชูคบนายสังข์ก็จำได้ว่าอ้ายนายม้ายอดฝีมือของวิเศษไชยชาญ ทั้งเจ้าฟักและนายกองสังข์โลดออกจากขบวน ชูมือให้เห็นแล้วนายสังข์ก็ป้องปากตะโกน

​“พี่ทัพ ฉันอยู่นี่ บ้านคำหยาดของพี่อยู่นี่”

ขาดคำตะโกน แฟงกับจวงที่นอนมาบนแคร่หามก็ลุกชะเง้อมองร่างเด่นของทหารเก่าเคยศึกที่ยืนชูคบ ทำให้แฟงเจ้าหลั่งน้ำตาทันใด กายตระหง่านยืนหยัดสะพายดาบคู่แต่โดดเดี่ยวชูคบสว่างอยู่แทบราวป่าโน้นเหมือนเจ้าประจำไพร แล้วก็หวนนึกถึงคำห่วงของมันที่พร่ำสั่ง และหากว่าศึกนี่เจ้าป่ามันไปด้วยก็ไหนเลยเล่าที่หญิงอื่นจะได้ลำบากเพราะต้องอาวุธเช่นนี้

เสียงตะโกนและคนโลดออกจากขบวนทัพ ทำให้ทัพเบิ่งตามอง ยิ่งร่างตะคุ่มที่ชะเง้อพ้นแคร่หามนั้นจำได้ว่าเป็นหญิงแล้วเจ้าคนที่ส่องคบหาก็ตะลึง พอสิ้นตะลึงได้สติก็ถลาออกวิ่งสุดฝีเท้า แสงคบคล้อยแลบตามลมผู้ที่มันวิ่งทวนมากระทั่งถึง

นายสังข์โผเข้ากอดคอมัน อยากจะพูดจะกล่าวคำอะไรหากแต่พูดไม่ออก ได้แต่สะอื้นที่ได้กลับมาเห็นหน้ามันอีก

ทัพก็นิ่งงัน ยิ่งตาเหลือบเห็นร่างหญิงนอนโซมเลือดสิ้นสติก็ใจหวิว ศึกก่อนชีวิตผัวเจ้าก็ดับไปแล้ว ศึกนี้เล่าเฟื่องจะต้องตายตามผัวไปอีกหรือ อ้าวแฟง จวง แล้วกันมีรอยเลือดเปรอะด้วยกันทั้งคู่

กองหน้าๆ เดินล่วงเข้าค่ายก็เกือบสิ้นแล้ว และกองล้าที่เป็นชาววิเศษไชยชาญนั้นค่อยเดินค่อยไปเพราะต้องห่วงระวังคนป่วย ส่วนทัพกับสังข์นั้นใจร้อน ที่จะเร่งให้ถึงค่ายเร็วๆ เพื่อจะได้ตรวจดูบาดแผลและอาการของนางสามหญิงที่กล้าศึก กระทั่งเห็นคบชูสว่างส่องทางอยู่ที่ประตูค่ายและร้องโห่รับของชาวบ้านระจัน

ฝ่ายเนเมียวมหาสีหบดี แม่ทัพใหญ่ฝ่ายข้างเหนือ เมื่อแต่งให้ติงจาโบนายทหารมีฝีมือคุมพล ๙๐๐ ยกไปปราบปรามชาวบ้านระจัน ครั้นเห็นทัพติงจาโบแตกยับเยินกลับมาอีกแทบไม่มีพลเหลือ ทั้งได้ทราบจากทหารที่แตกทัพมาว่า ชาวค่ายระจันมีฝีมือเข้มแข็งและน้ำใจกล้าหาญรักใคร่สามัคคีพร้อมเพรียงกันนัก ทั้งกำลังพลก็มีมากเกินกว่าจะเป็นซ่องโจรสามัญ และพลพม่าที่แตกกลับมาต่างก็เข็ดขยาดฝีมือและซุบซิบบอกเล่ากันต่อๆ ไป จึงหามีใครที่จะกล้าอาสายกไปปราบปรามชาวค่ายระจันอีกไม่

​เมื่อหยุดอยู่อีก ๒-๓ วันยังหามีผู้หนึ่งผู้ใดไม่ที่จะกล้าอาสา จึงสุรินทจอข่องซึ่งตั้งค่ายมั่นอยู่ทางวิเศษไชยชาญ และเป็นผู้ที่เคยแต่งกองโจรพม่าออกปล้นสะดมชาวบ้านเมื่อก่อน ก็เข้าขันอาสาจะยกทัพไปปราบปรามชาวบ้านระจัน เนเมียวมหาสีหบดีจึงกะเกณฑ์ไพร่พลให้ทุกคนเลือกล้วนตามเหล่าที่ถนัดในประเภทเชิงรบ แล้วจัดสรรขึ้นเป็นกองทัพครบขบวนศึกพร้อมด้วยกองม้า ๖๐ เศษ ทั้งกองปืนและเหล่าพลเดินเท้าอีก ๑,๐๐๐ คนเศษเป็นทัพใหญ่ แล้วยกจากค่ายเคลื่อนทัพโฉมหน้าขึ้นสู่บ้านระจันแต่เพลานั้น

แดดตะวันเย็นร่มไปแล้วค่อนทุ่ง ความร้อนของฤดูแล้งย่างเดือน ๕ เมื่อบ่ายค่อยซาลงเป็นเวลาลมตก ในค่ายรบบ้านระจันต่างก็ครึกครื้นสรวลเสเฮฮากันตลอด บ้างร้องเล่นทั้งเต้นรำตามอัชฌาสัย บ้างย้อนเล่าถึงศึกติงจาโบที่แตกยับเยินไปเมื่อ ๗-๘ วันก่อน และบ้างก็ฝึกซ้อมฝีมืออาวุธทั้งดาบและกระบี่ แต่ส่วนผู้เป็นหัวหน้าก็คอยต้อนรับพวกครัวและเหล่าชายฉกรรจ์ซึ่งมาจากสารทิศต่างๆ และมอบชีวิตเข้าอาสาค่ายระจันอีกมากหลาย

ค่ายม้าคำหยาดซึ่งปลูกเป็นทับชั่วคราวอยู่ต้นทางจะไปวัดเมื่อก่อนเดี๋ยวนี้รื้อร้างสิ้นไปแล้ว นอกจากเสาสะแกที่ปักอยู่โกรงเกรงและแฝกมุงลงกองดิน ก็หามีสิ่งอื่นใดจะสังเกตอีกไม่ว่าตรงนี้เป็นค่ายม้าเก่าของคำหยาดทหารกล้าที่สูญชีพไปแล้วสิ้นทั้งกอง นอกจากเจ้าหนุ่มฉกรรจ์ทั้งฝีไม้ลายมือและน้ำใจเด็ดเดี่ยวสมทหาร และแปรชีวิตจากทหารเก่าศรีอยุธยามาเป็นโจร กระทั่งนำกองม้าบรรลือนามของมันเข้าสวามิภักดิ์ต่อชาวค่ายระจัน จะเว้นเสียมิได้ ทุกๆ เพลาเย็นที่เจ้าทัพจะต้องหวนมาเยือนซากค่าย คิดถึงทหาร คิดถึงหมู่ขาบ ตลอดจนอ้ายเลาม้ารู้คู่ยาก หากม้าโพธิ์ทองคำหยาดยังอยู่แล้ว ไฉนเล่าศึกเมื่อ ๗-๘ วันก่อนผู้หญิงจะถลันไปถูกทำร้าย กองม้าอาทมาตรบมาแต่ทุ่งสะแกโทรมเข้าหักโจรพม่า กระทั่งตัดทัพงาจุนหวุ่นพินาศสิ้น คิดแล้วมันก็น้อยใจตัวเองนักที่ต้องเหลืออยู่ว้าเหว่เฉพาะเจ้าฟักกับนายสังข์และพลม้าเก่าอีกเพียง ๒ ชีวิต

เงาไม้ร่มและหายตามแสงตะวันสิ้น ทัพนั่งตาเหม่อไปทางค่ายม้าเก่าอยู่คนเดียว เมฆลอยกลางฟ้าและใบไม้ไหวเมื่อลมโชยมาชวนให้เศร้าถึงเพื่อนค่าย​ที่เสียชีวิต เศร้าไปถึงหมู่ขาบแล้วเมียหมู่ขาบชู้เก่ามันเองก็ยังเจ็บหนักอยู่ในกระท่อม เจ้าจวงนั้นกำลังจะหายเพราะมันตกใจมากกว่าจะเจ็บแผลเพียงนิดหนึ่งที่ถูกปลายดาบเฉี่ยวกลางหลังเท่านั้น เออ ก็อีแฟงนี่แหละที่ต้นเหตุต้นความ อีสาวเด็กอยู่เมื่อวานซีนและเดี๋ยวนี้ก็เป็นสาวใหญ่ และยิ่งคิดก็ยิ่งได้ยินแต่เสียงอีแฟงมันพูดอยู่แจ้วๆ เตือนให้รำลึกถึงมันนัก เพราะถึงจะยังไม่ดีกัน แต่ทีท่ามันก็คงจะไม่โกรธมากมายเหมือนเมื่อวันก่อนไปศึกแน่

เสียงสะดุดกองแฝกที่เกลื่อนดินทางค่ายม้าเก่า ทัพมันเหลียวเร็วแล้วเบิ่งตามอง แม่เอย พอกูรำลึกก็แล่นมาดังใจกูหายแล้วอีแฟงของพี่ หากจะซูบผิดตาไปสักนิดสักหน่อยแต่ผิวอ่อนของมันก็ไม่แพ้ใบไม้อ่อนผลิ เออ อีแฟงเดินไม่รู้ตัวว่าพี่แอบมอง มันงามพิกล แต่ถ้ารู้ตัวหรืออยู่ต่อหน้ามันก็เอางอนขึ้นบังจนแทบจะสิ้นสวย แล้วทัพมันรีบแอบโคนไม้และคิดว่าวันนี้จะแอบง้ออีแฟงเพราะไม่มีใครเห็น

แฟงเดินตากลมเย็นมาเรื่อยๆ เพราะเพิ่งจะเสร็จจากอยู่พยาบาลพี่สาว มาถึงค่ายม้าคำหยาดแล้วแทบน้ำตาไหลคิดถึงคนโน้นและคนนี้ สงสารพลม้้าที่เสียชีวิต แล้วก็อดนึกสงสารหน้าอ้ายนายกองม้าที่ยังมีชีวิตอยู่ว้าเหว่มิได้ พอสะดุดกองแฝกก็ได้สติ และแปลกใจว่าอ้ายนายกองม้ามันเคยมาอยู่ทุกเย็นแล้ววันนี้มันหายหน้าไปซ่อนอยู่ไหน แล้วก็มุ่งหน้าเข้าใต้มะกอกใหญ่นั่งลงพัก

ไม่ทันจะถึงอึดใจที่แฟงจ่อมลงนั่ง ไม่ทันจะเอนหลังอิงหรือจะได้นึกอะไรเล่นให้เพลิดเพลิน เสียงผิวปากอยู่ข้างหลังใกล้ๆ เหมือนเจ้าเคยได้ยินอ้ายนายกองม้ามันผิวเรียกอ้ายเลาเมื่อก่อนก็เหลียวหา

สะดุ้งแล้วให้เกิดอายหัวใจเพราะเจ้าของอ้ายเลามันชะโงกมาแทบชิดตัวหัวร่อสีหน้าไม่ค่อยสนิท แต่ก็มีไมตรีอยู่นัก

“แฟง ข้ากำลังนึกถึงเอ็งอยู่เดี๋ยวนี้เทียวละ แผลหายสนิทดีล่ะหรือ”

คนโกรธกันและก็เพิ่งจะได้พูดกันเมื่อเจ้าเจ็บกลับจากศึกครั้งที่แล้ว จึงทำให้แฟงตอบเสียงอ้อมแอ้มไปบ้าง

“ยังไม่หายดี” แฟงตอบเมินๆ “มาแต่เมื่อไร”

“มาคอยแฟงอยู่แต่บ่าย ลมยังไม่ตกซีล่ะ” แล้วทัพมันก็คลานมานั่งชิดใกล้ข้างๆ “เฟื่องมันเป็นไงมั่ง เย็นนี้”

​“ยังหนักอยู่เหมือนเก่านั่นแหละ ไข้ก็มาก ทั้งเพ้อหาใครต่อใครสารพัด”

“กรรมแท้ของเฟื่อง แต่ข้าก็เบาใจอยู่อย่างที่แฟงหายดีแล้ว เออแน่ะแฟงข้ามีอะไรจะบอกสักอย่าง แต่ว่า อ้า” หากเจ้าคนพูดจะกล้าศึกมาร้อยแปด แต่ก็หายังชนะใจประหม่าได้ไม่ นอกจากนิ่งอึ้งไม่พูดแล้วก็ได้แต่คว้าไขว่ข้อมือแฟงมายุดอยู่เฉย และทัพก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าแฟงตัวสั่นและถอยหนี

“อย่าสลัดหนีอีแฟง อย่าหนีเลย เพราะเราใช่อื่นใช่ไกลเป็นลูกบ้านคำหยาดหนีร้อนมาด้วยกัน พี่มีเรื่องจะพูดอะไรสักหน่อย”

เมื่อหนีไม่พ้นแฟงก็ได้แต่เบือนหน้า เจ้าเคยพลัดอยู่หว่างศึกที่แล้วยังไม่ตื่นหัวใจเหมือนครั้งนี้ หน้าร้อนผ่าวแล่นตลอดไปถึงมือจนเหงื่อชุ่ม หัวใจก็โอนเอนเหมือนตาลสูงโต้พายุฝน

“จะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ แต่ขอให้พี่ปล่อยมือฉันก่อน”

“ปล่อยมือ เอ๊ะทำไมจะต้องให้พี่ปล่อยมือ”

แฟงเคยแสนแง่แสนงอน แต่มื้อนี้ให้เกิดประหม่าอายเกินกว่าจะคิดงอน หน้าเพิ่งรื้อไข้เห็นเลือดวิ่งขึ้นบ่มผิวเรื่อๆ

“ฉันรำคาญหัวใจ”

ฟังตอบ ทัพหัวร่อร่า รั้งแขนแฟงเอนมาทับตัก

“พี่ก็จับเอ็งแต่เพียงข้อมือแล้วทำไมจะแล่นรำคาญไปถึงหัวใจเล่านั่น แฟงเอ๋ยทุกวันนี้เราก็เห็นหน้ากันแต่เพียงสองเท่านั้นที่รู้เห็นใจกันมาแต่คำหยาด เฟื่องเขาก็เจ็บหนักจะเป็นตายพอกัน พี่จะหันปรับทุกข์ปรึกษาความอะไรกันมั้งเล่าเอ็งก็มาโกรธพี่เสีย ใจคอพี่มันก็เลยปั่นป่วนไม่สบายไปใหญ่”

“ฉันไม่ได้โกรธ” แฟงว่า

“แล้วทำไมเอ็งไม่พูดกับพี่สนิทเหมือนก่อน ฮึ แฟง”

“ไม่รู้ ก็ทีพูดได้พูดเอา จะฆ่าจะแกง นั่น ทำไมไม่เก็บมาพูดมั่ง”

เจ้าคนริเจ้าชู้ฝืนหัวเราะแค้นตัวเอง แต่อีแฟงหลงแค้นก็เพราะหารู้ใจแท้ของชายเมื่อยามที่มุ่งรักไม่ และครั้นจะยิ่งนิ่งงำความไว้เล่าอีแฟงก็คงจะยังไม่สิ้นสงสัย แล้วฟื้นความมาพูดอยู่ร่ำไป

มันอุ้มแฟงที่แอบหน้าลงฟุบตักขึ้นนั่ง แม้จะเมินหนีอย่างไรทัพก็รั้งตัว​แล้วจับคางเชยให้หันมาสู้หน้า

“แฟง ความมันก็แล้วไปแล้ว แต่เมื่อเอ็งยังสงสัยใจไม่สิ้นพี่ก็จะบอกให้ฟัง แฟงเอ๋ย ผู้ชายใครอื่นนั่นพี่หารู้ใจเขาไม่ แต่ว่าสำหรับหัวใจแท้พี่เองนั่นเมื่อรักอะไรจะคิดหวังเป็นเจ้าเข้าเจ้าของแล้วก็ไม่อยากจะให้ใครมากล้ำมากราย ถึงจะพูดจริงพูดเล่นมันก็แสลงใจ เอ็งมาอยู่ค่ายระจัน เอ็งก็เป็นชาวระจัน ถูกละ แต่ว่าเอ็งจะพูดเอารักของเอ็งเที่ยวบำเรอไปพร่ำเพรื่อกะเขาอื่นนั่นแล้ว หัวใจอ้ายคนที่มันคิดจะเป็นเจ้าของและรักเอ็งให้มากๆ จะรักเอ็งคนเดียวก็อยากให้เอ็งรักมันแต่คนเดียวนั้นจะช้ำหัวใจช้ำน้ำคำมึงสักเท่าไร” แม้คำท้ายมันจะพูดทอดเสียงค่อยแต่เน้นถ้อยคำนัก มือยังเชยคางมอง ตาจับตาไม่ใช่พูดเล่น ถ้าแววตามองของทัพใสแจ๋วเหมือนน้ำ แฟงเจ้าจะได้เห็นใสไปถึงน้ำใจของมันที่ขังสะอาดอยู่ภายในมือที่ประหารทัพมาร้อยแดด มือที่ชั่วมันยกโบกสั่งกองม้าคำหยาดให้เข้ารบ ศึกนั้นก็จะเสียขบวนแหลกละเอียด ทัพใหญ่จะสั่นสะเทือนระส่ำระสายในชั่วมือโบก แต่มือศึกมื้อนี้มาเชยคางหญิงแล้วมือก็สั่นเพราะคางที่จับขึ้นเชย

แฟงเคยถูกมันกอด จูบมันก็เคยถือใจดื้อจูบเจ้า แต่เสน่ห์จูบกอดหนโน้นหามีฤทธิ์เหมือนมือที่ชั่วแต่จับคางเชยแล้วจ้องหน้าไม่ แฟงรู้แล้ว หัวใจพี่ทัพมันก็หัวใจชายทั้งหลายทั่วแผ่นดินไม่ผิดกันนัก เพียงแต่แฟงเจ้าพูดว่าจะยอมบำเรอแก่ผู้ชนะศึกอื่นมันก็หึงสา และใจหึงมันรุนแรงเหมือนที่มันปลงใจรักจึงเป็นสาเหตุเกรี้ยวกราดจะฆ่าฟันเพราะพิษหึง

แต่แฟงเสแกล้งทำไม่เข้าใจความ ปัดมือแล้วหลบหน้าหนีซ่อนหัวเราะ

“จะห้ามตรงๆ ก็ไม่ได้ แล้วที่ห้ามพูดนั่นฉันก็ไม่รู้ว่าพี่จะประสงค์อะไร”

“อุบ๋า อีแฟง” ทัพหัวเราะก้ากชอบอกชอบใจ เลยรวบตัวแฟงมาดื้อๆเหมือนยักษ์มารมารักผู้หญิง “เอ้อ พูดมากองสองกองเอ็งก็ว่าไม่รู้ รักมึงซีวะแฟง พี่รักเอ็งตั้งแต่หัวใจข้างในจนกระทั่งออกมาข้างนอกทั่วไปหมดทั้งตัวแน่ะ อีแฟงเงานอนมึงพี่ที่ไม่อยากให้ใครกราย ก็แล้วชื่อแฟงทำไมพี่ถึงจะไม่รักด้วยล่ะ พี่หวงจนกระทั่งชื่อว่าอีแฟงก็ไม่อยากให้ไปติดอยู่กะริมฝีปากอ้ายผู้ชายคนไร รู้ประสงค์หรือยังล่ะ อ้าว ยิ้ม ถ้ารู้แล้วก็ยอมให้ปรับเสียดีๆ”

แฟงดิ้น แต่ไหนเลยจะพ้นสองแขนถวายศึกมันไปพ้นได้ และถ้าขืนดิ้น​ไปหนักมันก็จะแหนบเนื้อหยิกให้เจ้านิ่งแล้วแฟงก็ถูกจูบเป็นหนักหนา แฟงถูกจูบถ้าเป็นดอกไม้ก็ชอกช้ำตลอดช่อ แต่นี่มันเป็นเนื้อ แม้ผิวเนื้อจะเพียงแดงไม่ฟกช้ำ ส่วนหัวใจเจ้าแฟงสะเทือนไปทั่วและมีรอยยับยิ่งกว่าดอกไม้ที่ถูกปลิดทีละกลีบกระทั่งเกสร

มันยกหน้าจากหน้าแฟง เออ ผีม้าคำหยาดเอ๋ย หากมีชีวิตเหมือนเก่าก่อนก็จักยกมือโบกให้มันโห่กันพร้อมถวายรักแก่อีแฟง เออ เจ้านอนเอนตักหลับตาปรือและลืมมองกะพริบแล้วก็หลับไปอีก กลีบไม้เทียนหรือกุหลาบหอมยังแดงแต่เพียงเรื่อไม่ก่ำเหมือนแก้มเจ้าแฟง น้ำตาก็ดูจะซึมหน่วย

“ร้องไห้อีก แน่ะ อย่าร้องไห้อย่างวันนั้น ไม่เอาน่ะ” ทัพหันกระซิบกระซาบไม่ไว้ใจเกรงจะเหมือนก่อน

แต่แฟงกลับฟุบหน้าแอบสะอื้น และยิ่งสะอื้นถี่รำพันว่า

“ไม่โกรธเลย แต่เรามารักใคร่กันหว่างศึก แล้วพี่จะมาเอาแน่อะไรกะชีวิตว่าจะยืดและอยู่รักกันไปสักกี่มื้อ”

“เท่านั้นหรอกหรือ” ทัพปลอบ ใจค่อยสิ้นทุกข์ที่เกรงแฟงจะโกรธ “ยืดไม่ยืดนั้นมันเป็นวาสนาของทหารแฟงเอ๋ย แม้เราจะได้รักชั่ววันไม่ข้ามคืน แต่เรารักกันจริงๆ มากๆ เหมือนพี่รักแฟงและเอ็งก็รักพี่แล้ว โน่นแน่ะเมืองสวรรค์หรือว่าเมืองนรกก็ช่างมันเถอะ และเมืองผีก็อีกทั้งเมือง เราไปอยู่ด้วยกัน ถ้าพี่ตายก่อนพี่ก็จะนั่งคอยเจ้าที่ประตูเมืองโน้น เมื่อแฟงสิ้นชีวิตเสียก่อนพี่ ถึงหากเจ้าจะต้องไปเกิดอยู่บาดาล เป็นผีสิงเขาหรือเมืองใดใจพี่จะผูกถึงเจ้าเมื่อก่อนจะสิ้นใจ แล้วก็จะด้นดั้นตามหาไปจนพบแฟงแต่เมื่อชีวิตเรายังอยู่ เมื่อศึกมันว่างเราก็จะขอรักขอใคร่ เมื่อศึกเกิดทหารมันก็ต้องสู้จนสิ้นใจทหาร ดีกว่าจะอยู่เป็นแพ้คนเชลยแล้วไหนศัตรูยังจะเข้ามาหยามหน้าก้ำเกินล่วงทั้งรักและดูถูกฝีมือทหารเมืองศรีอยุธยาอีก”

น้ำตาแฟงยิ่งไหลพรากหนักนองย้อยมาสองแก้ม แต่เจ้ายิ้มแย้ม สะอื้นกลับหัวเราะก็ปนกันไป เจ้าปลื้มเหลือหลาย ปลื้มน้ำคำแลน้ำใจกล้าชาติทหาร ปลื้มที่แฟงรักไม่ผิด แม้จะเพียงรักกันได้ชั่วมื้อแล้วต้องตายจาก แต่เจ้ายอดทหารเมืองก็ตกมาเป็นชู้รักของแฟงแล้ว

“พี่ทัพ” เจ้าเรียกเสียงสั่นตื้นหัวใจ “ถึงเราจะต้องติดอยู่ในค่ายระจัน​ทำศึกอีกสักร้อยปีแล้วพี่ทัพชนะกลับทุกครั้ง ฉันก็เต็มใจจะอยู่ลำบากในค่ายนี่กะพี่ ดีกว่าหนีไปสบายในเมืองอย่างเขาอื่น”

ทัพสวมกอด รักอีแฟงเพิ่มขึ้นอีกสัก ๑๐๐ เท่า ขอให้ใจหญิงบ้านระจันและเมืองศรีอยุธยาเหมือนอีแฟงทุกคนเถอะ เพราะถึงจะสิ้นชีวิตชายหมดผู้หญิงเจ้าก็คงออกศึกไม่ทิ้งเมือง

“งั้นซีวะแฟง กูฟังมึงคำนี้แล้วก็อยากจะบ้าออกศึกมันเสียคนเดียว ถูกละ เอ็งกับพี่มันรักกันแต่เพียงสอง แต่เมื่อศึกมันมาติดเราก็ต้องช่วยกันรักเมือง ชื่นใจ อีแฟง มึงรูปสวยนัก แต่ใจมึงสวยเกินรูปไปอีก”

แฟงยิ้มชื่นในน้ำคำมัน หวนนึกถึงความทุกข์ยากหนหลังแต่ครั้งอยู่กระท่อมที่คำหยาดหลังหมู่ตาล เคยจูงอ้ายเลาไปคอยเคยหุงข้าวคอย เมื่ออพยพมากระทุ่มด่านแล้วก็เฝ้าคอยโจรกระทั่งมันมาเข้าค่ายระจัน แล้วก็คอยมันกลับจากศึกงาจุนหวุ่น ก็เพิ่งจะวันนี้เพลานี้เท่านั้นที่เกิดสุขเต็มเปี่ยม ใจก็เข้าใจกันถูก และถึงหากว่าสิ้นชีวิตไปแล้วกับมัน ทั้งคู่ก็จะขออธิษฐานเอามะกอกใหญ่ต้นนี้ซึ่งจะมีอายุยืนเป็นไม้ใหญ่ไปอีกนับร้อยๆ ขวบปีจงเป็นพยานด้วยเถิดว่า ผีอีแฟงและเจ้าทัพมันยังนั่งรักกันอยู่ตราบไม้มะกอกจะโค่น

เจ้าคู่รักคู่ยากทั้งสองคงนั่งรักรำพันกันตามประสาปลื้มที่จะรักกันแต่เพียงสองไม่ห่วงใคร หญิงเจ้าปลื้มในฝีมือชู้ยอดทหารใครๆ ชม ชายชอบหัวใจที่หญิงเจ้ารักกล้าและชื่อเสียงในเชิงศึกและเป็นคู่ทุกข์คู่ยากเห็นใจกันมาเก่าก่อน แต่ทั้งสองก็ไม่วายเศร้าเมื่อนึกถึงว่ายามรักเป็นยามศึกที่จะไม่มีความแน่ของชีวิต

กระทั่งตะวันตกดิน แสงตะวันที่แดงรำไรแฝงอยู่ตามหลืบเมฆจากฟ้าไปหมด ลมสงัด โพธิ์และไม้ใหญ่ในวัดโพธิ์เก้าต้นยืนเหงา กระท่อมทับและโรงนาในระเนียดค่ายทั้งสองมืดมัวลงทุกขณะที่แสงตะวันสิ้นไป ซากค่ายม้าคำหยาดที่เหลือแต่แฝกกองยิ่งเงียบสนิท หากเป็นเมื่อก่อนกองไฟจักก่อเรียงรายทหารจักจับกลุ่มสัพยอกสรวลเสกัน แต่บัดนี้ผีมันคงไปเข้าแถวเรียงหน้าคอยอ้ายนายม้าอยู่ก่อนแล้วที่ขอบฟ้าฟากสวรรค์โน่น

ทัพพยุงเจ้าแฟงชู้รักให้ยืนขึ้นกอดประคองแล้วชี้ให้ชมตะวันตกดิน สาบานว่าจะขอยืนกอดคอกันทั้งชาตินี้ชาติหน้าไม่ห่าง จะกอดคอกันอยู่ร่วมทุกข์​เมืองทั้งสวรรค์นรกเมื่อยังเป็นคนแฟงจะคอยเมื่อทัพไปศึก ทัพมันจะรีบล้างศึกเพราะแฟงคอย แล้วทั้งสองก็เดินคลอคู่บ่ายหน้าหนีจากซากค่ายร้างม้าคำหยาดตรงไปยังทับ ไปเยี่ยมเจ้าเฟื่องผู้มีกรรมที่เจ็บร่อแร่จะทิ้งชีวิตตามผัวไปเมืองฟ้า

ดึกสงัดล่วงยามสาม ดาวฤกษ์ลอยดวงเด่นอยู่เหนือค่าย แต่แสงเขียวยิบๆ ของดวงเล็กอยู่หนไกลกำลังหรุบหรู่ พอย่างเข้ายามปลายก็สิ้นแสงหายจากท้องฟ้า และบ้างก็หล่นวูบดังหนึ่งดาวนั้นจักเอากำเนิดมาจุติ

ฆ้องขานยามปลายหุ่มไปเมื่อสักครู่ ยามคงตื่นตาสับเปลี่ยนกันระวังระไวอย่างกวดขัน และในชั่วที่ชาวค่ายระจันยังหลับไหลสนิท ยามที่ประตูค่ายก็นำกองคอยสืบเหตุของนายจันทร์หนวดเขี้ยวซึ่งรีบร้อนจากหนไกลเข้าหาพันเรืองและผู้เป็นหัวหน้าอื่นในเดี๋ยวนั้น

ชั่วครู่ต่อมา ชั่วครู่ที่กองสืบเหตุของนายจันทร์เล่าว่าทัพใหญ่ของข้าศึกกำลังยกมามีพลมากมาย พร้อมสรรพด้วยกองม้ากองปืนทั้งพลเท้าจัดเป็นขบวนทัพใหญ่ล่วงมาแล้วคะเนจะตกคุ้งห้วยไผ่ในเช้าพรุ่งนี้ กลองใหญ่ระดมศึกก็โหมนำขึ้นก่อนแล้วหอกลองเล็กทั่วค่ายยามประจำก็โหมขึ้น เกราะเร้าระรัว ยามไฟก็ซุกฟืนเข้ากองลุกสว่างโพลงตลอดทั้งค่ายน้อยค่ายใหญ่ดังหนึ่งกลางวัน

ค่ายเล็กที่ปลูกโอบต่อค่ายใหญ่เป็นปีกกาไปโน้น และที่ท้ายค่ายอันเป็นทับอาศัยของชาวกระทุ่มด่าน ศรีบัวทองก่อนสว่าง หากเจ้าของทับกระท่อมอาศัยหลังอื่นจะยังคงหลับสนิทใฝ่ฝันและบ้างจะเตรียมตัวตื่นหุงต้มอาหารแล้วบ้าง แต่ที่นอกกระท่อมพื้นดินหญ้าเรียบสะอาดนั้น เจ้าคนหนึ่งซึ่งนั่งเหม่อมองเมฆบนท้องฟ้าและดาวร่วงใกล้สว่าง ลมก่อนเช้ามืดหวนมาจากทุ่งท้ายค่ายใหญ่โน้นทำให้มันใจคอเบิกบานแจ่มใสคิดไปถึงข้างหน้า เมื่อเสร็จศึกแล้วมันจักหวนไปอยู่กระท่อมเตี้ยแคว้นคำหยาดอีก แล้วตาล ๕ ต้นจะเป็นที่สำราญนั่งชมเดือนหงายในวันข้างขึ้นกับเมียสวยย่าง ๑๗ แล้วจักชี้ชวนให้ชมดาวร่วงให้รู้ว่าเทวะท่านจากฟ้ามาจุตินอนในครรภ์เป็นมนุษย์ขอให้เจ้าอธิษฐานรับไว้ แล้วมันก็มองไปที่เหนือหญ้ามีเสื่อปูซึ่งนางผู้หญิงร่างงามที่มันกำลังคิดนั้นนอนตะแคงหลับประณมมือ โถ...แฟงเจ้าอุตส่าห์มานั่งคุยเป็นเพื่อนแล้วก็ล้มตัวหลับไหลสนิท

​ถึงจะเป็นคืนหน้าแล้ง น้าค้างเมื่อค่อนดึกก็เป็นละอองชุ่ม แฟงเจ้านอนตากน้ำค้างเย็นแล้วพลิกตัวมือก็ไขว่คว้าเหมือนจะพบผู้ใด แต่แล้วก็ทอดแขนหลับไปอีก แต่เจ้าคนหนุ่มซึ่งนั่งระวังหลับของเจ้านั้นจ้องไม่วางตา แล้วก็ลุกจากที่เพื่อปลุกให้แฟงตื่นเข้ากระท่อม เพราะจะใกล้สว่างในอีกชั่วครู่

มันนั่งลงเคียงคิดจะคอยปลุกมิให้ตกใจ แต่ว่าหลับสนิทนักหน้าตามันบอกสุขมากกว่าเมื่อเย็นเป็นกอง แล้วเจ้าคนที่คลานมาปลุกให้ยั้งมือชะงัก โฉมอีแฟงเมื่อหลับสิ้นจริตแล้วงามยากที่หาคำชม มิ่งขวัญอีแฟงที่เหลิงจากร่างไปชมป่าหรือท่องเที่ยวอยู่หนใดอย่าเพิ่งคืนมาร่างเลย โฉมอีแฟงเหลือจะงามเมื่อหลับแต่แสนที่จะงอนเมื่อตื่น

ทัพมันชะโงกตะลึงเฝ้าโฉมเจ้าแฟงทั้งหลับ รู้จักกันมาและตั้งแต่เกลียดงอนของมันเมื่อเด็กกระทั่งมารักกันเพิ่งเห็นมันหลับสนิทอยูใกล้มื้อนี้เอง แฟงหายใจอ่อนๆ ถ้ามันหลับอยู่กลางแสงเดือนหงายแล้ว เจ้าคนที่เฝ้าจ้องก็คิดว่ามันจะขอชมหน้างามของอีแฟงดีกว่าจะแลชมเดือนกลางหาว

ไม่มีอะไรอีกที่จะคิดไป เพราะแฟงมันก็รับปากอยู่แล้วเมื่อค่ำว่ารักตอบ เมื่อตื่นถึงจะจูบอีแฟงก็อับอายคอยแต่จะเมินหนี เมื่อหลับก็จูบมันเสียอีกเป็นมื้อแรกให้สมกะที่รัก ครั้นแล้วความคิดจะยั้งใจก็หมดสิ้น ความแกล้วกล้าและยอดฝีมือทหารของเจ้านายกองม้าก็แพ้ในรูปที่หลับทอดกายอยู่เหนือเสื่อเล็กพื้นบ้านระจันชั่วขณะนั้น มันก้มลงจูบแฟงทั้งสองแก้ม ถนอมจูบแต่เพียงเบาเกรงจะตกใจแต่แฟงยังไม่ตื่นและแขนกลับไขว่คว้าอีก มันก็อุ้มตัวขึ้นนอนตักแล้วจูบเต็มรักเต็มจมูก

เจ้าศรีค่ายระจันผวาเหมือนเด็กอ่อน ยังคิดว่าหลับอยู่ในกระท่อมข้างแคร่พี่สาว คิดเผลอว่ายังโกรธอยู่กับอ้ายนายกองม้าคำหยาด จึงผลักไสจะซ่อนหน้า หากแต่มันอุ้มขึ้นกอดไว้แนบอกแน่น

“แฟง พี่ปลุกเอ็งไม่ตื่นก็เลยนึกรัก จูบเอ็งเสียทั้งหลับๆ ตื่นแล้วเรอะ เอ้อตื่นเถอะ” เจ้าคนลักจูบเขย่าตัวให้รู้สึก “ตื่นซีแฟง เดี๋ยวก็จะสว่างแล้ว ตื่นเข้าทับเราหนีน้ำค้างดีกว่า”

กว่าแฟงจะรู้สึกตัวก็เสียเปรียบมันไปหลาย ความเลอะเลือนในฝันเมื่อครู่ก็เพิ่งจะคิดออกว่าคืนดีกับพี่ทัพมันแล้วแต่เมื่อเย็นและรับปากฝากรักของมัน​เมื่อค่ำ แลนี่มันย่องมาจูบเอาเมื่อหลับสนิท จนลืมตาก็แสนจะอับอาย

“ปล่อยนะ” แฟงทำเสียงดุเมื่อเห็นเจ้าคนที่เคยคิดจะเป็นพี่เขยยังกอดนิ่ง “เล่นอะไรพรรค์นี้ก็ไม่รู้ หลอกให้หลับแล้วก็ย่องมา”

ทัพหัวเราะเมื่อเห็นนังศรีค่ายระจันยั้งคำไม่พูด มันจึงพูดต่อ “เออ ย่องมาจูบ เมื่อตื่นข้าก็จูบนักแล้ว แต่ไม่สู้ถนัด และก็กลัวเอ็งจะว่าข้าประจบถึงได้จูบเมื่อตื่น แต่นี่ข้ารักเอ็งจริงๆ ถึงจะหลับข้าก็จูบของข้าหอมหัวใจ แล้วเอ็งจะได้ว่าข้าไม่ประจบเอ็งเมื่อตื่นไงล่ะวะแฟง”

แฟงเคืองที่มันพูดเอาเปรียบเข้ากะตัวมันเองไม่มีแพ้แต่ก็ฟังขำอยู่พิกลแล้วก็เลยแกล้งโห่ให้

“เอ๊ว ขโมย”

มันกลับหัวเราะเยาะ “ขโมยก็หนีซีวะ พอจูบแล้วก็เปิดวิ่งเลย จะมาสู้หน้าจนเจ้าทรัพย์ตื่นเห็นอยู่ว่าไร”

“งั้นก็อ้ายหัวปล้น”

“ปล้นก็ต้องโห่ซีวะ” แล้วทัพมันก็นึกขันตัวเอง พูดทั้งหัวเราะ “แต่ถ้าจะจูบแล้วต้องโห่เสียก่อนอย่างเข้าปล้นละก็อีแฟงเอ๋ย ชาตินี้กูคงไม่ได้จูบใครเพราะมันอึกทึกนัก”

แฟงเลยช่วยมันหัวเราะงอ แล้วหยิกปากหยิกแขน

“อ้อ มิน่าเล่า ชี้ อ้ายฉันไม่รู้มัวแต่งมว่าพี่ทัพเป็นคนเฉยชอบแต่จะซ้อมฝีมือดาบและหัดขี่ม้ารบ อ้อ ยังงี้เอง” แล้วกระซิบข้างหู “ปากมันสำคัญยังงี้นี่ล่ะพี่เฟื่องถึงโดนจูบไปนักต่อนัก”

“เอ๊อะแน่ มึงเห็นกูที่ไหนวะแฟง”

“เฮ่ว ขี้คร้านจะแอบดู ที่คำหยาดน่ะแหละฉันขึ้นเก็บตาลอยู่บนยอดเห็นแอบแม่อยู่ท้ายครัว”

แฟงถูกอุดปาก “เออ หยุด มึงสำคัญ” ทัพเมินหน้าอายความหลัง “มึงแอบดูกูจูบเจ้าเฟื่องแล้วมึงก็เลยรักกู”

“ใครรักใคร”

“เออ กูแพ้วะแฟง” ทัพหัวเราะระอาใจเพราะเจ้าแฟงปั้นสีหน้าโกรธมา​อีก “แต่เฟื่องเดี๋ยวนี้ให้กูจูบเปล่าๆ ก็ไม่เอา”

“ทำไม เขาไม่มีแก้มเรอะ สวยก็สวยกว่าฉัน”

“กูกลัวอ้ายขาบมันหักคอ”

“ให้จริงเหอะ” แฟงว่า แต่หางเสียงแฟงบอกว่ายังมีสงสัยแอบอยู่อีก “ฉันกลัวว่าเมื่อหมดที่จะกีดหน้าขวางตาแล้ว ถ่านไฟเก่ามันก็จะคุมาอีกล่ะซี”

“ตายโหง” ทัพพูดดังๆ แล้วนึกรู้ใจเจ้าแฟง จึงพูดขึงขังเป็นจริงกว่าจะพูดเล่น “พี่ไม่งั้นหรอกวะแฟง ก็จริงแหละที่เคยรักมา แต่ถ้าข้าจะคิดทางได้เพราะถ่านมันคุแล้วเมื่อกูพบพม่าล้อมอ้ายขาบที่บ้านพรานใต้โคบึงโน้น เมื่อพม่าแตกหนีกูจะย่ำอ้ายขาบเสียให้แหลกยังไงก็ได้แล้วชิงเจ้าเฟื่องคืนมา แต่กูไม่อยากให้เจ้าเฟื่องเป็นผู้หญิงจำใจ ไม่อยากให้คนที่กูเคยรักมันต้องเลิกกะผัวก้มหน้าเป็นเมียกู และก็แฟงของกูยังอยู่ กูรักอีแฟงดีกว่า ฮิแฟงฮิ”

เจ้าแฟงยิ้มละไมหายหัวใจขุ่นดังปลิดทิ้ง แล้วตบปากมัน “ปากนี่ดีนัก ออเซาะเป็นที่หนึ่ง” แล้วเจ้าแฟงก็ซบหน้าแอบอกมัน เสียงหัวใจมันเต้นตึ้กได้ยินกับหู หัวใจทหารที่กล้าศึกเต้นอยู่ระริกนั้นจะต้องมาอ่อนเปียกอยู่ในกำมืออีแฟง

ทัพมันประจงอุ้มแฟงแล้วยืนขึ้น มันถนอมแฟงนักที่จะมิให้ช้ำชอกเพราะน้ำมืออุ้มหรือกระเทือนตกใจ แหงนมองกลางหาวกว้างโน้นดาวก็จากฟ้าจะหมดอยู่แล้ว พอออกก้าวเดินจะถึงหน้าทับ แสงเพลิงสว่างจากค่ายใหญ่ส่องมาทำให้เกิดประหลาดทั้งคนอุ้มและเจ้าแฟงที่เอนเป็นสุขอยู่ในอ้อมแขน

“อึ๊ พี่ทัพ เพลิง”

“นั้นซี” ทัพมันรับคำเห็นพ้องและกลับตัวหันมองตามแสงเพลิงสว่าง “เหมือนสัญญาณเพลิงศึก”

ขาดคำและใจนึกสังหรณ์ของมัน เสียงกลองโหมเป็นจังหวะสัญญาก็ก้องกระเทือนมา ยามเกราะและกลองประจำก็พากันโหมระดมเร้าใจให้แน่หนักขึ้น

“กลองรบ” แฟงบอกมันเหมือนบอกตัวเอง “สัญญาศึกแน่แล้ว”

“อือ ศึกที่กูตั้งใจคอย อีแฟง ศึกนี้ละกูจะฟันให้ลือกระฉ่อนทั้งบ้านระจัน มึงคอยปลื้มคอยฟังฝีมือชนะของพี่เถอะ” สิ้นคำมันออกวิ่งเหย่าทั้งๆที่อุ้มแฟงมุ่งเข้ากระท่อม

​ทุกคนตื่นตากันอยู่พร้อมหมดแม้แต่เฟื่องที่ป่วยมีอาการหนัก ทุกคนตื่นใจที่ข่าวศึกแล่นมากะทันหันก่อนสว่าง มิไยใครมันจะตื่นตระหนกหรือหวาดหวั่นพรั่นในข่าวศึกยกจู่มานี้ ทัพมันคงนั่งปลงอารมณ์อย่างสงบสงัดประเจียดก็คาดแขนมั่น ดาบสองเล่มกำลังยกจบอยู่เหนือหัว อารมณ์ที่เด็ดเดี่ยวอธิษฐานปลงไปเป็นแน่ว่า เราทหารจะออกศึกมื้อหน้านี้ ขอผีรักษาทุกมุมเมือง ทั้งพระผู้ทรงเมืองทั้งหลาย ครูและอาจารย์ที่มอบวิชาและฝีมือดาบ พ่อเฒ่าอาทมาตผู้ใหญ่กำเนิดข้าโน้น ศึกนี้จงแหลกด้วยฝีมือทหารค่ายระจัน ศึกนี้จงวอดด้วยฝีมือดาบของข้า ให้สมลือว่าเป็นทหารระจันเมืองศรีอยุธยา

สิ้นอธิษฐานทัพมันก็ลุกยืนหยัด ดาบคืนลงฝักสะพายหลังแล้วยิ้มกับแฟง

“มึงคอยพี่อีแฟง ทหารหน้าต้องเป็นกูแน่ ทหารหน้าค่ายระจันที่จะเอาชนะมาให้มึงปลื้มต้องเป็นกูที่มึงคอย” แล้วก็พูดกับคนทั้งหลายที่คอยแหงนสดับคำมันอยู่พร้อม “พี่น้องข้าทุกคนขอให้ตัดห่วงในข้า หากมื้อนี้ม้าคำหยาดจักสิ้นชีวิตหมดและข้าต้องรบเดินดินก็ขออย่าให้ใครคิดห่วงข้าให้เป็นกังวลเลย ข้าขอแต่เพียงพรจากพี่จากน้องทุกคนเท่านั้น”

ทั้งแม่และกำนันกระทุ่มด่านที่เพิ่งมาถึงต่างสวมกอดลูบไล้ศีรษะเจ้านักรบกล้า แล้วแม่ก็ให้พรมันว่า

“ทหารกล้าของแม่ ไปดีเถิดลูกเอ๊ย แม่และน้องๆ จะคอยเอ็งชนะกลับ”

หากพรแม่จะเพียงน้อย แต่ก็เป็นน้ำคำที่ตั้งใจแท้ ทั้งดีกว่าใครอื่นจะให้อีก ทัพกราบและรำลึกถึงคุณนั้นเอาปกเกล้าเป็นที่พึ่งคุ้มเกรงรักษามันในกลางศึก วิชาของขลังและฝีมือดาบที่ร่ำเรียนมา ทั้งเลขยันต์และเครื่องประเจียดพิสมรดังจักฟื้นฤทธิ์ซู่ขึ้นหัวใจและซาบซ่านไปตลอด สมที่มันจะเป็นชายชาตรีประหารศึกเมื่อแม่แกให้พรและลูบไล้ด้วยความรักใคร่

จิตมันมั่นคงกำเริบศึกอยู่ทุกขณะ เดินจากแม่และคนอื่นมากระทั่งถึงประตูทับ ฟ้าสางแล้วสนิท กาฝูงมันจากรังไปหาอาหารและเหยื่อมาเลี้ยงลูกอ่อน แต่ตัวมันเองจะจากทับอาศัยไปประกาศฝีมือ ไปสังหารศัตรูที่จะล่วงมาย่ำยีบ้านระจัน มันจากทับจากค่ายไปหวังจักกันลูกเล็กเด็กอ่อนทั้งผู้เฒ่าบรรพบุรุษมิให้ถูก​ข่มเหงหยาบหยาม บุตรธิดาและลูกสาวชาวบ้านจักมิต้องถูกขืนใจคร่าจากเหย้าเมื่อแผ่นดินระจันยังไม่กลบหน้ามัน

แฟงที่เดินมาส่งถึงประตูทับ หากจะรู้ว่ามันยอดฝีมือก็มิวายจะห่วงกังวลไปในเหตุอื่น เมื่อเรียกให้ทัพเหลียวมาแล้วก็พูดด้วยเสียงตื้นหัวใจรอนๆ

“เสร็จศึกแล้วขอให้พี่รีบกลับ ขอให้พี่คิดมั่งว่าฉันห่วงถึงห่วงที่จะนั่งนับฆ้องคอยโมงให้พี่กลับ แต่หากว่ามื้อสายนี่เขาจะเกณฑ์เสบียงกันอีก แฟงจะหาบข้าวไปให้พี่กิน”

มันยึดข้อมือแฟง ปลื้มน้ำคำเจ้าแทบจะตันใจ มองอีแฟงแล้วก็ฝืนยิ้มฝืนเสียงสั่งว่า

“แฟงเอ๋ย พี่อิ่มแล้ว เพียงคำเดียวที่เอ็งมีแก่ใจพี่ก็อิ่มเหมือนกินข้าวทิพย์ คอยชนะพี่เถอะแฟงเอ๋ย อย่าด่วนไปเกณฑ์กับเขาเลยจะล้มเจ็บอีก พี่จะอดกินทุกมื้อที่เขาหาบไปเลี้ยง พี่จะอดไว้คอยที่จะมากินพร้อมแฟงในทับของเรา เถอะฟ้าสางแล้วพี่จะรีบไปขอให้เอ็งสวดมนต์คอยพี่ก็แล้วกัน”

พอทัพปล่อยมือ สง่ารูปของมันในเชิงศึกมีดาบสะพายครบทั้งทีท่าและใจคิดอื่นของแฟงทำให้เจ้าประณมมือยกไหว้มัน แล้วทัพก็สวมกอดกระชิบใกล้หูเป็นคำท้าย

“แฟง ขอให้หัวใจข้าเป็นผัวเอ็งไปก่อน ขอให้ข้าได้มอบดวงใจข้าไว้กะเอ็งเหมือนผัวที่มันจะจากไปศึก แล้วข้าก็สิ้นห่วง”

แฟงยิ้มอายแล้วกล่าวได้แต่เพียงคำว่า “เชิญเถิดใจของแฟงจะคอยผัว” แล้วก็หวนวิ่งกลับเข้าประตูกระท่อมหัวเราะเสียงแหลมเข้าหัวใจอ้ายคนที่มุ่งไปศึกให้มันเกิดมานะ

เมื่อท้องฟ้าได้อรุณเป็นแสงทอง ตั้งแต่ลานวัดตลอดลามไปท้ายค่ายซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่าง เหล่านักรบกล้าบ้านระจันทั้งที่เคยออกศึกและสมัครใหม่ต่างมาประชุมกันพร้อม ครั้งนี้เป็นศึกใหญ่หลวงครั้ง ๔ ซึ่งผิดกว่าก่อนที่แล้วมามาก เพราะผู้เป็นหัวหน้าชาวค่ายต่างก็ทราบกันว่าพม่าผู้เป็นนายทัพที่ยกมานั้นเป็นนายทหารใหญ่แม่ทัพค่ายวิเศษไชยชาญ ซึ่งเป็นผู้แต่งกองโจรออกปล้นสะดมก่อ​ความเดือดร้อนให้แก่ชาวศรีอยุธยามาแต่ต้น

บนศาลาอันเป็นที่ตรวจและจัดทัพพร้อมเสร็จด้วยพิธีต่างๆ พระอาจารย์ธรรมโชติที่ชาวบ้านนิมนต์มาเป็นผู้คุ้มครองค่ายระจันกำลังยืนสงบดูการจัดทัพของเหล่าหัวหน้าที่จะพร้อมกันออกศึกหมด และคอยฤกษ์ที่จะเคลื่อนทัพชัยบ้านระจันอยู่ทุกขณะที่จะถึง

นายแท่น มีตำแหน่งเป็นแม่ทัพกล้าสำหรับศึกคราวนี้ นายแท่นผู้ต้นคิดตั้งค่ายสู้ศึกเพราะความรักชาติ เป็นคนพื้นศรีบัวทองชาวเมืองสิงห์ยืนสีหน้าอิ่มเอิบอยู่กลางพล ปลื้มหนักหนาที่ไทยมันร่วมรักกันคิดตั้งค่ายและจัดทัพน้อยออกสู้ศึก และทัพของนายแท่นอันจัดเป็นกองหลวงนั้นก็มีนายโชติกับนายเมืองคนพื้นบ้านเดียวกันที่เป็นต้นร่วมคิดรับตำแหน่งนายหมวดคุมเหล่านักรบกล้าแคว้นเมืองสิงห์ แลตามปากคำที่ให้สัญญาไว้กับอ้ายนายกองม้าคำหยาดเล่า พอมันจากเหย้ามาอาสานายแท่นก็รับมันไว้เป็นทหารเอกที่จะติดตามแม่ทัพไปทุกแห่ง และมันก็มีนามว่านายหมู่ทัพนายกองม้าคำหยาดเดิม

กอง ๒ อันเป็นปีกขวานั้น แม่ทัพใหญ่คือนายทองเหม็นผู้ลือฝีมือและเป็นผู้ใหญ่บ้านระจันคุมนักรบฉกาจ เป็นยอดชายล้วนคนพื้นระจันทั้งสิ้น ๒๐๐ คน และให้นายอินชาวศรีบัวทองกับนายทองแสงใหญ่ชาวบ้านระจันเป็นนายหมวดนายพวกที่จะยกไปต่อศึกครั้งนี้

ปีกซ้าย เป็นทัพวิเศษไชยชาญสมทบกับชาวบ้านสุพรรณรวมเป็นคนอีก ๒๐๐ ล้วนแต่ผู้เหี้ยมหาญกล้าศึกคิดถวายชีพแก่แผ่นดิน มีท่านนายพันเรืองกำนันเป็นแม่ทัพส่วนนายทองแก้ว และนายดอกไม้ชาวแขวงวิเศษไชยชาญนั้นเป็นนายหมวดรบพร้อมด้วยนายสังข์ทหารหลวงและเจ้าฟักชาวม้าคำหยาด

นักรบทุกเหล่าทั้ง ๓ กองล้วนร่าเริงคะนองศึกทั้งสิ้น ผู้เป็นหัวหน้าต่างก็กล่าวคำกล่อมใจไปต่างๆ กัน นายแท่นแม่ทัพใหญ่นั้นยืนประกาศอยู่กลางพลอันเป็นกองหลวงว่าเมืองสิงห์ต้องไว้ชื่อ ผู้ชายเมืองสิงห์มันเกิดมาไม่ใช่สำหรับเขาอื่นจะฆ่าข่มเหงลบหน้าปู่ย่าทั้งพ่อแม่ตายายเป็นของเคารพ เด็กแดงผู้เฒ่าผู้แก่และลูกสาวเมืองสิงห์ทั้งหลายจะถูกใครหยามไม่ได้ คนเมืองสิงห์มันจะคอยทำศพอ้ายผู้ชายเมืองสิงห์ที่ตายกลางศึก

​ท่านพันเรืองกำนันกับนายทองเหม็นผู้ใหญ่บ้านอันเป็นแม่ทัพทั้งปีกขวาซ้ายนั้นตะโกนว่า พวกบ้านกรับบ้านโพธิ์ทะเลทั้งสุพรรณและวิเศษไชยชาญทั้งหลาย ไทยอื่นต้องเดือดร้อนน้ำตากระเช็น ไทยทั้งตัวนิดตัวหน่อยนอนเบาะไม่เลือกหญิงเลือกชาย แต่เด็กกระทั่งสาวหนุ่มและผู้ชราปู่ทวดทุกคน แผ่นดินกลบหน้าไปแล้วมาก เป็นเชลยเขาเคี่ยวเข็ญใช้งานจนสิ้นแรงตายไปแล้วนับไม่ถ้วน เขาประหารเป็นศพไปแล้วก่ายกอง เรามันอ้ายไทยที่อยู่หลังจะทำกระไร ร้องไห้ขอชีวิตแล้วซุกซ่อนหนีงั้นหรือ เสียน้ำตาเว้ยเฮ้ย ถ้าน้ำตาแค้นละก็ควร ถ้าน้ำตารักกันไปกอดคอตายละก็ควร เกิดเป็นชายเมื่อว่าสิ้นชีวิตเสียเพราะไว้ชื่อชายกลางศึกมันก็สมเกิดเป็นชาย ก็ใครล่ะจะให้มาเหยียบตะโกนท้าถึงเหย้าเรือน ใครล่ะวะจะปล่อยให้หยามกันเล่น ใครจะทนนิ่งดูเขาหักค่ายระจันมาคร่าหญิง มาตบถีบพ่อแม่ทั้งปู่ที่เคารพ ใครวะจะอดใจดูมันขึ้นครองเหย้าครองเมียเป็นเจ้าผัว

สิ้นประกาศจากคำหัวหน้า ลานจัดพลก็สนั่นกัมปนาทเสียงเท้ากระทืบดินสะท้านเพราะเจ็บใจ ดาบและแหลนหลาวทั้งปืนผาที่ยึดมาจากศึกก่อนเมื่อพม่าแพ้ชูร่อนสลอนแล้วตะโกนตอบน้ำคำสู้ตาย ถึงมากกว่าก็ต้องสู้จนขาดใจ ถึงจะเหลือตัวคนเดียวก็จะสู้มันทั้งเหลือคนเดียว

ชาวบ้านก็กู่ก้องตะโกน ชาวค่ายที่มิได้ไปศึกทั้งหญิงชายเมืองทุกแขวงที่ต่างอพยพพากันมาอยู่ร่วมค่ายก็ตะโกนตอบเป็นเสียงใจความเดียว ไปเถิดไปชนะข้าจะคอยปลงศพทหารกล้า กูจะสู้ สู้จนหมดคนเมืองสิงห์ ไปเถิดก้มหน้าสู้มันจนหมดทัพสุพรรณ ชาววิเศษไชยชาญและแขวงอื่นต่างสะอื้นตะโกนเพราะความรักบ้านเกิด เชิญเถิดทหารระจัน หากมึงจะตายเสียแล้วก่อนกูก็จะจดจารึกไว้โคนไม้จะสลักหินและพื้นกระเบื้องฝากแม่ธรณีระจันฝังดินไว้ให้คนอยู่หลังมันรู้ ฝากให้มันร้องไห้ถึงนักรบค่ายระจันตลอดไปชั่วลูกหลานและเมืองระจันจักถล่มไปอยู่ใต้ดินเมื่อกูปลงศพมึงแล้ว ทหารเอยกูจักตายตามมึงไปเมืองผีมื้อหลัง

ครบฤกษ์ พระอาจารย์ธรรมโชติจึงสั่งให้ลั่นฆ้องชัยกองปืนก็ยิงรับถวายฤกษ์ ทหารโห่สามลาแล้วนายแท่นแม่ทัพจึงสั่งให้เคลื่อนพลเมืองสิงห์ ปีกขวาผู้ใหญ่บ้านทองเหม็นก็สั่งทัพชาวระจันให้เคลื่อนตาม วิเศษไชยชาญและชาวสุพรรณที่มาสมทบเป็นปีกซ้ายท่านพันเรืองก็มีคำสั่งให้ยกออก ทั้งกองปืนที่ยึดได้​จากพม่าข้าศึกและเตรียมไปหวังคอยยิงกำราบกองม้าศึกพม่าก็ยกนำไปก่อน ผ่านศาลาตรวจพลท่านพระครูธรรมโชติผู้เป็นอาจารย์ชาวค่ายก็ซัดน้ำมนต์มาจากศาลาพร้อมด้วยคำให้ศีลให้พร กระทั่งสิ้นขบวนท้ายกองทัพพ้นออกประตูค่ายไปเป็นเพลาเช้าย่ำรุ่งเศษตามฤกษ์

แสงตะวันเช้าลอยดวงอยู่เหนือทุ่งห้วยไผ่ ลำน้ำสะตือสี่ต้นลดแล้งเหลือตลิ่งสูง ถัดละเมาะไม้ซึ่งขึ้นรถเป็นหย่อมเป็นแห่งรายทางไปข้างทิศบ้านห้วยไผ่ใต้โน้น ทัพใหญ่อันจำนวนพลด้วยพันเพียบทุ่งของสุรินทจอข่องซึ่งคุมเชิงคอยทีศึกอยู่เป็นปีกเป็นกอง ส่วนพลม้าและกองปืนก็ลาดรายไปตามปีกคอยฟังสั่งของนายทัพที่จะให้เข้าโจมตี

แต่ฟากข้างเหนือน้ำโน่น ฟากน้ำอันมีสะตือใหญ่ยืนต้นและบ่อน้ำกลางทุ่งนั้น ทัพบ้านระจันซึ่งประหารศึกพม่าพ่ายมาแล้วเป็นครั้ง ๓ กำลังยกแปรขบวนศึกดาหน้ามาทั้ง ๓ กอง เพียงพลที่เห็นก็เพียงชั่วครึ่งทัพเท่านั้น แต่ก็บังอาจยกมาเข้าประจัญบานอีก เมื่อเห็นเป็นที่แน่ว่าชาวค่ายระจันทำโอหังบังอาจยกมาสู้ทั้งที่น้อยกว่ามาก จึงสุรินทจอข่องซึ่งกั้นร่มระย้ายืนม้าอยู่กลางเพลเยี่ยงแม่ทัพใหญ่ก็สั่งให้กองปืนระดมยิง

พอเสียงปืนเปรี้ยงประดังขึ้นฟากใต้ลำน้ำโน้น เสียงปืนที่ยิงกราดระดมมาก่อนจากฝ่ายพม่าข้าศึกเหมือนหนึ่งเตือนหัวใจรบของชาวค่ายระจันทุกคนให้ได้สำนึกว่า ไทยจักต้องสู้อีกเพื่อไว้ชื่อให้สมทหาร ไทยมันจักไม่ถอยกลับไปให้ยึดผืนดินบ้านระจันได้อีก แม้เพียงชั่วนกเขามันย่าง ไทยมันจะรุกดาเข้าตะลุมบอนให้เห็นฝีมือ จะรุกไปฝากแผลเค้นที่ผีไทยทั้งหลายมันสั่งไว้ก่อนตายให้สมใจ ครั้นแล้วจึงนายแท่นผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ก็สั่งให้กองปืนซึ่งเป็นอาวุธของพม่าเองที่ยึดไว้ได้แต่ศึกครั้งก่อนยิงโต้ตอบ ส่วนกองอื่นก็รุกดาเข้าพร้อม

แต่ลำน้ำคลองสะตือบ้านระจันที่ขวางหน้าดั่งหนึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตรบเส้นเขตที่บอกกำหนดว่าชาวค่ายระจันจักไม่ยอมให้ศึกหากจะใหญ่หลวงสักเพียงใดก็ข้ามมารุกรบมิได้เป็นอันขาด แต่เฝ้ายิงโต้ตอบกันอยู่เช่นนั้นเป็นเพลานานและฝ่ายทัพข้างชาวค่ายล้วนตัวหัวหน้าต่างเห็นกันว่า ปืนที่ยิงโต้ตอบพม่าทั้งกระสุนดินดำที่เตรียมมาร่อยหรอลงและมีน้อยกว่าเพราะเป็นอาวุธเชลยที่ยึดไว้ และหาก​จะเป็นศึกชนะเด็ดขาดได้ย่อมจะต้องเข้าตะลุมบอนจนถึงตัวเยี่ยงศึกครั้งก่อน

ไม่ทันที่ไทยจะเสียชีวิตเพราะกระสุนปืน แต่เสียงปืนแผดสนั่นอยู่หว่างทุ่งเหนือและใต้คนละฟากคลองนั้นยั่วเย้าหัวใจรบสิ้นดี หัวใจเจ้านายกองม้าที่กระหายศึกมันสิ้นห่วงแล้ว เพราะเจ้าแฟงก็รับปากที่มันมอบหัวใจรักไว้แก่แฟงซึ่งคอยอยู่ค่ายแต่นางเดียว เมื่อมองเห็นพลศึกเป็นเหล่าเป็นกองเอิกเกริกเพียบอยู่ทุ่งเบื้องหน้าโน้นหัวใจมันก็ยิ่งคุพล่านยิ่งหวนคำนึงถึงกองม้าคำหยาดที่ย่อยยับไปแล้วศึกก่อนก็แสนเสียดายนัก หากอ้ายกองม้านั้นชีวิตยังอยู่มาถึงศึกมื้อนี้มันก็จะนำกองข้ามลำน้ำควบเข้าตะลุยกองพม่าเสียให้สิ้น แล้วจะแล่นรังควานให้ทัพใหญ่เป็นอลหม่าน

เมื่อรู้ความปรึกษาที่จะคิดเข้ารบเป็นศึกตะลุมบอนถึงอาวุธสั้นของนายแท่นและแม่กองรบทั้งปีกซ้ายปีกขวาแล้วเจ้าคนบันลือฝีมือชำนาญดาบทั้งหลังม้ารบและเดินดินก็กรากเข้าอาสาเป็นกองหน้า กล่าวแก่นายแท่นว่า

“ท่านผู้เป็นหัวหน้าจงอนุญาตเถอะ ข้าขออาสาจะคุมพลข้ามคลองเข้ารบเป็นศึกประชิดตะลุมบอนก่อนคนอื่น อย่าให้มันทันข้ามมาดูแคลนได้ว่าทัพค่ายระจันใจขลาดไม่กล้าเข้าไปรบก่อน”

นายแท่นมองดูมัน มองดูอ้ายหนุ่มที่นำกองม้าเข้าสวามิภักดิ์เมื่อโน้นกระทั่งเหลือมันตัวคนเดียว ท่วงทีองอาจสมทหารและก็เคยฝากฝีมือรบไว้เมื่อศึกก่อนเป็นที่วางใจนัก มันเป็นยอดทหารทั้งฝีมือและใจรบสมชาย สมที่มันเอากำเนิดมาเป็นชายสยามพลีชีพให้บ้านเกิดเมืองนอนนัก ความปลื้มก็บังเกิดแก่นายแท่นแม่ทัพเหลือหลาย จึงจับไหล่มันด้วยความรักใคร่ยิ่งพี่ยิ่งน้องแล้วตอบว่า ยอดทหารของพี่ ยอดทหารของค่ายระจัน พี่ปลื้มใจนักที่เจ้าคิดถูก ใครเล่าน้องเอ๋ยที่จะอยากให้เขายกข้ามมาก่อนเพียงเขายกเหยียบลานทุ่งห้วยไผ่ข้างใต้นั่นก็เสียหน้าเราอยู่หนัก เมื่อน้องข้าอาสาจะยกข้ามไปประเดิมศึกไว้ชื่อค่ายเราก็เป็นการสมควร ไปเถิดเจ้าไปชนะเถิด พี่จะได้ชมฝีมือและยกหนุนตาม

มันยกมือไหว้รับพรแม่ทัพค่ายระจัน น้ำตาคลอด้วยใจปีติเป็นล้นพ้นที่มันเกิดมาไม่เสียเชื้อวงศ์ทหาร “ท่านเกณฑ์คนให้ข้าสักห้าหกสิบก่อน และพี่น้องที่ไปกับข้าทุกคนจักไม่ตายก่อนข้าได้ สองแขนข้าจักเข้ารังควานทัพโน่นให้อลหม่าน​อวดฝีมือมัน เมื่อทหารเอกใดอื่นของพม่ามีมาก็จะได้รบกันตัวต่อตัวให้พี่น้องเราชมเล่น”

นายแท่นเข้าสวมกอดเจ้าทหารเอก หัวใจสองดวงซึ่งตรงกันแล้วก็หลั่งน้ำตาคลอ นายแท่นผู้เป็นแม่ทัพก็เฝ้าลูบไล้ให้ศีลพรทั้งกระซิบสั่งเป็นอุบายศึกว่า พี่จะเกณฑ์พลให้เจ้าตามประสงค์ พี่จะประกาศเจ้าเป็นแม่ทัพหน้า เชิญน้องข้าไปสวัสดีเถิด แล้วพี่จะยกตามไปตายร่วมเจ้า

ครั้นแล้ว นายแท่นชาวศรีบัวทองแคว้นเมืองสิงห์ผู้แม่ทัพจึงเกณฑ์ผู้คนตามกำหนด และเมื่อเจ้าคนหนุ่มพื้นคำหยาดที่ขันอาสาชักดาบปราดออกชู จึงจับมือมันแล้วประกาศมันไว้ในตำแหน่งแม่ทัพหน้าว่า พี่น้องข้าทั้งหลาย น้องเราคนนี้ชื่อทัพเป็นนายกองม้าเก่าค่ายระจัน น้องเราคนนี้ข้าเชื่อฝีมือและน้ำใจมันนัก ขอให้พี่น้องร่วมค่ายเราทุกคนรับมันไว้เป็นแม่กองอาสาหน้า มันจะออกวิ่งหน้าเชิญพี่น้องข้ามไปตีศึกทุ่งใต้โน้นประเดิมฝีมือเอาฤกษ์แก่ทัพค่ายระจัน

เหล่าอาสาทั้ง ๖๐ เศษ ล้วนชาวค่ายที่คัดแต่พลดาบสองมือชำนาญรบต่างโห่รับรองเจ้าทหารกล้า ดาบกรากจากฝักควงลิ่วอยู่เหนือหัวเรือนร้อย เพราะบ้างก็เคยเห็นฝีมือแต่ครั้งมันควบอ้ายเลานำกองม้าบ้านโพธิ์ทองคำหยาดเข้าหักทัพงาจุนหวุ่น ลางเหล่าก็ได้พ้นตายจากกองม้าพม่าล้อมเพราะฝีมือมัน ก็เมื่อได้เจ้าคนมีฝีมือกล้าเป็นแม่ทัพนำกระนี้แล้ว กองดาบสองมือของค่ายระจันก็จะติดตามมันไปเอาฤกษ์ชำนะทุกหนแห่ง

ทัพแยกพลทั้ง ๖๐ เศษออกต่างหากจากทัพใหญ่ของนายแท่นยกย้อนไปตามแนวไม้ชายคลอง ซุ่มกำบังตัวไปตามละเมาะไม้เลือกทำเลที่เป็นตอนแคบและตื้นเขิน แล้วให้พลตัดหญ้าไม้และแฝกรกขนมาถมพอเป็นทางข้ามสะดวก กระทั่งกองดาบของมันข้ามพ้นไปแล้วก่อนจึงส่งคนให้ย้อนมาเสนอความนั้นแก่นายแท่นและแม่ทัพทุกเหล่าทุกกอง แล้วจึงรุกตามกันไปซุ่มเตรียมอยู่เงียบเชียบ แล้วกองดาบสองมือซึ่งเปรียบด้วยทัพอาทมาตทหารกล้าก็แปรขบวนถลันออกจากราวป่า ถล้นออกเหยียบทุ่งห้วยไผ่ฟากใต้อย่างทะนงองอาจ เจ้าไพรมันก็รำดาบสองมือควงคล่องเหมือนหนึ่งจะกวักท้าเชิญชวนให้คัดทหารเอกต่างเมืองมาลองฝีมือ

ฟากใต้ทุ่งห้วยไผ่ ทัพเพียบทุ่งตั้งหนึ่งแผ่นดินจะถล่มชั่วยกเท้าย่ำทัพของทหารห้าวต่างเมืองซึ่งยกมาหวังจะเหยียบบ้านระจันให้ล่มราบเป็นหน้ากลอง​ต่างยืนป้องหน้าเขม่นดูชาวค่ายซึ่งมีพลเพียงหยิบมือรำดาบเย้ยอยู่ชายทุ่งไม่สำนึกตัว ครั้นจะสั่งกองปืนยิงก็อยู่คนละทิศละทาง และนักรบชาวค่ายโอหังเหล่านั้นก็รุกใกล้เข้ามา สุรินทจอข่องซึ่งยืนม้าอยู่กลางพลกั้นร่มระย้าตามศักดิ์แม่ทัพให้นึกบัดสีแก่ใจที่ถูกท้าทาย และก็คิดจะใช้พลเข้าเหยียบเสียให้แหลกในชั่วพริบตา จึงสั่งนายทัพนายกองให้เริ่มตีกลองสัญญารบระดมขึ้น ชั่วขาดเสียงกลองนั้นพลศึกทั้งชาวรามัญและพม่าของสุรินทจอข่องซึ่งยกมาแต่เมืองทวาย และได้ใจที่เคยปลอมเป็นกองโจรออกปล้นสะดมชาวบ้านได้เดือดร้อนจนพากันอพยพหนีมาเป็นชาวค่าย จึงแล่นโถมเข้าใส่กรูกันไปตามหมวดตามกอง มุ่งหน้าเข้าฟากทุ่งชายไม้

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,458


View Profile
« Reply #4 on: 15 May 2022, 13:02:14 »


เสียงกลองรบ เสียงโห่เฮฮึกก้องมาตกฟากทุ่ง เห็นพลศึกที่คะนองใจของทัพอังวะซึ่งยกกรูมาให้นึกหมิ่นหัวใจสิ้นดี มันมือเนื้อเต้นอยู่ระริก ทัพมันยืนแน่นดังเสาหินดูขบวนศึก ดูอุบายที่จะเอาพลน้อยเข้าประเดิมรังควานคอยทัพนายแท่นเมืองสิงห์คอยปีกของวิเศษไชยชาญและทัพสุพรรณ แล้วมันจะฟันต้อนตลบให้ท่านพันเรืองพ่อบ้านระจันที่คุมชาวค่ายพื้นบ้านเป็นปีกซ้ายล้างเสียให้ราบไม่เหลือ

พลดาบทั้งหลายต่างก็ดิ้นรนจะกรากใส่ด้วยใจร้อน แต่อ้ายทหารกล้าที่อาสาเป็นแม่ทัพหน้ามันยังยืนดูเป็นปกติ เพราะรู้เชิงศึกที่จะไม่นำพลแล่นใส่ให้เหน็ดเหนื่อยเสียกำลังวิ่ง มันกลับกวักมือท้าเย้ย กวักเร่งให้วิ่งมาสู้กันเร็วๆ มาเถิดเชิญมาเถิดเพื่อนเอ๋ย หากหัวไม่หล่นเกลื่อน เลือดไม่ท่วมหลังตีนกู รึว่าได้แผลคืนไปค่ายวิเศษไชยชาญโน้น แล้วกูจักวางอาวุธทิ้งให้ตัดหัว

สมคะเนศึกที่กรูมาแทบไม่มีรูปขบวน ที่เหน็ดเหนื่อยก็หอบอยู่หลัง ที่แล่นนำหน้าเพราะจิตผยองลำพองก็มุ่งลิ่วมาก่อนเป็นคนกล้า อ๋อ เพื่อนเมืองอังวะสหายเชื้อหงสาวดีและคนปักษ์เหนือมุ่งมาหักรานกันถึงบ้านแล่นมาเพราะเชื่อกำลังมาก ใช่จะเหี้ยมหาญประการไร โถมมาเร็วเพราะคาดว่าเราจะรบล่อเหมือนกองโจรแล้วหลบเข้าดงหนี ถ้าคิดงั้นละก็แหลก และก็จะต้องแหลกในชั่วกองดาบกูแล่นเข้าหา

มันหันขวับมาทางพลซึ่งกำลังหัวใจคุกระวนกระวายปลายดาบชี้ไปย่านที่ศึกมุ่งมาห่างเพียงเส้น

​“รบ ตัตกลางทะลวงให้ถึงอ้ายร่มระย้าที่กั้นโน่น” แล้วยกดาบไหว้ปลงชีวิตให้แก่ชาติถวายให้แก่แผ่นดินในฉับพลันแล้วโบกไปข้างหน้า “สู้มัน บ้านระจันต้องสู้ไว้ฝีมือ” สิ้นคำเจ้านายทัพกล้าก็ออกวิงลิ่ว พลดาบสองมือชำนาญก็โลดตาม

ในชั่ว ๕-๖ ก้าว เสียงตะโกนของเจ้านายม้าคำหยาดก็ลอยมาเรียกขวัญหนุนน้ำใจอีก “ทหารต้องตายกลางศึกอย่างทหาร บ้านระจันมีแต่ดาบให้มันปล้นเอ้า ให้มัน” แล้วเจ้านายกองอาสาก็ถลันเข้าปะทะทัพอย่างองอาจซึ่งหน้า สองคนและ ๓-๔ ที่ขวางล้มเถลือกไถลปลิวชีวิต อีก ๔-๕ ก็เลือดสาดลงนองดิน ในพริบตานั้นพลเท้าดาบสองมือของค่ายระจันก็โจมตีทัพหน้าของสุรินทจอข่องถอยร่นยับเยินขาดเป็นช่องกลาง

เห็นการแปรไปเช่นนั้น สุรินทจอข่องแม่ทัพใหญ่จึงสั่งให้พลประจำกลองตีระดมหนุนน้ำใจและเรียกกำลังพลหนุนมาอีก แต่เสียงห้าวมาจากชายป่า เสียงโห่พ้นดงแล่นมาถึง จอมทัพนายแท่นผู้กล้าก็นำนักรบเมืองสิงห์โลดเข้าพิฆาต ทัพเมืองสิงห์ตะลุยรบมาเหมือนจะฝากชื่อไว้ฝีมือให้เมืองสิงห์มันกระฉ่อนไปชั่วลูกหลานอีกสักร้อยชาติพันปีโน่น พันเรืองแม่ทัพ ทั้งนายดอกไม้บ้านกรับและปีกซ้ายท่านนายทองแก้วคนพื้นโพธิ์ทะเลสองนายหมวดคุมทัพวิเศษไชยชาญสมทบชาวสุพรรณผู้กล้าเข้าหักทัพรามัญวอดพินาศไปทั้งแถบ โอ้ ผู้ใหญ่ทองเหม็นคนพื้นนี้กับนายอิน ทั้งนายทองแสงใหญ่ก็นำคนระจันแท้รบหักละเอียดมาเป็นปีกขวาแล้ว

แต่กองอาสาแรก ดาบสองมือยังคงรบตะลุยหันหวนมันย้อนรบย้อนช่วยไปทุกๆ กอง นายแท่นแม่ทัพซึ่งคุมพลเป็นกองกลางก็ยกหนุนตามทันเพิ่มแรงมาอีก นายโชตินายเมืองเล่าก็หวดประหารไว้ฝีมือฝากชายเมืองสิงห์ ทัพชัยของสุรินทจอข่องอลหม่านเสียแล้ว ถึงจะมีพลพันเศษมากกว่าตั้งครึ่งค่อนและเท่าตัวก็ไม่อาจตั้งติดเป็นขบวน

ห้วยไผ่คงเป็นทุ่งเลือด ห้วยไผ่ยังเป็นทุ่งประจัญบานของทัพต่างเมืองที่ยกมากับชาวค่ายเจ้าของบ้าน แต่เช้ากระทั่งสายและยิ่งสายมาอีก ห้วยไผ่ก็เป็นห้วยเลือด ดินใดเป็นแอ่งลึกดินนั้นก็เลือดเต็มแอ่งแล้วล้นไหลดังแอ่งตื้น หาก​ตรงไหนจักดอนเป็นโขดเล่า โขดนั้นก็มีน้ำเลือดปรี่จะท่วม หญ้ามิชั่วจะแหลกตามศพดิ้น แม้หญ้านั้นจักเขียวอ่อนเพิ่งงอกหรือสีแก่เข้ม แต่หญ้านั้นก็ย้อมด้วยสีเลือดเปลี่ยนให้แดงไปทุกหย่อม

กระทั่งค่อนเพล แดดหน้าแล้งยิ่งร้อนกล้าจัดขึ้น การรบตะลุมบอนด้วยอาวุธสั้นก็ยังคงขับเคี่ยวกันไม่ถอย มีแต่จะเพิ่มหัวใจดุขึ้นทุกขณะ ไทยน้อย แต่ไทยมันกล้าสู้ ไทยสู้เพราะศึกมันถึงเมืองไทยมาแล้ว จะหนีทิ้งเมืองก็ดูกระไร จะหนีทิ้งบ้านก็ยากจะหาที่อยู่อื่น ยากหัวใจชายที่จะอยู่เป็นเชลยให้เขาหยามจึงมีอยู่ประการเดียวที่จะขับศึกนี้ให้เมือง หาไม่ก็ฝากศพไว้ฟากบ้านยังจะดีกว่าอยู่ให้เขาข่มเหงเจ็บใจ ข้าศึกที่ยกมาย่ำยีเล่าหากจะมีพลมากกว่ามาก แต่ก็หวังชนะเพียงไว้ชื่อ ทหารที่กรีฑาทัพมาแล้วก็จะเอาชนะให้ได้ แต่เมื่อไม่ชนะได้ เพราะเจ้าของเมืองมันสู้ทรหดด้วยความรักหวงเมือง มันดุสู้ตายคาสยาม ถึงแม้ทัพใหญ่จักมีพลเพียบทุ่งไม่แตกง่ายดายแต่ก็ย่อยยับเสียรี้พลลงมากกว่าครึ่งก็ให้ระย่อหัวใจ

เสียงกลองศึกฝ่ายพม่าย้อนระดมมาอีก แม้จะแสนเหนื่อยอ่อน สองมือเมื่อยเพราะฟันศึกดั่งฟันหญ้าฟันไม้ นักรบระจันทุกหมวดกองทั่วตัวคนก็ยังมุ่งหวังจะให้ชนะเป็นเด็ดขาดไป จึงสู้มิได้ท้อถอย นายแท่นนั้นคิดจะตัดศึกใหญ่ให้สำเร็จแต่โดยเร็วพลันก่อนที่ทหารระจันจะสิ้นกำลัง เมื่อเสียงกลองรบระดมมาร่มระย้ายังแล่นฉวัดเฉวียนตามตัวแม่ทัพสุรินทจอข่องซึ่งแต่งเครื่องยศอยู่กลางพลก็เกิดความคิดเป็นที่ยินดี จึงกล่าวกับเจ้ากองอาสาหน้าที่ช่วยรบอยู่ใกล้ว่า “น้องข้า โน่น อ้ายร่มระย้ากั้นโน่นแหละที่เราจะต้องรบให้ถึงตัว แล้วชนะก็จะเป็นของบ้านระจัน”

เลือดชุ่มมือมาตั้งแต่เช้าไม่รู้จักสักกี่สิบกี่ร้อยที่มันประหาร เมื่อได้ฟังสั่งของแม่ทัพ เจ้าลูกนายหมู่อาทมาตทหารเก่าก็รอรบจนรวมพลดาบที่มีฝีมือคล่องชำนาญแล้วตั้งต้นนำตะลุยแหลกไปอีก แม้ศึกหนุนพม่าจะเพิ่มโถมมา ก็ต้องแหลกไปเพราะฝีมือและใจมานะ จนกระทั่งเข้าถึงกลางพลกองหลวง

เหล่านายทหารฝีมือเอกของสุรินทจอข่องหาคอยที่จะช้าให้ทหารค่ายรบแหวกมาถึงตัวนายไม่ เมื่อเห็นเจ้าหนุ่มชาวศรีอยุธยาบุกบั่นมาเยี่ยงนั้น ก็ดาหน้า​กันออกรบเพื่อกันนาย แต่กองอาสาหน้าก็ประหารลงอย่างย่อยยับเรียงตัว และเจ้ายอดฝีมือก็เข้ารบกับทหารฝีมือเอกที่เหลือตัวต่อตัว นายแท่นก็ไล่รุกเข้ามาทันกลางพล ทั้งฟันแทงนายทัพนายกองพม่าแหลกลาญสิ้นชีพไปเหลือหลายจนระอาฝีมือ และก็ร้องเร่งพลให้ระดมกำลังรุดมาจงหนัก แล้วตะโกนก้องให้สติเจ้าทหารหน้าซึ่งกำลังรบติดพันไปอีกว่า “น้องเอ๋ย ฝีมือดาบเจ้าเป็นเลิศนักแล้ว เป็นขวัญตาไทยแล้วที่ได้ดูเชิงดาบรบของทหารอังวะกับศรีอยุธยาไว้ชื่อกัน”

ทัพมันคงยิ้มร่า มันยิ้มปลื้มหัวใจที่ได้มารำดาบฟันอวดฝีมือต่อหน้าแม่ทัพเมืองโน้น มันได้ฟันกับทหารเอกที่แต่งตัวไว้ยศสมทหาร ไม่ชั่วแต่ฝีมือกระฉ่อนครั้งศึกอ่าวหว้าขาวแต่อย่างเดียว แม้ดาบคู่ที่มันรำร่าทั้งปิดป้องและโต้ตอบไปที่มันกินศึกมาแล้วเท่าไหร่ ตัดเนื้อตัดหัวมาแล้วเกลื่อนดิน เมื่อรับจากมือพ่อที่มอบประสิทธิ์ให้มันก็ฟันชนะจบร้อยแดน ดาบดี ฝีมือดี ใจดีแล้วให้อีก ๑๐๐ เท่าฝีมือนี้ก็ไม่ทาน

ถึงแม้สุรินทจอข่องแม่ทัพใหญ่ก็ตะลึงมองชมเชยฝีมือมันทหารเอกคนท้ายนี้มิใช่ฝีมือจักเลวหลาย ชนะจบมาแล้วตลอดทวาย น่าชมนัก น่าดูนัก ที่สองทหารมันสู้กันและไม่วายหลากใจว่า นักรบชาวบ้านระจันเจนในเชิงดาบรบกระนี้เจียวหรือ แต่ไยเล่าจึงเพียงหลบมาตั้งค่ายไม่เข้าทัพทหาร และชัวครู่ที่เพลินชม ชั่วครู่ที่นักรบระจันมันฟันเป็นทีเล่นคล้ายจะหน่วงอวดฝีมือ และพอครู่ที่มันหัวร่อระเริงใจแล้วกลับรบ เรี่ยวแรงเปลี่ยนเชิงราวกับคนละคนกับเมื่อครู่ที่แล้ว ทหารเอกของสุรินทจอข่องก็หน้าเผือดถอยกรูด และหัวกระเด็นวับปลิวไปอื่น ร่างก็เหมือนไม้ล้มลงเป็นศพนอนดิน

แล้วมันก็มุย่ามหัวใจที่จะเข้าหักร่มระย้านั้นในชั่วเพลาที่คู่ศึกสิ้นชีพ จึงเหลือบตามุ่งไปแม่ทัพใหญ่ที่เต็มยศอยู่ใต้ร่ม เออ ชาวระจันไวแท้ อ้ายนักรบกองดาบสองมือของมันช่างรวดเร็วหนักหนา เร็วเพราะแล่นเข้าถึงตัวขณะแม่ทัพใหญ่ตะลึงมองฝีมือมันจึงถูกรั้งจากหลังม้าแล้วศีรษะก็กระเด็นสิ้นชีพเพลาไล่ๆ กับเจ้าทหารเอกองครักษ์ที่ถูกสังหาร ตายแล้วสุรินทจอข่องถูกนักรบค่ายระจันตัดหัวขาดกระเด็นสิ้นชีพอยู่แล้วกลางพล

เจ้านักรบนายกองอาสาดาบสองมือเห็นเป็นช่องเหมาะที่จะเข้าหักศึก​ใหญ่ให้ยับเยินเพราะฝ่ายพม่าสิ้นแม่ทัพที่จะบัญชาการศึกอีกต่อไป มันจึงโบกดาบเป็นสัญญาให้นักรบที่อยู่หลังตะลุยตาม จึงตะโกนเพื่อให้รู้พร้อมกันว่า

“รบให้ขาดกลาง ตัดทัพมันให้ทะลุท้ายกองหลังโน่น” แต่พอมันแล่นออกหน้า สองดาบก็ฟาดฟันเรี่ยวแรงดังหนึ่งโคเถื่อนมันบ้าคะนองเขา เนื้อและเลือดข้างหน้ากระจุยไปตามฝีดาบดังพงหญ้ารกที่ขาดปลิวติดเขาโคลำพองที่มุเอาชีวิตเหลียวหานายแท่นผู้แม่ทัพเล่า เออ แม่ทัพระจันเอ๋ย แม่ทัพระจันชาวสิงห์ผู้กล้ากำลังบุกอยู่กลางพลโน้นพม่าห้อมล้อมแต่ไฉนเล่าจักรอด หัวหายแขนขาดและบ้างก็ถูกสะพายแล่งลงเป็นศพนอนดิ้นแล้วก็แตกกระจายทุกๆ หมู่คนที่ล้อม แล้วยอดทหารนายแท่นแม่ทัพก็ตะลุยไป

ชั่วครู่นั้นเสียงแผดเปรี้ยงมาพร้อมๆ ไฟแลบจากกระบอกปืน แล้วอ้ายคนยิงก็หัวหายกระเด็นตามฝีดาบของทหารค่ายระจันอื่น แต่พ่อยอดชายเมืองสิงห์ผู้แม่ทัพ นายแท่นผู้กล้าองอาจต้องปืนนั้นยืนซวนเซแล้วก็ทรุดนั่งลง

ทัพมันจะคลั่งหัวใจตาย แม่ทัพค่ายระจันที่แสนกล้าน่ารักต้องปืนล้มลงต่อหน้า อาการหนักเบาของแม่ทัพก็ยังหาจะรู้กันไม่ ยิ่งเสียงเฮครึกครื้นขึ้นทางหมู่พลพม่าซึ่งมุ่งจะเข้าล้อมซ้ำเดิมหรือจับนายแท่นด้วยแล้ว หัวใจมันแทบจะทะลักออกมาเป็นเลือดมันยอมไม่ได้ มันจะยอมให้แม่ทัพซึ่งเปรียบด้วยพ่อเมืองระจันยามศึกถูกจับมิได้ อย่าว่าแต่จะเอาตัวกันไปทั้งเป็นมีชีวิตเลยถึงศพก็มิยอมที่จะให้เอาไปเป็นเชลยดูแคลนกันเล่นเมื่อตาย

มันแกว่งดาบสองมืออยู่ลิ่วๆ เหน็ดเหนื่อยที่รบกันมาแต่เช้ากระทั่งจนเที่ยงเหือดหายสิ้นแล้ว ตะโกนบอกดังจะปรารถนาให้เสียงตะโกนนั้นสะเทือนได้ยินกันทั่วทัพ

“บ้านระจันถวายชีวิต ชิงพ่อแท่นโน่น ถ้าพ่อแท่นต้องตายอ้ายคนระจันจะตายให้หมดไม่กลับค่าย” แล้วเจ้าทหารฝีมือลือของนายแท่นก็ปราดไปอีกรวดเร็ว ฟันสุดฝีมือของขบวนดาบที่ร่ำเรียนมา หมู่ข้างหน้าก็ขาดกลาง หมวดศึกข้างหน้าก็ถอยพ่ายยับเยิน พลสองมือชำนาญดาบของมันก็เล่นทะลวงตามแล้วโถมจู่โจมเข้าหักพลดาบสองมือพม่าที่กำลังจะห้ำหั่นทหารระจันที่สู้ล้อมตัวนายแท่น แต่ไทยยามศึกมันองอาจสมชายนัก นายโชตินายเมืองผู้คุมทหารสู้กันแม่ทัพนั้นสม​ชื่อชายเมืองสิงห์ยืนสู้เหมือนจะบอกว่าจะยืนตายล้อมนายแท่นไว้ พอทัพมันแล่นตามไปพร้อมด้วยพลค่ายทั้งพลดั้งและดาบสองมือ ข้าศึกก็แหลกอยู่กลางศึกขนาบไม่คืนชีวิตจนคนเดียว แล้วก็เข้าช่วยกันอุ้มแม่ทัพผู้กล้าซึ่งต้องปืนที่เข่าล้มลงแต่ที่ยังจะมุทะลุ พอเห็นร่างและสีหน้ายิ้มของแม่ทัพระจันผู้ต้องปืนหัวใจบ้าก็บังเกิดมุทะลุขึ้น บ้างสะอื้นถี่กัดฟันทนแค้นนั้นแล้วก็ไล่ล้างศึกอีกต่อไป

จนตะวันเที่ยง แม้ทัพพม่าจะเสียชีวิตสุรินทจอข่องไปแล้วทั้งไพร่พลกองหน้าและกองหลวงจะแตกย่อยยับสักเพียงไร ชาวค่ายระจันก็หาอาจตีให้แตกละเอียดในเพลานั้นได้ไม่ เพราะนายแท่นถึงหากไม่ตายก็ต้องปืนล้มกลางสนาม เมื่อทหารค่ายระจันช่วยกันอุ้มถอยข้ามคลองกลับไปแล้ว จึงให้ขุนสรรค์ฝีมือนายกองปืนเป็นแม่ทัพใหญ่บัญชาการแทนตัวต่อไป ส่วนการรบยังติดพันขับเคี่ยวกันจนเหนื่อยอ่อน จึงขุนสรรค์แม่ทัพใหญ่เห็นว่าชาวค่ายระจันเหนื่อยหนักเพราะพม่ากองหลังยังไม่แตก เกรงจะพลาดพลั้งศึกลง ก็สั่งให้รอรบเพื่อถอยไปพักผ่อน แต่ฝ่ายพม่าก็เช่นกัน เพราะยิ่งสู้ก็ยิ่งตายจนจะเสียกองหลวงหมด เมื่อเห็นไทยรอรบไม่รุกล้ำมาอีกก็ถอยห่างออกไปตั้งมั่นอยู่ ทัพระจันก็ข้ามคลองได้หมดทุกหมวดทุกกอง

ตะวันพ้นปลายไม้แล้วแดดกล้าเมื่อเที่ยงกำลังจะคล้อยดวงไปหนตะวันตก ฟากเหนือลำน้ำสะตือ ๔ ต้นตามแนวละเมาะไม้ หากจะเงียบเชียบ แต่ทุกร่มเงาไม้ใหญ่ทุกพุ่มทุกเชิงที่ใบหนายังเพียบด้วยทหารค่ายระจันที่พักรบ และกำลังกินข้าวปลาอาหารของกองเสบียงหญิงชาวค่ายที่เกณฑ์กันติดตามออกมาเลี้ยง

พุ่มไม้หนึ่งถัดท้ายกองเสบียงไม่ไกล หากทหารอื่นทั้งทัพสิงห์ สุพรรณและวิเศษไชยชาญ ตลอดจนชาวค่ายทุกคนจะกำลังกินข้าวปลาอาหารอยู่ใกล้ๆ บ้างเชื้อเชิญบ้างหัวร่อร่ากินข้าวป้อนของแม่งามกองเสบียงระจัน ทุกคนลืมเหนื่อย ทุกคนหัวเราะต่อกระซิกบอกกับแม่หญิงนั้นว่าชนะซีล่ะน้องเอ๋ย ดูดาบที่มันนอนในฝักนี่เถิดว่ามันกินไม่รู้กี่สิบศพ บ้างก็กระซิบอวดว่าเจ้าอย่าเพิ่งกลับเลยเจ้าคอยแอบดูฝีมือรบพี่ในบ่ายนี่มั่งแล้วจะปลื้มใจตาย แล้วก็จับมือถือแขนหัวเราะก๊ากเหมือนหนึ่งศึกมื้อนี้มันแสนสนุก

​แต่อีกทหารหนึ่งที่นั่งกอดเข่าดูเขากินเขาหยอกกัน แม้จะได้รับ ใครเชิญมันก็บอกปัดเสียว่าอิ่มหนำสำราญแล้ว เพราะนึกถึงคำหลังและคนหลังที่ในค่าย คำหลังที่ว่าพี่จะกลับมากินข้าวพร้อมแฟง และคนหลังก็ที่ลักจูบมันทั้งหลับๆเมื่อคืนก่อนสว่างมาศึก ถึงอีแฟงจะยังเป็นเขาอื่นน้องแม่เฟื่อง แต่หัวใจก็มอบมันแล้วเหมือนว่าเมียรักที่อยู่ค่ายคอยผัว

ที่จริงเจ้านายกองม้านั้นแสนหิว แต่หากจะเสียสัตย์เสียวาจาเห็นแก่ข้าวมื้อเดียวก็อายหัวใจตัวเองนัก และเมื่อเกิดอิ่มแล้วกลับไปค่ายเล่า กลับไปกินไม่ลง ปล่อยให้ข้าวแฟงมันเป็นเย็นเหมือนที่คำหาเมื่อมันหุงข้าวคอย แฟงก็จะเสียน้ำใจเง้างอนอีก แล้วมันก็เมินไปอื่นไม่อยากจะมองใครกิน

ทัพแหงนมองร่มไม้ข้างบน แม้หว่างศึกและใต้ร่มไม้นี้เพียบไปด้วยนักรบระจันทุกปีกทุกกอง กาเหว่าป่าที่จับอยู่ปลายไม้มันก็ยังส่งเสียงร้องไม่ตกอกตกใจ ทั้งกิ้งโครงและปรอดมันก็หาเอาใจใส่กับคนศึกข้างล่างไม่ คงพลอดกับตัวเมียไปตามประสามันเหมือนอ้ายหนุ่มอื่นที่ทำปากกล้ากับหญิงเสบียง

ลมโชยมาเรื่อย แต่กลิ่นลมหอมนั้นทัพเกิดประหลาดใจนัก กลิ่นเนื้อกลิ่นแป้งร่ำเหมือนแป้งหอมที่แก้มอีแฟงเมื่อคืนไม่มีผิดจึงเหลียวหา อุแม่เอ๋ย ทหารศึกมันแทบจะตัวลอย ทหารศึกมันอยากจะเนรมิตป่าละเมาะนี้ให้เป็นห้องหับอยู่ด้วยกันแต่เพียงสอง

“อุบ๋า แฟง” แล้วก็หยุดแขนนั่ง “นี่ยังไงถึงตามออกมากะเขาอีก”

สาวบ้านคำหยาดน้ำตาคลอเหลือปลื้ม เพราะเจ้าเดินหาจนแทบจะจบทัพหมดและใจหายที่ไม่เห็นหน้ามัน คิดว่าจะสูญชื่อเสียแล้วกลางศึก และห่อข้าวพิเศษจะเป็นเย็นบูดเน่าไปเหมือนซากทหารกล้าที่เสียชีวิต

“ตามหาพี่จนอ่อนใจ คาดว่าอยู่ทัพวิเศษไชยชาญกองโน้นและพี่สังข์” เจ้าว่า แล้วก็รีบแก้ห่อข้าวมือไม้สั่นแต่ยังสองจิตสองใจ “กินแล้วรึยัง ถึงกินแล้วก็ต้องกินอีก”

ถ้าเป็นป่าเปลี่ยวก็จะกอดอีแฟงให้สมใจ ชำเลืองรอบๆ ก็เห็นแต่คนจ้องมองยิ้มพยักทั้งใกล้ไกล เลยพูดแต่เพียงพอได้ยิน

“ยังหรอกแฟง เลี่ยงมานั่งนี่เพราะหลบหน้าไม่อยากจะกินข้าวของใคร ​เพราะจะรอไปกินกะเมียพี่ในกระท่อม” แล้วยิ้มกับแฟง จ้องตามัน มันก็อายหลบหน้าบ่มเลือดรับแสงแดดส่องจากเงาปลายไม้

“แฟง พี่จะกินข้าวทิพย์นี้ออกศึกไปเอาชนะอีก ป้อนสักคำหนึ่งปะไรมือนางฟ้าไหนมันหุง มือนั้นก็ต้องป้อนพี่ถึงจะกิน”

แฟงก็เหลืออาย แต่ปลื้มอื่นๆ มันลบอายหมด ทั้งกองเสบียงเพื่อนหญิงเขาก็ปฏิบัติกันหลายต่อหลาย จึงฝืนหยิบข้าวนั้นปั้นจะป้อน

“เอ้า อ้าปาก จะได้หยุดสาละวอนเสียที รึมืออื่นเขาจะป้อนอิ่มแล้วก็ไม่รู้”

ทัพหัวเราะ อ้าปากรับข้าวจากมือที่สั่นของแฟงเคี้ยวกลืนเอร็ดอร่อย

“โอ๊ยแฟง ถ้ามืออื่นมันป้อนไว้ละก็ ข้าวทุกเม็ดที่กินน่ะขอให้มันเกิดฝีทุกเม็ดข้าวไปเถอะ เอ้า”

แฟงยิ้ม เพราะมันสาบานแน่นหนานัก “ปากพูดกะฝีมือรบน่ะฉันดูมันจะพอๆ กันอยู่แล้ว เอ้า ป้อนพอเป็นพิธีแล้วก็กินเอาเองเหอะ ผู้คนออกแยะจะมาเอาหน้าออกขายเขาเสียเพลานี้เปล่าๆ” แล้วก็ส่งชามข้าวให้

ทัพรับชามข้าวอย่างว่าง่าย ข้าวยังอุ่นๆ เหมือนเนื้อแฟงเมื่อเกิดอาย แต่ละคำที่ตักกินก็หายหิวไปทุกคำสมกะเป็นมืออีแฟงหุงตั้งใจให้เป็นข้าวทิพย์กินไปชนะศึก

แฟงก็นั่งจ้องแทบจะทุกคำที่มันเปิบ มันกินน่าปลื้มสมกะที่ตั้งใจหุงมาให้กิน ทัพก็ก้มหน้าก้มตาเปิบเอากินเอากระทั่งอิ่ม

มันยกชามข้าวคว่ำปากลงชูให้ดูแล้วยิ้มละไม

“หมดแล้วแฟง ถึงมาศึกข้าก็รู้ว่าเพิ่งกินข้าวอร่อยวันนี้เอง รสมือพิเศษมึงทำเป็นเลิศวะแฟง”

ฟังแล้วชื่นอกชื่นใจจนต้องอมยิ้ม แต่ก็ต้องออกตัวติดดักคอมันไว้เสียก่อนว่า

“อย่ายอเลย มื้อรักถึงข้าวเปล่าก็แสนอร่อยหวานมันเหมือนข้าวเนรมิต แต่ก็จะต้องมีสักวันหนึ่งหรอกที่ข้าวเปลือกนาอื่นมันจะต้องอร่อยกว่าข้าวหุงที่มีกับมีแกล้มพร้อม” แล้วเจ้าก็รับรวบชามห่อผ้าต่างหากอย่างเดิม และขยับจะลุกกลับ​ไปเข้าร่วมกับกองเสบียงหญิง เพราะคนที่กินข้าวอิ่มสุดท้ายหมดก็เหมือนจะเป็นเจ้าทัพที่ต้องเที่ยวตามหา

เสียงกลองเป็นจังหวะประโคมแว่วๆ มาแต่ฟากทุ่งไกลข้างหน้าโน้น แต่หาใช่กลองศึกดังเคยได้ยินไม่ และชั่วครู่นั้นกองสืบเหตุศึกก็มาแจ้งแก่ท่านขุนสรรค์ผู้แม่ทัพใหม่แทนตัวนายแท่นว่าพวกทหารพม่าหาได้ตั้งเป็นขบวนรบไม่ มัวแต่สาละวนหุงหาอาหารและบ้างก็ขุดหลุมจะฝังศพสุรินทจอข่อง แม่ทัพค่ายระจันจึงมีคำสั่งให้นักรบชาวค่ายทุกหมวดกองทั้งปีกซ้ายปีกขวารีบยกพลข้ามคลองแฝงไปตามแนวไม้ เมื่อพอเห็นตัวก็ให้แล่นเข้าโจมตีพร้อมกันโดยเร็ว

ตะวันเย็น เมื่อเห็นชาวค่ายระจันที่ยกถอยหายลับไปในป่าแต่ก่อนบ่ายกระทั่งบัดนี้ก็หามีวี่แววว่าจะยกมาตีสำทับซ้ำเติมอีกไม่ พลพม่าที่อิดโรยจึงต่างหุงหาอาหารที่สุกบ้างยังไม่สุกบ้าง แต่ที่ได้กินแล้วนั้นน้อยคน เพราะส่วนมากก็มัวห่วงจะฝังศพสุรินทจอข่อง และบ้างก็มัวร้องไห้ร่ำรักรำพันและพวกพิธีก็ตีกลองประโคมหาได้ระแวงถึงภัยอื่น

จนแดดร่มทุ่งไปแล้ว แดดกล้าที่เสียเลือดสดอยู่เมื่อเที่ยงกลางวันพ้นทิวไม้เหลือแต่แสงอ่อนเป็นเพลาเย็น ทัพพม่าที่ยังเหลือเป็นกองหลังและมัวกระทำกิจอื่นปะปนกันไม่เป็นกระบวนศึกก็ต้องแตกตื่น บ้างคว้าอาวุธ บ้างจะหลบเอาตัวรอด เพราะเสียงโห่เอิกเกริกโกลาหลสนั่นทุ่งมาอีก และข้างหน้าโน้นทุ่งสะเทื้อนด้วยเสียงฝีเท้าวิ่ง ทัพของชาวค่ายไทยทั้ง ๓ กองเมื่อเช้ากำลังแล่นดาหน้าเข้ามาอีก รวดเร็วจนยากจะกลับตัวคิดจับอาวุธคุมกันเข้าสู้

และมิทันที่นายทัพนายกองที่กำลังมุ่งแต่ธุระฝังศพสุรินทจอข่องจะได้สั่งประการใด ปีกขวาซึ่งยังเพิ่งจะหุงข้าวสุกไม่ทันกินก็ถูกตะลุมบอนแตกกระจัดกระจาย ทั้งกองหลังและปีกซ้ายที่จัดขึ้นใหม่ภายหลังก็ถูกรบรุกเป็นศึกกระหนาบแทบไม่รู้ใครเป็นใคร ทั้งกำลังวังชาก็แข็งขันผิดกับเมื่อบ่ายมาก กระทั่งลุยตลบเข้ามาเป็นตะลุมบอน แล้วคนก็ล้มเหมือนไม้ขอนที่ถูกฟันทิ้งอยู่เกลื่อนดิน และยิ่งเย็นมาหนักจนตะวันชิงพลบผู้คนก็ยิ่งเพิ่มล้มตายหนัก จนฝ่ายหนึ่งที่เป็นข้าศึกต่างเมืองต้องพ่ายแพ้ย่อยยับหนีกระเจิงเข้าป่า ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งอันเป็นเจ้าของบ้านหากจะมีล้มตายและเจ็บบ้างก็มิได้ลดละ คงตามไปรบ​ประชิดไปกระทั่งเวลาชิงพลบตะวันต่ำตกดินจึงพากันคืนมาค่าย

ฝ่ายพม่าทางค่ายวิเศษไชยชาญและค่ายใหญ่ปากน้ำพระประสบตั้งแต่ให้สุรินทจอข่องยกพลไปปราบปรามชาวค่ายระจันเป็นศึกครั้ง ๔ และก็พ่ายแพ้ยับเยินกลับมาและตัวสุรินทจอข่องแม่ทัพเองก็เสียชีวิตกลางศึก และรี้พลพม่าที่ยกไปก็พากันล้มตายมากมายเกือบ ๙๐๐ ที่เหลือรอดและเจ็บป่วยกลับมาเพียงประมาณสัก ๓๐๐ จึงพากันเข็ดขยาดฝีมือไทยชาวค่ายระจันยิ่งนัก แต่ยับยั้งกะเกณฑ์กันอยู่นานประมาณสิบเอ็ดสิบสองวัน แม่ทัพใหญ่จึงแต่งตั้งให้แยจออากาซึ่งเป็นนายทัพเรือยกหนุนมาตั้งอยู่ ณ แขวงนนทบุรี เป็นนายทัพยกไปปราบปรามชาวค่ายระจัน พร้อมด้วยเกณฑ์รี้พลแบ่งทหารไปหมดทุกๆ ค่ายเพิ่มมากกว่าเก่าเป็นคน ๑,๐๐๐ เศษและจัดเป็นขบวนทัพพร้อมด้วยเครื่องสาตราวุธทั้งทหารกองม้าดีกว่าก่อน ยกไปปราบปรามชาวค่ายระจัน ก็แตกพ่ายยับเยินกลับมาอีกเป็นครั้งที่ ๕

กลางเดือน ๖ ความร้อนทั่วสารทิศท้ายฤดูแล้งต่างค่อยเบาบางลงถึงหากศึกจะยังคงยกมาติดพัน แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ไปอีก จึงหาทำให้ชาวค่ายบังเกิดทุกข์ร้อนกันแต่ประการไรไม่ คงเฝ้าสรวลเสร่าเริงกลับฝึกซ้อมฝีมือและขบวนรบให้เข้มแข็งมากขึ้นอีก

เพลาเช้าเลยอรุณ เมื่อกองไฟของยามค่ายมอดแล้วสนิทตะเกียงน้ำมันซึ่งตามไว้ในทับกระท่อมดับสิ้นแสงแล้วเพราะตะวันขึ้น ลานหญ้าที่เพิ่งงอกอ่อนๆเพราะได้ฝนย่างฤดูก็แลพรึ่บไปด้วยนักรบชาวค่ายที่กำลังฝึกซ้อมเพลงดาบและใช้อาวุธอื่นเพื่อเตรียมไว้รับศึก

ลานดาบสองมือกำลังจดกันเป็นคู่ๆ บ้างเพิ่งจะลองร่ายรำชอบสวยในทีท่า บ้างซ้อมไม้รบและไม้ตายทั้งจะเรียนให้ลึกซึ้งเป็นยอดฝีมือที่จะเข้าตะลุยศึกสู้คนมาก เพราะวิชาดาบสองมือเหมาะแก่ขบวนรบของชาวค่ายที่รักสู้ตะลุมบอนเป็นศึกกลางแปลง และผู้ฝึกที่ไว้ฝีมือให้ชาวค่ายเห็นประจักษ์ตามาแล้วมันก็เจนจบในวิชานี้จนเป็นที่เคารพเชื่อถือนัก

เจ้านายทหารใหญ่บันลือฝีมือ ซึ่งเพิ่งพักซ้อมให้แก่ทหารม้าเก่าคำหยาด​ที่เหลือชีวิตอีกเพียงสองเป็นเครื่องระลึกเตือนใจหลังมันคือน้องเขยกับเจ้าหนุ่มพี่อีแฟง

มันยืนหอบเหงื่อเป็นมัน หากแผลกลางศึกจะมีติดตัวบ้างเป็นรอยดาบพม่า แต่แผลนั้นช่างเพิ่มสวยเพิ่มกล้าแก่เจ้าครูดาบสมทหารยิ่งขึ้น มันยิ้มแย้มพอใจที่เจ้าเพื่อนสมุนคำหยาดของมันที่หยุดซ้อมจัดเจนขึ้นสมกะตั้งใจสอน

“พอใช้” มันออกปากชมทั้งคู่ “เออ ปัญญาให้มันไวทันใจกูงั้นเถอะวะฟัก เจ้าสังข์ก็เหมือนกัน เมื่อว่าศึกจริงให้มันคล่องยังงี้แล้ว หากจะ ๓ คนพลัดอยู่กลางศึกเถอะวะถึงจะเสียชีวิตกันก็ต้องวอดมันเป็นร้อยๆ เชียวละมึง”

นายสังข์ยิ้มแย้มพอใจนัก หันมาดูคู่ซ้อมที่ฝีมือปานๆ กันด้วยใจรักเยี่ยงน้องสุดท้องที่เหลือชีวิตเห็นหน้ากันอยู่แต่เพียงสาม

“ฟักมันก็คล่องน้อยไปเมื่อไหร่ตั้งแต่กลับศึกที่แล้วมันแข็งมือขึ้นอีกมาก”

พี่เจ้าแฟงกลับออกตัวว่า “ฉันก็เหลือระวังตัวนักเมื่อพี่สังข์ฟัน เพราะดาบซ้อมมันก็ดาบคมที่ไปศึก ถ้าพลาดพลั้งก็เจ็บน้อยอยู่เมื่อไหร่”

ทัพหัวเราะก๊ากชอบใจ “อะไรวะอ้ายฟัก กูดูมึงไม่สิ้นกลัวสักที กรำศึกกะกูมาก็นัก ตั้งแต่เป็นโจรสู้กะทหาร” แล้วก็มองดูหน้านายสังข์ทหารเก่าเพิ่งนึกได้ “เอ้อ กูพาสู้กะกองอ้ายสังข์กระทั่งมาอยู่ร่วมกันเป็นกองม้ารบพม่าบนม้าจนม้าหมดมาเดินดิน และทุกวันนี้ก็เหลือเห็นหน้ากันแต่เพียง ๓ คนเท่านั้น อ้ายฟักก็ไม่วายจะบ่นกลัวดาบคมอยู่นั่น”

ฟักอาย แต่แก้ไปอีก “ก็จริงนี่นาพี่ อ้ายซ้อมกันเองฉันมันไม่หมดกลัวเลย แต่ถ้าศึกจริงแล้วหัวใจมันลืมหมด”

“เออ ดีล่ะ” ทัพพยักหน้า “อีแฟงกูก็หัดให้มันแล้วถึงจะไม่คล่องมันก็ไม่บ่นว่ากลัวดาบคมเหมือนมึงเหอะ วันหลังกูจะหนุนอีแฟงให้ซ้อมกะมึง”

“อย่าช่วยกันซีล่ะ” ฟักมันพูดเป็นนัย “ถ้าว่าไม่ช่วยกันละก้อ ลำพังอีแฟงฉันจะเอามือเปล่าตบมันก็พอ”

นายสังข์สอดว่า “อ๊ะ เอ็งอย่าไปดูถูกมันล่ะ ชั่วดีมันก็เคยพลัดออกศึกถือดาบฟันผู้ชายมาแล้วนะเว้ยฟัก แลอีกประการฝีมือที่เอ็งได้จากพี่ทัพน่ะเขาจะบอกไม้เป็นไม้ตายให้เอ็งจริงเหมือนเจ้าแฟงรึวะ”

​“จังไรทั้งคู่” ทัพพูดทั้งหัวเราะอายๆ ที่ถูกขับถูกล้อ “นี่หากว่าเหลือมึงแต่เพียงสอง ทว่าอ้ายม้าคำหยาดอยู่กันพร้อมคงร่วมหัวแหย่กูทุกวัน” แล้วก็โบกมือไล่ตะเพิดหมด “ไป อ้ายเวรไปทั้งคู่ล่ะ เดี๋ยวสายแดดแข็ง อ้ายพวกโน้นก็เลยไม่ได้หัดได้ซ้อมกันกี่คู่กี่คน มึงช่วยไปหัดแทนกูทีเหอะทั้งคู่ล่ะ”

เจ้าฟักขบขันใหญ่ “อ้าว แล้วพี่ล่ะ”

“กูจะกลับ”

นายสังข์รับคำ “อ้อ” แล้วชวนพี่ชายเจ้าแฟง “ไปเถอะวะฟัก พี่ทัพจะรีบสอนศิษย์อื่น”

ทัพก้มหยิบดาบ “อ้ายสองคนนี่ปากดีนัก เอ้ารบกะกูปิดให้ดีนามึง” แล้วก็ไล่ฟันแต่เพียงหยอกเย้าเจ้าสองคู่ทุกข์คู่ยากจนเตลิดหนีไปฝึกทหารหมด

มันหวนจะคืนกระท่อม คืนไปหาแฟงที่มันจะขอให้นายค่ายของมันทุกคนรดน้ำให้เป็นเมียในข้างแรมแก่ๆ ท้ายเดือน ๖ นี้ อีกไม่กี่วัน เมื่อเยี่ยมเยือนหยอกแฟงพอหายเหนื่อยแล้วก็จะคืนไปทับมันอยู่ปรนนิบัติแม่

แต่โฉมอีแฟงเยี่ยมให้เห็นอยู่โน่นแล้ว แฟงมันยืนแข่งงามกับแสงตะวันอ่อนและกวักไม้กวักมือ แล้วทัพก็โลดเต้นไปหา

“เรียกกินข้าวรึ” เจ้าคนชำนาญดาบฝีมือครูระเริงหัวใจแต่สีหน้าแฟงเหงานักจนผิดคาด

“กินอะไรล่ะแต่หัวมืด เร็วเถอะพี่ ไปเร็วเหอะ พี่เฟื่องเต็มทีแล้ว”

“ฮะ” ทัพชะโงกถาม “เฟื่องเต็มทีงั้นรึ”

แฟงพยักหน้าแล้วร้องไห้ “ใครๆ เขาอยู่กันพร้อมหมดแหละ พี่เฟื่องให้ฉันมาเรียกพี่ แล้วพี่ฟักกับนายกองเล่า”

“อยู่โน่น” ทัพชี้ “กำลังฝึกทหารอยู่โน่น เดี๋ยวข้าจะตะโกนเอง” แล้วมันก็ป้องปากตะโกนและคว้ามือแฟงออกวิ่งรวดเดียวถึง

เฟื่องกำลังหอบ เฟื่องเจ้ามีสติรู้ตัวดีว่าชีวิตจะไม่ยืดไป อีกชีวิตจะต้องจากร่างและพี่น้องอำลาค่ายตามผัวแน่เพราะพิษแผลยังยับอยู่ทั้งตัวเมื่อศึกหนโน้นกำเริบ รอบแคร่มีแต่ญาติที่ร่วมทุกข์กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นคร่ำครวญ พอคนบอกว่าเจ้าทัพมาถึงและเหลือบเห็นหน้าเจ้าก็พยักหน้าให้เข้ามาใกล้ทั้งทัพและแฟง

​“ฉันตายแน่พี่ทัพ” เฟื่องพูดเมื่อเห็นชู้เก่ามานั่งเคียง “ฉันคงไม่อยู่ไปถึงเย็น ก็อยากจะลาพี่เสียก่อนฉันสิ้นสติพูดไม่ได้”

ถึงจะสังหารศึกมาร้อยแดนก็ไม่วายเศร้าใจ เฟื่องเคยเป็นทั้งคนรักคนใคร่และก็เป็นเมียของอ้ายเพื่อนที่รักร่วมชีวิต ทั้งซับซ้อนเป็นพี่แฟงและน้องอ้ายฟักทหารคำหยาดที่อยู่ว้าเหว่ร่วมกัน

มันคงปลอบหวังให้สติเฟื่องดี “อย่าเพิ่งท้อใจซีเฟื่องยังไม่หนักหนาอะไรนักหรอก”

เจ้าส่ายหน้า “ฉันรู้ตัวของฉันแล้ว เมื่อค่อนสว่างนี่ฝันร้ายนัก” แล้วเฟื่องก็ร้องไห้ “ฉันฝันเห็นพี่ขาบขี่อ้ายเลามายืนเรียกอ้อนวอนฉันที่ประตูกระท่อมทั้งอ้าแขนรับ พี่ขาบบอกว่าขี่อ้ายเลาไปช่วยพี่ทุกๆ ศึก”

ทัพขนลุกเกรียว แล้วซบหน้าร้องไห้ ทหารมันร้องไห้เพราะผีทหารที่ห่วงมันทั้งอ้ายเลาม้ารัก ขาบเอ๋ย ผีมึงยังอุตส่าห์ตามกูไปศึก ตามมารับเมียไม่ยอมผุดเกิดเพราะห่วงค่าย

แฟงต้องร้องไห้อีก เมื่อเห็นน้ำตานักรบที่จะคิดอยู่ร่วมผัวร่วมเมียตามสัญญา

“ยังอีกพี่ทัพ” คนเจ็บหนักเล่าฝันต่อไปอีก “ถึงฝันจะจริงเท็จอย่างไรก็ไม่สิ้นห่วงไปได้ เรารักกันแต่คลาดกันทั้งบุญคุณอื่นใดฉันมิได้ทำตอบพี่เลยและจะต้องกวนใจพี่อีก”

“บอกพี่เถอะเฟื่อง” เจ้านายกองม้าจับมือมากำไว้ให้หายหวาด “บอกพี่คำว่าเฟื่องห่วงอะไร จะสั่งจะกวนอะไรธุระนั้นพี่จะรับเอง”

เฟื่องปลิดมือจากที่ทัพกุมแล้วประณมไหว้

“ขอบใจพี่นัก ถึงฉันตาย แต่ถ้าสิ้นห่วงหัวใจมันก็ไปสวรรค์ ฉันจะคอยเกิดเป็นน้องร่วมท้องพี่อย่างแม่จวงชาติหน้าโน้น ฉันห่วงแม่กับลุง ฉันห่วงแฟงห่วงที่อีแฟงมันจะดื้อให้พี่ร้อนใจ”

“เอ๋เฟื่อง ข้อเหล่านี้จะกังวลไปไยเล่า ทุกคนที่เราอพยพหอบหิ้วกันมาแต่คำหยาดและกระทุ่มด่าน พี่ก็รักเหมือนพ่อแม่และเกิดร่วมท้องกัน แฟงน่ะเจ้าก็รู้ความแล้วว่ามันหมั้นกะพี่”

​คนเจ็บลูบหัวน้องสาว “แฟง พี่ก็จะลาตาย เอ็งอยู่หลังก็ทำคุณแทนพี่ไป เอ็งต่างหน้าพี่นะแฟง ข้าดีใจที่พี่ทัพไม่ได้เมียอื่น ข้าหมดเศร้าหัวใจแล้วที่พี่ทัพจะเป็นคนหมดทุกข์เพราะเอ็งแทนตัวพี่ แต่ศึกยังไม่สิ้น เอ็งจำไว้ เอ็งอย่าดื้อทะเลาะกวนหัวใจคนไปศึกให้หมุ่นหมอง คนไปศึกมันต้องมีปลื้มก็ชนะง่าย”

แฟงยิ่งร้องไห้คร่ำครวญหนัก แต่ครั้นจะรับปากกับพี่สาวให้ตรงกับใจจริงก็นึกละอาย ทั้งทัพและคนอื่นๆ ก็ได้แต่นิ่งเช็ดน้ำตา

แต่เฟื่องเจ้ายังกระสับกระส่าย ยังพูดไปอีกเหมือนคนเพ้อพิษไข้ “ฝากด้วยนะพี่ทัพ ฝากแม่และแฟงด้วย อย่าทิ้งมันเมื่อเสียค่าย”

“ฮะ เฟื่อง” ทัพร้องค้าน “ค่ายระจันไม่มีเสีย ไทยต้องชนะทุกครั้งซีล่ะ”

“ฉันก็ไม่รู้” แล้วเฟื่องก็พูดเรื่อยเปื่อยไปอีก “เมื่อใกล้รุ่งฉันฝันเห็นไฟลุกค่ายหมด เห็นศพระจันเกลื่อนดิน เห็นแม่ เห็นอีแฟง และคนอื่นหนีไฟแล้วกระท่อมเราก็ไหม้หมด” แล้วเฟื่องก็หยุดพูด หยุดหอบเพราะสิ้นแรง แต่คนอื่นๆ แม้เจ้าทัพที่หัวใจเป็นยอดทหารก็ไม่วายจะเกิดหวาดในคำฝันนั้น

เฟื่องไม่พูดอะไรอีกเลย แต่เฟื่องหอบถี่นัก ทั้งโบกไม้โบกมือพูดเพ้อกับนายขาบเหมือนชีวิตของผัวเจ้ายังอยู่เป็นคน พอได้สติเพราะทัพเรียกเฟื่องก็ยิ้มละไม

“จูบฉันเถอะพี่ทัพ พี่ขาบเขาก็ยืนยิ้มจะคอยพี่จูบเพราะเคยพูดเย้าอีแฟงไว้เมื่อเสร็จศึกหนก่อน จูบซี แฟงด้วยเอ็งจูบข้าเสียที”

เจ้าสองราที่จะร่วมผัวร่วมเมียต่างก็จ้องหน้ากัน แฟงพยักหน้าและหยิกเตือน ทัพมันน้ำตาไหลพรากก้มลงจูบเฟื่อง แต่จูบของมันมิได้หอมหวนเป็นชู้สาวเหมือนที่คำหยาด เป็นแต่จูบหนท้ายที่จะสั่งแก้มเฟื่องผู้ลาไปเมืองผี

“นึกถึงพระนะเฟื่องนะ” ทัพให้สติอยู่ใกล้หู “อย่าห่วงพี่หรือใครเลย ค่ายระจันไม่แตกหรอก ฝีมือพี่เฟื่องก็เคยรู้ พี่จะทำบุญให้เฟื่องทุกวัน โน่น เฟื่องเมืองสวรรค์นะ เมืองสวรรค์มันสวยมีประตูทองเปิดคอยเฟื่อง” เจ้าครูฝึกดาบพลอยพูดเพ้อเจ้อไปกับคนเจ็บหนักและรั้งแฟงมาใกล้ทั้งกำนันกระทุ่มด่านและแม่เจ้าเฟื่องอีก

ทุกคนเงียบกริบ เจ้าฟักยืนดูน้องสาวมันน้ำตาไหล เฟื่องหายใจอ่อนลงทุกขณะ แล้วเหลือกตามองเป็นฝ้าขาว ทุกคนที่ล้อมดูก็ได้แต่เช็ดน้ำตา อีกครู่หนึ่งเฟื่องก็ผงะขาดใจเพราะพิษแผลมือข้าศึกต่อหน้าพี่น้องและชู้รักเก่า ตายังลืม

​เสียงร้องไห้โฮพร้อมกันหมด ทัพเอามือลูบหน้าผากจะให้ตาหลับแล้วรำพัน

“โธ่เอ๋ยเฟื่อง เจ้ายังห่วง เจ้าตายมีห่วง ไปสวรรค์เถิดเฟื่อง” แล้วก็ชักผ้าห่มคลุมหน้าเฟื่องที่จะไม่ได้อยู่เห็นกันอีกต่อไปตลอดชีพ แลหันประคองแฟงที่หน้าตาคล้ายพี่สาวผู้ไปสวรรค์แล้วออกเดินจากแคร่ ออกพ้นกระท่อมให้สิ้นเศร้า และหน้าแฟงเท่านั้นที่จะอยู่เป็นเพื่อนทุกข์เมื่อคิดถึงอยากเห็นหน้าเฟื่องในมื้อหน้าโน้น

เมื่อแยจออากา ซึ่งคุมทัพเพิ่มพลมากมาย ๑,๐๐๐ เศษ ไปปราบปรามชาวค่ายระจันและแตกกลับมาเพราะเสียรี้พลตายเกือบหมดแล้ว ก็หามีผู้หนึ่งผู้ใดในทัพพม่าจะกล้าอาสาไปต่อรบอีก กระทั่งมีนายทหารใหญ่เป็นปลัดทัพเมืองทวายเมื่อก่อน ขันอาสาจะยกไปรบ แต่พวกพลสมัครนั้นต้องคัดเลือกล้วนแต่ทหารฝีมือเอกทั้งสิ้นเป็นคนร้อยเศษ และคิดจะรบเป็นกองล่อกองโจรพอดูกำลังค่ายระจัน เมื่อพลอาสาที่คัดได้ล้วนทหารฝีมือเป็นเยี่ยมพรักพร้อมแล้วจิกแกปลัดเมืองทวายผู้ได้แต่งตั้งเป็นแม่ทัพเพราะชำนาญศึกฝีมือดีก็ยกจากค่าย มุ่งขึ้นหนเฉียงตะวันออกเพื่อกำราบชาวค่ายระจันอีกเป็นคำรบ ๖

หลายวันที่เฟื่องหญิงชาวคำหยาดสิ้นชีวิตลาโลกไปแล้ว ผีเฟื่องก็ฝังหลุมอยู่เคียงกับนายขาบผัวรักซึ่งย้อนมาตายค่ายเหมือนหนึ่งจะรู้ความไกลว่าเฟื่องเจ้าจะตามมาอยู่ร่วมอีกเมืองผี และจะอยู่คอยชาวค่ายอื่นหรือเข้าฝันบอกเหตุดีลางร้ายแก่พี่น้องร่วมค่ายต่อไป

ท้ายวัดโพธิ์เก้าต้น พงไม้รกที่ถูกถางเตียนเพราะสองหลุมฝังและมีเชิงไม้คลุมร่มอยู่เบื้องบน ดอกไม้หอมทั้งธูปเทียนเก่าใหม่ปักอยู่ข้างหลุมเกลื่อนล ไม้ไร่ทั่วบริเวณนั้นก็ซบใบเหงาเมื่อตะวันใกล้เย็นเยี่ยงไว้อาลัยเจ้าสองรักสองราที่สงบอยู่ใต้หลุมคู่นั้นแล้ว

เบื้องหน้าหลุมศพนั้น ชายหญิงมันยืนสวมมงคลกอดคอกันเศร้า และหากจะเป็นหว่างเพลาไว้ทุกข์ หญิงเจ้าก็แต่งกายงามด้วยผ้าสีและทัดดอกไม้ไหมงามสีส้ม ผูกมือทำขวัญและมงคลขาวสวมหัวเยี่ยงเดียวกับเจ้าผู้หนุ่มที่ยืน​ตระหง่านนุ่งแพรเพลาะ ในมือถือธูปเทียนและดอกไม้

เจ้าหนุ่มประคองกายหญิงที่มีความหวาดหวั่นและโศกเศร้าให้เดินมาใกล้หลุมศพแล้วพากันคุกเข่าลง

“บอกกล่าวให้ผีเฟื่องรู้เสียเถิด” เจ้าผู้ชายพูดปลอบแล้วเช็ดน้ำตาให้ “จุดธูปเทียนบอกเขาให้รู้ว่าแฟงเป็นคู่แต่งของพี่แล้วเราจะรักใคร่กันแต่เพียงสองและขอเอาผีเฟื่องกับขาบมันเป็นพยานให้อยู่รักษาสุขของเราทุกๆ มื้อ”

น้ำตานองหน้าเจ้าแฟง หวนนึกถึงคำพี่สาวเมื่อก่อนตายให้เจ้ารู้รักฝากใจกับพี่ทัพมัน และก็เพิ่งจะผูกข้อไม้ข้อมือรดน้ำสิ้นพิธีจากเรื่องเรือนพ้นมาเมื่อครู่นี้เอง

“ฉันก็ตั้งใจอยู่เช่นนั้น” แฟงว่า “ตั้งใจที่จะบอกกล่าวทั้งขอขมาและคิดอยากจะทำบุญไปให้พี่เฟื่องด้วยก็จนใจนัก”

“นั้นซี แฟงเอ๋ย บุญทานเวลานี้จะทำที่ใดสะดวกเล่า ทั้งบ้านระจันนี่ก็มีสงฆ์แต่เพียงท่านอาจารย์ธรรมโชติองค์เดียวเท่านั้น และเราก็มาได้กันเสียหว่างศึกก็จนใจพี่นัก เถอะเมื่อเรารักใคร่กันหรือคิดจะทำบุญให้แก่เฟื่องจะเป็นไร มีธูปเทียนและดอกไม้นี่แหละเราตั้งจิตมุ่งถวายพระท่านเป็นเครื่องบูชาให้แก่เฟื่อง กุศลนั้นก็คงจะเกิดเหมือนได้ทำบุญตักบาตร” แล้วเจ้าทหารกล้าก็จุดเทียนปักแล้วแบ่งธูปให้แก่แฟงที่จะตกเป็นเมียรักมันตลอดไป

ทั้งธูปเทียนที่ปักคู่และควันขึ้นกรุ่นอยู่เหนือหลุมศพ แฟงเจ้านั่งราบประณมมืออธิษฐานน้ำตาไหลพรากสองแก้ม นอกจากจะขอขมาโทษผีพี่แล้วแฟงเจ้าก็วิงวอนขอให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ใต้หลุมนั้นจงผูกมัดใจอ้ายทหารกล้าอย่าให้มันริเจ้าชู้มากรักจนหัวใจแปรเป็นอื่นเลย

แต่เจ้าบ่าวที่จะเป็นเจ้าผัวครองเหย้าเล่า มันนั่งยองๆ เมื่อตบหลุมเรียกวิญญาณเฟื่องกับขาบแล้วตามพิธี ก็ประณมมืออธิษฐานบอกกล่าวให้แฟงได้ยินดังพูดกับเฟื่องผู้มีชีวิตฟังคำเมื่อก่อน

“เฟื่องเอ๋ย หากกายเฟื่องจะเป็นผีไปแล้วก็ให้มิ่งขวัญที่เป็นวิญญาณเหลือเฝ้าหลุมของเฟื่องจงฟังสัญญาที่รับคำไว้นั้น แฟงมันเป็นคู่แต่งของพี่แล้วเมื่อครู่ พี่จะรักมันให้มากเหมือนเมื่อพี่รักเฟื่องหนหลัง และขอให้เฟื่องทั้งผีเจ้า​ขาบจงเป็นพยานจงคุ้มรักพี่กับแฟงให้ตลอด จงคุ้มค่ายคุ้มทหารระจันอย่าให้รู้พ่าย ขอให้ค่ายระจันจงชำนะและได้ยกขึ้นตีศึกที่ล้อมกรุงหลวงถวายคุณแก่แผ่นดิน”

สิ้นอธิษฐาน ควันธูปและเปลวเพลิงเทียนนั้นก็ย้อนปั่นป่วนตามฤทธิ์ลมดังหนึ่งวิญญาณเจ้าเฟื่องมารับรู้ และยินดีในงานมงคลบ่าวสาวของคนที่เจ้าเคยรัก ทัพมันเห็นให้นึกอัศจรรย์ขนเกรียว จึงประคองแฟงให้ยืนและกล่าวอำลาผีแล้วมันก็ชวนเจ้างามที่จะอยู่ร่วมเหย้าเป็นเมียรักตลอดไป

“กลับเถอะรึแฟง กลับไปไหว้ขอพรท่านแม่ทัพนายแท่นที่เจ็บอยู่ก่อน แล้วจะได้ไปพักเหนื่อยกระท่อมเรา”

แฟงพยักหน้า “ก็ดี เพราะพี่ก็เหน็ดเหนื่อยอยู่มากตั้งแต่เช้า จะได้พักเอนหลังมั่ง”

“อ๋อ พี่รึ” ทัพประคองแล้วจับหน้าเชยขึ้น “พี่รึจะรู้เหนื่อยเมื่ออยู่กะแฟง เออ แฟงเอ๋ยเราก็เห็นแต่เพียงเจ้ากับพี่เท่านั้น” แล้วก็รั้งเจ้ามากอดจูบ แล้วก็กระซิบว่า “ต้องจูบให้เฟื่องเขาเห็นเสียหน่อย”

“แผลงมนุษย์แท้ ช่างไม่อายกะผีเสียมั่งเลย” แล้วแฟงก็หยิกข่วน แต่ทัพกลับหัวเราะเพื่อชวนให้แฟงสนุกหายเศร้า

“อายอะไร พี่จูบเฟื่อง เอ็งก็ปีนตาลต้นสูงแอบดู แล้วนี่ถึงคราวเอ็งมั่งมันก็ต้องให้เขารู้เขาเห็นถึงจะถูกธรรมเนียมไม่เอาเปรียบ”

แฟงอาย สะบัดผลุนผลันแล้วออกวิ่งหนี เจ้าทัพที่จะครองเป็นผัวก็กวดไม่ลดละ แต่อีแฟงมันวิ่งเปรียวราวกระต่ายป่า มันวิ่งออกท้ายวัดเห็นมงคลหัวไวๆแล้วแถมตะโกนมาว่า

“ถ้าพี่กวดไม่ทันก็อย่าไปรบกะพม่าเลย แลคืนนี้ก็จงนอนเฝ้าประตูคนเดียวนอกกระท่อมเถอะ ฉันหาเปิดรับไม่”

มันตะโกนไปว่า “อุบ๋า แฟง ถ้าแกล้งกันถึงงั้นล่ะก็ย้อนมาฟันเอาสักร้อยแผลยังจะดีเสียกว่า อ๋อ คิดว่าจะหนีพ้นมืองั้นรึ” แล้วก็กวดตามติดๆ เข้ามาและตะโกนสำทับมาอีกว่า “อย่าหนีเลย แน่ะเฮ้ยแฟง ข้าให้เอ็งเนรมิตมีปีกบินได้ด้วยเอ้า ถ้าข้าจับเอ็งจูบไม่ได้ละก็คืนนี้จะนอนเฝ้ากระท่อมคนเดียว”

แล้วมันก็กระชั้นเข้ามาจนแฟงเหนื่อยต้องหยุดให้มันจับอุ้มจูบจนหนำใจมัน ​แต่แฟงก็ไม่ต้องเดินดินกลับกระท่อมเมื่อพลบค่ำ

รุ่งสว่าง นกดงมันจากรังไปแล้วเพื่อหากินหนอื่น แต่ชาวค่ายที่เป็นเหล่ารบกำลังฝึกซ้อมประลองฝีมือกันเช่นเคย ทุกลานดินทุกหย่อมหญ้าสนามฝึกทั้งดาบสองมือและโล่ดั้งต่างซ้อมต่างหัดเป็นคู่ๆ

แต่เจ้าหนุ่มฝีมือครูมิได้ลงสนามฝึกเช่นวันเคยครั้งก่อน หากมันจะตื่นเช้าและแต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จ แต่ครั้นแล้วก็หวนเข้ากระท่อมมิมีแก่ใจที่จะออกฝึกฝีมือทหาร เฝ้ามองเฝ้าแลเมียสาวที่รีบตื่นก่อนไม่ทันสว่างแล้วก็คอยหลบหลีกซ่อนหน้าไม่ยอมพบหรือพูดจาด้วยซึ่งหน้า ไม่เหมือนอีแฟงเมื่อวันวานเลย

แฟงยืนเยี่ยมหน้าต่างหันหน้าหนีเจ้าผัวรัก ความอายไม่ผิดคู่ผัวคู่เมียอื่นใดที่มีอยู่มากสถานไรเมื่อเพิ่งแต่งแฟงก็มีอยู่มากสถานนั้น จึงต้องรีบหนีตื่นก่อนแล้วก็หลบเลี่ยงหน้ามันอยู่ตลอดเวลา

ใครมายืนหายใจรดอุ่นๆ อยู่ข้างหลัง แฟงไม่กล้าจะเหลียวเพราะรู้อยู่ดีแล้วก็ได้ยินออเซาะมา

“แฟง พี่จะไปฝึกทหารไม่เห็นพูดด้วยสักคำ”

“ก็ไปล่ะซี” แฟงพูดไม่เหลียวดู

มันชิดมาอีก ชิดมาจนจมูกชนแก้ม “จะอายเหนียมอะไรกันล่ะนะแฟง เอ็งก็เป็นเมียพี่ ผู้หลักผู้ใหญ่รู้เห็น”

แฟงตวาดหัวเราะปนมา “ก็ใครว่าอะไรล่ะนะ ไปก็ไปเหอะ”

“อ้าว รึเคืองว่าวิ่งหนีเมื่อวานไม่พ้น และข้าไม่นอนเฝ้ากระท่อมบุกรุกเข้ามาหา เฮอะ”

เอ๊า ยั่วไม่สิ้นเลย ตั้งแต่หัวมืดมาแล้ว

ทัพปลื้มอกปลื้มใจ แล้วก็รวบเมียมากอด “แฟงอยู่คอยพี่นะ ไปเดี๋ยวเดียวชั่วบอกให้อ้ายสังข์มันหัดแทนเท่านั้น”

“ม่ายละ ขืนรีบกลับ หน่อยฉันก็ถูกล้อจนพบหน้าใครไม่ได้หรอก ไปเหอะ ไปทำงานให้สิ้นหน้าที่เสียก่อนจะหุงข้าวไว้ให้”

“ไม่กินละข้าว เมื่อกลับขอให้ได้จูบอีกก็แล้วกัน”

​“อิ่มเรอะ”

“อือ ไม่เชื่อก็ทุบหม้อข้าวทิ้งเป็นพยานก่อนก็ได้”

“ย่ะ ฉันจะได้พลอยหิวไปด้วย”

มันหัวเราะคิดตลกคะนอง หัวใจไม่ได้คิดอะไรห่างออกถึงประตูกระท่อมเลย ดวงใจมันคงวนเวียนอยู่ตามร่างงามของอีแฟงเท่านั้น แล้วก็กอดเจ้ากลม แกล้งเถลไถลไม่พูดถึงงานฝึกทหารอีก

จนสายแดดกล้า พวกทหารฝึกฝีมือพากันกลับพักผ่อนคืนเหย้าหมด แต่บรรดาพลทั้งค่ายเล็กค่ายใหญ่ยังหามีผู้ใดรู้ความแท้ไม่ว่ากองสืบเหตุได้นำข่าวศึกแล่นขึ้นรายงานแล้วต่อพันเรือง กระทั่งกลองและเกราะรบระดมศึกรัวขึ้นแล้วผู้คนก็วิ่งกันสับสนอลหม่านตรงไปเรือนกำนัน

ทัพมันกำลังพลอดเพลินกับเมียสาว แฟงก็เพิ่งจะสร่างอายพอเข้าหน้าผัวที่มันเฝ้าล้อเลียนได้ติดอยู่สักครู่ เสียงเกราะแว่วๆ และกลองโหมระดมมาเป็นจังหวะบอกศึก มันตะลึงงัน รบอีก รักอีแฟงแต่งเป็นเมียชั่วข้ามคืนมันจะต้องทิ้งให้แฟงอยู่เหย้าไปรบอีก มิทันจะได้พูดขานประการใด นายสังข์กับฟักก็วิ่งเข้ามา

“พี่ทัพ วิเศษมั้ยล่ะเรา” นายสังข์ตบมืออยู่ฉาดฉานหน้าตายิ้มแย้ม “พม่ามันจะมาวินาศอีกกระมังถึงยกมาแต่เพียงร้อยล้วนพลดาบสองมือสิ้น แลท่านพันเรืองจะตั้งพี่เป็นแม่ทัพ แล้วเอาพลสองมือของเรารบอวดผีมือมัน”

“อ๋า” ทัพถลันยืน “พม่ายกมาแต่ทหารดาบสองมือแต่เพียงร้อยงั้นรึแล้วกูเป็นแม่ทัพ บ๋าอ้ายสังข์เอ๋ย” แล้วมันกลับหันกอดแฟงด้วยใจเผลอร้อง “อ้าวเหอะ เหมือนกันแน่ะเจ้าแฟง เฮ้ยอ้ายสังข์ กูจะฟันให้กระฉ่อนทั้งระจันอวดมือทหารศรีอยุธยาให้มันเห็น แน่ะเว้ย เฮ้ยสังข์ ทหารหัดเราน่ะมันอ่อนแต่เพียงมือพวกเราหรอกวะ เหอะ ถ้ากูเป็นแม่ทัพแล้วมาสู้กันแต่เชิงฝีมือดาบละกูให้มันสองร้อย จะฟันไม่ให้เหลือไปถึงมื้อเย็นเลย”

ทั้งนายสังข์และแฟงที่ฟังมันพูดแต่ผู้เดียว สังข์ปลื้มแต่แฟงถึงจะเชื่อไว้ใจฝีมือก็อาลัยนัก

มันแต่งตัวครบศึก ครบเยี่ยงชายชาตรีชาญสนาม แล้วปลงอารมณ์คาด​ประเจียดสะพายดาบดูฤกษ์ยามตามพิธีตำรับทั้งลมจันทร์ลมสูรย์

มันตบมือฉาดใหญ่ ตบมือที่แฟงก็ไม่คิดว่าหัวใจมันจะเป็นเช่นนั้น แต่เจ้าผัวมันกลับปลื้มเห็นไปศึกเป็นสนุกสนาน

“เหมาะวะสังข์ เหมาะที่ทหารระจันจะได้สู้กะพม่าเป็นคู่ๆ เหอะมึงไปก่อน ไปเกณฑ์ทหารดาบเอาครบแต่เพียงร้อยแล้วล่วงหน้าไปเรือนท่านกำนันก่อนทั้งอ้ายฟักด้วย”

นายสังข์พอรู้ใจ จะยิ้มซึ่งหน้าก็เกรงแฟงจะอับอาย จึงรีบหันกลับออกกระท่อมไปก่อน แต่ทัพหาคิดจะเอาใจใส่ไม่ มันหวนกลับเข้าหาเมียมัน

“แฟงเอ็งจำคำเฟื่องเขาได้อยู่ไหม”

แฟงฝืนที่จะยิ้มมิให้เป็นลางห่วงแก่ผัวเจ้าแล้วสั่นหน้านึกไม่ออก “ไม่ได้หรอกพี่ มัวแต่ร้องไห้เลยไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร”

“อ้าว มานี่ซีล่ะ” มันรั้งตัวให้แฟงมาแนบอก “คำเฟื่องก็คือให้เอ็งระวังใจผัวเมื่อไปศึก อย่าให้หมองซีล่ะ”

แฟงรู้ทัน แต่เจ้าก็ระลึกถึงคำพี่ได้มั่งเมื่อก่อนตายจึงซุกหน้าลงแอบมัน

“พี่ไปศึกเถิด แฟงจะคอยพี่ แฟงจะคอยชนะคอยปลื้ม”

ทัพรัดแน่นหนักมือขึ้น เมียมันจะมีแต่คนเดียวแท้ทั้งเมืองคนเมืองผีคืออีแฟงนางเดียว จูบกอดแล้วก็ประคองเจ้าเดินมาที่ประตูกระท่อม

“แฟงอยู่ดีเถิดนะ แฟงเอ๋ย เอ็งปลื้มเสียให้มากๆ เหอะ ผัวแฟงมันใช่จะไปศึกเยี่ยงทหารเลวไร้ฝีมือ แต่ผัวแฟงมันจะเป็นแม่ทัพไปล้างศึกเอาชนะมาให้เมีย ค่ายระจันมันจะโห่รับพี่เมื่อเสร็จศึกกลับ แล้วเอ็งก็จะต้องมีหน้าเพราะผัวมันชนะ”

แฟงประณมมือฟังแล้วก็ไหว้ “คุณพระจงคุ้มพี่ไปตลอดศึก”

ทัพเข้าสวมกอดอีกแล้วก็ตัดใจหันหลังให้เจ้า หันหลังเดินแล้วก็เหลียวมาดูโบกมือให้แฟง ส่วนหัวใจแท้มันนั้นหากเมียมันหูทิพย์ก็จักได้ยินถนัดทุกก้าวที่มันเดินท่องจากไปว่า หัวใจพี่ยังหลับเคลิ้มเหมือนอยู่กับแฟงเมื่อคืน ดวงใจมอบเมียขวัญกว่าจะเสร็จศึกกลับมารักกันอีก

แฟงคุกเข่าลงหน้ากระท่อมแลมันจนลับตา แล้วก็ตั้งใจอธิษฐานถึงผีเฟื่องให้อยู่คุ้มรักผีนายขาบพี่เขยและกองม้าคำหยาดจงติดตามมันไปหักศึกด้วยเถิด


Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,458


View Profile
« Reply #5 on: 15 May 2022, 13:19:28 »


๔ เกียรติศักดิ์รักของข้ามอบไว้แก่ตัว
​ท้องฟ้าเวิ้งมีเมฆกลุ่มจับพยับสำแดงฝนต้นฤดูได้เริ่มแล้ว กรุงศรีอยุธยาพระนครหลวงซึ่งถูกพม่าศึกยกมาประชิดล้อมพระนครไว้ทั้งทัพบกทัพเรือทุกด้านนั้นก็พอจะเห็นช่องชำนะ โดยถ่วงการศึกนี้ให้ล่าช้าคอยจนกว่าฝนจะลงชุก หรือน้ำเหนือหลากมาท่วมก็จะแต่งทัพในกรุงยกออกโจมศึกนั้นให้พ่ายแพ้ยับเยินไม่ต้องเลิกทัพถอยไปเองเพราะฝนและน้ำนั้นหลากมา แต่ความคิดเห็นเหล่านี้หากจะเป็นข้อใหญ่สำคัญก็หาอาจที่จะเปลื้องความวิตกทุกข์ร้อนใจของเหล่าราษฎรซึ่งถูกล้อมอยู่ภายในกำแพงกรุงนั้นได้ไม่ ด้วยปรากฏความว่า ทัพหลวงที่แต่งออกไปต่อตีข้าศึกครั้งไรก็มีแต่พ่ายแพ้กลับมาทุกครั้งทุกหน กระทั่งกิตติศัพท์เลื่องลือมาว่าชาวบ้านระจันอันเป็นชนบทน้อยโน้น ซึ่งมีหัวใจแกล้วกล้ารักบ้านเกิดเมืองนอนต่างมีใจเจ็บร้อนแทนชาติและเพื่อนร่วมเมือง ได้พร้อมใจกันตั้งค่ายขึ้นต่อสู้พม่าข้าศึก ตีพม่าทั้งใหญ่น้อยที่ยกไปปราบปรามแตกพ่ายย่อยยับมาแล้วหลายครั้งหลายหนเป็นที่เลื่องลือจนข้าศึกเกิดระย่อกลัว​เกรงฝีมือและถอยกำลังลง เพราะไพร่พลพม่าที่ยกไปและพ่ายแพ้มาทั้ง ๖ ครั้งนั้นถูกชาวค่ายระจันฆ่าตายเสียมากกว่าจะเหลือกลับอันเป็นข้ออัศจรรย์ยิ่ง พวกข้างในกรุงทั้งทหารและพลเรือนเมื่อได้ข่าวก็พากันมีใจมิ่งขวัญอันเคยหวาดกลัวว่าไทยจะพ่ายแพ้ก็อันตรธานเสื่อมหาย และต่างก็กล่าวสดุดีในความกล้าหาญสามารถของชาวค่ายระจันอยู่ไม่ขาด แล้วทัพข้างกรุงก็ค่อยเกิดกำลังน้ำใจฮึกเหิมที่จะคิดสู้ศึกยิ่งขึ้น

จึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเอกทัศน์ก็โปรดเกล้าฯ ให้พระยาพระคลังถืออาญาสิทธิ์เป็นแม่ทัพพร้อมด้วยท้าวพระยาข้าราชการใหญ่น้อยทั้งปวงสมทบกับทัพหัวเมืองที่เกณฑ์ไว้เป็นพลหมื่นหนึ่งให้ยกออกไปตีค่ายใหญ่พม่าอันตั้งอยู่ปากน้ำพระประสบข้างฝ่ายเหนือเป็นการซ้ำเติมตัดกำลังเพื่อพ่ายแพ้เสียโดยเร็ว

พระยาพระคลังกับนายทัพนายกองทั้งปวงก็กราบถวายบังคมลายกออกจากพระนครในวันนั้น รี้พลมากมายเต็มไปทั้งท้องทุ่ง มีทั้งกองอาทมาตผู้ชำนาญในวิทยาคมและฝีมือนำทัพไป อันการรบนั้นเล่าทัพข้างฝ่ายกรุงก็มีน้ำใจกล้าหาญมิ่งขวัญอยู่และเข้าโจมตีจนพม่าเกือบจะต้องเสียค่าย หากแต่พระยาพระคลังแม่ทัพมิได้เตรียมการที่จะหาเครื่องกำบังกระสุนปืน เมื่อเข้าประชิดค่ายจึงต้องถอยกลับเสียครั้งหนึ่งก่อน และต่อมาอีก ๒-๓ วันจึงโปรดเกล้าฯ ให้พระยาพระคลังยกไปอีก แต่การรบครั้งนี้ทัพไทยยังมิทันจะได้เข้าตีค่ายก็ถูกพม่าแต่งกลหลอกให้รี้พลเปิดประตูหลังค่ายหาบคอนทำทีจะแตกหนี เมื่อกองอาทมาตของฝ่ายไทยยกล้ำเข้าไป เนเมียวมหาสีหบดีแม่ทัพใหญ่จึงขับพลพม่าทั้งกองม้าและพลเดินเท้าเข้าโอบหลังโจมตี ทัพข้างฝ่ายกรุงก็ล้มตายพากันแตกหนีถอยมา ณ โพธิ์สามต้นทั้งสิ้น บรรดาราษฎรที่ชักชวนกันติดตามกองทัพออกไปดูการรบก็ถูกฆ่าฟันล้มตายเสียมาก แต่วันนั้นกองทัพพระยาตากสินมิได้แตกจึงช่วยรอรบป้องกันไว้แล้วข้ามมาฟากตะวันออกต่อภายหลัง ฝ่ายข้างทัพพม่าเห็นมีชัยเป็นทีจึงให้กองทัพหน้ายกตามมาตั้งค่ายอยู่บ้านโพธิ์สามต้นประชิดใกล้พระนครยิ่งกว่าก่อน

แต่เนเมียวมหาสีหบดี แม่ทัพใหญ่ฝ่ายเหนือของพม่ายังคงมีความร้อนใจอยู่มาก ในเมื่อจิกแกปลัดเมืองทวายซึ่งยกไปรบชาวค่ายระจันและแตกพ่ายมาเป็นครั้ง ๖ จึงเกรงไปว่าหากชาวค่ายระจันจะแต่งทัพยกมาตีเป็นศึกกระหนาบ​ช่วยกรุงแล้วก็น่าที่ทัพพม่าจะต้องพ่ายแพ้ปราชัยเป็นแน่ เพราะกิตติศัพท์ในการรบและฝีมือของชาวบ้านระจันเป็นที่เลื่องลือและครั่นคร้ามแก่ไพร่พลพม่ามากมายนัก

ครั้นแล้วเนเมียวมหาสีหบดีก็คิดที่จะปราบปรามชาวค่ายระจันให้แพ้เสียโดยเร็วก่อนที่จะยกมาช่วยกรุง จึงสั่งให้นายทัพนายกองเรียกทหารอาสาพลสมัครเลือกสรรแต่ที่กล้าหาญคัดมาทุกๆ ค่ายจัดเป็นกองทัพมีทั้งทหารม้าและราบพลเดินเท้าเป็นพลพันเศษ และมากกว่าทุกๆ ครั้งพร้อมด้วยอาวุธ ให้อากาปันญีถืออาญาสิทธิ์เป็นแม่ทัพยกขึ้นไปปราบปรามชาวค่ายระจันเป็นศึกใหญ่

บางระจัน อันเป็นบ้านดอนชนบทอยู่หว่างแคว้นวิเศษไชยชาญกับสุพรรณและเมืองสิงห์ต่อกัน นับแต่ชาวบ้านได้ร่วมใจกันตั้งค่ายขึ้นรับศึกพม่าเมื่อเดือน ๔ ปีระกาจนถึงย่างเดือน ๗ ปีจอนี้ครัวซึ่งอพยพมาจากหนอื่นและแคว้นต่างๆ เมืองก็เพิ่มมากขึ้นเสบียงอาหารซึ่งสมบูรณ์อยู่แต่ก่อนก็ร่อยหรอขาดแคลนลง จึงผู้เป็นหัวหน้าจำต้องแต่งชาวค่ายยกออกเป็นกองเที่ยวลาดหาเสบียงตามที่ต่างๆ ที่เป็นคนระจันมีถิ่นฐานเป็นพื้นอยู่เดิมก็คิดไถคิดหว่านเพื่อสะสมเสบียงเตรียมไว้สู้ศึกแรมปี

ฝนย่างฤดูยังตกปรอยๆ ไม่ขาดเม็ด ถึงกระนั้นที่ชายแดนเปลี่ยว บ้านขุนโลกใต้บางระจันไปโน้น ชาวค่ายที่ยกกองออกลาดหาเสบียงและจากกระท่อมพักในค่ายมาแล้ว ๓-๔ วัน ซึ่งกำลังจะยกกลับก็ยังต้องอาศัยหลบฝนอยู่ตามโคนไม้ ม้าหมู่อีก ๗-๘ ตัวซึ่งคัดล้วนแต่ทหารค่ายฝีมือดีสำหรับคุมกองเสบียงก็เตรียมอยู่พร้อมที่จะยกออกเมื่อฝนหาย

ถึงไม่ใช่กองม้ากล้าบ้านคำหยาดที่เสียชีวิตไปแล้วกลางศึกหนโน้น และเป็นเพียงม้าเชลยซึ่งยึดไว้ได้ แต่คนขี่นั้นล้วนด้วยทหารฝีมือดีบ้านระจันที่เจนศึกมาแล้วทั้งขบวนรบหลังม้าและพลเท้าดาบสองมือ ตะวันบ่ายฝนปรอยเม็ดและฟ้ายังครึ้มด้วยเมฆกลางหาว ทั้งแสงแดดอ่อนกับสายฝนกลางทุ่ง ทำให้เจ้านายกองเสบียงเหงาหัวใจหวนคิดถึงทับอาศัยที่จากมาหลายวัน เมียรักเจ้าจักนอนหนาวคอยอยู่ที่ค่าย แฟงที่มันปรนปรือหัวใจให้ได้สุขเป็นยอดเยี่ยม ศึกดาบสองมือที่​มันยกออกห้ำหั่นกับพม่ากลางแปลงพาชนะไปให้ชาวค่ายครั้งที่แล้วเล่า ก็เพราะแฟงเจ้าคอยบำเรอและปลอบให้เกิดมานะทำศึกอยู่หลัง

มันยืนม้ามองเร่งให้ฝนขาดเม็ดด้วยหัวใจป่วนคิดถึงแต่แฟง ถึงมิใช่หลังอ้ายเลาม้ารู้คำหยาดที่ตายไปแล้ว แต่มันก็ฝึกปรือให้เป็นม้าศึกรู้ขบวน และให้ชื่อว่าอ้ายเชลยตามที่ยึดไว้ได้

เจ้าเชลยคงผกหน้าผกหลังที่จะออกห้อคืนค่ายจนต้องรั้งบังเหียนผกกลับมาอีก แล้วเสียงหัวเราะจากคนที่ขี่อยู่ตัวหลังๆ ก็ก้ากขึ้นพร้อม

“อ้ายเชลยคงคิดถึงคอกเต็มประดา” แล้วก็ฮาขึ้นพร้อมอีก

เจ้าทัพที่ถูกอ้ายม้าเชลยทำให้เสียหน้า หันมาทำตาขุ่นเพราะรู้ว่าถูกเหน็บแนมจึงพูดตรงๆ

“มึงก็คิดถึงอีจวงวะอ้ายสังข์ ถึงอ้ายฟักก็เหอะ ป่านนี้นังโฉมมันก็คงคอยหาอยู่เหมือนกัน อย่าว่าแต่กูเลย”

เจ้าฟักไม่รู้เรื่อง “อ้าว ฉันยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ” แล้วก็พูดไม่รู้ไม่ชี้กับนายสังข์ที่ยืนม้าอยู่ข้างๆ “อีแฟงมันสวดมนต์เก่งรู้มั้ยล่ะพี่สังข์ ป่านนี้มันมิเร่งมนต์ยกใหญ่แล้วรึ อ้ายเชลยถึงได้ปั่นป่วนจะออกห้อให้ได้”

“อัปรีย์” ทัพด่าเจ้าพี่เมีย แต่ก็อดหัวเราะไม่ได้ “เหอะกลับนี่กูจะยุให้เจ้าโฉมกะอีจวงตบหน้าเสียทั้งสองคน”

กลับถูกหัวเราะเยาะใหญ่โต แล้วเจ้าฟักก็ย้อนให้

“อีแฟงก็น้องฉัน ก็คงจะพอพูดพอจาให้แยกมาอยู่กะแม่ที่กระท่อมได้”

“แล้วมึงนึกว่ากูจะวิตกเพราะอยู่คนเดียวงั้นเรอะ”

“จะอะไรเสียอีก” นายสังข์สอดช่วยเจ้าฟัก “เพียงจะจากมาหาเสบียง ๓-๔ วันยังลาแล้วลาอีก อ้ายเรารึยืนคอยจนแสนเมื่อย”

“มึงเห็น”

“เห็นซีล่ะ” นายสังข์ยัน ชี้ไปที่เจ้าฟักคนโสด “ถามอ้ายฟักปะไร โอ๊ย-แอบดูแอบฟังสารพัดจะได้ยิน”

พอรู้ว่าความแตก เจ้านายม้าก็แสนอาย แล้วก็ต้องแก้อายด้วยเตือนอ้ายเชลยโผนเข้าไล่ชนม้านายสังข์และเจ้าฟัก

​แต่พวกกองเสบียงทั้งชายหญิงที่เปลื้องหาบคอนนั่งพักคอยฝนหาย พากันยืนแตกตื่นชี้มือไปฟากทุ่งและเสียงพูดเสียงโจษกันแซ่ด ทั้ง ๓ คนที่กำลังชักม้าไล่ล้อกันต้องรั้งบังเหียนชะงัก ทัพมันป้องมือมองเห็นคนหมู่ใหญ่ทั้งหญิงชายกำลังวิ่งอลหม่านบ้างหอบหิ้วห่อของทั้งลุ้มลูกเล็กเด็กแดงและลากจูงกันสับสนกันอยู่ชายดงไม้ฟากทุ่งโน้นกำลังจะมุ่งมา

มันคิดไม่ออกว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่ สาเหตุก็ไม่มีที่จะให้เกิดกาหลเช่นนั้น

“สังข์ อ้ายฟักด้วย” มันเรียกเพื่อนทุกข์ร่วมใจแล้วสั่งว่า “ควบไปให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้แหละ ข้าจะทิ้งไปก็ห่วงเสบียงข้าวของทางนี้”

ชั่วสั่งนั้น ม้าคู่ของเจ้าฟักกับนายสังข์ก็ห้อตัดทุ่งลิ่วตรงไป ทัพมันยืนป้องหน้าคอย และยิ่งร้อนหัวใจนักเมื่อเห็นกลุ่มคนล้อมหน้าล้อมหลังม้าทั้งสองอยู่ลิบๆ แล้วก็ออกวิ่งตาม สักครู่ม้าของนายสังข์กับเจ้าฟักก็ห้อกลับมาถึง

“ครัวไทย พี่ทัพ” นายสังข์บอกยังหอบชี้มือไปทางกลุ่มคนร่วม ๒๐ ที่กำลังวิ่งอยู่กลางทุ่งไกลมา “ครัวชาวบ้านที่หนีมาจากตะวันออกบอกว่ารู้ข่าวพม่ากำลังยกทัพใหญ่มาเพียบทุ่งจะถึงขุนโลกนี่ราวกลางดึกหรือพรุ่งนี้เป็นอย่างช้า และพวกนี้ก็ถูกอ้ายกองล่วงหน้าลาดตระเวนมันไล่หลังมา”

ทัพชะโงกม้าเข้าใกล้ย้ำถามว่า “ฮะ พม่ายกมาอีกและกำลังไล่ครัวมางั้นรึ”

“จ้ะพี่ มันกำลังไล่มาจะจับครัว อ้ายพวกลาดตระเวนมีสัก ๑๐ กว่าคนตามที่พวกหนีมาบอกฉัน เอ้อ มาถึงกันมั่งแล้ว” สังข์ชี้ทางพวกชาวบ้านที่กำลังวิ่งมาไล่ๆ กันทั้งลูกเล็กเด็กแดงต่างก็ร้องไห้ตื่นตระหนก แต่ฟากทุ่งโน้นทหารพม่าหมู่หนึ่งกำลังโผล่ดงไม้มา

“สังข์ ชักม้าแอบเข้าดงเร็ว” มันบอก และเร่งให้พวกครัวเข้ารวมกับกองเสบียง แล้วสั่งพวกพลที่คุมกองเสบียงมาอีก ๗-๘ คน “ขึ้นหลังม้า อ้ายฟักกับเจ้าสังข์ไปคุมอยู่หลัง ระวังตามข้าให้ทัน”

ชั่วสั่ง ม้านั้นก็มีคนประจำหลังพร้อมทุกตัว ดาบแล่นจากฝักเป็นคู่ๆ กองเสบียงที่เป็นชายก็คุมเชิงอยู่รอบหาบคอนและพวกครัวที่หนีร้อนมาพึ่ง

​ฝนกลับเทซ้ำลงมาอีก หากจะตกหนาเม็ดกว่าเมื่อแรกแสงแดดก็คงเหลืองจับทุ่ง พม่าวิ่งมาพร้อมด้วยเสียงโห่ขู่ขวัญพวกชาวครัวไทยอย่างกำเริบ ดาบก็กวัดแกว่งร้องเร่งพวกกันโดยหาสำนึกไม่ว่าครัวที่หนีร้อนนั้นได้แฝงอยู่หลังทหารกล้าบ้านระจันแล้วทุกชีวิต

กองลาดตระเวนนั้นคงแล่นมาอีก วิ่งคุมกันเนืองๆ มาเป็นหมวดหมู่เกือบ ๒๐ คน เพราะหวังเชลยศึกที่หนีเตลิดมาก่อน ทัพมันแฝงอยู่หลังไม้พุ่ม อ้ายเชลยก็หวนจะออกแล่น พอเห็นศึกล้ำฟากทุ่งมา ดาบสองมือก็ควงลิ่วแล้วหันพยักสั่ง

“ตามให้ทัน ย่ำเสียอย่าไว้จนคนเดียว” พอกระทืบโกลนอ้ายเชลยก็ผงาดออก ม้าหลังก็โผนตามบังเหียนมัดติดเอว พวกครัวที่หนีมาหวุดหวิดชีวิตต่างประนมมือเอาใจช่วยขอทหารกล้าจงชำนะ ผีและปู่เจ้าประจำไพรทั้งท้องทุ่งบ้านขุนโลกนี้จงคุ้มไทยให้ชนะ และเมื่อรู้จากชาวเสบียงว่ากองม้าที่ควงดาบแล่นไปโน้นคือชาวค่ายระจันที่เลื่องลือ ต่างก็กล่าวคำสดุดีพากันมั่นใจในฝีมือรบ

ชั่วแล่นถึง เจ้าม้าเชลยก็ถูกเตือนโผนเข้ากลางหมู่เหยียบย่ำและผกหน้าโถมใส่ ดาบสองเล่มในมือเจ้าของบนหลังมันเสียงฉิวติดลมตัดเนื้อและคอแขนลงหล่นเกลื่อน ม้าหลังก็วนเวียนตะลุยตามอ้ายเชลย ทุกหัวใจคะนองศึกแค้นนักหนาที่พลศึกเหล่านี้ไล่ต้อนข่มเหงครัวไทย น้ำตานองหน้าของพวกครัวที่หนีร้อนมาเมื่อครู่ทั้งลูกเล็กเด็กแดงได้ลำบากยังเห็นอยู่ติดตา ก็จงรู้เสียมั่งเถิดว่าเมืองศรีอยุธยายังไม่ไร้ผู้ชาย ไม่สิ้นทหารจะสู้ศึกและนี่ก็ทหารค่ายระจันบ้านน้อยที่ไม่ยอมจะนิ่งให้ใครมาดูแคลน ครั้นแล้วพลลาดตระเวนทัพใหญ่ของอากาปันญีก็วอดวายลงสิ้นอยู่แทบฝีเท้าม้า

“หมดแล้ว” ทัพกู่ก้องส่งเสียงสนั่นอยู่กลางพลข้าศึกหาชีวิตไม่แล้วควงดาบเตือนอ้ายเชลยแล่นมาที่พวกซึ่งชักม้าหันหวนเหมือนหนึ่งจะนับจำนวนศพ “ไม่เหลือจนชีวิตเดียวเออ ทหารเพื่อนเมือง ไปสู่สวรรค์ที่ชอบ อย่าผูกเวรเลย”

ทั้งกองลาดเสบียงและครัวเรือนโหเกรียวออกจากชายดงทุกหน้ายิ้มแย้ม บ้างตะโกนเสียงเครือล้วนแต่เป็นความปลื้ม กองครัวบ้านขุนโลกนั้นทั้งหญิงชายและผู้เฒ่าบางคนก็หลั่งน้ำตาไม่นึกว่าจะรอดก็กลับรอด อีกประการหนึ่งเล่า ตาม​กิตติศัพท์ที่เลื่องลือนักหนาก็เพิ่งประจักษ์มื้อนี้เอง น้ำใจและฝีมือกล้าของทหารค่ายช่างเป็นอัศจรรย์นัก

เจ้านายกองลาดเสบียงกับพลบ้านระจันถูกหญิงชายล้อมหน้าล้อมหลังทั้งกล่าวคำชมเชยและกอดรัดขอฝากชีพไว้กับทหาร บ้้างก็เข้าเก็บยึดเครื่องสาตราวุธของพม่าไว้ทำศึก และหญิงหนึ่งนั้นหน้าเจ้าคมคายก็กรากเข้ายึดบังเหียนอ้ายเชลย

“ทหารระจัน” เจ้าเรียกไม่รู้ชื่อแล้วก็ร้องไห้ “หากพบกันเร็วอีกครู่แล้วพ่อฉันคงไม่ตาย”

ทัพสงสัย “พบกันเร็วพ่อเจ้าไม่ตายงั้นรึ เอ๊ะ ก็มันเพราะเรื่องอะไรล่ะ”

หญิงนั้นกลับเพิ่มโศกเศร้าขึ้นอีก ชี้ที่เหล่าศพพม่าซึ่งนอนอยู่เกลื่อนดินแล้วก็เล่าความ “พ่อแกเป็นนายบ้านขุนโลกข้างใต้โน้น ตั้งใจจะเข้าอาศัยค่ายระจัน แต่พม่าก็ยกมาไม่หยุดหย่อนจึงต้องพาพวกครัวหลบเข้าดงอยู่นานนัก แล้วได้ข่าวว่าทหารระจันออกลาดเสบียงก็จะพาครัวเข้าหา พวกเหล่านี้แหละที่ฆ่าเพราะพ่อแกสู้ พวกฉันก็รีบหนีมา แต่อีกครึ่งหนึ่งถูกจับส่งไปแล้วทั้งแม่ด้วย”

ทัพมันนิ่งฟังเกิดสลดใจ นึกแต่ว่าเป็นกรรมแท้ของชะตาเมืองที่จะต้องเดือดร้อนทุกเส้นหญ้า ลูกแม่ทั้งพ่อและญาติพี่น้องต้องพลัดพรากไปคนละทิศบ้างตายบ้างสูญไม่ได้ข่าว และทุกข์เข็ญนั้นตกอยู่กับผู้หญิงคนเฒ่าคนแก่และเด็กไม่เดียงสานั้นมากกว่าใครอื่น

มันพูดปลอบไปตามการ และนึกสะกิดถึงคำเล่านั้น จึงถามว่า

“พวกลาดตระเวนหน้ามันมีอีกหรือ”

“มีอีก มีมากร่วมห้าหกสิบ แต่คุมครัวที่จับได้คอยพวกที่ตายนี่ เพราะนึกว่าพวกฉันจะไม่พ้นมือ”

ทัพมันได้คิดทันที พลพม่าคงจะรีบตามมาอีกเมื่อเห็นช้าและกองลาดเสบียงของบ้านระจันก็มีอยู่น้อยตัว และยังจะต้องห่วงหน้าห่วงหลังทั้งครัวและเสบียงที่ลาดหาไว้ ส่วนมานะสู้ใจร้อนด้วยคิดสงสารพวกครัวที่ถูกพม่าต้อนไปก็มีอยู่นัก มันแทบจะคลั่งใจตาย มันแทบจะร้องไห้ดังที่ต้องเกิดความจำใจครั้งนี้ รำลึกถึงกองม้าคำหยาด คิดถึงฝีมือเจ้าเคลิ้ม เจ้าขาบ และไพร่พลที่สิ้นชีพทั้งกอง ​หากอยู่แล้วก็จะนำไปตีครัวคืนมันเสียให้เกลื่อนทุ่งขุนโลก

ฝนขาดเม็ดสนิท ฟ้าฉายแดดขึ้นอ่อนๆ ความห่วงพวกค่ายที่คอยเสบียงและศึกใหญ่จะประชิดถึงบ้านระจันไม่รู้ตัวเป็นเหตุให้เจ้านายกองซึ่งคิดจะย้อนไปตามประหารศึกชิงครัวคืนจำใจชักม้าเข้าสู่ดง

เพื่อให้ข่าวศึกนี้รู้ล่วงหน้าไปถึงค่ายก่อน เมื่อเห็นพร้อมกันเรียบร้อยแล้วทัพจึงเรียกเจ้าหนุ่มพี่เมียมาหา

“ฟัก เอ็งล่วงหน้าไปให้ถึงค่ายก่อนแล้วบอกกับท่านพันเรืองให้รู้ว่าพรุ่งนี้คงจะเกิดศึกใหญ่ เพราะพม่ายกทัพมาใกล้ขุนโลกแล้ว มีพลและกองม้าอีกมากมายนัก ขอให้จัดทัพเร่งมาสกัดตีเสียก่อนอย่าให้ทันเข้าชิดไปถึงค่ายได้ ส่วนข้าจะคอยกันครัวและกองเสบียงตามไปอยู่ข้างหลัง”

เมื่อเจ้าฟักรับคำและควบม้าลัดดงไปแล้ว ทัพก็สั่งให้กองเสบียงและพวกครัวออกเดิน แม้หัวใจของชาวบ้านขุนโลกและมิ่งขวัญจะหวาดเสียวด้วยภัยพม่าประการไร แต่เมื่อต่างก็ตระหนักด้วยกันแล้วว่าผู้ที่จะติดตามมาข้างหลังนั้นล้วนเป็นเหล่าไทย ฝีมือฉกาจก็ค่อยอุ่นใจ ลูกแดงและผู้เฒ่าชราทั้งชาวบ้านหญิงพากันโลดเต้นร่าเริงเหมือนตายแล้วได้เกิดมาอีก จะมีคร่ำครวญอยู่บ้างก็เฉพาะผู้ที่ต้องพลัดพ่อหลงแม่เพราะถูกพม่าจับพรากตัวไปเป็นเชลย

เสบียงที่ลาดหามาทั้งกองมากมาย และชาวขุนโลกพากันออกเดินไปแล้วเห็นหลังไวๆ เห็นแม่สาวลูกนายบ้านขุนโลกยังเดินเหลียวหน้าเหลียวหลังอยู่ท้าย และยกมือโบกอำลามันเมื่อจะเลี้ยว เว้นเสียแต่แฟงแม่เพื่อนห้องเท่านั้นที่จะงามพอเทียบพอเคียง หาไม่จะหาหญิงใดอื่นจะเปรียบงามเจ้าอีกคงเสมอไม่ได้ เป็นกุศลแท้ของหญิงงามที่รอดพ้นมาพบมันหวุดหวิดหาไม่ป่านนี้ก็คงตกเป็นเชลยให้มันกอดปล้ำข่มเหงจนเสียสาวเสียศักดิ์หญิงสยามแน่

มันเฝ้าคิดเฝ้าชมแลโฉมสาวบ้านขุนโลก ใจก็ตวัดไปถึงแฟงเมียรักป่านนี้แฟงคงคอยหาคร่ำครวญถึงมัน เมื่อชนะศึกกลางแปลงด้วยทหารดาบแฟงก็รับชนะมันด้วยโผกอด เหลือจะปลื้มเมื่ออยู่ใกล้แฟงตลอดข้างแรม ๑๕ วัน กระท่อมนิดหนึ่งที่มีอีแฟงคอยบำเรอรักนั้นช่างเกิดสุขเหลือหลาย ทั้งเมืองระจัน ๒ ค่ายน้อยมันก็ได้ชื่อว่าเป็นทหารกล้ายอดฝีมือ เมียก็งามดังเลื่อนมาแต่​ฟ้าบ้านคำหยาด ๓ วันเหมือน ๓ ปี ที่ต้องจากกระท่อมและเมียรัก คิดจะได้กลับมื้อนี้พออยู่ร่วมสุขกันเล่า มารก็ตามมาอีก ศึกใหญ่ที่จะต้องประหารขับเคี่ยวกันอีกก็มาขวางเป็นตัวทำลายสุข

เจ้านักรบค่ายน้อยของบ้านระจันเฝ้าเคลิ้มไปเมื่อหญิงงามอ้ายเชลยและม้าอื่นอีก ๗-๘ ตัวก็ส่งเสียงร้องให้แปลกใจ แต่พอสิ้นเสียง กองม้าสิ้นทุกคนก็ต้องเบิ่งหูขึงตามองกัน เพราะเสียงกระพรวน เสียงร้องของม้าอื่นแว่วมาแต่ไกลมากต่อมาก และกองครัวที่กำลังเดินเลี้ยวทิวไม้โน้นก็พากันวิ่งชุลมุนหนีรุดไปเป็นอลหม่าน

มันชักอ้ายเชลยนำม้าอื่นแฝงอยู่หลังพุ่มไม้ แฝงมองไปราวป่าฟากทุ่งโน้น มาแล้ว มารใหญ่ที่ก่อเดือดร้อนให้ชาวเมืองขุนโลกแล่นตกทุ่งมาอีกร่วม ๒๐ ก็จำเป็นอยู่นักที่มันจะต้องเสี่ยงชีวิตเข้าปะทะศึกนั้นไว้ก่อนพอถ่วงเวลาให้กองครัวและพวกลาดเสบียงพ้นไป และพอให้เจ้าฟักพาข่าวไปถึงค่ายทันการ

จึงหันปรึกษาความกับนายสังข์และพวกพลเพื่อฟังน้ำใจดู

“เราจะทำยังไงล่ะวะสังข์ เออ ทุกๆ คนนั้นแหละจะคิดอ่านกันยังไง”

เมื่อเสียงตอบว่าแล้วแต่มันจะเห็นงามสิ้นทุกคน ทัพจึงชี้แจงต่อไป

“น้องเอ๋ย เราเป็นชายชาติทหาร พี่ก็รู้ว่าศึกนี้คงจะเหลือกำลังสู้ เพราะมันมีมากกว่ามาก ทั้งเป็นกองม้าเหมือนกัน และจะมีหนุนมาอีกสักเท่าไรหารู้ไม่ แต่เมื่อจะไม่สู้รั้งไว้พวกที่หนีไปข้างหน้าก่อนและกองเสบียงก็จะเสียชีวิตถูกจับหมด เราก็ทหารอาสาเมืองทหารค่ายระจันปราบศึกมานักแล้ว จะถอยหลบหน้างั้นรึ ดาบจะนอนฝักนิ่ง แล้วห้อหนีให้ครัวข้างหน้าทั้งลูกเล็กและผู้หญิงผู้เฒ่าถูกมันต้อนไปฆ่าอีกงั้นรึ”

“ไม่ยอม” เสียงตอบพร้อมๆ กันหลายคน แล้วนายสังข์ก็กล่าวว่า “ถึงตายศึกนี้ก็สมทหารที่มีน้อยตัวกว่า สู้เถอะ”

ทัพยิ้มสมใจ มิเสียแรงที่ได้เกิดมาร่วมเมืองร่วมค่ายระจันทั้ง ๘ คน หัวใจช่างสมทหารนัก

“ถ้างั้นก็สู้จนตายหมดกอง” มันว่า แล้วพูดปลอบใจอีกทั่วตัวคน “เราเห็นกันแต่เท่านี้ เถอะ ถึงหากว่าจะต้องตายหมดก็จะต้องผลาญกองม้ามันมิให้​ยกไปประชิดถึงค่ายได้ น้องข้าทุกคนขอให้ปลื้ม ทหารจะมีศักดิ์ก็เพราะสู้ตายกลางศึก ถึงหากจะมิได้กลับค่ายก็ขอให้เราได้นอนเรียงศพอยู่ในดง คอยรับหน้าพี่น้องเราที่จะยกมาถึงขุนโลกพรุ่งนี้ เอ้า ผูกบังเหียนชักดาบเร็ว”

ดาบสองมือกรากออกจากฝัก เลือดยังจะเพิ่งหมาดทุกคนมุ่งอารมณ์ขอปลงชีพให้แก่ชาติ ชีพชายจักบันลือศักดิ์เพราะชายไม่หนีศึก ตายดีตายร้ายก็หนเดียวที่มีอยู่ในชีวิตชาย ก็จะขอก้มหน้าถวายชีวิตแก่สยามมิให้เพื่อนเมืองทหารอื่นดูแคลน

ทัพป้องหน้าชะเง้อตัวสูงมองข้ามพุ่มไม้ไปอีก ใกล้มามากแล้ว ศึกกำลังตกทุ่งมาถึงย่านกลางที่รบกันเมื่อครู่ กำลังก้มมองดูศพเพื่อนกัน บ้างก็โดดจากหลังม้าเดินตรวจ แต่ขณะที่ทัพมันเพ่งดูนั้น สติปัญญาในเชิงศึกเจนในขบวนรบก็ทำให้มันได้คิดแล้วแสนจะดีใจ

“น้องข้า” มันหันพูดกับนายสังข์และคนอื่น “ศึกนี้จะต้องเสี่ยงชีวิตเอาชนะอย่างอัศจรรย์ ทหารพม่าเกือบ ๒๐ ถ้าจะสู้กลางแปลงเราก็คงจะเป็นรองตายหมด เพราะมันล้วนแต่ใช้หอกแลแหลนหลาว ก็จะต้องล่อให้เข้าดงคงชนะไม่ยาก”

นายสังข์และคนอื่นๆ พอจะมองเห็นช่องอุบายจึงจัดคนอีก ๓-๔ คนให้ลงจากหลังม้าเอาซุ่มไว้ แล้วถลันวิ่งเท้าเปล่าออกชายดง แล้ววิ่งย้อนกลับวกไปข้างท้ายที่มีม้าซุ่ม

ชั่วคนวิ่งผ่านไปเท่านั้น นายสังข์กับเจ้านายกองลาดเสบียงที่จะคิดหน่วงศึกก็สมอุบาย พลพม่าต่างเกรียวกราวชี้มือแล้ววิ่งกรูขึ้นหลังม้าควบเข้าใส่ ควบพลางก็โห่ร้องทั้งควงหอกซัดและแหลนหลาวคิดแต่จะเอาชีวิตชาวบ้านระจันที่รุมฆ่าพวกมันตายแล้วก็ไล่ลับเข้าท้ายดง

เป็นป่าไม้ทึบเปลี่ยวคับขันหนทางแคบ ทัพรั้งอ้ายเชลยบังคับให้นิ่งไม่โผนออก หัวใจเต้นอยู่ระทึก ขอปู่ป่าขุนโลกและเจ้าสิงไม้ใหญ่ประจำดงนี้จงรู้เห็นเป็นพยาน ศึกมันย่ำเมืองมาข่มเหงได้เดือดร้อนไปทั่วเส้นหญ้า ก็จะขอปราบศึก

คนล่อวิ่งผ่านรวดเร็วลับตัวไป ครู่นั้นก็เสียงควบไล่หลังมาแทรกแซงเบียดเสียดกันพัลวัน และไม่ทันที่จะคล้อยสิ้นท้ายขบวน เจ้าทัพก็ควงดาบออกจากพงไม้

​“ถวายชีวิตควบเถิดน้องเอ๋ย ควบไปตายกลางศึกตะลุมบอนให้สมทหารลือบ้านระจัน”

อ้ายเชลยถูกโกลนเตือนแล่นไปแล้ว นายสังข์ห้อเหยียดนำม้าอื่นๆ ตามติดอ้ายเชลยไปผกสูงอยู่กลางศึกโลดเต้นคะนองใจเจ้าทหารกล้า นายเสบียงยืนหยัดอยู่บนหลังม้าเชลยศึกฟันประกาศฝีมืออยู่กลางพลเหมือนหนึ่งจะบอกกล่าวไว้ว่า ค่ายระจัน เมืองสิงห์ ทั้งสุพรรณ และวิเศษไชยชาญไม่สิ้นชาย แล้วนายสังข์และม้าตามอื่นอันฝึกปรือชำนาญก็ผูกบังเหียนติดเอววิ่งปราดใส่ บ้างก็ยืนรบอวดฝีมือกระบวนดาบ และในชั่วศึกที่ติดพันเป็นตะลุมบอน ก็มุ่งจะประหัตประหารกันให้แหลกระหว่างกองม้ารบค่ายระจันและพม่า ระหว่างดาบสองมืออาวุธสั้นกับหอกซัดและแหลนหลาวทางไกล

เช้าตรู่ เพียงแสงเงินขึ้นเยี่ยมฟ้าเห็นใบไม้อ่อน ทุ่งและท้องฟ้าเวิ้งกึกก้องกัมปนาทด้วยเสียงฝีเท้าพลศึก ฆ้องครางกระหึ่มปืนไฟก็แลบเปรี้ยงถวายฤกษ์ เสียงโห่และข้าวตอกดอกไม้โปรยลมเช้ามืดพัดอู้คำรามมาทั่วสารทิศ ทัพบ้านระจันอันมีนายและพลเพียบทุ่งกำลังเคลื่อนขบวนแล้ว

พระอาจารย์ธรรมโชติคงยืนพรมน้ำมนต์อยู่บนไม้ยกพื้นสูงที่ประตูค่าย เมื่อทัพใดผ่านทัพนั้นก็เย็นเยือกหัวใจด้วยน้ำมนต์พรมทั้งคำพร สองฟากก็ล้วนแต่ผู้เฒ่าและเหล่าหญิงส่งเสียงขอให้ไปชนะอยู่ตลอดเวลา

เพราะศึกนี้ใหญ่หลวงนักตามที่ม้าเร็วของกองลาดเสบียงล่วงหน้ามาบอก บ้านระจันจึงต้องระดมทัพใหญ่อันพล ๑๐๐๐ เศษ แต่พ่อแท่นผู้กล้าอันเป็นนายทัพเดิมนั้นยังป่วยอยู่เพราะต้องปืนครั้งศึกสุรินทจอข่อง ทหารค่ายและผู้เป็นหัวหน้าอื่นจึงตกลงเลือกนายจันทร์หนวดเขี้ยวฝีมือลือชาวพื้นระจันเป็นแม่ทัพ ส่วนปีกขวาและซ้ายคงจัดเป็นขบวนรบดั่งครั้งตีศึกสุรินทจอข่องหนโน้น ทั้งมีท่านขุนสรรค์อันฝีมือแม่นปืนเป็นนายทหารคัดเลือกชาวค่ายที่มีฝีมือทางปืนเข้าขบวนทัพอีก ๑๐๐ เศษ สำหรับสู้กับกองม้าพม่าข้าศึก

ทัพสุพรรณพ้นค่ายไปแล้ว ทั้งทหารกล้าเมืองสิงห์และวิเศษไชยชาญกับบ้านระจัน กองหลวงก็เคลื่อนตามเป็นหมวดกองล้วนแต่เริงศึก จะรบกู้เมือง จะ​รบกู้หน้าชายสยามมิให้ใครหมิ่น จะลงแค้นที่ช้ำหัวใจให้สิ้นรอยด้วยดาบรบ เสียงเพลงศึกดั่งพายุกระท้อนจากฟากทุ่งปีกขวามาซ้ายและกองหลวง เมื่อมีชื่อว่าเมืองสิงห์ก็ต้องมีลูกชายเมืองสิงห์ สุพรรณไม่ไร้ชายชาติทหาร บ้านระจันจะขอสู้จนหมดคนวิเศษไชยชาญเคยล้างศึกมานักไหนเลยจะถอย ทุกหมวดทุกกองต่างสดุดีทัพของตนและขอพรคุ้มทัพระจันทั้งหมด

กระทั่งกองท้ายอันมิใช่ขบวนทัพ หากเป็นแต่เหล่าหญิงกองเสบียงและผู้ชราที่จะช่วยในสิ่งใดอื่น เมื่อจำเป็นที่ทัพใหญ่จะต้องมีศึกติดพันไม่กลับมาแรมค่ายได้ ถึงกระนั้นหญิงที่จากเหย้ามามากหลายทั้งพื้นบ้านและต่างเมืองล้วนหัวใจเปี่ยมที่จะทอดชีวิตแก่ชาติและค่ายน้อยบ้านระจัน

ทหารกล้าบ้านระจันอยู่หนไหน เจ้านายกองม้าลือบ้านคำหยาดที่ยกไปลาดเสบียงเป็นไฉนจึงไม่กลับ เมียรักที่เฝ้าคอยผัว เจ้าแฟงที่เฝ้าคอยอ้ายนายกองเสบียงด้วยแสนห่วงก็จำต้องอาสามาด้วย เพราะข่าวสู้กับกองม้าศึกบ้านขุนโลกทำให้แฟงหนักใจนัก เมื่อนึกมั่นในฝีมือแท้ที่รู้เห็นมาก่อนก็จะเบาใจ แต่จนป่านนี้จนทัพระจันพ้นค่ายมาแล้วลิบๆ เจ้าผัวก็มิได้โผล่โฉมห้ออ้ายเชลยมาให้เห็น

ดงทึบบ้านขุนโลก แสงตะวันสว่างเมื่อสายสว่างทั่วดงทึบนั้น เสียงพุ่มไม้แหวก ทั้งบุกย่ำ และฝ่าดงของชาย ๒ คน เร่งร้อนนักต่างก้มหน้าก้มตาเดินกระทั่งทะลุจะออกทุ่ง

เจ้าคนนำหน้าถึงก่อนชี้ไปบนฟ้าเหนือหัว

“สังข์ สายโขอยู่นักแล้วรีบเข้าหน่อยเหอะ หากอ้ายฟักไปถึงก่อนและรีบยกมาเร็วได้เข้าตีเสียก็ต้องชนะแน่ เพราะมันยังเพียงจะสร้างค่าย”

นายสังข์ถอนใจเหมือนจะแกล้งเหนื่อย มองมันแล้วก็ไม่วายจะนึกถึงศึกเมื่อวานเลย ทั้งม้าทั้งคนคุมเสบียงก็เสียชีวิตหมดเหลือรอดเพียงสอง แต่ม้ากองตระเวนพม่าก็เป็นผีอยู่ดงตะวันออกขุนโลกหมด

“คงยกมาแล้ว” นายสังข์ว่า “แต่พ่อแท่นก็ป่วยอยู่ใครเล่าจะเป็นนายทัพ”

“พอหาถม แต่ศึกนี้หากเรามีม้า ได้กลับเสียเมื่อคืนก็คงจะได้เปรียบมาก”

“ก็อีกละ” ผัวเจ้าจวงแย้ง “หากเรากลับเสียเมื่อคืนไหนเลยจะรู้ว่าทัพ​ใหญ่มันมาถึง และคิดสร้างค่ายจะรบเอาเปรียบ”

ทัพพยักหน้า “อือจริง ออกเดินเหอะ จะได้เร่งให้พบทัพเสียเร็วๆ ขืนช้าพลาดพลั้งมันส่งม้ามาตระเวนป่าพบเข้าจะพากันเป็นเชลยหมด ทั้งข่าวก็จะพลอยสูญ”

แล้วเจ้าของทหารค่ายที่หลงวนเวียนอยู่ในดงแต่เมื่อคืนก็ออกวิ่งมั่งเดินมั่งแฝงตัวไปตามสุมทุมพุ่มไม้ตลอดราวป่า และก็ต้องพากันชะงักยับยั้งอยู่ท้ายทุ่งข้างหน้า เพราะแลมืดอยู่ลิบๆ โน้น

ทัพป้องมือด้วยหัวใจตื่นเต้นอึงคะนึง ทัพใหญ่บ้านระจันมาแล้ว พลเพียบทั้งปีกซ้ายปีกขวา เสียงฝีเท้าเดินสะเทือนดังหนึ่งจะถล่มบ้านขุนโลก ครั้นมองถนัดแน่ เจ้าสองหนุ่มทหารค่ายก็ออกวิ่งสุดฝีตีนลืมเหน็ดเหนื่อย มุ่งแต่จะให้ไปถึงทัพเพื่อเข้าผสมกองทำศึกเสียโดยเร็ว

ทุ่งเวิ้งขุนโลกกำลังอึกทึกเกรียวกราวด้วยการสร้างค่ายเพราะสองฟากทุ่งเป็นป่าเปลี่ยวดงทึบ เป็นทำเลคับขันแก่การทัพและความกลัวเกรงฝีมือรบของชาวค่ายระจันที่ชนะศึกมาแล้วหลายครั้งหลายหน จึงอากาปันญีแม่ทัพใหญ่ที่คุมพลมา จึงสั่งให้ทหารช่วยกันสร้างค่ายขึ้นหวังจะค่อยยกไปช้าๆ สู้กับชาวบ้านระจันเป็นศึกนานวัน ทั้งเป็นการสะดวกที่จะส่งข่าวและขอกำลังพลจากค่ายปากน้ำพระประสบเพิ่มมาอีก

ไม้ป่าถูกโค่นมาตลอดและด้วยกำลังพลนั้นในชั่วสายพื้นธรณีบ้านขุนโลกก็คับคั่งด้วยค่ายทหาร ทั้งที่ทำไปแล้วและกำลังลงมือเป็นด้านเป็นแถบ ตัวอากาปันญีนายทัพก็เข้าประจำค่ายก่อนเพื่อตรวจ แต่หารู้ไม่ว่าความโกลาหลภายนอกได้เกิดขึ้นแล้วทั้งเสียงโห่ร้อง ปืนไฟ และค่ายเล็กล้อมถูกหักพินาศ ทหารที่ต้องอาวุธบาดเจ็บวิ่งถอยมาเป็นอลหม่านจึงรู้ว่าทัพบ้านระจันยกเข้าตีอย่างทะนงองอาจ ก็สั่งให้เร่งกลองศึกขึ้นแล้วก็คุมกันเป็นหมวดเป็นกองเพื่อรักษาค่ายมั่นและบ้างก็ถลันออกรบกลางแปลง

แต่ทหารหน้าเข้าหักค่ายแล้ว ท่านขุนสรรค์นายกองปืนกรากเข้ายิงกองม้าลงเกลื่อนดิน ท่านพันเรืองและนายทองแสงใหญ่นำทัพสุพรรณกับคนพื้น​ระจันยกหนุนเข้ารื้อค่ายฟาดฟันกองอาสาหน้าข้าศึกตะลุยมาเป็นช่อง ทัพเมืองสิงห์ตีกระหนาบ นายอิน นายเมือง ทั้งนายโชติยอดทหารเมืองสิงห์ออกนำ ระเนียดค่ายไม่ทันแล้วจะหักลงเป็นแถบ ใครเล่าจักปล่อยให้น้ำมือเขาอื่นมาสร้างค่ายเป็นบ้านพักเล่นสบายในเมืองสยาม ค่ายใดแล้วเสร็จก็รื้อมันทิ้ง ที่เพิ่งจะลงมือก็อย่าหวังว่าจะได้ค่ายได้นอนพักสำเร็จ ทัพนายดอกไม้บ้านกรับและนายทองแก้ววิเศษไชยชาญก็โห่ร้องตะลุยมา นายทองแสงใหญ่ ทั้งนายทองเหม็นผู้ใหญ่บ้านระจันก็ควงดาบแล่นนำพล ปากก็ตะโกนก้องให้พลตาม “ตามมามาเถิดน้องเอ๋ย ไทยทั้งหลายมาเถิด ศึกมันมาชิงเมืองศึกมันมาเหยียบเมืองขุนโลกบ้านเราแล้ว มันมาหยามทหารชายระจันมาเถิดมากอดคอกันตาย ฝากยศทหารไว้แต่คนหลัง”

นายจันทร์ขุนทัพเล่าก็ควงดาบอยู่กลางพล หักค่ายเถิดค่ายอื่นผิดจากค่ายระจันแล้วจะปลูกจะสร้างอีกไม่ได้ โค่นมันลงเสียทั้งคนทั้งค่าย ขุนโลกต้องเป็นทุ่งแจ้ง มิใช่เพื่อนเมืองจะมาปลูกค่ายแข่ง แล้วขุนทัพก็โลดไป แล่นไปสารทิศใดเล่าทิศนั้นทางนั้นก็เกลื่อนด้วยศพนอนดิน ไทยม้วนลงแต่เพียง ๑ ผู้มาหลังก็สาบานแก่ศพไปสวรรค์เถิดเพื่อนค่ายกูจะล้างแค้นให้กูจะฟันเซ่นผีเพื่อนให้ครบร้อย

แม้ค่ายหน้าจะถูกรื้อถูกหักลงแล้วเป็นแถบ แต่อากาปันญีก็ต้อนพลประจำค่ายออกสู้รบอย่างแข็งแรงเข้าปะทะกันเป็นศึกประจัญบานหน้าต่อหน้าคู่ต่อคู่ฟันสั่งกันเพื่อชัยชนะ เพื่อยศศักดิ์ที่กรีฑาทัพมา เพื่อยศศักดิ์ลูกผู้ชายที่รักบ้านหวงเมืองมิให้ใครมาหยามถึงเหย้า

ธรณีขุนโลกยังหวั่นไหวสะท้านด้วยคู่รบคู่ศึก ศพเกลื่อนด้วยทหารต่างเมืองและเจ้าของบ้าน เมื่อเห็นพม่าข้าศึกตั้งรับทั้งในค่ายและนอกค่ายเข้มแข็งนักนายจันทร์หนวดเขี้ยวก็คิดหักศึกด้วยแยบคาย จึงรบเร่งขึ้นจนประชิดเจ้าทหารกล้า

ผัวเจ้าแฟงที่มาประสมทัพเมื่อเช้าเป็นกองหลวงของนายจันทร์ยังคงรบตะลุมบอนหวังจะเข้ายื้อค่ายให้ได้ ดาบศึกครั้งอ่าวหว้าขาวคงฟันกราดตลอดมามันไม่ยอมถอย จะไม่ถอยจนก้าวเดียวกว่าจะริบค่ายกลางนั้นได้ เมื่อพลกระจัดกระจายหนีและนายจันทร์แล่นมาถึงตัว มันก็หัวร่อร่าเหมือนสนุกศึกดังเล่นสงกรานต์กลางหมู่สาว

​เมื่อฟังอุบายศึกจากนายทัพระจัน เจ้าคนคำหยาดก็รอรบแล้วเริ่มถอยกองทหารหน้าของมันก็ถอยตาม ถอยไปเปิดให้กองอื่นขึ้นรับแทนกระทั่งลงไปอยู่ท้าย ถอยไปอีกกระทั่งพ้นเนื้อนาย่านทุ่งที่เป็นสมรภูมิมาเข้าดง

มันวิ่งนำหน้า วิ่งแล่นมากับนายสังข์และเจ้าฟักเลือดแดงฉานตลอดใบดาบทั้งสองเล่มคู่ กองทหารหน้าเป็นหมู่เป็นเหล่าล้วนดาบสองมือร่วมร้อยตามมาเป็นขบวนวกไปตามทางลดเลี้ยวในดง

แต่ชาวค่ายชาวเสบียงทำให้มันชะงักหัวใจเต้นระริกยิ่งขึ้นอีก เมียรักเจ้าโผมาร้องสุดเสียง

“พี่ทัพ โธ่เอ๋ย แฟงนี้คอย” แล้วหญิงสะอื้นดีใจที่เห็นหน้าผัว

มันอ้าแขนรับ แม้เลือดจะท่วมสองแขนและเมื่อยล้าก็เหือดหายเมื่อกอดแฟง

“อยู่ดีเถิดแฟง คอยก่อนเถอะแฟงเอ๋ย ศึกยังติดพันอยู่หนัก พี่อาสาวกไปปล้นค่ายเดี๋ยวนี้ พี่จะชนะให้สมกะที่เป็นผัวแฟง”

แฟงเจ้ายกมือประนม โล่งใจถนัดที่ได้เห็นหน้าแน่ใจว่ามันคงยังมีชีวิต ดีใจที่มันจะได้ชื่อลือเป็นยอดทหารหักค่ายสมยศชาวระจัน

“เชิญเถิด ทำไงก็ชนะ แล้วแฟงจะตามไปเหยียบค่าย”

“อำแฟง แม่คุณ” มันหัวร่อร่า เถอะ พี่จะหักค่ายเตรียมไว้รับแฟง”

มันออกวิ่งไปแล้วทั้งพลฝีมือก็ตามไปรวดเร็ว ผ่านกองเสบียงและชาวค่ายที่โหร้องอวยชัยตามหลัง จนลับเข้าดงทึบทางท้ายค่ายพม่า

นอกดงยังสู้ชิงชัยกันสุดฝีมือ เสียงกลองรบในค่ายก็ดังไม่ขาดหู ทั้งวิ่งสับสนอลหม่าน เจ้าทัพคะเนเพลาที่จะเข้าตีให้พรักพร้อม เมื่อเห็นในค่ายยังวิ่งวุ่นเตรียมรักษาห่วงศึกทางด้านโน้นมันก็นำพลยกออกจากดงแล่นตรงเข้าล้อมขนาบข้างด้านหลัง

มันสั่งทหารให้รวมเป็นกำลังแต่กองเดียว แล้วประกาศอาญาศึก

“เราจะหักค่าย พี่น้องทั้งหลาย เราจะขอให้ตามให้ทัน ทหารต้องตายดาบข้างหน้าของศึก ชายใดถอยก็ใช่ชายระจันและเราจะตัดหัวตามอาญาทัพไป ไปตายกันในค่าย”

​มันสั่งกันให้พลโห่ พอสิ้นเสียงโห่ เจ้านายกองทหารดาบก็โผนนำหน้า

“รื้อค่าย” มันตะโกนสนั่น แล้วควงดาบโบกให้พลเข้าตี “หักค่ายเร็วรื้อค่ายรื้อคนอย่าให้เหลือ”

ทหารดาบทั้งร้อยก็กรูตาม ตรงเข้าพังประตูค่ายหลังและเสียงโห่เสียงขานออกนามระจันกึกก้องเป็นสัญญา สองดาบก็เร่งตะลุยฟันศึกย่อยยับไปเป็นทาง ภายในค่ายก็เกิดโกลาหลไม่รู้ตัว บ้างก็คุมทหารกลับมาสู้แต่ก็ชุลมุนวุ่นวายเพราะศึกบ้านระจันที่กระหนาบมาข้างหลังล่วงเข้าค่ายหมด

นายจันทร์หนวดเขี้ยว นายจันทร์ขุนทัพคุมพลรออยู่ พอได้ยินเสียงกึกก้องสู้รบกันในค่ายก็คาดการณ์รู้ว่าทหารเสือเข้าค่ายแล้ว บ้านระจันเข้าย่ำยีล่วงค่ายแล้วจึงต้อนพลรุกขนาบรุกเร็วตลอดรวดเดียวทุ่มเทดั่งเพลิงกินเชื้อไม้ เบื้องซ้ายทัพวิเศษไชยชาญก็รุกกระหน่ำ ทัพสุพรรณและนักรบเมืองสิงห์เล่าก็ย้อนตีเตลิดมาเสียงบ่นเสียงแค้นยังครางหัวใจ วันนี้ชะตามึงขาด วันนี้อย่าได้รอดเหลือคืนค่ายปากน้ำพระประสบเลย เลือดเนื้อชาติสยามละลายดินเพราะมึงมากหลายนัก หญิงพรากต่อหน้าผัว ทั้งเด็กอ่อนและผู้เฒ่าต้องหลงติดตายในเพลิงนับไม่ถ้วนน้ำตาไทยเป็นเลือดแล้ว น้ำตาไทยต้องเหือดแห้งเพราะมึงจนเหลือที่อ้ายคนระจันจะนิ่ง คนสุพรรณต้องอพยพมาเข้าค่ายสู้มึง ชาวเมืองสิงห์ต้องร้องไห้เพราะจากเมือง

ค่ายใหญ่พังลง พังราบแล้วก็เหยียบย่ำไปบนซากศพกรูเข้าไปโน่นทหารหน้าพิฆาตทัพโล่งแล้วตลอดหลังค่ายแต่ยังต้องบีบต้องป่นเสียให้ละเอียดเห็นฝีมือ เมื่อเหลือรอดก็จะได้ไปบอกกล่าวพวกมันให้จำไว้ เมืองศรีอยุธยายังไม่หมดคนจะสู้ น้ำตาทหารมันไม่ตกดินก็ต้องให้เป็นทุ่งเลือด

เมื่อโห่ร้องรับพร้อมกันทั้งสี่ พลพม่าซึ่งหลงค่ายอยู่หว่างกลางก็ถูกศึกกระหนาบล้มลงครั้งละสิบครั้งละร้อย กายทอดเกลื่อนอยู่เหนือค่ายแทนพื้นดินแล้วชั่วครู่นั้น นายจันทร์หนวดเขี้ยวพ่อทัพระจันก็ควงดาบประกาศชนะยึดค่ายได้เป็นสิทธิ์ เพราะอากาปันญีแม่ทัพที่แต่งตัวตามยศก็ตายอยู่กลางค่ายกลางศึกและตลอดด้านตลอดทิศก็ล้วนแต่ศพทหารพม่า หากจะรอดไปก็เพียงสักร้อยข่าวชนะแล่นไปเร็ว ข่าวทหารระจันที่เข้ายืดหักค่ายพม่าไว้กระจายไปรวดเร็ว และทหารยังเอิกเกริกโห่ร้องชนะศึก บ้างก็เข้ายึดเสบียงม้าลาและอาวุธ ​บ้างยืดกระสุนดินดำ พวกชาวบ้านชาวเสบียงก็รีบร้อนมาถึง

ถึงเสบียงอาหารที่แฟงหาบจะหนักหนาและมาไกลแฟงก็สิ้นเหนื่อย ตาสองกวาดไปทั่วค่าย กวาดทั่วหน้าทหารระจันกล้าศึก กวาดหาเจ้าคนชนะผัวรักที่ได้พบแต่เพียงครู่เดียวแล้วมันก็มาหักค่ายคอย

เจ้าดอกไม้ไพรปลงหาบผลุนผลันหัวใจเต้นระทึก เจ้าโจรเก่าที่มาอาสาศึกเป็นทหารฝีมือลือมันยืนเผลอหันหลังให้ มือหนึ่งก็ลูบม้าเชลยสีประหลาดที่มันยึดได้ เจ้าวิ่งตึ้กๆ ไปข้างหลังแล้วโดดกอดคอ

“ช่างไม่ห่วงถึงมั่งเลย” แฟงว่า “มัวชมม้าเพลินจนจะลืมคนคอย”

เจ้าผัวเหลียวหน้าควับ มือก็โอบอุ้มแฟงขึ้นนั่งหลังม้า

“แม่คุณเอ๋ย ช่างต่อว่านัก” มันจับสองต้นแขนเมียรักแน่นแล้วก็กล่าวสัพยอกอีก “ใจแท้พี่น่ะว่าจะเอาอ้ายสีประหลาดนี้ไปรับเจ้ามาเหยียบค่ายให้สมยศสมศักดิ์เท่านั้นหรอก ห่วงซีแฟงเอ๋ย ๕ คืนพี่ห่างแฟงเหมือน ๕ ปีมานอนป่า”

“ประจบนัก แก้ตัวก็เป็นที่หนึ่ง”

ทัพหัวเราะ “เฟื่องมันก็ตายไปนานแล้ว พี่ก็เห็นแต่แฟงคนเดียวเท่านั้นที่จะต้องประจบ”

เจ้าหัวเราะ แต่หน้าหัวเราะจะไม่สู้สนิทสนม “อ๋อ คงจะมีอีก ก็นังเชลยที่ช่วยไว้ส่งไปค่ายเมื่อคืนนั่นน่ะ เขายังคร่ำครวญถึง”

“ฮึ” ทัพนิ่งตรอง เมื่อนึกออกแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ “อ๋อ นึกออกละ โธ่แฟงเอ๋ย ทำไมถึงคิดเกินไปนักล่ะเจ้า สาวบ้านขุนโลกน่ะมันไม่งามถึงจะรั้งใจพี่ให้ห่างแฟงไปได้ ใครล่ะมันจะรักพี่ จะงามต้องหัวใจอ้ายทัพเหมือนอีสาวคำหยาดกระท่อมหลังตาลหมู่”

มันถูกตบปาก ถูกหยิกข่วนและต่อว่าต่อขานดักคอไว้เสียก่อน แต่เจ้าแฟงก็ต้องถูกกอดสมใจ ครั้นนายทัพนายกองอื่นเรียกประชุมพลจะยกกลับ เจ้าคนดีของแฟงก็อุ้มเมียรักขึ้นหลังม้าเชลยร่วมมันแล้วแอบออกท้ายค่ายหลบลัดเข้าดงกันไปแต่เพียงผัวหนึ่งเมียเดียว

ถึงจะเปลี่ยนเจ้าของเปลี่ยนนาย เจ้าม้าสีประหลาดเชลยก็รู้ถนัดดีว่าคนขี่หลังมันแสนชำนาญม้า ทั้งวิ่งเหยาะและย่างเรียบมาตลอดไม่มีพยศ สองฟาก​ทางเปลี่ยวในดงที่รกชัฏ หากจะเหงาวิเวกเพราะเสียงนกดงและเรไรหริ่งรับตลอดทาง ก็ไม่วายที่จะเกิดเสียงหัวเราะคิกของเจ้าผัวที่ยอกเมียก็ร้องรำคาญใจทั้งหยิกข่วนเง้างอน แต่แล้วก็หัวเราะกิ๊กผสมกัน แฟงเจ้าถือบังเหียนเป็นคนขับอ้ายเชลยศึก แต่ก็ต้องนั่งตักมัน ส่วนเจ้าทหารกล้าก็ทำประหนึ่งว่าไม่เคยจะขี่ม้าเกรงตก จึงกอดเจ้าไว้แน่นและเสียงก้องฟ้านอกดงไปโน้นเพลงศึกยังครางกระหึ่มทุ่ง ทั้งปี่และกลองชนะของพม่าที่เตรียมมาก็ถูกยึดเป็นกลองชนะของบ้านระจัน อันศัพท์สำเนียงเพลานั้นเจ้าสองรักสองราซึ่งหลบมาเดินดงต่างได้ยินเสมือนเสียงคลื่นและลมร้ายจักถล่มทุ่งขุนโลก

นับแต่พม่าให้กองทัพยกไปปราบปรามชาวค่ายบ้านระจันแต่เดือน ๔ ระกาปีกลายโน้น ก็แตกพ่ายล้มตายมาถึง ๗ ครั้งกระทั่งเดือน ๗ ปีจอนี้อันเป็นศึกครั้งที่ ๗ ซึ่งอากาปันญียกไปเสียค่ายบ้านขุนโลก และตัวเองก็เสียชีวิตในค่ายรบ เหลือทหารหนีมาแจ้งข่าวแต่เพียงร้อยเศษ พม่าก็ยิ่งกลัวฝีมือไทยค่ายระจันยิ่งขึ้น จะเรียกจะเกณฑ์ผู้ใดให้ไปรบอีกมิได้ ก็หยุดรอไปอีกถึงกึ่งเดือน

กิตติศัพท์ถึงกำลังพลและฝีมือรบของชาวค่ายระจันก็ยิ่งเลื่องลือมากขึ้นเป็นลำดับ จึงเนเมียวมหาสีหบดีนายทัพใหญ่ค่ายปากน้ำพระประสบก็เพิ่มความร้อนใจยิ่งขึ้น เกรงว่าชาวบ้านระจันจะเหิมใจคุมพลยกเป็นทัพใหญ่มาตีเป็นศึกกระหนาบช่วยกรุง จึงประชุมนายทัพนายกองทั้งปวงจะให้ยกไปอีก แต่ก็พากันครั่นคร้ามฝีมือไทยหมด

ขณะนั้นมีมอญเก่าคนหนึ่ง เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในศรีอยุธยามาช้านาน เมื่อพม่ายกมาก็เข้าฝากตัวเป็นพวกพ้องพม่าและช่วยรบ มีฝีมือเข้มแข็งสามารถจนแม่ทัพตั้งให้ได้ตำแหน่งสุกี้พระนายกอง เข้ารับอาสาจะยกทัพไปตีค่ายระจันให้แตกจงได้ เนเมียวมหาสีหบดีจึงเกณฑ์ไพร่พลเป็นทัพผสมทั้งพม่ามอญให้จำนวน ๒๐๐๐ เศษ แล้วตั้งพระนายกองเป็นแม่ทัพพร้อมด้วยเครื่องม้าสรรพอาวุธและปืนใหญ่น้อยยกขึ้นตีค่ายระจันเป็นศึกครั้งใหญ่หลวง

สุกี้นายทัพนั้นอยู่เมืองนี้และคุ้นเคยกับไทยมาช้านาน จึงมิได้ประมาทเหมือนนายทัพอื่นๆ เพราะรู้ดีว่าไทยกล้าทั้งฝีมือรบและน้ำใจ จึงยากที่จะสู้ศึก​กับไทยเป็นศึกกลางแปลง ซ้ำหนทางที่ยกไปกว่าจะถึงบ้านระจันนั้นเป็นป่าเปลี่ยวคับขันนัก พลไทยที่ชำนาญทางก็ซุ่มซ่อนรบชนะได้ทุกคราว สุกี้จึงระมัดระวังแต่แรกยกจึงให้ตั้งค่ายไปตามทางทีละสามค่ายแล้วให้รื้อค่ายหลังผ่อนไปตั้งข้างหน้าอีกแต่เดินค่ายไปทีละสาม ตลอดทางถึงกึ่งเดือนก็ประชิดบ้านขุนโลกเขตระจันแล้วสู้รบอยู่แต่ในค่ายใช้ปืนใหญ่น้อยยิงกราดไทยที่ยกเข้ามาตีอยู่เสมอมา ถูกผู้คนชาวค่ายป่วยเจ็บเปลืองชีวิตตายลงทุกที

แดดกล้า เพิ่งคล้อยจากทุ่งระจัน กระท่อมรายและหมู่ทั้งโดดเดี่ยวอันเป็นทับอาศัยของชาวค่ายเคยสำราญมาเมื่อก่อน ยืนเหงาอยู่กลางแสงตะวันอ่อนผู้คนร้างไปมากเพราะเสียชีวิตที่ยกเข้าตีค่ายพม่า แล้วกระท่อมทับอาศัยนั้นก็จำต้องอ้างว้างที่เจ้าของสิ้นชีวิตไม่กลับมาอยู่อาศัยอีก

ทับอาศัยหลังน้อยอันแคบผาสุกของผัวเมียเมื่อก่อนงับอยู่สนิท หน้าแคร่นอนสาวหนึ่งเจ้ากำลังนั่งเหม่อทุกข์ หัวใจคิดถึงความดับสูญที่จะมาสู่ร้อยแปดต่างๆ นานา ค่ายระจันบ้านรักเคยแต่เหี้ยมหาญชำนะศึก แต่ระจันมื้อนี้ร่วงโรยเสียแล้ว ทหารกล้าระจันเสียชีวิตเพราะปืนค่ายพม่ากลาดเกลื่อนมากมายจนผู้คนร้างเหงา ทั้งนายหมวดนายกองและผู้เป็นหัวหน้าต่างจนความคิดท้อแท้ใจลงทุกวัน

แฟงเฝ้าคิดเฝ้าครวญ ยิ่งคิดคำเฟื่องพี่สาวเมื่อใกล้ตายได้กล่าวไว้ก็เกิดลางในใจนักหนา ขนก็เกรียวซู่ด้วยความหวาดหวั่นในคำลางของคนตายว่าจะเป็นร้ายอยู่ทุกขณะ จนเสียงคนเคาะประตูเรียก

“แฟงเอ๋ย แฟง เจ้าหลับหรือตื่นอยู่นั้น เปิดรับพี่ด้วย”

ใจแฟงมาอีกก่ายกองเมื่อจำเสียงได้ ทหารของแฟงมาแล้วผัวรักฝีมือลือของแฟงเท่านั้นที่จะปลอบหัวใจให้หายหวาดกลัวในอันตรายศึกที่มาประชิด แล้วเจ้าก็ถลันไปเปิดประตูรับ

มันจากไปแต่เพียงชั่วเช้าก็แสนคิดถึง พอเสียงสลักกลอนและประตูทับแง้มเห็นหน้าแฟงต่างก็โผหา

“คงจะคอยพี่นาน” เจ้าหนุ่มผัวว่า เมื่อจูบรับขวัญและลงดาลกระท่อมสนิทอย่างเดิม

​“แฟงคอยพี่ตั้งแต่ไป เห็นนานนักแล้วก็กลัวจะเลยไปตีค่ายพม่าเสียอีก”

“ชื่นใจพี่แฟงเอ๋ย พี่จะไปก่อนยังไงได้ ดาบศึกอยู่นี่ครบแลแฟงของพี่ยังคอยมิได้บอกกล่าว ไปนั่งคุยกันแคร่นอนเราเถิด”

ชั่วประตูมาแคร่ เจ้าผัวก็จำถนอมอุ้มเมียรักมันมา แฟงคงจะท้องตั้งครรภ์อ่อนๆ เพราะผิวพรรณเปล่งงามยิ่งกว่าเมื่อสาว มันจะมีลูกกับแฟง หากเป็นหญิงคงงามเยี่ยงดั่งเฟื่องฟ้า ก็ต้องให้ชื่อเหมือนป้ามันที่ลับไปแล้วว่าเฟื่องฟ้าเมื่อเป็นชายก็ถนัดรบเป็นยอดทหารก็จะให้ชื่อมันว่าอ้ายรบ

มันหยอกเย้าเมียพอคลายทุกข์อื่นๆ แต่หัวใจเมียนั้นไม่สิ้นทุกข์สิ้นเศร้าไปได้เมื่อนึกถึงว่ากระท่อมสวรรค์นี้อยู่กลางศึกพม่าประชิด

“ยิ้มแย้มเสียมั่งเถิดแฟงเอ๋ย” ทัพปลอบน้ำใจ แฟงยังทอดกายอยู่บนตัก “อย่าทุกข์ไปนักเลย พี่เห็นเจ้าทุกข์เมื่อไรหัวใจมันแห้งบอกไม่ถูก”

ยิ้มของแฟงไม่สนิท แล้วก็ปรารภกับผัวว่า

“ไม่อยากจะคิดหรอกพี่ แต่ก็อดไม่ได้เลย”

“คิดอะไรถึงทุกข์นักล่ะแฟง”

“ชีวิตจะสั้น” แฟงตอบเผลอตามอารมณ์ “ชีวิตเราจะเหมือนไม้หัก แฟงก็ตั้งท้องแล้ว แต่กลัวจะไม่ทันได้เห็นลูก”

แล้วแฟงก็สะอื้นขึ้นเฉยๆ ทัพมันหัวใจวูบเหมือนปลิวจากอก กอดเมียแน่น

“ฮึแฟง เพราะอะไรล่ะแฟงเจ้าจงกลัวไปงั้น”

“ระจันคงเสียค่ายแน่ ทหารระจันเคยรบชนะแต่เพียงหนหนึ่งไม่ซ้ำสองแต่นี่ก็ตีนับไม่ถ้วนหนแล้ว คนฝีมือดีก็สิ้นลงทุกวัน”

“วิสัยศึกแฟงเอ๋ย ไม่แพ้ก็ชนะเป็นประเพณี แต่จะกลัวไปไยเล่า ทหารระจันยังมีอีกเหลือหลายนักที่จะต้องสู้”

เมียยิ่งน้ำตานอง พูดเสียงค่อยลงอีกเมื่อเกิดหวาดหวั่นในคำจะพูดนั้น

“ฉันนึกถึงคำเพ้อพี่เฟื่องว่าระจันจะเสียค่าย โอ้ถ้าระจันเสียค่ายแล้วชีวิตพี่ชีวิตฉันก็ต้องเป็นไม้หักต้องแหลกอยู่ในค่ายนี้”

ทัพขบฟันแน่น แฟงฟื้นคำพี่สาวให้มันคิดได้ ปากคนใกล้ตายมักจะพูดที่คนเป็นไม่รู้และคิดเห็นแลไม่ค่อยจะผิดปากมันนิ่งนึกไป ร่างเมียรักที่คล้าย​เฟื่องพี่สาวก็แลไม่ค่อยผิดเฟื่อง ทั้งเสียงกล่าวละม้ายแม้นเหมือนมันนั่งฟังคำเฟื่องสั่งค่ายเป็นลาตาย

“ใจดีเถอะแฟง มิ่งขวัญเจ้าอย่าหวาดไปคิดอื่นเลย” มันฝืนปลอบน้ำใจ “ทหารระจันสู้ศึกด้วยกตัญญูชาติ เสียดายชาติจะเป็นข้าของเขาอื่น พระท่านต้องรักษาบ้านระจัน ผีค่ายและปู่เมืองท่านต้องคุมเกรงรักษา และแฟงอยู่ใกล้พี่ๆ ก็ต้องรักษา พี่ต้องตายก่อนเจ้า น้องเอ๋ย ให้ศึกล้นฟ้านับหมื่นพี่ก็จะผลาญทัพมันให้ย่อยยับมิให้ล้ำมาถึงแฟง ดาบสองเล่มพี่ไม่หักก็อย่าหมายเลยที่จะได้ล่วงกระท่อมมาแต่เพียงก้าว”

แฟงค่อยสุขใจไปชั่วขณะ แต่ก็ไม่สิ้นที่จะคิดแปรปรวนไปต่างๆ อีกเวลาสักเพียงน้อยหนึ่งนิดเดียวทำให้เสียดายที่จะต้องจากบ้านระจัน คนสิ้นสุขไปเมืองผีโน้นเมื่อเสียค่าย

เสียงคนเรียกข้างนอกอีก เคาะเรียกทั้งเบาและหนักแซ่หู

“ใคร” ทัพตะโกนถาม ส่วนแฟงนั้นจากตักนอนจะไปเปิด

“ฉันเอง เปิดหน่อยเหอะ”

เมื่อประตูทับแง้มออก นายสังข์กับเจ้าฟักพี่เมียก็ย่างเข้ามา

“เอ้อสังข์ เจ้าฟักด้วย ไปไหนกันมาเรอะ”

นายสังข์เป็นคนตอบ “มาหาพี่ ท่านพันเรืองอยากปรึกษายกไปตีอีก เพราะเมื่อวานก็เสียทัพถูกยิงพ่ายมา”

ทัพถอนใจใหญ่มองหน้าเม่ียรัก มันจากกระท่อมไปเยี่ยมทหารเจ็บเมื่อเช้าเพิ่งกลับมาถึงทับไม่ทันไรก็จะต้องจากเมียไปอีก

“ใครอยู่มั่ง ที่เรือนท่านกำนัน” เจ้าผัวที่ห่วงอาลัยเมียถามน้อยเขย “แล้วเขาปรึกษากันว่าไงอีก”

“อยู่ทุกคน กำลังพูดถึงพ่อแท่นนายทัพ เพราะกำลังเจ็บเต็มที่ ยิ่งรู้ข่าวแพ้ก็ยิ่งเสียใจอาการเพียบ”

“กูอยากจะร้องไห้” ทัพว่า “นับว่าแต่นี้คนดีบ้านระจันจะร่อยหรอ”

แฟงนั้นนิ่งฟังคำถามคำกล่าวก็ใจคอหาย มองอะไรอื่นในกระท่อมดูเหงาเศร้าไปหมด ยิ่งเมื่อเห็นเจ้าผัวลุกไปหยิบดาบจบอธิษฐานสะพาย หัวอกแฟง​เกือบจะไม่ทนนิ่งได้ เจ้าอยากจะร้องห้าม แต่ยศทหารและศักดิ์ลือของชายชาตรีจะเสื่อมไปจากผัว ก็จำต้องยั้งไว้ เป็นแต่อ้อนวอนว่า

“พี่ต้องห่วงแฟงมั่ง พี่อย่าเอาแต่โมโหหวังชนะนักเพราะศึกนิ่งสู้อยู่แต่ในค่าย และยิ่งเอาเปรียบ”

ทัพก็ฝืนยิ้มปลอบเมีย อยากจะพูดจะกล่าวคำขวัญให้แฟงชื่นใจมากกว่านี่ หากแต่อยู่กันพร้อมหลายคนก็นึกละอายจึงพูดต่อพอการพอควร

“พี่ขอบใจเจ้านักแฟงเอ๋ย พี่จะจำคำเจ้าไว้ ทหารกล้าก็ต้องดูการที่ควรกล้า เมื่อเสียเปรียบแล้วเรายังจะขืนกล้าก็เท่ากับให้ศึกมันดูถูกว่าไร้ปัญญา ไม่สมควรแก่ชายชาติทหาร จะเสียชีวิต”

แฟงค่อยยิ้มได้ ถอนใจโล่งอกที่มันพูดถูกด้วยปัญญาตรองแล้วก็ยกมือไหว้ขอความสวัสดีจงเกิดแก่ผัว

“จงสมปรารถนาพี่ แฟงจะคอยพี่เหมือนเคยชนะกลับทุกคราว”

อยากจะโผกอดแฟงก็กระดากใจ จึงจับสองต้นแขน

“เออ จงสมปากสมพรของเจ้า พี่เคยชนะก็ต้องชนะ อดใจคอยกินข้าวพร้อมพี่ด้วย”

แล้วเจ้าผัวก็กลั้นกลืนความอาลัยห่วงเมีย ฝืนมุ่งแต่การศึกรำลึกถึงคุณชาติคุณเมืองและแผ่นดินได้อาศัยที่จะต้องทอดชีวิตบูชา รำลึกถึงเวทมนตร์และมืออาวุธที่ได้ร่ำเรียนจากพ่อทหารอาทมาต แล้วก็จากกระท่อมไปด้วยหัวใจตัดห่วงไม่มีเยื่อใยเหลือ กระทั่งพ้นกระท่อมงับประตูสนิทไม่ยอมเหลียวหลัง แฟงก็ทอดกายลงเหนือแคร่นอนซบหน้าสะอื้น

ตะวันบ่ายดวงคล้อยไปตะวันตกดิน การปรึกษาหารือของพวกหัวหน้าค่ายก็ยิ่งเพิ่มความทุกข์ร้อนหนักใจขึ้นเป็นลำดับ เพราะไม่เคยเสียเลยที่บ้านระจันจะต้องคับขันอับจนถึงเพียงนี้ นักรบทั้งเมืองสิงห์วิเศษไชยชาญและชาวระจันเองก็ต้องร่วงโรยเสียชีวิตไปแล้วมาก ใครก็หวังจะคิดหักศึกเข้ารื้อค่ายให้เหมือนครั้งศึกทุ่งขุนโลกคราวที่แล้ว แต่ใครเล่าจะต้านหน้ากองปืนรายประจำค่ายทั้งใหญ่น้อยหวาดไหว ก็จำต้องวิ่งเข้าพลีชีวิตสู้อย่างทหาร

​ท่านพันเรืองนั้นนั่งกอดเข่า คิดไปต่างๆ นานาไม่ปริปากพูด ส่วนนายจันทร์กับขุนสรรค์ผู้แม่นปืนฝีมือดีนั้น เห็นพ้องกันว่าจะลอบรบเมื่อพม่าเปิดค่ายออกลาดเสบียงหรือสืบข่าวการทัพ แต่นายทองเหม็นผู้ใหญ่บ้านระจันเป็นผู้ห้าวหาญมุทะลุทั้งกลุ้มอกรำคาญใจ เสพสุราบานหนักก็กล่าวขึ้นตามจิตกล้าของชายที่จะสู้ว่า “แน่ะ ท่านทั้งหลายเอ๋ย อันทหารระจันนั้นก็ปราบศึกมาจนลือฝีมือไปทั่วสารทิศแล้ว และประเพณีของศึกสงครามเล่าไม่แพ้ก็ต้องชำนะเป็นธรรมดา ก็แล้วใครมั่งเล่าที่จะนั่งงอมือให้ยิงประหารกันเล่นทุกวี่ทุกวัน”

ท่านพันเรืองก็ปรับทุกข์ขึ้นบ้างว่า “ท่านผู้ใหญ่พูดนั้นถูกใจนัก แต่ก็ระจันค่ายเราเป็นเมืองเล็ก อาวุธปืนใหญ่ที่นี่จะพอหาเข้าสู้ยิงฟังค่ายมันก็ไม่มี พวกเราตายเปลืองลงทุกวันเราก็ยิ่งว้าเหว่ไปด้วยทั้งสิ้น และหากขืนรอช้าอีกก็เหมือนหนึ่งจักเอาอาหารไปป้อนเสือกว่าทหารจะหมดค่าย ฉันจึงเป็นทุกข์นัก”

ยิ่งฟัง หัวใจรบของผู้ใหญ่ทองเหม็นก็ยิ่งคุขึ้นในอก ร้อนแรงนึกถึงศพทหารเพื่อนค่ายที่นอนเกลื่อนดินจนเหลือจะนับ เพราะต้องปืนไฟทั้งใหญ่น้อยจากค่ายพม่าแล้วอนาถใจ ไทยเคยรบ ไทยเคยกล้า แต่ไทยกล้าทั้งหลายต้องสิ้นชีพให้พม่าเย้ยอยู่เกลื่อน ปืนไม่มี ปืนไทยไม่มี เพราะอ้ายคนอาวุธจะสู้ก็ต้องก้มหน้าตายระจันมันสิ้น แต่หัวใจล่ะ หัวใจที่มันจะแตกเสียเพราะถูกข่มเหง หัวใจมันยังรักเหย้าห่วงเมือง หัวใจมันหายอมที่จะนั่งให้ยิงเล่นข้างเดียวเมื่อไหร่ ถึงสองมือเปล่าก็จะรื้อค่ายมัน เถอะ วิ่งแล่นเข้าไปให้มันยิงตายเสียดีกว่าจะมีชีวิตอยู่เห็นมันเดินทัพเข้ามาเหยียบค่ายระจันเป็นเจ้าของจะขนต้อนคนบนเหย้า หญิงจะร้องรำคาญหูเมื่อช่วยไม่ได้ ตายเสียดีกว่า ตายให้มันลือว่าเกิดมาแล้วไม่หนีตายทั้งๆ ที่รู้นี่ละ ครั้นแล้วนายทองเหม็นก็ถลันยืนขึ้นน้ำตามันไหลจะสั่งเมืองและทุ่งระจัน ปากก็กล่าวสั่งค่ายและสั่งมิตร

“เพื่อนค่าย แน่ะ พี่น้องที่เคยรักเคยนับถือ ท่านกำนันพ่อจันทร์ และท่านขุนสรรค์กรมการแลคนอื่น ฉันละจะไปให้มันยิงเสียอีก ฉันละจะเข้ารื้อค่ายมันเอง ไหนๆ บ้านระจันมันก็เสียคนยับไปแล้วเพราะอาวุธสู้เราไม่มี เอาละฉันเองจะขี่อ้ายเผือกชนค่ายให้มันยิงเสียให้ตาย ให้ทหารเพื่อนเมืองเขายิงคนมือเปล่าสิ้นอาวุธดูทีรึ ฉันอยากตาย ฉันอยากจะตายๆ เสียให้มันรู้แล้วรู้รอด ยัง​จะดีกว่าคอยให้มันมาเยี่ยมหน้าเย้ยเมื่อเสียค่าย”

คนฟังทุกคนร้องห้าม แต่ใครเล่าจะห้ามหัวใจทหารที่เหลือแค้นอยู่ได้เมื่อกล่าวแล้ว นายทองเหม็นผู้ใหญ่บ้านระจันแท้จึงหุนหันลงจากเรือน ก็พอพบหน้ากับเจ้าทหารคำหยาด นายทองเหม็นจึงทักด้วยความปีติหัวใจ

“อ้าว น้องข้า เหมาะนักแล้วที่พบกัน พี่จะไปรื้อค่ายมันเสียเดี๋ยวนี้ ใครอื่นไม่อยากจะเกณฑ์แล้วแต่หัวใจสมัคร แต่น้องข้าต้องรู้เสียก่อนว่าเหย้านอนหรือทับอาศัยเราคืนนี้น่ะโน่นทุ่งนอกค่ายแถวขุนโลกโน่น ทหารระจันต้องนอนมันหน้าค่ายพม่า ต้องนอน นอนมันกลางกองเลือดถึงจะเรียกว่าผู้ชายสยาม”

ทัพตะลึงงัน ถึงนายทองเหม็นจักเมาอยู่ แต่ก็พูดจามิได้เสียสติ หากแต่ใจแท้นั้นมุทะลุเจ็บร้อนแทนเพื่อนที่เสียชีวิต มันเหลียวมองเจ้าสังข์กับนายฟักแล้วกล่าวกับนายทองเหม็นว่า

“ฉันตั้งใจมา ก็นึกว่าจะได้ไปตี” แล้วชี้ที่ไหล่สองสะพายดาบ “นี่ดาบก็เตรียมมาแล้วจะรื้อหรือจะหักเข้าไปก็แล้วแต่การ ดีกว่าจะนอนตายทับค่ายให้เสียชื่อ”

นายทองเหม็นหัวเราะก้องแล้วเข้าสวมกอด ทั้งเจ้าฟักและนายสังข์ต่างเต็มใจสมัครไป หากแต่ผัวเจ้าแฟงมันวิงวอนห้าม

“อยู่เถิดสังข์เอย ฟักด้วย” แล้วมันก็แลไปหลังคากระท่อมน้อยที่จากมาเห็นลิบๆ “เอ็งอยู่เป็นเพื่อนแฟงมันเถอะ”

นายสังข์และเจ้าฟักไม่ยอม ตั้งแต่ทำศึกมา นับแต่เป็นโจรกระทั่งเข้าค่ายระจัน เจ้าทัพไม่เคยจะพูดผิดหูเช่นนี้

“ฉันไปด้วย” สังข์ยืนคำ “ฉันต้องไปให้ได้ ขอให้ฟักมันอยู่”

เจ้าหนุ่มพี่ชายแฟงสั่นหัวไม่รับคำ จนทัพต้องปลอบแต่โดยดี

“อยู่เถอะฟัก เอ็งต้องอยู่เป็นเพื่อนแม่เป็นเพื่อนแฟง เอ็งอ่อนอายุก็ต้องไปศึกครั้งหลังตามอายุอ่อน เชื่อพี่เถอะที่พูดนี่มิใช่ปากข้าจะเป็นลางตายหรอก ข้าก็ทหารเคยศึกเอ็งย่อมรู้เห็นมาดี”

เจ้าฟักจำใจยืนนิ่ง มันตรองแล้วตรองอีก แต่หัวใจก็ไม่วายจะคิดว่าพี่ทัพไปตีค่ายครั้งนี้เคราะห์ไม่งามนัก ขณะที่นายทองเหม็นที่วิ่งผละไปชักชวนผู้คนมาเป็นแถวเป็นกอง ส่วนตัวเองขี่กระบือสีเผือกผู้รุ่นเปลี่ยวตะโพงมาหน้า ดาบก็​ควงกวัดแกว่งตะโกนแต่คำชวนไปรื้อค่าย เจ้าคนพื้นคำหยาดกับนายสังข์ก็ผละจากเจ้าฟักเข้าขบวนไปติดๆ

ตะวันใกล้เย็น ยามบนหอค่ายของสุกี้พระนายกองต่างพากันเอะอะวิ่งชุลมุนไปบอกนาย เพราะชั่วกองสืบเหตุที่รีบมาบอกไม่ทันไร ฟากทุ่งลิบๆ ย่านขุนโลกโน้นก็เห็นชาวค่ายระจันกำลังยกกันมาอย่างเปิดเผยเอิกเกริกเหมือนเดินทัพใหญ่ แต่พลที่มานั้นเพียงน้อยหนึ่งไม่ครบร้อย และยิ่งใกล้ก็ยิ่งพากันประหลาดที่เห็นควายเผือกโผนมากลางหมู่คนมุ่งตรงมาโดยเร็ว สุกี้พระนายกองคาดว่าจะเป็นอุบายศึก จึงนิ่งคุมดูเชิง แต่กระทั่งใกล้มาอีกเห็นถนัดเพียงชั่วทางปืนก็รู้ว่าเชิงศึกนั้นไม่มี ชาวระจันมาแต่เพียงน้อยด้วยอาวุธดาบเหมือนหนึ่งจะท้ารบไว้ฝีมือศึกกลางแปลง

เมื่อคะเนจำนวนแน่แล้ว สุกี้จึงระดมทหารเพิ่มขึ้นมากกว่าชาวบ้านระจันหลายส่วน แล้วคุมกันกรูออกทั้งวิ่งดาหน้าและรายล้อม ส่วนพลหนุนก็เตรียมอยู่พรักพร้อมที่จะคุมออกช่วยอีก อันจำนวนทหารที่จะเปรียบแล้วก็เพียงชั่วโหมพักเดียวทัพระจันก็จะเหลวแหลกพินาศคามือ

อ้ายเผือกเต้นผยองเบิ่งเขาเมื่อเห็นคนมากมายข้างหน้า นายทองเหม็นผู้สละชีวิตก็เตือนอ้ายเผือกหนักขึ้น ยิ่งเห็นระเนียดค่ายและหอรบหอปืน หัวใจของผู้ใหญ่บางระจันแทบจะทะลักเป็นเลือด จะเอาอ้ายเผือกโผนเข้าขวิดค่ายแม้จะเสียชีพเล่าก็ขอให้อ้ายเผือกได้เข้าขวิดระเนียดและพังประตูเท่านั้นก็ชื่นใจทหารที่จะยิ้มลาไปเมืองผี เมื่อทหารของศึกดาหน้าและกระจายล้อมโห่ใกล้เข้ามา ผู้ใหญ่ระจันก็ชะเง้อตัวสูงควงดาบเข้าใส่แล้วร้องเร่งพล

เข้าให้ถึงค่ายน้องเอ๋ย อ้ายหอสูงนั้นแหละมันผลาญคนระจันมากนัก เราเข้าตายในค่ายศึกเถิด เมื่อมันไม่ถึงหากมือจะได้หักไม้ค่ายกำตายแต่คนละอันก็พอแก่ยศเราได้มาเยี่ยมค่ายเขาแล้ว ชีวิตเราจะแลกกับไม้ค่ายเพียงคนละอันก็ประเสริฐทหารนักหนา

สิ้นคำเจ้าทหารกล้ากับนายสังข์ที่วิ่งมาสองข้างขนาบอ้ายเผือกก็หัวใจสะอื้นดาบพ้นฝักโบกไปข้างหน้าโน้น ลืมแฟงและลืมคำเจ้าเสียสิ้น เลือดตลอดตัวนี้จะ​ขอหลั่งทาดินฝากธรณีไว้บูชาชาติที่อาศัยแผ่นดินได้สุข ขอฝากเลือดไว้แก่หญ้าเขียวพอบอกเพื่อนหวังว่าจะลาตายแล้วมันก็ตะโกนต่อคำของนายทองเหม็นสืบไปอีก

“ตายให้หมด เพียงมือคลำรั้วค่ายก็เรียกว่าบ้านระจันมันชนะ มันบุกมาตายจนถึงเพราะตั้งใจจะตายรบ รบมันเข้าไป”

พลระจันก็โห่ขึ้นพรักพร้อม ชายระจันน้อยนักหนาแต่ก็เหมือนเพลิงที่ลุกโรจน์เข้าหาเชื้อเผาไฟวูบๆ รุกไปและฆ่าเกลื่อนตลอดไป เมื่อสิ้นแรงก็ล้ม บ้างดาบหักเข่าคุกลงประณมมือสั่งค่าย ลาก่อนค่ายระจัน เพื่อนเมืองสิงห์ทั้งสุพรรณที่เคยร่วมศึก เพื่อนวิเศษไชยชาญและศรีบัวทองบ้านนักรบจะไม่เห็นหน้าอีก หน้านี้จักยับเยินด้วยรอยเท้าย่ำ ดินหน้าค่ายจักกลบหน้าเราแทนหลุมบ้านระจัน แล้วก็สิ้นใจลาโลกตายอยู่ฟากดินของชาติ

อ้ายเผือกโผนไปลิบๆ เขาอ้ายเผือกแดงฉานตลอดสองปลายเขา ดาบหลังอ้ายเผือกก็หวดไม่เลือก เร่งแต่จะตะลุยเข้าให้ถึงค่าย เจ้าทหารเสือที่ขนาบข้างอ้ายเผือกเหงื่อโซมหน้า เลือดโซมแขนแล้วน้ำตานอง เพราะผู้ใหญ่บ้านตะโพงอ้ายเผือกถลำศึกไปแล้ว พ่อยอดเมืองระจัน ผู้ใหญ่ระจันผู้ไม่ห่วงใครอื่นไม่ห่วงชีวิตแม้สักน้อยกำลังถูกห้อมล้อมด้วยทัพนับร้อย มันกลุ้มเข้าฟัน มันรุมแทงทั้งหอกซัดและแหลนหลาว แต่อ้ายเผือกก็ตะโพงยกหน้าสูงสองเขาคะนองเลือดแล้วโผนเข้าชนระเนียดค่ายผาง ขวิดคนขวิดไม้ดะด้วยกำลังเจ็บ ดาบบนหลังก็หวดหัวกระเด็นแล้วฟันระเนียด นั่น เป็นธงชนะของผู้ใหญ่ทองเหม็นแล้วก็ถูกฉุดตัวพลัดหลังอ้ายเผือก พริบตานั้นก็สิ้นชีพอยู่หว่างทัพล้อมเหลือที่ใครจะหักเข้าแก้ อ้ายเผือกก็โผขวิดไปจนสิ้นแรงล้มตามเจ้าของ

ทัพมันสะอื้น บ้านระจันแต่นี้จักว้าเหว่ หากจะเรียกหาก็เพียงได้ยินนามว่าผู้ใหญ่ทองเหม็นพ่อยอดทหารที่ถอดชีวิตถวายชาติไปสู่สวรรค์แล้ว บ้านระจันจะสู้ศึกเหมือนคนไม่มีหัวใจ แต่ฟากทุ่งเวิ้งนี้ค่ายระจันจักจำไว้ชั่วชีพว่าเจ้าพ่อทองเหม็นท่านหัวเราะเยาะศึกอยู่ก้องฟ้าบนหลังอ้ายเผือกเป็นเจ้าทุ่งทหารสยาม

พอดีตะวันพลบ ไม้ไร่ก็ซบใบเศร้ามืดมัวดังจะไว้อาลัยคำนับศพท่านทหารหาญที่ชีวิตหาไม่ ทัพแทบจะสายใจขาดแทบจะน้ำตาเป็นเลือดที่เสียชีวิตพ่อค่าย จะถลันไปอีกก็เหมือนหนึ่งจักพาฝูงเพื่อนแมลงเม่าเข้าเล่นเพลิง ก็จำต้องรอ​รบและถอยมาตลอดทาง ผู้คนก็ล้มมาตลอด บ้างพลัดบ้างหลงอยู่หว่างศึกแล้วก็สู้จนกำดาบตาย ไทยยามเข็ญศึกเหยียบฟากเรือนแล้วไทยก็ก้มหน้าสู้ ไทยจักประนมมือยิ้มถวายชีวิตเป็นชาติพลีกว่าคนจะเกลี้ยงเมืองแล้วก็ขอเชิญผู้ชนะเขามาครอง

กระทั่งเข้าปากทางหลีกเร้นมาตามป่าเปลี่ยวหลบเข้าดงลึกพ้นอำนาจทหารพม่า ทัพมันก็เศร้าหัวใจนัก เจ้าสังข์ก็ชุ่มเลือดทั้งทหารเหลือก็ล้วนแต่เจ็บป่วยเพราะต้องตกอยู่กลางศึกล้อมมากมาย และก็มีชีวิตกลับค่ายไม่ถึง ๒๐ ทั้งตัวมันเอง ตะวันก็ต่ำไปสิ้นแสงแล้ว ตะวันลับดวงเหมือนจักคำนับศพทหารระจันและนายทัพทองเหม็นผู้สิ้นชีพอยู่กลางทุ่งมืดหน้าระเนียดค่ายศึกโน้น

บ้านระจันค่ายน้อย ประตูค่ายซึ่งเคยเปิดออกลาดหาเสบียงและหาไม่อย่างหมดภัยเมื่อก่อน ปิดสนิทนับแต่วันที่ผู้ใหญ่ทองเหม็นเสียชีพไปแล้ว ค่ายหน้าอันเป็นหอปืนของพม่าข้าศึกก็เหิมใจยกรุกมาอีกแล้ว ตั้งค่ายประชิดล้ำทุ่งขุนโลกมาใกล้ และขุดอุโมงค์เข้าประชิดค่ายน้อยระจัน แล้วปลูกหอรบสูงเอาปืนใหญ่ขึ้นตั้งจังก้ายิงกราดมาในค่ายตลอดเพลา

ศพเกลื่อนค่ายทั้งทหารกล้า หญิง และเด็กแดงผู้เฒ่าผู้แก่ซึ่งอาศัยอยู่เป็นชาวค่ายต้องสับสนอลหม่าน เสียงเรียกหาเมื่อปืนใหญ่กราดแล้วต่างก็สิ้นชีวิตเพราะกระสุนดั่งเม็ดฝน หอกดาบและมีดไม้ของคนระจันหมดประโยชน์แล้วที่จะออกต่อศึก ก็ได้แต่ปิดประตูค่ายคร่ำครวญคอยเวลาตาย

Logged
ppsan
Administrator
สยามราษฎร์
*****
Offline Offline

Posts: 8,458


View Profile
« Reply #6 on: 15 May 2022, 13:20:53 »


เช้านี้ฝนแล้ง เมฆขอบฟ้ามีเพียงก้อนเล็กกลุ่มน้อย แต่อากาศโปร่งไม่มีฝนนั้นกลับเพิ่มกลัวให้แก่ชาวค่ายอาศัยเป็นอเนกเพราะจะต้องวิ่งวุ่นด้วยปืนรบบนหอสูงโน้นอีก

ในทับอาศัยชั่วคราว ผู้คนกำลังล้อมแคร่นอนอยู่มากหลายล้วนแต่ตัวหัวหน้าและทหารใกล้ชิดฝีมือดี คนป่วยนั้นยังพอมีสติออกปากห้ามมิให้เพื่อนผู้หนึ่งผู้ใดที่จะพาย้ายหนีไปค่ายใหญ่ให้พ้นระยะปืน อันหัวใจเด็ดเดี่ยวของนายแท่นแม่ทัพซึ่งป่วยเพราะต้องปืนแต่ครั้งศึกสุรินทจอข่องนั้นเล่าใครเลยจะเว้นชม ใครเลยจะกลั้นน้ำตาเสียได้เมื่อแม่ทัพศรีบัวทองคนเมืองสิงห์กล่าวยิ้มแย้มว่า

​“เพื่อนค่ายทั้งหลาย และพี่น้องไทยเรา ฉันเป็นชายชาติทหาร เราอพยพหอบครัวมาตั้งค่ายขึ้นก็เพราะใจรบมันไม่สิ้นสู้มันเพราะแสนเจ็บใจ อย่าเลยอย่าได้พาฉันย้ายไปอื่นเลย ไหนๆ ก็จะต้องตายก็ขอให้ตายคาค่ายเก่า ตายอยู่กลางลูกปืนเม็ดฝนที่มันตกตามฤดู เถอะ ฉันไม่ทิ้งค่าย คนทิ้งค่ายตายมิใช่ทหาร ผู้ใหญ่ทองเหม็นเขาตายดี เขาตายสมกะเกิดมาเป็นคนระจันแท้ ก็ขอให้ฉันตายกลางปืน ขอให้ฉันได้นอนดูลูกปืนมันตกมาฆ่าทหารเถิด ชาวเมืองสิงห์และลูกหลานศรีบัวทองที่อยู่หลังก็จะไม่ค่อนว่า ชาวเมืองสิงห์ตลอดแคว้นจักตบมือดังเพราะคนชื่อแท่นชายเดียวมันรั้งค่ายจนสิ้นลม ลุกจับดาบไม่ไหวแล้วแต่ก็นอนให้ฆ่าไว้ลายทหาร”

นายจันทร์ร้องไห้ทั้งท่านขุนสรรค์และพันเรืองกำนันต่างฟายน้ำตา นายโชตินายเมืองอันเป็นชาวเมืองสิงห์แท้เล่าก็กอดอยู่แทบเท้ารำพันถึงแม่ทัพยอดทหาร ถัดไปสองข้างแคร่ทั้งนายทองแก้ว นายอิน นายดอกไม้ กับเจ้าทหารเสือคำหยาดต่างก็คุกเข่าฟังนิ่งหัวใจเหมือนถูกมนต์ตรึง เว้นเสียแต่น้ำตาแล้วก็จะหาเสียงใดอื่นอีกมิได้นอกจากฟันขบฟัน

แสงตะวันสายลอดหลังคาทับและลมหอบแดดอุ่นมาจากข้างนอก อาการของหัวหน้าค่ายก็เพียบลงตามเพลา พิษปืนที่ต้องเข่ากระดูกหักกำเริบเรื่อย แต่นายแท่นมิได้ตั้งสติเสียแล้ว เพราะเสียงโกลาหลวุ่นวายข้างนอก เสียงปืนแผดสิงหนาทเริ่มมาอีก เสียงกราวและตกหนักบนหลังคา ผู้คนที่ยืนเคียงก็พากันห้อมล้อมกอดไว้แน่น คำท้ายของปากทหารเมืองสิงห์กล่าวว่า

“ทิ้งฉันเถิด เสียงปืนนี่ทหารจะตายเป็นสุขเหมือนเสียงเขาประโคม ขอลาเพื่อนค่ายทุกคน เมื่อค่ายนี้เสียแล้ว ผีฉันจะรับแขกเขาเอง แต่เพื่อนร่วมศึกที่อยู่หลังขอให้สู้จนสิ้นค่ายเกลื่อนศพรับหน้าเขาให้สมทหารดีกว่าจะทิ้งค่ายหนี ฉันลาบางระจันไปก่อน”

นายแท่นมิได้กล่าวสิ่งไรอีก คงหลับตาฟังเสียงปืนเสียงชาวค่ายวิ่งวุ่นกระทั่งอาจารย์ธรรมโชติมาถึง พอมีพระเป็นธงชัยนำชีวิตกล้าของชาติทหารพ่อแท่นขุนทัพก็ลาชายชาวเมืองสิงห์ทั้งหลาย ลานักรบทั้งสองค่าย ฝากชื่อจารึกไว้ยังผืนดินระจันเมืองน้อยแต่เพลานั้น

​ทหารคุกเข่าขมาศพกันทั่วคน ล้วนแต่ร้องไห้รักหัวใจแท้ พ่อแท่นไปสวรรค์แล้วสมศักดิ์ทหาร ชื่อพ่อแท่นจักหอมหวนติดใจผู้ชาย พ่อแท่นผู้อพยพมาร่วมเพื่อนไทยสร้างค่ายคงจะยืนกอดคอเคียงนักรบระจันผู้หาญคือผู้ใหญ่ทองเหม็นเยาะศึกอยู่ฟากสวรรค์โน้นแล้ว

พอชักผ้าคลุมศพ หน้าทหารจักถูกกลบดินแต่นี้ไป ก็พอเสียงโห่ร้องอึงคะนึงขึ้นหน้าค่ายระเนียดโน้น ผู้เป็นหัวหน้าทั้งหลายทุกคนจึงถลันออกพ้นทับยืนที่แจ้ง ประตูหน้าค่ายน้อยพังแล้ว พม่าหักค่ายพักทหารรักษาลงเกลื่อนดิน โอ้ราษฎรระจัน อ้อมแขนแม่ยังกอดลูกต้องปืนตาย ผู้เฒ่าที่มิได้สู้ก็ต้องนอนเกลือกกองเลือดสิ้นชีพ หญิงนั้นจากเหย้าชุลมุนจะหนี แต่แล้วก็ถูกผู้ชนะห้อมล้อมรั้งแขนอุ้มไป

เหลือแต่ค่ายใหญ่ถัดไปโน้นที่จะต้องรักษาตราบหมดชีวิตชาวระจันทุกคนท่านกำนันพันเรือง และขุนสรรค์และนายจันทร์กับทหารอื่นจึงรุดออกด้านหลังค่ายเล็ก เจ้าทัพทหารลือกับนายสังข์และฟักเจ้าหนุ่มพี่เมียก็วิ่งสุดฝีตีนมุ่งกลับกระท่อมพัก

หากปืนบนหอรบพม่าจะยิงไม่ถึง แต่มิ่งขวัญของแฟงที่อยู่เหย้าคอยผัวซึ่งไปเยี่ยมไข้หนักของแม่ทัพนายแท่นก็หวาดหวั่นเมื่อเสียงปืนระดมรับตะวันสายฟ้าโปร่ง เมื่อประตูกระท่อมเปิดโครมครามทลายลง แฟงก็ร้องสุดเสียงเรียกผัวช่วย เพราะไม่นึกเป็นใครอื่น ผิดพม่าเข้าหักค่าย

“พี่เอง แฟง” ทัพตะโกนบอกเมื่อวิ่งมาถึง “แฟงเอ๋ย ระจันเสียค่ายแล้ว ศึกมันหักเหยียบลานค่ายมาแล้ว หนีเถอะ หนีเร็ว”

แฟงสิ้นสติสิ้นคำจะตอบ แล้วชวดเซลงในอ้อมแขนผัวมันก็รับแฟงอุ้มวิ่งออกพ้นประตูทับทลาย ครัวกระทุ่มด่านหนีไปแล้วลิบๆ ทั้งเจ้าสังข์เจ้าฟักและนางจวงกำลังจูงแม่วิ่ง เออยามยากเข็ญกลียุค นอกจากผ้าพันกายแล้วก็มีแต่สองมือเปล่าพากันหนีซุกพอชีวิตรอดได้อีกมื้อ ครั้นแล้วเจ้าผัวที่อุ้มเมียงามก็วิ่งต่อไปอีก หน้านองด้วยน้ำตา แค้นที่เหลือจะกลั้นกลืนลงได้วิ่งไปปากก็พร่ำเรียกแต่ชื่อแฟงให้รู้สึก ทิ้งกระท่อมทับที่เคยสำราญไว้ให้เป็นเชลยพม่า กระทั่งเหยียบเข้าฟากประตูค่ายใหญ่ลิบๆ

​ฝ่ายสุกี้พระนายกองซึ่งอยู่ยังค่ายใหญ่อันตั้งถัดไปนั้น เมื่อเห็นชาวบ้านระจันทิ้งค่ายน้อยหนีแล้วจึงถ่ายเทพลพม่ารามัญเข้ายึดอาศัยทำค่ายมั่น เพราะคิดจะขุดอุโมงค์ประชิดเข้าไปอีกเพื่อเอาปืนใหญ่ตั้งจังก้ายิงทำลายค่ายให้ชาวระจันเกิดระส่ำระสายอีกก็จะเข้าตีหักเอา แต่ทหารรบชาวระจันก็มิได้นิ่งนอนใจเพราะรู้เท่าอุบายศึก จึงแต่งทัพออกโจมตีอยู่เสมอ และพ่ายแพ้ล้มตายเพราะปืนประจำค่าย ผู้คนก็หมดเปลืองลงทุกวันจนพากันท้อใจแทบจะมานะสู้สิ้น

แต่ถึงไทยจักสิ้นฝีมือแล้วเพราะไร้อาวุธ บ้านระจันต้องว้าเหว่ ขาดไทยอื่นจักช่วยได้ แม้แต่ทหารกรุงที่มีทัพมากมายล้นเหลือก็ยังจำต้องนิ่งอยู่รักษาพระนคร ชาวระจันก็จำต้องเสี่ยงชีพเสี่ยงชีวิตเข้าโจมตีศึกอีกด้วยอาวุธสั้นแล้วแต่วาสนาเมือง ทัพผสมอันเรียกว่าบางระจันซึ่งมีทั้งชาวสิงห์ สุพรรณ และวิเศษไชยชาญเคยชนะ จะต้องวิ่งกรากเข้าสู้กระสุนปืน จะต้องวิ่งถือดาบแร่เข้าใส่เมื่อต้องปืนก็ลาตาย หากเล็ดรอดไปถึงเพียงริ้วค่ายแล้วก็จะรื้อทำลายเสีย ถึงจะตายอยู่แทบไม้รั้วเหยียดศพขวางประตูค่ายพม่าก็นับว่าเป็นทหารประเสริฐ และได้ศักดิ์ทหารติดตัวไปแล้วเมื่อขาดลม

เขานั่งร้องไห้รักเมือง นายจันทร์ผู้ควงดาบประกาศชนะศึกอยู่กลางค่ายขุนโลกเมื่อโน้นกับท่านสรรค์กรมการและพวกหัวหน้าทุกคนกำลังทุกข์ร้อนสาหัส ระจันจะแพ้นั้นไม่ว่า ทหารระจันจะสิ้นชีวิตวอดวายหมดจนเสียค่ายก็หาน้อยใจไม่ แต่ขอให้ได้สู้กัน ให้มีปืนได้กราดไปตั้งยิงตอบโต้มั่งแล้วหัวใจสู้มันจักตื่นมาอีก ไทยจักเต้นออกท้ายิงนอกค่าย แต่ระจันมันเป็นเมืองบ้านนอกที่ไร้สมบัติ อาวุธก็หาตามมีตามได้ และก็หนีร้อนอพยพมีแต่ผ้าพันกายมาด้วยกันแต่เพียงผืนพร้าเล่ม ก็จำต้องนั่งให้เขายิงนิ่งคอยวันตายไม่ทิ้งค่าย คอยให้เขาเห็นแต่ซากศพเกลื่อนดังว่าระจันนี้เป็นป่าช้าฝังผีไทยเสียจะดีกว่า

เมื่อได้ตรองกันจะแจ้งไปอีก พูดปรึกษาปรับทุกข์ปรับร้อนกันหนักขึ้นความเก่าที่คับแค้นสาหัสก็พลุ่งขึ้นในอก ใครจะนิ่งตาย ใครจะนิ่งให้เขายิงกันเล่นข้างเดียวเหมือนคนขลาด กาเห็นปืนก็พอจะบินหนีพ้นได้ แต่นี่มันคนเมื่อไม่หนีก็ต้องแล่นเข้าหาดีกว่าจะมุดหัวให้เขายิงเล่น แล้วนายจันทร์ผู้ปลงชีวิตถวายชาติด้วยหัวใจเด็ดก็กล่าวกับเพื่อนน้ำตาคลอๆ

​“ยกไปตีมันอีก จะเป็นตายพ่ายแพ้ก็ขอให้ยกออกไปสู้อวดหัวใจมัน อย่าให้มาเย้ยว่าไทยกลัวปืนเหมือนกาขลาดตาขาวชั่วเห็นธนูโก่ง เออน่ะ เมื่อว่ายิงถูกก็เป็นบุญมือเขา ถ้าผิดก็จะแล่นเข้าค่ายให้อลหม่าน ก็ฝากเชลยไว้ก็แต่ศพเท่านั้น”

ท่านกรมการขุนสรรค์ผู้แม่นปืนก็เหลือจะนิ่งได้ คำนายจันทร์ล้วนแทะแปลบต้องใจทหาร ใครจะอยู่ให้ขายหน้าอีกเล่า ยิ่งนิ่งมันยิ่งแค้น จึงกล่าวขึ้นมั่งว่า

“คำพ่อจันทร์ถูกต้องหัวใจนัก ถึงจะนิ่งอยู่ก็ไม่พ้นตาย รบมันก็ได้ตายเร็ววันขึ้นไปอีก แต่ก็ยังแลกชีวิตกันได้มั่งเถอะ เราจะเรียงหน้าผลัดเวรกันออกไปให้มันฆ่าเสียทุกวันก็เอา ให้มันล้างเสียให้สิ้นคนระจันเถอะ คนแพ้คนน่ะอย่าอยู่เลย เขาจะเยาะเอาเปล่า เชลยศึกต้องรับใช้งานน่ะเสียผู้ชาย คนชนะก็มีหน้ามีตาเมื่อยังอยู่เป็นคน แต่อ้ายที่มันยอมก้มหน้าสู้แล้วหนีตายไปเพราะไม่อยากจะแพ้น่ะว่าไร เมื่อตัวมันแพ้ก็ให้ตายเสียรู้แล้วรู้รอด แต่หัวใจน่ะไม่ยอม ถึงมันริกๆ เต้นช้ากระทั่งดับก็ไม่ยอม หากชนะตัวก็ให้มันเอาศพไปปะไร”

พอจบคำกล่าวของท่านขุนสรรค์ เสียงสะอื้นและพึมพำก็มีทั่วคน แล้วทัพระจันก็กะเกณฑ์กันอีกเป็นศึกใหญ่เสี่ยงชีวิตไม่ชนะก็ไม่คิดกลับ อันพลระจันมื้อนี้ทุกหัวใจต่างคิดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันว่าเราจะเหมือนโคฝูงที่ยอมต้อนตัวเองไปสู่ที่ฆ่า เมื่อคืนเป็นราตรีท้ายที่ได้นอนค่ายแล้วตื่นมาสู้ศึก หากแพ้เขาเสียวันนี้ เหย้าเรือนอันเป็นเครื่องรักของหวงก็ขอมอบให้คนอยู่หลัง

กองอาสาตายของระจัน อันมีท่านขุนสรรค์กับนายจันทร์หนวดเขี้ยวเป็นขุนทัพนำศึก พลเพียบทั้งปีกซ้ายขวาล้วนอาวุธสั้นดาบหอกและแหลนหลาวตามมีตามหา จะขอแทงเพียงคนละแผล ฟันคนละที หรือได้เอื้อมมือผลักเพียงรั้วค่ายโยกแล้วจะต้องเสียชีวิตลาบ้านเกิดเมืองระจันทั้งลูกรักเมียถนอมก็เต็มใจ

ที่เหลือคือท่านพันเรืองกำนัน และนายทองแสงใหญ่เชื้อระจันชาติชาตรีต่างก็ระดมคนให้เตรียมรักษาค่ายมั่น ค่ายที่จะรักยิ่งซึ่งจะขอเป็นเรือนตายไม่ทิ้งไปอีก แล้วคนไปกับคนอยู่ก็ร่ำรักกอดคอลา ผัวฝากลูกกับเมียรักให้ทะนุถนอมลูกจักอยู่ต่างหน้าพ่ออุ่นเรือนหายเหงา เพื่อนกอดเพื่อนกระซิบ ขอฝากลูกและ​เมียรักเราไว้ ขอฝากแม่ฝากปู่ย่าเคยเคารพ เมื่อเราตายก่อนแลเสียค่ายแล้วค่อยพบกันเมืองผี ครั้นแล้วทัพระจันซึ่งรู้กำหนดตายก็จากไป ทัพผีของบ้านระจันส่งเสียงโห่ เสียงรับของโห่สั่นครวญพ้นประตูค่ายไปแล้ว

กระทั่งเหยียบเข้าย่านศึกสมรภูมิพันขุนโลกมานั้นก็พบทัพใหญ่พม่าตั้งรับอยู่ ด้วยสุกี้คะเนกำลังพลบ้านระจันรู้อยู่ดีว่าค่ายใหญ่เหลือทหารเท่าใด และด้วยความครั่นคร้ามของพลพม่ายังมีอยู่อีกมาก สุกี้จึงเกณฑ์พลเพิ่มมีกำลังเหนือบ้านระจันหลายส่วน

พอเห็นศึกตั้งรับกลางแปลงดาหน้าอยู่นอกค่าย ขุนสรรค์แม่ทัพและนายจันทร์ก็แสนปีติ ถึงพม่าจะมีพร้อมทั้งกองม้ากองปืนก็ยังได้แล่นเข้าดูหน้าให้ถนัด ได้ฟันกันชิดๆ ถึงจะมากมายกว่าก็ยังตายชื่นใจทหาร ถึงศพแลกศพไทยจักหมดก่อน แต่ก็อย่าหมายเลยว่าพม่าเพื่อนเราจะเหลือลอยนวลไปถึงครึ่งไม่ถูกฟัน

ท่านขุนสรรค์ยิ้มพยักให้เข้าตี ผู้ยอดฝีมือน้ำใจทหาร นายจันทร์ก็ยิ้มตอบโบกดาบประกาศแก่พลศึก

“พี่น้องและเพื่อนค่าย ศึกตั้งรับเรา เรายกมาแล้วจะหยุดรับเหมือนเขานั่นผิดวิสัย ทหารเราใช่คนขลาดจะหยุดรับเอาเชิง ศึกมาแล้วก็จำต้องรีบรุกไปตายให้หมด ถึงแพ้ก็ยังเป็นทหารกล้าที่ชนะอยู่หน้าค่าย โห่แล้วตามฉันมา โห่ลาค่ายและเมืองระจันโห่ไว้ยศทหารเรา แล้วก็โห่ให้คนชนะที่เขามีชีวิตช่วยฝังศพพร้อมเป็นสามลา”

เสียงโห่สามลาครบ ลาก่อนค่ายระจันและเมืองสยามที่เกิด ลาสองนี้เป็นเกียรติเป็นศักดิ์ของทหารเองที่ต้องรักษาไว้ ใครอื่นจะแย่งศักดิ์นี้ไปจากตัวมิได้ ถึงตายแล้วศักดิ์ชายก็ยังหอมหวนติดโลก ติดปากคนอยู่หลัง มิ่งไม้และฟ้าเขียวมันจักเป็นพยานว่าวันนี้ทหารลาโลกเพราะไว้ยศ กองพันระจันครบ ๓ ลาสุดท้ายที่ขอคำนับผู้ชนะเราแต่เพียงกาย

สิ้นเสียงสะเทือนทุ่งทัพระจันก็เคลื่อนเข้าหาศึก นายจันทร์และท่านกรมการขุนทัพทั้งสองก็วิ่งนำหน้าแล้วเข้าปะทะทัพฟันฟอนหลั่งชีวิตกันหมดปรานีห่วงใยอะไรอีก แต่ทัพระจันผู้ไร้วาสนา ทัพระจันเมืองน้อยและคนน้อยได้ถูกโอบหลังแล้ว ข้าศึกที่ซุ่มอยู่ก่อนในค่ายเองที่เสียไป ทั้งพลหนุนแห่งอื่นได้ ลอบยกโอบหลังมา

​เขารู้ตัวว่าต้องตาย รู้ชีวิตว่าตกอยู่กลางศึกล้อมของพม่า เดือนตะวันจะขึ้นค่ำคืนและพรุ่งนี้เช้าจะมิได้อยู่เห็นอีก แล้วต่างประกาศลาค่ายลาเมืองสยามและระจันบ้านน้อย ชาติไทยที่แสนรักชาติที่เขาตั้งค่ายสู้เพราะชาติเดือดร้อนก็สิ้นวาสนาจะได้มีชีวิตกู้ชาติกู้ชื่ออีก

มิทันดวงตะวันจะชิงพลบ ชาวระจันก็ชิงหนีโลกไปก่อนแล้วศพเกลื่อนสมรภูมิบ้านไทยเอง เขาตายชอบแล้วทุกศพ นายจันทร์ผู้กล้ายอดชายของบ้านระจันนอนเคียงสิ้นชีพอยู่เบื้องซ้าย เบื้องขวาเล่าท่านขุนสรรค์กรมการสรรค์บุรีนั้นทอดกายสิ้นชีวิต ศีรษะบ่ายสู่ทิศหนค่ายระจันที่จากมา เขาตายกันหมด ตายอย่างชาติลูกผู้ชายที่ตั้งใจว่าจะตาย เขาเอาศพออกรับเพื่อนศึกซึ่งเป็นแขกเมืองมาเยี่ยมกรุงไทย พลพม่าอันมีเกียรติมีน้อยก็ปลาบปลื้มที่ได้ชำนะบ้านระจันทุกชีวิต แต่สุกี้กับนายทัพนายกองทั้งปวงซึ่งมีสติปัญญาเป็นทหารแท้ต้องสลดใจ ศพเจ้าบ้านตายอนาถอยู่กลางดิน เชลยศึกเชลยไทยผู้อยู่หว่างล้อมไม่มีชีวิตให้จับเลยแต่สักคน น้ำใจเขาเป็นกระนี้ ศึก ๗ ครั้งที่ยกมาจึงพ่ายพินาศแพ้หัวใจกล้าบ้านระจันหมด

ดึกสงัดย่างยามปลาย ฟ้าแลบอยู่หนไกลแปลบปลาบ กลางหาวมืดและฝนก็ยังตกพรำพายุต้นฤดูหอบเมฆามาทั่วสารทิศ ค่ายระจันเพลาดึกกำลังเงียบเชียบนอกจากยามเดินและคอยระวังเหตุศึกแล้วชาวระจันทั้งหลายอื่นก็พากันพักผ่อนสิ้น

แต่หลังค่ายมืด คนตะคุ่มอยู่ที่ประตูกลุ่ม ๓-๔ คน ถัดไปอีกพ่นค่ายเพียง ๕-๖ ก้าว ม้าพร้อมเครื่องพร้อมอาน ยืนเล็มหญ้าอ่อนคอยคู่ผัวคู่เมียที่ร้องไห้ร่ำรักลากัน

“มันหน้าที่ แฟงเอ๋ย” เจ้าผัวกระซิบใกล้หู “นอกจากพี่อาสาแล้วใครเล่าจะขันอาสาได้ หนทางจากระจันกว่าจะถึงกรุงหลวงใช่ใกล้เมื่อไหร่ คนชำนาญลัดป่าก็สูญสิ้นชีวิตกันหมด เมื่อวาสนาบ้านระจันดี พี่ลอบเข้ากรุงเอาใบบอกเสนอได้ระจันเราก็จะได้ปืนมารบมัน มีปืนยิงรื้อค่ายมันพินาศลง”

แฟงรู้ทุกอย่าง เข้าใจสิ้นในหน้าที่ของทหารรักษาชาติ แต่ใครเล่าจักไม่ว้าเหว่ ชีวิตนายทัพระจันร่อยหรอลงทุกวันทั้งไพร่พล เห็นแต่หน้าผัวพอจะเป็นที่พึ่งพอเรียกหาเป็นเพื่อนตายที่อยู่ใกล้ หน้าที่จำเป็นก็ต้องบังคับให้พรากกันอยู่เสมอ

​“ก็รู้แล้วพี่ทัพ” แฟงตอบคำผัวไม่สิ้นสะอื้น “หน้าที่สำคัญนักชีวิตชาวระจันทุกคนก็หวังที่พึ่งธุระสำคัญที่พี่ไป แต่พี่คนเดียวฉันห่วงนัก ทางนี้ผู้คนก็ร่อยหรอหมดเปลืองจะเสียค่ายเมื่อไหร่ยังหารู้ไม่ หากศึกเข้ายึดค่ายได้ก่อนพี่กลับพี่คงไม่เห็นหน้าฉัน”

ทัพน้ำตาคลอๆ จากแฟงนับหนไม่ถ้วนทั้งไปศึกคับขันและลาดเสบียงไม่เศร้าใจเหมือนมื้อนี้เลย สุขกันเพียงชั่ววันชั่วคืนก็มีเหตุมีธุระจำเป็นคอยแทรกมาเสมอแต่ไหนแต่ไร

“หักใจเสียเถอะแฟง อย่าคิดอื่นให้มากนักจะหมองน้ำใจเปล่า นึกทอดบุญทอดกรรมถวายพระให้แก่ชาติก็พอแล้ว พี่น่ะไม่ต้องห่วงหรอก เพราะหนทางป่าที่จะลัดไปกรุงพี่ชำนาญสิ้นหมดแต่ครั้งยังหลบหนีอาญาเมืองกับม้ากองคำหยาดอยู่ คอยเถอะแฟงเมื่อสิ้นธุระได้หน้าที่ราชการแล้วพี่ก็จะรีบกลับในข้างขึ้นย่างนี้แหละ เข้าค่ายเสียเถอะเดี๋ยวฝนจะตกหนักอีก เจ้าจะเจ็บไข้อยู่ลำบากไกลตาพี่”

แฟงเจ้านิ่งอั้น น้ำตาไหลสองแก้มพรากไม่ขาด หัวใจแห้งและเหงาว้าเหว่ ผัวจะจากเจ้ามื้อนี้แฟงหนักใจยิ่งกว่าเขาบอกจะไปศึกตะลุมบอนอีกสักร้อยครั้ง

“ฉันก็ได้แต่ตั้งใจคอย” เจ้าตอบ ฟ้ามืดรอบทิศและแสงแลบคำรามอยู่สนั่นห้าว ฝนก็ตกพรำยังไม่ขาดเม็ดยิ่งเพิ่มทุกข์ให้แฟงอีกมากมายนัก เมื่อหวนนึกถึงว่าค่ายจะต้องเสียแก่พม่าข้าศึกก่อนพี่ทัพจะทันนำปืนใหญ่กรุงกลับมาค่ายแล้วแฟงก็ท้อหัวใจ

“ใช่ฉันจะพูดพร่ำให้เป็นลางปากหรอกพี่ ฉันจะคอยพี่กว่าจะสิ้นชีวิตฉันไปเถอะ พี่ไปดีสมปรารถนาได้หน้าที่ราชการเถอะ ทำไงพี่ก็ต้องพบฉันเมื่อกลับ แม้ว่าค่ายนี้จะเสียก่อนพี่มาถึงก็อย่าหมายเลยว่าฉันจะยอมเป็นหญิงเชลยให้เขาหยามเล่น ฉันจะตายคอยพี่ เอาศพคอยรับหน้าพี่เมื่อเสียค่าย

ทัพหัวใจแห้ง เมียมันประเสริฐหญิงยากจะหาอีก คำแฟงสั่งแต่เพียงน้อยแต่เหมือนจะล้างผลาญหัวใจรบของชายให้หวาดไปต่างๆ นานา

ฝนยิ่งเพิ่มพรำๆ หนาเม็ด ปัจจุสมัยก็กระชั้นมาทุกขณะเหมือนจะเร่งเร้าให้มันจากแฟง จึงรวบสองมือเมียกำไว้แน่นอ้อมแขนก็กอดเข้าแนบ

“ขอบใจเจ้านักแฟง คอยอยู่ก่อนเถอะ เวลาสว่างมันใกล้มานักแล้ว ​เถอะแฟงเอ๋ย เมื่อแฟงครองตัวคอยพี่ถึงจะกลับมาพบแต่ศพแฟงก็ขอให้รู้เถอะว่าเพียงแต่ดาบสองมือพี่ชีวิตเดียวก็จะต้องไปเรียกหัวมันมาเซ่นศพเจ้าเสียก่อนแล้วพี่จะเชือดคอตายเคียงแฟง มิยอมตายด้วยมือศึก”

เจ้าทรุดตัวลงนั่งกราบผัวน้ำตาหยดลงเท้าจนมันรู้สึกอุ่นผิดเม็ดฝน จึงก้มประคองขึ้น โอ้แฟง เจ้าทุกข์ใจเหมือนถูกบังคับจนสิ้นสติเป็นลม แฟงหลับตาจะเรียกจะขานหารู้สึกไม่ แล้วเจ้าผัวก็ต้องเสียน้ำตาเพราะแฟงมื้อนี้

พอกวักมือ คนกลุ่ม ๓-๔ คนก็วิ่งมา

“ฟัก แฟงเป็นลมเสียแล้ว เออ เอ็งอุ้มมันกลับกระท่อมด้วยแล้วก็หมั่นดูแลเป็นเพื่อนทุกข์ปลอบมันมั่ง” แล้วพูดกับน้องเขยสั่งเสียอีกว่า “สังข์เอ๋ย ใช่ข้าจะพูดเป็นลางร้ายอะไรหรอก แน่ะข้าก็ทหาร ไปนี่จะเป็นตายอย่างไรก็รู้ไม่ได้ หากย่างข้างขึ้นข้าไม่กลับก็บอกท่านกำนันพันเรืองให้ส่งคนไปอีก เพราะถ้าคลาดเวลาแล้วข้าก็คงตายกลางทาง เอ็งสองคนอยู่ค่าย ข้าก็ขอฝากแม่แกและแฟงมันด้วย”

ทั้งนายสังข์และเจ้าฟักพากันเศร้าไปหมด เคยร่วมศึกมาทุกครั้งจะต้องต่างคนต่างแยกไม่รู้ข่าว เมื่อรับคำมั่นสัญญาแล้วทัพก็หันมามองหน้าเมียเหมือนจะจำให้ติดตาไว้นึกถึงแฟงกลางดง เพียงฟ้าแลบหนึ่งที่แวบมาเท่านั้นจึงจะเห็นหน้าแฟงถนัด แล้วก็ส่งแฟงซึ่งสิ้นสติให้แก่พี่ชาย

“เอ้า พามันไปค่ายเถอะ เดี๋ยวก็คงจะฟื้นเอง มันเป็นลมเพราะร้องไห้มากและทุกข์หัวใจ”

พอฟักรับน้องสาวจากอ้อมมือ หัวใจเจ้าผัวหวิวดังจะหายตามแฟงวับไป แหงนดูท้องฟ้าเหนือค่าย ดาวฤกษ์เพิ่งขึ้นหรุบหรู่ ดาวโจรกับสวาตีนางช้างครบดวงอยู่หนป่าตะวันออกที่มันจะมุ่งลัดดงเข้าศรีอยุธยา

มันตบมือฉาดเรียกอ้ายม้าสีประหลาดของเชลยซึ่งกำลังเล็มหญ้าอยู่ห่างแล้วว่า

“เข้าค่ายเถอะฟัก ข้าได้เพลางามจะขึ้นกรุงเดี๋ยวนี้แล้ว เมื่อปืนกรุงมาแล้วคงจะได้กรากเข้ายิงกะมันมั่ง”

ฟักยืนน้ำตาคลอ สองมือต้องอุ้มแฟงน้องสาวก็ได้แต่ก้มหัวรับคำมัน นายสังข์ยกมือไหว้และสวมกอดพูดเสียงเครือ

​“สิ้นห่วงเถอะพี่ทัพ ฉันกะเจ้าฟักจะอยู่แทนพี่เอง เมื่อมันจะต้องตะลุมบอนกันก่อนพี่กลับ พี่เอ๋ย ถ้าฉันดาบหักแล้วก็ขอให้เอาศพไปเท่านั้น”

“เออ ควรแล้วสังข์” มันแสนปลื้มในคำของเพื่อนทุกข์ทหารคำหยาดเก่า “ยศลือของทหาร เกียรติยศเกียรติศักดิ์ต้องติดทหารไปจนตาย”

มันเหยียบโกลนขึ้นหลังอ้ายสีประหลาดหัวใจค่อนๆ อ้ายม้าเชลยที่แฟงเคยนั่งร่วมหลังก็หันหวนหมุนจะออก “เป็นสุขเถิดน้องข้าทั้งสอง ขอค่ายระจันจงสวัสดีคอยข้า”

พอเตือนอ้ายม้าศึกใหม่ออกโผน ก็เสียงสะอึกสะอื้นร้องไห้ของนายสังข์และเจ้าฟักส่งท้าย แฟงเจ้าก็ฟื้นลืมตาในอ้อมแขนพี่ แต่อ้ายสีประหลาดก็ควบเกิน ๕-๖ วาไปแล้วก็ได้แต่ดิ้นรนและตะโกนส่งเสียงฝากพระพายและสายฝนตามไป

“ทหารเสือระจัน สวัสดี”

แต่ม้าเคยศึกของพม่ากับเจ้าคนขี่ที่ปราบมาร้อยแดน ทั้งนายโจรเข้าหักทัพหักค่ายได้ห้อลิ่วไปแล้ว ไกลไปทุกฝีเท้า ม้าเร็วที่ถือใบบอกขึ้นกรุงจากพื้นดินระจัน ละเมียและเพื่อนค่ายไว้ในย่านศึกล้อม แล้วก็หายมืดไม่เห็นอีก

ข้างฝ่ายในกรุงหลวงพระนครศรีอยุธยา นับแต่ให้พระยาพระคลังเป็นแม่ทัพถือพลหมื่นออกไปตีค่ายใหญ่พม่าที่ปากน้ำพระประสบข้างเหนือและพ่ายแพ้พินาศ พม่าฆ่าฟันทหารกับราษฎรที่ตามไปดูศึกล้มตายลงมากมาย แล้วยกทัพหน้าเคลื่อนมาตั้งมั่นอยู่ ณ ค่ายโพธิ์สามต้นประชิดชานพระนคร แต่นั้นมาข้างในกรุงก็มิได้มีผู้หนึ่งผู้ใดคุมทัพออกไปต่อตีข้าศึกอีกเลย คงรักษามั่นอยู่แต่ในพระนครและกะเกณฑ์ผู้คนเพิ่มขึ้นและปืนป้อมก็เพิ่มจำนวนขึ้นอีกมาก นิ่งสู้อยู่แต่ในกรุง

อันข่าวศึกของชาวบ้านระจันที่เคยเลื่องลือเป็นกิตติศัพท์ทั่วทิศนั้น เมื่อทางกรุงทราบว่ากำลังคับขันเพลานี้ ทั้งค่ายน้อยก็เสียไป แต่ก็คงนิ่งจนปัญญาอยู่ไม่มีผู้ใดจะอาสาช่วยด้วยประการไรได้ กระทั่งทหารเข้าค่ายเหยียบกรุงนำใบบอกของผู้เป็นหัวหน้าค่ายท่านพันเรืองกำนันกับนายทองแสงใหญ่ขึ้นเสนอเสนาบดี แต่ความอาภัพของชาวค่ายระจันเหมือนหนึ่งจะสิ้นวาสนาที่จะคิดทำสงครามช่วย​ชาติกู้บ้านระจันไว้อีก จึงเสนาบดีและขุนนางท้าวพระยาใหญ่น้อยทั้งปวงต่างมีความเห็นต้องกันว่าปืนใหญ่และกระสุนดินดำที่ชาวบ้านระจันทำใบบอกขอมานั้นจะให้ไปมิได้ ด้วยเกรงว่าหากเสียค่ายแก่พม่าข้าศึกแล้ว พม่าก็จะริบปืนและกระสุนดินดำเหล่านั้นไว้เป็นกำลังย้อนมาระดมยิงทำพินาศให้แก่กรุงหลวงอีก หาไม่ก็อาจถูกพม่าช่วงชิงเสียกลางทางมิถึงค่าย

ส่วนพระยารัตนาธิเบศร์ ผู้ร่วมปรึกษามิได้ลงเนื้อเห็นด้วยแต่ก็สิ้นอำนาจที่อนุญาตให้ไปได้ จึงคิดจะออกไปบ้านระจันด้วยตัวเอง เพื่อบอกกล่าวชาวบ้านเรี่ยไรทองสำหรับหล่อปืนใหญ่ขึ้นยิงสู้กับพม่า เมื่อตระเตรียมพร้อมเสร็จแล้วพระยารัตนาธิเบศร์ก็ออกจากกรุงพร้อมด้วยผู้คนและเจ้าทหารที่ถือใบบอกมาแต่ค่ายระจันเหนือโน้น

พอสว่างเลยอรุณ วันสว่างหัวใจของบ้านค่ายบ้านที่เคยหดหู่เงียบเหงาก็ตื่นเต้นมาอีก วันนี้ระจันจะหล่อปืนศึกสังหารศัตรู ปืนค่ายที่กรุงหลวงมิยอมให้มายิงสู้พม่า ชาวระจันมันก็ต้องหาต้องทำขึ้นเอง ไม่ยอมจะนิ่งตาย คนช่วยคนอุดหนุนไม่มี บ้านระจันก็จะต้องช่วยตัวช่วยค่ายของตัวเองกว่าจะชนะหรืออับปางเป็นที่สุด หญิงแต่งตัวงามนับร้อยแม้หัวใจจะเศร้าหมอง เจ้าก็จำฝืนสีหน้าให้รื่น หญิงสุพรรณงามเหลือหลาย สตรีวิเศษไชยชาญและสาวรุ่นเลือดระจันแท้กับแม่งามชาวสิงห์พากันจากเหย้าเป็นแถวเป็นขบวน ดอกไม้เสียบผมและหูทัด แพรสีโศกและสีเลือดอันรบเร้าเตือนหัวใจบ้านระจัน ห่มสะพายเฉียงตามมีตามหาแลสะพรึบทั้งละแวกบ้านระจัน

เจ้าย่างขึ้นชานเรือนอื่น พูดปราศรัยกับผู้ครองเหย้าและกระท่อมทับนั้นสุดท้ายแล้ววันนี้ ทองเรี่ยไรยังขาดแต่เพียงน้อยที่จะหล่อปืน และฤกษ์สุมทองจะลงมือในค่ำ ทองเหลืองและสีดอกบวบบ้านเราจักเป็นปืนใหญ่รบของค่ายระจันกรากเข้ายิงพม่า กู้บ้านระจันไว้ กู้ชาติและชื่อของนักรบบ้านนอกชนบท เขาอื่นทอดมือนิ่งดูดายปล่อยระจันไว้ตามเวร ระจันมันก็จะสู้จนสิ้นคิด แม้ทรัพย์และสมบัติแท้ในเหย้าก็ขอบริจาคเพื่อสู้ เมื่อสิ้นทรัพย์สิ้นชีพ แต่บางระจันก็สมเกียรติยศ เมื่อสิ้นค่ายระจันแล้วอย่าว่าแต่ชายเลย ถึงหญิงก็เชือดคอตายไม่ยอม​อยู่เป็นนางเชลยอีก

ค่ำคืนเป็นยามค่ำ เพลาฤกษ์ที่ราษฎรและนักรบชาวบ้านระจันที่ครองชีพว้าเหว่อยู่ในค่ายจะต้องจดจำไว้ ต้องประนมมือบนบวงขอความสำเร็จจงมาบังเกิดแด่ ณ ใจกลางค่ายอันมีสายสิญจน์ล้อมวงกว้างศาลบวงสรวง ทั้งข้าวตอกดอกไม้และเครื่องสังเวยเตาและถ่านเพลิงสว่างโชติช่วง เบ้าหลอมเรียงรายทองก็สุมอยู่กรุ่น หญิงพรหมจรรย์เจ้าแต่งตัวสะอาดเข้าร่วมพิธี

นักรบปลดอาวุธ เดินกรายมาคู่กับร่างน้อยหญิงงาม ตั้งแต่กลับจากกรุงหลวงแล้ว คู่ผัวคู่เมียก็ค่อยเพิ่มผาสุกขึ้นมาก หัวใจเมื่อค่ำของเจ้าผัวหนุ่มมื้อนี้แสนจะระเริงสนุกสนาน มันปลดอาวุธไว้บนหิ้งบูชา แล้วแต่งตัวเยี่ยงราษฎรไว้เชิงนักเลงบ้านทุ่งเหมือนเที่ยวชมงานนักขัตฤกษ์เมื่อยามปลอดศึกเตร่มากับเมียสาวถึงใจกลางค่าย ประดาเพื่อนฝูงก็ถามถึงข่าวข้างในกรุงที่มันได้ไปเห็นเมื่อวันถือใบบอกไปขอปืน

พระอาจารย์ธรรมโชติกำลังทำพิธีอยู่บนศาลบวงสรวงกล่าวโองการชุมนุมเทวดาขอพร ขอความศักดิ์สิทธิ์สำเร็จที่จะหล่อปืนกู้บ้านน้อยระจัน ส่วนตัวหัวหน้าอื่นและพระยารัตนาธิเบศร์นั้นนั่งเป็นองค์ประธานมีคนห้อมล้อม ครู่นั้นเมื่อทัพมาถึงเจ้าแฟงก็ชี้ไปยังกลุ่มคนที่นั่งถัดมาให้ผัวดู

“พี่สังข์อยู่โน่น อ้า แม่และลุงใครๆ ก็อยู่กันเยอะพร้อมกันหมด”

“งั้นเราไปนั่งรวมเถอะรึแฟง” เจ้าผัวชวน ลดผ้าที่ห้อยสองไหล่ลงเป็นสไบเฉียง “หลายๆ คนถึงจะคุยสนุก”

“ไปก็ไป แม่จวงกะพี่ฟักก็อยู่ด้วย เอ๊ะ” เจ้าเพ่งมองแล้วชำเลืองทางผัว “ถัดหลังแม่โฉมของพี่ฟักลงไปนั่นพี่รู้จักจำได้มั้ยว่าใคร”

ทัพพาซื่อ ป้องแสงไฟชะเง้อมอง โอย นางเชลยขุนโลกที่มันช่วยชีวิตไว้กำลังนั่งเท้าแขนมิได้เข้าวงสายสิญจน์ร่วมพิธีกับหญิงพรหมจรรย์อื่น แล้วก็อดขำหัวเราะขำใจเมียมิได้จึงตอบว่า

“ถ้าเป็นแฟงของพี่ก็คงจะจำได้แต่ไกลนี่มองแล้วมองอีกพี่ก็ยังไม่รู้ว่าใคร”

“ปากแสนจะดีนัก” เจ้าว่า มือก็หยิกแขนผัว “แฟงน่ะมันเป็นเลิศหัวใจ​หละ แต่เผลอตาเป็นไม่ได้ จะมืดจะค่ำก็ต้องพบดุ่มอยู่แถวกระท่อมแม่เชลยขุนโลกอยู่เสมอ”

ทัพละอายใจ ยิ้มเก้อๆ นึกถึงเย็นวานซืนที่แฟงเจ้าพบกำลังเดินอยู่คลอคู่ ยามศึกมันก็รบเด็ดเดี่ยว แต่เมื่อปลดศึกทหารมันก็ต้องมีรักมีใคร่เที่ยวประลองไปพอให้หัวใจได้เบิกบานพักผ่อน แล้วจูงมือเมียหลีกฝูงคนเบียดตรงมาที่หมู่ญาติพี่น้องซึ่งนั่งกันพร้อม

“ไม่ค่อยจะเห็นหน้าเลย” นายสังข์ทักขึ้นเมื่อทัพมาถึง “นั่งนี่เถอะพี่ทัพรวมๆ กัน คุยหลายคนสนุกดี”

“อีแฟงคงจะไม่สู้ชอบ” พี่เขยเจ้าทหารฝีมือเอกเคาะมา “ดูแต่อยู่กระท่อมเถอะ แสนจะร้อนยังปิดประตูเงียบ”

แฟงค้อนพี่ชายแล้วกราดไปทางลูกสาวพ่อบ้านขุนโลก

“พี่ฟักจะเป็นบ้าเสียใหญ่ กระท่อมปิดน่ะมิใช่เป็นเชิงฉันหรอก เพราะหน้าต่างมันเปิด เสือมันไปหากินอยู่ถ้ำอื่นยังจะมามัวงม”

ทัพสีหน้าเจื่อน พวกเหล่านั้นไม่มีใครรู้เรื่องก็ฟังกันไปต่างๆ แล้วทัพก็ซื้อรำคาญพูดเถลไถลนั่งร่วมกับหมู่ญาติพี่น้องคุยถึงเรื่องราวสนุกต่างๆ นานาเมื่อถือใบบอกขึ้นกรุง

กำนันกระทุ่มด่านลุงเจ้าแฟงกระเถิบมาชิดเพื่อน แกเป็นคนเก่าแก่ที่จำอะไรแม่นและกังวลใจแต่ในเรื่องข่าวสงครามที่ประชิดเมือง จึงถามหลานเขยว่า

“เออ เมื่อขึ้นกรุงน่ะ เอ็งเห็นท่าทางเป็นยังไงมั่ง”

“ท่าอะไรลุง” ผัวเจ้าแฟงย้อนถาม “เรื่องศึกรึอย่างอื่น”

“ศึกซีล่ะ เรื่องของปืนน่ะข้ารู้แล้วว่าไม่ได้ เราถึงต้องเรี่ยไรทองมาช่วยกันหล่อ”

ทัพถอนใจใหญ่ นึกเห็นรูปร่างกรุงหลวงที่มันเพิ่งกลับแล้วตอบตรงไปตรงมา

“หนักใจแทน” มันว่า “ทหารกรุงมีมากมายนักหนาแต่จะหาหน้าไหนอาสาออกรังควานศึกมั่งก็ทั้งยาก นิ่งรบอยู่ แต่ในเมืองเหมือนกะว่าศรีอยุธยาจะสิ้นฝีมือหมด คนดีจะหาไม่ได้อีกในศรีอยุธยาแล้ว ศึกมันก็ได้ใจ”

​นายสังข์เป็นคนพูดตรง จึงถามมั่ง “ก็ระจันทำไมถึงไม่ให้ปืน ระจันทำกินแต่เพียงปากเพียงท้องไม่มีเบี้ยหวัดเงินปี แต่ก็ต้องรบเพราะใจเองมันรักบ้านเกิด”

ทัพพยักหน้า “อือจริง ท่านอ้างไม่ให้ก็เพราะเกรงจะถูกชิงกลางทางหรือเสียค่ายเสียปืนให้มันย้อนเอาไปยิงกรุงอีก แต่ปืนชั่ว ๒ กระบอกน่ะถึงจะได้ไปยิงกรุงข้าก็เห็นว่าไม่ทำอะไรได้ นึกไปอีกทีมันก็เป็นวาสนาของระจันเอง เราขออาวุธจะสู้ศึกเอาเลือดพลีให้เมืองถวายชีพแก่เจ้าเหนือหัว เพราะเกิดมาในแผ่นดินสยามแล้ว เมื่อเขาจะทิ้งดูดาย ทิ้งระจันให้สิ้นอาวุธมีแต่กายเปล่าวิ่งเข้าใส่ศึกก็ต้องจำก้มหน้าตาย จะทำไงได้”

“แต่ปืนหล่อสมบัติแท้ของระจัน ๒ กระบอกนี่ เมื่อสำเร็จก็คงจะลากเข้ายิงกะมันมัง” เจ้าฟักพี่ชายของแฟงพูดไปอีกทาง แต่กำนันกระทุ่มด่านซึ่งนั่งกอดเข่าฟัง แกพูดกระซิบกระซาบค่อยลง

“ข้าน่ะ อดหัวใจระแวงถึงเพลงยาวทำนายกรุงไม่ได้เลย คิดแล้วขนลุกนัก”

“ทำนายอะไร” ทัพถาม หัวใจประหลาดที่สุ้มเสียงพูดของกำนันกระทุ่มด่านสั่นไม่ปกติ “ใครทำนาย”

“โบราณ” แกตอบ “ข้าน่ะท่องจำได้หมดมาแต่ยังเด็กๆ กลัวมันจะเข้าเค้าเสียล่ะน่า”

คนทั้งหลายตลอดจนตัวเจ้าทัพพากันเงียบกริบ ใจระทึกไปด้วยท่าทางของกำนันมีอายุและเอาหูใส่ทุกคน

“เข้าเค้ายังไง เขาทำนายว่าไง” เจ้าฟักก็ร้อนใจฟัง “ลุงจำได้หมด ลองว่าดูทีเรอะ”

“โอ๊ยแยะ” แกตอบ “ฟังแต่พอเป็นเค้าเป็นตอนเถอะคือว่า” เสียงกำนันยิ่งเพิ่มสั่นกว่าเมื่อแรก ทั้งกระซิบเบาลงไปอีกจนต้องพากันรวมหูมาตะแคงใกล้ปากแก “ต้นไม่ต้องฟังกันละนะ เออ มันมากมายนัก คือตลอดกลางโบราณท่านว่าไว้ยังงี้

คือเดือนดาวดินฟ้าจะอาเพศ

อุบัติเหตุเกิดทั่วทุกทิศา

​มหาเมฆพิสดารทุกบ้านเมือง

พระคงคาจะแดงเดือดดังเลือดนก

อกแผ่นดินเป็นบ้าฟ้าจะเหลือง

ผีป่าก็จะวิ่งเข้าสิงเมือง

ผีเมืองนั้นจะออกไปอยู่ไพร

พระเสื้อเมืองจะเอาตัวหนี

พระกาฬกุลีจะเข้ามาเป็นไส้

พระธรณีจะตีอกไห้

อกพระกาฬจะไหม้อยู่เกรียมกรม

ในลักษณะทำนายไว้บ่อห่อนผิด

เมื่อวินิจพิศดูก็เห็นสม

มิใช่เทศกาลร้อนก็ร้อนระงม

มิใช่เทศกาลลมลมก็พัด

มิใช่เทศกาลหนาวก็หนาวพ้น

มิใช่เทศกาลฝนฝนก็อุบัติ

ทุกต้นไม้หย่อมหญ้าสารพัด

เกิดวิบัตินานาทั่วสากล”

แกท่องทิ้งไว้เพียงนี้ แล้วกำนันกระทุ่มด่านก็กอดตัวเองขนลุกเกรียว และเจ้าหนุ่มทั้งหลายก็พลอยเสียวใจแสยงในคำนั้นสิ้นทุกคน แล้วซุบซิบพูดกันไปต่างๆ มิ่งขวัญหวาดไปด้วยความคิดและคำสนทนากระทั่งพิธีบวงสรวงเสร็จ

ยิ่งตกดึก ผู้คนที่มาดูแลสิ้นหน้าที่ต่างก็พากันคืนเหย้าพักผ่อนหมด เจ้าทัพผัวหนุ่มของแฟงมันเดินทอดน่องปล่อยอารมณ์คิดเรื่อยเปื่อยกอดคอเมียคลอกันมา ใครอื่นพวกญาตินั้นกลับไปก่อนหมดแล้วเมื่อครู่ใหญ่ แฟงเจ้าท้องอ่อนๆสมจริงเจ้าผัวจึงต้องเอาใจ ใฝ่แต่จะหาสุขหาสำราญให้เมีย แต่ถึงจะประการไรเมื่อมันเดินพลางมองพลางแหงนขึ้นฟ้าเห็นดาวแล้วก็ไม่วายจะคิดถึงคำลุงกำนันที่แกท่องขึ้นต้นว่า คือเดือนดาวดินฟ้าจะอาเพศ อุบัติเหตุเกิดทั่วทุกทิศา

จนถึงทับน้อยที่กั้นขึ้นเป็นหับเล็กพออาศัยสุขอยู่ร่วมด้วยแฟงถัดครัว​กระทุ่มด่านไปชิดกัน เดือนข้างแรมก็แอบเมฆไรๆ อยู่ขอบฟ้า และแสงดาวยังเต้นอยู่ระยิบเหมือนจะเตือนให้คู่ผัวคู่เมียเข้าคืนกระท่อมนอน อีกครู่ ร่างชายก็คลอเคลียกอดหญิงก็ลับหายเข้ากระท่อมเห็นแต่ประตูงับสนิท

ล่วงวันไปอีก วันที่ชาวค่ายทุกหัวใจกระสับกระส่าย คอยจะให้ครบกำหนด เพราะพิธีสุมและฤกษ์งามยามดีเมื่อเททองก็พ้นมาแล้ว เหลือแต่กำหนดจะแกะดินหล่อดูปืนระจันทั้งสองกระบอก ปืนที่เชิดหน้าชูตาเป็นศรีบ้านระจันกราดเข้ายิงรื้อค่ายศึกที่สังหารคนระจันไปแล้วนับไม่ถ้วนทุกวี่วัน

กระทั่งถึงเพลานั้น เวลาซึ่งผู้เป็นหัวหน้าค่ายมาห้อมล้อมดูพิธี ดูเหล่านายช่างหล่อและแกะพิมพ์อันมหึมาที่มีเนื้อทองดังหนึ่งดวงใจของชาวค่ายซึ่งแฝงอยู่ในอก แต่ดวงใจคู่นั้นแตกแยกสลาย ทองเหลืองปืนหล่อคู่บ้านระจันทั้งสองกระบอกซึ่งเรี่ยไรได้ทองของชาวบ้านแห่งละเล็กละน้อยมาหลอมรวมกันเหมือนร่วมใจกลับร้าวรานเป็นระแหงแตกแยก สิ้นหวังแล้วแต่นี้ไประจันจะสิ้นหวังได้กู้บ้านน้อยและกู้ชีพของตนเองอีก

เมื่อการแปรปรวนไปไม่สำเร็จ พระยารัตนาธิเบศร์ผู้ออกมาเรี่ยไรทองจะคิดการสงครามกับพวกที่ติดตามมาก็ออกจากบ้านระจันกลับคืนพระนคร แล้วความว้าเหว่ก็ครอบงำไปทั่วทุกแห่งของค่ายระจันผู้หมดที่พึ่ง จำนวนครัวอพยพหนีก็เพิ่มมากมายไม่เว้นวัน แต่ผู้กล้ายังอยู่ พ่อค่ายพันเรืองกับนายทองแสงใหญ่ทั้งนักรบอื่นที่ใจทหารหายอมจะทิ้งค่ายไม่ ถึงไทยจะสิ้นฝีมือเพราะไร้อาวุธก็จะขอสู้ตาย ขอเอาผีเฝ้าค่ายฝากนามไว้แก่นักรบหลัง

ฝ่ายสุกี้พระนายกองซึ่งให้พลพม่าขุดอุโมงค์เป็นทางเดินเข้าประชิดค่ายระจัน แล้วปลูกหอรบสูง เอาปืนใหญ่ขึ้นจังก้ายิงกราดโทรมค่ายระจัน ผู้คนล้มตายเกลื่อนจนยึดค่ายน้อยได้แล้วนั้น ยังคงเร่งระดมพลก่อสร้างขุดอุโมงค์แยกย้ายมาอีกจนเข้าประชิดอ้อมค่ายใหญ่อีก แล้วปืนใหญ่น้อยทุกกระบอกก็ขึ้นตั้งบนหอสูงกระหน่ำซ้ำเติมอยู่ตลอดวัน ศพเกลื่อนดินหามไปฝังไป เสียงแซ่ร่ำไห้ของญาติและพี่น้องหลัง เสียงคร่ำครวญของหญิงและเด็กอ่อน ผู้เฒ่าชรา ปากที่พึมเพ้อเจ็บช้ำหัวใจของนักรบที่สิ้นอาวุธจะสู้ แต่ปืนค่ายของสุกี้ก็คงกราด​ กระหน่ำหมดที่จะปรานีปราศรัยแก่คนสิ้นอาวุธ ยังอยู่แต่จะกำหนดวันระดมพลเข้ายึดเอาค่ายให้ได้เท่านั้น

วันจันทร์ วันซึ่งชีวิตว้าเหว่ของชาวค่ายทั้งหลายไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่า ๒ ค่ำข้างแรมวันจันทร์เดือน ๘ ปีจอนี้ จะฝากความเศร้าสลดและน้ำตาไว้แก่คนอยู่หลังไทยทั้งหลายที่อยู่หลังจักเสียน้ำตาเมื่อเอ่ยขานนามระจัน แต่เพื่อนค่ายผู้กล้ามิได้ท้อแท้ นักรบและราษฎรตายเกลื่อนนับร้อยทุกวัน กระทั่งเย็นวานก็หาที่จะถอย หลบทิ้งค่ายไม่ ขอให้ฆ่าคนระจันเสียให้เกลี้ยงค่ายเถิด จะได้สมใจที่มันไม่มีอาวุธสู้

ชั่วสว่าง ปืนสุกี้ก็เบิกท้องฟ้ามาอีก กราดกระหน่ำมายิ่งฝนห่าแก้ว กระท่อมกระเทือน เหย้าเล็กเรือนน้อยหลังคาพังเสียงครวญในเหย้า พ่อตายเสียแล้วแม่กำลังจะสิ้นใจ โอ้ลูกรักไม่รู้เดียงสาฟุบตายกำลังคลานสนุก ตายคาเบาะกำลังดื่มนมแม่ กรรมมึงเอง กรรมก่อนของชาวระจันที่ไร้อาวุธก็ต้องคอยเขาฆ่า

เสียงปืนเงียบเมื่อสาย ปืนอุบาทว์กาลีที่เบิกฟ้ามาแต่เช้าเงียบสนิท หูโล่งใจโล่งหญิงที่เกาะแน่นซุ่มอยู่ในอกในอ้อมแขนชายตัวสั่น ตาหลับตั้งแต่เสียงปืนมันเปิดฟ้าเยี่ยมค่าย เหมือนจะปลุกทาสมันผู้หลับสนิทให้ฟังกำหนดตาย

หัวอกที่ถอนใจใหญ่ ฟันที่ขบฟันอยู่กรอดของเจ้าหนุ่มผู้โอบแขนปกป้องเมีย ตาชำเลืองไปที่ดาบคู่บนหิ้ง ดาบศึกจะสิ้นคมเสียแล้วหรือไร ดาบอาทมาตประจุเงินและด้ามคร่ากินศพเป็นร้อยเป็นพันนอนนิ่งให้เสียงปืนหยาม

แล้วเขย่าแขนเรียกเมีย “แฟง ลืมตาเถิดมิ่งขวัญของพี่มันหยุดแล้ว อ้ายปืนฉิบหายมันหยุดยิงไปแล้วเมื่อสักครู่”

หญิงเจ้าลืมตา หูที่แนบประทับได้ยินหัวใจผัวมันเต้นตึ้ก แม้เสียงปืนมันจะเงียบไปสมคำ แฟงก็ไม่หมดที่จะหวั่นใจได้

“เดี๋ยวมันก็คงจะยิงมาอีก โธ่พี่ทัพเอ๋ยชีวิตเห็นจะสิ้นอยู่ค่ายนี้ในเร็ววันแน่” แฟงคร่ำครวญ ใจก็ประหวัดไปถึงคำพี่สาวอีก “จะสมคำพี่เฟื่องเสียก็รู้ไม่ได้ เออ เสียค่ายพี่เฟื่องว่าจะเสียค่ายสิ้นชีวิตไปตามกันหมด”

ทัพก็ได้แต่ปลอบเล้าโลมใจ “อย่าทุกข์นักเลยแฟงเอ๋ย วันหน้าใครเล่าจะรู้ได้ ถึงปืนระจันจะหล่อไม่สำเร็จผู้คนร่อยหรอลงบางค่ายบางตา แต่มานะสู้ของ​ไทยมันไม่สิ้น และวาสนาก่อนเรามีแล้วคุณพระท่านก็จะคุ้มค่ายให้เรารับอยู่ได้หรือศึกท้อถอยเลิกทัพไปเอง”

“ยากนัก” แฟงว่า ใจแฟงนั้นกำลังหวั่นไหวเป็นลางอยู่ในคำพี่สาวตลอดเวลา “คำพี่เฟื่องถูกไปแล้วเมื่อค่ายเล็กเสีย และที่เรามีชีวิตอาศัยอยู่ในค่ายใหญ่นี้เล่าจะผิดคำไปเชียวหรือ” แล้วเจ้าก็ร้องไห้รำพันไปอื่นอีก “พี่เอ๋ย เราจะตายนั้นไม่ว่า ชีวิตที่เราเกิดมาในร่มฟ้าร่มแผ่นดินสยาม เลือดเนื้อก็ต้องเป็นของชาติ แฟงไม่เสียดาย แต่ลูกเอ๋ยเดือนตะวันที่ส่องค่ายเพียงแต่แสงอ่อนก็จะหาได้คลอดมาลืมตาเห็นไม่ ร่มค่ายที่เจ้าได้คลอดถือกำเนิดมาเป็นชาวระจันหว่างศึกก็จะเป็นเพียงประนมมือตายอยู่ในห้อง”

ทัพเสียน้ำตา เมียร้องไห้รำพันพูดถึงก้อนเลือดที่เกิดมาเป็นลูกรัก ลูกไทยแท้ นักรบระจันดั่งหนึ่งดาบคมจะเฉือนเนื้อตลอดหัวใจ โอ้ กุมารในท้อง ลูกพี่ลูกแฟง จักต้องหลับตาย้อนไปเมืองผีอีกไม่ทันเกิดเป็นคนได้

“ตามกรรมเถอะแฟง” ทัพกอดแน่น มือเชยคางให้แฟงเงยมองหน้ามันมั่ง “ตายน่ะใครเล่าจะหนีพ้น ไม้ใหญ่มันยังรู้โค่นแล้ว เราหรือจะหนีตายพ้นไปได้ แต่เจ้าก็เป็นเมียรักของพี่ แฟงเป็นเมียทหาร ฝากชื่อไว้มั่งซีแฟงเอ๋ย เมื่อเสียค่าย เมื่อไรศึกมันไม่ละเลือกหรอกว่าเจ้าเป็นหญิงก็จะเฉยให้ฆ่าทำไม ดาบหญิงฟันชายนั่นแหละมันแสนประเสริฐ มันจะเลื่องลือไปชั่วฟ้าดินถล่มว่านักรบระจันมีหญิงตายเฝ้าค่าย และก็สู้เขาจนหมดคนแล้วทั้งชายหญิง เมื่อพ่ายแพ้นั้นจะทำกระไรได้อีก”

เจ้านั่งฟังผัว คำผัวที่ยุแหย่หัวใจให้เกิดมานะเกิดเดือดร้อนกระวนกระวายเหลือที่จะสะกดใจนิ่งให้เขาดูหมิ่นอีก เกิดเป็นคนมันต้องตายแน่ไม่สงสัย แฟงก็ขึ้นชื่อว่าเป็นชาวค่ายระจัน และก็ค่ายระจันมันเป็นค่ายรบตั้งขึ้นเองเพราะเดือดร้อนแทนชาติบ้านเกิด มันตั้งขึ้นสู้ศึกเพราะรักเหย้าและผืนดินระจันของสยามเอง หาใช่ใครมาเคี่ยวเข็ญบังคับไม่ แล้วคนที่ร่วมค่ายก็ไม่จำจะต้องเลือกว่าเป็นชายหญิง มันก็ต้องเป็นนักรบทั้งสิ้น

เจ้าปลงใจแน่ ปลงใจบูชาชีวิตให้แก่ชาติ ขอฝากนามไว้แก่หญิงสยามที่จะเกิดมาหลัง หัวใจกลัวของแฟงเมื่อแรกก็ตัดขาดลงในฉับพลัน เจ้าซุกหน้าจูบ​หัวอกผัว จูบที่หัวใจทหารมันเต้นริกๆ สมกะที่เกิดมาเป็นผัวของแฟง แล้วหัวเราะประหนึ่งว่าแฟงมื้อนี้มันจะแปลกจริตวิกลไปแล้ว

“ชื่นใจของแฟง ทูนหัวของเมีย” แล้วหัวเราะเสียงใสดังยิ่งเดิมไปอีก “แฟงเป็นผู้ชายแล้ว พี่พูดแต่เพียงคำน้อยก็เหมือนจะชุบหัวใจฉันให้เกิดใหม่อีก หมดกลัวแล้วเพราะถึงจะกลัวแสนกลัวมันก็ต้องกอดคอกันตาย เถอะแฟงจะถือดาบรบ แฟงย่ำตามรอยเท้าพี่รบกะมัน แรงน้อยประสาหญิงก็จะสู้ประสาหญิงและตายมันเสียทั้งที่แฟงเป็นหญิงระจัน เอาละ แน่ใจละ”

ทัพตะลึงมอง แฟงสติมันเคลิ้มเสียไปแล้วหรือไรแฟงแม่ร่างน้อยอรชรเมียพี่เปลี่ยนสติเสียกะทันหัน แล้วก็กอดเมียแน่น

“โธ่ แฟงเอ๋ย เจ้าเป็นอะไร เจ้าเป็นอะไรถึงพูดจาเยี่ยงนี้เล่า”

“เปล่า พี่ทัพ แฟงหาเจ็บไข้หรือแปลกเปลี่ยนอะไรไปไม่ แต่แฟงนี้ตัดใจสำเร็จแล้ว แฟงสิ้นกลัวเกรงที่จะต้องตายอีกต่อไปไม่”

เมื่อพิจารณาละเอียด เจ้าผัวก็ตระหนักในใจว่าเมียรักมิได้กลัวหรือตกใจเกินกว่าที่มันจะคิดว่าแฟงเจ็บไข้เพ้อไปไม่ หากความกลัวนั้นสิ้นสุดลงเมื่อตรองความรอบคอบ

“แม่คุณ เออ หญิงสยาม” มันบ่นพึมพำแล้วชี้ไปข้างฝากระท่อม “โน่นดาบของแฟง พี่ก็ได้ฝึกปรือเจ้าไว้แล้ว ชายน่ะไม่ประหลาดหรอกน้องเอ๋ยหากหญิงจะคิดสู้ เนื้อหนังชายใช่มันจะเหนียวทนเหล็กไปได้เมื่อไหร่ และฝีไม้ฝีมือเล่า เมื่อฝึกแล้วหญิงมันก็รบคล่องอย่างชายถมไป ประเสริฐ ประเสริฐแท้เทียวแฟง ทัพระจันมันจะประสมหญิงสู้ศึก นอนศพเคียงไว้ยศให้คนเห็น”

แล้วผัวเมียต่างก็พร่ำพรอดกัน ร่าเริงเหมือนจะเอาเวลาอันน้อยนี้รักกันให้สมกะที่ชีวิตเหลืออยู่คอยนับชั่วโมงตาย ลืมหมด ลืมอะไรๆ ที่แล้วมาและจะเกิดอีก ขอแต่ก้มหน้ารักกันกอดคอกันยิ้มแย้มคอยเวลาอันประเสริฐซึ่งจะดับหัวใจไปพร้อมเหยียบประตูสวรรค์โน้น

ตะวันพ้นเที่ยง แสงอาทิตย์เดือน ๘ เข้าฤดูฝนกลับร้อนกล้าเป็นวิปริตปรวนไปกับความผันแปรของค่ายระจันซึ่งเคยครื้นครึกเอิกเกริกผู้คนแน่นหนา ​แล้วกลับมาทรุดโทรมลงกระท่อมและเหย้าร้างเรียงราย บ้างหลังคาเปิงไปเพราะอำนาจปืนบนหอค่ายพม่า บ้างหักทำลายลงล้วนอนาถ

แต่เสียงปืนเงียบเมื่อสายกระทั่งบัดนี้ และความระส่ำระสายจะเกิดแก่ราษฎรทั้งวิ่งวุ่นและล้มตายประการไร พันเรืองกับนายทองแสงใหญ่พ่อค่ายซึ่งอยู่ควบคุมก็มิได้นอนใจ เมื่อเสียงปืนเงียบจึงให้คนปีนไม้สูงดูศึกแล้วก็ประจักษ์ว่าค่ายสุกี้พม่าโน้นกำลังระดมทหารจัดพลเป็นการใหญ่สิ้นทั้งค่ายแน่นักแล้ว อายุของค่ายบ้านและชีวิตพลระจันจะสุดสิ้นเสียวันนี้ เชิญเถิดเชิญกันคุมเข้ามาหักให้ได้สมใจ มาฆ่าคนระจันเสียให้เกลี้ยงอย่าเหลือเลย ครั้นแล้วพันเรืองกับนายทองแสงใหญ่พ่อค่ายผู้เด็ดเดี่ยวก็ระดมศึกระดมทหารกล้าและราษฎรระจันตามที่มีเหลือมีดไม้หามา ปืนเชลยทั้งหอกดาบตามแต่จะได้ ชายจากเหย้ามาเป็นแถวแต่หนุ่มฉกรรจ์กระทั่งผู้เฒ่าพ่อเรือนมากันพร้อม โอ้ หญิงระจัน หญิงสยามผู้ปลงชีพให้ชาติแล้ว เจ้าแต่งตัวกะทัดรัดผ้าตะเบ็งมานพร้าหวดแต่พอแรงถือดาบเชลยที่เขายึดมาแจก ทั้งมีดไม้แหลนหลาวพากันแล่นมาถึง อ้า หญิง อิสตรีเมื่อยามสุขนั้นเจ้าอรชรอยู่เหย้าแต่โฉม มือนุ่มนิ่มหญิงจักโลมเล้าประคองหน้าผัวให้หายเหนื่อยเมื่อกลับจากนาหน้าและเนื้อนวลผัวเจ้าจักหายเหนื่อยเพียงชั่วประคอง แต่ยามศึกษามีเข็ญ หญิงงามใช่จะหนีหน้า หญิงจับอาวุธมาหนุนหลังร่วมตาย วาจาอ่อนเสนาะหูกลับปลอบใจชายให้เหิมศึกเสียงใสไพเราะของเจ้านั้นสะอื้นรักชาติ อ้า ร่างน้อยจักทอดเหนือดินแทนฟูกนุ่มบนเหย้า

เจ้าดอกไม้ไพรเพิ่งแล่นมา สาวคำหยาดเมียทหารเจ้าถือดาบยิ้มแย้มมาเคียงผัว แฟงมันจะตายก่อนหญิงอื่นถ้าทัพตายถัดไปก็เจ้าจวงน้องทหารเมียนายหมู่ม้าคำหยาดและหลังๆ ไปโน้นก็ล้วนร่างอรชรของทัพสตรีที่จากเหย้ามาตายกันด้วยหัวใจสมัครเหลือหลาย

พลระจันแลเพียบ พลระจันมื้อนี้หัวใจเดือดเกินกว่าเมื่อแรกสร้างค่ายหลายส่วน ราษฎรหญิงก็รู้กำหนดตัวตาย เจ้าหนุ่มและผู้เฒ่าผู้แก่กอดคอล่ำลากัน เขาแลหลังคาเหย้าและกระท่อมทับ อ๋อ ค่ำนี้กูจักให้พม่ามันนอน ค่ำนี้ทรัพย์สมบัติและเหย้าเรือนจักมอบให้เขาแล้ว เชิญเถิด เชิญผู้ชนะเข้าครองเมื่อกู​สิ้นลมแล้ว

พ่อค่ายพันเรืองยืนคู่กับนายทองแสงใหญ่ตระหง่านบนไม้สูง ตบมืออยู่ฉาดฉาน แล้วมือก็ตบอกตัวเองป้องตะโกนไป

“ขอให้สู้จนละเอียด อีกเดี๋ยวเท่านั้น อีกเดี๋ยวเดียวเขาจะมาแย่งที่เราอยู่ มันจะมาแย่งเหย้าในระจันเป็นของมัน เอาละเมื่อมันอยากจะได้ก็ขอให้ฆ่าเจ้าของตายเสียก่อน”

นายทองแสงใหญ่หันป้องไปอีกทาง แล้วก็กู่ตะโกนไปรอบๆ

“ขอลาตาย เพื่อนเอ๋ย พี่น้องทั้งหลายเอ๋ย ร่มฟ้าจะคุ้มหัวเราอยู่ชั่วแสงตะวันนี้ไม่ทันดับเข้าเย็น ร่มค่ายหลังคาเรือนเขาจะยื้อไปเป็นเจ้าของ เอา ให้มันมาปล้น ช่ะช้า ใครล่ะมันจะมาปล้นเมืองระจัน ไม่มีชีวิตมาแลกใครจะยอมให้เพื่อนเดินทัพลอยชายมาเหยียบถึงลานค่าย”

เสียงโห่กระหื่ม สะอื้นจากหัวอกนับร้อยๆ อาวุธทั้งหอกดาบปืนผาชูสะพรึบดังจะสอยฟ้า เขาร้องไห้ เขาเจ็บใจ คนระจันทั้งชายหญิงมันใกล้จะทะลักเลือดหัวใจแตก พูดเต็มเสียงตะโกนเต็มเสียง ร้องไห้โฮๆ

เอาชีวิตเฝ้าบ้าน ศพร่วมพันนี่แหละจะรับหน้ารับแขกแต่ที่จะไม่เสียค่าธรรมเนียมเหยียบค่ายมั่งนั้นอย่าหมาย หญ้าเขียวระจันจะให้มันเปลี่ยนเป็นสีแดงถึงฝนจักไม่มีอีกสักร้อยมื้อพันวัน นาเลือดมันก็จักมีน้ำพอข้าวงอกให้รวงข้าวมันฉานไปทั้งทุ่ง เมื่อหน้าไถก็จะพบแต่กระดูกนับด้วยหมื่น

ชั่วเวลาอื้อฉาวนั้น เสียงกลองศึกกลองชนะก็กลบขึ้นดินสะเทือนดังทุ่งระจันจักถล่มทลาย ปืนใหญ่บนหอรบโน้นก็กราดมาอีก อ๋อ มันมาหักค่ายแล้ว

พันเรืองตะโกน นายทองแสงใหญ่ก็ช่วยกู่ตะโกนต่อไปอีกโห่รับ เออบ้านระจันโห่รับแขกเมืองซีน่ะ โห่รับให้มันเข้าตะลุมบอน

สิ้นคำขาน ค่ายก็คำรามรับไป เสียงคำรามข้ามระเนียดไปนั้นขอฝากให้พม่าฟัง เสือคำรามในถ้ำนั่นมันเสือขู่ แต่คำรามของค่ายระจันไม่เป็นอื่นไปจากเมื่อสิ้นเสียงก็สิ้นคนแล้วจงมาช่วยกันเก็บศพฝัง

ประตูค่ายหัก ประตูค่ายกำลังหลั่งไหลด้วยทหารค่ายปากน้ำพระประสบแล้วก็แล่นเข้าปะทะกัน ระเนียดค่ายพังมาอีกแถบอำ ล้อมมาก็ต้องสู้กันจนเหลว​แหลก แล้วก็แล่นเข้าปะทะทัพราษฎรผู้ไร้อาวุธมีแต่พอติดเหย้าแต่แร่เข้าหาทหารหลวงอังวะศพเกลื่อนลงปะปน ศพถมดินระจันทั้งรามัญและพม่า ทั้งชาวค่ายไม่เลือกหญิงเลือกชาย ผู้เฒ่าหากจะสิ้นแรงล้มแต่ดาบผู้เฒ่าก็กัดเนื้อดื่มเข้ากระดูกเมื่อพ่อเฒ่าระจันสิ้นชีพไปแล้ว ลูกหลานมันก็แล่นขึ้นไปแทน หญิงเจ้าห่มตะเบ็งมานแล่นถลำ พร้าหวดและเคียวถือเมื่อหน้าเกี่ยวก็กวักแกว่งเข้าเกี่ยวชีวิตชายที่มาย่ำยีบางระจันลงเป็นศพ แต่แล้วหญิงงามก็ต้องทอดกายอนาถร้องหวีดสิ้นเสียงดับชีพไปเคียงชาย

จนแดดร่ม สีแดดจับฟ้าเหลืองบอกอาเพศเป็นพยาน ทัพใหญ่พม่าที่หนุนก็ล่วงเข้าค่ายได้ อันพลพม่าที่เหยียบลานค่ายนั้นหลั่งไหลดังธารน้ำจะเข้าท่วมบ้านระจันทั้งดาหน้าและห้อมล้อม แม้จะเอาศพเข้าแลกเป็นกำนัลค่าเยือนค่ายมากมาย แม้ศพราษฎรระจันเล่าก็กลาดเกลื่อน นักรบเมืองสิงห์ย่อยยับพินาศหมดชายเมืองสิงห์สู้จนละเอียดไว้ลายให้ลูกหลาน ทัพกล้าสุพรรณแล่นปะทะยอมเหลวแหลกมอบศพเป็นเชลย นายอิน นายเมือง นายโชติ พ่อยอดชายเมืองสิงห์ชาวศรีบัวทองเล่าท่านม้วยชอบแล้ว ท่านแล่นไปกลางพลศึกทัพใหญ่ฟันสั่งฝากฝีมือเมืองให้ลูกหลานและชายผู้ร่วมเมืองอยู่หลังได้ปลื้มแล้วก็สิ้นแรงล้มเห็นแต่ศพนอนเรียงเชื้อเชิญศึกเข้าค่าย นายทองแก้วบ้านโพธิ์ทะเลทั้งนายดอกไม้บ้านกรับชาววิเศษไชยชาญสองชายชาตรีนั้นแล่นตามพ่อเพื่อนร่วมศึกยอดเมืองสิงห์ไปติดๆ โอ้ทหารเมืองสิงห์สหายกูสิ้นชีพแล้ว ยศศักดิ์อยู่แก่ทหารผู้ตายเต็มเปี่ยมเหลือจะปลื้มเชิญเถิด ฟากสวรรค์ขอบฟ้าระจันโน้น ยอดทหารค่ายนับพันยืนยิ้มเข้าแถวรอรับท่านอยู่ เดี่ยวข้าจะตามไป จะไปอยู่เดี๋ยวนี้แหละ แล้วทหารวิเศษไชยชาญสองเสือก็โถมใส่ปลิดหัวศัตรูคนละเรือน ๑๐ แผลตัวนั้นเหลือจะนับแล้วก็แหงนหน้ามองฟากสวรรค์ พ่อค่ายทั้งหลาย ท่านนายจันทร์และขุนสรรค์ พ่อแท่นและผู้ใหญ่ทองเหม็นนักรบลือที่สถิตอยู่หลังอ้ายเผือกรับข้าไปด้วย อีกครู่ลูกผู้ชายก็ก้มหน้าตาย

ทหารคำหยาดมันรังควานทัพฟันไม่เป็นส่ำ กระดูกหัวขาดไปเพียงครึ่งคอและแขนกระเด็น ทหารหลวงอังวะและพลเกณฑ์มาเข้าทัพตามรายทางบุกรุกนัก บุกมาถึงเหย้าดินระจันที่กูหวงหากชีวิตยังเหลือแล้วใครจะอยู่มิได้ หันมาพยัก​น้องเขยและพี่เมีย โธ่เอ๋ยอ้ายฟักเลือดปรี่ตลอดเวลา นายสังข์เล่า เออเจ้าสังข์ทหารเก่าฝีมือลือก็ไล่ตะลุมบอนทั้งที่มันเองจะสิ้นแรง ต่างรบดาหน้านำหญิงมากลางศึก แฟงจวงดาบคนละสองเล่ม หญิงอื่นที่แกล้วอีก ๗-๘ คนก็ถือพร้าหวดตามมาเป็นช่อง แต่อ้ายฟักร่อแร่นักจึงกรากเข้าไปใกล้

มันยิ้มสีหน้าผิดไปมาก พูดหอบเหน็ดเหนื่อย “พี่ทัพฉันคงจะตายก่อนพี่”

“ก็ตายด้วยกันทุกคน ฟักเอ๋ย” มันปลอบพลางรบรับจะพาถอยออก “มึงตายก่อนก็ตายดีสมทหาร แต่อย่าห่วงพี่ อย่าห่วงกูไปอีก ขอให้กูได้เห็นใจบอกสวรรค์ให้เถอะ”

ไม่ทันได้ถอย เจ้าหนุ่มฟักบ้านคำหยาดก็ถูกดาบลิ่วมาอีกแผลล้มลง นายสังข์ก็โลดเข้าหวดหัวคนฟันเจ้าฟักกระเด็นหาย อ้ายนายกองม้าก็โจนไปยืนคร่อมเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นอีกที่จะกันเจ้าฟักให้ตายสงบมิให้ถูกเหยียบย่ำ

“ขอลาพี่ทัพไปก่อน พี่สังข์” เจ้าหนุ่มฟักยังเรียกได้สติ “รบไปเถิดพี่สังข์ฉันผู้น้องสิ้นฝีมือแต่เพียงนี้เอง เอ้อ ใครยืนคร่อม นายกองคำหยาดทหารเสือคำหยาดพี่ฉันหรือ”

เจ้าคนคร่อมที่ยืนหยัดรับไม่ถอยสะอื้น อ้ายฟักจะลาโลกเสียงมันแหบพร่าเต็มประดาคงอยู่ไม่ถึงอึดใจ จึงคุกเข่าลงให้สติน้ำตาไหลหยด

“ฟักเอ๋ย คุณพระ เอาคุณพระนึกนำทางไป เราตายให้ชาติมึงตายชอบแล้ว ผืนดินระจันไม่มีใครลืมมึงได้น้องเอ๋ย ทหารตายกลางแปลงควรจะปลื้มเพราะสมยศ ไปก่อนเถิด ไปคอยพี่สวรรค์โน้น”

ฟักหลับตาไปแล้ว เพียงชั่วหยุดควงดาบฟาดฟันก้มหน้าลาจูบผมเจ้าฟักทหารกล้ามันก็ถูกดาบฟาดเต็มหลัง เสียงหญิงตะโกนหวีดแล่นมา ดาบหญิงดาบเมียมันก็แล่นเข้าใส่ศึก ล้างชีพแก้ให้ผัว

ทัพลุกโงขึ้นยืนซวดเซ แผลหลังไม่ถึงจะตาย มันชมเชยขอบคุณเมียแล้วก็นำรบต่อไปอีก ย้อนไปทางทัพที่คนเบาบางโอ้บ้านระจันจักล่มแล้ว ค่ายระจันจะมีแต่ศพเรียงราย มองรอบทิศเล่า ค่ายเอ๊ย หน้าทหารนักรบระจันแทบจะไม่เหลือยืนเป็นเพื่อนหน้า พม่าร้อยไทยแต่สามจะเห็นกันกระไรได้ แล้วสาม​ไทยก็ในหมู่พม่าดังถูกเกลียวคลื่นม้วนหาย อ้า! เจ้าประคุณของค่ายระจัน ท่านนายทองแสงใหญ่ที่รั้งค่าย ท่านพันเรืองกำนันผู้มีพระคุณปกหัวปกค่ายไม่ทิ้งไปอื่น สองนักรบท่านใกล้จะสิ้นแรงแล้ว เลือดทหารโซมหน้าโซมกาย สองแขนก็เมื่อยล้า คอยครู่เถิดพ่อค่าย คอยทหารคำหยาดไปแก้ก่อน แล้วเจ้าทัพก็เรียกนายสังข์

“เร็วเถอะสังข์ ท่านกำนันพ่อค่ายและทองแสงร่อแร่แล้วเออ แฟง จวง เอ็งตามพี่ให้ทัน ไปตายเรียงพ่อค่ายเราโน้นไปตายเป็นเพื่อนอย่าให้เขาว้าเหว่”

นายสังข์นั้นโซมเลือด เจ้าจวงเมียรักกับแฟงก็ดูจะไม่เป็นหญิงเพราะเลือดชุ่ม และหญิงอื่นก็ม้วยแล้วรายตามทาง เหลือแต่เพียงสองคู่ผัวเมียรบรับตลบมาหาพันเรืองแต่ท่านโซมเสียแล้ว เพียงห่างชั่วตาเห็นลับล่ออยู่กลางศึกหันหลังชนท่านทองแสงยอมสู้จนตัวตาย ยิ่งฟันศพมันเกลื่อนมันยิ่งหลั่งไหลโห่ร้องทุ่มทัพเข้าใส่ มันดาดาบลงครั้งละ ๑๐ และ ๒๐ สุมไปที่พ่อค่าย โธ่เอย มนุษย์แต่เพียงสองไยเล่าจักทานแรงไหว ก็ได้แต่ส่ายหน้าชะแง้หา ชะแง้สั่งค่ายขอลาบ้านระจันอันเป็นท้องที่และบ้านเกิดแล้วก็ทรุดกายสูญหน้าหายไปกลางพลศึก

สี่ชีวิตที่เห็นกาลกิริยาของพ่อค่ายต่างหลั่งน้ำตายกดาบชู จบคำนับชีพท่านเกียรติศักดิ์ของท่านจักจารึกไว้ ณ ฟากบ้านน้อยบางระจัน แล้วศึกก็กรูกรากเข้าใส่ กองทหารร่วม ๒๐ ของสุกี้โห่ร้องชี้ดาบดาหน้ามาเป็นแถว ทัพมันยิ้มปลงชีวิต อ๋อ! เขาก็ตายกันหมดแล้ว ใครเหลือเป็นเชลยก็แสนอาย ถ้าดาบหักละก็เอาศพไป หัวยังตั้งอยู่บนบ่า ยังลืมตาอ้าปากละก้อให้แล่นกันมาสัก ๑๐๐ เออ ฟ้าก็เหลืองแล้ว เมฆวิปริตหรือลมหวนมีแต่คาวเลือด ก็ใครเล่าจักอยู่ไปค้ำฟ้า มีแต่ถมดินแต่ยศและเกียรติศักดิ์นั่น ถึงเป็นศพแล้วก็ติดศพไปเมืองผี ร่มฟ้าบ้านระจันมันจักลือไปชั่วชาติอีกร้อยกว่าปีก็คงจะมีคนจำ ร่มโพธิ์ในวัดโพธิ์เก้าต้นจักยืนเป็นพยานว่าอีกพันปีนามระจันมันก็ไม่สูญ ขอฝากนามฝากชื่อฝากชีพกูและนักรบทั้งหลายปักโลกไว้เหมือนเดิมสยามบางระจัน

บุตรชายนายทหารอาทมาต เมื่อปลงชีวิตถวายเป็นที่ระลึกบูชาชาติเสร็จก็ล่ำลาและให้สติคนอื่น

“สังข์ เราจะตายพร้อมกันหมด เราไม่รอดแล้ว บ้านระจันก็ล่มแล้วเรา​จะอยู่ดูหน้าใครอีก”

น้องเขยทหารกล้ามองมันเศร้าหัวใจ รอบค่ายก็ล้วนแต่หน้าศึกพรั่งพร้อมแต่ไทยนั้นนอนสนิทหน้าแนบผืนดินซบไปแล้วทั้งสิ้น

“ฉันจะตามไปตายร่วมทุกแห่ง แต่หญ้าหย่อมไหนเล่าจะนอนตาย”

“หย่อมศึกมากข้างหน้านี้แหละ แฟงเอ๋ย ขึ้นมาเคียงพี่เถิดมาตายเคียงพี่ใกล้ผัวใกล้เมีย” มันกวักมือแฟง เมื่อเจ้าประชิดมาแล้วและจวงก็ขึ้นคู่นายสังข์ยืนหยัดรับศึกเป็นสองคู่ ทัพก็กล่าวไปอีก “เราจักยืนตายตรงนี้ ก้าวเดียวก็จะไม่ถอยและไม่รุกล้ำหน้า เพราะจะทำให้แยกกันตาย”

แฟงโผกอดคอผัวรวดเร็ว “ลูกเราจักคลอดที่เมืองผี แฟงน่ะไม่ถอยเลยถ้าพี่ตายก่อนจะเชือดคอให้สิ้นใจพร้อมกัน”

“ประเสริฐแล้ว เมียทหารของพี่ โน่นศึกเขาดาหน้ามากระจายรบมัน”

จวงกับผัวก็สั่งเสียจะตายพร้อมกัน สาบานกันทั้ง ๔ ว่าจะไปเกิดร่วมท้องร่วมผัวเมียกันอีกเป็นชาวบ้านระจันในชาติหน้า แล้วก็ยืนควงดาบอยู่เรียงตัวกวักมือเรียกเชื้อเชิญศัตรูให้เหยียบเหย้า

ผู้หักค่ายเล่ามาถึง ๔ คนแรกที่ยืนเรียงหน้าล้มคว่ำกัดดินอีก ๔ อีก ๕ ก็คะมำตาม ๗-๘ ศพก็ตามไปอีกเพราะดาบนายสังข์และฝีมือหญิงเจ้าจวงบุตรสาวทหารอาทมาต ฝีมือหญิงที่สู้ไปตามแรงตามประสาก็สิ้นลงเมื่อดาบสุมมาระดม จวงทรุดกายสิ้นชีพไปแล้วแทบเท้าผัว และมือผัวก็ประหารคนที่ฆ่าจวงได้อีก ๓-๔ ศพ แล้วเขาก็คร่าชีวิตไปเสียอีก กายฟุบลงทอดร่างบังศพเมียไว้ หัวใจที่ริกๆ ดังปลาดิ้นนั้นดับไปโดยชอบไล่ๆ กัน

แฟงเหนื่อยอ่อนเต็มที่ ร่างน้อยน่าถนอมเมื่ออยู่เหย้าเป็นแผลยับหมด นวลเนื้อแดงฉานด้วยเลือดสตรีที่พลีถวายแผ่นดินรักษาชาติบ้านน้อย แต่อย่าหวังเลยว่ามือศึกนั้นจักได้หยามมาแตะต้องเนื้อ แฟงจะตายด้วยเกียรติของหญิงที่จะต้องเนื้อได้ก็ชั่วแต่ดาบ แล้วก็ปลิดชีพชายเสียอีกที่ดาหน้ารุมเข้ามา คงเหลือแต่เพียง ๓ คน ที่กลุ้มรุมฟันผัวเจ้า แล้วแฟงก็สิ้นกำลังเหยียดร่างเคียงเท้าผัวจะทรุดตามอีกไม่ช้า

ชายคำหยาดยืนโผเผ แผลหลังและหน้าตลอดกายเลอะเทอะ ยืนอาบ​น้ำเลือดตัวเองโซม ทั้งไหลปรี่และหลั่งพลั่ง บางแผลพุ่งโกรก โอ้ระจันล่มแล้วเขาตายกันเสียหมดแล้ว โธ่เอ๋ยสังข์ จวง เจ้ากอดศพรักกันตาย โถ แฟงของพี่เจ้านอนดิ้นรนเนื้อระริก คอยก่อนแฟงเอ็ย หัวใจแฟงอย่าเพิ่งสิ้นอยู่คอยพี่ก่อน

ทหารสุกี้ทั้ง ๓ นายด่าวดิ้นไปทีละคน ทัพมันก็เหลือจะปิดจะป้องถึงแม้เหลือตัวต่อตัวเพราะอ่อนแรง เมื่อกราดฟันมามันก็กัดฟันเรียกมานะยกดาบรับแล้วก็ฟันสุดแล้ นี่เป็นดาบที่หวดไปสุดท้ายของทหารจะได้ถือออกศึกอีก ดาบปราบสงครามแต่ครั้งศึกปีมะโรงที่อ่าวหว้าขาวก็ปะทะกัน สะบั้นแล้ว ดาบหักค่อนเล่ม เหลืออีกมือก็ซ้อนตามสะพายแล่งทรุดไปต่อหน้า มันเองก็ซอกคอเออ ปลดชีพทหารหลวงอังวะเกลี้ยงหมดกองทั้ง ๒๐ นี้แล้วก็สิ้นแรงยืนเข่าคู้ลงเคียงเมีย โอ๋ แฟง แม่ทหารสาวระจันของพี่ยังลืมตาคอย จะสั่งอะไรหรือ อย่าเลย พี่จะตามไปเดี๋ยวนี้ ปากสั่งนั้นรำลึกคุณชาติดีกว่า อธิษฐานฝากชาติแด่คุณพระท่านดีกว่า

แฟงกำลังจักหมดสมประดี มือไขว่คว้าจนพบผัว

“เดี๋ยวแฟงจะสิ้นใจ” เสียงแฟงเบาจนต้องก้มหูฟังชิด “พี่จะรอดไหม”

“ไม่รอดแล้วน้องเอ๋ย แผลพี่หนักเหลือจะรอด แฟงยกมือไหว้ชาติสยามเสียเถิด แผ่นดินสยามจะกลบหน้าเราแต่มื้อนี้แล้ว”

แฟงประนมมือ “ระจันล่มแล้ว ขอคุณพระอยู่คุ้มศรีอยุธยาตลอดกว่าฟ้าจะล่ม”

ทัพฟุบหน้าลงเหนืออกเมีย แม่เอ๋ยใจริกๆ อยู่เพียงครู่หยุดเต้นไปแล้ว

ทหารกล้ามันก็เกิดมรณญาณให้ง่วงเหงา ฟ้าเหลืองก็เห็นเป็นมัวมืด รู้แต่ว่าซบหน้าอุ่นอยู่แนบอกแฟง เมื่อใจรู้ว่ามันจะดับเสียแน่ก็เหลือแต่มือชูดาบหักชูขึ้นประกาศเทวดา ประกาศแก่วิญญาณทั่วบ้านน้อยบางระจัน

“ขอไหว้เมืองสยาม บางระจันล่มศึกเสียค่ายแล้ว แต่ศรีอยุธยาจักค้ำฟ้า ระจันเพียงทัพชาวบ้านน้อยก็สู้จนหมดคน แต่สยามจักอยู่ค้ำฟ้า”

ดาบตก มือนั้นก็ผล็อยลงกอดแฟง ทหารกล้าดับชีวิตลับโลกไปแล้วเป็นคนที่สุด หากสิ่งทิพยศักดิ์สิทธิ์อย่างใดๆ จักสำแดงให้ประจักษ์เล่า คนอยู่หลังชีวิตในบ้านระจันก็คงจักเห็นในขณะนั้นว่าชายหนุ่มคำหยาดผู้กล้ากำลังเดิน​จูงมือแฟงเมียรักย่างเหยียบไปภพหน้า และภพนั้นมีกองทหารตั้งเรียงราย กองม้าคำหยาดเก่าประจำหลังเพียบชักดาบจากฝักควงโห่รับ ท่านพันเรืองขุนสรรค์ นายแท่นชาวศรีบัวทองทั้งนายทองเหม็น นายจันทร์ นายทองแสงใหญ่กับผู้ร่วมคิดอื่น ๑๐ คน จักอ้าแขนยิ้มแย้มรับวิญญาณทหารกล้าศึกเข้าสู่เมืองใหม่ แล้วต่างก็เปล่งวาจาพร้อมกันว่าขอฝากค่ายระจันที่เสียไปแล้วให้คนเกิดมาหลังช่วยกันจำไว้ ขอลูกหลานและผู้ร่วมชาติร่วมเมืองจงหวงบางระจันตลอดชีพ ค่ายระจันเสียเพราะไร้อาวุธจะสู้ บางระจันต้องเหลวแหลกเมื่อวันจันทร์เดือน ๘ แรม ๒ ค่ำ พ.ศ. ๒๓๐๙ เป็นปีจอ อัฐศก รวมเวลาแต่ตั้งค่ายสู้พม่าเมื่อเดือน ๔ ปีระกา จนเสียค่ายได้ ๕ เดือน เสียชีวิตชาวบ้านระจันพันเศษ ได้ชัยชนะ ๗ ครั้งติดๆ กัน ส่วนพม่าข้าศึกผู้เข้าเยือนบางระจันฐานเป็นผู้ชนะนั้น ต้องเสียชีวิตเป็นค่าเหยียบเหย้าร่วมสี่พัน

จึงเกียรติคุณของนักรบชาวบ้านบางระจันก็กึกก้องจับใจอยู่จนบัดนี้และตราบหน้ามิรู้ลืม

จบบริบูรณ์



Logged
Pages: [1] Go Up Print 
« previous next »
 

SMF 2.0.4 | SMF © 2013, Simple Machines | Theme by nesianstyles | Buttons by Andrea
Page created in 0.275 seconds with 19 queries.